The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทความ Processdinga สถาปนาคณะ 70 ปี (24 ม.ค.67) พร้อมทำ e-

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ntknight478, 2024-01-24 05:55:28

หนังสือรวมบทความ Proceedings สถาปนาคณะ 70 ปี

รวมบทความ Processdinga สถาปนาคณะ 70 ปี (24 ม.ค.67) พร้อมทำ e-

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 50 คุณค่าว่าเป็นผู้ผลิตที่ช่วยขับเคลื่อนทางสังคม ต่างจากการเลี้ยงดูลูกที่ถือเป็นความรับผิดชอบในหน้าที่ของการเป็นพ่อแม่ ไม่ได้ ส าคัญเทียบเท่าการผลิตสินค้าและบริการ ความคิดแบบขั้วตรงข้ามนี้ส่งต่อมายังคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยุคการล่าอาณานิคมของชาติมหาอ านาจยุโรปที่ขับเคลื่อน ด้วยความเชื่อในการแบ่งโลกออกเป็นสองส่วน ได้แก่ พวกเขา-พวกเรา, มีเหตุผล-ไม่มีเหตุผล, ศูนย์กลาง-ชายขอบ, มีอารยะป่าเถื่อน เป็นต้น และใช้ความเชื่อนี้สร้างความชอบธรรมในการเข้าไปจัดแจงความเชื่อ ศาสนา ค่านิยม และปฏิบัติการทาง เศรษฐกิจและสังคมของชาติอื่นๆ ที่ถูกนับว่าล้าหลังให้เปลี่ยนแปลงไปตามเจ้าอาณานิคมซึ่งสถาปนาตนเองว่าเป็นสากลที่ เจริญแล้ว ถือเป็นการจ าแนกโลกด้วยการเมืองของความแตกต่าง (Politics of Difference) (ไพโรจน์ คงทวีศักดิ์, 2560, น. 42-44) ทั้งวิธีคิดเช่นนี้ รวมไปถึงปรัชญาการท างานแบบตะวันตกกลายเป็นแนวคิดกระแสหลัก แผ่ขยายไปทั่วโลกและถูก หล่อเลี้ยงให้ยังคงด ารงอยู่ผ่านยุคสมัยแห่งโลกาภิวัตน์ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังนี้การปฏิวัติอุตสาหกรรมจึงถือได้ว่าเป็นต้นเหตุของรูปแบบการท างานที่เปลี่ยนไป และยังส่งผลมาจนถึงรูปแบบ การท างานทุกวันนี้อย่างไรก็ตามแม้ว่าการท างานเช่นนี้จะเป็นช่องทางให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน หรือเป็นวงจรที่ บุคคลไม่อาจหนีรอดไปจากการจ้างงานเพื่อด ารงชีพได้ แต่หากเหมารวมว่าเป็นเพราะความจ าเป็นทางเศรษฐกิจที่ผลักดันให้ มนุษย์ท างานก็อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป และไม่อาจใช้อธิบายกรณีของคนบางกลุ่มที่รายได้จากการท างานไม่เพียงพอหรือ น้อยกว่าทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วได้ ทั้งนี้หากพิจารณาความจ าเป็นของการท างานต่อบุคคล สามารถจ าแนกออกได้เป็น 2 มิติ หลัก ได้แก่ 1) งานในมิติเศรษฐกิจ และ 2) งานในมิติคุณค่าความเป็นมนุษย์ งานในมิติเศรษฐกิจ งานมีความส าคัญอย่างยิ่งในเชิงเศรษฐกิจ ตราบใดที่บุคคลยังไม่สามารถผลิตสินค้าและบริการที่จ าเป็นต้องใช้ตลอด อายุขัยได้ด้วยตนเอง การท างานเพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็ยังมีความจ าเป็น และการจ้าง แรงงานเพื่อให้เกิดการด าเนินการดังกล่าวก็จะยังมีอยู่ต่อไป เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถท าทุกอย่างด้วยตนเองล าพังได้ การแลกเปลี่ยนแรงงาน ก าลังกาย ความรู้ ทรัพยากร สินค้า ฯลฯ จึงเป็นสิ่งจ าเป็นที่จะต้องท าเพื่อให้ทุกคนในสังคมมีชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปได้ ความรับผิดชอบที่มีต่อกันในสังคมนี้ถือ เป็นคุณธรรมที่เกิดจากความจ าเป็นในข้อจ ากัดของมนุษย์ เป็นกฎทางศีลธรรมที่มนุษย์จะต้องมีความรับผิดชอบต่อกันและกัน (Moral Rules) และท าต่อเนื่องเป็นแบบแผนทางศีลธรรม (Moral Standard) ให้บุคคลยึดถือปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม การแลกเปลี่ยนในลักษณะดั้งเดิมเช่นการเอานมวัวมาแลกกับขนมปัง ไม่อาจตอบสนองต่อขยายตัวของประชากรและเศรษฐกิจ ได้ ค่าจ้างจึงมีความจ าเป็นในฐานะสื่อกลางการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ที่แรงงานมุ่งหวังจะได้จากการเอาพลังกาย พลังปัญญา และทักษะความสามารถไปแลกในการสร้างผลิตภาพให้เกิดขึ้น ดังนั้นแม้งานจะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ในมิติที่หลากหลาย แต่เหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ หรือการท างานเพื่อสร้างรายได้น ามาใช้ในการด ารงชีพก็เป็นเหตุผลส าคัญที่ หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นการมีรายได้จากการจ้างงานยังช่วยเพิ่มความมั่นคงให้แก่มนุษย์ และลดผลกระทบเมื่อเกิดความเสี่ยงใน ชีวิตด้วย การท างานโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานในระบบจะเป็นสะพานเชื่อมบุคคลเข้าสู่การประกันสังคม (Social Insurance) ซึ่งเป็นหลักประกันพื้นฐานให้แรงงานสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์เมื่อเจ็บป่วย บาดเจ็บจากการท างาน คลอดบุตร ว่างงาน ทุพพลภาพ และเสียชีวิต (กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์, 2563, น. 15) จึงจะเป็นการคุ้มครองทางสังคมให้บุคคลได้รับสวัสดิการ ช่วยเหลือเมื่อต้องเผชิญกความเสี่ยงที่น าการเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตได้ ดังนี้งานจึงมีความจ าเป็นต่อมนุษย์ในฐานะที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ให้บุคคลมีรายได้เพื่อน าไปใช้ใน การด ารงชีพ และยังเป็นการเชื่อมต่อน าแรงงานเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐานที่จะช่วยลดผลกระทบเมื่อต้องเผชิญความเสี่ยงในชีวิต ได้อีกด้วย


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 51 งานในมิติคุณค่าความเป็นมนุษย์ นอกจากงานจะให้รายได้เป็นค่าตอบแทนแก่บุคคลในการด ารงชีพแล้ว สิ่งตอบแทนที่อาจมีมูลค่ามากกว่าตัวเงินที่ ได้รับอาจเกี่ยวข้องกับการรับรู้คุณค่าของตนเองหรือการได้รับการยอมรับจากสังคมของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นประเด็นทาง จิตวิทยาที่น่าสนใจ การได้รับการยอมรับอาจเป็นแรงจูงใจที่มีพลังอ านาจมากกว่าตัวเงินหรือค่าแรงที่ได้รับจากการท างาน และ อาจน ามาใช้อธิบายเหตุผลความปรารถนาที่จะท างานของแรงงานที่มีฐานะร่ ารวยเกินกว่าค่าจ้างที่ได้รับหรือคนที่มีข้อจ ากัด ทางร่างกายเช่นคนพิการซึ่งมีปัญหาอุปสรรคในการท างานด้วย ความต้องการการยอมรับตนเองในฐานะมนุษย์ที่มีศักยภาพ หากการท างานมีวัตถุประสงค์เพื่อการมีรายได้เป็นตัวเงินเท่านั้น คงไม่ใช่ค าตอบที่สมเหตุสมผลในกรณีคนรวยที่ยังคง ท างานแม้งานนั้นจะให้รายได้ที่น้อยกว่าทรัพย์สินที่เขามี และคงไม่ตอบค าถามในงานบางอย่างที่ต้องท าด้วยความยากล าบาก แต่ยังดึงดูดใจให้มีคนเลือกท า ในงานเขียนเรื่อง The Economic & Philosophic Manuscripts of 1844 หรือที่รู้จักแพร่หลายในชื่อ The Paris Manuscripts ซึ่งรวบรวมเอกสารงานเขียนของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) (Mclaughlan, 2022) พบว่า มาร์กซ์เคยอธิบายถึง งานที่มีคุณค่า (Decent Work) ว่าคือ งานที่บุคคลไม่ได้ท าเพื่อหวังเงินตราเป็นประโยชน์สูงสุด หากแต่เป็นงานที่เปิดโอกาสให้ บุคคลได้แสดงออกซึ่งความสามารถ ศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และช่วยให้บุคคลมีความสุขกับสิ่งที่ท า งานในที่นี้จึงไม่ใช่ ภารกิจแต่เป็นกิจกรรมที่ตอบสนองให้บุคคลรู้สึกพึงพอใจ ซึ่งภาวะการท างานลักษณะนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคม อุตสาหกรรมที่การผลิตแต่ละขั้นตอนถูกแบ่งแยกออกจากกัน ซึ่งบุคคลไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตงาน เป็นเพียง แรงงานที่ท าหน้าที่ควบคุมเครื่องจักรกลหรือเพียงแต่ท าตามหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งในขั้นตอนการผลิต แม้จะผลิตสินค้านั้น ส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นมา แต่กลับไม่สามารถครอบครององค์ความรู้ในการผลิตสินค้าทั้งชิ้นได้ เกิดเป็นความแปลกแยก (Alienation) จากการขาดอิสรภาพการใช้แรงงานเพื่อตอบสนองความต้องการภายในของตนเอง ไม่ได้ใช้ศักยภาพของตนเอง ในการสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการลดทอนคุณค่าภายในของมนุษย์ (Méda, 1996, pp. 634-635, อ้างถึงใน สุรพล ปธานวนิช, 2543, น. 49) ดังนี้อาจกล่าวได้ว่าตามทัศนะของมาร์กซ์ความต้องการสูงสุดของบุคคลต่อการตอบแทนจากงานนั้นไม่ใช่ ค่าตอบแทนหรือสิ่งของที่มีมูลค่า หากแต่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการใช้ศักยภาพความเป็นมนุษย์ที่สร้างสรรค์ได้ ผลิตได้ และมีอิสระที่จะควบคุมชีวิตของตนได้ ซึ่งเป็นคุณค่าสูงสุดของความเป็นมนุษย์ แนวคิดมนุษยนิยม (Humanism) ให้มุมมองที่สนับสนุนว่ามนุษย์ต้องการการบรรลุศักยภาพของตนเองเช่นกัน แนวคิดนี้เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี มีเหตุผล มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองและก าหนดชีวิตตามความต้องการของ ตนเองได้อย่างมีเสรีภาพ (พูนศักดิ์ กมล, 2562, น. 33) การควบคุมก าหนดชีวิตตนเองได้ คือ การมีเจตจ านงเสรี (Free will) ซึ่งหมายถึง การมีเป้าหมายในการกระท าที่ไม่ได้ถูกก าหนดบงการด้วยสิ่งใดในการตัดสินใจเลือกกระท าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นักปรัชญาเช่น โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) จอห์น ล็อค (John Locke) และ เดวิด ฮูม (David Hume) เห็นว่า การกระท าใดๆ ที่ไม่มีอ านาจภายนอกตัวผู้กระท ามาบังคับ ขู่เข็ญ เรียกได้ว่า เป็นการกระท าที่มีเสรีภาพ แม้การกระท านั้นจะมี สาเหตุก็ตาม ถือเป็นเจตจ านงเสรี แต่นักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์อย่าง เรเน เดส์การ์ตส์ (Rene Descartes) กลับเห็นว่า การกระท าที่มีเสรีภาพนั้นจะต้องไม่ถูกบังคับ ขู่เข็ญ และต้องไม่มีสาเหตุเป็นตัวก าหนดการกระท าด้วย เพราะหากมีสาเหตุเป็น ตัวก าหนดทางเลือกไว้แล้ว แม้มนุษย์จะได้เลือกทางเลือกด้วยตนเองแต่ที่มาของทางเลือกนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเสรีจริงๆ เป็นเพียงการตัดสินใจเลือกในทางเลือกที่ถูกก าหนดไว้แล้ว สุนัย ครองยุทธ์ (2520, น. 18-19) แม้ข้อถกเถียงดังกล่าวจะไม่มี ข้อสรุปที่ชัดเจนแต่ก็แสดงให้เห็นถึงความส าคัญของเจตจ านงเสรีและการเป็นมนุษย์ในเชิงปรัชญาได้ว่าการได้ใช้ความสามารถ ของตนท าสิ่งสร้างสรรค์อย่างอิสระไม่ถูกบังคับด้วยเงื่อนไขใดส าคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องยืนยันว่ามนุษย์มีพลังอ านาจ และ สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ที่ต้องการแสดงศักยภาพของตนเองอย่างอิสระ ไม่ถูกควบคุม ซึ่งสอดคล้อง ไปในทิศทางเดียวกับแนวคิดเกี่ยวกับงานที่มีคุณค่าของมาร์กซ์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 52 ทั้งนี้หากพิจารณาในแง่จิตวิทยาว่าด้วยความต้องการของมนุษย์ การท างานยังส่งผลต่อจิตใจในแง่ความรู้สึกของ การพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระที่ต้องรอคอยความช่วยเหลือจากใคร ซึ่งจะน ามาสู่การยอมรับนับถือต่อตนเอง และ เป็นจุดเริ่มต้นของการมีเป้าหมายในชีวิตที่ตนเองสามารถก าหนดควบคุมได้ ซึ่งสามารถน าทฤษฎีล าดับขั้นความต้องการของ มาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) มาใช้อธิบายได้ แนวคิดนี้เชื่อว่ามนุษย์มีความต้องการ แบ่งเป็น 5 ล าดับขั้น ตั้งแต่ความต้องการขั้นพื้นฐานของการมีชีวิตในขั้นที่ 1 และ 2 ได้แก่ ขั้นที่ 1 ความต้องการทางภาพ (Physiological Needs) ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานในการด ารงชีวิต เช่น อาหาร น้ า อากาศ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ขั้นที่ 2 ความต้องการด้านความปลอดภัย (Safety Needs) เช่น การมี ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การมีความมั่นคงทางการเงิน มีสุขภาพแข็งแรง เป็นต้น ต่อมาความต้องการทางจิตใจ ขั้นที่ 3 และ 4 ได้แก่ ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและการเป็นเจ้าของ (Love and Belonging Needs) เช่น การมี ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น การได้รับความรักจากคนรอบข้าง การได้รับความรักเชิงชู้สาว รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เป็นต้น ขั้นที่ 4 การได้รับการยอมรับ (Esteem) คือ ความต้องการการยอมรับ ได้รับการเคารพนับถือจากผู้อื่น รู้สึกภาคภูมิใจใน ตนเอง รู้สึกมีคุณค่า มั่นใจในความสามารถของตนเอง เป็นต้น และความต้องการขั้นสุดท้าย คือ การบรรลุความหมายของ การมีชีวิต (Self-actualization) หมายถึง การบรรลุความปรารถนาสูงสุดในการมีชีวิตของแต่ละบุคคลได้ เช่น การค้นพบ ความสามารถ ศักยภาพ หรือตัวตนที่มีคุณค่าต่างจากผู้อื่น เป็นต้น บุคคลจะแสวงหาหนทางเพื่อบรรลุความต้องการจาก ขั้นพื้นฐานไปสู่ขั้นสุดท้าย และหากบรรลุถึงขั้นสุดท้ายแล้วนั่นหมายถึงการเป็นมนุษย์ที่ถูกตอบสนองความต้องการโดยสมบูรณ์ (Self-fulfilment Needs) (Urbinner, 2564) จากแนวคิดนี้การท างานจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้บุคคลเข้าถึงการค้นพบ ความสามารถเฉพาะบุคคลของตนเอง มีทักษะหรือความถนัดส่วนบุคคล ตลอดจนพัฒนาให้ทักษะความสามารถนั้นกลายเป็น คุณค่าในตัวตน เป็นความภาคภูมิใจในตน และเป็นเป้าหมายในการมีชีวิต ซึ่งเป็นไปตามความต้องการล าดับขั้นสุดท้ายได้ ดังนี้จะเห็นว่าแม้การท างานด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีรายได้ในการด ารงชีวิตจะเป็นความต้องการทางตรง แต่จุดมุ่งหมายสูงสุดที่เป็นแรงผลักดันให้มนุษย์ต้องการท างานและท างานอย่างต่อเนื่องแม้ค่าตอบแทนที่ได้รับอาจไม่สมเหตุผล นัก ก็คือ ความปรารถนาที่จะใช้ศักยภาพของตนสร้างสรรค์ผลผลิตบางอย่าง เพื่อตอบสนองความต้องการในการค้นพบตัวตน ของตนเอง ความสามารถเฉพาะของตนเอง รับรู้คุณค่าของตนเอง โดยไม่ถูกเงื่อนไขใดบังคับ แต่มีอิสระและควบคุมตนเองได้ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงพลังอ านาจเหนือตนเองตามแนวทางมนุษยนิยม ความต้องการการยอมรับจากสังคม นอกจากทฤษฎีล าดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ขั้นสุดท้ายจะสามารถใช้อธิบายความปรารถนาที่จะบรรลุเป้าหมายใน ศักยภาพที่อยู่เหนือกว่าการต้องการตัวเงินเป็นค่าตอบแทนการท างานได้แล้ว หากกล่าวถึงความต้องการการได้รับการยอมรับ ซึ่งเป็นความต้องการของมนุษย์ตามทฤษฎีในล าดับขั้นที่ 4 ก็สามารถน ามาอธิบายการท างานของคนได้เช่นกัน ทั้งนี้ตามทฤษฎี มนุษย์ต้องการได้รับการยอมรับนับถือ ต้องการรู้สึกว่าตนเองเป็นสมาชิกของสังคมที่ตนเองสังกัด ดังนั้นเมื่อสังคมกระแสหลัก ในโลกทุนนิยมที่มีบรรทัดฐานว่าการมีงานที่ก่อให้เกิดรายได้ หรือการไม่อยู่เฉยโดยไม่มีผลิตภาพเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ควรท า การท างานย่อมเป็นหนทางที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม ยิ่งไปกว่านั้น ในทฤษฎีล าดับขั้นพัฒนาการทาง จิตสังคมของอีริคสัน (Erikson’s Stages of Psychosocial Development) (Kendra, 2022) ยังให้ความส าคัญถึงการถ่ายทอด ความรู้และประสบการณ์แก่คนรุ่นหลังซึ่งสัมพันธ์กับการได้รับการยอมรับจากผู้อื่นด้วย ทฤษฎีดังกล่าวแบ่งพัฒนาการของ มนุษย์ตลอดช่วงชีวิตออกเป็น 8 ขั้นตามช่วงวัย โดยแต่ละขั้นมีเป้าหมายที่มนุษย์จะต้องพัฒนาเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่ เหมาะสม ทั้งนี้ในพัฒนาการขั้นที่ 7 คือ ขั้นของการพัฒนาบุคลิกภาพที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมโดยการถ่ายทอดสิ่งที่สั่งสมจาก รุ่นสู่รุ่นและการติดยึดกับตนเองแปลกแยกออกจากสังคม (Generativity vs. Stagnation) ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่จะพัฒนา ในช่วงวัยผู้ใหญ่ ให้ความส าคัญไปที่การมองเห็นคุณค่าของคนรุ่นหลัง การตระหนักถึงประโยชน์ที่จะส่งมอบความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ในการด าเนินชีวิตเพื่อส่งต่อให้แก่คนรุ่นถัดไป บุคลิกภาพเช่นนี้พัฒนามาจากการค้นพบความสามารถเฉพาะของ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 53 บุคคล ตลอดจนความชอบ ความสนใจที่จะยึดถือเป็นตัวตนของตนเอง การรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การได้รับการยอมรับ และเป็นที่รัก ซึ่งเหล่านี้เป็นพัฒนาการทางบุคลิกภาพขั้นก่อนหน้า ในทางตรงกันข้ามหากบุคคลไม่สามารถพัฒนาบุคลิกภาพได้ อย่างเหมาะสมตามช่วงวัยก็อาจก่อเกิดเป็นบุคลิกภาพในทางตรงกันข้ามที่มีลักษณะของการยึดแต่เพียงผลประโยชน์ของตนเอง ขาดความเอาใจใส่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น หลงตน มองโลกในแง่ร้าย และไม่ช่วยเหลือประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง ซึ่งอาจส่งผลให้บุคคล นั้นไม่ได้รับการเคารพ การเป็นที่ยอมรับนับถือ และน ามาซึ่งการไม่เคารพตนเอง ไร้ซึ่งความสุข ตลอดจนปัญหาสุขภาพจิตใน บั้นปลายชีวิตได้ ดังนี้จึงย้ าให้เห็นว่าการได้รับการยอมรับมีส่วนส าคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพของมนุษย์ การได้รับการยอมรับจากผู้อื่นหรือการถูกนับรวมเป็นสมาชิกของสังคม มีผลทางจิตวิทยาอย่างยิ่งให้เกิดบุคลิกภาพแบบใดๆ ของ บุคคลได้ ทั้งนี้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถอยู่ด้วยตนเองล าพังได้ หากแต่ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนทรัพยากร ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของมนุษย์นี้ ทุกคนต่างมีหน้าที่ทางสังคม (Social Obligation) ที่ตนต้องกระท าต่อกันตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวเป็นแบบแผนที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาเพื่อให้ สังคมอยู่ต่อไปได้อย่างสงบสุข (Spicker, 2000, p. 16) เนื่องด้วยการพึ่งพาอาศัยกัน ตลอดจนบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน เช่นนี้ ส่งผลให้ไม่มีมนุษย์ผู้ใดอยู่อย่างโดดเดี่ยวล าพังได้ เมื่อเกิดการรวมกลุ่มทางสังคม สิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกันก็คือการที่ ปัจเจกบุคคลที่มีคุณลักษณะคล้ายคลึงกัน รู้สึกมีความเป็นส่วนร่วมในบางอย่างร่วมกันจะดึงดูดเข้าหากัน ดังนี้จึงอาจกล่าวได้ ว่า อัตลักษณ์ (Identity) และความรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นสมาชิก (Membership) จะเกิดขึ้นด้วย และเมื่อเป็นการอยู่รวมเป็นกลุ่ม ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม (Relationship) ก็จะมีขึ้นโดยอัติโนมัติ ไม่มีใครไม่มีกลุ่มทางสังคมที่ตัวเองร่วมอยู่ด้วย และกลุ่มทางสังคมแต่ละกลุ่มก็มีหน้าที่ทางสังคมระหว่างกัน ดังนั้นมนุษย์ที่มีความรู้สึกค านึงถึงผู้อื่น จึงกระท าสิ่งต่างๆ โดยไม่ได้ค านึงว่าจะต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนเพราะคุณค่าสูงสุดที่มุ่งหวังจะได้รับคือการเป็นส่วนร่วมของสังคมนั่นเอง อย่างไรก็ตามการรวมกลุ่มทางสังคมนี้ในอีกแง่หนึ่งก็ถือเป็นการรวมกลุ่มอัตลักษณ์ที่ดึงดูคนที่มีอัตลักษณ์บางอย่างมา อยู่เป็นสมาชิกร่วมกัน มีความสัมพันธ์ มีหน้าที่ระหว่างกัน และในขณะเดียวกันก็อาจะเป็นการกีดกันคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มี อัตลักษณ์ หรือ “ไม่เข้าพวก” ให้ห่างไกลจากกลุ่มสังคมด้วย หากการท างานเป็นคุณลักษณะที่คนในสังคมส่วนใหญ่มีร่วมกัน การไม่ท างานเป็นก็อาจกลายเป็นความไม่เข้าพวก และไม่ได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้ ความต้องการการตอบสนองต่อความเชื่อ คุณค่า และค่านิยมของสังคม ไม่เพียงแต่ความต้องการการยอมรับจากสังคมที่ผลักดันให้บุคคลท างาน แต่ประเด็นการได้รับการยอมรับยังเชื่อมโยง ไปถึงการได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ตอบสนองต่อความเชื่อ คุณค่า และค่านิยมที่ตนเองยึดถือด้วย ในที่นี้ศาสนา มีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมวัฒนธรรมที่หล่อหลอมบุคคล และเป็นส่วนส าคัญในประวัติศาสตร์เรื่องงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คริสต์ศาสนาที่แพร่ขยายความคิดความเชื่อให้ฝังอยู่ในรากวัฒนธรรมทั่วโลกมาอย่างยาวนานผ่านการล่าอาณานิคมต่อเนื่อง ถึงยุคจักรวรรดินิยม แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เชื่อมโยงจริยธรรมแบบโปรเตสแตนต์เข้ากับค่านิยมของทุนนิยม เนื่องจากได้มอบ ชุดความคิดที่สร้างแรงจูงใจให้คนท างานสอดคล้องไปกับหลักการของทุนนิยม นั่นคือความเชื่อของศาสนาคริสต์ลัทธิคาลวิน (Calvinism) หรือที่เรียกว่าลัทธิพิวริตัน (Puritan) ในสหราชอาณาจักร ที่เชื่อว่าการใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ มุ่งมั่นขยัน มีวินัยใน การท างานอย่างเคร่งครัดเป็นคุณธรรมที่ควรยึดถือ แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าความเชื่อแบบลัทธิคาลวินก่อให้เกิดทุนนิยม แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าผู้นับถือลัทธิดังกล่าวที่อยู่ในยุโรปและอพยพไปยังทวีปอเมริกาเหนือมีส่วนอย่างยิ่งที่ท าให้ระบบทุน นิยมเติบโตและด ารงอยู่จากคุณลักษณะการท างานนี้ (Fulcher, 2004, p. 78) ลัทธิคาลวินปฏิเสธนักบวชซึ่งเป็นโครงสร้างของชนชั้นไปสู่การเข้าถึงพระเจ้า โดยถือว่ามนุษย์สามารถติดต่อกับพระ เจ้าโดยตรงได้ และเห็นว่าการเชื่อว่าพระเจ้ามีอ านาจสูงสุดในการก าหนดสรรพสิ่ง จะท าให้มนุษย์และธรรมชาติอยู่ในสถานะ ไร้ซึ่งพลังอ านาจ มนุษย์จะอ่อนแอ ไม่สามารถรักษาระเบียบทางสังคมได้ ซึ่งภาวะการขาดระเบียบทางสังคม จะน ามาสู่บาป


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 54 และความชั่วร้าย ดังนั้นการเชื่อว่ามนุษย์มีพลังอ านาจจึงมีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสังคมให้ไกลห่างต่อบาป บุคคล สามารถต่อสู้กับความชั่วร้ายได้โดยไม่ต้องรอก าหนดจากพระเจ้า โดยจะสื่อสารกับพระเจ้าได้จากการอ่านค าสอนจากคัมภีร์ โดยตรง ดังนี้ลัทธิคาลวินจึงให้การสนับสนุนการศึกษาและการอ่านออกเขียนได้อย่างกว้างขวาง (ปรานี วงษ์เทศ, 2543, น. 52-54) การอ่านออกเขียนได้น ามาสู่การพัฒนาความรู้และทักษะที่หลากหลาย ผู้นับถือลัทธิคาลวินออกเผยแพร่ภารกิจทาง ศาสนาไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ผ่านการสอนภาษา การรักษาพยาบาล น าวิทยาการความรู้ ความเจริญทางวัตถุและปัญญา ไปให้แก่ผู้ที่ถูกนิยามว่าด้อยความเจริญกว่า ศาสนาคริสต์เข้ามาทดแทนการนับถือผีในบางพื้นที่ วัฒนธรรมดั้งเดิมบางอย่าง เลือนหายไป ด้วยการครอบง าจากวัฒนธรรมใหม่ ความเชื่อใหม่ แม้วิธีการเช่นนี้จะมีลักษณะเป็นจักรรดินิยมทางวัฒนธรรม (Cultural Imperialism) ซึ่งเป็นการกดขี่ครอบง ารูปแบบหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่านิยมศาสนาที่ให้บุคคลแสวงหาความรู้ มีความพยายามในการท างานอย่างอดทนเข้มงวดนี้จะน ามาซึ่งความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบทุนนิยม ซึ่งเป็นกระแสหลักในโลกยุคปัจจุบันที่วัดคุณค่าของคนด้วยความสามารถในการมีผลิตภาพ คนที่ขยันกว่า เก่งกว่า พยายามกว่า จึงได้รับการยอมรับความชอบธรรมที่จะได้โอกาสที่มากกว่าจากความพยายามและความสามารถ โดยละเลยถึงข้อจ ากัดของ คนบางกลุ่มที่ไม่สามารถแข่งขันในเงื่อนไขแบบเดียวกับคนทั่วไปได้ เช่น คนพิการ คนชรา เด็ก เป็นต้น เมื่อความเชื่อมีอิทธิพลต่อสังคมวัฒนธรรมที่หล่อหลอมขัดเกลาบุคคลดังนี้ การด าเนินชีวิตให้สอดคล้องกับค่านิยม ได้แก่ ความขยัน ความเพียร ความซื่อสัตย์ การสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อผู้อื่น การประหยัด ฯลฯ จึงเป็นคุณธรรมที่มนุษย์ยึดถือ ว่าเป็นความดี และเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนเพื่อตอบสนองต่อความเชื่อ คุณค่า และค่านิยมนั้น การสร้างแรงจูงใจในการสนับสนุนให้บุคคลเข้าสู่งาน จากการรวบรวมข้อมูลเพื่อค้นหาเหตุผลที่ผลักดันให้มนุษย์ท างานท าให้พบว่าแม้มนุษย์ในโลกทุนนิยมอย่างปัจจุบัน จะมีความจ าเป็นทางด้านเศรษฐกิจให้ต้องอยู่ในระบบงาน เพื่อใช้ก าลังแรงกายและทักษะความสามารถแลกค่าแรงรายได้ น ามาซื้อสินค้าและบริการในการด ารงชีพ เป็นวัฏจักรที่ไม่สามารถยุติได้ เพราะเมื่อใดที่ไม่มีรายได้ก็จะไม่สามารถแสวงหา สิ่งจ าเป็นมาครอบครองเพื่อใช้ด ารงชีพได้ แต่สิ่งที่มีพลังในการผลักดันมนุษย์เข้าสู่การท างานมากกว่ารายได้นั้น กลับเป็น ความต้องการตามสัญชาติญาณธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการการยอมรับตนเอง ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น และการท าสิ่งใดๆ เพื่อตอบสนองต่อศักยภาพที่มีและความต้องการหรือความเชื่อ ตลอดจนค่านิยมของสังคมที่ตนเองเป็นสมาชิก ซึ่งถือเป็น แรงผลักดันในมิติคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนมีความต้องการที่จะรับรู้ว่าตนเองมีความสามารถ มีศักยภาพ และพึ่งพาตนเองได้ไม่ต่างกันกับผู้อื่น ซึ่งการท างานนั้นจะเป็นเครื่องมือส าคัญที่จะสามารถใช้รับรองคุณค่าดังกล่าว ที่มนุษย์ต้องการอย่างที่สุดได้ ดังนั้นในแง่นโยบายสังคมที่ส่งเสริมให้บุคคลเข้าท างาน จึงควรอย่างยิ่งที่จะค านึงถึงความต้องการของมนุษย์ในมิติ คุณค่าความเป็นมนุษย์เช่นนี้ด้วย เพราะหากนโยบายส่งเสริมการจ้างงานมุ่งส่งเสริมไปที่มิติเศรษฐกิจ อาทิ การเพิ่มค่าจ้างแรงงาน การเพิ่มสวัสดิการแรงงาน ฯลฯ แต่เพียงเท่านั้น โดยขาดการค านึงถึงประเด็นความต้องการการยอมรับศักยภาพ การได้รับ การยอมรับจากสังคม ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ฯลฯ ซึ่งเป็นเหตุผลเชิงจิตวิทยา อาจส่งผลให้ไม่สามารถจูงใจคน บางกลุ่มเข้าสู่ระบบงานอย่างที่ควรจะเป็นได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมิได้มีเจตนาน าเสนอว่าการส่งเสริมการจ้างงานด้วยการใช้มิติเศรษฐกิจน า อย่างการเพิ่มค่าจ้าง เพิ่มสวัสดิการ ฯลฯ นั้นไม่ควรท า เพราะการมีรายได้ยังเป็นเหตุผลส าคัญที่ผลักดันให้มนุษย์ท างานเพื่อการด ารงชีพ และ ประเด็นรายได้ที่สมเหตุสมผลกับการท างานแต่ละประเภทยังเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ควรมีการศึกษาต่อไป แต่ผู้เขียนต้องการ เสนอว่าหากมีการน ามิติคุณค่าของมนุษย์มาใช้เป็นแรงผลักดันหรือเป็นกลยุทธ์เบื้องหลังของนโยบายส่งเสริมการจ้างงานจะ เป็นการดีที่จะจูงใจให้บุคคลเข้าสู่การท างานมากยิ่งขึ้นเพราะมิตินี้สัมพันธ์โดยตรงต่อสัญชาติญาณของมนุษย์ ดังนี้จึงขอเสนอ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 55 ให้มีการสนับสนุนการจัดท านโยบายส่งเสริมการจ้างงานโดยใช้กลยุทธ์ทางมิติเศรษฐกิจควบคู่ไปกับมิติคุณค่าของมนุษย์เพื่อ จูงใจให้การจ้างงานอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น บทสรุป บทความนี้น าเสนอค าตอบของค าถามที่เรียบง่ายแต่มีค าตอบได้หลากหลาย เช่นค าถามที่ว่าเพราะอะไรมนุษย์จึงต้อง ท างาน ผู้เขียนใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารแล้วน ามาวิเคราะห์เรียบเรียง เพื่อน าเสนอข้อมูลการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนส าคัญที่ท าให้ความหมายและการท างานในรูปแบบการผลิตดั้งเดิมเปลี่ยนไปสู่ระบบอุตสาหกรรม ซึ่งเปลี่ยนแปลงการด าเนินชีวิตและทัศนคติของผู้คนในโลกโดยสิ้นเชิงมาจนถึงปัจจุบัน และอธิบายถึงเหตุผลที่ผลักดันและ ดึงดูดให้มนุษย์ท างาน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตนเองใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ เหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ และ ซึ่งแม้จะเป็นค าตอบที่สามารถคาดเดาได้แต่แรก แต่การสืบค้นได้สะท้อนให้เห็นความส าคัญในประเด็นนี้ซ้ าอีกครั้ง เหตุผล ทางด้านคุณค่าความเป็นมนุษย์ ซึ่งดูจะเป็นแรงจูงใจหลักที่มีพลังดึงดูดให้บุคคลเข้าสู่การท างาน ทั้งนี้ ในประเด็นเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจนั้น การท างานกับรายได้อยู่ควบคู่กันเสมอ และเป็นความจ าเป็นอย่างยิ่งที่ บุคคลต้องมีรายได้ หรือสะสมทุนเพื่อเลี้ยงชีพ อย่างไรก็ตามในมุมหนึ่งงานยังเป็นการสร้างช่องทางให้บุคคลสามารถเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการที่จะช่วยคุ้มครองจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตด้วย ส าหรับในประเด็นเหตุผลทางด้านคุณค่าความเป็นมนุษย์ พบว่าเป็นเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับมิติจิตวิทยาว่าด้วย ความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง และผูกพันกับมิติทางสังคมในฐานะที่แต่ละบุคคลเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องพึ่งพา กันและกันในสังคม ซึ่งแนวทางปฏิบัติลักษณะนี้ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลความเชื่อ ค่านิยม คุณค่าในบริบทสังคมที่แวดล้อมด้วย มนุษย์มีความต้องการการยอมรับเป็นพื้นฐาน ทั้งการยอมรับตนเอง ภาคภูมิใจในตนเอง และการยอมรับนับถือจากกลุ่มสังคมที่ ตนเป็นสมาชิก งานจึงเป็นเครื่องมือส าคัญในการพิสูจน์ความสามารถของบุคคล การจ้างงานถือเป็นการรับรองว่าบุคคลนั้นมี ศักยภาพ มีคุณค่า พึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระใคร ซึ่งจะน ามาสู่การยอมรับนับถือข้างต้นซึ่งเป็นความต้องการของมนุษย์ และ เป็นแรงจูงใจส าคัญให้มนุษย์เข้าสู่การท างาน เอกสารอ้างอิง กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์. (2563). การคุ้มครองทางสังคม: มาตรการของรัฐบาลไทยในการสนองตอบวิกฤติการณ์โควิด-19. วารสารธรรมศาสตร์. 40(1), 10-58. ปรานี วงษ์เทศ. (2543). สังคมและวัฒนธรรมในอุษาคเนย์. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์นาตาแฮก. พูนศักดิ์ กมล. (2562). คุณค่ามนุษย์แบบอัตวิสัยในมหาสติปัฏฐานสูตร. วารสารพุทธมัคค์ ศูนย์วิจัยธรรมศึกษาส านักเรียน วัดอาวุธวิกสิตารม, 4(2), 31-36. ไพโรจน์ คงทวีศักดิ์. (2560). โลกาภิวัตน์. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะสังคมศาสตร์, ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการ. ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554. (2554). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. สืบค้นจาก. https://dictionary.orst.go.th/ สุนัย ครองยุทธ .(2520). คาร์ล ปอปเปอร์ กับการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเจตจ านงเสรีกับลัทธิเหตุวิสัย. ปริญญานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลั, คณะอักษรศาสตร์. สุรพล ปธานวนิช. (2543). แนวคิดและปรากฎการณ์ด้านแรงงาน. กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริคแอร์แบร์ท. วารุณี ภูริสินสิทธิ์. (2555). ความเป็นเพศ. สืบค้นจาก https://www.artbangkok.com/?p=6280 Encyclopaedia, Britannica. (2023). How did the Industrial Revolution change society. Retrieved from https://www.britannica.com/question/How-did-the-Industrial-Revolution-change-society


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 56 Fulcher, J. (2554). ทุนนิยมความรู้ฉบับพกพา [Capitalism]. (ปกรณ์ เลิศเสถียรชัย, แปล). กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์ Openworlds. Kendra, C. (2022). Erikson’s Stages of Development A Closer Look at the Eight Psychosocial Stages. Retrieved from https://www.verywellmind.com/erik-eriksons-stages-of-psychosocial-development2795740#toc-stage-5-identity-vs-confusion Mclaughlan, S. (2022). Karl Marx in 5 Important Works. Retrieved December 8, 2023, from https://www. thecollector.com/karl-marx-five-key-works-philosophy/ Spicker, P. (2000). The Welfare State: a general theory. Sage Publications. Urbinner. (2021). Maslow’s Hierarchy of Needs. Retrieved from https://www.urbinner.com/post/maslowhierarchy-of-needs


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 57 พื้นฐานจริยศาสตร์ความเป็นธรรมทางสังคมเชิงทฤษฎีในนโยบายสังคมของ John Rawls และ Robert Nozick1 Theoretical foundations of social justice ethics in social policy of John Rawls and Robert Nozick. สุขุมา อรุณจิต2 Sulkhuma Aroonjit3 Abstract Transforming Social Work Social policy and Social welfare. It is necessary to understand the philosophy, basic concepts, in order to see the direction of social work and welfare that leads to the goal of social justice. The purpose of the article is to examine, evaluate, and contrast the theories of justice advanced by John Rawls and Robert Nozick. It portrays Nozick's concepts as a representation of the neoliberal idea and Rawls's concepts as a social democratic idea representative. By studying methods from relevant documents Two principles are represented by Rawls's concept of f justice: 1) The Equal Liberty Principle, 1) The Principle of Equal Liberty, which is providing equal basic freedoms to everyone. 2) The Difference Principle, benefiting The Least Advantaged. According to Rawls' ethical beliefs, society will find solutions to inequality by helping those who are economically disadvantaged in society. Two principles are outlined in Nozick's concept: 1) justice in initial holding, that is, resources must be acquired fairly; 2) justice in transfer, which occurs through willingness. According to Nozick's code of ethics, the distribution of assets for charity or any other benefit is made voluntarily. Not being influenced by the government. Keyword: Justice, John Rawls, Robert Nozick 1 บทความเรื่องนี้ได้รับการพิจารณาให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาโดยกองบรรณาธิการ Journal of Social Policy, Social Change and Development 2 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจ าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 3 Associate Professor Dr., Lecturer in Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 58 บทคัดย่อ การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์ สวัสดิการสังคมและนโยบายสังคม จ าเป็นต้องท าความเข้าใจปรัชญา แนวคิด พื้นฐาน เพื่อให้เห็นทิศทางของงานด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการที่น าไปสู่เป้าหมายความเป็นธรรมทางสังคม บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดความยุติธรรมของ John Rawls และ Robert Nozick วิเคราะห์เปรียบเทียบแนวคิดทั้งสอง โดยน าเสนอแนวคิดของ Rawls เปรียบเป็นตัวแทนของกลุ่มแนวคิดสังคมประชาธิปไตย และแนวคิดของ Nozick เปรียบเป็น ตัวแทนของกลุ่มแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ด้วยวิธีการศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง แนวคิดความเป็นธรรมของ Rawls แสดงถึง หลักการ 2 ประการ ได้แก่ 1) หลักแห่งความเท่าเทียมกันของเสรีภาพ คือ การให้เสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เท่าเทียมแก่ทุกคน 2) หลักการของความแตกต่าง การเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มคนผู้ด้อยโอกาสที่สุดในสังคม หลักจริยธรรมของ Rawls เชื่อว่า สังคม จะแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมได้ ต้องเอื้อผลประโยชน์แก่ผู้ที่เสียเปรียบทางด้านเศรษฐกิจในสังคม แนวคิดของ Nozick แสดง หลักการ 2 ประการ ได้แก่1) ความยุติธรรมในการถือครองครั้งแรก คือ ทรัพยากรนั้นต้องได้มาโดยชอบธรรม 2) ความยุติธรรมใน การโอนย้าย เกิดขึ้นจากความเต็มใจ ตามหลักจริยธรรมของ Nozick การแจกจ่ายทรัพย์สินเพื่อบุญกุศลหรือเพื่อประโยชน์ใดๆ จะเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจ ไม่ถูกแทรกแซงโดยรัฐ ส าหรับประเด็นความคล้ายคลึงกันของทั้งสองแนวคิดนี้ คือ ประเด็น หลักการส าคัญที่สุดในการรักษาเสรีภาพของทุกคน ความไม่เห็นด้วยกับแนวคิดอรรถประโยชน์นิยม และความตระหนักใน คุณสมบัติของทฤษฎี ส่วนประเด็นความแตกต่างของแนวคิด ประกอบด้วย ประเด็นนัยยะของความเป็นธรรม จุดเน้นของ หลักการ บทบาทของรัฐ การกระจายทรัพยากร กลไกสร้างความเป็นธรรม ทัศนะต่อสวัสดิการสังคม สิทธิในทรัพย์สิน สิ่งที่ มุ่งเน้นให้ความส าคัญและผลลัพธ์ของความเป็นธรรม เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดเบื้องหลังพื้นฐาน จริยศาสตร์นโยบาย สังคมบนฐานอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ค าส าคัญ: ความเป็นธรรม, จอห์น รอลล์, โรเบิร์ต โนซิค


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 59 กระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การใช้ชีวิตในสังคม: กรณีศึกษาเยาวชนใน มูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ Preparation Processes for Youth before Returning to Their Society: A case study of SOS Children's Villages Thailand พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์1 Patcha Jeungklinchan2 Abstract This research aimed to study the preparation process for youth in the foundation’s care prior to their social integration and study familial and personnel roles in direct contact with the youth for the preparation process. This research was conducted with the qualitative research method and in- depth interview of 31 participants from 5 different children’s villages. The research participants were divided into 3 categories: (1) Staff working on social integration and preparation for youth before returning to society, (2) children and youth caregivers, and (3) youth over 18 years old who was in former care of SOS.The study noted four processes of youth integration into the society which were (1) children and youth assessment with SOS families (2) comprehensive youth preparation (3) youth’s living experiment (4) post social integration monitoring and support by families or staff in their direct care. In the interdisciplinary aspects, there are six roles involved: solution, communication, preparation, emotional response, emotional bond, and behavior control. This research suggests that youth’s social skill should be supported for their self-control, determination to achieve, and problem-solving skills. For the physical and mental health issues in youth, there should be a professional assessment to prepare them and should be a group counseling, empowerment group, or family networking for social monitoring and supporting to youth, and a permission for social integration with flexibility and case-by-case adjustment. Keywords: Social integration preparation process for social integration, SOS Children's Villages Thailand, Youth บทคัดย่อ งานศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิโสสะฯ ก่อนออกสู่สังคม และศึกษาบทบาทครอบครัวและผู้ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชนด้านการเตรียมความพร้อม โดยใช้ระเบียบวิธี วิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มบุคลากร ผู้ให้การสนับสนุนเยาวชนในการเตรียมความพร้อมออกสู่สังคม 2. กลุ่มผู้ดูแลเด็กและเยาวชนโดยตรง และ 3. เยาวชนที่เคยอยู่ ในการดูแลของมูลนิธิโสสะฯ อายุ 18 ปีขึ้นไปที่ออกสู่สังคมแล้ว จาก 5 หมู่บ้าน รวมทั้งสิ้น 31 คน ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคม ประกอบด้วย 1. การประเมินเด็กและเยาวชนร่วมกับครอบครัว โสสะฯ 2. การเตรียมความพร้อมเยาวชนอย่างรอบด้าน 3. การสนับสนุนให้เยาวชนได้ทดลองการใช้ชีวิต 4. การติดตามและ 1 อาจารย์ ดร., อาจารย์ประจ าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 2 Dr., Lecturer in Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 60 สนับสนุนเยาวชนหลังออกสู่สังคม โดยครอบครัวหรือผู้ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชนในฐานะสหวิชาชีพมีบทบาท 6 ด้าน ได้แก่ บทบาทในการแก้ปัญหา บทบาทในการสื่อสาร บทบาทในการเตรียมความพร้อม บทบาทในการตอบสนองต่ออารมณ์ บทบาท ด้านความผูกพันทางอารมณ์ และบทบาทในการควบคุมพฤติกรรมงานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะ คือ ควรส่งเสริมทักษะทางสังคมให้ เยาวชนสามารถควบคุมตนเอง มุ่งมั่นที่จะประสบความส าเร็จ และมีความสามารถในการแก้ปัญหา ในกรณีที่เยาวชนมีปัญหา สุขภาพกายและจิตควรมีการประเมินโดยวิชาชีพที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และควรใช้กระบวนการกลุ่มให้การปรึกษา กลุ่มเสริม พลังอ านาจในการเตรียมความพร้อม และใช้เครือข่ายครอบครัวในการติดตามและสนับสนุนทางสังคมแก่เยาวชน และ ควรพิจารณาให้การสนับสนุนเยาวชนหลังออกสู่สังคมเป็นรายกรณีและมีความยืดหยุ่น ค าส าคัญ: กระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนออกสู่สังคม, บทบาทครอบครัว, มูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชินูปถัมภ์, เยาวชน ค าน า ปัจจุบันครอบครัวไทยประสบปัญหาซับซ้อนจนท าให้บางครอบครัวไม่สามารถดูแลสมาชิก โดยข้อมูลจากโครงการวิจัย การวิเคราะห์สถานการณ์สิทธิเด็กในประเทศไทย กรณีศึกษาเด็กที่สูญเสียการดูแลและเด็กที่เสี่ยงต่อการสูญเสียการดูแล จากพ่อแม่/ผู้ปกครอง ปี 2561 พบว่า มีเด็กสูญเสียการดูแลจากผู้ปกครองหรือก าพร้าที่ไม่ได้อยู่กับพ่อหรือแม่ จ านวน 368,798 คน (ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์ และคณะ, 2561) นอกจากนี้ ยังพบว่าปัญหาครอบครัวท าให้เด็กจ านวนหนี่งได้รับ การดูแลไม่เหมาะสมหรือใช้ความรุนแรงในครอบครัว โดยข้อมูลจากกรมกิจการเด็กและเยาวชนระหว่างปี 2556-2563 พบว่า มีเด็กและเยาชนถูกกระท าความรุนแรงในครอบครัวทั้งหมด 1,950 ราย เป็นความรุนแรงทางร่างกายมากที่สุด 1,098 ราย รองลงมาเป็นความรุนแรงทางเพศ 756 ราย และความรุนแรงทางด้านจิตใจ 105 ราย (กรมกิจการเด็กและเยาวชน, 2563) และแม้ว่าปี 2563 จะมีสถิติเด็กถูกกระท าความรุนแรงในครอบครัวลดลงร้อยละ 15 แต่ข้อมูลดังกล่าวมาจากเด็กและเยาวชน ที่เข้าสู่ระบบการช่วยเหลือเท่านั้น เช่นเดียวกับกรณีเด็กเร่ร่อนและถูกทอดทิ้งในปี 2563 พบว่า มีเด็กเร่ร่อนและถูกทอดทิ้งรวม 2,828 ราย แยกเป็นเด็กเร่ร่อน 213 ราย และเด็กถูกทอดทิ้ง 2,615 ราย ทั้งเด็กที่ถูกกระท าความรุนแรง เด็กเร่ร่อนและ ถูกทอดทิ้งจ าเป็นต้องได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 (ส านักนโยบายการศึกษาขั้นพื้นฐาน , 2563) จากสถานการณ์ครอบครัวที่มีความเปราะบางและส่งผลต่อการดูแลสมาชิกที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นท าให้ทั้ง ภาครัฐและเอกชนต้องระดมสรรพก าลังในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยกองคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมกิจการ เด็กและเยาวชนจะท าบทบาทในการสงเคราะห์และคุ้มครองเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และจัดให้มี การลี้ยงดูทดแทน เช่นเดียวกับสถานสงเคราะห์เด็กของเอกชนที่ให้การอุปการะเด็กในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน (กรมกิจการเด็ก และเยาวชน, 2560) โดยปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กอยู่ในสถานรองรับทั่วประเทศกว่า 120,000 คน เป็นสถานรองรับเด็กของ กรมกิจการเด็กและเยาวชน จ านวน 109 แห่ง มีเด็กที่อยู่ในความดูแลเฉลี่ยจ านวน 6,000 คนต่อปี นอกจากนี้ ยังมีบริการ สถานรองรับเอกชน จ านวนกว่า 679 แห่ง มีเด็กในการดูแลกว่า 58,000 คน (มหาวิทยาลัยมหิดล, 2566) โดยการเลี้ยงดู ทดแทนส าหรับเด็กต้องเป็นไปตามแนวปฏิบัติแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเลี้ยงดูทดแทน (United Nations Guidelines for the Alternative Care of Children) เพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์สูงสุด และการเลี้ยงดูทดแทนส าหรับเด็กต้องมีสภาพแวดล้อม ใกล้เคียงครอบครัวมากที่สุด ซึ่งมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ที่ด าเนินการช่วยเด็กที่สูญเสียการดูแล จากผู้ปกครองให้สามารถเติบโตในสถานสงเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นบ้านที่มีสมาชิกคละเพศ คละวัยอยู่รวมกัน 7-10 คน มีแม่ 1 คน คอยดูแล โดยไม่มีการผลัดเปลี่ยนเวรรายวันเหมือนในสถานรองรับของรัฐ บรรยากาศของหมู่บ้านเด็กโสสะจึงมี ความเป็นครอบครัวที่เด็กและเยาวชนจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขจนถึงวัยที่ต้องออกสู่สังคมเพื่อรับผิดชอบชีวิต ตนเอง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 61 แม้ว่าสถานสงเคราะห์นั้นจะมีลักษณะเหมือนบ้านและมีความเป็นครอบครัวที่ท าให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ใน ความดูแลรู้สึกผูกพันและอบอุ่น แต่เด็กและเยาวชนที่เข้ามาอยู่ในความอุปการะของมูลนิธิโสสะฯ ส่วนใหญ่สูญเสียการดูแล จากผู้ปกครองตั้งแต่เด็ก หลังจากออกจากมูลนิธิฯ ไป เยาวชนต้องรับผิดชอบตนเองในทุกด้าน ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความผันผวนสูง ซึ่งหากพิจารณาจากวงจรชีวิตมนุษย์จะพบว่า เยาวชนในมูลนิธิโสสะฯ ต้องออกสู่สังคมในอายุ 18 ปี หรือหากศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีจะต้องออกสู่สังคมหลังส าเร็จ การศึกษา อายุ 22-23 ปี เทียบได้กับระยะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ (Single Young Adult) ซึ่งเป็นระยะที่ต้องแยกตัวออกจาก ครอบครัว เยาวชนจึงต้องมีวุฒิภาวะมากพอที่จะดูแลตนเอง มีความรับผิดชอบในการสร้างฐานะ สร้างความสัมพันธ์ ซึ่งอาจน าไปสู่การสร้างครอบครัวใหม่ ซึ่งท าให้เยาวชนเกิดความกดดันหรือความเครียด และอาจรู้สึกโดดเดี่ยวหากต้องใช้ชีวิต เพียงล าพัง ไม่มีครอบครัวที่แท้จริงคอยสนับสนุน เพราะฉะนั้น กระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การใช้ชีวิตในสังคม จึงมีความส าคัญยิ่ง และต้องอาศัยความร่วมมือจากครอบครัวโสสะฯ ร่วมทั้งผู้ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชนในฐานะสหวิชาชีพใน มูลนิธิฯ ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงศึกษากระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การใช้ชีวิตในสังคม: กรณีศึก ษาเยาวชนใน มูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลการศึกษาวิจัยในครั้งนี้จะน าไปสู่ การพัฒนาแนวทางการเตรียมความพร้อมเยาวชนให้ตรงกับความต้องการของเยาวชน และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน มากขึ้น วัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อศึกษากระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชินูปถัมภ์ก่อนออกสู่สังคม และบทบาทครอบครัวรวมทั้งผู้ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชนในกระบวนการเตรียมความพร้อม เยาวชนออกสู่สังคม นิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการ กระบวนการเตรียมความพร้อม หมายถึง หลักการ ขั้นตอน และวิธีการในการเตรียมตัวเยาวชนในมูลนิธิโสสะแห่ง ประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพราะมูลนิธิโสสะฯ ก่อนที่จะกลับไปใช้ชีวิตในสังคม โดยการเตรียมความพร้อมจะ ครอบคลุมองค์ประกอบทั้ง 4 ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ และด้านสิ่งแวดล้อม เยาวชน หมายถึง เยาวชน อายุ 18 ปีขึ้นไป ทั้ง 5 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านบางปู หาดใหญ่ หนองคาย เชียงราย และ ภูเก็ต ในมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ บทบาทครอบครัว หมายถึง การท าบทบาทของครอบครัวของเด็กและเยาวชนในในมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้านการแก้ปัญหา ด้านการสื่อสาร ด้านบทบาท ด้านการตอบสนองต่ออารมณ์ ด้านความผูกพันทาง อารมณ์ และด้านการควบคุมพฤติกรรม โดยมีแม่, ผู้อ านวยการหรือรองผู้อ านวยการ, นักสังคมสงเคราะห์, เจ้าหน้าที่การศึกษา และเจ้าหน้าที่บ้านเยาวชนชาย เพื่อเตรียมความพร้อมเยาวชนในมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ก่อนที่ จะกลับไปใช้ชีวิตในสังคม ขอบเขตการศึกษา ขอบเขตเนื้อหา คือ การศึกษากระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมใน 4 ด้าน คือ ด้านจิตใจ ด้านอารมณ์และสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านสติปัญญา


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 62 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1: กลุ่มผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ให้ การสนับสนุนเยาวชนในการเตรียมความพร้อมออกสู่สังคม ได้แก่ ผู้อ านวยการหรือรองผู้อ านวยการ, นักสังคมสงเคราะห์, เจ้าหน้าที่การศึกษา และเจ้าหน้าที่บ้านเยาวชนชาย ของมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กลุ่มที่ 2: กลุ่ม ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่เป็นผู้ดูแลเด็กและเยาวชนโดยตรง คือ แม่ ของมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และ กลุ่มที่ 3: เยาวชนที่อยู่ในการดูแลของของมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ อายุ 18 ปีขึ้นไปที่ออกสู่ สังคมแล้ว แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็นหลักการส าคัญที่น าไปสู่การปฏิบัติต่อเด็กอย่างเป็นสากล เพราะสิทธิเด็กไม่อาจละเมิด ได้ เด็กที่อยู่ในความดูแลของครอบครัว หรือสถานรองรับของรัฐและเอกชนย่อมมีสิทธิดังกล่าวนี้ไม่ต่างกัน แนวคิดสิทธิเด็ก จึงแนวคิดและหลักการส าคัญที่น าไปสู่กฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติต่อเด็ก ทั้งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และแนวปฏิบัติด้านการเลี้ยงดูทดแทนส าหรับเด็ก ของสหประชาชาติที่มีหลักการส าคัญคือ เด็กทุกคนควรเติบโตในบรรยากาศ ของความเป็นครอบครัว และต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง หากเด็กไม่สามารถอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงได้ อันเนื่องมาจาก การขาดการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ (Children without parental care) ไม่มีผู้เลี้ยงดู (Unaccompanied) หรือถูกแยกจากผู้ปกครอง (Separated) เด็กต้องได้รับการเลี้ยงดูทดแทน ซึ่งการเลี้ยงดูทดแทนที่เหมาะสมกับเด็กมากที่สุดอยู่ในรูปแบบของครอบครัว ทดแทน แต่การจัดบริการครอบครัวทดแทนให้กับเด็กนั้นมีหลายรูปแบบ ก่อนที่เด็กจะเข้าสู่การดูแลจากครอบครัวทดแทน ต้องผ่านกระบวนการและกลไกในการคัดกรองเด็ก เพื่อป้องกันการพรากเด็กออกจากครอบครัวโดยไม่จ าเป็น (Gatekeeping) เสียก่อน (องค์การสหประชาติ, 2558 และ กรมกิจการเด็กและเยาวชน, 2565) ส าหรับมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้จัดบริการเลี้ยงดูทดแทนให้กับเด็ก โดยยึดประโยชน์ สูงสุดของเด็กเป็นส าคัญ และพร้อมสนับสนุนให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูแบบครอบครัว ทางมูลนิธิฯ จึงให้ความช่วยเหลือเด็ก ที่สูญเสียการดูแลจากผู้ปกครอง ในรูปแบบของการเลี้ยงดูทดแทนถาวรในหมู่บ้านเด็ก ซึ่งน ารูปแบบดังกล่าวมาจาก ดร. เฮอร์มานน์ ชาไมเนอร์ (Dr. Hermann Gmeiner) ชาวออสเตรีย ผู้ก่อตั้งองค์กรหมู่บ้านเด็ก เอส โอ เอส สากล (SOS Children’s Village International) โดยมีวิสัยทัศน์ คือ “เด็กทุกคนควรเติบโตในครอบครัวซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความรัก การให้ เกียรติซึ่งกันและกัน และความมั่นคงปลอดภัย” ปัจจุบัน หมู่บ้านเด็กโสสะในประเทศไทยถูกจัดตั้ง 5 แห่ง 5 ภาค และมีเด็กอยู่ ในการดูแล 692 คน โดยมูลนิธิฯ ให้การดูแลเด็กในทุกๆ ด้าน และมีการบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคม เพื่อให้เยาวชนสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข และสามารถพึ่งตนเองได้ (มูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทยฯ, 2565) การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ มุ่งศึกษากระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิโสสะแห่งประเทศ ไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ก่อนออกสู่สังคม โดยใช้แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเตรียมความพร้อมที่ครอบคลุมองค์ประกอบ ทั้ง 4 โดยสรุปจากวรรษมน ลูกบัว (2554) และ ได้แก่ ด้านร่างกาย (Physical Factors) ด้านสติปัญญา (Intellectual Factors) ด้านอารมณ์ แรงจูงใจ และบุคลิกภาพ (Emotion Factors and Motivation Personality Factors) และด้าน สิ่งแวดล้อม (Environmental Factors) ซึ่งกระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนฯ จ าเป็นต้องมีบทบาทครอบครัว และ ผู้ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชน ซึ่งเปรียบเสมือนสหวิชาชีพ ในการประเมินและวางแผน เตรียมความพร้อม และติดตามให้ การสนับสนุน จึงมีการใช้แนวคิดบทบาท การปฏิบัติหน้าที่ชองครอบครัว Mc Master Model of Family Functioning (MMFF) ของ แอพเสตน และคณะ (กรมสุขภาพจิต, 2542, อ้างถึงใน สตางค์ ศุภผล, ม.ป.ป.; Suzette René Lenders, 2015) ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการแก้ปัญหา (Problem Solving) ด้านการสื่อสาร (Communication) ด้านบทบาท (Role) ด้านการตอบสนองต่ออารมณ์ (Affective Responsiveness) ด้านความผูกพันทางอารมณ์ (Affective Involvement) และด้านการควบคุมพฤติกรรม (Behavior Control) และใช้แนวคิดการท างานแบบสหวิชาชีพเพื่อศึกษา


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 63 บทบาทของผู้ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชนด้านการเตรียมความพร้อมก่อนออกสู่สังคม โดยครอบครัวและผู้ปฏิบัติงานตรงกับ เยาวชนในการศึกษาในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ดูแลเด็กหรือแม่ ผู้อ านวยการหรือรองผู้อ านวยการ นักสังคมสงเคราะห์เจ้าหน้าที่ การศึกษา และเจ้าหน้าที่บ้านเยาวชนชาย ส่วนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยเรื่องที่เกี่ยวกับกระบวนการเตรียมความพร้อม และบทบาทของทีมสหวิชาชีพ ในงานวิจัยเรื่อง กระบวนการเตรียมความพร้อมเด็กก่อนกลับคืนสู่ครอบครัว ของสถานพัฒนา และฟื้นฟูเด็กจังหวัดชลบุรี ของ พนิตพร เลิศไกร (2558) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการเตรียมความพร้อมของเด็กกลับ สู่ครอบครัวของสถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็กจังหวัดชลบุรี ศึกษาแนวทางการปฏิบัติงานของทีมสหวิชาชีพ และศึกษาการมี ส่วนร่วมของเด็กและครอบครัวในกระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนกลับสู่ครอบครัว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า กระบวนการในเตรียมความพร้อมเด็ก มีดังต่อไปนี้ 1) การติดตามครอบครัวเด็ก 2) การคัดเลือกเด็กเข้าบ้าน เตรียมความพร้อม 3) การประชุมเด็กก่อนเข้าบ้านเตรียม 4) การทดลองฝึกบิน 5) การทดลองกลับเยี่ยมบ้าน 6) การประชุม ทีมสหวิชาชีพ 7) การเตรียมส่งเด็กกลับสู่ครอบครัว 8) ส่งเด็กกลับสู่ครอบครัว 9) การติดตามหลังกลับสู่ครอบครัว และ งานวิจัยเรื่อง การพัฒนากระบวนการเตรียมความพร้อมผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ก่อนการส่งกลับและคืนสู่สังคม ของ สัตตบงกช รัตนคช (2560) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากระบวนการเตรียมความพร้อมผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ก่อน การส่งกลับและคืนสู่สังคม ศึกษาปัญหาและอุปสรรค รวมถึงการหาแนวทางพัฒนากระบวนการเตรียมความพร้อม ซึ่งใช้วิธี วิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาหน่วยงาน จ านวน 3 แห่ง ประกอบด้วย สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จังหวัด ปทุมธานี สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จังหวัดนนทบุรี (บ้านเกร็ดตระการ) และสถานแรกรับเด็กชาย ปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี (บ้านภูมิเวท) โดยผลการศึกษา พบว่า บทบาทหน้าที่ของหน่วยงานคือให้บริการคุ้มครองผู้เสียหาย จากการค้ามนุษย์ มีขั้นตอนเบื้องต้น การปฐมนิเทศผู้เสียหายให้ทราบข้อมูลบริการเบื้องต้น การสัมภาษณ์เพื่อหาข้อเท็จจริงใน การน าไปจัดท าประวัติ วิเคราะห์ปัญหาและน าไปสู่การวางแผนให้ความช่วยเหลือ การตรวจสุขภาพกาย จิต สังคม สติปัญญา การให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางคดี การเตรียมพร้อมก่อนส่งกลับและการเตรียมพร้อม กลับคืนสู่สังคม ส่วนบทบาทของครอบครัวในการเตรียมความพร้อม ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยเรื่อง บทบาทของผู้ปกครองใน การเสริมสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาที่ราบรื่นจากบ้านสู่โรงเรียนอนุบาล โดย สิริธิดา ชินแสงทิพย์ (2560) มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์บทบาทของผู้ปกครองในการเสริมสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาที่ราบรื่นจากบ้านสู่โรงเรียนอนุบาล การศึกษา นี้ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือผู้ปกครองของเด็กอายุ 3 ปี 352 คน ในโรงเรียนเขตพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่อาศัยอยู่ด้วยกัน มีรายได้ในครอบครัวสูง จบการศึกษาในระดับ ปริญญาตรีและปริญญาโท และเล็งเห็นว่าการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กเป็นสิ่งจ าเป็น โดยผู้ปกครองที่มีความรู้ มีเวลาใน การเลี้ยงดู มีสถานะทางเศรษฐกิจ จะสามารถสร้างความพร้อมในการเรียนให้กับเด็กได้ดีกว่ากลุ่มเด็กที่มาจากครอบครัวที่มี สถานะทางเศรษฐกิจไม่ดี เนื่องจากครอบครัวไม่มีศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และสนับสนุนให้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มี คุณภาพ นอกจากนี้การศึกษาของ สุวรรณ จุลมั่ง (2564) เรื่องปัจจัยการเลือกศึกษาต่อสายอาชีพของเยาวชน พบว่า เยาวชน ต้องการประกอบอาชีพทันทีเมื่อส าเร็จการศึกษาเพื่อลดภาระครอบครัว มีความช านาญในสายอาชีพที่เลือกเรียน เพราะได้ฝึก ปฏิบัติ และเลือกเรียนตามความถนัดของตนเอง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจศึกษาต่อในสายสามัญและสายอาชีพมีปัจจัยที่ มากกว่าความถนัด และผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ผลการวิจัยของ ศิวาพัชญ์ บ ารุงเศรษฐพงษ์ (2561) กล่าวถึงปัจจัยที่ส่งผลให้ เยาวชนศึกษาต่อสายสามัญว่ารายได้ของตนเองหลังจบการศึกษา รวมทั้งรายได้ครอบครัวก็เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใน การศึกษาต่อและประกอบอาชีพด้วย


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 64 กรอบแนวคิด เครื่องมือและวิธีการวิจัย การศึกษาเรื่อง กระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การใช้ชีวิตในสังคม: กรณีศึกษาเยาวชนในมูลนิธิโสสะแห่ง ประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์ รหัสโครงการวิจัยที่ SSTU-EC 181/2565 โดยการวิจัยในครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเกี่ยวกับกระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การใช้ชีวิตในสังคม โดย ใช้แบบแนวค าถามในการสัมภาษณ์ 2 ชุด ส าหรับผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ให้การสนับสนุนเยาวชนในการเตรียมความพร้อมออกสู่สังคม ได้แก่ ผู้อ านวยการ หรือรองผู้อ านวยการ นักสังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่การศึกษา เจ้าหน้าที่บ้านเยาวชนชาย 5 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 คน 2. กลุ่มผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่เป็นผู้ดูแลเด็กและเยาวชนโดยตรง ได้แก่ ผู้ดูแลเด็กหรือแม่ 5 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 2 คน 3. กลุ่มมีส่วนร่วมในการวิจัยที่เป็นเยาวชน อายุ 18 ปีขึ้นไปที่ออกสู่สังคมแล้ว 5 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 คน ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ในกลุ่มที่ 1 และใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่ (Snowball Sampling) โดยให้ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยซึ่งเป็นผู้อ านวยการหมู่บ้านหรือรองผู้อ านวยการแนะน าผู้มีส่วนร่วมใน การวิจัยกลุ่มที่ 2 และนักสังคมสงเคราะห์แนะน าผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยกลุ่มที่ 3 หากไม่มีนักสังคมสงเคราะห์ผู้อ านวยการหรือ ผู้อ านวยการจะเป็นผู้แนะน าแทน โดยผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยมาจาก 5 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านเด็กโสสะบางปู จังหวัดสมุทรปราการ หมู่บ้านเด็กโสสะหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หมู่บ้านเด็กโสสะภูเก็ต เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 จังหวัดภูเก็ต หมู่บ้านเด็กโสสะ “เฉลิมนารินทร์” หนองคาย จังหวัดหนองคาย หมู่บ้านเด็กโสสะ “สิริเมตตา 72 พรรษา เฉลิมพระเกียรติ” เชียงราย จังหวัดเชียงราย รวมทั้งสิ้น 31 คน ดังนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 65 ผู้อ านวยการ/รองผู้อ านวยการ 5 คน นักสังคมสงเคราะห์ 1 คน (อีก 4 คน ไม่ตรงตามคุณสมบัติ) เจ้าหน้าที่การศึกษา 5 คน เจ้าหน้าที่บ้านเยาวชนชาย 5 คน เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเด็กหรือแม่ 10 คน อดีตเยาวชน อายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ออกสู่สังคมแล้ว 5 คน กระบวนการด าเนินการวิจัย 1) การศึกษาจากเอกสาร (Documentary Study) โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการศึกษาผ่านหนังสือ บทความ เชิงวิชาการ วิทยานิพนธ์รายงานการวิจัยต่างๆ 2) การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured interview) จากผู้มีส่วนร่วมใน การวิจัย 3 กลุ่ม โดยมีขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 ท าหนังสือขอความอนุเคราะห์จากมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อเข้าเก็บ ข้อมูล ในหมู่บ้านเด็กทั้ง 5 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านบางปูหาดใหญ่ หนองคาย เชียงราย และภูเก็ต ขั้นที่ 2 ประสานงานกับผู้อ านวยการหมู่บ้านเด็กทั้ง 5 เพื่อเชิญชวนเข้าร่วมโครงการวิจัยผ่านทางโทรศัพท์ รวมทั้งขอให้ผู้อ านวยการหรือรองผู้อ านวยการแนะน าแม่ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข้า และขอให้นักสังคมสงเคราะห์แนะน า เยาวชนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข้า เพื่อติดต่อเชิญชวนผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยทั้งสอง 2 กลุ่มเข้าร่วมการวิจัยต่อไป โดยผู้วิจัยจะด าเนินการตามกระบวนการ ดังนี้1) แนะน าตัวและอธิบายวัตถุประสงค์การวิจัย กระบวนการวิจัย และ การน าเสนอผลการวิจัย 2) อธิบายถึงจริยธรรมการรักษาความลับ และการพิทักษ์สิทธิของผู้เข้าร่วมการวิจัย รวมทั้งความเสี่ยง ที่อาจจะเกิดขึ้น และมาตรการจัดการความเสี่ยงของผู้วิจัย 3) ข้อมูลการติดต่อกับผู้วิจัยอย่างละเอียด ได้แก่ วัน เวลาที่ผู้มีส่วน ร่วมในการวิจัยก าหนด ช่องทางการติดต่อ และ 4) เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการวิจัยซักถามหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงการวิจัย ขั้นที่ 3 การขอความยินยอมผู้เข้าร่วมการวิจัย และจัดส่งเอกสารชี้แจงการเข้าร่วมการวิจัย แบบยินยอมให้ ผู้เข้าร่วมการวิจัย และแบบสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง เพื่อให้ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยได้พิจารณาและมีเวลาตัดสินใจก่อน เก็บรวบรวมข้อมูลวิจัย อย่างน้อย 1 สัปดาห์โดยส่งไปทางไปรษณีย์และหรือทางอีเมลที่ผู้เข้าร่วมวิจัยได้แจ้งไว้หลังจากนั้นจะ ติดต่อผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยทางโทรศัพท์เพื่อนัดหมายวันเวลาที่สะดวกในการให้สัมภาษณ์ โดยผู้วิจัยจะแจ้งข้อมูล การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ดังนี้1) ในขณะที่ให้สัมภาษณ์ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยควรอยู่เพียงล าพังในที่ที่มีความเป็นส่วนตัว ไม่เป็นพื้นที่สาธารณะ 2) ผู้เข้าร่วมการวิจัยควรเลือกเวลาที่สะดวกในการให้ข้อมูล เนื่องจากการสัมภาษณ์จะใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงในการให้ข้อมูล ขั้นที่ 4 การให้ข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ผู้วิจัยจะโทรติดต่อผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยตามวันเวลาที่ ผู้วิจัยสะดวก โดยให้ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยแสดงความยินยอมในการร่วมโครงการวิจัยด้วยวาจาทางโทรศัพท์ พร้อมทั้งให้ ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยส่งเอกสารแบบค ายินยอมที่ได้เซ็นชื่อเรียบร้อยส่งมาให้ผู้วิจัยทางไปรษณีย์และแจ้งให้ผู้มีส่วนร่วมใน การวิจัยเก็บเอกสารแบบค ายินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัย จ านวน 1 ชุดเอาไว้ทั้งนี้ในการสัมภาษณ์ผู้วิจัยจะขออนุญาตอัดเสียง ของผู้เข้าร่วมการวิจัยด้วยเครื่องบันทึกเสียงตลอดระยะเวลาการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ขั้นที่5 ในการสนทนาทางโทรศัพท์จะด าเนินการ ดังนี้ 1) ช่วงแรก เริ่มจากการทักทาย สร้างสัมพันธภาพ และแจ้งถึงสิทธิของผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย และ วิธีการรักษาความลับตลอดกระบวนการวิจัย รวมทั้งอธิบายให้ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยทราบว่าผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยจะไม่ตอบ ค าถามที่ไม่ต้องการตอบได้หากไม่สบายใจ หรือประสบปัญหาทางสุขภาพกายและจิต หรือไม่ประสงค์จะให้ข้อมูลแล้วสามารถ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 66 ถอนตัวจากการวิจัยได้ตลอดเวลา ส่วนการน าเสนอผลการวิจัย ผู้วิจัยจะน าเสนอผลการศึกษาในภาพรวม โดยใช้นามสมมุติ และไม่ระบุต าแหน่งงาน และสถานที่ตั้งของที่ท างานของผู้เข้าร่วมการวิจัยทุกคน และข้อมูลจากการสัมภาษณ์จะถูกเก็บข้อมูล ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีรหัสผ่านที่มีเฉพาะผู้วิจัยเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ 2) เริ่มการสัมภาษณ์ด้วยค าถามตามแนวการสัมภาษณ์ 3) ช่วงปิดการสนทนา ผู้วิจัยจะสรุปสิ่งที่ได้สัมภาษณ์ไปคร่าวๆ และเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย ได้สอบถามถึงที่อยากรู้เพิ่มเติม รวมทั้งย้ าถึงหมายเลขโทรศัพท์ส าหรับการติดต่อผู้วิจัย หากมีข้อสงสัยในภายหลัง ผลการศึกษา ตารางที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย กลุ่มที่ 1: ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ให้การสนับสนุนเยาวชนในการเตรียมความพร้อมออกสู่สังคม ต าแหน่ง/สถานะ จ านวน ที่ก าหนดไว้ (คน) จ านวนที่ท า การสัมภาษณ์ (คน) สาเหตุที่ไม่ได้ สัมภาษณ์ ผู้อ านวยการ/รองผู้อ านวยการ 5 5 นักสังคมสงเคราะห์ 4 1 ไม่ตรงตามคุณสมบัติ เจ้าหน้าที่การศึกษา 5 5 เจ้าหน้าที่บ้านเยาวชนชาย 5 5 กลุ่มที่ 2: กลุ่มผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่เป็นผู้ดูแลเด็กและเยาวชนโดยตรง คือ แม่ แม่ 10 10 กลุ่มที่ 3: เยาวชน อายุ 18 ปีขึ้นไปที่ออกสู่สังคมแล้ว อดีตเยาวชนที่ออกสู่สังคมแล้ว 5 5 รวมผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ตรงตามคุณสมบัติ และให้สัมภาษณ์ 31 กระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิโสสะฯ ก่อนออกสู่สังคมและบทบาทครอบครัว และผู้ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชนด้านการเตรียมความพร้อม 1. ก่อนเริ่มกระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิโสสะฯ ก่อนออกสู่สังคม - การท าความเข้าใจหลักการของมูลนิธิและปลายทางของเยาวชน “ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการท างานก่อน โสสะให้การช่วยเหลือเลี้ยงดูเด็กที่สูญเสียผู้ดูแลหรือผู้ปกครอง บาง คนไม่มีพ่อหรือแม่ หรือบางคนไม่มีทั้งพ่อและแม่ เราจะรับเข้ามาอุปการะเลี้ยงดูตั้งแต่แรกเกิดถึง 7 ปี ส่งเสียไปจนได้รับ การศึกษาสูงสุดตามความสามารถของเด็ก โดยเราใช้การเลี้ยงดูแบบครอบครัวทดแทนถาวรระยะยาว” (ผู้มีส่วนร่วมการวิจัย ที่ 1)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 67 ก่อนเริ่มกระบวนการเตรียมความพร้อม สิ่งแรกที่บุคลากรในมูลนิธิโสสะฯ ทั้งที่ปฏิบัติงานตรงและมีส่วนใน การเตรียมความเยาวชนก่อนออกสู่สังคมต้องท าความเข้าใจตั้งแต่แรก คือ หลักการท างานของมูลนิธิโสสะฯ โดยเฉพาะ หลักการเลี้ยงดูเด็กแบบครอบครัวทดแทนระยะยาว ซึ่งมูลนิธิโสสะฯ มีการเลี้ยงดูเด็กในหมู่บ้านเด็ก ภายในหมู่บ้านเด็กจะมี บ้านประมาณ 10-14 หลัง มีเด็กและเยาวชนคละเพศ คละวัยอยู่ในบ้านหลังละประมาณ 7-10 คน ภายในบ้านจะมีแม่ 1 คน เป็นผู้ดูแลหลักตลอด 24 ชั่วโมง บรรยากาศในบ้านจึงเป็นบรรยากาศของความเป็นครอบครัวที่มีทั้งแม่และพี่น้อง อย่างไรก็ ตาม กลุ่มเป้าหมายของมูลนิธิโสสะฯ มีปัญหาเฉพาะ คือ เด็กที่สูญเสียการดูแลหรือเสี่ยงต่อการสูญเสียการดูแลจากผู้ปกครอง อาจจะมีความหนักเบาของปัญหาต่างกัน แต่สิ่งที่เด็กทุกคนต้องการเหมือนกัน คือ การเติบโตในบรรยากาศของครอบครัว เพื่อลดบาดแผลทางร่างกายและจิตใจ ลดข้อจ ากัดอันมีผลต่อการเติบโต ซึ่งตรงกับบริการของมูลนิธิโสสะฯ ในการเลี้ยงดูเด็ก แบบครอบครัวทดแทนระยะยาว “... เด็กบางคนไม่มีใครเลย แต่เขารับเอาสิ่งที่เรามีให้ได้ เขาก็จะรู้สึกมั่นคง กับอีกบางส่วน เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่มี ใคร และบั่นทอนจิตใจตัวเอง แต่เราก็ดูแลเขาเต็มที่ ส่วนที่ยังพอมีเครือญาติอยู่ก็อาจช่วยให้เขาจะรู้สึกมั่นคง แต่เราต้องไป ด้วยกัน ญาติเด็กต้องไม่เข้ามาก้าวก่ายท าให้เด็กกังวล มาเยี่ยมได้ ไม่ได้ตัดขาดญาติมิตร ... สุดท้ายเด็กที่เราดูแล เขาจะได้สอง อย่างติดตัวไป คือ สายสัมพันธ์พี่น้อง และการศึกษา” (ผู้มีส่วนร่วมการวิจัยที่ 2) ส าหรับปลายทางของเด็กและเยาวชนที่เข้ามาอยู่ในการเลี้ยงดูของมูลนิธิฯ เป็นเด็กที่สูญเสียหรือเสี่ยงต่อ การสูญเสียการดูแลจากผู้ปกครอง ทั้งก าพร้า ถูกทอดทิ้ง หรือได้รับการเลี้ยงดูไม่เหมาะสม บางรายยังคงมีเครือญาติอยู่บ้าง แต่ไม่สามารถเลี้ยงดูหรือให้การสนับสนุนได้มากนัก ซึ่งทางมูลนิธิฯ ไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้เด็กพบกับผู้ปกครองหรือเครือญาติท า ให้เด็กและครอบครัวเดิมยังมีสายสัมพันธ์ต่อกันอยู่ สายสัมพันธ์นี้อาจส่งผลต่อเด็กทั้งในทางบวกและทางลบ แม้ว่าที่มาของเด็ก แต่ละคนและการมีอยู่ของเครือญาติหรือครอบครัวเดิมจะท าให้เด็กมีความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจต่างกัน แต่มูลนิธิโสสะฯ ได้สร้าง ความมั่นคงทางจิตใจให้เด็กผ่านการเลี้ยงดูแบบครอบครัวทดแทนของมูลนิธิฯ โดยการสนับสนุนให้เด็กยอมรับ และภาคภูมิใจ ในตนเอง ท าให้พวกเขามีตัวตนในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว รวมทั้งการสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัว สายใยพี่น้องที่ ไม่สามารถแยกอยากจากกันได้ เพราะเชื่อมโยงกันไว้ด้วยความผูกพัน สายสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นรากฐานที่ส าคัญต่อความมั่นคง ทางจิตใจ - การท าความเข้าใจความแตกต่างหลากหลายของเด็กและเยาวชนแต่ละราย “เด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน 10 คนก็ 10 ปัญหา ... เราก็ต้องดูจากเด็ก แล้วก็ถามแม่ เพราะใกล้ชิดกับเด็ก ที่สุด แม่เขาจะช่วยบอกได้ว่าลูกแต่ละคนเป็นยังไง เราก็ดูเป็นคนคนไป” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 12) การท าความเข้าใจความแตกต่างหลากหลายของเด็กและเยาวชนเป็นจุดเริ่มต้นที่จะน าไปสู่กระบวนการเตรียม ความพร้อมเยาวชนสู่สังคมที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของเยาวชน และท าให้เยาวชนมีความมั่นใจพร้อมที่จะออกสู่ สังคมได้เร็วขึ้น การท าความเข้าใจเด็กและเยาวชนในมูลนิธิฯ ไม่ใช่เป็นการท าความเข้าใจแบบเหมารวมตามช่วงวัยหรือ ตามทฤษฎีพัฒนาการเท่านั้น แต่เป็นการท าความเข้าใจยุคสมัย บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อเด็กแต่ละคน อายุ การรับรู้ รวมถึงปัญหาที่เด็กเคยประสบพบเจอ จึงต้องอาศัยการพูดคุยและการท ากิจกรรมร่วมกันเป็นระยะเวลาหนึ่งจึงจะ เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีความต้องการอะไร มีลักษณะนิสัยแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ส่งผลต่อศักยภาพของมนุษย์มาจาก 2 ปัจจัย ทั้งปัจจัยภายใน เช่น พันธุกรรม ความเป็นป่วยหรือโรคโดยก าเนิด และ ปัจจัยภายนอก เช่น วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม มูลนิธิ ฯ จึงสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนได้ทดลองท ากิจกรรมที่หลากหลายจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เด็กได้ค้นหาศักยภาพและความถนัด ของตนเอง ท าให้เด็กและเยาวชนเข้าใจตนเองมากขึ้น และแม่ รวมทั้งบุคลากรที่ปฏิบัติงานตรงกับเด็กได้มีโอกาสในการท า ความเข้าใจพวกเขามากขึ้นด้วย และมีโอกาสในการหาความรู้เพิ่มเติมจากการเรียนพิเศษ การเข้าใจตนเองท าให้การเตรียม ความพร้อมในการเรียนและการประกอบอาชีพ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมก่อนออกสู่สังคมนั้นชัดเจนขึ้น แม่ รวมทั้ง บุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถสนับสนุนได้ตรงตามความต้องการของเด็กและเยาวชนแต่ละคนอย่างแท้จริง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 68 กระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิโสสะฯ ก่อนออกสู่สังคม การประเมินเด็กและเยาวชนร่วมกับครอบครัว สามารถแบ่งได้เป็นการประเมิน 3 แบบ การประเมินขั้นแรกรับและการประเมินเพื่อวางแผนพัฒนาเด็กเฉพาะราย “เราจะดูตั้งแต่รับเข้าแล้วค่ะ เราต้องตรวจ 5 โรคก่อน และเราจะใช้แบบตรวจพัฒนาการเด็ก IQ EQ หมายความว่า เราได้จัดบริการสุขภาพเบื้องต้นไปแล้วเรื่องของการตรวจสุขภาพก่อนรับเข้า เด็กบางคนมีปัญหาสุขภาพเราจะให้แม่พาไปหา หมอตามนัด ไปรับวัคซีน...” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 13) “มีแผน IDP ท าทุกปี ปีละ 2 ครั้ง เราจะท ากับเด็กทุกคนทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาวิทยาลัย เป็นแผนรายบุคคล เพื่อประเมินว่าปีนี้เขาต้องท าอะไรบ้าง แล้วก็จะมีการรายงานพฤติกรรมทุกเดือนๆ” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 25) กระบวนการแรกของการเตรียมความพร้อมเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิฯ คือการประเมินสภาพ ปัญหา ความต้องการ และศักยภาพของเด็กแต่ละคนทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคมอารมณ์ และสติปัญญา ซึ่งการประเมิน ดังกล่าวเริ่มตั้งแต่การรับเข้าที่มีการประเมินสุขภาพเบื้องต้น โดยการตรวจคัดกรอง 5 โรค การประเมินระดับความฉลาดทาง เชาวน์ปัญญา (Intelligence quotient: IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient: EQ) นอกจากนี้ ทางมูลนิธิ ฯ จะมีการจัดท าแผนพัฒนาเด็กรายบุคคล (individual development plan: IDP) โดยเด็กทุกคนที่อยู่ในความดูแลของ มูลนิธิฯ จะมีแผนพัฒนาเด็กรายบุคคลเป็นของตนเอง ประกอบด้วยข้อมูล 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ ด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ ด้านสังคม ด้านร่างกาย ส่วนการประเมินด้านอื่นๆ สามารถแบ่งได้เป็น 3 การประเมินศักยภาพ และความต้องการของเด็กแต่ละคน “แล้วแต่กรณี บางครั้งเป็นแบบ case by case เพราะว่าน้องแต่ละคนศักยภาพไม่เท่ากัน เขาจะไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นเราต้องเป็น Case by case บางคนเขาเก่ง เรียนจบหางานได้เลย ตั้งหลักได้เร็ว แต่บางคนเขาเรียนหนังสือไม่ได้ แต่มีความขยัน เราก็ฝากงานหรือให้ท างาน คือมันต้องแล้วแต่ case by case” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 31) การประเมินศักยภาพ และความต้องการของเด็กแต่ละคนจ าเป็นต้องประเมินเป็นรายกรณี ครอบครัว โสสะฯ ให้ ความส าคัญกับความจ าเป็นของเด็กแต่ละคน เพราะฉะนั้น การเคารพความแตกต่างหลากหลาย และการประเมินเด็กและ บริบทแวดล้อมจึงเป็นหลักส าคัญที่จะน าไปสู่การเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคม และดังที่กล่าวไปในหัวข้อก่อน หน้านี้ว่า ปลายทางของเด็กแต่ละคนคือการออกสู่สังคม แต่การใช้ชีวิตหลังจากนั้นเยาวชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง การประเมิน เด็กและเยาวชนที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิฯ จึงต้องครอบคลุมทุกมิติชีวิต และมีการประเมินอย่างต่อเนื่อง เพื่อน าไปสู่ การจัดบริการให้เด็กและเยาวชนอย่างรอบด้านตามความจ าเป็นและความต้องการของพวกเขา การประเมินความเสี่ยงและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต “เราไปอยู่หอ แล้วเราก็เรียนไม่จบเลยออกมาท างาน เราเป็นคนขี้เหงาพอมีคนเข้ามาเราก็รูสึกดี แม่ก็น่าจะรู้ ก่อนออกมาแม่ก็คุยเรื่องมีแฟน เรื่องการใช้ชีวิต แต่ไม่ได้บอกตรงๆ นะว่าต้องคุมก าเนิดอะไรยังไง เหมือนแม่ก็พอรู้ว่าเรามีแฟน ก็อาจมีเรื่องแบบนี้” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 11) การเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมจ าเป็นต้องประเมินความเสี่ยงหรือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งเยาวชน แต่ละคนมีความเสี่ยงแตกต่างกัน และในหนึ่งคนอาจมีมากกว่าหนึ่งความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยงจึงต้องเริ่มจากเยาวชน และแม่ซึ่งผู้ที่ใกล้ชิดกับเยาวชนมากที่สุดที่จะสามารถประเมินความเสี่ยงในเบื้องต้นได้ เพราะทราบพฤติกรรมของเยาวชนมา โดยตลอด บางพฤติกรรมได้รับการปรับพฤติกรรมตั้งแต่ช่วงวัยเด็กต่อเนื่องจนเป็นเยาวชน หลังจากการประเมินแล้วจะมี การพูดคุย ตักเตือน สั่งสอน และก าชับอีกครั้งก่อนออกไปสู่สังคมจริง เพื่อป้องกันปัญหา ทั้งเรื่องความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม การใช้ชีวิต การเลือกคบเพื่อน โดยมูลนิธิฯ ไม่เพียงแต่ปรับพฤติกรรมเยาวชนเท่านั้น เพราะความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นทั้งจาก เยาวชนเอง ครอบครัว และปัจจัยภายนอก เพราะฉะนั้น การประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน และการป้องกันความเสี่ยงใน ทุกระดับจึงต้องอาศัยบุคคลรอบข้างที่จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวลง ส าหรับวิธีการประเมินความเสี่ยงและการเตรียม ความพร้อมเยาวชนในการป้องกันและลดความเสี่ยงจะมีลักษณะไม่เป็นทางการสอดคล้องกับหลักการเลี้ยงดูแบบครอบครัว ทดแทนของมูลนิธิฯ ในกรณีที่ความเสี่ยงเกิดจากครอบครัวเดิมที่เยาวชนจะต้องไปอยู่ด้วย ทั้งแม่ ผู้อ านวยการ เจ้าหน้าที่ การศึกษา และนักสังคมสงเคราะห์จะประเมินและพูดคุยถึงความเสี่ยงดังกล่าวให้กับเยาวชนทราบ ซึ่งอาจจะต้องใช้การเยี่ยม บ้านและการประชุมกลุ่มครอบครัวเพื่อให้เยาวชนได้ประเมินความเสี่ยงด้วยตนเองในทุกระดับ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 69 การเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมอย่างรอบด้าน “ไม่ได้มองแค่เรื่องการเรียน แต่สติปัญญาจะส่งผลต่อความสามารถในการจัดการปัญหา ก่อนจะไปเราก็มีการพูดคุย กับน้องว่าเขาจัดการชีวิตตัวเองได้ขนาดไหน ฝึกให้เขาวางแผนและแก้ปัญหาเอง เมื่อจัดการปัญหาได้ด้วยเหตุผล มีความรู้ มีทักษะที่จะไปท างานได้ น้องก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ในสังคม โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 25) “เราดูแลเขาเหมือนครอบครัวจริงๆ พอเด็กเข้าบ้านแล้วจะรู้สึกอบอุ่น ที่นี่เราเคารสิทธิกัน เด็กบางคนบอกว่าถึงไม่ใช่ แม่แท้ๆ ของหนู แต่ว่าเลี้ยงหนูเหมือนแม่ เดี๋ยวโตขึ้นหนูจะเข้มแข็งและดูแลตัวเองได้ สิ่งที่ท าให้เราเห็นว่าเราเป็นครอบครัว จริงๆ คือ หลังจากเขาออกไปแล้ว เขากลับมาเยี่ยมหา มีปัญหา มีความสุขเขานึกถึงเรา” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 2) การเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมจ าเป็นต้องมีการประเมินอย่างรอบด้าน ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และบุคลิกภาพ และด้านสิ่งแวดล้อม โดยผู้วิจัยได้ให้สัมภาษณ์ว่าได้มีการเตรียมความพร้อมเยาวชนในทุกด้าน ในด้านร่างกายจะมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วัยเด็กและเข้าสู่เยาวชน หากมีความเจ็บป่วยหรือมีความต้องการพิเศษจะมี การพาเด็กและเยาวชนไปรับการรักษาเฉพาะทาง รวมทั้งส่งเสริม พัฒนา และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางร่างกายกับเด็ก เพื่อให้พวกเขาสามารถท ากิจกรรมต่างๆ และพร้อมต่อการออกสู่สังคม เช่นเดียวกับด้านสติปัญญา มูลนิธิฯ ไม่เพียงส่งเสริม ความฉลาดทางสติปัญญา หรือความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ให้ความส าคัญกับการฝึกทักษะอื่นๆ ด้วย เพราะการเลี้ยงดูของ มูลนิธิฯ เปรียบเสมือนครอบครัวทดแทนเด็กและเยาวชนจะได้รับการส่งเสริมในทุกด้านที่จ าเป็นต่อพวกเขาเพื่อให้พวกเขา สามารถอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้ในที่สุด และอีกด้านที่ส าคัญคือด้านจิตใจ อารมณ์ และบุคลิกภาพ ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 ด้าน คือ ด้านจิตใจ ด้านก าลังใจและการเสริมพลัง ด้านการจัดการปัญหา และด้านบุคลิกภาพและนิสัยที่พึ่งประสงค์ ด้วยความที่มูลนิธิฯ ดูแลเด็กและเยาวชนทุกคนเสมือนครอบครัวท าให้เด็กและเยาวชนได้รับการดูแลเอาใจใส่ ได้รับความรัก และเกิดการขัดเกล่า บุคลิกภาพ สายใยครอบครัวเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขาพร้อมจะใช้ชีวิตล าพังภายนอก เพราะเมื่อเกิดปัญหาเขาจะมั่นใจได้ ว่าครอบครัวโสสะฯ จะยังให้การสนับสนุนทางด้านจิตใจแก่พวกเขาได้เสมอ ส่วนการเตรียมความพร้อมด้านบุคลิกภาพก่อน ออกสู่สังคมนั้น สหวิชาชีพในมูลนิธิฯ และประสานหน่วยงานภายนอกที่มีความรู้เฉพาะด้านมาร่วมจัดอบรมให้ความรู้และ ฝึกทักษะที่จ าเป็นในการอยู่ร่วมกับสังคม และการประกอบอาชีพ ท าให้เยาวชนมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งความมั่นใจดังกล่าวจะ มาจากการเตรียมความพร้อมด้านสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะ ทางมูลนิธิฯ ได้จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมือนบ้านไม่ใช่ที่ควบคุม ความประพฤติ เยาวชนหลายคนมีโอกาสไปเรียนพิเศษ อยู่หอพัก และท ากิจกรรมภายนอกร่วมกับครอบครัว และเพื่อน การทดลองการใช้ชีวิตในแบบของตนเอง “ตอนนี้ ถ้าเรียน ปวช. ปวส. เราให้เขาไปอยู่หอพัก ซึ่งการอยู่หอพักคือการเตรียมความพร้อมอยู่แล้ว เขาต้องดูแล ตนเอง 100% ทั้งเรื่องการบริหารจัดการเงินว่าจะท ายังไงให้เงินพอถึงสิ้นเดือน ส่วนเราก็มีให้ค าปรึกษา และช่วยแก้ปัญหา เขาเรียกว่าซ้อมอยู่หอพักค่ะ” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 24) “เรียนจนจบปริญญาตรีค่ะ ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเลือกที่จะไปอยู่หอ พอใกล้จบก็ได้ไปฝึกงาน ได้ลองท างาน เรารู้ แต่แรกแล้วว่าจะต้องท างานนี้ เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 8) “เราเลือกที่จะออกจากบ้านเพราะเรียนไม่จบ ป. ตรี แล้วตอนนั้นอายุมากแล้ว เลยหาหลักสูตรระยะสั้นเรียน ก็ได้ เรียนนวดแผนไทยอย่างที่บอกนั่นแหละ เรียนนวดแผนไทย 6 เดือน ระหว่างนั้นก็ไปอยู่หอพัก แล้วก็ได้ฝึกงานมีรายได้นะ เพราะไปนวดก็ได้เงินบ้าง” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 11) การทดลองการใช้ชีวิตเป็นกระบวนการหนึ่งในการเตรียมความพร้อม โดยการทดลองการใช้ชีวิตจะแ บ่งได้เป็น การทดลองทางด้านวิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต เยาวชนจะได้รับทั้งสามส่วนแบบบูรณาการกัน แต่อาจมีจุดเน้นที่แตกต่าง กันออกไป ในด้านวิชาการ มูลนิธิฯ สนับสนุนให้เรียนพิเศษทั้งในและนอกหมู่บ้าน เพื่อพัฒนาศักยภาพที่เด็กและเยาวชนสนใจ อย่างไรก็ตาม ความสามารถทางวิชาการอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการส าเร็จการศึกษาและประกอบอาชีพตามที่ตั้งใจ ส่วนหนึ่ง ที่ท าให้ส าเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ การรับมือกับสิ่งเร้าทั้งภายในและภายนอกได้อย่างเหมาะสม มูลนิธิฯ จึงส่งเสริม สิ่งแวดล้อมที่ดี ลดความเสี่ยง ซึ่งเยาวชนที่เลือกเรียนสายสามัญมุ่งเน้นวิชาการ ส่วนใหญ่จะหมู่บ้านเด็กฯ จนจบการศึกษา


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 70 มัธยมศึกษาตอนปลาย แล้วจึงไปอยู่หอพักในระดับมหาวิทยาลัย ก่อนหน้านี้ เยาวชนมีโอกาสอยู่หอพักในช่วงเรียนพิเศษ ต่างจังหวัดตามที่มูลนิธิฯ จัดหาให้ เมื่อต้องไปอยู่หอพักในระดับมหาวิทยาลัยจึงสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องของ การประกอบอาชีพ เยาวชนมักมีความสามารถทางวิชาการและวิชาชีพที่ชัดเจน ประกอบกับมีการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพ มาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจนได้ฝึกงานตามหลักสูตรการเรียนการสอน จึงมีอาชีพรองรับหลังส าเร็จการศึกษา ท าให้ เยาวชนสามารถรับผิดชอบชีวิตตนเองได้ ในด้านวิชาชีพ ส าหรับนักศึกษาที่ต้องการศึกษาต่อในสายอาชีพ ทั้งระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพประกาศนียบัตร วิชาชีพระดับสูง หรือฝึกอาชีพในหลักสูตรระยะสั้น เยาวชนจะได้ฝึกประสบการณ์ และฝึกปฏิบัติโดยตรง อีกทั้งยังได้ฝึก การปรับตัวร่วมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ไวขึ้น เนื่องจากเยาวชนจะได้ไปอยู่หอพักระหว่างเรียน เช่นเดียวกับเยาวชนที่เลือก เรียนหลักสูตรระยะสั้น ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะเลือกเส้นทางนี้เพราะต้องการประกอบอาชีพได้ทันทีหลังออกสู่สังคม แม้ว่าพวกเขา จะไม่ส าเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพระดับสูง หรือฝึกอาชีพในหลักสูตรระยะสั้น แต่มูลนิธิฯ จะพยายามสนับสนุนให้เยาวชนทุกคนมีความพร้อมด้านทักษะเฉพาะทางเพื่อการประกอบอาชีพ ในด้านวิชาชีวิต เยาวชนทุกคนได้ทดลองใช้ชีวิตในวิชาชีวิต แต่จะได้รับประสบการณ์แตกต่างกันไป ส าหรับเยาวชนที่ เลือกออกไปใช้ชีวิตทั้งที่ยังไม่ส าเร็จการศึกษาจะได้เรียนรู้ทักษะชีวิตจากการใช้ชีวิตจริงเร็วขึ้น แต่บางรายตัดสินใจกลับเข้าสู่ ระบบการศึกษาอีกครั้ง บางรายตัดสินใจฝึกอาชีพระยะสั้น ซึ่งก่อนการตัดสินใจทางมูลนิธิฯ จะให้การปรึกษา และหากช่วงที่ได้ ทดลองใช้ชีวิตเป็นระยะเวลาที่ไม่นานมากจนเกินไป ทางมูลนิธิฯ อาจพิจารณาให้การสนับสนุนทางด้านการศึกษาอีกครั้ง ซึ่งจะ เป็นการพิจารณาร่วมกันระหว่างเยาวชนและสหวิชาชีพในมูลนิธิฯ บนหลักการที่ว่ามูลนิธิฯ สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนทุกคน ที่อยู่ในการดูแลได้รับการศึกษาตามศักยภาพ การติดตามและการให้การสนับสนุนหลังออกสู่สังคม “หนูเรียนจบแล้ว หมู่บ้านจะช่วยเหลือหนูให้หนูได้มีเวลาตั้งหลักนะคะ เด็กที่จบปริญญาตรีจะช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ต่างๆ 6 เดือน โดย 3 เดือนแรกน้องจะได้รายได้จากหมู่บ้านเท่านี้นะคะ อาจจะยังได้เต็ม แล้วพออีกสามเดือนหลังหนูจะได้ เท่านี้นะคะ อาจจะลดลงมาบ้าง เพื่อเขาได้เตรียมตัวว่าเขาจะต้องหางานท า รับผิดชอบตัวเอง” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ 31) “ออกไปแล้วก็ยังกลับมาหาแม่ตลอด เวลาเรามีปัญหาเราก็ปรึกษาแม่ พี่น้องในบ้านเรา เขาอาจจะช่วยได้ไม่มาก เพราะเขามีครอบครัวกันแล้ว แต่ถ้าเขาช่วยได้เขาจะช่วย พวกให้ก าลังใจ อย่างแม่จะคุยกันตลอด” (ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย ที่ 11) การติดตามให้การช่วยเหลือของมูลนิธิฯ คือ สนับสนุนค่าครองชีพต่ออีก 6 เดือนหลังจ าหน่าย ในกรณีที่เยาวชนเรียน จบปริญญาตรีหรืออนุปริญญา โดย 3 เดือนแรกทางมูลนิธิฯ จะสนับสนุนค่าครองชีพให้ทั้งหมด และใน 3 เดือนหลังจะลด การสนับสนุนลงเพื่อให้เยาวชนฝึกการรับผิดชอบตัวเอง ส่วนเยาวชนที่จบการศึกษาต่ ากว่านั้น เช่น มัธยมศึกษาตอนต้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ทางมูลนิธิฯ จะสนับสนุนค่าครองชีพต่ออีก 3 เดือนหลังจ าหน่าย โดยเงื่อนไขนี้ แม่และเยาวชนทุกคน รับทราบและต้องเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อก่อนออกสู่สังคม และอาจมีการพิจารณาเป็นรายกรณีอีกครั้งหากพบปัญหาในระหว่าง การออกสู่สังคม ส่วนการสนับสนุนทางด้านจิตใจ แม่และผู้ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชนจะสนับสนุนการด าเนินชีวิตของพวกเขา ให้การปรึกษา และให้ก าลังใจเมื่อเขาต้องการ ครอบครัวโสสะฯ ในฐานะครอบครัวทดแทนที่ดูแลสมาชิกทุกคนให้มีสายใยพี่ น้องและสายใยครอบครัว สิ่งหนึ่งที่ท าให้พวกเขาออกสู่สังคมได้อย่างมั่นใจและไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเริ่มจากการมีตัวตนใน ครอบครัว ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงทางจิตใจ ท าให้เยาวชนที่ออกสู่สังคมไปแล้วยังคงรักษาสายใยครอบครัวเหล่านี้ไว้ ทั้งด้วย การติดต่อกันอย่างสม่ าเสมอ กลับบ้านในวันหยุด หรือเทศกาลส าคัญ การปรึกษาคนในครอบครัวเมื่อมีปัญหา การให้ ค าแนะน าน้องๆ สมาชิกในครอบครัวด้วยความหวังดี สิ่งเหล่านี้คือการติดตามแบบไม่เป็นทางการและการสนับสนุนจิตใจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนออกสู่สังคม การอภิปรายผลการศึกษา การเลี้ยงทดแทนของมูลนิธิฯ โสสะใช้หลักอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยมูลนิธิฯ ได้จัดให้มีการเลี้ยงดูเด็กแบบ ครอบครัวทดแทนที่ท าให้เด็กได้รับสิทธิดังกล่าวอย่างครบถ้วน และยังค านึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กแต่ละคน ทั้งใน กระบวนการต้นน้ าหรือกระบวนการคัดกรองก่อนรับเข้า (Gatekeeping) กระบวนการกลางน้ าหรือระหว่างรับเด็กไว้ใน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 71 การดูแล และกระบวนการปลายน้ าหรือการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคม ซึ่งเป็นไปตามแนวปฏิบัติด้านการเลี้ยง ดูทดแทนส าหรับเด็ก ของสหประชาชาติ (United Nations, 2010; กรมกิจการเด็กและเยาวชน, 2565) เด็กและเยาวชนที่อยู่ ในการดูแลของมูลนิธิฯ จึงได้เติบโตในบรรยากาศของความเป็นครอบครัว ได้รับความรักความอบอุ่น ได้รับสิทธิสวัสดิการ ครอบถ้วนจนกระทั้งออกสู่สังคม ส าหรับการตัดสินใจออกสู่สังคมของเยาวชนแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันเกิดจากปัจจัยภายในบุคคล และปัจจัย ภายนอก (Internal and External Factors) สอดคล้องกับการศึกษาของ สุภาวดี นวลมณี และคณะ, 2555 ที่กล่าวถึง ปัจจัย ภายในที่น าไปสู่การบรรลุเป้าหมายชีวิตที่วางไว้ เกิดจากองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ความสามารถในการควบคุมตนเอง ความมุ่งมั่นที่จะประสบความส าเร็จ และความสามารถในการแก้ปัญหา ส่วนปัจจัยภายนอก ได้แก่ สิ่งแวดล้อม จากผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยภายในที่ส่งผลให้เยาวชนไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย ส่วนใหญ่ คือ ความสามารถในการควบคุมตนเอง และปัจจัย ภายนอก คือ เพื่อน ส่วนครอบครัวเดิมเป็นปัจจัยทางอ้อมเท่านั้น การเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมจึงต้องเป็น กระบวนการที่ต่อเนื่อง และครอบครัวทุกมิติชีวิตของเด็กและเยาวชน โดยให้ความส าคัญกับองค์ประกอบภายในทั้งปัจจัย ภายในจิตใจของเยาวชนมีผลต่อการควบคุมปัจจัยภายนอกด้วย ส่วนกระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมนั้น เริ่มจากการประเมินเด็กและเยาวชนร่วมกับ ครอบครัวหรือทีมสหวิชาชีพ โดยมีการประเมิน 6 ด้าน เพื่อน าไปสู่แผนพัฒนาเด็กรายบุคคล (individual development plan: IDP) ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ ด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ ด้านสังคม ด้านร่างกาย โดยทุกด้านเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลหรือ แม่จะเป็นหลักในการประเมินร่วมกับทีมสหวิชาชีพ เพราะใกล้ชิดกับเยาวชนมากที่สุด ส่วนการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ในอนาคตอาจเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆ ตามมา สอดคล้องกับการแนวคิด พหุพฤติกรรมเสี่ยง (multiple risk behaviors) ที่ครอบคลุมทั้ง 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยระดับบุคคล ปัจจัยระดับครอบครัว และ ปัจจัยระดับสิ่งแวดล้อม (พิมพ์รัตน์ ธรรมรักษา และ อาภาพร เผ่าวัฒนา, 2561) ผลการศึกษา พบว่า ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ระหว่างการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยระดับบุคคล ได้แก่ สภาวะจิตใจของเยาวชน และการจัดการปัญหา และปัจจัยภายระดับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ เพื่อน กระแสสังคม สิ่งยั่วยุต่างๆ ซึ่งปัจจัยทั้งสองระดับนี้ มีปฏิบัติการร่วมกัน ส่วนปัจจัยระดับครอบครัว แม้จะไม่ถูกกล่าวถึงในกระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคม แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กจะถูกบ่มเพาะเป็นความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของเยาวชนในปัจจุบัน การประเมินทั้ง 3 ส่วนนี้ล้วนเป็นบทบาทของสหวิชาชีพ สอดคล้องกับขั้นตอนการท างานแบบสหวิชาชีพ โดย ศรีเวียง ไพโรจน์กุล และคณะ (2547) และ อภิญญา เวชยชัย (2562) ที่กล่าวถึงบทบาทของสหวิชาชีพในการประเมินทางด้าน กาย จิต สังคม การประเมินปัญหาและความต้องการของเด็กและครอบครัว การประเมินศักยภาพ ข้อจ ากัด จุดแข็ง และ การประเมินความเสี่ยง เพื่อน าไปสู่การวางแผนการด าเนินการร่วมกันทั้งในด้านของการส่งเสริมพัฒนา ป้องกัน แก้ไขปัญหา รวมถึงการบ าบัดฟื้นฟู และสอดคล้องกับงานวิจัยของ พนิตพร เลิศไกร (2558) ที่กล่าวถึงบทบาทของทีมสหวิชาชีพใน การประเมินเด็กและเยาวชนก่อนออกสู่ครอบครัว แต่จะต่างกันตรงที่สถานฟื้นฟูเด็กจังหวัดชลบุรี มีนักจิตวิทยาท าบทบาทใน การประเมินสภาพจิตใจ แต่ทางหมู่บ้านเด็กฯ สหวิชาชีพจะมีส่วนในการประเมินเด็กร่วมกัน โดยการประเมินในภาวะปกติจะ เกิดขึ้นจากการสังเกตแบบมีส่วนร่วม การพูดคุยอย่างเป็นกันเองผ่านการท ากิจกรรมร่วมกันในครอบครัว ส่วนเด็กหรือเยาวชน ที่ประสบปัญหาซับซ้อนจะมีการประเมินโดยสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก แต่ส าหรับสหวิชาชีพภายในจะมี เพียงนักสังคมสงเคราะห์เท่านั้นที่มีบทบาททางวิชาชีพและต้องใช้เครื่องมือในการประเมินเด็กและครอบครัว ส่วนแม่หรือสห วิชาชีพอื่นๆ จะท าการประเมินแบบไม่เป็นทางการ เพื่อไม่ให้ขัดต่อการสร้างบรรยากาศของความเป็นครอบครัว หลังจากประเมินความต้องการ ศักยภาพ และความเสี่ยงของเยาวชนแล้ว กระบวนการต่อไป คือ การเตรียม ความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคม การเตรียมความพร้อมของมูลนิธิฯ สอดคล้องกับองค์ประกอบความพร้อมของ วิมล ฉวีพงษ์เดช (2544, อ้างถึงใน วรรษมน ลูกบัว, 2554) โดยมีองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ 1) ด้านร่างกาย 2) ด้านสติปัญญา 3) ด้านจิตใจ บุคลิกภาพ และลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ และ 4) ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเยาวชนที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิฯ ได้รับ การเตรียมความพร้อมทั้ง 4 ด้าน แต่ในด้านร่างกายและด้านสิ่งแวดล้อมภายในมูลนิธิฯ เยาวชนจะได้รับการเตรียมความพร้อม คล้ายกัน เว้นแต่มีปัญหาทางด้านร่างกายหรือสุขภาพจะมีการเตรียมความพร้อมที่เน้นการดูแลสุขภาพมากขึ้นและมีการพบ แพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาสุขภาพจะไม่ส่งผลต่อการออกสู่สังคม หรือหากมีผลกระทบจะต้องเตรียมการป้องกันเอาไว้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 72 ส่วนด้านสติปัญญา และด้านจิตใจ บุคลิกภาพ และลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ เป็น 2 ด้าน ที่เยาวชนแต่ละคนมีความแตกต่าง กันอย่างชัดเจน สอดคล้องกับแนวคิดพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ของ Howard Gardner (1993, อ้างถึงใน Michele Marenus, 2023) ซึ่งกล่าวถึงปัญญา 9 ด้าน ได้แก่ ด้านภาษา ด้านตรรกะ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกาย และการเคลื่อนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านการเข้าใจตนเอง ด้านธรรมชาติวิทยา และด้านการคิดใคร่ครวญ แม้มูลนิธิฯ จะเตรียมความพร้อมให้เยาวชนในทุกด้าน แต่จะมีบางด้านที่พวกเขามีความถนัดและสามารถต่อยอดได้ในอนาคต สรุปพหุปัญญาและการเตรียมความพร้อมทางด้านปัญญาในแต่ละด้าน ส่วนการเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ บุคลิกภาพ และลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ การเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ สอดคล้องกับการส่งเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจ (Resilience Quotient) โดยกรมสุขภาพจิต กล่าวถึง องค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการทนทานทางอารมณ์ (อึด) ด้านก าลังใจ (ฮึด) และด้านการจัดการปัญหา (สู้) (นฤภัค ฤธาทิพย์ และคณะ, 2562) ส่วนการพัฒนาบุคลิกภาพของมูลนิธิฯ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจ พบว่า ระหว่าง การเตรียมความพร้อมจะเห็นบุคลิภาพของเยาวชนชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะก่อนออกสู่สังคมคือช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านที่ ส าคัญกับชีวิตพวกเขา สอดคล้องกับบุคลิกภาพ 5 ลักษณะ (Costa & McCrae, 1992) ได้แก่ แบบแสดงตัว แบบมโนส านึก แบบประนีประนอม แบบเปิดรับประสบการณ์ และแบบหวั่นไหว ต่อมากระบวนการทดลองใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับความถนัดของเยาวชนที่จะน าไปสู่การประกอบอาชีพและการอยู่ ร่วมกับสังคม ซึ่งอาจแยกได้ 3 ส่วน ได้แก่ การศึกษาทางด้านวิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต โดยสหวิชาชีพจะสนับสนุนให้ เยาวชนเลือกแผนการศึกษาให้สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของตนเอง จากผลการศึกษา พบว่า เยาวชนที่ต้องการ ประกอบอาชีพทันทีหลังเรียนจบ และต้องการประกอบอาชีพที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์จะเลือกเรียนสายอาชีพ ส่วนเยาวชนที่เลือกสายสามัญ เพราะมีทางเลือกในการศึกษาต่อได้หลากหลายกว่า และมีความถนัดทางด้านวิชาการต้องการ ต่อยอดในระดับปริญญาตรี สอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัยของ สุวรรณ จุลมั่ง (2564) พบว่า ปัจจัยที่ท าให้นักศึกษาเลือกเรียน สายอาชีพ คือ เยาวชนต้องการประกอบอาชีพทันทีเมื่อส าเร็จการศึกษาเพื่อลดภาระครอบครัว มีความช านาญในสายอาชีพที่ เลือกเรียน เพราะได้ฝึกปฏิบัติ และเลือกเรียนตามความถนัดของตนเอง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจศึกษาต่อในสายสามัญและ สายอาชีพมีปัจจัยที่มากกว่าความถนัด และผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ผลการวิจัยของ ศิวาพัชญ์ บ ารุงเศรษฐพงษ์ (2561) กล่าวถึงปัจจัยที่ส่งผลให้เยาวชนศึกษาต่อสายสามัญว่ารายได้ของตนเองหลังจบการศึกษา รวมทั้งรายได้ครอบครัวก็เป็นปัจจัย หนึ่งในการตัดสินในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพด้วย ส าหรับการเลี้ยงดูทดแทนของมูลนิธิฯ ค าว่าผู้ปกครองเปรียบเสมือน สหวิชาชีพและพี่น้องในบ้าน ซึ่งมีการศึกษาและการประกอบอาชีพที่หลากหลาย หากมีโอกาสได้เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เยาวชนอาจมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น ส่วนรายได้ของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กับการสนับสนุนเยาวชนหลังส าเร็จ การศึกษา เพราะฉะนั้น ในระยะที่พวกเขาต้องเตรียมตัวที่จะรับผิดชอบตัวเอง หรือในระยะเตรียมแยกออกจากครอบครัว พวกเขาต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตโดยต้องพิจารณาถึงค่าตอบแทนหรือรายได้ในอนาคตว่าจะเพียงพอต่อการรับผิดชอบ ตนเองทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักในการเตรียมความพร้อม การที่มูลนิธิฯ สนับสนุนให้ เยาวชนมีโอกาสในการฝึกอาชีพระยะสั้นเป็นการตอบสนองปัจจัยดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ เยาวชนได้ทดลองประกอบอาชีพ และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเป็นบทบาทครอบครัวที่ควรจะเป็นตามแนวคิดวงจรชีวิตครอบครัว อีกด้วย สุดท้ายการกระบวนการติดตามและการให้การสนับสนุนเป็นบทบาทหนึ่งของสหวิชาชีพ สอดคล้องกับกระบวนการ ท างานของสหวิชาชีพ โดย อภิญญา เวชยชัย (2562) ในบทบาทของการก ากับติดตาม เพื่อประเมินว่าการเตรียมความพร้อมที่ ผ่านมาส่งผลอย่างไรภายหลังจากที่เยาวชนออกสู่สังคม นอกจากนี้ การสนับสนุนหลังเยาวชนออกสู่สังคมยังสอดคล้องกับ การท าบทบาทครอบครัวตามวงจรชีวิตครอบครัว (Family Life Cycle) ในระยะที่ 6 ระยะที่ลูกแยกออกจากครอบครัว เป็นระยะที่บุคคลจะมีความพร้อมก่อนที่จะแยกออกจากครอบครัว เพื่อไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง (สตางค์ ศุภผล, ม.ป.ป.; พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ และคณะ, 2565) สหวิชาชีพในฐานะครอบครัวจึงต้องท าบทบาทในการสนับสนุนให้เยาวชนมีความพร้อมใน ด้านเศรษฐกิจ สังคม และจิตใจที่เพียงพอส าหรับการเริ่มต้นชีวิต รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้สามารถประกอบอาชีพและ อยู่ร่วมกับสังคมได้ และมีการเสริมช่วยเมื่อพวกเขาต้องการหรือเมื่อพวกเขาประสบปัญหา


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 73 ภาพที่ 1 สรุปกระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิโสสะฯ ก่อนออกสู่สังคม และบทบาทของครอบครัวและ ผู้ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชน บทสรุป กระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมของมูลนิธิฯ สะท้อนให้เห็นการกระบวนการดูแลเด็กแบบ ครอบครัวทดแทน และบทบาทครอบครัว ซึ่งครอบครัวในที่นี้ คือ ครอบครัวโสสะฯ อันได้แก่ ผู้ดูแลคือแม่ และพี่น้องในบ้าน รวมทั้งบุคลากรที่ปฏิบัติงานตรงกับเยาวชน ซึ่งถือเป็นสหวิชาชีพ การเตรียมความพร้อมจึงต้องเริ่มจากการที่ทุกฝ่ายต้องยึด หลักการเดียวกัน คือ หลักสิทธิเด็ก และการเลี้ยงดูแบบครอบครัวทดแทน หลังจากนั้นต้องท าความเข้าใจเด็กและเยาวชนเป็น รายบุคคล จนเข้าสู่กระบวนการเตรียมความพร้อมที่เริ่มจากการประเมินศักยภาพ ความต้องการ และความเสี่ยง น าไปสู่ การวางแผนการเตรียมความพร้อมเยาวชนร่วมกัน ในส่วนนี้กระบวนการจะไม่ถูกแยกออกจากกัน เพราะระหว่างประเมินจะมี การวางแผนรวมอยู่ด้วย หลังจากนั้นครอบครัวหรือสหวิชาชีพจะท าบทบาทในการเตรียมความพร้อมเยาวชนตามบทบาท บทบาทครอบครัวและ บุคลากรที่ปฏิบัติงาน ตรงกับเยาวชนด้านการ เตรียมความพร้อม - การแก้ไขปัญหา ระหว่างเตรียมความ พร้อม - การสื่อสารเพื่อเตรียม ความพร้อม - การท าบทบาทของ ครอบครัวในการเตรียม ความพร้อม - การตอบสนองต่อ อารมณ์ในระหว่างการ เตรียมความพร้อม - การสร้างความรู้สึก ผูกพันในระหว่างการ เตรียมความพร้อม - การควบคุมพฤติกรรม ระหว่างการเตรียมความ พร้อม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 74 หน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง โดยแม่จะเป็นหลักในทุกด้านเหมือนกับครอบครัวโดยธรรมชาติที่ต้องเตรียมความพร้อมลูกๆ ก่อนออกสู่สังคมในทุกด้านเช่นกัน ส่วนสหวิชาชีพอื่น จะคล้ายกับเครือญาติที่มีความรับผิดชอบต่างกันออกไป เช่น เจ้าหน้าที่ บ้านเยาวชนชายจะเป็นหลักในการเตรียมความพร้อมด้านบุคลิกภาพและสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่การศึกษาจะเป็นหลักใน การเตรียมความพร้อมด้านสติปัญญาและบุคลิกภาพ นักสังคมสงเคราะห์จะมีส่วนในการเตรียมความพร้อมด้านสังคม เช่นเดียวกับผู้อ านวยการที่มีบทบาทในการเตรียมความพร้อมเยาวชนในทุกด้าน และให้การสนับสนุนการเยาวชนและ สหวิชาชีพ ในขณะที่เยาวชนได้รับการเตรียมความพร้อมของตนเอง พวกเขาจะมีโอกาสในการทดลองใช้ชีวิตของตนเองในแบบ ที่ตนเองเป็นผู้เลือกทั้งทางด้านวิชาการ วิชาชีพ หรือวิชาชีวิต เป็นการทดลองการใช้ชีวิตแบบองค์รวม โดยการอยู่หอพัก ซึ่งต้อง รับผิดชอบตัวเองทั้งด้านการการศึกษา การฝึกงาน การฝึกอาชีพ และการใช้ชีวิต เมื่อส าเร็จการศึกษาการเตรียมความพร้อมด้าน จิตใจและสังคม การเตรียมความพร้อมเยาวชนและสิ่งแวดล้อมจะถูกให้ความส าคัญอย่างมาก ครอบครัวจะมีส่วนในการสนับสนุน และติดตามพวกเขาหลังออกสู่สังคม เพื่อให้พวกเขามีความมั่นใจในการใช้ชีวิตในอนาคต ตารางที่ 2 สรุปกระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมและบทบาทครอบครัวในฐานะสหวิชาชีพ กระบวนการเตรียมความพร้อม เยาวชนก่อนออกสู่สังคม ประเด็นที่ต้องเตรียม บทบาทครอบครัวและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ตรงฯ (สหวิชาชีพ) กระบวนการที่ 1 การประเมินเด็กและเยาวชน ร่วมกับครอบครัว 1) การประเมินเพื่อท าแผนพัฒนาบุคคล 5 ด้าน 2) การประเมินศักยภาพและความต้องการ ของเยาวชน 3) การประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นใน อนาคต สหวิชาชีพร่วมกันประเมินในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับบทบาทของตนเอง นักสังคมสงเคราะห์ เป็นหลักในการประเมินร่วมกับสหวิชาชีพ ในการประเมินความศักยภาพ ความต้องการ ความเสี่ยงทั้งในส่วนของเด็ก เยาวชน ครอบครัว และสิ่งแวดล้อมภายนอก สหวิชาชีพวางแผนการเตรียมความพร้อมใน แต่ละด้านร่วมกัน กระบวนการที่ 2 การเตรียมความพร้อมเยาวชน ก่อนออกสู่สังคมอย่างรอบด้าน 1) การเตรียมความพร้อมด้านร่างกาย สุขภาพกาย การรักษาและป้องกันโรค การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อ มัดใหญ่ 2) การเตรียมความพร้อมด้านสติปัญญา แบบพหุปัญญา 3) การเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ การเห็นคุณค่าในตัวเอง การสร้าง ความเข้มแข็งทางจิตใจ (อึด ฮึด สู้) พัฒนาบุคลิกภาพภาพ 5 แบบ - แบบแสดงตัว: สร้างสัมพันธ์กับ คนรอบข้าง - แบบมโนส านึก: การรับรู้ตัวตน มีจิตส านัก รับผิดชอบ สหวิชาชีพร่วมกันเตรียมความพร้อมในแต่ ละด้าน แม่มีบทบาทในการเตรียมความ พร้อมทุกด้าน ส่งเสริมพัฒนาการของ เยาวชนตั้งแต่วัยเด็ก และเป็นหลักใน การเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ เจ้าหน้าที่ บ้านเยาวชนชายการเตรียมความพร้อม เยาวชนผ่านการใช้ชีวิตในบ้านเยาวชนชาย เน้นการเตรียมความพร้อมด้านบุคลิกภาพ และสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่การศึกษา เป็นหลักในการเตรียมความพร้อมเยาวชน ด้านสติปัญญาและบุคลิกภาพ นักสังคม สงเคราะห์ เตรียมความพร้อมด้านจิตใจ และบุคลิกภาพ และสิ่งแวดล้อมร่วมกับ สหวิชาชีพ และเป็นหลักทางด้านสังคม ผู้อ านวยการเตรียมความพร้อมเยาวชนใน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 75 กระบวนการเตรียมความพร้อม เยาวชนก่อนออกสู่สังคม ประเด็นที่ต้องเตรียม บทบาทครอบครัวและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ตรงฯ (สหวิชาชีพ) - บุคลิภาพแบบประนีประนอม: การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มใจ - แบบเปิดรับประสบการณ์: เรียนรู้ ประสบการณ์จากการศึกษา การฝึกงาน การฝึกอาชีพ - บุคลิกภาพแบบหวั่นไหว ต้องลด บุคลิกภาพนี้โดยการเสริมพลัง อ านาจ และให้การปรึกษา 4) การเตรียมความพร้อมด้านสิ่งแวดล้อม ทุกอ่านผ่านการสนับสนุนการท าบทบาท ของสหวิชาชีพ กระบวนการที่ 3 การทดลองใช้ชีวิต 1) วิชาการ: การทดลองใช้ชีวิตที่ สอดคล้องกับการเรียนสายสามัญ เพื่อ น าไปสู่อาชีพในอนาคต2 2) วิชาชีพ: การทดลองใช้ชีวิตที่สอดคล้อง กับการเรียนสายอาชีพ เพื่อน าไปสู่ อาชีพในอนาคต 3) วิชาชีวิต: การทดลองใช้ชีวิตจาก ประสบการณ์ตรง เช่น การอยู่หอพัก การทดลองท างาน การฝึกอาชีพ สหวิชาชีพร่วมกันสนับสนุนให้เยาวชนได้รับ การเตรียมความพร้อม โดยการทดลอง การใช้ชีวิต กระบวนการที่ 4 การติดตามและให้การ สนับสนุนหลังออกสู่สังคม - เยาวชนทุกคนจะได้รับการติดตามและ สนับสนุนภายหลังออกสู่สังคม - การติดตามเยาวชนที่ส าเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี ติดตามและให้ การสนับสนุน 6 เดือน โดย 3 เดือนแรก สนับสนุนเต็มจ านวน 3 เดือนหลัง สนับสนุนครึ่งหนึ่ง - การติดตามเยาวชนที่ส าเร็จการศึกษา ต่ ากว่าระดับปริญญาตรีมีการติดตาม ทุกคนระยะเวลาพิจารณาเป็นรายกรณี แต่ให้การสนับสนับสนุน 3 เดือน - การติดตามเยาวชนที่ออกสู่สังคมก่อน ส าเร็จการศึกษา มีการติดตามทุกคน ระยะเวลาพิจารณาเป็นรายกรณีแต่ให้ การสนับสนับสนุน 3 เดือน และเน้น การติดตามและสนับสนุนด้านการศึกษา ต่อ นักสังคมสงเคราะห์และผู้อ านวยการมี บทบาทในการติดตามและให้การสนับสนุน เยาวชน 3-6 เดือน (พิจารณาเป็นรายกรณี) แม่และเครือข่ายครอบครัว เช่น พี่น้องที่ ออกสู่สังคมแล้วจะติดตามความเป็นอยู่ของ เยาวชนอย่างสม่ าเสมอ และให้การ สนับสนุนทางจิตใจและสังคมเท่าที่จะ สามารถท าได้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 76 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะต่อมูลนิธิฯ ในการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคม 1) ควรเพิ่มองค์ประกอบ 3 ส่วนในการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคม คือ ความสามารถในการควบคุม ตนเอง ความมุ่งมั่นที่จะประสบความส าเร็จ และความสามารถในการแก้ปัญหา ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ วัยเด็ก 2) ควรมีการประเมินความพร้อมเยาวชนโดยวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอีกครั้ง ในกรณีที่เยาวชนมี ประสบการณ์เชิงลบในอดีตหรือมีปัญหาสุขภาพกายและจิต เพื่อน าข้อมูลมาพิจารณาร่วมกับสหวิชาชีพในหมู่บ้านเด็กและ วางแผนการเตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับความต้องการของเยาวชนแต่ละราย 3) ควรเตรียมความพร้อมด้านการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเมื่อต้องออกสู่สังคมและต้อง พึ่งพาตนเองจะได้สามารถใช้สื่อหรือเลือกรับสื่อได้อย่างสร้างสรรค์ 4) ควรใช้วิธีการกลุ่มให้การปรึกษา กลุ่มการเตรียมความพร้อม กลุ่มเสริมพลังอ านาจ หรือการใช้กิจกรรมกลุ่มช่วย ให้การเตรียมความพร้อมเยาวชน เพื่อให้เยาวชนได้สนับสนุนจิตใจซึ่งกันและกันมากขึ้น 5) ควรพิจารณาให้การสนับสนุนเยาวชนหลังออกสู่สังคมเป็นรายกรณีและมีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับปัญหาและ ความต้องการของเยาวชนแต่ละคน 6) ควรใช้เครือข่ายครอบครัว โดยเฉพาะแม่และสมาชิกในครอบครัวที่ออกสู่สังคมแล้วเป็นกลไกในการติดตามและให้ ค าแนะน าเยาวชนที่ออกสู่สังคมแล้ว ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป 1) การศึกษาวิจัยครั้งต่อไปควรลงรายละเอียดกิจกรรมที่ใช้ในกระบวนการเตรียมความพร้อม เพื่อให้ครอบครัว มีแนวทางในการท ากิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมเยาวชนมากขึ้น 2) การน าผลการศึกษาในครั้งนี้ไปต่อยอดและพัฒนาเป็นคู่มือการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคม 3) การศึกษาครั้งต่อไปควรมีการถอดบทเรียนการเตรียมความพร้อมเยาวชนก่อนออกสู่สังคมในช่วงที่ผ่านมา เพื่อ น าไปสู่การพัฒนากระบวนการเตรียมความพร้อมที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและสถานการณ์ปัจจุบัน เอกสารอ้างอิง กรมกิจการเด็กและเยาวชน. (2560). คู่มือปฏิบัติและข้อตกลงร่วมกัน เรื่อง การคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กในภาวะเสี่ยง และเป็นผู้เสียหายจากการละเมิด ละเลยทอดทิ้ง แสวงประโยชน์ และความรุนแรง. สืบค้นจาก https://www.dcy.go.th/public/mainWeb/file_download/1645693386343-29741025.pdf กรมกิจการเด็กและเยาวชน. (2565). แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการเลี้ยงดูทดแทนส าหรับเด็ก ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565-2569). กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. (2563). แผนปฏิบัติการด้านครอบครัว พ.ศ. 2563-2565. (อัดส าเนา). ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์ และคณะ. (2561) รายงานวิจัย โครงการวิจัย: การวิเคราะห์สถานการณ์สิทธิเด็กในประเทศไทย กรณีศึกษาเด็กที่สูญเสียการดูแลและเด็กที่เสี่ยงต่อการสูญเสียการดูแลจากพ่อแม่/ผู้ปกครอง ปี 2561. กรุงเทพฯ: SMILE COPY นฤภัค ฤธาทิพย์ และคณะ. (2562). คู่มือสร้างสรรค์พลังใจวัยทีน. กรุงเทพฯ: บียอนด์พับลิสชิ่ง. พนิตพร เลิศไกร. (2558). กระบวนการเตรียมความพร้อมเด็กก่อนกลับคืนสู่ครอบครัวของสถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็ก จังหวัดชลบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 77 พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ และคณะ. (2565). เอกสารประกอบการประชุมสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจ าปี 2565. กรุงเทพฯ: กิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. มหาวิทยาลัยมหิดล. (2566). เด็กโตนอกบ้าน...ในสถานฯที่ไม่มีใครมองเห็น. สืบค้นจาก https://www.unicef.org/thailand/media/10851/file/Policy%20Brief_TH.pdf มูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย. (2565). รายงานประจ าปี 2565 มูลนิธิโสสะ ในพระบรมราชินูปถัมภ์. สืบค้นจาก https://www.sosthailand.org/getmedia/8ee67046-6faa-4855-bcf8-0a66a8a330c6/SOS-AnnualReport-2022.pdf วรรษมน ลูกบัว. (2554). การเตรียมความพร้อมผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์สัญชาติลาวก่อนการส่งกลับคืนสู่สังคม เพื่อป้องกัน การตกเป็นเหยื่อซ้ า. สารนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. ศรีเวียง ไพโรจน์กุล และคณะ. (2547). คู่มือปฏิบัติงานของทีมสหวิชาชีพในกระบวนการคุ้มครองเด็ก. กรุงเทพฯ: มูลนิธิศูนย์ พิทักษ์สิทธิเด็ก. ศิวาพัชญ์ บ ารุงเศรษฐพงษ์. (2561). ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสายสามัญหรือสายอาชีพของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กรณีศึกษาโรงเรียนในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 2. วารสารมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ นายเรืออากาศ, 6, 114-128. สตางค์ ศุภผล. (ม.ป.ป.). แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับครอบครัวและการประเมินครอบครัว. สืบค้นจาก https://www.cpird.in.th/editors/userfiles/files/SG_Family.pdf สัตตบงกช รัตนคช. (2560). การพัฒนากระบวนการเตรียมความพร้อมผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ก่อนการส่งกลับและคืนสู่สังคม. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. สิริธิดา ชินแสงทิพย์. (2560). บทบาทของผู้ปกครองในการเสริมสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาที่ราบรื่นจากบ้านสู่โรงเรียน อนุบาล. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะครุศาสตร์. สุวรรณ จุลมั่ง. (2564). แนวทางการเพิ่มจ านวนผู้ศึกษาต่อสายอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ในพื้นที่ส านักงาน ศึกษาธิการภาค 17. สืบค้นจาก https://reo17.moe.go.th/wp-content/uploads/2022/08/%E0%B8%AD% E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B0.pdf องค์การสหประชาชาติ. (2558). การศึกษาทบทวนด้านการเลี้ยงดูทดแทนในประเทศไทยนโยบายสู่การปฏิบัติโดยมุ่งเน้นเด็ก ที่ได้รับผลกระทบจากเอชไอวี/เอดส์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, วิทยาลัยโลกคดีศึกษา และ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย. อภิญญา เวชยชัย. (2562) การจัดการรายกรณีในการปฏิบัติงานคุ้มครองเด็ก. กรุงเทพฯ: สมาคมนักสังคมสงเคราะห์แห่ง ประเทศไทย. Costa, P. T., & McCrae, R. R. (1992). The Five-Factor Model of Personality and Its Relevance to Personality Disorders. Retrieved from https://www.researchgate.net/publication/248617484_The_FiveFactor_Model_of_Personality_and_Its_Relevance_to_Personality_Disorders Michele, Marenus. (2023). Howard Gardner’s Theory Of Multiple Intelligences. Retrieved from https://www.simplypsychology.org/multiple-intelligences.html Suzette René Lenders. (2015). The Role of Family Functioning in the Decision-making styles of Adolescents in the Overberg area. Retrieved from https://etd.uwc.ac.za/xmlui/handle/11394/4721


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 78 แนวทางการจัดการพลังงานชุมชน กรณีศึกษาชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัย อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย Guidelines for community energy management, with a case study of Pa O Don Chai Subdistrict community, Mueang Chiang Rai District Chiang Rai Province สุพจน์ทนทาน1 Supot Tontan2 กมลทิพย์แจ่มกระจ่าง4 Kamonthip Chaemkrajang5 Abstract This research is qualitative research and aims to study the development, community energy management process and success factors for community energy management, in a case study of Pa O Don Chai Subdistrict community, Mueang Chiang Rai District. The study population is a 51 person. The research results showed that; A study of the community energy management process found that; In terms of energy management planning, it was found that the community participated in the community energy planning project, participation in drafting plans, public hearing of the plan, setting community energy plans into development plans of The Subdistrict Municipality, it was found that energy production was promoted according to the community's potential, it was found that efficient energy use was promoted, it was found that the improvement and development of energy technology, studying tour on energy, to promote energy technology, promoting energy model communities energy work, using energy-saving, and creating awareness in people regarding energy conservation. For suggestions include: Further research should be conducted to collect actual energy consumption units inv the local community. The study’s problems and obstacles should be highlighted, and recommendation or solutions should be provided, This study can be used as a guideline to drive local community’s energy operation. Keywords: Energy, Community energy, Management บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการ กระบวนการ และปัจจัยความส าเร็จการจัด การพลังงานชุมชน กรณีศึกษาชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัย อ าเภอเมืองเชียงราย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นผู้ที่สามารถให้ ข้อมูลหลัก จ านวน 51 คน ผลการวิจัย พบว่า ชุมชนเข้าร่วมโครงการวางแผนพลังงานชุมชน มีส่วนร่วมจัดท าร่างแผน ประชา พิจารณ์แผน บรรจุแผนพลังงานชุมชนลงในแผนพัฒนาของเทศบาลต าบล ส่งเสริมการผลิตพลังงานตามศักยภาพของชุมชน ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน ศึกษาดูงานด้านพลังงาน การเผยแพร่ เทคโนโลยีพลังงาน ส่งเสริมชุมชนต้นแบบพลังงาน ลดใช้ไฟฟ้า สร้างจิตส านึกให้ประชาชนอนุรักษ์พลังงาน ส าหรับข้อเสนอแนะ 1 นักศึกษาหลักสูตรพัฒนาชุมชนมหาบัณฑิต, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 2 Master student, Program in Community Development, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 4 รองศาสตราจารย์. อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 5 Associate Professor, Advisor, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 79 ควรมีการเก็บข้อมูลตัวเลขสถานการณ์การใช้พลังงานชุมชนเพื่อน ามาวิเคราะห์ให้เห็นปริมาณการใช้พลังงาน ควรศึกษาถึง ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ การวิจัยในครั้งนี้สามารถน าไปใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนด าเนินงานด้านพลังงานชุมชน ค าส าคัญ: พลังงาน, พลังงานชุมชน, การจัดการ บทน า ที่มาและความส าคัญของปัญหา สภาพปัญหาทางด้านพลังงานของประเทศที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ อันเนื่องมาจาก การพึ่งพาการน าเข้าจากต่างประเทศเพื่อให้มีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะ ที่แหล่งพลังงานภายในประเทศลดลง รวมถึงภาคไฟฟ้าที่ถึงแม้จะมีการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการใช้แต่ก็ยังคงขาด การกระจายประเภทเชื้อเพลิงและไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ตามแผนที่ก าหนด ส่งผลให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพลังงานในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศ จึงต้องเร่งรัดและผลักดันการด าเนินโครงการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พลังงานทั้งในด้านการจัดหาพลังงานให้เพียงพอ ต่อความต้องการ การเสริมสร้างความมั่นคงและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านพลังงานของประเทศ การก ากับดูแลกิจการและราคา พลังงานให้มีความเหมาะสม จากข้อมูลสถานการณ์พลังงานในช่วง 9 เดือนของปี 2565 (ระหว่างเดือนตุลาคม 2564-มิถุนายน 2565) พบว่า การใช้พลังงานขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รวมถึงมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มากขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของ การใช้พลังงานขั้นสุดท้ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นในเกือบทุกประเภทพลังงาน โดยการใช้น้ ามันส าเร็จรูปในส่วนของ น้ ามันเครื่องบินมีการใช้เพิ่มขึ้นถึงร้อย 80.1 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการ ส าหรับการใช้ไฟฟ้ามีการใช้เพิ่มขึ้น ในเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสาขาธุรกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และบริการ รวมทั้งการที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้ให้บุคลากรกลับไปท างานที่ส านักงานตามปกติหลังการแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง ส าหรับแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานของประเทศปี 2566 คาดว่าจะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.7 จากความต้องการเดินทางที่มีแนวโน้มกลับมาเป็นปกติมากขึ้นทั้งการเดินทางภายในประเทศและการเดินทาง ระหว่างประเทศ รวมทั้งการขยายตัวของการลงทุนทั้งการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐ โดยการใช้น้ ามันคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.2 ก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 1.8 การใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 และ การใช้ไฟฟ้าพลังน้ าและไฟฟ้าน าเข้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 อย่างไรก็ตามในส่วนของสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ ไทย และแนวโน้มความต้องการพลังงานในปี 2566 ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจ ประเทศหลักที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและภาคการส่งออก สถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียกับยูเครน และ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและอนุญาตให้มีการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศจีน (ZERO COVID-19) ซึ่งกระทรวง พลังงานจะติดตามและบริหารนโยบายพลังงานในช่วงวิกฤตราคาพลังงานอย่างใกล้ชิดเพื่อหาแนวทางและมาตรการ ในการช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤตพลังงานต่อไป (ส านักงานนโยบายและแผนพลังงาน, กระทรวงพลังงาน. 2565) กระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบในการจัดหาพลังงานในประเทศอย่างเพียงพอจึงมี ความต้องการให้ชุมชนมีความสามารถในการจัดการชุมชนเองได้ ได้เริ่มมีแนวคิดในการใช้แผนพลังงานชุมชนเพื่อให้ชุมชนจัด การพลังงานชุมชนและสามารถพึ่งตนเองได้ โดยการน าพลังงานที่มีอยู่ในประเทศมาใช้ตามศักยภาพพลังงาน การสรรหาแหล่ง พลังงานทดแทน และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ประเทศชาติได้มีพลังงานใช้อย่างยั่งยืน จึงเป็น การปรับรูปแบบการด าเนินงานของภาครัฐ โดยกระทรวงพลังงานได้ตระหนักถึงความส าคัญในการจัดหาแหล่งพลังงานที่ หลากหลาย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยใช้พลังงานทดแทนเป็นพลังงานหลักของประเทศแทนการน าเข้าน้ ามัน และทรัพยากร


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 80 พลังงานจากต่างประเทศ เพิ่มความมั่นคงในการจัดหาพลังงานให้ประเทศ ส่งเสริมการใช้พลังงานรูปแบบชุมชนสีเขียวครบวงจร สนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในประเทศ และวิจัย พัฒนา ส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ประสิทธิภาพสูง (ส านักนโยบายและยุทธศาสตร์, กระทรวงพลังงาน. 2551 หน้า 9) ต าบลป่าอ้อดอนชัย อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เป็นตัวอย่างของชุมชนที่มีการจัดการพลังงานชุมชนที่โดด เด่น ชุมชนมีความเข้มแข็ง ภายในชุมชนมีศูนย์เรียนรู้พลังงานทดแทน ได้รับรางวัลชุมชนต้นแบบในการจัดการพลังงานชุมชน ในระดับภาคเหนือ จากกระทรวงพลังงาน และรางวัลต่างๆ อีกมากมาย นอกจากนี้แล้ว ชุมชนยังได้รับการยอมรับว่ามีการจัด การพลังงานชุมชนที่ดีสามารถเป็นต้นแบบด้านการจัดการพลังงานชุมชน ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาว่าชุมชนที่มีการจัด การพลังงานชุมชนได้เองนั้นมีแนวทางการจัดการพลังงานชุมชนอย่างไร โดยผู้วิจัยได้มีการศึกษาถึงพัฒนาการด้านการจัด การพลังงานชุมชน กระบวนการจัดการพลังงานชุมชน และปัจจัยความส าเร็จการจัดการพลังงานชุม ชน เพื่อเป็นบทเรียน การจัดการพลังงานชุมชน และใช้เป็นแนวทางในการด าเนินงานด้านการจัดการพลังงานชุมชนให้แก่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงาน และประชาชนที่สนใจต่อไป วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาพัฒนาการด้านการจัดการพลังงานชุมชน กรณีศึกษาชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัย อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย 2. เพื่อศึกษากระบวนการจัดการพลังงานชุมชน กรณีศึกษาชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัย อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัด เชียงราย 3. เพื่อศึกษาปัจจัยความส าเร็จการจัดการพลังงานชุมชน กรณีศึกษาชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัย อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย การทบทวนวรรณกรรม ความหมายของพลังงานชุมชน เดชรัต สุขก าเนิด (2553, น.28) ได้กล่าวถึงความหมายของการวางแผนพลังงานชุมชน หมายถึง กระบวนการสร้างการมี ส่วนร่วมของประชาคมในการจัดการด้านพลังงานในท้องถิ่นของตนเอง โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้เพื่อท าความเข้าใจเรื่องของ พลังงาน ศึกษาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลในชุมชน รวมทั้งร่วมกันวางแผนปฏิบัติการในการจัดการ ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการวางแผนพัฒนาพลังงานชุมชน จึงเป็นเรื่องของประชาชนทุกคน และหน่วยงานในพื้นที่ที่จะมา ท างานและเรียนรู้ร่วมกัน สมศักดิ์ มีนคร (2555, น.11 ) ได้กล่าวถึงการจัดการพลังงานชุมชนที่ยั่งยืน คือ การพัฒนาและการจัดการพลังงานต้องท า อย่างยั่งยืนต้องค านึงถึงในหลายๆ มิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และต้องสอดคล้องกับสังคม วัฒนธรรม ศักยภาพ ของชุมชนนั้นๆ ด้วย การจัดการพลังงานจะยั่งยืนได้จะต้องมีการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้ ลดการน าเข้าพลังงานจากภายนอกหรือมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพลังงานลดลง มีการเลือกใช้พลังงาน ทางเลือกอื่นๆ ที่สอดคล้องกับศักยภาพของท้องถิ่นและชุมชน ทั้งนี้จะต้องมีการกระจายอ านาจในการจัดการ เปิดโอกาสให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ และต้องมีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน วิสาขา ภู่จินดา (2555, น. 7) ได้ให้ความหมายของการบริหารจัดการพลังงานชุมชนและครัวเรือน ดังนี้ 1. การใช้พลังงานอย่างประหยัดโดยอาศัยการมีความรู้ความเข้าใจ การมีความตระหนัก การมีจิตส านึกด้านพลังงาน เช่น การปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน การเดินเท้าหรือปั่นจักรยานแทนการใช้รถยนต์ และการเลือกใช้วิธีการประหยัดพลังงานที่ เหมาะสม เช่น ใช้หลอดประหยัดไฟ การใช้ฝาครอบเตาในครัวเรือน 2. การหาพลังงานทางเลือกหรือการผลิตพลังงานใช้เอง ซึ่งต้องอาศัยทรัพยากรที่มีในชุมชนหรือครัวเรือน การใช้ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น การมีส่วนร่วมของชุมชน การมีความรู้ความเข้าใจ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 81 ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้ให้นิยามของ การจัดการพลังงานชุมชน หมายถึง การจัดการทรัพยากรพลังงานในชุมชนตาม ศักยภาพด้านพลังงานของชุมชนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในชุมชน ซึ่งค านึงถึง ปัจจัยด้านทรัพยากรมนุษย์ งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ และหลักการบริหารจัดการ รวมทั้งน้อมน าแนวพระราชด าริ “เศรษฐกิจ พอเพียง” มาเป็นแนวทางในการด าเนินงานส่งเสริมการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ชุมชนมีความมั่นคงทางพลังงาน และเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน แนวคิดการจัดการพลังงานชุมชน กระทรวงพลังงาน,ส านักนโยบายและยุทธศาสตร์ (2551, น. 22-25) สรุปหลักการจัดการพลังงานระดับชุมชน ได้แก่ 1. เน้นการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม ท าให้เป็นกระบวนการเชิงระบบคือเริ่มตั้งแต่ขั้นของการคิดริเริ่มการจัดท าโครงการ การวางแผน และพัฒนาโครงการ การลงมือท า การติดตามผล การรับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมเพื่อความต่อเนื่องและ การเป็นเจ้าของการด าเนินงานหลังจากที่สิ้นสุดโครงการทั้งในเรื่องของแนวคิด กระบวนการท างาน ทรัพยากรบุคคล งบประมาณ และการสนับสนุน 2. การบูรณาการจัดกิจกรรมอนุรักษ์พลังงาน การให้ความรู้และจัดการพลังงานต้องให้สอดคล้องกับสภาพ ความเป็นจริง ชีวิตจริง สามารถที่จะเชื่อมโยงกับกิจกรรมชุมชนไว้เพื่อความกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับวิถีชีวิต 3. การเรียนรู้ พัฒนาภูมิปัญญาจากการปฏิบัติ หลอมรวมเป็นกระบวนการเรียนรู้ก่อเกิด การคิดใหม่ ท าใหม่ ในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ การจัดการพลังงาน 4. การจัดหาเทคโนโลยีต้องให้สอดคล้องกับศักยภาพของชุมชน เพื่อให้ชุมชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง สามารถสนองตอบความต้องการที่แท้จริงของประชาชนและต้องค านึงถึงการดูแลรักษา ชุมชนต้องมีศักยภาพมากพอใน การดูแลด้วย5. เสริมสร้างความตระหนักรู้ และพัฒนาศักยภาพองค์กรชุมชน ในการจัดการความรู้และประสานความร่วมมือกับ ภาคีหน่วยงานองค์กรท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาในชุมชนร่วมกันอย่างมีระบบและเกิดการขยายผล 6. ยกระดับความรู้ที่บูรณาการ ใน 3 ระดับ คือ ระดับวิชาการ ระดับการจัดการ ระดับวิถีวัฒนธรรมชุมชนในแต่ละบริบท ให้เกิดการขยายผลที่เป็นรูปธรรม โดยใช้ประเด็นวิถีวัฒนธรรมชุมชนเป็นสื่อหรือตัวเดินเรื่องให้เกิดเวทีทางสังคมในการจัดการความรู้ 7. เสริมสร้างพลัง การขับเคลื่อนทางสังคมและชุมชน สู่การผลักดันในระดับนโยบายสาธารณะในการเสริมสร้างความตระหนักร่วมให้กับชุมชนและ สังคมในการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับวิถีวัฒนธรรม ภูมิปัญญาของชุมชนแต่ละบริบท หรือให้ชุมชนเป็นตัวตั้ง และ 8. เสริมสร้าง ความรู้ให้กับทีมงานในการจัดการความรู้ที่สามารถเชื่อมโยงกับเนื้องานเดิมและใช้ทุนทางสังคมเป็นสื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกันใน ชุมชนให้เกิดการขับเคลื่อนที่ต่อเนื่องและยั่งยืน ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม วิสาขา ภู่จินดา (2552, น. 131-133) การประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการพลังงานของ ประเทศเป็นสิ่งที่ควรจะกระท าอย่างยิ่ง เพราะทุกวันนี้เราใช้พลังงานอย่างขาดความระมัดระวัง โดยที่ไม่ได้มองถึงอนาคตที่จะมี การขาดแคลนพลังงาน ซึ่งไม่เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เราใช้พลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการโดยที่ไม่ได้คิดจะลดการใช้ พลังงานโดยการประหยัดพลังงานมากกว่าที่จะหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และที่ส าคัญเราต้องพึ่งพาต่างประเทศด้านการจัดหา พลังงาน เช่น น้ ามันดิบ น้ ามันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการไม่พึ่งตนเอง และยังท าให้ประเทศขาดความมั่นคงด้านพลังงาน ฉะนั้นประเทศควรหาทางสร้างความพอประมาณและสร้างภูมิคุ้มกันด้าน พลังงาน ความสอดคล้องของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ได้แก่ ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล การสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ความรู้และคุณธรรมกับการจัดการและอนุรักษ์พลังงานนั้นสามารถสรุปได้ดังนี้ หลักความพอประมาณ คือ ความสมดุล ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป ซึ่งเมื่อน ามาใช้ในการจัดการและอนุรักษ์ พลังงานนั้นอาจพิจารณาได้โดยการใช้พลังงานอย่างไม่ฟุ่มเฟือย ใช้พลังงานอย่างรู้ค่า รู้จักเลือกซื้อ เลือกใช้เท่าที่จ าเป็น สามารถลดการใช้พลังงานลงได้และลดรายจ่ายด้านพลังงานได้ผลิตพลังงานใช้เองตามก าลังทรัพยากรที่มีและสามารถบริหาร จัดการพลังงานเองได้ ที่เหลือสามารถขายต่อให้ภายนอกได้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 82 หลักความมีเหตุมีผล คือ การตัดสินใจเกี่ยวกับความพอประมาณนั้นจะต้องมีเหตุมีผล ดังนั้นการเลือกใช้พลังงานให้ เหมาะสมกับสภาวการณ์และสภาพแวดล้อม ควรเลือกพลังงานที่ชุมชนและประเทศมีอยู่เป็นล าดับแรกก่อนเลือกใช้พลังงานที่ ต้องน าเข้า และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการผลิตพลังงานโดยลดการน าเข้าจากภายนอก หลักการสร้างระบบภูมิคุ้มกัน คือ การพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งควรมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมโดย การศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียด ซึ่งในด้านพลังงานนั้นการจัดการและพัฒนาพลังงานทดแทน จากฐาน ทรัพยากร หรือเศษวัสดุเหลือใช้ที่มีอยู่ในชุมชนส่งเสริมการผลิตพลังงานโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน การหาแหล่งพลังงานส ารองไว้ และสร้างความหลากหลายของแหล่งพลังงาน ความรู้และคุณธรรม คือ การรอบรู้สาขาวิชาการนั้นๆ และการมีความตระหนัก ซึ่งในด้านพลังงานนั้นควรมีการน า ภูมิปัญญาชาวบ้านและท้องถิ่นมาใช้ การพึ่งพาแรงงานคนท้องถิ่นและให้โอกาสกับชุมชนในการสร้างงานแทน การน าเข้า เทคโนโลยีจากภายนอก เป็นการช่วยเหลือสังคมทางหนึ่งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศ ตัวอย่างพลังงานชุมชนต้นแบบ ส านักงานพลังงานจังหวัดพะเยา (2553, น. 15) ได้สรุปถึงศักยภาพของชุมชนต้นแบบด้านพลังงาน บ้านบัว ต าบล บ้านตุ่น อ าเภอเมือง จังหวัดพะเยา กล่าวคือ ชุมชนเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง เป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ผู้น าชุมชนให้ ความส าคัญกับเรื่องพลังงาน ชุมชนมีศักยภาพด้านพลังงานชีวมวลจึงมีการส่งเสริมการผลิตเตาชีวมวลโดยใช้เศษวัสดุทาง การเกษตรที่เหลือทิ้งมาเป็นเชื้อเพลิงและมีศักยภาพด้านพลังงานชีวภาพเพราะในชุมชนมีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงโค สุกร ไก่ จึงมีมูล สัตว์เป็นวัตถุดิบส าคัญในการผลิตก๊าซชีวภาพ จึงมีการส่งเสริมโครงการก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์และสร้างเป็นแหล่งเรียนรู้ใน ชุมชน รวมทั้งการจัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพพลังงาน และวิสาหกิจชุมชน ส านักงานพลังงานจังหวัดเชียงใหม่ (2554, น. 6) ได้สรุปถึงชุมชนต้นแบบด้านพลังงาน บ้านย่าปาย ต าบลบวกค้าง อ าเภอสันก าแพง จังหวัดเชียงใหม่ ไว้ว่าชุมชนประสบความส าเร็จในการจัดการพลังงานชุมชน เกิดการพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ เทคโนโลยีที่เหมาะสมครบวงจรทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เป็นแหล่งถ่ายทอดให้ความรู้ด้านพลังงานชุมชนทั้งในและต่างจังหวัด และมีการผลิตและจ าหน่ายเทคโนโลยีพลังงาน เช่น เตาเผาขยะประสิทธิภาพสูงไร้ควัน เตาปิ้งย่างไร้ควันประสิทธิภาพสูง เตาชีวมวลแกลบ เตาชีวมวลขี้เลื่อย เตาเผาถ่านแบบเคลื่อนย้าย มีการเผยแพร่ความรู้ด้านพลังงานร่วมกับส านักงานพลังงาน จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งมีวิทยากรด้านพลังงานประจ าท้องถิ่นได้สานต่องานด้านพลังงานชุมชน ซึ่งมีการจัดรายการวิทยุใน รายการ “พลังงานเพื่อชีวิต มีพลังงานมีความสุข” และขยายผลด้านพลังงานชุมชนเข้าสู่สถานศึกษาและโรงเรียนต่างๆในพื้นที่ ส านักงานพลังงานจังหวัดล าพูน (2555, น. 20) ได้สรุปถึงความส าเร็จของการจัดการพลังงานชุมชนต้นแบบบ้านไร่ ต าบลอุโมงค์ อ าเภอเมือง จังหวัดล าพูน สรุปได้ว่า การเปิดโอกาสให้ประชาชนและแกนน าชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัด การพลังงานชุมชนโดยใช้กระบวนการจัดท าแผนพลังงานชุมชนจนได้แผนฉบับสมบูรณ์ได้ด าเนินโครงการน าร่องผลิต ไบโอดีเซล โดยเทศบาลต าบลอุโมงค์เป็นศูนย์รับซื้อน้ ามันเหลือทิ้งในจังหวัดล าพูนเพื่อน ามาเป็นวัตถุดิบผลิตไบโอดีเซลใช้ใน ชุมชน มีการขยายผลการผลิตไบโอดีเซลแบบเขย่ามือไปสู่ชุมชน มีการจัดตั้งกลุ่มอาชีพผลิตเตาซุปเปอร์อั้งโล่ในชุมชนบ้านไร่ ภายในชุมชนมีสวนล าไยมากจึงมีการส่งเสริมเตาอบล าไยเนื้อสีทอง ส าหรับเศษกิ่งไม้จากการตัดแต่งกิ่งมาผลิตเป็นถ่านไม้ เทศบาลอุโมงค์ได้ด าเนินกิจกรรมรณรงค์ ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน การเปลี่ยนหลอดประหยัดไฟเป็นหลอดตะเกียบและ หลอด LED ประหยัดพลังงาน การรณรงค์ส่งเสริมให้ใช้จักรยานในระยะทางใกล้ รวมทั้งการพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ต้นแบบ ประหยัดพลังงานชุมชน และเผยแพร่เทคโนโลยีพลังงานสู่ชุมชน การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น โกวิทย์ พวงงาม (2551, น.54-55) ได้สรุปความหมายของการจัดการตนเอง พบว่า มีความเกี่ยวข้องกับความเป็นตัวตน ของหน่วยๆ หนึ่งที่มีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ระดับหน่วยย่อยไปจนถึงหน่วยที่มีขนาดใหญ่ในภาพรวมที่สามารถจัดการตนเอง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 83 ได้ โดยที่การจัดการตนเองนั้นจะมีความซับซ้อน มีลักษณะที่ไม่เป็นมาตรฐาน และไม่อยู่ในภาวะดุลยภาพ แต่จะมีลักษณะที่ สามารถปรับตัวเปลี่ยนแปลงแบบอิสระในเชิงพลวัตตามบริบทที่เกิดขึ้นภายใต้องค์ความรู้ที่มีอยู่ของตนเอง ดังนั้น การส่งเสริม ชุมชนให้เข้มแข็งพี่งตนเองได้ก็จะเป็นผลต่อการลดภาระของรัฐบาลในอนาคต ซึ่งกระบวนการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น เป็น การปลดปล่อยที่ท าให้ประชาชน ชุมชนท้องถิ่นมีความคิดอย่างเป็นอิสระในการจัดการตนเอง โดยสามารถก่อให้เกิดกระบวนการ มีส่วนร่วมของประชาชนและท าให้พลังอ านาจของคน กลุ่ม องค์กรในชุมชนน าไปสู่เป้าหมายชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งและ พึ่งตนเองได้คือการจัดการตนเองของชุมชนและท้องถิ่นอย่างแท้จริง นภารัตน์ กิตติรัตนมงคล (2562, น. 10) ได้กล่าวถึง การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น คือ เป็นการเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีปฏิบัติในการบริหารกิจการบ้านเมืองจากบนลงล่างที่เป็นมาโดยตลอดนับแต่มีรัฐชาติและเปลี่ยนมาผสมผสานกับ การบริหารแบบล่างขึ้นบน โดยที่ภาคประชาสังคมมีสิทธิมีเสียงและมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารกิจการบ้านเมืองมากขึ้น ทั้งในมิติเชิงนโยบายและการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (2554, น. 6) ได้ให้ความหมายของ ชุมชนจัดการตนเอง คือ การที่ต าบล อ าเภอ จังหวัด ภูมินิเวศน์ และชุมชนในระดับนานาชาติมีการจัดการทุน ได้แก่ คน องค์กรชุมชน งบประมาณ และทรัพยากรต่างๆ เพื่อแก้ไข ปัญหาและพัฒนาชุมชนตนเองไปสู่เป้าหมายอย่างยั่งยืน สร้างชุมชนที่มีจิตส านึกสาธารณะ รู้เป้าหมาย เชื่อมั่นในวิถีพลังชุมชน มีความสามารถในการจัดการชุมชนและจัดการความสัมพันธ์กับภาคี ใช้แผนการจัดการความรู้ และทุนชุมชนแก้ไขปัญหา รวมทั้งพัฒนาตนเองทุกด้านอย่างเป็นระบบ เพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผู้วิจัยจึงได้ให้นิยามของ การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น คือ การมีส่วนร่วมโดยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาค ส่วนในชุมชนท้องถิ่นที่สามารถแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ โดยผ่านกลไกการพัฒนาของชุมชน มีการบริหารจัดการด้าน ศักยภาพของทุนชุมชนและทรัพยากรที่ส าคัญในชุมชน มีการวางแผนการด าเนินงาน มีการประสานที่ดี การบริหารโครงการมี ประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สาธารณชน โกวิทย์ พวงงาม (2551, น. 379-382) กระบวนการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นในลักษณะที่เชื่อมโยงกับแนวคิด และการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการตนเอง ดังนี้ 1. แนวคิดการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้นั้น ชุมชนท้องถิ่นเองจะต้องมีแนวคิดโดยเฉพาะความเชื่อ พื้นฐานในปรัชญาการพัฒนาชุมชนว่า มนุษย์มีความสามารถและมีพลังอันซ่อนเร้น แฝงอยู่ทั้งพลังความคิด ทักษะ แรงงานที่มี ความสามารถพัฒนาตนเองได้ตามขีดความสามารถทางคุณภาพและคุณธรรม หากโอกาสอ านวยและมีผู้ให้การสนับสนุน ซึ่งการอยู่ร่วมกันในชุมชน สังคม มนุษย์ต้องการอยู่ด้วยความสุขกาย สบายใจและมีความเป็นธรรมโดยชุมชนมีความสมดุลใน การพัฒนา ดังนั้น การที่ชุมชนท้องถิ่นจะสามารถจัดการตนเองได้นั้นชุมชนต้องมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของคน และชุมชนว่า สามารถจัดการตนเองได้ ด้วยการยึดหลักการพึ่งตนเองเป็นที่ตั้ง ศักยภาพของชุมชน หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทุนมนุษย์ ทรัพยากรในองค์กรและทุนทางสังคมที่มีอยู่ภายใน ชุมชนหนึ่งที่สามารถยกระดับเพื่อแก้ไขปัญหาของส่วนรวม และปรับปรุงหรือผดุงรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนนั้น การด าเนินการอาจกระท าผ่านกระบวนการของสังคมแบบไม่เป็นทางการ หรือการรวมกลุ่มของปัจเจกบุคคล องค์กรและ เครือข่ายทางสังคมที่มีอยู่ในระดับต่างๆ รวมทั้งในระดับชุมชน ซี่งลักษณะศักยภาพชุมชน ประกอบด้วย 4 ประเด็น คือ 1.ความรู้สึกของความเป็นชุมชน มักแสดงออกในรูปของความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันของสมาชิกในชุมชนที่เกี่ยวกับระบบ คุณค่า บรรทัดฐานทางสังคม และวิสัยทัศน์ร่วมของชุมชน 2. การมีค ามั่นสัญญา คือ การที่สมาชิกมองว่า ตนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน ชุมชน และสมาชิกมีความเต็มใจที่จะร่วมกิจกรรมของชุมชนอย่างแข็งขันในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน 3.ความสามารถใน การแก้ปัญหา คือ การแปลค ามั่นสัญญาไปสู่การปฏิบัติจริง ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญของศักยภาพชุมชน 4. การเข้าถึง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 84 ทรัพยากร ในที่นี้ หมายถึง การมีเครื่องมือช่วยให้สมาชิกชุมชนเข้าถึงทรัพยากรในด้านเศรษฐกิจ มนุษย์ กายภาพ และ ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งภายในชุมชนและระหว่างชุมชน ระดับและระยะทางที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลต่อการเข้าถึงฐานทรัพยากร 2. ความหมายของการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น หมายถึง การที่ชุมชนท้องถิ่นมีความสามารถจัดการกับปัญหา และสามารถ จัดการความสัมพันธ์ของชุมชน หรือจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความอิสระ ทั้งทางด้านความคิด การแสดงออก และมีองค์ความรู้ที่อาจจะถูกถ่ายทอดมาในรูปแบบของภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือเกิดขึ้นจากการสั่งสม ประสบการณ์ของชุมชนท้องถิ่นเอง ซึ่งอาจแสดงออกมาในรูปของการจัดท าแผนงานและโครงการเป็นของชุมชนเอง การจัดรูปแบบองค์กรชุมชน สถาบันชุมชน หรือสภาองค์กรชุมชน การวางกฎระเบียบชุมชน เพื่อก าหนดแนวทางการพัฒนา ชุมชนของคนในชุมชนท้องถิ่น โดยคนในชุมชนท้องถิ่น และเพื่อคนในชุมชนท้องถิ่น โดยค านึงถึงหลักความเสมอภาค เป็นธรรม สิทธิมนุษยชน และอัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่นเอง การจัดการตนเองมีความเกี่ยวข้องกับความเป็นตัวตนของหน่วยๆ หนึ่งที่มีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ระดับ หน่วยย่อยไปจนถึงหน่วยที่มีขนาดใหญ่ในภาพรวม ที่สามารถจัดการตนเองได้ โดยที่มีการจัดการตนเองนั้นจะมีความซับซ้อน มีลักษณะที่ไม่เป็นมาตรฐาน และไม่อยู่ในภาวะดุลยภาพ แต่จะมีลักษณะที่สามารถปรับตัวเปลี่ยนแปลงแบบอิสระในเชิงพลวัต ตามบริบทที่เกิดขึ้นภายใต้องค์ความรู้ที่มีอยู่ของตนเอง 3. การเสริมสร้างศักยภาพชุมชนเพื่อการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น องค์ประกอบที่ส าคัญในการพิจารณาศักยภาพที่ส าคัญขององค์กรชาวบ้าน ได้แก่ 1.ศักยภาพในการริเริ่มโครงการ องค์กรชาวบ้านในหลายพื้นที่สามารถรวมตัวกันเอง โดยริเริ่มโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนา อีกทั้งความสามารถใน การประสานประสบการณ์เพื่อใช้ในกิจกรรมโครงการ 2. ศักยภาพการบริหารจัดการ องค์กรชาวบ้านหลายกลุ่มหลายองค์กร สามารถที่จะแบ่งบทบาทหน้าที่ และจัดการทั้งในเรื่องคน เรื่องเงิน และกิจกรรม รวมทั้งการกระจายผลประโยชน์สู่สมาชิกได้ อย่างทั่วถึง 3. ศักยภาพในการระดมทุน มีทั้งการระดมทุนภายในชุมชนด้วยรูปแบบต่างๆ เช่น การลงหุ้น การเก็บเงินสมาชิก การทอดผ้าป่า การรวมกลุ่มออมทรัพย์ เป็นต้น และการระดมทุนจากภายนอก เช่น ในรูปแบบของการกู้ยืมเงิน การประสาน โครงการพัฒนาแบบให้เปล่าจากภาครัฐ การประสานงบประมาณจากองค์กรพัฒนาเอกชน และแหล่งทุนจากภาคธุรกิจ ซึ่งหลายองค์กรพบว่าสามารถเข้าถึงแหล่งทุนต่างๆเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี และมีความสามารถในการน าเงินทุนมาใช้ในการด าเนิน กิจกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ 4. ศักยภาพในการต่อรองทางการเมือง การรวมตัวกันเป็นเครือข่ายขององค์กรชาวบ้าน สามารถ มีอ านาจต่อรองทางการเมือง ซึ่งมีให้เห็นในหลายกรณีปัญหา เช่น ปัญหาป่าไม้ ที่ดิน สิ่งแวดล้อม หรือปัญหาการประกอบ อาชีพ ซึ่งการต่อรองทางการเมือง จะท าให้ชาวบ้านลดความกลัว และกล้าแสดงออกต่อผู้มีอ านาจหรือกลุ่มทุนมากขึ้น และ 5. ศักยภาพผู้น าชาวบ้าน ซึ่งผู้น าถือว่าเป็นคนที่มีความส าคัญอย่างสูง ผู้น าเหล่านี้อาจประกอบด้วยผู้น าทางความคิด ผู้น าทาง ศีลธรรม ผู้น าทางด้านอาชีพหรือเทคนิค หรือการปฏิบัติ ผู้น าที่สามารถประยุกต์งานและประสานงานกับทางราชการ และเอกชน รวมทั้งประสานภายในหมู่บ้าน ศักยภาพของผู้น าต่างๆ เหล่านี้มีอยู่จริงและได้รับการพัฒนาเสมอ เพื่อให้บรรลุการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนอย่างแท้จริง จ าเป็นต้องปรับบทบาทของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการท างาน พัฒนาให้เป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมให้สมาชิกชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาชุมชน นักพัฒนาจึงเป็นเพียง ผู้สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาโดยชาวบ้านเป็นผู้พัฒนาชุมชนได้ด้วยตนเอง หรือกระตุ้นให้เกิดการจัดการตนเองของชุมชนโดยมี วิธีด าเนินการ ได้แก่1. การเสริมสร้างศักยภาพชุมชนในการวางแผนชุมชนและด าเนินงานพัฒนาชุมชน 2.การสร้างพลังอ านาจ โดยชุมชนเป็นเจ้าของกิจการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนเอง3.การร่วมมือกันระหว่างองค์กรต่างๆ ทั้งภายในชุมชนและระหว่างชุมชน 4.การขยายขอบเขตกิจกรรมของชุมชนให้กว้างขึ้นและครอบคลุมประเด็นต่างๆ5.การเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงข้อมูล ชุมชนได้ ทราบและเรียนรู้ข้อมูลการพัฒนาชุมชนของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันการศึกษา และ 6.การพัฒนา กิจกรรมพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม ไม่แยกเป็นรายกิจกรรมย่อย เพื่อให้เกิดความร่วมมือท างานพัฒนาชุมชนอย่างรอบด้าน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 85 ชุมชนพึ่งตนเอง กาญจนา แก้วเทพ และคณะ (2530, น. 34) ได้แบ่งลักษณะการพึ่งตนเองของชุมชนเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. การพึ่งตนเองในลักษณะปัจเจกบุคคล หมายถึง กิจกรรมทั้งหลายที่กระท าโดยปัจเจกชน และครัวเรือนเพื่อให้ บรรลุถึงการมีหลักประกันของการด ารงชีพของเขา 2. การพึ่งตนเองในลักษณะของการรวมกลุ่ม หมายถึง สังคม (กลุ่ม) ที่มีการจัดระบบเพื่อให้ประชาชนสามารถ ด าเนินการตอบสนองความต้องการของตนด้วยวิธีการช่วยเหลือตนเอง และความร่วมมือกับคนอื่นที่อยู่สถานการณ์เดียวกัน ทั้งนี้การพึ่งตนเองอย่างแท้จริงนั้นมีความหมายรวมถึงกลุ่มชนนั้นมีอิสระในการตั้งเป้าหมาย และมีอิสระในการด าเนินการให้ บรรลุเป้าหมายโดยอาศัยความพยายามและก าลังของตน นภาภรณ์ หะวานนท์ และคณะ (2550, น. 36) ได้กล่าวถึง ความสามารถในการพึ่งตนเองของชุมชน คือ การที่ชุมชน มีความเป็นอิสระที่จะก าหนดทางเลือกในการจัดการกับปัญหาและด าเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนโดย ไม่หวังพึ่งพาภายนอก นอกจากนี้ยังมีมุมมองว่าการพึ่งตนเองของชุมชนนั้น ชุมชนเองจะต้องมีอ านาจในการต่อรองเพื่อให้ เป็นไปตามเจตจ านงของชุมชน และสามารถระดมทุนเพื่อน ามาใช้ประโยชน์ต่อชุมชนด้วย ไพโรจน์ ภัทรนรากุล (2545, น. 11) ได้อธิบายถึง การพึ่งตนเองของชุมชน คือ การที่ชุมชนมีการรวมกลุ่มในลักษณะ ที่มีสหสัมพันธ์และมีลักษณะพลวัตร มีอ านาจในการตัดสินใจก าหนดเป้าหมายของชุมชน ใช้ศักยภาพของชุมชนอย่างเต็มที่ มีความช่วยเหลือเกื้อกูล สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติและทักษะความรู้ ให้เอื้อต่อการด ารงชีวิตได้อย่างอิสระ มั่นคง สามารถ แก้ไขปัญหาและน าการพัฒนาชุมชนเพื่อบรรลุอุดมการณ์การพึ่งตนเองได้ โดยมีเงื่อนไขและปัจจัยเกื้อหนุนที่ส าคัญ คือ จิตส านึกแห่งการพึ่งตนเอง มีกลไกประสานด้านสังคมวัฒนธรรม รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ในเชิงพึ่งพาอาศัยกันเพื่อให้ชุมชนสามารถ พึ่งตนเองได้อย่างสมบูรณ์ สัญญา สัญญาวิวัฒน์ (2540, น. 99-107) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่ส าคัญในการพึ่งตนเอง ดังนี้ 1. การพึ่งตนเองได้ทางเทคโนโลยี มีหลักการส าคัญ คือ การใช้ การจัดการ และการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี โดยพยายามใช้แนวคิดทรัพยากรและการกระท าจากภายในชุมชนให้มากที่สุด มีการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดเกิดประโยชน์ สูงสุดและลดผลกระทบในทางลบให้น้อยที่สุด เทคโนโลยีในความหมายนี้รวมถึงความสมัยใหม่และของดั้งเดิมในท้องถิ่นหรือ ภูมิปัญญาชาวบ้านด้วยปัจจัยหลักของการวัดความสามารถในการพึ่งตนเองทางเทคโนโลยี 2. การพึ่งตนเองได้ทางเศรษฐกิจ คือ การมุ่งสร้างระบบเศรษฐกิจชนบทให้เกิดภาวะสมดุล ระหว่างความต้องการทาง เศรษฐกิจกับขีดความสามารถในการตอบสนองความต้องการนั้น โดยการพัฒนาองค์กรชาวบ้านเพื่อเป็นหลักในการด าเนินการตาม กระบวนการดังกล่าว ระบบเศรษฐกิจเพื่อพึ่งตนเองของชุมชนประกอบด้วยการพึ่งตนเองในระบบการผลิต และระบบจ าแนก แจกจ่ายหรือระบบการตลาด 3. การพึ่งตนเองได้ทางทรัพยากรธรรมชาติโดยค านึงถึงขีดความสามารถของทรัพยากรธรรมชาติในการรองรับ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมระยะยาว 4. การพึ่งตนเองได้ทางด้านจิตใจ ชุมชนหรือองค์กรที่สามารถพัฒนาตนเองได้สูงจะต้องเริ่มจากคนที่มีจิตส านึกเป็นตัว ปลุกเร้าและกระตุ้นให้บุคคลคิดแสวงหาหลักการและแนวทาง เพื่อน ามาเป็นหลักส าคัญในการสร้างตนเองและสังคม การพัฒนาสังคมจะต้องเริ่มด้วยการพัฒนาจิตใจเป็นล าดับแรกก่อนจะน าไปสู่การกินดีอยู่ดีของประชาชน 5. การพึ่งตนเองได้ทางสังคมและวัฒนธรรม ชุมชนจะต้องมีจิตส านึกในการพึ่งตนเอง มีทัศนคติที่มั่นใจและภาคภูมิใจใน วัฒนธรรมชุมชนของตนเอง มีการด าเนินการพัฒนาบนพื้นฐานความตระหนักรู้และความสามารถในการเรียนรู้ร่วมกันใน กระบวนการพัฒนา สังคมและวัฒนธรรมชุมชนจึงได้รับการพิจารณาในฐานะที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเพื่อการพึ่งตนเอง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 86 เครื่องมือและวิธีการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพเป็นหลัก (Qualitative Research) ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็น การเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก (key Information) ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน 5 หมู่บ้าน จ านวน 5 คน คณะกรรมการพลังงานชุมชน จ านวน 10 คน ผู้บริหารและข้าราชการเทศบาลต าบลป่าอ้อดอนชัย จ านวน 3 คน ผู้บริหารและข้าราชการส านักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย จ านวน 3 คน และประชาชนซึ่งเป็นผู้แทนจากชุมชน ต าบลป่าอ้อดอนชัย 5 หมู่บ้าน จ านวน 30 คน รวมจ านวนทั้งสิ้น 51 คน โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนที่เดินดิน เพื่อส ารวจศักยภาพ โครงสร้างพื้นฐาน สถานที่ส าคัญของชุมชน ให้เห็นถึงภาพรวมการประสานเชื่อมโยงถึง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินงานวิจัย แบบบันทึกข้อมูล ใช้ส าหรับบันทึกข้อมูลรายละเอียดการสืบค้นจากเอกสาร หลักฐาน รูปเล่มรายงานที่ชุมชนเสนอได้รับรางวัลด้านการจัดการพลังงานชุมชน ซึ่งมีประเด็นเนื้อหาเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการจัด การพลังงานชุมชน แนวการสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้ส าหรับการสัมภาษณ์เชิงลึกเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการจัดการพลังงานชุมชน กระบวนการจัดการพลังงานชุมชน และแนวการสนทนากลุ่มแบบมีโครงสร้าง เกี่ยวกับการส ารวจปัจจัยความส าเร็จการจัด การพลังงานชุมชน รวมทั้งความพึงพอใจต่อการจัดการพลังงานชุมชน จากนั้นจึงท าการรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและรายงานผล ผลการศึกษา พัฒนาการด้านการจัดการพลังงานชุมชน ช่วงที่ 1 ก่อนปี พ.ศ. 2550 พัฒนาการก่อนที่จะมีการจัดการพลังงานชุมชน ในอดีตประชาชนในชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ยังไม่มีแผนพลังงานชุมชน ประชาชน ไม่เห็นความส าคัญของพลังงาน ขาดความรู้ความเข้าใจด้านพลังงาน ประชาชนมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ได้แก่ ค่าน้ ามัน แก๊สหุงต้ม LPG และค่าไฟฟ้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ ประสบกับปัญหากลิ่นมูลสัตว์ในครัวเรือน มีการใช้ก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ แต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก โดยชุมชนมีการใช้ก๊าซชีวภาพจากมูลสุกร และมูลโค (วัว) ในเบื้องต้น จ านวน 2 บ่อ มีการใช้ พลังงานความร้อนโดยใช้กับเตาอั้งโล่แบบธรรมดาและใช้เชื้อเพลิงอย่างง่ายๆ ได้แก่ ฟืน และถ่าน ในท้องถิ่น ขาดความรู้และ ประสบการณ์ในการน าเทคโนโลยีพลังงานมาใช้ รวมทั้งเริ่มมีการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในที่โล่ง ในปี พ.ศ. 2545- 2546 ชุมชนได้รับการสนับสนุนตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์จากมหาวิทยาลัยนเรศวร จ านวน 1 เครื่อง น ามาใช้ใน การอบแห้งผลิตผลทางการเกษตรเป็นหลัก และต่อมาปี พ.ศ. 2549 วิทยาลัยเชียงรายได้เข้ามาส่งเสริมการประหยัดพลังงาน แก๊สหุงต้ม LPG ในภาคครัวเรือนโดยใช้เตาชีวมวล ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้ให้พลังงานความร้อน ท าให้แกลบมีราคาแพง แกลบเริ่มหายาก และขาดวัตถุดิบซึ่งเป็นเชื้อเพลิง จนน าไปสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพออกแบบเตาชีวมวลให้ใช้เชื้อเพลงชนิด อื่นร่วมด้วย ได้แก่ เศษกิ่งไม้ขนาดเล็ก เปลือกถั่ว ซังข้าวโพดบด เหง้ามันส าปะหลัง และเศษวัสดุเชื้อเพลิงทางการเกษตร เป็น ต้น หลังจากนั้นทางอาจารย์วิทยาลัยเชียงราย ได้ร่วมมือกับผู้น าชุมชนท าการส่งเสริมผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อใช้ ทดแทนแก๊สหุงต้ม LPG ส าหรับใช้ในการหุงต้มในครัวเรือนและชุมชน และมีการต่อยอดส่งเสริมให้เป็นเครือข่ายประหยัด พลังงาน ท าให้เด็ก เยาวชน และประชาชนในพื้นที่เริ่มรู้จักพลังงานมากขึ้น และสนใจติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมด้าน พลังงานตามมา ช่วงที่ 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 พัฒนาการหลังจากที่มีการจัดการพลังงานชุมชน ปี พ.ศ. 2551 ชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัย ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการวางแผนพลังงานชุมชนของกระทรวง พลังงาน ได้ท าการคัดเลือกโครงการน าร่องอบรมการผลิตเตาชีวมวล มีการทดลองใช้ และมอบให้หมู่บ้านน าไปใช้หมู่บ้านละ 2 ตัว ปี พ.ศ. 2552 ได้ด าเนินการขยายผลโครงการ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน การส่งเสริมการสร้างฐานอาชีพด้าน พลังงาน การอบรมการพัฒนาทักษะการผลิตเทคโนโลยีพลังงาน ได้ส ารวจความต้องการของประชาชนเรื่องการท าบ่อก๊าซ ชีวภาพจากมูลสัตว์และขยายผลการส่งเสริมบ่อก๊าซชีวภาพจากเดิม 2 บ่อ เป็น 29 บ่อ ตามโครงการก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 87 เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปี พ.ศ. 2553 ด าเนินการจัดประชุม สัมมนา ปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์พลังงาน ชุมชน เตรียมความพร้อมในการอบรมสร้างฐานอาชีพพลังงาน สร้างหลักสูตรท้องถิ่นในสถานศึกษา สร้างวิทยากรด้านพลังงาน และส่งเสริมชุมชนต้นแบบด้านพลังงานชุมชน ด าเนินการส ารวจ ส่งเสริม สนับสนุนการขยายผลการด าเนินงาน จัดตั้งกลุ่ม อาชีพด้านพลังงาน และผลิตเทคโนโลยีพลังงานจ าหน่าย ช่วงที่ 3 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 การประสบความส าเร็จของชุมชน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป ชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัยได้ขับเคลื่อนการด าเนินงานโดยร่วมบูรณาการงานด้าน พลังงานร่วมกับกิจกรรมอาสาสมัครพลังงานชุมชน มีการส่งเสริมและการจัดการพลังงานชุมชน มีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้พลังงาน ทดแทนต าบล และมีกลุ่มอาชีพด้านพลังงานชุมชน ผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการจัดการพลังงานชุมชน ประชาชนในชุมชนมี ส่วนร่วมในการจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความส าคัญกับเรื่องพลังงานมากยิ่งขึ้น ส่งเสริม สนับสนุน การผลิต และใช้เทคโนโลยีพลังงานชุมชน มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลดลง มีแหล่งศึกษาดูงานด้านพลังงาน สร้างจิตส านึกในการประหยัด และอนุรักษ์พลังงาน โดยชุมชนได้ท าการบูรณาการงานด้านพลังงานร่วมกับกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องและเครือข่ายด้านพลังงาน ชุมชน ได้รับรางวัลชุมชนต้นแบบในการจัดการพลังงานชุมชนในระดับภาคเหนือ จากกระทรวงพลังงาน ได้รับรางวัลชุมชนตาม รอยพ่อ ใช้พลังงานอย่างพอเพียง ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างพอเพียงและรู้คุณค่า จากกระทรวงพลังงาน ได้รับรางวัล การประกวด 18 อ าเภอ 18 นวัตกรรม สรรค์สร้างชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้รับ รางวัลศูนย์เรียนรู้พลังงานทดแทนดีเด่น จากวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย กระบวนการจัดการพลังงานชุมชน 1. การวางแผนการจัดการพลังงาน ชุมชนมีการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการวางแผนพลังงานชุมชน การสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อรับรู้ และตระหนักถึงปัญหาและความส าคัญของพลังงาน การศึกษาสถานการณ์พลังงานชุมชน การเก็บรวบรวมข้อมูลและส ารวจข้อมูล ศักยภาพด้านพลังงานชุมชน การวิเคราะห์ข้อมูลและน าเสนอข้อมูลด้านพลังงาน การจัดท าร่างแผนพลังงาน การประชาพิจารณ์ แผนและท าการคัดเลือกโครงการน าร่อง การน าโครงการไปปฏิบัติ การจัดเวทีสรุปบทเรียนผลการด าเนินงาน และบรรจุแผน พลังงานชุมชนเข้าสู่แผนพัฒนาของเทศบาลต าบลป่าอ้อดอนชัย ซึ่งแบ่งเป็น 5 ด้าน คือ ด้านพลังงานทดแทน ด้านการอนุรักษ์ พลังงาน ด้านพัฒนาประสิทธิภาพบุคลากร ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านบูรณาการกับมิติอื่นๆ รวมทั้งน าตัวอย่างที่ประสบ ความส าเร็จด้านพลังงานมาเป็นแนวทางในการจัดการพลังงานชุมชน 2. การผลิตพลังงาน ชุมชนมีการผลิตพลังงานชีวภาพ พลังงานชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ และผลิตเทคโนโลยีพลังงานทดแทน คือ การผลิตพลังงานชีวภาพ เป็นก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์และเศษอาหารเพื่อใช้หุงต้มประกอบอาหาร เป็นเชื้อเพลิงทดแทน แก๊สหุงต้ม LPG และใช้เป็นแหล่งศึกษาดูงาน การผลิตพลังงานชีวมวล คือ พลังงานความร้อนจากชีวมวล (ฟืน เศษไม้ แกลบ ซังข้าวโพด เปลือกถั่ว) ใช้เป็นเชื้อเพลิงส าหรับหุงต้มประกอบอาหาร เป็นเชื้อเพลิงทดแทนแก๊สหุงต้ม LPG และใช้เป็น เชื้อเพลิงกับเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ได้แก่ เตาซุปเปอร์อั้งโล่ เตาปิ้งย่าง เตาชีวมวล เตาเศรษฐกิจ เตาแกลบชีวมวล เป็นต้น ส าหรับการผลิตถ่านไม้และถ่านอัดแท่ง ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนเพื่อการหุงต้มประกอบอาหาร การผลิตพลังงาน แสงอาทิตย์ ได้แก่ ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้เป็นแสงสว่างในยามค่ าคืนโดยใช้กับหลอดประหยัดพลังงาน และเป็น ศูนย์เรียนรู้ให้แก่คณะศึกษาดูงาน การผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์โดยใช้ระบบสูบน้ าพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้กับประปา หมู่บ้านและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การผลิตพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ด้วยระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้อบแห้ง ผลิตผลทางการเกษตร เช่น กล้วย สมุนไพรพื้นบ้าน เมล็ดพันธุ์พืช อบแห้งข้าวแต๋นแฟนตาซีและการผลิตเทคโนโลยีพลังงาน ทดแทน ได้แก่ เตาปิ้งย่างไร้ควัน ตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ เตาชีวมวล เตาเผาถ่าน เตาเศรษฐกิจ จักรยานปั่นน้ าประหยัด พลังงาน เตาเผาขยะ และชุดผลิตก๊าซชีวภาพ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 88 3. การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ชุมชนมีการใช้พลังงานอย่างพอเพียง ใช้เท่าที่มีความจ าเป็น และมีการวางแผนการใช้พลังงานในชีวิตประจ าวัน การใช้พลังงานทดแทนตามศักยภาพของชุมชน และใช้เทคโนโลยีพลังงานทดแทน รวมทั้งการใช้ไฟฟ้าอย่างถูกวิธีและ ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน ส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานทดแทน โครงการประหยัดพลังงานตามรอยเท้าพ่อ การ อบรมให้ความรู้ด้านการใช้และการผลิตเทคโนโลยีพลังงานทดแทน การประหยัดพลังงาน และการเปลี่ยนหลอดไฟสถานที่ส าคัญ ให้เป็นหลอดประหยัดพลังงาน แนวทางเสนอแนะวิธีการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพตามศักยภาพของชุมชนโดยการสร้าง ค่านิยมและจิตส านึกในการใช้พลังงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า ใช้พลังงานที่ชุมชนผลิตเองตามศักยภาพ และส่งเสริมให้ ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้พลังงานอย่างประหยัดพลังงาน 4. การพัฒนาพลังงาน ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาพลังงานชุมชน ส่งเสริม สนับสนุนการใช้พลังงานชุมชนในรูปแบบต่างๆ น้อมน าแนว พระราชด าริเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการพัฒนาพลังงานเพื่อให้มีพลังงานใช้อย่างพอเพียงและมีความมั่นคงทางพลังงาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การศึกษาดูงานด้านพลังงานกับภาคีเครือข่าย และน าความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ที่ได้มาพัฒนา เทคโนโลยีพลังงานทดแทน มีการส่งเสริม สนับสนุนในเรื่องการพัฒนาพลังงานชุมชนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา พบว่า มีการอบรมให้ความรู้ด้านการพัฒนาพลังงานชุมชน ได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีจากกองทุนส่งเสริม และอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน การสนับสนุนการจัดท าโครงการน าร่องด้านพลังงานและส่งเสริมชุมชนต้นแบบด้าน พลังงาน การถ่ายทอดวิธีการดูแล ซ่อมแซม ปรับปรุงเทคโนโลยีพลังงานให้มีประสิทธิภาพ การอบรม ศึกษาดูงานด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม สร้างเครือข่ายในการมีส่วนร่วมจากภาคประชาสังคม ส่งเสริมองค์ความรู้ทางวิชาการพลังงาน การสนับสนุน งบประมาณในการด าเนินโครงการ การพัฒนาศักยภาพของวิทยากรด้านพลังงาน การจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ ที่เป็นวัตถุดิบใน การผลิตเทคโนโลยีพลังงาน และส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงานชุมชน มีการส่งเสริมการจัดการพลังงานชุมชนและอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้มีการพัฒนาพลังงานทดแทนจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรน ากลับมาใช้เป็นพลังงาน การจัดการของเสีย มูลสัตว์ สิ่งปฏิกูล น ามาพัฒนาเป็นพลังงาน 5. การอนุรักษ์พลังงาน การสร้างความตระหนักและจิตส านึกให้เยาวชนและประชาชนในการอนุรักษ์พลังงาน การใช้พลังงานอย่างถูกวิธี ตามประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้า และลดใช้พลังงาน ตรวจเช็คดูแลอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านและซ่อมแซมที่ช ารุดเสียหายให้อยู่ สภาพที่พร้อมใช้งาน การสร้างเครือข่ายอนุรักษ์พลังงานที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ ส่งเสริมให้เยาวชนใช้จักรยานในระยะทางใกล้ สร้างศูนย์เรียนรู้ด้านพลังงานในสถานศึกษา การกระตุ้นให้รู้คุณค่าของพลังงาน การให้ความรู้ในเรื่องอนุรักษ์พลังงาน จัดกิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงาน และสร้างจิตส านึกให้ประชาชนอนุรักษ์พลังงาน ปัจจัยความส าเร็จการจัดการพลังงานชุมชน ปัจจัยภายใน ได้แก่ ชุมชนมีผู้น าชุมชนที่เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์เห็นความส าคัญของพลังงาน มีผู้บริหารองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ข้าราชการเทศบาลต าบลป่าอ้อดอนชัย และนักการเมืองท้องถิ่นเข้ามามีส่วนขับเคลื่อนงาน ชุมชนมีศักยภาพด้าน พลังงานที่ส าคัญ คือ ชีวมวล ชีวภาพ แสงอาทิตย์ และเทคโนโลยีพลังงานชุมชน ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการพลังงาน ชุมชน มีคณะกรรมการพลังงานชุมชนที่ขับเคลื่อนการด าเนินงานด้านพลังงาน มีวัดและโรงเรียนในพื้นที่ให้ความร่วมมือ ด าเนินงานร่วมกันแบบ เริ่มตั้งแต่วางแผนพลังงาน เข้ามาเป็นเครือข่าย ท าการคัดเลือกคณะกรรมการ การประชาพิจารณ์แผนและ คัดเลือกโครงการน าร่อง น าโครงการไปปฏิบัติ การร่วมเป็นคณะกรรมการติดตามประเมินผล ชุมชนมีวิทยากรด้านพลังงานเป็น ผู้ถ่ายทอดความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในการด าเนินงานด้านพลังงาน มีวิทยาลัยเชียงรายซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ได้ส่งเสริม สนับสนุน การด าเนินงานด้านพลังงานชุมชน มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงานชุมชน มีการส่งเสริมขยายผล ด้านพลังงานชุมชนไปสู่ภาคครัวเรือน ชุมชน และสถานศึกษาประชาชนมีพฤติกรรมการใช้พลังงานที่ดีมากขึ้น ให้ความร่วมมือ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 89 ร่วมใจในการลดใช้พลังงานใช้ไฟฟ้าและใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน รวมทั้งประชาชนมีจิตส านึกในการอนุรักษ์พลังงาน ชุมชนมีศูนย์เรียนรู้พลังงานทดแทนต าบล มีแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานชุมชนที่ใช้เป็นสถานที่ในการศึกษา เรียนรู้และถ่ายทอดด้าน การจัดการพลังงาน รวมทั้งชุมชนมีกลุ่มอาชีพด้านพลังงานที่หลากหลายส่งผลท าให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน และมี การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ส าหรับปัจจัยภายนอก ได้แก่ ผู้บริหารกระทรวงพลังงาน ผู้บริหารส านักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย นักวิชาการ พลังงาน ให้การสนับสนุนการด าเนินงานด้านการจัดการพลังงานชุมชน การสนับสนุนงบประมาณในการจัดท าแผนพลังงาน ชุมชนและด าเนินโครงการ จากหน่วยงานภาครัฐ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานได้ให้การสนับสนุนเทคโนโลยี พลังงาน การส่งเสริมองค์ความรู้ทางวิชาการด้านพลังงานจากกระทรวงพลังงาน มีมหาวิทยาลัยนเรศวรได้ส่งเสริมด้านเทคโนโลยี พลังงาน มีสถาบันการศึกษาทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด เช่น มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย และวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย เข้ามามี ส่วนร่วมในการส่งเสริมสนับสนุนการด าเนินงานด้านพลังงาน การจัดนิทรรศการด้านพลังงานในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ การจัด กิจกรรมสาธิตเทคโนโลยีพลังงาน การวิจัยและการต่อยอดขยายผล นอกจากนี้แล้วยังมีนโยบายของรัฐบาล และทิศทางแผน ยุทธศาสตร์ของกระทรวงพลังงาน และแผนงานด้านพลังงานขององค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องน าไปใช้เป็นทิศทางในขับเคลื่อนการ ด าเนินงานด้านพลังงานชุมชน การอภิปรายผลการศึกษา ผลการวิจัยพบว่า การสร้างกระบวนมีส่วนร่วมของประชาชนในการวางแผนพลังงานชุมชน การสร้างความรู้ความเข้าใจ เพื่อรับรู้และตระหนักถึงปัญหาและความส าคัญของพลังงาน การจัดท าร่างแผนพลังงาน การประชาพิจารณ์แผนและท า การคัดเลือกโครงการน าร่อง การน าโครงการไปปฏิบัติ การจัดเวทีสรุปบทเรียนผลการด าเนินงาน และบรรจุแผนพลังงานชุมชน เข้าสู่แผนพัฒนาของเทศบาลต าบลป่าอ้อดอนชัย ซึ่งสอดคล้องกับ รัตนา ศิลาเดช (2554 หน้า 85 -87) ได้ท าการศึกษา แนวทางการพัฒนาการด าเนินงานพลังงานชุมชน จังหวัดมหาสารคาม พบว่า ในกระบวนการของการด าเนินโครงการพลังงาน ชุมชน มีการก าหนดแผนงาน เป้าหมาย และขั้นตอนวิธีด าเนินการที่ชัดเจน ผู้เกี่ยวข้องกับการด าเนินโครงการมีความเข้าใจ ขั้นตอนการด าเนินงานเป็นอย่างดี มีการเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน และมีมาตรการในการตรวจสอบ ติดตามผลเป็นระยะ มีแนวทางในการขยายผลโครงการในปีต่อไป และผลักดันให้น างบประมาณของท้องถิ่นมาขยายผลการ ด าเนินงานด้านพลังงานชุมชน การมีส่วนร่วมด าเนินงานโครงการ ผลการวิจัย พบว่า ชุมชนมีการผลิตพลังงานชีวมวล คือ พลังงานความร้อนจากชีวมวล (ฟืน เศษไม้ แกลบ ซังข้าวโพด เปลือกถั่ว) เป็นต้น การผลิตถ่านไม้และถ่านอัดแท่ง การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ได้แก่ ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์โดยใช้ระบบสูบน้ าพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้กับประปาหมู่บ้านและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การผลิตพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ด้วยระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบเรือนกระจกเพื่ออบแห้งผลิตผลทาง การเกษตร และการผลิตเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ได้แก่ เตาปิ้งย่างไร้ควัน ตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ เตาชีวมวล เตาเผาถ่าน เตาเศรษฐกิจ จักรยานปั่นน้ าประหยัดพลังงานเพื่อการเกษตร เตาเผาขยะ และชุดผลิตก๊าซชีวภาพ ซึ่งสอดคล้อง กับ วิสาขา ภู่จินดา (2555, น. 123-127) ซึ่งได้ก าหนดแนวทางในการบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนเพื่อผลิตพลังงานใช้ใน ระดับชุมชนและครัวเรือนให้เกิดความยั่งยืนส าหรับชุมชน คือ การวิเคราะห์พลังงานหมุนเวียนที่มีในชุมชนในด้านปริมาณ คุณภาพ และบริบทของชุมชน การเลือกพลังงานหมุนเวียนที่เหมาะสมกับชุมชน การผลิตหรือการใช้พลังงานจากพลังงาน หมุนเวียน การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และการติดตามประเมินผล ส าหรับครัวเรือน คือ การวิเคราะห์พลังงาน หมุนเวียนที่มีในชุมชนและความสามารถในการผลิตหรือใช้เอง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 90 ผลการวิจัย พบว่า ชุมชนมีการใช้พลังงานอย่างพอเพียง ใช้เท่าที่มีความจ าเป็น และมีการวางแผนการใช้พลังงานใน ชีวิตประจ าวัน การใช้พลังงานที่ชุมชนผลิตเองและใช้พลังงานทดแทนตามศักยภาพของชุมชน และใช้เทคโนโลยีพลังงาน ทดแทน รวมทั้งการใช้ไฟฟ้าอย่างถูกวิธีและใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน มีการส่งเสริมวิทยากรด้านพลังงาน โครงการ ประหยัดพลังงานตามรอยเท้าพ่อ การอบรมให้ความรู้ด้านการใช้และการผลิตเทคโนโลยีพลังงานทดแทน การลดใช้พลังงาน การประหยัดพลังงาน และการเปลี่ยนหลอดไฟสถานที่ส าคัญให้เป็นหลอดประหยัดพลังงาน การสร้างค่านิยมและจิตส านึกใน การใช้พลังงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับ วิสาขา ภู่ จินดา (2556 หน้า59) ได้ท าการศึกษาการบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนเพื่อผลิตพลังงานใช้ในระดับชุมชนและระดับครัวเรือน กรณีศึกษาชุมชนเกาะพะลวย พบว่า เกาะพะลวยมีการน าพลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในชีวิตประจ าวัน ใช้กับ ตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อแปรรูปอาหารทะเลตากแห้ง การสูบน้ าด้วยไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ไปกักเก็บในถังน้ าแบบหอสูง เพื่อผลิตน้ าประปาใช้ในชุมชน การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม ใช้เตาชีวมวลโดยใช้เศษไม้เป็นเชื้อเพลิงแทนก๊าซหุงต้มและ การเผาถ่านโดยใช้เตาเผาถ่าน 200 ลิตร ใช้พลังงานชีวมวลในครัวเรือน คือ ถ่านไม้ที่ผลิตจากเตาเผาถ่านประสิทธิภาพสูง ส่งเสริม การปลูกพืชพลังงาน ใช้ไบโอดีเซลทดแทนการใช้น้ ามันดีเซลในรถยนต์และเรือประมงพื้นบ้าน และการใช้หลอดไฟฟ้าประหยัด พลังงานในครัวเรือน ผลการวิจัย พบว่า ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาพลังงานชุมชน ส่งเสริม สนับสนุนการใช้พลังงานชุมชนในรูปแบบ ต่างๆ น้อมน าแนวพระราชด าริเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการพัฒนาพลังงานเพื่อให้มีพลังงานใช้อย่างพอเพียงและ มีความมั่นคงทางพลังงาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การศึกษาดูงานด้านพลังงานกับภาคีเครือข่าย และน าความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ที่ได้มาพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน มีการส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาพลังงานชุมชนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีจากกองทุนส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน การสนับสนุนการจัดท าโครงการน าร่องด้านพลังงานและส่งเสริมชุมชนต้นแบบด้านพลังงาน การถ่ายทอดวิธีการดูแล ซ่อมแซม ปรับปรุงเทคโนโลยีพลังงานให้มีประสิทธิภาพ การอบรม ศึกษาดูงานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม สร้างเครือข่ายในการมี ส่วนร่วมจากภาคประชาสังคม ส่งเสริมองค์ความรู้ทางวิชาการพลังงาน การสนับสนุนงบประมาณในการด าเนินโครงการ การพัฒนาศักยภาพของวิทยากรด้านพลังงาน การจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตเทคโนโลยีพลังงา น และ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงานชุมชน ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทนจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ส่งเสริมให้มี การจัดการของเสีย มูลสัตว์ สิ่งปฏิกูล น ามาใช้เป็นพลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับ ถนัด ไชยพันธ์ (2554, น. 111-114) ได้ศึกษา การจัดการพลังงานชุมชนขององค์การบริหารส่วนต าบลตาอ็อง ต าบลตาอ็อง อ าเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ พบว่า ชุมชนได้ เรียนรู้เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะช่วยให้น าทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนมาผลิตพลังงานใช้เอง เกิดการประหยัดพลังงานและใช้ พลังงานทดแทนมาก เพิ่มรายได้โดยการประกอบอาชีพเสริม เกิดการเรียนรู้ด้านพลังงานชุมชน เกิดการสร้างพลังงานของชุมชน เกิดวิทยากรท้องถิ่นด้านพลังงานชุมชน ได้ใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ มีราคาที่เหมาะสม ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ผลการวิจัย พบว่า การสร้างความตระหนักและจิตส านึกให้เยาวชนและประชาชนในการอนุรักษ์พลังงาน การใช้ พลังงานอย่างถูกวิธีตามประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้า ปิดสวิตซ์และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลาก ประหยัดพลังงาน ตรวจเช็คดูแลอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านและซ่อมแซมที่ช ารุดเสียหายให้อยู่สภาพที่พร้อมใช้งาน การสร้าง เครือข่ายอนุรักษ์พลังงานที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ ส่งเสริมให้ประชาชนใช้จักรยานในระยะทางใกล้ สร้างศูนย์เรียนรู้ด้าน พลังงานในสถานศึกษา การให้ความรู้และจัดกิจกรรมในเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และสร้างจิตส านึกให้ประชาชนตระหนักถึง การประหยัดพลังงานไฟฟ้าและน้ ามัน ซึ่งสอดคล้องกับ วิรุณสิริ ใจมา (2551, น. 91-95) ได้ท าการศึกษาการใช้พลังงานและ การประหยัดพลังงานของครัวเรือนในจังหวัดเชียงราย พบว่า วิธีการประหยัดไฟฟ้าของครัวเรือน คือ การปิดสวิตช์ไฟหรือ เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งานหรือไม่มีคนอยู่ การถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน ส่วนวิธีการประหยัดน้ ามัน เชื้อเพลิงของครัวเรือน คือ การดับเครื่องยนต์ทุกครั้งเมื่อจอดรถนานๆ เมื่อไปธุระใกล้ๆ จะใช้รถจักรยานหรือจะเดินแทนการใช้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 91 รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ส าหรับการวางแผนประหยัดพลังงานในอนาคตของครัวเรือน คือ ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเครื่องหมาย มาตรฐานอุตสาหกรรมและประหยัดไฟเบอร์ 5 ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยความส าเร็จการจัดการพลังงานชุมชน คือ ปัจจัยภายใน ได้แก่ มีผู้น าชุมชนที่เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์เห็นความส าคัญของพลังงาน มีผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และนักการเมืองท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม ขับเคลื่อนงาน ชุมชนมีศักยภาพด้านพลังงาน ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการพลังงาน มีคณะกรรมการพลังงานชุมชน มีวิทยากรด้านพลังงานเป็นผู้ถ่ายทอด ภายในชุมชนมีวิทยาลัยเชียงรายได้ส่งเสริม สนับสนุน การด าเนินงานด้านพลังงาน มีการ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงาน มีการส่งเสริมขยายผลด้านพลังงานชุมชน ประชาชนมีจิตส านึกในการอนุรักษ์พลังงาน มีศูนย์ เรียนรู้พลังงานทดแทนต าบลป่าอ้อดอนชัย รวมทั้งชุมชนมีกลุ่มอาชีพด้านพลังงานที่หลากหลาย ส าหรับปัจจัยภายนอก ได้แก่ การสนับสนุนงบประมาณ เทคโนโลยี และองค์ความรู้ด้านพลังงานจากภาครัฐ มีสถาบันการศึกษาทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัดเข้า มาร่วมส่งเสริมกิจกรรมการจัดการพลังงานชุมชน รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล และทิศทางแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรภาครัฐที่ เกี่ยวข้องซึ่งเป็นทิศทางในการด าเนินงานด้านพลังงานชุมชน สอดคล้องกับ ถนัด ไชยพันธ์ (2554, น. 30) ได้กล่าวถึง ปัจจัยใน การจัดการพลังงานชุมชนมี 2 ปัจจัย คือ 1. ปัจจัยภายในชุมชน ได้แก่ บทบาทหน้าที่ของผู้น า ผู้น าที่เป็นทางการและไม่เป็น ทางการ และความสัมพันธ์ของผู้น าที่มีต่อชุมชน ตลอดจนคนในชุมชนเองที่ให้ความร่วมมือในการจัดการพลังงาน รวมถึง ทรัพยากรชุมชน ความรู้ความเข้าใจในทักษะที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพลังงานชุมชน 2. ปัจจัยภายนอกชุมชน ได้แก่ บทบาท หน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการพลังงานชุมชน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน นักวิชาการ และ สถานศึกษา บทวิเคราะห์ ชุมชนได้รับการส่งเสริมการจัดท าแผนพลังงานชุมชน จนได้แผนยุทธศาสตร์พลังงานชุมชนฉบับสมบูรณ์ น าไปปฏิบัติ จนประสบความส าเร็จ ประชาชนให้ความร่วมมือในการจัดการพลังงาน เกิดการผลิตและใช้พลังงานตามศักยภาพของชุมชน สามารถผลิตแหล่งพลังงานใช้เองเป็นชุมชนจัดการตนเองและเป็นชุมชนพึ่งตนเองด้านพลังงานได้ ลดการพึ่งพาจากภายนอก สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เกิดการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การบูรณาการงานด้านพลังงาน ร่วมกับอาสาสมัครพลังงานชุมชน เครือข่าย และมีการส่งเสริมกลุ่มอาชีพด้านพลังงานจนท าให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น เกิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านพลังงาน การส่งเสริมและพัฒนาด้านพลังงานชุมชนเพื่อให้มีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ รวมทั้งสร้าง จิตส านึกให้เด็ก เยาวชน และประชาชนร่วมมือร่วมใจกันประหยัดและอนุรักษ์พลังงาน ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยในอนาคตและแนวทางที่จะน าไปใช้ประโยชน์ 1. การวิจัยครั้งต่อไปควรมีการเก็บข้อมูลตัวเลขสถานการณ์การใช้พลังงานของชุมชนที่เกี่ยวข้องเพื่อน ามาวิเคราะห์ ให้เห็นปริมาณการใช้พลังงานและแนวโน้มการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างชัดเจน และน าค่าตัวเลขที่ได้ไปใช้ใน การวิเคราะห์ในการพัฒนาโครงการและแผนยุทธศาสตร์พลังงานชุมชน รวมทั้งกิจกรรมอนุรักษ์พลังงาน 2. การวิจัยครั้งต่อไปควรท าการศึกษาถึงปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา เพื่อส ารวจถึงจุดบกพร่องที่ ต้องด าเนินการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ปัจจุบันและทิศทางการพัฒนาพลังงานชุมชนของ ประเทศให้เกิดความยั่งยืนต่อไป 3. การวิจัยครั้งนี้สามารถน าไปใช้เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการขยายผลการด าเนินงานด้านพลังงานชุมชน และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และบุคคลผู้สนใจ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 92 บทสรุป พัฒนาการด้านการจัดการพลังงานชุมชน เริ่มจากในอดีตประชาชนในชุมชนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ไม่เห็น ความส าคัญของพลังงาน ขาดความรู้ความเข้าใจด้านพลังงาน ประสบกับปัญหากลิ่นมูลสัตว์ในครัวเรือน มีการใช้บ่อก๊าซชีวภาพ จากมูลสัตว์ยังไม่แพร่หลายมากนัก ขาดความรู้และประสบการณ์ในการน าเทคโนโลยีพลังงานมาใช้ เริ่มมีการเผาเศษวัสดุเหลือ ใช้ทางการเกษตรในที่โล่ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 ชุมชนได้เข้าร่วมโครงการวางแผนพลังงานชุมชนของกระทรวงพลังงาน เกิดการด าเนินงานร่วมกันระหว่างส านักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย และเทศบาลต าบลป่าอ้อดอนชัย โดยวิเคราะห์ถึงศักยภาพ ชุมชนด้านพลังงานชีวมวล ชีวภาพ แสงอาทิตย์ และการผลิตเทคโนโลยีพลังงาน ได้ด าเนินโครงการน าร่อง คือ การอบรม การผลิตเตาชีวมวลแกลบ ในปี พ.ศ. 2552 ได้ด าเนินโครงการก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว เกิดการขยายผลโครงการวางแผนพลังงานชุมชน การส่งเสริมการสร้างฐานอาชีพด้านพลังงาน ในปี พ.ศ. 2553 ได้มี การปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์พลังงานชุมชน เตรียมความพร้อมในการอบรมสร้างฐานอาชีพพลังงาน สร้างหลักสูตรท้องถิ่นใน สถานศึกษา สร้างวิทยากร ส่งเสริมชุมชนต้นแบบด้านพลังงาน การจัดตั้งกลุ่มอาชีพพลังงาน การผลิตเทคโนโลยีพลังงาน จ าหน่าย มีการส่งเสริมการอบรมก๊าซชีวภาพแบบถุงหมัก ในปี พ.ศ. 2554 ชุมชนประสบความส าเร็จได้รับรางวัลต่างๆ ได้ บูรณาการงานด้านพลังงานร่วมกับกิจกรรมอาสาสมัครพลังงานชุมชน มีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้พลังงานทดแทน และมีกลุ่มอาชีพ พลังงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน เกิดการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความมั่นคง ทางพลังงาน กระบวนการจัดการพลังงานชุมชน สรุปได้ว่า ด้านการวางแผนการจัดการพลังงาน พบว่า ชุมชนเข้าร่วมโครงการ วางแผนพลังงานชุมชน มีการประชุมชี้แจงโครงการ สร้างคณะท างาน เก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และน าเสนอข้อมูลพลังงาน การมีส่วนร่วมจัดท าร่างแผน การประชาพิจารณ์แผน บรรจุแผนพลังงานชุมชนลงในแผนพัฒนาของเทศบาลต าบล และมี การปรับปรุงแผนพลังงานชุมชน ด้านการผลิตพลังงาน พบว่า ส่งเสริมการผลิตพลังงานตามศักยภาพของชุมชนโดย ผลิตก๊าซ ชีวภาพจากมูลสัตว์และเศษอาหาร การผลิตเชื้อเพลิงจากชีวมวล การผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ การผลิตเทคโนโลยีพลังงาน ทดแทนใช้เองและเผยแพร่ ด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พบว่า ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์กับหลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์เพื่ออบแห้งผลิตผล ทางการเกษตรและแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชน การใช้ก๊าซชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวมวลเป็นเชื้อเพลิงหุงต้มประกอบอาหาร รวมทั้งใช้ เทคโนโลยีพลังงานเหมาะสมตามศักยภาพของพื้นที่ ด้านการพัฒนาพลังงาน พบว่า ปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน ศึกษา ดูงานด้านพลังงาน จัดนิทรรศการเผยแพร่เทคโนโลยีพลังงาน ส่งเสริม สนับสนุนชุมชนต้นแบบพลังงาน บูรณาการงานด้านพลังงาน กับสถานศึกษาและขยายผล ด้านการอนุรักษ์พลังงาน พบว่า ลดใช้ไฟฟ้า ใช้หลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงานและใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ประหยัดพลังงาน ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อช ารุด ลดใช้น้ ามันและแก๊สหุงต้ม และสร้างจิตส านึกให้ประชาชนอนุรักษ์ พลังงาน ปัจจัยความส าเร็จการจัดการพลังงานชุมชน แบ่งเป็น 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายใน ได้แก่ มีผู้น าชุมชนที่เข้มแข็ง ชุมชนมี ศักยภาพด้านพลังงาน ประชาชนมีส่วนร่วมจัดการพลังงานชุมชน มีคณะกรรมการ มีวิทยากรด้านพลังงาน มีวิทยาลัยเชียงราย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาในพื้นที่เข้ามาส่งเสริม มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงาน มีการส่งเสริมขยายผลด้านพลังงานชุมชน มีศูนย์เรียนรู้พลังงานทดแทน มีกลุ่มอาชีพพลังงาน และมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ส าหรับปัจจัยภายนอก ได้แก่ การสนับสนุน จากองค์กรภาครัฐ สถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมสนับสนุน การมีนโยบายของรัฐบาล กระทรวงพลังงาน และแผนงานด้านพลังงานที่เกี่ยวข้อง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 93 เอกสารอ้างอิง กระทรวงพลังงาน, ส านักนโยบายและยุทธศาสตร์. (2551). การวางแผนพลังงานชุมชน. กรุงเทพฯ: ลายเส้น ครีเอชั่น. กระทรวงพลังงาน, ส านักงานนโยบายและแผนพลังงาน. (2556). การผลิตพลังงานทดแทนในชุมชนส าหรับภาคประชาชน. กรุงเทพฯ: บริษัท ออนป้า จ ากัด. กาญจนา แก้วเทพ และกนกศักดิ์ แก้วเทพ. (2530). การพึ่งตนเอง: ศักยภาพในการพัฒนาชนบท. กรุงเทพฯ: รุ่งเรืองสาส์น การพิมพ์. โกวิทย์ พวงงาม. (2551). การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เดชรัต สุขก าเนิด. (2553). คู่มือพลังงานทางเลือก แนวทางการพัฒนาพลังงานทางเลือกเพื่อสุขภาพในชุมชน. นนทบุรี: อุษาการพิมพ์. ถนัด ไชยพันธ์. 2554. การจัดการพลังงานชุมชนขององค์การบริหารส่วนต าบลตาอ๊อง ต าบลตาอ็อง อ าเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. นภาภรณ์ หะวานนท์ และคณะ. (2550).ทฤษฎีฐานรากในเรื่องความเข้มแข็งของชุมชน. กรุงเทพฯ: ส านักกองทุนสนับสนุน งานวิจัย. นภารัตน์ กิตติรัตนมงคล. (2562). การจัดการตนเองของภาคประชาสังคมเพื่อการเข้าสู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. ไพโรจน์ ภัทรนรากุล. (2545). ยุทธศาสตร์การพัฒนาชาติ ตามแนวทางชุมชนพึ่งตนเองแบบยั่งยืน: กรอบนโยบายและตัวแบบ การจัดการ. วารสารพัฒนบริหารศาสตร์, 42(3), 11. รัตนา ศิลาเดช. 2555. แนวทางการพัฒนาการด าเนินงานพลังงานชุมชน จังหวัดมหาสารคาม. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น. วิรุณสิริ ใจมา. 2551. การใช้พลังงานและการประหยัดพลังงานของครัวเรือนในจังหวัดเชียงราย. เชียงราย: มหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงราย. วิสาขา ภู่จินดา. (2552). การประยุกต์หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการพลังงานในระดับชุมชน. วารสารการจัดการ สิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 5(2), 131-133. วิสาขา ภู่จินดา. 2555. การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนเพื่อผลิตพลังงานใช้ในระดับชุมชนและระดับครัวเรือน. กรุงเทพฯ: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. วิสาขา ภู่จินดา. (2556). การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนเพื่อผลิตพลังงานใช้ในระดับชุมชนและระดับครัวเรือน กรณีศึกษาชุมชนเกาะพะลวย. วารสารการจัดการสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, สืบค้นจาก http://ssde.nida.ac.th สัญญา สัญญาวิวัฒน์. (2540). การพัฒนาชุมชนแบบจัดการ. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน. (2554). ปฏิรูปประเทศไทยให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การ มหาชน), 2554(130), 6. ส านักงานพลังงานจังหวัดเชียงใหม่. (2554). รายงานผลการด าเนินงานขับเคลื่อนชุมชนต้นแบบด้านพลังงาน บ้านย่าปายต าบลบวก ค้าง อ าเภอสันก าแพง จังหวัดเชียงใหม่. รายงานฉบับสมบูรณ์, ส านักงานพลังงานจังหวัดเชียงใหม่. ส านักงานพลังงานจังหวัดพะเยา. (2553). รายงานสรุปผลการส่งเสริมชุมชนต้นแบบด้านพลังงาน บ้านบัว ต าบลบ้านตุ่น อ าเภอเมือง จังหวัดพะเยา. รายงานฉบับสมบูรณ์, ส านักงานพลังงานจังหวัดพะเยา. ส านักงานพลังงานจังหวัดล าพูน. 2555. รายงานผลความส าเร็จของการจัดการพลังงานชุมชนต้นแบบ บ้านไร่ ต าบลอุโมงค์ อ าเภอเมือง จังหวัดล าพูน. รายงานฉบับสมบูรณ์, ส านักงานพลังงานจังหวัดล าพูน.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 94 แนวทางการขับเคลื่อนงานเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็กของไทย Guidelines for child protection and promoting performance to children in Thai children's shelters บัณฑิตา เหลี่ยมศรีจันทร์1 Bantita Leamsrichan2 นันท์นภัส ปิ่นสุวรรณ3 Nannapat Pinsuwan4 นาวิน บุญน ามา6 Nawin Boonnumma7 Abstract This article aims to study the situation of children and youth. Including children and youth in the child support system of Thailand has found that the children and youth group is a socially vulnerable group that facing a crisis of violence in various forms that directly affects children. This reflects the problems that need to be taken corrective action by agencies. One of the problems is the way to return children to their own families. When the family has the awareness of the importance of caring for children, it will help to reduce the risk of taking children away from the family. Moreover, for working with children and youth in children's shelters, Thailand has been propulsion by the framework of practical and conduction of children cooperating with relevant agencies. Children and youth are critical human resources in the country's development and help build a comfortable society. Therefore, it is essential to promote, develop, protect, and help build mental strength for children of all ages to live well and have a happy life. Keyword: Children and youth, Children's Shelters, Child Protection บทคัดย่อ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์เด็กและเยาวชน รวมถึงเด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานรองรับเด็ก ของประเทศไทย พบว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเปราะบางทางสังคมที่ก าลังเผชิญกับวิกฤติการณ์ความรุนแรง ในรูปแบบต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตัวเด็กโดยตรง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่หน่วยงานทุกภาคส่วนจ าเป็นจะต้องด าเนินการแก้ไข หนึ่งในนั้นคือวิธีการคืนเด็กสู่ครอบครัว เพราะเมื่อครอบครัวเกิดการตระหนักรู้ถึงความส าคัญของการดูแลเอาใจใส่ต่อเด็ก จะน าสู่การช่วยลดความเสี่ยงในการพรากเด็กออกจากครอบครัวได้ ต่อมาในด้านของการท างานกับเด็กและเยาวชน ในสถานรองรับเด็ก ประเทศไทยได้มีการขับเคลื่อนตามกรอบการปฏิบัติงานและข้อปฏิบัติต่อเด็ก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง 1 นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 2 Third-year student, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 ศิษย์เก่าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 4 Alumni of Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 6 นักสังคมสงเคราะห์ปฏิบัติการ ส านักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดตาก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประเทศไทย 7 Social Worker, Tak Provincial Social Development and Human Security Office, Ministry of Social Development and Human Security, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 95 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องเพราะเด็กและเยาวชนคือทรัพยากรมนุษย์ที่ส าคัญในการพัฒนาประเทศและช่วยสร้างสังคมไทย ให้น่าอยู่ จึงจ าเป็นต้องได้รับความส าคัญในการส่งเสริม พัฒนา คุ้มครอง และช่วยสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจต่อเด็กทุกช่วงวัย ให้สามารถด าเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขได้ ค าส าคัญ: เด็กและเยาวชน, สถานรองรับเด็ก, การคุ้มครองเด็ก บทน า บทบัญญัติของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้ให้ค านิยามค าว่า เด็ก คือ บุคคลซึ่งมีอายุต่ ากว่า 18 ปี บริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส และพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2550 ได้ให้นิยามเยาวชน คือ บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 18 ปีแต่ไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์ โดยผู้ปกครองมีหน้าที่ในการดูแลเด็กและเยาวชน เพื่อให้ประพฤติตามกฎระเบียบ ศีลธรรม ค่านิยมของสังคม ปัจจุบันเด็กและเยาวชนถือเป็นกลุ่มเปราะบางกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องได้รับการพัฒนาและฟื้นฟูในสังคมไทย สืบเนื่องมาจากการแปรผันของบริบททางสังคม ศีลธรรม และบรรทัดฐาน ของสังคมที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา แม้ว่าประชากรชาวไทยส่วนใหญ่จะเปรียบเปรยว่า “เด็กคือผ้าสีขาว” สามารถแต้มสีเช่นใด ก็ได้ แต่เหตุใดการแต้มสีของผู้ใหญ่ในสังคมไทยในปัจจุบันกลับท าให้เด็กเป็นผ้าที่มัวหมองมากกว่าผ้าที่มีสีสันสดใส ซึ่งสามารถสังเกตได้จากข่าวผ่านสื่อในทุกช่องทาง มักจะมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนอยู่บ่อยครั้ง ท าให้ปัจจุบันเด็ก และเยาวชนถือเป็นกลุ่มเปราะบางทางสังคม ต้องได้รับความช่วยเหลือและมีภาวะพึ่งพิงในบางสถานการณ์ ซึ่งความส าคัญของการขับเคลื่อนการท างานเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเพราะเด็กและเยาวชน เป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่นักสังคมสงเคราะห์ต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือ บ าบัด ฟื้นฟู รวมถึงการพิทักษ์สิทธิ์ โดยนักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทเพื่อเข้าไปแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤติ เช่น เด็กและเยาวชนที่ถูกละเมิดสิทธิ เด็กและเยาวชนที่ตกอยู่ในสภาวะเปราะบางจากครอบครัวและสังคมภายใต้ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในการปฏิบัติงาน รวมถึงมีบทบาทเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานภายใต้ กรอบอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก 4 ข้อ ได้แก่ สิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา และสิทธิที่จะมีส่วนร่วม เนื่องจากเด็กและเยาวชนเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายส าคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติในอนาคต เพียงแต่เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ยังขาดโอกาสหรือถูกลิดรอนจากคนในครอบครัวหรือสังคมท าให้สถานรองรับเด็กและเยาวชน ต้องเข้ามามีบทบาทนอกเหนือจากครอบครัว รวมถึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้การจัดระเบียบของสังคมยังสามารถเดินต่อไปได้ ท่ามกลางปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ดังนั้น หากขาดการขับเคลื่อนงานในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนภายใน สถานรองรับจะท าให้มีเด็กและเยาวชนถูกทอดทิ้ง หากสถาบันครอบครัวไม่สามารถท าหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ สถานการณ์เด็กและเยาวชนในประเทศไทย จากรายงานสถานการณ์ปัญหาของเด็กและเยาวชนในประเทศไทย (กรมกิจการเด็กและเยาวชน , 2566) พบว่ามีสภาพปัญหาเกิดขึ้นจ านวนมาก ซึ่งส่วนมากเป็นสภาพปัญหาซึ่งสืบเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ ทางเศรษฐกิจของครอบครัว เพราะเมื่อครอบครัวต้องน าเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปท างานเพื่อหาเงินมาประทังชีพในครอบครัว ส่งผลให้เกิดการละเลยในการให้ความรัก ความอบอุ่น และเอาใจใส่บุตรของตน โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีฐานะยากจน มักจะเกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน เช่น สถานการณ์การถูกล่วงละเมิดจากบุคคลภายในชุมชน สถานการณ์การถูกทารุณกรรมจากครอบครัวทั้งในทางร่างกายและจิตใจ สถานการณ์การใช้สารเสพติดในเด็กและเยาวชน สถานการณ์เด็กและเยาวชนเป็นผู้กระท าความผิดแต่สถานการณ์ปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเฉพาะกับครอบครัว ที่มีฐานะยากจนเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามครอบครัวที่มีเศรษฐกิจคล่องตัวหรือร่ ารวยก็อาจเกิดปัญหาดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างสถานการณ์เยาวชนกราดยิงที่ห้างพารากอน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนซึ่งมีผู้ปกครองร่ ารวย แต่ขาดการเอาใจใส่ กดดันมากเกินไป ก็ส่งผลให้เด็กและเยาวชนเกิดสถานการณ์ปัญหาดังกล่าวได้ ถัดมาคือสถานการณ์ปัญหา


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 96 ที่เกิดจากการเข้าไม่ถึงการศึกษาในกลุ่มเด็กและเยาวชน ที่นับวันตัวเลขการหลุดออกจากระบบการศึกษาก็เพิ่มขึ้นในทุกวัน “โดยตัวเลขเด็กหลุดจากระบบที่ทางกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยข้อมูลล่าสุดสูงถึงกว่า 100,000 คน โดยสาเหตุหลักมาจาก ปัญหาความยากจนของครอบครัวที่ผลักให้เด็กต้องออกจากการเรียนเพื่อไปท างานหาเงินแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง” (กองทุน เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 2566) ถึงแม้ว่าในทางทฤษฎีประเทศของเรามองว่าการศึกษาเป็นสิ่งส าคัญ เด็กและ เยาวชนทุกคนควรเข้าถึง แต่ในทางปฏิบัติก็ยังไม่มีนโยบายใดที่สามารถแก้ช่องว่างดังกล่าวได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีสถานการณ์ ปัญหาของเด็กและเยาวชนอีกมากมายที่อาจจะไม่เป็นที่สังเกตในสังคม ได้แก่ การเข้าถึงช่องทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของเด็ก และเยาวชน โดยมีการเข้าถึงทั้งในทางบวกและทางลบต่อตนเองและสังคม แนวโน้มการใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่นับวันยิ่งทวีคูณจ านวน มากขึ้น และอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันภายในครอบครัวที่ส่งผลต่อการถูกกีดกันหรือถูกบีบให้ออกจากครอบครัว และให้ไปด าเนินชีวิตด้วยตนเอง เป็นต้น โดยการเกิดขึ้นของสถานการณ์ปัญหาดังกล่าว มักส่งผลกับเด็กและเยาวชนในหลายมิติ ได้แก่ ผลกระทบทางร่างกาย โดยเฉพาะการถูกทารุณกรรมทั้งจากครอบครัวและคนภายนอกทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ ถัดมาคือผลกระทบทางด้านจิตใจ และพฤติกรรม เพราะการที่เด็กและเยาวชนเผชิญกับสถานการณ์ไม่พึงประสงค์บ่อยๆ จะส่งผลให้จิตใจของเด็กและเยาวชน เกิดความบอบช้ า และหากเกิดซ้ าๆ อาจก่อให้กลายเป็นโรคทางจิตเวช รวมถึงก่อให้เกิดพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน ที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชอบความรุนแรง การเก็บตัวในที่เงียบ การมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ขัดต่อบรรทัดฐานทางสังคม เป็นต้น และผลกระทบอีกด้านหนึ่ง คือ ผลกระทบทางด้านสติปัญญาและโอกาสที่พึงจะได้รับ เช่น หากเด็กและเยาวชน ถูกกระท าความรุนแรงทางเพศ จนก่อให้เกิดปัญหาทางจิตใจและด้านพฤติกรรม ท าให้เด็กและเยาวชนไม่สามารถใช้ชีวิต ร่วมกับเด็กและเยาวชนคนอื่นๆ ในสังคม ก็จะท าให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนั้นขาดโอกาสที่พึงจะได้รับ ซึ่งผลกระทบดังกล่าว อาจส่งผลต่อเด็กและเยาวชนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและกลไกในการป้องกัน ฟื้นฟู ของแต่ละบุคคล โดยนักสังคมสงเคราะห์ มีบทบาทในการเข้าไปป้องกันให้ผลกระทบดังกล่าว ส่งผลกับเด็กและเยาวชนให้ได้น้อยที่สุด หากมองไปถึงสถานการณ์ของเด็กและเยาวชนในประเทศเนเธอร์แลนด์ จะพบว่า ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้รับการจัด อันดับให้เป็นอันดับ 1 ของโลก ในประเด็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก โดยเป็นการจัดอันดับโดยองค์การทุนเพื่อเด็กแห่ง สหประชาชาติ (UNICEF) ซึ่งการที่เด็กและเยาวชนในเนเธอร์แลนด์มีความสุข สืบเนื่องจากสภาพแวดล้อมของประเทศและ ความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ลงไปเบื้องลึกอย่างถ่องแท้ก็พบว่าเป็นผลจากการก าหนดข้อกฎหมายในเรื่องการท างานของพ่อและ แม่เพื่อให้มีเวลามาใช้เวลากับบุตรของตนเอง มีการสนับสนุนงบประมาณให้สร้างพื้นที่สร้างสรรค์ให้กับเด็ก เพื่อให้เขาได้เกิด การเรียนรู้และมีพื้นที่สังคมของตนเอง การเรียนก็มีหลากหลายรูปแบบให้เด็กและเยาวชนเลือกได้ตามความถนัดและความสนใจ ไม่ได้เป็นรูปแบบเดียวทั้งระบบการศึกษาแบบประเทศไทย อีกทั้งยังมีการสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนสามารถที่จะแสดงออก ความคิดเห็นได้ตามความต้องการของตนเองภายใต้ขอบเขตที่เหมาะสม เพราะเป็นการปลูกฝังประชาธิปไตย ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่าหากปัญหาและสถานการณ์ท้าทายของเด็กและเยาวชนจะลดน้อยลงหรือหายไป จะต้องเริ่ม จากการวางพื้นฐานจากครอบครัว ให้เด็กได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวอย่างเหมาะสม ไม่ได้ท าแต่งานจนน าไปสู่ การละเลยความรู้สึกของบุตร มีพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้ท ากิจกรรม มีรูปแบบการศึกษาที่หลากหลายตามความถนัดของ บุคคล และภาครัฐสนับสนุนให้มีนโยบายเพื่อเด็กและเยาวชนมากขึ้น เนื่องจากเด็กเป็นช่วงวัยที่ก าลังสร้างอัตลักษณ์เป็นของ ตนเอง ดังนั้น หากในวัยเด็กเขาเป็นเด็กที่มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี เขาก็จะเป็นเด็กที่มีภูมิคุ้มกันเมื่อเจอปัญหา และหาทาง แก้ไขปัญหาในทางที่ถูกต้อง ส่วนครอบครัวก็จะเห็นความส าคัญกับการใช้เวลาภายในครอบครัวมากขึ้น สภาวการณ์ของเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็กในประเทศไทย ปัจจุบันมีสถานรองรับเด็กในประเทศไทย ภายใต้กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์จ านวน 30 แห่ง ซึ่งมีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชน การคุ้มครอง และพิทักษ์สิทธิ์เด็กและเยาวชน การส่งเสริมสวัสดิการเด็ก เยาวชน และครอบครัว โดยมีการก าหนดนโยบาย มาตรการ กลไก


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 97 เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เด็ก เยาวชน เพราะเด็กและเยาวชนควรที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความมั่นคงในการด ารงชีวิต ภายใต้กฎหมายและพระราชบัญญัติต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือส าคัญในการปฏิบัติงานขององค์กร แม้ว่าสถานรองรับเด็กในประเทศไทยจะมีบทบาทในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ์เด็กและเยาวชน แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ น่าสลดใจภายในสถานรองรับเด็กที่ไม่อาจคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นได้ โดยในบทความนี้จะยกกรณีศึกษาจากสถานสงเคราะห์ จังหวัดสระบุรี ที่เกิดเหตุการณ์ครูพี่เลี้ยงลงโทษผู้ใช้บริการเกินเหตุอันควร โดยมีการลงโทษที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน โดยในข่าวได้ระบุว่า “ครูพี่เลี้ยงก็ยอมรับว่าเป็นกติกาที่ถูกก าหนดขึ้นในการที่จะลงโทษเด็กเล็ก หากมีอาการดื้อหรือซุกซน” (คมชัดลึก, 2566) ซึ่งการกระท าดังกล่าวนับว่าเป็นการกระท าที่ผิดต่อพระราชบัญญัติระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ว่าด้วย วิธีการด าเนินงานของสถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพ และสถาน พัฒนาและฟื้นฟู พ.ศ. 2547 ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สถานรองรับเด็กมีมาตรการในการดูแลเด็กและเยาวชน ในทิศทางที่ดีมากขึ้น รวมถึงมีการตรวจสอบในสถานรองรับเด็กทุกแห่งในประเทศไทยเพื่อความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน ส่งผลให้สถานรองรับเด็กในประเทศไทยยังมีข้อท้าทายอื่นๆ ที่จ าเป็นต้องผลักดันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่เด็กและ เยาวชน ได้แก่ การผลักดันให้เกิดอาสาสมัครภายในสถานรองรับเด็ก เพื่อเข้ามาร่วมกันพัฒนา ปกป้อง เด็กและเยาวชน รวมถึง เข้ามาตรวจสอบความโปร่งใสในการปฏิบัติงานขององค์กร ถัดไปคือผลักดันให้สถานรองรับเด็กทั่วประเทศไทย เป็นพื้นที่ ปลอดภัยกับเด็กและเยาวชน เนื่องจากสถานรองรับต่างๆ มักจะเป็นที่ที่เยาวชนจะต้องใช้ชีวิตในระยะยาว ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่ ส่งผลต่อการเติบโตของเด็กและเยาวชนทั้ง 5 มิติ ได้แก่ ร่างกาย จิตใจ สังคม สติปัญญา และครอบครัว สืบเนื่องด้วยพลวัตใน การเติบโตของเด็กและเยาวชนไม่ได้เติบโตเพียงด้านร่างกาย แต่ยังเป็นช่วงที่เขาสร้างตัวตนภายในของเขาด้วย ถัดไปคือ การผลักดันค่าอาหารต่อหัวของเด็กและเยาวชนในแต่ละมื้อที่ได้เพียง 19 บาทต่อหัวต่อมื้อ ซึ่งขัดแย้งกับค่าครองชีพและ ค่าวัตถุดิบในปัจจุบัน เพราะค่าวัตถุดิบในการประกอบอาหารมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นผู้เขียนมองว่าหากสถานรองรับเด็ก สามารถผลักดันให้เด็กและเยาวชนในสถานรองรับได้รับอาหารต่อมื้อในมูลค่าต่อมื้อมากกว่านี้ จะส่งผลให้คุณภาพของอาหาร มีมากขึ้น เด็กและเยาวชนก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น ประการสุดท้ายคือสถานรองรับเด็กควรมีการส่งเสริมให้เครือข่าย ทุกภาคส่วนของประเทศเข้ามาพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างหลากหลาย เพราะนอกจากเด็กและเยาวชนจะได้ประโยชน์จาก การสนับสนุน ยังสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือของภาคส่วนภายในประเทศ นอกจากนี้สถานรองรับเด็กและเยาวชนภายในประเทศไทยยังได้มีปฏิบัติงานร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เป็นองค์การ พัฒนาเอกชน(NGO) เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็น UNICEF ที่ท างานเพื่อคุ้มครองสิทธิและปกป้อง อนาคตของเด็กทุกคน ผ่านการท างานร่วมกันของทุกภาคส่วน Focus ที่เข้ามาเกี่ยวเนื่องในการท างานเรื่องเด็กและเยาวชน จากการถูกค้ามนุษย์ มูลนิธิพิทักษ์สิทธิเด็ก ที่เข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นให้ทราบถึงความรุนแรงของสถานการณ์ที่เด็ก และเยาวชนถูกละเมิดสิทธิ หรือมูลนิธิโซเอ ที่เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนการหยุดการค้ามนุษย์ รวมถึงเป็นสถานที่พักพิง ให้กับเด็กและเยาวชนที่อยู่ในระหว่างกระบวนการด าเนินคดีจากการถูกค้ามนุษย์ ซึ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น เพราะ ปัจจุบันมีทั้งมูลนิธิและองค์กรไม่แสวงหาผลก าไรต่างๆ ทั่วประเทศไทยและทั่วโลกก าลังท างานเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ของเด็กและเยาวชน โดยสามารถสะท้อนได้ว่าปัจจุบันปัญหาเด็กและเยาวชนถูกละเมิดสิทธิจากการกระท าหรือพฤติการณ์ ต่างๆ เป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข โดยสามารถสรุปได้ว่าปัจจุบันสภาวการณ์ของสถานรองรับเด็กในประเทศไทย ยังมีสถานการณ์ในการใช้อ านาจ ในการกดดันหรือข่มเหงผู้ใช้บริการในบางแห่งซึ่งขัดต่อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งระบุว่าสถานรองรับมีเพื่ออะไร และบทบาทหน้าที่อะไร รวมถึงมีข้อห้ามเช่นใดบ้าง ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการตรวจสอบและแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิด การใช้อ านาจในทางที่ไม่เหมาะสมภายใต้สถานรองรับจากเจ้าหน้าที่ อีกทั้งการท างานเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนไม่สามารถ กระท าได้เพียงล าพังแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส าหรับการขับเคลื่อนงานด้านเด็กและเยาวชน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 98 กรณีศึกษาตัวอย่างการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในสถานรองรับ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) มีภารกิจในการให้การปกป้องคุ้มครองและป้องกัน เพื่อสิทธิ ประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสิ่งส าคัญ จากสถานการณ์ต่อเด็กในสถานรองรับข้างต้นได้อภิปรายถึง สถานการณ์ทางสังคมที่ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กที่มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการส ารวจในด้านสถิติดังกล่าวยังเป็นเพียงแค่ตัวเลขที่ ส ารวจได้อย่างเป็นทางการเพียงเท่านั้น โดยองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ได้เห็นถึงความส าคัญของ การดูแลเด็กโดยปราศจากครอบครัวและค านึงถึงสวัสดิภาพคุณภาพชีวิตของเด็ก เนื่องจากการที่เด็กต้องตกอยู่ในสภาวะ การเติบโตที่แยกจากครอบครัวนั้นจะน ามาสู่การที่เด็กมีพัฒนาการช่วงวัยในเชิงลบ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่มั่นคง หรือการพัฒนาทักษะทางด้านสังคมที่ต่ ากว่าปกติเนื่องจากขาดผู้ดูแลเอาใจใส่และส่งเสริม ด้านพัฒนาการในมิติต่างๆ โดยจากงานวิจัยพบว่า เด็กที่เติบโตโดยปราศจากครอบครัว เติบโตในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้าน ส่งผลให้ เด็กต้องพบเจอกับความเสี่ยงเมื่อเติบโตขึ้น อาทิด้านปัญหาสุขภาพจิต ปัญหาทางด้านสังคม และปัญหาทางด้านพัฒนาการ ด้านการศึกษา จึงการก าหนดแนวทางการปฏิบัติต่อเด็กเชิงนโยบายต่อผู้กระท าหน้าที่ดูแลเด็กดังต่อไปนี้ 1. การก าหนดให้สถานรองรับมีความครอบคลุมต่อเด็กที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในทุกประเภท ในปัจจุบันตามพระราชบัญญัติการคุ้มครองเด็กของประเทศไทย มีข้อก าหนดต่อสถานรองรับในประเทศไทย เพียงไม่กี่ประเภท โดยเป็นการพิจารณาจากลักษณะของสถานรองรับและความจ าเป็นเป็นสิ่งส าคัญ เช่น หอพักการกุศล โรงเรียนศาสนา และสถานรองรับเพื่อพินิจเด็กและเยาวชน โดยพบว่า สถานรองรับดังกล่าวมีเด็กและเยาวชนที่ขาดการคุ้มครอง จากครอบครัวเป็นจ านวนมาก และมีกฎระเบียบข้อปฏิบัติในการใช้ชีวิตที่เคร่งครัดที่ตายตัว ซึ่งเป็นข้อจ ากัดส าคัญต่อรายกรณี ที่เป็นปัจเจกในการใช้ชีวิตของเด็กในแต่ละบุคคลภายใต้การคุ้มครองของสถานรองรับ ดังนั้นเพื่อท าให้สถานรองรับเป็นพื้นที่ปลอดภัย ในการให้การคุ้มครอง การดูแลและส่งเสริมคุณภาพชีวิตแก่เด็ก จ าเป็นจะต้องก าหนดนิยามรวมไปถึงการค านึง ต่อความต้องการที่ครอบคลุมต่อเด็กในทุกประเภทเพื่อให้สอดคล้องต่อหลักการที่เป็นแนวทางการปฏิบัติแห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยเรื่องการเลี้ยงดูทดแทนส าหรับเด็ก โดยเป็นการสร้างนโยบายและก าหนดนิยามสถานรองรับให้มีความขว้างขึ้น ของกรอบในการปฏิบัติเพื่อเป็นแนวทางในการให้การเลี้ยงดูและทดแทนส าหรับเด็กโดยเป็นการค านึงถึงตัวเด็กเป็นสิ่งส าคัญ โดยเป็นการเพิ่มการค านึงถึงเด็กในมิติ ต่างๆ รวมไปถึงเข้าใจในความจ าเป็นที่เป็นปัจเจกของเด็กในแต่ละบุคคล (กัณฐมณี ลดาพงษ์พัฒนา และคณะฯ, 2566) 2. การร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ภาคีต่างๆ ในการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ในการให้การดูแล และการคุ้มครองเด็ก ตามนโยบายการคุ้มครองเด็ก รวมไปถึงการจัดการรายกรณีตามค าต้องการของรายกรณีเพื่อคืนเด็ก กลับสู่ครอบครัวและสังคมภายใต้การท างานของสถานรองรับทุกประเภท การส่งเสริมการร่วมมือกับเครือข่าย ภาคี และองค์การต่างๆ ในการด าเนินการให้ความช่วยเหลือเด็กในการจัด มาตรฐานการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับโดยเป็นการปรับใช้นโยบายการคุ้มครองเด็กที่มีการค านึงถึงความต้องการและ ข้อจ ากัดรายกรณีเพื่อสอดคล้องต่อการดูแลเด็กรายบุคคลและเป็นการคืนเด็กสู่สังคมภายใต้การดูแลของสถานคุ้มครอง ทั้งนี้ กรมกิจการเด็กและเยาวชน ภายใต้สังกัดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะผู้ด าเนินการแทนรัฐ ในการให้กระท าการคุ้มครองเด็กตามกฎหมายซึ่งมีการด าเนินการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในการขยายความร่วมมือใน การคุ้มครองเด็กเพื่อสร้างการตระหนักรู้และการค านึงถึงข้อจ ากัดในการดูแลเด็กตามรายกรณีและการให้แนวทางในการลด ผลกระทบเชิงลบที่มีต่อเด็กในมิติต่างๆ อาทิ พัฒนาการ ความเข้มแข็งทางด้านจิตใจและร่างกาย สุขภาวะ รวมไปการศึกษา และคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเด็ก การร่วมมือกับหน่วยงานภาคและภาคเอกชนผู้เป็นผู้ดูแลรายกรณีจึงเป็นสิ่งส าคัญที่ จะต้องการการเกิดการตระหนักรู้และค านึงถึงผลกระทบที่เป็นปัจเจกของเด็กแต่ละบุคคลที่มีความเปราะบางทางสังคมที่ ต่างกันออกไป


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 99 3. เสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ ปัญหาความยากจนน ามาสู่การขาดโอกาสทางสังคมไม่ว่าจะเป็นโอกาส ในการเข้าถึงทรัพยากร โอกาสการเข้าถึงระบบการศึกษา โอกาสในการพัฒนาชีวิตของตนเองและครอบครัว ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่แรงผลักเด็กเข้าสู่สถานรองรับ ซึ่งเป็นสัญญาณส าคัญที่เป็นผลมาจากการที่สังคมมีความเหลื่อมล้ าที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลในการผลักเด็กออกจากสังคมและท าให้เด็กตกอยู่ในสภาวะที่เป็นอื่น ทั้งนี้ภาครัฐจึงมีความจ าเป็นที่จะต้องสร้าง การตระหนักในระดับต่างๆ ภายในสังคม อาทิ ระดับปัจเจก ระดับครอบครัว ระดับสถาบันทางสังคม รวมไปถึงในระดับ นโยบายทางสังคมในการส่งเสริมความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเสริมสร้างการดูแล เด็กที่แข็งแรงในระดับมิติต่างๆ เมื่อสังคมและครอบครัวเกิดการตระหนักความส าคัญในการดูแลเอาใจใส่และป้องกันเด็ก จะน าสู่การช่วยลดความเสี่ยงในการพรากเด็กออกจากครอบครัว (กรมกิจการเด็กและครอบครัว, 2564) โดยการก าหนดนโยบายเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ถูกให้ถูกการดูแลภายในสถานรองรับ หรือการเลี้ยงดูโดยผู้ดูแล โดยปราศจากครอบครัวนั้น ถือเป็นแบบที่เป็นทางเลือกสุดท้ายที่สุด และควรเป็นที่พักพิงที่ใช้เวลาน้อยที่สุดหากเป็นไปได้ เนื่องจากการดูแลและให้การคุ้มครองเด็กนั้นยังเป็นคงบทบาทของครอบครัวที่จ าเป็นจะต้องให้ความรักให้การดูแลเอาใจใส่ ต่อเด็ก รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและสังคมต้องร่วมกันตระหนักถึงความสัมพันธ์ต่อเด็กและความเข้มแข็งของครอบครัว แนวโน้มการคืนเด็กและเยาวชนสู่ครอบครัว แนวโน้มการคืนเด็กและเยาวชนสู่ครอบครัว เป็นการเร่งสร้างค่านิยมใหม่ทดแทนค่านิยมเดิมที่มุ่งเน้นการส่งเด็ก ที่ประสบปัญหาทางสังคมและต้องการได้รับโอกาสปรับปรุงตนเองเข้าสู่สถานรองรับ สถานสงเคราะห์ และสถานคุ้มครองเด็ก เพียงเท่านั้น แต่เป็นการคืนเด็กสู่ครอบครัว เนื่องด้วยความเชื่อมั่นว่า เด็กและเยาวชนจะสามารถเติบโตได้อย่างเหมาะสม มากที่สุดโดยต้องได้รับการอบรมดูแลจากสถาบันครอบครัวเท่านั้น อีกทั้งครอบครัวเปรียบเป็นส่วนส าคัญอย่างมากใน การด ารงชีวิตของเด็ก ซึ่งเป็นเสาหลักค้ าชูให้เด็กและเยาวชนสามารถด าเนินชีวิตต่อไปได้ การที่สถาบันครอบครัวเข้ามา มีบทบาทในการส่งเสริม ช่วยเหลือ บ าบัด และฟื้นฟูเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ได้ จึงเป็นสัญญาณที่ดีในการลดจ านวนการส่งเด็ก เข้าสถานสงเคราะห์ จากสถานการณ์สถานสงเคราะห์ทุกแห่ง ทั้งของภาครัฐและเอกชน ก าลังแบกรับภาระด้านค่าใช้จ่าย ที่ไม่เพียงพอต่อการดูแลเด็กที่อยู่ในความปกครองขององค์กร ส่งผลให้การคุ้มครองเด็กในสถานรองรับทุกรูปแบบมีประสิทธิภาพต่ า เนื่องจากความไม่สอดคล้องในประเด็นดังกล่าว การส่งเสริมให้ส่งเด็กคืนสู่ครอบครัวจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่จะสามารถแก้ไข ปัญหาดังกล่าวได้ จากการศึกษากรณีตัวอย่างของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ภายหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วยสร้าง ช่องว่างของความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนในสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเยาวชนต้องปรับเปลี่ยน จากการเรียนในโรงเรียนมาเป็นการศึกษาที่บ้านเพื่อบรรเทาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ท าให้เกิดความยากล าบากและ ความท้าทายมากมายขึ้นกับเยาวชนรวมไปถึงเยาวชนภายใต้การดูแลของสถานรองรับ จากการส ารวจพบว่าการเปลี่ยนแปลง ระบบการเรียนดังกล่าวน ามาสู่ปัญหาหลุดออกจากระบบการศึกษาของนักเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกา สิ่งเหล่านี้ท าให้เกิดช่องว่าง ที่น ามาสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ าทางสังคมที่สูงขึ้น ส่งผลให้มีเยาวชนเข้าสู่การดูแลของสถานรองรับที่มากขึ้น โดยส่วนมากมีสาเหตุมา จากความวิตกกังวล ปัญหาทางสุขภาพจิต ความรุนแรงจากครอบครัว การปรับตนเองให้เข้าสู่สถานการณ์ระบาดไม่ได้ น ามาสู่ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเยาวชน (Foundation, 2020) แนวทางการแก้ปัญหาและการดูแลในการเสริมสร้างการสนับสนุนช่วยเหลือคืนเยาวชนสู่ครอบครัว เกิดการร่วมกัน แก้ปัญหาจากการที่สถานรองรับของแต่รัฐน าตัวแทนเยาวชนภายในสถานรองรับเข้ามาพูดคุยและทัศนะของตนในการเสนอ ความต้องการและแนวทางในการแก้ปัญหาและการดูสนับสนุนให้เยาวชนคืนสู่ครอบครัว โดยเยาวชนที่เข้าร่วมการแสดงทัศนะ เป็นเยาวชนที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสถานรองรับในรัฐวอชิงตัน รัฐโอเรกอน รัฐโคโลลาโด และรัฐซัสเซสในรูปแบบระยะยาว


Click to View FlipBook Version