The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทความ Processdinga สถาปนาคณะ 70 ปี (24 ม.ค.67) พร้อมทำ e-

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ntknight478, 2024-01-24 05:55:28

หนังสือรวมบทความ Proceedings สถาปนาคณะ 70 ปี

รวมบทความ Processdinga สถาปนาคณะ 70 ปี (24 ม.ค.67) พร้อมทำ e-

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 200 ทักษะการฟังอย่างตั้งใจ โดยมีการสรุปความ ทวนความ และสะท้อนกลับ รวมไปถึงการตั้งค าถามปลายเปิด ปลายปิด เพื่อให้ได้ข้อมูล ที่จ าเป็น ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ เพื่อให้ผู้ใช้บริการเกิดความไว้วางใจ และสามารถบอกเล่าข้อมูลได้อย่างละเอียด ครบถ้วน ทักษะการสังเกต เพื่อสังเกตท่าทาง ลักษณะของผู้ใช้บริการรวมไปถึงสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของผู้ใช้บริการ และทักษะการจด บันทึก และหลักการที่ต้องใช้ประกอบด้วย การไม่ตัดสิน และยอมรับความแตกต่าง โดยไม่ต าหนิติเตียนผู้ใช้บริการ หลักการเคารพ การตัดสินใจของผู้ใช้บริการโดยไม่ชี้น า หลักการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจตลอดจนการมีส่วนร่วมขององค์กรเครือข่าย หลักการรักษา ความลับ หลักการเสริมพลังโดยการสร้างความเชื่อมั่น สนับสนุนทรัพยากร และการให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือกใน การพึ่งพาตนเองดังข้อมูลจากการสัมภาษณ์ที่กล่าวว่า “...ในเครื่องมือสัมภาษณ์ ทักษะที่ใช้ก็จะมีทักษะการสัมภาษณ์ เราต้องตั้ง ค าถามให้เคสมีความเข้าใจในค าถามด้วย แล้วก็ใช้ทักษะการฟัง เพื่อให้ได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ใช้การสังเกต ก็จะช่วยให้เรา วิเคราะห์อะไรบางอย่างได้ เช่น ความวิตกกังวลในปัญหา ใช้ทักษะการจดบันทึกเพื่อท ามาประกอบเป็นข้อมูลเคส แล้วก็ใช้หลักการ ยอมรับในตัวตนของเคส เพื่อไม่ให้ใช้อคติส่วนตัวในการตัดสินเคส...” (แนน, สัมภาษณ์,17 กุมภาพันธ์ 2565)“...การสัมภาษณ์พี่ก็ใช้ การเสริมพลังซึ่งส าคัญ เพราะว่าบางทีเขาไม่ได้รู้ว่า เขามีศักยภาพ แต่ที่จริงแค่มีใจที่อยากจะดูแล มีความรัก มีความตั้งใจอยากจะ ดูแลเด็กก็เป็นจุดแข็ง เหมือนเราต้องเสริม เสริมให้เขารู้ว่าเขามีศักยภาพอะไรบ้าง แล้วเราก็เอาทรัพยากรที่เรามีไปช่วยสนับสนุนเขา ใช้หลักการตัดสินใจด้วยตนเอง พี่จะไม่เคยพูดว่า ไม่นะ ไม่รับ หรือว่า คุณต้องอย่างนั้นอย่างนี้ คือเราจะให้ครอบครัวตัดสินใจเป็น หลักเลย ในสิ่งที่เรามีแล้วก็ต้องให้ข้อมูลข้อเท็จจริงด้วย พี่จะไม่พูดว่าเข้ามาแล้วลูกจะดีหรือจะหาย เราก็พูดข้อเท็จจริงในผลกระทบ ที่มันมี เขาจะได้เอาข้อมูลตรงนี้ไปตัดสินใจด้วยตนเอง...” (หยก, สัมภาษณ์,17 กุมภาพันธ์ 2565) 2) การเยี่ยมบ้าน ลักษณะการใช้เครื่องมือเยี่ยมบ้านในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ของนักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงาน การใช้เครื่องมือเยี่ยมบ้านใช้ในขั้นตอนการค้นหาข้อเท็จจริง การพิจารณาประเมินปัญหา สภาพปัญหา ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงานมองว่า เครื่องมือเยี่ยมบ้าน ช่วยให้เห็นข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังท าให้ได้ เห็นสภาพปัญหาในมิติที่หลากหลาย สภาพที่อยู่อาศัย สภาพความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมที่รวมไปถึงเพื่อนบ้าน ชุมชนแวดล้อม ตลอดจนทราบเรื่องราวข้อมูลภูมิหลังของคนพิการ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักสังคมสงเคราะห์สามารถประเมินสภาพปัญหา และ หาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อน าไปสู่การจัดบริการที่เหมาะสม หรือเพื่อพิจารณาความเร่งด่วนในการให้บริการ ดังข้อมูลจากการ สัมภาษณ์ที่กล่าวว่า “...การเยี่ยมบ้านเป็นเรื่องส าคัญมาก เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงสภาพครอบครัว สภาพ ปัญหาของครอบครัวคนพิการ หรือของคนพิการ เหตุผลและความจ าเป็นว่าท าไมเขาถึงไม่สามารถดูแลคนพิการได้ ซึ่งมันจะท าให้เรา เห็นมิติที่หลากหลาย...” (มิ้น, สัมภาษณ์,9 มีนาคม 2565) “...การเยี่ยมบ้านจะเป็นการช่วยท าให้เห็นว่าคนพิการประสบปัญหาเรื่อง อะไรบ้างได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อย่างพื้นที่ใกล้ๆแล้วเราลงไปเยี่ยมบ้านเอง บางทีข้อมูลที่ได้รับมาจากหน่วยงานต้นทางก็ไม่ตรงกัน ในแต่ละเคส ในแต่ละประเด็น ถ้าเราลงไป เราจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม...” (เจ, สัมภาษณ์, 23 พฤษภาคม 2565) นักสังคมสงเคราะห์ แต่ละส่วนงานมองว่าเครื่องมือเยี่ยมบ้านในขั้นตอนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ นั้นต้องใช้ทักษะ สัมภาษณ์ เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่จ าเป็น ทักษะการฟัง เพื่อให้รับรู้ถึงข้อเท็จจริง ข้อมูลสภาพปัญหาของผู้ใช้บริการ ทั้งจากผู้ใช้บริการ ครอบครัว หรือชุมชน โดยการได้รับข้อมูลจากบุคคลรอบด้านของผู้ใช้บริการหลายๆแหล่งนั้น หากข้อมูลดังกล่าวตรงกันจะมี ความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ทักษะการสังเกต เพื่อให้เห็นถึงสภาพปัญหาสภาพที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม บุคคลรอบข้างของ ผู้ใช้บริการทักษะการสร้างสัมพันธภาพ ทักษะการให้ค าปรึกษา เพื่อแนะน าสิทธิสวัสดิการต่างๆให้ผู้ใช้บริการ และสามารถเป็น ทางเลือกแทนการตัดสินใจส่งคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ หรือสามารถบรรเทาปัญหาในระหว่างรอกระบวนการประสาน ส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ และมีนักสังคมสงเคราะห์ที่มองว่าควรมีการเตรียมข้อมูล และเตรียมวัตถุประสงค์ใน การเยี่ยมบ้านแต่ละครั้ง เพื่อให้การเยี่ยมบ้านในแต่ละครั้งมีประสิทธิภาพ ดังข้อมูลจากการสัมภาษณ์ที่กล่าวว่า “...การเยี่ยมบ้านก็ใช้ ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ เพื่อให้เขาตอบข้อมูลที่แท้จริง แล้วก็ใช้ทักษะการสังเกต เพื่อสังเกตสภาพแวดล้อม สภาพบ้าน ตัวคนรอบข้างของเคส ทักษะการสัมภาษณ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่จ าเป็น และทักษะการฟัง เพื่อฟังสภาพปัญหาข้อมูล ข้อเท็จจริง...” (บี, สัมภาษณ์, 5 เมษายน 2565)“...ใช้ทักษะการสังเกต เราก็ดูสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของคนพิการ อาจจะสอบถามจากเพื่อน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 201 บ้านด้วย ถ้าเจอ ทักษะการสัมภาษณ์ ซึ่งจะใช้วิธีการเหมือนการพูดคุย ไม่ได้ตั้งค าถามเป็นข้อๆการจดบันทึก ซึ่งบางครั้งก็ต้องไปกัน 2 คน คนหนึ่งท าหน้าที่สัมภาษณ์ อีกคนหนึ่งท าหน้าที่จดบันทึก แล้วก็จะมีการบันทึกภาพ ซึ่งเราต้องขออนุญาตคนพิการและ ครอบครัวก่อน...” (เจ, สัมภาษณ์,23 พฤษภาคม 2565) 3) การประสานส่งต่อ ลักษณะการใช้เครื่องมือประสานงานในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพฯ นักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงานได้อธิบายว่า ลักษณะการใช้เครื่องมือประสานงานนั้น มี 2 รูปแบบ คือ การใช้หนังสือ ราชการ และการโทรศัพท์ โดยมีการใช้เครื่องมือประสานงานตั้งแต่ขั้นตอนการรับแจ้งเรื่อง ขั้นตอนการประสานงานไปยังหน่วยงาน ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้อาจเพื่อเป็นทางเลือกในการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการเพิ่มเติมโดยไม่ต้องเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ขั้นตอนการประสานขอข้อมูลหรือเอกสารเพิ่มเติมของผู้ใช้บริการ และขั้นตอนในการนัดวันน าส่งผู้ใช้บริการเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพฯ โดยการประสานงาน ช่วยให้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ มีความราบรื่นขึ้น รวมทั้งสามารถช่วยให้ผู้ใช้บริการได้รับความช่วยเหลือได้ตรงตามสภาพปัญหาความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ ดังข้อมูลจาก การสัมภาษณ์ที่กล่าวว่า “...เครื่องมือการประสานส่งต่อมีส่วนช่วยได้มาก การประสานงานเป็นสิ่งส าคัญเลย เพราะบางกระบวนการ เราไม่สามารถด าเนินการได้คนเดียว เพราะข้อจ ากัดทางหน่วยงาน เช่น การประสานงานกับทางโรงพยาบาลเพราะเราต้องใช้ ความช านาญเฉพาะด้านทางการแพทย์ในการรักษาประเมิน หรือการประสานข้อมูลเพื่อให้สถานสงเคราะห์ปลายทาง ต้องไปดูแลใน ระยะยาว...” (มิ้น, สัมภาษณ์,9 มีนาคม 2565)“...เครื่องมือที่มีการประสานงานกัน หลักๆ ก็มีเรื่องของตัวเอกสารที่เป็นหนังสือของ ทางราชการ เป็นหนังสือที่ได้รับการอนุมัติการส่งตัวคนพิการขอเข้ารับการคุ้มครองอุปการะในสถานคุ้มครองฯ นอกจากตัวหนังสือ ราชการแล้ว คือหนังสือราชการก็จะมีจากทั้งจากส่วนกลาง ก็คือจากทางกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมถึงหนังสือ ประสานจากหน่วยงานในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นทางส านักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด หรือโรงพยาบาล ท้องถิ่น ต่างๆ...” (แป้ง, สัมภาษณ์, 2 กุมภาพันธ์ 2565) นักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงานอธิบายถึงทักษะที่ใช้ในเครื่องมือประสานงาน ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ได้แก่ ทักษะ การประสานงาน ทั้งจากองค์กรเครือข่าย และญาติผู้ใช้บริการ ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ เพื่อให้ได้เครือข่ายในการท างาน รวมทั้งยังสามารถลดความขัดแย้งใน การประสานงานได้โดยการพูดคุยเจรจาต่อรอง ทักษะการติดต่อสื่อสาร ทักษะการฟังเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และการติดต่อ ประสานงาน ทักษะการสัมภาษณ์ เพื่อใช้สอบถามรายละเอียดข้อมูลและสภาพปัญหา ทักษะการจดบันทึก เพื่อบันทึกรายละเอียด การประสานงาน ให้มีความต่อเนื่อง ทักษะการอ่าน โดยการอ่านจับใจความ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสภาพปัญหา ซึ่งช่วยให้ สามารถวางแผนให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการใช้ทักษะต่างๆ ภายใต้เครื่องมือประสานงานนั้น นักสังคมสงเคราะห์จะต้องมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของข้อมูล รายละเอียดสภาพปัญหาของผู้ใช้บริการไว้ให้เรียบร้อย ดังข้อมูลจากการสัมภาษณ์ที่กล่าวว่า “...ในการประสานงานเราก็จะใช้ทักษะการติดต่อสื่อสาร แล้วก็จะมีการสร้างสัมพันธภาพ เป็นส่วนตัวด้วย เพื่อให้ได้เครือข่ายในการช่วยด าเนินการ เช่น ศูนย์บริการสาธารณสุข แล้วเราก็จะท าการติดตามผล ในการประสานงานเราก็จะใช้หนังสือราชการซึ่งมีความชัดเจน ช่วยให้คนที่รับเรื่องต่อมีรายละเอียดของเคสได้ ก็จะพิจารณาตาม หลักเกณฑ์การเข้าสถานคุ้มครองฯ ว่าตรงไหม...” (คะน้า, สัมภาษณ์,25 กุมภาพันธ์ 2565)“...ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ สร้าง สัมพันธภาพกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้คนพิการได้รับบริการที่เหมาะสมในช่วงเวลานั้นๆ...” (ตอง, สัมภาษณ์, 23 เมษายน 2565) ปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการ เข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ จากการศึกษาลักษณะการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ซึ่งประกอบด้วย การสัมภาษณ์ การเยี่ยมบ้าน และการประสานส่งต่อ มีการพบปัญหาอุปสรรคต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ดังนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 202 1) การสัมภาษณ์ ปัญหาอุปสรรคในการใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์ในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการ ประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ นักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงานมองว่าปัญหาอุปสรรคของการใช้เครื่องมือ การสัมภาษณ์นั้น ประกอบไปด้วย การที่ข้อมูลหรือไม่ครบถ้วน แบบฟอร์มการให้ความช่วยเหลือไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน ตลอดจน การสื่อสารกับคนพิการประเด็นเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการรวบรวมข้อมูลที่น าไปประเมิน เพื่อพิจารณาในการให้ความช่วยเหลือ คนพิการตลอดจนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ดังข้อมูลจากการ สัมภาษณ์ที่กล่าวว่า “ข้อมูลของคนพิการไม่ชัดเจน เอกสารส าคัญเช่น บัตรประชาชน บัตรคนพิการไม่มีท าให้เราไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ ที่จะประสานงานต่อไป และอาจจะเกิดกรณีที่ญาติคนพิการให้ข้อมูลไม่ชัดเจน บอกข้อมูลไม่หมด เพื่อที่จะผลักภาระให้สถาน คุ้มครองฯ ในการดูแลคนพิการ” (บี, สัมภาษณ์,5 เมษายน 2565)“ก็จะมีกรณีคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย ก็จะมีเรื่อง การต้องใช้ภาษามือ ในการช่วยสื่อสาร หรือมีล่าม แล้วก็คนพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรมที่มีอาการมาก บางครั้งก็ไม่สามารถให้ ข้อมูลเราได้ แต่บางทีเราก็อยากจะคุยกับคนพิการเพื่อที่จะให้ได้รู้ถึงความต้องการของคนพิการจริงๆ” (ตอง, สัมภาษณ์,23 เมษายน 2565) 2) การเยี่ยมบ้าน ปัญหาอุปสรรคในการใช้เครื่องมือการเยี่ยมบ้านในการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพฯ มีหลายรูปแบบ ผู้ใช้บริการไม่สามารถให้เยี่ยมบ้านได้ตามนัดหมาย การไม่ทราบข้อมูลที่อยู่อาศัยที่ชัดเจนของ ผู้ใช้บริการ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรน่า 2019การใช้รถของหน่วยงานเป็นที่สังเกตของชุมชน และข้อมูลไม่ครบถ้วน ซึ่งปัญหาอุปสรรคของการใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์เหล่านี้ ล้วนส่งผลต่อการประเมินสภาพปัญหาความต้องการของคนพิการ ดังข้อมูลจากการสัมภาษณ์ที่กล่าวว่า“การเยี่ยมบ้าน ในความที่เราเป็นหน่วยงานเราก็จะมีกรอบเวลาเหมือนกันที่จะต้องด าเนินการ บางครั้งท าการนัดหมายคนพิการไว้แล้ว แต่ก็จะมีการเลื่อน ไม่สามารถไปให้ตรงตามนัดที่วางแผนเอาไว้ได้ เนื่องจากเคสไม่ว่าง ติดธุระ ก็ต้องเลื่อนนัดหมายออกไปหรือบางครั้งเคส หรือสมาชิกในครอบครัวมีปัญหาหรือผลกระทบทางด้านจิตใจก็มีผลต่อการให้ ข้อมูล” (วิว, สัมภาษณ์,17 กุมภาพันธ์ 2565) “ก็จะมีกรณีของพิกัดไม่ชัด พิกัดไม่ตรง ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ” (ตอง, สัมภาษณ์, 23 เมษายน 2565) “ถ้าเคสอยู่ต่างจังหวัดเราก็ไม่สามารถไปเยี่ยมบ้านได้เอง เราต้องอาศัยหน่วยงานในพื้นที่ ไปเยี่ยมให้ ซึ่งเรา จะต้องศึกษาเอาจากตัวหนังสือที่เขาท ามาให้ ก็จะเป็นอุปสรรคในเรื่องนี้ ต้องอาศัยการประมวลข้อเท็จจริงจากตัวหนังสือซึ่งเราไม่ได้ ไปเห็นด้วยตนเอง” (แนน, สัมภาษณ์,17 กุมภาพันธ์ 2565) 3) ปัญหาอุปสรรคของการใช้เครื่องมือการประสานงานภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการ เข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพฯ ประกอบไปด้วย ความล่าช้าของระบบหนังสือราชการ หน่วยงานเครือข่ายไม่ทราบกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการ เข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการสามารถรับคนพิการได้อย่างจ ากัดการที่นักสังคมสงเคราะห์ไม่ได้ เป็นผู้ให้บริการตั้งแต่เริ่มต้น ข้อมูลไม่ครบถ้วนและการหมุนเวียนเปลี่ยนบุคลากรบ่อย ซึ่งปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการใช้ เครื่องมือประสานงาน ในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ เกิดความล่าช้า ไม่ราบรื่น ดังข้อมูลจาก การสัมภาษณ์ที่กล่าวว่า “ปัจจุบันใช้หนังสือราชการในการประสานงาน ดังนั้นก็จะมีความล่าช้าในการด าเนินการ แม้ปัจจุบัน ก็อาจจะมีการรับ ส่งหนังสือในระบบเป็นการช่วยด าเนินการแล้ว” (คะน้า, สัมภาษณ์, 25 กุมภาพันธ์ 2565)“การที่หน่วยน าส่งที่ ไม่เข้าใจกระบวนการ ท าให้ข้อมูลเอกสารส าคัญ อาจะไม่ครบถ้วนท าให้ล่าช้า” (ฝ้าย, สัมภาษณ์,5 เมษายน 2565)“การที่จะต้องรับ คนเข้าเป็นจ านวนมาก ท าให้เราไม่สามารถจะรับคนพิการได้ทันที เนื่องจากข้อจ ากัดของเราเรื่องพื้นที่ แล้วก็เรื่องการดูแล” (แป้ง, สัมภาษณ์,2 กุมภาพันธ์ 2565) จากการวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อ คนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ พบว่าในการใช้เครื่องมือสัมภาษณ์ เครื่องมือเยี่ยมบ้าน และเครื่องมือประสานงานนั้น คือ 1) การที่ได้รับข้อมูล หรือเอกสารไม่ครบถ้วน ในการน าไปพิจารณาสภาพปัญหาความต้องการ ส่งผลต่อการด าเนินการให้ ความช่วยเหลือซึ่งปัญหาอุปสรรคเรื่องการได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนนั้น นักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงาน มีการน าเสนอ แนวทาง การพัฒนาโดยการก าหนดรูปแบบของเครื่องมือการสัมภาษณ์ การเยี่ยมบ้าน การประสานส่งต่อ ให้เป็นรูปแบบเดียวกัน 2) ข้อจ ากัด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 203 ความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ด้านภาษามือ นักสังคมสงเคราะห์บางส่วนงานพบเจอปัญหาอุปสรรคของการใช้ เครื่องมือการสัมภาษณ์ ในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ เนื่องจากสภาพความพิการของ คนพิการบางประเภท เช่น คนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย คนพิการทางสติปัญญา คนพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถสัมภาษณ์และได้รับข้อมูลจากคนพิการได้โดยตรง อาจท าให้ไม่สามารถรับรู้ปัญหา ความต้องการของคนพิการ ที่แท้จริงได้ โดยได้รับข้อมูลจากครอบครัว หรือชุมชนแทน ในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ต้องมีล่ามเพื่อช่วยในการสื่อสาร 3) ขาดการน าเทคโนโลยีมาช่วยในการประสานส่งต่อนักสังคมสงเคราะห์บางส่วนงานพบเจอ ความล่าช้าของการใช้หนังสือราชการเป็นเครื่องมือในการประสานส่งต่อ ท าให้การความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาเกิดความล่าช้า จึงมีการแสดงความคิดเห็นแนวทางการพัฒนากระบวนการ ว่าควรสร้างระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพฯ เพื่อความรวดเร็วในการประสานงานมากยิ่งขึ้น 4) การขาดความชัดเจนและความรู้ความเข้าใจกระบวนการ ประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ปัญหาอุปสรรคจากการใช้เครื่องมือภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อ คนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ อาจเกิดจากความไม่เข้าใจในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพฯ นักสังคมสงเคราะห์บางส่วนงานและผู้บริหารจึงมองว่า การสร้างคู่มือ หลักเกณฑ์ และการจัดอบรมเจ้าหน้าที่เรื่อง การประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ สามารถช่วยพัฒนากระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการ คุ้มครองสวัสดิภาพฯ ได้ อภิปรายผลการศึกษา เครื่องมือและลักษณะการใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อ คนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ จากผลการศึกษาดังกล่าว พบว่านักสังคมสงเคราะห์มีการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงาน สังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ทั้งการสัมภาษณ์ การเยี่ยมบ้าน และการประสานส่งต่อ ตามวัตถุประสงค์ของแต่ละเครื่องมือเพื่อให้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพฯ บรรลุวัตถุประสงค์ โดยใช้ทักษะการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการสังเกต ทักษะ การสร้างสัมพันธภาพ ทักษะการสัมภาษณ์ ทักษะการให้ค าปรึกษา และทักษะการจดบันทึก ซึ่งทักษะเหล่านี้นับเป็นทักษะ พื้นฐานในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ที่ต้องใช้ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ให้เห็นถึงการที่นักสังคมสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานมีองค์ความรู้พื้นฐานในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการ ประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ นอกจากเรื่องทักษะในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์แล้ว เรื่อง หลักการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ยังคงน ามาใช้ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความลับ การไม่ต าหนิติเตียน การยอมรับความแตกต่าง หรือการใช้หลักการมีส่วนร่วมใน การตัดสินใจของผู้ใช้บริการ โดยนักสังคมสงเคราะห์ยังคงให้ผู้ใช้บริการเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ด้วยตนเอง โดยไม่มีการบังคับ ซึ่งหากผู้ใช้บริการตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ นักสังคมสงเคราะห์ท าตามความประสงค์ของผู้ใช้บริการเป็นหลัก การใช้หลักการพื้นฐานในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ จะช่วยให้การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้ กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยที่สามารถประเมินการให้ ความช่วยหลือได้อย่างรอบด้านอย่างปราศจากอคติ เนื่องจากนักสังคมสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานมีองค์ความรู้พื้นฐานในเรื่องของ ทักษะ หลักการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการ เข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ จากการศึกษาปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการ ประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ พบว่าปัญหาส าคัญของการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 204 ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ คือการที่ได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ซึ่งปัญหาดังกล่าว จะส่งผลให้การประเมินให้ความช่วยเหลือคนพิการ ตลอดจนการประสานงานให้คนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ เกิด ความล่าช้า ตลอดจนการไม่สามารถจัดบริการที่เหมาะสมให้คนพิการได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่เพียงพอท าให้ไม่สามารถ วิเคราะห์สภาพปัญหาความต้องการที่แท้จริงได้ นอกจากนี้การมีองค์ความรู้ในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้ กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ มีความส าคัญเนื่องจากกระบวนการประสานส่งต่อ คนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ มีหลายขั้นตอน ซึ่งต้องประสานงานกับหลาย หน่วยงาน รวมไปถึงต้องมีองค์ความรู้เฉพาะในการปฏิบัติงาน เช่น ข้อจ ากัดของคนพิการที่สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ไม่สามารถรับได้ หรือสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการแต่ละแห่ง รับคนพิการประเภทใดและช่วงอายุใด และที่ส าคัญ คือ ในกระบวนการประสานส่งต่อนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องการข้อมูลใดของผู้ใช้บริการบ้าง เนื่องจากการใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์ การเยี่ยมบ้าน และการประสานส่งต่อนั้น ข้อมูลที่ได้รับจะมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งหากนักสังคมสงเคราะห์ขาดองค์ความรู้ เหล่านี้ ข้อมูลที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับจะขาดความสมบูรณ์ซึ่งนับเป็นปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงาน สังคมสงเคราะห์ในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ เอกสารอ้างอิง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ. (2565). สถานการณ์ด้านคนพิการ. สืบค้นจาก https://dep.go.th/th/law-academic/knowledge-base/disabled-person-situation กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ. (2565). รายงานการประชุมการปฏิบัติงานกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนา คนพิการประจ าเดือนกันยายน 2565, 20 ตุลาคม 2565 ณ ห้องปรุมชั้น 3 อาคาร 60 ปี กรมประชาสงเคราะห์. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาะชีวิตคนพิการ, กองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ. ปรียานุช โชคธนวณิชย์. (2558). การเยี่ยมบ้านในงานสังคมสงเคราะห์สุขภาพ:แนวคิดพื้นฐานเพื่อการปฏิบัติงาน. วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, 23(2), 126-150. ญาณิกา นิลแจ้ง. (2559). เสียงสะท้อนต่อครอบครัวที่มีต่อการเยี่ยมบ้านของนักสังคมสงเคราะห์มูลนิธิเด็ก. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. ระพีพรรณ ค าหอม. (2555). หลักการและกระบวนการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์จุลภาค (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. วีณา เที่ยงธรรม,สุนีย์ ละก าปั่น และอาภรณ์ เผ่าวัฒนา. (2558).การพัฒนาศักยภาพชุมชน แนวคิดและการประยุกต์ใช้. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: แดเน็กซ์อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น. วสุภรณ์ อ าพนนวรัตน์. (2556). การพัฒนาการประสานงานระหว่างองค์กรในการป้องกันและแก้ไขปัญหาคนขอทานในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, ภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, สาขาการบริหารและนโยบายสวัสดิการสังคม. วาสิทธิ์ นงนุช. (2560). การพัฒนาคุณภาพระบบส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินระหว่างสถานพยาบาล โรงพยาบาลเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด. การค้นคว้าอิสระปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, คณะสาธรณสุขศาสตร์. สมชาติกิจยรรยง. (2543). การพัฒนาทีมงานบริการ. กรุงเทพฯ: บริษัทมัลติอินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จ ากัด. สุรางค์รัตน์ วศินารมณ์. (2554). ทักษะการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สุวัจนา คงคล้าย. (2557). ทัศนคติของบุคลากรเกี่ยวกับการประสานงานภายในโรงพยาบาลปทุมธานี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, ภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, สาขาการบริหารและนโยบายสวัสดิการสังคม.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 205 โรคเรื้อนและการตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน1 Leprosy and Stigma in Persons Affected by Leprosy จันจนากร พรหมแก้ว2 Janjanakorn Promkaew 3 บทคัดย่อ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคเรื้อนและการตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน แบ่งออกเป็น สองมิติ ได้แก่ (1) โรคเรื้อนในมิติทางการแพทย์ ที่เน้นด้านระบาดวิทยา (Epidemiology) อาการส าคัญและการรักษา และ (2) โรค เรื้อนในมิติทางสังคม ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาและผลกระทบทางสังคม ในด้านการตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน ผู้ศึกษารวบรวม ข้อมูล สังเคราะห์และวิเคราะห์จากมุมมองของผู้ศึกษาในบทบาท “นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ของหน่วยงานด้านโรคเรื้อนของ ประเทศไทย” โดยผ่านการมองโรคเรื้อนในมุมมองของ “นักศึกษาหลักสูตรนโยบายสังคม” ข้อค้นพบจากการศึกษา พบว่าสถานการณ์ โรคเรื้อนทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ยังคงมีผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนรายใหม่ทุกปี โดยเฉพาะผู้ป่วยรายใหม่ที่มีความพิการ ที่มองเห็นได้ชัด4 (ความพิการระดับ 2) ถึงแม้ว่าในมิติทางการแพทย์ โรคเรื้อนจะไม่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขแล้วก็ตาม เนื่องจาก ความส าเร็จของการก าจัดโรคเรื้อนในปี 2543 ตามที่องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าหมายไว้ แต่โรคเรื้อนก็ยังคงเป็นปัญหาในมิติทางสังคม ในแง่ของการไม่ยอมรับ รังเกียจเดียดฉันท์ ท าให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานต่อการถูกตีตราทางสังคมไปชั่วชีวิต ค าส าคัญ: โรคเรื้อน, การตีตรา, ผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน Abstract This article has three objectives. To create knowledge and understanding about leprosy and the stigmatization of Persons Affected by Leprosy, divided into two dimensions: (1) leprosy in the medical dimension emphasis on epidemiology (Epidemiology) important symptoms and treatment, and (2) leprosy in thesocial dimension that results in problems and social impacts in terms of stigma against Persons Affected byLeprosy.The researcher collected the data. Synthesize and analyze from the perspective of the researcher in the role. “Medical social worker of the leprosy agency in Thailand” through looking at leprosy from the perspective “Students of the Social Policy Program” Findings from the study found that the leprosy situation both globally and in Thailand There are still new cases of leprosy every year. Especially new patients with clearly visible disabilities4 (Level 2 disability), although in the medical dimension Leprosy is no longer a public health problem. Due to the success of eliminating leprosy in 2000 as set by the World Health Organization. But leprosy is still a problem in the social dimension in terms of intolerance. disgusted This causes patients to suffer from social stigma for the rest of their lives. Keywords: Leprosy, Stigma, Person affected by leprosy. 1 บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชา นบส.801 ปรัชญา แนวคิดและทฤษฎีนโยบายสังคม หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา นโยบายสังคม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 นักศึกษาปริญญาเอก, หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสังคม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 3 Ph.D. Student, Doctoral of Philosophy Program in Social Policy, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected] 4 องค์การอนามัยโลก แบ่งระดับความพิการในผู้ป่วยโรคเรื้อนเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับ 0 คือ หนังตา/ตาปกติ, สายตาไม่มัว, ฝ่ามือ/ฝ่าเท้าไม่ชา ระดับ 1 คือ กระจกตาชา สายตามัวไม่มาก (นับนิ้วมือที่ระยะ 6 เมตรได้ถูกต้อง วัดสายตาได้ 6/60 หรือดีกว่า, ฝ่ามือ/ฝ่าเท้าชา ระดับ 2 คือ ตาหลับไม่สนิท ม่านตาอักเสบ กระจกตาเป็นฝ้าขุ่น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 206 บทน า “โรคเรื้อน” เป็นโรคโบราณ (Ancient disease) ที่ยังเป็นปัญหาและผลกระทบต่อประชาชนครั้งแต่อดีตมาจนถึง ปัจจุบัน ผู้ศึกษาน าเสนอโรคเรื้อนในแง่มุมทั้งมิติทางการแพทย์ ซึ่งเป็นเนื้อหาเชิงระบาดวิทยา การติดเชื้อ การแพร่เชื้อ อาการ ส าคัญและการรักษา และโรคเรื้อนในแง่มุมมิติทางสังคม ซึ่งเป็นโรคที่ถูกสังคมรังเกียจเดียดฉันท์ (Social discrimination) และถูกสังคมประทับตีตรา (Social stimatization) ท าให้ผู้ป่วยโรคเรื้อนถูกปฏิเสธ และแยกตัวออกจากสังคมหรือหลีกหนี จน ท าให้ไม่สามารถกลับเข้าสู่การรักษา และเกิดอาการลุกลามจนถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ ผู้ศึกษาแบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 ส่วน เพื่อเป็นการเรียงร้อยเนื้อหาที่เชื่อมโยงกัน ประกอบด้วย โรคเรื้อนในมิติ ทางการแพทย์ ระเบียบกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อน วิวัฒนาการโรคเรื้อนในยุคต่างๆ และโรคเรื้อน ใน มิติทางสังคม โรคเรื้อนในมิติทางการแพทย์ โรคเรื้อนในมิติทางการแพทย์ จะเป็นมุมมองด้านระบาดวิทยา (Epidemiology) โดยเน้นในเชิงการรักษา โรคเรื้อน Leprosy หรือ Hansen’s disease เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Mycobacterium leprae ถูกค้นพบ ในปี ค.ศ. 1873 โดย นายแพทย์ชาวนอร์เวย์ ชื่อ Gerhard Armauer Hansen (Hussain, 2007, p. 15) ติดต่อโดยการแพร่ เชื้อจากทางเดินหายใจ ในทางระบาดวิทยาถือว่ามนุษย์เป็นแหล่งแพร่เชื้อที่ส าคัญเพียงแหล่งเดียว (สถาบันราชประชาสมาสัย, 2553, น. 3) เชื้อโรคเรื้อนท าให้เกิดอาการส าคัญ 2 ประการ คือ เกิดอาการผิวหนัง ท าให้เกิดวงด่างขาว ผื่นวงแดงราบ ผื่น วงแหวน และผื่นนูนแดง และเกิดอาการทางเส้นประสาท ท าให้เกิดอาการชา บริเวณรอยโรคผิวหนัง กระจกตา ฝ่ามือและ ฝ่าเท้า โรคเรื้อนพบได้ทุกกลุ่มอายุ และจะพบสูงสุดในช่วงอายุ 10-14 ปี และ 30-60 ปี แต่จะพบน้อยมากในเด็กอายุ ต่ ากว่า 5 ปี (สถาบันราชประชาสมาสัย, 2553, น. 5) ปัจจุบันมียาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเรื้อนให้หายขาดจากเชื้อโรค เรียกว่า Multidrug Therapy: MDT (สถาบันราชประชาสมาสัย, 2557, น. 35) ระเบียบ/กฎหมาย/แนวทางปฏิบัติ ที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อน นโยบายสังคมด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อน ซึ่งครอบคลุมทั้งในมิติทางการแพทย์และมิติทางสังคมในระดับโลก และประเทศไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องมือน าไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุผลส าเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ประกอบไปด้วยสาระส าคัญ ดังนี้ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) เป็นองค์กรด้านสุขภาพที่ส าคัญของโลก ซึ่งได้เล็งเห็น ความส าคัญของโรคเรื้อน โดยให้การสนับสนุนประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยทั้งในมิติทางการแพทย์ ปัจจุบันองค์การ อนามัยโลก (WHO, 2021, p.4) ได้ก าหนดยุทธศาสตร์ที่ส าคัญ โดยมุ่งเป้าสู่ “การปลอดโรคเรื้อน” (Towards Zero Leprosy Global Leprosy (Hansen’s disease) Strategy 2021-2030) โดยมีประเด็นส าคัญ 3 ประเด็น คือ ปลอดความพิการ (Zero disability) ปลอดการตีตรา (Zero stigma) และปลอดการเลือกปฏิบัติ (Zero discrimination) โดยแนวทางของ WHO ด้านโรคเรื้อนดังกล่าวเป็นแม่บทส าคัญในการก าหนดแนวปฏิบัติด้านโรคเรื้อนของนานาประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย โดยกรมควบคุมโรคได้น ายุทธศาสตร์ดังกล่าวมาก าหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์โรคเรื้อน 7 ปี(พ.ศ.2564-2570) เพื่อขับเคลื่อน การด าเนินงาน “ให้ประเทศไทยปลอดโรคเรื้อน” ต่อไป สิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนมีบทบาทส าคัญในการด าเนินงานด้านโรคเรื้อนทั้งในมิติทางการแพทย์และมิติทางสังคม ด้วยหลัก ความเท่าเทียม การไม่เลือกปฏิบัติ และการไม่ตีตรา ท าให้ผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนที่รักษาหายแล้วและที่ได้รับการสงเคราะห์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 207 สามารถเลือกสถานที่อยู่อาศัยของตนเองได้ว่าจะอยู่ในนิคมโรคเรื้อนหรือในชุมชนเดิมของตน รวมทั้งยังรับผู้ป่วยที่เป็น โรคเรื้อนที่รักษาหายแล้วมาเข้าท างานในสถาบันราชประชาสมาสัย ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของกรมควบคุมโรคด้วย โดยให้ท า หน้าที่ดูแลผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนต่อและอื่นๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งเป็นการจ้างแบบตลอดชีวิต เพื่อให้ผู้ป่วยที่ได้รับ การรักษาหายแล้วมีอาชีพและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ, 2563, น. 14) พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 โรคเรื้อนเป็น 1 ใน 55 โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 โดยสาระส าคัญของ พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ หากมีผู้ป่วยเป็นโรคเรื้อน ต้องมีการแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึง กระบวนการรักษา การสอบสวนโรค และการควบคุมโรคต่อไป ระเบียบ/หลักเกณฑ์/วินัย การสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนของกรมควบคุมโรค โดยระเบียบการสงเคราะห์ผู้ป่วยโรคเรื้อนของกรมควบคุมโรค มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ป่วย จากโรคเรื้อน ทั้งในด้านสวัสดิการที่เป็นตัวเงิน ได้แก่ เงินสงเคราะห์รายวัน ค่าครองชีพรายเดือน เงินค่าตอ บแทนจาก การปฏิบัติงาน เงินกู้ยืมเพื่อการประกอบอาชีพและส่งเสริมสวัสดิการ เงินทุนการศึกษาผู้ป่วยโรคเรื้อนและบุตร รวมทั้ง สวัสดิการที่ไม่เป็นตัวเงิน ได้แก่ ที่พักอาศัย ซึ่งครอบคลุมตามระเบียบต่างๆ ประกอบด้วย ระเบียบกรมควบคุมโรคว่าด้วย การสงเคราะห์ผู้ป่วยพิการจากโรคเรื้อน พ.ศ. 2557, ระเบียบกรมควบคุมโรคว่าด้วยการเก็บรักษาและการใช้จ่ายเงินทุน สวัสดิการผู้ป่วยโรคเรื้อน พ.ศ. 2546, ระเบียบกรมควบคุมโรคว่าด้วยผู้ปฏิบัติงานให้แก่ทางราชการ พ.ศ. 2548, หลักเกณฑ์ สงเคราะห์ทุนการศึกษาผู้ป่วยโรคเรื้อนและบุตร ของมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ และวินัยส าหรับสถานโรค เรื้อน พ.ศ.2546 ระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากระเบียบของกรมควบคุมโรคที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ป่วยโรคเรื้อนแล้ว ปัจจุบันผู้ป่วยโรคเรื้อนที่รักษา หาย แล้ว ถึงแม้บางรายจะมีรอยโรคที่เกิดเป็นความพิการหลงเหลืออยู่ แต่ก็ถือว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้น มีสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์เท่าเทียมเฉกเช่นเดียวกับประชาชนอื่นๆ ผู้ป่วยโรคเรื้อนที่รักษาหายแล้ว จึงควรได้รับสิทธิและสวัสดิการของรัฐต่างๆ อาทิ สิทธิและสวัสดิการในด้านการแพทย์ การรักษาพยาบาลตามสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือสิทธิ การรักษาพยาบาล ประเภทคนพิการ (ท.74) สิทธิการได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยคนพิการ สิทธิการแสดงความสามารถ ของคนพิการในการหาเลี้ยงชีพ ซึ่งครอบคลุมตามระเบียบ/กฎหมาย ต่างๆ ประกอบด้วย พระราชบัญญัติส่งเสริมการจัด สวัสดิการสังคม พ.ศ.2546, พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ พ.ศ.2553, พระราชบัญญัติ ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546, พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ.2559, ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552, และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินเบี้ยความพิการของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2553 วิวัฒนาการของโรคเรื้อนในแต่ละยุคสมัย โรคเรื้อนเป็นโรคโบราณ (Ancient disease) แต่ปัจจุบันยังคงพบผู้ป่วยที่ยังติดเชื้อโรคเรื้อน ทั้งในต่างประเทศ และ ในประเทศไทย (WHO, 2022, p. 1) ผู้ศึกษาจึงขอน าเสนอเรื่องราวโรคเรื้อนจากยุคอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน ดังนี้ ยุคโบราณ: สมัยก่อนคริสตศักราช จากหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของโรคเรื้อน (Encyclopedia Britannica, 2023, pp. 1-10) จากโครงกระดูกของมนุษย์ อายุ 4,000 ปี ซึ่งถูกค้นพบในอินเดีย ซึ่งตรงกับสมัยยุคกลางของทวีปยุโรป ซึ่งเป็นการข้อมูลยืนยันได้ว่าโรคเรื้อนมีอยู่ใน อินเดีย ภายใน 2,000 ปีก่อนคริสตศักราช ทั้งนี้ โรคเรื้อนยังปรากฏในคัมภีร์ทางการแพทย์โบราณของอินเดีย ชื่อ Sushruta-


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 208 samhita ซึ่งมีอายุประมาณ 600 ปี ก่อนคริสตศักราช ปรากฏหลักฐานว่ากองทัพของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชติด โรคเรื้อน เมื่อครั้งบุกอินเดียในศตวรรษที่ 4 โดยน าโรคแพร่ไปยังตะวันออกกลาง และทวีปยุโรป ต่อมา ในทวีปยุโรป ระหว่างศตวรรษที่ 11-13 โรคเรื้อนได้แพร่กระจายไปตามเส้นทางการค้าในยุโรป มีบุคคลที่ ส าคัญติดโรคเรื้อน คือ กษัตริย์บอลด์วินที่ 4 (Leper King) แห่งกรุงเยรูซาเล็ม (Encyclopedia Britannica, 2023, pp. 1-2) ยุคศตวรรษที่ 18-19: สมัยยุคกรุงศรีอยุธยา ในทวีปยุโรป พบว่า กะโหลกศรีษะของผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนในแถบแคริบเบียนตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็น หลักฐานระบุว่า โรคเรื้อนไม่ได้มีถิ่นก าเนิดในทวีปอเมริกา และการศึกษาทางพันธุกรรมที่เชื่อมโยงกับการแพร่กระจายของเชื้อ โรคเรื้อน ไปยังซีกโลกตะวันตกกับการล่าอาณานิคมของยุโรปและการค้าทาสในมหาสมุทรแอตแลนติก และไม่พบบันทึกทาง ประวัติศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์กัน (Nelson et al., 2021, pp. 2-3) ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 พบว่า โรคเรื้อนได้แพร่กระจายไปจนถึงทางตอนใต้ของทวีปอเมริกา ในรัฐลุยเซียนา โดย ผู้อพยพจากแคนาดา และแถบสแกนดิเวเนีย ที่ถูกขับไล่ออก (Encyclopedia Britannica, 2023, pp. 3-5) อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยนั้นในยุคนี้ ยังไม่มีหลักฐานเรื่องการสาธารณสุขของไทย นับแต่ยุคแผ่นดินของ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงต้นรัชกาลที่ 3 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (มหาวิทยาลัยรามค าแหง, ม .ป.ป.) จึงไม่ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับโรคเรื้อนในสมัยอยุธยา มีเพียงข้อมูลในงานเขียนวิชาการต่างๆ ดังเช่น งานเขียนทางพุทธศาสนา ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุต. โต) (2554, น. 156) ที่ปรากฏชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับค าเรียกชื่อ คือ สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (ขุนหลวงขี้เรื้อน) ยุคศตวรรษที่ 20: สมัยยุครัตนโกสินทร์ ยุคนี้ การด าเนินงานโรคเรื้อนทั่วโลกยังคงได้รับการสนับสนุนข้อเสนอแนะแนวทางจากองค์การอนามัยทั้งใน ส่วนวิชาการและยารักษา ในส่วนของประเทศไทยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากราชวงศ์จักรีของไทย นับแต่สมเด็จพระศรี สวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานจัดสร้าง “สถาบันโรคเรื้อนแมคแคน” ในปี พ.ศ.2450 ซึ่งนับว่า เป็นสถานพยาบาลโรคเรื้อนเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมา ในปี พ.ศ.2466 ได้พระราชทานจัดสร้าง “ส านักคนเป็น โรคเรื้อนสภากาชาดไทย” โดยการดูแลของกระทรวงสาธารณสุข และในปี พ.ศ.2501 พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานสร้าง “สถาบันราชประชาสมาสัย” เพื่อเป็นสถานที่ฝึกอบรมและค้นคว้าวิจัย เผยแพร่ ความรู้ด้านโรคเรื้อนแก่ประชาชน มาจนถึงปัจจุบัน (ธีระ รามสูต, 2559, น. 95-108) ในยุคนี้ ยังได้เกิดนิคมโรคเรื้อนขึ้นในประเทศไทย เนื่องมาจากรูปแบบการรักษาทางการแพทย์ในสมัยก่อน ใช้วิธีแยก กักผู้ป่วย (Institutional/Isolation Approach โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดตั้งนิคมโรคเรื้อนขึ้นแห่งแรก คือ นิคมแม่ลาว จังหวัดเชียงราย และต่อมาได้ขยายผลไปสู่ภาคอื่นๆ ในประเทศไทย แต่ในปัจจุบันนิคมโรคเรื้อนได้ถูกสลายและบูรณาการไปสู่ ความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีเพียงนิคมโรคเรื้อนแห่งเดียว ที่ยังอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวง สาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค คือ “สถานสงเคราะห์สถาบันราชประชาสมาสัย” ตั้งอยู่ ณ อ าเภอพระประแดง จังหวัด สมุทรปราการ (มูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2559, น.89-90) โรคเรื้อนในมิติทางสังคม “โรคเรื้อน” นอกจากมุมมองในมิติทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นมุมมองในเชิงระบาดวิทยา (Epidemiology) โดยเน้น ลักษณะอาการเป็นส าคัญแล้ว โรคเรื้อนยังเกี่ยวข้องกับมิติทางสังคม ในด้านปัญหาและผลกระทบของการถูกรังเกียจ (Social discrimination) และถูกสังคมประทับตีตรา (Social stimatization) เป็นเหตุให้ผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนถูกปฏิเสธ และ แยกตัวออกจากสังคม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 209 ทั้งนี้ ผู้ศึกษาได้น าเสนอ “โรคเรื้อนในมิติทางสังคม” เป็นเนื้อหาล าดับสุดท้ายของบทความนี้ เพื่อมุ่งให้เป็นเนื้อหาที่ มีส่วนส าคัญของบทความ ปัญหาและผลกระทบทางสังคมของโรคเรื้อน จากหัวข้อวิวัฒนาการของโรคเรื้อนในแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่สมัยยุคโบราณจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่า โรคเรื้อนเป็น โรคติดต่อที่มีผลกระทบทางกายภาพ มักท าให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่กล้าที่จะเข้ามารับการรักษาในระยะแรกของโรค (Tahziba Hussain, 2007, p. 35) จนท าให้เกิดความพิการ กระทั่งส่งผลให้เกิดปัญหาทางสังคมเกิดขึ้นกับผู้ประสบปัญหาจาก โรคเรื้อน เช่น การตีตรา (Stigma) การปฏิเสธ (Rejection ) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโรคเรื้อนจะไม่เป็นโรคที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขในปัจจุบัน แต่ในแง่ของมิติทางสังคม โรคเรื้อนยังคงเป็นปัญหา ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ก าหนดแนวทางที่เรียกว่า “การปลอดโรคเรื้อน” (Zero Leprosy) ซึ่งหนึ่ง ในแนวทางส าคัญ คือ การปลอดตีตรา (Zero Stigma) (WHO, 2021, pp. 1-30) ซึ่งสะท้อนได้ว่าโรคเรื้อนในมิติทางสังคม เรื่อง “การตีตรา” ยังคงเป็นปัญหาที่ส าคัญระดับโลกนั้นเอง การตีตรา การตีตรา หรือ “ตราบาป” (Stima) จากแนวคิดของ Erving Goffman ในสมัยกรีก (1963,อ้างถึงใน ทวี เชื้อสุวรรณทวี, 2562, น. 109-110) ค าว่า “ตราบาป” มักหมายถึง ลักษณะทางกายที่เห็นได้ชัด และมีความเป็นสิ่งที่ผิดปกติวิสัย คุ้นเชินและ เป็นตัว/รูปสัญญะ (Signifier) ที่มีความหมายเลวร้ายทางศีลธรรม สัญญะ (Signs) ดังกล่าวจะเป็น ตัวประกาศให้บุคคลนั้น กลายเป็นผู้ถูกต าหนิ ผิดจารีตประเพณี สังคมสมควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะในที่สาธารณะ ปัจจุบัน ค าดังกล่าวมีความหมาย ที่กว้างขวางขึ้น และไม่เฉพาะแต่ผู้มีลักษณะทางกายที่ผิดปกติวิสัยเท่านั้น โดยสรุป “การตราบาป” หมายถึง สัญลักษณ์แห่ง การลดคุณค่า ลดโอกาส ไม่ยอมรับ หรือความไม่พึงประสงค์ ที่เกิดจากการประกอบสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม ทั้งนี้ ประเภทของตราบาป สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ประกอบไปด้วย ประเภทแรก ตราบาปจากลักษณะความผิดปกติทางกาย หรือแตกต่างไปจากลักษณะทั่วไป เช่น ความพิการ คนเผือก เป็นต้น ประเภทที่สอง ตราบาปที่เกิดจากการถูกต าหนิติติง เสมือนเป็นผู้มีใจอ่อนแอ ไม่เป็นธรรมชาติ อัปยศ ไม่ซื่อสัตย์ และ มักมีกรอบแนวคิดที่ก าหนดไว้ก่อนหน้าแล้ว เช่น ผู้ติดยา รักร่วมเพศ เป็นต้น ประเภทสุดท้าย ตราบาปที่เกิดจากความเป็นชนเผ่าในเรื่องชาติพันธุ์ ความเป็นชาติ ศาสนา ซึ่งตราบาปประเภทนี้ สามารถถ่ายทอดส่งผ่าน และแปดเปื้อนสมาชิกในครอบครัวด้วย การตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน: ทางร่างกายและจิตใจ การตีตราทางร่างกายที่เป็นสาเหตุท าให้ถูกปฏิเสธ คือ การท าให้เสียโฉม (Disfigurement) ไม่เพียงแต่ความพิการที่ เป็นการท าให้เสียโฉม (Spicker, 1981, pp. 69-76) แต่รถวีลแชร์ หรือไม้เท้าคนพิการก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการตีตรา เช่นกัน ทั้งนี้ การตีตราทางร่างกายในผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน ความเจ็บป่วยบางชนิดที่เป็นภัยคุกคาม และโรคเรื้อนเป็น โรคเรื้อรังที่ติดเชื้อและอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ มีการตอบสนองอย่างรุนแรงต่อโรคเรื้อนที่เกิดขึ้นจากการเสียโฉมทาง ร่างกาย แม้ว่าผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่การตีตรายังคงอยู่ จากความเชื่อที่ผิดๆ โรคเรื้อนไม่ได้ถูกจัดว่าเป็น โรคติดต่อ จนกระทั่งในศตวรรษที่ 17 ผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนถูกปฏิเสธ เพราะพวกเขาไม่สะอาดหรือมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ไม่ใช่เพราะพวกเขาแพร่โรคความกลัวผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนเกินจากความจริงไปมากซึ่งเป็นโรคที่ไม่พึงประสงค์และน่าวิตก กังวล แต่ก็ดูเหมือนไม่สร้างความทุกข์ให้แก่คนที่สัมผัสเท่าไหร่นัก (Goffman, 1963, cited in Spicker, 1981, pp. 71-72) ในขณะที่ การตีตราทางจิตใจในผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน ในยุโรป ผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนจะกลายเป็นคนบ้า (Madmen)ความเจ็บป่วยทางจิตมีการเพิ่มขึ้นโดยการที่คนบ้าถูกปฏิเสธ ด้วยสาเหตุจากอาการเจ็บป่วย ผู้ประสบปัญหาจาก


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 210 โรคเรื้อนจะถูกเนรเทศไปอยู่ในพื้นที่ระยะทางสังคมที่ห่างไกลที่สุด ยิ่งเป็นการเพิ่มความน่าหวาดกลัวและการตีตราของ โรคเรื้อน (Spicker, 1981, p. 76) ทั้งนี้ ผู้ศึกษาขอหยิบยกงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เกี่ยวข้องกับการตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนที่น่าสนใจล่าสุดในปี พ.ศ.2564 ของ เกรียงศักดิ์ เพาะโภชน์ และคณะ (2565, น. 42-45) ศึกษาวิถีชีวิตการเผชิญปัญหา ผลกระทบและการปรับตัว ของผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนในนิคมโรคเรื้อนที่ถ่ายโอนให้เป็นหมู่บ้านทั่วไปในภาคเหนือ ปี พ.ศ.2564 พบว่า ในอดีตผู้ ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน เรื่องการตีตรา มีการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจนจากคนภายนอกนิคมโรคเรื้อน จนมีบาง แห่งเรียกนิคมโรคเรื้อนว่า “หมู่บ้านงูเห่า” ด้วยสภาพนิ้วมือที่หงิกงอคล้ายงูเนื่องจากผลกระทบที่ได้รับจากโรคเรื้อน ผู้ประสบ ปัญหาจากโรคเรื้อนที่ปรับตัวได้อยู่ในรุ่นลูกหลาน มีอายุไม่มาก สามารถด าเนินชีวิตในปัจจุบันได้อย่างปกติ ส่วนผู้ประสบ ปัญหาจากโรคเรื้อนในรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เป็นวัยสูงอายุ เนื่องด้วยสภาพความพิการของร่างกายประกอบกับความรู้ ความเข้าใจต่อโรคเรื้อนของคนในอดีตยังมีไม่มากนัก ภาพจ าการถูกรังเกียจและการถูกเลือกปฏิบัติ จนกลายเป็นการตีตรา ตนเองท าให้ไม่มีความสุขในชีวิต ศัพท์ค าเรียก “ผู้ป่วยโรคเรื้อน” เป็นการตีตราอย่างหนึ่ง หากมองการตีตราที่เชื่อมโยงกับผู้ป่วยโรคเรื้อนในมิติทางสังคม จะพบว่ามีแง่มุมที่น่าสนใจ กรณี “การใช้ศัพท์ ค าเรียก” ผู้ป่วยว่า “ผู้ป่วยโรคเรื้อน” นั้น ผู้ศึกษาเข้าใจว่า ส่วนใหญ่โรคเรื้อนมักจะด าเนินโดยบุคลากรวิชาชีพด้านการแพทย์ เป็นหลัก ดังนั้น เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน จึงใช้ศัพท์เรียกผู้ป่วยที่ติดเชื้ออยู่ในภาวะรักษา หรือผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อ หรือ แม้แต่ผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อ แต่มีความพิการว่า “ผู้ป่วยโรคเรื้อน” ใช้ค าภาษาอังกฤษว่า “Leprosy patient” ซึ่งการ เรียกผู้ป่วยโรคเรื้อนมีความสัมพันธ์กับการตีตราหรือการเหยียดหยาม ดังเช่นสมัยก่อนใช้ค าว่า “Leper” หรือ “พวกขี้เรื้อน” ซึ่งองค์การอนามัยโลกรวมทั้งแพทย์โรคเรื้อนได้รณรงค์และขอร้องให้ใช้ค าว่า “คนไข้หรือผู้ป่วยโรคเรื้อน (Leprosy patient) แทน เพราะค าว่า “ขี้เรื้อน” เปรียบผู้ป่วยเสมือนเป็นสัตว์เป็นเหมือน “หมาขี้เรื้อน” อันเป็นเสมือนการประทับเงามืดหรือ ตีตราบาปทางสังคม (Social Stigmazation) (ธีระ รามสูต, 2535, น. 412) ดังนั้น ผู้ที่ท างานหรือนักวิชาการด้านโรคเรื้อนที่เกี่ยวข้องกับมิติทางสังคม เช่น นักสังคมสงเคราะห์ หรือนักวิชาการ สาธารณสุขจึงตระหนักในประเด็นอ่อนไหวที่มีผลกระทบน าไปสู่การตีตราได้ โดยจะใช้ค าเรียกผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคเรื้อน ซึ่งปรากฎในงานวิจัยว่า “ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคเรื้อน หรือผู้ที่ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน” ใช้ค าภาษาอังกฤษว่า Person affected by leprosy (ศิลธรรม เสริมฤทธิรงค์ และคณะ, 2562, น. 66-77) อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยเกี่ยวกับการตีตราที่เกี่ยวข้องกับการใช้ศัพท์ชื่อเรียก “โรคเรื้อน” ที่น าเสนอให้มีการเปลี่ยน ชื่อโรคเรื้อน เพื่อไม่ให้เกิดการตีตรานั้น ดังเช่น งานวิจัยของ Kimali Piyasena (2023, pp. 405-413) มุ่งน าเสนอให้มี การแทนที่ชื่อเรียกโรคเรื้อน จาก Leprosy เป็น Hansen’s disease ข้อค้นพบจากงานวิจัย พบว่า Leprosy ในความหมาย ของแต่ละประเทศมีความหมายไปในทางเชิงลบ ท าให้คนแต่ละประเทศเกิดการรับรู้ต่อ Leprosy ที่ผิด มีผลให้ผู้คนเกิด ความกลัว ความรังเกียจ ต่อผู้ที่เป็นโรคเรื้อน จนน าไปสู่ตีตราได้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Sermrittirong et al. (2015, pp. 54-61) ที่พบว่า การใช้ค าเรียก ให้ใช้ค าว่า “โรคผิวหนังเนื้อชา” แทนค าว่า “โรคเรื้อน” เพื่อลดความตีตราและลดความ แตกต่างระหว่างโรคเรื้อนและโรคอื่นๆ การวัดระดับการตีตราของชุมชนที่มีต่อผู้ป่วยโรคเรื้อน: EMIC เนื่องจากโรคเรื้อน เป็นโรคที่ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมที่ส าคัญในด้านการตีตรา ดังนั้น จึงมีนักวิชาการด้านโรคเรื้อน ในระดับโลกและในประเทศไทย ได้สร้างเครื่องมือวัดระดับการตีตรา เพื่อค้นหาสาเหตุและปัญหาการตีตราต่อผู้ประสบปัญหา จากโรคเรื้อนโดยเรียกเครื่องมือนี้ว่า The Explanatory Model Interview Catalouge (EMIC) ที่มาของเครื่องมือจากกรอบ แนวคิดของ Emic and Etic โดย Weiss et al. (1992, pp. 819-820) ได้ท าการศึกษาศึกษาวิเคราะห์และแยกแยะกรอบ การวิเคราะห์ที่มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมของกลุ่มที่ก าลังศึกษา คือ มุมมองของคนใน (Emic view) หรือขึ้นอยู่กับมุมมองของ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 211 คนนอก (Etic view) โดยการศึกษาแนวคิดเรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วยในท้องถิ่นของผู้ป่วยที่แนวคิดเหล่านี้มีความ หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึก นั้นคือ มุมมองแบบ Emic และการศึกษาเชิงระบาดวิทยาของนักวิชาการ นั้นคือ มุมมองแบบ Etic โดยแบบวัดระดับการตีตรา EMIC ได้รับการพัฒนาเพื่อกระตุ้นการรับรู้ ความเชื่อ และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับ การเจ็บป่วยในการศึกษาวัฒนธรรมเกี่ยวกับโรคเรื้อนและสุขภาพจิตในบอมเบย์ โรคเรื้อนเป็นโรคที่เหมาะสมเป็นพิเศษส าหรับ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม สุขภาพจิตและความเจ็บป่วยทางการแพทย์อย่างไรก็ตาม แบบวัดระดับการตีตรา EMIC (The Explanatory Model Interview Catalouge) ได้ถูกพัฒนาและถูกน ามาใช้อย่างแพร่หลายกับงานวิจัยในโรคติดต่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและวัฒนธรรมอีกด้วย เช่น โรคเอดส์ วัณโรค ซึ่งในประเทศไทย โดยสถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค (ศิลธรรม เสริมฤทธิรงค์ และคณะ, 2562, น. 66-77) ได้น าแบบวัดระดับการตีตรา EMIC (The Explanatory Model Interview Catalouge) มาใช้ในงานวิจัยการตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน โดยมีจ านวนค าถาม 15 ข้อ เป็นแบบ ให้เลือกตอบ 3 ค าตอบ ประกอบด้วย ค าตอบ ไม่ทราบ/ไม่ใช่ มีค่าคะแนนเท่ากับ 0, ค าตอบ เป็นไปได้ มีค่าคะแนนเท่ากับ 1 และ ค าตอบ ใช่ มีค่าคะแนนเท่ากับ 2 โดยตัวแปรการตีตราต่อโรคเรื้อนมีค่าคะแนนได้ตั้งแต่ 0-30 คะแนน โดยก าหนดจุดตัด (Cut off) ที่ใช้ต าแหน่ง Percentile 20 เท่ากับ 8 คะแนน แบ่งเป็นกลุ่มที่ไม่มีการตีตรา ซึ่งมีคะแนน 0-7 คะแนน และกลุ่มที่มีการตีตรา ซึ่งมีคะแนน 8-30 คะแนน แบบวัดระดับการตีตรา EMIC (The Explanatory Model Interview Catalouge) ได้ผ่านการแปลกลับไปมาระหว่างภาษาอังกฤษและภาษาไทย เพื่อทดสอบความตรงในเชิงภาษาและเนื้อหาแบบวัดให้มีความถูกต้อง ทั้งนี้ผู้ศึกษาขอยกงานวิจัยการตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนในประเทศไทย ที่ใช้แบบวัดระดับการตีตรา EMIC (The Explanatory Model Interview Catalouge) โดยการวิจัยของ Sermrittirong et al. (2015, pp. 54-61) ศึกษา Compairing the Perception of community members towards leprosy and tuberculosis stigmatization พบว่า สมาชิกในชุมชนรับรู้ว่าผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนหรือวัณโรคถูกชุมชนตีตรา โดยสมาชิกในชุมชนรับรู้ถึงการตีตราต่อโรค เรื้อนมากกว่าวัณโรค เนื่องจากรอยโรคที่เกิดความพิการ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิลธรรม เสริมฤทธิรงค์ และคณะ (2562, น. 66-77) ศึกษาการตีตราและระยะทางสังคมของประชาชนต่อผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนในชุมชน พบว่า มีการ ตีตราต่อผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนในระดับปานกลาง งานวิจัยสะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันยังคงมีการตีตราในผู้ประสบปัญหา จากโรคเรื้อน เพียงแต่ความรุนแรงลดน้อยลงกว่าในอดีต แต่ผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนบางส่วนที่มีความพิการมาก ยังคงมี การปกปิดตนเองท าให้ขาดการมีส่วนร่วมทางสังคมจนไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน บทสรุป “โรคเรื้อน” นับว่าเป็นโรคโบราณ (Ancient disease) ซึ่งมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน ในบทความนี้ ผู้ศึกษาได้น าเสนอแง่มุมโรคเรื้อนทั้งในมิติทางการแพทย์และมิติทางสังคม โดยในมิติทางการแพทย์ โรคเรื้อนอาจมีความส าคัญ หรือมีความน่าสนใจไม่มากนัก ด้วยเพราะโรคเรื้อนเป็นโรคที่ไม่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขแล้ว ซึ่งเหตุผลของมิติทางการแพทย์ ในข้อนี้ อาจท าให้ผู้อ่านบางท่านมีค าถามในใจ ที่ว่า “ในเมื่อโรคเรื้อนมีความส าคัญหรือมีความน่าสนใจไม่มากนัก ท าไมผู้ศึกษา ถึงสนใจศึกษาเรื่องโรคเรื้อน” ซึ่งค าตอบในข้อนี้ อยู่ที่ “มิติทางสังคม” เหตุผลเพราะโรคเรื้อนเป็นโรค ที่มีความสัมพันธ์กัน ระหว่าง “ความเจ็บป่วยและแบบแผนวัฒนธรรมความเชื่อของมนุษย์” มาอย่างยาวนาน ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคม ที่ปรากฏออกมาในรูปแบบ “การตีตรา” ทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างชัดเจนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน การพบผู้ป่วยรายใหม่ทุกปีโดยเฉพาะรายที่มีความพิการ ซึ่งประเด็นความพิการจากโรคเรื้อน เชื่อมโยงกับประเด็นการตีตราต่อผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนอย่างแนบสนิท สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนการด าเนินงานของ หน่วยงานด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อนทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ ที่ยังต้องขับเคลื่อนแนวทางเพื่อประเทศไทย ปลอดโรคเรื้อนต่อไป


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 212 อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาหวังว่า บทความเรื่อง “โรคเรื้อนและการตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน” จะเป็นประโยชน์ ในด้านความรู้ความเข้าใจโรคเรื้อน แก่ผู้ที่สนใจ รวมทั้งบุคลากรสายวิชาชีพด้านสังคมศาสตร์สุขภาพและสังคมสงเคราะห์ทาง การแพทย์ ดังที่ผู้ศึกษาได้วางวัตถุประสงค์ไว้ตามข้างต้นของบทความนี้ ข้อเสนอแนะ ถึงแม้โรคเรื้อน เป็นโรคที่สามารถก าจัดไม่ให้เป็นปัญหาทางสาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 แต่โรคเรื้อนก็ยัง ถูกก าหนดให้เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 หากพบว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อ จะได้รับการรักษาฟรี ไม่ต้องเสียค่ายาและค่าบริการทางการแพทย์ ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายด้านสุขภาพที่ประเทศไทยจัดให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งในขณะเดียวกันในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศก าลังพัฒนา โรคเรื้อนถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบบริการสุขภาพ ขั้นพื้นฐาน หรือเรียกว่า Basic Health Care Package อย่างเช่น ประเทศไลบีเรีย เป็นต้น ประชาชนในประเทศจะได้รับ บริการรักษาฟรี (Spicker, 2014, pp. 218-220) อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ปัญหาโรคเรื้อนข้างต้น ที่ยังคงพบผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนรายใหม่ทุกปี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความพิการระดับ 2 ที่มองเห็นได้ชัด ซึ่งความพิการสัมพันธ์กับการรังเกียจ การตีตรา (Van Brakel WH et al., 2015) สถานการณ์ดังกล่าวเป็นผลสะท้อนการด าเนินการของหน่วยงานด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ทั้งระดับนโยบาย เช่น กรมควบคุมโรค เป็นต้น และระดับปฏิบัติ เช่น โรงพยาบาล/หน่วยงานสุขภาพในพื้นที่ เป็นต้น ซึ่งต้องด าเนินการในเชิงรุก เพื่อค้นหาผู้ป่วยและรักษา รวมทั้งยังต้องให้สุขศึกษาความรู้โรคเรื้อนแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทาง“การปลอดโรคเรื้อน” (Towards Zero Leprosy Global Leprosy (Hansen’s disease) Strategy 2021-2030) ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) เอกสารอ้างอิง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ. (2563). รางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ปี 2563. สืบค้นจาก https://www.opsmoac.go.th/saraburi-dwl-files-431091791198 เกรียงศักดิ์ เพาะโภชน์, โกเมศ อุนรัตน์ และ จันจนากร พรหมแก้ว. (2566). วิถีชีวิตการเผชิญปัญหา ผลกระทบและ การปรับตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อน ในนิคมโรคเรื้อนที่ถ่ายโอนให้เป็นหมู่บ้านทั่วไปในภาคเหนือปี พ.ศ.2564, วารสารส านักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น, 30(1), 14-24. ทวี เชื้อสุวรรณทวี. (2562). พิการศึกษาเชิงวิพากษ์และบูรณาการ. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธีระ รามสูต. (2535). ต าราโรคเรื้อน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์นิวธรรมดา การพิมพ์. ธีระ รามสูต. (2559). ประวัติศาสตร์โรคเรื้อนในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: บริษัท มาสเตอร์ คีย์ จ ากัด. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุต. โต). (2554). กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์ผลิธัมม์. มหาวิทยาลัยรามค าแหง. (มปป.). วิวัฒนาการสาธารณสุขของประเทศไทย. สืบค้นจาก http://old-book.ru.ac.th/e-book/h/HE341(54)/HE341-2.pdf มูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์. (2559). ราชประชาสมาสัยสาร ฉบับพิเศษ 2559. กรุงเทพฯ: บริษัท มาสเตอร์ คีย์ จ ากัด. ศิลธรรม เสริมฤทธิรงค์, ศิรามาศ รอดจันทร์, พจนา ธัญญกิตติกุล, นพพร ศรีค าบ่อ, นรินทร กลกลาง, รัตนา สุขสมเขตร์, ชุติวัลย์ พลเดช, มานิจ ชนินพร, จันจนากร พรหมแก้ว และ วิภารัตน์ รวดเจริญ, (2562). การตีตราและระยะทาง สังคมของประชาชนต่อผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนในชุมชน, วารสารสถาบันบ าราศนราดูร, 13(2), 66-77. สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค. (2553). คู่มือการวินิจฉัยและรักษาโรคเรื้อน.โรงพิมพ์ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 213 สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค. (2557). แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยโรคเรื้อนที่เกิด สภาวะแทรกซ้อน. โรงพิมพ์ส านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค. (2566). รณรงค์สัปดาห์วันราชประชาสมาสัย 2566. สืบค้นจาก https://ddc.moph.go.th/rpsi/ Encyclopedia, Britannica. (2023). Leprosy. Retrieved from https://www.britannica.com/science/ leprosy/History Greg, C. Nelson, Talor, Nicole Dodrill., Scott, M. Fitzpatrick. (2022). A probable case of leprosy from colonial period St. Vincent and the Grenadines, Southeastern Caribbean. International Journal of Paleopathology, 36(1), 7-13. Hussain T. (2007). Leprosy and Tuberculosis: An Insight-Review, Critical Review in Microbiology, 33(1), 15-66. Kimali Piyasena. (2023). Curing leprosy amid misconceptions, stereotypes, and societal Expectations, Department of Anthropology, McMaster University, Canada. Retrieved from https://macsphere.mcmaster.ca/handle/11375/28437. Laszlo Kato, M. D. Montreal. (1973). The centary of the discovery of the leprosy bacillus, CMA Journal, 109(1), 627-629. Paul, Spicker. (1981). Stigma and Social Welfare. Australia: Croom Helm Ltd. Paul, Spicker. (2014). Social Policy and practice. USA: The University of Chicago Press., P., Narasimha Rao, & S., Suneetha. (2021). Leprosy-The Name and the Stigma. Indian J Lepr, 93(1), 405-413. Sermrittirong, S., Van, Brakel W.H., Kraipui, N., Traithip, S., & Bunder, J. F. G. (2015). Compairing the Perception of community members towards leprosy and tuberculosis stigmatization, Leprosy Review, 86(1), 54-61. Weiss, MG., Doongaji, D R., Siddhartha, S., Wypij, D., Pathare, S., Bhatawdekar, M., Sheth, A. & Fernandes, R. (1992). The Explanatory Model Interview Catalouge (EMIC) Contribution To Cross-cultural Research Methods from a Study of Leprosy and Mental Health, British Journal of Psychiatry, 160(6), 819-830. WHO. (2021). Towards Zero Leprosy Global Leprosy (Hansen’s disease) Strategy 2021-2030. Word Health Organization, Printed in India.World Health Organization 2021 WHO. (2022). Leprosy (Hansen’s disease). Retrieved from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/ detail/leprosy.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 214 การจัดสวัสดิการสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ Providing Social Welfare for reduced Disparities in Education and Development the Quality of Life to Students with Disabilities วุฒิชัย วิเชียรศิริกาญกุล1 Wuttichai Wichainsirikankun2 ปิ่นหทัย หนูนวล3 Pinhathai Nunnuan4 Abstract The Article Presents Providing Social Welfare for Reduced Disparities in Education and Development the Quality of Life to Students with Disabilities. Document Study and Analyzing. Issues of Educational Inequality and Justice in Social Welfare for People with Disabilities, Social Policy and Social Welfare Concepts, Quality of Life to Students with Disabilities and Providing Social Welfare for Students with Disabilities. Although there are Laws, Policies and Plans Related to Providing Social Welfare for Students with Disabilities for Expand Educational Opportunities, Providing Support Services and Subsidize Education for Students with Disabilities in higher Education. But on the Other Side, It’s Not Consistent with the Problems and the Need for True Access to Social Welfare. The Article Proposes that the Government Review the Criteria Subsidize Education for Students with Disabilities in Higher Education. At the Same Time, Universities Should Providing Social Welfare take into Consideration the Ecological System of Students with Disabilities and the Disability Support Services Center is Mechanism of Drive to Social Welfare Administration and Policy. Expand Opportunities to Recruiting Students with Disabilities into Higher Education and Access to Quality Education for Reduced Disparities in Education and Development the Quality of Life to Students with Disabilities. Keywords: Social Welfare Provision, Disparities in Education, Quality of Life for Students with Disabilities. บทคัดย่อ บทความน าเสนอการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ โดยศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร ประเด็นความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและความยุติธรรมในสวัสดิการสังคมส าหรับ คนพิการ แนวคิดนโยบายสังคมและสวัสดิการสังคม คุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ และการจัดสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษา พิการ แม้มีการขับเคลื่อนกฎหมาย นโยบาย และแผนที่เกี่ยวข้องกับการจัดสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษาพิการ เพื่อเปิด โอกาสทางการศึกษา จัดบริการสนับสนุน และอุดหนุนการศึกษาส าหรับคนพิการในระดับอุดมศึกษา แต่ในอีกด้านอาจ ไม่สอดคล้องต่อปัญหาและความต้องการจ าเป็นในการเข้าถึงสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษาพิการได้อย่างแท้จริง บทความ เสนอให้รัฐทบทวนหลักเกณฑ์อุดหนุนทางการศึกษาส าหรับคนพิการในระดับอุดมศึกษา ในขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยควรจัด 1 นักศึกษาหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 2 Student of Master of Social Work, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจ าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 4 Assistant Professor Dr., Lecturer in Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 215 สวัสดิการสังคมโดยค านึงถึงระบบนิเวศวิทยาของนักศึกษาพิการ และศูนย์บริการสนับสนุนนักศึกษาพิการเป็นกลไกการบริหาร นโยบายสวัสดิการสังคมในการเปิดรับคนพิการเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อลด ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ ค าส าคัญ: การจัดสวัสดิการสังคม, ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษา, คุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ บทน า มนุษย์ทุกคนล้วนมีความแตกต่างกัน ทั้งลักษณะทางชีวภาพ สังคม และวัฒนธรรม แต่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ สิทธิมนุษยชน (Human Rights) ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนที่ติดตัวมาตั้งแต่ก าเนิดและมีความเป็นสากล โดยไม่แบ่งแยกความแตกต่างของเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรม ฐานะหรือต าแหน่ง สติปัญญาและความสามารถ รวมถึง ความพิการ (Disability) แม้ว่าคนพิการ (Persons with Disabilities) จะได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพผ่านกฎหมาย นโยบาย ยุทธศาสตร์ และ แผนต่างๆ ทั้งระหว่างประเทศและในประเทศไทย แต่ยังมีอุปสรรคหรือข้อจ ากัดอันเนื่องมาจากภาวะบกพร่อง (Impairment) ภาวะ ทุพพลภาพ (Disability) หรือภาวะด้อยโอกาส (Handicap) ทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือความบกพร่องอื่นใดที่มีอุปสรรคในด้านต่างๆ และมีความต้องการพิเศษหรือมีลักษณะเฉพาะ สภาพปัญหาสังคมส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ าและคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ าทางการศึกษา ซึ่งสภาพการณ์ด้านการศึกษาของคนพิการในประเทศนั้น คนพิการประสบปัญหาการรับรู้ การเข้าถึง การมีส่วนร่วม และ การสนับสนุนทางสังคมในการจัดสวัสดิการสังคมด้านการศึกษา โดยเฉพาะโอกาสทางการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นจากระดับ ประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา ทั้งนี้จากรายงานการส ารวจสถิติด้านคนพิการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า คนพิการจ านวน มากไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา แม้กระทั่งการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งการศึกษาและการเรียนรู้ มีความส าคัญต่อการสร้างรากฐานและ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ทั้งมิติร่างกาย จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยสถานการณ์การศึกษาของคนพิการในประเทศไทยจากรายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย (กรม ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ, 2566) ส ารวจข้อมูลคนพิการที่มีบัตรประจ าตัวคนพิการทั่วประเทศ จ านวน 2,204,207 คน ในจ านวนนี้การส ารวจไม่มีข้อมูลคนพิการ จ านวน 444,484 คน พบว่า การศึกษาของคนพิการ ระดับประถมศึกษา ร้อยละ 63.93 ระดับมัธยมศึกษา ร้อยละ 9.68 ระดับอุดมศึกษา จ านวน 35,503 คน (ชาย 18,771 คน และหญิง 13,732 คน) คิดเป็นร้อยละ 1.47 สอดคล้องกับผลการส ารวจความพิการ พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2565 (ส านักงานสถิติแห่งชาติ, 2566) ด าเนินการส ารวจทุก 5 ปี โดยนิยามคนพิการคือผู้ที่มีความล าบากหรือปัญหาสุขภาพหรือมีลักษณะความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ หรือสติปัญญา อย่าง น้อย 1 ประเภท พบว่า คนพิการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.5 (3,694,379 คน) ในปี 2560 เป็นร้อยละ 6.0 (4,192,291 คน) ในปี 2565 ส าหรับประเด็นการศึกษาของคนพิการ พบว่า ในปี 2560 คนพิการอายุระหว่าง 5 -24 ปี มีเพียงร้อยละ 34.6 ที่อยู่ระหว่าง การศึกษา ในขณะที่คนไม่พิการในวัยเดียวกันศึกษาอยู่ถึงร้อยละ 71.9 หากพิจารณาในระดับอุดมศึกษา (อายุ 18 -24 ปี) มีคนพิการ เพียงร้อยละ 2.4 ของคนพิการในวัยนี้ที่ได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา (เทียบกับร้อยละ 21.1 ของคนไม่พิการในวัยเดียวกัน) หรือ อาจกล่าวได้ว่ามีคนพิการเพียง 1 ใน 25 ของคนพิการในวัยนี้ที่ได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา (เทียบกับ 1 ใน 5 ของคนที่ไม่พิการ) จากสภาพการณ์การศึกษาระดับอุดมศึกษาของคนพิการในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงการศึกษาของคนพิการที่มีจ านวน คนพิการลดลงตามระดับการศึกษาที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา สอดคล้องกับรายงานผลการส ารวจข้อมูลเกี่ยวกับ การส่งเสริมและพัฒนาระบบบริการเพื่อรองรับนิสิต/นักศึกษาพิการในสถาบันอุดมศึกษา ประจ าปีการศึกษา 2562 (กระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, 2563) ระบุว่ามีสถาบันอุดมศึกษาให้ข้อมูลจ านวน 151 แห่ง จากทั้งหมด 175 แห่ง (รวมวิทยาเขต) พบว่า มีนิสิต/นักศึกษาพิการก าลังศึกษาอยู่ จ านวน 2,961 คน กลุ่มมหาวิทยาลัยรัฐ (ในสังกัดและในก ากับ)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 216 มากที่สุด จ านวน 1,750 คน รองลงมาเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ จ านวน 695 คน และกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน จ านวน 392 คน ตามล าดับ หากจ าแนกตามระดับการศึกษาพบว่ามีนิสิต/นักศึกษาที่อยู่ระหว่างศึกษาในระดับปริญญาตรี จ านวน 2,695 คน โดยมี ความบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพมากที่สุด จ านวน 1,258 คน รองลงมาคือประเภทความบกพร่องทางการได้ยิน จ านวน 572 คน และประเภทความบกพร่องทางการมองเห็น จ านวน 438 คน ตามล าดับ ด้านนโยบาย แนวทาง และมาตรการเกี่ยวกับคนพิการระดับอุดมศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา พบว่า การรับคนพิการ เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่มีการจัดท าประกาศสถาบันเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการรับคนพิการ เข้าศึกษา แต่สามารถรับคนพิการได้บางประเภท เนื่องจากข้อจ ากัดด้านความพร้อม จ านวน 80 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 53 ของสถาบัน ที่รายงานข้อมูล (151 แห่ง) และจ านวน 16 แห่งระบุว่ายังไม่มีนโยบายรับคนพิการเข้าศึกษา คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของสถาบันที่แจ้ง ตอบข้อมูล (151 แห่ง) ซึ่งมีสถาบันอุดมศึกษารับคนพิการเข้าศึกษาเหมือนบุคคลทั่วไป จ านวน 88 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 58.3 ของ สถาบันที่รายงานข้อมูล (151 แห่ง) ส่วนสถาบันที่มีการตั้งศูนย์/หน่วยที่รับผิดชอบงานบริการนักศึกษาพิการของสถาบัน คือ ศูนย์บริการสนับสนุนนักศึกษาพิการ (Disability Support Service Center: DSS Center) มีจ านวนเพียงแค่ 57 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 37.7 ของสถาบันที่รายงานข้อมูล (151 แห่ง) และยังไม่มีการจัดตั้ง จ านวน 54 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 35.8 ของสถาบันที่รายงานข้อมูล (151 แห่ง) นอกจากนี้รายงานผลการส ารวจข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาระบบบริการเพื่อรองรับนิสิต/นักศึกษาพิการใน สถาบันอุดมศึกษา ประจ าปีการศึกษา 2562 (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, 2563) ยังพบปัญหาการยุติ การศึกษาของนักศึกษาพิการในระดับอนุปริญญาและระดับปริญญาตรี เฉพาะปีการศึกษา 2561 จ านวน 112 คน โดยสาเหตุอันดับ แรกคือเรียนไม่ได้/เรียนไม่ทันเพื่อน รองลงมาคือสาเหตุอื่นๆได้แก่ การขาดแคลนทุนทรัพย์ ปัญหาด้านการเดินทาง ขาดอุปกรณ์ ช่วยอ านวยความสะดวกในการศึกษา นอกจากนี้ยังพบปัญหาครอบครัวของนิสิต/นักศึกษาพิการ และปัญหาการเจ็บป่วย/เกิด อุบัติเหตุ ทั้งนี้แม้ว่านักศึกษาพิการจะได้รับโอกาสในการเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษามากขึ้น แต่ยังพบปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ระหว่างการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ส่งผลให้นักศึกษาพิการบางส่วนต้องยุติการศึกษา จากสภาพปัญหาดังกล่าวสะท้อนความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาของนักศึกษาพิการ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตนักศึกษา พิการ จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและความเหลื่อมล้ าทางรายได้ในประเทศไทย (มัทยา บุตรงาม, 2555) ผลการศึกษาพบว่าความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและความเหลื่อมล้ าทางรายได้มีความสัมพันธ์ต่อกันในทิศทาง เดียวกัน ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาที่เพิ่มขึ้นท าให้ความเหลื่อมล้ าทางรายได้เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความเหลื่อมล้ าทางรายได้ที่เพิ่มขึ้น ท าให้ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาเพิ่มขึ้นเช่นกัน สอดคล้องกับรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ าของประเทศ ไทย ปี 2564 (ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2565) ระบุว่าการศึกษาส่งผลต่อความยากจน โดยกลุ่ม ประชากรที่มีการศึกษาน้อยเผชิญกับปัญหาความยากจนมากที่สุด เมื่อพิจารณาสัดส่วนคนจนต่อประชากรทั้งหมดที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป จ าแนกตามระดับการศึกษา พบว่า ประชากรที่ไม่ได้เข้ารับการศึกษามีสัดส่วนคนจนร้อยละ 14.81 รองลงมาเป็นกลุ่มที่มีการศึกษา ก่อนประถมศึกษาร้อยละ 10.95 และระดับประถมศึกษาร้อยละ 8.51 ขณะที่กลุ่มระดับการศึกษาสูงหรือระดับอุดมศึกษาขึ้นไป มี สัดส่วนคนจนต่ ากว่าร้อยละ 1.0 สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยส าคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาความยากจน นอกจากนี้ยัง พบว่า ครัวเรือนที่มีคนพิการ มีสัดส่วนครัวเรือนยากจนถึงร้อยละ 11.01 ขณะที่ครัวเรือนที่ไม่มีคนพิการเป็นสมาชิก มีสัดส่วน ครัวเรือนยากจนเพียงร้อยละ 4.27 โดยในปี 2564 จ านวนคนพิการที่ยากจนทั้งหมดร้อยละ 2.67 จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็น ถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่ส่งผลกระทบต่อกันระหว่างการศึกษาและรายได้ (ความยากจน) ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตคนพิการ การส่งเสริมการศึกษาส าหรับคนพิการจึงมีความส าคัญ ส านักงานสถิติแห่งชาติ (2566) ระบุว่าควรส่งเสริมสนับสนุนให้ คนพิการมีการศึกษาสูงขึ้น เพื่อให้คนพิการสามารถพัฒนาตนเองให้เพียงพอที่จะพึ่งพาตนเองได้ สามารถน าความรู้ไปประกอบอาชีพ เพื่อก่อให้เกิดรายได้ และมีหลักประกันทางสังคม ท าให้คนพิการสามารถด ารงชีวิตได้อย่างอิสระ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การ จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาส าหรับนักศึกษาพิการ จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีระบบสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเหลื่อม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 217 ล้ าทางการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ โดยกลไกส าคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสังคมและการจัดสวัสดิการสังคม คือการมีศูนย์บริการสนับสนุนนิสิตนักศึกษาพิการ (Disability Support Services: DSS) เพื่อให้นักศึกษาพิการสามารถเข้าถึง การศึกษาของมหาวิทยาลัยได้อย่างเท่าเทียมและยุติธรรม โดยลดอุปสรรคที่จ ากัดโอกาสของนักศึกษาพิการ และจัดบริการสนับสนุน เพื่อช่วยให้นักศึกษาพิการสามารถบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งบริการที่จัดให้นั้นควรค านึงถึงลักษณะเฉพาะของแต่ ละความพิการ ปัญหาและความต้องการจ าเป็นของนักศึกษาพิการให้สามารถเข้าถึงการรับรู้ การเข้าถึง การมีส่วนร่วม และการ สนับสนุนจากสังคมในการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ ปัญญา สังคม และ สิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและความยุติธรรมในสวัสดิการสังคมส าหรับคนพิการ ความเหลื่อมล้ าเป็นความแตกต่าง ความไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียมในศักดิ์ศรี โอกาส อ านาจ และสิทธิต่างๆ ในสังคม ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาของคนพิการจึงเป็นความไม่เสมอภาคหรือไม่เท่าเทียมทางการศึกษา การเข้าถึงโอกาสในการเข้าศึกษา และคุณภาพการศึกษาที่แตกต่าง ไม่เท่าเทียม และไม่ยุติธรรมในการจัดการศึกษาที่ไม่สอดคล้องต่อความต้องการเฉพาะของคนพิการ (สมชัย จิตสุชน, 2558, น. 6; รัชวดี แสงมหะหมัด, 2560, น. 39) ความเหลื่อมล้ าในสังคมมีหลายมิติ สามารถจ าแนกความเหลื่อมล้ าได้ 3 ด้าน ได้แก่ ความเหลื่อมล้ าทางสังคม (Social Inequalities) ความเหลื่อมล้ าทางเศรษฐกิจ (Economic Inequalities) และความเหลื่อมล้ าทางสุขภาพ (Health Inequalities) ในแต่ละด้านอาจมีประเด็นย่อย โดยความเหลื่อมล้ าทางการศึกษา (Education Inequality) จัดเป็นประเด็นย่อยในความเหลื่อมล้ า ทางสังคม ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษา สามารถจ าแนกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ 1) ความเหลื่อมล ้าทางการศึกษาในด้านโอกาสทาง การศึกษา ความแตกต่างของโอกาสในการเข้าถึงและการได้รับการศึกษา การมีทางเลือกทางการศึกษาและการเข้าถึงแหล่งทรัพยากร การเรียนรู้ และ 2) ความเหลื่อมล ้าทางการศึกษาในด้านคุณภาพการศึกษา แม้ต่างสถานศึกษาก็ควรมีสิทธิเท่าเทียมในการศึกษาที่มี คุณภาพมาตรฐานเดียวกัน ในการรับความรู้และพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จ าเป็นต่อการด ารงชีวิตและอยู่ร่วมกับสังคมอย่างครบถ้วน เพียงพอ ซึ่งการจัดการเรียนการสอน และการวัดประเมินผลที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้สอน ไม่สามารถจัดการเรียนรู้ในสภาพที่ผู้เรียนมีความเหลื่อมล ้าทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม หรือความแตกต่างของร่างกายและสติปัญญา รวมถึงระบบการส่งต่อทางการศึกษาในแต่ละช่วงชั้น ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้แตกต่างกันและเกิดความเหลื่อมล้ าทางการศึกษา ในที่สุด (ธนกร วรพิทักานนท์, 2564, น. 50; เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ และคณะ, 2565, น. 13; สถาบันวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อความ เสมอภาคทางการศึกษา, 2566) จากปัญหาความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมทางสังคม โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบางอย่าง คนพิการ กล่าวคือ ความยุติธรรมในสวัสดิการสังคมส าหรับคนพิการ ควรให้ความส าคัญกับการรับรู้และการเข้าถึงหรือใช้ประโยชน์ จากสวัสดิการสังคมของคนพิการเช่นเดียวกับคนทั่วไป โดยสวัสดิการที่จัดแก่คนพิการควรพัฒนาศักยภาพและเหมาะสมต่อ ความพิการ เพื่อให้คนพิการสามารถใช้ประโยชน์จากสวัสดิการสังคมได้อย่างเต็มที่ นอกจากการเข้าถึงแล้วยังต้องเปิดโอกาสให้ คนพิการเลือกใช้สวัสดิการสังคมตามความประสงค์ที่สอดคล้องกับการด าเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าและเป็นอิสระ เพื่อลดความเหลื่อมล้ า ให้คนพิการได้ใช้ความสามารถเพื่อบรรลุคุณค่าและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีตามที่ปรารถนาได้อย่างอิสระ ความเป็นธรรมในสังคมจึง เป็นสิ่งที่มุ่งขจัดอุปสรรคที่ท าให้เกิดความไม่เป็นธรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดนโยบายสังคมและสวัสดิการสังคมที่มุ่งสร้างความเป็น ธรรมทางสังคม ลดความเหลื่อมล้ า และพัฒนาคุณภาพชีวิต (พงษ์เทพ สันติกุล, 2563, น. 133-134)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 218 นโยบายสังคมและสวัสดิการสังคม:แนวคิดการลดความเหลื่อมล้ าและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นโยบายสังคม (Social Policy) มีความเกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของทุกคนในสังคม เป็นส่วนหนึ่งใน นโยบายของรัฐหรือนโยบายสาธารณะ ครอบคลุมและทาบสนิทกับสวัสดิการสังคม แทรกอยู่อย่างไม่สามารถแยกออกได้ เพื่อให้เกิด ความเท่าเทียม สร้างความอยู่ดีกินดีและมีสิทธิ ตอบสนองความต้องการของประชาชน แก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคม (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุล, 2565, น. 2-3; ทวี เชื้อสุวรรณทวี, 2562, น. 68-71) สวัสดิการสังคม (Social Welfare) มีความส าคัญและเกี่ยวข้องกับทุกคนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ดั่งบทความของป๋วย อึ้งภากรณ์ เรื่อง “คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวังจากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน” อธิบายถึงการที่ทุกคนควรได้รับบริการสวัสดิการ สังคมตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนกระทั่งตาย อันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องได้รับ ค านึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และหลักความเสมอภาค เพื่อการกินดี อยู่ดี มีสุข มีสิทธิ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Quality of Life) (ระพีพรรณ ค าหอม, 2551, น. 5) ทั้งนี้การนิยามความหมายของสวัสดิการสังคมขึ้นอยู่กับบริบทแต่ละประเทศว่าด้วยความหมายในลักษณะกว้างและแคบ โดยสวัสดิการสังคมความหมายในลักษณะกว้าง จ าแนกได้ 7 ด้าน ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านที่อยู่อาศัยและ สภาพแวดล้อม ด้านการมีงานท าและรายได้ ด้านกีฬาและนันทนาการ และด้านความมั่นคงทางสังคม ส่วนในความหมายแคบของ สวัสดิการสังคมเน้นการบรรเทาทุกข์และการดูแลแบบชั่วครั้งคราว (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุล, 2565, น. 13) สวัสดิการสังคมจึงเป็นบริการหรือการด าเนินงานที่เป็นหลักประกันในการด ารงชีวิต ป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคม การ พัฒนาและส่งเสริมความมั่นคงทางสังคม สนับสนุนความเป็นธรรมทางสังคม ค านึงถึงสิทธิที่ประชาชนควรได้รับ มีศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ และมุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิตของมนุษย์ (ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, 2549, น. 35; พงษ์เทพ สันติกุล, 2563, น. 3) คุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ คุณภาพชีวิตคนพิการ หมายถึง สภาวะที่คนพิการสามารถด าเนินชีวิตในสังคมได้อย่างอยู่ดีมีสุขและมีสิทธิตามหลัก ความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางสังคม สอดคล้องกับความต้องการ โดยปราศจากปัญหา ข้อจ ากัด และอุปสรรคจากความ พิการ ส่งผลให้คนพิการสามารถพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายที่พึงปรารถนาให้มีการด ารงชีวิตในทางที่ดี (ฐิติวัจน์ ทองแก้ว, 2561, น. 125) องค์ประกอบและการวัดคุณภาพชีวิตในบริบทสากลที่ใช้ประเมินประชาชนทั่วไปและน ามาใช้ประเมินคุณภาพชีวิต คนพิการที่นิยมในปัจจุบัน คือ เครื่องมือวัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization, 2012) เรียกว่า แบบประเมิน WHOQOL-100 ประกอบด้วยข้อค าถามจ านวน 100 ข้อ โดยได้พัฒนาแบบวัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุด ย่อฉบับภาษาไทย (World Health Organization Quality of Life Brief-Thai, WHOQOL-BREF-THAI) ข้อค าถาม 26 ข้อ จ าแนก 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านความสัมพันธภาพทางสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม (สุวัฒน์ มหัตนิรันดร์กุล และคณะ , 2540, น. 18-19) การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 หมายถึง การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ การส่งเสริมสนับสนุนให้คนพิการสามารถ ด ารงชีวิตได้อย่างอิสระ มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ มีความเสมอภาคกับบุคคลอื่นๆ สามารถมีส่วนร่วมทางสังคมภายใต้ สภาพแวดล้อมที่คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดสวัสดิการการส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิ ต่างๆของคนพิการอย่างเหมาะสม (กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ, 2566) โดยสิทธิด้านคุณภาพชีวิตของคนพิการ (Right to Life Quality) ถือเป็นสิทธิในการได้รับการประกันว่าจะสามารถมีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีได้ จ าแนกได้ 6 ด้าน ได้แก่ สิทธิในการศึกษา สิทธิในหลักประกันสุขภาพ สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือดูแล สิทธิในการท างาน สิทธิในการเดินทาง และสิทธิในกระบวนการยุติธรรม (พิมพ์ชนก วิริยะโรจน์, 2558, น. 48-76) ซึ่งมีความ สอดคล้องและเชื่อมโยงกับสวัสดิการสังคมทั้ง 7 ด้าน และองค์ประกอบของคุณภาพชีวิตทั้ง 4 ด้าน การพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษา พิการ จึงควรค านึงถึงสิทธิ ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนพิการ ตลอดจนกฎหมาย นโยบาย และแผนต่างๆ ที่


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 219 เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีกลไกส าคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการคือการจัดสวัสดิการสังคมที่ สอดคล้องต่อปัญหาและความต้องการของนักศึกษาพิการ การจัดสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษาพิการ การจัดสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษาพิการ ควรค านึงถึงกฎหมาย นโยบาย และแผนเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อ พัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการในประเทศไทยและระหว่างประเทศ ระบบนิเวศวิทยาของนักศึกษาพิการ และศูนย์บริการ สนับสนุนนักศึกษาพิการ ดังนี้ 1) กฎหมาย นโยบาย และแผนเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ ประเทศไทยมุ่งพัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการมาอย่างต่อเนื่อง จากกฎหมาย นโยบาย และแผนในประเทศไทยเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัด สวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ก าหนดให้รัฐจัดบริการทางสังคมในการป้องกัน แก้ไขปัญหา พัฒนา และส่งเสริมความมั่นคงทางสังคม ตอบสนองความจ าเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ อย่างทั่วถึง เหมาะสม เป็นธรรม และมีมาตรฐาน ทั้งทางด้านการศึกษา สุขภาพอนามัย ที่อยู่อาศัย การท างานและการมีรายได้ นันทนาการ กระบวนการยุติธรรม และบริการทางสังคมทั่วไป โดยค านึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิที่ประชาชนจะต้องได้รับ ส่วนพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 เพื่อป้องกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ การก าหนดให้คนพิการมีสิทธิได้รับสิ่งอ านวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะและ จัดบริการและความช่วยเหลือทางการศึกษาส าหรับคนพิการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาตนเองได้ สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ การจัดการศึกษาส าหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 ซึ่งได้รับรองและคุ้มครองให้คนพิการมีสิทธิ และบริการทางการศึกษาไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ พร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยี สิ่งอ านวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา สามารถเลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยค านึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจ าเป็นพิเศษของบุคคลนั้น และได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและ ประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการ จ าเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล กฎหมาย นโยบาย และแผนระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ค.ศ. 1975 เน้นย้ าว่าคนพิการพึงได้รับความคุ้มครองในฐานะของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ โดยมีสิทธิได้รับ สวัสดิการสังคมและการศึกษา สอดคล้องกับอนุสัญญาขจัดการเลือกปฏิบัติทางการศึกษา ค.ศ. 1960 ซึ่งระบุว่าทุกคนมีสิทธิใน การศึกษา รวมถึงคนพิการ โดยก าหนดให้รัฐภาคีต้องไม่กระท าการใดเป็นการเลือกปฏิบัติในการศึกษา ส่วนอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิ ของคนพิการ ค.ศ. 2006 ระบุว่าคนพิการมีสิทธิได้รับสวัสดิการและเข้าถึงบริการสาธารณะ มีระบบการศึกษาแบบเรียนร่วมในทุก ระดับและการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน ได้รับความช่วยเหลือที่ สมเหตุสมผลกับความต้องการของแต่ละบุคคลในระบบการศึกษา และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ในเป้าหมายที่ 4 ว่าด้วยเรื่องการสร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุม และเท่าเทียม มุ่งขจัดความเหลื่อมล้ าในการศึกษาและสร้างหลักประกันว่ากลุ่มที่เปราะบางซึ่งรวมถึงผู้พิการ สามารถเข้าถึงการศึกษา อย่างเท่าเทียม ภายในปี พ.ศ. 2573 (พรเทพ เตียเจริญวรรธน์, 2563, น. 79-82; ธนาชัย สุนทรอนันตชัย, 2553, น. 55-59; ศูนย์วิจัย และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน, 2566) 2) ระบบนิเวศวิทยาของนักศึกษาพิการ การจัดสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษาพิการ จ าเป็นอย่างยิ่งที่ควรค านึงถึงระบบนิเวศวิทยาของนักศึกษาพิการ ซึ่งเป็นบริบทของความสัมพันธ์ที่ประกอบเป็นสิ่งแวดล้อมของนักศึกษาพิการ ก าหนดชั้นอย่างซับซ้อน และส่งผลต่อคุณภาพชีวิต นักศึกษาพิการ โดยทฤษฎีระบบนิเวศวิทยา (Ecological System Theory) หรือรูปแบบชีวนิเวศวิทยาของการพัฒนามนุษย์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 220 (Bioecological Model of Human Development) ยูรี บรอนเฟนเบรนเนอร์ (UrieBronfenbrenner) ก าหนดองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ กระบวนการ (Process) บุคคล (Person) บริบทแวดล้อม (Context) และเวลา (Time) โดยบริบทแวดล้อม (Context) หมายถึง สิ่งแวดล้อมหรือสภาวการณ์ที่อยู่ล้อมรอบตัวนักศึกษาพิการ จ าแนกเป็น 4 ระบบ ที่ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นเหมือน ตุ๊กตามาโตรชก้า โดยมีนักศึกษาพิการอยู่ที่จุดศูนย์กลาง ได้แก่ (1) ระบบจุลภาค (Micro system) สภาพแวดล้อมที่มีความใกล้ชิด นักศึกษาพิการมากที่สุด โดยเฉพาะครอบครัว สถาบันการศึกษา กลุ่มเพื่อน ชุมชนและสังคมที่นักศึกษาพิการมีความใกล้ชิด หรือเข้า ไปมีส่วนร่วมด้วย ซึ่งนักศึกษาพิการจะได้รับอิทธิพลและมีอิทธิพลต่อกลุ่มบุคคลเหล่านั้น (2) ระบบมัชฌิมภาคหรือระบบกลาง (Meso system) มีความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างระบบจุลภาค เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและสถาบันการศึกษา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครอง เป็นต้น (3) ระบบภายนอก (Exo system) สิ่งแวดล้อมภายนอกที่มีอิทธิพล ต่อระบบกลางและระบบจุลภาค แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรง (Indirect interaction) กับนักศึกษาพิการ เช่น การท างานของพ่อแม่ ผู้ปกครองสามารถส่งผลกระทบต่อการดูแลนักศึกษาพิการ หรือส่งผลต่อการก าหนดเป้าหมายที่พ่อแม่ตั้งไว้กับนักศึกษาพิการ หรือ ความเครียดของพ่อแม่ผู้ปกครอง ในการปฏิบัติงานจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตครอบครัว เป็นต้น และ (4) ระบบมหภาค (Macro system) ระบบหรือสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่และกว้างที่สุดและครอบคลุมระบบอีกสามระบบไว้ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีผลต่อระบบทั้งหมด เช่น สังคมหรือบรรทัดฐานทางสังคม เศรษฐกิจ เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นต้น (Bronfenbrenner & Morris, 2005, อ้างถึงใน สรินทร์ภรณ์ พินิจเวชการ, 2561, น. 17-19; John Wiley 1998, p. 995,อ้างถึงใน จริยา ทรงนิพิฐกุล, 2562, น. 21-23; สิริพรรณ ศรีมีชัย, 2562) 3) ศูนย์บริการสนับสนุนนักศึกษาพิการ กลไกส าคัญในการบริหารนโยบายการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ คือ ศูนย์บริการ สนับสนุนนักศึกษาพิการ (Disability Support Services: DSS) กล่าวคือ ศูนย์บริการสนับสนุนนักศึกษาพิการเป็นหน่วยงานที่ ผลักดันนโยบายและน านโยบายสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษาพิการไปปฏิบัติ เพื่อให้บริการสนับสนุนทางการศึกษาแก่นักศึกษา พิการ ให้สามารถเข้าถึงระบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยได้อย่างยุติธรรมและเสมอภาคกับนักศึกษาทั่วไป โดยพิจารณา ปัญหาและความต้องการจ าเป็นจากลักษณะเฉพาะของแต่ละความพิการ เพื่อช่วยให้นักศึกษาพิการสามารถบรรลุเป้าหมายทาง การศึกษา ในประเทศไทยมีการส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาส่งเสริมการศึกษาระดับอุดมศึกษาของคนพิการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2542 รัฐบาลประกาศนโยบาย “คนพิการอยากเรียนต้องได้เรียน” จึงมีการเปิดโอกาสทางการศึกษาแก่คนพิการและจัดตั้ง ศูนย์บริการสนับสนุนหรือหน่วยงานที่ให้บริการนักศึกษาพิการในมหาวิทยาลัยขึ้น ต่อมาพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาส าหรับ ผู้พิการ พ.ศ. 2551 ก าหนดระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาส าหรับคนพิการว่าด้วยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ส าหรับคนพิการ พ.ศ. 2552 เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนงานการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาส าหรับคนพิการ โดยใน ปัจจุบันส านักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงานด้าน นักศึกษาพิการ ศูนย์บริการสนับสนุนนักศึกษาพิการในต่างประเทศ จากการศึกษาการบริหารและพัฒนาศูนย์บริการสนับสนุนนักศึกษา พิการในต่างประเทศ จ านวน 12 มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย 1) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แก่ มหาวิทยาลัยคอร์แนล มหาวิทยาลัย แห่งรัฐนิวเจอร์ซีย์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน มหาวิทยาลัยนอร์ทดาโกตา มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาสเตต มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด และมหาวิทยาลัยวอชิงตัน 2) ประเทศอังกฤษ ได้แก่ มหาวิทยาลัยลอนดอน 3) ประเทศสวีเดน ได้แก่ มหาวิทยาลัยอูเมโอ 4) ประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ มหาวิทยาลัยซึกุบะ และ 5) ประเทศสิงคโปร์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยการจัดการแห่งสิงคโปร์ พบว่า มีโครงสร้างองค์กร 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) ลักษณะที่เป็นเอกเทศและสังกัดมหาวิทยาลัยโดยตรง 2) ลักษณะที่อยู่ภายใต้ หน่วยงานที่ท าหน้าที่เกี่ยวกับนักศึกษาหรือพันธกิจด้านสิทธิความเท่าเทียมของมหาวิทยาลัย และ 3) ลักษณะที่สังกัดคณะหรือ หลักสูตรที่มีการสอนด้านการศึกษาพิเศษหรือการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ส่วนในประเทศไทยศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 221 มีโครงสร้างใน 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) ลักษณะที่อยู่ภายใต้หน่วยงานด้านกิจการนักศึกษา และ 2) ลักษณะที่สังกัดคณะหรือหลักสูตร ด้านการศึกษาพิเศษหรือการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยในต่างประเทศยังมีการน ากฎหมายการส่งเสริม การศึกษาส าหรับคนพิการของประเทศมาก าหนดเป็นนโยบายการจัดบริการของศูนย์บริการสนับสนุนนักศึกษาพิการ ตลอดจน บทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ อาจารย์ผู้สอน และนักศึกษาพิการ ซึ่งลักษณะการด าเนินงานมีความคล้ายคลึงกับมหาวิทยาลัยใน ประเทศไทย โดยมีข้อแตกต่างด้านบุคลากร ซึ่งมหาวิทยาลัยในต่างประเทศมีการจัดสรรอัตราก าลังบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ทางอย่างหลากหลายและครอบคลุม ส่วนมหาวิทยาลัยไทยส่วนมากแล้วเป็นบุคลากรต าแหน่งงานทั่วไปและไม่ครอบคลุม (อรอนงค์ สงเจริญ และ ธิดารัตน์ นงค์ทอง,2550;ศาศวัต เพ่งแพ, 2553, น. 42-45;ส านักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2553, น. 7-9; ฐิติวัจน์ ทองแก้ว, 2561; พรเทพ เตียเจริญวรรธน์, 2563, น. 102-106; ทรงกลด จารุนนทรากุล, 2565, น. 47-48; Singapore Management University, 2023) บทสรุป การจัดสวัสดิการสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ ควรค านึงถึงปัญหา และความต้องการในการรับรู้ การเข้าถึง การมีส่วนร่วม และการสนับสนุนทางสังคมในการจัดสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษาพิการ บนฐานคิดนโยบายสังคมและสวัสดิการสังคม และสิทธิด้านคุณภาพชีวิตของคนพิการ (Right to Life Quality) ตลอดจนค านึงถึง กฎหมาย นโยบาย และแผนเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการในประเทศไทยและระหว่าง ประเทศ ระบบนิเวศวิทยาของนักศึกษาพิการ และศูนย์บริการสนับสนุนนักศึกษาพิการ ซึ่งเป็นกลไกส าคัญในการบริหารและ ขับเคลื่อนนโยบายการจัดสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษาพิการ ทั้งนี้เพื่อพิทักษ์สิทธิ เติมเต็มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ลดความ เหลื่อมล้ า เสริมสร้างความยุติธรรมทางสังคม และพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการในด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้าน สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การพัฒนานโยบายสวัสดิการสังคมส าหรับนักศึกษาพิการ ควรศึกษาข้อมูลอย่างเป็นองค์รวมเพื่อใช้เป็นฐาน (Evidence-Based Policy) ตลอดจนพัฒนากระบวนการขับเคลื่อนการน านโยบายไปปฏิบัติและมีการติดตามประเมินผลนโยบาย อย่างเป็นรูปธรรม ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาพบว่า แม้มีกฎหมาย นโยบาย และแผนเกี่ยวกับนักศึกษาพิการ เพื่ออุดหนุนทางการศึกษาส าหรับคนพิการ ในระดับอุดมศึกษา แต่การก าหนดอัตราค่าใช้จ่ายที่ให้การอุดหนุนในแต่ละหลักสูตร/กลุ่มสาขาวิชาไม่สอดคล้องต่อบริบทของ มหาวิทยาลัยและสังคมที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้นักศึกษาพิการบางส่วนต้องช าระค่าธรรมเนียมการศึกษาส่วนเกินเพิ่มเติม ยกตัวอย่าง อัตราค่าใช้จ่ายกลุ่มสาขาสังคมศาสตร์อุดหนุน 60,000 บาท/ปีการศึกษา แต่ค่าใช้จ่ายจริง 80,000 บาท/ปีการศึกษา นักศึกษาพิการ ต้องจ่ายเพิ่ม 20,000 บาท/ปีการศึกษา โดยมหาวิทยาลัยควรก าหนดแนวนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังควรมีการปรับปรุง ทบทวนนโยบายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลง เพื่อครอบคลุมตามสิทธิที่คนพิการได้รับการศึกษาโดยไม่เสีย ค่าใช้จ่ายในระดับปริญญาตรีอย่างแท้จริง แม้มหาวิทยาลัยมีโครงการเฉพาะเพื่อเปิดรับคนพิการเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ในขณะเดียวกันควรพิจารณา หลักเกณฑ์เงื่อนไข ตลอดจนมีสาขาวิชาหรือหลักสูตรที่ครอบคลุมหลากหลาย เพื่อให้มีทางเลือกทางการศึกษาได้ตามความสนใจ นอกจากนี้ยังควรจัดสวัสดิการสังคมเพื่อบริการสนับสนุนให้นักศึกษาพิการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้และการศึกษาที่มี คุณภาพมาตรฐาน ในการพัฒนาทักษะที่จ าเป็นต่อการด ารงชีวิต สามารถบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาและอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่าง ครอบคลุมเพียงพอ เพื่อลดความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 222 เอกสารอ้างอิง กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2565). ปรัชญาและแนวคิดสังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ: บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จ ากัด. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม. (2563). รายงานผลการส ารวจข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาระบบ บริการเพื่อรองรับนิสิต/นักศึกษาพิการ ในสถาบันอุดมศึกษา ประจ าปีการศึกษา 2562.สืบค้นจาก http://www.ops.go.th/th/data-store/archive-documents กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ. (2566). รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย.สืบค้นจาก https://dep.go.th/th/law-academic/knowledge-base กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ. (2566). พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่ แก้ไขเพิ่มเติม.สืบค้นจาก. http://web1.dep.go.th/?q=th/law/act จริยา ทรงนิพิฐกุล. (2562). บทบาทของผู้ปกครองกับการจัดการศึกษาปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครปฐม เขต 1. ปริญญานิพนธ์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร, บัณฑิตวิทยาลัย. เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ และคณะ. (2565). ความเหลื่อมล้ าทางสังคม.สืบค้นจากhttps://ejournals.swu.ac.th ฐิติวัจน์ ทองแก้ว. (2561). การจัดท าข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการจัดการสมรรถนะการประกอบอาชีพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของ คนพิการ. ปริญญานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร, บัณฑิตวิทยาลัย. ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ. (2549). สวัสดิการสังคมในมิติกินดี อยู่ดี มีสุข มีสิทธิ.กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง. ทรงกลด จารุนนทรากุล. (2565). แนวทางการพัฒนาการให้บริการทางการศึกษาส าหรับนักศึกษาพิการในเขตภาคเหนือตอนบน. ปริญญานิพนธ์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, บัณฑิตวิทยาลัย. ทวี เชื้อสุวรรณทวี. (2562). พิการศึกษาเชิงวิพากษ์และบูรณาการ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธนาชัย สุนทรอนันตชัย. (2553). การศึกษาสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคทางด้านการศึกษาของคนพิการในระดับอุดมศึกษา: ศึกษากรณีผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน. ปริญญานิพนธ์มหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บัณฑิตวิทยาลัย ธนกร วรพิทักานนท์. (2564). ผลกระทบของความเหลื่อมล้ าต่อการเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาของนักเรียนไทย. ปริญญานิพนธ์มหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บัณฑิตวิทยาลัย พิมพ์ชนก วิริยะโรจน์. (2558). สิทธิของคนพิการที่ไม่มีการรับรองสถานะบุคคลตามกฎหมายการทะเบียนราษฎร์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. พรเทพ เตียเจริญวรรธน์. (2563). กฎหมายต้นแบบเพื่อการคุ้มครองสิทธิคนพิการ. ปริญญานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีปทุม, บัณฑิตวิทยาลัย. พงษ์เทพ สันติกุล. (2563). ความยุติธรรมในสวัสดิการสังคม. ปทุมธานี: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. มัทยา บุตรงาม. (2555). การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและความเหลื่อมล้ าทางรายได้ในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บัณฑิตวิทยาลัย. ระพีพรรณ ค าหอม. (2557). สวัสดิการสังคมกับสังคมไทย. ปทุมธานี: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. รัชวดี แสงมหะหมัด. (2560). ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษา: คุณภาพสังคมที่คนไทยมองเห็น. วารสารรัฐศาสตร์และ รัฐประศาสนศาสตร์, 8(1), 33-66. ศาศวัต เพ่งแพ. (2553). การศึกษารูปแบบและแนวทางการพัฒนาการจัดการศึกษาส าหรับคนพิการในสถาบันอุดมศึกษาไทย. ปริญญานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, คณะพัฒนาสังคม. ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน. (2566). ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ SDGs. สืบค้นจาก https://www.sdgmove.com/intro-to-sdgs.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 223 สิริพรรณ ศรีมีชัย. (2562). แนวคิดระบบนิเวศวิทยา วิชาพฤติกรรมมนุษย์ในสภาวะแวดล้อมทางสังคมปีการศึกษา 2562 หลักสูตร สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2558). เอกสารประกอบการสอนคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สุวัฒน์ มหัตนิรันดร์กุลและคณะ. (2540). เครื่องชี้วัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุดย่อ ฉบับภาษาไทย.สืบค้นจาก https://dmh.go.th/test/whoqol. สมชัย จิตสุชน. (2558). รายงานการวิจัยความเหลื่อมล้ าในสังคมไทย: แนวโน้ม นโยบายและแนวทางขับเคลื่อนนโยบาย. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. สืบค้นจากhttps://digital.library.tu.ac.th/tu_dc ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2565). รายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ า ของประเทศ ไทย ปี 2564. สืบค้นจากhttps://www.nesdc.go.th/more_news ส านักงานสถิติแห่งชาติ. (2566). รายงานการส ารวจความพิการ พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2565. สืบค้นจาก https://www.unicef.org/thailand/th/reports สถาบันวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2566). ความเสนอภาคทางการศึกษา.สืบค้นจาก https://research.eef.or.th. สรินทร์ภรณ์ พินิจเวชการ. (2561). การศึกษานักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษทางด้านการอ่าน: กรณีศึกษานักเรียนระดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในเขตภาคกลาง. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. อรอนงค์ สงเจริญและธิดารัตน์ นงค์ทอง. (2550). การพัฒนารูปแบบระบบงานบริการสนับสนุนส าหรับนักศึกษาพิการวิทยาลัย ราชสุดา. วารสารวิทยาลัยราชสุดาเพื่อการวิจัยและพัฒนาคนพิการ, 3(1), 26-38. Singapore Management University. (2023). Services for Students with Disability.Retrieved from https://www.smu.edu.sg/campus-life/health-and-safety/disability-services


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 224 การจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง จังหวัดกรุงเทพมหานคร Managing the risk of bed-Ridden Elderly People in a Foster Home in Bangkok Area ภัทราภรณ์ ชูศรีนวล1 Pattharaporn Chusrinuan2 มาลี จิรวัฒนานนท์3 Malee Jirawattananon4 Abstract This research is qualitative research. The objective of the research is to study the characteristics of risk management for bedridden elderly in an assisted living facility in Bangkok. Participants in the research of 14 multidisciplinary team and mentors working in welfare homes. The tool used was a multidisciplinary interview form, Nanny interview form and participatory observation. Analyzed data form records in-depth interview and participatory observation. The results of the study found that the risk characteristics that cause bedridden conditions among the elderly in welfare institutions are accidents and falls. Physical and mental conditions, congenital diseases, health neglect behaviors Conditions inside and outside the shelter Supporting care from inappropriate family members and relatives and the COVID19 disease situation. The welfare center has managed the risk of bedridden elderly people. Assessing the risk of being bedridden involves using knowledge and tools to assess risk. Assessing the severity of the bedridden situation of the elderly in the organization Assessing the likelihood of bedridden disease among the elderly and its future effects. Preventing bed addiction is by providing services and activities to promote physical and mental health. Improving or reducing risks in places that are at risk of accidents Surveillance by observing and taking care of the elderly closely To prevent falls and falls As well as controlling the severity of the situation of bedridden elderly people, that is, training personnel to have knowledge in caring for bedridden elderly people. and rehabilitation of bedridden elderly People. Keywords: Risk management, bed - ridden, Foster Home บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของ ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยเป็นทีมสหวิชาชีพ และพี่เลี้ยงที่ปฏิบัติงานใน สถานสงเคราะห์ จ านวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์สหวิชาชีพ แบบสัมภาษณ์พี่เลี้ยง และมีการสังเกตแบบมี ส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดยน าข้อมูลจากการบันทึกข้อมูล การถอดเทปจากการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม มาวิเคราะห์และตีความ 1 นักศึกษาปริญญาโทหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, คณะสังคมสงเคราะห์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 2 Master’s Student, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจ าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 4 Assistant Professor Dr., Lecturer in Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 225 ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ คือ การเกิด อุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม สภาพร่างกายและจิตใจ โรคประจ าตัว พฤติกรรมที่ละเลยการดูแลสุขภาพ สภาพสถานที่ภายในและ ภายนอกสถานสงเคราะห์ การสนับสนุนการดูแลจากบุคคลในครอบครัวและญาติที่ไม่เหมาะสม และสถานการณ์โรคโควิด-19 ซึ่งสถานสงเคราะห์มีการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ โดยการประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง คือ การ ใช้องค์ความรู้และเครื่องมือในการประเมินความเสี่ยง การประเมินถึงความรุนแรงของสถานการณ์ภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุใน องค์กร การประเมินโอกาสในการเกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุและผลกระทบในอนาคต การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะติดเตียง คือ จัดบริการและกิจกรรมในการส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจ การปรับปรุงหรือลดความเสี่ยงในสถานที่ ที่มีความเสี่ยง ต่อการเกิดอุบัติเหตุ การเฝ้าระวังโดยการสังเกตและดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม พร้อมทั้งควบคุม สถานการณ์ความรุนแรงของภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ คือ การอบรมบุคลากรให้มีความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง และการ ฟื้นฟูผู้สูงอายุที่ติดเตียง ค าส าคัญ: การจัดการความเสี่ยง, ภาวะติดเตียง, สถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุ บทน า กรุงเทพมหานคร เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีอัตราผู้สูงอายุสูง ปัจจุบันกรุงเทพมหานครเป็น สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ จากการศึกษาข้อมูลสถิติผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี 2561 จนถึง ปี พ.ศ. 2565 พบว่า มีจ านวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 สถิติผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ. จ านวนประชากร กรุงเทพมหานครทั้งหมด จ านวนประชากรผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ชาย หญิง รวม 2561 5,676,648 424,908 596,009 1,020,917 17.98 2562 5,666,264 441,903 621,968 1,063,871 18.78 2563 55,88,222 459,490 648,729 1,108,219 19.83 2564 5,527,994 477,117 675,178 1,152,295 20.84 2565 5,494,932 485,958 694,137 1,180,095 21.48 ที่มา: กรมการปกครอง, ระบบสถิติทางการลงทะเบียน, ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 จากตารางดังกล่าว พบว่าผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานครมีจ านวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีพ.ศ. 2561 มีผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 17.98 ปี พ.ศ. 2562 มีผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 18.78 ปี พ.ศ. 2563 มีผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 19.83 ปี พ.ศ. 2564 มีผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 21.48 และในปี พ.ศ. 2565 มีผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 21.48 ของประชากรทั้งหมดใน เขตกรุงเทพมหานคร จากสถานการณสังคมผู้สูงอายุข้างต้น ผลักดันให้กรุงเทพมหานครเตรียมความพร้อมในการรองรับสังคมผู้สูงอายุ (Aged Society) โดยการจัดบริการผ่านกลไกและหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร อีกทั้งมีการบังคับใช้แผนพัฒนา คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุกรุงเทพมหานคร ระยะที่ 3(พ.ศ. 2566-2570) เพื่อใช้เป็นกรอบในการบูรณาการงาน ด้านผู้สูงอายุอย่างเป็น รูปธรรม และน าไปสู่ความส าเร็จในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 226 สถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่ท าการศึกษาวิจัย เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีภารกิจหลักในการรองรับผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร รับผิดชอบให้การสงเคราะห์ ฟื้นฟู และพัฒนาผู้สูงอายุ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออุปการะเลี้ยงดูผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาทุกข์ยาก เดือดร้อน รายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ไม่มีที่อยู่อาศัย ถูกกระท าด้วยความรุนแรง หรือขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูให้สามารถ ด ารงชีวิตได้อย่างปกติสุข ผ่านการให้บริการและดูแลของทีมสหวิชาชีพที่มีความหลากหลาย จัดบริการที่ครอบคลุมทุกด้านส าหรับ ผู้สูงอายุ โดยสามารถรองรับผู้สูงอายุได้สูงสุด จ านวน 140คน ผู้สูงอายุที่เข้ามารับบริการเป็นผู้สูงอายุที่ได้รับการประสานส่งต่อจาก หน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ส านักงานเขต โรงพยาบาล และศูนย์บริการสาธารณสุข ศูนย์บริการผู้สูงอายุดินแดง เป็นต้น และหน่วยงานภายนอกสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้แก่ กรมกิจการผู้สูงอายุ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โรงพยาบาลสังกัดกระทรวง สาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการมีปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายของสถานสงเคราะห์เป็นผู้สูงอายุ เป็นวัยที่มีความเสื่อมถอยของสภาพร่างกาย จากการศึกษาข้อมูลพบว่า สภาพปัญหาในการด าเนินงานของสถานสงเคราะห์ที่ส าคัญ คือ ปัญหาการดูแลผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุในกลุ่มที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้มาก (ติดสังคมหรือพึ่งตนเองได้) เริ่มมีปัญหาสุขภาพและมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้สูงอายุในกลุ่มที่ สามารถช่วยเหลือตนเองได้ปานกลาง (ติดบ้านหรือพึ่งตนเองได้บ้าง) และกลุ่มที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียงหรือ พึ่งตนเองไม่ได้) เนื่องจากความเสื่อมของร่างกายตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น และโรคภัยไข้เจ็บของผู้สูงอายุ เมื่อผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ความหลากหลายของปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุย่อมสูงขึ้น จากการศึกษาข้อมูลสถิติผู้สูงอายุที่เข้ามารับบริการตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน พบว่า มีจ านวนผู้สูงอายุในกลุ่ม ที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ปานกลาง (ติดบ้านหรือพึ่งตนเองได้บ้าง) และกลุ่ม ที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียงหรือพึ่งตนเองไม่ได้เลย) ดังตารางที่ 1.2 ตารางที่ 2 สถิติผู้สูงอายุ จ าแนกตามความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจ าวัน สถิติผู้สูงอายุจ าแนกตาม ความสามารถในการประกอบ กิจวัตรประจ าวัน กลุ่มผู้สูงอายุที่สามารถ ช่วยเหลือตนเองได้มาก (ติดสังคม) กลุ่มผู้สูงอายุที่ ช่วยเหลือตนเองได้ ปานกลาง (ติดบ้าน) กลุ่มผู้สูงอายุที่ ช่วยเหลือตนเอง ได้น้อย (ติดเตียง) รวม (คน) ปีงบประมาณ 2562 82 40 10 132 ปีงบประมาณ 2563 73 41 11 125 ปีงบประมาณ 2564 68 44 8 120 ปีงบประมาณ 2565 70 46 9 125 ปีงบประมาณ 2566 75 51 6 132 ที่มา: สถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร, ฐานข้อมูลผู้สูงอายุ, ณ วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2566 สถิติผู้สูงอายุตามตารางดังกล่าว พบว่า มีกลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้ปานกลาง (ติดบ้าน) เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น ในระยะเวลา 5 ปี มีกลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียง) เพิ่มขี้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยในปีงบประมาณ 2562 มีกลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียง) จ านวน 10 คน ปีงบประมาณ 2563 มีกลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียง) จ านวน 11 คน ปีงบประมาณ 2564 มีกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียง) จ านวน 8 คน ปีงบประมาณ 2565 มีกลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียง) จ านวน 9 คน และในปีงบประมาณ 2566 มีกลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียง) จ านวน 6 คน จากสถิติดังกล่าว เมื ่อมีกลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้ปานกลาง (ติดบ้าน) เพิ่มขึ้น มีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็น กลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียง) ในอนาคต


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 227 กลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย (ติดเตียง) มีจ านวนเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ ดังนี้ 1. ผลกระทบต่อผู้สูงอายุ ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุโดยตรง โดยผู้สูงอายุไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ นอกจากกระทบ ต่อด้านร่างกายของผู้สูงอายุแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อด้านจิตใจอารมณ์ของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุรู้สึกว่าคุณค่าในตนเองลดลง เนื่องจากไม่สามารถท ากิจวัตรในชีวิตประจ าวันด้วยตนเองได้เช่นเดิม 2. ผลกระทบต่อบุคลากร การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยง สถานสงเคราะห์แห่งนี้มีสัดส่วนของจ านวนเจ้าหน้าที่ พี่เลี้ยงต่อผู้สูงอายุที่อยู่ในความดูแล คือ พี่เลี้ยง 1 คน ต้องให้การดูแลผู้สูงอายุถึง 10 คน ซึ่งเป็นบทบาทภาระงานที่ค่อนข้าง หนัก เมื่อจ านวนผู้สูงอายุที่อยู่ในความดูแลมีความสามารถในการช่วยเหลือตนเองลดน้อยลง หรือไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง ได้จักส่งผลให้เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงที่มีจ านวนจ ากัด ต้องรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น เกิดความเหนื่อยล้า กระทบต่อ สภาพจิตใจ และอารมณ์ 3. ผลกระทบต่อองค์กร องค์กรต้องใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจ ากัดในการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะติดเตียงเพิ่มขึ้น ต้อง บริหารจัดการงบประมาณที่ได้รับจัดสรรให้เพียงพอต่อการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง โดยมีค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง จ านวน 17,570 บาท/คน/เดือน (วัสดุอุปกรณ์จ านวน 8 รายการ ได้แก่ ผ้าอ้อมส าเร็จรูป แผ่นรองซับ หน้ากากอนามัย ถุงมือ อุปกรณ์เวชภัณฑ์ท าแผล อาหารเสริม สายดูดเสมหะ สายให้อาหาร) ซึ่งปัญหาดังกล่าวกระทบต่อความมั่นคงขององค์กร จากที่กล่าวมาในสถานการณ์ความเสี่ยงของผู้สูงอายุที่กล่าวมาข้างต้น และน ามาสู่ปัญหา และผลกระทบต่างๆ จึงมี ความส าคัญที่บุคลากร โดยเฉพาะทีมสหวิชาชีพของสถานสงเคราะห์ จ าเป็นต้องหาแนวทางในการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะ ติดเตียงของผู้สูงอายุ มีการวางแผนการดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแล อย่างเหมาะสมตามสภาพปัญหาเฉพาะบุคคลและได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง มีการจัดบริการหรือกิจกรรมที่มีส่วนช่วยในการ ป้องกันภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ โดยกิจกรรมหลักที่จัดให้แก่ผู้สูงอายุ คือ กิจกรรมการออกก าลังกาย ถึงแม้ทีมสหวิชาชีพจัก ได้จัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุด้วยการด าเนินงานและจัดบริการดังกล่าวข้างต้น แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมี ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงอยู่ ซึ่งอาจมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ แต่ทีมสหวิชาชีพ ไม่ได้มีมาตรการในการป้องกันปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้น หรือพี่เลี้ยงซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด ทราบถึงลักษณะ ความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียง แต่ไม่ได้มีการถ่ายทอดสู่ทีมสหวิชาชีพ ผู้ศึกษาจึงสนใจศึกษาการจัดการความเสี่ยงต่อ ภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในสถาน สงเคราะห์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เครื่องมือและวิธีการศึกษา วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีวิธีการศึกษา คือ ศึกษาค้นคว้าเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Documentary Study) ได้แก่ หนังสือ เอกสารทางวิชาการ บทความ วิทยานิพนธ์ รายงานการวิจัย และข้อมูลอิเลกทรอนิกส์จากเว็บไซต์ เช่น หนังสือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ ข้อมูลอิเลกทรอนิกส์จากเว็บไซต์ เกี่ยวกับความเสี่ยงในผู้สูงอายุ เป็นต้น และจัดท าเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูล คือ ทีมสหวิชาชีพ และพี่เลี้ยงในสถานสงเคราะห์ และศึกษาข้อมูล ภาคสนาม (Field Study) ใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 228 เครื่องมือที่ใช้ การศึกษานี้ ใช้เครื่องมือในการเก็บข้อมูล คือ เครื่องบันทึกเสียง โดยเครื่องมือดังกล่าวต้องมีการขออนุญาต และ สร้างข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้วิจัยและผู้ให้การสัมภาษณ์ว่าข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์จะถูกน ามาใช้ในงานวิจัยนี้เท่านั้น และไม่มีการเผยแพร่ การจดบันทึกข้อมูลขณะสัมภาษณ์พร้อมกับการบันทึกเสียง เพื่อบันทึกประเด็นส าคัญจากการสัมภาษณ์ ส ารองข้อมูลกรณีเครื่องบันทึกเสียงเกิดความขัดข้องทางเทคนิค ใช้แบบสัมภาษณ์ที่จะใช้ในการสัมภาษณ์ทีมสหวิชาชีพที่ ปฏิบัติงานและเคยปฏิบัติงานดูแลผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ และแบบสัมภาษณ์ที่จะใช้ในการสัมภาษณ์พี่เลี้ยง โดยแบบ สัมภาษณ์ทั้งสองประเภทมีความแตกต่าง คือ แบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการสัมภาษณ์ทีมสหวิชาชีพที่ปฏิบัติงานและเคยปฏิบัติงาน ดูแลผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ ประกอบด้วย 1. แบบสัมภาษณ์ส าหรับทีมสหวิชาชีพที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา นักกายภาพบ าบัดและนักโภชนาการบ าบัด 2. แบบสัมภาษณ์ส าหรับทีมสหวิชาชีพที่เป็นแพทย์ และพยาบาล โดยมี แนวค าถามที่เฉพาะเจาะจงที่เหมาะสมกับความรู้ความช านาญของนักวิชาชีพ ส่วนแบบสัมภาษณ์ที่จะใช้ในการสัมภาษณ์พี่ เลี้ยง มีแนวค าถามที่เน้นการปฏิบัติงานดูแลผู้สูงอายุภายใต้การก ากับดูแลของทีมสหวิชาชีพ ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย ทีมสหวิชาชีพ และพี่เลี้ยงที่ปฏิบัติงานหรือเคยปฏิบัติงานในสถานสงเคราะห์ การเลือกตัวอย่าง (sampling method) การเก็บข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) แบ่ง ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ทีมสหวิชาชีพที่ปฏิบัติงานและเคยปฏิบัติงานในสถานสงเคราะห์ ประกอบด้วย นักสังคม สงเคราะห์ นักจิตวิทยา นักกายภาพบ าบัด พยาบาล แพทย์ และนักโภชนาการบ าบัด จ านวน 6 คน และกลุ่มที่ 2 พี่เลี้ยงที่ ปฏิบัติงานในสถานสงเคราะห์ ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีความใกล้ชิดผู้สูงอายุมากที่สุด จ านวน 8 คน เกณฑ์การคัดเข้าของผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย เกณฑ์การคัดเลือกทีมสหวิชาชีพ คือเป็นทีมสหวิชาชีพที่ปฏิบัติงานและเคยปฏิบัติงานดูแลผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 2 ปี และมีความสมัครใจเข้าร่วมในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เกณฑ์การคัดเลือกพี่เลี้ยง คือ เป็นพี่เลี้ยงที่ปฏิบัติงานดูแลผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ใน การปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 5 ปี และมีความสมัครใจเข้าร่วมในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เกณฑ์การคัดออกของผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย เกณฑ์การคัดออกทีมสหวิชาชีพ และพี่เลี้ยง คือ มีความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย ท าให้ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ และ มีความเจ็บป่วยทางด้านจิตใจ ท าให้ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ เกณฑ์การถอนผู้มีส่วนร่วมการวิจัย คือ เจ็บป่วยฉุกเฉิน และไม่สามารถเข้าร่วมการวิจัยได้ตลอด การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาได้มีการน าข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากการบันทึกข้อมูล และการถอดเทปจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการ สังเกตแบบมีส่วนร่วม วิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) โดยการจ าแนก จัดประเภทข้อมูลเป็นหมวดหมู่ แล้ววิเคราะห์หา ประเด็นหลัก และประเด็นย่อย ตีความ พร้อมทั้งสรุปผลข้อมูล ผลการศึกษา ลักษณะความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ มีดังนี้ 1. ปัญหาด้านสภาพร่างกายและจิตใจ คือ ลักษณะความผิดปกติของอวัยวะ เช่น หลังค่อม มีอาการปวดเข่า ภาวะ ความเครียด ซึมเศร้า ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ถ้าปัจจัยเสี่ยงหรอ เรื่องของสภาพร่างกาย เกี่ยวกับข้อเข่าอะไรอย่างเนี่ย เช่น แข้ง ขา อะไรทั้งหลาย บางคนก็บอกว่า ปวดขา เดินแล้วเจ็บ เกี่ยวกับกระดูกก็ถือว่าเป็นภาวะเสี่ยงได้ เพราะว่ามันส่งผลต่อ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 229 การเคลื่อนไหว” ซึ่งสอดคล้องกับค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “น่าจะเป็นพวกสุขภาพอ่ะ การเดินอะไรแบบเนี่ย เพราะคนแก่ส่วนใหญ่ ก็กระดูกเข่า เดินไม่ได้ เดินไม่ไหว ล้มมั่ง อะไรมั่ง” ส่วนปัญหาด้านสภาพจิตใจที่ว่า “ความเครียด ซึมเศร้า คิดมาก ซึ่งได้ ยกตัวอย่างความเสี่ยงด้านสภาพจิตใจ ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ผู้สูงอายุมีภาวะซึมเศร้า เหมือนเขาไม่ค่อยอยากท าอะไร เหมือนใครบอกอะไรอย่างเนี่ย เขาก็จะคิดน้อยใจล่ะ ว่าจะว่าเขาท าไม อยู่นิ่งๆอยู่เฉยๆ ไม่อยากคิดอะไร บางทีก็หลงๆ ลืม ” และค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ความเครียด ความท้อแท้ อีกอย่างปัญหาด้านจิตใจ ความท้อแท้ส่วนตัวของเขา บางคนเข้ามาเนี่ย เขาแฝงด้วยอาการทางจิตเวช เขาไม่ปกติ เขาแฝงแล้วเขามีความรู้สึกเขาอมทุกข์อยู่ในตัวเขาเนี่ย ว่าท าไมถึงเป็นอย่างนี้ๆ นั่นละ พอเขาท้อแท้หดหู่กับชีวิตแล้วเนี่ย มันก็จะดาวน์ลงๆ ไม่อยากเคลื่อนไหว ไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรม ไม่อยากเข้าร่วมกับ ใครทั้งสิ้นเนี่ย จ าท าให้เขาเป็นภาวะติดเตียง” จากค าให้สัมภาษณ์ดังกล่าว เห็นได้ว่าสภาพจิตใจที่เป็นปัญหาของผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลกระทบให้ผู้สูงอายุมีภาวะหลีกหนีการเข้าสังคม หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรม และเก็บตัวจมอยู่กับความทุกข์เพียง ล าพังซึ่งท าให้เสี่ยงต่อภาวะติดเตียง 2. โรคประจ าตัว ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์มีโรคประจ าตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจ โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น ผลของโรคประจ าตัว หากไม่ปฏิบัติตามค าแนะน าของแพทย์ในการรักษาโรค หรือโรคมีภาวะที่รุนแรง ขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลกระทบให้ผู้สูงอายุอยู่ในภาวะติดเตียงได้ 3. การเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ การพลัดตกหกล้ม ที่เกิดจากสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงของผู้สูงอายุ และไม่ใช้กาย อุปกรณ์เพื่อพยุงตัวเอง ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ ผู้สูงอายุมีการพลัดตกหกล้มและมีการกลายเป็นผู้สูงอายุติดเตียงได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงล าดับต้นๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียง” 4. พฤติกรรมการรับประทานอาหาร การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุ การไม่ควบคุมปริมาณ อาหาร ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ ได้รับประทานอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ อาจจะทานอาหารที่แบบ ที่ไม่ควรทานอ่ะ พวกอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ไขมันสูง ถ้าโปรตีนเยอะมากก็ท าให้ติดเตียงได้นะ เพราะคนสูงอายุไม่ควรทานโปรตีนมาก เท่าไหร่ ควรจะเน้นเป็นพวกผัก โปรตีนเล็กน้อยมากกว่า แต่ไขมันจะไม่เน้น ไขมันจะย่อยยาก มันจะท าให้อะไรเสื่อมได้ง่าย” ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวถึงการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุ ซึ่งอาหารที่สถานสงเคราะห์จัดให้ผู้สูงอายุ รับประทานมีความเหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุแล้ว แต่ในบางครั้งผู้สูงอายุมีพฤติกรรมเก็บตุนอาหารที่ได้รับจากเพื่อนไว้ทานใน มื้อถัดไป ท าให้อาหารในมื้อถัดไปมีปริมาณสารอาหารมากเกินกว่าที่ก าหนด 5. สถานที่ภายใน และภายนอกสถานสงเคราะห์ สถานที่ที่ไม่เหมาะสมในการพักอาศัยของผู้สูงอายุ หรือความไม่คุ้น ชินที่สถานที่ที่มีการปรับเปลี่ยนใหม่ ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ ถ้าเป็นปัจจัยเสี่ยงภายในองค์กรเกี่ยวกับสถานที่ สถานที่ที่จะท า ให้เกิดการล้มง่าย และก็มีการดูสถานที่เดิน สถานที่ที่ผู้สูงอายุล้มบ่อยๆ เราก็ต้องรวบรวมว่า เอ่อ ทางลาดตรงนี้ลาดลื่นเกินไป หรือห้องน้ าตรงนี้ผู้สูงอายุล้มบ่อยนะคะ” และมีการให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับ เรื่อง พรบ. ควบคุมอาคาร ว่า “ส่วนถ้าเป็นที่ ไม่ใช่ปัจจัยที่เกิดจากตัวผู้สูงอายุในเรื่องของสถานที่ก็อาจจะอย่างเช่น พวกบันได ทางลาด หรืออะไรประมาณนี้ ซึ่งอันนี้ก็ต้อง พูดตรงๆ ว่าสถานสงเคราะห์ของเราเนี่ย สร้างขึ้นมา มาระยะเวลาก่อนหน้าที่จะมีเกี่ยวกับ พรบ. ควบคุมอาคาร ซึ่ง พรบ. ควบคุมอาคารเนี่ย ระบุเอาไว้เป็นมาตรฐานว่า อ่ะ อย่างสมมติบันไดเนี่ย บันไดขั้นนึงต้องสูงเท่าไหร่ ขั้นหนึ่งกว้างเท่าไหร่ ความชันมันเท่าไหร่ ซึ่งโอเคว่าในเรื่องสถานที่ของสถานสงเคราะห์เนี่ย ก็ได้ออกแบบสถานที่หลายๆ อย่างให้เหมาะสมกับการ ใช้ชีวิตของผู้สูงอายุอยู่แล้วพอสมควร แต่เมื่อหยิบเอามาตรฐานของ พรบ. ควบคุมอาคารมาจับ มาประเมินแล้วเนี่ย ก็จะพบว่า จริงๆ แล้ว ก็ยังมีหลายจุดที่ โอเคแหละห้องน้ าอาจจะกว้างตาม พรบ. อาจจะระบุห้องน้ าต้องกว้างเท่าไหร่ แต่ว่าของจริงของ สถานสงเคราะห์เนี่ย มันก็กว้างกว่าห้องน้ าปกติจริงๆ แหละ แต่มันอาจจะยังกว้างไม่ถึงกับมาตรฐานที่ก าหนด มันก็อาจจะต่ า กว่าเกณฑ์มาตรฐานนิดนึง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็อาจจะส่งผลกับผู้ใช้ชีวิตอยู่ภายในสถานสงเคราะห์ ซึ่งก็อาจจะท าให้เกิดภาวะ เสี่ยงล้ม หรืออะไรอย่างเนี่ยได้” จากค าให้สัมภาษณ์เห็นได้ว่า เมื่อน าโครงสร้างอาคารของสถานสงเคราะห์ มาเปรียบเทียบกับ มาตรฐานตาม พรบ. ควบคุมอาคาร ยังมีจุดที่ต่ ากว่ามาตรฐานก าหนด ซึ่งองค์กรได้มีการปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่สามารถ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 230 ปรับปรุงแก้ไขได้ แต่ในขณะเดียวกันในพื้นที่บางจุดก็มีข้อจ ากัด ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ เนื่องจากอาจกระทบต่อโครงสร้าง อาคารเดิม ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อผู้พักอาศัย ซึ่งหากมีการปรับปรุง จะเป็นการปรับปรุงอาคารขนาดใหญ่ และใช้เวลาใน การปรับปรุงยาวนาน ส่วนสถานที่ภายนอกองค์กร เมื่อผู้สูงอายุต้องเดินทางออกนอกสถานสงเคราะห์ เช่น การเดินทางไปพบ แพทย์ที่สถานพยาบาล ไปท าธุรกรรมทางการเงินที่ธนาคาร ไปส านักงานเขตเพื่อย้ายทะเบียนบ้าน ไปเยี่ยมญาติ หรือติดต่อ ธุระอื่นๆ ซึ่งสถานที่ที่ผู้สูงอายุเดินทางอาจมีโครงสร้างอาคารที่ไม่เอื้ออ านวยต่อผู้สูงอายุ ประกอบผู้สูงอายุไม่ทีความคุ้นเคยกับ สถานที่ เนื่องจากพึ่งเดินทางไปเป็นครั้งแรกหรือนานๆ ครั้ง ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้ จึงจ าเป็นต้องมีพี่เลี้ยง หรือญาติดูแลอย่างใกล้ชิด ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ภายนอกองค์กร ก็คือ นอกสถานที่นะคะ ก็อย่างที่ผู้สูงอายุออกไปข้างนอก เนี่ย อย่างไปหาหมอ ก็ต้องมีพี่เลี้ยงพาไป” 6. การสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุจากบุคคลในครอบครัว ญาติและบุคคลภายนอกที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ บุคคลใน ครอบครัวหรือญาติที่น าอาหารมาฝากให้ผู้สูงอายุรับประทานในช่วงที่มาเยี่ยมผู้สูงอายุ หรืออาหารที่บุคคลภายนอกน ามาจัด เลี้ยงแก่ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ซึ่งไม่มีความเหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุ จะส่งผลต่อสุขภาพของผู้สูงอายุ และเกิดความเสี่ยง ต่อภาวะติดเตียงตามมา 7. สถานการณ์โควิด-19 สถานการณ์โรคระบาดดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจ าวันของผู้สูงอายุ คือ กิจกรรมในสถานสงเคราะห์ลดน้อยลง และบุคคลภายนอกไม่สามารถเข้ามาจัดกิจกรรมได้ ผู้สูงอายุไม่ได้ท ากิจกรรมร่วมกับ เพื่อนผู้สูงอายุได้ ญาติไม่สามารถเข้ามาเยี่ยมผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ได้ สามารถติดต่อญาติผ่านทางโทรศัพท์และวีดีโอคอล ผ่านแอพพลิเคชั่นเท่านั้น จากผลกระทบดังกล่าวท าให้ผู้สูงอายุเกิดภาวะเหงา ว้าเหว่มากขึ้น ไม่ได้รับการกระตุ้นในการท า กิจกรรมต่างๆ ไม่ได้ท ากิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพเช่นเดิม ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้น อีกทั้งการพบ แพทย์ตามนัดที่โรงพยาบาลลดลง เนื่องจากโรงพยาบาลลดการบริการพบแพทย์ที่โรงพยาบาล และให้บริการตรวจทางไกลและ ส่งยารักษาโรคประจ าตัวทางไปรษณีย์แทน การจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ การจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง ประกอบด้วย การประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง การป้องกันความเสี่ยง ต่อภาวะติดเตียง และการควบคุมความรุนแรงของสถานการณ์ความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง รายละเอียดดังนี้ 1. การประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ สถานสงเคราะห์ได้มีการประเมินโอกาสของการเกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ รวมทั้งผลกระทบจากความเสี่ยง ต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ ภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุย่อมมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีโรคประจ าตัว มีปัญหาด้านสุขภาพตามวัย และเกิดความเสื่อมของร่างกายตามวัย 1.1 บทบาทของทีมสหวิชาชีพในการประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง ทีมสหวิชาชีพมีการประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุตามความเชี่ยวชาญของนักวิชาชีพแต่ละ ด้าน ดังนี้ นักสังคมสงเคราะห์ ประเมินระดับการช่วยเหลือตนเอง ทักษะการดูแลตนเอง ตั้งแต่กระบวนการพิจารณารับ ผู้สูงอายุเข้าพักอาศัยในสถานสงเคราะห์ จนกระทั่งเข้ามาพักอาศัยในสถานสงเคราะห์ การปรับตัวเมื่อเข้ามาพักอาศัยอยู่ ร่วมกับผู้สูงอายุท่านอื่น ประเมินพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียง เช่น การแยกตัว ไม่เข้าร่วมท ากิจกรรมที่สถาน สงเคราะห์จัดบริการให้แก่ผู้สูงอายุ เป็นต้น นักจิตวิทยา ประเมินระดับการช่วยเหลือตนเอง ประเมินทางด้านจิตวิทยา เพื่อให้ทราบถึงสภาวะทางจิตที่ เป็นปัญหา และส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง นักกายภาพบ าบัด ประเมินร่างกายของผู้สูงอายุว่ามีปัญหาด้านใด เช่น ผู้สูงอายุมีความผิดปกติด้านการทรง ตัว ความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นต้น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 231 แพทย์ พยาบาล ประเมินทางด้านร่างกายของผู้สูงอายุ สภาพความเจ็บป่วย โรคประจ าตัว ปัญหาด้านสุขภาพ ต่างๆ ของผู้สูงอายุ นักโภชนาการบ าบัด ประเมินภาวะโภชนาการของผู้สูงอายุ เช่น ภาวะโภชนาการเกิน ภาวะโภชนาการต่ า การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุ และก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เป็นต้น 1.2 องค์ความรู้ของทีมสหวิชาชีพที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง มีดังนี้ 1) องค์ความรู้ด้านกายภาพบ าบัด ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “เกี่ยวกับระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ระบบการทรง ตัว ระบบเวสติบูลาร์ และอวัยวะเกี่ยวกับการทรงตัวต่างๆ” 2) องค์ความรู้ทางการแพทย์ 3) องค์ความรู้ทางการพยาบาล 4) องค์ความรู้ด้านโภชนาการ เช่น อาการของผู้สูงอายุที่ขาดสารอาหาร อาหารที่ส่งผลท าให้โรคประจ าตัวของ ผู้สูงอายุก าเริบ หรือมีอาการหนักขึ้น เป็นต้น 5) องค์ความรู้ด้านจิตวิทยา เช่น ผู้สูงอายุมีภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล ไม่อยากมีส่วนร่วมในการท ากิจกรรม เป็นต้น 6) องค์ความรู้ทางด้านสังคมสงเคราะห์ เช่น ภาวะแวดล้อมของผู้สูงอายุ ความสัมพันธ์ที่มีปัญหาระหว่างผู้สูงอายุ กับครอบครัว หรือเพื่อนในสถานสงเคราะห์ การปรับพฤติกรรมเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียง เป็นต้น 1.3 เครื่องมือที่ทีมสหวิชาชีพใช้ในการประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง โดยแบ่งเป็น 1) เครื่องมือที่นักวิชาชีพสามารถใช้ในการประเมินร่วมกันได้ คือ แบบประเมิน ADL (Activities of Daily Living) การด าเนินกิจวัตรประจ าวันของผู้สูงอายุ เป็นเครื่องมือที่นักวิชาชีพทุกคนสามารถน ามาใช้ในการประเมินผู้สูงอายุได้ ทั้งแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบ าบัด นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และนักโภชนาการ ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ส่วน เครื่องมือเนี่ยก็เป็น ดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL index) ซึ่งก็เป็นแบบประเมิน ที่จริง แล้วก็ไม่ได้เฉพาะเจาะจงอะไร มาก ไม่จ าเป็นต้องถึงกับต้องใช้นักวิชาชีพโดยเฉพาะในการประเมิน เป็นนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือว่านัก กายภาพบ าบัดก็สามารถประเมินในจุดนี้ได้” 2) เครื่องมือที่นักวิชาชีพแต่ละวิชาชีพใช้ในการประเมิน ดังนี้ - เครื่องมือที่แพทย์ พยาบาล นักกายภาพบ าบัดใช้ในการประเมิน ได้แก่ แบบประเมินความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อ แบบประเมินการทรงตัวในผู้สูงอายุ แบบประเมินการพลัดตกหกล้ม แบบประเมินภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น - เครื่องมือที่นักโภชนาการใช้ในการประเมิน คือ แบบประเมินภาวะโภชนาการ และแบบสอบถามเกี่ยวกับ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร เป็นต้น - เครื่องมือที่นักจิตวิทยาใช้ในการประเมิน คือ แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า แบบประเมินความเครียด เป็นต้น - เครื่องมือที่นักสังคมสงเคราะห์ใช้ในการประเมิน เช่น Eco map, Family Genogram,แบบประเมิน วินิจฉัยทางสังคม, แบบประเมินผลการปรับพฤติกรรม เป็นต้น จากค าให้สัมภาษณ์ มีนักวิชาชีพจ านวนครึ่งหนึ่งของนักวิชาชีพที่เข้าร่วมการวิจัยทั้งหมด เห็นว่า นักกายภาพบ าบัด เป็นนักวิชาชีพที่มีหน้าที่หลักในการประเมินความเสี่ยงภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ โดยใช้องค์ความรู้และเครื่องมือของ นักกายภาพบ าบัดเป็นหลัก ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ในส่วนของการประเมินเนี่ย นักกายภาพน่าจะเป็นหลักในการประเมิน” และค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “องค์ความรู้ที่ใช้ในการประเมิน จะเป็นองค์ความรู้ด้านกายภาพบ าบัด เพราะว่าการเคลื่อนไหวของ ยาย การเดินการลุกนั่งอะไรทั้งหลายเนี่ย นักกายภาพบ าบัดเขาจะอยู่กับวิชาชีพตรงนี้ เขาจะชัดเจนกว่าเรา เอ่อ เรามองด้าน ทั่วๆไป ด้านการเคลื่อนไหว ด้านเอ็นข้อต่ออะไรอย่างเนี่ย เขาสามารถจะมองลึกดีกว่าเรา เขาจะเห็นชัดกว่าเรา เพราะเขาเรียนด้าน นี้มาโดยตรง”


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 232 1.4 การประเมินถึงความรุนแรงของสถานการณ์ภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในองค์กร นักวิชาชีพให้ข้อมูลตรงกันว่ามีการประเมินถึงความรุนแรงของสถานการณ์ภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในองค์กร โดยการประเมินจากจ านวนผู้สูงอายุติดเตียง และเมื่อกล่าวถึงระดับความรุนแรงของสถานการณ์ภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุใน องค์กร ได้ข้อมูลว่าสถานการณ์อยู่ในระดับรุนแรง แต่ไม่ถึงขั้นรุนแรงมาก คือ จ านวนผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้มีมากกว่า ผู้สูงอายุที่ติดเตียง 1.5 การประเมินโอกาสในการเกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุและผลกระทบของภาวะติดเตียงที่อาจมีจ านวน เพิ่มขึ้นในอนาคต การประเมินโอกาสในการเกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ สหวิชาชีพให้ข้อมูลตรงกันว่า มีการประเมินโอกาสใน การเกิดภาวะติดเตียง โดยมีการประเมินตั้งแต่แรกเข้า ผู้สูงอายุที่สามารถเข้าพักอาศัยได้ต้องสามารถช่วยเหลือตนเองได้ท า กิจวัตรประจ าวันด้วยตนเองได้ และระหว่างการเข้ารับบริการในสถานสงเคราะห์ จะมีการประเมินโอกาสในการเกิดภาวะติด เตียงของผู้สูงอายุเป็นระยะเช่นกัน โดยใช้เครื่องมือแบบประเมิน ADL (Activities of Daily Living) การด าเนินกิจวัตร ประจ าวันของผู้สูงอายุ ใช้ความรู้และเครื่องมือเฉพาะของนักวิชาชีพแต่ละท่านในการประเมิน เช่น ประเมินการหกล้มโดยนัก กายภาพบ าบัด เป็นต้น การสังเกตของนักวิชาชีพ พี่เลี้ยง และเพื่อนผู้สูงอายุด้วยกัน รวมทั้งการตรวจวินิจฉัยของแพทย์ ในส่วนของผลกระทบของภาวะติดเตียงที่อาจมีจ านวนเพิ่มขึ้นในอนาคต มีดังนี้ 1) กระทบต่อผู้สูงอายุ ภาวะติดเตียงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ต้อง อยู่ในภาวะพึ่งพิง โดยมีเจ้าหน้าที่ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด อีกทั้งเมื่อสถานที่ในการดูแลผู้สูงอายุไม่เพียงพอ ท าให้พื้นที่ใน การดูแลผู้สูงอายุมีความแออัด ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “พอสถานที่ส าหรับคนที่ติดเตียงไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตใน การอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ” 2) กระทบต่อเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล การดูแลผู้สูงอายุมีความซับซ้อนขึ้น ผู้สูงอายุที่มีภาวะติดเตียงจะดูแลยากกว่า ผู้สูงอายุที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ใช้เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงดูแลเพิ่มขึ้น หรือหากไม่สามารถเพิ่มจ านวนเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้ ก็จะส่งผลให้เจ้าหน้าที่ท างานหนักขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้า และความเครียดจากการท างานได้ ดังค าให้สัมภาษณ์ ที่ว่า “ ผลกระทบ คิดว่าน่าจะเป็นการที่ดูแลได้ยากขึ้น ยิ่งติดเตียงเพิ่มขึ้น การดูแลต้องใช้คนจ านวนมากขึ้น การดูแลต้องแบบ เรียกว่าไรอ่ะ เหมือนต้องดูแลอย่างใกล้ชิดอ่ะ ถ้าคนติดเตียงอ่ะ ตลอดเวลา ถ้าเพิ่มจ านวนคนดูแลไม่ได้ ก็ต้องท างานหนักขึ้น” ดังค าให้สัมภาษณ์ ที่ว่า “แน่นอนว่าถ้าติดเตียงเยอะขึ้นเนี่ย ในส่วนของผู้ดูแลผู้สูงอายุหรือพี่เลี้ยงหรือ caregiver เนี่ย ก็จะต้อง ท างานกันกันหนักมากขึ้นเพราะเอ่อเรามีพี่เลี้ยง ทั้งหมด 14 คน ซึ่งผู้สูงอายุบ้านเราเนี่ย ถ้าเกิดว่ารับเต็มจ านวนเนี่ย 140 อัตราส่วนเนี่ย ก็คือประมาณ 1 ต่อ 10 แต่แน่นอนว่าผู้สูงอายุที่แข็งแรงเนี่ยก็มีอยู่จ านวนนึง เพราะฉะนั้นพี่เลี้ยงคนนึง อาจจะ มีภาระหน้าที่ในการดูแลผู้สูงอายุ อาจจะไม่ถึง 1 ต่อ 10 แต่ว่าคือถึงอย่างนั้นเนี่ย ถ้าเกิดอนาคตยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนี่ย แน่นอน ว่าด้วยจ านวนพี่เลี้ยงที่ดูแลผู้สูงอายุเนี่ยมีจ านวนเท่าเดิม แต่ว่าผู้สูงอายุที่ต้องรอรับความช่วยเหลือในการใช้ชีวิตประจ าวันเนี่ย ก็จะอาจจะมีปัญหาในเรื่องของส่วนนี้ได้” 3) กระทบต่อองค์กร ใช้ทรัพยากรในการดูแลเพิ่มขึ้น ทั้งอาคารสถานที่ อุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะติดเตียงโดยเฉพาะ ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ต้องมีในส่วนของแพมเพิส ที่ท าแผล เตียงนอน ผู้สูงอายุติดเตียง เป็นผู้สูงอายุที่ต้องใช้ ทรัพยากรมากกว่าปกติ เนื่องจากไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ก็ต้องขับถ่ายบนเตียง ทานอาหารบนเตียง แม้กระทั่ง อาจจะ ต้องใส่อุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ พวกอุปกรณ์นี้ซึ่งมีราคาแพงอ่ะคะ ถ้าเกิดว่ามีมากขึ้นอย่างเนี๊ยะก็ท าให้เราสูญเสีย ทรัพยากรของใช้อย่างเนี๊ยะค่ะ เราก็ต้องพาไปพบแพทย์ ต้องมีหมอดูแล ต้องดูแลค่ารักษาพยาบาลนะคะ บางทีเป็นแผล bedsore ก็ต้องมีค่าอุปกรณ์ท าแผล ซึ่งเป็นค่าใช่จ่ายที่แพงมากค่ะ”


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 233 2. การป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ 2.1 บทบาทของสหวิชาชีพในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง นักสังคมสงเคราะห์ จัดบริการให้ค าปรึกษา ปรับพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง การ แก้ไขปัญหาด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุภายในสถานสงเคราะห์ด้วยการไกล่เกลี่ย การปรับความเข้าใจกรณีที่มีความ ขัดแย้งกัน เพื่อป้องกันการแยกตัวและหลักหนีการเข้าสังคม จัดกิจกรรมที่สนับสนุนด้านสังคม จัดทรัพยากรที่มีความจ าเป็นแก่ ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะทรัพยากรที่จ าเป็นต่อการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง สร้างเครือข่ายทางสังคม เพื่อใช้ในการ สนับสนุนทางสังคมแก่ผู้สูงอายุ จัดกิจกรรมที่ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม นักจิตวิทยา ให้ค าปรึกษาทางด้านจิตวิทยา ส่งผู้สูงอายุไปพบจิตแพทย์ กรณีมีอาการทางจิตเวช จัด กิจกรรมทางด้านจิตวิทยา นักกายภาพบ าบัด ส่งเสริมการออกก าลังกาย การท ากายภาพบ าบัดให้แก่ผู้สูงอายุทั้งผู้สูงอายุที่ แข็งแรง และผู้สูงอายุที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพ ประสานหน่วยงานทางการแพทย์ที่เป็นเครือข่ายให้เข้ามาจัดบริการตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนที่จ าเป็นแก่ผู้สูงอายุ แพทย์ ตรวจสุขภาพเบื้องต้นแก่ผู้สูงอายุ กรณีมีปัญหาสุขภาพให้ยารักษาพยาบาล ส่งผู้สูงอายุไปรักษาที่ โรงพยาบาลตามสิทธิ พยาบาล ให้ค าปรึกษาแนะน าทางด้านสุขภาพ การติดตามสุขภาพ ประวัติการรักษา โรคประจ าตัว การชั่ง น้ าหนัก การวัดค่า BMI วัดความดันโลหิตให้แก่ผู้สูงอายุ ให้การพยาบาลแก่ผู้สูงอายุตามค าแนะน าของแพทย์ นักโภชนาการบ าบัด ดูแลเรื่องการรับประทานอาหารของผู้สูงอายุ การจัดอาหารให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ได้แก่ อาหารที่มีรสชาติไม่หวานจัด ไม่เค็มจัด ไม่มีไขมันสูง เป็นต้น ปรับอาหารตามแพทย์สั่ง นอกจากบทบาทของนักวิชาชีพข้างต้นแล้ว ทีมสหวิชาชีพยังมีบทบาทร่วมกันในหลายด้าน ได้แก่ การเฝ้า ระวังการเกิดอุบัติเหตุ การพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ และการสังเกตจุดเสี่ยงต่างๆ ในสถานสงเคราะห์ แล้วท าการปรับเปลี่ยน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ การประสานงานกับพี่เลี้ยงในการดูผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด เป็นต้น 2.2 ลักษณะการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง 1) ด้านร่างกาย ส่งเสริมสุขภาพ โดยการจัดกิจกรรมออกก าลังกาย กระตุ้นให้ผู้สูงอายุออกก าลังกาย ดูแล เรื่องการรับประทานอาหารให้มีความเหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุ การติดตามสุขภาพ ประวัติการรักษา โรคประจ าตัว การชั่ง น้ าหนัก การวัดค่า BMI มีแพทย์และพยาบาลตรวจสุขภาพผู้สูงอายุเบื้องต้น และมีการส่งต่อไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลตาม สิทธิ การตรวจสุขภาพประจ าปีในผู้สูงอายุที่ไม่มีโรคประจ าตัว การท ากายภาพบ าบัดให้ผู้สูงอายุ โดยไม่รอให้ผู้สูงอายุติดเตียง หรือมีอาการผิดปกติก่อน และการจัดกิจกรรมฝึกสมอง ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า ”การป้องกันความเสี่ยงกับภาวะติดเตียงก็คือพยายามส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมี สุขภาพที่แข็งแรงนะคะ ร่างกายก็คือการดูแลด้านอาหารนะคะ ก็คือผู้สูงอายุต้องรับประทานอาหารที่เหมาะสมไม่มากเกินไป งดหวานเค็มมันนะคะ เพื่อดูแลควบคุมโรคต่างๆแล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือดูแลทั้งด้านสุขภาพความแข็งแรงของร่างกาย ก็คือ การออกก าลังกายนะคะ เราก็ได้มีการส่งเสริมกิจกรรมออกก าลังกายให้ผู้สูงอายุในตอนเช้าให้ผู้สูงอายุทุกๆคนนะคะ พี่เลี้ยง กระตุ้นให้ผู้สูงอายุพยายามออกก าลังกาย กระตุ้นท ากิจกรรมต่างๆ นะคะ เพื่อเป็นการป้องกันภาวะติดเตียงนะคะ พยายามให้ ผู้สูงอายุเนี๊ยะใช้สมองนะคะ เล่นเกมอะไรพวกนี้อ่ะคะ” ดังค าให้สัมภาษณ์ ที่ว่า “มาตรการก็...แน่นอนว่าเรามีนักกายภาพบ าบัด เรามีห้องกายภาพ ในส่วนของ ด้านร่างกายเนี่ย แน่นอนว่าเราก็พยายามที่จะฝึกให้ผู้สูงอายุเนี่ย ได้มาท ากายภาพทุกวันเพื่อป้องกันภาวะติดเตียงในผู้สูงอายุ ก็จะมีทั้งในเรื่องของแขนและในเรื่องของขา ก็จะมีนักกายภาพดูแลในส่วนนี้ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยตัวเองได้ให้ ยาวนานที่สุด และก็ เอ่อ..ในเรื่องอาหารการกิน จริงๆ แล้วก็จะมีนักโภชนาการแต่ก็เป็นนักโภชนาการของของบริษัทรับ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 234 ท าอาหารที่ท าอาหารให้กับสถานสงเคราะห์เนี่ย ก็จะเข้ามาดูว่าอาหารของผู้สูงอายุเนี่ยเหมาะสมกับแต่ละบุคคลหรือไม่ เช่น บางคนอาจจะขาดโปรตีนหรืออะไรอย่างนี้ เขาก็จะต้องมีเหมือนกับว่ากินไข่ขาวเพิ่มอะไรประมาณเนี่ยครับ” ดังค าให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ควรลดอาหารที่เป็นพวกแบบก่อให้เกิดโรคความดัน ก่อให้เกิดไขมัน เบาหวาน อะไรอย่างเนี่ย ลดจ านวนอาหาร การปรุง ลดการปรุงที่ท าให้เกิดโรคของพวกนี้ดีกว่า ช่วยได้ เพราะส่วนใหญ่ผู้สูงอายุจะเป็น โรคไขมันในเส้นเลือดเยอะ พวกโรคนี้มันจะเป็นเหมือนแบบถ้าเกิดอาการสโตรก มันจะท าให้เป็นติดเตียงได้ อัมพาตได้” 2) ด้านสภาพจิตใจ จัดกิจกรรมและบริการที่ช่วยสนับสนุนด้านจิตใจ มีงานอดิเรกที่ผู้สูงอายุสนใจ ดังค าให้สัมภาษณ์ของคุณซี ที่ว่า “ในด้านจิตใจ ก็ต้องท าให้ไม่ให้ผู้สูงอายุอยู่เฉยๆ ถ้าอยู่เฉยๆ ก็จะท า ให้ผู้สูงอายุเนี๊ยะ น าไปสู่การติดเตียงได้ง่ายขึ้นอ่ะคะ” 3) ด้านสถานที่ ลดจุดเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ดังค าให้สัมภาษณ์ของคุณเอ ที่ว่า “ในส่วนของสถานที่ ก็จะมีคนงานช่วยเหลือในการดูแลจุดต่างๆ ที่ อาจจะเป็นจุดเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุในผู้สูงอายุแล้วส่งผลต่อกันให้เกิดภาวะติดเตียงได้ ก็จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลเหมือนกัน” 4) การเฝ้าระวังตลอดในการปฏิบัติงาน มีการสังเกต ดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังการหกล้ม ป้องกันอุบัติเหตุ คอยสังเกตเฝ้าระวังผู้สูงอายุตามจุดต่างๆ พร้อมทั้งรายงานสหวิชาชีพและผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ให้ รับทราบ 3. การควบคุมความรุนแรงของสถานการณ์ความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ 3.1 บทบาทของทีมสหวิชาชีพในการควบคุมความรุนแรงของสถานการณ์ความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง นักสังคมสงเคราะห์ ให้ค าปรึกษา สนับสนุนด้านจิตใจ ให้ก าลังผู้สูงอายุในการเข้ารับการรักษาพยาบาล และท ากายภาพบ าบัด เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย จัดกิจกรรมที่เหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุติดเตียง เช่น กิจกรรมฟังพลง กิจกรรมฟังธรรมะ เป็นต้น นักจิตวิทยา จัดกิจกรรมด้านจิตวิทยาที่เหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุติดเตียง นักกายภาพบ าบัด ให้การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายในกลุ่มผู้สูงอายุที่ติดเตียง เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุอาการทรุด หนักขึ้น แพทย์และพยาบาล ให้การดูแลรักษาโรคที่ผู้สูงอายุเป็น ให้ค าแนะน าในการดูแลผู้สูงอายุติดเตียงแก่พี่เลี้ยง เช่น การลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของผู้ป่วยผู้สูงอายุ การลดแผลกดทับในผู้สูงอายุติดเตียง เป็นต้น นักโภชนาการบ าบัด จัดบริการอาหารหลักและอาหารเสริมที่เหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุติดเตียง 3.2 ลักษณะการควบคุมความรุนแรงของสถานการณ์ความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง 1) มีการอบรมบุคลากร โดยเฉพาะพี่เลี้ยงเพื่อให้มีความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุติดเตียงไม่ให้เกิดแผลกดทับ ไม่ให้มีภาวะแทรกซ้อน 2) การฟื้นฟูผู้สูงอายุที่ติดเตียงให้ดีขึ้น ให้บริการฟื้นฟูทางด้านกายภาพบ าบัด จนผู้สูงอายุไม่เป็นผู้ป่วย ติดเตียงหรือช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น ดังค าให้สัมภาษณ์ ที่ว่า “ส่วนในเชิงรับในส่วนของผู้สูงอายุที่ติดเตียงไปแล้วเนี่ย ก็มีพี่เลี้ยงที่คอยให้ การดูแล ซึ่งพี่เลี้ยงเราก็ได้รับการอบรมเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุมาแล้ว เรียกได้ว่า น่าจะครบถ้วนตามหลักสูตรที่เขามีการ ก าหนดแล้ว เพราะฉะนั้นเนี่ย ก็จะมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลผู้สูงอายุที่มีเพราะติดเตียง แล้วก็ยังมีพยาบาล มาช่วยก ากับดูแลด้วยว่าการดูแลผู้สูงอายุเป็นอย่างไร ของพี่เลี้ยง”


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 235 อภิปรายผลการศึกษา ความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง จากการศึกษา พบว่า ลักษณะความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ ประกอบด้วย ปัญหาด้านสภาพร่างกายและจิตใจ ผู้สูงอายุมีลักษณะความผิดปกติของอวัยวะ อันเกิดจากความเสื่อมของร่างกายตามวัย ส่งผลให้เป็นอุปสรรคในการท ากิจวัตรประจ าวันและการเคลื่อนไหวร่างกาย ส่วนปัญหาด้านสภาพจิตใจ ผู้สูงอายุมีภาวะ ความเครียด ซึมเศร้า ซึ่งอาจเกิดจากบาดแผลทางด้านจิตใจที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น การถูกทอดทิ้ง การถูกท าร้ายจากบุคคลใน ครอบครัว การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เป็นต้น การมองไม่เห็นคุณค่าในตนเอง หรือความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของ การเข้าพักอาศัยในสถานสงเคราะห์ ยังไม่เกิดความคุ้นเคยกับสถานที่ และเพื่อนผู้สูงอายุ เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงการปรับตัว ส่งผลให้มีภาวะหลีกหนีการเข้าสังคม หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรม และเก็บตัวจมอยู่กับความทุกข์เพียงล าพัง ซึ่งลักษณะ ความเสี่ยงดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาของสุรีย์ หรงจิตร (2558) พบว่า การเคลื่อนไหว ก าลังกล้ามเนื้อ การมองเห็น เป็น ปัจจัยเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ โดยมีการระบุปัจจัยเสี่ยงลงไปในแบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ของผู้ป่วยสูงอายุที่ผู้ศึกษาได้จัดท าขึ้น โรคประจ าของผู้สูงอายุเป็นลักษณะความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ส่วนใหญ่มีโรคประจ าตัว ต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นอาการของโรคที่มีผลต่อการเกิดภาวะติดเตียงโดยตรง และอาจเกิดจากผลข้างเคียง ของยาที่รับประทานเพื่อรักษาโรค เช่น ยารักษาโรคประจ าตัวบางชนิด ท าให้เกิดอาการง่วงซึม ไม่สามารถท ากิจวัตรประจ าวัน หรือท ากิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ หากจัดล าดับลักษณะความเสี่ยง การเกิดอุบัติเหตุการพลัดตกหกล้มเป็นปัจจัยเสี่ยงล าดับ ต้นๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียง ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ รัตน์ดาวรรณ คลังกลาง และ ขนิษฐา นันทบุตร (2562) พบว่า อุบัติเหตุทั่วไป อุบัติเหตุจากพฤติกรรมเสี่ยง เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ โดยพฤติกรรมเสี่ยงของผู้สูงอายุในสถาน สงเคราะห์ ได้แก่ การไม่ใช้กายอุปกรณ์ในการพยุงเดิน การวางสิ่งของไม่เป็นระเบียบ กีดขวางทางเดินในห้องนอน เป็นต้น ลักษณะความเสี่ยงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ซึ่งผู้สูงอายุบางรายไม่ควบคุมปริมาณอาหาร ท าให้ได้รับปริมาณอาหาร มากเกินความต้องการของร่างกาย เกิดการสะสมในร่างกายและก่อให้เกิดโรคตามมา ลักษณะความเสี่ยงสถานที่ภายใน และภายนอกสถานสงเคราะห์ เนื่องจากอาคารที่พักอาศัยภายในสถานสงเคราะห์ สร้างขึ้นก่อน พรบ. ควบคุมอาคาร จึงมีหลายจุดที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และไม่สามารถแก้ไขได้ เนื่องจากกระทบกับ โครงสร้างของอาคาร อีกทั้งสถานสงเคราะห์มีพื้นที่จ ากัดในการก่อสร้างอาคาร แต่อย่างไรก็ตามได้มีการจัดระเบียบการวาง เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ให้มีความปลอดภัยส าหรับผู้สูงอายุ มีทางลาด ราวจับตรงบริเวณทางเดิน และบริเวณ ห้องน้ า มีแม่บ้านคอยดูแลท าความสะอาดอาคารสถานที่ คอยเช็ดท าความสะอาดไม่ให้พื้นเปียก เพื่อป้องกันการลื่นล้มของ ผู้สูงอายุ ส่วนลักษณะความเสี่ยงสถานที่ภายนอกสถานสงเคราะห์ คือ บ้านของญาติผู้สูงอายุ ตลาด ห้างร้านค้า คลินิก โรงพยาบาล ธนาคาร หรือสถานที่อื่นๆ ที่ผู้สูงอายุขออนุญาตออกไปติดต่อธุระ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ สุรีย์ หรงจิตร (2558) ได้ระบุให้พื้นผิวห้องหรือทางเดิน เป็นปัจจัยหนึ่งในการประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุก่อนการ อนุญาตให้ผู้สูงอายุออกนอกสถานที่ เจ้าหน้าที่ของสถานสงเคราะห์ต้องมีการประเมินสภาพร่างกาย ความเจ็บป่วยของ ผู้สูงอายุ โดยจะอนุญาตให้ผู้สูงอายุที่แข็งแรง สามารถช่วยเหลือตนเองได้ดีสามารถออกไปติดต่อท าธุระภายนอกสถาน สงเคราะห์ได้ หรือในกรณีที่ผู้สูงอายุไม่แข็งแรง ต้องมีเจ้าหน้าที่หรือญาติติดตามให้การดูแลด้วยเสมอ ลักษณะความเสี่ยงการสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุจากบุคคลในครอบครัว ญาติและบุคคลภายนอกที่ไม่เหมาะสม ใน ส่วนของความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกับญาติ ย่อมส่งผลต่อภาวะอารมณ์ สภาพจิตใจ ความกระตือรือร้นของผู้สูงอายุ อีกทั้งอาหารที่ ญาติและบุคคลภายนอกน ามาจัดเลี้ยง หากอาหารไม่เหมาะสม ย่อมส่งผลต่อสุขภาพของผู้สูงอายุ สถานสงเคราะห์ได้มี การแก้ไขปัญหาโดยการแจ้งญาติให้ทราบถึงปัญหาสุขภาพ โรคประจ าตัวและอาหารที่เหมาะสมส าหรับผู้สูงอายุ ท าการ คัดกรองอาหารที่บุคคลภายนอกน ามาจัดเลี้ยง โดยแจ้งปรับเปลี่ยนอาหารบางเมนูที่น ามาจัดเลี้ยงก่อนล่วงหน้า


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 236 ลักษณะความเสี่ยงสถานการณ์โควิด-19 การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อการเข้าสังคมกับเพื่อนผู้สูงอายุ เนื่องจากสถานสงเคราะห์มีการงดการท ากิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งงดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพที่ผู้สูงอายุท าร่วมกัน ผู้สูงอายุได้ พบปะญาติน้อยลง เกิดความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับญาติ เกิดความรู้สึกเหงา ว้าเหว่ ซึ่งสถานสงเคราะห์ได้ปรับรูปแบบการเยี่ยม ญาติผ่านการใช้วีดีโอคอล แอปพลิเคชันไลน์ การโทรศัพท์ผู้สูงอายุไม่สามารถออกไปซื้อสิ่งของนอกสถานสงเคราะห์ได้เช่นเดิม โดยจะอนุญาตให้ออกนอกสถานสงเคราะห์ในกรณีที่มีความจ าเป็นเท่านั้น เช่น การออกไปพบแพทย์ในกรณีฉุกเฉินโดยมี พี่เลี้ยงดูแลให้ผู้สูงอายุปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างใกล้ชิด อีกทั้งสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อ การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิการรักษา เนื่องจากโรงพยาบาลมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการผ่านการ ตรวจระบบทางไกล และการรับยาทางไปรษณีย์ เนื่องจากมีผู้ติดโรคโควิด-19 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจ านวนมาก อีก ทั้งส่งผลต่อรายได้จากการจ าหน่ายสินค้าอาชีวบ าบัด เนื่องจากสถานสงเคราะห์งดการท ากิจกรรมจากบุคคลภายนอก สอดคล้องกับรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย 2563 ที่ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์โควิด-19 มีผลกระทบต่อผู้สูงอายุ คือ กลุ่ม ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยต้องเผชิญหน้ากับความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ รายได้ลดลง ได้รับเงินจากบุตรหลานลดลง ได้รับ ผลกระทบด้านสุขภาพที่ส าคัญ อาการทางสุขภาพจิตอย่างน้อยหนึ่งอาการ ได้แก่ มีความวิตกกังวล ไม่อยากอาหาร รู้สึกเหงา และไม่มีความสุข โดย 3 อันดับความวิตกกังวลมากที่สุด ได้แก่ ผลกระทบด้านการเงินทั้งของตนเองและครอบครัว กลัวว่า ตนเองหรือสมาชิกในครอบครัวจะติดเชื้อ และสุขภาพที่แย่ลงเนื่องจากผิดนัดหมายกับแพทย์ ด้านการท ากิจกรรมของกลุ่ม ผู้สูงอายุทั่วไป มากถึงร้อยละ 54.0 ระบุว่า ออกไปท ากิจกรรมนอกบ้านหรือเข้าไปในที่ชุมชนเท่าที่จ าเป็นเท่านั้นในช่วงโควิด19 (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, 2564) การจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียง จากลักษณะความเสี่ยงข้างต้น สถานสงเคราะห์ได้มีการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ โดย การประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงโดยใช้องค์ความรู้ของทีมสหวิชาชีพ ทั้งองค์ความรู้ด้านกายภาพบ าบัด การแพทย์ การพยาบาล ด้านโภชนาการ ด้านสังคมสงเคราะห์ และด้านจิตวิทยา ใช้เครื่องมือในการประเมินความเสี่ยง ซึ่งเครื่องมือที่ สหวิชาชีพใช้ในการประเมินมีทั้งเครื่องมือที่ทุกวิชาชีพสามารถใช้ร่วมกันได้ และเครื่องมือที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา วิชาชีพเท่านั้น ซึ่งจากการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมการวิจัยให้ข้อมูลว่าวิชาชีพกายภาพบ าบัด เป็นวิชาชีพที่เน้นเรื่องการจัดการ ความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยมองว่าการท างานเป็นทีมสหวิชาชีพ และการใช้ความเชี่ยวชาญของ แต่ละวิชาชีพร่วมกันในการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงแบบองค์รวม ย่อมส่งผลให้การจัดการความเสี่ยงมี ความครอบคลุมทุกด้านและมีคุณภาพ มีการประเมินความรุนแรงของสถานการณ์ภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในองค์กร และ ประเมินโอกาสในการเกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุและผลกระทบของภาวะติดเตียงที่อาจมีจ านวนเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อหา แนวทางรองรับความรุนแรงของภาวะติดเตียงที่เกิดขึ้น โดยภาวะติดเตียงส่งผลกระทบต่อทั้งผู้สูงอายุโดยตรง เจ้าหน้าที่ผู้ดูแล และองค์กรโดยรวม นอกจากการประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงแล้ว สถานสงเคราะห์ได้มีมาตรการในการป้องกันความ เสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ ได้แก่ การจัดบริการและกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่น การตรวจ สุขภาพประจ าปี การท ากายภาพบ าบัด การลด ปรับเปลี่ยนจุดเสี่ยงอันตรายตามสถานที่ภาในสถานสงเคราะห์ การตรวจ ประเมินผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงด้วยแบบประเมินต่างๆ การเฝ้าระวัง สังเกตผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด และมาตรการในการควบคุม ไม่ให้ภาวะติดเตียงมีความรุนแรงมากขึ้น ได้แก่ การอบรมบุคลากร โดยเฉพาะพี่เลี้ยงเพื่อให้มีความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุติด เตียง การบริการฟื้นฟูทางด้านกายภาพบ าบัดแก่ผู้สูงอายุที่มีภาวะติดเตียง หลังการด าเนินงานตามมาตรการข้างต้น จะมีการ ประเมินผลการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทราบถึงจุดเด่น จุดด้อย เพื่อปรับปรุงมาตรการให้สอดคล้อง กับสถานการณ์ปัญหาในปัจจุบัน และได้ผลที่มีประสิทธิภาพ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 237 บทสรุป จากการศึกษาพบว่า ลักษณะความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ มีทั้งลักษณะ ความเสี่ยงที่เกิดจากภายในตัวผู้สูงอายุเอง ได้แก่ ปัญหาด้านสภาพร่างกายและจิตใจ การเกิดอุบัติเหตุ การพลัดตกหกล้มที่เกิด จากความเสื่อมของร่างกาย โรคประจ า พฤติกรรมการรับประทานอาหาร และสภาพแวดล้อมของผู้สูงอายุ ได้แก่ สภาพ สถานที่ภายใน และภายนอกสถานสงเคราะห์ การสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุจากบุคคลในครอบครัว ญาติและบุคคลภายนอก ที่ไม่เหมาะสม และสถานการณ์โควิด-19 เพื่อควบคุมสถานการณ์ภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ไม่ให้อยู่ในระดับที่รุนแรง สถานสงเคราะห์จึง มีการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ โดยมีการประเมินความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงโดยทีมสหวิชาชีพ มีการ ประเมินความรุนแรงของสถานการณ์ภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในองค์กร ประเมินโอกาสในการเกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ และผลกระทบของภาวะติดเตียงที่อาจมีจ านวนเพิ่มขึ้นในอนาคต มีการวางแผนและตอบสนองลักษณะความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โดยก าหนดบริการและมาตรการในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ และมาตรการในการควบคุมไม่ให้ภาวะ ติดเตียงมีความรุนแรงขึ้น พร้อมทั้งมีการประเมินผลหลังการด าเนินงาน เพื่อทราบถึงผลสัมฤทธิ์และข้อจ ากัดที่เกิดขึ้น ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะระดับการปฏิบัติงาน 1. สถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุควรมีการรวบรวมลักษณะความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะติดเตียง และวางแผนหาแนวทาง ในการขจัด ลด หรือควบคุมลักษณะความเสี่ยงดังกล่าว เพื่อลดการเกิดภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ 2. สถานสงเคราะห์ควรจัดให้มีการอบรมบุคลากรเรื่องการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุอยู่เสมอ เพื่อให้บุคลากรได้ทบทวนองค์ความรู้เดิม และรับรู้ถึงนวัตกรรมใหม่ที่ใช้ในการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ 3. สถานสงเคราะห์ควรมีการน าเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุ เช่น ติดตั้ง ระบบตรวจจับการหกล้มของผู้สูงอายุ เป็นต้น ข้อเสนอแนะระดับนโยบาย 1. สถานสงเคราะห์ต้องมีการบริหารทรัพยากรบุคคล โดยการพัฒนาคุณภาพบุคลากร แทนการเพิ่มจ านวน บุคคลากร 2. สถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุ และหน่วยงานเครือข่าย เช่น ศูนย์บริการสาธารณสุขที่รับผิดชอบ หน่วยงานที่มีหน้าที่ ในการจัดสวัสดิการสังคมส าหรับผู้สูงอายุ ควรมีการวางแผนและก าหนดนโยบายให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์การติด เตียงของผู้สูงอายุในปัจจุบัน เอกสารอ้างอิง กรมการจัดหางาน. (2563). อาชีพที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพ. สืบค้นจาก https://www.jobnorththailand.com/ learning/100work/work117.php กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2562). สถิติจ านวนผู้สูงอายุของประเทศไทย 77จังหวัด ณ.วันที่ 31 ธันวาคม 2562. สืบค้นจาก http://www.dop.go.th/th/know/1/275 กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2564). สถิติจ านวนผู้สูงอายุของประเทศไทย 77จังหวัด ณ.วันที่ 31 ธันวาคม 2563. สืบค้นจาก http://www.dop.go.th/th/know/side/1/1/335 กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2565). สถิติจ านวนผู้สูงอายุของประเทศไทย 77จังหวัด ณ.วันที่ 31 ธันวาคม 2564. สืบค้นจาก http://www.dop.go.th/th/know/side/1/1/1099


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 238 กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2566). สถิติจ านวนผู้สูงอายุ ธันวาคม 2565. สืบค้นจากhttp://www.dop.go.th/th/know/ side/1/1/2387 กองยุทธศาสตร์สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม. (2562). รายงานข้อมูลผู้สูงอายุของกรุงเทพมหานครจากฐานประชากรในระบบ ทะเบียนราษฎร ณ เดือนธันวาคม 2561และเปรียบเทียบกับข้อมูล ณ ธันวาคม 2560. สืบค้นจาก http://www.dop.go.th/th/know/1/275. ชัญญาวีร์ ไชยวงศ์ และคณะ. (กันยายน-ธันวาคม 2562). ความชุกและปัจจัยเสี่ยงของการมองเห็นบกพร่องในผู้สูงอายุภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย. วารสารพยาบาลการสาธารณสุขและการศึกษา, 20(3). ธันยาภรณ์ ตันสกุล (2563). เช็คสมรรถภาพผู้สูงวัย เลี่ยง 10 ความเสี่ยงจากความเสื่อม. สืบค้นจาก https://www.naewna.com/lady/349356 พวงเพ็ญ เผือกสวัสดิ์ และคณะ. (พฤษภาคม-สิงหาคม 2559). สถานการณ์ปัญหาและความต้องการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังกลุ่มติด บ้านติดเตียงในชุมชนเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข, 26(2). พิจิตรา เพชรเภรี. (2562). ตัวการร้ายที่ท าให้ร่างกายเสื่อมไว. สืบค้นจาก https://www.thaihealth.or.th/Content/47601- ตัวการร้ายที่ท าให้ร่างกายเสื่อมไว.htm ไพศิษฐ์ ตระกูลก้องสมุท. (2562). แก่เร็วหรืออายุยืนกว่าปกติ อาจเกี่ยวข้องกับเทโลเมียร์ในร่างกาย.สืบค้นจาก https://www.sanook.com/health/15721/ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2564). สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2563 (พิมพ์ครั้งที่ 1). นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหิดล,สถาบันวิจัยประชากรและสังคม. รัตน์ดาวรรณ คลังกลาง และ ขนิษฐา นันทบุตร. (กรกฎาคม-กันยายน 2562). สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุในผู้สูงอายุและ การดูแลตนเองเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ. วารสารพยาบาลและการดูแลสุขภาพ, 37(3) 2562. วิชัย โชควิวัฒน. (2560).การดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง.สืบค้นจาก https://www.thaihealth.or.th/Content/35697- การดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง.html. สุทธิศรี ตระกูลสิทธิโชค และ อาทิตยา สุวรรณ์. (กรกฎาคม-ธันวาคม 2559). ผลของโปรแกรมการกระตุ้นการรู้คิดต่อ ความสามารถในการรู้คิดและความสามารถในการท ากิจวัตรประจ าวันในผู้สูงอายุที่เสี่ยงหรือมีภาวะสมองเสื่อม. วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย, 9(2). สุรีย์ หรงจิตร. (2558). การพัฒนาแบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มของผู้ป่วยสูงอายุ แผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาล สมเด็จพุทธเลิศหล้า. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, คณะพยาบาลศาสตร์. ส านักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. (2560). การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ.สืบค้นจาก https://www.ocsc.go.th/sites/default/files/document/ocsc-2017-eb01.pdf อติญาณ์ ศรเกษตริน และคณะ. (พฤษภาคม-สิงหาคม 2562). การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบสหวิชาชีพในการส่งเสริม สุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน. วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล, 35(2). อมรรัตน์ ปะติเก และคณะ. (ตุลาคม-ธันวาคม 2562). ผลของการดูแลที่บ้านโดยทีมสหสาขาวิชาชีพต่อคุณภาพชีวิตของ ผู้สูงอายุที่ติดบ้านและติดเตียง. วารสารเภสัชกรรมไทย, 11(4). อัญชิษฐา ศิริค าเพ็ง และ ภักดี โพธิ์สิงห์. (กันยายน-ธันวาคม 2560). การดูแลผู้สูงอายุระยะยาวที่มีภาวะพึ่งพิงในยุค ประเทศไทย 4.0. วารสารวิชาการธรรมทรรศน์, 17(3).


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 239 การศึกษาปัจจัยเงื่อนไขการเกิดขึ้นของทุนทางสังคมในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น A study of the factors and conditions for the emergence of social capital in Ban Siew community, Khon Kaen Province โกมล ไกรวงษ์1 Komol Kraiwong2 ปิ่นหทัย หนูนวล3 Pinhathai Nunuan4 Abstract This study aimed to analyze the social capital of the Ban Siaw community. Khon Kaen Province It is qualitative research. Use document studies and field studies. There were 12 people involved in the research, including 3 religious sector representatives, 3 community leader representatives, 3 government sector representatives, and 3 community member sector representatives. The results of the study found that. Social capital of Ban Siew community Khon Kaen Province has 2 characteristics: 1 ) Capital form, consisting of environmental dimensions, including groups, organizations, community institutions, networks, and natural resources. and the human dimension, including monks, ancestors, community leaders, community scholars, and 2) Namtun, consisting of the belief dimension, including beliefs about Buddhism, culture, and traditions, and beliefs about legends and the worship of sacred things. and the knowledge dimension includes Isaan language and social norms. and the factors conditioning the emergence of social capital are atmosphere, culture, and structure. and leadership. the suggestion is that a new generation should be created. To drive community group work Transcription of lessons learned from the group and compose concrete community history through participatory processes Keywords: Community, Social capital, Ban siew community บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยการเกิดขึ้นของทุนทางสังคมชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ ใช้การศึกษาเอกสารและการศึกษาภาคสนาม เพื่อศึกษาปัจจัยเงื่อนไขการเกิดขึ้นของทุนทางสังคมในชุมชนบ้าน เสียว จังหวัดขอนแก่น ซึ่งใช้แนวคิดทุนทางสังคมในการศึกษา มีกลุ่มเป้าหมาย จ านวน 12 คน ได้แก่ ตัวแทนภาคศาสนา 3 คน ตัวแทนภาคผู้น าชุมชน 3 คน ตัวแทนภาครัฐ 3 คน และตัวแทนภาคสมาชิกชุมชน 3 คน ผลการศึกษาพบว่า ทุนทางสังคม ของชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น มี 2 ลักษณะ คือ 1) รูปทุน ประกอบด้วย มิติด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กลุ่ม องค์กรสถาบัน ชุมชน เครือข่าย และทรัพยากรธรรมชาติ และมิติด้านมนุษย์ ได้แก่ พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ผู้น าชุมชน ปราชญ์ชุมชน และ 2) 1 นักศึกษาปริญญาโทหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 2 Master’s Student, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจ าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 4 Assistant Professor Dr., Lecturer in Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 240 นามทุน ประกอบด้วย มิติด้านความเชื่อ ได้แก่ ความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี และความเชื่อ เกี่ยวกับต านานและการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมิติด้านความรู้ ได้แก่ ภาษาอีสาน และบรรทัดฐานทางสังคม และปัจจัยเงื่อนไข การเกิดขึ้นของทุนทางสังคม คือ ด้านบรรยากาศ ด้านวัฒนธรรม ด้านโครงสร้าง และด้านภาวะผู้น า โดยมีข้อเสนอแนะ คือ ควรมีการสร้างคนรุ่นใหม่ เพื่อขับเคลื่อนงานกลุ่มของชุมชน การถอดบทเรียนรู้จากกลุ่ม และเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชุมชน อย่างเป็นรูปธรรมด้วยขบวนการมีส่วนร่วม ค าส าคัญ: ชุมชน, ทุนทางสังคม, ชุมชนบ้านเสียว บทน า ทุนทางสังคมในประเทศไทยมีอยู่ในลักษณะของวิถีชีวิตอันดีงามของผู้คนหรือเรียกตามนัยยะของ สมเด็จฯ กรมพระ ยาด ารงราชานุภาพว่า “สมาคมไทยอย่างโบราณ” (ด ารงราชานุภาพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ, กรมพระยา, 2501) ท่าน ปรีดี พนมยงค์ ได้ขยายความว่าเป็น “สังคมดั่งเดิมของมนุษย์ที่พัฒนาครบรูปสามัคคีธรรม” (ปรีดี พนมยงค์, 2542) และถูก น ามาใช้อย่างแพร่หลายและจริงจังเมื่อเกิดสภาวะเศรฐกิจตกต่ าในปี พ.ศ. 2540 โดยกลุ่มนักคิดและผู้ทรงคุณวุฒิที่เห็นว่า สังคมไทยที่ยังด ารงอยู่ได้ก็เนื่องจากมีทุนทางสังคมมากและเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันอย่างหนาแน่น บนพื้นฐานเอกลักษณ์ ความเป็นไทยซึ่งมีจุดเด่นอยู่หลายประการ เช่น ระบบเครือญาติ ชุมชนเข้มแข็งบนฐานวัฒนธรรมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ าใจไมตรี และชอบช่วยเหลือเกื้อกูล เป็นต้น (สุวรรณี ค ามั่น และคณะ, 2551) การน าเอาทุนทางสังคมมาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนชุมชน ให้ด าเนินสู่ความเป็นกลุ่มก้อนภายใต้ภาพของคุณค่าเดิม เช่น ระบบคุณค่า อุดมการณ์ ความเชื่อ บนพื้นฐานของความเคารพ นอบน้อมต่อธรรมชาติ หรือการเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อันมีรากจากพุทธศาสนาและภูมิปัญญาท้องถิ่น อันเป็น กระบวนการเรียนรู้ที่ชุมชนสร้างสรรค์และสั่งสมขึ้นมาเพื่อการด ารงชีพ เช่น ภูมิปัญญาด้านเกษตรกรรม ด้านการแพทย์ พื้นบ้าน ด้านการอยู่อาศัย เป็นต้น ทั้งยังเป็นความรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง (Living Knowledge) เพราะเป็นองค์ความรู้ที่ถูกกลั่นกรอง จากประสบการณ์ที่ละเอียดลึกซึ้งและแนบแน่นกับธรรมชาติอย่างแยกไม่ออก รวมถึงระบบความสัมพันธ์ของคนในชุมชนที่มี ลักษณะของระบบครอบครัวเครือญาติมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ประกอบกับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมแนวระนาบของ คนในชุมชนก็เอื้อต่อการช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ส่งผลให้เกิดการเติบโตของเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็ง จนสามารถเชื่อ ได้ว่า ทุนทางสังคมก่อให้เกิดพลังขับเคลื่อนชุมชนให้สามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นชุมชนที่เข้มแข็งได้ (ไมตรี อินเตรียะ, กรกฎาคม-ธันวาคม 2560) ดังนั้น การค้นหา การจัดหา การจัดสรร การพัฒนา และการจัดสร้างทุนทางสังคม ที่ประกอบด้วยความเข้าใจและ การตระหนักถึงคุณค่าและความส าคัญ ผู้วิจัยเห็นว่า ภายไต้ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างขนานใหญ่ในปัจจุบัน การศึกษา ทุนทางสังคมของชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นชุมชนที่มีความเข้มข้นของทุนทางสังคมสูงทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคล และทรัพยากร อันเป็นผลดีต่อการต้นพบและน าเอาองค์ความรู้ดังกล่าวมาฉายให้เห็นถึงปัจจัยเงื่อนไขการ เกิดขึ้นและด ารงอยู่ของทุนทางสังคมในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่นที่ชัดเจน ทบทวนวรรณกรรม การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเงื่อนไขการเกิดขึ้นของทุนทางสังคมในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น และจากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ในยุคคลาสสิคชื่อ Adam Smith เป็นคนแรกกล่าวถึง แนวคิดเรื่อง ทุนทางสังคมก่อนที่ Glan Loury จะน าไปใช้ศึกษาในงานชิ้นแรกๆ ของเขาที่เป็นการน าเอาบริบททางสังคมมาใช้ในการศึกษา เชิงนโยบาย (Policy Research) และหลังงานศึกษาชิ้นส าคัญของ Loury แนวคิดทุนทางสังคมก็ได้ถูกน ามาใช้อย่างแพร่หลาย ในหมู่นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ กระทั้งต่อมาได้กระจายไปสู่ศาสตร์แขนงต่างๆ ทางสังคมโดยนักคิดคนส าคัญ เช่น James Coleman Robert Putnum และ Pierre Bourdieu เป็นต้น (อัครนัย ขวัญอยู่, 2560) อย่างไรก็ตาม คงยากที่จะปฏิเสธว่า


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 241 แนวคิดทุนทางสังคมนี้ ได้เป็นที่นิยมอย่างมากในวงวิชาการด้านสังคมศาสตร์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เป็น ต้นมา แนวคิดนี้ได้กลายเป็นแนวคิดล าดับต้นๆ ที่บรรดานักวิชาการทางสังคมศาสตร์หยิบยกขึ้นเป็นมาตราวัดในวิถีแห่งญา นวิทยา (Epistemology) เพื่อสนองตอบ “เจตจ านงไปสู่ความรู้” (The will to knowledge) เพราะเป็นแนวคิดที่สอดคล้อง และตอบสนองกับการอธิบายสภาพสังคมที่มีความแตกต่าง และมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์วรรณา (Ethnographic) ได้ เป็นอย่างดี หรือแม้แต่บรรดานักวิชาการด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ของไทยจ านวนมาก ก็ได้น าแนวคิดเรื่องทุนทางสังคมนี้มา ประยุกต์ใช้ในการตั้ง (และตอบ) ค าถามในเชิงภววิทยา (Ontology) กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แสน กีรตินวนันท์ (2557) ได้นิยามความหมายของทุนทางสังคมไว้ว่า คือ สิ่งที่อยู่ภายในชุมชน บนศีลธรรมความดี งาม อันเป็นส่วนส าคัญในการสร้างพลังหรือความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งเกิดจากกลุ่มผู้น า เครือข่ายการรวมกลุ่มของสมาชิก ภายในสังคมบนรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการตั้งแต่ระบบเครือญาติ กลุ่ม องค์กรต่างๆ จนเกิดเป็นเครือข่าย ความสัมพันธ์ค่านิยมเชิงบวกเดิมที่สังคมไทยเคยมี เช่น ความมีน้ าใจ ความเมตตากรุณา ความเอื้ออาทร ฯลฯ ขณะที่ เบญจางค์ ใจใส แดร์ อาร์สลานิออง (2563) ได้นิยามความหมายของทุนทางสังคมไว้ว่า ทุนทางสังคมจะเป็นรากฐานส าคัญใน ท้องถิ่นที่จะช่วยส่งเสริมให้กิจกรรมฟื้นฟูท้องถิ่นสามารถท าได้ส าเร็จได้ตามเป้าหมาย และแม้ว่า ทุนทางสังคมนั้น จะกิน ความหมายที่กว้างและบางครั้งแต่ละองค์ประกอบก็ยากที่จะแยกออกจากกัน เพราะแต่ละด้านมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อ าไพรัตน์ อักษรพรหม และคณะ (2562) ได้จ าแนกองค์ประกอบของทุนทางสังคมออกเป็น 4 ประการ ได้แก่ 1) บุคคล 2) ความสัมพันธ์ในชุมชน 3) ทรัพยากร และ 4) วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้แก่ ความสามารถในการปรับใช้วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาในชุมชนและท าให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งทุนวัฒนธรรมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ (1) ทุนวัฒนธรรมที่สัมผัสได้ (เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ อาคาร สิ่งประดิษฐ์) และ (2) ทุนวัฒนธรรมที่ สัมผัสไม่ได้ (เช่น ความคิด การปฏิบัติ ความเชื่อ) เก่งกิจ กิติเรียงลาภ และคณะ (2561) ได้กล่าวว่า องค์ประกอบของทุนทางสังคมสามารถจ าแนกออกได้เป็น 3 ส่วน หลักๆ คือ 1) คุณค่าและบรรทัดฐานร่วม หมายถึง การยึดเหนี่ยวเกาะโยงกันขององค์กรชุมชนผ่านการให้ความหมายกับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง รวมถึงอุดมการณ์ที่สมาชิกหรือผู้ที่เข้าร่วมในเครือข่ายมีร่วมกัน 2) ความหลากหลายของสมาชิก หมายถึง การที่ สมาชิกมาจากหลากหลายกลุ่ม ทั้งในแง่ของอายุ ภาคการผลิต เชื้อชาติ ความรู้ ความสามารถ และพื้นที่ ความหลากหลายเป็น คุณสมบัติส าคัญของเครือข่ายซึ่งแตกต่างจากวิธีการมององค์กรแบบที่สมาชิกต้องมีความเหมือนกันหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ความหลากหลายในด้านหนึ่งท าให้องค์กรสามารถระดมทุนทางสังคมที่หลากหลายและข้ามพื้นที่และเส้นแบ่งต่างๆ ทาง สังคมได้ รวมถึงความหลากหลายยังมีส่วนท าให้องค์กรมีลักษณะยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ของสมาชิกได้ และ 3) การมีส่วนร่วมและเครือข่ายทางสังคม ซึ่งหมายถึง การที่องค์กรสามารถท าหน้าที่เป็นกลไกที่เปิด ส าหรับคนกลุ่มต่างๆ ได้มากน้อยแค่ไหน และเมื่อคนกลุ่มต่างๆ เข้ามาในองค์กรแล้ว องค์กรสามารถรองรับความต้องการที่ แตกต่างกัน รวมถึงเปิดให้สมาชิกสามารถมีส่วนในการตัดสินใจภายในได้มากน้อยแค่ไหน การมีส่วนร่วมจึงสัมพันธ์อย่างแยกไม่ ออกจากการที่องค์กรสามารถขยายตัวเองในรูปของเครือข่ายที่โยงคนกลุ่มต่างๆ เข้ามาได้ ในขณะที่ยังรักษาความยืดหยุ่นและ ประสิทธิภาพไว้ได้ด้วย ไมตรี อินเตรียะ (กรกฎาคม-ธันวาคม 2560) ได้สรุปองค์ประกอบหลักของทุนทางสังคมที่มีอยู่ในชุมชนว่ามี องค์ประกอบหลักๆ อยู่ 4 องค์ประกอบ ดังนี้1) ทุนคน/มนุษย์ คือ บุคคลที่มีองค์ความรู้ความสามารถมีจิตสาธารณะ มีความ เอื้ออาทร มีน้ าใจ และพร้อมที่จะเสียสละท าประโยชน์เพื่อชุมชน 2) ทุนสถาบัน/องค์กร คือ สถาบัน องค์กร ที่มีส่วนสนับสนุน ผลักดันให้ชุมชนนั้นอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขและท าประโยชน์ร่วมกัน 3) ทุนภูมิปัญญาวัฒนธรรม คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่น จารีต ประเพณีที่มีอยู่ในท้องถิ่นรวมไปถึงค่านิยมและความเชื่อที่ดีของชุมชน และ 4) ทรัพยากรธรรมชาติ คือ ทรัพยากรธรรมชาติ ต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชน เป็นทรัพยากรที่มีอยู่แล้วดั้งเดิม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 242 จากการทบทวนวรรณกรรมความหมาย องค์ประกอบ และปัจจัยเงื่อนไขการเกิดขึ้นของทุนทางสังคม มีดังนี้ คือ 1) ทุนทางสังคม หมายถึง ทรัพยากร (Resource) ที่ก่อก าเนิด สั่งสม/ถูกสั่งสม หรือปรากฎมีในสังคมหนึ่งๆ ทั้งในลักษณะที่เป็น รูปธรรม เช่น เครือข่าย กลุ่ม สถาบัน สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติหรือสภาพแวดล้อมทางสังคม ฯลฯ และอื่นๆ เป็นต้น และใน ลักษณะที่เป็นนามธรรม เช่น ความสัมพันธ์ทางสังคม ความมีน้ าใจ ความเมตตากรุณา ความเอื้ออาทร ความรู้ ภูมิปัญญา ฯลฯ และอื่นๆ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม หน่วยของสังคมดังกล่าวข้างต้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการในการก าหนดนับตามแต่ละ โอกาสในการสื่อสารหรือตามแต่วาระนั้นๆ ต้องการสื่อ กล่าวคือ สังคมอาจมีขนาดเล็ก เช่น ครอบครัว กลุ่ม ชุมชน หรือ ประเทศ ดังนั้น ทรัพยากรหรือทุนทางสังคมของสังคมหนึ่งๆ จึงมีความแตกต่างไปจากทรัพยากรหรือทุนทางสังคมของอีก สังคมหนึ่งเสมอ 2) ทุนทางสังคม มีองค์ประกอบหลักๆ อยู่ 4 องค์ประกอบ คือ มนุษย์ (Human) และสิ่งแวดล้อม (Environment) ความรู้ (Knowledge) และความเชื่อ (Belief 3) ทุนทางสังคม เกิดขึ้นด้วยปัจจัยเงื่อนไข 4 ประการ คือ ปัจจัยเงื่อนไขด้านบรรยากาศ ปัจจัยเงื่อนไขด้านวัฒนธรรม ปัจจัยเงื่อนไขด้านโครงสร้าง และปัจจัยเงื่อนไขด้านภาวะผู้น า นิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการ ทุนทางสังคม หมายถึง ทรัพยากรที่ก่อก าเนิด สั่งสม ถูกสั่งสม และ/หรือปรากฏมีในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น 2 ลักษณะ คือ รูปทุน และนามทุน รูปทุน หมายถึง ทรัพยากรที่สามารถรับรู้ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้นและการสัมผัสทางกาย เพราะอยู่ในลักษณะของความมีรูป หรือมีตัวตน มิติด้านมนุษย์ หมายถึง ทรัพยากรบุคคลหรือกลุ่มคนผู้สร้างคุณูปการหรือคุณประโยชน์ของชุมชนบ้านเสียวฯ ตั้งแต่อดีตถึง ปัจจุบัน มิติด้านสิ่งแวดล้อม หมายถึง ทรัพยากรต่างๆ ทั้งทางธรรมชาติและองค์กรทางสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนบ้านเสียวฯ นามทุน หมายถึง ทุนทางสังคมที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้นและการสัมผัส เพราะอยู่ในลักษณะของความไม่มีรูป หรือความไม่มีตัวตน มิติด้านความรู้ หมายถึง องค์ความรู้ต่างๆ ที่เกิดจากการสั่งสมทั้งในลักษณะของประสบการณ์นิยมและวัตถุนิยม อันถูกส่ง ต่อและสืบทอดมาแต่อดีตภายในชุมชนบ้านเสียวฯ หรือกระทั้งที่เกิดจากความวัฒนาการทางสังคม ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร สิ่งพิมพ์ และ/หรือสื่อสมัยใหม่ ที่ได้ถูกน าเข้ามาสู่ชุมชนบ้านเสียวฯ มิติด้านความเชื่อ หมายถึง ความเชื่อต่างๆ ที่เกิดจากการสั่งสมทั้งในลักษณะของประสบการณ์นิยมและวัตถุนิยม อันถูก ส่งต่อและสืบทอดมาแต่อดีตภายในชุมชนบ้านเสียวฯ และความเชื่อต่างๆ ที่เกิดจากความวัฒนาการทางสังคม ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุ หลายประการ เช่น จากบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร สิ่งพิมพ์ และ/หรือ สื่อสมัยใหม่ ที่ได้ถูกน าเข้ามาสู่ชุมชนบ้านเสียวฯ ปัจจัยเงื่อนไขการเกิดขึ้นของทุนทางสังคม หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สนับสนุน มีอิทธิพล และเป็นแรงขับให้เกิดทุนทางสังคม ในชุมชนบ้านเสียวฯ ด้านบรรยากาศ หมายถึง ลักษณะภายในของชุมชนบ้านเสียวฯ ที่มีอิทธิพลต่อการเกิดทุนทางสังคมในหมู่บ้าน กล่าวคือ สภาพแวดล้อม สถานที่ การรับรู้หรือความรู้สึกถึงสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วม หรือบรรยากาศในหมู่บ้านที่ประกอบไปด้วย การผสมผสานระหว่างบรรทัดฐาน คุณค่า ความไว้วางใจ ความคิด ความเชื่อ ความคาดหวัง และเป้าหมายต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเกิด ทุนทางสังคมในชุมชนบ้านเสียวฯ ด้านวัฒนธรรม หมายถึง ระบบคิด ทัศนคติ ค่านิยม พฤติกรรม และความคาดหวังร่วมกันของสมาชิกในชุมชนบ้านเสียวฯ ที่ ถูกถ่ายทอดและส่งต่อมาจากสมาชิกรุ่นก่อนท าให้เกิดความผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมและความเชื่อของขุมขน ผ่านการสร้าง และพัฒนาวัฒนธรรมของตนเองและแสดงถึงวัฒนธรรมนั้นผ่านรูปแบบการด าเนินชีวิต หรือการประพฤติปฏิบัติของสมาชิกในหมู่บ้าน ตลอดจนผ่านโครงสร้างและการออกแบบหมู่บ้าน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 243 ด้านโครงสร้าง หมายถึงกรอบหรือแนวทางในการด าเนินชีวิตของสมาชิกในชุมชนบ้านเสียวฯ เพื่อขับเคลื่อนหมู่บ้านให้ สามารถบรรลุเป้าหมายตามที่ก าหนดไว้ กล่าวคือ เป็นรูปแบบของความสัมพันธ์ ความรับผิดชอบ และอ านาจหน้าที่ในชุมชน ด้านภาวะผู้น า หมายถึง พฤติกรรมของผู้น าหมู่บ้าน ในการน าและการบริหารทรัพยากรต่างๆ ในชุมชน กรอบแนวคิด ผู้วิจัยเห็นว่าทุนทางสังคม มีองค์ประกอบ 2 อย่าง คือ รูปทุนและนามทุน และการเกิดขึ้นของทุนทางสังคมนั้น ประกอบด้วยปัจจัยเงื่อนไข 4 ด้าน อันได้แก่ ด้านบรรยากาศ ด้านวัฒนธรรม ด้านโครงสร้าง และด้านภาวะผู้น า จึงน ามา สังเคราะห์เป็นแผนภาพกรอบแนวคิดได้ ดังนี้ เครื่องมือและวิธีการวิจัย การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเงื่อนไขการเกิดขึ้นของทุนทางสังคมในชุมชนบ้านเสียวฯ เป็นการวิจัยเชิง คุณภาพ ที่ใช้การค้นคว้าเอกสารและการศึกษาภาคสนาม ส าหรับการค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Documentary Study) เป็น การค้นคว้าข้อมูลจากเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทุนทางสังคมในชุมชนบ้านเสียวฯ ซึ่งจะน ามาใช้ทั้งในส่วนของกรอบแนวคิด ทฤษฎี วรรณกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ส่วนการศึกษาภาคสนาม (Field Study) เป็นการลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ ข้อมูลหลัก (Key Informant) คือ ตัวแทนศาสนา ตัวแทนผู้น าชุมชน ตัวแทนรัฐ และตัวแทนสมาชิกในชุมชน กลุ่มละ 3 คน รวม 12 คน โดยการสัมภาษณ์ (Interview) และการสังเกตุแบบมีส่วนร่วม (Participation) มีการบันทึกเสียงและจดบันทึก ตามกรอบแนวคิด แนวค าถามในการสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง นอกจากนี้ เพื่อเป็นการค านึงถึงสวัสดิภาพผู้มีส่วนร่วมใน การศึกษา ผู้วิจัยวิจัยจึงได้ยื่นของรับรองการพิจารณาด้านจริยธรรมการวิจัยในคน และได้รับการพิจารณารหัสโครงการที่ 125/2565 หนังสือรับรองเลขที่ 097/2565 ผลการศึกษา การวิจัยพบว่า ชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น มีความรุ่งเรืองทางด้านภาษา ศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม และ ความเข้มข้นทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนถึงความหลากหลายของทรัพยากรในเชิงภูมิศาสตร์ที่ตกทอดมา ซึ่งได้ปรากฏให้เห็น ในรูปวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ยังคงรักษาความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน ตามรอยบรรพบุรุษจนกลายเป็นทุนทางสังคมที่ส าคัญ ดังนี้ ทุนทางสังคม ด้านบรรยากาศ ด้านวัฒนธรรม ด้านภาวะผู้น า ด้านโครงสร้าง ปัจจัยเงื่อนไขการเกิดทุนทางสังคม รูปทุน นามทุน มิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านมนุษย์ มิติด้านความเชื่อ มิติด้านความรู้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 244 รูปทุน คือ ทรัพยากรที่สามารถรับรู้ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้นและการสัมผัสทางกาย เพราะอยู่ในลักษณะของความมีรูป หรือมีตัวตน จ าแนกออกเป็น 2 มิติ คือ (1) มิติด้านมนุษย์ หมายถึง ทรัพยากรบุคคลหรือกลุ่มคนผู้สร้างคุณูปการหรือ คุณประโยชน์ของชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และ (2) มิติด้านสิ่งแวดล้อม หมายถึง ทรัพยากร ต่างๆ ทั้งทางธรรมชาติและองค์กรทางสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนบ้านเสียวฯ ดังนี้ มิติด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีรายระเอียดดังนี้ 1. กลุ่ม องค์กร และสถาบันชุมชน ที่มีรูปแบบการรวมกลุ่มของกลุ่มต่างๆ อย่างหลากหลาย บางกลุ่มลักษณะ การรวมกลุ่มที่เข้มข้น แต่ในบางกลุ่มก็เป็นการรวมกลุ่มกันอย่างหลวมๆ โดยส่วนมากเป็นการรวมกลุ่มกันอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อประโยชน์ของสมาชิกภายในกลุ่ม เช่น กลุ่มเครือญาติ กลุ่มสตรีชุมชน กลุ่มจ าศีล เป็นต้น จาก การศึกษาพบว่า สมาชิก 1 คน ภายในกลุ่มๆ หนึ่ง นอกจากการเป็นสมาชิกในกลุ่มนั้นแล้ว ยังเป็นสมาชิกของกลุ่มอื่นๆ ด้วย กล่าวคือ คนในชุมชน 1 คน เป็นสมาชิกของกลุ่มต่างๆ ภายในชุมชนในเวลาเดียวกันด้วย ซึ่งการที่สมาชิกภายในกลุ่มๆ หนึ่ง เข้าไปเป็นสมาชิกของอีกกลุ่ม ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นผลดี และเป็นการสนับสนุนในเชิงของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม เพราะท า ให้ข้อมูล หรือจุดมุงหมายของแต่ละกลุ่มมีความเชื่อมโยงกัน จนเกิดเป็นเคลือข่ายข้อมูลภายในชุมชนขึ้น และนอกจากนี้ยัง พบว่า ในหลายกรณี มีการท ากิจกรรมด้านสาธารณะประโยชน์ รวมกันระหว่างกลุ่มอย่างเป็นจ านวนมาก 2. เครือข่าย ที่ขับเคลื่อนโดยอาศัยการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ผ่านรูปแบบความสัมพันธ์ที่แตกต่างอย่างจ า เพราะส าหรับเครือข่ายนั้นๆ โดยเครือข่ายทางสังคมที่ส าคัญของชุมชนบ้านเสียวฯ สามารถจ าแนกและจัดเป็นประเภทได้ 2 ประเภทหลัก คือ ประเภทของเครือข่ายภายในชุมชน และประเภทของเครือข่ายภายนอกชุมชน ดังนี้ (1) ประเภทของเครือข่ายภายในชุมชน คือ เครือข่ายทางสังคมที่เกิดจากการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และการ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ผ่านรูปแบบความสัมพันธ์ลักษณะต่างๆ ระหว่างผู้คน หรือกลุ่มต่างๆ ภายในชุมชน อันได้แก่ เครือข่ายความสัมพันธ์เชิงเครือญาติเป็นเครือข่ายที่มีลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และการแลกเปลี่ยน องค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่บุคคลผู้มีสถานะเป็นเครือญาติของตน ผ่านการ ตระหนักรู้ถึงสภาวะความสัมพันธ์ทางสายเลือดของผู้คนภายในชุมชน เครือข่ายความสัมพันธ์ภายในกลุ่มต่างๆ ของชุมชน เป็น เครือข่ายที่มีลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ สมาชิกภายในกลุ่มๆ หนึ่ง มักเป็นผู้ที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันถึงร้อยละ 70 ของสมาชิกทั้งหมด เครือข่ายความสัมพันธ์เชิงอุทิศตน เป็นเครือข่ายที่มี ลักษณะของการท ากิจกรรมต่างๆ ในลักษณะของเครือข่ายกลุ่มผู้อาสาเพื่อสาธารณะประโยชน์ภายในชุมชน ซึ่งสมาชิกของ กลุ่มเช่นนี้จะประกอบด้วย ผู้น าชุมชนทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการและอาสาสมัครต่างๆ เช่น ก านัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้าน ส.อบต. อสม. อปพร. และกรรมการชุมชน เป็นต้น เครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ภายในชุมชน จาก การศึกษาพบว่า รูปแบบของเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ภายในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น มีลักษณะของ การเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ด้วยการสื่อสารผ่านบทสนทนา อย่างตรงไปตรงมา ระหว่างการท ากิจกรรมร่วมกันของกลุ่มต่างๆ ภายในชุมชน (2) ประเภทของเครือข่ายภายนอกชุมชน คือ เครือข่ายทางสังคมที่เกิดจากการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ผ่านรูปแบบความสัมพันธ์ลักษณะต่างๆ ระหว่างชุมชน กับผู้คน ชุมชน องค์กร หรือสถาบันอื่นๆ ที่อยู่ภายนอกชุมชน อันได้แก่ เครือข่ายความสัมพันธ์เชิงเครือญาติเสมือน เป็นเครือข่ายที่มีลักษณะของการ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ บุคคลผู้มีสถานะเป็นเครือญาติเสมือนของตน ผ่านการตระหนักรู้ถึงสภาวะความสัมพันธ์ที่เสมือนว่าเป็นเครือญาติโดย สายเลือดของตน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างครอบครัวหนึ่งๆ ภายในชุมชนบ้านเสียวฯ กับครอบครัวของพระสงฆ์สามเณรผู้เข้ามาบวช เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดชัยศรี เช่น การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันองค์ความรู้ เมล็ดพันธ์ ผลผลิต ตลอดจนเทคโนโลยี


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 245 ทางการเกษตรแก่กันและกัน และการไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันอย่างน้อยปีละครั้งในฤดูกาลของการจัดกิจกรรมงานฉลอง พระสงฆ์สามเณรผู้สอบผ่านเปรียญธรรมของวัดชัยศรี เครือข่ายความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนอื่น เป็นเครือข่ายที่มีลักษณะ ของการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ อาทิ การร่วมกิจกรรมงานบุญตาม ประเพณี การเกื้อกูลในเวลาที่เกิดภัยธรรมชาติด้วยทรัพยากรต่างๆ เป็นต้น เครือข่ายความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรและ หน่วยงานของรัฐ เป็นเครือข่ายที่มีลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ตลอดจนโอกาสในการไปศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแหล่งการเรียนรู้ และแนวทางในการพัฒนากลุ่มต่างๆ ภายใน ชุมชนให้มีความเข้มแข็งและมีความสามารถในด้านการพึ่งพาตนเอง จากองค์การบริการส่วนต าบล กศ น. ประจ าอ าเภอ ส านักงานวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น และส านักงานพัฒนาชุมชนประจ าอ าเภอ 3. ทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีความส าคัญต่อวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชน คือ ป่าชุมชนโสกวัวคา ซึ่งเป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ ของชุมชนที่มีเนื้อกว่า 759 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา และสามารถเป็นแหล่งอาหารและแหล่งรายได้เสริมแก่คนในชุมชนได้เป็น อย่างดี จากการศึกษาพบว่า ในราวปี พ.ศ. 2535 พื้นที่ป่าชุมชนได้ถูกบุกรุกอย่างขนานใหญ่ เพื่อน าไปใช้เป็นพื้นที่ส าหรับท า การเกษตร หลวงพ่อ (พระอุดมปัญญาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดชัยศรี) ท่านจึงเห็นว่าหากปล่อยให้ป่าถูกบุกรุกต่อไป อีกไม่นาน ป่าคงกลายเป็นไร่ เป็นนา เป็นสวนเสียหมด วันข้างหน้าลูกหลานคงจะไม่ได้เห็นป่าไม้ คงจะไม่รู้จักธรรมชาติ จึงขอบิณฑบาต และเวนคืนพื้นที่ป่าแล้วตัดเป็นถนนเพื่อให้เป็นรั้วล้อมป่าไว้ซึ่งสามารถป้องกันการปุกรุกป่าได้ นอกจากนี้ ท่านยังมีวิธีการใน การรักษาป่าชุมชนอีกหลายวิธี เช่น การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือรักษาป่า โดยการก่อตั้งเป็นวัดป่าขึ้นในพื้นที่ส่วนหนึ่งของป่า เพราะเห็นว่าชาวบ้านมีความศรัทธาศาสนาและหากสิ่งใดๆ ที่เป็นสมบัติของศาสนาแล้วชาวบ้านก็จะให้ความเคารพและ ไม่ล่วงเกิน ล าห้วยเสียว เป็นล าห้วยที่มีมาก่อนการก่อตั้งชุมชนบ้านเสียว จากการศึกษาพบว่า ล าห้วยนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลหลัก ที่บรรพบุรุษของชุมชนบ้านเสียวใช้ตัดสินใจย้ายมาตั้งถิ่นฐานใหม่ ณ พื้นที่ของชุมชนบ้านเสียวในปัจจุบัน และล าห้วยนี้ยังเป็น สิ่งส าคัญในการประกอบเกษตรกรรมของผู้คนเป็นอย่าง ตลอดจนการท าหน้าที่เป็นแหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ า เพื่อเป็นอาหารของ ผู้คนภายในชุมชนด้วย ตลอดเวลากว่า 14 ทศวรรษที่ผ่านมา ล าห้วยเสียวเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีความส าคัญต่อชุมชน นี้อย่างขนานใหญ่ เพราะมันได้หล่อเลี้ยงผู้คนในทุกยุคสมัย จนเกิดเป็นรูปแบบวิถีชีวิตของชุมชนบ้านเสียว ดังที่ปรากฏอยู่ใน ปัจจุบัน น้ าบาดาล ถูกน ามาใช้ประโยชน์ในการสร้างเป็นระบบน้ าประปาภายในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น ในราวปี พ.ศ. 2536-2537 ซึ่งรู้จักกันในชื่อน้ าบาดาลลอยฟ้า เพราะเป็นการสร้างฐานสูงส าหรับวางแทงค์น้ าเพื่อให้เกิดแรงดันน้ าที่ เพียงพอต่อการกระจายน้ า ที่เวลานั้นนับว่าเป็นนวัตกรรมที่ค่อนข้างใหม่ ท าให้ชาวบ้านสามารถปลูกผักที่ปลอดภัยจากสารพิษ ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคได้ จนเกิดเป็นกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษขึ้นภายในชุมชน ที่สามารถสร้างรายได้แก่สมาชิกของ กลุ่มได้ อ่างเก็บน้ าห้วยเสียว เป็นอ่างเก็บน้ าในพื้นที่ชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น ที่มีความจุของอ่างที่ 520,000 ล้าน ลบ. ม. มีชุมชนที่ต้องใช้น้ าในอ่างเก็บน้ าห้วยเสียวนี้ถึง 8 ชุมชน และมีครอบครัวมากกว่าหนึ่งพันครอบครัวที่ใช้น้ าในอ่างเก็บน้ านี้ เพื่อผลิตน้ าประปา เลี้ยงสัตว์ และท าการเกษตรถึง 110 ไร่ นอกจากนี้ ชุมชนบ้านเสียวฯ ยังได้ใช้อ่างเก็บน้ านี้เป็นแหล่งเพาะ พันธ์สัตว์น้ า เพื่อเป็นอาหารของผู้คนภายในชุมชนบ้านเสียว และชุมชนอื่นๆ ด้วย มิติด้านมนุษย์ประกอบด้วย 1) พระสงฆ์ 2) บรรพบุรุษ 3) ผู้น าชุมชน และ 4) ปราชญ์ชุมชน ดังนี้ 1. พระสงฆ์เป็นที่เคารพความเลื่อมใสชาวบ้าน เนื่องจากร่วมกันมาเป็นเวลานาน จากการศึกษาพบว่า มีหลายครั้งที่ พระสงฆ์เป็นผู้สามารถเข้าไปจัดการกับปัญหาข้อพิพาทต่างๆ ภายในชุมชน ตัวอย่างเช่น ในครั้งหนึ่งได้เกิดปัญหาข้อพิพาท ภายในชุมชนเกี่ยวกับทาง เข้า-ออก บ้านเรือนของชาวบ้านหลายหลังคาเรือนมีลักษณะเป็นที่ตาบอด ซึ่งท าให้เกิดความไม่ สบายใจจึงได้ของซื้อที่ดินบางส่วนเพื่อท าเป็นทางเข้าบ้าน แต่ทว่า ชาวบ้านไม่สามารถตกลงกันเองได้แม้ว่ามีการเชิญเอาผู้น า ชุมชนต่างๆ เข้ามาร่วมกันสร้างข้อตกลง เมื่อพระอุดมปัญญาภรณ์ (เจ้าอาวาสในขณะนั้น) ทราบถึงความเป็นมาของข้อพิพาท ภายในชุมชน จึงเข้าไปในชุมชนและเป็นประธานในการพูดคุยเพื่อหาทางออกข้อพิพาทดังกล่าว ด้วยการขอบิณฑบาตที่ดิน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 246 บางส่วนเพื่อสร้างเป็นถนนสาธารณะแก่ชุมชน เมื่อชาวบ้านเห็นว่าท่านขอบิณฑบาตก็ยินดีที่ถวาย เพราะเห็นว่าท่านจะท าเป็น ถนนเพื่อสาธารณะที่ทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน อีกทั้งการถวายที่ดินแก่สงฆ์ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีในการบ าเพ็ญบุญ 2. บรรพบุรุษ ที่สร้างและสั่งสมทรัพยากรรูปแบบต่างๆ ของชุมชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความเข้มข้นในการสร้างสมทรัพยากรมิติต่างๆ เช่น ทรัพยากรทางธรรมชาติ อันได้แก่ ป่าชุมชน และทรัพยากรทางสังคม อันได้แก่ กลุ่ม องค์กร และสถาบันต่างๆ ภายในชุมชน เช่น กลุ่มอาชีพ องค์กร ทางศาสนาที่ท าหน้าที่ในการสร้างและพัฒนามนุษย์ ตลอดจนสถาบันทางการเงินที่มีธนาคารหมู่บ้าน เป็นต้น 3 ผู้น าชุมชน ที่จ าแนกออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ ผู้น าชุมชนเชิงวัฒนธรรมและผู้น าชุมชนเชิงระบบ ดังนี้ ผู้น าชุมชน เชิงวัฒนธรรม ได้แก่ พระสงฆ์ ปราชญ์ชุมชน และเจ้าโคตร (ผู้อาวุโสของตระกูล) กล่าวได้ว่า เป็นผู้มีอ านาจทางวัฒนธรรม อย่างเข้มข้น ทั้งยังเป็นผู้มีบทบาทส าคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชนเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมใน การระงับข้อพิพาทหรือความขัดแย้งต่างๆ ภายในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพของพระสงฆ์ที่มีพื้นฐานจากความไว้วางใจว่าเป็นผู้ มีธรรมาภิบาลของชุมชน การเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ให้เกิดระบบเศรษฐกิจภายในชุมชนของปราชญ์ชุมชน ด้วยการ ถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพจนเกิดเป็นกลุ่มอาชีพกลุ่มต่างๆ และการเป็นศูนย์รวมใจในลักษณะเครือญาติของ ผู้คนภายในชุมชนจนเกิดเป็นรูปแบบความสัมพันธ์เชิงเครือญาติที่เข้มแข็งของเจ้าโคตร ผู้น าชุมชนเชิงระบบ ได้แก่ ก านัน สารวัตรก านัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนต าบล ซึ่งเป็นผู้มีอ านาจตามระบบการเมือง การปกครองของรัฐไทย ที่กล่าวได้ว่ามีความส าคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้น าชุมชนของชุมชน บ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น ทุกยุคสมัยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและที่ส าคัญ คือ เป็นผู้มีความเข้าใจบริบทของชุมชนอย่าง ลึกซึ้ง ประกอบกับมีความเข้าใจรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินและรูปแบบการเมืองกระแสหลักเป็นอย่างดี ชุมชนจึง สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ จากภาครัฐได้อย่างสม่ าเสมอ 4. ปราชญ์ชุมชน โดยสามารถแยกประเภทของปราชญ์ชุมชนในแต่ละด้านได้ดังนี้ ประเภทศาสนาศึกษา การผดุงจิต และเชื่อมโยงคุณค่าทางสังคมของชุมชน ได้แก่ พระครูศรีภัทราภิรักษ์ ซึ่งเป็นผู้ที่ท างานด้านการศาสนศึกษา และการผดุงจิต ของสมาชิกภายในชุมชน ผ่านกระบวนการทางความเชื่อแบบดั้งเดิมของชาวอีสานมีการผูกแขน (ผูกข้อมือ) เป็นต้น ซึ่งการผูก ข้อมื้อนี้ดูเหมือนว่า จะมีลักษณะของการเสริมพลังอ านาจ (empowerment) อยู่มากพอสมควร หากพิจารณาจากบริบททาง ความเชื่อพื้นถิ่น ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า การผูกแขนนี้เป็นหนึ่งในกระบวนการเชื่อมโยงคุณค่าทางสังคมของชุมชนแบบดั้งเดิมให้เข้ากับ ระบบคุณค่าทางสังคมใหม่ของสังคมกระแสหลักนั้นเอง ประเภทขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม การแหล่ท านองอีสาน และการสนับสนุนการรวมกลุ่ม ได้แก่ นายโชติ ทองหล่อ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม และเป็น ผู้มีความสามารถด้านการแหล่ท านองอีสาน และการสนับสนุนการรวมกลุ่มต่างๆ ภายในชุมชน จากการศึกษาพบว่า นายโชติ เป็นผู้น ากิจกรรมเชิงประเพณีวัฒนธรรมของชุมชนอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น กิจกรรมการแห่หลักบ้าน ซึ่งวิธีการด าเนินกิจกรรม การแห่หลักบ้านนี้ คือ สมาชิกภายในชุมชนทุกหลังคาเรือนจะมารวมตัวกันและร่วมไหว้พระสวดมนต์อยู่ที่เสาหลักบ้าน ที่ตั้งอยู่ รอบหมู่บ้านจ านวน 4 เสา ซึ่งภายหลังจากการสวดมนต์ร่วมกันของชาวบ้านและพระสงฆ์ภายในกิจกรรมก็จะมีการท านายหรือ เสี่ยงทายฝน โดยนายโชติจะเป็นผู้กล่าวถามและทักแก่สมาชิกของชุมชนที่มาร่วมกิจกรรมว่า “ปีนี้จะเอาลมพายุรุนแรงหรือไม่ จะเอาฝนแล้งใช่ไหม จะเอาฝนหนักๆ น้ าท่วมเลยใช่ไหม ฯลฯ” ชาวบ้านก็จะร่วมกันตอบด้วยเสียงที่ดังว่า “ไม่เอา” กระทั้ง สุดท้ายนายโชติก็จะถามว่า “จะเอาฝนก าลังดีและเพียงพอต่อการท าไร่ท านาท าเกษตรกรรมใช่หรือไม่” ชาวบ้านทุกคนก็ ร่วมกันตะโกนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ใช่เราจะเอาฝนที่พอดีซึ่งเหมาะแก่การท าไร่ไถนา” จะเห็นได้ว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็น ลักษณะของการบอกหรือประกาศสัญญะแห่งฤดูเกษตรกรรม หมายความว่า เป็นลักษณะของการประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ช่วงเวลาแห่งการท าเกษตรกรรมมาถึงแล้ว ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในลักษณะของการท าเกษตรแบบดังเดิม หรือแม้แต่ การเอื้อเฟื้อปัจจัยการผลิตที่สนับสนุนการเกษตรก็ควรมีความเข้มข้นกว่าช่วงเวลาอื่นๆ ตลอดปี นอกจากนี้ราวปี พ.ศ. 2530


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 247 นายโชติได้ก่อตั้งกลุ่มหนุ่มสาวของชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น ที่มีสมาชิกกลุ่มราว 30-40 คน ขึ้น และคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ ได้เป็นก าลังส าคัญในการขับเคลื่อนและการพัฒนาชุมชนแง่ต่างๆ ในปัจจุบัน ประเภทประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและชุมชน ได้แก่ นายคมกฤช บุษราคัม ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอิสานและประวัติศาสตร์ของชุมชนบ้านเสียว จังหวัด ขอนแก่น ซึ่งความช านาญประเภทนี้นับได้ว่าเป็นประโยชน์แก่ชุมชนเป็นอย่างยิ่งจากการลงพื้นที่เพื่อการศึกษาได้ร่วมกิจกรรม หล่อพระ พบว่า นายคมกฤช นอกจากท าหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติเป็นทั้งมัคนายกทางศาสนาแล้ว ยังท าหน้าที่เป็นวิทยากรผู้เสนอ ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ชุมชนแก่ผู้ร่วมกิจกรรม และท าให้ผู้ร่วมกิจกรรมเกิดความสนใจในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น ในแง่อื่นๆ ทั้งในแง่การท่องเที่ยวป่าชุมชน และการจับจ่ายผลิตภัณฑ์ของชุมชนอันน ามาซึ่งความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ อีกด้วย ประเภทการทอเสื่อด้วยผือ (ต้นกก) ได้แก่ นางทองจันทร์ ทรนงค์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านการทอเสื่อด้วยต้นผือหรือต้น กก ซึ่งเป็นวัสดุที่มีอยู่ในธรรมชาติ อันเป็นการสร้างานและสร้างอาชีพที่ก่อให้เกิดรายได้ให้แก่สมาชิกภายในกลุ่ม และ นอกจากนี้ นางทองจันทร์ ยังท าหน้าที่เป็นวิทยากรผู้ให้ความรู้ด้านการทอเสื่อด้วยผือ (ต้นกก) แก่ผู้ที่มีความสนใจและมาเยี่ยม เยือนชุมชนบ้านเสียวในโอกาสต่างๆ ด้วย ประเภทภาษาบาลี ภาษาอีสาน และการท่องเที่ยวป่าชุมชน ได้แก่ นายอาทิเช่น นาขันดี ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านภาษาโดยนายอาทิเช่นนี้เป็นศิษย์เก่าที่ส าเร็จการศึกษาในระดับสูงสุดของการศึกษาแผนกวิชา ภาษาบาลีของคณะสงฆ์ จึงมีศักยภาพในการสอนวิชาบาลีสูง และเป็นผู้เคยบวชเรียนจึงมีความสัมพันธ์กับผู้เรียนที่ดี นอกจากนี้ ผู้ช านาญด้านการท่องเที่ยวป่าชุมชนซึ่งเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติของชุมชน และเป็นการสร้างระบบ เศรษฐกิจของชุมชน นามทุน คือ ทุนทางสังคมที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้นและการสัมผัส เพราะอยู่ในลักษณะของความไม่มีรูป หรือความไม่มีตัวตน จ าแนกออกเป็น 2 มิติ ได้แก่ มิติด้านความรู้ และมิติด้านความเชื่อ ดังนี้ มิติด้านความเชื่อ ประกอบด้วย 1) ความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี และ 2) ความเชื่อ เกี่ยวกับต านานและการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนี้ 1) ความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น มีความเชื่อใน เรื่องของบุญและบาป ความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา อันได้แก่ ความเชื่อในเรื่องของฮีต 12 ครอง 14 กล่าวคือ ประเพณี การบ าเพ็ญบุญ 12 เดือนตลอดทั้งปี และประเพณีการฉลองพระภิกษุสามเณรผู้สอบได้เปรียญธรรมของวัดภายในชุมชน 2) ความเชื่อเกี่ยวกับต านานและการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น มีความเชื่อในเรื่องบุญ เรื่องบาปและเรื่องประเพณีวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่นกิจกรรมประจ าปีอันได้แก่กิจกรรมการแห่หลักบ้าน ซึ่งวิธีการด าเนิน กิจกรรมการแห่หลักบ้านนี้ คือ สมาชิกภายในชุมชนทุกหลังคาเรือนจะมารวมตัวกันและร่วมไหว้พระสวดมนต์อยู่ที่เสาหลัก บ้าน ที่ตั้งอยู่รอบหมู่บ้านจ านวน 4 เสา ซึ่งหลังจากการสวดมนต์ร่วมกันของชาวบ้านและพระสงฆ์จะมีการท านายหรือเสี่ยง ทายฝน มิติด้านความรู้ประกอบด้วย 1) ภาษาอีสาน และ 2) บรรทัดฐานทางสังคม ดังนี้ 1) ภาษาอีสาน ที่มีความหลากหลายของภาษาอยู่อย่างขนานใหญ่ และแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ และตามแต่ ละกลุ่มชาติพันธุ์วรรณาต่างๆ ซึ่งมีอยู่อย่างเป็นจ านวนมากนับได้ว่าเป็นเครื่องมือส าหรับบันทึกเรื่องราว ขนบ ความรู้ และ วรรณกรรมประเภทต่างๆ ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นบริบททางสังคม สภาพเศรษฐกิจ รูปแบบการปกครอง ทัศนะวิถี ฯลฯ และอื่นๆ ได้ และบรรดาเรื่องราว ขนบ ความรู้ และวรรณกรรมดังกล่าว สามารถพบได้ทั่วไปตามบันทึกใบลาณที่ถูกเก็บรักษา ไว้ในศาสนสถานเก่าแก่ เป็นต้น 2) บรรทัดฐานทางสังคม โดยชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น นอกจากจะด ารงอยู่และปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ และแม่บทกฎหมายของบ้านเมืองแล้ว ในปี พ.ศ. 2546 ชาวบ้านยังร่วมกันประกาศบทบัญญัติแห่งธรรมนูญหมู่บ้าน สิบสอง ประการ ซึ่งมีการบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2546


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 248 ปัจจัยเงื่อนไขการเกิดขึ้นของทุนทางสังคม คือ ปัจจัยและเงื่อนไขด้านต่างๆ ที่มีบทบาทขับเร้าให้เกิดเป็นทุนทาง สังคมขึ้นภายในชุมชน ดังนี้1) ด้านบรรยากาศ พบว่า สภาพแวดล้อมภายในชุมชน สถานที่ การรับรู้และ/หรือความรู้สึกถึง สิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมในชุมชน หรือบรรยากาศในชุมชนที่ประกอบไปด้วยการผสมผสานระหว่างบรรทัดฐาน คุณค่า ความไว้วางใจ ความคิด ความเชื่อ ความคาดหวัง และเป้าหมายต่างๆ นั้นเป็นบรรยากาศแห่งการขับเร้าที่มีอิทธิพลต่อ การเกิดขึ้นของทุนทางสังคมภายในชุมชน 2) ด้านวัฒนธรรม พบว่า ระบบคิด ทัศนคติ ค่านิยม พฤติกรรม และความคาดหวัง ร่วมกันของสมาชิกในชุมชน ที่ถูกถ่ายทอดและส่งต่อมาจากสมาชิกรุ่นสู่รุ่น ท าให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน เกิดความผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมและความเชื่อของหมู่บ้าน ผ่านการสร้างและพัฒนาวัฒนธรรมของตนเองและ แสดงถึงวัฒนธรรมนั้นผ่านรูปแบบการด าเนินชีวิต หรือการประพฤติปฏิบัติของสมาชิกในชุมชน เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลและขับเร้า ให้เกิดทุนทางสังคมภายในชุมชน 3) ด้านโครงสร้าง พบว่า กรอบหรือแนวทางในการด าเนินชีวิตของสมาชิกในชุมชน เพื่อ ขับเคลื่อนชุมชนให้สามารถบรรลุเป้าหมายตามที่ก าหนดไว้นั้น ประกอบด้วยโครงสร้างทางสังคม 3 ประเภท คือ โครงสร้างทาง สังคมกระแสหลัก โครงสร้างทางสังคมเชิงวัฒนธรรม และโครงสร้างทางสังคมเชิงความเชื่อและศาสนา 4) ด้านภาวะผู้น า พบว่า พฤติกรรมของผู้น าหมู่บ้าน ในการน าและการบริหารทรัพยากรต่างๆ ที่มีพื้นฐานจากการบ่มเพาะเป็นเวลานาน ซึ่งน าไปสู่การเกิดทุนทางสังคมภายในชุมชน การอภิปรายผลการศึกษา จากผลการศึกษา ผู้ศึกษาพบประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ รูปทุน ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า ในส่วนของ เครือข่าย ที่ขับเคลื่อนโดยอาศัยการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนใน ชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น ผ่านรูปแบบความสัมพันธ์ที่แตกต่างอย่างจ าเพราะส าหรับเครือข่ายนั้นๆ โดยเครือข่ายทาง สังคมที่ส าคัญของชุมชนบ้านเสียวฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ในส่วนของเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ภายในชุมชน เป็นเครือข่ายที่มีลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาชุมชน และการพัฒนาด้านขอบเขตและด้านศักยภาพในการบรรลุเป้าหมายของกลุ่ม ผ่านการท ากิจกรรมร่วมกัน ซึ่งอาจเป็นกิจกรรมในเชิงของการพัฒนาชุมชน และกิจกรรมเชิงประเพณี ความเชื่อ ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นต้น หมายความว่า ในระหว่างที่สมาชิกของกลุ่มต่างๆ ก าลังท ากิจกรรมร่วมกันอยู่ จะเกิดการสื่อสารในลักษณะของการถ่ายทอด อุดมการณ์ภายในกลุ่มของตนแก่สมาชิกกลุ่มอื่นๆ ซึ่งโดยส่วนมากมักเป็นการสื่อสารผ่านบทสนทนาอย่างตรงไปตรงมา อย่างไร ก็ตาม จากการศึกษาพบว่า รูปแบบของเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ภายในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น มี ลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ด้วยการสื่อสารผ่านบทสนทนา อย่างตรงไปตรงมา ระหว่างการท ากิจกรรมร่วมกันของกลุ่มต่างๆ ภายในชุมชน ซึ่งการสนทนาอย่างตรงไปตรงมาในระดับ ชาวบ้านสามารถสื่อถึงความสัมพันธ์ที่เข้มข้นของชาวบ้าน โดยมีความสอดคล้องกับ Kondo (2020) ที่กล่าวว่า ทุนทางสังคม เป็นทรัพยากรที่บุคคลสามารถเข้าถึงได้ผ่านการเป็นสมาชิก เครือข่าย หรือกลุ่ม ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยส าคัญ เพราะเมื่อผู้คนได้รับ ทรัพยากรที่หลากหลายจากความสัมพันธ์ทางสังคมดังกล่าวแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมจะส่งผลต่อชีวิตของพวกเขา หรืออาจกล่าว ได้ว่า ทุนทางสังคมในชุมชนมีผลต่อผู้ที่อยู่อาศัยภายในชุมชนและเป็นหนึ่งในตัวก าหนดสภาพทางสังคมอีกด้วย เพราะแต่ละ บุคคลนั้นใช้ว่าจะถูกก าหนดด้วยลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลเท่านั้นไม่ หากแต่รวมไปถึงสภาพแวดล้อมทางสังคมที่พวกเขา อาศัยอยู่ด้วย และสอดคล้องกับ แสน กีรตินวนันท์ (2557) ที่กล่าวว่าทุนทางสังคม คือ สิ่งที่อยู่ภายในชุมชน บนศีลธรรมความ ดีงาม อันเป็นส่วนส าคัญในการสร้างพลังหรือความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งเกิดจากกลุ่มผู้น า เครือข่ายการรวมกลุ่มของสมาชิก ภายในสังคมบนรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการตั้งแต่ระบบเครือญาติ กลุ่ม องค์กรต่างๆ จนเกิดเป็นเครือข่าย ความสัมพันธ์ค่านิยมเชิงบวกเดิมที่สังคมไทยเคยมี เช่น ความมีน้ าใจ ความเมตตากรุณา ความเอื้ออาทร ฯลฯ จากข้อมูล


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 249 ดังกล่าว ผู้วิจัยเห็นว่า การปล่อยให้ทุนทางสังคมด าเนินและเติบโตขึ้นเองอย่างอิสระอาจน้อยเกินไปหรืออาจช้าเกินไปในสังคม ที่มีความเป็นพลวัติที่เข้มข้น หมายความว่า ความมีการเข้าไปแทรกแซงกลไกบางอย่างเพื่อเอื้อต่อบรรยากาศการเกิดรูปแบบ ความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายหรือกลุ่มภายในชุมชนด้วย รูปทุน ในมิติด้านมนุษย์ พบว่า ทรัพยากรบุคคลหรือกลุ่มคนผู้สร้างคุณูปการของชุมชนบ้านเสียวฯ คือ ผู้น าชุมชน เชิงวัฒนธรรม ได้แก่ พระสงฆ์ ปราชญ์ชุมชน และเจ้าโคตร (ผู้อาวุโสของตระกูล) ซึ่งเป็นผู้มีอ านาจทางวัฒนธรรมและมีบทบาท ในการขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชน เช่น การระงับข้อพิพาทภายในชุมชนของพระสงฆ์ที่มีพื้นฐานจากความไว้วางใจว่าเป็นผู้มี ธรรมาภิบาล การสร้างสรรค์ระบบเศรษฐกิจภายในชุมชนของปราชญ์ชุมชน ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพ จนเกิดเป็นกลุ่มอาชีพกลุ่มต่างๆ และการเป็นศูนย์รวมใจในลักษณะเครือญาติของผู้คนภายในชุมชนจนเกิดเป็นรูปแบบ ความสัมพันธ์เชิงเครือญาติที่เข้มแข็งของเจ้าโคตร โดยมีกรณีลักษณะการจัดการความขัดแย้งที่น่าสนในอยู่กรณีหนึ่ง คือ กรณี ซอยสังฆรักษ์ ที่เป็นข้อพิพาทภายในชุมชนเกี่ยวกับทาง เข้า-ออก บ้านเรือนของชาวบ้านหลายหลังคาเรือน ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ ตาบอดและต้องอาศัยพื้นที่ของเพื่อนบ้าน ซึ่งท าให้เกิดความไม่สบายใจจึงได้ของซื้อที่ดินบางส่วนเพื่อท าเป็นทางเข้าบ้าน แต่ ทว่า ชาวบ้านไม่สามารถตกลงกันเองได้แม้ว่ามีการเชิญเอาผู้น าชุมชนต่างๆ เข้ามาร่วมกันสร้างข้อตกลง เมื่อพระอุดมปัญญา ภรณ์ (เจ้าอาวาสในขณะนั้น) ทราบถึงความเป็นมาของข้อพิพาทภายในชุมชน ท่านจึงเข้าไปในชุมชนและเป็นประธานในการ พูดคุยเพื่อหาทางออกข้อพิพาทดังกล่าว ด้วยการขอบิณฑบาตในการซื้อที่ดินบางส่วนเพื่อสร้างเป็นถนนสาธารณะแก่ชุมชน เมื่อชาวบ้านเห็นว่าท่านขอบิณฑบาตก็ยินดีที่จะถวายแก่ท่าน เพราะเห็นว่าท่านจะท าเป็นถนนเพื่อสาธารณะซึ่งทุกคนจะได้ใช้ ประโยชน์ร่วมกัน อีกทั้งเป็นการถวายที่ดินแก่สงฆ์ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีในการบ าเพ็ญบุญอีกด้วย และปัจจุบันถนนดังกล่าว ยังคงปรากฎให้เห็นและเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ซอยสังฆรักษ์” ซึ่งความกว้างประมาณ 2.5 เมตร มีความยาวประมาณ 20 เมตร ตัดผ่ากลางชุมชนท าให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยแก่คนในชุมชน เพราะไม่ต้องอ้อมไปไกลถึงท้ายชุมชน และยังเป็นถนนที่ สร้างความเข้มแข็งแก่ระบบเศรษฐกิจภายในชุมชนอีกด้วย เพราะถนนสายนี้อยู่กึ่งกลางชุมชน เมื่อชาวบ้านมีสินค้าที่ต้องการ จ าหน่ายก็จะน ามาวางขายที่ถนนแห่งนี้ กระทั้งปัจจุบันได้เกิดเป็นตลาดนัดของชุมชนในทุกๆ วันพุธและวันเสาร์ของสัปดาห์ และถนนสายนี้ที่มีความยาวเพียงประมาณ 20 เมตร กลับมีร้านขายของช าถึง 4 ร้าน จึงกล่าวได้ว่า พระสงฆ์ได้เข้าไปเป็นผู้มี บทบาทต่อชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น ในมิติต่างๆ ทั้งด้านของเศรษฐกิจ สังคม รูปแบบการปกครองภายในชุมชน วัฒนธรรม โครงสร้างพื้นฐานของชุมชน ฯลฯ และอื่นๆ อันเป็นลักษณะของรูปทุนในมิติด้านมนุษย์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับ อ าไพรัตน์ อักษรพรหม และคณะ (2562) ที่กล่าวว่า ทุนทางสังคมนั้น กินความหมายที่กว้างและบางครั้งแต่ละองค์ประกอบก็ ยากที่จะแยกออกจากกันเพราะแต่ละด้านมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยมีองค์ประกอบที่ส าคัญอย่างหนึ่ง คือ บุคคล ได้แก่ คนที่ท าแต่สิ่งดีๆ เรื่องดีๆ ให้เกิดขึ้นในชุมชน คนเก่ง คนมีความสามารถ คนที่ชักน าให้สมาชิกในชุมชนได้ร่วมคิด วางแผน และ ปฏิบัติในสิ่งดีๆ ของชุมชน ใช้ศักยภาพและคุณสมบัติทั้งหลายที่มีมาท าประโยชน์ต่อชุมชน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี บทสรุป จากผลการศึกษาสามารถน ามาสร้างเป็นข้อสรุปได้ ดังนี้ รูปทุน มี 2 มิติ คือ มิติด้านสิ่งแวดล้อมและมิติด้านมนุษย์ ดังนี้ มิติด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 1) กลุ่ม องค์กร และสถาบันชุมชน 2) เครือข่าย และ 3) ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีรายระเอียดดังนี้ 1) กลุ่ม องค์กร และสถาบันชุมชนที่มี รูปแบบการรวมกลุ่มของกลุ่มต่างๆ อย่างหลากหลาย บางกลุ่มลักษณะการรวมกลุ่มที่เข้มข้น แต่ในบางกลุ่มก็เป็นการรวมกลุ่ม กันอย่างหลวมๆ โดยส่วนมากเป็นการรวมกลุ่มกันอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อประโยชน์ของสมาชิก ภายในกลุ่ม เช่น กลุ่มเครือญาติ กลุ่มสตรีชุมชน กลุ่มจ าศีล เป็นต้น 2) เครือข่าย ที่ขับเคลื่อนโดยอาศัยการเชื่อมโยงข้อมูล ข่าวสาร และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของคนในชุมชน ผ่านรูปแบบความสัมพันธ์ที่แตกต่างอย่างจ าเพราะส าหรับเครือข่ายนั้นๆ โดยจัดเป็น 2 ประเภทหลัก คือ


Click to View FlipBook Version