รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 150 แบ่งข้างแยกขั้วไปแล้วก็ต้องอาศัยการเจรจาไกล่เกลี่ยโดยคนกลางหรือผู้ไกล่เกลี่ยผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสีย ดังนั้นต้องเป็นผู้ที่คู่ความ ให้ความเชื่อถือ ส่วนที่ 2 กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม หากพิจารณาตามผู้ท าหน้าที่ไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทจะแยกเป็น 2 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยผู้น าเป็นคนกลาง และ 2) รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยศูนย์ ยุติธรรมชุมชน ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีขั้นตอนและกระบวนการที่เหมือนกัน 4 ขั้นตอน คือ (1) ขั้นตอนการรับเรื่องราวไกล่เกลี่ย ระงับข้อพิพาท (2) ขั้นตอนแสวงหาข้อเท็จจริง/รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม (3) ขั้นตอนด าเนินการจัดกระบวนการไกล่เกลี่ยระงับ ข้อพิพาท และ (4) ขั้นตอนสรุปผลการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท จากผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยผู้น าเป็น คนกลางมีกระบวนการด าเนินการรวดเร็วกว่าอาศัยความเป็นผู้น าที่เข้าใจบริบทของพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ส่วนที่ 3 ปัญหา อุปสรรคของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม ปัญหา อุปสรรคของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่ในภาพรวมทั้ง มี 5 ด้าน ประกอบด้วย (1) ด้านผู้ท า หน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (2) ด้านสถานที่ (3) ด้านการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (4) ด้านกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และ (5) ด้านหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง พบปัญหาอุปสรรคด้านผู้ท าหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คือ ผู้ไกล่เกลี่ยต้องเป็นผู้ที่มี ประสบการณ์ มีความน่าเชื่อถือไม่ใช่ทุกคนจะสามารถท าหน้าที่ไกล่เกลี่ยได้ผู้ไกล่เกลี่ยขาดความรู้ความเข้าใจ ซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัยของ ชลาภรณ์ เจริญรัตน์ (2558) อธิบายว่า ปัจจัยด้านผู้ไกล่เกลี่ย ได้แก่ ประสบการณ์และความช านาญในการไกล่เกลี่ย และความรู้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทที่เข้าสู่การไกล่เกลี่ย ปัจจัยด้านกระบวนการในการไกล่เกลี่ย ประกอบไปด้วย การติดต่อประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่ของศูนย์ไกล่เกลี่ยกับผู้ไกล่เกลี่ย ระยะเวลาในการไกล่เกลี่ย และการนัดหมายใน การเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ย และขั้นตอนในการเจรจาไกล่เกลี่ย ไม่มีปัญหาอุปสรรคด้านสถานที่ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ จักรกริญน์ ทอดสูงเนิน และอรนันท์ กลันทปุระ (2557) อธิบายว่า สถานที่ตั้งในระยะทางที่เหมาะสม การเดินทางสะดวก หาง่าย เพราะเป็นศูนย์กลางของประชาชน และมีบุคลากรที่ปฏิบัติงานอย่างเพียงพอ พบปัญหาอุปสรรคด้านการด าเนินการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาท คือ ขาดการประชุมคณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชน เพื่อติดตามและประเมินผลการด าเนินงานของศูนย์ฯ ขาดการ มีส่วนร่วม ขาดการประชาสัมพันธ์ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Valaisatian (2003) ที่อธิบายไว้ว่า กระบวนการเสริมพลัง อ านาจให้กับชุมชน เป็นเสมือนกลยุทธ์ที่ส าคัญหรือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการพัฒนาศักยภาพของชุมชน เพื่อดึงศักยภาพ ในระดับตัวบุคคลออกมาท าให้คนรู้สึกมีอ านาจในการคิด/ตัดสินใจ และถ้าหากบุคคลที่อยู่ในชุมชนรวมกลุ่มกันก็จะกลายเป็น การยกระดับพลังอ านาจในลักษณะของกลุ่มคนในระดับที่ใหญ่ขึ้น หากชุมชนใช้พลังอ านาจในกระบวนการคิด/ตัดสินใจ เพื่อขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาบางอย่างในชุมชนร่วมกันในมิติของการพัฒนาย่อมหมายถึงการขับเคลื่อนกิจกรรมบางอย่าง ภายใต้แนวคิดของกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน มีมิติของความสัมพันธ์ของคนในชุมชนเกิดขึ้นตามมา ยิ่งร่วมคิด ร่วมท า ร่วมแก้ไขปัญหามากขึ้น ย่อมท าให้คนได้รับรู้ เกิดปัญญาและความสามารถในการตัดสินใจเพื่อก าหนดชีวิตด้วย พบปัญหาอุปสรรคด้านกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คือ ขาดการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการด าเนินงานตาม ภารกิจของศูนย์ฯ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (2560) ที่อธิบายว่า หลักการสร้าง การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนของสังคมได้เข้ามามีส่วน ร่วมกับภาครัฐ ซึ่งสามารถจะแบ่งระดับของการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนออกเป็น 5 ระดับ (1) การให้ข้อมูลข่าวสาร (2) การให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และความคิดเห็นเพื่อประกอบการตัดสินใจ (3) มีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานหรือร่วมเสนอแนะ ทางที่น าไปสู่การตัดสินใจ (4) ความร่วมมือโดยเป็นหุ้นส่วน เช่นคณะกรรมการที่มีฝ่ายประชาชนร่วมเป็นกรรมการ และ (5) การเสริมอ านาจแก่ประชาชนที่ให้บทบาทประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ พบปัญหาอุปสรรคด้านหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีการติดตามและประเมินผลการด าเนินงาน ไม่มีการจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่คณะกรรมการศูนย์ ยุติธรรมชุมชน ไม่มีงบประมาณที่เพียงพอในการสนับสนุนการด าเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 151 ณัฎฐณิชา ชวนประเสริฐ. (2557) อธิบายไว้ว่า การสนับสนุนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าเป็นในด้านงบประมาณ การประสานงานจากเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่การจัดฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างทักษะในการไกล่เกลี่ยนั้น มีส่วนส าคัญ ในการด าเนินงานด้านการไกล่เกลี่ยของเจ้าหน้าที่ศูนย์ยุติธรรมชุมชน เพราะการเสริมแรงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น จะก่อให้เกิดการขับเคลื่อนในการด าเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนที่ 4 แนวทางพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในระดับท้องถิ่น แนวทางพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในระดับท้องถิ่น ในภาพรวม คือ 1) ควรมีการก าหนดรูปแบบและ ขั้นตอนหรือแนวทางของกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้ชัดเจนซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ จุฬารัตน์ เอื้ออ านวยและคณะ (2553, น. 13-14) ที่ได้อธิบายว่า องค์ประกอบด้านรูปแบบวิธีการจัดการความขัดแย้ง ความขัดแย้ง/ข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ต้องการมาตรการหรือกลไกวิธีการชุดหนึ่งหรือลักษณะใดลักษณะหนึ่งมาใช้จัดการยุติหรือแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง/ข้อพิพาท 2) ควรมีการประชาสัมพันธ์ช่องทางการเข้าถึงกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Shery R. Arnstein (1969, อ้างถึงใน อรทัย ก๊กผล, 2552, น. 20-22) ที่ได้อธิบายว่า ระดับการให้ข้อมูลข่าวสาร (Informing) การให้ ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ความรับผิดชอบและทางเลือกนโยบายต่างๆ แก่ประชาชนถือเป็นครั้งแรกของการมีส่วนร่วมของ ประชาชนที่แท้จริง 3) ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งสอดคล้อง กับแนวคิดของ Shery R. Arnstein (1969, อ้างถึงใน อรทัย ก๊กผล, 2552, น.20-22) ที่ได้อธิบายว่า ระดับการปรึกษาหารือ (Consultation) การชักชวนให้ประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็น เช่น การส ารวจความคิดเห็น การประชุมชุมชน การท า ประชาพิจารณ์ ฯลฯ กิจกรรมดังกล่าวเป็นวิธีการพยายามดึงดูดประชาชนให้มาเข้าร่วมและปริมาณการมีส่วนร่วม ยังสามารถ วัดผลออกเป็นเชิงปริมาณได้ เช่น จ านวนประชาชนที่เข้าร่วมการประชุม จ านวนเอกสารที่แจกออกไป จ านวนแบบสอบถามที่ ประชาชนตอบ ฯลฯ 4) ควรมีการขับเคลื่อนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยการจัดกิจกรรมหรือจัดฝึกอบรมให้ความรู้เพื่อกระตุ้นให้ ด าเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ศักดิ์ชาย สุนทรธนาภิรมย์ (2565) ได้ ท าการศึกษาเรื่อง แนวทางการพัฒนาระบบและศักยภาพการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของหน่วยงานซึ่งด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อ พิพาทตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 พบว่า 5) ควรมีการอบรมความรู้ด้านกฎหมายเพิ่มเติม และ ควรเพิ่มหลักสูตรการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเฉพาะทาง เชิญชวนประชาชนผู้มีจิตอาสาและมีความพร้อมเป็นที่ยอมรับของชุมชนเข้า มาร่วมท างานกับศูนย์ยุติธรรมชุมชน ซึ่งสอดคล้องงานวิจัยของ Panova (2007) ได้ท าการศึกษาการด าเนินงานของหน่วยงาน ภาครัฐในระดับท้องถิ่น จากการที่รัฐบาลส่วนกลางได้กระจายอ านาจในการจัดบริการสาธารณะไปยังหน่วยงานในระดับ ท้องถิ่น ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่น าไปสู่ความส าเร็จในการจัดบริการสาธารณะของท้องถิ่นภายใต้แนวคิดชุมชนเป็นฐานที่ ส าคัญ คือ การร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในระดับท้องถิ่นอย่างเข้มแข็งและการสร้างความรู้สึกให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึง ความเป็นเจ้าของท้องถิ่นร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในชุมชน 6) ควรสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหรือผู้มีประสบการณ์ด้าน การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเข้ามามีส่วนร่วมในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Cohen and Uphoff (1980, pp. 324-328) ที่ได้อธิบายว่า การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ (benefits) โดยอาจจะเป็น ผลประโยชน์ทางวัตถุ ทางสังคม หรือโดยส่วนตัว กล่าวคือ1 ผลประโยชน์ด้านวัตถุ เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของบุคคล เช่น รายได้และทรัพย์สิน ผลประโยชน์ด้านสังคม เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานด้านสาธารณะ ได้แก่ บริการหรือความพึงพอใจ การสาธารณูปโภค การเพิ่มโครงการพัฒนาท้องถิ่น ผลประโยชน์ด้านบุคคล เป็นความปรารถนาที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มเป็น ความต้องการอ านาจทางสังคมและการเมือง 7) ควรมีการส่งเสริมผู้มีประสบการณ์ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเข้าร่วมฝึกอบรม เกี่ยวกับทักษะการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของ ณัฎฐณิชา ชวนประเสริฐ. (2557) อธิบายแนวทางพัฒนาเครือข่ายยุติธรรมชุมชน (1) ควรได้รับการสนับสนุนและการประสานงานอย่างต่อเนื่องในด้านการไกล่เกลี่ย รวมถึงเร่งรัดการจัดโครงการฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพของเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ย (2) ควรมีการจัดท าเอกสารให้ความรู้ ขั้นตอน กระบวนการ ประโยชน์ และการปฏิบัติตนเมื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท (3) ควรมีการพัฒนาในเรื่องขององค์
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 152 ความรู้ ความช านาญในการไกล่เกลี่ย โดยการเข้ารับการฝึกอบรมจากหน่วยงานราชการ เพื่อส่งเสริมให้กระบวนการไกล่เกลี่ย เกิดผลส าเร็จ 8) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรสนับสนุนงบประมาณให้กับหน่วยงานท้องถิ่นในการด าเนินงานของศูนย์ ยุติธรรมชุมชน เพื่อพิจารณาให้ค่าตอบแทนคณะกรรมการศูนย์และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้มีผู้ที่มีความรู้ และ ความสามารถเข้ามาร่วมท างานกับศูนย์ยุติธรรมชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ จักรกริญน์ ทอดสูงเนิน และ อรนันท์ กลันทปุระ (2557) อธิบายว่า การด าเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนควรได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณในการด าเนินการ จากหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐให้มากขึ้น9) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรมีการแก้ไขระเบียบ/กฎหมายในส่วนของอ านาจ หน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการส่งเสริมการด าเนินการด้านกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสอดคล้องกับงานของ ชลัท ประเทืองรัตนา (2565) ได้ท าการศึกษาเรื่อง หลักการ โอกาส อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้น พนักงานสอบสอนตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 พบว่า แนวคิดยุติธรรมสมานฉันท์ที่จะช่วยลดภาระ ของกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก ดังนั้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลจึงควรมีการพัฒนาและปรับปรุงทั้งใน ส่วนของเนื้อหากฎหมาย สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน 10) ศูนย์ยุติธรรมชุมชนควรมีประชุมติดตามและประเมินผล การด าเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชน ว่ามีปัญหา อุปสรรค หรือไม่ อย่างไร ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ อรทัย ก๊กผล (2552, น.17) ที่ได้อธิบายว่า การมีส่วนร่วม คือ กระบวนการที่ประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีโอกาสได้เข้ามามีส่วนในการแสดง ทัศนะ การแลกเปลี่ยนข้อมูล และความคิดเห็น เพื่อแสวงหาทางเลือกร่วมกันในการตัดสินใจต่างๆ เกี่ยวกับโครงการหรือ กิจกรรมที่เหมาะสม จึงควรเข้าร่วมในกระบวนการนี้ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงการติดตามและประเมินผล เพื่อให้เกิด ความเข้าใจสามารถปรับเปลี่ยนโครงการร่วมกันซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย 11) ควรมีการประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแผนหรือก าหนดทิศทางเกี่ยวกับการอ านวยความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่ให้ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ของ William Erwin (1976) ได้ให้ความหมายว่า การมีส่วนร่วมเป็นกระบวนการที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใน การด าเนินงานด้านการพัฒนา การร่วมคิด การร่วมตัดสินใจ รวมถึงการแก้ปัญหาของตนเอง โดยเน้นการมีส่วนเกี่ยวข้องอย่าง แข็งขันกับประชาชนในการใช้ความคิดสร้างสรรค์และความช านาญ มาแก้ไขร่วมกับการใช้วิทยาการที่เหมาะสมและสนับสนุน ติดตามการปฏิบัติงานขององค์การและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง 12) ควรมีการส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักและให้ความส าคัญ ของการมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ทรงวุฒิ เรืองวาทศิลป์ (2550, น.35-37) กล่าวไว้ว่า การมีส่วนร่วม คือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทร่วมในกิจกรรม ทุกประการตามก าลังความสามารถของสมาชิกไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การด าเนินกิจกรรม การติดตามตรวจสอบ และ การประเมินผลร่วมกันน าผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไขพัฒนางานในกลุ่มให้มีประสิทธิภาพยิ่งๆ ขึ้น 13) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรลงพื้นที่ติดตามและประเมินผลการด าเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของศูนย์ยุติธรรมชุมชน หรือไม่ อย่างไร ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ สมลักษณา ไชยเสริฐ (2549, น. 142-149) ที่ได้อธิบายว่า การประเมินผล (Appraisal) คือ การประเมินผลเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการมีส่วนร่วม และถือเป็นเครื่องมือส าคัญอย่างหนึ่งของผู้บริหาร ในการบริหารทรัพยากรบุคคลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 1) ควรมีการก าหนดนโยบายและวางแผนเกี่ยวกับอ านาจหน้าที่ภารกิจด้านการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค ประชาชนของแต่ละหน่วยงานหรือองค์กรให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสนในเข้ารับบริการ 2) ควรมีการบูรณาการเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และน ามาประยุกต์ใช้ในการด าเนินการด้านยุติธรรมชุมชนใน ท้องถิ่นอย่างเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 153 3) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรมีการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวกับอ านาจหน้าที่ขององค์ปกครอง ส่วนท้องถิ่นให้สามารถด าเนินการด้านความยุติธรรม เพื่อให้องค์ปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรม ชุมชน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาด้านหน้าที่ซ้ าซ้อน 4) ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระดับท้องถิ่น การสร้างความรู้ ความเข้าใจ ตั้งแต่ขั้นตอนการรับรู้ข้อมูล การร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมเสนอปัญหาและความต้องการ ร่วมแก้ไขปัญหา ร่วมตัดสินใจ ร่วมด าเนินการ และร่วมติดตามประเมินผล รวมทั้งร่วมรับผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1) ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม อ าเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม กับท้องถิ่นอื่น เพื่อน าไปสู่การวิเคราะห์ สร้างรูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนที่เหมาะสมกับ บริบทของพื้นที่ 2) ควรมีการศึกษาความพึงพอใจของคู่พิพาทที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้น าเป็นคนกลางต่อบทบาท การท าหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในชุมชน 3) ควรมีการศึกษาปัจจัยที่น าไปสู่ความส าเร็จของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของรูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้น า เป็นคนกลางในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม บทสรุป การด าเนินงานด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม ในปัจจุบันยังอยู่ในระยะ เริ่มต้น ถึงแม้ว่าจะมีการจัดตั้งศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสามง่าม เพื่อท าหน้าที่ในการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในระหว่าง ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่อันเป็นการช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ าและอ านวยความสะดวกในการเข้าถึงความเป็นธรรมให้แก่ ประชาชน อย่างไรก็ตามในการด าเนินงานด้านยุติธรรมชุมชนของศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสามง่าม ยังขาดการขับเคลื่อน การด าเนินการตามภารกิจของศูนย์ยุติธรรมชุมชน ขาดประสบการณ์ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ขาดการติดตามและประเมินผล การด าเนินการ ท าให้ไม่ทราบว่าการด าเนินการของศูนย์ยุติธรรมชุมชนเป็นไปตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งหรือไม่ อย่างไร มีปัญหา อุปสรรคหรือไม่ อย่างไร กระบวนการหรือขั้นตอนการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร และ จากการศึกษารูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม นอกจากรูปแบบการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทโดยศูนย์ยุติธรรมชุมชน ยังมีรูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้น าเป็นคนกลางที่จะมีผู้น าท้องที่และผู้บริหารท้องถิ่น ท าหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่มีขั้นตอนการด าเนินการที่ไม่ยุ่งยากสามารถด าเนินกระบวนการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทได้ตั้งแต่ต้นจนยุติข้อพิพาทด้วยผู้น าชุมชนเอง อย่างไรก็ตามรูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้น าเป็นคนกลาง ควรค านึงถึงความเป็นกลาง ความน่าเชื่อถือ เพื่อความโปร่งใสและความเป็นธรรม ผู้ไกล่เกลี่ยไม่ควรเป็นผู้มีความสัมพันธ์เป็น เครือญาติกับคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจท าให้คู่กรณีเกิดความสงสัยว่าผู้ไกล่เกลี่ยสามารถแยกความสัมพันธ์ส่วนตัวออกจาก การท าหน้าที่ได้หรือไม่ ซึ่งจะน าไปสู่ความไม่น่าเชื่อถือและท าให้คนในชุมชนเกิดความไม่ไว้วางใจในที่เข้ารับการไกล่เกลี่ยข้อ พิพาท ดังนั้น ผู้ไกล่เกลี่ยควรแสดงตนให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ก าหนดให้ ชัดเจนว่าในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแต่ละครั้ง ต้องมีจ านวนผู้ท าหน้าที่กี่คน แต่ละคนท าหน้าที่อะไร มิใช่ขึ้นอยู่กับความพึง พอใจของผู้น าที่ท าหน้าที่ไกล่เกลี่ย ทั้งนี้ ควรมีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่มีผู้มาร้องขอให้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแต่ละกรณี เพื่อให้คู่กรณีและบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบได้ว่ากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด าเนินการไปด้วยความโปร่งใสและ เป็นธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการใช้เทียบเคียงกับกรณีอื่นๆ ที่มีสาระส าคัญของเหตุการณ์เหมือนกันหรือใกล้เคียง กัน เพื่อท าให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชุมชนมีมาตรฐานสามารถด าเนินการโดยบรรทัดฐานเดียวกันได้
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 154 จะเห็นได้ว่า การด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม ทั้งรูปแบบการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทโดยผู้น าเป็นคนกลาง และรูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยศูนย์ยุติธรรมชุมชนจะมีความแตกต่าง ดังนั้น การที่จะ ท าให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม มีความชัดเจนมากและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น จึงควรน ารูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้น าเป็นคนกลางที่อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชุมชนที่ประชาชนให้ความ ยอมรับ ไว้วางใจ เชื่อมั่นให้ด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาประยุกต์ใช้กับรูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยศูนย์ยุติธรรม ชุมชนที่มีขั้นตอนและกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ชัดเจนเป็นระบบ มีการบันทึกข้อมูลการรับเรื่อง หลักฐานและเอกสารที่ เกี่ยวข้อง การด าเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนยุติเรื่อง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น โปร่งใส เป็นธรรมและสามารถ ตรวจสอบการด าเนินการในทุกขั้นตอนได้ โดยบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการด าเนินการของ ศูนย์ยุติธรรมชุมชนอย่างจริงจัง เปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการด าเนินการของศูนย์ยุติธรรมชุมชนตาม แนวทาง “ยุติธรรมถ้วนหน้า ประชามีส่วนร่วม” (Justice for All , All for Justice) ตั้งแต่เปิดรับฟังความคิดเห็น การวางแผน ก าหนดทิศทางการด าเนินงานร่วมกัน การร่วมกันปฏิบัติ ร่วมรับผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการติดตามและ ประเมินผลการด าเนินงาน ทั้งนี้การด าเนินงานจ าเป็นต้องมีการประชุมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้การด าเนินงาน ของศูนย์ยุติธรรมชุมชนมีการขับเคลื่อนสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งและตอบสนองความต้องการของคนในชุมชนตาม กระบวนการยุติธรรมทางเลือกอย่างแท้จริง อันจะน าไปสู่การพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในระดับท้องถิ่น ต่อไป เอกสารอ้างอิง กิตติพงษ์ กิตยารักษ์. (2550). การไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทและความขัดแย้งในชุมชน. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย. จุมพล หนิมพานิช. (2551).การวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: จุฬารัตน์ เอื้ออ านวย และคณะ. (2553). การพัฒนากรอบแนวทางการวิจัยชุดโครงการกระบวนการยุติธรรมทางเลือกใน สังคมไทย. กรุงเทพฯ: กระทรวงยุติธรรม, ส านักงานกิจการยุติธรรม. ชลัท ประเทืองรัตนา. (กรกฎาคม 2565). โอกาสและอุปสรรคในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้นพนักงานสอบสวนตาม พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 9(7), 150. ชลาภรณ์ เจริญรัตน์ (2558). ปัจจัยที่มีผลต่อความส าเร็จในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี: กรณีศึกษา ศูนย์ไกล่เกลี่ย ข้อพิพาท กรมบังคับคดี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะนิติศาสตร์.. ณัฎฐณิชา ชวนประเสริฐ. (2557). ปัญหาอุปสรรคของเครือข่ายยุติธรรมชุมชนในการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท: กรณีศึกษา เจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยของศูนย์ยุติธรรมชุมชน อ าเภอโคกส าโรงจังหวัดลพบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะนิติศาสตร์. ทรงวุฒิ เรืองวาทศิลป์. (2550). การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาในพื้นที่บริการของโรงเรียนล้อมแรดวิทยา อ าเภอเถิน จังหวัดล าปาง. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. วันชัย วัฒนศัพท์. (2550). ความขัดแย้ง: หลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา. นนทบุรี: สถาบันพระปกเกล้า. วันชัย ธรรมสัจการ และคณะ. (มกราคม-เมษายน 2565). ทุนชุมชนและศักยภาพในการจัดการตนเองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของชุมชนท้องถิ่น. วารสารนาคบุตรปริทรรศน์, 14(1).
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 155 สมลักษณา ไชยเสริฐ. (2549). การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในคณะกรรมการตรวจสอบติดตามการบริหารงาน ต ารวจนครบาล. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต: สัญญพงศ์ ลิ่มประเสริฐ. (2562). ยุติธรรมชุมชน: กระบวนการยุติธรรมทางเลือกในสังคมไทย. งานประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต. ปทุมธานี. สุภางค์ จันทวานิช. (2554). วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. (2560). การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม: เทคนิควิธีและการน าไปสู่การปฏิบัติ (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, ศูนย์สื่อและสิ่งพิมพ์แก้วเจ้าจอม. อิทธิศักดิ์ พลศรี. (2551). บทบาทผู้น าในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน: กรณีศึกษาบ้านชาด ต าบลหนามแท่ง อ าเภอ ศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, คณะศิลปศาสตร์, สาขาวิชาสังคมศาสตร์และการพัฒนา. Cohen, J. M., and Uphoff, N. T. (1997). Rural Development participation. New York: concepts and measures for project design implementation and evaluation Panova, E. (2007). Social services against new employment (sane) project person responsible for the best practice project. Sofia, Bulgaria. PhraMaha, hansa Dhammahaso. (2011). Buddhist Peaceful Means: Integration of Principles and Tools for Conflict Management.Bangkok: 21 Century Co., Ltd. Valaisatian, P. et al. (2003). Processes and Techniques of Work of Developers.Bangkok: Usa Printing. William, E. (1976). Electoral Participation in a Low Stimulus Election.Rural Development, 4(1).
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 156 การส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ:กรณีศึกษาคุรุสภา1 Promotion of the roles of social workers in interviews with child victims of sexual abuse: A case study of the Teachers’ Council of Thailand ณัฏฐ์ณิภัค อนุศาสนัน2 Nadnipuck Anusasanan3 ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์4 Tanya Rujisatiensap5 Abstract The objectives of this study were 1) to study the roles of social workers in interviews with child victims of sexual abuse on a case study of the Teachers’ Council of Thailand, 2) to study the guidelines for promoting cooperation of social workers in the multidisciplinary team in interviews with child victims of sexual abuse on a case study of the Teachers’ Council of Thailand. This study was a qualitative research and a case study of the Teachers’ Council of Thailand was used. The key informants were selected using purposive sampling method consisting of 10 social workers registered with the Ministry of Justice according to Thai Criminal Procedure Code, 3 lawyers of the Teachers’ Council of Thailand and 2 directors of The Teachers’ Council of Thailand. The results showed that social workers play roles in three phases of the interviews with child victims of sexual abuse. These three phases include 1) prior to the interview, the social worker act as a member of the multidisciplinary team; 2) during the interview, the social worker play a role as an advisor, communicator, and children’s right defender; and 3) after the interview, the social worker play role as an educator. The guidelines for promoting cooperation between social workers in the multidisciplinary team in interviews with child victims of sexual abuse are as follows: 1) professional integration; 2) networking; 3) organizing special training courses for interviews with child victims of sexual abuse for the Teachers’ Council of Thailand; and 4) the presence of a social worker at all times during interviews with child victims of sexual abuse without exception. Keywords: Roles of Social Workers, Interview with Child Victim, Sexual Abuse บทคัดย่อ บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ ถูกล่วงละเมิดทางเพศรายกรณี และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมให้มีนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับสหวิชาชีพในการถาม ปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นรายกรณีของคุรุสภา ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิธีการ 1 บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของสารนิพนธ์ เรื่อง “แนวทางการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ: กรณีศึกษาคุรุสภา” 2 นักศึกษาปริญญาโท, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 3 Master student of social work, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 4 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจ าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 5 Assistance Professor Dr., Lecturer in Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 157 สัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมูลหลักมาจากการคัดเลือกด้วยวิธีการแบบเจาะจง ประกอบด้วย นักสังคมสงเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญาที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงยุติธรรม จ านวน 10คน นิติกรในคุรุสภา จ านวน 3 คน และผู้อ านวยการในคุรุสภา จ านวน 2 คน ผลการศึกษาพบว่า บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ 1) บทบาทก่อนถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะแสดงบทบาททีมสหวิชาชีพ 2) บทบาทระหว่างถาม ปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะแสดงบทบาทบทบาทการให้ปรึกษา บทบาทการเป็นผู้สื่อสาร บทบาทผู้พิทักษ์สิทธิ และ 3) บทบาท หลังถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะแสดงบทบาทผู้ให้ความรู้ ส าหรับแนวทางการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับสห วิชาชีพในการถามปากค าเด็ก คือ 1) การบูรณาการวิชาชีพ 2) การท างานเป็นเครือข่าย 3) การจัดอบรมหลักสูตรการถามปากค าเด็ก ในคุรุสภา และ 4) การจัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ร่วมด้วยตลอดโดยไม่มีข้อยกเว้น ค าส าคัญ: บทบาทนักสังคมสงเคราะห์, ถามปากค าเด็ก, การล่วงละเมิดทางเพศ บทน า การถามปากค าเด็กในคุรุสภา มีความเกี่ยวข้องกับเด็กผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ถูกครูใช้ความรุนแรงในประเภท ต่างๆ ได้แก่ ความรุนแรงต่อกาย การล่วงละเมิดทางเพศ ความรุนแรงต่อจิตใจ และการปล่อยปละละเลยหรือทอดทิ้งเด็ก ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 133 ทวิ ได้บัญญัติให้ “มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็ก ร้องขอ และพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยในการถามปากค าเด็ก และในกรณีที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เห็นว่า การถามปากค าเด็กคนใดหรือค าถามใด อาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจเด็กอย่างรุนแรง ให้พนักงานสอบสวนถามผ่าน นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เป็นการเฉพาะตามประเด็นค าถามของพนักงานสอบสวน โดยมิให้เด็กได้ยินค าถามของ พนักงานสอบสวนและห้ามมิให้ถามเด็กซ้ าซ้อนหลายครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร” เนื่องด้วยแต่เดิมวิธีการถามปากค าพยาน ซึ่งเป็นเด็กใช้วิธีการเดียวกันกับผู้ใหญ่ แต่ในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนมีความช านาญด้านจิตวิทยาเด็ก ไม่เพียงพอ และไม่ได้ค านึงถึงสภาพร่างกายและจิตใจของเด็ก การใช้ภาษาในการถามเด็กยังไม่เหมาะสม อันเป็นเหตุให้ การถามปากค าพยานเด็กส่งผลกระทบต่อจิตใจและส่งผลต่อการสอบสวนคาดเคลื่อน จึงได้มีการแก้ไขเพิ่มเพิ่มเติมในฉบับที่ 20 พ.ศ. 2542(จุลสิงห์ วสันตสิงห์, 2552)กรณีเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ การถามปากค าพยานเด็กเป็นสิ่งที่มีความละเอียดอ่อน ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็ก จึงจ าเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ ความช านาญพิเศษเฉพาะเข้าร่วมกันให้ความ ช่วยเหลือเด็ก เพื่อให้เด็กได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม (นัยนา ธนวัฑโฒ, 2551) และเพื่อให้บรรยากาศไม่ตึงเครียด มีความ เป็นมิตรกับเด็ก (วาสนา ภัทรนันทกุล, 2562) นอกจากนี้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้บัญญัติให้รัฐมนตรีว่า การกระทรวงศึกษาธิการรักษาการ และให้มีอ านาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และออกกฎกระทรวงหรือระเบียบเพื่อปฏิบัติตาม พระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นคณะอนุกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาจึง เห็นความส าคัญในการศึกษาการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าเด็กร่วมกันกับนิติกร และครู หรือผู้ ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการสอบสวนการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพผู้ที่ท า หน้าที่ในการถามปากค าพยานเด็กของคุรุสภาเพื่อให้ความคุ้มครองแก่เด็กได้อย่างเหมาะสม วัตถุประสงค์ในการศึกษา 1. เพื่อศึกษาบทบาทนักสงคมสงเคราะห์ในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศรายกรณี 2. เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมให้มีนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับสหวิชาชีพในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ ถูกครูล่วงละเมิดทางเพศเป็นรายกรณีของคุรุสภา
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 158 นิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการ บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ หมายถึง นักสังคมสงเคราะห์ซึ่งผ่านการอบรมตาม ป.วิ อาญา ท าหน้าที่ในขั้นตอน การถามปากค าเด็กซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการถูกครูล่วงละเมิดทางเพศร่วมกันกับนิติกรของคุรุสภา และผู้ประกอบวิชาชีพทาง การศึกษา เพื่อให้ความคุ้มครองแก่เด็กในระหว่างการถามปากค า โดยมีบทบาทการเป็นตัวกลาง บทบาทการเป็นผู้สื่อสาร บทบาท ผู้พิทักษ์สิทธิ บทบาทผู้ให้ความรู้ บทบาทเป็นที่ปรึกษา บทบาทผู้จัดการรายกรณี บทบาทผู้ประสานงาน บทบาทผู้อ านวยความ สะดวก บทบาททีมสหวิชาชีพ และบทบาทผู้ไกล่เกลี่ย สหวิชาชีพ หมายถึง บุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายคุ้มครองเด็กในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็ก อันได้แก่ นัก สังคมสงเคราะห์ซึ่งผ่านการอบรมตามป.วิ อาญา นิติกรของคุรุสภา และผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็น อนุกรรมการสอบสวนการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ การท างานของสหวิชาชีพ หมายถึง การท างานร่วมกันระหว่างสองวิชาชีพขึ้นไป ในการแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีที่เด็กถูก ทารุณกรรมทางเพศ และประชุมเพื่อหาแนวทางในการให้ความคุ้มครองแก่เด็กโดยค านึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นหลัก เด็ก หมายถึง บุคคลซึ่งมีอายุระหว่าง 12-18 ปีบริบูรณ์ ที่ก าลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนของรัฐและเอกชน การถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็ก หมายถึง การสืบเสาะพินิจ การปฏิบัติต่อเด็ก โดยไม่เลือกปฏิบัติ และการคุ้มครอง สวัสดิภาพเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เด็กนักเรียนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หมายถึง เด็กที่มีบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกล่าวโทษต่อคุรุสภาว่าครูได้กระท า กิจกรรมทางเพศต่อเด็กนักเรียนตั้งแต่การกอด จูบ ลูบคล า การให้ดูสื่อลามกอนาจาร และรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยวิธีบังคับ ข่มขู่ หรือหลอกล่อ ครู หมายถึง บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพหลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีต่างๆ ในสถานศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน แนวทางการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในคุรุสภา หมายถึง แนวทางการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ ร่วมกับวิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้องในการถามปากค าเด็กซึ่งถูกครูล่วงละเมิดทางเพศ ให้เกิดขึ้นในคุรุสภา แนวคิด ทฤษฎี และการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ:กรณีศึกษาคุรุ สภาจึงได้มีการทบทวนแนวคิดวรรณกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแนวคิดและทฤษฎีบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์และแนวทาง ในการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์เป็นแนวคิดหลักที่ใช้ในการศึกษา มีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ตามป. วิอาญา มีบทบาทที่ส าคัญ คือ1) บทบาทการตัวกลาง (Broker)คือการเชื่อมโยง ระหว่างผู้ใช้บริการซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงความรู้บริการ และแหล่ง ทรัพยากรทางสังคม เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงผู้ใช้บริการกับครอบครัว รวมทั้งเป็นตัวกลางในการประสานและส่งต่อให้แก่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง2) บทบาทการเป็นผู้สื่อสาร (Communication)คือการใช้ทักษะการสื่อสารข้อมูลอย่างถูกต้องชัดเจน เข้าใจ ได้ง่าย การสื่อสารเพื่อจัดการความขัดแย้ง และท าให้ผู้ใช้บริการเกิดความพึงพอใจ 3) บทบาทผู้พิทักษ์สิทธิ(Advocate)คือ การพิทักษ์สิทธิประโยชน์ของผู้ใช้บริการให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรทางสังคม ให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความต้องการ ข้อเรียกร้อง และสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้ใช้บริการ คุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้บริการ 4) บทบาทผู้ให้ความรู้ (Educator)คือ ให้ความรู้แก่ผู้ใช้บริการ เข้าใจ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับนักสังคมสงเคราะห์5) บทบาทให้ค าปรึกษา (Consultant)คือการให้ค าปรึกษาแก่ผู้ใช้บริการ ให้ข้อมูลเพื่อช่วยเหลือให้บุคคลและครอบครัวสามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่ของตน น ามาใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม 6) บทบาทผู้จัดการ (Manager)คือการรวบรวมข้อมูลแยกประเภทข้อมูล วิเคราะห์ ข้อมูลค้นหาบริการและช่วยเหลือให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงบริการ และวางแผนในการด าเนินงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 159 รวมทั้งการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ7) บทบาทผู้ประสานงาน (Coordinator)คือ ประสานงานกับวิชาชีพ หน่วยงาน และ ผู้ใช้บริการ โดยประเมินและวางแผนการจัดบริการรายกรณีเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการ รวมทั้งติดตามและประเมินผลภายในองค์กรและการปฏิบัติของคนในองค์กร เพื่อให้การท างานมีประสิทธิภาพ 8) บทบาทผู้อ านวย ความสะดวก(Facilitator)คือการอ านวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการและวิชาชีพต่างๆโดยการส่งเสริมสนับสนุนการให้บริการต่อ ผู้ใช้บริการและครอบครัวการจัดหาบริการทางสังคมที่เหมาะสมให้กับผู้ใช้บริการ แนะน าให้บริการที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลและ ครอบครัว ให้ความรู้แก่ผู้ใช้บริการ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถพึ่งพาตัวเองได้และรวบรวมกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย เข้าด้วยกัน 9) บทบาททีมสหวิชาชีพ (Interdisciplinary)คือการปฏิบัติงานร่วมกันกับวิชาชีพอื่นเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ใช้บริการ โดยใช้องค์ความรู้จากหลากหลายวิชาชีพ เช่น ด้านสุขภาพจิตด้านการดูแลสุขภาพ ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้านการบ าบัดด้าน การคุ้มครองเด็กคนพิการและผู้สูงอายุ เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน และเตรียมความพร้อมของผู้ใช้บริการก่อนกลับคืนสู่ ครอบครัวกลุ่มและชุมชน การสร้างความเข้าใจกับระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้บริการเพื่อสร้างการยอมรับและน าไปสู่การปรับตัว ของผู้ใช้บริการกับครอบครัวและชุมชน 10) บทบาทผู้ไกล่เกลี่ย(Mediator)คือการท าหน้าที่เป็นผู้แทรกแซงข้อพิพาทระหว่างกรณี ช่วยไกล่เกลี่ยประนีประนอม และหาข้อตกลงร่วมกัน (ระพีพรรณ ค าหอม, 2555) แนวทางในการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับสหวิชาชีพในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็ก คือ 1) แนวทางการการส่งเสริมความเข้าใจต่อบทบาทนักสังคมสงเคราะห์(อรธิชา วิเศษโกสิน, 2551) ได้แก่ การพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ต่อผู้บริหาร ด้วยการส่งเสริมให้ผู้บริหารเข้าใจบทบาทหน้าที่ของนักสังคม สงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และรัฐธรรมนูญ และท าให้ผู้บริหารเข้าใจการปฏิบัติงาน ของนักสังคมสงเคราะห์2)การจัดอบรมหลักสูตรการคุ้มครองเด็ก เพื่อท าให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองเด็กเกิดความเข้าใจเด็กได้ เป็นอย่างดีเนื่องจากผู้ที่ผ่านการอบรมจะมีความรู้ความเข้าใจจิตวิทยาเด็ก ส่งผลต่อวิธีการตั้งค าถาม การใช้ค าพูดที่จะ ไม่กระทบกระเทือนต่อจิตใจของเด็ก 3) การจัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ร่วมด้วยตลอดไม่มีข้อยกเว้นว่าเป็นกรณีเร่งด่วนที่ ไม่ต้องมีนักสังคมสงเคราะห์(รจเรข โกมุท,2553)และแนวทางการส่งเสริมอัตราก าลังนักสังคมสงเคราะห์ได้แก่การบูรณาการ วิชาชีพ ด้วยการบูรณาการบทบาทของแต่ละวิชาชีพ คือ ครูนักสังสงเคราะห์และนิติกร ให้สามารถท างานร่วมกันได้ และก าหนดแนวทางในการประสานส่งต่ออย่างมีรูปแบบที่ชัดเจนเพื่อท าให้การท างานคุ้มครองเด็กเกิดประสิทธิภาพ และ 4)การท างานเป็นเครือข่ายด้วยการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ เพื่อช่วยสอดส่องดูแลและหากพบเห็นว่ามีการกระท า ทารุณกรรมเด็กให้แจ้งเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง ครูหรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพ (วาสนา ภัทรนันทกุล, 2561) กรอบแนวคิดในการศึกษา บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ 1) ก่อนถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะแสดงบทบาท ดังนี้ 1) บทบาทก่อนถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะแสดงบทบาท ดังนี้ บทบาททีมสหวิชาชีพ นักสังคมสงเคราะห์จ าเป็นต้องปฏิบัติงานร่วมกันกับวิชาชีพอื่นๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ใช้บริการ โดยใช้องค์ความรู้จากหลากหลายวิชาชีพ เช่น ด้านสุขภาพจิต ด้านการดูแลสุขภาพ ด้านการฟื้นฟู้สมรรถภาพ ด้านการบ าบัด ด้านการคุ้มครองเด็ก คนพิการและผู้สูงอายุ เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน และเตรียมความพร้อมของผู้ใช้บริการก่อน กลับคืนสู่ครอบครัว กลุ่มและชุมชน การสร้างความเข้าใจกับระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กเพื่อสร้างการยอมรับและน าไปสู่ การปรับตัวของเด็กกับครอบครัวและชุมชน บทบาทผู้จัดการรายกรณี นักสังคมสงเคราะห์ต้องท าหน้าที่เป็นผู้จัดการ เพราะมี ความรู้ความเชี่ยวชาญในการจัดการรายกรณี โดยต้องท าการรวบรวมข้อมูล แยกประเภทข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ค้นหาบริการ และช่วยเหลือให้ผู้เด็กสามารถข้าถึงบริการ และวางแผนในการด าเนินงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งการประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ และมีบทบาทส าคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขสถานการณ์ที่ยุ่งยาก ซับซ้อน เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้แก่เด็ก
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 160 2) บทบาทระหว่างถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะแสดงบทบาทดังนี้ บทบาทการเป็นตัวกลาง นักสังคมสงเคราะห์ท า หน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างเด็กซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อให้เด็กสามารถเข้าถึงความรู้ บริการ และแหล่งทรัพยากรทางสังคม เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงเด็กกับครอบครัว รวมทั้งการประสานและส่งต่อให้แก่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บทบาทการเป็นผู้สื่อสาร นักสังคมสงเคราะห์ต้องใช้ทักษะการสื่อสารข้อมูลอย่างถูกต้องชัดเจน เข้าใจ ได้ง่าย แก่เด็ก และต้องร่วมพูดคุยกับกลุ่มต่างๆ เช่น โรงเรียน หน่วยงาน หรือองค์กร เจ้าหน้าที่ต ารวจ นิติกร เป็นต้น บทบาท ผู้พิทักษ์สิทธิ นักสังคมสงเคราะห์จะมีบทบาทเป็นพิทักษ์สิทธิประโยชน์ของเด็ก โดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความต้องการ ข้อเรียกร้อง และสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมายของเด็ก คุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้กับเด็ก และในบางครั้งนักสังคมสงเคราะห์ จะต้องต่อสู้เพื่อสิทธิของเด็ก บทบาทที่ปรึกษา นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการให้ค าปรึกษาแก่เด็ก ให้ข้อมูล เพื่อช่วยเหลือ ให้เด็กและครอบครัวสามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่ของตนน ามาใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม และท าหน้าที่ ประนีประนอมไม่ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างวิชาชีพ บทบาทผู้อ านวยความสะดวก นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการอ านวย ความสะดวกให้แก่เด็ก และระหว่างวิชาชีพต่างๆ โดยการส่งเสริมสนับสนุนการให้บริการต่อเด็กและครอบครัว การจัดหา บริการทางสังคมที่เหมาะสมให้กับเด็ก การแนะน าให้บริการที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลและครอบครัว ให้ความรู้แก่เด็ก เพื่อช่วย ให้เด็กสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และมีบทบาทในการรวบรวมกลุ่มคนที่มีความหลากหลายเข้าด้วยกันบทบาทผู้ไกล่เกลี่ย นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการการเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ซึ่งเป็นทักษะที่จ าเป็นของวิชาชีพ โดยท าหน้าที่เป็นผู้แทรกแซงข้อ พิพาทระหว่างกรณี ช่วยไกล่เกลี่ยประณีประนอม และหาข้อตกลงร่วมกัน 3) บทบาทหลังถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะ แสดงบทบาทดังนี้ บทบาทผู้ให้ความรู้ นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการให้ความรู้ กระตุ้นให้เด็กเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา และยอมรับปัญหาได้ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับนักสังคมสงเคราะห์ บทบาทผู้ประสานงาน นักสังคมสงเคราะห์มี บทบาทในการเป็นผู้ประสานงานกับวิชาชีพต่างๆ หน่วยงานต่างๆ และเด็ก โดยประเมินและวางแผนการจัดบริการรายกรณี เพื่อให้เด็กได้รับบริการที่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการ รวมทั้งติดตามและประเมินผลภายในองค์กรและการปฏิบัติ ของคนในองค์กร เพื่อให้การท างานมีประสิทธิภาพ ส่วนแนวทางในการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับสหวิชาชีพในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูก ครูล่วงละเมิดทางเพศ 2 แนวทางคือ แนวทางการการส่งเสริมความเข้าใจต่อบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ 1) การพัฒนา ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ต่อผู้บริหาร ด้วยการส่งเสริมให้ผู้บริหารเข้าใจบทบาทหน้าที่ของนักสังคม สงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และรัฐธรรมนูญ และท าให้ผู้บริหารเข้าใจการปฏิบัติงาน ของนักสังคมสงเคราะห์ 2) การจัดอบรมหลักสูตรการคุ้มครองเด็ก เพื่อท าให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองเด็กเกิดความเข้าใจเด็กได้ เป็นอย่างดี เนื่องจากผู้ที่ผานการอบรมจะมีความรู้ความเข้าใจต่อจิตวิทยาเด็ก ส่งผลต่อวิธีการตั้งค าถาม การใช้ค าพูดที่จะ ไม่กระทบกระเทือนต่อจิตใจของเด็ก 3) การจัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ร่วมด้วยตลอดไม่มีข้อยกเว้นว่าเป็นกรณีเร่งด่วนที่ไม่ ต้องมีนักสังคมสงเคราะห์ และแนวทางการส่งเสริมอัตราก าลังนักสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ 1) การบูรณาการวิชาชีพ ด้วยการบูร ณาการบทบาทของแต่ละวิชาชีพ คือ ครู นักสังสงเคราะห์ และนิติกร ให้สามารถท างานร่วมกันได้ มิใช่เพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ ของตนเองตามแต่ละบทบาทของวิชาชีพ ส่งเสริมความรู้ความใจในกฎหมายให้แก่วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ และควรจัดให้แต่ละ วิชาชีพเข้าร่วมกันประชุมโดยพร้อมเพรียงกันเพื่อให้ได้มุมมองในการคุ้มครองเด็กอย่างรอบด้าน และก าหนดแนวทางใน การประสานส่งต่ออย่างมีรูปแบบที่ชัดเจนเพื่อท าให้การท างานคุ้มครองเด็กเกิดประสิทธิภาพ 2) การส่งเสริมงบประมาณให้ เพียงพอ การจัดให้มีเบี้ยประชุม และค่าตอบแทนแก่สหวิชาชีพในการปฏิบัติงานคุ้มครองเด็ก รวมทั้งการเพิ่มกรอบอัตราก าลัง ต าแหน่งนักสังคมสงเคราะห์ 3) การท างานเป็นเครือข่าย ด้วยการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ เพื่อช่วยสอดส่อง ดูแล และหากพบเห็นว่ามีการกระท าทารุณกรรมเด็กให้แจ้งเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง ครู หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพ
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 161 เครื่องมือและวิธีการวิจัย การศึกษานี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ นักสังคมสงเคราะห์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงยุติธรรม จ านวน 10 คน ใช้การเลือกตัวอย่างแบบ เจาะจง แนวค าถามสัมภาษณ์โดยการก าหนดจากกรอบแนวคิดซึ่งเป็นแบบกึ่งโครงสร้าง (semi-structure) จากนักสังคม สงเคราะห์ผู้ที่มีประสบการณ์ในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็ก รวมทั้งการให้ผู้ทรงคุณวุฒิ นักสังคมสงเคราะห์ที่มี ประสบการณ์ให้ค าแนะน านักสังคมสงเคราะห์ท่านอื่น (Snow ball sampling Technique) นิติกรของคุรุสภา จ านวน 3 คน และ ผู้บริหารของคุรุสภา จ านวน 2 คน ผลการศึกษาและอภิปรายผล ผลการศึกษาน าเสนอได้ 2 ประเด็นได้แก่ บทบาทนักสงคมสงเคราะห์ในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศรายกรณี มีรายละเอียด ดังนี้ 1. บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ก่อนถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะแสดงบทบาททีมสหวิชาชีพ ด้วยการท างาน ร่วมกับวิชาชีพต่างๆ คือ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ การประสานกับพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการเพื่อทราบ ข้อมูลเกี่ยวกับการสอบสวน เช่น ประวัติเบื้องต้นของเด็ก และข้อกล่าวหาเพื่อทราบว่าเด็กเป็นผู้เสียหายจากการถูกกระท าด้วย กรณีใด และสอบถามว่าต้องการให้ซักถามประเด็นใดเป็นพิเศษหรือไม่ ประเด็นใดที่ควรให้น้ าหนัก จากนั้นจึงสร้างสัมพันธภาพ กับเด็ก โดยเริ่มจากการแนะน าตัวให้เด็กทราบว่าตนชื่ออะไร มีหน้าที่อย่างไร ถามเด็กว่าเด็กทราบไหมว่าวันนี้ต้องมาท าอะไร ที่นี่ และชวนพูดคุยเรื่องทั่วไปเพื่อท าให้เด็กผ่อนคลาย สังเกตว่าเด็กชอบหรือสนใจเรื่องใด เพื่อท าให้เด็กเกิดความไว้วางใจ กล้า ที่จะพูดคุยมากขึ้น และเพื่อประเมินความสามารถและข้อจ ากัดในการสื่อสารของเด็ก สอบถามความต้องการของเด็กว่า ต้องการให้ใครเป็นบุคคลที่เด็กร้องขอเพื่อเข้ามาอยู่ร่วมด้วยในกระบวนการถามปากค า บางรายกรณีบุคคลที่เด็กร้องขอเป็นครู เนื่องจากเด็กไม่อยากให้พ่อแม่ทราบเรื่อง นักสังคมสงเคราะห์จะมีบทบาทในการประสานกับบุคคลที่เด็กร้องขอเพื่อให้เข้ามา อยู่ร่วมด้วยกับเด็กในการถามปากค า ด้วยความคิดเห็นที่ว่า “เคสฉุกเฉิน เราไม่รู้จักเด็กแต่ละคน ไม่รู้ Background ข้อจ ากัดด้านสติปัญญา พอคุยไปสักพักถึงจะพอรู้ จะใช้ เวลาก่อนเข้าห้องไปนั่งอ่านส านวนให้ได้มากที่สุด พยายามคุยกับเด็กให้มากที่สุด เคยมีเคสหนึ่งต ารวจโทรมาประสาน มีเวลา 30 นาทีในการเตรียมตัว ให้ไปช่วยที่สน. ก็เป็นข้อจ ากัด แต่ก็ท างานได้ เพราะเรามีทักษะและเทคนิค” (นักสังคมสงเคราะห์คน ที่ 4 สัมภาษณ์, 11 ตุลาคม 2565) 2. บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ระหว่างถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะแสดงบทบาทในการสื่อสารด้วยการถาม ข้อมูลเบื้องต้นของเด็กจากพนักงานสอบสวนก่อนว่าเด็กสามารถสื่อสารได้ชัดเจนหรือไม่ หากไม่สามารถสื่อสารได้ชัดเจนนัก สังคมสงเคราะห์จะช่วยพนักงานสอบสวนถามประเด็นให้ครบถ้วน และเมื่อพบกับเด็กจะสอบถามเด็กว่าจ าวัน เวลา เหตุการณ์ ในวันที่ถูกกระท าได้หรือไม่ก่อน หากเด็กจ าไม่ได้จะต้องหาข้อจ ากัดของเด็กเพื่อไปสื่อสารกับพนักงานสอบสวน และพนักงาน อัยการ และการหาค าศัพท์ที่เด็กเรียกใช้บุคคลที่กระท ากับเด็กโดยต้องใช้ค าศัพท์นี้ตลอดการสอบสวน เช่น การเรียกบุคคลที่ กระท าต่อเด็กว่า ปะป๋า เตี่ย เป็นต้น ด้วยความคิดเห็นที่ว่า “ถ้าเป็นคดีทางเพศพนักงานสอบสวนจะคุยกับเราว่ามีเรื่องแบบนี้นะ มีเหตุการณ์แบบนี้ เราจะถามพนักงาน สอบสวนว่าเหตุการณ์ที่ได้มาจากเด็กเล่าใช่ไหม เด็กสามารถสื่อสารได้รู้เรื่องใช่ไหม เด็กมีข้อจ ากัดในการสื่อสารอะไรบ้าง ถ้าต ารวจเล่าให้ฟังได้ แสดงว่าเด็กสื่อสารได้ แต่ว่าถ้าต ารวจพูดน้อยๆ เราก็จะรู้ละว่าต้องเตรียมตัวนะ ต้องถามเยอะ รวมไปถึง เหตุการณ์บางอย่าง ค าตอบบางอย่างได้เพิ่มขึ้นหลังจากเด็กเจอนักสังคม เราก็จะแจ้งพนักงานสอบสวนว่าขอเพิ่มเติม หลักฐาน…” (นักสังคมคนที่ 5 สัมภาษณ์, 9 พฤศจิกายน 2565)
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 162 นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการสื่อสารเพื่อท าให้เด็กเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยเมื่อไปถึงสถานที่ถาม ปากค าแล้วจะพูดคุยกับเด็กเพื่อสร้างสัมพันธภาพต่อกัน และประเมินว่าเด็กเข้าใจไหมว่าท าไมตนเองต้องมาถามปากค า และ ประเมินว่าเด็กสามารถจดจ าเหตุการณ์ได้หรือไม่ ซึ่งเด็กแต่ละช่วงวัยจะมีความสามารในการสื่อสารที่แตกต่างกัน ถ้าเด็กที่อายุ ต่ ากว่า 7 ปี นักสังคมสงเคราะห์จะต้องใช้อุปกรณ์ที่ช่วยในการสื่อสาร เช่น ตุ๊กตา กระดาษ สี เป็นต้น เพื่อให้เด็กสื่อสารด้วย การวาดภาพเล่าเรื่อง หรือเขียนค าสั้นๆ และสร้างบรรยากาศในการสอบสวนให้ราบรื่น เพื่อให้ได้ประเด็นที่ครบถ้วน โดยที่ไม่ ท าให้เด็กเกิดความกลัว และคอยสังเกตว่าเด็กสามารถที่พูดคุยต่อได้หรือไม่ หากนักสังคมสงเคราะห์สังเกตเห็นอาการของเด็ก ว่านิ่ง เงียบ หรือร้องไห้ จะแจ้งกับพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการว่าขอให้เด็กพักก่อน แล้วค่อยท าการถามปากค าเด็ก ต่อ หากเป็นรายกรณีที่เด็กมีความพิการทางสติปัญญา นักสังคมจะต้องใช้ค าศัพท์ที่สั้น กระชับ เข้าใจได้ง่าย เช่น การถามเด็ก ว่าได้พูดอะไรต่อผู้กระท าในขณะที่เข้ามาล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่ จะใช้วิธีการถามว่า หนูพูดอะไรบ้าง ไล่เขาไหม ถ้าเด็กตอบ ว่าออกไป หมายถึงการไล่ ส่วนวิธีการตั้งค าถามของนักสังคมสงเคราะห์นอกจากได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นจากพนักงาน สอบสวนแล้ว จะต้องใช้ทักษะของวิชาชีพในการตั้งค าถามซึ่งมีองค์ประกอบที่ส าคัญ คือ วัน เวลา สถานที่ และพฤติการณ์ เพื่อให้ได้ประเด็นครบถ้วนตามที่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการต้องการน าไปใช้ประกอบการเขียนส านวน ซึ่งทักษะเหล่านี้ เกิดจากประสบการณ์ในการถามปากค าเด็กของนักสังคมสงเคราะห์จนเกิดความเชี่ยวชาญ และเป็นสิ่งที่ส าคัญที่นักสังคม สงเคราะห์จะต้องพิสูจน์ว่าการมีอยู่ของวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์ในห้องถามปากค านั้นมีประโยชน์ต่อการถามปากค าว่าจะ ช่วยท าให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ด้วยความคิดเห็นที่ว่า “เราต้องดูเรื่องอายุ อ่านค าถามและท าความเข้าใจ Keyword หลักในการถามปากค าที่ต ารวจต้องการคือ วัน เวลา สถานที่ และพฤติการณ์ วันเวลามันอยู่ที่ว่าสาม keyword นี้ เราจะใช้ค าศัพท์ยังไง เราจะให้เด็กเล่าว่าเหตุเกิดวันที่เท่าไร แล้วก็จะ ถามเด็กว่าพอจะเล่าได้ไหมว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ตอนนั้นหนูอยู่กับใคร เกิดอะไรขึ้นกับหนู เกิดเหตุยังไง เขาท าอะไรกับหนูบ้าง เขาพูดอะไรกับหนูไหม ซึ่งจะเป็น keyword ว่ามีการข่มขู่ หรือใช้อาวุธไหม เราก็จะค่อยๆ ตะล่อมถาม” (นักสังคมสงเคราะห์คนที่ 5 สัมภาษณ์, 9 พฤศจิกายน 2565) บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ในการพิทักษ์สิทธิเด็ก จะเริ่มจากการสร้างความวางใจให้กับเด็กด้วยการแนะน า ตัวก่อน และชวนคุยเรื่องทั่วไปเพื่อท าให้เด็กคลายความกังวล โดยนักสังคมสงเคราะห์จะต้องมีบุคลิกภาพที่เป็นกันเองท าให้ เด็กรู้สึกไว้วางใจได้ ใช้น้ าเสียงที่ดี จากนั้นจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับเด็กว่าเด็กสามารถที่จะตอบค าถามที่ที่นักสังคมสงเคราะห์ ถามได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวถูกผิด การแจ้งสิทธิให้เด็กทราบว่าตนเองสามารถร้องขอบุคคลที่ไว้วางใจให้เข้าร่วมในการถาม ปากค าได้ เช่น แม่ หรือนักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็ก เป็นต้น และหากเด็กไม่อยากให้บุคคลใดอยู่ร่วมด้วยในการถามปากค า สามารถแจ้งได้ รวมทั้งการขออนุญาตจากเด็กก่อนว่าจะบันทึกวีดีทัศน์ในระหว่างถามปากค าเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการที่ จะเอาผิดกับบุคคลที่ล่วงละเมิดทางเพศตน โดยที่เด็กไม่ต้องรู้สึกผิดในการที่จะตอบค าถามว่าผู้กระท าซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิด อย่างครูจะต้องรับโทษตามกฎหมาย เพราะนักสังคมสงเคราะห์มาเพื่อช่วยพิทักษ์สิทธิให้เด็กได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ให้บุคคลที่กระท าต่อเด็กได้รับโทษ ไม่สามารถมาข้องเกี่ยวกับเด็กได้ การแจ้งสิทธิและประโยชน์ที่เด็กจะรับจากกระบวนการ ยุติธรรม เช่นเงินเยียวยาจากกองทุนยุติธรรม และการได้รับความคุ้มครอง หากในระหว่างการถามปากค าหากนักสังคม สงเคราะห์สังเกตเห็นได้ว่าเด็กเกิดความไม่สบายใจ ความกังวล เช่น เด็ก นิ่ง เงียบ หรือร้องไห้ จะต้องพิทักษ์สิทธิเด็กด้วย การประสานกับพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ เพื่อขอเวลาพักให้กับเด็กจนกว่าเด็กจะรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงถามปากค าต่อ ด้วยความคิดเห็นที่ว่า “เราก็จะชี้แจงให้เขาอธิบายให้เขาฟังว่าเขาประโยชน์ที่เขาจะได้รับมีอะไรบ้าง… คือเราจะอธิบายให้เด็ก และผู้ปกครอง เข้าใจชัดเจนว่าประโยชน์ที่เด็กจะได้รับคืออะไร ท าให้เขาเห็นก่อนว่าเขาจะได้รับประโยชน์อะไรจากกระบวนการนี้ มีกระบวนการ คุ้มครองอะไรบ้าง เพื่อให้เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถอยู่กับเราตลอดไป… ฉะนั้นเราต้องท าความเข้าใจกับผู้เสียหายว่าเขามีสิทธิจะ
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 163 ได้รับเงินเยียวยาเช่นกัน มันไม่ใช่แค่ว่าเขาไม่อยากสู้คดี เพราะบางทีเขารู้สึกว่าเสียเวลา เพราะฉะนั้นเราต้องแจ้งสิทธิให้เข้าชัดเจน ไม่ท าให้โดนซื้อคดี” (นักสังคมสงเคราะห์คนที่ 8สัมภาษณ์, 24 มกราคม 2566) 3. บทบาทนักสังคมสงเคราะห์หลังถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทให้ความรู้แก่เด็กตั้งแต่ขั้นแรกรับว่าเด็ก มีสิทธิอะไรบ้าง และในระหว่างปากค าจะแจ้งสิทธิให้เด็กทราบว่าเด็กมีสิทธิในการด าเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม และเมื่อ ถามปากค าเสร็จแล้วนักสังคมสงเคราะห์จะแนะน าสิทธิให้เด็กว่า มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญาจากกองทุน ยุติธรรม ด้วยความคิดเห็นที่ว่า “หลังจากถามปากค าเสร็จ ก็จะบอกกระบวนการของกฎหมายว่าหลังจากเสร็จจากชั้นพนักงานสอบสวน มันจะต้องมี การพิจารณาส่งฟ้อง ถ้ามีการสืบพยานเพิ่มเติมหนูต้องไปศาลนะ และเช็คเรื่องเจ้าพนักงานคุ้มครองเด็ก เพราะมีเคสที่แจ้งความแต่ ไม่ได้แจ้ง เจ้าพนักงานคุ้มครองเด็ก และเรื่องเงินชดเชยในคดีอาญา จากกองทุนยุติธรรม และเงินที่ผู้ปกครองเรียกค่าเสียหายจาก จ าเลยเอง ถ้าเสียหายมากก็ได้มาก มีเคสหนึ่งที่เด็กถามว่าถ้าอยากท างานแบบพี่ ต้องเรียนอะไร เราก็รู้สึกชื่นใจนะ” (นักสังคมคนที่ 5 สัมภาษณ์, 9 พฤศจิกายน 2565) แนวทางการส่งเสริมให้มีนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับสหวิชาชีพในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูกครู ล่วงละเมิดทางเพศเป็นรายกรณีของคุรุสภา มีรายละเอียด ดังนี้ 1. การบูรณาการวิชาชีพ ผู้ให้ข้อมูลมีความคิดเห็นว่าวิชาชีพ นักสังคมสงเคราะห์ ครู และนิติกร สามารถท างาน ร่วมกันในการถามปากค าได้ เพราะแต่ละวิชาชีพมีทักษะที่แตกต่างกัน ครูมีความใกล้ชิดกับเด็ก นิติกร มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ด้านกฎหมาย ส่วนนักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการสื่อสารกับเด็กท าให้เด็กกล้าที่จะพูด บทบาทในการเป็นที่ปรึกษาให้กับ เด็ก ท าหน้าที่เป็นคนกลางท าให้เด็กเกิดความเข้าใจในการถามปากค า กระบวนการโดยให้คุรุสภาจังหวัดประสานงานกับ นักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ที่ขึ้นทะเบียนไว้ และมีตารางเวรของแต่ละจังหวัดเพื่อให้มาช่วยท าหน้าที่ในการถามปากค า เด็ก แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการสอบสวนก่อน และหากจัดอบรมหลักสูตรควรเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ นิติกรในเรื่องพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว ศัพท์ทางแพทย์ จิตเวช วิธีการตั้งต าถาม และวิธีปฏิบัติต่อ เด็ก ส่วนความรู้ที่ควรเพิ่มพูนให้แก่นักสังคมสงเคราะห์คือ ความรู้ด้านกฎมายที่เกี่ยวกับเด็ก กฎหมายพยาน เพื่อใช้ส าหรับ การชั่งน้ าหนักพยานหลักฐาน ข้อบังคับคุรุสภา แต่ทั้งนี้กฎหมายของคุรุสภาตั้งแต่ระดับพระราชบัญญัติสภาครู จนถึงข้อบังคับ คุรุสภายังไม่ได้มีการบัญญัติว่าให้มีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ร่วมด้วยในการถามปากค า หากในอนาคตมีการแก้ไขกฎหมายให้ เทียบเท่ากับกฎหมายกลาง เช่น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองจะท าให้มีนักสังคมสงเคราะห์ ทุกหน่วยงาน และมีนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศด้วย ทั้งนี้ควรมีการจัดประชุมร่วมกันกับ ผู้บริหารเพื่อสะท้อนให้เห็นความส าคัญของบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าเด็ก ซึ่งจะมาช่วยในการท าให้เด็กเกิด ความผ่อนคลาย คลายกังวล รู้สึกได้รับความไว้ววางไว้ และการถามค าที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กด้วย ด้วยความคิดเห็น ที่ว่า “ถ้ามีการจัดอบรมผู้ปฏิบัติงาน ควรให้แต่ละคนพูดว่าตนเองมีบทบาทอะไรบ้าง เพื่อเป็นการหนุนเสริมวิชาชีพ สุดท้ายผลเป็นอย่างไร พาไปดูงาน ไปดูสถานที่ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ แต่ละคนมีวิชาชีพที่แตกต่างกันเพื่อจะท าให้เกิด ความเข้าใจหน้าที่ของกันและกัน” (นักสังคมสงเคราะห์คนที่ 10 สัมภาษณ์, 3 เมษายน 2566) 2. การท างานเป็นเครือข่าย การท างานของนักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ในจังหวัดจะมีการสร้างไลน์กลุ่ม (group line) โดยยุติธรรมจังหวัดเป็นหน่วยงานกลางจัดตารางเวรให้แก่นักสังคมสงเคราะห์ในจังหวัด โดยพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดจะเป็นผู้โทรประสานเพื่อให้นักสังคมสงเคราะห์ที่มีชื่อในตารางเวรปฏิบัติหน้าที่หน้าที่ แต่หากมี กรณีเร่งด่วน พนักงานสอบสวนในท้องที่ซึ่งมีความคุ้นเคยหรือเคยร่วมงานกับนักสังคมสงเคราะห์มาก่อนจะเป็นผู้โทรศัพท์ ประสานเอง นักสังคมสงเคราะห์ในแต่ละจังหวัดจะสร้างเครือข่ายกับโรงเรียนด้วยการน ารถเคลื่อนที่เข้าไปบรรยายให้ความรู้ แก่เด็กนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงและการตั้งครรภ์ในวัยเรียน การสร้างเครือข่ายในจังหวัดระหว่างนักสังคมสงเคราะห์
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 164 และส านักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และบ้านพักเด็ก การท าโครงการเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายภายใน โรงเรียนด้วยการติดต่อกับโรงเรียนในจังหวัด และจัดอบรมให้ความรู้แก่ครูในโรงเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็ก การป้องกัน การถูกล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก และนอกจากนี้ยังใช้การ์ดเกมส์เป็นสื่อในการให้ความรู้แก่ครูและเด็กในโรงเรียน ข้อค้นพบ จากการศึกษาพบว่า คุรุสภาหากจะสร้างเครือข่ายควรจะให้คุรุสภาจังหวัดเป็นผู้ประสานงานกับนักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ที่ขึ้นทะเบียนไว้ที่จังหวัด เนื่องจากเป็นบุคคลในท้องที่ จะสามารถประสานกันได้ง่าย โดยใช้ตารางเวรเดียวกันกับ นักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ที่ยุติธรรมจังหวัดจัดไว้ เพื่อนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนของคุรุสภา ในการถามปากค าเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และการจัดอบรมให้ความรู้แก่นักสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับการถามปากค าเด็ก ของครุสภา ด้วยความคิดเห็นที่ว่า “ไปท างานที่โรงเรียนเป็นการให้ความรู้ว่าจะท ายังให้ช่วยเขาได้ เป็นรถ mobile เคลื่อนที่ สร้างเครือข่ายในจังหวัด คือ ร่วมกับ พม. กับบ้านพัก เราจะมีรายชื่อ และอย่างโรงเรียนก็จะมีรายชื่อ โดยจัดประมาณปีละครั้ง สองครั้ง จะบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง ความรุนแรง ท้องในวัยเรียน แต่ว่าแต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการด้านการศึกษา ซึ่งก่อนตอนอยู่ลพบุรีเคยเป็นกรรมการ ก็จะ เข้าประชุมในเรื่องการดูแลเด็กในสถานศึกษา และก็คิดว่าในคุรุสภาก็ควรมีนักสังคม พี่คิดว่าเขาจะเข้าใจคน เข้าใจเด็ก เพื่อให้ ค าปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรง เกี่ยวกับครอบครัว” (นักสังคมคนที่ 6 สัมภาษณ์, 18 พฤศจิกายน 2565) 3. การจัดอบรมหลักสูตรถามปากค าเด็กในคุรุสภา นักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา จะต้องผ่านการอบรม หลักสูตรของกระทรวงยุติธรรมก่อน จึงจะได้รับใบอนุญาตเพื่อให้เป็นนักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา แต่ด้วยค่าใช้จ่ายค่า บอรมสูง บางหน่วยงานอาจไม่มีงบประมาณสนับสนุนท าให้มีนักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมอบรมน้อย ท าให้บางจังหวัดมีนัก สังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ไม่กี่คน บางจังหวัดมีแค่ 3 คน จึงมีข้อเสนอแนะว่าจะจัดประชุมทาง conference ระยะเวลา ครึ่งวันถึงหนึ่งวัน และควรจัดตารางเวรให้แก่นักสังคมสงเคราะห์ตามป.วิอาญาในจังหวัด ส าหรับหลักสูตรการอบรม คณะอนุกรรมการสอบสวนควรแทรกความรู้เกี่ยวกับการถามปากค าเด็กควรส่งเสริมให้ให้นักสังคมสงเคราะห์ได้เรียนรู้รูปแบบ การสอบสวน การพิจารณาพยานหลักฐาน และกฎหมายของคุรุสภา ส่วนนิติกรควรได้รับความรู้เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองเด็ก สิทธิเด็ก ค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา โดยให้นักสังคมสงเคราะห์เป็นวิทยากรให้ความรู้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทาง การศึกษา และนิติกร แต่ทั้งนี้ในการออกแบบหลักสูตรดังกล่าวต้องเสนอให้ผู้บริหารคุรุสภาให้ความเห็นชอบด้วย เพราะ การจัดอบรมที่ผ่านมาเป็นการจัดอบรมให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาเพื่อเป็นคณะอนุกรรมการสอบสวน และได้จัดอบรม เพิ่มให้คุรุสภาจังหวัดเพื่อมาช่วยท าหน้าที่ในการสืบสวน อันจะเป็นการกระจายงานไปสู่จังหวัด ด้วยความคิดเห็นที่ว่า “ควรมีการจัดอบรมเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็ก ถามปากค าเด็ก ควรเอาคนที่มีประสบการณ์มาก่อนมาให้ความรู้ เรื่อง เทคนิคในการถามเด็ก การแก้ไขปัญหา ความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองเด็ก ค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา และอบรมเรื่อง ป. วิอาญา” (นักสังคมสงเคราะห์คนที่ 9, สัมภาษณ์ 5 มีนาคม 2566) 4. การจัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ร่วมด้วยตลอดโดยไม่มีข้อยกเว้น นักสังคมสงเคราะห์มีความส าคัญในการถาม ปากค าเด็ก เนื่องจากทักษะของวิชาชีพที่ถูกฝึกมาให้มีความอ่อนโยน มีความเข้าใจในขั้นตอนกระบวนการถามปากค า และ มีเครือข่ายทางสังคม และเป็นคนช่วยท าให้เสียงของเด็กดังขึ้น เป็นบุคคลที่ให้ความคุ้มครองแก่เด็กให้ได้รับความปลอดภัย เกิดความไว้วางใจและกล้าที่ให้ข้อมูล สามารถให้ค าปรึกษาได้ และมีส่วนส าคัญในการช่วยสื่อสารระหว่างเด็กกับพนักงาน สอบสวน และพนักงานอัยการให้เข้าใจเด็ก ดังนั้น จึงควรจัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ร่วมกระบวนการตลอดโดยไม่มี ข้อยกเว้น ด้วยความคิดเห็นที่ว่า “ท าให้เสียงเด็กดังขึ้น จับสัญญาณเด็กได้ เช่น เด็กกลัว เด็กขอเวลาพัก การเป็นล่ามเพราะพนักงานสอบสวนใช้ ภาษาที่ค่อนข้างเข้าใจยาก จะถามเด็กว่าหนูจะเล่าว่ายังไง ช่วยเด็กหากเด็กตั้งข้อรังเกียจบุคคลใด ถามเด็กว่า หนูโอเคไหมที่พี่นั่ง อยู่ด้วย และมีอัยการ กับต ารวจนั่งอยู่ด้วย” (นักสังคมสงเคราะห์คนที่ 2 สัมภาษณ์, 2 ตุลาคม 2565)
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 165 “เคยมีเคสหนึ่งสอบเด็ก แล้วเด็กไม่พูด เพราะไม่กล้าตอบ กลัวว่าเราจะเป็นพวกเดียวกันกับผู้กระท า กลัวว่าเป็น ผู้ประกอบวิชาชีพด้วยกัน ขึ้นชื่อว่ากรรมการสอบสวนเด็กกลัวแล้ว กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วย ก็จะไม่ได้ข้อมูลที่เป็น ประโยชน์ จึงต้องไปหาพยานแวดล้อมต่างๆ จากเพื่อนของเด็ก เพราะเพื่อนของเด็กจะบุคคลที่เด็กกล้าเล่าเรื่องให้ฟังมากกว่า เล่าให้ครูประจ าชั้น ผู้ปกครอง เด็กที่ถูกกระท ามักเป็นเด็กที่ยากจน ไม่มีปากเสียง ไม่กล้าพูด พ่อแม่จะให้เรื่องจบง่ายๆ เป็น เด็กต่างจังหวัด” (นิติกรคนที่ 2 สัมภาษณ์, 9 ตุลาคม 2565) ทั้งนี้ การส่งเสริมงบประมาณไม่ใช่แนวทางหลักในการส่งเสริมให้มีนักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมถามปากค าเด็กกับ คุรุสภา เนื่องจากผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่มีแนวคิดว่าการถามปากค าเด็กเป็นหน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา อีกทั้ง เป็นบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ในการที่จะให้ความคุ้มครองแก่เด็ก พิทักษ์สิทธิเด็กให้ได้รับประโยชน์ตามกระบวนการ ยุติธรรม ดังจะเห็นได้จากบทสัมภาษณ์ของผู้ให้ข้อมูลหลายท่านที่แม้ว่าจะไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการถาม ปากค าเด็กใน ชั้นพนักงานสอบสวนก็ตาม แต่ยังยินดีที่จะเข้าร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อถามปากค าเด็ก เพราะตระหนักดีว่าตนมีบทบาทส าคัญใน การที่จะเป็นตัวกลางประสานงานระหว่างพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และเด็ก และมีบทบาทที่ส าคัญยิ่งในการที่จะ สื่อสารท าให้เด็กและผู้ปกครองเกิดความเข้าใจต่อประโยชน์สิทธิที่จะได้รับจากกระบวนการถามปากค าเด็กนี้ ด้วยความคิดเห็น ที่ว่า “ต่อให้มีนโยบาย แต่ไม่มีงบ ก็ไม่เป็นไรสามารถประงานกับพมจ. ได้ เพราะถือเป็นการคุ้มครองเด็กเป็นหน้าที่โดยตรงอยู่ แล้ว ก็แลกเบอร์ แลกไลน์กันไว้ ท างานเป็นเครือข่าย สอบถามสหวิชาชีพด้วยกันว่าจะท าอย่างไร” (นักสังคมสงเคราะห์คนที่ 9, สัมภาษณ์ 5 มีนาคม 2566) การอภิปรายผลการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า บทบาทนักสงคมสงเคราะห์ในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศราย กรณี ดังนี้ บทบาทนักสงคมสงเคราะห์ก่อนถามปากค า เมื่อนักสังคมสงเคราะห์ได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวน ว่ามีกรณี ที่เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศและขอให้ นักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมสอบปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเด็ก เช่น อายุ เนื่องจากเด็ก แต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการที่แตกต่างกันไป ท าให้นักสังคมต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ที่แตกต่างกันไป สอดคล้องกับทฤษฎีพัฒนาการ ของทางด้านสติปัญญาของเพียเจท์ (Pia ge′t) ว่าเด็กจะผ่านพัฒนาการไปตามล าดับขั้นจากขั้น 1 ไปขั้น 2 ไปขั้น 3 ไปขั้น 4 ตามล าดับ แต่ว่าระยะเวลาของเด็กแต่ละคนในการพัฒนาไปแต่ละขั้นนั้นแตกต่างกัน นอกจากนี้นักสังคมสงเคราะห์จะถาม เกี่ยวกับสภาพร่างกายว่ามีความพิการหรือไม่ และจะจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จ าเป็นประกอบการสอบปากค าเด็กตามแต่ละช่วงวัย เช่น เด็กอายุ 4 ปี จะเตรียมอุปกรณ์คือ ตุ๊กตา Anatomical doll ของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้เด็กชี้อวัยวะของตุ๊กตาแทน อวัยวะของตนเอง และอุปกรณ์ส าหรับวาดภาพ กระดาษ สี ขนม และแบบทดสอบ IQ ส าหรับเด็กออกทิสติกเพื่อประเมิน พัฒนาการของเด็ก และเด็กอายุต่ าว่า 7 ปี จะทดสอบด้วยสี ถามเด็กว่ารู้จัดข้างบน ข้างล่าง ข้างใน ข้างนอกหรือไม่ สอดคล้อง กับทฤษฎีพัฒนาการของซิกมัน ฟรอยด์ว่าระยะแฝง (latency stage) อยู่ระหว่างอายุ 6-12 ปี จะเป็นวัยที่เด็กก าลังเรียนรู้และ สนุกสนานกับเพื่อน ผลัดกันเป็นผู้น า และจะลดการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (วีระ บุณยะกาญจน, 2532) บทบาทนักสงคมสงเคราะห์ระหว่างถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการสื่อสารเพื่อท าให้เด็กเกิดความเข้าใจต่อกระบวนการสอบปากค า โดยเมื่อไปถึง สถานที่สอบปากค าแล้วนักสังคมสงเคราะห์จะแนะน าตัวให้เด็กทราบว่าตนชื่ออะไร มีบทบาทหน้าที่อย่างไร ถามชื่อเด็ก พูดคุย กับเด็กเพื่อสร้างสัมพันธภาพต่อกัน ประเมินว่าเด็กเข้าใจไหมว่าท าไมตนเองต้องมาให้ถ้อยค า ประเมินว่าเด็กสามารถ จดจ าเหตุการณ์ได้หรือไม่ ซึ่งเด็กแต่ละช่วงวัยจะมีความสามารถในการสื่อสารที่แตกต่างกัน ถ้าเด็กที่อายุต่ ากว่า 7 ปี
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 166 นักสังคมสงเคราะห์จะต้องใช้อุปกรณ์ที่ช่วยในการสื่อสาร เช่น ตุ๊กตา กระดาษ สี เป็นต้น เพื่อให้เด็กสื่อสารด้วยการวาดภาพ เล่าเรื่อง หรือเขียนค าสั้นๆ สอดคล้องกับทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคม (Psychosocial developmental stage) ของ อิริค อิริคสัน (Erik Erikson) ว่าปัจจัยทางด้านสังคม และวัฒนธรรมมีผลต่อพัฒนาการทางจิตสังคมของแต่ละช่วงอายุ (พิมพาภรณ์ กลั่นกลิ่น และ ฐิติมา สุขเลิศตระกูล, 2564) บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ในระหว่างถามปากค านี้ คือการช่วยสร้าง บรรยากาศในการสอบสวนให้ราบรื่น ให้ได้ประเด็นที่ครบถ้วน โดยที่ไม่ท าให้เด็กเกิดความกลัว การหาค าส าคัญที่เด็กใช้เรียก บุคคลที่กระท าต่อเด็กว่า เช่นเรียกว่า ปะป๋า เตี่ย เป็นต้น และต้องไปสื่อสารกับพนักงานสอบสวน และอัยการให้เกิด ความเข้าใจตรงกันว่าเด็กใช้ศัพท์ที่เรียกผู้กระท าว่าอะไร และต้องใช้ค าศัพท์ดังกล่าวตลอดการสอบสวน บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ในการพิทักษ์สิทธิเด็ก คือ การแจ้งสิทธิให้เด็กทราบว่าตนเองสามารถร้องขอบุคคลที่ ไว้วางใจให้เข้าร่วมในการสอบปากค าได้ เช่น แม่ ครู หรือนักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็ก เป็นต้น และหากเด็กไม่อยากให้ บุคคลใดอยู่ร่วมด้วยในการสอบปากค าสามารถแจ้งได้ รวมทั้งการขออนุญาตจากเด็กก่อนว่าจะบันทึกวีดีทัศน์ในระหว่าง สอบปากค าเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการที่จะเอาผิดกับบุคคลที่ล่วงละเมิดทางเพศตน โดยที่เด็กไม่ต้องรู้สึกผิดในการที่จะ ตอบค าถามว่าผู้กระท าซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดอย่างครูจะต้องรับโทษตามกฎหมาย เพราะนักสังคมสงเคราะห์มาเพื่อช่วยพิทักษ์ สิทธิให้เด็กได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายให้บุคคลที่กระท าต่อเด็กได้รับโทษ ไม่สามารถมาข้องเกี่ยวกับเด็กได้ สอดคล้องกับ บทบาทผู้พิทักษ์สิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้บริการ (client advocate) โดยนักนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้เชื่อมโยงให้ผู้ใช้บริการ สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรทางสังคม และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้บริการ รวมทั้งการเป็นกระบอกเสียงแทนด้วย (ระพีพรรณ ค าหอม, 2555) และบทบาทผู้พิทักษ์สิทธิ (Avocate) จะต้องเป็นผู้พิทักษ์สิทธิให้แก่ผู้ใช้บริการ และให้ข้อมูล ที่ถูกต้องตามความต้องการและข้อเรียกร้องของผู้ใช้บริการ Charles H Zastrow (Zastrow,2556) และในระหว่างการสอบปากค า หากนักสังคมสงเคราะห์สังเกตเห็นได้ว่าเด็กเกิดความไม่สบายใจ ความกังวล เช่น เด็ก นิ่ง เงียบ หรือร้องไห้ จะต้องพิทักษ์สิทธิ เด็กด้วยการประสานกับพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ เพื่อขอเวลาพักให้กับเด็กจนกว่าเด็กจะรู้สึกดีขึ้นแล้ว จึงสอบปากค าต่อ สอดคล้องกับแนวทางการท างานของนักสังคมสงเคราะห์ตามป. วิอาญา ในขั้นตอนการสืบค้นข้อเท็จจริง ด้วยวิธีการสังเกต โดยสังเกตจากพฤติกรรมหรืออาการ และดูสถานที่เกิดเหตุหรือที่สงสัยว่าเด็กจะถูกกระท าอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องดูทั้งสภาพแวดล้อม อาคารสถานที่ เพื่อให้สามารถตั้งค าถามได้อย่างครบถ้วนและกระจ่าง และสามารถน าไปใช้ในชั้นศาล โดยระหว่างพนักงานสอบสวนพิมพ์ส านวนจะก็จะชวนเด็กคุยเรื่องอื่นๆ เพื่อให้เด็กคลายความกังวล แต่ถ้าหากพนักงานอัยการ ต้องการให้สอบปากค าเพิ่มจะท าให้เด็กเกิดความกังวลได้ สอดคล้องกับบทบาทผู้ไกล่เกลี่ย (Mediator) เป็นผู้แทรกแซงข้อ พิพาทระหว่างกรณี ช่วยไกล่เกลี่ยประนีนอม และหาข้อตกลงร่วมกัน Charles H Zastrow (2556) บทบาทนักสงคมสงเคราะห์หลังถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทให้ความรู้แก่เด็กตั้งแต่ก่อนถามปากค าว่าเด็กมีสิทธิอะไรบ้างและในระหว่างถามปากค า เด็กมีสิทธิที่จะแจ้งบุคลที่เด็กร้องขอได้ และหากไม่ประสงค์ให้สหวิชาชีพคนใดอยู่ร่วมด้วยในการถามปากค าเด็กสามารถแจ้งได้ ตามสิทธิของตน สอดคล้องกับ สอดคล้องกับ Charles H. Zastrow ที่อธิบายถึงบทบาทผู้ให้ความรู้ (Educator) ของนักสังคม สงเคราะห์ในการท าหน้าที่เป็นผู้ให้ความรู้ และสอนทักษะให้แก่ผู้ใช้บริการ และสื่อสารข้อมูลอย่างถูกต้องชัดเจน เข้าใจได้ง่าย (Zastrow, 2556) การแจ้งสิทธิให้เด็กทราบว่าเด็กมีสิทธิในการด าเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม และเมื่อถามปากค าเสร็จ แล้วนักสังคมสงเคราะห์จะแนะน าสิทธิให้เด็กว่า มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนผู้เสียหายคดีอาญา ส าหรับแนวทางการส่งเสริมให้มีนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับสหวิชาชีพในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูกล่วง ละเมิดทางเพศเป็นรายกรณีของคุรุสภา ดังนี้ 1. การบูรณาการวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์ ครู และนิติกร ให้ท างานร่วมกันในการถามปากค าได้ เพราะแต่ละวิชาชีพมี ทักษะที่แตกต่างกัน วิชาชีพจะครูมีความใกล้ชิดกับเด็ก นิติกรจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ส่วนนักสงคมสงคราะห์ จะท าหน้าที่เป็นคนกลางท าให้เด็กเกิดความเข้าใจในการถามปากค า ส าหรับการส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์นั้นผู้ศึกษา
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 167 พบว่า การเชิญให้นักสังคมสงเคราะห์เข้ามามีส่วนร่วมในการถามปากค าเด็กนั้นอาจใช้วิธีให้คุรุสภาจังหวัดประสานงานกับ นักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ที่ขึ้นทะเบียนไว้ของแต่ละจังหวัด แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการ สอบสวนก่อน สอดคล้องกับ อรธิชา วิเศษโกสิน (2551) ที่อธิบายว่า ควรมีนโยบายส่งเสริมการปฏิบัติงานของสหวิชาชีพด้วย การท าให้ผู้บริหารเข้าใจการปฏิบัติงานของสหวิชาชีพว่าเป็นการปฏิบัติงานให้แก่หน่วยงาน ไม่ใช่ท าเพื่อหน่วยงานอื่น บูรณาการวิชาชีพสู่ความเป็นวิชาชีพและท างานกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และหากจัดอบรมหลักสูตรการถามปากค าเด็กใน คุรุสภา ควรเพิ่มพูนความรู้ให้แก่นิติกรในเรื่องพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว ศัพท์ทางแพทย์ จิตเวช ส่วนความรู้ที่ควรเพิ่มพูนให้แก่นักสังคมสงเคราะห์คือความรู้ด้านกฎมายที่เกี่ยวกับเด็ก กฎหมายพยาน เพื่อใช้ส าหรับการชั่ง น้ าหนักพยานหลักฐาน แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา ส่วนสิ่งที่นิติกรควรเรียนรู้เพิ่มเติม คือกฎหมายเกี่ยวกับเด็ก พระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็ก วิธีการตั้งต าถาม และวิธีปฏิบัติต่อเด็ก 2. คุรุสภาเองหากจะสร้างเครือข่ายอาจจะให้คุรุสภาจังหวัดเป็นผู้ประสานงานกับนักสังคมสงเคราะห์ตามป. วิอาญา ที่ขึ้นทะเบียนไว้ที่จังหวัด เนื่องจากเป็นบุคคลในท้องที่ สอดคล้องกับสอดคล้องกับ อรธิชา วิเศษโกสิน (2551) ซึ่งได้ให้ ข้อเสนอแนะส าหรับแนวทางการพัฒนาสหวิชาชีพไว้ว่า ควรมีการท างานเป็นเครือข่าย ด้วยการสร้างเครือข่ายภาคประชาชน ให้ประชาชนในพื้นที่ช่วยสอดส่อง ดูแล และหากใครพบเห็นว่ามีการกระท าทารุณกรรมเด็กให้แจ้งเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่าย ปกครอง ครู หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพ เนื่องจากประชาชนนพื้นที่จะทราบข้อมูลประชาชนในพื้นที่มากกว่าเจ้าหน้าที่ และมีความสะดวกในการติดตามผลการคุ้มครอง อีกทั้งคุรุสภาสามารถสร้างเครือข่ายกับโรงเรียน หรือเขตพื้นที่การศึกษาได้ เช่น ศึกษาธิการจังหวัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา หรือส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ซึ่งเป็น หน่วยงานที่ต้องอ านวยความสะดวกในการจัดพื้นที่ในการสอบปากค า 3. การจัดอบรมหลักสูตรถามปากค าเด็กในคุรุสภา ควรเพิ่มพูนความรู้ให้แก่นิติกรในเรื่องพระราชบัญญัติคุ้มครอง เด็ก ความรุนแรงในครอบครัว ศัพท์ทางแพทย์ จิตเวช ส่วนความรู้ที่ควรเพิ่มพูนให้แก่นักสังคมสงเคราะห์คือความรู้ด้านกฎมาย ที่เกี่ยวกับเด็ก กฎหมายพยาน เพื่อใช้ส าหรับการชั่งน้ าหนักพยานหลักฐาน แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา ส่วนสิ่งที่นิติกร ควรเรียนรู้เพิ่มเติม คือกฎหมายเกี่ยวกับเด็ก พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก วิธีการตั้งต าถาม และวิธีปฏิบัติต่อเด็ก สอดคล้องกับ รจเรข โกมุท (2553) อธิบายว่าปัญหาและอุปสรรคในการด าเนินงานท าให้ทีมสหวิชาชีพไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอคือ ผู้บริหารแต่ละหน่วยงานขาดความรู้ความเข้าใจในการท างานสหวิชาชีพ ขาดการประสานด้านนโยบายของแต่ละหน่วยงาน เพราะการจัดอบรมที่ผ่านมาเป็นการจัดอบรมให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาเพื่อเป็นคณะอนุกรรมการสอบสวน และได้จัด อบรมเพิ่มให้คุรุสภาจังหวัดเพื่อมาช่วยท าหน้าที่ในการสืบสวน อันจะเป็นการกระจายงานลงไปสู่จังหวัด 4. การจัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ร่วมด้วยตลอดโดยไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากทักษะของวิชาชีพที่ถูกฝึกมาให้มี ความอ่อนโยน มีความเข้าใจในขั้นตอนกระบวนการถามปากค า และมีเครือข่ายทางสังคม และเป็นคนช่วยท าให้เสียงของเด็ก ดังขึ้น เป็นบุคคลที่ให้ความคุ้มครองแก่เด็กให้ได้รับความปลอดภัย เกิดความไว้วางใจและกล้าที่ให้ข้อมูล สามารถให้ค าปรึกษา ได้ และมีส่วนส าคัญในการช่วยสื่อสารระหว่างเด็กกับพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการให้เข้าใจเด็ก สอดคล้องกับ ไพริน ทับทิม (2557) อธิบายว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในการถามปากค าพยานเด็กในชั้นศาลคือ การสอบถามด้วยน้ าเสียงที่จริงจัง ใช้ภาษา กฎหมาย การสอบถามรายละเอียดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท าให้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็ก เนื่องจากเด็กจะมีความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ความกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และความกลัวต่อการต้องเผชิญหน้าต่อบุคคลที่กระท ากับเด็ก รวมทั้งการจดจ า รายละเอียดของเด็กซึ่งมีความแตกต่างไปจากผู้ใหญ่ อันเป็นการส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอันเป็นการไม่ได้ให้ความคุ้มครอง แก่เด็กเท่าที่ที่ควร จึงได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมีความสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วย สิทธิเด็กที่ก าหนดให้มีนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยาเข้าร่วมในการสอบสวน และสอดคล้องกับ วาสนา ภัทรนันทกุล และคณะ (2562) ได้ท าการศึกษาเรื่อง ปัญหาการเข้าร่วมของสหวิชาชีพในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาส าหรับเด็กและ เยาวชน ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาในกระบวนการถามปากค าพยานเด็ก คือ การที่พนักงานสอบสวนยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 168 เพียงพอต่อจิตวิทยาเด็ก และค าถามบางค าถามอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจเด็กอย่างรุนแรง จึงมีความจ าเป็นที่ต้องมี สหวิชาชีพเพื่อไม่ให้การถามปากค าเด็กนั้นส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจเด็กอย่างรุนแรง แม้ว่าจะมีสหวิชาชีพยังคงพบ ปัญหาในการด าเนินงาน คือ ปัญหาในการที่ไม่สามารถประสานงานให้แต่ละวิชาชีพเข้ามาอยู่ร่วมในกระบวนการถามปากค า เด็กได้โดยพร้อมเพรียงกัน เนื่องด้วยเวลาที่ไม่ตรงกัน และกฎหมายได้ก าหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ว่าหากมีกรณีจ าเป็นเร่งด่วนที่ ไม่สามารถให้สหวิชาชีพมาอยู่ร่วมได้ในการสอบสวนให้พนักงานสอบสวนท าบันทึกไว้ จึงท าให้มีพนักงานสอบสวนที่อาจใช้ ข้อยกเว้นดังกล่าวในการถามปากค าเด็กได้ ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิเด็ก จึงได้มีข้อเสนอแนะว่า ควรยกเลิกข้อยกเว้นดังกล่าว และควรให้มีสหวิชาชีพเข้าอยู่ร่วมด้วย รวมทั้งควรให้มีองค์กรอิสระของสหวิชาชีพ เพื่อความ คล่องตัวในการปฏิบัติงาน และจะมีความเข้าใจเด็กได้ดีเพราะผ่านการอบรมหลักสูตรการคุ้มครองเด็ก บทสรุป จากผลการศึกษาสรุปได้ ดังนี้ 1. ผลการศึกษาบทบาทนักสงคมสงเคราะห์ในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ รายกรณีโดยแบ่งเป็นก่อนถามปากค า ระหว่างถามปากค า และหลังถามปากค า 1.1 บทบาทนักสงคมสงเคราะห์ก่อนถามปากค า การถามปากค าเด็ก นักสังคมสงเคราะห์จะท างานร่วมกับวิชาชีพต่างๆ คือ พนักงานสอบสวน และพนักงาน อัยการ โดยเมื่อนักสังคมสงเคราะห์ได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวน ว่ามีกรณีที่เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศและขอให้ นักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์จะสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเด็กจากพนักงานสอบสวน เช่น อายุ เนื่องจากเด็กแต่ละช่วงวัยนักสังคมจะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้นักสังคมสงเคราะห์จะถาม เกี่ยวกับสภาพร่างกายว่ามีความพิการหรือไม่ เมื่อได้รับแจ้งแล้วก็จะไปปฏิบัติหน้าที่ในวันรุ่งขึ้น แต่บางรายมีความเร่งด่วน ก็จะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ได้รับแจ้ง และจะจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จ าเป็นประกอบการถามปากค าเด็กตามแต่ละช่วงวัย เช่น เด็กอายุ 4 ปี จะเตรียมอุปกรณ์คือ ตุ๊กตา Anatomical doll ของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้เด็กชี้อวัยวะของตุ๊กตาแทน อวัยวะของตนเอง และอุปกรณ์ส าหรับวาดภาพ กระดาษ สี ขนม และแบบทดสอบ IQ ส าหรับเด็กออทิสติกเพื่อประเมิน พัฒนาการของเด็ก และเด็กอายุต่ าว่า 7 ปี จะทดสอบด้วยสี ถามเด็กว่ารู้จัดข้างบน ข้างล่าง ข้างใน ข้างนอกหรือไม่ และ นักสังคมสงเคราะห์จะมีบทบาทในการจัดเตรียมสถานที่ห้องถามปากค าให้เป็นแบบ one-way mirror ซึ่งการจัดห้องแบบนี้ เพื่อให้เด็กลดการเผชิญหน้ากับสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง 1.2 บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ระหว่างถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทการสื่อสารเพื่อท าให้เด็กเกิดความเข้าใจต่อกระบวนการถามปากค า ด้วย การประเมินความสามารถในการสื่อสารและการจดจ าเหตุการณ์ของเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละช่วงวัยจะมีความสามารถในการสื่อสารที่ แตกต่างกัน ถ้าเด็กที่อายุต่ ากว่า 7 ปี นักสังคมสงเคราะห์จะต้องใช้อุปกรณ์ที่ช่วยในการสื่อสาร เช่น ตุ๊กตา กระดาษ สี เป็นต้น เพื่อให้เด็กสื่อสารด้วยการวาดภาพ หรือเขียนค าสั้นๆ นักสังคมสงเคราะห์จะช่วยสร้างบรรยากาศในการสอบสวนให้ราบรื่น ให้ได้ประเด็นที่ครบถ้วน โดยที่ไม่ท าให้เด็กเกิดความกลัว และคอยสังเกตว่าเด็กสามารถที่พูดคุยต่อได้หรือไม่ หาก นักสังคมสงเคราะห์สังเกตเห็นอาการของเด็กว่านิ่ง เงียบ หรือร้องไห้ จะแจ้งกับพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการว่า ขอให้เด็กพักก่อน แล้วค่อยถามปากค าเด็กต่อ นอกจากนี้นักสังคมสงเคราะห์จะต้องหาค าส าคัญที่เด็กใช้เรียกบุคคลที่กระท า ต่อเด็กว่า และต้องสื่อสารกับพนักงานสอบสวน และอัยการให้เกิดความเข้าใจตรงกันว่าเด็กใช้ศัพท์ที่เรียกผู้กระท าว่าอะไร และต้องใช้ค าศัพท์ดังกล่าวตลอดการสอบสวน ส่วนวิธีการตั้งค าถามของนักสังคมสงเคราะห์นอกจากได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้น จากพนักงานสอบสวนแล้ว จะต้องใช้ทักษะของวิชาชีพในการตั้งค าถามซึ่งมีองค์ประกอบที่ส าคัญ คือ วัน เวลา สถานที่ และ พฤติการณ์ เพื่อให้ได้ประเด็นครบถ้วนตามที่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการต้องการน าไปใช้ประกอบการเขียนส านวน
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 169 ซึ่งทักษะเหล่านี้เกิดจากประสบการณ์ในการถามปากค าเด็กของนักสังคมสงเคราะห์จนเกิดความเชี่ยวชาญ และเป็นสิ่งที่ส าคัญ ที่นักสังคมสงเคราะห์จะต้องพิสูจน์ว่าวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์มีประโยชน์ต่อการถามปากค าว่าจะช่วยท าให้ได้ข้อมูล ที่ครบถ้วนและนักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทผู้พิทักษ์สิทธิคือ การแจ้งสิทธิให้เด็กทราบว่าตนเองสามารถร้องขอบุคคลที่ ไว้วางใจให้เข้าร่วมในการถามปากค าได้ เช่น แม่ และหากเด็กไม่อยากให้บุคคลใดอยู่ร่วมด้วยในการถามปากค าก็สามารถแจ้ง ได้เช่นกัน การท าให้เด็กไม่ต้องรู้สึกผิดในการที่จะตอบค าถามว่าผู้กระท าซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดอย่างครูจะต้องรับโทษตาม กฎหมาย เพราะนักสังคมสงเคราะห์มาเพื่อช่วยพิทักษ์สิทธิให้เด็กได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ให้บุคคลที่กระท าต่อเด็ก ได้รับโทษและไม่สามารถมาข้องเกี่ยวกับเด็กได้ 1.3 บทบาทนักสังคมสงเคราะห์หลังถามปากค า นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทให้ความรู้แก่เด็กว่าเด็กมีสิทธิอะไรบ้าง และในระหว่างการถามปากค าเด็กมีสิทธิ ที่จะร้องขอบุคลให้เข้าร่วมในการถามปากค า เช่น แม่ ครู หรือนักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็ก เป็นต้น และหากเด็กไม่ประสงค์ ให้สหวิชาชีพคนใดอยู่ร่วมด้วยในการถามปากค า เด็กสามารถแจ้งได้ตามสิทธิของตน และเมื่อถามปากค าเสร็จแล้วนักสังคมสงเคราะห์ จะแนะน าสิทธิให้เด็กว่า เด็กจะต้องด าเนินการตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมอย่างไรบ้าง และมีสิทธิร้องขอค่าตอบแทน ผู้เสียหายในคดีอาญาได้ โดยไปติดต่อที่ส านักงานยุติธรรมจังหวัดแต่ละแห่ง 2. ผลการศึกษาแนวทางการส่งเสริมให้มีนักสังคมสงเคราะห์ร่วมกับสหวิชาชีพในการถามปากค าผู้เสียหายซึ่ง เป็นเด็กที่ถูกครูล่วงละเมิดทางเพศเป็นรายกรณีของคุรุสภา การบูรณาการวิชาชีพ เป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์ ครู และนิติกร ให้สามารถ ท างานร่วมกันในการถามปากค าได้ เนื่องจากวิชาชีพต่ละมีทักษะที่แตกต่างกัน วิชาชีพจะครูมีความใกล้ชิดกับเด็ก นิติกรจะมี ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ส่วนนักสงคมสงเคราะห์จะท าหน้าที่เป็นคนกลางท าให้เด็กเกิดความเข้าใจในการถาม ปากค า โดยการเชิญให้นักสังคมสงเคราะห์เข้ามามีส่วนร่วมในการถามปากค าเด็กนั้นอาจใช้วิธีให้คุรุสภาจังหวัดประสานงานกับ นักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ที่ขึ้นทะเบียนไว้ของแต่ละจังหวัด แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการ สอบสวนก่อน การท างานเป็นเครือข่าย การท างานของนักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ในจังหวัดจะมีการสร้างกลุ่มไลน์ (Group Line) กลุ่มไว้ โดยยุติธรรมจังหวัดเป็นคนสร้างขึ้นเพื่อจัดตารางเวรให้แก่นักสังคมสงเคราะห์ในจังหวัด และมีการสร้าง เครือข่ายกับโรงเรียนด้วยการน ารถเคลื่อนที่เข้าไปบรรยายให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงและการตั้งครรภ์ ในวัยเรียน การสร้างเครือข่ายในจังหวัดระหว่างพัฒนาสังคมจังหวัดและบ้านพักเด็ก ส่วนคุรุสภาเองหากจะสร้างเครือข่าย อาจจะให้คุรุสภาจังหวัดเป็นผู้ประสานงานกับนักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ที่ขึ้นทะเบียนไว้ที่จังหวัด เนื่องจากเป็น บุคคลในท้องที่ การจัดอบรมหลักสูตรการสอบปากค าเด็กในคุรุสภา นักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา จะต้องผ่านการอบรม หลักสูตรของกระทรวงยุติธรรมก่อน จึงจะได้รับใบอนุญาตเพื่อให้เป็นนักสังคมสงเคราะห์ตามป.วิอาญา แต่ด้วยค่าใช้จ่ายค่า อบรมสูง บางหน่วยงานอาจไม่มีงบประมารสนับสนุนท าให้มีนักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมอบรมน้อย ท าให้บางจังหวัดมีนักสังคม สงเคราะห์ตามป.วิอาญาไม่กี่คน บางจังหวัดมีแค่ 3 คน จึงมีข้อเสนอแนะว่าจะจัดประชุมทาง conference ระยะเวลาครึ่งวันถึงหนึ่ง วัน และควรจัดตารางเวรให้แก่นักสังคมสงเคราะห์ตามป.วิอาญาในจังหวัด ส าหรับหลักสูตรการอบรมการคณะอนุกรรมการสอบสวน ควรแทรกความรู้เกี่ยวกับการสอบปากค าเด็ก โดยส่งเสริมให้ให้นักสังคมสงเคราะห์ได้เรียนรู้รูปแบบการสอบสวน การพิจารณา พยานหลักฐาน และกฎหมายของคุรุสภา ส่วนนิติกรควรได้รับความรู้เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองเด็ก สิทธิเด็กโดยให้นักสังคมสงเคราะห์ เป็นวิทยากรให้ความรู้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และนิติกร แต่ทั้งนี้ในการออกแบบหลักสูตรดังกล่าวต้องเสนอให้ผู้บริหาร คุรุสภาให้ความเห็นชอบด้วย เพราะการจัดอบรมที่ผ่านมาเป็นการจัดอบรมให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาเพื่อเป็น
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 170 คณะอนุกรรมการสอบสวน และได้จัดอบรมเพิ่มให้คุรุสภาจังหวัดเพื่อมาช่วยท าหน้าที่ในการสืบสวน อันจะเป็นการกระจายงาน ลงไปสู่จังหวัด และ การจัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ร่วมด้วยตลอดโดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้ให้ข้อมูลมีความคิดเห็นว่านักสังคมสงเคราะห์ มีความส าคัญในการถามปากค าเด็ก เนื่องจากทักษะของวิชาชีพที่ถูกฝึกมาให้มีความอ่อนโยน มีความเข้าใจในขั้นตอนกระบวนการ ถามปากค า และมีเครือข่ายทางสังคม และเป็นคนช่วยท าให้เสียงของเด็กดังขึ้น เป็นบุคคลที่ให้ความคุ้มครองแก่เด็กให้ได้รับ ความปลอดภัย เกิดความไว้วางใจและกล้าที่ให้ข้อมูล สามารถให้ค าปรึกษาได้ และมีส่วนส าคัญในการช่วยสื่อสารระหว่างเด็กกับ พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการให้เข้าใจเด็ก ข้อเสนอแนะ 1. คุรุสภาควรส่งเสริมความรู้ความเข้าใจต่อบทบาทการท างานของนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าเด็กให้แก่ ผู้บริหารของคุรุสภาด้วยการสอดแทรกความรู้ในการจัดอบรมหลักสูตรการสอบสวนการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ 2. คุรุสภาควรแก้ไขข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยว่าด้วยการพิจารณาการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. 2553 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติให้มีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ร่วมด้วยในการถามปากค าเด็ก โดยอ้างอิงจากกฎหมายของคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต 3. คุรุสภาจังหวัดควรสร้างความร่วมมือกับนักสังคมสงเคราะห์ตาม ป. วิอาญา ที่ขึ้นทะเบียนไว้ในแต่ละจังหวัด เพื่อให้นัก สังคมสงเคราะห์จังหวัดสามารถเข้าร่วมถามปากค าเด็กกับคุรุสภาได้ ด้วยวิธีการท าเป็นหนังสือเชิญให้ความร่วมถามปากค า และการจัดอบรมหลักสูตรการสอบสวนจรรยาบรรณิวิชาชีพ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการ และขั้นตอนการถามปากค าเด็กของคุรุสภา เอกสารอ้างอิง กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. (2560). คู่มือปฏิบัติและข้อตกลงร่วมกัน เรือง การคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กในภาวะเสี่ยงและเป็นผู้เสียหายจากการ ละเมิด ละเลยทอดทิ้ง แสวงประโยชน์ และ ความรุนแรง. กรุงเทพฯ: กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กรมกิจการเด็กและเยาวชน. จุลสิงห์ วสันตสิงห์. (2552). คู่มือการปฏิบัติงานในการเข้าร่วมคุ้มครองเด็กในชั้นสอบสวน. กรุงเทพฯ: ส านักงานอัยการสูงสุด, ศูนย์อ านวยการคุ้มครองเด็กในคดีอาญา. นัยนา ธนวัฑโฒ. (2551). การท างานของสหวิชาชีพในการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กหญิงที่ถูกทารุณกรรมทางเพศ: วิเคราะห์จาก มุมมองสตรีนิยม. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. พิมพาภรณ์ กลั่นกลิ่น และ ฐิติมา สุขเลิศตระกูล. (2564) ทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคม, สืบค้นจาก https://cmnb.site/wpcontent/uploads/2019/09/ann_01_28022008.pdf ไพริน ทับทิม. (2557). มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองพยานที่เป็นเด็กในคดีอาญา. ปริญญานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยบูรพา ชลบุรี, คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์. รจเรข โกมุท. 2553. การส่งเสริมการท างานของทีมสหวิชาชีพในการคุ้มครองเด็กที่ถูกทารุณกรรม จังหวัดนนทบุรี. วิทยานิพนธ์ริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, สาขาการบริหารและ นโยบายสวัสดิการสังคม. ระพีพรรณ ค าหอม. (2555). หลักการและกระบวนการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์จุลภาค. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์.
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 171 วีระ บุณยะกาญจน. (2532). ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม. วาสนา ภัทรนันทกุล. (2561). ปัญหาการเข้าร่วมของสหวิชาชีพในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาส าหรับเด็กและเยาวชน. วารสารรัชภาคย์, 163-164. อรธิชา วิเศษโกสิน. (2551). แนวทางการพัฒนาการปฏิบัติงานสหวิชาชีพของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง เด็ก พ.ศ. 2546. วิทยานิพนธ์ริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, สาขาการบริหารและนโยบายสวัสดิการสังคม. Charles, H. Zastrow. (2013). The practice of social work: a comprehensive worktext. Australia: Brooks/Cole, Cengage Learning.
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 172 ปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model กรณีศึกษาคลินิกก้าวใหม่ ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร Problems and Obstacles of Social Workers in Drug Addiction Treatment and Rehabilitation with BMA Matrix Model Program: Case Study at New Step Clinic, Health Department, Bangkok Metropolitan Administrator พิมพ์ขวัญ พันธุมาศ1 Pimkwan Puntumas2 ภุชงค์ เสนานุช3 Puchong Senanuch4 Abstract This research studied problems, obstacles and solutions for social workers in treatment and rehabilitation of drug addicts with the matrix model.Mixed methods research was done with data collected by questionnaire and in-depth interview. 78 specific samples were social workers in the new step plus clinics with at least one year seniority, and selected in a chain of 9 licensed social workers.3 administrative licensed social workers, 3 academic licensed social workers, and 3 practice licensed social workers. Results were that samples were mostly female, aged between 40 and 49 years. A similar number of bachelor's and master's degrees are available. Most (44) had 16 to 20 years of work experience in the new clinics 44 people and 34 in another new clinic. Results were that: (1) Problems and obstacles are at moderate level. (̅ = 2.71). Samples had the highest level of personnel readiness, followed by management/organizational support, with the target group operational aspect the least coordinated aspect; (2) To resolve these issues, outside personnel should be hired to assist government efforts. Organizational management and support should set policies consistent with the regional context. Working with the target group, service processes should be flexibly adjusted to coordinated inter-and intra-agency relationships. Staffing assignments of social workers should meet the workload and the BMA matrix drug treatment model should be adjusted by permitting community participations in accordance with current drug conditions. Special compensation for operation, promotion, and development of communication knowledge and social worker technological use should support up-to-date drug treatment media development. Keywords: Treatment, Drug addiction, BMA matrix model program, Social worker 1 นักศึกษาระดับมหาบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 2 Master degree students, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 รองศาสตราจารย์ ดร. อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 4 Associate Professor Dr.,Thesis Supervisor, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 173 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหา อุปสรรคของ นักสังคมสงเคราะห์ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบ ผสมผสาน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จ านวน 78 คน ที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานในคลินิกก้าวใหม่พลัส และในคลินิกก้าวใหม่อย่างน้อย 1 ปี และคัดเลือกแบบลูกโซ่ จ านวน 9 คน โดยเป็นนักสังคมสงเคราะห์กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มวิชาการ และกลุ่มปฏิบัติงาน จ านวน 3 คน/กลุ่ม ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 40-49 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในจ านวน ใกล้เคียงกัน การปฏิบัติงานส่วนใหญ่อยู่ในระดับช านาญการ ส่วนใหญ่มีระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 16-20 ปี ปฏิบัติงานอยู่ใน คลินิกก้าวใหม่ จ านวน 44 คน และคลินิกก้าวใหม่พลัส จ านวน 34 คน ผลการศึกษาพบว่า (1) ส าหรับภาพรวมของปัญหาและ อุปสรรคฯ พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง คือ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.71 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพร้อมของ บุคลากรมากที่สุด รองลงมาด้านการบริหารจัดการ/การสนับสนุนจากองค์กร ถัดมาเป็นด้านการปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมาย และ ด้านการประสานงานน้อยที่สุด และ (2) ส าหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคฯ พบว่า ด้านบุคลากรควรมีการจ้าง บุคคลภายนอกช่วยราชการ ด้านการบริหารจัดการ/การสนับสนุนจากองค์กร ควรมีการก าหนดนโยบายที่สอดคล้องกับบริบท พื้นที่ ด้านการปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมาย ควรมีการปรับขั้นตอนการให้บริการให้มีความยืดหยุ่น และด้านการประสานงาน ควรมีการสร้างสัมพันธภาพทั้งภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงาน ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งนี้ ควรมีการจัดสรร อัตราก าลังของนักสังคมสงเคราะห์ให้เพียงพอต่อปริมาณงาน ควรมีการปรับรูปแบบการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model โดยให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมและสอดคล้องกับสถานการณ์ยาเสพติดในปัจจุบัน การสนับสนุนค่าตอบแทน พิเศษในการปฏิบัติงาน การส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ในเรื่องการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีให้แก่นักสังคมสงเคราะห์ และการพัฒนาสื่อในการบ าบัดยาเสพติดให้มีความทันสมัย ค าส าคัญ: การบ าบัดรักษา, ผู้ติดยาเสพติด, โปรแกรม BMA Matrix Model, นักสังคมสงเคราะห์ ค าน า สถานการณ์ปัญหาเรื่องยาเสพติดในประเทศไทย พบว่า จ านวนผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติด จากข้อมูลของระบบ ข้อมูลการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (บสต.) ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559-2562 (1 ตุลาคม 2558-30 กันยายน 2563) ปีงบประมาณ 2559 มีผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดจ านวน 98,935 คน เพิ่มเป็น 208,650 คน ในปี ประมาณ 2560 ต่อมาปีงบประมาณ 2561 จ านวนผู้เข้ารับการบ าบัดเพิ่มขึ้นจาก 241,149 คน เพิ่มเป็น 254,471 คน ในปีงบประมาณ 2562 และในปีงบประมาณ 2563 มีจ านวนผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดลดลง 195,285 คน (ข้อมูลจากระบบ ข้อมูลการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (บสต.) เปรียบเทียบรายพื้นที่ตามแบบบ าบัดรักษาทั่วประเทศ จ าแนกตามรายเขต วันที่ 7 ตุลาคม 2563) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อ สังคมเป็นวงกว้าง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม ทั้งยังเป็นปัญหาที่บั่นทอนความมั่งคงของประเทศชาติ การแก้ปัญหายาเสพติด จึงไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ได้เพียงล าพัง แต่มีความจ าเป็นต้องได้รับความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและภาคประชาชนในการแก้ไข ปัญหายาเสพติดร่วมกัน จากสถานการณ์ปัญหาดังกล่าว รัฐบาลได้ให้ความส าคัญกับการด าเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหา ยาเสพติดมา โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงพัฒนาข้อกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่มีความเป็นพลวัต เช่น การตรา พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 มาแทนฉบับเดิมที่เน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยการบ าบัด ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในฐานะผู้ป่วย ไม่ใช่ฐานะของอาชญากร ในปี 2558 ได้มีการจัดท าแผนยุทธศาสตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ. 2558-2562 ภายใต้วิสัยทัศน์ “สังคมไทยเข้มแข็งและรอดพ้นภัยจากยาเสพติดด้วยภูมิคุ้มกัน
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 174 และมาตรการลดผู้ค้าและผู้เสพ และความร่วมมือระหว่างประเทศด้านยาเสพติดบรรลุผลตามพันธกรณีและวิสัยทัศน์อาเซียน ภายในปี 2562” (แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ. 2558-2562) ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งใน หน่วยงานที่มีหน้าที่ขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่พื้นที่ จึงได้จัดท าแผนยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดใน พื้นที่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2561-2564 โดยศูนย์อ านวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกรุงเทพมหานคร (ศอ.ปส.กทม.) เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการน าแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ. 2558-2562 ไปสู่การปฏิบัติ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้เกิดผลส าเร็จเป็นรูปธรรมภายใต้วิสัยทัศน์ “กรุงเทพมหานครปลอดภัยจากยาเสพติดอย่างยั่งยืน โดยการท างานแบบบูรณาการ ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม” (แผนปฏิบัติการด าเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2563-2565) จากการทบทวนสการณ์ผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหาครตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559-2563 พบว่า มีผู้เข้ารับการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดทั้งในระบบสมัครใจและระบบบังคับแบบไม่ควบคุมตัว จ านวนทั้งสิ้น 55,687 ราย ดังตารางที่ 1.1 (ระบบข้อมูลการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (บสต.) ระบบรายงาน ระบบติดตาและ เฝ้าระวังปัญหายาเสพติด วันที่ 7 ตุลาคม 2563) ตารางที่ 1.1 จ านวนผู้เข้ารับการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559-2563 (1 ตุลาคม 2558-31 พฤษภาคม 2563) ปีงบประมาณ ระบบสมัครใจ (ราย) ระบบบังคับบ าบัด (ราย) รวม (ราย) 2559 2,254 9,457 11,711 2560 4,813 6,265 11,078 2561 4,179 8,841 13,020 2562 3,347 8,260 11,607 2563 2,556 5,715 8,271 รวม 17,149 38,530 55,687 ที่มา: ระบบข้อมูลการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (บสต.) ระบบรายงาน ระบบติดตาและเฝ้าระวังปัญหา ยาเสพติด. วันที่ 7 ตุลาคม 2563. จากข้อมูลผู้ข้างต้นจะเห็นได้กรุงเทพมหานครมีจ านวนผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดมากขึ้นทุกปียกเว้นในปีงบประมาณ 2563 ที่มีจ านวนผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดลดลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อทบทวน สถานการณ์ผู้เข้ารับการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในคลินิกก้าวใหม่ ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ การด าเนินงานด้านยาเสพติดของกรุงเทพมหานครนั้น มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ ส านักการแพทย์และส านักอนามัย ให้บริการบ าบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด 2 ระบบ คือ ระบบสมัครใจ และ ระบบบังคับแบบไม่ควบคุมตัว โดย มีกระบวนการบ าบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model ในการบ าบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเป็นโปรแกรมที่พัฒนาและปรับปรุงมาจาก โปรแกรมจิตสังคมบ าบัด (Matrix Model) ให้กระบวนการบ าบัดรักษามี ความสอดคล้องกับบริบทพื้นที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากโปรแกรมจิตสังคมบ าบัดเป็นรูปแบบการบ าบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติด สารแอมเฟตามีนแบบผู้ป่วยนอกที่ให้ผลสัมฤทธ์ในการบ าบัดรักษาที่ดี กรุงเทพมหานครจึงมีนโยบายให้บริการบ าบัดรักษาด้วย โปรแกรมดังกล่าวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546(คู่มือส าหรับผู้ใช้การบ าบัดBMA Matrix Model, 2561) ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 175 ให้บริการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยมีคลินิกก้าวใหม่พลัส จ านวน 18 แห่ง และศูนย์บริการ สาธารณสุข 51 ศูนย์ ที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีทีมสหวิชาชีพที่ให้บริการด้านการบ าบัดรักษาและฟื้นฟู สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมของผู้ติดยาเสพติด ให้บริการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติด ยาเสพติดในระดับผู้ใช้และผู้เสพยาเสพติด เนื่องจากกระบวนการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดมีผลต่อความส าเร็จในการเลิก ยาเสพติด ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างพลังอ านาจให้ผู้เข้ารับการบ าบัดสามารถด าเนินชีวิตได้ โดยไม่ต้องพึ่งพายาเสพติด และ สามารถปฏิเสธการใช้ยาเสพติดได้ในอนาคต นอกจากการปรับปรุงกระบวนการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดให้ทันต่อ สถานการณ์ปัญหายาเสพติดในปัจจุบันแล้ว การพัฒนาบุคลากรก็มีความส าคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากการเลิกยาเสพติดให้ส าเร็จ ได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งจากผู้รับการบ าบัดและผู้ให้การบ าบัด ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น นโยบายด้านการบ าบัดยาเสพติด ความพร้อมในการให้บริการของหน่วยงาน และทัศคติของผู้ให้การบ าบัดยาเสพติด เมื่อทบทวนสถานการณ์ของผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model รายใหม่ใน ปีงบประมาณ 2562 พบว่า นักสังคมสงเคราะห์ในคลินิก้าวใหม่แต่ละแห่งมีไม่เท่ากัน อีกทั้งจ านวนของผู้เข้ารับการบ าบัดยา เสพติดฯก็แตกต่างกันอีกด้วย เมื่อเทียบอัตราส่วนของนักสังคมสงเคราะห์กับจ านวนผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดฯ แล้วก็พบว่า มีนักสังคมสงเคราะห์หลายคนที่ต้องให้บริการบ าบัดยาเสพติดมากว่า 100 คนต่อปี(เฉพาะรายใหม่) แม้ว่าจะมีสหวิชาชีพอื่น ร่วมด้วยแต่นักสังคมสงเคราะห์ยังถือเป็นผู้ให้บริการหลัก แม้ว่าคลินิกก้าวใหม่จะมีวิชาชีพอื่นในการปฏิบัติงานด้วย แต่ผู้รับ หน้าที่หลักในการให้บริการ คือ นักสังคมสงเคราะห์ และนักจิตวิทยา (โสภิต แกล้วกล้า, 2551) ดังนั้น ผู้ศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นนักสังคมสงเคราะห์ในคลินิกก้าวใหม่พลัส ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีบทบาทเป็น Case Management (นักจัดการรายกรณี) ที่รับผิดชอบตั้งแต่กระบวนการคัดกรองการใช้ยาหรือสารเสพติด เพื่อจ าแนกการให้บริการ ชี้แจง โปรแกรมบ าบัด จัดท าประวัติให้ค าปรึกษา ให้ความรู้และส่งเสริมสุขภาพ รวมไปถึงการท ากิจกรรมร่วมกับครอบครัวของ ผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดและประเมินผลการบ าบัด เพื่อให้ผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยไม่ต้องพึ่งการใช้ยาเสพติด จึงมีความสนใจที่จะศึกษา ปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ในการบ าบัดรักษาและ ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model เพื่อปรับปรุงกระบวนการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดให้ทันต่อ สถานการณ์ปัญหายาเสพติดในปัจจุบัน และพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในการให้บริการ วัตถุประสงค์ของการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ในการบ าบัดรักษาและ ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model และ (2) เพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของ นักสังคมสงเคราะห์ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ผู้ศึกษาได้ศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติด ยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. นักสังคมสงเคราะห์กับการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด การปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ด้าน ยาเสพติดไม่ได้ท างานในระดับบุคคลเพียงอย่างเดียว หากเกี่ยวข้องกับระดับครอบครัว ชุมชน และองค์กร โดยมีการก าหนด มาตรฐานในการปฏิบัติงานไว้ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. 2556 ดังนั้นการปฏิบัติงานของนักสังคม สงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานด้านการบ าบัด รักษา และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ยังเกี่ยวข้องกับการจัดหารบริการและสวัสดิการที่จ าเป็น และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการ รวมถึงการสนับสนุนปัจจัยต่างๆ ที่จ าเป็นต่อการด าเนินชีวิตของผู้ใช้บริการให้ สามารถด ารงอยู่ในสังคมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดจนนักสังคมสงเคราะห์ยังต้องพัฒนาองค์ความรู้ความสามารถ เทคนิค
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 176 และทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนาวิชาชีพ (สมาคมนักสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยและ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553) 2. แนวคิดการจัดการรายกรณี(Case Management) นักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานด้านการบ าบัดยาเสพติด มีบทบาทหน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริง การคัดกรองและประเมินระดับความรุนแรงในการใช้ยาเสพติดเพี่อให้ผู้ใช้บริการ ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมและปลอดภัย โดยมีรูปแบบและวิธีการบ าบัดที่เหมาะสมกับลักษณะของบุคคล อีกทั้งนัก จัดการรายกรณียังมีบทบาทการบริหารจัดการทรัพยากรทางสังคมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ จนผู้ใช้บริการ สามารถพึ่งพาตนเองได้ใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงปลอดภัย จนถึงขั้นยุติการให้บริการ ทั้งนี้ในฐานะของผู้จัดการรายกรณี ผู้ปฏิบัติงานอย่างนักสังคมสงเคราะห์ยังมีบทบาทในการประสานงานและการส่งต่อข้อมูลของผู้ใช้บริการให้แก่หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการและการได้รับการบริการอย่างต่อเนื่อง (โสภา อ่อนโอภาส, 2555; อภิญญา เวชยชัย, 2556) 3. แนวคิดการบ าบัดรักษาแบบผู้ป่วยนอกโปรแกรมกาย จิต สังคมบ าบัด (Matrix Program) เป็นโปรแกรม การบ าบัดที่ประยุกต์มาจาก The Matrix Intensive OutpatientProgram โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์Matrix Institute มหาวิทยาลัย UCLA ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้บ าบัดผู้ติดยาหลายประเภท โดยเฉพาะผู้ติดยาประเภทยากระตุ้นประสาท เช่น โคเคน และ Amphetamine (Amphetamine Type Stimulant-ATS) ในแบบผู้ป่วยนอกและได้ผลสัมฤทธิ์ในการรักษาดีแต่ใช้ ต้นทุนน้อย การบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแบบผู้ป่วยนอกตามรูปแบบ จิตสังคมบ าบัด (Matrix Program) เป็นกระบวนการ บ าบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดตามแบบ Cognitive behavioral Model ที่เน้นให้องค์ความรู้ต่างๆ ที่จ าเป็นส าหรับผู้ป่วยและ ครอบครัว โดยสอดแทรกเข้าไปในระยะต่างๆ ของการบ าบัดรักษาผ่านกิจกรรมกลุ่มบ าบัด เป็นวิธีการหลักที่ใช้ตลอดโปรแกรม การบ าบัดรักษานาน 1 ปีโดยแบ่งเป็น 2ระยะ ได้แก่ ระยะที่1IntensivePhase หรือIntensive OutpatientProgram (Matrix IOP) ใช้เวลาในการบ าบัดรักษา 4 เดือน (16 สัปดาห์) และ ระยะที่ 2 After Care Program หรือ ระยะประคับประคอง ใช้เวลาในการบ าบัด 8 เดือน (โดยจะบ าบัดต่อจากระยะที่ 1 คือ เดือนที่ 5 ถึงเดือนที่12) (โสภิต แกล้วกล้า, 2551, น.26-27) 4. คลินิกก้าวใหม่กับการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model กรุงเทพมหานครได้พัฒนารูปแบบ โปรแกรมจิตสังคมบ าบัด (Matrix Program) และก าหนดแนวทางมาตรฐานการบ าบัดให้เป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับผู้ใช้บริการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีการปรับลดความถี่ในการเข้าร่วมกิจกรรม และปรับเนื้อที่มีความซ้ าซ้อนมารวมเป็นกิจกรรม เดียวกัน แต่ยังคงมีเนื้อหาในการบ าบัดการด าเนินกิจกรรม ได้แก่ การปรึกษารายบุคคล/ครอบครัว(IC), กลุ่มฝึกทักษะการเลิก ยาระยะต้น(ER), กลุ่มให้ความรู้ผู้ป่วยและครอบครัว(FE) และกลุ่มฝึกทักษาการป้องกันการติดซ้ า(RP) และมีการจัดท าคู่มือใน การบ าบัดรักษาด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model เพื่อใช้ในการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดและให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งให้บริการให้บริการบ าบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด 2 ระบบ คือ ระบบสมัครใจและระบบบังคับแบบไม่ควบคุมตัว มีรูปแบบการให้บริการ 2 รูแปบบคือ คลินิกก้าวใหม่ พลัส ให้บริการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในระดับผู้ใช้ ผู้เสพ และผู้ติดยาเสพติด และคลินิกก้าวใหม่ให้บริการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในระดับผู้ใช้และผู้เสพยาเสพติด (ส านักงาน ป้องกันและบ าบัดการติดยาเสพติด,ส านักอนามัย, 2563) โดยนักสังคมสงเคราะห์จะมีบทบาทหน้าที่ในการปฏิบัติงานกับผู้ป่วย ยาเสพติด โดยน าหลักการ กระบวนการ และวิธีการทางสังคมสงเคราะห์มาประยุกต์ใช้ในขั้นตอนต่างๆ ในการบ าบัดรักษาผู้ติด ยาเสพติด 4 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมการก่อนการรักษา ขั้นบ าบัดด้วยยา ขั้นฟื้นฟูสมรรถภาพ และขั้นติดตามหลังการรักษา (ส านักงานป้องกันและบ าบัดยาเสพติด, ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร, 2560) 5. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบ าบัดยาเสพติด พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 เป็น กฎหมายที่มีความส าคัญในด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยการบ าบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในฐานะผู้ป่วย ไม่ใช่ ฐานะของอาชญากรจึงต้องได้รับการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งคลินิกก้าวใหม่ให้บริการการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติด ยาเสพติดแบบผู้ป่วยนอกทั้งในระบบสมัคครใจและระบบังคับบ าบัดแบบไม่ควบคุมตัว โดยใช้โปรแกรม BMA Matrix Model
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 177 ซึ่งพัฒนามาจากโปรแกรมจิต สังคม บ าบัด (Matrix Program)มาให้บริการผู้ติดยาเสพติดติดยาเสพติดในกลุ่มกระตุ้นประสาท (แอมเฟตามีนหรือเมจแอมเฟตามีน) (คลินิกก้าวใหม่พลัส ลาดพร้าว, 2560) รวมถึงแนวทางการน าผู้เสพติดเข้าสู่การบ าบัด ฟื้นฟูตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 108/2557 เรื่อง การปฏิบัติต่อผู้ต้องสงสัยว่ากระท าผิดตามกฎหมาย เกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อเข้าสู่การบ าบัดฟื้นฟูและการดูแลผู้ผ่านการบ าบัดฟื้นฟู ซึ่งมีข้อยืนยันทางการแพทย์ปรากฏว่า ผู้เสพ ยาเสพติดจะท าให้เป็นโรคสมองติดยา ดังนั้นจึงควรให้โอกาสผู้เสพติดเข้ารับการบ าบัดฟื้นฟูโดยความยินยอม เพื่อให้ผู้เสพ/ ผู้ติดยาเสพติดได้มีโอกาสเข้ารับการบ าบัดฟื้นฟู โดยไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย ให้ผู้เสพ/ผู้ติดกลับฟื้นคืนสภาพจาก การเสพติดและสามารถกลับไปใช้ชีวิตในครอบครัว ชุมชน ได้อย่างปกติ ได้รับโอกาสทบทวนและกลับตัวเลิกใช้ยาเสพติด โดย การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในการบ าบัดฟื้นฟูและดูแลต่อเนื่อง (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ, 2557) กรอบแนวคิดในการศึกษา เครื่องมือและวิธีการวิจัย การศึกษานี้ใช้วิธีการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) โดยใช้การศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ร่วมกับการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีขั้นตอนในการศึกษา คือ การศึกษาจากเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการศึกษาจากภาคสนาม โดยการใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นเครื่องมือในการจัด เก็บข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา นักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานด้านการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติด ยาเสพติด สังกัดส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มในการเก็บข้อมูล ดังนี้ กลุ่มแรก คือ การศึกษาเชิงปริมาณ และกลุ่มที่สองการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยมีรายละเอียดดังนี้ (1) การศึกษาเชิงปริมาณ มีกลุ่มประชากร เป้าหมาย คือ นักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานด้านการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model ในคลินิกก้าวใหม่พลัส 18แห่ง และคลินิกก้าวใหม่ 51แห่ง จ านวน 83 คน ผู้ศึกษาใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) จ านวน 78 คน โดยมีคุณสมบัติ คือ เป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานในคลินิกก้าวใหม่พลัส และ ในคลินิกก้าวใหม่อย่างน้อย 1 ปี และ (2) การศึกษาเชิงคุณภาพ มีกลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ นักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานด้านการบ าบัดรักษา และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model ในคลินิกก้าวใหม่ พลัส 18 แห่ง ผู้ศึกษาใช้วิธีการคัดเลือกแบบ เฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) และแบบลูกโซ่ (Snowball Sampling) จ านวน 9 คน โดยพิจารณาจากลักษณะ การปฏิบัติงาน ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด รวมถึงบริบทพื้นที่ในการให้บริการ โดยเริ่มคัดเลือกจากนักสังคมสงเคราะห์ในกลุ่มผู้บริหารก่อนเมื่อคัดเลือกนักสังคมสงเคราะห์ได้แล้ว จึงให้นักสังคมสงเคราะห์ การด าเนินงานของนักสังคมสงเคราะห์ในการ บ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model 1.ด้านความพร้อมของบุคลากร 2.ด้านการบริหารจัดการ/การสนับสนุนจากองค์กร 3. ด้านการปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมาย 4.ด้านการประสานงาน/หน่วยงานภาคีเครือข่าย 5. ด้านอื่นๆ แนวทางการแก้ไขปัญหาและ อุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟู ผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model ปัญหาและอุปสรรค ของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและ ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 178 ท่านนั้นแนะน านักสังคมสงเคราะห์ท่านอื่นๆต่อซึ่งแบ่งนักสังคมสงเคราะห์ในการศึกษาเป็น 3กลุ่ม ได้แก่ (1) นักสังคมสงเคราะห์ กลุ่มผู้บริหาร จ านวน 3คน (2) นักสังคมสงเคราะห์กลุ่มที่รับผิดชอบงานวิชาการ จ านวน 3คน (3) นักสังคมสงเคราะห์กลุ่ม ปฏิบัติงาน จ านวน 3 คน โดยทั้งสองกลุ่มที่ศึกษาเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพมีเกณฑ์ในการคัดออกเช่นเดียวกัน คือ ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยไม่ สามารถให้ข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากเหตุผลส่วนบุคคล เช่น การย้ายหน่วยงาน เป็นต้น เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา โดยผู้ศึกษาเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพ โดยการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณใช้ แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา และได้มีการทดสอบหาความเที่ยงตรงของแบบสอบถามโดยผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 คน พบว่า ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามกับวัตถุประสงค์ (IOC) มีค่ามากกว่า 0.5 ในทุกข้อค าถาม ผู้ศึกษาน า แบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับผู้ที่ปฏิบัติงานด้านการบ าบัดยาเสพติดนอกสังกัดกรุงเทพมหานคร จ านวน 30 คน โดยจะวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) เพื่อตรวจสอบความบกพร่องของแบบสอบถามที่สร้างขึ้นและแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนน าไปใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูลจริง และผู้ศึกษาเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ศึกษาสร้างแนวค าถามแบบ กึ่งโครงสร้าง (Semi- Structured Interview) โดยใช้แนวค าถามแบบปลายเปิด ที่มีการก าหนดค าส าคัญ (Keywords) ที่ต้องการ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติด ยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model และส่วนที่ 2 แนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ใน การบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยผู้ศึกษามีการเก็บข้อมูล 2 รูปแบบ คือ การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามและ (2) เก็บข้อมูลด้วย การสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมีรายละเอียดดังนี้ (1) การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ผู้ร่วมวิจัยสามารถเลือกได้ว่าต้องการตอบ แบบสอบถามผ่าน Google From หรือตอบแบบสอบถามด้วยเอกสารกระดาษ โดยผู้ร่วมวิจัยที่รับแบบสอบถามเป็นเอกสาร กระดาษนั้น จะมีการส่งเอกสารทางจดหมายพร้อมแนบซองจดหมายติดอากรแสตมป์เพื่อส่งแบบสอบถามกลับมายังผู้วิจัยโดย มีการก าหนดระยะเวลาส่งกลับมายังผู้วิจัยภายใน 15 วันหลังจากได้รับแบบสอบถาม ก่อนเริ่มท าแบบสอบถาม ผู้ร่วมวิจัยจะ ได้รับเอกสารชี้แจงข้อมูลแก่ผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์การวิจัย และหนังสือแสดงเจตนายินยอมเข้าร่วม การวิจัย (Consent Form) ในกรณีที่เป็นการตอบแบบสอบถามผ่าน Google From นั้น ผู้เข้าร่วมวิจัยจะต้องกดเลือก “ยินยอมเข้าร่วมวิจัย” ในระบบ Google From จึงจะสามารถเริ่มตอบแบบสอบถามได้ และ (2) การเก็บข้อมูลด้วย การสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมีระยะเวลาในการสัมภาษณ์ ท่านละ 1 ชั่วโมง โดยระหว่างการสัมภาษณ์ผู้วิจัยขออนุญาตจดบันทึก และบันทึกเสียง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์และครบถ้วน การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ผลการศึกษา มี 2 ลักษณะคือ ลักษณะเชิงปริมาณ และลักษณะเชิงคุณภาพ โดยมี การวิเคราะห์ผลการวิจัย ดังนี้ (1) การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการศึกษา เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบ ความสมบูรณ์ของข้อมูลแล้ว น ามาประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติเพื่อการวิจัยทาง สังคมศาสตร์ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ (2) การวิเคราะห์ ข้อมูลจากการการสัมภาษณ์เชิงลึกจากนักสังคมสงเคราะห์ ผู้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาตาม ประเด็น (Content analysis) ) เพื่อสะท้อนการให้ความหมายต่อประเด็นต่างๆ ของผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย จริยธรรมการวิจัยผู้ศึกษาได้ท าการอบรมจริยธรรมการวิจัยในคนผ่าน Collaborative Institutional Training Initiative (CITI Program) รับรองการพิจารณาด้านจริยธรรมการวิจัยในคนจากคณะอนุกรรมการจริยธรรมในคนมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ชุดที่ 2 ตามหนังสือรับรองเลขที่ 017/2565 รหัสโครงการ 014/2565 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2565 และขอรับรอง การพิจารณาด้านจริยธรรมการวิจัยในคน จากคณะกรรมการวิจัยในคนกรุงเทพมหานคร ตามหนังสือรับรองเลขที่ 8 รหัสโครงการ
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 179 U016q/65_EXP ลงวันที่ 18 มกราคม 2566 เพื่อให้การด าเนินงานวิจัยครั้งนี้เป็นไปโดยความถูกต้องและค านึงถึงสิทธิ ประโยชน์ของ ผู้มีส่วนร่วมในการศึกษา ผลการศึกษา ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง นักสังคมสงเคราะห์ส่วนใหญ่ อยู่ในช่วงอายุ 40-49 ปี เมื่อแยกรายเพศ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจ านวน 69 คน คิดเป็นร้อยละ 88.5 เพศชายจ านวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 10.2 และไม่ระบุเพศ 1 คน คิดเป็นร้อยละ 1.3 ระดับการศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 52.6 ระดับการปฏิบัติงานพบว่านักสังคม สงเคราะห์ส่วนใหญ่อยู่ในระดับช านาญการที่ร้อยละ 67.9 ทางด้านระยะเวลาการปฏิบัติงานพบว่าส่วนใหญ่มีระยะเวลา ปฏิบัติงาน 16-20 ปี คิดเป็นร้อยละ 55.1 สถานที่ปฏิบัติงานพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในคลินิกก้าวใหม่ คิดเป็นร้อยละ 56.4 และอยู่ คลินิกก้าวใหม่พลัส คิดเป็นร้อยละ 43.6 นักสังคมสงเคราะห์ส่วนใหญ่ได้รับการอบรมหลักสูตร BMA Matrix Model ระหว่าง ปฏิบัติงาน คิดเป็นร้อยละ 57.7 และได้รับ การอบรมฯ ก่อนการปฏิบัติงาน คิดเป็นร้อยละ 42.3 และมีพนักงานช่วยงานด้าน สังคมสงเคราะห์ (เฉพาะปฏิบัติงานบ าบัดยาเสพติด) พบว่า ส่วนใหญ่มีพนักงานช่วยฯ คิดเป็นร้อยละ 46.2 ปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model ภาพรวมปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วย โปรแกรม BMA Matrix Model พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีปัญหาและอุปสรรคฯ อยู่ในระดับปานกลาง คือ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.71 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพร้อมของบุคลากรมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.36 ระดับปานกลาง รองลงมา ด้านการบริหารจัดการ/การสนับสนุนจากองค์กร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.68 ระดับปานกลาง ถัดมาเป็นด้านการปฏิบัติงานกับ กลุ่มเป้าหมาย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.60 ระดับน้อย และด้านการประสานงานน้อยที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.19 อยู่ในระดับน้อย ตามล าดับ ดังตารางที่1 ตารางที่ 1 สรุปภาพรวมของปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model ปัญหาและอุปสรรคฯ ̅ S.D. การแปลผล ด้านการบริหารจัดการ/การสนับสนุน จากองค์กร 2.68 .604 ปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง ด้านการปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมาย 2.60 .488 ปัญหาอยู่ในระดับน้อย ด้านการประสานงาน 2.19 .631 ปัญหาอยู่ในระดับน้อย รวม 2.71 .435 ปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับนักสังคมสงเคราะห์ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มที่รับผิดชอบงานวิชาการ และกลุ่ม ปฏิบัติงาน ต่อปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูฯ โดยแบ่งเป็นรายด้าน ดังนี้ 1) ด้านความพร้อมของบุคลากร พบว่า ผู้ให้ข้อมูลมีความคิดเห็นต่อประเด็นการได้รับสวัสดิการด้านความปลอดภัยใน การท างาน เช่น ความเสี่ยงภัย ซึ่งเป็นค่าตอบแทนที่นักสังคมสงเคราะห์ไม่มีสวัสดิการในส่วนนี้ แม้ว่าการท างานยาเสพติดจะมี ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากการให้บริการ เนื่องจากการให้ค าปรึกษาแต่ละครั้งจะต้องใช้เวลานาน ดังตัวอย่างข้อมูลจากตัวแทนนัก สังคมสงเคราะห์ที่สะท้อนว่า
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 180 “อันนี้ไม่มีหรอกค่ะ(ค่าเสี่ยงภัย) ไม่มีแต่จริงๆ ควรจะมีเพราะหน่วยงานอื่นๆ ที่ท างานกับคนติดยาเสพติดหรือ กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ต้องขัง เท่าที่รู้มานักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาที่ปฏิบัติงานกับกลุ่มนี้เขาก็จะได้ค่าตอบแทน ค่าเสี่ยง ภัย แต่ว่านักสังคมสงเคราะห์ของกรุงเทพมหานครที่ท างานกับคนที่ติดยาเสพติดไม่มีค่าเสี่ยงภัยค่าตอบแทน มันก็เป็นขวัญและ ก าลังใจในการปฏิบัติงาน” (นักสังคมสงเคราะห์กลุ่มผู้บริหาร 3, สัมภาษณ์, 18 เมษายน 2566) รองลงมาคือ เรื่องโอกาสในการศึกษาดูงานด้านการบ าบัดยาเสพติดจากองค์กรอื่นๆ พบว่า นักสังคมสงเคราะห์ มีโอกาสในการศึกษาดูงานด้านการบ าบัดยาเสพติดจากองค์กรภายนอกน้อยมากเมื่อเทียบกับการสนับสนุนในเรื่องการพัฒนา ความรู้ในการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่นอกเหนือจากการส ารวจข้อมูล ด้วยแบบสอบถาม แต่เป็นประเด็นที่ตัวแทนนักสังคมสงเคราะห์ให้ความส าคัญ และมีความเกี่ยวเนื่องกับปัญหาจ านวน นักสังคมสงเคราะห์ที่ไม่เพียงพอต่อการให้บริการบ าบัดยาเสพติด คือการโยกย้ายของนักสังคมสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็น การเกษียณอายุราชการ การย้ายเข้าย้ายออก รวมถึงการบรรจุใหม่ล้วนมีผลต่อการท างานทั้งสิ้น เนื่องจากนักสังคมสงเคราะห์ ใหม่ที่มาท างานบ าบัดยาเสพติดจะต้องได้รับการอบรมเรื่องโปรแกรม BMA Matrix Model ให้มีความเข้าใจ จนสามารถให้ การบ าบัดตามโปรแกรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัญหาส าคัญคือ กรุงเทพมหานครไม่ได้มีหน่วยส าหรับฝึกอบรมโดยเฉพาะ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงต าแหน่งนักสังคมสงเคราะห์ บางครั้งจะไม่ตรงกับช่วงที่มีการฝึกอบรม 2) ด้านการบริหารจัดการ/การสนับสนุนจากองค์กร พบว่า ประเด็นที่มีคะแนนเฉลี่ยของระดับปัญหามากที่สุดใน ด้านนี้ คือ เรื่องอาคารสถานที่ ทั้งในเรื่องของความเหมาะสม และความเพียงต่อการให้บริการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Modelดังตัวอย่างข้อมูลจากตัวแทนนักสังคมสงเคราะห์ที่สะท้อนว่า “พื้นที่การให้บริการคับแคบ ไม่เป็นสัดส่วน ไม่มีห้องให้ค าปรึกษาที่มิดชิดขาดความเป็นส่วนตัว ต้องระมัดระวัง เรื่องการเก็บรักษาความลับของผู้ป่วย” (นักสังคมสงเคราะห์กลุ่มผู้บริหาร 2สัมภาษณ์, 11 เมษายน 2566) ส าหรับประเด็นการสนับสนุนเรื่องบประมาณของคลินิกก้าวใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ส าคัญรองลงมาจากเรื่อง อาคารสถานที่นั้น พบว่าคลินิกก้าวใหม่ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในรูปแบบของ “เงินงบประมาณ” แต่จะได้รับใน รูปแบบการสนับสนุนเป็นวัสดุอุปกรณ์ สื่อ และคู่มือในการบ าบัดการเสพติด ท าให้การบริหารจัดการภายในของคลินิกก้าวใหม่ ที่ต้องใช้เงินจะต้องหาเงินส่วนนี้มาเอง เช่น ค่าตอบแทนจากการเป็นวิทยากรยาเสพติด ค่าตอบแทนในการร่วมงานวิจัย ค่าตอบแทนจากการบ าบัดผู้สูบยาสูบ เงินส่วนตัว และเงินจากศูนย์บริการสาธารณสุข ซึ่งจะน าเงินส่วนนี้มีใช้ในการจัดบริการ ส าหรับผู้ใช้บริการ เช่น น ามาจ่ายค่าโทรศัพท์ส าหรับติดตามผู้ใช้บริการทั้งในระหว่างกระบวนการบ าบัดและการติดตามหลัง การบ าบัด ส าหรับประเด็นปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับงบประมาณนั้น ยังมีประเด็นของการสนับสนุนสื่อที่ใช้ในการบ าบัดยา เสพติด เนื่องจากสื่อดังกล่าวได้รับการจัดสรรจากส่วนกลาง ท าให้สื่อที่ได้รับไม่ทันต่อสถานการณ์ยาเสพติด ขาดความทันสมัย และความน่าสนใจ ดังตัวอย่างข้อมูลจากตัวแทนนักสังคมสงเคราะห์ที่สะท้อนว่า “สื่อมันไม่ทันสมัยเลยสื่อมันล้าสมัยมาก มันไม่ทันเหตุการณ์ เรื่องบางเรื่องเนื้อหามันควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เข้าใจว่ามันท าไปแล้ว แต่ว่าพอเอามาใช้มันก็ใช้ได้อยู่ แต่ว่ามันแค่ไม่ทันยุค” (นักสังคมสงเคราะห์กลุ่มปฏิบัติงาน 3, สัมภาษณ์, 10 เมษายน 2566) ประเด็นถัดมาเป็นของการสนับสนุนครุภัณฑ์ ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นสื่อและการสนับสนุน งบประมาณ พบว่า ไม่เพียงพอส าหรับเจ้าหน้าที่ทุกคนในคลินิก ในบางครั้งอาจจะต้องมีการน าคอมพิวเตอร์ส่วนตัวมาใช้ นอกเหนือจากปัญหาในเรื่องความเพียงพอแล้ว ยังพบว่า คอมพิวเตอร์ที่ได้รับการจัดสรรมาให้นั้นมีมาตรฐานครุภัณฑ์ที่ไม่เอื้อ ต่อการใช้จริง นอกจากสามประเด็นที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีประเด็นที่ตัวแทนนักสังคมสงเคราะห์สะท้อนปัญหาเพิ่มเติมมา เป็นเรื่องของนี้คู่มือบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model คือ เนื้อหาที่เข้าใจยาก เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่แปลมา จากภาษาอังกฤษ ท าให้นักสังคมสงเคราะห์ต้องน าเนื้อหาดังกล่าวมาแปลความหมายอีกครั้ง เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าใจ
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 181 เนื้อหาในการบ าบัดยาเสพติด อีกทั้งการจัดหน้าของหนังสือคู่มือที่จัดแยกเป็นบทเรียนตามโปรแกรม BMA Matrix Model ซึ่งมีจ านวน 16 ครั้ง ไม่ตรงตามคู่มือแต่ละเล่มท าให้นักสังคมสงเคราะห์และผู้ใช้บริการต้องคอยเปิดคู่มือกลับไปกลับมา 3) ด้านการปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมาย พบว่า ปัญหาที่ส าคัญมากคือเรื่องการให้ความร่วมมือของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งกลุ่มเป้าหมายในการให้บริการมี 2 ระบบ คือ ระบบสมัครใจตามประกาศคสช.108/2557 และ กลุ่มของผู้เข้ารับการบ าบัด ในระบบบังคับบ าบัดแบบไม่ควบคุมตัว ในกลุ่มนี้จะมาด้วยเงื่อนไขทางกฎหมาย ในกลุ่มนี้จะได้รับการคัดกรองเพื่อจ าแนก ระดับการใช้ยาเสพติดอยู่ในระดับผู้ติด และต้องเข้ารับการบ าบัดเป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยเป็นรูปแบบการบ าบัดตาม โปรแกรม BMA Matrix Model จ านวน 16 ครั้ง โดยส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะบ าบัดครบตามโปรแกรมฯ มากกว่ากลุ่มสมัครใจ เนื่องจากความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งบางกรณีจะกระทบต่อการประกอบอาชีพ เช่น ผู้เข้ารับการบ าบัดที่ท างานเกี่ยวกับ การขนส่งจะมีความกังวลในเรื่องเงื่อนไขการต่อใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ เป็นต้น แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ให้ความร่วมมือใน การบ าบัด อาจจะมาครั้งแรกเพื่อน าเอกสารตอบรับการบ าบัดไปรับเงินประกัน แล้วไม่ได้มาอีกเลย ดังตัวอย่างข้อมูลจาก ตัวแทนนักสังคมสงเคราะห์ที่สะท้อนว่า “ในส่วนของพี่ เท่าที่ประเมินมา ระบบบังคับบ าบัดได้ผลดีกว่า คนไข้ให้ความร่วมมือ ด้วยความที่เขาอาจจะ กลัวว่าถ้าเกิดเขาบ าบัดไม่ครบ ไปท าใบขับขี่ไม่ได้ จะถูกด าเนินคดี” (นักสังคมสงเคราะห์กลุ่มผู้บริหาร 3, สัมภาษณ์, 18 เมษายน 2566) นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ท าให้ผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดไม่สามารถเข้ารับการบ าบัดฯได้ครบตาม โปรแกรม เนื่องจากผู้เข้ารับการบ าบัดฯ บางส่วนมีปัญหาในเรื่องอาชีพและรายได้ บางคนเป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว เมื่อต้องหยุดงานเพื่อมาบ าบัดฯ ตามนัดทุกสัปดาห์ในระยะเวลา 4 เดือนหรือ 16 ครั้งในการท ากิจกรรม ก็ส่งผลต่อรายได้ หรือ กรณีที่ผู้เข้ารับการบ าบัดฯ บางส่วนยังอยู่ในช่วงทดลองงาน เนื่องจากเพิ่งพ้นโทษจากเรือนจ า บางส่วนนายจ้างยังขาดความ เข้าใจเรื่องการบ าบัดยาเสพติดรวมถึงการมีนโยบายไม่รับผู้ที่ใช้ยาเสพติดเข้าท างาน 4) ด้านการประสานงาน พบว่า ปัญหาในเรื่องการสื่อสารที่เข้าใจไม่ตรงกันบ้าง หรือได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน เนื่องจากการ ส่งข้อมูลต่างๆ นั้น เดิมใช้วิธีการท าเอกสารราชการเวียนไปยังคลินิกก้าวใหม่แต่ละแห่ง ซึ่งมีปัญหาในเรื่องเอกสารราชการที่ไปถึง ล่าช้า ได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน เมื่อมีการโทรศัพท์เข้ามาสอบถามข้อมูลจึงต้องแจ้งข้อมูลทีละแห่ง ซึ่งต้องใช้เวลามากในการแจ้งข้อมูล ข่าวสารให้กับคลินิกก้าวใหม่ ดังตัวอย่างข้อมูลจากตัวแทนนักสังคมสงเคราะห์ที่สะท้อนว่า “การประสานงานมันก็มีส่วนที่ไม่เข้าใจกันบ้าง การท าหนังสือแจ้งเวียนอาจจะใช้เวลาหลายวัน หนังสืออาจจะมีตก หล่นว่าถึงหรือยัง มันอยู่ที่ไหน อยู่ที่ภาคหรือว่ามันอยู่ที่ไหนหรือเปล่า ” (นักสังคมสงเคราะห์กลุ่มที่รับผิดชอบงานวิชาการ 1, สัมภาษณ์, 20 เมษายน 2566) แนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ด้วย โปรแกรม BMA Matrix Model พบว่า ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานในกระบวนการบ าบัดยาเสพติดฯ ของ นักสังคมสงเคราะห์จากคลินิกก้าวใหม่ และคลินิกก้าวใหม่พลัส รวมถึงความคิดเห็นจากจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจาก นักสังคมสงเคราะห์กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มที่รับผิดชอบงานวิชาการ และกลุ่มปฏิบัติงาน พบว่ามีทั้งปัญหาที่เหมือนกันและแตกต่างกัน รวมถึงวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้สามารถด าเนินงานบ าบัดยาเสพติดฯ ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพต่อผู้ใช้บริการใน ด้านต่างๆดังนี้ 1) ในด้านความพร้อมของบุคลากร โดยกลุ่มตัวอย่างเสนอปัญหาในเรื่องของจ านวนนักสังคมสงเคราะห์ที่ไม่เพียงพอต่อ การให้บริการบ าบัดยาเสพติดฯ และการขออนุมัติจ้างบุคคลภายนอกช่วยปฏิบัติงานด้านยาเสพติด อีกทั้งข้อเสนอในการแก้ไขปัญหา และอุปสรรคฯ ที่ได้รับการเสนอมากที่สุด คือ ความต่อเนื่องการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะในการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model รวมถึงการจัดอมรมทบทวนความรู้ในการบ าบัดยาเสพติดฯ และการจัดศึกษาดูงานจากนอกสังกัดกรุงเทพมหานคร
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 182 รองลงมา คือ การเพิ่มบุคลากรทั้งข้าราชการและลูกจ้างให้เพียงพอต่อภาระงาน และข้อเสนอแนะในเรื่องการเพิ่มค่าตอบแทน วิชาชีพเพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ 2) ด้านการบริหารจัดการ/การสนับสนุนจากองค์กร โดยกลุ่มตัวอย่างเสนอปัญหาในเรื่องของเมื่อเกิดปัญหาใน การบริหารจัดการ ผู้ปฏิบัติงานควรเสนอประเด็นปัญหา/รายงานปัญหาที่เกิดขึ้นต่อผู้บริหารหน่วยงานรับทราบมากที่สุด รองลงมาคือการสนับสนุนในเรื่องของรางวัลส าหรับจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้ผู้เข้ารับการบ าบัดเกิดแรงจูงใจในการเข้ารับ การบ าบัดและลดการใช้สารเสพติด ถัดมาคือเรื่องของอาคารสถานที่ที่ควรปรับปรุงและการปรับเวลาในการให้บริการเป็นช่วง บ่ายเพื่อลดความแอดอัดของผู้เข้ารับบริการ และปัญหาในเรื่องของสื่อที่ขาดความทันสมัย ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาและ อุปสรรคฯ โดยแยกเป็นประเด็น ดังนี้ ประเด็นการบริหารจัดการควรมีค าสั่งแต่งตั้งที่ชัดเจนถึงบทบาทในการปฏิบัติงาน ประเด็นการก าหนดนโยบายควรมีการเปิดโอกาสและรับฟังความคิดเห็นผู้ปฏิบัติงาน ประเด็นในเรื่องการสนับสนุนงบประมาณ ในเรื่องการติดตามผู้ป่วย (ค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์) และประเด็นสื่อที่ใช้ในการบ าบัดและคู่มือการบ าบัด ควรพัฒนาให้ เหมาะสมและน่าดึงดูดกับกลุ่มเป้าหมายและยุคสมัย รวมถึงอาคารสถานที่ควรมีการจัดสถานที่ที่ปลอดภัย เป็นส่วนตัวและได้ มาตรฐานในการบ าบัดยาเสพติด 3) ด้านการปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมาย โดยจากการปฏิบัติงานพบว่า โปรแกรม BMA Matrix Model ต้องยืดหยุ่น และปรับให้ตรงกับความต้องการของผู้ป่วยเพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วยเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความคิด ไม่เน้นวิธีการ แต่เน้นที่ผลลัพธ์เป็นหลัก โดยคลินิกก้าวใหม่ และคลินิกก้าวใหม่พลัสหลายแห่งได้เพิ่มช่องทางทางการติดต่อสื่อสาร ด้วยแอพพลิเคชั่น Line OA เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถขอค าปรึกษาก่อนเข้ารับการบ าบัด การนัดหมายเพื่อเข้ารับ การบ าบัด ตลอดจนการติดตามทั้งระหว่างและหลังการบ าบัด ท าให้กลุ่มเป้าหมายสะดวกในการใช้บริการ อีกทั้งข้อเสนอใน การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคฯที่กลุ่มตัวอย่างเสนอ เช่น ควรมีแนวทางการบ าบัดที่เข้มข้นส าหรับผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับ การบ าบัดมากกว่า 2 ครั้ง ในระบบสมัครใจ ควรมีกฎหมายบังคับบ าบัดด้วยเนื่องจากการบ าบัดแบบสมัครใจไม่เคยได้ผลดีกว่า ระบบบังคับบ าบัด ควรปรับปรุงพัฒนาโปรแกรมให้เป็นปัจจุบัน ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย รวมถึงสื่อการสอนให้ดูจูงใจ ทันสมัย มากขึ้น รวมไปถึงผู้ปฏิบัติงานควรมีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาในการให้บริการ 4) ด้านการประสานงาน ประเด็นการท างานร่วมกับคลินิกอื่นๆ ภายในศูนย์บริการสาธารณสุขที่มีปัญหาในเรื่องการ สื่อสารภายในองค์กรที่ไม่ชัดเจน ที่ส่งผลต่อความต่อเนื่องในกระบวนการบ าบัดยาเสพติดฯ ท าให้ทีมสหวิชาชีพเกิดความเข้าใจ ไม่ตรงกันในบางประเด็น โดยกลุ่มตัวอย่างได้เสนอวิธีการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคฯ มากที่สุด คือ การสร้างสัมพันธภาพในการ ท างานร่วมกับหน่วยงานภาคี มีการพัฒนาระบบประสานงานเพิ่มช่องทางการสื่อสาร เช่น สร้างline OA (LINE Official Account) หรือสร้างกลุ่ม Open chat ในการสื่อสาร รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน อีกทั้งข้อเสนอในการแก้ไข ปัญหาและอุปสรรคฯ โดยแบ่งเป็นประเด็นต่างๆ ดังนี้ ควรมีแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยที่มีสภาวะทางจิต เนื่องจากบางครั้ง เจ้าหน้าที่ไม่แน่ใจว่าจะส่งต่อไปที่ไหนจึงจะเหมาะสมกับผู้ป่วย และควรมีการวางแผนการลงพื้นที่และบรูณาการงานร่วมกัน เนื่องจากบางครั้งเจ้าหน้าที่ไม่แน่ใจว่าจะส่งต่อไปที่ไหนจึงจะเหมาะสมกับผู้ป่วย และควรมีการวางแผนการลงพื้นที่และ บรูณาการงานร่วมกัน 5) ด้านอื่นๆ พบว่า ประเด็นบทบาทของหน่วยงานระดับนโยบาย ควรต้องปรับวิธีการบริหารงานโดยมุ่งเน้น การอ านวยการ และสนับสนุนงานบ าบัดยาเสพติดฯ มากขึ้น ผู้บริหารในหน่วยงานควรสนับสนุนทีมสหวิชาชีพในการมีส่วนร่วม ในการบ าบัดยาเสพติด และส่งเสริมในการเข้าอบรม เพิ่มพูนทักษะวิชาชีพ ประเด็นต่อมาคือเรื่องการบริหารจัดการเวลาและ ความเครียดที่เกิดจากภาระงานทั้งการบ าบัดยาเสพติด และภาระงานด้านการบริหารงานภายในหน่วยงานที่ส่งผลให้การบ าบัด ยาเสพติดกับผู้ให้บริการไม่มีศักยภาพ ควรมีการพิจารณาให้สามารถเปิดให้บริการบ าบัดยาเสพติดฯนอกเวลาในช่วง 16.00 น.- 20.00 น. เพื่อให้ผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดฯ สามารถเข้ารับบริการหลักเลิกงานได้ อีกทั้งยังสามารถท าให้บริการบ าบัดยา
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 183 เสพติดฯได้ครบตามขั้นตอนและมาตรฐานการบ าบัดยาเสพติดฯอีกด้วย และส่งผลต่อผู้ปฏิบัติงานในเรื่องการได้รับค่าตอบแทน ที่เพิ่มมากขึ้น การอภิปรายผลการศึกษา ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง นักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานบ าบัดยาเสพติดโปรแกรม BMA Matrix Model ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีช่วงอายุ 40-49 ปี มีระดับการศึกษาในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในจ านวนใกล้เคียงกัน ในส่วน ของระดับการปฏิบัติงานส่วนใหญ่อยู่ระดับช านาญการ ส่วนใหญ่การปฏิบัติงานบ าบัดยาเสพติดฯ 16-20 ปี ปฏิบัติงานอยู่ใน คลินิกก้าวใหม่ จ านวน 44 คน และคลินิกก้าวใหม่พลัส จ านวน 34 คน จ านวนนักสังคมสงเคราะห์ในคลินิกก้าวใหม่พลัสมี จ านวนน้อยกว่าคลินิกก้าวใหม่ เนื่องจากคลินิกก้าวใหม่พลัส มี 18 แห่ง ขณะที่คลินิกก้าวใหม่มี 51 แห่ง กระจายตาม ศูนย์บริการสาธารณสุขทั่วกรุงเทพมหานคร ในเรื่องการอบรมความรู้เพื่อบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model พบว่านักสังคมสงเคราะห์ทุกคนจะได้รับการอบรมความรู้ในเรื่องดังกล่าว แต่ส่วนใหญ่จะได้รับการอบรมฯ ระหว่างปฏิบัติงาน และมีพนักงานช่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ (เฉพาะปฏิบัติงานบ าบัดยาเสพติด) จ านวน 28 คน โดยปฏิบัติงานในคลินิก้าวใหม่ 19 คน และคลินิกก้าวใหม่พลัส 9 คน ปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model ผลการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดฯ ในภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง โดยพบว่าความพร้อมของบุคลากรมีความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เนื่องจากนักสังคมสงเคราะห์ ที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดยังมีหน้าที่รับผิดชอบและภาระงานที่นอกจากการให้บริการบ าบัดยาเสพติดอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นงาน บริหารภายในของคลินิกก้าวใหม่ งานของศูนย์บริการสาธารณสุข รวมถึงการท างานร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ซึ่งประเด็น ปัญหาดังกล่าวยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการให้บริการบ าบัดยาเสพติดฯ อีกด้วย สอดคล้องกับ ชวลิต อุดมศรี (2559) ที่ว่า จ านวนบุคลากรไม่เพียงพอและต้องท าหน้าที่หลายด้าน ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบ าบัดฟื้นฟูแก้ไขของเจ้าหน้าที่ ทัณฑสถานบ าบัดพิเศษ และสอดคล้องกับ สวัสดิ์ อุ่นใจ และคณะ (2560) ในเรื่องบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านการบ าบัด ยาเสพติดมีจ านวนแตกต่างกันออกไปตามแต่บริบทพื้นที่ของหน่วยงาน รวมถึงปริมาณงานที่ได้รับมอบหมาย เนื่องจาก เจ้าหน้าที่แต่ละคนไม่ได้รับหน้าที่บ าบัดยาเสพติดเพียงอย่างเดียวแต่ยังต้องรับหน้าที่อื่นๆ ในโรงพยาบาลด้วย ท าให้ไม่สามารถ บ าบัดยาเสพติดได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังพบว่านักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานในคลินิกก้าวใหม่นั้น ยังมีความแตกต่างกันใน เรื่องของบทบาทหน้าที่และทรัพยากรในการบ าบัดยาเสพติดอีกด้วย โดยคลินิกก้าวใหม่ทั่วไปมีนักสังคมสงเคราะห์เพียง คนเดียวและไม่มีทีมสหวิชาชีพเฉพาะ ในขณะที่คลินิกก้าวใหม่พลัสมีวิชาชีพเฉพาะในการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดที่มากกว่า นอกจากประเด็นปัญหาในเรื่องของจ านวนนักสังคมสงเคราะห์ที่ไม่เพียงพอต่อการให้บริการบ าบัดยาเสพติดฯ ใน การท างานด้านยาเสพติดนั้น ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานต่อผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติด ยังเป็นประเด็นที่มีความส าคัญเช่นกัน เนื่องจากผู้ปฏิบัติงานบางส่วนยังมีการเลือกปฏิบัติหรือมีทัศนคติเชิงลบต่อผู้เข้ารับการบ าบัด ก่อให้เกิดการตีตราและส่งผลต่อ กระบวนการบ าบัด สอดคล้องกับงานศึกษาของ Loren Brener et al. (2010) พบว่า ผู้ใช้บริการที่เข้าร่วมการวิจัยทุกคน มีประสบการณ์ถูกเลือกปฏิบัติทั้งในการบ าบัดยาเสพติดและการเข้ารับบริการทางการแพทย์อื่นๆ ส่งผลให้ผู้เข้ารับบริการขาด ความเชื่อมั่นในตนเอง และท าให้เกิดความรู้สึกอ่อนไหวที่ถูกเลือกปฏิบัติ งานศึกษาดังกล่าวจึงมีข้อเสนอแนะที่น่าสนใจโดยให้ โอกาสผู้เข้ารับการบ าบัดได้อธิบายความคับข้องใจในพื้นที่ปลอดภัย (safe space) และจัดการกับประสบการณ์การถูกเลือก ปฏิบัติในอดีต ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model ที่มีกิจกรรมการให้ค าปรึกษา รายบุคคล
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 184 ด้านการบริหารจัดการ/การสนับสนุนจากองค์กร มีความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจาก ผู้บริหาร ระดับสูงอนุมัติให้มีการจ้างพนักงานช่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานบ าบัดยาเสพติดโดยเฉพาะ แต่มีคลินิกก้าวใหม่ เพียง 36 แห่ง จาก 68 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 46.2 เท่านั้นที่มีพนักงานช่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ ซึ่งการจ้างพนักงาน ช่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานบ าบัดยาเสพติด ใช้เงินงบประมาณของศูนย์บริการสาธารสุข แต่ศูนย์บริการสาธารณสุข บางแห่งมีข้อก าจัดในเรื่องรายได้และการจัดสรรงบประมาณ จึงท าให้ไม่มีการจ้างงานในต าแหน่งดังกล่าวครบทุกคลินิก อีกทั้ง ในด้านความปลอดภัยในการท างาน เช่น ค่าเสี่ยงภัยซึ่งเป็นค่าตอบแทนที่นักสังคมสงเคราะห์ไม่มีสวัสดิการในส่วนนี้ แม้ว่า การท างานยาเสพติดจะมีความเสี่ยงสอดคล้องกับ ชวลิต อุดมศรี (2559) พบว่า เจ้าหน้าที่ยังได้รับสวัสดิการไม่เพียงพอเมื่อ เทียบกับภาระงานหรือความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน และสอลคล้องกับ เนริสา ลิปิสุนทร (2556) ที่มีข้อเสนอแนะว่าควรมี ค่าตอบแทนเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านการบ าบัดยาเสพติด เนื่องจากงานบ าบัดยาเสพติดเป็นงานที่มีความเสี่ยง ด้านการปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมาย มีความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย เนื่องจากระยะเวลาในการเปิด บริการไม่สอดคล้องกับความต้องการและจ านวนผู้เข้ารับบริการ เนื่องจากการบ าบัดฯ ในปัจจุบันจะเปิดในเวลาราชการ คือ เวลา 08.00-16.00 น. ซึ่งผู้เข้ารับการบ าบัดไม่สามารถลางานได้ ดังนั้นจึงได้เสนอแนวทางในการเปิดคลินิกนอกเวลาราชการ ในช่วง 16.00-20.00 น. เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้ารับการบ าบัดยาสเพติดฯ ได้โดยไม่กระทบต่อการท างาน สอดคล้อง กับ โสภิต แกล้วกล้า (2551) พบว่า มีเรื่องของการขาดความร่วมมือของผู้เข้ารับการบ าบัด/ครอบครัว การบ าบัดไม่มาตามนัด เนื่องจากบางส่วนต้องท างานประจ า ผู้ปฏิบัติได้มีการปรับรูปแบบกิจกรรมให้มีความสอดคล้องกับบริบทพื้นที่ เพื่อให้ผู้เข้ารับ การบ าบัดสามารถเข้ารับการบ าบัดได้อย่างสม่ าเสมอและไม่กระทบกับงานประจ า อีกทั้งประเด็นการให้ความร่วมมือของ ผู้เข้ารับการบ าบัด/ครอบครัว พบว่า ครอบครัวไม่ให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมกิจกรรมบ าบัดฯ เนื่องจากผู้รับการบ าบัดฯ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีภูมิล าเนาในกรุงเทพมหานคร บางส่วนก็ปิดบังไม่ให้ครอบครัวทราบ ท าให้ไม่มีครอบครัวมาร่วมกิจกรรมบ าบัดฯ สอดคล้องกับ สิริญญา พุ่มคง (2554) ในเรื่องความร่วมมือจากครอบครัว พบว่าผู้ให้บริการมีปัญหาความร่วมมือ ท าให้ ไม่สามารถปฏิบัติตามรูปแบบของโปรแกรมได้สมบูรณ์ และบางครั้งไม่สามารถท ากิจกรรมครอบครัวศึกษาได้ในครอบครัวที่ให้ ความร่วมมือน้อย และครอบครัวของผู้เข้ารับการบ าบัด ไม่ให้ความส าคัญ ขาดความร่วมมือในการบ าบัด และบางครอบครัว ไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมกัน ท าให้ไม่สามารถเข้ากิจกรรมกลุ่มครอบครัวศึกษาได้ หากครอบครัวไม่สามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมบ าบัดฯได้ นักสังคมสงเคราะห์จะมีการเยี่ยมบ้านของผู้เข้ารับการบ าบัดฯ โดยแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวสอดคล้องกับ อรพรรณ ลิ่มพันธ์ (2547) ที่มีข้อเสนอแนะในเรื่องกิจกรรมกลุ่มครอบครัวศึกษาว่าควรมีการปรับเนื้อหาให้กระชับและเหมาะสมกับการบ าบัด รวมถึง การชี้แจงให้ครอบครัวเห็นความส าคัญและสร้างความเข้าใจในการบ าบัดตั้งแต่ในช่วงแรกของการบ าบัด นอกจากปัญหาที่เกี่ยวกับข้อจ ากัดในการเข้ารับการบ าบัดฯแล้วยังพบว่า ระดับการศึกษาของผู้เข้ารับการบ าบัด ยังส่งผลต่อความร่วมมือในการบ าบัดยาเสพติดฯเช่นกัน สอดคล้องกับ อรพรรณ ลิ่มพันธ์ (2547) พบว่า ระดับการศึกษาที่มีผล ต่อการรับรู้ถึงในเนื้อของโปรแกรมจิตสังคมบ าบัด (Matrix Program) ระดับความรู้ของผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติดท าให้ บางกิจกรรมไม่สามารถท าได้อย่างสมบูรณ์ ปัญหาการอ่านเขียนท าให้การบ าบัดล่าช้า และเกิดความเบื่อหน่ายในการบ าบัด ด้านการประสานงาน มีความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย เนื่องจากปัญหาในเรื่องการสื่อสารภายในองค์กรและ ภายนอกองค์กรที่มีความล่าช้า หรือระบบการส่งต่อข้อมูลที่แตกต่างกันส่งผลให้เกิดกระบวนการล่าช้าในการส่งต่อข้อมูล สอดคล้องกับสิริญญา พุ่มคง (2554) ที่พบว่าปัญหาในด้านการประสานงานและความร่วมมือของหน่วยงานพหุภาคี การส่งต่อ ผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดตามเสพติด ที่มีปัญหาความล่าช้าซึ่งกระทบต่อขั้นตอนอื่นๆ ในการฟื้นฟูฯ ท าให้เกิด ความซ้ าซ้อนของงาน ท างานแบบแยกส่วนกันตามลักษณะขององค์กรโดยไม่มีการบูรณาการของระบบงานด้วยกัน แนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ด้วย โปรแกรม BMA Matrix Model พบว่า การก าหนดนโยบายในการด าเนินงานด้านยาเสพติดเป็นรูปแบบจากผู้บริหาร ระดับสูงหรือแบบ Top Down ท าให้เมื่อปฏิบัติงานจริงอาจไม่สามารถท าได้ส าเร็จทั้งหมด เนื่องจากความแตกต่างของบริบท
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 185 พื้นที่ อัตราก าลังของนักสังคมสงเคราะห์ที่ไม่สมดุลกับการให้บริการในคลินิกก้าวใหม่แต่ละแห่ง รวมถึงการขาดการมีส่วนร่วม ของนักสังคมสงเคราะห์ในการก าหนดนโยบาย แผนงานประจ าปีและตัวชี้วัดการปฏิบัติงาน ทั้งนี้นักสังคมสงเคราะห์ มีข้อเสนอแนะต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือ การก าหนดนโยบาย แผนงานประจ าปีและตัวชี้วัดการปฏิบัติงาน ส าหรับการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model ควรค านึงถึงบริบทพื้นที่ หรือควรมีการส ารวจพื้นที่ ส ารวจ อัตราก าลังของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ก่อนการก าหนดนโยบาย แผนปฏิบัติงานและตัวชี้วัดการปฏิบัติงาน รวมถึงการเปิด โอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมในขั้นตอนการก าหนดแผนปฏิบัติงานและตัวชี้วัดการปฏิบัติงานประจ าปี สอดคล้องกับ อาภาศิริ สุวรรณานนท์ (2556) ที่มีข้อข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการด าเนินงานด้านการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดใน เรื่องการก าหนดโยบายว่า การปรับนโยบายให้มีความยืดหยุ่นตามความเหมาะสมและความจ าเป็นของพื้นที่ ผู้ปฏิบัติงาน สามารถน านโยบายสู่การปฏิบัติที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและระยะเวลาการด าเนินงานตามสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ ประเด็นต่อมาคือ งบประมาณในการบริหารจัดการคลินิกก้าวใหม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากส านักงานป้องกันและ บ าบัดการติดยาเสพติด เช่น ชุดตรวจสารเสพติด สื่อและคู่มือในการให้ความรู้ หากไม่ได้มีงบประมาณเฉพาะในรูปแบบเงิน งบประมาณ ส่งผลให้เกิดปัญหาในเรื่องของการจัดสรรอุปกรณ์ รวมไปถึงผู้ปฏิบัติงานจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง เช่น ค่าโทรศัพท์ ในการติดตามผู้เข้ารับการบ าบัด สอดคล้องกับกับ โสภิต แกล้วกล้า (2551) พบว่า ส านักอนามัย ได้จัดสรรงบประมาณให้กอง ป้องกันและบ าบัดการติดยาเสพติดเป็นผู้ด าเนินการจัดสรรงบประมาณตามแผนปฏิบัติงานประจ าปีให้แก่คลินิกก้าวใหม่ คลินิก ก้าวใหม่พลัสทุกแห่ง ซึ่งบางครั้งมีปัญหาในเรื่องของการจัดสรรวัสดุอุปกรณ์ ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งประเด็นในเรื่องของงบประมาณมีการศึกษาของ เนริสา ลิปิสุนทร (2556) และสวัสดิ์ อุ่นใจและคณะ (2560) ที่พบว่า หน่วยงาน ยังขาดการสนับสนุนงบประมาณส าหรับการบ าบัดยาเสพติดโดยเฉพาะ อีกทั้งในงานศึกษาของ ชวลิต อุดมศรี (2559) ที่มีข้อเสนอแนะในด้านงบประมาณว่าควรมีการจัดตั้งกองทุนบ าบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในทัณฑสถานพิเศษ เพื่อสนับสนุนงานด้าน การบ าบัดฟื้นฟูให้มีคุณภาพมากขึ้น บทสรุป การศึกษาปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model กรณีศึกษาคลินิกก้าวใหม่ ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ใน การบ าบัดฯ ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ ด้านความพร้อมของบุคลากร ด้านการบริหารจัดการ/การสนับสนุนจากองค์กร ด้าน การปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมาย ด้านการประสานงาน และด้านอื่นๆ โดยปัญหาและอุปสรรคมีความสัมพันธ์ในเชิงนโยบาย ของผู้บริหาร เช่น การก าหนดแผนงานประจ าปี ก าหนดตัวชี้วัดความส าเร็จในการบ าบัดยาเสพติด รวมไปถึงการจัดสรร งบประมาณในการสนับสนุนบุคลากรและการพัฒนางานด้านการบ าบัดยาเสพติด ด้วยการศึกษาปัญหาและอุปสรรคในครั้งนี้ จะเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนากระบวนการบ าบัดยาเสพติดให้มีความเหมาะสมกับบริบทประชากรและพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงการน าผลจากการศึกษามาใช้เป็นแนวทางในการก าหนดแผนการปฏิบัติงานในคลินิกก้าวใหม่ ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ ควรมีการปรับโครงสร้างกรอบอัตราก าลังของนักสังคมสงเคราะห์ ให้ มีความสมดุลกับปริมาณและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการให้บริการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Modelของ คลินิกก้าวใหม่ทั้ง 2 รูปแบบ คือ คลินิกก้าวใหม่พลัส และคลินิกก้าวใหม่ โดยให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบ าบัด การปรับปรุงและพัฒนาโปรแกรม BMA Matrix Model ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ยาเสพติดในปัจจุบัน การสนับสนุนให้นัก สังคมสงเคราะห์ได้รับค่าตอบแทนพิเศษในการปฏิบัติงาน หรือค่าตอบแทนเพิ่มส าหรับต าแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงาน ด้านการสาธารณสุข รวมไปถึงมีการส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ให้แก่นักสังคมสงเคราะห์ในเรื่องของการสื่อสารและ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศควบคู่ไปกับการพัฒนาความรู้ด้านการบ าบัดยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model และ การพัฒนาสื่อในการบ าบัดฯ ให้มีความทันสมัย
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 186 เอกสารอ้างอิง กระทรวงยุติธรรม, ส านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด. (ม.ป.ป.). แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดชาติ พ.ศ.25582562. สืบค้นจาก https://www.oncb.go.th/Home/PublishingImages/ Pages/ProgramsandActivities/strategic_plan2558-2560.pdf กรุงเทพมหานคร, ส านักงานป้องกันและบ าบัดการติดยาเสพติด. (2563). ระบบข้อมูลผู้เข้ารับการบ าบัดยาเสพติด ส านักป้องกันและบ าบัดการติดยาเสพติด (สยส.) ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร. สืบค้นจาก http://www.bangkok.go.th/drugabuse/ กรุงเทพมหานคร, ส านักงานศูนย์อ านวยการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดกรุงเทพมหานคร. (2561). แผนยุทธศาสตร์ ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2561-2565. สืบค้นจาก http://www.bangkok.go.th/upload/user/00000227/File%20Download/ plan61/mix.pdf ชวลิต อุดศรี. (2559). การศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบาบัดฟื้นฟูแก้ไขผู้ต้องขังของเจ้าหน้าที่ทัณฑสถานบ าบัดพิเศษ: ศึกษาเฉพาะกรณีทัณฑสถานบ าบัดพิเศษหญิงธัญบุรี กับทัณฑสถานบ าบัดพิเศษพระนครศรีอยุธยา. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, ภาควิชาสังคมสงเคราะห์ ศาสตร์, สาขาวิชาการบริหารงานยุติธรรม. เนริสา ลิปิสุนทร. (2556). ปัญหาและอุปสรรคในการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด: กรณีศึกษาคลินิกยาเสพติด ศูนย์บริการ สาธารณสุข 40 บางแค. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ. (2557). ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 108/2557 เรื่องการปฏิบัติต่อผู้ต้องสงสัยว่ากระท าผิดตามฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อเข้าสู่การบ าบัดฟื้นฟูและการดูแล ผู้ผ่านการบ าบัดฟื้นฟู. สืบค้นจาก https://library2.parliament.go.th/giventake/content_ncpo/ncpoannouce108-2557.pdf สมาคมนักสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. (2553). มาตรฐาน การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ด้านยาเสพติด. กรุงเทพฯ: ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ สถาบันวิจัยสาธารณสุข สวัสดิ์ อุ่นใจ และคณะ. (2560). การประเมินการใช้แมทริกซ์โปรแกรมในการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดของโรงพยาบาลสังกัด ส านักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 7 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน. วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 5(4), 661-681, สืบค้นจาก https://home.kku.ac.th. ส านักป้องกันและบ าบัดยาเสพติด, ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร. (2560). เอกสารประกอบการอบรมและฝึกปฏิบัติ งานด้านการใช้ยาและสารเสพติด ระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2560. ส านักป้องกันและบ าบัดยาเสพติด ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร. ส านักป้องกันและบ าบัดยาเสพติด. (2561). คู่มือส าหรับผู้ให้การบ าบัด BMA Matrix Model. กรุงเทพฯ: ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร. สิริญญา พุ่มคง. (2554). ปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟู สมรรถภาพผู้ติดตามเสพติด พ.ศ.2545 ของพนักงานคุมประพฤติ. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. โสภา อ่อนโอภาส. (2555). การจัดการรายกรณีทางสังคมสงเคราะห์ (Social work case management). สืบค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/36246
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 187 โสภิต แกล้วกล้า. (2551). การประเมินผลการบ าบัดรักษาด้วยโปรแกรมจิตสังคมบ าบัด (Matrix Program) ของคลินิกบ าบัด การติดยาเสพติด ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, สาขาการบริหารและนโยบายสวัสดิการสังคม. อภิญญา เวชยชัย. (2556). Case Management กับบทบาทของ Case Manager). สืบค้นจาก http://www.medsocthai.org/index.php/2013-03-14-07-14-45/18-case-management-case-manager. อรพรรณ ลิ่มพันธ์. (2547). การประเมินกระบวนการในการให้บริการเมทริกซ์โปรแกรมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะพยาบาลศาสตร์. อาภาศิริ สุวรรณานนท์. (2558). การศึกษารูปแบบการด าเนินงานด้านการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด, วารสารวิชาการบัณฑิต วิทยาลัยสวนดุสิต, 11(2), 213-222. Brener, L., von Hippel, W., von Hippel, C., Resnick, I., & Treloar, C. (2010). Perceptions of discriminatory treatment by staff as predictors of drug treatment completion: utility of a mixed methods approach. Drug and alcohol review, 29(5), 491-497. Retrieved from https://doi.org/10.1111/j.1465- 3362.2010.00173.x
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 188 ห้องที่ 4: การน าเสนอผลงานวิชาการ เรื่อง การสร้างความเป็นธรรมทางสังคม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 189 การศึกษาการใช้เครื่องมือและปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ภายใต้กระบวนการประสานและส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ ในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ A study on the use of tools and barriers to the use of tools in social work under the process of coordination and referral of persons with disabilities to shelter home for persons with disabilities. ปรีดาภรณ์ พชรปรีชา1 Preedaporn Pacharapreecha2 มาลี จิรวัฒนานนท์3 Assistant Professor Malee Jirawattananon4 Abstract The objective of this study is to examine the use of tools and the barriers in the practice of social work in the process of coordinating referrals for persons with disabilities to shelter homes. The research employs a qualitative research method, collecting data through semi-structured interviews with participants, including 11 social workers directly involved in the coordination and referral process for people with disabilities to shelter homes and 3 administrators overseeing the coordination and referral to shelter homes process at both the operational and policy levels. The study found that within the coordination and referral process, consisting of 9 steps, social workers perform their tasks in 4 main phases: 1) notification, 2) problem assessment, 3) coordination with the Division Welfare Protection and Development for Persons withs Disabilities, Department of Empowerment of Persons withs Disabilities, and 4) coordination with shelter homes for people with disabilities. Social workers utilize 3 key types of tools, which include interview forms, home visit records, and coordination forms within the coordination and referral process. Social work practices are based on several principles, such as individualization, avoiding hasty judgments, not blaming clients, respecting confidentiality, and involving clients in decision-making. Organizational participation and collaboration. Empowerment by building trust, resource support and information to be choice to independent living. Important aspects of social work are skills of relationship, observing, interviewing, listening, counseling, taking notes and coordinating. However, the study identified three types of barriers in the use of tools, which include incomplete data in interview forms, the lack of standardized interview forms, communication difficulties with different types of disabled people, clients unable to fulfill scheduled home visits, and unclear 1 นักศึกษาหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 2 Master student, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจ าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 4 Assistance Professor Dr., Lecturer in Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 190 residential information from clients. The study also highlighted the impact of the COVID-19 pandemic and challenges in using coordination tools, such as delayed government processes, a lack of technological support in coordination process, and a lack of knowledge within the network agencies regarding the coordination and referral process people with disabilities to shelter homes. Shelter homes for persons with disabilities can accommodate a limited number of persons with disabilities, social works are limited in terms of knowledge and skills required to interact with disabled individuals and necessitating the use of sign language interpreters. Keywords: Interview forms, Home visit records, Coordination forms, Social work, Department of Rehabilitation and Protection for Disabled Persons, Shelter homes for people with disabilities. บทคัดย่อ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการใช้เครื่องมือ และปัญหาอุปสรรคการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ใน กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิง คุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ผู้มีส่วนร่วมในงานวิจัย ประกอบด้วย นักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติ หน้าที่ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ จ านวน 11 ราย และผู้บริหารองค์กรที่มี บทบาทในการบริหาร ก ากับ ดูแลกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ในระดับปฏิบัติและ ระดับนโยบาย จ านวน 3 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาตามประเด็น (Content Analysis) และน าเสนอผลการศึกษาเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ซึ่งประกอบด้วย 9 ขั้นตอน โดยมีนักวิชาชีพ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบส าหรับนักสังคมสงเคราะห์ จะมีการปฏิบัติงานในกระบวนการ ประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ที่เหมือนกันปรากฏ เพียง 4 ขั้นตอน เท่านั้น ได้แก่ 1) การรับแจ้งเรื่อง 2) พิจารณาสภาพปัญหา 3) ประสานงานไปยังกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพ ชีวิตคนพิการ และ 4) ประสานงานไปยังสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ในกระบวนการดังกล่าว นักสังคมสงเคราะห์ใช้ เครื่องมือส าคัญ 3 ลักษณะ ประกอบด้วย แบบการสัมภาษณ์ แบบบันทึกการเยี่ยมบ้าน และ แบบฟอร์มการประสานงาน ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ซึ่งการใช้เครื่องมือดังกล่าวนั้น อยู่บนหลักการ ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ได้แก่ การยอมรับความแตกต่าง ไม่ด่วนตัดสิน ไม่ต าหนิติเตียน รักษาความลับ เคารพ การตัดสินใจของผู้ใช้บริการ การมีส่วนร่วมขององค์กรเครือข่าย การเสริมพลังโดยการสร้างความเชื่อมั่น สนับสนุนทรัพยากร และการให้ข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือกในการพึ่งพาตนเอง รวมถึงทักษะที่จ าเป็นในการปฏิบัติงานของนักสังคม สงเคราะห์ ได้แก่ ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ การสังเกต การตั้งค าถามในการสัมภาษณ์ การฟังอย่างตั้งใจ การให้ค าปรึกษา การจดบันทึก และการประสานงาน ปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือ 3 ลักษณะดังกล่าว ประกอบด้วย แบบการสัมภาษณ์ มีการบันทึกข้อมูลที่ ไม่ครบถ้วน แบบสัมภาษณ์ที่ไม่ชัดเจนเป็นมาตรฐานเดียวกัน ข้อจ ากัดในการสื่อสารกับคนพิการที่มีหลายประเภท ปัญหา ปสรรคการที่ผู้ใช้บริการไม่สามารถให้เยี่ยมบ้านได้ตามนัดหมาย การเข้าไม่ถึงข้อมูลที่อยู่อาศัยที่ชัดเจนของผู้ใช้บริการ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือการประสานส่งต่อ ได้แก่ ความล่าช้า ของระบบหนังสือราชการ ขาดการน าเทคโนโลยีมาช่วยในการประสานส่งต่อ หน่วยงานเครือข่ายไม่ทราบกระบวนการ ประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการสามารถรับคนพิการได้จ านวนจ ากัด ตลอดจนข้อจ ากัดด้านความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์กับคนพิการซึ่งต้องใช้ล่ามภาษามือ ค าส าคัญ: แบบการสัมภาษณ์, แบบบันทึกการเยี่ยมบ้าน, แบบการประสานส่งต่อ, การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ และ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 191 บทน า ปัจจุบันในประเทศไทยมีจ านวนคนพิการที่ได้รับการออกบัตรประจ าตัวคนพิการ ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 จ านวน 2,138,154 คน (http://www.dep.go.th) ซึ่งคนพิการจ านวนนี้มีสิทธิสวัสดิการที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการในทุกๆ ด้าน ตามที่ระบุไว้ ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2556 ไม่ว่าจะเป็นด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย การศึกษา การส่งเสริมการมีรายได้ และการมีงานท า ทั้งในส่วนของการจ้างงาน การพัฒนาศักยภาพและอาชีพ และบริการกู้ยืมเงินเพื่อประกอบอาชีพ การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่ อาศัยให้รองรับกับความพิการ สิทธิสวัสดิการเหล่านี้ส่งเสริมให้คนพิการสามารถด ารงชีวิตอิสระได้ จากจ านวนคนพิการที่มีบัตรประจ าตัวคนพิการในประเทศไทย มีคนพิการที่อยู่ในวัยแรงงาน จ านวน 885,025 คน สามารถประกอบอาชีพได้เพียง จ านวน 312,096 คน (http://www.dep.go.th) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้คนพิการจะมี สิทธิสวัสดิการ แต่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ แสดงให้เห็นว่าคนพิการต้องอยู่ในสภาวะพึ่งพิง ท าให้ไม่สามารถด ารงชีวิต อิสระได้ การไม่สามารถด ารงชีวิตอิสระได้ส าหรับคนพิการ หมายถึงการพึ่งพาอาศัยบุคคลอื่น ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นบุคคล ในครอบครัว ทั้งในเรื่องของการเงิน การดูแลสุขภาพอนามัย การช่วยอ านวยความสะดวกในการด ารงชีวิต ส่งผลให้คนพิการ เกิดความไม่แน่นอนในชีวิตสูง ทั้งนี้ปัจจัยภายนอก ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ล้วนมีผลต่อสภาพเป็นอยู่ของคนพิการ และครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ ที่อยู่อาศัย สุขภาพอนามัย การศึกษา ดังนั้น หากสถานการณ์ทางสังคมไม่สามารถ สนับสนุนให้คนพิการและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ จะส่งผลให้คนพิการที่อยู่ในสภาวะพึ่งพิงมีโอกาสถูกทอดทิ้งหรือ ถูกละเลยได้ ท าให้มีความจ าเป็นต้องเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ภายใต้กรมส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2556 มาตรา 20 ซี่งระบุไว้ว่า “คนพิการมีสิทธิเข้าถึงสิ่งอ านวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ ตลอดจนสวัสดิการ และความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ โดยด้านสวัสดิการสังคมเรื่องการคุ้มครองสิทธิคนพิการที่ไม่มีผู้ดูแลโดยก าหนดให้คนพิการที่ไม่มี บิดา มารดา บุตร สามี ภรรยา พี่น้อง หรือบุคคลในครอบครัว ที่รับคนพิการไว้ดูแลหรืออุปการะเลี้ยงดู ได้รับสวัสดิการในเรื่อง ต่างๆ ได้แก่ การช่วยเหลือเป็นเงินหรือสิ่งของ การจัดหาครอบครัวอุปการะการส่งเข้าอุปการะในสถานสงเคราะห์ฯ” ปัจจุบันกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มีสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการทั้งหมด 11 แห่ง ซึ่งมี ภารกิจในการให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพคนพิการ จัดบริการปัจจัยสี่ที่เหมาะสม ตลอดจนการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ คนพิการ โดยปัจจุบันมีคนพิการที่อยู่ในความคุ้มครองทั้งหมด 4,350 คน (รายงานการประชุมประจ าเดือนกองคุ้มครองสวัสดิ ภาพและพัฒนาคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ต้องประสานงานผ่านกรมส่งเสริมและพัฒนา คุณภาพชีวิตคนพิการ โดยกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ ในกรณีที่เป็นคนพิการในพื้นที่ส่วนภูมิภาค จะมีการ ประสานงานผ่านหนังสือราชการมายังกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จากนั้นเรื่องดังกล่าวจะถูกส่งมายังกอง คุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ เพื่อพิจารณาและประเมินสภาพปัญหาความต้องการของคนพิการ โดยหากมีความ จ าเป็นต้องเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ จะท าการพิจารณาสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการที่เหมาะสมกับช่วงอายุ ประเภทความพิการ เพศ รวมทั้งพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น ภูมิล าเนาของคนพิการ ข้อจ ากัดของคนพิการ เป็นต้น เมื่อได้สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการที่เหมาะสมแล้ว กองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการด าเนินการขออนุมัติรับ คนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ และท าการประสานงานผ่านหนังสือราชการ ไปยังสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ดังกล่าว เพื่อให้สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพิจารณา หลังจากนั้นสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการจะแจ้งผล การพิจารณากลับมายังกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ กองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการจึงประสาน กลับไปยังหน่วยงานน าส่ง และถ้ามีอุปสรรคปัญหาข้อสงสัยหรือความคืบหน้าในการพิจารณารับคนพิการเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพ กองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ ท าหน้าที่เป็นหน่วยประสานระหว่างหน่วยงานน าส่งและสถานคุ้มครอง
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 192 และพัฒนาคนพิการ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร กองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ ลงพื้นที่สอบ ข้อเท็จจริงเพื่อประเมินและพิจารณาให้ความช่วยเหลือคนพิการ หากประเมินแล้วว่ามีความจ าเป็นต้องเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพ ด าเนินการประสานสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ โดยกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ ท าหน้าที่ ประสานระหว่างคนพิการ ครอบครัวคนพิการ หน่วยงานน าส่ง หรือหน่วยงานเครือข่ายในพื้นที่กับสถานคุ้มครองและพัฒนา คนพิการในการส่งคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ มีกระบวนการ หลายขั้นตอน ท าให้ต้องใช้ระยะเวลาในการด าเนินการในแต่ละขั้นตอน และส่วนใหญ่การที่หน่วยงานน าส่งคนพิการ คนพิการ มักที่อยู่ในสภาวะที่มีความต้องการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพเป็นการเร่งด่วน เช่น คนพิการไม่มีที่อยู่อาศัย เตียงของ โรงพยาบาลมีจ ากัด ไม่สามารถรับผู้ป่วยรายอื่นที่มีความจ าเป็นในการรักษาพยาบาลได้ส่งผลให้ต้องรอกระบวนการดังกล่าว ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาความต้องการของคนพิการ อีกทั้งในการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่มีความแตกต่างของ การจัดการองค์การ ส่งผลให้กระบวนการค้นหาข้อเท็จจริง การประเมินสภาพปัญหาความต้องการ ที่มีความจ าเป็นต่อ การพิจารณาวางแผนให้ความช่วยเหลือคนพิการไม่ครบถ้วนหรือมีความคลาดเคลื่อน ตลอดจนการประสานงานผิดพลาดใน การให้บริการ ท าให้คนพิการได้รับบริการไม่ตรงตามความต้องการ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ บ่อยครั้ง และเจ้าหน้าที่บางส่วนยังขาดความเข้าใจเรื่องกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ท าให้การด าเนินการใช้ระยะเวลาเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีคนพิการอยู่ในระหว่างกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ตั้งแต่ในปีงบประมาณ 2562 จนถึงปีงบประมาณ 2565 รวม 1,005 ราย (รายงานการประชุม ประจ าเดือน กองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) ขั้นตอนการปฏิบัติงานของกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ มีการใช้เครื่องมือ การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ที่ช่วยให้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ สามารถด าเนินไป ได้ ดังนั้นถ้ามีการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ จะสามารถน าไปสู่ การที่คนพิการได้รับบริการที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการจ าเป็นมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ การศึกษาเรื่องลักษณะการใช้เครื่องมือและปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ภายใต้กระบวนการประสานและส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ จะท าให้ทราบว่าผู้ปฏิบัติงานมีการใช้เครื่องมือ และอุปสรรคปัญหาการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพฯ ยังเป็นการหาแนวทางในการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์เพื่อการพัฒนากระบวนการประสานส่ง ต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ให้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถลดขั้นตอนจ านวนการประสานส่งต่อ คนพิการที่ไม่จ าเป็นต้องเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ และจัดบริการอื่นๆ ทดแทนตามสภาพปัญหา ความต้องการที่แท้จริง ของคนพิการได้ วัตถุประสงค์ในการศึกษาวิจัย 1. เพื่อศึกษาลักษณะการใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพ 2. เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อ คนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 193 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการศึกษา กระบวนการประสานและส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนา คนพิการ สังกัด กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ประกอบด้วย 2 รูปแบบ ได้แก่ ได้รับการประสานงานจากหน่วยงานในพื้นที่ กทม. และ ได้รับการประสานงานจากหน่วยงานส่วนภูมิภาค โดยขั้นตอนการประสานส่งต่อคนพิการที่เข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพใน สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ พื้นที่ กทม. ประกอบไปด้วย 8 ขั้นตอน และขั้นตอนการประสานส่งต่อคนพิการที่เข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพื้นที่ส่วนภูมิภาค ประกอบไปด้วย 9 ขั้นตอน ดังนี้ 1) กองคุ้มครอง สวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ รับเรื่องจากหน่วยงานต่างๆ 2) ด าเนินการสอบข้อเท็จจริง 3) การท าเรื่องขออนุมัติรับคนพิการ 4) ประสานส่งต่อสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ 5) สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพิจารณาเรื่องการรับคนพิการ 6) สถาน คุ้มครองและพัฒนาคนพิการตอบผลการพิจารณาฯ 7) ประสานนัดวันน าส่งคนพิการ 8) การด าเนินการส่งคนพิการเข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ9) กองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ ติดตามการส่งคนพิการ เข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์หมายถึง เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสาน และส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ ซึ่งประกอบด้วย 1) การสัมภาษณ์ หมายถึง วิธีการส าหรับการพูดคุย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงและน าข้อมูลมาประกอบการ ประเมินสภาพปัญหาความต้องการ และการวางแผนการด าเนินการ 2) การเยี่ยมบ้าน หมายถึง วิธีการส าหรับค้นหาข้อเท็จจริงและเพื่อประเมินสภาพปัญหา ก าหนดแนวทางการช่วยเหลือ เพื่อให้เข้าใจสภาพปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม 3) การประสานส่งต่อ หมายถึง การประสานงานเพื่อเชื่อมโยงทรัพยากร เพื่อให้สามารถตอบสนองปัญหาความต้องการของ ผู้ใช้บริการได้ ปัญหาอุปสรรค หมายถึง ปัญหาอุปสรรคด้านการใช้เครื่องมือในกระบวนการประสานและส่งต่อคนพิการเข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ได้แก่ การสัมภาษณ์การเยี่ยมบ้าน การประสานส่งต่อ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ หมายถึง สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการภายใต้สังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนา คุณภาพชีวิตคนพิการ 5 แห่ง ได้แก่ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านกึ่งวิถี (หญิง) จังหวัดปทุมธานีสถานคุ้มครองและพัฒนา คนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านราชาวดี (ชาย) จังหวัดนนทบุรี สถานคุ้มครอง และพัฒนาคนพิการบ้านนนทภูมิ จังหวัดนนทบุรี และสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านเฟื่องฟ้า จังหวัดนนทบุรี คุ้มครองสวัสดิภาพ หมายถึง การรับคนพิการที่ประสบปัญหาทางสังคม ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีผู้ดูแล เข้าอุปการะในสถาน คุ้มครองและพัฒนาคนพิการเพื่อความปลอดภัย รวมถึงการมีปัจจัยสี่เพื่อตอบสนองความจ าเป็นพื้นฐานในการด ารงชีวิต วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ผู้ศึกษาได้ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในเรื่องเครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ แนวคิดการประสานงาน การเสริมพลังอ านาจ และการมีส่วนร่วม ดังรายละเอียดต่อไปนี้ แนวคิดเกี่ยวกับเครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ที่ใช้ในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการ คุ้มครองสวัสดิภาพฯ 1) การสัมภาษณ์ สุรางรัตน์ วศินารมณ์ (2554, น. 57) ได้กล่าวถึง การสัมภาษณ์ในงานสังคมสงเคราะห์ว่า หมายถึง แบบแผนการสนทนาทั้งที่เป็นค าพูดและไม่เป็นค าพูด โดยมีวัตถุประสงค์ เป้าหมายของการสนทนานั้น และข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจะถูกน ามาวินิจฉัยเพื่อวางแผนการให้บริการให้ตรงกับความต้องการของแต่ละคน โดยอาศัยทักษะต่างๆ ที่ได้รับ การฝึกฝนมา โดยในการสัมภาษณ์มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อหาข้อเท็จจริง
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 194 เพื่อให้ข้อเท็จจริงหรือเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม นอกจากนี้อาจมีวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่น เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐาน เพื่อให้เกิด ประโยชน์ในขั้นตอนต่อไป 2) การเยี่ยมบ้าน สุรางรัตน์ วศินารมณ์ (2554, น. 75) ได้กล่าวถึง การเยี่ยมบ้านไว้ว่าเป็นวิธีการอย่างหนึ่งส าหรับ การแสวงหาข้อเท็จจริงประกอบการสัมภาษณ์ในขั้นแรกรับ และการก าหนดแนวทางในการช่วยเหลือ โดยมีวัตถุประสงค์ที่ ส าคัญ เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมเพื่อการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างนักสังคม สงเคราะห์และผู้ใช้บริการ และเพื่อสร้างแนวทางการปรับตัวของผู้ใช้บริการให้สามารถด ารงชีวิตอยู่ในสังคมของตนเองได้อย่าง ปกติ ตลอดจนเพื่อการติดตามประเมินผลการให้บริการ โดยการเยี่ยมบ้าน ต้องท าการบันทึกข้อมูลต่างๆ ตามหลักการเยี่ยม บ้าน 3) การประสานส่งต่อ สุรางรัตน์ วศินารมณ์ (2554,น.121) ได้ให้ความหมายการส่งต่อไว้ว่า หมายถึง การคัดเลือก สรรหา เพื่อประสานให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างทรัพยากรเพื่อให้ตอบสนองปัญหาและความต้องการของผู้ใช้บริการ ดังนั้น นักสังคมสงเคราะห์จึงจ าเป็นต้องมีความรู้เรื่องแหล่งทรัพยากรต่างๆ เพื่อสามารถประสานส่งต่อได้อย่างเหมาะสมตรงกับ ความต้องการของผู้ใช้บริการ โดยในส่วนของกระบวนการส่งต่อในขั้นการแรกรับ เป็นล าดับแรกที่ได้พบกับผู้ใช้บริการ ซึ่งจะ ท าให้ได้รับรู้ถึงสภาพปัญหา ความต้องการของผู้ใช้บริการเป็นครั้งแรก โดยจะได้รับข้อมูลผ่านกระบวนการสัมภาษณ์ โดยเมื่อ นักสังคมสงเคราะห์พิจารณาจากสภาพปัญหาและความต้องการแล้ว พบว่าจ าเป็นต้องส่งต่อผู้ใช้บริการเพื่อขอรับบริการจาก หน่วยงานอื่น ก็จะท าการส่งต่อ รวมทั้งอาจท าการสัมภาษณ์เพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่จ าเป็นและท าการส่งต่อข้อมูลให้กับผู้ที่ เกี่ยวข้องทราบและสามารถด าเนินการต่อได้ทันที โดยที่กระบวนการส่งต่อไม่จ าเป็นต้องเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นแรกรับ เนื่องจากใน การให้บริการในครั้งต่อๆ มา อาจจะน าข้อมูลมาประกอบการประเมินเพื่อจัดบริการที่เหมาะสมให้ผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น ซึ่งการ ส่งต่อสามารถเกิดขึ้นในกระบวนการนี้ได้เช่นกัน การศึกษาเรื่องเครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ที่ใช้ในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ทั้งเครื่องมือการประสานส่งต่อ เครื่องมือการสัมภาษณ์ และ เครื่องมือการเยี่ยมบ้านนั้น ท าให้ได้รับรู้ถึงทักษะ ลักษณะของการใช้เครื่องมือดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจทั้งหลักการ วิธีการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ที่ใช้ในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพใน สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ มากยิ่งขึ้น แนวคิดการประสานงาน สมชาติ กิจยรรยง (2543, น. 92) ได้ให้ความหมายของการประสานงานไว้ว่า หมายถึง การจัดระเบียบการท างาน เพื่อให้งานและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ ร่วมมือปฏิบัติงานเป็นน้ าหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ท างานซ้ าซ้อนกัน เป็นภาระผูกพันทาง จิตใจ เป็นข้อตกลงใจ เพื่อให้งานที่ด าเนินไปตามนโยบายของหน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อีกความหมายหนึ่งของ การประสานงานก็คือ การจัดระเบียบและกลไกการท างานของผู้ร่วมงานหลายคนหรือหลายคณะให้ท างานร่วมกัน เพื่อบรรลุ จุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน โดยการประสานงานเป็นการประสานหลายๆอย่างในโอกาสเดียวกันคือ ประสานเป้าหมาย แรงงาน ข้อมูล ความคิดเห็น จิตใจ ทรัพย์สิน วิธีการ ฯลฯ แนวคิดการประสาน เพื่อให้ทราบถึงความหมาย เทคนิค และลักษณะของการประสานงานที่ดี เพื่อน ามาเปรียบเทียบกับ กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ แนวคิดการเสริมพลังอ านาจ ระพีพรรณ ค าหอม (2555, น.100) ได้ให้ความหมายไว้ว่าการเสริมพลังอ านาจ เป็นหลักการที่นักสังคมสงเคราะห์ พึงตระหนักในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์จุลภาค การประเมินที่ส่งเสริม สนับสนุนการให้คุณค่าของผู้ใช้บริการ การค้นหา ศักยภาพ ความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวของผู้ใช้บริการ ซึ่งผู้ใช้บริการไม่เคยรู้มาก่อน เพื่อเป็นการสร้างความนับถือในตนเอง
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 195 การดึงความสามารถ ศักยภาพของผู้ใช้บริการออกมา เพื่อให้ผู้ใช้บริการรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง เห็นคุณค่าและพลังในตัวเอง เป็นการเพิ่มคุณค่า เพิ่มพลังอ านาจให้กับผู้ใช้บริการได้เกิดความรู้สึกเชิงบวก แนวคิดการเสริมพลังอ านาจมีส่วนช่วยในการสะท้อนว่าผู้ปฏิบัติงานมีการปรับใช้แนวคิดดังกล่าวกับเครื่องมือการ ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานและส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ อย่างไร ซึ่งจะ เกี่ยวข้องกับปัญหาอุปสรรคหรือข้อท้าทายในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ แนวคิดการมีส่วนร่วม วีณา เที่ยงธรรม, สุนีย์ ละก าปั่น และ อาภาพร เผ่าวัฒนา (2558, น. 54) ได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วมไว้ว่า “การให้โอกาสประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจและก าหนดปัญหาความต้องการของตนเองอย่างแท้จริง เป็นการเสริมพลังอ านาจให้แก่ ประชาชน/กลุ่ม/องค์กรชุมชน ให้สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเอง ในการตัดสินใจเกี่ยวกับทรัพยากรในด้านภูมิปัญญา ทักษะ ความรู้ความสามารถ และการควบคุมดูแลกิจกรรมต่างๆ ในชุมชนของตนเอง สามารถก าหนดแนวทางการด ารงชีวิตได้ ด้วยตนเอง ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างสมศักดิ์ศรี มีอิสระในการเข้ามามีส่วนร่วมทางกิจกรรมต่างๆ ของกลุ่มหรือองค์กร ชุมชน ที่มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายชัดเจน แนวคิดการมีส่วนร่วม สามารถประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ ทบทวนลักษณะการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคม สงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานและส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ เพื่อให้กระบวนการประสานและ ส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น งานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยเกี่ยวข้องเรื่องเครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ สามารถน ามาประยุกต์วิเคราะห์ลักษณะการใช้ เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ รวมไปถึงทักษะต่างๆ ที่จ าเป็นในการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ โดย จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า นักสังคมสงเคราะห์มีทักษะในการเยี่ยมบ้าน ซึ่งท าให้การปฏิบัติงานราบรื่น และ อีกกลุ่มคือกลุ่มที่นักสังคมสงเคราะห์ควรพัฒนาทักษะการเยี่ยมบ้าน เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนการเยี่ยมบ้านซึ่งมีส่วนส าคัญใน การที่จะท าให้นักสังคมสงเคราะห์ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ในการด าเนินงานกับการให้บริการผู้ใช้บริการให้เกิด ประสิทธิภาพได้ต่อไป ญาณิกา นิลแจ้ง (2559) และในการเยี่ยมบ้านนั้น มีประเด็นที่ควรพิจารณาในการเยี่ยมบ้าน ได้แก่ ด้านการแต่งกายและยานพาหนะในการเยี่ยมบ้าน ด้านความไวต่อ ความเชื่อ ศาสนาและจิตวิญญาณ ด้านการท างานเป็นทีม ด้านบทบาทเทคโนโลยีเพื่อการประยุกต์ใช้การเยี่ยมบ้าน ปรียานุช โชคธนวณิชย์ (2558) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเรื่องการประสานงาน สามารถประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์เรื่องปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการช่วย ให้การประสานงานราบรื่น มีประสิทธิภาพ โดยจากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าแนวทางการพัฒนาการประสานงานที่ มีประสิทธิภาพ ควรมีการจัดประชุมด้านสถานการณ์ปัญหาปัจจุบัน บุคลากรที่ท าหน้าที่ประสานงานนั้น ควรมีความรู้ ทักษะ ในการประสานงาน มีความอดทนสูง รู้จักแก้ปัญหา ตื่นตัวอยู่เสมอ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ควรลดขั้นตอนการติดต่อสื่อสารและขั้นตอนในการประสานงานให้กระชับ สะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ควรมีนโยบาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เป็นปัจจุบัน และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม วสุภรณ์ อ าพนนวรัตน์ (2556) และ วาสิทธิ์ นงนุช (2560) นอกจากนี้ยังพบว่าอายุ รายได้ต่อเดือน ประสบการณ์การท างาน ลักษณะการติดต่อสื่อสาร ลักษณะการท างาน ลักษณะการจัดการการพัฒนาระบบ การพัฒนาบุคลากรมีผลต่อการประสานงาน ,สุวัจนา คงคล้าย (2557)
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 196 กรอบแนวคิดการศึกษา การศึกษาเรื่อง “ศึกษาการใช้เครื่องมือและปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์เพื่อ การประสานและส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ” เริ่มจากการประสานรับ เรื่องของกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ซึ่งมี 2 รูปแบบ ได้แก่ ในพื้นที่ กทม. และพื้นที่ ส่วนภูมิภาค โดยในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ มีการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงาน สังคมสงเคราะห์ ได้แก่ เครื่องมือสัมภาษณ์ เครื่องมือเยี่ยมบ้าน และเครื่องมือประสานส่งต่อ โดยต้องใช้ความรู้ ทักษะ และ ทัศนคติในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์กับคนพิการ รวมไปถึงแนวคิดการประสานส่งต่อ และตีความหมายผ่านแนวคิด การเสริมพลังอ านาจและแนวคิดการมีส่วนร่วม จะสามารถท าให้เข้าใจถึงลักษณะการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคม สงเคราะห์และปัญหาอุปสรรคภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษานี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งมีวิธีในการศึกษาจากการศึกษาเชิงเอกสารศึกษา (Documentary Study) และการศึกษาภาคสนามศึกษา (Field Study) โดยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย การคัดผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยโดยใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จ านวน 14 ราย ประกอบด้วย นักสังคมสงเคราะห์ จ านวน 11 ราย ก าหนดคุณสมบัตินักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานใน กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ มีประสบการณ์การปฏิบัติงานในกระบวนการประสาน ส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี มีความสนใจและยินดีที่จะเข้าร่วมการวิจัยหรือ ให้ข้อมูล และให้ความยินยอมเข้าร่วมการวิจัย และผู้บริหารองค์กร จ านวน 3 ราย มีคุณสมบัติ ดังนี้ เป็นผู้บริหารที่มีบทบาท ในการบริหาร ก ากับ ดูแลกระบวนการส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ในระดับปฏิบัติและระดับนโยบาย มีความสนใจยินดีที่จะเข้าร่วมการวิจัยหรือให้ข้อมูลและให้ความยินยอมเข้าร่วมการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล แนวค าถาม ที่ใช้เป็นแนวทางในการสัมภาษณ์ประกอบด้วย 1) ข้อมูลทั่วไป ของผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย 2) ลักษณะการปฏิบัติงานในการกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ 3) ลักษณะการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในการกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครอง
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 197 สวัสดิภาพ ฯ 4) ปัญหาอุปสรรคในการใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ฯ อุปกรณ์ภาคสนามที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล ได้แก่ เครื่องบันทึกเสียง สมุดบันทึก ปากกา ดินสอ และยางลบ สมาร์ทโฟน การตรวจสอบความน่าเชื่อถือการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เพื่อน า ข้อมูลมาวิเคราะห์ หากผู้วิจัยพบว่า ข้อมูลที่ได้ยังไม่เพียงพอต่อการน ามาวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยจะวางแผนและเก็บข้อมูล เพิ่มเติม การวิเคราะห์ข้อมูลจึงท าควบคู่กับการเก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วนแล้ว ผู้วิจัยจะใช้การวิเคราะห์ เนื้อหาตามประเด็น (Content Analysis) วิเคราะห์ประเด็นส าคัญกับแนวคิด ทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และ จัดประเภทของข้อมูล โดยอ้างอิงข้อความของผู้มีส่วนร่วมในการศึกษา เพื่อง่ายต่อการวิเคราะห์และการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ของข้อมูล จนกระทั่งได้ชุดข้อมูลออกมา เพื่อใช้ประกอบการอภิปราย ซึ่งมีการให้เหตุผลเชิงตรรกะ โดยอยู่ในขอบเขตของ แนวความคิดและวัตถุประสงค์ในการศึกษาและน าเสนอผลการศึกษาเชิงพรรณนา โดยอยู่ในขอบเขตของแนวความคิดและ วัตถุประสงค์ของการศึกษา จริยธรรมการวิจัย ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้เข้าอบรมเข้ารับการอบรมจริยธรรมการวิจัยในคน ผู้ศึกษาได้แจ้ง รายละเอียดงานวิจัย เช่น ชื่อเรื่อง วัตถุประสงค์ ฯลฯ โดยเฉพาะ มีการขออนุญาตและได้รับความยินยอมจากผู้มีส่วนร่วม การวิจัยที่ยินดีให้สัมภาษณ์เก็บรวบรวมข้อมูล และ มีการอธิบายถึงประโยชน์ที่ได้จากการน าข้อเท็จจริงที่ได้จากการเก็บข้อมูล ไปใช้ในการวิจัย ผลการศึกษา ผู้ศึกษาได้ท าการสัมภาษณ์และเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย จ านวน 14 คน ประกอบด้วย นักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ จ านวน 11 คน และ ผู้บริหาร จ านวน 3 คน โดยขอสรุปข้อมูลส่วนบุคคลของนักสังคมสงเคราะห์ในรูปแบบตาราง ดังตารางที่ 1 ข้อมูลผู้บริหาร ดังตารางที่ 2 ตามล าดับดังนี้ ตารางที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของนักสังคมสงเคราะห์ ล าดับ ที่ นามสมมติ เพศ อายุ (ปี) วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ การท างานใน ต าแหน่งปัจจุบัน (ปี) ประสอบการณ์ การท างานที่ผ่านมา 1 ฝ้าย หญิง 31 ครุศาสตรบัณฑิต 4 ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐ เพื่อประชาชน 2 บี หญิง 29 สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต 4 - 3 คะน้า หญิง 27 สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต 2 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 4 ตอง ชาย 27 รัฐศาสตรบัณฑิต 3 กรมกิจการผู้สูงอายุ 5 บอล ชาย 28 สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต 3 - 6 มิ้น หญิง 27 สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต 2 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 7 หยก หญิง 36 สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต 6 - 8 แนน หญิง 42 สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต 10 - 9 วิว หญิง 26 สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต 3 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 198 ล าดับ ที่ นามสมมติ เพศ อายุ (ปี) วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ การท างานใน ต าแหน่งปัจจุบัน (ปี) ประสอบการณ์ การท างานที่ผ่านมา 10 ไหม หญิง 36 บริหารธุรกิจบัณฑิต 3 - 11 เจ ชาย 39 สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต 9 - 12 หน่อย หญิง 57 วิทยาศาสตรบัณฑิต สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต 3 - ผู้อ านวยการกองกองทุน และส่งเสริมความเสมอภาค คนพิการ - ผู้อ านวยการกอง ยุทธศาสตร์และแผนงาน 13 แป้ง หญิง 43 สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต พัฒนาแรงงานและสวัสดิการ มหาบัณฑิต 2 -ผู้อ านวยการกลุ่มนโยบาย และยุทธศาสตร์ -ผู้ปกครองสถานคุ้มครองและ พัฒนาคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ 14 ออย หญิง 45 วารสารศาสตรบัณฑิต สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต 1 - ผู้ปกครองสถานคุ้มครองและ พัฒนาคนพิการบ้านราชาวดี (หญิง) จังหวัดนนทบุรี - ผู้ปกครองสถานคุ้มครง และพัฒนาคนพิการบ้าน เฟื่องฟ้า จังหวัดนนทบุรี ผู้ศึกษาได้ท าการศึกษานักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพฯ ใน 4 ส่วนงาน ได้แก่ ในส่วนของกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ จ านวน 2 คนศูนย์บริการคนพิการ กรุงเทพมหานคร จ านวน 2 คน ศูนย์บริการคนพิการ ส่วนภูมิภาค จ านวน 2 คน และสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ จ านวน 5คน โดย นักสังคมสงเคราะห์จ านวน 11 คนนั้น มีจ านวนนักสังคมสงเคราะห์ เพศหญิง จ านวน 8 คน เพศชาย 3 คน ผู้ที่มีอายุมากที่สุด คือ 41 ปี และน้อยที่สุดคือ 26 ปีทั้ง 11 คน มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 31 ปี โดยมีผู้ที่อายุ 27 ปีถึง 3 คน นักสังคมสงเคราะห์ส่วนใหญ่จบ การศึกษาในสาขาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์โดยมีจ านวนถึง 8 คน และจบการศึกษาในสาขาอื่นๆ อีก 3 คน ด้านประสบการณ์ การท างาน นักสังคมสงเคราะห์มีประสบการณ์การท างานมากที่สุดถึง 10 ปี และประสบการณ์การท างานน้อยที่สุดคือ 2 ปี โดย มีประสบการณ์การท างานเฉลี่ยอยู่ที่ 4 ปี ผู้ศึกษาได้ท าการศึกษา ผู้บริหาร จ านวน 3 คน ปัจจุบัน หน่อย (นามสมมติ) ด ารงต าแหน่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ แป้ง (นามสมมติ) ด ารงต าแหน่ง ผู้อ านวยการกองส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการคนพิการ ออย (นามสมมติ) ด ารงต าแหน่ง ผู้อ านวยการกองคุ้มครองสวัสดิการและพัฒนาคนพิการ ทั้งหมดเป็นเพศหญิง และจบการศึกษาในสาขา สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ช่วงอายุอยู่ระหว่าง 43-57 ปี และทั้ง 3 คน มีประสบการณ์การเป็นผู้บริหารในต าแหน่งอื่น ก่อนจะด ารง ต าแหน่งผู้บริหารในปัจจุบัน
รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 199 ขั้นตอนและการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครอง สวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ การปฏิบัติงานในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทส าคัญ อย่างมากในการปฏิบัติงานกระบวนการต่างๆตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงสิ้นสุดกระบวนการ ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์ในแต่ละส่วนงาน มีหน้าที่ ความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่แตกต่างกันไปในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ผลการศึกษาพบว่า ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน โดยเริ่มจาก 1) การรับแจ้งเรื่องจากการประสานงานของหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เอง หรือหน่วยงานอื่นๆเช่น โรงพยาบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน เป็นต้น 2) การค้นหาข้อเท็จจริงผ่านการสัมภาษณ์ ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน หรือบางส่วนงานที่ รับข้อมูลต่อมาจากหน่วยงานอื่นๆ พิจารณาผ่านเอกสาร หนังสือ หากข้อมูลไม่ครบถ้วน ด าเนินการประสานขอข้อมูลเพิ่มเติม และใน ขั้นตอนนี้ยังมีการพิจารณาสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการที่เหมาะสมกับช่วงอายุและประเภทความพิการของคนพิการแต่ละราย อีกด้วย 3) การประสานกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ เพื่อขอส่งคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพใน สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ โดยกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ ท าหนังสือขออนุมัติส่งคนพิการเข้ารับการ คุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ พร้อมประสานไปยังสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ 4) การประสาน สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ เมื่อสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการได้รับเรื่องขอส่งคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพใน สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ท าการพิจารณารายละเอียดข้อมูล และประสานขอข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นพิจารณาจัดล าดับคิว พร้อมแจ้งล าดับคิวไปยังหน่วยงานน าส่งคนพิการ และเมื่อถึงล าดับคิวแล้วท าการประสานงานเพื่อนัดวันน าส่งคนพิการเข้ารับ การคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ซึ่งกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ตามที่ได้ศึกษาจากการทบทวน วรรณกรรมนั้น ประกอบไปด้วย 9 ขั้นตอน โดยใน 9 ขั้นตอน ดังกล่าวนั้น นักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงานไม่ได้ปฏิบัติงานใน ทุกขั้นตอนของกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ เนื่องจาก หน้าที่และความรับผิดชอบในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการแตกต่างกันที่ความแตกต่างกัน โดยนักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงาน นั้น จะมีการปฏิบัติงานในกระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ที่เหมือนกันใน 4 ขั้นตอน ประกอบไป ด้วย ขั้นตอนการรับแจ้งเรื่องขั้นตอนการพิจารณาสภาพปัญหา ขั้นตอนการประสานงานไปยังกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนา คนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และขั้นตอนการประสานงานไปยังสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ เครื่องมือและลักษณะการใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการ เข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ 1) การสัมภาษณ์ นักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงาน มีลักษณะการใช้เครื่องมือสัมภาษณ์ 2 ลักษณะ ได้แก่ สัมภาษณ์ โดยตรง สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงานมีลักษณะการใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์ที่แตกต่างกัน โดย ขั้นตอนการใช้เครื่องมือสัมภาษณ์เริ่มตั้งแต่การรับเรื่อง และใช้ในขั้นตอนการลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน รวมไปถึงขั้นตอนการติดตาม ผู้ใช้บริการ และใช้ในขั้นตอนการประสานกับหน่วยงาน ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงานมองว่าการสัมภาษณ์มีประโยชน์ต่อ กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ เนื่องจากเครื่องมือการสัมภาษณ์ท าให้ทราบถึงรายละเอียด ข้อมูลประวัติของคนพิการ และท าให้เข้าใจถึงสภาพปัญหาของคนพิการ ซึ่งส่งผลต่อการประเมินให้ความช่วยเหลือคนพิการ รวมไป ถึงการทราบรายละเอียดข้อมูลเพื่อการเตรียมความพร้อมในการดูแลคนพิการในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ดังข้อมูลจากการ สัมภาษณ์ที่กล่าวว่า “...การสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์พูดคุยโดยตรง หรือการสัมภาษณ์ ผ่านโทรศัพท์มือถือในกรณีที่ ข้อมูลไม่ครบถ้วน มีประโยชน์ในการหาข้อเท็จจริงของคนพิการ และทราบว่าเขาประสบปัญหาความเดือดร้อนอย่างไร เพื่อให้ได้ ข้อมูลมาอย่างครบถ้วน...” (บอล, สัมภาษณ์, 12 มีนาคม 2565) นักสังคมสงเคราะห์แต่ละส่วนงานมองว่า เครื่องมือสัมภาษณ์ใน กระบวนการประสานส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพฯ จ าเป็นต้องใช้ทักษะ การสัมภาษณ์ ทักษะการให้ค าปรึกษา