The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทความ Processdinga สถาปนาคณะ 70 ปี (24 ม.ค.67) พร้อมทำ e-

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ntknight478, 2024-01-24 05:55:28

หนังสือรวมบทความ Proceedings สถาปนาคณะ 70 ปี

รวมบทความ Processdinga สถาปนาคณะ 70 ปี (24 ม.ค.67) พร้อมทำ e-

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 100 ซึ่งจากการพูดคุยในการแก้ปัญหาร่วมกัน ท าให้สามารถสรุปถึงแนวทางการแก้ปัญหาการที่เยาวชนมุ่งเน้นที่จะกระท าผิด เพื่ออยู่ภายใต้การดูแลของสถานรองรับได้ดังต่อไปนี้ 1) มีการก าหนดแผนการด าเนินงานที่ชัดเจนส าหรับการส่งเยาวชนคืนสู่ครอบครัวในระยะยาว 2) เสริมสร้างเครือข่ายทางสังคมที่แข็งแรงระหว่างครอบครัว โรงเรียน และเยาวชนผู้กระท าผิด 3) เสริมสร้างการตระหนักถึงการปฏิบัติที่เป็นธรรมและการไม่เลือกปฏิบัติต่อเยาวชนผู้เคยอยู่ภายใต้การดูแลของ สถานรองรับ 4) มีการเสริมสร้างการให้โอกาสที่เท่าเทียมทางด้านศึกษาให้กับเยาวชนผู้เคยอยู่ใต้การดูแลของสถานรองรับ หลังจากการส่งเยาวชนคืนสู่ครอบครัว การท างานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง มีความจ าเป็นในการช่วยเสริมสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนกับครอบครัว เยาวชนกับโรงเรียน รวมไปถึงการติดตามทางด้านพฤติกรรมของเยาวชนร่วมกับ ทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการตั้งข้อตกลงให้ความรู้กับยาวชนบทในเรื่องของบทลงโทษในการกระท าผิดซ้ าหรือการกลับ เข้าสู่สถานรองรับ (Kate Burdick, 2016) การแก้ไขในการส่งเสริมการกลับเข้าสู่ครอบครัวของเยาวชนผู้กระท าความผิดในสถานรองรับในระดับนโยบาย ซึ่ง แต่ละรัฐนั้นจะมีการดูแลที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันคือการให้โอกาสและการค านึงถึงผลประโยชน์ของ เยาวชนเป็นที่สูงสุด โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. มีการก าหนดแผนทางด้านการศึกษาให้กับเยาวชนที่เคยพึ่งพิงต่อสถานรองรับที่ชัดเจน เนื่องจากเป็นการรับรอง ความต่อเนื่องทางการศึกษาให้กับเยาวชน รวมไปถึงเป็นการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ าทางสังคมในมิติทางด้านการศึกษา จากผลส ารวจพบว่านักเรียนที่เคยพึ่งพิงสถานรองรับนั้นมีพัฒนาการทางด้านการศึกษาที่ช้ากว่านักเรียนปกติอย่างชัดเจน ความแตกต่างระหว่างโอกาสและความเข้าใจในการศึกษานั้นจะท าให้นักเรียนมีความเสี่ยงที่จะหลีกเลี่ยงต่อการเข้าถึง การศึกษา ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดของระบบการศึกษาที่ผลักให้นักเรียนหลุดออกจากระบบการศึกษาอันมาจากพัฒนาการ ทางการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม น ามาสู่การตัดสินใจไม่ศึกษาต่อของเยาวชน 2. การสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและนักเรียนที่เคยพักพิงในสถานรองรับก่อนที่นักเรียน จะกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา โรงเรียนและบุคลากรควรการสร้างความเข้าใจให้กับเพื่อนนักเรียนเพื่อเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อม ให้นักเรียนภายใต้ระบบการศึกษา โดยสิ่งเหล่านี้ถือเป็นการลดช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์แวดล้อมภายในโรงเรียน ที่จะช่วยให้เยาวชนสามารถกลับคืนสู่สถาบันการศึกษา ครอบครัวและสังคม 3. การเสริมสร้างการลดอคติและมายาคติทางสังคมที่มีต่อเยาวชนผู้กระท าความผิด โดยเป็นการสร้างการตระหนัก ถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ การตระหนักถึงมนุษยธรรม การสร้างความเข้าใจเพื่อลดมายาคติและการอคติ การตีตรา ต่อเยาวชนผู้เคยกระท าผิดหรือผู้เคยอยู่ภายใต้การดูแลของสถานรองรับ เพื่อเป็นการให้โอกาสเยาวชนที่กระท าความผิด ได้มีโอกาสในการกลับคืนสู่สังคมและครอบครัวโดยปราศจากการตีตราจากการกระท าในอดีต (U.S. Department of Labor and U.S. Department of Education, 2017) 4. การบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างระบบการให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการส่งเสริมบุคลากรในการท างานด้านเด็กและเยาวชนให้ตระหนักและพึงระลึกถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ในการคุ้มครองเด็กเป็นส าคัญ รวมถึงการสร้างแรกกระเพื่อมทางสังคมให้ทุกภาคส่วนและหน่วยงานเกิดความตระหนักรู้ โดยการก าหนดนโยบายของประเทศสหรัฐมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาสภาพปัญหาให้กับเยาวชนท่ามกลาง การระบาดของสถานการณ์โควิด-19 โดยมุ่งเน้นให้ความส าคัญสูงสุดในการคืนเด็กสู่ครอบครัวจากสถานรองรับ เนื่องจาก เยาวชนควรได้รับโอกาสในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างก าลังใจจากครอบครัวและสังคม ทั้งนี้ การประสบปัญหาช่องว่างทางสังคมที่มีผลกระทบท าให้เยาวชนรู้สึกเกิดความโดดเดี่ยวและไม่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวส่งผล ให้เยาวชนอยู่ในความเสี่ยงที่จะเข้ารับการสงเคราะห์อยู่ภายใต้การดูแลของสถานรองรับซ้ า เนื่องจากความไม่มั่นคงทางความสัมพันธ์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 101 ที่เกิดจากสังคมและครอบครัวจากการที่เยาวชนกระท าผิด ท าให้เยาวชนที่ได้รับการกลับคืนสู่สังคมมีแนวโน้มที่จะกระท าผิดซ้ า เองจากมีความสัมพันธ์ต่อสังคมที่ไม่มั่นคงและก่อให้เกิดการที่เยาวชนนั้นเกิดการปฏิเสธต่อสังคม และท าให้ตัวของสังคมเอง มีส่วนในการผลักเยาวชนออกจากสังคม ท าให้เยาวชนต้องกลับมาพักพิงยังสถานรองรับดังเดิม การที่เยาวชนต้องมีความจ าใน การพึ่งพิงสถานรองรับของรัฐถือว่าไม่ใช่เป้าหมายของนโยบายและการแก้ปัญหาด้านพฤติกรรมของเยาวชนที่เหมาะสม ระยะยาว รัฐจึงต้องมีส่วนร่วมที่ส าคัญในการเป็นตัวกลางในการก าหนดนโยบายการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเยาวชนใน มิติต่างๆ ครอบครัว จิตใจ สังคม และการศึกษา รวมไปถึงการสร้างนโยบายการสนับสนุนเรื่องทุนทางทรัพยากรให้กับเยาวชน แนวทางการขับเคลื่อนงานเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็กของไทย ผลการส ารวจความรู้ ทัศนคติ และวิธีการลงโทษกับเด็กในสถานสงเคราะห์ สถานพินิจ และสถานศึกษาของรัฐใน ประเทศไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ประเทศไทย (UNICEF Thailand) ผลจากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่และเด็ก ภายใต้สังกัดหน่วยงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงศึกษาธิการ รวมจ านวนทั้งสิ้น 33 แห่ง พบว่า สถานสงเคราะห์ สถานพินิจ และสถานศึกษา ยังคงมีการส่งต่อความรุนแรง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการละเลยแนวทางการปฏิบัติต่อเด็กและผิดระเบียบและกฎหมาย จากความ เชื่อที่ว่าการลงโทษโดยใช้ความรุนแรงจะช่วยส่งเสริมให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ในทางบวก ทั้งนี้ การส่งต่อความรุนแรงจากรุ่นสู่ รุ่นมีสาเหตุปัจจัยมาจากการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนและไม่ทั่วถึงในกรณีที่มีกฎระเบียบ ข้อกฎหมายบังคับใช้ใหม่ เป็นสาเหตุส าคัญ ที่ท าให้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อกฎระเบียบดังกล่าว รวมถึงส่งต่อความรุนแรงไปยังเด็กจากรุ่นสู่รุ่น รวมถึงในกรณีเด็กเอง ก็อาจมีการส่งต่อความรุนแรงจากรุ่นสู่รุ่นเช่นเดียวกัน และจากสภาพปัญหาดังกล่าวควรมีการส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ทั้งใน สถานสงเคราะห์ สถานพินิจ และสถานศึกษา ได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ทางกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง และ ผลกระทบอันตรายจากการลงโทษโดยใช้ความรุนแรงต่อเด็ก จากสถานการณ์และผลกระทบในกรณีที่เจ้าหน้าที่ส่งต่อความรุนแรงให้กับเด็กในสถานสงเคราะห์ สถานพินิจ และสถานศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งด าเนินการด้านเด็กเห็นพ้องตรงกันว่าจ าเป็นจะต้องสร้างระบบการคุ้มครองเด็ก และเสริมสร้างศักยภาพเจ้าหน้าที่ในการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กในสถานรองรับ ซึ่งเกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน มีการร่วมมือกับองค์การเฟรนด์อินเตอร์ เนชันแนล ประเทศไทย และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ประเทศไทย (UNICEF Thailand) ในการพัฒนานโยบาย การจัดระบบคุ้มครองเด็กและเสริมสร้างศักยภาพผู้ปฏิบัติงานในสถานรองรับเด็ก ซึ่งด าเนินการจัดท าเป็นกรอบการปฏิบัติงาน การคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็ก ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 หมวด 2 การปฏิบัติต่อเด็ก ดังนี้ มาตรา 22 การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้ค านึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นส าคัญและไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรม มาตรา 23 ผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตน ตามสมควรแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ต่ ากว่ามาตรฐานขั้นต่ าตามที่ก าหนด ในกฎกระทรวงและต้องคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตนมิให้ตกอยู่ในภาวะอันน่าจะเกิดอันตรายแก่ ร่างกายหรือจิตใจ มาตรา 26 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ห้ามมิให้ผู้ใดกระท าการดังนี้ 1) ทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก 2) จงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งจ าเป็นแก้การด ารงชีวิตหรือรักษาพยาบาล 3) บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร ท าให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระท าความผิด หรือ ท าให้เด็กเป็นขอทาน เด็กเร่ร่อน หรือใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการกระท าความผิด หมายรวมถึงการแสวงหาประโยชน์ทาง การค้าต่อเด็กที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของเด็ก และการให้เด็กแสดงหรือกระท าการ อันมี


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 102 ลักษณะลามกอนาจารทุกกรณี 4) โฆษณาทางสื่อมวลชนหรือเผยแพร่เพื่อรับเด็กหรือยกเด็กให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติของเด็ก และ 5) ยินยอมให้เด็กเล่นการพนัน จ าหน่าย แลกเปลี่ยน หรือให้สุราและบุหรี่แก่เด็ก เข้าไปในสถานค้าประเวณี หรือสถาน รองรับที่ที่ห้ามมิให้เด็กเข้า ถ้าการกระท าความผิดตามวรรคหนึ่งมีโทษตามกฎหมายอื่นที่หนักกว่าให้ลงโทษตามกฎหมายนั้น จากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติต่อเด็กนั้น มีความส าคัญและจ าเป็นอย่างยิ่งต่อการด าเนินงานด้าน การคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็ก ซึ่งได้มีการจัดท าเป็นกรอบการปฏิบัติงานการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็ก โดยก าหนด องค์ประกอบที่ส าคัญคือ การรับบุคลากรเข้าปฏิบัติหน้าที่ การให้ความรู้และการฝึกอบรม โครงสร้างระบบการคุ้มครองเด็ก ในสถานรองรับเด็ก ข้อปฏิบัติต่อเด็กในสถานรองรับเด็ก การสื่อสารกับหน่วยงานหรือบุคคลภายนอก การรายงานและ การด าเนินการ และผลสืบเนื่องจากการกระท าผิดและการด าเนินการ ซึ่งในบทความนี้ คณะผู้ศึกษาจะขอยกตัวอย่างใน ประเด็นการคุ้มครองเด็กเป็นส าคัญ ซึ่งสามารถสรุปสาระส าคัญได้ดังนี้ 1. โครงสร้างระบบการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็ก หน่วยงานด้านการพิทักษ์เด็กจ าเป็นต้องมีโครงสร้างระบบการคุ้มครองเด็กที่ชัดเจนและต้องสร้างค่านิยมให้กับ บุคลากรทุกคนตระหนักรู้ในเรื่องการคุ้มครองเด็ก เพื่อให้เกิดการด าเนินการอย่างถูกต้องและยึดผลประโยชน์ของเด็กเป็น ส าคัญ โดยโครงสร้างระบบการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับต้องประกอบไปด้วย ผู้ปกครองหรือผู้อ านวยการของสถานรองรับ เด็ก เจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็ก เจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และเจ้าหน้าที่ที่สนับสนุนดูแลด้านการจัดสวัสดิการสังคมของ หน่วยงาน เป็นต้น ซึ่งมีความจ าเป็นอย่างมากในการสร้างขอบเขตด้านความรับผิดชอบให้ชัดเจน และหากไม่ได้รับการสนับสนุน ที่มีประสิทธิภาพจากทุกคนภายในหน่วยงานจะส่งผลต่อการด าเนินงานตามกรอบการปฏิบัติงานคุ้มครองเด็ก 2. แนวปฏิบัติส าหรับโครงสร้างระบบการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็ก แนวปฏิบัติส าหรับโครงสร้างระบบการคุ้มครองเด็ก ประกอบไปด้วย 4 ประการ ได้แก่ 2.1 การสนับสนุนการรายงาน เพื่อให้บุคลากรในองค์กรมีส่วนร่วมในการคุ้มครองเด็ก การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และการรับฟังปัญหาของกลุ่มฝ่ายต่างๆ โดยยึดหลักการท างานแบบมืออาชีพและค านึงถึงผลประโยชน์ของเด็กเป็นส าคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของผู้บริหารในองค์กรที่ต้องมีภาวะความเป็นผู้น าและเป็นต้นแบบในการสอดส่องดูแล ตรวจสอบ และให้ความช่วยเหลือแก่บุคลากรในสังกัดของตนเอง อีกทั้งมีการสนับสนุนให้เกิดเป็นกระบวนการคุ้มครองเด็ก การสร้าง บรรยากาศที่เอื้อต่อการพูดคุยอย่างเปิดเผย และการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยต้องยึดประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นส าคัญ 2.2 การประเมินบุคลากร โดยประเด็นการคุ้มครองเด็กควรเป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดในการประเมินบุคลากร เพื่อ เปิดโอกาสให้บุคลากรได้น าข้อแนะน าไปปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดีมากยิ่งขึ้น 2.3 การประเมินหน่วยงาน ประเด็นการคุ้มครองเด็กควรเป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดในการประเมินสถานรองรับเด็ก ทั้งจากภายนอกและภายใน เพื่อให้ติดตามผลการด าเนินงานความก้าวหน้าตามนโยบายหรือแผนงานที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ 2.4 การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็ก ควรได้รับการแต่งตั้งจากผู้ปกครองหรือผู้อ านวยการของสถานรองรับเด็ก โดยการแต่งตั้งต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส ยึดผู้สมัครที่ครบถ้วนตามคุณสมบัติ และการสนับสนุนด้านการฝึกอบรม ทัศนคติ และการก ากับดูแลแก่เจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กอย่างต่อเนื่องและไม่ละเลยการก ากับดูแลเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็ก 3. แนวทางการปฏิบัติหน้าที่ตามข้อปฏิบัติต่อเด็กของสถานรองรับเด็ก ข้อปฏิบัติต่อเด็กของสถานรองรับเด็ก มีการชี้แจงถึงความมุ่งมาดในด้านการคุ้มครองสิทธิเด็กและปกป้องเด็กจากการ ถูกใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ซึ่งบุคคลต้องยินยอมและกระท าตามข้อปฏิบัติต่อเด็กนี้ โดยจ าแนกออกเป็น 3 หัวข้อ ได้แก่ หัวข้อที่ ก. บุคลากรในสถานรองรับเด็กและบุคคลอื่นจะต้องไม่กระท าดังต่อไปนี้โดยเด็ดขาด ซึ่งมีความสอดคล้องกับ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26 หัวข้อที่ ข. บุคลากรในสถานรองรับเด็กและบุคคลอื่นจะต้องด าเนินการให้ ปลอดภัยต่อเด็กตามกรอบการปฏิบัติงานการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็กของกรมกิจการเด็กและเยาวชน ซึ่งมีความสอดคล้อง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 103 กับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 22, 24, 27, 28 และ 29 และหัวข้อที่ ค. บุคลากรในสถานรองรับเด็กและ บุคคลอื่นจะต้องด าเนินการต่อการละเมิดฝ่าฝืนข้อปฏิบัติต่อเด็ก ซึ่งมีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 หมวด 9 บทก าหนดโทษ ในด้านการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในฐานะผู้เสียหาย และการด าเนินการทางกฎหมาย กับผู้กระท าความเสียหายหรือสงสัยว่ากระท าความผิดต่อเด็ก หากมีหลักฐานประจักษ์พยาน จะมีการด าเนินการตาม กระบวนการทางกฎหมายต่อไป เพื่อมุ่งให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อเด็กเป็นส าคัญ 4. แนวปฏิบัติในการเสนอข้อมูลของเด็กแก่สื่อและบุคคลภายนอก พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 27 ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือ สื่อสารสนเทศประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนาที่จะท าให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ส าหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการน าเสนออย่างถูกต้องผ่านทางภาพและบทความ การน าเสนอเด็กหน่วยงานต้อง ไม่เป็นการชี้น าไม่ว่าจะทางใด โดยทุกการถ่ายทอดข้อมูลของเด็กสู่ภายนอกต้องค านึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่คงไว้ ซึ่งเอกลักษณ์และเกียรติภูมิของเด็ก อีกทั้งต้องได้รับความยินยอมจากเด็กก่อน เนื่องเพราะการน าข้อมูลเด็กไปจัดแสดงไม่ว่าจะ สื่อสารมวลชนรูปแบบใด จะน าไปสู่การเป็นตราประทับระดับปัจเจกบุคคลทางดิจิทัล (Digital Footprint) โดยข้อมูลของเด็ก ที่ถูกจัดแสดงทางดิจิทัลจะไม่สามารถลบให้หายไปจากระบบดิจิทัลได้ และเมื่อเด็กเติบโตต่อไปอาจท าให้เกิดความเสียหายต่อ ภาพลักษณ์หรือการด าเนินชีวิตประจ าวันได้ การสื่อสารในปัจจุบันมีความรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและสารสนเทศ ส่งผลให้การน าเสนอชุดข้อมูลของเด็ก หรือการน าข้อมูลไปจัดแสดง เจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กในหน่วยงานต้องให้สื่อมวลชนลง นามในแบบฟอร์มแนวปฏิบัติในการท างานกับสื่อ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการน าเสนอข้อมูลเด็กเกินกว่าเหตุ และน าไปสู่ความเข้าใจ ทางสังคมที่คลาดเคลื่อนได้ อีกทั้งสื่อมวลชนต้องยึดหลักการและจรรยาบรรณของสื่อมวลชนในการน าเสนอชุดข้อมูลหรือ การน าข้อมูลไปจัดแสดงอย่างเหมาะสม และต้องค านึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นส าคัญ 5. แนวปฏิบัติเกี่ยวกับผลสืบเนื่องจากการกระท าความผิดและการด าเนินการ หากมีการแจ้งเหตุหรือได้รับเหตุ กรณีที่มีบุคคลละเมิดกรอบการปฏิบัติงานการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็ก ซึ่งมีแหล่งยืนยันตรวจสอบได้ถึงข้อกล่าวหาต่อบุคคลดังกล่าว โดยบุคคลนั้นอาจต้องพักการปฏิบัติงานจนกว่ากระบวนการ ตรวจสอบจะเสร็จสิ้น ซึ่งยังคงได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างตามสิทธิ์ในระหว่างนี้ และเมื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว และบุคคลนั้นมีความผิดจริง หน่วยงานต้องด าเนินการตามวินัยโดยทันที รวมถึงการด าเนินการอื่นใดที่เห็นว่าเหมาะสมกับ สถานการณ์ อาทิ ในกรณีของอาสาสมัครหรือนักศึกษาฝึกงาน ให้ยุติการปฏิบัติงานและรายงานต่อหน่วยงานต้นสังกัด เป็นต้น 6. การปฏิบัติตามกรอบการปฏิบัติงานการคุ้มครองเด็กและขั้นตอนการปฏิบัติในการคุ้มครองเด็ก บุคลากรในสถานรองรับเด็กต้องมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามขั้นตอนตามกรอบการปฏิบัติงานการคุ้มครอง เด็กในสถานรองรับเด็ก ได้แก่ 1) ความรับผิดชอบในการแจ้งเหตุเมื่อมีการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก หรือต่อเจ้าหน้าที่ 2)ความสามารถ ในการเข้าถึงกรอบการปฏิบัติงานการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็กได้ตลอดเวลา 3) เด็กทุกคนต้องได้รับความรู้ในเรื่อง การคุ้มครองเด็กและกรอบการปฏิบัติงานการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็ก โดยมีการจัดท ากรอบการปฏิบัติงาน การคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็กที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึง อ่าน หรือท าความเข้าใจได้โดยง่าย รวมถึงหมายเลขโทรศัพท์ ฉุกเฉินทุกรูปแบบ 4) บุคลากรทุกคนต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ฯลฯ 5) บุคลากรทุกคนต้องลงนามและ ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติต่อเด็กโดยเคร่งครัด 6) มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีที่มีการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก และ 7) ได้รับความรู้ เพิ่มประสิทธิภาพการท างาน และได้รับการส่งเสริมศักยภาพในการปฏิบัติงานเป็นประจ าอย่างต่อเนื่อง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 104 ในการด าเนินงานด้านการขับเคลื่อนงานเพื่อการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในสถานรองรับ การปฏิบัติงานภายในส่วน ขององค์กรไม่แสวงหาผลก าไร หรือ Non Governmental Organizations (NGOs) มีการขับเคลื่อนโดยการเปิดเวทีเพื่อพัฒนา ทักษะ และการเสวนาถึงข้อปฏิบัติที่เหมาะสม รวมไปถึงข้อท้าทายที่พบในการปฏิบัติงานเพื่อให้การช่วยเหลือเด็กที่อยู่ภายใต้ การดูแลของสถานรองรับ ภายใต้ชื่อโครงการ “การอบรมเพื่อพัฒนาการคุ้มครองเด็กเพื่อคืนสู่สังคม” โดยเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างภาคีนักสังคมสงเคราะห์ ผู้ดูแลเด็กในสถานรองรับของรัฐอย่างบ้านพักเด็กและครอบครัว องค์กรเอกชนมูลนิธิเพื่อเด็ก และสิทธิเด็ก และผู้ดูแลเด็กภายใต้สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน การอบรมเพื่อพัฒนาการคุ้มครองเพื่อคืนสู่สังคม มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมศักยภาพนักสังคมสงเคราะห์และผู้ที่ท างาน ในการดูแลเด็กในสถานรองรับภายใต้สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อการให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กสูงสุด รวมไปถึงการเสวนาเพื่อเสนอถึงอุปสรรคในการขับเคลื่อนงานในการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนภายใต้การดูแลของสถาน รองรับจนน ามาสู่แนวทางการปฏิบัติในการให้การดูแลคุ้มครองเด็กและเยาวชนภายใต้สถานรองรับเด็กได้อย่างเหมาะสม โดยการอบรมการปฏิบัติงานจะเน้นไปที่การปฏิบัติงานของผู้ดูแลในการค้นหาข้อเท็จจริง การประเมิน วางแผน และ การด าเนินงานในการให้ความช่วยเหลือร่วมกับทีมสหวิชาชีพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ภายใต้ การคุ้มครองของสถานรองรับได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมและเป็นไปตามการคุ้มครองของกระบวนการทางกฎหมาย การจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการตระหนักถึงความส าคัญของการคุ้มครองเด็กและเยาวชน ไม่ให้เกิดการกระท าผิดซ้ า และการเข้าไปพึ่งพิงสถานรองรับ มูลนิธิเพื่อสิทธิเด็กได้มีการจัดท าโครงการ “ชุมชนคุ้มครองเด็ก” โดยเป็นโครงการที่มุ่งเน้น ให้ชุมชน องค์กรภายในชุมชน กลุ่มจัดตั้งอิสระภายในชุมชน ผู้น าชุมชน สมาชิก รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บุคลากร ของภาครัฐและเอกชนในการให้การดูแลเด็ก เกิดความสามารถในการดูแลเด็กภายในชุมชนได้อย่างเหมาะสมและเข้าใจ ในความเป็นปัจเจกรายบุคคลของเด็ก โดยเน้นไปที่การสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งภายในชุมชน เสริมสร้างให้ชุมชนมีการท างาน และการตระหนักถึงการดูแลเด็กเละเยาวชนภายในชุมชนที่มากขึ้น การสร้างการท างานร่วมกับเด็ก ครอบครัว และชุมชน จนน ามาสู่ความปลอดภัยภายในชุมชนที่มีต่อเด็กและครอบครัว กิจกรรมอันเกิดภายใต้โครงการ ชุมชนคุ้มครองเด็ก อาทิ กิจกรรมพ่อแม่อาสาพาเด็กไปค่าย เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความอบอุ่นและเป็นกิจกรรมภายในครอบครัว ให้ครอบครัว และเด็กสามารถมีช่วงเวลาที่มีคุณภาพด้วยกัน สืบเนื่องจากชุมชนมีปัญหาที่ผู้ปกครองมักจะปล่อยให้เด็กอยู่บ้านตามล าพัง ในช่วงปิดเทอม ท าให้เด็กเกิดความเสี่ยงในการกระท าผิดเนื่องจากขาดความสม่ าเสมอในการดูแลของผู้ปกครองเนื่องจากภาระ ทางเศรษฐกิจของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถสละเวลาเพื่อบุตรได้ โดยเป็นการผู้น าชุมชนจับมือร่วมกับสมาชิกภายในชุมชนใน การสร้างกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิตให้กับเด็กในช่วงปิดเทอมที่ต้องอยู่บ้านเพียงล าพังแปรเปลี่ยนเป็นมาเข้าค่ายที่สมาชิก ภายในชุมชนที่มีความรู้ภูมิปัญญาและความสามารถในการให้ความรู้แก่เด็กในช่วงปิดเทอม อาทิ การท างานฝีมือ การสอนงาน ศิลปะ การท าอาหาร เพื่อเปิดพื้นที่ในการเรียนรู้ให้เด็กภายในชุมชนในช่วงปิดเทอมเพื่อลดความเสี่ยงของเด็กในการน าสู่ การกระท าผิดจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่เป็นผลมาจากการขาดการให้ค าแนะน าจากผู้ปกครองในช่วงปิดเทอม ผลจากการท ากิจกรรมดังกล่าว พบว่า ท าให้สมาชิกภายในชุมชนเกิดปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีการพูดคุยกันมากยิ่ง มีการแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตรวมไปถึงค าแนะน าต่อเด็กภายในชุมชนมากขึ้น เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ผู้ใหญ่เกิด ความเข้าใจในตัวเด็กและเด็กเกิดเข้าใจในความเป็นผู้ใหญ่ เด็กภายในชุมชนมีพฤติกรรมในการใช้เวลาว่างช่วงปิดภาคเรียนที่ดี ขึ้น มีการดูแลตนเอง และการให้ความร่วมมือทางด้านกิจกรรมภายในชุมชน และน ากิจกรรมภายในชุมชนมาสร้างอาชีพ เกิดรายได้เสริมภายในครอบครัวและเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจภายในชุมชน เกิดเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง ผู้ปกครอง สมาชิกภายใน ชุมชน ผู้น าชุมชน มีการสอดส่องดูแลเด็กภายในชุมชนเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน เกิดความไว้ใจซึ่งกันและกันภายในชุมชน (บทเรียนการด าเนินงานชุมชนคุ้มครองเด็ก, 2018)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 105 ข้อเสนอแนะต่อนโยบายการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็ก จากการศึกษาสถานการณ์ กรณีตัวอย่าง แนวโน้มการคืนเด็กสู่ครอบครัว และแนวทางการขับเคลื่อนงานเกี่ยวกับ แนวปฏิบัติต่อเด็กในสถานรองรับเด็ก ท าให้คณะผู้ศึกษาสามารถสรุปและจัดท าเป็นข้อเสนอแนะต่อนโยบายคุ้มครองเด็ก ในสถานรองรับเด็กได้ ดังนี้ 1. การคัดเลือกบุคลากรเข้าท างาน การเพิ่มอัตราเงินเดือน และการเลื่อนต าแหน่ง การคัดเลือกบุคลากรเข้าท างาน จ าเป็นต้องมีการตรวจสอบประวัติอย่างรอบด้าน เช่น ประวัติอาชญากรรม รวมถึงใน ปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับโรคทางจิตเวชมีส่วนส าคัญในการกระตุ้นให้มีพฤติการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก การตรวจสอบประวัติการเข้ารับ การรักษาโรคด้านจิตเวชอาจต้องมีการพิจารณาตรวจสอบพร้อมกับประวัติอาชญากรรม เพื่อมั่นใจได้ว่าเด็กจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับ เจ้าหน้าที่หรือบุคลากรในหน่วยงาน ทั้งนี้ ก าลังใจในการปฏิบัติงานย่อมส่งผลต่อคุณภาพของงาน การเพิ่มอัตราเงินเดือนประจ า ต าแหน่ง และการเลื่อนต าแหน่งจึงมีความส าคัญที่จะสร้างก าลังใจในการท างานต่อไปได้ 2. การพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ และระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บุคลากรในหน่วยงานจ าเป็นจะต้องได้รับการพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ เท่าทันต่อระเบียบและกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากในการปฏิบัติงานกับเด็กในสถานรองรับ ต้องมีการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ และการบูรณาการความรู้ และการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา การส่งเสริมให้บุคลากรในหน่วยงานได้รับการพัฒนารอบด้านอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้ 3. การปลูกฝังค่านิยมและเจตคติในการท างานกับกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชน นอกเหนือจากทักษะและองค์ความรู้ อีกสิ่งหนึ่งที่บุคลากรในหน่วยงานจ าเป็นต้องมีทุกคนคือการมีค่านิยม และเจตคติที่ดีในการท างานกับกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติงานภายใต้การเคารพศักดิ์ศรี คุณค่าความเป็นมนุษย์ สิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก และค านึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นส าคัญ เนื่องเพราะเด็กและเยาวชน เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความส าคัญในการพัฒนาประเทศชาติได้ต่อไป 4. การบังคับใช้กฎหมายและการด าเนินคดีในกรณีที่มีการละเมิดข้อปฏิบัติต่อเด็ก ในกรณีที่ตรวจสอบและพบว่ามีการละเมิดข้อปฏิบัติต่อเด็กในสถานรองรับเด็กจริง เช่น การกระท าความรุนแรง การล่วงละเมิดทุกประเภท หรือการข่มขู่หรือบังคับเด็กไม่ว่าจะประการใด ผู้ปกครองหรือผู้อ านวยการของหน่วยงานจ าเป็น จะต้องด าเนินการอย่างเด็กขาด ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย ระเบียบ และข้อปฏิบัติต่างๆ รวมถึงการด าเนินคดีตามกระบวนการ ศาล ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นกรณีศึกษาตัวอย่างให้กับบุคลากรท่านอื่น และเน้นย้ าต่อความถูกต้องในการปฏิบัติงานกับเด็ก และเยาวชนในสถานรองรับเด็กที่ว่า ต้องไม่มีเด็กคนใดที่ตกเป็นผู้ถูกกระท าความรุนแรงและเป็นบุคคลส่งต่อความรุนแรงนั้น จากรุ่นสู่รุ่น 5. การท างานแบบบูรณาการกับครอบครัว เพื่อส่งเด็กคืนสู่ครอบครัว สถาบันครอบครัวถือเป็นสถาบันที่ส าคัญที่สุดของเด็กและเยาวชน เนื่องจากเป็นสถาบันที่เด็กต้องเจอเป็นสถาบัน แรกในชีวิต ให้การดูแล อบรมเลี้ยงดู เอาใจใส่ และเป็นสถาบันหลักที่เด็กต้องพึ่งพาในยามที่ยังไม่สามารถพึ่งตนเองได้ การที่เด็กและเยาวชนเข้ามาอยู่ในสถานรองรับเด็ก นั่นหมายความว่าสถาบันครอบครัวก าลังประสบปัญหาบางประการ ที่ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือหรือดูแลเด็กได้ จึงนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งข้อท้าทายส าคัญให้กับหน่วยงานในการเข้าไปสร้าง ความเข้าใจ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น การเลี้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสมตามวัย การท าความเข้าใจวัยของเด็ก แต่ละช่วง รวมถึงการวางแผนระยะยาวร่วมกันในการดูแลเด็ก ในอีกทางหนึ่งจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและความแออัด ของสถานรองรับเด็กได้ อีกทั้งหากเด็กและเยาวชนกลับคืนสู่ครอบครัวจะท าให้เด็กและเยาวชนเป็นประชากรที่มีคุณภาพ และมีความเข้มแข็งทางจิตใจได้ต่อไป


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 106 6. การท างานแบบสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน เพื่อส่งเด็กคืนสู่ชุมชน ชุมชนก็นับได้ว่าเป็นสถาบันที่มีความส าคัญในการสอดส่อง เฝ้าระวัง หรือให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ในกรณีที่เด็กและเยาวชนประสบปัญหา แต่เนื่องด้วยค่านิยมบางประการ ท าให้บางชุมชนอาจมีความเข้าใจต่อเด็กและเยาวชน ที่แตกต่างกัน การสร้างความเข้าใจหรือการสื่อสารในชุมชน จึงมีความส าคัญที่ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปมีบทบาท ในการเป็นตัวเชื่อมส าคัญให้เด็กและเยาวชน สถาบันครอบครัว และสถาบันชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการด าเนินงาน เช่น การให้ชุมชนมีส่วนในการตัดสินใจหรือร่วมวางแผนการให้ความช่วยเหลือเด็กที่จะกลับคืนสู่ครอบครัว เพื่อให้มีการเตรียม ความพร้อมของชุมชน ครอบครัว และตัวเด็กก่อนกลับคืนสู่ครอบครัว เพื่อให้เด็กสามารถอยู่กับครอบครัวและชุมชนได้ รวมทั้งการลดความเสี่ยงที่จะกลับเข้าไปยังสถานรองรับเด็กอีกในอนาคต 7. การประชาสัมพันธ์ให้กับภายนอกได้รับรู้ถึงนโยบาย แนวทางการด าเนินงาน และข้อปฏิบัติต่อเด็ก การด าเนินงานด้านการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็กยังถือได้ว่าการสื่อสารสาธารณะน้อย ประชาชนบางส่วน ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็กต่างๆ ดังนั้น หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับส่วนกลางและภูมิภาค จ าเป็นจะต้องเร่งสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมทางสังคม เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับหน่วยงานในการประชาสัมพันธ์การด าเนินงานด้านการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในสถานรองรับ เด็ก รวมถึงเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันของสังคมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างค่านิยมใหม่ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการด าเนินงาน ของหน่วยงาน ทั้งนี้ การประชาสัมพันธ์ชุดความรู้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ประชาชนทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการช่วย คุ้มครองเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็กได้ เพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่ส าหรับคนทุกช่วงวัย บทสรุป สถานการณ์เด็กและเยาวชนในปัจจุบันพบว่า เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเปราะบางทางสังคมที่ก าลังเผชิญกับ วิกฤติการณ์ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตัวเด็กโดยตรง เช่น ความรุนแรงในโรงเรียนซึ่งสาเหตุเกิดจาก การถูกกลั่นแกล้งทางวาจา (Bullying) ความรุนแรงทางสังคมที่พารากอน อันเกิดมาจากความเครียดและกดดันของเด็ก รวมถึงพฤติกรรมลอกเลียนแบบ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่หน่วยงานทุกภาคส่วนจ าเป็นจะต้อง เร่งสร้างกระบวนการหรือระบบในการแก้ไข หนึ่งในนั้น คือ การคืนเด็กสู่ครอบครัว โดยใช้สถาบันหลักของเด็กในการช่วย ประคับประคองและให้เด็กได้อยู่ในความดูแลของครอบครัว เพราะสิ่งส าคัญที่สุดคือเด็กจะได้รับความอบอุ่นและความรัก จากครอบครัวเป็นแรงผลักดันในการด าเนินชีวิตต่อไปได้ ในด้านของการท างานกับเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็ก ประเทศไทยได้มีการขับเคลื่อนตามกรอบการปฏิบัติงานและข้อปฏิบัติต่อเด็กที่เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็กได้รับความคุ้มครองตามระเบียบ กฎหมาย อนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งภาพรวม จากการศึกษาทั้งหมด คณะผู้ศึกษาสามารถสรุปและจัดท าเป็นข้อเสนอแนะต่อนโยบายการคุ้มครองเด็กในสถานรองรับเด็ก ได้แก่ 1. การคัดเลือกบุคลากรเข้าท างาน การเพิ่มอัตราเงินเดือน และการเลื่อนต าแหน่ง 2. การพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ และระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3. การปลูกฝังค่านิยมและเจตคติในการท างานกับกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชน 4. การบังคับใช้กฎหมายและการด าเนินคดีในกรณีที่มีการละเมิดข้อปฏิบัติต่อเด็ก 5. การท างานแบบบูรณาการกับครอบครัว เพื่อส่งเด็กคืนสู่ครอบครัว 6. การท างานแบบสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน เพื่อส่งเด็กคืนสู่ชุมชน และ 7. การประชาสัมพันธ์ ให้กับภายนอกได้รับรู้ถึงนโยบาย แนวทางการด าเนินงาน และข้อปฏิบัติต่อเด็ก ทั้งนี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะ ดังกล่าวไปปรับใช้หรือปรับปรุงตามระบบการปฏิบัติงานได้ รวมถึงผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ดูแลเด็กทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปฏิบัติงานและผู้ดูแลในสถานรองรับเด็กน าข้อเสนอแนะดังกล่าวไปปฏิบัติใช้ในการท างานกับเด็กที่อยู่ในสถานรองรับเด็กได้ โดยสมบูรณ์ จะสามารถช่วยให้ระบบการท างานคุ้มครองเด็กในประเทศไทยมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น สามารถส่งเด็กกลับคืนสู่ ครอบครัวได้ จากการไม่กระตุ้นสร้างสภาพแวดล้อมเชิงลบภายในสถานรองรับเด็ก การเสริมสร้างพลังอ านาจจากภายในสู่


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 107 ภายนอกของตัวเด็ก และอาจหมายรวมได้ถึงกระบวนการให้ความช่วยเหลือเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถส่งต่อเด็กให้ ได้รับการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที จะช่วยให้เด็กได้รับความยุติธรรม ความคุ้มครอง และการเคารพในศักดิ์ศรีคุณค่า ความเป็นมนุษย์ อีกทั้งได้รับการค านึงถึงผลประโยชน์ของเด็กเป็นส าคัญ เนื่องเพราะเด็กและเยาวชนคือทรัพยากรมนุษย์ ที่ส าคัญในการพัฒนาประเทศและช่วยสร้างสังคมไทยให้น่าอยู่มากขึ้นต่อไปได้ในอนาคตอันใกล้นี้เด็กและเยาวชนจึงต้องได้รับ ความส าคัญในการส่งเสริม พัฒนา คุ้มครอง และช่วยสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจต่อเด็กทุกช่วงวัย ให้สามารถด าเนินชีวิตได้ อย่างปกติสุขได้ เอกสารอ้างอิง กรมกิจการเด็กและเยาวชน และคณะ. (2564). การศึกษาทบทวนบริการด้านการเลี้ยงดูทดแทนในพื้นที่ที่มีเด็กเคลื่อนย้ายสูง: กรณีศึกษาสังขละบุรี. กัณฐมณี ลดาพงษ์พัฒนา และคณะ. (2566). เด็กโตนอกบ้านในสถานที่ไม่มีใครเห็น. สืบค้นจาก https://www.unicef.org/thailand/th/reports มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก. (2561). บทเรียนการด าเนินงานชุมชนคุ้มครองเด็ก. สืบค้นจาก https://www.thaichildrights.org/multimedia/community-protection/ Anne, E. Casey Foundation. (2020). At Onset of the COVID-19 Pandemic, Dramatic and Rapid Reductions in Youth Detention. Retrieved from https://www.aecf.org/blog/at-onset-of-the-covid-19-pandemicdramatic-and-rapid-reductions-in-youth-de Kate, Burdick. (2016). What the ‘Every Student Succeeds Act’ Means for Youth in and Returning from the Juvenile Justice System. U.S. Department of Labor and U.S. Department of Education. (2017). Supporting the Educational and Career Success of Justice-Involved Youth under the Workforce Innovation and Opportunity Act (WIOA).


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 108 การน าเสนอผลงานวิชาการ เรื่อง การพิทักษ์สิทธิ์บุคคล กลุ่ม ชุมชน: บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 109 การศึกษากระบวนการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิบุคคลไร้รัฐ1 กรณีศึกษาบุคคลไร้รัฐที่เข้าสู่กระบวนการการมีสถานะบุคคล A Study of the Process of Empowerment and Advocacy of Stateless Persons Case Study of Stateless Persons Entering Process The Status of a Legal Person ประตินันท์นวัธภร2 Pratinan Nawattapon3 พัชชา เจิงกลิ่นจันทร4 Patcha Jeungklinchan5 Abstract The study aimed to study the process of empowerment and advocacy of stateless persons and to propose ways to empowerment and advocacy of stateless persons entering the status of a legal person, qualitative research methods were used as a guideline to conduct studies to collect data from interviews among stateless persons who are entering the status of a legal person and who have undergone the process total 10 people. The study found that stateless individuals have a four-step process of empowering themselves and others. These include: 1) self-awareness, 2) rational and effectual deliberation, 3) learning and practice, and 4) maintaining behavior. The recommendation of the study is to contribute to solving the problem of statelessness in society of all sectors. Keywords: Stateless persons, Empowerment, Advocacy บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิบุคคลไร้รัฐ และเพื่อเสนอแนว ทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิแก่บุคคลไร้รัฐที่เข้าสู่กระบวนการการมีสถานะบุคคล เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การ สัมภาษณ์เป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลในกลุ่มบุคคลไร้รัฐที่อยู่ในกระบวนการการมีสถานะบุคคลและผู้ที่ผ่านกระบวนการจ านวน 10 คน โดยผลการศึกษาพบ บุคคลไร้รัฐมีกระบวนการเสริมพลังอ านาจในตนเองและผู้อื่น 4 ขั้นตอน ดังนี้1) การรู้จักตนเอง 2) การไต่ตรองเหตุและผล 3) การเรียนรู้และปฏิบัติ และ 4) การคงไว้ซึ่งพฤติกรรม และมีข้อเสนอแนวทางในการพัฒนา ตนเอง และปกป้องสิทธิของผู้อื่นด้วยการมีส่วนร่วมทางสังคม ข้อเสนอแนะในการศึกษา คือ การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ความไร้รัฐในสังคมของทุกภาคส่วน ค าส าคัญ: บุคคลไร้รัฐ, กระบวนการเสริมพลังอ านาจ, การพิทักษ์สิทธิ 1 บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2565 2 นักศึกษาสังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 3 Master of Social Work Student, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 4 อาจารย์ ดร., อาจารย์ประจ าภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 5 Dr., Lecturer in Department of Social Work, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 110 บทน า รากฐานส าคัญของความเป็นมนุษย์ คือการมีสิทธิมนุษยชน กล่าวคือ ไม่ว่าเราจะเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน บนโลกใบนี้ เราทุกคนจ าเป็นที่จะต้องมีสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ไม่มีใครพรากไปจากเราได้ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงควรได้รับ การคุ้มครองภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน (Amnesty International, 2561) จากข้อมูลสถิติของส านักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ปี2563 พบว่ามีบุคคล ไร้รัฐ จ านวน กว่า 4.2 ล้านคน ใน 94 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันประเทศไทยมีบุคคลไร้รัฐ กว่า 9.7 แสนคน (ส านักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2566) โดยเชื่อว่าจ านวนที่แท้จริงนั้นสูงกว่านี้อีกมาก เนื่องจากหลายประเทศยังไม่มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ ภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ และมิได้ให้ความส าคัญในการแก้ไขปัญหาการไร้รัฐไร้สัญชาติเท่าที่ควร (The UN Refugee Agency, 2565) การมีอยู่ของบุคคลไร้รัฐ ในประเทศจึงยังเป็นประเด็นที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะนอกจากจะเป็นการละเมิด สิทธิมนุษยชนแล้ว ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่ การด ารงชีพ และการเข้าถึงสิทธิและโอกาสต่างๆ เพราะ การไม่ได้รับสิทธิในสวัสดิการใดๆ ที่รัฐก าหนด ทั้งยังส่งผลกระทบในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมิติด้านสังคม พบว่า การเป็นบุคคล ไร้รัฐ มีโอกาสที่จะเกิดความเหลื่อมล้ าทางสังคมมากกว่าชนชั้นส่งผลให้บุคคลไร้รัฐ กลายเป็น “ผู้ไม่มีตัวตน” และมักไม่ถูก กล่าวถึง รวมถึงการไม่ถูกนับรวม แม้กระทั้งการส ารวจส ามโนประชากรของประเทศนั้นๆ (มานะ งามเนตร์, 2563) ทั้งด้าน สุขภาพที่เห็นได้ชัดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เนื่องจากการที่ไม่ถูกรวมว่าเป็นพลเมืองท าให้ บุคคลเหล่านี้ตกหล่น หรือเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้รับความสนใจในการให้ความช่วยเหลือ หรือการเข้าถึงทรัพยากร ในมิติด้านเศรษฐกิจ พบว่าบุคคลไร้รัฐถูกจ ากัดในเรื่องสิทธิการประกอบอาชีพมีข้อจ ากัดมากมายในการ จ้างงาน บุคคลไร้รัฐ ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ าทางคุณภาพชีวิต มิติของสิทธิพลเมืองและ การเมือง เช่น การถูกจ ากัดเสรีภาพในการเดินทางจากความไม่ชัดเจนของข้อกฎหมายและวิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ และ การขาดการมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งท าให้เสียงของบุคคลไร้รัฐที่เบาอยู่แล้วเบาลงกว่าเดิม รวมถึงมิติด้านความมั่นคง ภาวะ ไร้รัฐไร้สัญชาติอาจน าไปสู่ความขัดแย้งกับกลุ่มคนที่มีเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม และความเชื่อที่แตกต่างกันได้ในที่สุด นอกจากปัญหาดังกล่าวข้างต้นแล้ว บุคคลไร้รัฐยังมีความเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์ ในรูปแบบต่างๆ ทั้งยังขาด การคุ้มครองทางสังคม ซึ่งส่งผลให้บุคคลไร้รัฐเป็นผู้มีความเปราะบางด้วยเช่นกัน (กฤษฎา บุญราช, 2560) อย่างไรก็ตามการที่บุคคลไร้รัฐจะสามารถเข้าสู่กระบวนการการมีสถานะบุคคลจ าเป็นต้องมีพลังอ านาจเพื่อพิทักษ์ สิทธิของตนเองและครอบครัว เพราะขั้นตอนการมีสถานะบุคคลนั้นมีอุปสรรคนานัปการ ทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะถูกแสวงหา ผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลา และเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษย์ชน หากจะผ่านกระบวนเหล่านี้ไปได้ บุคคลไร้รัฐจะต้องเป็นผู้ มีพลังอ านาจในการพิทักษ์สิทธิทั้งตนเองและผู้อื่น ผู้ศึกษาจึงสนใจถึงกระบวนการเสริมพลังอ านาจในตนเอง และการพิทักษ์ สิทธิของบุคคลไร้รัฐ เพื่อให้เข้าใจถึงกระบวนการเสริมพลังอ านาจโดยตนเองที่เกิดขึ้นว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีสิ่งใดบ้างที่เป็น ส่วนช่วยเสริม เกื้อหนุน สนับสนุนให้กระบวนการเสริมสร้างพลังอ านาจนี้มีอยู่ ตลอดจนเกิดการพิทักษ์สิทธิทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และผู้อื่นในสังคม ทั้งนี้นอกเหนือจากการศึกษากระบวนการเสริมสร้างพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิของบุคคลไร้รัฐ แล้ว ยังสามารถน าผลที่ได้มาพัฒนาการให้บริการสังคมสงเคราะห์ในระดับจุลภาค อันจะเป็นประโยชน์ต่อไปในการพัฒนางาน สังคมสงเคราะห์ในระดับต่อๆ ไป ด้วย วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อศึกษากระบวนการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิบุคคลไร้รัฐ กรณีศึกษา บุคคลไร้รัฐที่เข้าสู่กระบวนการการมี สถานะบุคคล และเพื่อเสนอแนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิแก่บุคคลไร้รัฐที่เข้าสู่กระบวนการการมีสถานะบุคคล


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 111 ทบทวนวรรณกรรม ผู้ศึกษาได้ใช้แนวคิดทฤษฎีและข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งท าให้ผู้ศึกษามีแนวทางที่ชัดเจนในการศึกษา ครั้งนี้มากขึ้น โดยผู้ศึกษาได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับบุคคลไร้รัฐ ปัญหาบุคคลไร้รัฐ เป็นสิ่งที่ปรากฎในหน้าประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า “ชนก าพร้าโลก” (The World’s Orphans) และ ชนกลุ่มนี้มักถูกมองข้าม เนื่องจากมีถิ่นที่อยู่ในแบบกระจายตัวในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล และเข้าถึงได้ ยาก ท าให้ประเด็นของบุคคลไร้รัฐ อยู่ห่างไกลจากความสนใจของผู้คนไปด้วย จนน าไปสู่การมองข้าม และการละเลยในที่สุด (จันทรา ธนะวงศ์, 2553) ส าหรับประเทศไทยได้นิยามการไร้รัฐไร้สัญชาติออกเป็นสองค า ดังนี้ “บุคคลไร้รัฐ” (Stateless persons) หมายถึง คนที่ไม่ถูกบันทึกรายการบุคคลในทะเบียนราษฎรของรัฐใดเลยบนโลกและ “บุคคลไร้สัญชาติ” (Nationality less persons) หมายถึง คนที่ไม่ได้รับการบันทึกในสถานะคนถือสัญชาติของรัฐใดเลยบนโลก กล่าวคือ ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนชาติของ รัฐใดเลย (พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร, 2565) แนวคิดทฤษฎีการเสริมพลังอ านาจ ผู้ศึกษาได้เลือกใช้กระบวนการเสริมพลังอ านาจของ Gibson ดังนี้ พลังอ านาจของบุคคลเกิดจากอิทธิพลภายในตัว บุคคลเอง กล่าวคือพลังอ านาจเกิดจากการมีความคิด ความเชื่อ ค่านิยม การนับถือตนเอง การมีเป้าหมายในชีวิต หมายรวมถึง ประสบการณ์ชีวิต และความต้องการการช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหา โดยกระบวนการสร้างพลังอ านาจด้วยตนเอง มีอยู่ 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ความสามารถในการค้นพบความจริง การรู้จักตนเอง 2) ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ถึงเห็นและผลอย่างเชื่อมโยง 3) ความสามารถในการตัดสินใจก าหนดเส้นทาง การมีทางเลือก แนวทาง หนทางแก้ไขอย่าง ถูกต้องและเหมาะสม และ 4) ความสามารถในการด ารงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่เหมาะสม (Gibson, 1991) แนวคิดทฤษฎีการพิทักษ์สิทธิ การพิทักษ์สิทธิเป็นกระบวนการเชื่อมโยงกับการเสริมพลังอ านาจ กล่าวคือ เมื่อได้รับการเสริมพลังอ านาจแล้ว บุคคลต่างมีความเข้าใจถึงอิทธิพล/ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อตนเอง สามารถเชื่อมโยงตนเองเข้าสู่สังคมได้ เกิดการมองสังคมอย่าง มีความหวัง และมุ่งหวังอยากเป็นส่วนหนึ่งในการจัดระเบียบสังคม จนถึงการเคลื่อนไหวทางสังคม หรือการเคลื่อนไหวรวมตัว เพื่อมุ่งสู่การปลดปล่อยไปสู่เรื่องสิทธิ ความเสมอภาคและการด ารงไว้ซึ่งความเป็นธรรมของสังคม การเคลื่อนตัวทางความคิด ดังกล่าวก่อเกิดเป็นการพิทักษ์สิทธิในท้ายที่สุด (อภิญญา เวชยชัย, 2557) และการพิทักษ์สิทธิเป็นการกระท าหรือกระบวนการ ปกป้อง (Defending) หรือสนับสนุนในด้านความคิดเห็น และการโต้แย้งเหตุแห่งปัญหา (วรรณลักษณ์ เมียนเกิด, 2544)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 112 กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theoretical Framework) ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theoretical Framework) วิธีการศึกษา ผู้ศึกษาเลือกวิธีการศึกษาเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) โดยรายละเอียดของวิธีการด าเนินการศึกษา ประกอบด้วย 1. วิธีการศึกษา ประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้ (1) การศึกษาจากเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Documentary Study) เพื่อท าความเข้าใจ การอธิบายข้อสงสัยต่างๆ และ (2) การศึกษาจากภาคสนาม (Field Study) เป็นการศึกษาโดยเก็บ รวบรวมข้อมูลปรากฎการณ์จริงจากภาคสนาม 2. ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง โดยการศึกษาในครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบเฉพาะเจาะจงในกลุ่มบุคคลไร้รัฐ ที่ไม่ได้รับ การพิจารณาให้เป็นคนชาติ ซึ่งอาศัยอยู่ในอ าเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี โดยบุคคลไร้รัฐ หมายรวมถึง ผู้ที่เข้าสู่กระบวนการ การมีสถานะบุคคลมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเคยเข้าสู่กระบวนการมีสานะบุคคลและผ่านกระบวนการมาแล้ว จ านวน 10 คน โดยการศึกษาในครั้งนี้ มีประชากร/กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ดังนี้ (1) เป็นบุคคลที่เคยเป็นบุคคล ไร้รัฐ และผ่าน กระบวนการการมีสถานะบุคคล จ านวน 5 คน และ (2) เป็นบุคคลไร้รัฐที่เข้าสู่กระบวนการการมีสถานะบุคคลมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 1 ปี จ านวน 5 คน 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผ่านการใช้แนวค าถามในการสัมภาษณ์ แบบปลายเปิด ดังนี้ ส่วนที่ 1 คุณลักษณะทั่วไปของประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ส่วนที่ 2 ประสบการณ์ชีวิตจากความไร้รัฐ ส่วนที่ 3 กระบวนการเสริมพลังอ านาจและการพิทักษ์สิทธิ และส่วนที่ 4 ข้อเสนอแนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิบุคคล ไร้รัฐ กระบวนการเสริมพลังอ านาจ และการพิทักษ์สิทธิ 1. การรับรู้ตัวตน การก2. ไตร่ตรองเหตุและผล การก3. เรียนรู้และปฏิบัติ การก4. การคงไว้ซึ่งพฤติกรรม การก ปัจจัยในตนเอง 2. ความเชื่อ 1. ค่านิยม 4. ประสบการณ์ 3. เป้าหมาย กระบวนการการมีสถานะบุคคล 3. การปฏิบัติการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องปากค า 1. การสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูล 2. การรับรองบุคคลในการสอบสวนปากค า 4. การขอเพิ่มชื่อในทะเบียน การก ปัจจัยระหว่างบุคคล 1. การสนับสนุน 2. ความสัมพันธ์ 3. ความร่วมมือ แนวทางการเสริมพลังอ านาจและการพิทักษ์สิทธิ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 113 4. การวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการท าความเข้าใจประสบการณ์การเชื่อมโยง ระหว่างข้อมูลจากการสัมภาษณ์กับแนวคิด โดยมีวิธีการในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1) พิจารณาท าความเข้าใจข้อมูล 2) สรุป ข้อมูลให้เหลือเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้อง การค้นหาข้อความส าคัญ 3) การก าหนดประเด็นส าคัญ และจัดหมวดหมู่ความสัมพันธ์ 4) การค้นหาความเชื่อมโยงของประเด็นที่เกิดขึ้น และ 5) สรุปข้อค้นพบจากการวิเคราะห์ โดยสรุปสาระส าคัญจากประเด็น หลักสู่ประเด็นย่อยอย่างละเอียด 5. การน าเสนอผลการศึกษา โดยวิธีการเสนอข้อมูลเชิงพรรณา (Analysis Descriptive) ควบคู่กับการตีความ การศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร ตามกรอบแนวคิดการศึกษา 6. ผู้ศึกษาได้มีการก าหนดกรอบจริยธรรมในการวิจัย โดยค านึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน ความเคารพในตัวบุคคล ศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ การให้ความส าคัญและความเท่าเทียม โดยยึดหลักความถูกต้อง และความเหมาะสม และ มีขั้นตอนในการให้ค ายินยอมโดยการแสดงใบยินยอม เพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูลอย่างเป็นทางการ ตลอดจนการให้ส าคัญใน การให้ความอิสระในการให้ข้อมูล การมีสิทธิตอบหรือไม่ตอบค าถาม และต้องท าการศึกษาภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคลร่วมด้วย สรุปผลการศึกษา จากการศึกษาสามารถแบ่งเนื้อหาของผลการศึกษาและอภิปรายผลออกเป็น 2 ส่วน ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียดที่ส าคัญ ดังนี้ ส่วนที่ 1 กระบวนการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิบุคคลไร้รัฐ กระบวนการเสริมพลังอ านาจและการพิทักษ์สิทธิของบุคคลไร้รัฐที่เข้าสู่กระบวนการการมีสถานะบุคคล ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ การเสริมพลังอ านาจขั้นที่ 1: การรับรู้ตัวตน การรับรู้ตัวตน คือ การท าความเข้าใจในคุณลักษณะของการเป็นบุคคลไร้รัฐ ความเป็นมาของตนเอง และข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นของตนเอง และการท าความเข้าใจปัญหา สาเหตุแห่งปัญหาของการเป็นบุคคลไร้รัฐ รวมถึงการท าความเข้าใจถึง แรงจูงใจ และสิ่งผลักดันในการเข้าสู่กระบวนการการมีสถานะบุคคล โดยมีการรู้จักตนเอง ผ่าน 4 ปัจจัยภายในตัวบุคคลที่ เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการรู้จักตนเอง ดังนี้ 1. ค่านิยม หมายถึง การนิยามความหมายและการให้คุณค่าตนเองใน 3 ลักษณะ ดังนี้ การรับรู้ตัวตนในฐานะบุคคลที่ไม่เท่ากับพลเมืองในประเทศ การรับรู้ว่าตนเองขาดซึ่งสิทธิและสถานะ ขาดโอกาส ในการเข้าถึงทรัพยากรในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และการไม่ได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกับพลเมือง ดังเช่นสัมภาษณ์ที่ว่า “...เราเหมือนคนไม่มีตัวตน ไม่มีเอกสาร หลักฐาน ไม่มีอะไร ไม่มีสิทธิอะไร เราไม่เหมือนคนอื่นเค้า ใช้ชีวิตล าบาก ล าบากไปหมด ไม่เหมือนคนอื่นเขา แล้วเราจะท ายังไงหล่ะ เราจะมีสิทธิเท่าเขา เราเองก็อยากมีนะ ใครอยากเกิดมาแบบนี้ ไม่มี...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 6) การรับรู้ตัวตนลักษณะที่สอง การรับรู้ตัวตนในฐานะบุคคลที่ยอมรับการถูกจ ากัดสิทธิ ซึ่งการถูกจ ากัดสิทธิ หรือ ข้อจ ากัดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นปัญหาหรืออุปสรรคในการด าเนินชีวิต มีการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่เรียกว่า “การยอมรับ สถานการณ์” เกิดการปรับตัวให้เข้ากับโครงสร้างทางสังคม การใช้ชีวิตท่ามกลางกฎเกณฑ์ภายใต้ข้อจ ากัด มากมาย จนก่อให้เกิดความหวาดกลัว และเกิดเป็นพฤติกรรมหลีกเลี่ยงในสิ่งที่กดทับไว้ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกอันไม่เป็นสุข อันเป็นผล มาจากสภาพการณ์ของตนเอง ดังเช่นสัมภาษณ์ที่ว่า


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 114 “...คนไม่มีสัญชาติ ไม่ได้มีสถานะทางทะเบียน ในเรื่องของความต่าง เราคิดว่าต่างไม่ต่างมากนะ เราเกิดที่นี้เรียน ที่นี้ เราพูดไทย เขียนไทยได้ เราก็อยู่กับเพื่อนๆ เวลาไปเรียนเราก็เลือกเรียนที่ใกล้ๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ออกพื้นที่ตอนไปเรียน ที่ต่างอ าเภอก็ท าเรื่องออกไป แต่เราไม่เคยออกไปแบบไม่ขอนะ เราก็กลัวนะ...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 3) การรับรู้ตัวตนลักษณะที่สาม การรับรู้ตัวตนที่ไม่แตกต่างจากพลเมืองในประเทศ แม้จะมีข้อก าหนดต่างๆ แต่พวก เขาเหล่านี้ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจ าวัน โดยมีความเชื่อมั่นว่าตนเองนั้นมีวิถีชีวิต เช่นเดียวกับ พลเมือง แต่จะต่างกันตรงที่ตนไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนเช่นเดียวกับพลเมือง นัยว่าบัตรและเอกสารเป็นกลไกหนึ่งในการด ารง ไว้ซึ่งความเป็นอื่นด้วย ดังเช่นสัมภาษณ์ที่ว่า “...เราแค่ไม่มีหลักฐานเอกสาร ไม่มีบัตร แต่เราคิดว่าเราเหมือนคนไทยนะ เราเกิดที่นี้ เป็นคนไทยคนหนึ่ง ไม่ต่าง จากคนที่มีบัตร ความรับรู้เรามันเหมือนกันเลย เรารักประเทศนี้ เราอาศัยอยู่ แล้วก็มีใจรักในประเทศ...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่าน ที่ 7) สรุปได้ว่า การรับรู้ตัวตนทั้ง 3 ลักษณะที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการนิยามความหมายและการให้คุณค่าตนเอง ใน บุคคลไร้รัฐ โดยการนิยามและการให้ความหมายที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลมาจากประสบการณ์และความเป็นมา ที่แตกต่างกันไปใน แต่ละบุคคลจึงเกิดการรับรู้และการสร้างนิยามให้กับตนเองในความหมายที่ต่างกัน 2. ความเชื่อ หมายถึง สิ่งสนับสนุนให้เกิดความสามารถในการจัดการกับปัญหา การมีความมั่นใจ เชื่อมั่น ในสิ่งที่หวัง ส่งผลต่อการแสวงหาวิธี แนวทางต่างๆ เพื่อให้ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น โดยสามารถจ าแนกความเชื่อที่เกิดขึ้น ใน 3 ลักษณะดังนี้ ลักษณะแรก ความเชื่อมั่นในข้อเท็จจริง ศักยภาพ และสมรรถนะของตนเอง ทั้งจากเอกสาร พยาน หลักฐาน ต่างๆ ของตนเองนั้นว่ามีน้ าหนักมากพอในการมีสถานะบุคคล สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นในข้อเท็จจริงนี้ ส่งผลต่อ การมี เป้าหมายมีความมั่นใจ มีแรงจูงใจและแรงบันดาลใจในการฝ่าฟันอุปสรรค ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...บอกตัวเองว่าเราต้องได้ เราต้องสู้ต่อไป ต้องไหวนะ เราเกิดที่นี้จริง แม้เวลามันผ่านไป 20 กว่าปี เราก็ยัง ขอ ออกใบสูติบัตรได้ พอท าได้อย่างนั้น เราก็คิดว่าต่อไปการพัฒนาสถานะของเรามันไม่ยากแล้ว...”(ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 1) ลักษณะที่สอง ความเชื่อมั่นในข้อเท็จจริงและความเชื่อมั่นต่อระบบราชการ ส่งผลต่อการสร้าง ความชัดเจนใน การด าเนินการ การมีเป้าหมาย มีแรงจูงใจในการฝ่าฟันอุปสรรค ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...รออย่างมีความหวังนะ เขามีคิวเราต้องรอตามคิว ถ้าเลยก าหนดเวลาก็ไปถามเจ้าหน้าที่โดยตรงว่าท าไม แต่อย่าไปโกรธเขานะ เราต้องเข้าใจระบบ เข้าใจเหตุผลเขาด้วย เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งหลักฐานทั้งพยาน เราดูแลตัวเอง ตลอด แบบนี้เราไม่เหนื่อยไม่ท้อ...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 5) ลักษณะที่สาม ความเชื่อมั่นในข้อเท็จจริงของตนเอง และความเชื่อมั่นต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องว่าจะสามารถน าพา ตนเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เราคิดว่ายังไงเราก็ต้องได้หลักฐานเราครบหมด เรามีใบเกิด อีกอย่างอยู่ที่ผู้น าด้วย ถ้าผู้น าช่วยเรา เป็นพยาน ให้เรา ยืนยัน ยังไงเราก็ได้ เรารู้อยู่แล้ว เรามีหลักฐาน เราเกิดจริง ทุกคนก็รู้ เราก็ท าไปตามขั้นตอน ท าไปตามเขาบอก ที่ผู้น า บอก ที่คนเขาแนะน า ในที่สุดเราก็ได้...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 7) สามารถสรุปได้ว่า ความเชื่อในสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งในเอกสาร พยาน หลักฐาน ระบบราชการและผู้น าชุมชนนั้น เป็นสิ่งสนับสนุนให้บุคคลเกิดความมั่นใจและมีความสามารถในการจัดการกับปัญหาของตนเองได้ 3. เป้าหมายในชีวิต โดยเป้าหมายในชีวิตของบุคคลจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีพลังและมีแรงจูงใจในการกระท าต่างๆ เพื่อ การเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถจ าแนกสาเหตุของเป้าหมายในชีวิตได้ใน 3 ลักษณะ ดังนี้ ลักษณะแรก เป้าหมายในชีวิตมีสาเหตุจากครอบครัว (เป้าหมายคือแก้ไขปัญหาความไร้รัฐ) เนื่องจากประสบการณ์ชีวิต ในการเผชิญปัญหาความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นจากความไร้รัฐ เมื่อมีครอบครัวก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวของตนนั้นต้องพบเจอกับ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 115 สิ่งที่ตนเคยประสบ โดยมีความทุ่มเท ความตั้งใจในการเข้าสู่กระบวนการ การมีสถานะบุคคลเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ดังสัมภาษณ์ ที่ว่า “...หนูล าบากใจที่ลูกหนูยังไม่มีบัตร หนูอยากให้ลูกหนูมีบัตร หนูพาลูกไปแจ้งเกิด หนูท าตามขั้นตอน ทุกอย่าง เพราะอยากให้ลูกหนูมีบัตร เมื่อตอนหนูเกิดพ่อแม่ไม่ได้ไปแจ้งเกิดให้หนู หนูไม่ถือสา พ่อแม่ที่ไม่แจ้งเกิด ให้หนู แต่ถึงคราว ลูกหนู หนูไปแจ้งเขาแต่เกิด ตอนนี้หนูได้ไทยแล้วหนูก็อยากให้ลูกหนูได้ ชีวิตเขาจะได้ไม่ต้องล าบากเหมือนเรา...” (ผู้ให้ สัมภาษณ์ท่านที่ 6) ลักษณะที่สอง เป้าหมายในชีวิตมีสาเหตุจากความต้องการของตนเองและการวางแผนครอบครัว (เป้าหมายคือ การหยุดความไร้รัฐ) เนื่องจากความต้องการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและมีการวางแผนครอบครัวร่วมด้วย มีความ ต้องการที่จะยับยั้งไม่ให้ความไร้รัฐเกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเองในอนาคต ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เราอยากเรียนต่อ จะขอทุน เราอยากเป็นนักบอล เราอยากเล่นอาชีพ แต่ตอนนี้พอเราท างาน เรามีความคิด ใหม่ เราคิดถึงวันข้างหน้า เราได้ประโยชน์ ต่อไปถ้าเรามีลูก ลูกเราก็ได้ไทยไปเลย เรารีบท าไว้ตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า เรามีหลักฐาน การเกิดยังไงก็ได้ อนาคตเรามีลูก ลูกเราก็ได้...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 4) ลักษณะที่สาม เป้าหมายในชีวิตมีสาเหตุมาจากความต้องการของตนเองและครอบครัวเดิม เนื่องจากความต้องการใน การพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง และครอบครัว โดยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนาตนเอง และครอบครัวให้ดีขึ้นตามล าดับ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในพัฒนาตนเอง และความห่วงใยที่มีต่อครอบครัวในการเป็นอนาคต เป็นความหวังให้กับ ครอบครัว ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...หนูไม่มีที่ไปแล้ว พ่อแม่ก็ไม่อยู่ อีกอย่างหนูอยากเรียนต่อ หนูเรียนเก่งนะ ทุนก็ไม่มี ขอก็ไม่ได้ ทางบ้านก็ ไม่ค่อยมีเงิน ถ้าตอนนั้นหนูได้ทุน หนูคงได้เรียนแล้ว หนูอยากมีโอกาสที่ดีกว่านี้ แบบนี้ท าได้แค่รับจ้าง สมัครงานราชการงานที่ ดีๆ มั่นคงๆ ก็ไม่ได้ เขาไม่รับ เราไม่มีหลักฐานอะไรเลย แล้วครอบครัวหนูจะอยู่ยังไง...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 2) สรุปได้ว่า เป้าหมายในชีวิตที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคลเป็นผลมาจากประสบการณ์ส่วนบุคคล และความมุ่งมั่นที่จะ เปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตของตนเองและครอบครัวให้ดีขึ้น 4. ประสบการณ์ส่วนบุคคล คือ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นและเป็นอยู่ของบุคคลซึ่งเกิดจากการกระท าของตนเอง และผู้อื่น การท าความเข้าใจในประสบการณ์นี้จะมีส่วนช่วยให้บุคคลมีแนวทางในการจัดการประสบการณ์ หรือควบคุมสถานการณ์ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยสามารถแบ่งประสบการณ์ที่ได้รับใน 4 รูปแบบ ดังนี้ ประสบการณ์ความไร้อ านาจจากการขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิด้านการศึกษา จากผลการวิจัยนี้ ผู้ศึกษาเห็นว่า การศึกษาและการมีองค์ความรู้ในด้านต่างๆ เป็นสิ่งที่จ าเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับบุคคล ไร้รัฐ ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เราไม่ได้อะไรเหมือนกับคนอื่นเขา เราออกนอกพื้นที่ไม่ได้ ออกนอกประเทศไม่ได้ เราต้องละทิ้งโอกาส ของ ตัวเอง เพียงเพราะเราไม่มีเอกสาร หนูออกจากโรงเรียนเพราะหนูเหนื่อย หนูจะได้ทุน แต่เขาบอกหนูให้แค่คนไทย หนูเลยมี ความรู้สึกว่าท าไมชีวิตหนูมันยากจัง...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 1) ประสบการณ์ความไร้อ านาจจากการขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิด้านอาชีพและรายได้การขาดโอกาสใน การเข้าถึงอาชีพและรายได้ที่มีความมั่นคง การได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม และการถูกเอารัดเอาเปรียบในอาชีพ ด้วยเหตุผล จากความเหลื่อมล้ าในสังคม และข้อก าหนดของภาครัฐ ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...พอเรียนจบจะสอบครูก็สอบไม่ได้ ไปสมัครโรงเรียนเอกชนเขาก็ไม่รับเพราะไม่มีบัตรก็ต้องมารับจ้างเขา อยากถามว่า เราไปเรียนท าไม เรียนแล้วก็ไม่ได้เป็นครู เราไม่รู้กฎหมาย กฎหมายบอกให้จบปริญญาตรี นี้ไงเราก็จบแล้ว แต่ ท าไมเราไม่ได้บัตรสักที...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 3)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 116 ประสบการณ์ความไร้อ านาจจากการขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิด้านระบบสาธารณสุข เมื่อไม่สามารถเข้าถึง ระบบสาธารณสุขประชากร/กลุ่มตัวอย่างบางส่วนเกิดความเชื่อที่ว่า “การที่พวกเขาไม่เจ็บไม่ป่วยเป็นโชคดีส าหรับชีวิต” การที่ เรามองทุกอย่างเป็นความโชคดีเช่นนี้แสดงถึงวิธีคิดที่เรามีต่อปัญหานั้นๆ เป็นการแสดงออกที่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาด้อยโอกาส ทางด้านสาธารณสุขมากแค่ไหน พวกเขาเหล่านี้สูญเสีย การควบคุมการตัดสินใจและการกระท าที่อาจส่งผล ต่อสุขภาพของ พวกเขาในระยะยาว การไม่อาจเข้าถึงระบบสาธารณสุข ระบบประกันสุขภาพ ท าให้คุณภาพชีวิตของพวกเขายิ่งลดถอยลงไป และรัฐเองมิได้สนใจในระบบสาธารณสุขของบุคคลไร้รัฐอย่างครอบคลุมแม้จะมีกองทุนให้สิทธิ(คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้าน สาธารณสุขให้กลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิก็ตาม แต่การให้สิทธิดังกล่าวนี้ ครอบคลุมเฉพาะบุคคลไร้รัฐที่มีสถานะทาง ทะเบียน หรืออยู่ในทะเบียนบุคคลเท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มบุคคลไร้รัฐที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนด้วย บุคคลเหล่านี้ จึงเป็นผู้ตกหล่นในระบบสาธารณสุขเรื่อยมา ประสบการณ์ความไร้อ านาจจากการขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิด้านเศรษฐกิจและสังคม เมื่อมี “ต้นทุน” ชีวิตที่ ไม่เท่ากับบุคคลอื่น การขาดต้นทุนทั้งในส่วนของการบริโภค อุปโภค และไม่สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่เนื่องจาก ถูกจ ากัดสิทธิ ขาดการพัฒนาและความเอาใจใส่จากสังคมและภาครัฐจึงส่งผลให้เกิดความปัญหาด้านความ เหลื่อมล้ าและ ความเท่าเทียมในทุกมิติ ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เราไม่มีสิทธิอะไรเลย ไม่เคยได้อะไรเลย บ้านเราอยู่ใกล้ทางน้ า ตอนนั้นน้ าท่วม ราชการก็ไม่ได้ช่วยเหลือ เรา บ้านจมไปครึ่งบ้านแล้ว ห้องน้ าก็หลุดหายไป เขาบอกช่วยเหลือไม่ได้ เราไม่มีบัตร ไม่มีหลักฐานมีบ้านก็ไม่มีบ้านเลขที่ เราไม่เหมือนเขาตรงไหน บ้านเราก็มีท าไมไม่ช่วยเรา...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 2) ขั้นที่ 2 การไตร่ตรองเหตุและผล ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วิพากษ์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งใดเป็นปัญหาและสิ่งใด ไม่เป็นปัญหาในมิติที่ต่างออกไปมากกว่าที่ตนเองประสบ และการพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ว่ามีผลกระทบทั้งต่อตนเองและ ผู้อื่น และสังคมอย่างไรบ้าง และเกิดความรับผิดชอบในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานั้นอย่างเป็นระบบ โดยสามารถแบ่ง สาเหตุของปัญหาความไร้รัฐได้ใน 3 สาเหตุ ดังนี้ 1.สาเหตุของความไร้รัฐเป็นผลมาจากระบบราชการ จากปัญหาการขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่ต้องร่วมกัน แก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเรื่องการให้ความช่วยเหลือในด้านสิทธิมนุษยชน ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “... เขาท างานกันไหมพี่ ไม่น่าจะมีความร่วมมือกันนะระหว่างหน่วยงานอื่นๆ ปัญหาอยู่ที่ภาครัฐนี้ ท าอะไรกัน ร่วมมือกันไหม พี่เป็น พม.พี่เคยมาช่วยไหม คนไม่มีบัตร พี่ก็ไม่เคย ความช่วยเหลือจากที่อื่นคงมาไม่ถึงหรอก NGO อะไร ก็ไม่เคยเห็นมา กินงบกันหรือเปล่า จะเหลือมาถึงเราไหม...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 1) 2. สาเหตุของความไร้รัฐเป็นผลมาจากเจ้าของปัญหา การขาดความกระตือรือร้นของบุคคลไร้รัฐในการรักษาสิทธิ ของตนเอง โดยเจ้าของปัญหามิได้เข้ามาเป็นส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เจ้าของปัญหานี้หล่ะ คือ ต้นตอของปัญหา แต่เราเลือกเกิดไม่ได้นะ พ่อแม่เราก็เลือกไม่ได้ เราเลือกที่จะเป็น อะไรไม่ได้เลย พอผมเกิดมามีใบรับรองแต่ไม่มีใบแจ้งเกิด ทีนี้เราท าไงหล่ะ เราก็เป็นคนไม่มีสถานะ ไม่มีสิทธิ ถามว่าใครเลือก ให้เรา เราไม่ได้เลือก แต่พ่อแม่เราไม่รู้ ถ้ารู้คงไม่เป็นแบบนี้ ราชการเขาไม่เคยสอนเรา เรายิ่งแย่ไปใหญ่...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่าน ที่ 4) 3. สาเหตุของความไร้รัฐเป็นผลมาจากทุกภาคส่วน ปัญหาความไร้รัฐส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาครัฐที่ยังขาด ความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และในส่วนของเจ้าของปัญหาเองยังคงขาดความตระหนักรู้ในการมีส่วนร่วมใน การป้องกันและแก้ไขปัญหาความไร้รัฐอย่างมีส่วนร่วม ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใครที่ไหน อยู่ที่ตัวเรานี้หล่ะ อยู่ที่ตัวเจ้าของ เราไปโทษคนนั้น คนนี้ไม่ได้ เราต้องแก้ที่ตัวเรา และปัญหาระบบราชการ ไม่เข้าใจกฎหมายเอามาใช้ไม่ถูก มันเลยแก้ไขไม่ได้ทุกวันนี้ไง...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 10)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 117 สรุปได้ว่า ปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติเป็นผลมาจากทั้งเจ้าของปัญหาและระบบราชการ โดยเจ้าของปัญหาขาด ความตระหนักรู้ในปัญหาของตนเองและบ่อเกิดแห่งปัญหาอันเป็นสาเหตุส าคัญที่ก่อให้เกิดวงจรความไร้รัฐ และระบบราชการ นั้น ยังขาดความชัดเจนในการบังคับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนในแต่ละประเภท ขั้นที่ 3 การเรียนรู้และปฏิบัติ การเรียนรู้หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการและความสามารถในการตัดสินใจ ก าหนดเส้นทาง แนวทาง หนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตามวิถีของตนเอง จาก 3 ปัจจัย ดังนี้ การสนับสนุนทางสังคม คือ ปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคมอย่างมีจุดมุ่งหมายใน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การสนับสนุนทางสังคมในรูปแบบต่างๆ ดังนี้ 1. การแสวงหาความรู้ ข้อมูล ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ใน 2 ช่องทาง ดังนี้ 1.1 การแสวงหาความรู้จากผู้รู้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 1.2 การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เราโทรไปถามเจ้าหน้าที่โดยตรง บางครั้งเราก็เข้าไปเช็คในเว็บ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็โทรไปถาม ถามไปเรื่อยๆจนกว่า จะได้ค าตอบ จนกว่าเขาจะแก้ปัญหาให้ แล้วเราก็เอาปัญหาเข้าไปถามในกลุ่มเราว่าใครเคยเจอแบบนี้ ถ้าเจอแล้วท ายังไงต่อ...เราได้ เห็นอะไรหลายๆ มุม บางเรื่องเราก็ไม่รู้ กลุ่มก็ช่วยเติมให้เรา เราแชร์ความรู้สึกกัน แคร์กัน เข้าใจปัญหามากขึ้น...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ ท่านที่ 5) 2. การให้ค าปรึกษา การให้ก าลังใจใน 3 รูปแบบ ดังนี้ 2.1 การให้ค าปรึกษา การให้ก าลังใจในรูปแบบของการสื่อสารที่ช่วยเสริมแรง 2.2 การให้ค าปรึกษา การให้ก าลังใจในรูปแบบของการท าให้รู้ว่าไม่ได้เผชิญปัญหานี้เพียงล าพัง 2.3 การให้ค าปรึกษา การให้ก าลังใจที่มุ่งเน้นการปฏิบัติเพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน มากกว่า การสื่อสารระหว่าง กัน ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...พ่อแม่คอยให้ก าลังใจ บอกว่าเป็นความผิดของพวกเขาเองที่ไม่แจ้งเกิด เขาก็ขอโทษ ท าให้ลูกไม่มีบัตร ท าให้ ลูกล าบาก เขาก็เสียใจ แต่เราก็ไม่โทษเขาหรอกนะ แต่ก็มีที่เราน้อยใจบ้าง เขาก็คอยปลอบเรา ดูแลเรา ไม่เคยทิ้งเรา คอยให้ ก าลังใจท าให้เรามีแรงสู้ ท าเรื่องต่างๆ ต่อไปได้...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 5) 3. ความสัมพันธ์หรือสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นบนฐานของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่นการสร้างสัมพันธ์ที่ดี ในชุมชน โดยการเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะ เพื่อสร้างการจดจ าและความรู้สึกที่ดีระหว่างกัน ซึ่งมีส่วนสนับสนุน ในกระบวนการ การมีสถานะบุคคล ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เราต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีนะ โดยเฉพาะในหมู่บ้าน เพราะมันจะท าให้ทุกคนรู้จักเรา จ าเราได้ เขาก็จะเชื่อ ใจเรา เราก็เข้าไปท ากิจกรรมในหมู่บ้าน ไปช่วยเหลือเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แล้วทุกคนในหมู่บ้านเขาก็เต็มใจช่วยเหลือเรา ยกมือให้ เรา ผู้ใหญ่ก็เอ็นดูเรา คอยดูแลเรา เรามีความสัมพันธ์ที่ดีในหมู่บ้าน มันก็เป็นวิธีเป็นแนวทางที่ช่วยเราได้ไทยนะ...” (ผู้ให้ สัมภาษณ์ท่านที่ 8) 4. ความร่วมมือจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ชิดประชากร/กลุ่มตัวอย่างมากที่สุด คือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ สามารถจ าแนกองค์ประกอบของความร่วมมือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องได้เป็น 2 องค์ประกอบ ดังนี้ 4.1 ความเชื่อมั่นในศูนย์อ านาจและการเมือง 4.2 การมีส่วนร่วมในสังคมและการเมือง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 118 ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...ผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้าน เขาช่วยเราได้ อีกอย่างมันเป็นหน้าที่ของเขาที่เขาต้องดูแลเรา เขาต้องช่วยเรา เราก็ตอบ แทนเป็นลูกบ้านที่ดี ไม่สร้างปัญหา ไม่ท าความเดือดร้อน เขาก็ยินดีท าให้เรา พอเขาออกหน้า เราก็สบายใจได้ เขาพูด กับ อ าเภอได้ดีกว่าเรา ตอนท ามันก็ง่ายกว่าเราเข้าไปเอง...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 8) การปฏิบัติจากปัจจัยทั้ง 3 ที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการเรียนรู้ระหว่างกระบวนการเสริมพลังอ านาจ ส่งผลให้เกิด การตัดสินใจที่จะเลือกทางเดินส าหรับชีวิตตนเอง เช่น การพัฒนาความคิดของตนเองที่มีต่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเข้าใจ และ สามารถน าไปประยุกต์ใช้กับตนเองได้อย่างเหมาะสม ดังเช่น การปฏิบัติตนที่เหมาะสมเมื่อได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐ ในทางลบโดยการถูกเลือกปฏิบัติ การไม่ให้เกียรติ และการดูถูก เหยียดหยาม การแสดงออก หรือการตอบโต้ในทิศทางที่ดี หมายถึงการมีความสามารถในการจัดการอารมณ์ และมีความพร้อม ในการเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการ การมีความมั่นคงทางด้านจิตใจซึ่งเป็นผลจากการได้รับการเสริมพลัง อ านาจในตนเอง และได้รับการเสริมพลังอ านาจจากผู้อื่น ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เรารู้สึกว่าเราโดนคนดูถูก ถูกเลือกปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ไม่ให้เกียรติเรา ดูถูกเรา เหยียดหยามเรา แต่เราจะไม่ท า แบบนี้กับคนอื่น เราคิดเสมอว่าทุกคนเท่ากัน มนุษย์ด้วยกันเองดูถูกและด้อยค่าคนแค่เพียงเพราะเราต่างจากเขา เราต่างกัน หลายอย่าง เชื้อชาติ ศาสนา แต่ความเป็นคนเราเท่ากัน เรามีสิทธิเท่ากัน...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 1) สรุปได้ว่าการเรียนรู้จากการได้รับการสนับสนุน ทั้งในรูปแบบของการให้องค์ความรู้และการให้ค าปรึกษา การมี สัมพันธ์ที่ดี และการได้รับความร่วมมมือ นั้น มีส่วนส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติที่ดีขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมซึ่ง เป็นผลจากการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ขั้นที่ 4 การคงไว้ซึ่งพฤติกรรมในการมีแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ พร้อมการพัฒนาตนเอง และการมีความสามารถ ในการเป็นผู้เสริมพลังอ านาจและพิทักษ์ผู้อื่นผ่านการให้การเอาใจใส่ต่อผู้ที่มีปัญหาเหมือนกัน และมีความพร้อมที่จะให้ ค าปรึกษาและการช่วยเหลือตามก าลังความสามารถของตนเอง ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เริ่มตั้งแต่แรกเลยนะ เราจะบอกให้เขาเตรียมตัว แนะน าให้เขาไปหาผู้ใหญ่ แล้วเราก็จะแนะน าเขาว่าเราต้อง ค่อยๆ ท า เราใจร้อนไม่ได้นะ แล้วรอเข้าประชุมหมู่บ้าน ชาวบ้านจะช่วยยกมือเป็นพยานให้เราต้องดีกลับเขา เราอย่าไปท้อ เราท าได้...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 7) “...เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ใครที่ยังไม่ได้ยื่นก็ให้ไปยื่น เราต้องไปท า รักษาสิทธิของเรา แล้วถ้าเจอปัญหา ก็มาถามเราได้ เราก็บอกเท่าที่รู้ ถ้าเราบอกไม่ถูก เราก็ให้เขาไปถามผู้ใหญ่ อีกอย่างเราต้องพูดจริง อย่าไปจ้างใคร อย่าไปท า อะไรผิดๆ มันไม่ดี ถ้าเราเกิดที่นี้จริงยังไงเราก็ท าได้...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 6) สรุปได้ว่า เมื่อบุคคลเกิดการรับรู้ตัวตน การไตร่ตรองเหตุและผล และเกิดการเรียนรู้ที่น าไปสู่การปฏิบัติแล้วนั้นจะ ก่อให้เกิดการคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่มีความเหมาะสมและเกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและมีแนวคิดการพัฒนาตนเองส่ง ต่อไปยังผู้คนในสังคมด้วย ส่วนที่ 2 แนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิแก่บุคคลไร้รัฐที่เข้าสู่กระบวนการการมีสถานะบุคคล 1. แนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษสิทธิบุคคลไร้รัฐ โดยการให้การศึกษา และสนับสนุนทรัพยากร ที่จ าเป็น ระหว่างการศึกษาร่วม และจัดให้สามารถเข้าถึงได้ในหลากหลายช่องทาง ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...ผมว่าความรู้เป็นเรื่องส าคัญ อยากให้มีความรู้ติดอยู่ทุกที่ ศาลาหมู่บ้าน อนามัย อบต. หรือเวลามีประชุม หมู่บ้านเราก็ให้ความรู้เขา...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 4) “...ให้ความรู้ชาวบ้านเขามากๆ เขาไม่รู้ ไม่ได้เรียน โอกาสเรามันมีแค่นั้น เพราะสิทธิเราไม่มี เงินเราไม่มีเราจะไป ท าอะไรได้...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 5)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 119 2. แนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิบุคคลไร้รัฐ โดยการสนับสนุนการตระหนักรู้ในปัญหา ของตนเองทั้ง ในเรื่องสิทธิที่พึงมีและการมีสถานะบุคคลที่พึงได้ เพื่อแสดงถึงการด ารงอยู่ และการป้องกันมิให้ถูกคุกคามท าลายความเป็น มนุษย์ ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เวลาผู้น าเขาให้ท าอะไรชาวบ้านก็ไม่ยอมท ามันก็ยาก พ่อแม่เขานี้หล่ะไม่ไปแจ้งเกิดให้เขา เรื่องนี้ พ่อแม่เขา ก็ไม่คิด ไม่ให้ความส าคัญ...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 6) 3. แนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษสิทธิบุคคลไร้รัฐ โดยการสนับสนุนให้เข้าถึงทรัพยากร และเข้าถึง ประโยชน์ต่างๆ การจัดให้มีกระบวนการจัดสรรทรัพยากรที่ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมในการบรรลุเป้าหมายของบุคคลไร้รัฐ อย่างมีประสิทธิภาพ ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...เราไม่ใช่ต่างด้าว เราเลือกตั้งไม่ได้ ซื้อที่ดินไม่ได้ ซื้อบ้าน รถยนต์ก็ไม่ได้ เราท าอะไรไม่ได้ในหลายๆ อย่าง ชีวิต เราก็ล ายาก เราขอทุนไม่ได้ กู้เรียนไม่ได้ ทั้งๆ ที่เราก็พร้อมจะเสียดอกเบี้ยเท่าๆ กับคนไทย ท าไมไม่ให้เรา พ่อแม่เราก็ไม่มีทุน เราไม่มีทุน เราเลยต้องออกมาเรียนต่อ กศน. ส่งเสียตัวเอง เวลาเราไปท าประกัน คนไทยได้สิทธิเยอะกว่าเรา ทั้งๆ ที่จ่ายเงิน เท่ากันเราท าได้แค่นั้น...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 5) 4. แนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษสิทธิบุคคลไร้รัฐ โดยการริเริ่มด าเนินการทางกฎหมาย การเปลี่ยนแปลง กฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการด าเนินงานในกระบวนการการมีสถานะ และการบังคับใช้กฎหมายจากผู้มี ส่วนเกี่ยวข้อง ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...หลักดินแดนนี้มันใช้ยังไง เราใช้ได้ไหม อธิบายบอกเราสิ ใครได้ ใครไม่ได้ กฎหมายมันควรมีความชัดเจน มาตรฐาน การท างานไม่เหมือนกันด้วยในแต่ละคน น้องหนูยื่นเหมือนกัน ป่านนี้ยังไม่ได้เลย พ่อแม่เดียวกัน ระบบเขา คืออะไร...” (ผู้ให้ สัมภาษณ์ท่านที่ 8) “...กฎหมายบางข้อก็ไม่ควรมีนะ อย่างท าความดีเนี้ยมันต้องท าแค่ไหนหล่ะ แล้วคนไทยหล่ะ ท าดีอะไรบ้าง ไม่ต้องท าอะไรก็ได้เป็นแล้ว เกิดมาก็ได้เป็นแล้ว แล้วกับเราท าไมสิทธิตรงนั้น มันไม่มีในเมื่อเกิดบนแผ่นดินไทยเหมือนกัน...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 5) 5. แนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษสิทธิบุคคลไร้รัฐโดยการจัดให้มีการรวมพลังเสริมความร่วมมือจาก ทุกภาคส่วนระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนสังคมในการเป็นพลังส าคัญให้เกิดแก้ไข ปัญหาร่วมกัน ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...ควรมีให้ความส าคัญและให้เกิดความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยเหลือมาบรรเทาปัญหา ยัง ไม่ต้องเรื่องบัตรให้มาดูชีวิตเราก่อน เราจะอยู่ยังไง...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 1) 6. แนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิบุคคลไร้รัฐ โดยการแก้ไขระบบราชการ เช่น การปรับปรุงระบบงาน ขั้นตอน กระบวนการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ดังสัมภาษณ์ที่ว่า “...ควรมีการอบรมให้ความรู้และความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ กฎหมาย สิทธิมนุษยชน และมารยาทพื้นฐาน พัฒนา จิตใจให้อยากช่วยเหลือ อยากท าหน้าที่ และการค้นหาข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง การไม่ดูถูก รวมถึงการลดขั้นตอน และสามารถท า ได้ในทุกพื้นที่...” (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 1) สรุปได้ว่า การจัดท าข้อเสนอแนวทางการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิแก่บุคคลไร้รัฐที่เข้าสู่กระบวนการการมี สถานะบุคคลควรรับฟังข้อเสนอแนะ ความคิดเห็น และประสบการณ์ของบุคคลไร้รัฐเป็นส าคัญ เนื่องจากเป็นบุคคลที่เป็น ผู้ประสบปัญหาโดยตรง จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและเกิดประสิทธิภาพ ในการท างานมากที่สุด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 120 ข้อเสนอแนะ ควรน าผลการศึกษาที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้ไปใช้เป็นแนวทางการเสริมพลังอ านาจและการพิทักษ์สิทธิแก่บุคคล ที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนในประเภทต่างๆ เช่น บุคคลไร้รากเหง้า บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน เป็นต้น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในประเด็นของการเสริมพลังอ านาจผ่านการสนับสนุนองค์ความรู้และการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน อันจะเป็น แนวทางในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความไร้รฐที่เกิดขึ้นให้ทุเลาได้ เอกสารอ้างอิง กรมการปกครอง, ส านักบริหารการทะเบียน. การจัดการสถานะบุคคล. สืบค้นจาก https://www.bora.dopa.go.th/wpcontent/uploads/2022/02/Status-of-person.pdf กฤษฎา บุญราช. (2560). สถานการณ์และแนวทางแก้ไขปัญหาบุคคลไร้รัฐในประเทศไทย สรุปสถานการณ์ปัจจุบันของบุคคล ไร้รัฐในประเทศไทยและเพื่อแบ่งปันประสบการณ์และแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวของประเทศไทย. จันทรา ธนะวัฒนาวงศ์. (2553). แนวทางและกลไกการแก้ไขปัญหาของความทับซ้อน/ก ากวมระหว่างคนไร้รัฐกับแรงงาน ต่างด้าวสัญชาติลาว: กรณีศึกษาพื้นที่อ าเภอบุญฑริก จังหวัดอุบลราชธานี. กรุงเทพฯ: ส านักงานกองทุนสนับสนุน การวิจัย. พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร. (2565). เรื่องของน้องบอส..ไร้สัญชาติ แต่แสนสุข. สืบค้นจาก https://www.facebook.com/archanwell/media_set?set=a.105.10314.732 มานะ งามเนตร์. (2563). ฅนไร้รัฐกับสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์. จดหมายข่าวมุมมองสิทธิ์, 19(11), สืบค้นจาก https://www.nhrc.or.th/getattachment/099105e7-9a98-459d-9729- c4ae8172774e/.aspx วรรณลักษณ์ เมียนเกิด. (2544). การประสานงานเพื่อพิทักษ์สิทธิเด็กที่ถูกกระท าทารุณระหว่างองค์กรสวัสดิการเด็กภาครัฐ และภาคเอกชน. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. อภิญญา เวชยชัย. (2557). การเสริมพลังอ านาจในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. Amnesty International Thailand. (2561). สิทธิมนุษยชนคืออะไร. สืบค้นจาก https://www.amnesty.or.th/latest/ blog/62/ Gibson, C. H. (1991). A Concept Analysis of Empowerment. Journal of Advanced Nursing. UNHCR The UN Refugee Agency. (2565). ภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ* คืออะไร. สืบค้นจาก https://www.unhcr.org/th/ statelessness


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 121 กรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ1 Community Welfare Management Conceptual Framework under the Ideal Fairness Concept กฤษฎา ศุภกิจไพศาล2 Krissada Supakitpaisan3 Abstract This academic paper aims to propose a conceptual framework for community welfare management under the ideal fairness concept. Method of data collection for this study is documentary research. Author tries to analyze data obtained from various sources of textbooks, theses, academic journals, as well as researches. Goal of the author is to analyze and interpret the collected data, starting from analyzing the big picture to analyzing small details to synthesize conclusions and recommendations. Regarding the results of this study, there is a gap among theorists’ ideas in term of fairness principles which are based on utilitarianism, liberalism, and vulnerable people. Consequently, the challenging issue for formulating a conceptual framework for community welfare management under the ideal fairness concept currently is to seek basic principles that can create opportunities and enable all community members to develop their quality of life according to their own needs while reducing inequality at the community level. It can be concluded that differences among community members must not be an obstacle to living according to the fairness principles based on vulnerable people. However, the author sees that the principles of fairness based on utilitarianism and liberalism are still necessary to use in mobilizing resources to increase community potential and criticizing policies that affect community members. Keywords: Conceptual framework, Community welfare management concept, Ideal fairness concept บทคัดย่อ บทความวิชาการฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อน าเสนอกรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็น ธรรมในเชิงอุดมคติ วิธีการศึกษาในครั้งนี้ใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ วิทยานิพนธ์ วารสารวิชาการ และรายงานวิจัย ทั้งนี้ผู้ศึกษามีจุดมุ่งหมายต่อการน าข้อมูลที่ได้รับมาจากการศึกษาค้นคว้า เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์และตีความหมาย โดยตั้งต้นจากการวิเคราะห์ภาพกว้างไปสู่การวิเคราะห์ รายละเอียดย่อยเพื่อสังเคราะห์เป็นข้อสรุปและข้อเสนอแนะของการศึกษา จากผลการศึกษา พบว่า แนวคิดความเป็นธรรมได้ เกิดช่องว่างแห่งความแตกต่างกันในเชิงหลักคิดท่ามกลางกลุ่มนักคิดหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหลักคิดความเป็นธรรมในมิติ อรรถประโยชน์นิยม มิติเสรีนิยม และมิติผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ดังนั้นประเด็นความท้าทายของการก าหนดสร้างกรอบแนวคิด ว่าด้วยการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในยุคสมัยปัจจุบัน คือ การแสวงหาหลักการพื้นฐานที่สามารถสร้าง โอกาสและท าให้สมาชิกในชุมชนทุกคนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตตามความต้องการของตนเองไปพร้อมๆ กับการลดความ เหลื่อมล้ าในระดับชุมชน กล่าวได้โดยสรุปว่าความแตกต่างของสมาชิกในชุมชนจะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการด าเนินชีวิตตาม 1 บทความวิชาการฉบับนี้เป็นบทความที่พัฒนาต่อยอดมาจาก บทความวิชาการ เรื่อง กระบวนทัศน์การจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดทุน ทางสังคมในเชิงอุดมคติ 2 ดร., หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (นโยบายสังคม) คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 3 Dr., Program in Social Policy, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 122 หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม อย่างไรก็ตามผู้ศึกษาเห็นว่าหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของ อรรถประโยชน์นิยมและเสรีนิยม ยังคงมีความจ าเป็นต่อการน ามาใช้ระดมทรัพยากรเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน และ การน ามาใช้วิพากษ์นโยบายที่ส่งผลกระทบต่อสมาชิกในชุมชน ค าส าคัญ: กรอบแนวคิด, แนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชน, แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ บทน า เมื่อกล่าวถึงสภาพปัญหาความเหลื่อมล้ าทางสังคมก็มักจะมีการกล่าวถึงฐานคิดและรูปแบบการจัดสวัสดิการสังคม ร่วมกันไปอยู่เสมอ ราวกับว่าเป็นคู่ความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้ ส าหรับฐานคิดการจัดสวัสดิการสังคมนั้น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในฐานความคิดที่ยังทรงอิทธิพลและส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์อย่างเป็นวงกว้าง เนื่องจากการจัดสวัสดิการสังคมเป็นฐานคิดที่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดสรรและการกระจายทรัพยากรของแต่ละประเทศ (กฤษฎา ศุภกิจไพศาล, 2565) จากการศึกษาและทบทวนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการจัดสวัสดิการสังคม ท าให้ ผู้ศึกษาทราบว่ารูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมบนฐานคิดทางสายที่สามหรือรูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมแบบพหุลักษณ์ (Pluralism Model) เป็นรูปแบบการจัดสวัสดิการที่มุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับการเปิดโอกาสให้กลุ่ม ชุมชน และ ภาคประชาสังคมได้เข้ามามีบทบาทต่อการจัดสวัสดิการสังคม เนื่องด้วยระบบความคิดดังกล่าวเห็นว่าคนในสังคมที่มี ความเสี่ยงต่อความทุกข์ยากควรตระหนักและเข้ามามีส่วนร่วมต่อการบริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ ด้วยตนเอง (Giddens, 1990) อาจกล่าวได้ว่ารูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมแบบพหุลักษณ์จะไม่ท าการผูกขาดบทบาทต่อการจัดสวัสดิการสังคมไว้กับ ภาครัฐเพียงเท่านั้น หากแต่จะพยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่ม ชุมชน และภาคประชาสังคม ควบคู่ไปกับการกระจาย อ านาจและการปรับลดบทบาทหน้าที่ของภาครัฐ (ระพีพรรณ ค าหอม, 2551) กล่าวโดยสรุปได้ว่ารูปแบบการจัดสวัสดิการ สังคมแบบพหุลักษณ์มีจุดเด่นด้านการจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะกับสภาพปัญหาและความต้องการที่หลากหลายของ ประชาชนในแต่ละบริบทพื้นที่ การไม่เป็นอุปสรรคต่อกลุ่มนายทุนและการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมไปถึงการประนีประนอมต่อการด าเนินงานร่วมกับการจัดสวัสดิการสังคมรูปแบบอื่นๆ ส าหรับตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการจัดสวัสดิการสังคมแบบพหุลักษณ์ คือ การจัดสวัสดิการชุมชน ซึ่งเป็นการจัด สวัสดิการที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของสมาชิกในชุมชน โดยมีเป้าหมายร่วมกันเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับสมาชิก ในชุมชน (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน, 2561) แม้กระนั้น ผู้ศึกษายอมรับตามตรงว่าการจัดสวัสดิการชุมชนไม่ได้เป็นรูปแบบ การจัดสวัสดิการที่มีความสมบูรณ์แบบ เนื่องจากชุมชนที่จะสามารถจัดสวัสดิการชุมชนและกระจายทรัพยากรให้แก่สมาชิกใน ชุมชนได้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรมนั้นจ าเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบและเงื่อนไขส าคัญหลายประการ (กฤษฎา ศุภกิจไพศาล, 2565) อาทิ ความเข้มแข็งของชุมชน ความไว้วางใจและส านึกร่วมของความเป็นชุมชน ระบบการบริหารจัดการภายใต้หลัก ธรรมาภิบาลของชุมชน การมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชน รวมไปถึงการบังคับใช้กติกาและบทลงโทษด้านการจัดสวัสดิการ ชุมชนอย่างเคร่งครัด ซึ่งแน่นอนว่าองค์ประกอบและเงื่อนไขเหล่านี้ไม่ได้ด ารงอยู่ในทุกชุมชน ดังนั้น ผู้ศึกษาจึงเห็นว่า แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ ควรเข้าไปเป็นแนวคิดรากฐานที่เป็นหัวใจส าคัญของ การประเมินและการพิจารณาตรวจสอบกระบวนการจัดสวัสดิการชุมชน เพื่อให้การจัดสวัสดิการชุมชนสามารถกระจาย สวัสดิการชุมชนในด้านต่างๆ อาทิ สวัสดิการชุมชนด้านรายได้และการประกอบอาชีพ ด้านการรักษาพยาบาล ด้านที่อยู่อาศัย ด้านการศึกษา ด้านนันทนาการ รวมไปถึงด้านความมั่งคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่สมาชิกในชุมชนทุกคนได้อย่าง เป็นธรรม กล่าวโดยสรุปได้ว่า แนวคิดความเป็นธรรม จะเข้าไปมีบทบาทต่อการขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการชุมชนจนสามารถ น าไปสู่เป้าหมายสูงสุดด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชนได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งนี้ แนวคิดความเป็นธรรม ยังคงเป็นแนวคิดที่ถูกน าเสนออยู่ตลอดเวลาในทุกยุคสมัย เนื่องด้วยแนวคิดความเป็น ธรรมเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนยากจนควบคู่ไปกับการสร้างกระบวนการ ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก อย่างไรก็ตาม แนวคิดความเป็นธรรม เป็นแนวคิดที่ถือก าเนิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยกรีกโบราณ จวบจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน ส่งผลให้องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมมีชุดความคิดและความเชื่อที่หลากหลาย อาทิ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 123 ความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยม ซึ่งเป็นแนวคิดฐานรากของการจัดสวัสดิการสังคมแบบเฉพาะเจาะจงขั้นต่ าส าหรับคนบาง กลุ่มในสังคม หรือระบบการจัดสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐานตามมาตรฐานขั้นต่ าควบคู่ไปกับการใช้กลไกตลาดเป็นเครื่องมือ ส าหรับการกระจายทรัพยากรให้กับประชาชนในประเทศ (Charles, 2006) ความเป็นธรรมในมิติของผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งเป็นแนวคิดฐานรากของการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อทดแทนซึ่งสิ่งที่ประชาชนขาดและเป็นการสร้างหลักประกันทางสังคมว่า จะไม่มีใครได้เปรียบหรือด้อยโอกาสเนื่องจากความบังเอิญทางธรรมชาติหรือสภาพแวดล้อมทางสังคม (Rawls, 2005) และ ความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยม ซึ่งเป็นแนวคิดฐานรากของการจัดสวัสดิการสังคมแบบทั่วถึงที่นิยมเรียกกันว่า รัฐสวัสดิการ อาจกล่าวได้ว่าความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมได้เข้าไปมีส่วนช่วยให้สังคมเกิดการกระจายซ้ า ทรัพยากรบนฐานของระบบการจัดเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้าหรือแบบขั้นบันได (พงษ์เทพ สันติกุล, 2563) จากช่องว่างแห่งการต่อสู้ในเชิงความรู้ของแนวคิดความเป็นธรรมที่กล่าวมาในข้างต้น ล้วนเป็นที่มาของข้อค าถาม ส าคัญของบทความวิชาการที่ว่า การจัดสวัสดิการชุมชน ควรด ารงอยู่ภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมที่สร้างขึ้นมาเป็นกรอบ แนวคิดอย่างไร ดังนั้นบทความวิชาการฉบับนี้จึงมีจุดมุ่งหมายส าคัญ คือ การศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับแนวคิดความเป็นธรรมและการจัดสวัสดิการชุมชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งนี้ผู้ศึกษามีความตั้งใจที่จะ น าเอาแนวคิดความเป็นธรรมที่ประกอบไปด้วยหลักคิดที่แตกต่างหลากหลายมาประยุกต์ใช้เป็นแนวคิดรากฐานหรือแกนกลาง ส าหรับการสร้างกรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชน อาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่าผู้ศึกษาพยายามมุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับ การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ทั้งสอง เพื่อสร้างความรู้จักและติดตั้งความเข้าใจก่อนที่จะน าเอาแนวคิดความเป็น ธรรมมาประยุกต์ใช้ส าหรับการพัฒนากรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชน จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเชิงเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ท าให้ผู้ศึกษาทราบว่าที่ผ่านมาแนวคิดความเป็นธรรม ที่ถูกน ามาปรับใช้ในกระบวนการจัดสวัสดิการชุมชนยังคงมีลักษณะของการเป็นชุดความรู้และชุดความเชื่อที่ถูกอธิบายผ่าน หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคมแบบเชิงเดี่ยว หรืออาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดความ เป็นธรรมกับการจัดสวัสดิการชุมชนยังไม่มีการเชื่อมโยงจุดร่วมและจุดต่างท่ามกลางหลักคิดความเป็นธรรมจากกลุ่มนักคิดที่ หลากหลาย ด้วยเหตุนี้ ผู้ศึกษาจึงมีความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะขยายขอบเขตของแนวคิดความเป็นธรรมที่ถูกน ามาปรับใช้ ส าหรับการรังสรรค์กรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชน เพื่อเป็นการยกระดับและสร้างความก้าวหน้าให้กับการจัดสวัสดิการ ชุมชนที่ต้องการตอบสนองต่อประเด็น เรื่อง ความเหลื่อมล้ าในระดับชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชน จากหลักการและเหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้น ส่งผลให้ผู้ศึกษาตัดสินใจน าหลักคิดความเป็นธรรมในมิติอรรถประโยชน์ นิยม มิติเสรีนิยม และมิติผู้ด้อยโอกาสทางสังคมมาประยุกต์ใช้ส าหรับการศึกษารอยต่อของความแตกต่างและความเชื่อมโยง ครอบคลุมไปถึงการวิเคราะห์และการสังเคราะห์จุดยืนและต าแหน่งแห่งที่ของหลักคิดความเป็นธรรมแต่ละแบบ เพื่อน าไปสู่ การตัดสินใจเลือกใช้หลักคิดความเป็นธรรมดังกล่าวส าหรับการสร้างกรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชน จากการทบทวน วรรณกรรม การวิเคราะห์ และการสังเคราะห์องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิด ความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ ท าให้ผู้ศึกษาสามารถน าข้อมูลทุติยภูมิจากองค์ความรู้ดังกล่าวมาสรุปเป็นประเด็นส าหรับ การน าเสนอได้ทั้งหมด 3 ส่วนหลัก ดังนี้ คือ ส่วนที่ 1 หลักการของแนวคิดความเป็นธรรม ส่วนที่ 2 บทบาทของแนวคิด ความเป็นธรรมต่อการจัดสวัสดิการชุมชน และ ส่วนที่ 3 กรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมใน เชิง อุดมคติ หลักการของแนวคิดความเป็นธรรม ส าหรับแนวคิดความเป็นธรรมนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในแนวคิดรากฐานที่เป็นส่วนประกอบและหัวใจส าคัญของ การประเมินและการพิจารณาตรวจสอบกระบวนการจัดสวัสดิการชุมชน เพื่อให้การจัดสวัสดิการชุมชนสามารถจัดสรรปันส่วน สวัสดิการชุมชนในด้านต่างๆ อาทิ ด้านรายได้และการประกอบอาชีพ ด้านความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้านสุขภาพอนามัย และด้านนันทนาการให้แก่สมาชิกในชุมชนทุกคนได้อย่างเป็นธรรม หรืออาจกล่าวได้อีกนัยว่าแนวคิดความ เป็นธรรมจะเข้าไปมีส่วนส าคัญต่อการขับเคลื่อนสวัสดิการชุมชน จนสามารถน าไปสู่เป้าหมายสูงสุดของการจัดสวัสดิการชุมชน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 124 คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกในชุมชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งนี้จากการศึกษาและทบทวนองค์ความรู้ที่ เกี่ยวข้องกับแนวคิดความเป็นธรรมในยุคสมัยใหม่ ซึ่งเป็นยุคสมัยที่นักคิดกลุ่มต่างๆ พยายามมุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับ ประเด็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพอย่างเห็นได้ชัด ท าให้ผู้ศึกษาสามารถน าข้อมูลจากองค์ความรู้ดังกล่าวมาสรุปเป็นหลักการของ แนวคิดความเป็นธรรมได้ทั้งหมด 3 มิติหลัก คือ หลักคิดความเป็นธรรมในมิติอรรถประโยชน์นิยม หลักคิดความเป็นธรรมใน มิติเสรีนิยม และหลักคิดความเป็นธรรมมิติผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งมีเนื้อหาและรายละเอียดดังต่อไปนี้ หลักคิดความเป็นธรรมในมิติอรรถประโยชน์นิยม นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อพื้นฐานว่า ความเป็นธรรม สามารถพิจารณาได้จากผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประชาชน ส่วนใหญ่ในประเทศ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเห็นว่าการกระท าที่ก่อให้เกิดความสุขกับประชาชนจ านวนมากที่สุดนั้นถือได้ว่าเป็น แนวทางและวิธีการที่มีคุณค่าและความเป็นธรรม หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่านักคิดกลุ่มดังกล่าวเห็นว่า ความเป็นธรรม มีความเชื่อมโยงและความเกี่ยวข้องกับประเด็น เรื่อง การสร้างประโยชน์และความสุขให้กับกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคม สอดคล้องกับแนวความคิดของ Bentham (1789) นักปรัชญาชาวอังกฤษ ที่ได้น าเสนอ หลักอรรถประโยชน์ (The Principles of Utility) ผ่านผลงาน เรื่อง An Introduction to the Principles of Morals and Legislation โดยระบุว่า หลักอรรถประโยชน์ มีเนื้อหาและรายละเอียดเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางสังคมที่มีแนวโน้มว่าจะเข้าไปเพิ่มความสุขให้กับคนในสังคม ซึ่งกิจกรรม ดังกล่าวจะถูกน ามาพิจารณาด้วยเกณฑ์ความพึงพอใจในระดับสังคม (Ryan, 1987, อ้างถึงใน กฤษฎา ศุภกิจไพศาล, 2565) อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า Bentham มีแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของลัทธิสุขนิยมจิตวิทยา ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามน ากรอบ แนวคิด เรื่อง ความสุขและอรรถประโยชน์นิยม มาประยุกต์ใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์ตัวบทกฎหมาย นโยบายสังคม และ นโยบายสาธารณะของประเทศว่าสามารถก่อให้เกิดการเพิ่มพูนของความสุขมวลรวมในประเทศได้หรือไม่ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวความคิดของ Mill นักปรัชญาด้านเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ (Mill, 1961, อ้างถึงใน พงษ์เทพ สันติกุล, 2563) ที่มีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่า อรรถประโยชน์นิยม จะสามารถน ามาซึ่งความเป็นธรรมทางสังคมได้ เสมือนกับแนวความคิดของ Bentham ทั้งนี้ Mill เห็นว่าการกระท าที่เข้าไปส่งเสริมและสนับสนุนให้คนในสังคมเกิดความสุข นั้นเป็นการกระท าที่ดี หากแต่การกระท าดังกล่าวควรก่อให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดแก่คนจ านวนมากที่สุดตามหลักมหสุข (โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์, 2560, อ้างถึงใน พงษ์เทพ สันติกุล, 2563) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่มีความเชื่อว่ามนุษย์มีความต้องการที่จะ หลุดพ้นจากสถานการณ์ความทุกข์และสถานการณ์ความเจ็บปวดควบคู่ไปกับการได้รับผลประโยชน์และการได้เป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันกับมนุษย์คนอื่นในสังคม จากเนื้อหาและรายละเอียดในข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า Bentham และ Mill มีความคิดและ ความเชื่อพื้นฐานที่ตั้งอยู่บนหลักของการกระท าที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ ความพึงพอใจ และความสุขแก่กลุ่มคนส่วนใหญ่ใน สังคม อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า กลุ่มนักคิดที่เชื่อหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมมักจะให้ความส าคัญกับ ผลลัพธ์ของการท ากิจกรรมที่มีเป้าหมาย เรื่อง การรังสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนในสังคมอย่างเป็นวงกว้าง ในทางเดียวกัน พงษ์เทพ สันติกุล (2563) นักวิชาการด้านแรงงานและการบริหารนโยบายการจัดสวัสดิการสังคม เจ้าของผลงานหนังสือ เรื่อง ความยุติธรรมในสวัสดิการสังคม ได้น าเสนอว่ารูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมบนฐานคิดอรรถประโยชน์นิยมมีจุดมุ่งหมาย ส าคัญ คือ การส่งเสริมและสนับสนุนให้คนในสังคมทุกคนสามารถเข้าถึงระบบสวัสดิการสังคมดังกล่าวได้อย่างเสมอภาคและ ทั่วถึง โดยไม่ค านึงถึงความแตกต่างของสถานภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม หลักคิดความเป็นธรรมในมิติอรรถประโยชน์นิยม ยังคงถูกโต้แย้งว่าเป็นหลักการที่มีเกณฑ์การพิจารณา ความพึงพอใจ ความสุข และผลประโยชน์ของคนในสังคมแบบเหมารวม ที่นิยมเรียกกันว่า ความสุขแบบหมูๆ หรือ ความสุข แบบค่าเฉลี่ย เนื่องจากในสภาพความเป็นจริงปัจเจกชนย่อมมีรูปแบบของความพึงพอใจ ความสุข และผลประโยชน์ที่แตกต่าง กันออกไป ด้วยเหตุนี้ หลักคิดความเป็นธรรมในมิติอรรถประโยชน์นิยม จึงมีข้อจ ากัดเกี่ยวกับการสร้างมาตรฐานและ ความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม สอดคล้องกับข้อเสนอของ Hayek (kevin, 2019, อ้างถึงใน พงษ์เทพ สันติกุล, 2563) นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย และ Nozick (1999) นักปรัชญาชาวอเมริกัน ที่พยายาม โต้แย้งว่าคนส่วนน้อยในสังคมไม่ควรต้องเสียผลประโยชน์ เพื่อสร้างความสุขและความพึงพอใจให้กับกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคม เนื่องด้วยโครงสร้างการจัดสรรปันส่วนดังกล่าวเป็นการกระท าที่แสดงถึงการละเมิดสิทธิของกลุ่มคนส่วนน้อยในสังคม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 125 หลักคิดความเป็นธรรมในมิติเสรีนิยม ทั้งนี้ Hayek (Anucha, 2018, อ้างถึงใน พงษ์เทพ สันติกุล, 2563) นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย ได้เสนอว่า หลักอรรถประโยชน์นิยม มีข้อจ ากัดเกี่ยวกับการยึดมั่นถือมั่นกับผลของการกระท าที่ไม่สามารถท านายและคาดเดาได้อย่าง แม่นย า ด้วยเหตุนี้ Hayek จึงไม่เห็นด้วยกับการน าผลของการกระท าดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นกรอบส าหรับการก าหนด ความเป็นธรรมทางสังคม นอกจากนี้ Hayek ยังไม่เห็นด้วยกับการจัดสวัสดิการสังคมแบบทั่วถึงและถ้วนหน้าตามหลักคิด อรรถประโยชน์นิยม เนื่องจาก Hayek เห็นว่านโยบายด้านสวัสดิการสังคมไม่ควรอ้างหลักความเป็นธรรมทางสังคมเพื่อสร้าง สิทธิอันชอบธรรมส าหรับการจัดเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้าจากประชาชนกลุ่มหนึ่งแล้วน าไปจัดสวัสดิการสังคมให้กับคน อีกกลุ่มหนึ่ง หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า Hayek มีแนวคิดและความเชื่อพื้นฐานที่ตั้งอยู่บนหลักเสรีนิยม ซึ่งเป็นหลักการที่ มุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับการกระจายทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านการท างานของกลไกตลาด ด้วยเหตุนี้ Hayek จึงเห็นด้วยกับรูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมตามมาตรฐานขั้นต่ าหรือรูปแบบการสวัสดิการสังคมแบบเฉพาะเจาะจงขั้นต่ า ส าหรับคนบางกลุ่มในสังคมมากกว่า ในทางเดียวกัน Nozick (1999) นักปรัชญาชาวอเมริกันที่มีแนวคิดและความเชื่อพื้นฐานตั้งอยู่บนหลักทุนนิยมและ ปัจเจกชนนิยม ได้เสนอว่า การอ้างหลักความเป็นธรรมทางสังคมเพื่อบังคับให้กลุ่มคนส่วนน้อยในสังคมต้องยอมเสียสละ ความสุข ความพึงพอใจ และผลประโยชน์ให้กับกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้นเป็นการกระท าที่ปราศจากความเป็นธรรม ตัวอย่างที่เด่นชัด คือ การจัดสวัสดิการสังคมโดยใช้มาตรการจัดเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้าเพื่อบังคับเก็บภาษีจากคนกลุ่มหนึ่ง ไปให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งนี้ Nozick (1999) เห็นว่า ความเป็นธรรม หมายถึง การปฏิบัติตามหลักคุณธรรมด้วยความเต็มใจ อาทิ การกระจายทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยความสมัครใจ การจัดตั้งกลุ่มกองทุนชุมชนต่างๆ ด้วยความสมัครใจ และการบริจาคทานด้วยความสมัครใจ อีกทั้ง Nozick (1999) ยังมีความเห็นว่า การกระจายทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคม ให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมตามหลักหลักการม่านหมอกแห่งความไม่รู้ (Veil of Ignorance) ของ Rawls (1999) ไม่ได้ น ามาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดแก่สังคม เนื่องจากคนบางกลุ่มในสังคมไม่สามารถน าทรัพยากรอันทรงคุณค่าเหล่านี้ไปใช้ต่อยอดได้ เท่ากับกลุ่มคนที่มีศักยภาพและความสามารถมากกว่า ด้วยเหตุนี้Nozick (1999) จึงเห็นว่า สังคมควรกระจายทรัพยากรอัน ทรงคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กับประชาชนที่มีความพร้อมมากกว่าเพื่อน าไปต่อยอดผลประโยชน์ให้กับประเทศ แล้วในที่สุดผลประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองก็จะไหล่บ่าและกระจายกลับมาสู่จุดอื่นๆ ของประเทศ ในส่วนของกลุ่มผู้ที่ตก ขอบหรือประชากรที่ไม่ได้รับการกระจายทรัพยากรก็จะเป็นหน้าที่ของสถาบันภาครัฐในการจัดสวัสดิการสังคมแบบเก็บตก ให้กับพวกเขา อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า Hayek และ Nozick เห็นว่า ภาครัฐหรือส่วนกลางควรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องและเข้ามา จัดการในประเด็น เรื่อง ทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมให้น้อยที่สุด เนื่องด้วย Hayek และ Nozick มีความเชื่ออย่างหนัก แน่นว่า กลไกตลาด เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดส าหรับการสร้างสิทธิและเสรีภาพให้กับภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมไป ถึงการสร้างกฎเกณฑ์และกติกาส าหรับการกระจายทรัพยากรที่มีความเป็นธรรมเพื่อป้องกันการผูกขาดทางการค้าภายใต้ระบบ ตลาดเสรี ทั้งนี้นักคิดกลุ่มที่เชื่อหลักคิดความเป็นธรรมในมิติเสรีนิยมมีแนวคิดว่าภาครัฐไม่ควรไปรบกวนให้นายทุนจ่ายเงิน สมทบทุนจ านวนมากเพี่อดูแลสวัสดิการสังคมของกลุ่มลูกจ้าง เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าเงินของกลุ่มนายทุนควรถูกน าไปใช้กับ การลงทุนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีจุดมุ่งหมายส าคัญ คือ การสร้างความก้าวหน้าและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะใน ท้ายที่สุด ผลพวงจากความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเหล่านี้จะกลายเป็นตัวแปรส าคัญที่ก่อให้เกิดการไหลบ่าและ การกระจายทรัพยากรกลับมาสู่คนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม หลักคิดความเป็นธรรมในมิติเสรีนิยม ยังคงมีข้อจ ากัดเกี่ยวกับการท า ให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมต้องเผชิญกับความยากล าบากจากความผันผวนของตลาดเสรี การสร้างความเหลื่อมล้ าทางสังคม (กิติพัฒน์ นนทะปัทมะดุลย์, 2550) และการไม่สามารถหลอมรวมปัจเจกชนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ หลักคิดความเป็นธรรมในมิติผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ทั้งนี้ Rawls (1999) นักปรัชญาการเมืองชาวอเมริกัน ได้เสนอว่า ปัจเจกชนมีความแตกต่างกันทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา และเชื้อชาติ ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวล้วนเป็นทุนตั้งต้นส าคัญที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบและความเสียเปรียบ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 126 ต่อการด ารงชีวิต ด้วยเหตุนี้ Rawls (1999) จึงได้ท าการน าเสนอ แนวทางการจัดสรรผลประโยชน์ทางสังคมภายใต้หลักการ ม่านหมอกแห่งความไม่รู้ อันหมายถึง สถานการณ์สมมติที่กลุ่มคนในสังคมไม่สามารถรับรู้สถานภาพของตนเองว่าเป็น ผู้ได้เปรียบหรือผู้เสียเปรียบทางสังคม ทั้งนี้สถานการณ์ในจินตนาการดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายส าคัญ คือ การท าให้คนในสังคม มาร่วมกันรังสรรค์สัญญาประชาคมที่สามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับทุกคนในสังคมอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีใครได้เปรียบ หรือเสียเปรียบจากสถานภาพที่ติดตัวมาแต่ก าเนิด ยิ่งไปกว่านั้น Rawls (2005) ยังได้น าเสนอหลักความเป็นธรรม 2 หลักการส าคัญ คือ 1. หลักแห่งสิทธิและเสรีภาพ ที่เท่าเทียมกันอย่างที่สุด หมายถึง หลักการที่มีความเชื่อพื้นฐานว่าคนในสังคมควรได้รับสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานอย่าง เท่าเทียมกัน หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า คนในสังคมทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับเสรีภาพพื้นฐานต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่า จะเป็นการแสดงออกทางการเมือง การเลือกนับถือศาสนา และการรวมตัวกันของกลุ่มต่างๆ ในสังคม อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า หลักการดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายส าคัญ คือ การก าหนดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของคนในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน 2. หลัก ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่ง Rawls (2005) ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและ สังคมนั้นควรเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขส าคัญ 2 ประการ ดังนี้ เงื่อนไขข้อที่ 1 คือ ความเสมอภาคทางโอกาสที่เป็นธรรม ความไม่เสมอภาคทางด้านเศรษฐกิจและสังคมนั้นจะ เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความไม่เสมอภาคดังกล่าวจะเป็นหนทางที่น าไปสู่การสร้างโอกาสในการไต่เต้าของคนในสังคมและการสร้าง ผลประโยชน์ต่อส่วนรวม อาจกล่าวได้โดยสรุปว่าต าแหน่งหน้าที่การงานและโอกาสในการขยับเขยื้อนฐานะจะต้องเปิดให้แก่คน ทุกคนในสังคมภายใต้เงื่อนไขของความเสมอภาคทางโอกาสที่เป็นธรรม เงื่อนไขข้อที่ 2 คือ ความแตกต่าง ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมจะต้องเป็นไปเพื่อการชดเชยความด้อยโอกาสให้กับ กลุ่มคนที่ด้อยที่สุดในสังคม เพื่อเป็นการสร้างผลประโยชน์และท าให้พวกเขาสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพร่วมกับกลุ่มคนอื่นๆ ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า Rawls พยายามมุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับการสร้างความเป็นธรรมด้วยวิธีการมอบสิทธิ ขั้นพื้นฐานและโอกาสที่เท่าเทียมให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ไปพร้อมๆ กับการเชื่อมโยงประเด็น เรื่อง สิทธิและเสรีภาพ ขั้นพื้นฐานกับแนวคิดด้านจริยธรรม เพื่อท าให้คนในสังคมเกิดความเข้าอกเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความช่วยเหลือ เกื้อกูลกันจนสามารถท าให้เกิดการจัดสรรปันส่วนทรัพยากรไปสู่กลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามคงปฏิเสธ ไม่ได้ว่าหลักการของ Rawls สามารถน าไปสู่การปฏิบัติจริงในเชิงพื้นที่ได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากการด าเนินการดังกล่าว จ าเป็นต้องอาศัยความเข้าอกเข้าใจและการมีส่วนร่วมระดับสังคม ซึ่งตามบริบทความเป็นจริงแล้วคนในสังคมล้วนเต็มไปด้วย ความเห็นแก่ตัว ความขัดแย้ง และความสัมพันธ์เชิงอ านาจ ด้วยเหตุนี้การมีส่วนร่วมต่อการจัดสรรปันส่วนทรัพยากรไปสู่กลุ่ม ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงได้ค่อนข้างยาก บทบาทของแนวคิดความเป็นธรรมต่อการจัดสวัสดิการชุมชน การวิเคราะห์บทบาทของแนวคิดความเป็นธรรมต่อการจัดสวัสดิการชุมชนมีหัวใจส าคัญ คือ การรักษาสิทธิขั้น พื้นฐานของสมาชิกในชุมชนควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นธรรมในชุมชน ทั้งนี้การวิเคราะห์ของผู้ศึกษาจะเป็นการอธิบายที่ มุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับบทบาทของแนวคิดความเป็นธรรมต่อการวางแผนและการบริหารจัดการสวัสดิการชุมชนใน บริบทต่างๆ จากการศึกษาค้นคว้าและทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดความเป็นธรรมในยุคสมัยใหม่ ท าให้ผู้ศึกษา ค้นพบช่องว่างแห่งความแตกต่างระหว่างหลักคิด 3 ชุดหลัก ได้แก่ หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยม และหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยม ซึ่งหมายความว่าการจัด สวัสดิการชุมชนบนพื้นฐานของแนวคิดความเป็นธรรมสามารถเป็นไปได้ในหลายลักษณะ อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาเห็นว่า การจัดสวัสดิการชุมชนที่ดีจ าเป็นต้องถูกประเมินและพิจารณาตรวจสอบบทบาทด้าน การสร้างความเป็นธรรมในชุมชนและวิธีการจัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนในมิติต่างๆ ตัวอย่างเช่น การสร้างเสรีภาพที่ เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรมให้กับสมาชิกในชุมชน การเป็นกระบอกเสียงและการจัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนให้กับกลุ่ม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 127 ผู้ด้อยโอกาสในชุมชน ครอบคลุมไปถึงการสร้างเวทีชุมชนเพื่อวิพากษ์นโยบายของภาครัฐควบคู่ไปกับการแสวงหาแนวทาง เพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน อาจกล่าวได้โดยสรุปว่าแนวคิดความเป็นธรรมควรเข้าไปมีบทบาทส าคัญต่อการแก้ไขปัญหา การเอารัดเอาเปรียบในชุมชน การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ าต่อการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆในชุมชน ครอบคลุมไปถึงการเสริม พลังอ านาจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับสมาชิกในชุมชน บทบาทของหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคมต่อการจัดสวัสดิการชุมชน ทั้งนี้ ผู้ศึกษาเห็นว่า หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคมจะเข้าไปมีบทบาทส าคัญต่อ การเปิดโอกาสให้สมาชิกในชุมชนทุกคนสามารถเข้าถึงและรับประโยชน์จากกิจกรรมด้านสวัสดิการชุมชนได้อย่างถ้วนหน้าตาม หลักเสรีภาพที่เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรม ควบคู่ไปกับการเป็นกระบอกเสียงและการจัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนใน มิติต่างๆ อาทิ มิติด้านสุขภาพอนามัย มิติด้านรายได้และการประกอบอาชีพ มิติด้านนันทนาการ มิติด้านที่อยู่อาศัย และมิติ ด้านความมั่นคงปลอดภัยให้กับสมาชิกในชุมชนตามหลักความแตกต่าง อันเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชนที่มี ความจ าเป็นมากกว่าสามารถเข้าถึงและรับประโยชน์จากการจัดสวัสดิการชุมชนได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ศึกษาจึงท าการจ าแนกบทบาท ของหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคมต่อการจัดสวัสดิการชุมชนออกเป็นสองบทบาทหลัก คือ 1. บทบาทด้านการสร้างเสรีภาพที่เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรมให้กับสมาชิกในชุมชน และ 2. บทบาทด้านการเป็น กระบอกเสียงและการจัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน ทั้งนี้ผู้ศึกษาเห็นว่า บทบาททั้งสองบทบาทจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องด าเนินการควบคู่กันไป ดังนี้ บทบาทแรก คือ บทบาทด้านการสร้างเสรีภาพที่เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรมให้กับสมาชิกในชุมชน ทั้งนี้หลักคิด ความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคมเป็นหลักคิดที่ให้ความส าคัญกับการส่งเสริมและการสนับสนุนให้การจัด สวัสดิการชุมชนมีกระบวนการช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนทุกคนอย่างเป็นธรรม สอดคล้องกับแนวความคิดของ Rawls (2005) นักปรัชญาการเมืองชาวอเมริกัน ที่ได้น าเสนอว่า สมาชิกในสังคมทุกคนควรได้รับการจัดสรรชุดของสิทธิและเสรีภาพพื้นฐาน ต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน โดยชุดของของสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานดังกล่าวจะต้องมีความครบถ้วนเพียงพอและสามารถ เข้ากันได้กับชุดของสิทธิและเสรีภาพแบบเดียวกันกับสมาชิกในสังคมคนอื่นๆดังนั้นผู้ศึกษาจึงเห็นว่าการจัดสวัสดิการชุมชนที่มี ประสิทธิภาพควรมีบทบาทด้านการสร้างเสรีภาพที่เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรมให้กับสมาชิกในชุมชนแทรกตัวอยู่ในทุกย่าง ก้าวตั้งแต่การก่อร่างสร้างตัวไปจนถึงการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกในชุมชน บทบาทที่สอง คือ บทบาทด้านการเป็นกระบอกเสียงและการจัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนใหม่เพื่อให้เกิด ประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน ทั้งนี้หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคมเป็นหลักคิดที่ให้ ความส าคัญกับการสร้างเสียงสะท้อนต่อสถานการณ์ความเหลื่อมล้ าที่เกิดขึ้นในชุมชน โดยมีจุดมุ่งหมายส าคัญ คือ การสร้าง ความตระหนักถึงความส าคัญของประเด็น เรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชนมีคุณภาพชีวิตและ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สอดคล้องกับแนวความคิดของ Rawls (2005) ที่ได้น าเสนอว่า ความเป็นธรรม ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ทางสังคม คือ การมอบสิ่งทดแทนให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เนื่องจาก Rawls (1999) เห็นว่า ความแตกต่างกันทาง สังคมและธรรมชาติของสมาชิกในสังคมเป็นทุนตั้งต้นส าคัญที่ท าให้เกิดความได้เปรียบและความเสียเปรียบต่อการด ารงชีวิต ด้วยเหตุนี้ Rawls (2005) จึงเสนอว่า สมาชิกทุกคนในสังคมควรเข้ามามีบทบาทต่อการส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่ม ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันทางสังคมว่าจะไม่มีสมาชิกคนใดที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบจาก สภาพแวดล้อมทางสังคม นอกจากนี้ Rawls (1999) ยังได้น าเสนอเพิ่มเติมว่าความไม่เสมอภาคและความไม่เท่าเทียมทาง เศรษฐกิจและสังคมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตอบสนองต่อเงื่อนไขส าคัญ 2 หลักการ คือ หลักความเสมอภาคในโอกาส หมายถึง ความไม่เสมอภาคทางด้านเศรษฐกิจและสังคมนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความไม่เสมอภาคดังกล่าวจะเป็นหนทางที่น าไปสู่ การสร้างโอกาสในการไต่เต้าของคนในสังคมและการสร้างผลประโยชน์ต่อส่วนรวม และหลักความแตกต่าง หมายถึง ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมจะต้องเป็นไปเพื่อการชดเชยความด้อยโอกาสให้กับกลุ่มคนที่ด้อยที่สุดในสังคม เพื่อเป็น การสร้างผลประโยชน์และท าให้พวกเขาสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพร่วมกับกลุ่มคนอื่นๆ ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 128 ภาพที่ 1 แสดงบทบาทของหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคมต่อการจัดสวัสดิการชุมชน ที่มา: การสังเคราะห์ข้อมูลของผู้ศึกษา. ในที่นี้มีตัวอย่างของบทบาทด้านการสร้างเสรีภาพที่เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรมให้กับสมาชิกในชุมชน ครอบคลุม ไปถึงบทบาทด้านการเป็นกระบอกเสียงและการจัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสใน ชุมชนบนพื้นฐานของหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม 2 กรณี ดังนี้ กรณีตัวอย่างแรก คือ ธนาคาร Grameen เนื่องด้วยธนาคาร Grameen เป็นสถาบันการเงินชุมชนที่สามารถแก้ไข ปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนตั้งแต่ระดับกลุ่ม ระดับชุมชน ระดับท้องถิ่น และระดับชาติ จนกลายเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติว่ามีผลส าเร็จในเชิงประจักษ์ โดยจะเห็นได้จากการที่ Yunus และธนาคาร Grameen ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจ าปี ค.ศ. 2006 จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและเป้าหมายที่มีต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมใน บังคลาเทศ ส าหรับวิธีการด าเนินงานของธนาคาร Grameen นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 วิธีการหลัก ดังต่อไปนี้ วิธีการแรก คือ การพัฒนาด้านความคิด ทั้งนี้ ในปี ค.ศ. 1971 บังคลาเทศต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตทางด้าน เศรษฐกิจและสังคมอันเป็นผลมาจากการเกิดความวุ่นวายทางการเมือง จากสถานการณ์ดังกล่าวล้วนส่งผลกระทบต่ออัตราการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในบังคลาเทศอย่างมีนัยยะส าคัญ (สุธีรา มิตัง, 2558) อีกทั้ง บังคลาเทศยังต้องเผชิญกับประเด็นปัญหาที่เป็นรากเหง้าของสภาพปัญหาทางด้านสังคมมาอย่างยาวนาน คือ ปัญหา ความยากจนและปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดยจะเห็นได้จากสภาพแวดล้อมทางสังคมของบังคลาเทศที่พยายามกีดกัน ไม่ให้กลุ่มผู้หญิงและกลุ่มคนยากจนเข้ามามีส่วนร่วมต่อการท าธุรกรรมทางการเงินและสินเชื่อกับสถาบันการเงินต่างๆ ใน ประเทศ ครอบคลุมไปถึงการกีดกันไม่ให้กลุ่มผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมต่อการบริหารจัดการทางการเงินของครอบครัว (Yunus, 2001) ด้วยเหตุนี้ Yunus จึงได้ท าการก่อตั้ง ธนาคาร Grameen โดยมีจุดมุ่งหมายส าคัญ คือ การเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้หญิงและ กลุ่มคนยากจนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ าประกันควบคู่ไปกับการจัดอบรมองค์ความรู้ ด้านการบริหารจัดการเงินให้กับพวกเขา วิธีการที่สอง คือ การพัฒนาด้านการปฏิบัติงาน Yunus พยายามคิดค้นกลไกและเครื่องมือส าหรับการสร้าง ประสิทธิภาพและความยั่งยืนให้กับธนาคาร Grameen ตัวอย่างเช่น การสร้างระบบช าระเงินกู้แบบผ่อนรายวัน การหยุดคิด ดอกเบี้ยทันทีเมื่อยอดดอกเบี้ยสูงเท่ากับเงินต้น การไม่เรียกร้องหลักทรัพย์ค้ าประกัน การให้สิทธิแก่สมาชิกซื้อหุ้นในธนาคาร การสร้างระบบอนุมัติเงินกู้แบบกลุ่ม การออกแบบเงื่อนไขเงินกู้ที่มีความยืดหยุ่น การคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ ากว่าธนาคาร พาณิชย์ทั่วไป การสร้างตัวชี้วัดการหลุดพ้นจากบ่วงความยากจนโดยอ้างอิงจากสภาพความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชน หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม บทบาทด้านการสร้างเสรีภาพที่ เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรม ให้กับสมาชิกในชุมชน - การส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกใน ชุมชนทุกคนสามารถเข้าถึงและรับประโยชน์ จากสวัสดิการชุมชนได้อย่างถ้วนหน้า บทบาทด้านการเป็นกระบอกเสียงและการ จัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนใหม่เพื่อให้ เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน - การเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน - การท าให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชนที่มีความจ าเป็น มากกว่าเข้าถึงและรับประโยชน์จากสวัสดิการชุมชนได้ - การแก้ไขสภาพปัญหาความเหลื่อมล้ า ในระดับชุมชนและการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตในระดับชุมชน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 129 การสร้างระบบ Grameen Generalised การสร้างมติ 16 ประการ รวมไปถึงการสร้างแบบประเมินผลการด าเนินงานของ สถาบันการเงินชุมชนสาขาย่อยโดยใช้หลัก Five Star Branch (สุธีรา มิตัง, 2558) วิธีสุดท้าย คือ การพัฒนาด้านนโยบาย จากผลลัพธ์และความส าเร็จของธนาคาร Grameen ในช่วงปี ค.ศ. 2000 ส่งผลทางตรงให้บังคลาเทศเกิดการปรับเปลี่ยนกรอบแนวคิดการพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง โดยจะเห็นได้จากการปรับเปลี่ยน รูปแบบการพัฒนาประเทศจากเดิมที่มุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศแบบรัฐน า ซึ่งมีข้อจ ากัดเกี่ยวกับการกระจายทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างพื้นที่เมืองกับพื้นที่ชนบท มาสู่รูปแบบการพัฒนาแบบ หุ้นส่วนทางสังคมหรือรูปแบบการพัฒนาแบบพหุลักษณ์ที่เปิดโอกาสให้องค์กรภาคเอกชนและองค์กรภาคประชาชนได้เข้ามามี ส่วนร่วมต่อการแก้ไขสภาพปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียมทางเพศ อีกทั้งบังคลาเทศยังมีการปรับเปลี่ยน แนวทางการพัฒนาด้วยวิธีการสร้างความร่วมมือกับองค์กรทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อสร้างภาคีเครือข่ายส าหรับ การด าเนินโครงการและกิจกรรมสนับสนุนสินเชื่อให้กับกลุ่มคนยากจนและกลุ่มผู้หญิง อาทิ ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่าง ประเทศแห่งญี่ปุ่น ส านักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งนอร์เวย์ กองทุนสนับสนุนเงินให้เปล่าแห่ง เนเธอร์แลนด์ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งสวีเดน กองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม Southeast Bank Limited National Bank Limited และ Dhaka Bank Limited (สุธีรา มิตัง, 2558) อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า ประเด็นปัญหา เรื่อง ชนชั้นและความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ เป็นปัจจัยตั้งต้นที่ก่อให้เกิด ความไม่เป็นธรรมด้านการจัดสรรปันส่วนทรัพยากรของบังคลาเทศ ด้วยเหตุนี้ Yunus และธนาคาร Grameen จึงจ าเป็นต้อง เข้าไปมีบทบาทและหน้าที่ส าคัญเกี่ยวกับการสร้างเสรีภาพที่เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรมต่อการเข้าถึงและรับผลประโยชน์ จากสถาบันการเงิน เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ให้กับกลุ่มผู้หญิงและกลุ่มคนยากจนในบังคลาเทศ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์และความส าเร็จของธนาคาร Grameen ได้ขยายเส้นรอบวงทางความคิดและวิถีแห่งการปฏิบัติให้มี ขอบเขตกว้างขวางไปกว่าการปล่อยเงินกู้และการให้ความรู้ทางด้านการบริหารจัดการเงินเพียงเท่านั้น เนื่องจาก หลักคิด ความเป็นธรรมในมิติผู้ด้อยโอกาสทางสังคมของธนาคาร Grameenได้กลายเป็นแนวคิดรากฐานส าคัญที่น าไปสู่การปลุกจิตส านึก และการปลดปล่อยกลุ่มคนยากจนและกลุ่มผู้หญิงในมิติอื่นๆ ด้วยเช่นกัน (กฤษฎา ศุภกิจไพศาล, 2565) ส าหรับตัวอย่างที่เป็น รูปธรรม คือ การเปิดโอกาสให้ผู้หญิงสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ การส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มผู้หญิงสามารถเข้าถึง ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานได้เท่าเทียมกับผู้ชาย การมอบสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานให้กับกลุ่มคนยากจนและกลุ่มผู้หญิงที่เคย ถูกกีดกันออกจากสังคม ครอบคลุมไปถึงการลดจ านวนการคลุมถุงชนและการแต่งงานของเด็กผู้หญิง กรณีตัวอย่างที่สอง คือ กองทุนสวัสดิการชุมชนเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน, 2566) ทั้งนี้ กองทุนสวัสดิการชุมชนเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร มีขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ 7 แขวง 43 ชุมชน โดยกองทุนสวัสดิการ ชุมชนเขตธนบุรี ได้ท าการก่อตั้งขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2555 ปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีเงินกองทุนทั้งหมด 1,250,149 บาท มีจ านวนสมาชิกทั้งหมด 898 คน และมีการจัดสวัสดิการชุมชนเพื่อให้ความช่วยเหลือสมาชิกทั้งหมด 10 ด้าน ได้แก่ ด้านการคลอดและเด็กแรกเกิด ด้านการรักษาพยาบาลและการเจ็บป่วย ด้านผู้สูงอายุ ด้านการเสียชีวิต ด้านการจัดงาน ศพ ด้านผู้ด้อยโอกาสทางสังคมและผู้พิการ ด้านการศึกษา ด้านที่อยู่อาศัยและการซ่อมแซมบ้าน ด้านเด็กและเยาวชน รวมไป ถึงด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากโรค COVID-19 พื้นที่เขตธนบุรี ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคม อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ประชากรในเขตพื้นที่ธนบุรีจ านวนไม่น้อยต้องตกอยู่ในสถานะกลุ่มเสี่ยง สอดคล้องกับ ข้อมูลการส ารวจพื้นที่ร่วมกันระหว่างกลุ่มกองทุนสวัสดิการชุมชนเขตธนบุรีกับกลุ่มภาคีเครือข่าย ที่พบว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ. 2563 พื้นที่เขตธนบุรี มีผู้ติดเชื้อ จ านวน 469 คน ผู้กักตัว จ านวน 1,578 คน และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน การถูกเลิกจ้าง และการขาดรายได้ จ านวน 1,343 คน อีกทั้งพื้นที่เขตธนบุรียังต้องเผชิญกับสถานการณ์แวดล้อมที่ส่งผล กระทบต่อการด ารงชีวิตท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อาทิ การขาดยารักษาโรค COVID-19 รวมไปถึงการขาด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 130 สถานรักษาพยาบาลส าหรับรองรับกลุ่มผู้ติดเชื้อ จนท าให้ผู้ติดเชื้อหลายรายจ าเป็นต้องพักรักษาและกักตัวอยู่ในบ้านของ ตนเอง จากสภาวการณ์ที่กล่าวมาในข้างต้น ส่งผลให้ประธานและคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชนเขตธนบุรีได้ริเริ่มท า การประสานงานร่วมกับสภาองค์กรชุมชนเขตธนบุรีและกลุ่มภาคีเครือข่ายในพื้นที่ อาทิ ส านักงานเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ศูนย์สาธารณสุข วัด และโรงเรียนในพื้นที่ เพื่อวางแผนการด าเนินการแก้ไขสภาพปัญหาต่างๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจาก การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน, 2566) แผนการด าเนินงานระยะที่ 1 คือ ระยะของการเฝ้าระวัง หมายถึง การด าเนินการจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันควบคู่ไป กับการให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์และลักษณะการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 กับสมาชิกในชุมชน เพื่อลดจ านวน การติดเชื้อและการแพร่ระบาดในพื้นที่ ตัวอย่างเช่น การผลิตเจลแอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากอนามัยแบบผ้าเพื่อแจกจ่าย ให้กับสมาชิกในชุมชนและกลุ่มผู้ที่เดือดร้อน การสร้างจุดล้างมือตามสถานที่ต่างๆ ในชุมชน รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์และ รณรงค์ให้สมาชิกในชุมชนช่วยกันดูแลตนเอง ครอบครัว และชุมชน แผนการด าเนินงานระยะที่ 2 คือ ระยะของการสร้างมาตรการและแนวทางการปฏิบัติร่วมกันในชุมชน หมายถึง การเปิดโอกาสให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมต่อการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการตัดสินใจเกี่ยวกับ การก าหนดหลักกติกาด้านการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรค จนสามารถพัฒนาไปสู่การสร้างธรรมนูญชุมชน ส าหรับการป้องกันโรค COVID-19 อันเป็นที่ยอมรับร่วมกันของชุมชนในเขตพื้นที่ธนบุรี แผนการด าเนินงานระยะที่ 3 คือ ระยะของการฟื้นฟูและเยียวยากลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค หมายถึง การด าเนินการจัดเตรียมข้าวสาร อาหารแห้ง ไข่ไก่ ผัก เครื่องดื่ม ยารักษาโรค และสิ่งของที่จ าเป็นส าหรับการช่วยเหลือ กลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดงาน การถูกเลิกจ้าง และการไม่มีงานท าในช่วงเวลาดังกล่าว การสร้างศูนย์พักพิงในพื้นที่ การประสานงานกับมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาเพื่อให้ทางมหาวิทยาลัยช่วยเข้ามาดูแลขั้นตอนการผลิตยา แคปซูลฟ้าทะลายโจรก่อนน าไปแจกจ่ายให้กับสมาชิกในชุมชน ครอบคลุมไปถึงการสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชนด้วย วิธีการปลูกพืชผักสวนครัว การเลี้ยงปลาในบ่อซีเมนต์ การแจกเชื้อของเห็ดนางฟ้า การท าอาหารปรุงสุกแจกวันละ 2 มื้อ (โดย มีการแยกครัวส าหรับสมาชิกที่เป็นชาวมุสลิม) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงหลักการสร้างเสรีภาพที่เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรมที่ อธิบายว่ามนุษย์แต่ละคนควรได้รับการจัดสรรชุดของสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน โดยชุดของสิทธิและเสรีภาพ พื้นฐานดังกล่าวจะต้องมีความครบถ้วนเพียงพอและสอดคล้องกับชุดสิทธิและเสรีภาพแบบเดียวกันของคนอื่น ๆ (Rawls, 2005) รวมไปถึงการแจกถุงยังชีพเพื่อให้กลุ่มเสี่ยงที่กักตัวอยู่ในบ้านสามารถน าไปใช้ท าอาหารได้ประมาณ 1 สัปดาห์ นอกจากนี้ ประธานและคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชนเขตธนบุรี ยังได้ท าการก าหนดกฎระเบียบและหลัก กติกาด้านการรับเงินสวัสดิการชุมชนเพิ่มเติม เพื่อให้สอดรับและเท่าทันต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 หรือ อาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ประธานและคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชนเขตธนบุรี ได้ร่วมกันจัดท าระบบสวัสดิการชุมชน ส าหรับช่วยเหลือกลุ่มผู้ติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 รายละ 2,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจาก การหยุดงานในช่วงพักรักษาตัว อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า ประธานและคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชนเขตธนบุรีมีจุดแข็ง ด้านความตื่นรู้และความกระตือรือร้นต่อการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลไกส าคัญที่ป้องกัน ไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงไปตามยถากรรมจนท าให้สมาชิกในชุมชนต้องเผชิญกับความเดือดร้อนและความยากล าบาก จนเกินไป อีกทั้ง ประธานและคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชนเขตธนบุรี ยังมีความเข้าใจว่าสถานภาพทางเศรษฐกิจและ สังคมล้วนส่งผลทางตรงต่อระดับความเสี่ยงและความสามารถต่อการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โรค COVID-19 ด้วยเหตุนี้ ประธานและคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชนเขตธนบุรี จึงพยายามมุ่งเน้นและให้ความส าคัญ กับการศึกษาและท าความเข้าใจถึงผลกระทบของโรค COVID-19 ที่มีต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชนควบคู่ไปกับการสื่อสารและ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 131 ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับลักษณะของอาการ ลักษณะของการแพร่ระบาด รวมไปถึงวิธีการป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาดของ โรค COVID-19 ในท้ายที่สุด ผู้ศึกษาเห็นว่า หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม จะเข้าไปมีบทบาทส าคัญต่อ การเปิดเผยถึงประสบการณ์และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการดิ้นรนต่อสู้และความยากล าบากต่อการด าเนินชีวิตท่ามกลาง สถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ของสมาชิกในชุมชน หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า หลักคิดความเป็นธรรมในมิติ ของผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม มีความส าคัญอย่างมากต่อกระบวนการศึกษาและท าความเข้าใจวิถีชีวิตและประสบการณ์ของ สมาชิกในชุมชนท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ด้วยเหตุนี้ ผู้ศึกษาจึงเห็นว่า การจัดสวัสดิการชุมชน บนพื้นฐานของหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคมจะสามารถแสวงหาทางออกให้กับประเด็น เรื่อง ความเหลื่อมล้ าในระดับชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชนได้ส าเร็จ อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม จะสามารถน าพาการจัดสวัสดิการ ชุมชนไปสู่การสร้างความเข้าอกเข้าใจ การสร้างบรรทัดฐานการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมไปถึงการจัดสรรปันส่วนสวัสดิการ ชุมชนให้ครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชนได้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การด าเนินการแก้ไขสภาพปัญหาด้าน ความเหลื่อมล้ าในระดับชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชนด้วยวิธีการจัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนให้ ครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชนควรด าเนินการควบคู่ไปกับการขจัดต้นตอของโครงสร้างความเหลื่อมล้ าต่างๆ ที่ เกิดขึ้นในชุมชน (กฤษฎา ศุภกิจไพศาล, 2565) อาทิ สภาพปัญหาความสัมพันธ์เชิงอ านาจในชุมชน สภาพปัญหาการฉกฉวย ผลประโยชน์จากระบบสวัสดิการชุมชน สภาพปัญหาการประทับมลทินให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน รวมไปถึงสภาพปัญหา การใช้ความรุนแรงกับกลุ่มคนที่เห็นต่างจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชุมชน บทบาทของหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมและเสรีนิยมต่อการจัดสวัสดิการชุมชน ทั้งนี้ ผู้ศึกษาเห็นว่า หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมและเสรีนิยม เป็นหลักคิดความเป็นธรรม ในยุคสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมและถูกน ามาปรับใช้เป็นหลักคิดฐานรากส าหรับการจัดสวัสดิการสังคมของภาครัฐในหลาย ประเทศ ส าหรับตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม คือ รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมบนฐานคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์ นิยมหรือการจัดสวัสดิการสังคมแบบรัฐสวัสดิการ หมายถึง รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมที่มุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับ การส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงระบบสวัสดิการสังคมได้อย่างเสมอภาค ถ้วนหน้า และทั่วถึง โดย ไม่ค านึงถึงความแตกต่างด้านสถานภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประชาชน หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมบนฐานคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยม เป็นรูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมที่ มุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม (ระพีพรรณ ค าหอม, 2557) ด้วยวิธีการสร้างความสมดุล ระหว่างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจกับการกระจายซ้ าทางสังคม โดยภาครัฐจะเป็นผู้ที่เข้ามามีบทบาทหลักต่อการจัด สวัสดิการสังคมให้กับประชาชนในประเทศ อาทิ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และหลักประกันการศึกษาภาคบังคับ โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและหลักประกันการศึกษาภาคบังคับ ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างการจัดสวัสดิการ สังคมตามหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมในเชิงอุดมคติ เนื่องจากเป็นระบบสวัสดิการด้านสุขภาพและ ด้านการศึกษาที่ให้สวัสดิการแก่ประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึงและเสมอภาค โดยไม่ค านึงถึงข้อจ ากัดและความแตกต่างทางด้าน เชื้อชาติ สีผิว ศาสนา และความเชื่อ โดยมีการใช้งบประมาณจากภาษีที่มีการจัดเก็บแบบขั้นบันไดหรือแบบอัตราก้าวหน้า อันหมายถึง การที่กลุ่มผู้ที่มีรายได้มากกว่าต้องจ่ายภาษีให้กับภาครัฐมากกว่ากลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย หากแต่เมื่อน ามาจัด สวัสดิการสังคมแล้ว (พงษ์เทพ สันติกุล, 2563) ประชาชนทุกคนจะมีสิทธิได้รับสวัสดิการสังคมดังกล่าวอย่างเท่าเทียมกันตาม รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมแบบทั่วถึง (Universal Social Welfare) ซึ่งถือได้ว่าเป็นลักษณะของการสร้างความเป็นธรรม ด้านสุขภาพและด้านการศึกษาตามหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมในเชิงอุดมคติ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 132 รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมบนฐานคิดความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยมหรือการจัดสวัสดิการสังคมแบบเก็บตก (ระพีพรรณ ค าหอม, 2557) หมายถึง รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมที่มุ่งเน้นและให้ความส าคัญการปฏิรูปจากระบบสวัสดิการ สังคมที่มีความครอบคลุมประชาชนในประเทศอย่างกว้างขวางมาเป็นระบบการเลือกให้แบบเฉพาะเจาะจงตามมาตรฐานขั้นต่ า ส าหรับการป้องกันทางสังคมและการช่วยเหลือประชาชนบางกลุ่มให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤตของชีวิต ควบคู่ไปกับการเปิด โอกาสให้กลไกตลาดได้เข้ามามีบทบาทต่อการกระจายความมั่นคั่งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมตามหลักการของทฤษฎีหยดน้ า (Trickle Down Effect Theory) ที่มีความเชื่อพื้นฐานว่ากระบวนการพัฒนาประเทศที่ดีจะต้องเริ่มต้นจากการกระจาย ทรัพยากรอันทรงคุณค่าให้กับกลุ่มประชาชนที่มีศักยภาพ ความสามารถ และความพร้อมมากกว่า เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้ น าทรัพยากรดังกล่าวไปต่อยอดผลประโยชน์ให้กับประเทศ (Nozick, 1999) เพราะในท้ายที่สุดแล้วผลประโยชน์และ ความเจริญรุ่งเรืองก็จะไหล่บ่าและกระจายซ้ ากลับมาสู่ประชาชนกลุ่มอื่นๆ ของประเทศ ด้วยเหตุนี้ ผู้ศึกษาจึงเห็นว่า หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมและหลักคิดความเป็นธรรมในมิติ ของเสรีนิยมจะเข้าไปมีบทบาทส าคัญต่อการวิพากษ์นโยบายของภาครัฐควบคู่ไปกับการเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน อาจกล่าวได้ โดยสรุปว่า ผู้ศึกษามีความเชื่อพื้นฐานว่าหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมและหลักคิดความเป็นธรรมในมิติ ของเสรีนิยมยังคงมีความจ าเป็นต่อการน ามาใช้ระดมทรัพยากรเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชนควบคู่ไปกับการน ามาใช้วิพากษ์ เพื่อเปรียบเทียบบริบทเชิงนโยบายที่ลงไปสู่ชุมชน ดังแผนภาพต่อไปนี้ ภาพที่ 2 แสดงบทบาทของหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมและเสรีนิยมต่อการจัดสวัสดิการชุมชน ที่มา: การสังเคราะห์ข้อมูลของผู้ศึกษา. ในที่นี้มีตัวอย่างของบทบาทด้านการวิพากษ์นโยบายของภาครัฐและการเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชนบนพื้นฐานของ หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมและหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยม ดังนี้ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ล้วนส่งผลกระทบทางตรงต่อเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจและ สังคมของประเทศไทยอย่างเป็นวงกว้าง ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐจึงพยายามคิดค้นมาตรการต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ ส าหรับตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของโครงการภาครัฐที่เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 และส่งผลต่อ สมาชิกในชุมชน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 โครงการหลักๆ (มณิภัทร์ ไทรเมฆ, 2564) ซึ่งมีเนื้อหาและรายละเอียดดังต่อไปนี้ หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยม หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยม รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคม แบบครอบคลุม ถ้วนหน้า และทั่วถึง รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมแบบ เฉพาะเจาะจงตามมาตรฐานขั้นต่ า ส าหรับการป้องกันทางสังคมและ การ ช่วยเหลือคนในสังคมบางกลุ่มให้รอด พ้นจากภาวะวิกฤตในชีวิต บทบาทด้านการวิพากษ์นโยบายของภาครัฐและการเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน - การระดมทรัพยากรเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน - การวิพากษ์เพื่อเปรียบเทียบบริบทเชิงนโยบายที่ลงไปสู่ชุมชน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 133 โครงการแรก คือ โครงการเพิ่มก าลังซื้อให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หมายถึง โครงการที่มีจุดมุ่งหมายด้าน การกระจายรายได้ไปสู่กลุ่มผู้ประกอบการในแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือ การเยียวยา และการลดภาระค่าใช้จ่าย ให้กับกลุ่มประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จ านวน 14 ล้านคน ทั้งนี้ภาครัฐเห็นว่ากลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหลายราย ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ดังนั้นภาครัฐจึงเห็นว่าโครงการดังกล่าวจะเข้าไปมี ส่วนช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายส าหรับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จ าเป็นจากร้านธงฟ้าประชารัฐในแต่ละพื้นที่ได้ โดยทาง ภาครัฐ จะมอบวงเงินให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นจ านวนเงิน 500 บาท ต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม-เดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 โครงการที่สอง คือ โครงการคนละครึ่ง หมายถึง โครงการที่มีจุดมุ่งหมายด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจรากฐานส าหรับ กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยในแต่ละพื้นที่ โดยทางภาครัฐจะท าการช่วยเหลือประชาชนผู้ที่มีสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน และ มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ด้วยวิธีการร่วมจ่ายค่าเครื่องดื่ม ค่าอาหาร และค่าสินค้าทั่วไปผ่านฝ่ายของผู้ซื้อร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน และไม่เกิน 3,000 บาท ต่อคน อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า โครงการคนละครึ่ง จะเข้าไปมีบทบาทด้าน การลดภาระค่าใช้จ่ายของภาคประชาชน ไปพร้อมๆ กับการเพิ่มศักยภาพด้านก าลังซื้อเพื่อให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายหมุนเวียน ครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยในแต่ละพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ประชาชนผู้ที่มีสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน และมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปจะต้องท าการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งผ่านทาง www.คนละครึ่ง.com โดย ผู้ที่ได้รับสิทธิ์จะต้องยืนตัวตนผ่านระบบ G-Wallet ของ Application เป๋าตัง ให้เรียบร้อยก่อนจึงจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้า ที่ติดตั้ง Application ถุงเงินได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง มีความคาดหวังว่า โครงการเพิ่มก าลังซื้อให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการ คนละครึ่งจะเข้าไปมีส่วนช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อย ไปพร้อมๆ กับการรักษาเสถียรภาพของ ก าลังซื้อในระบบเศรษฐกิจจากการเติมวงเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 81,000 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชน 24 ล้านคน สอดคล้องกับแนวคิดของอธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจ าคณะเศรษฐศาสตร์และผู้อ านวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พยายามสะท้อนให้เห็นว่า การแจกเงินเพื่อการบริโภคโดยเฉพาะ (Consumption-mandated Stimulus) นั้นเป็นรูปแบบโครงการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคสมัยที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น (ไทยรัฐ, 2566) โดยทางภาครัฐจะน า Digital Platforms มาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือส าหรับการก าหนดการใช้จ่ายของกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างที่เด่นชัด คือ การมอบคูปองส่วนลดเมื่อประชาชนใช้จ่ายตามยอดที่ก าหนดไว้ของประเทศจีน และการร่วมจ่ายเงิน คนละครึ่งของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อธิภัทร มุทิตาเจริญ ยังคงให้ค าแนะน าว่ากรอบวินัยด้านการคลังและเครดิตการกู้ยืม เงินของประเทศไทยในอนาคตก็เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรให้ความส าคัญด้วยเช่นกัน (ไทยรัฐ, 2566) ในส่วนของผู้ศึกษาเห็นว่า โครงการเพิ่มก าลังซื้อให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการคนละครึ่ง นั้นถือ ได้ว่าเป็นโครงการที่มีกระบวนการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งแน่นอนว่าการด าเนินการดังกล่าวย่อมส่งผลทางตรงต่อมิติทางด้านเศรษฐกิจของประเทศใน แง่มุมต่างๆ อาทิ การเพิ่มก าลังการบริโภค การเพิ่มก าลังการผลิตสินค้าและบริการ รวมไปถึงการเพิ่มอัตราการจ้างงาน ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาเห็นว่าโครงการเพิ่มก าลังซื้อให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการคนละครึ่ง ไม่ใช่โครงการแก้ไขสภาพปัญหาความเหลื่อมล้ าทางสังคมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแนวทางของการพัฒนาที่ยั่งยืน เนื่องด้วยผู้ศึกษาเห็นว่าถ้าหากภาครัฐยังคงใช้โครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนไปอย่างต่อเนื่องในทุกยุคทุกสมัย โดยไม่ได้ มีการก าหนดกรอบของระยะเวลาส าหรับการให้ความช่วยเหลือหรือไม่มีโครงการอื่นๆ เข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่ม ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 สามารถ พึ่งตนเองและหลุดพ้นจากสภาพปัญหาดังกล่าวได้ โครงการเหล่านี้ก็จะไม่สามารถแก้ไขสภาพปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 134 สังคมของประเทศได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งโครงการเหล่านี้ยังอาจกลายเป็นชนวนเหตุที่น าไปสู่สภาพปัญหาเงินเฟ้อและหนี้ สาธารณะในอนาคตได้เช่นกัน ทั้งนี้ ผู้ศึกษาเห็นว่า โครงการเพิ่มก าลังซื้อให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการคนละครึ่ง เป็นหนึ่งใน วิธีการสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Nets) ตามหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยม (ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2544) อันหมายถึง การสร้างระบบบริการเพื่อให้ความ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วิกฤตทางด้านภัยธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อท าให้ ประชาชนสามารถมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้ หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า การสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคม เป็นวิธีการมอบสิทธิขั้นพื้นฐานและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ต้องเผชิญกับสภาพปัญหาความเดือดร้อนและความ ยากล าบากในชีวิตเพื่อท าให้พวกเขาสามารถด ารงชีวิตอยู่รอดปลอดภัยต่อไปในสังคมได้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผู้ศึกษาเห็นว่า วิธีการสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมเป็นสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาเห็นว่าสิ่งที่ทุกภาคส่วนควรให้ความส าคัญควบคู่ไปด้วย คือ การตรวจสอบและประเมินกระบวนการ ด าเนินงานในเชิงปฏิบัติของแต่ละโครงการ เนื่องด้วยผู้ศึกษาเห็นว่า โครงการแก้ไขสภาพปัญหาความเหลื่อมล้ า และการพัฒนา คุณภาพชีวิตตามหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยม อาจลงไปไม่ถึงมือของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชนที่ภาครัฐต้องการ ให้ความช่วยเหลือจริงๆ ถ้าหากเจ้าหน้าที่และภาคีเครือข่ายผู้ด าเนินโครงการในระดับปฏิบัติการไม่สามารถก าหนดหลักเกณฑ์ การให้ความช่วยเหลือและแยกแยะระดับของความเดือนร้อนและความยากล าบากได้อย่างรัดกุมมากพอที่จะไม่ท าให้คนที่ ยากล าบากน้อยกว่าเอาเปรียบคนที่ยากล าบากที่สุดในชุมชนได้ หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า การด าเนินงานของโครงการแก้ไขสภาพปัญหาความเหลื่อมล้ าและการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตตามหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยม จ าเป็นต้องให้ความส าคัญกับการตรวจสอบสภาพปัญหาและการประเมิน ความต้องการของประชาชนผู้ที่ประสบกับความเดือดร้อนและความยากล าบากในชีวิตเพื่อให้ความช่วยเหลือแบบจ ากัดตาม หลักการทดสอบความจ าเป็นที่นิยมเรียกกันว่า เครื่องมือทดสอบความจ าเป็น (Means-Test) ทั้งนี้ Means-Test (ระพีพรรณ ค าหอม, 2549) จะถูกน ามาปรับใช้กับโครงการส าหรับการให้ความช่วยเหลือกลุ่มประชาชนผู้ประสบกับความเดือดร้อนและ ความยากล าบากในชีวิตแบบเฉพาะเจาะจง แตกต่างจากรูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมบนฐานคิดความเป็นธรรมในมิติของ อรรถประโยชน์นิยมที่มีความเชื่อพื้นฐานว่า การแก้ไขสภาพปัญหาความเหลื่อมล้ าทางสังคมและการพัฒนาคุณภาพชีวิต ควรด าเนินการผ่านการมอบหลักประกันการเข้าถึงสวัสดิการสังคมให้แก่ประชาชนทุกคนอย่างครอบคลุมและถ้วนหน้า (กฤษฎา ศุภกิจไพศาล, 2565) โดยไม่จ าเป็นต้องน าเครื่องมือทดสอบความจ าเป็น (Means-Test) มาทดสอบคุณสมบัติของ ประชาชนแต่ละคนก่อนเข้ารับบริการ อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า ผู้ศึกษาเห็นว่า โครงการเพิ่มก าลังซื้อให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการคนละ ครึ่ง เป็นเพียงแค่โครงการเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ แพร่ระบาดของโรค COVID-19 เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เนื่องด้วยเนื้อหาและรายละเอียดของวิธีการด าเนินการดังกล่าว ไม่ได้แตกต่างไปจากการสงเคราะห์แบบให้เปล่า ซึ่งไม่สามารถช่วยให้กลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มประชาชนที่ได้รับ ผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 หลุดพ้นจากสภาพปัญหาต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน เพราะแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่กลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ต้องการ คือ การมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่ไปกับการมีความสามารถต่อการด ารงชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเอง ด้วยเหตุนี้ ผู้ศึกษา จึงได้ท าการตั้งค าถามในล าดับถัดไปว่า โครงการเพิ่มก าลังซื้อให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการคนละครึ่ง อาจกลายเป็นชนวนเหตุที่ก่อให้เกิดบรรยากาศของความเสี่ยง ซึ่งมีนัยยะของการลดทอนศักยภาพและความสามารถต่อ การพึ่งพาตนเองของประชาชนแอบแฝงอยู่หรือไม่ เนื่องจากโครงการดังกล่าวอาจท าให้ประชาชนเกิดความรู้สึกถึงความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและความเป็นธรรมทางสังคมด้วยวิธีการพึ่งพิงและรอคอยความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงหนทางเดียว


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 135 อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาไม่สามารถปฏิเสธไม่ได้ว่า โครงการเพิ่มก าลังซื้อให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและ โครงการคนละครึ่ง เป็นโครงการที่มีจุดแข็งด้านการสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมเพื่อท าให้กลุ่มประชาชนผู้มีรายได้ น้อยและกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 พอจะอยู่รอดต่อไปได้ในสังคม ดังนั้นผู้ศึกษาจึงได้ค้นพบค าตอบที่เป็นสัจธรรมว่า กลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 จ าเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือเพื่อป้องกันและคุ้มครองไม่ให้พวกเขาต้อง เผชิญกับสภาพปัญหาความเดือนร้อนและความยากล าบากในชีวิตที่หนักจนเกินไป แล้วจึงค่อยสร้างรากฐานของการเรียนรู้ และการเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ใช้ชุมชนและตัวของพวกเขาเองเป็นฐาน เพื่อก่อให้เกิดความเข้มแข็งแบบค่อยเป็น ค่อยไปจนสามารถพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต ในท้ายที่สุด ผู้ศึกษาเห็นว่า การจัดสวัสดิการชุมชน ควรเข้ามามีบทบาทต่อการสร้างความเข้มแข็งและการเปิด โอกาสให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน เพื่อเป็นการสร้างพลังอ านาจและก าลังใจให้พวกเขาสามารถผ่านพ้นสภาพปัญหา ความเดือดร้อนและความยากล าบากในชีวิตไปได้ด้วยดี โดยผู้ศึกษาเห็นว่ากลุ่มผู้น าชุมชนและกลุ่มสมาชิกในชุมชนควรร่วม ระดมทรัพยากรกับภาคส่วนต่างๆ อาทิ ภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาค ภาคเอกชน เครือข่าย ภาคประชาสังคม และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อรังสรรค์สวัสดิการชุมชน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมแบบ พหุลักษณ์ที่นอกเหนือไปจากการจัดสวัสดิการสังคมด้วยวิธีการเลือกให้แบบเฉพาะเจาะจงขั้นต่ าตามความต้องการจ าเป็นและ การจัดสวัสดิการสังคมแบบถ้วนหน้า กรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ จากการศึกษาเอกสารและทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรอบแนวคิดความเป็นธรรมต่อการจัดสวัสดิการชุมชน ท าให้ผู้ศึกษาค้นพบว่าการจัดสวัสดิการชุมชนไม่สามารถด ารงอยู่ได้โดยปราศจากแนวคิดความเป็นธรร ม เนื่องจากผู้ศึกษา เห็นว่า แนวคิดความเป็นธรรม เป็นแนวคิดรากฐานที่ท าให้การจัดสวัสดิการชุมชนมีรูปแบบการประเมินและการพิจารณา ตรวจสอบกระบวนการจัดสวัสดิการชุมชน เพื่อท าให้การจัดสวัสดิการชุมชนสามารถจัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนในด้าน ต่างๆ ให้แก่สมาชิกในชุมชนทุกคนได้อย่างเป็นธรรม ส าหรับการศึกษาเอกสารและทบทวนวรรณกรรมในครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ท า การก าหนดคุณค่าและตีความหมายว่า กรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ หมายถึง กรอบแนวคิดหรือชุดความเชื่อพื้นฐานว่าด้วยความจริงตามธรรมชาติที่ถูกน ามาปรับใช้ในการอธิบายหลักคิด ความเป็นธรรมในเชิงทัศนะและบทบาทที่มีต่อการจัดสวัสดิการชุมชน โดยเนื้อหาและรายละเอียดของกรอบแนวคิดดังกล่าวจะ มีความหมายที่ครอบคลุมถึงมิติด้านการจัดสวัสดิการชุมชน มิติด้านความสัมพันธ์ในชุมชน และมิติด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของสมาชิกในชุมชน ทั้งนี้ผู้ศึกษาขอความกรุณาให้ผู้อ่านทุกท่านเข้าใจตรงกันว่า กรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้ แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ เป็นเพียงแค่กรอบแนวคิดหรือชุดความเชื่อพื้นฐานที่สามารถน าไปวิพากษ์วิจารณ์และ พัฒนาต่อยอดได้ตลอดเวลา เนื่องจากผู้ศึกษาเห็นว่ากรอบแนวคิดดังกล่าวเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานทางวิชาการที่ผู้ศึกษาได้ ท าการวิเคราะห์และสังเคราะห์มาจากการศึกษาเอกสารและทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีเนื้อหาและรายละเอียด ต่อไปนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 136 ภาพที่ 3 แสดงกรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ ที่มา: การสังเคราะห์ข้อมูลของผู้ศึกษา. แนวคิดความเป็นธรรม หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยม หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยม บทบาทด้านการสร้างเสรีภาพที่เท่าเทียม และโอกาสที่เป็นธรรมให้กับสมาชิกในชุมชน บทบาทด้านการเป็นกระบอกเสียงและการ จัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนใหม่เพื่อให้ เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน บทบาทด้านการวิพากษ์นโยบายของภาครัฐ และการเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน ภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาค ภาคเอกชน เครือข่ายภาคประชาสังคม ชุมชน และหน่วยงานในพื้นที่ ภาคส่วนต่างๆ ที่มีส่วนร่วมต่อการจัดสวัสดิการชุมชน การสร้างความคิด บทบาทด้านการจัดสวัสดิการชุมชน การสร้างความเข้าใจ การสร้างความสัมพันธ์ การประยุกต์ใช้ข้อเท็จจริงและองค์ความรู้ด้านความเป็นธรรมและการจัดสวัสดิการชุมชน จากประสบการณ์และสถานการณ์ในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต - การสร้างรูปแบบการจัดสวัสดิการชุมชนที่มีกระบวนการช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนทุกคนอย่างเป็นธรรม - การก าหนดหลักกติกาด้านการเข้าถึงสวัสดิการชุมชนอย่างเป็นธรรม - การปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชนด้วยความเข้าใจ - การให้ความส าคัญกับการระดมทรัพยากรเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน - การตื่นรู้ต่อการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งผลกระทบต่อสมาชิกในชุมชน การแก้ไขสภาพปัญหาความเหลื่อมล้ าในระดับชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 137 จากแผนภาพที่ 3 สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมของกรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรม ในเชิงอุดมคติ ซึ่งมีเนื้อหาและรายละเอียดดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ผู้ศึกษาเห็นว่าแนวคิดความเป็นธรรมมีลักษณะเป็นหน่วยวิเคราะห์ขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยหลักคิดย่อย จ านวนมาก ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบทบาทของหลักคิดความเป็นธรรมต่อการจัดสวัสดิการชุมชนย่อม แปรผันไปตามความแตกต่างของชุดความจริง ชุดความรู้ และชุดความเชื่อพื้นฐานของหลักคิดแต่ละแบบ ดังนั้นกรอบแนวคิด การจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติที่ดีจึงควรมีการขยายขอบเขตของการวิเคราะห์หลักคิด ความเป็นธรรมในยุคสมัยใหม่ อันได้แก่ หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยม หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของ เสรีนิยม และหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคมให้มีเนื้อหาและรายละเอียดที่กว้างขวางและครอบคลุม กว่าเดิม ด้วยวิธีการระบุว่าหลักคิดความเป็นธรรมแต่ละแบบมีบทบาทต่อการจัดสวัสดิการชุมชนอย่างไร อาทิ หลักคิด ความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมและหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของเสรีนิยมต่อบทบาทด้านการวิพากษ์นโยบาย ของภาครัฐและการเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน หลักคิดความเป็นธรรมในมิติของผู้ด้อยโอกาสทางสังคมต่อบทบาทด้านการสร้าง เสรีภาพที่เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรมให้กับสมาชิกในชุมชน ครอบคลุมไปถึงบทบาทด้านการเป็นกระบอกเสียงและ การจัดสรรปันส่วนสวัสดิการชุมชนใหม่เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ศึกษายังเห็นว่ากรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติที่ดี ควรมีความเชื่อมโยงและความสอดคล้องกับการสร้างความคิด หมายถึง การใช้ความคิดและสติปัญญาส าหรับการด าเนินงาน ด้านสวัสดิการชุมชนอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามหลักคิดความเป็นธรรม การสร้างความเข้าใจ หมายถึง การมุ่งเน้นและให้ ความส าคัญกับการเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ความคิดเห็น และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของสมาชิกในชุมชนทุกคน อย่างเท่าเทียมกัน และการสร้างความสัมพันธ์ หมายถึง การมุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างสมาชิกในชุมชนแต่ละรุ่น ซึ่งครอบคลุมไปถึงการปรับตัวและการสรรสร้างกิจกรรมด้านสวัสดิการชุมชนที่สามารถ ตอบสนองต่อความต้องการของสมาชิกในชุมชนและการเปลี่ยนแปลงเชิงบริบทของชุมชนในปัจจุบัน หรืออาจกล่าวได้อีก นัยหนึ่งว่าการสร้างความสัมพันธ์ เป็นการตระหนักถึงความส าคัญของการสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อ การด าเนินชีวิตและการใช้ชีวิตร่วมกันของสมาชิกในชุมชน นอกจากนี้ผู้ศึกษายังเห็นว่าภาคส่วนต่างๆ ที่มีส่วนร่วมต่อการจัดสวัสดิการชุมชน อันได้แก่ ภาครัฐ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาค ภาคเอกชน เครือข่ายภาคประชาสังคม ชุมชน และหน่วยงานในพื้นที่จ าเป็นอย่างยิ่งที่ จะต้องเรียนรู้และท าความเข้าใจวิธีการสร้างความคิด ความเข้าใจ และความสัมพันธ์ดังกล่าว ควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้ ข้อเท็จจริงและองค์ความรู้ด้านความเป็นธรรมและการจัดสวัสดิการชุมชนจากประสบการณ์และสถานการณ์ในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต อันหมายถึง การตื่นรู้ต่อข้อเท็จจริงและเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับหลักคิดความเป็นธรรมและกิจกรรมด้าน สวัสดิการชุมชนอย่างเป็นองค์รวม เนื่องด้วยผู้ศึกษาเห็นว่าการวิเคราะห์และการสังเคราะห์ข้อเท็จจริงและประสบการณ์ด้าน การจัดสวัสดิการชุมชนที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศจะเป็นวิธีการที่น าไปสู่การสะท้อนภาพรวมของข้อจ ากัด เงื่อนไข และความเป็นไปได้ของการสร้างรูปแบบการจัดสวัสดิการชุมชนที่มีกระบวนการช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนทุกคนอย่าง เป็นธรรม การก าหนดหลักกติกาด้านการเข้าถึงสวัสดิการชุมชนอย่างเป็นธรรม การปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชนด้วย ความเข้าใจ การระดมทรัพยากรเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ ส่งผลกระทบต่อสมาชิกในชุมชน ในท้ายที่สุด ผู้ศึกษาเห็นว่าทุกภาคส่วนควรมุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับการพัฒนาเครือข่ายการท างานด้าน สวัสดิการชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง ด้วยวิธีการเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้น าชุมชน กลุ่มสมาชิกในชุมชน และกลุ่มภาคเครือข่ายที่ ท างานร่วมกับชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมต่อการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นของตนเอง โดยผ่านขั้นตอนของการศึกษาชุมชน การวิจัยชุมชน และการวิเคราะห์แนวทางส าหรับการแก้ไขสภาพปัญหาความเหลื่อมล้ าในระดับชุมชนและการพัฒนาคุณภาพ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 138 ชีวิตในระดับชุมชนร่วมกัน แม้กระนั้น ผู้ศึกษามีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่าหลักคิดความเป็นธรรมจะสามารถน ามาประยุกต์ใช้ เป็นกลไกส าหรับการส่งเสริมและการสนับสนุนให้ชุมชนเกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระบวนการแก้ไขปัญหา และ กระบวนการพัฒนารูปแบบการจัดสวัสดิการชุมชนให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น อาจกล่าวได้โดยสรุปว่ากลุ่มผู้น า ชุมชน กลุ่มสมาชิกในชุมชน และกลุ่มภาคีเครือข่ายที่ท างานร่วมกับชุมชนควรเป็นกลุ่มที่มีพลังอ านาจต่อการตัดสินใจเลือก สร้างและธ ารงรักษารูปแบบ กิจกรรม รวมไปถึงหลักกติกาด้านการจัดสวัสดิการชุมชน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการแก้ไข สภาพปัญหาความเหลื่อมล้ าในระดับชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชน บทสังเคราะห์ สมาชิกในชุมชนแต่ละคนล้วนมีความต้องการและเป้าหมายในการด าเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้นการก าหนด หลักความเป็นธรรมที่สามารถเป็นตัวแทนและเป็นที่ยอมรับร่วมกันของสมาชิกในชุมชนทุกคนจึงเป็นประเด็นที่ท าได้ ยากล าบากพอสมควร (กฤษฎา ศุภกิจไพศาล, 2565) อย่างไรก็ตามชุมชนก็ไม่สามารถด ารงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพหาก ปราศจากหลักความเป็นธรรม เนื่องจากการปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เป็นธรรมของสมาชิกในชุมชนเป็นสาเหตุส าคัญท าให้เกิด สภาพปัญหาอื่นๆ ตามมาอย่างไม่รู้จบ อาทิ สภาพปัญหาด้านความเหลื่อมล้ าในระดับชุมชน สภาพปัญหาด้านธรรมาภิบาลใน ระดับชุมชน และสภาพปัญหาการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชน อาจกล่าวได้ว่า หลักความเป็นธรรม เป็นกลไกส าคัญที่ท า ให้สมาชิกในชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาจึงจัดท าบทความวิชาการขึ้นมาเพื่อศึกษาและทบทวนหลักความเป็นธรรมขั้นพื้นฐานที่สามารถ สร้างโอกาสและท าให้สมาชิกในชุมชนทุกคนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตตามความต้องการของตนเองไปพร้อมๆ กับการสร้าง ความเข้มแข็งให้กับชุมชนได้ และในที่สุด ผู้ศึกษาได้ค้นพบว่าหลักความเป็นธรรมที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถน าไปสู่เป้าหมาย ใน ข้างต้นได้ คือ หลักความเป็นธรรมในมิติของผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม เนื่องจากหลักความเป็นธรรมดังกล่าวเป็นหลักการที่ พยายามมุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับการเปิดโอกาสให้สมาชิกในชุมชนทุกคนสามารถรับประโยชน์จากสวัสดิการชุมชนได้ อย่างถ้วนหน้าตามหลักเสรีภาพที่เท่าเทียมและโอกาสที่เป็นธรรม ควบคู่ไปกับการเป็นกระบอกเสียงและการจัดสรรปันส่วน สวัสดิการชุมชนในด้านต่างๆ ให้กับสมาชิกในชุมชนตามหลักความแตกต่าง อันเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน หมายถึง กลุ่มสมาชิกในชุมชนที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิอันชอบธรรมเกี่ยวกับการได้รับบริการพื้นฐานจากทางภาครัฐและ สวัสดิการสังคม ซึ่งมีความจ าเป็นมากกว่าสามารถเข้าถึงและรับประโยชน์จากการจัดสวัสดิการชุมชนได้ กล่าวโดยสรุปได้ว่า สถานการณ์ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางสังคม ล้วนท าให้สมาชิกในชุมชนบางกลุ่มต้อง กลายเป็นผู้ที่เดือดร้อนและด้อยโอกาสในมิติของการครอบครองปัจจัยพื้นฐานและการเข้าถึงบริการทางสังคม ด้วยเหตุนี้กรอบ แนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนในยุคสมัยปัจจุบันจึงควรมุ่งเน้นและให้ความส าคัญกับการท าให้ความแตกต่างหลากหลายของ สมาชิกในชุมชนไม่เป็นอุปสรรคต่อการด าเนินชีวิตตามเป้าหมายและความต้องการของพวกเขา อย่างไรก็ตามผู้ศึกษาเห็นว่า กรอบแนวคิดดังกล่าวมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องน าหลักคิดความเป็นธรรมในมิติของอรรถประโยชน์นิยมและเสรีนิยมมา ประยุกต์ใช้ส าหรับการระดมทรัพยากรเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชนและการวิพากษ์เพื่อเปรียบเทียบบริบทเชิงนโยบายด้าน เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ครอบคลุมไปถึงการวิเคราะห์และการสร้างนโยบายด้านการจัดสวัสดิการชุมชนให้มีความ ครอบคลุมและทั่วถึงมากขึ้น ข้อเสนอแนะ จากการศึกษา เรื่อง กรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ ท าให้ผู้ศึกษา สามารถน าผลการศึกษาดังกล่าวมาสรุปเป็นข้อเสนอแนะส าหรับการพัฒนาต่อยอดระบบความเป็นธรรมในการจัดสวัสดิการ ชุมชนได้ทั้งหมด 2 ข้อเสนอแนะ ซึ่งมีเนื้อหาและรายละเอียดดังต่อไปนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 139 ข้อเสนอแนะแรก คือ การจัดสวัสดิการชุมชนในรูปแบบของการจัดการรายกรณีระดับชุมชน ทั้งนี้ผู้ศึกษาเห็นว่ากลุ่ม ผู้น าชุมชน กลุ่มสมาชิกในชุมชน และกลุ่มภาคีเครือข่ายที่ท างานร่วมกับชุมชนควรตระหนักถึงความยากล าบากและ ความเดือดร้อนในการด าเนินชีวิตของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน เพื่อน าไปสู่การจัดตั้งกลุ่มผู้จัดการรายกรณีระดับชุมชนที่จะ เข้าไปมีบทบาทส าคัญต่อการแสวงหาข้อเท็จจริง การประเมินสภาพปัญหาและความเดือดร้อน การจัดเวทีชุมชนเพื่อแสวงหา แนวทางการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน การประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ การลงมือปฏิบัติการ จัดการรายกรณีระดับชุมชน รวมไปถึงการจัดตั้งกลุ่มกิจกรรมและกองทุนชุมชนเพื่อแก้ไขสภาพปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน ระยะยาว ข้อเสนอแนะที่สอง คือ การจัดสวัสดิการชุมชนบนพื้นฐานการรวมตัวกันของกลุ่มต่างๆ ในชุมชน ทั้งนี้ผู้ศึกษาเห็นว่า การรวมตัวกันของกลุ่มต่างๆ ในชุมชน อาทิ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนพิการ กลุ่มอาชีพ รวมไปถึงกลุ่มเยาวชนอย่างเข้มแข็งจะท า ให้พวกเขามีพื้นที่ทางสังคมควบคู่ไปกับการมีอ านาจต่อการบริหารจัดการกับสภาพปัญหาความยากล าบากและความเดือดร้อน ที่พวกเขาก าลังเผชิญอยู่ อาจกล่าวได้ว่าการก าหนดทิศทางและรูปแบบการจัดสวัสดิการชุมชนด้วยตัวของสมาชิกในชุมชนเอง จะเป็นลู่ทางที่น าไปสู่การผลักดันระบบสวัสดิการชุมชนให้สามารถตอบสนองต่อสภาพปัญหาความยากล าบากและ ความเดือดร้อนควบคู่ไปกับการธ ารงรักษาคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไปพร้อมๆ กัน กล่าวโดยสรุปได้ว่า การรวมตัวกันของกลุ่มต่างๆ ในชุมชนจะกลายเป็นหัวใจส าคัญส าหรับการจัดสวัสดิการชุมชนที่มีประสิทธิภาพในอนาคต เอกสารอ้างอิง กฤษฎา ศุภกิจไพศาล. (2565). การพัฒนาแนวคิดทุนทางสังคมและแนวคิดความเป็นธรรมในการจัดสวัสดิการชุมชน เพื่อการ พัฒนาคุณภาพชีวิต: กรณีศึกษาบ้านใหม่ไทยพัฒนา ต าบลหนองตะเคียนบอน อ าเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว. ปริญญานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, สาขาวิชานโยบาย สังคม. กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2550). ทฤษฎีวิพากษ์ในนโยบายและการวางแผนสังคม. ปทุมธานี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์. ไทยรัฐ. (2566). นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ วิเคราะห์ข้อจ ากัดนโยบาย จาก “คนละครึ่ง” ถึง “คนละหมื่น”. สืบค้นจาก https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ/2724437 พงษ์เทพ สันติกุล. (2563). ความยุติธรรมในสวัสดิการสังคม. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. มณิภัทร์ ไทรเมฆ. (2564). การวิเคราะห์โครงการคนละครึ่งด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง. วารสารศิลปะศาสตร์ มทร.ธัญบุรี, 2(1), 59-75. ระพีพรรณ ค าหอม. (2549). รายงานการวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการบริการสวัสดิการสังคม. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจ ากัดบางกอกบล๊อก. ระพีพรรณ ค าหอม. (2551). รายงานศึกษาการสังเคราะห์องค์ความรู้การพัฒนารูปแบบการบูรณาการเครือข่ายกองทุน สวัสดิการชุมชนระดับอ าเภอ 12 พื้นที่. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เทพเพ็ญวานิสย์. ระพีพรรณ ค าหอม. (2557). สวัสดิการสังคมกับสังคมไทย. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจ ากัดสามลดา. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน. (2566). 8 กองทุนสวัสดิการชุมชนดีเด่นรับรางวัล ‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ (5) กองทุนสวัสดิการชุมชน เขตธนบุรี กรุงเทพฯ “สร้างความมั่นคง ความปลอดภัยในช่วงโควิด-19”. สืบค้นจาก https://web.codi.or.th/20230305-43363/ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน. (2561). ระบบสวัสดิการชุมชน รากฐานสู่สวัสดิการสังคมไทยอย่างยั่งยืน. กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน).


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 140 สุธีรา มิตัง. (2558). แนวคิดและนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจนภายในชนบทบังกลาเทศขององค์กรภาคประชาสังคมต่อ การเปลี่ยนแปลงแนวคิดและนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจนของรัฐบังกลาเทศและสหประชาชาติ: กรณีศึกษา ธนาคารกรามีน. ปริญญานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะรัฐศาสตร์. ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2544). การสัมมนาวิชาการประจ าปี 2544. กรุงเทพฯ: ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. Bentham, J. (1789). An Introduction to the Principles of Morals and Legislation. London: The Mews Gatf. Charles, W. B. (2006). Hayek on the rule of Law and Unions. The Freeman: ideas on liberty. Giddens, A. (1990). The Consequences of Modernity. Cambridge: Polity Press. Nozick, R. (1999). Anarchy, State, and Utopia. UK: Blackwell Publishers. Rawls, J. (1999). A Theory of Justice. Cambridge: Harvard University press. Rawls, J. (2005). A Theory of Justice: Original Edition. Cambridge: Harvard University Press. Yunus, M. (2001). Banker to the poor. London: The University Press Limited.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 141 รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม อ าเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม A Judicial Public Mediation Model for People of Sam-Ngam Subdistric Municipality, Dontum District, Nakhon Pathom Provice ปรางค์รัตน์ แขกเพ็ง1 Prangrat kakpeng2 กมลทิพย์ แจ่งกระจ่าง3 Kamonthip Chamkajang4 Abstract This research has the following objectives: 1) to study the model and characteristics of local judicial public mediation; 2) to study the process of local judicial public mediation; 3) to analyze the problems and obstacles to local judicial public mediation and 4) to propose guidelines for developing judicial public mediation at the local level. The qualitative research was conducted using 26 key informants, including 1) local administrators, 2) local leaders, 3) personnel of Sam-Ngam Subdistrict Municipality, 4) Sam-Ngam Subdistrict Community Justice Center Committee, and 5) Sam-Ngam Subdistrict Community Justice Center Advisors. Data was collected from documents, non-participant observation, in-depth interview and group discussions. The data were analyzed using an inductive method. The research findings are as follows: (1) The model and characteristics of judicial public mediation in Sam Ngam Subdistrict Municipality consisted of two formats: (a) the mediation in which the leader is the mediator and (b) the mediation model by the community justice center. (2) The process of local judicial public mediation consisted of two models with the same steps. (3) The problems and obstacles to local judicial public mediation are as follows: the mediators’ lack of experience and knowledge, lack of publicity and lack of monitoring and evaluation. (4) The guidelines for developing judicial public mediation at the local level include clearly defining the model for local mediation and allowing the locals to participate in conflict management in the community. Keywords: Judicial public mediation, Judicial public mediation model, Sam-Ngam Subdistrict Municipality บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษารูปแบบและลักษณะการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนใน พื้นที่ 2) เพื่อศึกษากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่ 3) เพื่อวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคของการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่ และ4) เพื่อเสนอแนวทางพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในระดับท้องถิ่น โดยการวิจัยนี้เป็นการวิจัยคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลัก จ านวน 26 คน ได้แก่ 1) ผู้บริหารท้องถิ่น 2) ผู้น าท้องที่ 3) บุคลากรของ เทศบาลต าบลสามง่าม 4) คณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสามง่าม และ 5) ที่ปรึกษาศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสามง่าม 1 นักศึกษาปริญญาโท, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 2 Master’s student, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 รองศาสตราจารย์. อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 4 Associate Professor, Advisor, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 142 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการอุปนัย ผลการวิจัย (1) รูปแบบและลักษณะการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม ประกอบด้วย 2รูปแบบ (ก) รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยผู้น าเป็นคนกลาง (ข) รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยศูนย์ยุติธรรมชุมชน (2) กระบวนการไกล่ เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบ มีขั้นตอนเหมือนกัน (3) ปัญหา อุปสรรคของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค ประชาชนในพื้นที่ พบว่า ผู้ท าหน้าที่ไกล่เกลี่ยต้องมีประสบการณ์และความรู้ ขาดการประชาสัมพันธ์ ขาดการติดตาม และประเมินผล และ (4) แนวทางพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในระดับท้องถิ่น คือ ควรมีการก าหนดรูปแบบ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในพื้นที่ให้ชัดเจนเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการความขัดแย้งในชุมชน ค าส าคัญ: การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท, รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท, เทศบาลต าบลสามง่าม ค าน า การสร้างความเป็นธรรมและความสงบสุขในสังคมเป็นภารกิจหลักที่ส าคัญยิ่งของกระทรวงยุติธรรมที่จะต้อง ด าเนินการให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนในทุกพื้นที่และทุกระดับ แต่ภารกิจดังกล่าวหากรัฐเป็นผู้รับผิดชอบด าเนินการแต่เพียงผู้เดียว คงไม่สามารถบรรลุผลได้ หัวใจของความส าเร็จในการด าเนินภารกิจดังกล่าวจึงอยู่ที่คนในชุมชน ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้สัมผัส และมีส่วนได้เสียกับความยุติธรรม ความเป็นธรรมและความสงบสุขในชุมชนนั้นๆ มีโอกาสและมีช่องทางที่จะเข้ามามี ส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ปัญหาร่วมกันในลักษณะของการเป็น “หุ้นส่วน”ดังนั้น เครือข่ายยุติธรรมชุมชน จึงเป็นส่วนหนึ่ง ของการด าเนินงานของกระทรวงยุติธรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ “ยุติธรรมถ้วนหน้า ประชามีส่วนร่วม” (Justice for All, All for Justice) อันจะเป็นกุญแจส าคัญที่จะน าไปสู่จุดมุ่งหมายในการสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับชุมชนในการอ านวย ความยุติธรรม สร้างความเป็นธรรมและความสงบสุขในสังคมร่วมกัน กระทรวงยุติธรรมมีนโยบายให้บูรณาการการท างานของ ส่วนราชการตั้งแต่ระดับจังหวัด เน้นบทบาทหน้าที่ของส านักงานยุติธรรมจังหวัดประสานงานกับศูนย์ด ารงธรรม โดยจัดให้มี ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตั้งอยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือชุมชนตามที่ประชาชนเห็นชอบให้จัดตั้งเพิ่ม เพื่อใช้เป็นสถานที่ ด าเนินงานของคณะกรรมการประจ าศูนย์ยุติธรรมชุมชนหรือด าเนินงานต่างๆ ของชุมชน (ส านักงานยุติธรรมจังหวัด พระนครศรีอยุธยา กระทรวงยุติธรรม, 2563, น. 1-2) เทศบาลต าบลสามง่าม อ าเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม จึงให้ ความส าคัญกับการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชนในพื้นที่ในการให้ค าปรึกษาและช่วยเหลือประชาชนทาง กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และเสมอภาค ตามนโยบายด้านลดความเหลื่อมล้ าด้วยแนวคิด “ยุติธรรมชุมชน (Community Justice)” ประกอบกับพระราชบัญญัติ เทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 50 (1) ระบุว่า เทศบาลต าบลมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น เทศบาล ต าบลสามง่าม จึงด าเนินการจัดตั้งศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสามง่ามขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2557 เพื่อด าเนินการตามภารกิจ 5 ด้าน ได้แก่ 1) การป้องกันและควบคุมอาชญากรรมในชุมชุน 2) การรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และรับแจ้งเบาะแส 3) การไกล่เกลี่ย ประน้อมข้อพิพาท 4) การเยียวยาหรือเสริมพลัง แก่เหยื่ออาชญากรรมและความรู้สึกของชุมชน และ 5) การรับผู้พ้นโทษหรือ ผู้คุมประพฤติกลับสู่ชุมชน เพื่อตอบสนองความต้องการและเสริมสร้างความยุติธรรมและความสงบสุขในชุมชน จากการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่ของศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสามง่ามที่ผ่านมา พบว่า ยังประสบปัญหาหลายประการ เช่น ไม่มีผู้ท าหน้าที่ไกล่เกลี่ย งบประมาณไม่เพียงพอ นอกจากนั้น กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่ใช้ในการปฏิบัติงานยังเป็นอุปสรรคในการด าเนินงาน เนื่องจากภารกิจด้านความยุติธรรมไม่ได้อยู่ในขอบเขตอ านาจ หน้าที่หรือภารกิจหลักของเทศบาลต าบลสามง่าม เป็น“งานฝาก”มิใช่ “งานประจ า” ท าให้การด าเนินการด้านความยุติธรรม เหล่านั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามการด าเนินการ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่จะส าเร็จไม่ได้ ถ้าขาดการส่งเสริมและสนับสนุนจากผู้บริหารท้องถิ่นในการขับเคลื่อน นโยบายด้านความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ถือได้ว่าผู้บริหารท้องถิ่นมีบทบาทส าคัญอย่างมากในฐานะผู้น าชุมชนที่


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 143 ประชาชนให้ความไว้วางใจให้เข้ามาบริหารท้องถิ่นและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษารูปแบบ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม ว่ามีรูปแบบและลักษณะการด าเนินการอย่างไรตลอดจน ศึกษากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในพื้นที่ รวมถึงปัญหา อุปสรรคของไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ซึ่งน าไปสู่การน าเสนอ แนวทางพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในระดับท้องถิ่นที่สามารถน าไปขยายผลในท้องถิ่นอื่นๆ อันจะส่งผลต่อ ประสิทธิภาพของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในชุมชนของสังคมไทย เพื่อให้เกิดการยอมรับของคู่พิพาททุกฝ่ายและ น าความสันติสุขกลับสู่ชุมชนได้อย่างยั่งยืนต่อไป มีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษารูปแบบและลักษณะการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่ 2) เพื่อศึกษากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่ 3) เพื่อวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคของการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่ และ 4) เพื่อเสนอแนวทางพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในระดับท้องถิ่น โดยมี แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.แนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้ง จะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งร่วมกันระหว่าง คู่กรณีทั้งสองฝ่ายในการหาแนวทางร่วมกันในการยุติข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาท 2.แนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้น า จะมุ่งเน้นไปที่บทบาทและลักษณะของผู้น าชุมชนและความสัมพันธ์ชุมชนที่ ส่งผลต่อความส าเร็จในการยุติข้อพิพาท 3. แนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางเลือกและกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ จะมุ่งเน้นไปที่ มาตรการที่น ามาสู่การระงับข้อพิพาทหรือข้อขัดแย้งของคู่กรณีในสังคมที่เป็นกระบวนการที่เสริมเข้ามาในกระบวนการ ยุติธรรมกระแสหลัก รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนในการก าหนดมาตรการที่จะใช้แก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่เหมาะสมกับบริบท ของชุมชน 4. แนวคิด ทฤษฎี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท จะมุ่งเน้นไปที่การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางเลือก ที่มีบุคคลที่สามหรือคนกลางที่ท าหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 5. แนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับยุติธรรมชุมชน จะมุ่งเน้นไปที่การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ยุติธรรมร่วมกับภาครัฐหรือภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 6. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน จะมุ่งเน้นไปที่การมีส่วนร่วมของชุมชนในภารกิจอ านวย ความยุติธรรมในกระบวนการตัดสินใจ ร่วมปฏิบัติ ร่วมรับประโยชน์ ร่วมติดตามและร่วมประเมินผล เครื่องมือและวิธีการวิจัย การศึกษานี้เป็นการวิจัยคุณภาพ (qualitative study) ใช้วิธีวิจัยแบบกรณีศึกษา (Case study Approach) โดย ศึกษาจากเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวของ แนวคิดทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) และ การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) รวมถึงการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (non-participant observation) ทั้งนี้ หน่วยในการวิเคราะห์เป็นหน่วยระดับบุคคล เนื่องจากหลักการวิจัยคุณภาพในทางรัฐประศาสนศาสตร หน่วยในการศึกษา หรือหน่วยในการวิเคราะห์มักจ ากัดอยู่ที่บุคคลประกอบกับการศึกษาประเด็นดังกล่าวมีบุคคลที่เกี่ยวข้องจ านวนมากจึงเนน การศึกษาระดับตัวบุคคลที่สามารถใหข้อมูลที่สามารถใชตอบค าถามการวิจัยได้อย่างครบถ้วน (จุมพล หนิม, 2551, น. 224- 227) โดยประชากรที่ศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีบทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม ประกอบด้วย ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้น าท้องที่ บุคลากรของเทศบาลต าบลสามง่าม คณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสาม ง่าม และที่ปรึกษาศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสามง่าม ที่มีความรู้ ความเข้าใจในบริบทของพื้นที่เป็นอย่างดี โดยเลือกกลุ่มผู้ให้ ข้อมูลหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive selection) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เหมาะสม สมบูรณ์และครอบคลุมตามกรอบ หลักทั้งสิ้น 26 คน ก่อนน าแบบสัมภาษณ์ไปใช้จะผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 144 ความถูกต้องและครอบคลุมเนื้อหาของแบบสัมภาษณ์เพื่อน ามาปรับปรุงแก้ไข ผู้วิจัยให้ความส าคัญกับการปกป้องความเป็น ส่วนตัวและการรักษาความลับเป็นหลักจึงได้สมัครเข้ารับการอบรมจริยธรรมในมนุษย์เบื้องต้นผ่านแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้ ออนไลน์ตลอดชีวิตของมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อน าใบประกาศนียบัตรที่ผ่านเกณฑ์ยื่นเสนอโครงการวิจัยเพื่อขอรับการพิจารณา จริยธรรมการวิจัยในคนจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์ ตามรหัส โครงการวิจัยที่ 085/2566 และได้รับหนังสือรับรองเลขที่ 77/2566 อนุมัติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 ก่อนลงพื้นที่สัมภาษณ์ เชิงลึกและสนทนากลุ่มก่อนลงภาคสนามตามที่ผู้ศึกษาได้ระบุไว้ การวิเคราะห์ข้อมูลเริ่มตั้งแต่การจัดระเบียบข้อมูล เมื่อ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือที่ระบุไว้ ผู้ศึกษาใช้วิธีการลดทอนข้อมูล หลังจากนั้นน าข้อมูลที่ลดทอนแล้วมาจัดหมวดหมู่ หาแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล เนื่องจากข้อมูลมีที่มาจากหลากหลายแหล่ง ทั้งการสัมภาษณ์ พฤติกรรมระหว่าง การสัมภาษณ์ เอกสารข้อมูลที่เกี่ยวของและการเข้าร่วมสนทนา เป็นต้น ล าดับต่อมา การแสดงข้อมูลและหาข้อสรุป โดย การน าข้อมูลที่จัดหมวดหมู่ไว้ จัดแบ่งตามความเชื่อมโยงของเนื้อหาสาระ และวิเคราะห์ หาข้อสรุปว่าข้อมูลที่มีอยู่นั้น สามารถ ที่จะตอบปัญหาการวิจัยในส่วนใดได้บ้าง อย่างไร จากนั้นแสดงข้อมูลในลักษณะของการอธิบาย บรรยาย อันจะท าให้เห็น ภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การแสดงข้อมูลและการหาข้อสรุปผู้ศึกษาท าการวิเคราะห์หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บข้อมูล ส าหรับ การตีความค าตอบที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตนั้นส่วนหนึ่งเน้นการพิจารณาทั้งบริบททางสังคม วัฒนธรรมและ สิ่งแวดล้อม เพื่อน าไปสู่การเข้าใจความหมายนั้นอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ การตีความตั้งอยู่บนฐานของทฤษฎีหลักเหตุผล และ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยมิได้ใช้วิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลล าดับสุดท้าย การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ผู้ศึกษาท าการตรวจสอบข้อมูลด้วยการประยุกต์ใช้การตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (triangulation) กล่าวคือ การใช้กระบวน วิธีที่หลากหลาย (the multiple-method approach) ผู้ศึกษาได้ประยุกต์ใช้เพียงบางหลักการ เพราะการตรวจสอบสามเส้า ด้านวิธีรวบรวมข้อมูล (methodological triangulation) เป็นการใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลต่างกัน เพื่อรวบรวมข้อมูล เรื่องเดียวกัน ผู้ศึกษาจะอธิบายถึงผลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกสนับสนุนด้วยแนวคิด ทฤษฎีของนักคิดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็น การยืนยันและท าให้ข้อมูลมีน้ าหนักมากขึ้น (สุภางค์ จันทวานิช, 2554, น. 129-130) ผลการศึกษา ส่วนที่ 1 รูปแบบและลักษณะการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน 1. รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้น าเป็นคนกลาง ตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ที่ได้มีกฎหมายในลักษณะของการปกครองท้องที่ โดย จุดเริ่มต้นของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทจะเป็นลักษณะของผู้น าแบบบารมี เช่น ก านัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารท้องถิ่น ประธาน คณะกรรมการหมู่บ้าน ตาม พ.ร.บ. ปกครองท้องที่ และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2550 (ฉบับที่ 7) เพื่อให้ประชาชนที่มีข้อพิพาทสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่อ าเภอ ซึ่งจะมีผู้น าท้องที่หรือผู้น าท้องถิ่นท าหน้าที่เป็น คนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เมื่อเกิดข้อพิพาทคู่พิพาทจะร้องขอให้ผู้น า มาพูดคุย ท าความเข้าใจปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างคู่พิพาทก่อนและด าเนินการไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทดังกล่าวต่อไป เนื่องจากผู้น าที่ท าหน้าที่เป็นคนกลาง คือ บุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ คนภายในชุมชนให้ความเกรงใจ ไว้วางใจที่จะน าข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย และในบางครั้งจะมี การเชิญผู้มีความรู้เข้าร่วมการเจรจาไกล่เกลี่ยในฐานะผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายเฉพาะการตรวจสอบข้อเท็จจริงและต้องให้เป็น พยานรับรองเท่านั้นไม่มีบทบาทในการไกล่เกลี่ยหรือระงับข้อพิพาทแต่อย่างใด หากไม่สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้ภายใน ชุมชนทางผู้น าจะแนะน าให้ไปด าเนินการตามกฎหมายเพื่อด าเนินการตามกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักต่อไป


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 145 2. รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยศูนย์ยุติธรรมชุมชน ด้วยกระทรวงยุติธรรมได้มีนโยบายในการบูรณาการงานของส่วนราชการสังกัดกระทรวงยุติธรรมระดับจังหวัด โดยเน้นการบูรณการร่วมกันระหว่างส านักงานยุติธรรมจังหวัดและศูนย์ยุติธรรมต าบล ในการพัฒนาการด าเนินการไกล่เกลี่ย ระงับข้อพิพาทให้เป็นระบบ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ก าหนดแนวทางการด าเนินงานในรูปแบบยุติธรรมชุมชนระดับต าบล เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดท าบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการอ านวยความยุติธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 ประกอบประกาศคณะกรรมการการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 เรื่อง แนวทางในการจัดบริการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้น เพื่อเป็น การขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติอย่างบูรณาการ ส านักงานยุติธรรมจังหวัดนครปฐม จึงขอความร่วมมือในการจัดตั้ง ศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบล และได้มีการด าเนินการจัดตั้งศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสามง่ามขึ้น ณ ส านักงานเทศบาลต าบลสามง่าม อ าเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม เพื่อเป็นศูนย์ช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว อันจะ น าไปสู่จุดมุ่งหมายในการเสริมสร้างความเป็นธรรม และอ านวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ าในสังคมและเพื่อประโยชน์สูงสุดของ ประชาชน ศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบลสามง่าม จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 ตั้งอยู่ที่เทศบาลต าบลสามง่าม อ าเภอ ดอนตูม จังหวัดนครปฐม โดยมีโครงสร้าง 2 ส่วนหลัก คือ 1) ที่ปรึกษาศูนย์ยุติธรรมชุมชนต าบล และ 2) คณะกรรมการศูนย์ ยุติธรรมชุมชน ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการด าเนินงานให้สอดคล้องกับภารกิจศูนย์ยุติธรรมชุมชน 5 ด้าน คือ 1) การป้องกันและ ควบคุมอาชญากรรมในชุมชน 2) การรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และรับแจ้งเบาะแส 3) การไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อพิพาท 4) การเยียวยาหรือเสริมพลัง แก่เหยื่ออาชญากรรมและความรู้สึกของชุมชน และ 5) การรับผู้พ้นโทษหรือผู้ถูกคุมประพฤติกลับสู่ ชุมชน (หนังสือรับรองส านักงานยุติธรรมจังหวัดนครปฐม, 2557) เพื่ออ านวยความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่เรื่องของการ อ านวยความยุติธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนเขตเทศบาลต าบลสามง่าม มีลักษณะทั่วไปเป็นชุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบทที่มี สนิทสนม คุ้นเคย เป็นกันเองมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในชุมชน ประกอบอาชีพ มีความเชื่อ ขนมธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่คล้ายๆ กัน ตามบริบทและสภาพทางภูมิศาสตร์ มีความสัมพันธ์กันแบบเครือญาติยังคงมีการช่วยเหลือแบ่งปันและเอื้ออาทร ต่อกัน อีกทั้งผู้น าชุมชนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชน ประชาชนให้ความยอมรับและไว้วางใจ สามารถสื่อสารสร้างความเข้าให้ คนในชุมชนอยู่ร่วมกันได้มีบทบาทและได้รับการยกย่องนับถือในชุมชนที่คอยช่วยเหลือและท าประโยชน์ให้กับชุมชนท าให้คนใน ชุมชนอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ความขัดแย้งในพื้นที่ ความขัดแย้งในพื้นที่สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 การไกล่เกลี่ยคดีทางแพ่ง ได้แก่ 1) การรุกล้ า แนวเขตที่ดิน สิทธิ์ในที่ดิน 2) หนี้สิน การกู้หนี้นอกระบบ 3) ทรัพย์มรดก 4) เหตุร าคาญ 5) ความขัดแย้งเกี่ยวกับรับขายฝากที่ดิน 6) ความขัดแย้งเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ-ขาย และประเภทที่ 2 การไกล่เกลี่ยคดีทางอาญาที่ยอมความกันได้ ได้แก่ 1) ความขัดแย้ง เกี่ยวกับคดีอาญายอมความได้ 2) ความขัดแย้งเกี่ยวกับความผิดลหุโทษ บทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้น าท้องที่ มีบทบาท คือ 1) เป็นผู้ไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อพิพาท 2) สนับสนุนให้ประชาชน ในพื้นที่เข้าถึงความยุติธรรม 3) ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการด าเนินกิจกรรมชุมชนร่วมกันเอง บุคลากรของเทศบาลต าบลสามง่าม มีบทบาท คือ 1) การรับเรื่องราวร้องทุกข์และรับเรื่องราวไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 2) อ านวยความสะดวกในการจัดท าเอกสารการจัดเตรียมสถานที่ และในส่วนของงานบริหารงานทั่วไป และ 3) ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อพิจารณาด าเนินการตามอ านาจหน้าที่ของเทศบาล


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 146 คณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชน มีบทบาท คือ 1) การรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ ปัญหาความไม่เป็นธรรมของ คนภายในชุมชน 2) เข้าร่วมเจรจาการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาทและความขัดแย้งภายในชุมชนในฐานะผู้ที่มีความรู้ด้าน กฎหมายเฉพาะเรื่อง และ 3) ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่มีบทบาทในการระงับหรือไกล่เกลี่ยแต่อย่างใด ที่ปรึกษาศูนย์ยุติธรรมชุมชน มีบทบาท คือ 1) การช่วยเหลือสนับสนุนสนับสนุนบุคลากร สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ที่จ าเป็นใน การด าเนินงาน 2) ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่ควรจะได้รับ 3) ให้ค าปรึกษาด้านกฎหมายเกี่ยวกับยุติธรรมชุมชน และ 4) การเข้าร่วมในการเข้ารับฟังการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ลักษณะของผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 1. มีความเป็นกลาง คือ ผู้ไกล่เกลี่ยต้องเป็นผู้รับฟังที่ดีสามารถด าเนินการประนอมข้อพิพาทอย่างปราศจากอคติไม่ ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด สร้างความไว้วางใจและช่วยให้กระบวนการด าเนินไปได้อย่างราบรื่นไม่ท าให้การตัดสิน ออกความเห็น หรือเสนอข้อตกลงให้กับทั้งสองฝ่าย 2. เป็นผู้ประสานที่ดี คือ ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องประสานสร้างความเข้าใจให้กับคู่กรณีที่เข้าใจไม่ตรงกันมีข้อขัดแย้งกันให้ สามารถหาข้อตกลงกันร่วมกันได้ 3. มีการสื่อสาร ด้านการพูด การสรุป การตั้งค าถามที่ดี สามารถที่จะวิเคราะห์ประเด็นปัญหาความขัดแย้งต่างๆ เพื่อให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะพูดคุยตกลงกันได้ มีศิลปะในการพูด มีทักษะการตั้งค าถาม ตั้งค าถามเพื่อไปหาข้อตกลง ร่วมกัน 4. มีความน่าเชื่อถือ และมีทักษะในด้านการไกล่เกลี่ย โดยมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับและเคารพนับถือของคู่กรณี ทั้งสองฝ่ายโดยความสมัครใจที่จะเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย 5. มีองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่ํเกี่ยวข้อง มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกับเรื่องที่คู่กรณีมา ร้องขอให้ด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการไกล่เกลี่ยและสามารถน าข้อมูลมาวิเคราะห์ ปัญหาความขัดแย้งเพื่อให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายหาข้อตกลงร่วมกัน 6. รักษาความลับ ผู้ไกล่เกลี่ยต้องมีความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายสามารถพูดให้คู่พิพาทสบายใจไม่ให้เกิดการทะเลาะ กันและสามารถเก็บความลับของทั้งสองฝ่ายอย่างเคร่งครัดไม่แพร่งพรายให้บุคคลภายนอกทราบอันจะก่อให้เกิดความเสียหาย แก่คู่พิพาทตามมาซึ่งความรับผิดทางแพ่งและอาญา ส่วนที่ 2 กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม จากศึกษากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีรูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่เปลี่ยนแปลงตามบริบทและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2 รูปแบบ คือ (1) รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดย ผู้น าเป็นคนกลาง (2) รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยศูนย์ยุติธรรมชุมชน โดยแต่ละรูปแบบจะมีขั้นตอนการด าเนินการที่เหมือนกัน 4 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนจะมีกระบวนที่แตกต่างกัน ดังแผนภูมิที่ 1 จะเห็นว่า รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยผู้น าเป็นคนกลาง จะมี ขั้นตอนการด าเนินการที่ไม่ซับซ้อน สามารถด าเนินการได้โดยผู้น าที่เป็นคนกลางตั้งแต่ตั้งแต่เริ่มต้นจนยุติข้อพิพาท แตกต่าง จากรูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยศูนย์ยุติธรรมชุมชนที่มีขั้นตอนการด าเนินการที่ซับซ้อนกว่าต้องอาศัยการด าเนินการตามโครงสร้าง ของศูนย์ยุติธรรมชุมชนตั้งแต่ตั้งแต่เริ่มต้นจนยุติข้อพิพาท


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 147 แผนภูมิที่ 1 กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม ที่มา:ผู้ศึกษา ที่มา: จากผลการศึกษา ส่วนที่ 3 ปัญหา อุปสรรคของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม 1. ปัญหา อุปสรรคของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยผู้น าเป็นคนกลาง พบว่า 1) ด้านผู้ท าหน้าที่ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พบปัญหา อุปสรรค คือ ผู้ไกล่เกลี่ยต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ มีความน่าเชื่อถือไม่ใช่ทุกคนจะสามารถท า หน้าที่ไกล่เกลี่ยได้ 2) ด้านสถานที่ ไม่พบปัญหา อุปสรรค 3) ด้านการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ไม่พบปัญหา อุปสรรค 4) ด้านกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ไม่พบปัญหา อุปสรรคและ 5) ด้านหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่พบปัญหา อุปสรรค 2. ปัญหา อุปสรรคของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยศูนย์ยุติธรรมชุมชน พบว่า 1) ด้านผู้ท าหน้าที่ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พบปัญหา อุปสรรค คือ 1.1ขาดความรู้ ความเข้าใจในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 1.3 ขาดความรู้ด้านกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องข้อพิพาทต่างๆ 1.3 ขาดประสบการณ์ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 2) ด้านสถานที่ ไม่พบปัญหา อุปสรรค 3) ด้าน การด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พบปัญหา อุปสรรค คือ 3.1ขาดการประชุมณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชน เพื่อติดตามและ ประเมินผลการด าเนินงานของศูนย์ฯ 3.2ขาดการมีส่วนร่วม 3.3ขาดการประชาสัมพันธ์ 4) ด้านกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พบปัญหา อุปสรรคคือขาดการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการด าเนินงานตามภารกิจของศูนย์ฯ และ 5) ด้านหน่วยงาน ราชการที่เกี่ยวข้อง พบปัญหา อุปสรรคคือ 5.1 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีการติดตามและประเมินผลการด าเนินงาน 5.2 หน่วยงาน รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้น าเป็นคน กลาง รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยศูนย์ยุติธรรมชุมชน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 148 ที่เกี่ยวข้องไม่มีการจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่คณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชน 5.3 ไม่มีงบประมาณที่เพียงพอในการสนับสนุน การด าเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่ 4 แนวทางพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในระดับท้องถิ่น การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนเป็นกระบวนการหนึ่งที่สามารถช่วยลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นนั้นๆ ดังนั้น การศึกษากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนตั้งแต่รูปแบบ ขั้นตอน วิธีการและเทคนิคการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทตลอดจนการวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม จึงเป็นสิ่งส าคัญอันจะน าไปสู่การหาข้อสรุปและข้อเสนอแนะเพื่อเสนอแนวทางพัฒนาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนใน ระดับท้องถิ่น ได้ดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1 แนวทางพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในระดับท้องถิ่น ที่มา: จากผลการศึกษา


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 149 การอภิปรายผลการศึกษา ส่วนที่ 1 รูปแบบและลักษณะการด าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม 1) ความสัมพันธ์คนในชุมชน ผู้น าและคนในชุมชนมีความสัมพันธ์อันดี ประชาชนให้ความยอมรับและไว้วางใจ ซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัยของ วันชัย ธรรมสัจการ และคณะ (2565) ที่ได้ท าการศึกษาเรื่อง ทุนชุม ชนและศักยภาพใน การจัดการตนเอง เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนท้องถิ่น พบว่า ทุนชุมชนที่มีผลต่อการจัดการตนเองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของชุมชนท้องถิ่น ประกอบด้วย (1) ทุนมนุษย์ ได้แก่ ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้น าชุมชน และแรงงานในชุมชน (2) ทุนสังคม มีลักษณะความสัมพันธ์แบบเครือญาติ (3) ทุนกายภาพ เป็นสิ่งอ านวยความสะดวกที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและ ประชาชนจัดสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในลักษณะของโครงสร้างพื้นฐาน (4) ทุนธรรมชาติ ที่ดิน น้ า ป่า อากาศ ที่ สมบูรณ์ (5) ทุนการเงิน และ (6) ทุนทางวัฒนธรรม ความรู้ ภูมิปัญญาประเพณี 2) ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 การไกล่เกลี่ยคดีทางแพ่ง และประเภทที่ 2 การไกล่เกลี่ยคดีทางอาญาที่ยอมความกันได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของส านักงานส่งเสริมตุลาการที่ได้สรุปกระบวนการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทภาคประชาชนภายใต้พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 ในการจัดการคดีเพื่อเข้าสู่ระบบการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทก่อนฟ้องคดีต้องเป็นไปตามความสมัครใจของคู่กรณีโดยการให้คู่กรณียื่นค าร้องต่อศาลหรือกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งแยกเป็นประเภทคดี คือ (1) ข้อพิพาททางแพ่งในกรณีต่อไปนี้ที่สามารถท าการไกล่เกลี่ยได้ (2) ข้อพิพาททางอาญาที่สามารถท า การไกล่เกลี่ยได้ 3) บทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้น าท้องที่ มีบทบาทในการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาท คือ 1) เป็นผู้ไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อพิพาท 2) สนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงความยุติธรรม 3) ส่งเสริมให้ ประชาชนมีส่วนร่วมในการด าเนินกิจกรรมชุมชนร่วมกันเอง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ อิทธิศักดิ์ พลศรี (2551) ที่พบว่า ผู้น าเป็นผู้ที่มีบทบาทในการควบคุมความสัมพันธ์ภายในกลุ่มผ่านกรรมการและสมาชิกเป็นผู้ให้คุณให้โทษแก่สมาชิก ผู้น ามี บทบาทเป็นผู้ริเริ่มและกระตุ้นให้สมาชิก/ชุมชนอยากกระท า ผู้น าท าหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้สร้างศรัทธาให้เป็นศูนย์รวม จิตใจของกลุ่ม/ชุมชนคุณลักษณะของผู้น าในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน เป็นผู้เสียสละ มีความซื่อสัตย์สุจริตโปร่งใสใน การท างาน มีความรู้ ความสามารถ มีความรับผิดชอบ มีคุณธรรม กล้าตัดสินใจ มีบุคลิกที่น่าเชื่อถือศรัทธามีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มีมนุษยสัมพันธ์ดีและสามารถประสานงานได้ทั้งภายในและภายนอก 4) รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มี 2 รูปแบบ 1) รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยผู้น าเป็นคนกลาง ซึ่งสอดคล้อง กับแนวคิดของ วันชัย วัฒนศัพท์และคณะ (2550) ได้ให้ความเห็นว่า การไกล่เกลี่ยโดยคนกลาง คือ การเข้าไปแทรกแซงใน การไกล่เกลี่ยโดยผู้ที่เป็นบุคคลที่สามที่เป็นกลางทั้งความคิดและการปฏิบัติและเป็นที่ยอมรับ โดยคนกลางไม่มีอ านาจหน้าที่ใน การตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อพิพาท โดยมีหน้าที่ช่วยให้คู่กรณีที่มีข้อถกเถียงหรือขัดแย้งกันอยู่ให้บรรลุในข้อตกลงอันเป็นที่ ยอมรับร่วมกันโดยความสมัครใจโดยทั่วไปการไกล่เกลี่ยโดยคนกลาง คือ กระบวนการที่ต่อเนื่องของกระบวนการเจรจาโดย ความช่วยเหลือของคนที่เข้ามาอยู่ตรงกลางที่เรียกว่า “ผู้ไกล่เกลี่ย” และ 2 รูปแบบการไกล่เกลี่ยโดยศูนย์ยุติธรรมชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ สญัญพงศ์ลิ่มประเสริฐ และคณะ (2562) ที่ได้กล่าวถึงภารกิจของศูนย์ยุติธรรมชุมชน 5 ประการ คือ 1) การป้องกันและควบคุมอาชญากรรม 2) การรับเรื่องราวร้องทุกข์ 3) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและการจัดการ ความขัดแย้ง 4) การเยียวยาและเสริมพลัง และ 5) การรับผู้กระท าผิดกลับคืนสู่ชุมชน 5) ลักษณะของผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ได้แก่ (1) มีความเป็นกลาง (2) เป็นผู้ประสานที่ดี (3) มีการสื่อสาร ด้านการพูด การสรุป การตั้งค าถามที่ดี (4) มีความน่าเชื่อถือ (5) มีองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่ํเกี่ยวข้อง และ (6) รักษาความลับ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ และคณะ (2550) ที่มีความเห็นว่า การเจรจาไกล่เกลี่ยโดยคนกลาง คือ การเจรจาไกล่เกลี่ยที่อาศัยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เป็นกลาง ไม่ใช่การเกลี้ยกล่อม เพราะฉะนั้นคนกลางไม่มีอ านาจชี้ถูกผิดถ้า


Click to View FlipBook Version