แนวทางปฏิบัติ เรื่อง การใช้ แบบตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยในการผาตัด ่ (Surgical Safety Checklist) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช FACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY 21 มิถุนายน 2563 SD-TQM-068 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 5/ 6 หน้า Is essential imaging displayed? ติดฟิล์มเอ็กซเรย์ ที่จ าเป็น เรียบร้อยแล้ว o เพื่อการป้องกันผ่าตัดผิดข้าง ผิดต าแหน่ง และ แพทย์จะมีข้อมูลเกี่ยวกับโรคชัดเจน โดยเฉพาะผู้ปวย่ ทางศัลยกรรม หรือ ออร์โธปิดิกส์ มักจ าเป็นที่แพทย์ต้องดูภาพในฟิล์มผ่าตัดก่อนและระหว่างการผ่าตัด จึงต้องติดฟิล์ม ซึ่งต้องติดให้ถูกต้องด้วย o Checklist coordinator จะถามแพทย์ว่าผู้ปวยรายนี้ต้องติดฟิล์มเอ็กซเรย์ หรือ ่ MRI หรือไม่ ถ้าแพทย์ บอกว่าไม่จ าเป็น ให้ท าเครื่องหมาย ในช่อง ไม่จ าเป็นต้องติด ถ้าแพทย์ระบุให้ติด ให้ Checklist coordinator ตรวจสอบว่ามีการติดถูกต้องทั้งชื่อ ด้านซ้าย/ขวา และ แผ่นที่แพทย์ระบุ Anticipated critical events การระบุเหตุการณ์วิกฤติที่มีโอกาสเกิดขึ้น o To surgeon: แพทย์ผู้ผ่าตัดต้องระบุ What are the critical or non-routine steps? ขั้นตอนใดของการผ่าตัดที่อาจเกิดภาวะวิกฤต หรือไม่เป็นไปตามปกติ เช่นอาจเสียเลือดมาก อาจมี อันตรายต่ออวัยวะ หรือ อาจมีผลต่อ Vital signs ของผู้ปวย หรือต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ ่ How long will the case take? คาดว่าการผ่าตัดจะใช้เวลานานเท่าใด เพื่อที่วิสัญญีจะได้วางแผนการระงับความรู้สึกอย่างเหมาะสม และพยาบาล จะได้วางแผนการปรับเปลี่ยนคนช่วย What is the anticipated blood loss? คาดว่าจะเสียเลือดมากหรือไม่ ในขั้นตอนใด วิสัญญีจะได้เตรียมให้สารน ้า หรือให้เลือดอย่าง เหมาะสม รวมทั้งการประเมินความเพียงพอของสารน ้า เลือด o To anaesthetist: วิสัญญีระบุ Are there any patient-specific concerns? วิสัญญีจะแจ้งสภาพพื้นฐานผู้ปวย (่ ASA score) ความเสถียรของ Hemodynamic หรือความเสี่ยง อื่นๆ ตลอดจนแผนการรักษาเฉพาะของวิสัญญี หากไม่มี ให้แจ้งว่า “ไม่มีข้อกังวลในผู้ปวยรายนี้ ่ ” o To nursing team: พยาบาลผู้ส่งผ่าตัด Has sterility (including indicator results) been confirmed? Scrub nurse จะแจ้งว่าผลการ ตรวจสอบ Sterile indicator ของเครื่องมือผ่าตัด เรียบร้อย ดีหรือไม่ Are there equipment issues or any concerns? Scrub nurse จะแจ้งว่าเครื่องมือพร้อมใช้งาน หรือไม่ เครื่องมืออะไรที่แพทย์ต้องขอ จึงจะเปิดให้เพิ่ม 47/248
แนวทางปฏิบัติ เรื่อง การใช้ แบบตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยในการผาตัด ่ (Surgical Safety Checklist) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช FACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY 21 มิถุนายน 2563 SD-TQM-068 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 6/ 6 หน้า ค. Sign Out การสรุปเมื่อจบการผ่าตัด เพื่อให้มั่นใจว่ามีการบันทึกข้อมูลการผ่าตัดอย่างถูกต้อง และข้อมูลส าคัญจะถูกส่งต่อไปยังทีมที่ดูแลต่อ Nurse verbally confirms ท า เมื่อแพทย์เริ่มเย็บปิดแผล ให้Checklist coordinator ขานดังๆ เพื่อให้แพทย์ และวิสัญญี ร่วมกันยืนยัน - The name of the procedure ชื่อหัตถการที่ท า o เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลง ชนิดของหัตถการที่ท า และแตกต่างจากที่ระบุก่อนผ่าตัด จึงต้องมี การสรุปอีกครั้งเมื่อผ่าตัดเสร็จเพื่อให้การบันทึกของพยาบาล วิสัญญี ตรงกับบันทึกของแพทย์ o Checklist coordinator อาจสรุปให้แพทย์ยืนยัน หรือ ขอให้แพทย์สรุปชื่อหัตถการที่ท าอีกครั้งหนึ่ง - Completion of instrument, sponge and needle counts ผลการนับเครื่องมือ ผ้าซับ ก๊อซ เข็ม o เนื่องจากการตกค้างของเครื่องมือ ผ้า ก๊อซ เข็ม สามารถพบได้ และเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ปวย่ o ดังนั้น Scrub nurse หรือ circulating nurse ต้องระบุให้แพทย์ และวิสัญญีรับรู้ผลการตรวจนับ o หากไม่ครบถ้วน ทีมจะต้องด าเนินการเพื่อตรวจสอบและค้นหาร่วมกัน ต่อไป - Specimen labeling (read specimen labels aloud, including name) o เพื่อป้องกันความผิดพลาดของการส่งตรวจชิ้นเนื้อ o พยาบาล circulate จะต้องนับ ตรวจสอบการ label ข้างถุง และบอกกับทีมว่า ชิ้นเนื้อที่จะส่งมีกี่ชิ้น อะไรบ้าง และยืนยันว่าการ label ข้างถุงถูกต้อง ชัดเจน - Whether there are any equipment problems to be addressed o เพื่อป้องกันการน าเครื่องมือที่ช ารุดกลับมาใช้ใหม่ o ให้พยาบาลระบุว่ามีเครื่องมือใดช ารุด และส่งซ่อม หรือจ าหน่าย Surgeon, anaesthetist and nurse review the key concerns for recovery and management of this patient ทีมระบุประเด็นปัญหาและแผนการดูแลหลังผ่าตัด - เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการส่งต่อข้อมูลที่ส าคัญ อย่างครบถ้วนไปยังทีมที่ดูแลต่อ ที่ห้องพักฟื้น หรือที่หอ ผู้ปวย่ - แพทย์ วิสัญญี และพยาบาล จะต้องระบุปญหาส าคัญที่ต้องดูแลต่อ และแผนการดูแลที่วางไว้ ั 48/248
แนวทางการปฏิบัติเรื่อง การท าเครื่องหมายระบุต าแหน่งผาตัด ( ่ Mark site) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช FACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY ธันวาคม 2561 SD-TQM-074 แก้ไขครั้งที่ 01 จ านวน 1/ 2 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (ผศ.ยุทธพงศ์ วงษ์มหิศร) รักษาการแทนผู้อ านวยการโรงพยาบาล 1. เป้าหมาย เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติ ในการป้องกันการผ่าตัดผู้ป่วยผิดต าแหน่ง 2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติการท าเครื่องหมายระบุต าแหน่งผ่าตัด (Mark site) เพื่อป้องกันการผ่าตัดผิดต าแหน่ง 2.2 เพื่อให้บุคลากรทุกวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด (ศัลยแพทย์ วิสัญญี พยาบาล ฯลฯ) รับทราบ และเข้าใจ ตรงกัน มีการปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน 3. ข้อก าหนดในการใช้ 3.1 การท าเครื่องหมายบริเวณที่จะท าผ่าตัด เพื่อเป็นการระบุต าแหน่งผ่าตัด (Mark site) ถือเป็นมาตรฐานของการ ท าผ่าตัดทุกราย ในกรณีต าแหน่งอวัยวะที่จะผ่าตัดมีสองข้าง เพื่อระบุข้างซ้ายหรือข้างขวา และที่เป็นโครงสร้าง หลายส่วน (multiple structures) เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า หรือหลายระดับ เช่น กระดูกสันหลัง เพื่อป้องกันการผ่าตัดผิด ต าแหน่ง 3.2 บุคลากรทุกวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด (ศัลยแพทย์ วิสัญญี พยาบาล ฯลฯ) ต้องให้ความร่วมมือ ในการท า เครื่องหมายระบุต าแหน่งผ่าตัด (Mark site) 4. รายละเอียดการใช้แนวทางการปฏิบัติ เพื่อให้การท า mark site ในผู้ป่ วยผ่าตัดเป็นไปตามมาตรฐาน และมีความน่าเชื่อถือ จึงมีการก าหนดแนวทาง ปฏิบัติดังนี้ 4.1 ก าหนดให้ศัลยแพทย์ที่จะท าหัตถการเป็นผู้ท าเครื่องหมายบริเวณต าแหน่งที่จะลงมีดผ่าตัด โดยการมีส่วนร่วม ของผู้ป่วย ในที่ที่ผู้ป่วยตื่นดีและมีสติ 4.2 การท าเครื่องหมายเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน เหมือนกันทั่วทั้งองค์กร โดยมีรายละเอียดวิธีดังนี้ 4.2.1 ใช้ปากกา skin marker ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ สีน ้าเงิน 4.2.2 การท าเครื่องหมายใช้เครื่องหมาย ลูกศร โดยหันหัวลูกศรไปที่ต าแหน่งที่จะลงมีดผ่าตัด ลูกศรควรอยู่ ใกล้บริเวณต าแหน่งที่จะผ่าตัดมากที่สุด และควรมองเห็นได้ภายหลังที่ท าความสะอาดผิวหนัง และปูผ้า คลุมส าหรับผ่าตัดแล้ว ภาพที่1. ตัวอย่างการ mark site บริเวณต าแหน่งที่จะลงมีดผ่าตัดข้อเข่าด้านขวา 49/248
แนวทางการปฏิบัติเรื่อง การท าเครื่องหมายระบุต าแหน่งผาตัด ( ่ Mark site) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช FACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY ธันวาคม 2561 SD-TQM-074 แก้ไขครั้งที่ 01 จ านวน 2/ 2 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (ผศ.ยุทธพงศ์ วงษ์มหิศร) รักษาการแทนผู้อ านวยการโรงพยาบาล 4.2.3 แพทย์ท าเครื่องหมายระบุต าแหน่งผ่าตัด (mark site) บนตัวผู้ป่วยให้เรียบร้อยก่อนส่งผู้ป่วยมาห้องผ่าตัด 4.2.4 แพทย์ที่ท าการ mark site ลงบันทึกข้อมูลในเวชระเบียน (progress note) 4.2.5 ในรายผู้ป่วยที่เป็นเด็ก ต้องให้ผู้ปกครองยินยอม และมีส่วนในการท า mark site ร่วมกับแพทย์ 4.2.6 ในกรณีผู้ป่ วยฉุกเฉินหรือไม่รู้สึกตัว ให้แพทย์ท า mark site ร่วมกับญาติผู้ป่ วย หรือเจ้าหน้าที่หอผู้ป่ วย โดยใช้ข้อมูลหลักฐานทางคลินิกที่เชื่อถือได้เช่น ฟิล์มเอกซเรย์ หรือผลการตรวจที่บันทึกไว้ในเวชระเบียน ผู้ป่วย 4.2.7 ในผู้ป่วยที่มีการผ่าตัดหลายต าแหน่ง ต้องท า mark site ให้ครอบคลุมทุกต าแหน่งผ่าตัด 4.2.8 เมื่อตรวจสอบยืนยันต าแหน่งที่จะลงมีดผ่าตัดขณะ sign in ในห้องผ่าตัดเสร็จ ให้ลงชื่อแพทย์ที่ท า mark site ในแบบตรวจสอบความปลอดภัยจากการผ่าตัด (Surgical Safety Checklist) ให้เรียบร้อย 4.2.9 กรณีที่ไม่จ าเป็นต้องมีการท า mark site ในผู้ป่วยผ่าตัด มีดังนี้ 4.2.9.1 ต าแหน่งที่มีพยาธิสภาพของการท าผ่าตัด มองเห็นชัดเจน เช่น open fracture ต่างๆ 4.2.9.2 ต าแหน่งแผลต่างๆ ที่มีลักษณะมองเห็นชัดเจน เช่น แผลเปิด แผลที่ท า debridement 4.2.9.3 ต าแหน่งผ่าตัดบริเวณศีรษะ ที่มีการใช้เครื่อง Navigator ช่วยขณะท าผ่าตัด 4.3 ผู้ป่วยนอกผ่าตัดที่ห้องผ่าตัดศัลยกรรม ชั้น 1 ปฏิบัติดังนี้ 4.3.1 แพทย์ท าเครื่องหมายระบุต าแหน่งผ่าตัด ตั้งแต่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก (OPD) ก่อนส่งผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด ศัลยกรรม ชั้น 1 4.3.2 ในกรณีผู้ป่วยนัดผ่าตัดที่มาจากบ้าน ไม่มีเครื่องหมายระบุต าแหน่งผ่าตัดให้พยาบาลที่ห้องรอผ่าตัด ชั้น 1 ติดตามแพทย์ท าเครื่องหมายระบุต าแหน่งผ่าตัดให้เรียบร้อย ก่อนน าผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด หมายเหตุ 1. ในผู้ป่ วยผ่าตัดที่ไม่มีการท า mark site ตามแนวทางปฏิบัติ ขอความร่วมมือให้ห้องผ่าตัด ส่งรายงานถึง หัวหน้าภาค/ หัวหน้ากลุ่มงาน (ที่บุคลากรนั้นสังกัด) 2. กรณีผู้ป่ วยไม่ยินยอมให้ท าการ mark site ขอให้ศัลยแพทย์บันทึกลงในเวชระเบียน (Progress note) ให้ชัดเจนทุกราย 50/248
Goal 2: (2.1) 1. WI-IC-016 2. WI-ICC01-017 3. WI-IC-088 4. FM-ICC01-067 51/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC - 016 เรื่อง แนวทางปฏิบัติ การเฝ้าระวังการติดเชื้อในผู้ป่วยที่ได้รับการ ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total knee Arthroplasty) หรือได้รับ การผ่าตัด ใส่อุปกรณ์ดามเหล็กกระดูกไขสันหลัง (Spinal fusion) แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : 1 พ.ย. 2550 หน้า 1 วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบการป้องกันการติดเชื้อที่ต าแหน่งผ่าตัด ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ เกณฑ์ชี้วัด อัตราการติดเชื้อที่ต าแหน่งผ่าตัดที่เฝ้าระวัง ฯ 50 percentile ของ NNIS ขั้นตอนการปฏิบัติงาน 1. ห้องตรวจศัลยกรรมกระดูก 1.1 จัดเตรียมแบบเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล (ICC – 01 แก้ไขครั้งที่ 3) และไปรษณียบัตร จ านวน 2 ใบ ต่อผู้ป่วย 1 ราย โดยใช้ Code Number เดียวกันทั้ง 3 ใบ (Code Number รับได้ที่หน่วย IC) 1.2 เมื่อรับผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม หรือผ่าตัดใส่อุปกรณ์ดามเหล็กกระดูกไขสันหลัง เป็นผู้ป่วยใน ให้ติดชื่อ – นามสกุลผู้ป่วยที่แบบเฝ้าระวัง ฯ และแนบเอกสารข้อ 1.1 ทั้งหมดไปกับเวชระเบียนผู้ป่วย 1.3 บันทึก Code Number ไว้ที่หน่วยงาน เพื่อเป็นหลักฐานในการติดตามผู้ป่วย 1.4 ตรวจสอบรายชื่อผู้ป่วยจากใบ Set การผ่าตัด / คอมพิวเตอร์ บันทึกรายชื่อผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด วัน / เดือน / ปี ที่ผ่าตัดหอผู้ป่วยที่ผู้ป่วยพักรักษาหลังผ่าตัด และรวบรวมส่งรายชื่อผู้ป่วยที่หน่วย IC ทุกวันพฤหัสบดี 1.5 รวบรวมไปรษณียบัตรที่ผู้ป่วยมาตรวจตามนัด ส่งหน่วย IC ทุกสิ้นเดือน 1.6 กรณีผู้ป่วยไม่มาตรวจตามนัดให้แจ้งหน่วย IC เพื่อติดตามต่อไป 2. ห้องผ่าตัด บันทึกข้อมูลในแบบเฝ้าระวัง ฯ ได้แก่ 2.1 เวลาเริ่มกรีดแผล ...................น. เวลาเย็บปิดแผล.....................น. 2.2 ASA 1 2 3 4 5 2.3 Wound Class 1 2 3 4 3. หอผู้ป่วย 3.1 กรณีหอผู้ป่วยรับผู้ป่วย เพื่อท าการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม หรือผ่าตัดใส่อุปกรณ์ดามเหล็กกระดูก ไขสันหลังเป็นผู้ป่วยใน โดยไม่ได้ผ่านห้องตรวจศัลยกรรมกระดูก หรือทางห้องตรวจศัลยกรรมกระดูกไม่ได้ขอเลขที่ ภายในให้แจ้งห้องตรวจศัลยกรรมกระดูก และไปรับแบบเฝ้าระวัง ฯ และไปรษณียบัตร จ านวน 2 ใบ ที่มี Code Number เดียวกันที่ห้องตรวจศัลยกรรมกระดูกในเวลาราชการ 3.2 ผู้ป่วยที่รับจากห้องตรวจศัลยกรรมกระดูกให้ตรวจสอบเวชระเบียนของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดทั้ง 2 ต าแหน่งว่ามีแบบเฝ้าระวัง ฯ และไปรษณียบัตร จ านวน 2 ใบ ที่มี Code Number เดียวกันหรือไม่ กรณีไม่มีหรือ Code Number ไม่ตรงกัน ให้ติดต่อห้องตรวจศัลยกรรมกระดูก เพื่อขอรับแบบเฝ้าระวัง ฯและไปรษณียบัตร ที่มี Code Number เดียวกัน หรือท าการแก้ไข Code Number ให้ตรงกัน 3.3 บันทึกข้อมูลเพิ่มเติม ในแบบเฝ้าระวัง ฯ และในใบไปรษณียบัตร โดยเฉพาะอาการ และอาการ แสดงของแผล อย่างครบถ้วน 3.4 กรณีผู้ป่วยย้ายหอให้ใส่แบบเฝ้าระวัง ฯ และไปรษณียบัตรในแฟ้มเวชระเบียนของผู้ป่วยจนถึงวัน จ าหน่าย 52/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC - 016 เรื่อง แนวทางปฏิบัติ การเฝ้าระวังการติดเชื้อในผู้ป่วยที่ได้รับการ ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total knee Arthroplasty) หรือได้รับ การผ่าตัด ใส่อุปกรณ์ดามเหล็กกระดูกไขสันหลัง (Spinal fusion) แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : 1 พ.ย. 2550 หน้า 2 3.5 กรณีสงสัยต าแหน่งผ่าตัดมีการติดเชื้อให้รายงาน ICN ทันที เพื่อการประเมินเพิ่มเติม (โทร 3527, 3528) 3.6 เมื่อผู้ป่วยจ าหน่ายตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลในแบบเฝ้าระวัง ฯ และไปรษณียบัตรอีกครั้ง และมอบไปรษณียบัตรแก่ผู้ป่วยทั้ง 2 ใบ (ใบที่ 1 เป็นการติดตามหลังผ่าตัด 1 เดือน ใบที่ 2 เป็นการติดตามหลัง ผ่าตัด 1 ปี) 3.7 รวบรวมแบบเฝ้าระวัง ฯ ส่งหน่วย IC ทุกสิ้นเดือน กรณีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลครบ 1 เดือนหลัง ผ่าตัดให้มอบไปรษณียบัตรแก่ผู้ป่วยทั้ง 2 ใบ เช่นเดิม แต่ใบที่ 1 เป็นการติดตาม ตามแพทย์นัด ใบที่ 2 เป็นการติดตาม หลังผ่าตัด 1 ปี 4. หน่วยป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล (หน่วย IC) 4.1 ตรวจสอบรายชื่อผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด จากแบบบันทึกรายชื่อผู้ป่วยที่ได้รับผ่าตัดของห้องตรวจ ศัลยกรรมกระดูก และติดตามเฝ้าระวังผู้ป่วยขณะอยู่โรงพยาบาล 4.2 รวบรวมวิเคราะห์อัตราการติดเชื้อที่ต าแหน่งผ่าตัด และรายงานทุก 3 เดือน หมายเหตุ - ไปรษณียบัตร 1 เดือน ใช้ส าหรับการเฝ้าระวัง ฯ ผู้ป่วยหลังจ าหน่วย 1 เดือน หรือมาพบแพทย์ ตามนัด แนะน าให้ผู้ป่วยน าไปรษณียบัตรมอบให้สถานพยาบาล / แพทย์ผู้ตรวจรักษา เพื่อให้แพทย์ผู้ตรวจรักษาบันทึก ข้อมูลแผลผ่าตัด ในไปรษณียบัตร และส่งกลับหน่วย IC โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย - ไปรษณียบัตร 1 ปี ใช้ส าหรับการติดตามเฝ้าระวัง ฯ ผู้ป่วยหลังจ าหน่าย 1 ปี กรณีระหว่าง 1 ปี มีความผิดปกติของแผลผ่าตัด และได้ไปตรวจที่โรงพยาบาล / คลินิก / สถานพยาบาลอื่น ๆ ให้ผู้ป่วยน าไปรษณียบัตร มอบให้แพทย์ผู้ตรวจบันทึกข้อมูลในไปรษณียบัตร และส่งกลับหน่วย IC โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 53/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital, Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI – ICC01 -017 วิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 00 วันที่บังคับใช้ : พ.ย. 60 หน้า 1 เรื่อง วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน ส าหรับบุคลากรตึกเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ๑. ผู้รับผิดชอบ บุคลากรทางการแพทย์ ที่ปฏิบัติงานตึกเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ๒. วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นแนวทางการดูแลบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน ๓. ขอบเขต ครอบคลุมบุคลากรทุกระดับที่ได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน ๔. วิธีการด าเนินงาน 4.1 รับแจ้ง และให้บุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุเขียนรายงาน ตามแบบรายงานการได้รับอุบัติเหตุขณะปฏิบัติงาน ทางการแพทย์ (FM-ICC๐๑ – ๐๐๖ แก้ไขครั้งที่ 05) 4.2 ให้ค าปรึกษาแก่บุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุ 4.3 ผู้ป่วยมีผลเลือด Anti-HIV negative บุคลากรไม่ต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV 4.4 ผู้ป่วยมีผลเลือด Anti-HIV positive หรือ inconclusive และบุคลากรมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ให้บุคลากรเริ่มรับประทานยาต้านไวรัส HIV เร็วที่สุดหลังได้รับอุบัติเหตุ ภายใน ๑ – ๒ ชั่วโมง โดยด าเนินการ ดังนี้ 4.4.1 บุคลากรขออนุมัติสิทธิ์และส่งตรวจเวชศาสตร์ฉุกเฉิน 4.4.2 เจาะเลือดบุคลากรตรวจ HIV Combi (rapid test) ก่อนรับประทานยาต้านไวรัส HIV โดย ใช้ Coding system (E๐๐๑, E๐๐๒...ฯลฯ) 4.4.3 เจาะเลือดบุคลากรตรวจ CBC, Cr, SGPT (ALT), Anti-HCV ก่อนรับประทานยาต้านไวรัส HIV โดยใช้ HN ของบุคลากร 4.4.4 แพทย์เวรอุบัติเหตุ (นอกเวลาราชการ) พิจารณาสั่งยาต้านไวรัส HIV ได้เพียง 1 สูตร โดยใช้ รหัส key สั่งยาดังต่อไปนี้ - RILPIVIRINE (ID+ER) 25 MG TABLET OD - TENOFOVIR+EMTRICITABINE (ID+ER) 300/200 MG TABLET OD โดยใช้ HN ของบุคลากร และให้ยาจ านวนยาพอเพียง จนถึงวันพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในวันเวลาราชการ 4.5 บุคลากรที่ต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV รับยาที่ห้องจ่ายยาอาคารเพชรรัตน์ ชั้น G และติดต่องาน IC ในวันเวลาราชการ 54/248
96 Brouunnfld'll 2'1 .c A/. ^,/ - v.//- ...r......4........,...........,... dJ. (Hfi.UYi.Qn:1?5 rruqvD) frtirurunr:T:{flurura n fu v uy{ yl u a r a sr {a 0 :fl u 1 u 1 a u ur i il u r dEJ u a fi uu :rB :r g @Faculty of [r4edicine Vajira HospitaI Navamindradhiraj University ,3ou uuer'''uJfrri6"lunr:rflr:virnr:6or{otu{,rhufi1dYun1:airsYolout{ cnecr list ssl bundl.e U o. iorqil:va.rri A q v i i v ,a o^ ,4 u o. ufio"Lfr'qna1n:firfiur{orr.1flffinrl}J1rr:ilunr:fl0.:#unr:mpr16ofisirurarjrairo''rr (surgicaI site infection: I SSI) te. a n dn : r n 1 : Ln n n r : fr q rdo sl'r rrv rir um a r.i r 6'o *. drcioilaornnr:"l{ Check l.ist rrirn:rvfirfioq'rrfiun1:uffttflo{rYunr:tfin SSI t, OA b. tJou[tnn1:o1ruu{1u o. Check list SSI bundl.e tdriunr:airfr'n open major surgery uav laparoscopic surgery uvirriu to. lcifluvr nvri: u.: rulul:{ vr u ru r a I aul m. LlU'1il614{Yl a 4 4" u t - - 4 m.o fl 1591O [tOvl9l1ttl4il{il101O [tU {00fl m IUOU g{U 6n.o.ol nr:fiordofisiruyrj.:ai'rfr'orfifrryriluavrdo16otfi'frrufii (SuperficiaI incisionat SSI) v 4v no{ilanuilu n:urllilLnfuei' * to siotrlfi ^ 3 - :' q v a .u u d, u -' Gn. o. ol. or nr : n fl rr o rn n run 1 utu * o iuua-.: nl : rir fi'n (ril iu ri r 6'n rij uiufi o) d, a ji^ en.o.o.to rtlunr:fiorf,ovr-fr'lvri.:uavrfio16olfr'firu#tuBu:rufiriro,nrvirriu Gn.",.o.m fid'nuruvotirrrioa . {o riotilfi - n'uuo r o o n il'r o r n uri a,.i r o''Fr & ru o ! J ' - A a s ad - - ttunrfro'Lo'n1nto{tua?v5otilola-oornttriar,t1n'ovltnu[nurt Aseptic technique - urflvrdrtjqilrnueia Tnahitd'lirnr:ril1u16'0uaufiornl:vioornr:uaorodrqiou o ourr d,Ad49 na u?9)v:0nqLou uzuau?}J u9t{1450:0u t) vt, d - uuu dfi q ua ry'r-h a r{Ju{Lrinr :ifi odu ss t l4lJlutuntri:u cel.|.ul.itis, burn, circumcision, stitch abscess, stab wound uio pin site infection "uvv en.o.b nr:mnrfiouzuanirsr'er{urnirfipruavndr:rrfio (deep incisional SSt) fr'o.ra-d'nuruu n:untiltflruryi en uru,! lJOFIO LUU ^&^i'qu4ouatq en.o.Lcr.o nl:nattotnotunlu"Lu ,o iu raionrulu c(o ?u va.:n1:,'{lrl9l d, - g Ji 4 & v4 u & en. o. b. [o [U U n 1 : n q tt 0 vl LU 0 t U 0 ?,Ul\.l r,l O LLA U n A 1 il LU 0 en.o.b.en fia-nrgrusodrrriou r {o riohjfi - fi r,tu o rtv a q r nt&u16'fi : urir ui ur ru r.i r n-pr - uzuafiirfrqurunro{y6od'auuy{rdviarrnvrd6urijpruzua uavri'r-hufil{ >end oc ratarjrFr U il:onnLauu:r?rutLrua urlLilLqulnl:11\1vrro (frrlirnr:m:?avr160q?unl:rilrvrto v:ai6nr:6uud',rtrivlr-ru6orio 1:nr fi a'i rhi i{r rn ruq{{od) - ilufl (Abscess) vtoua-noru6ufiuarrtnr:frqrdoornnl:n:?avrulqurr:{rruu,.i'rfr'nlv:J o & J d uda y:0a r n n 1 : Fl :? 0 ru0 tu 014: 0 n1 :n :2 1 vn{ : { fi ? vl u'l Surrnl ledb6n u Y,; IC-odd uffltn:-1fi oo ritutu a/a uilt 55/248
@ n 6uv rn^rvr u or an irfi :il u1u1a uilriil ur duurfi uv :rB:rt Faculty of Aledicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University 96 ry94il0r4nd1: .".r'...'../"'..." f,\n7tlt/)'-- """.'".'' -{. (r.rfl.uil.an51?5 uilqvl0) {riru':unr:1:.:nurura ,3ou uurr'',uJfrr.i6'lunr:rilr:c5.:nr:6orrdotu{rhufildiunr:rirdqlould crrect< l.ist ssl bundte U 6n.o.6n nr:onrdofioiurvytotiot1u:rnru"Luirlnraornnr:rirfr'rr (organ/space 5Sl) 6'o.:fid'nuruvnr:u nuunruryi a {osiotild ^S-i'ou4quatv En.o.Gn.o n1:aa[toLnqtunlU"Lu *o iu raianrutu c(o?U ua{n1:rilrlfl d, a g .l j v a , .j< en.o.sn.lo tUUnl:nqttOYlLnU?tO{nuff?UAl.irl ?J0{:1{nlUylann?1r,1?14U.: U:t2fU:0Uttr'lAr{lnq ud 4 v X .!qu1\{2O 14:0nA1}Jtuovt LO:U nl:il1rl9r [email protected] fi#nrgruvodr{fiou r cio eiohjfi - fi uuo r o a n a 1 n yi o : v u'r u fl ril{n r atu o r-u r v ui o ti o rTn : r"Lui I { n I u ! ru o & J - uu n rfi otd'x 1 nt o{ tva?u:o Lu0 tu oar no{u? u raiotiolTn:lludrl nr u - fluA (Abscess) yiora#noru6ufiuraevirfinr:finrdoorflnr:n:?ailrlqun:rtruvairfr'o lrari r,lt o o r n n r : rr :? a rdo rd o rai o n r : n :r o vr r r it f, i vr a r du A v d aa u a E q v t - ila nufuuvr tt1 tnilfl n1:?u0au nl:Fla tt0 Lu:uuu 0? u?u Fl'l{ 5l en.u tfiota{[ild (Wound ctassification) rnj.:rtlu < r.J:vunu 6o en.to.o C[ean rrzuaairfr'nfitrifinr:fiq16'o tri"Ldnr:airo'fltfiurriu:suuytl{tAuulu'Lo :sul.Jv]1{tAuo1t41: : uuuvr'r { rfi-ufl aa rr vvto oiu: vf, u il'uii a, sn.b.tcr Clean-Contaminated ttzuar.jrnqavarrrfirrjurflout{iuur.rar.irrt-otfiu?fi'u:uuuvt't{LAuu]u"[a :vuu vnlr6uolyl::uuuvnrufiuflaar:s raiooiurvf;ufi'uii:ufirnr:rirm-ot#fir:vuuvtl{t6ufrn'tiolnaoquav I uB r:run r u"[urirno1n uil:rfi c1 nn1:An tdovionr:r]uu{outruv l.ir 6'n sn.tcr.6n Contaminated uzuar.jrfi'prrjurfou rfluuzuattjn Ltzuaornnr:16'iuerifirr,tnraionr:airfr'ndlr'rario It t u - !a o \ td, n?1ilauo1orJo.rrrrlayiorrzuafifinr:rJurflouornnl:r.ir6'0:suuvrl{tnuo'r14'r: utzuailtnonr:6'nrulrittjuvuol en.lo.d Dirty/tnfected uruarird'rranil:nratofir,udo riluuzuafiLi':-lqri6tvqillriou firflomru finr:firrrdo t9 r,riofi nr :vr v at o'r rirl# I udi,oti en.m dtfina1il[eu{tnan1:stnttoytttaraairfro National, NosocomiaI lnfection Surveittance (NNIS) risk index rrti.:rflunmurdu.: <:v6'u lduri o, o, b, [[ou o,loruorfi'unr:tfinsuuuflodurdul * flodt,do dh Gn.6n.o n?ril?uLt:{llo{nr:t5ud?tt American Society of Anesthesiologist (ASA) uillr{Ju a :vd'tl : v du o fi'rh u fi ru{ r r,r: r o- tri fiT: n il : r dr o''r 6 u s 1 : c n'u te rir-h u fi fiI: n rJ : v sir 6"t fi n ? u n lr o I n 1 :16'6 !t : y d'r, rir-l : u fi l-T : n rJ : v o'r o'r fi fi o r n 1 : : u tt: { u'.l n d, fi r.r a ri o n r :kifi i m rJ : v sr'r iu UI : u pr-u d oir-h u fi l-I: n fi I : u tt: w r n fr o t n r : n r : rr ua in ur o d r.:tn dfr o ut$ :uniudfr'r-hufifrl:ndroruirl#rf,ufiimt6'lut<ri'rhrhi'irov16'iunr:r.ir6'or,rtoh.iSntr en.en.b Wound class 6n. 6n. m :v u s Llal,.i'16'qilr n n'jr percenti[e fi ora slot nr:rJrrTq tteiavtfi o fiu:rnr lodbm u Y,; lC-odd uffltnirfi oo siru'lu lo/a uilt 56/248
n6uvurrvlufl 16terir0:ilE rura ilurifl arir'surfi uv:rB:rt Facu[ty of lt,4edicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University {q4rlf,ranar: 7t1--t2'- -4- (,rfl.l.J1r.0n:1'ln !uqYrn) {,iirurunr:1:viurura J .---d - Z. .,, A,e! r3o.r uuurvrr'rtlfruGtunr:rflr:sirnr:fior6o1u{rJaufikiYunr:aird'olout{ check l.ist ssl bundLe - J d. d. uulu0unnllua{nunltnnltoYrnluvlu.l}l19ro <.o nr:rJorrYunr16oudolu:vgvriouiir6'n !, d.6).6J .iFra1J1Ju:ou1.:uou b d'rjordriour.irn-o d.6).lo n?:.1ou1nonfrraio steroid riouilrd'nuw e[ectlve 9111.]Ll,.un155hulflo.l[tYivlti <...* ilr6'orirlduavvnirn?ildiuurrJfr6:uvuwit!luvnuravtn;url.irldriour.irm-q "". d.o.d o1!d^(itu d% chtorhexidine scruo v'lanirlnlu ttavusriturulfl-o erouLEunouSutiloioutac r{jlu ,; I u 1Uh100 LIAUruA UU[AOr]',ttn t]1! n ouhj #o r r.ir sr-o , e" a s ay -,. d.o.d rilo'otuyso ryTrvrfro-r[!uuasLorJLt Clipper rrvrufll5Lnu nouU1ry!?u t1]1140.1 'l9lo Lutnu o t't Lt.t{ <.o.u urinr':cy InruTfl'ri (maLnutrition) Ioul#orur:vrlrjrnvSovrr.:rirld (enteraL nutrition) ltio rairlvll{vaoo[6onrirdrui6 parentiaL fi;o totaL parenteraL nutrition r d'rJnrr.iriourjror-o )a - io , - - i" d.o.6', l!u'luvl.rn1?vno[80 Lull{n1u5nu1n1']vfl'lislo tt0 Lu51{n1u :0LvIta1n0uzu1rlo <.r.< n^:l,fiu^rJfrfituyrfionr:torriunr:fior{o (prophyLactic antibiotics) oalvlnrtdoilt6uasrf,onld antiblotics rrlluuxylr{ilfr!-fir.t1o:nlufiioflrr.rdouusrjrtorerrusnil!nliflo.lrYuuavn2untnrifiotdolu I:lr'roruraoio.l:yq'jrrflunr:1ri'antibiotics uuu prophytaxis hirf,u uo u^fi riouarfiourr'[un:nioiollri'drip ar rulryrlyaoo rSoorirrtiu vancomycin uio fluroquinoLones or:1vl bo-obo urfr riour'jrm-q n:ninr:ajt m-orl{ rxaru'tun'i1 ha[f-[ife ro{ antibiotics raiorf, u r6oolrnn'ir .,doo 6n: nr:l#tn#r dose vrruaoo1600ril tr,au ldrfiur rr< drhr yair.irn-o'lun:oifiuzuar.irm-nrflurJ:vmv Dirty u;o Infected wound dorrir pus vio tissue cu[ture ufi otvl Antibiotics fi uvrrsarrYlnr:inurriotr] - Jo d.b n1:ua{fl un1:nolta [ut?.:5sfi ')']{n'ltH'lfl o d.b.o r.lnarn:lu#ov'irfi'oauqoilroio fi na!zurLuavtlnrJrfl Ltauo{nl#io8o p .A , Za - " - d.b.b qFaln:r]a.i t!auutotJlrlq L ! vnnl.iTlna! t11u:[']fu14o.irJl0lo d.b.6n qnaln:tufi'orai"d'o6'otl'u5rtu bLldrFurlao:. hlv^15l lr:'tairndolrJ:vo'urrturracdrf,o d.b.d !nain:1i10?1layo1ofio'[{ur]:rllonrS!rracloiuEurflunar to-d u1fr eirv:-rnr:r.irpr-n:ruuinto.r z , \ a.i , ! ; , iunr:rirnionflriohjlridrureir rtofrryr.]1ua!y'lonfrouac{iuttruu!! LfLtutj:{v5o Lt a[cohoI hand rub trYtu i. v{0 n}Joo u'r {flnm 0'l0l'll.r? 5 n^:v nluuo d.b.d 6?!1dq{io u d'u ulutilfirrrlt d.b.b onlirnxlr.raroloiJir?6ufi 'lurilrird'od':u d% chLorhexidine d.b.6', yl1fi1ilfiwirrrur.irm-nriru to% chtorhexidine in 6'Jo96 alcohol riuurifi{ovluaur:o'[d oo% povidone-iodine td'rrusrjrlvit{uvnin scrub and paint rJrioufi.ili1#u#lrioualfifl d.b.d nqilr.l'l drapes [14LlOto [l4tYA0tQYl^ul.Jit?firl.l'rslO d.to.ci [tusdl t{ Wound-protector devices'lunr:l.irfi'odolvioluelatio CLean-contaminate ,Contaminate, Dirtyllnfected d.b.oro 5vu'j1{nr:c.itd'otrioanfi roulouai!Fttr oxygen saturation hjrioun'jr otaozo dulrnr bdu* lC oaa uriltn{rfi oo druru n/< vit 57/248
n ru u rn'{ vr u o r a sr ie 0 :r'{ u 1 u 1 a u ur t vr u r #u u a fi um :rB:r g @Faculty of A/edicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University Iarilotan61: 1F. / /l ^f 'r/,t/r'.t' .....t... ....'/,.......1........... <d. (l.rn.uil.an:1?5 ililqv5) {,airurunr:I:wrurura #.0 urrrl.:rJfrrifi'lunr:rflr:si.:nr:6nr{o"lufr.rJrufildiunl:aird'qTorutd crreck l.ist 5Sl bundl.e ov d.lo.oo n?UnlJofuvnil:l{nlULu >mb oC -!vvtu d. Lo. ols n 2 u q il : u d'u rir n r a : s u i 1 { n 1 : r.i 1 rt'q tta v u a { r,l 1 n o < ls: o o m g/d l. d.lo.oen :yy'jrrnr:l#ar:u'rrrarrirrn6otllfrtfrqnrrv overload nti"L{ lntra-operative goa[-directed fl uid thera py lu{rJr uvr'fi n?ril tdu.:q{ d.b.od lirntuasorn Subcutaneous tissue rirEJ o..(o/o NSS ejuriourfiutJouzuauavtl'L{ian adva nced d ressi n g iJ pt ttilara-lr.ir m-n d.to.od uuvrir'L{tr,tltn6ou antimicrobial. vio Triclosan-coated sutures lurirJrufifin:utdul6l"Lu UU j .io n1:tna n1:mq [10iln1 Llvu{ zu1 Flfi .i a i , S r r u r c q, r s s o \v d.tE.ob rilf,uuqrfiofir.Jurtiou:vy'jrrnr:air6'nrioutEutJqruzuarirfr'nlnuuonrvnr:airm-ora'rlduavvrrr:u{n <.m n1:fl o { rYunr:6o r{aturia ua#s n r:air do ou d.en.o n?Uqilqrux{tl:1{n1uLv > enb oC d. en.to lrio o nfr rouTq u n ?u qtJ oxyge n sat u ratio n trjfio u n'jr .(aozo d.en.en qfinr:lfr prophylactic antibiotics yrl{uaooL6onn'rnru"Lu tEa cj'rlil1 filuuirad'lairrirrovfivio:vtru d.en.d tinuruaua-rrird'nodrrriou aa 6':hr unt{uurzuafi Discharge rflaulri dressing d.en.d lirnruavorqfi o tuuu Hygienic ha nd washin g riouua vv#wir uru a air fi'n d.en.b nt:1i1ttzuailfrlTmtnad'n Aseptic technique uavfinr:riufin#nrgruvu,',laafluuuulflr:st-tnr:fipt i" - * ! u6o"[u1:uarura (FM lCCoo-ooen ruitclnYlfi u) tt- d. rnilflt?9r u 6 3 io o'n:r nr:fr n tfr ofr oir rrvrir uzua r.ir 6'o (Sta nda rd ized I nfection Ratio : 5l R) o. COLO (Coton)<o d. HYST (Abdominal hysterectomy) < o lo. CHOL (Chotecystectomy) <o d. KPRO (Knee prosthesis) <o m. CSEC (Cesarean section) < o b. HPRO (Hip prosthesis) < o b. lond1:rruufrrtr uru u rJ : v ffi u n r : rJ fr u-fr n r : n r il uu? vl'r { n r : fl 0 { flu n r : fr n rdo fi sl"T uuari l ai r m-q ronal:d1{a{ Lohsiriwat V, MD, PhD.Guide[ines for the Prevention of Surgicat Site Infection: The Surgical lnfection Society of Thaitand Recommendation (Executive Summary).JournaL of the A/edicaI Association of Thail.and.vol..ooen.No.o, January lootoo. Centers for Disease Contro[ and Prevention. Guide[ine for the Prevention of Surgical Site infection, loooe'/ Who guidetines on hand hygiene in heatth care.Geneve: wortd Heatth Organization:lcrooc( n:iln?!qtr1in.ru?ilAfrrufioflarriuuraun?uqlrnr:fierrdo"LuT:{vrulu1a. (vfir ax-a*) ,fiu{nitfi r. n : { rvr r,r 1 : dr rin fi l d o'n u: n : 1 d fil n Lt o u ri dlt ri, b db m fiurror lodben u Y'; lC-odd uriltnYlfi oo qirulu a/a uilt 58/248
n 6uu Lrl.rvr u ara niafi :Tr u1u 1a uurtu u rfruur fi uu:rB:rt Faculty of A/edicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University fiaurihranar: "A^r"ul-' ....../.... ..t.........,........... dJ. (r,rfl .uil.nn:1?5 l.JfuqvT 0) {drurunr:I:uurrra ruuurJ:vrfiunr:rJfrrifinrilru?il1{n1:florrYunr:fiorfi'osl'rurarjsur.raairfrn (Check List SSI bundl.e) J {o-uuana ..............0'ru.............HN..................AN t9 ...............Ward uS n1:?u0au L:n. ?uY]r,nFln.......... fl't:r.n9to I:nrJ:vsirgt'") n r :fl o r riu n r : 6 o rdo"[u:v ti c ri o u r.i T er'o ( eiT raiuyr uru T av o airJ r u ) a'l9lu nr:rJfrr.i6 uflun [rJuflusr - dh r.ac- uil1uluq(nlfu liluflurl) o rorawui to a'r.Jorr.i te qY u {nBlnnnunilnu !l 6n iurJ:vvruu rrJfr fi ruv;irrair e lective co [o n s u rgery d n r : un6 u u cirldlra qi ri ouri r 6'n ritaYu e tective co [o n s u rge ry * o',uti', ui'r t, dolo ch lorhexid i ne scru b r6u-r{r I(uod,rad hilnurufirs;ruiluriro-otupi':ui6nr:n6rJ Ctipper trirfiu . rirllrriouilrfr'o 6'i u9 * s u. Jr LO ttfl Lt n 1 ? vvll'l LntUl n 1 5 o ?{ U sl'l 14 fl 0U hl'l 9l O ! b urfittnrrvnr:rro rfi oluirtnruriour.ir6'o 6( fi n"rd,snr:inur prophytactic antibiotic o J " u e v 4v n1:u0{nun1:9ro rl,0 Lutuuvi{1aa (d1145u r0114u1ilv4.:9,r1Fro) alnu n1:uruer ilfrfia LilU0ua - d r.a6- villuruq(nrru tiluflufl) g, unarn:lu#orriro"oa':rtnrir6'or dnauzur uuavtloilr niravoln"lrifi nfi pr tt!! ie q u a !, q a,a "i {o unaln5 [u140{rJ1r]0!auau LtJ Lara!Uaoiluactn:0.:U:uFlut[fl uLLavu?lJ0rnnu ir 6n d qu d d, d o v UnAln:41{il0 ttttU5.i?'{0ntAULtAv tFltAUtUUt?A'l te-d U1il A1u:Ur.llrlo5rU$:n?JO'i?U n1: r,ir6'rrnYrrioh.ldrnr:donfio uravfruururuuululfruuJ:rvtoorold atcohotic hand rub td' d fl?rrq{fi o r, duuuulrifi ufl r q v'l o n lir n r r u a v o r n uB tr ru fi r vril ri r n-o ri': u dolo c h [o rh ex i d i n e yrfrau{lu5ncuzurrtlooru toolo chtorhexidine in e'lo% atcoholic /aoo/o povidine-iodine 1Jaou t14ttu{noua{il91 5., n q:r fr'r d ra pes t#fi o 8olri'rv 6 o tafl r v ui t': ru r.i r n-q d urusrjr t{ Wound-protector devices lunr:rirfi'ndotfr'oltfiouzua Ctean-contaminated , contaminated, Dirly/infected c( lriur prophyl.actic antibiotics rioualfin bo ulfi G')o n'tuqil oxygen saturation hjfioun'jr .teozo @o n?unxJoru14fl fi i1{nr u rilr utvlo d:co-uil n fi > mb oC ri!u! ob n:rqu:v6'ur"lrnralur6oo s tooo mg/dt G)6n {onr::vu'jrtnr:"[riar:rirrrasrhun6otu"[riufionrrv overtoad nr:1ci lntra-operative goa [-d irected fl uid thera py lu{rJ':trfi fi ntu uf; u lql od nr:rirnru av o lo Su bcutaeo us ti ssue ri?u o..<o/o n ss eiuriour6ufl or unr a ua s'Luldiae tt advanced dressing iJn rrr.ravdtair6'pr od utuvrir'l{1vl rn 6 ol a ntim icrobia I uio trictosa n-coate sutu res tu n't'rilrau{a.r ! 6'urrnu t cu* FM-lCCoo-obs'l iuilun#1fi oo drulu o/l.o ufi't 59/248
n 6uu rr?'{vr u o r a sr ie 0:n u 1u 1 a uuriil u r delua fi uu :rB:r t Facu[ty of lvledicine Vajira HospitaI Navamindradhiraj University #HffironaT: Z^^f-y'/l/ ""r""':"""'""' :' ''.. (r,rPr.uil.0n:1?5 t.Jilqvr5) fidrurunr:1:ln urula uuurJ:crfiunr:rJfrffinT ilru?yr'r.:n1:florfrunr:fiordosl'rrur,tri.rruaraairslo (Check l.ist SSI bundle) J {o-uuana ..............0ru.............HN..................AN...............Ward. lt ?uilr,J'19rq.... n T :fl o r riu n r : 6 o rfi atu : v rJ v v a'r r.i r 6'o ( 6ir u iu il u r u 1 a u o rid r u't a1n! nr:rJfrffi ufluer [rJu0ust - dS r.a6- r4xr1 u $rq ( nrfu tilu0uet ) o n?lnXlOfUflil5lnfllU >enb oC i1! le 1#oo n0 roury'th uIn u nrrnu oxyge n satu ration hjrio u n'jr .(aozo 6n qFnr:lri prophyl.actic antibiotics yryaoo16oosirnrErlu to< t'rTur fir*rivdrr.ird'oovfi vio:vuru d -< . X tJ n ur.r a rad'r r'i r mirr o d r uio u <a t'dl r u n riu uiJ ou ua vtvi a re s s i n g 16' d lir n': r u a s o r n fi o uuu Hygi e n ic h a n dwa s h i n g ri o u ua v vdll4r uru a ai r m-n nr:liruzuarJfrfGnuva-n Aseptic technique uacfinr:fufind'nuruvafluuuutflr:vitnr: - J" * fl0tt0 !U L5{Y',iU'lU1A 5U?1nil bdben FM-lCCoo-obol ruil,tnilfi oo qitu'lu to/tE rarir 60/248
ชื่อ-นามสกุล......................................................อายุ.............HN..................AN...............Ward.........................วันที่ผ่าตัด................. ล ำดับ กำรปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ปฏิบัติ หมำยเหตุ(กรณีไม่ปฏิบัติ) 1 งดสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์ 2 งดยากดภูมิคุ้มกัน 3 รับประทานยาปฏิชีวนะส าหรับ elective colon surgery 4 การเตรียมล าใส้ใหญ่ก่อนผ่าตัดส าหรับ elective colon surgery 5 อาบน าด้วย 4% chlorhexidine scrub เย็น-เช้า 6 ไม่โกนขนถ้าจ าเป็นก าจัดขนด้วยวิธีการคลิป Clipper ไม่เกิน 1 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด 7 ได้แก้ไขภาวะทุพโภชนาการ 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด 8 แก้ไขภาวะการติดเชื อในร่างกายก่อนผ่าตัด 9 มีค าสั่งการรักษา prophylactic antibiotic ล ำดับ กำรปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ปฏิบัติ หมำยเหตุ(กรณีไม่ปฏิบัติ) 1 บุคลากรในห้องผ่าตัดสวมชุดผ่าตัด ที่คลุมผมและปิดปากและจมูกให้มิดชิด 2 บุคลากรในห้องผ่าตัดเล็บสั น ไม่ใส่เล็บปลอมและเครื่องประดับแขนและนิ วมือทุกคน 3 บุคลากรล้างมือใช้แปรงฟอกเล็บและใต้เล็บเป็นเวลา 2-5 นาที ส าหรับผ่าตัดรายแรกของวัน การ ผ่าตัดครั งต่อไปท าการฟอกมือ และต้นแขนแบบไม่ใช้แปรงหรืออาจใช้ alcoholic hand rub ได้ 4 สวมถุงมือ 2 ชั นแบบไม่มีแป้ง 5 ฟอกท าความสะอาดบริเวณผิวหนังผ่าตัดด้วย 4% chlorhexidine 6 ทาผิวหนังบริเวณผ่าตัดด้วย 2% chlorhexidine in 70% alcoholic /10% povidine-iodine ปล่อยให้แห้งก่อนลงมีด 7 คลุมผ้า drapes ให้มิดชิดให้เหลือเฉพาะบริเวณผ่าตัด 8 แนะน า ใช้ Wound-protector devices ในการผ่าตัดช่องท้องชนิดแผล Clean-contaminated , contaminated, Dirty/infected 9 ให้ยา prophylactic antibiotics ก่อนลงมีด 60 นาที 10 ควบคุม oxygen saturation ไม่น้อยกว่า 95% 11 ควบคุมอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยให้อยู่ระดับปกติ ≥ 36 ºC 12 ควบคุมระดับน าตาลในเลือด ≤ 200 mg/dl 13 ข้อควรระหว่างการให้สารน าและน าเกลือไม่ให้เกิดภาวะ overload ควรใช้ Intra-operative goal-directed fluid therapy ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง 14 ควรท าความสะอาด Subcutaeous tissue ด้วย 0.9% nss อุ่นก่อนเย็บปิดแผลและไม่ใช้วัสดุ advanced dressing ปิดแผลหลังผ่าตัด 15 แนะน าใช้ไหมเคลือบ antimicrobial หรือ triclosan-coate sutures ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง กำรป้องกันกำรติดเชื้อในระยะก่อนผ่ำตัด (ส ำหรับพยำบำลหอผู้ป่วย) การผ่าตัด..................................................โรคประจ าตัว....................................การวินิจฉัยโรค.......................................................... ธันวาคม 2563 FM-ICC01-067 แก้ไขครั งที่ 00 จ านวน 1/2 หน้า กำรป้องกันกำรติดเชื้อในระยะผ่ำตัด (ส ำหรับเจ้ำหน้ำที่ห้องผ่ำตัด) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University แบบประเมินการปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการติดเชื้อต าแหน่งแผลผ่าตัด (Check list SSI bundle) ผู้อนุมัติเอกสาร .................................... (ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล 61/248
ชื่อ-นามสกุล......................................................อายุ.............HN..................AN...............Ward.........................วันที่ผ่าตัด................. การผ่าตัด..................................................โรคประจ าตัว....................................การวินิจฉัยโรค.......................................................... คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University แบบประเมินการปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการติดเชื้อต าแหน่งแผลผ่าตัด (Check list SSI bundle) ผู้อนุมัติเอกสาร .................................... (ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล ล ำดับ กำรปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ปฏิบัติ หมำยเหตุ(กรณีไม่ปฏิบัติ) 1 ควบคุมอุณภูมิร่างกาย ≥36 ºC 2 ให้ออกซิเจนผู้ป่วยโดยควบคุม oxygen saturation ไม่น้อยกว่า 95% 3 ยุติการให้ prophylactic antibiotics ทางหลอดเลือดด าภายใน 24 ชั่วโมง ถึงแม้หลังผ่าตัดจะมี ท่อระบาย 4 ปิดแผลหลังผ่าตัดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ยกเว้นเปื้อนแฉะให้ dressing ได้ 5 ท าความสะอาดมือแบบ Hygienic handwashing ก่อนและหลังท าแผลผ่าตัด 6 การท าแผลปฏิบัติตามหลัก Aseptic technique และมีการบันทึกลักษณะลงในแบบเฝ้าระวังการ ติดเชื อในโรงพยาบาล ธันวาคม 2563 FM-ICC01-067 แก้ไขครั งที่ 00 จ านวน 2/2 หน้า กำรป้องกันกำรติดเชื้อในระยะหลังผ่ำตัด (ส ำหรับพยำบำลหอผู้ป่วย) 62/248
Goal (2.2) 1. WI-NUR01-ETtube-01 2. WI-NUR01-ETtube-02 3. WI-NUR01-ETtube-03 4. WI-NUR-ETtube-05 5. WI-NUR01-004 6. IC-046 7. FM-ICC01-060 63/248
วิธีปฏิบัติงาน เรื่อง : การเตรียมและช่วยใส่ท่อช่วยหายใจ หน้า : 1/4 รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-01 ทบทวนครั้งที่ : 01 วันที่ทบทวน : 3 เม.ย. 2560 ชื่อหน่วยงาน : ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช วันที่อนุมัติ : 3 เม.ย. 2560 ผู้จัดท า : คณะกรรมการการเลื่อนหลุดท่อช่วยหายใจ ฝ่ายการพยาบาล ผู้อนุมัติ : หัวหน้าพยาบาล 1. วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจรวดเร็ว ปลอดภัยและถูกวิธี 2. ขอบเขต / กลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก/ทางจมูกทุกราย 3. ค าจ ากัดความ การใส่ท่อช่วยหายใจ หมายถึง การใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งสามารถใส่ได้ทั้งทางปากหรือจมูก 4. ผู้รับผิดชอบ พยาบาลวิชาชีพ 5. อุปกรณ์และเครื่องใช้ 5.1 Laryngoscope 5.1.1 blade ตรงและ blade โค้ง เบอร์ 0-2 ใช้ในเด็ก และเบอร์ 3 หรือ 4 ใช้ในผู้ใหญ่ 5.1.2 ด้าม ( handle) ขนาดเล็กส าหรับเด็กและขนาดใหญ่ส าหรับผู้ใหญ่ 5.2 ท่อช่วยหายใจขนาดต่างๆ ตามช่วงอายุดังแสดงในตารางข้างล่างและควรเตรียมขนาดที่ใหญ่และ เล็กกว่าขนาดที่จะใช้ส ารองไว้ให้พร้อมอีกอย่างละเบอร์ 5.3 Self inflating bag C Reservior bag ( Anesthic circuit ส าหรับวิสัญญี ) C mask 5.4 ชุดใส่ท่อช่วยหายใจ 5.5 ท่อเปิดการเดินหายใจทางปาก ( oral airway ) 5.6 guide wire หรือ stylet 5.7 สายดูดเสมหะปลอดเชื้อ 5.8 Syringe 10 cc. ส าหรับ blow cuff 5.9 K-Y jelly sterile 5.10 Stethoscope 64/248
5.11 Plaster และ Hernia tape 5.12 ถุงมือ Sterile 5.13 Magill forcep 5.14 อุปกรณ์วัด Pressure cuff 5.15 Monitor ได้แก่ เครื่องวัดความดันโลหิต, เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ( ถ้ามี),.Pulse oximetey ( ถ้ามี ) 6. วิธีการด าเนินงาน 6.1 ทดสอบความพร้อมใช้ของ Laryngoscope 6.2 จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆดังกล่าวให้ครบ วางอยู่บริเวณเดียวกันและอยู่ในต าแหน่งที่ผู้ใส่ท่อช่วยหายใจ สามารถหยิบใช้งานได้ง่ายและรวดเร็ว 6.3 ทดสอบการรั่วของ cuff ของท่อช่วยหายใจโดยใช้ Syringe ส าหรับ blow cuff inflate ลมเข้า cuff จนโป่งตัวแล้วทิ้งไว้ประมาณ 2 วินาที จึง deflate ลมออกให้หมด 6.4 หล่อลื่นบริเวณปลายท่อช่วยหายใจด้วย K-Y jelly ด้วยเทคนิค sterile 6.5 ติดอุปกรณ์ส าหรับ monitor ผู้ป่วยและวัดค่าก่อนใส่ท่อช่วยหายใจ 6.6 ปรับระดับเตียงให้ใบหน้าของผู้ป่วยอยู่สูงเท่าระดับอกของผู้ใส่ท่อช่วยหายใจ ( กรณีเตียงสามารถ ปรับได้) 6.7 จัดท่าของศีรษะผู้ป่วยให้เหมาะสม และแหงนคอเล็กน้อย ยกเว้นในรายที่มีหรือสงสัยว่าน่าจะมี Cervical spine injury ต้องให้ศีรษะผู้ป่วยอยู่นิ่งและขณะใส่ท่อช่วยหายใจจะต้องมีผู้ช่วยอีกคนช่วยยึดศีรษะ ของผู้ป่วยไม่ให้เคลื่อนที่ 6.8 ต่อสายดูดเสมหะเข้ากับเครื่องดูดเสมหะให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ทันที และคอยช่วยดูดเสมหะ หากมีการส าลัก อาเจียน หรือมีสิ่งคัดหลั่งจ านวนมากในปาก 6.9 สังเกตค่าต่างๆจากเครื่องวัดขณะแพทย์/วิสัญญีแพทย์/วิสัญญีพยาบาล ใส่ท่อช่วยหายใจ หาก ผิดปกติรีบรายงานทันที 6.10 หลังใส่ท่อช่วยหายใจดูดเสมหะในท่อช่วยหายใจโดยเปลี่ยนสายใหม่ และ Hyperventilate ให้ แพทย์ฟังปอด 2 ข้าง 6.11 ยึดท่อช่วยหายใจภายหลังใส่ท่อช่วยหายใจส าเร็จและอยู่ในต าแหน่งที่ถูกต้อง วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 2/4 เรื่อง : การเตรียมและช่วยใส่ท่อช่วยหายใจ รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-01 ทบทวนครั้งที่ : 01 65/248
3 4 6.12 บันทึกต าแหน่ง และขนาดของท่อช่วยหายใจรวมถึง cuff pressure ในบันทึก 6.13 ติดตามผล X-ray และรายงานแพทย์ หมายเหตุ ขนาดของท่อช่วยหายใจที่ใช้ส าหรับผู้ป่วยในช่วงอายุต่างๆ อายุ น าหนัก ( Weight ) ขนาดของท่อช่วย หายใจ ( ID ) สูตรการค านวณ ขนาดของท่อช่วย หายใจ ระยะความลึกของ ท่อช่วยหายใจถึงริม ฝีปาก ทารกคลอดก่อน ก าหนด ทารกแรกคลอดครบ ก าหนด1-6 เดือน 6-12 เดือน 2 ปี 4 ปี 6 ปี 8 ปี 10 ปี 12 ปี > 14 ปี < 1,000 gms 1,000-2,000 gms 2,000-3,000,gms 3,000-4,000 gms 4,000 gms ขึ้นไป 2.5 / uncuffed 3.0 / uncuffed 3.5 / uncuffed 4.0 / uncuffed 4.5 / uncuffed 5.0 / uncuffed 5.5 /cuffed/uncuffed 6.5 /cuffed/uncuffed 7.0 / cuffed 7.5 / cuffed ผู้ชาย 8.0 ผู้หญิง 7.5 ผู้หญิงตั้งครรภ์ 7.0 ในเด็กอายุต่ ากว่า 6 ปี ใช้สูตร = อายุเป็นปี+ 3.75 ในเด็กอายุมากกว่า 6 ปี ใช้สูตร = อายุเป็นปี+ 4.5 ระยะความลึก = ID*3 ในผู้ใหญ่ระยะ ความลึก 20-22 cm. ** บวกอีก 2-3 cm. ถ้าใส่ท่อช่วยหายใจทาง จมูก 7. เครื่องชี วัดคุณภาพ จ านวนครั้งของการเตรียมใส่ท่อช่วยหายใจได้ถูกต้อง และพร้อมใช้ วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 3/4 เรื่อง : การเตรียมและช่วยใส่ท่อช่วยหายใจ รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-01 ทบทวนครั้งที่ : 01 66/248
8. เอกสารอ้างอิง กองการพยาบาล. (2542). มาตรฐานการพยาบาลในโรงพยาบาล. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สามเจริญพานิช. วรรณา สมบูรณ์วิบูลย์ และคณะ. (2543). วิสัญญีพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น. วรรณา สุวรรณจินดา และอังกาบ ปราการรัตน์. (2538.) ต าราวิสัญญีวิทยา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: กรุงเทพเวชสาร. อมรา พานิช และมยุรี วศินานุกร. (2535). วิสัญญีวิทยา. กรุงเทพฯ: โอ เอส พริ้นติ้งเฮ้าส์. ทีมพยาบาลทารกแรกเกิด โรงพยาบาลรามาธิบดี. (2555). คู่มือการเตรียมทารกแรกเกิดส าหรับการเคลื่อนย้าย. กรุงเทพฯ. ชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย. วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 4/4 เรื่อง : การเตรียมและช่วยใส่ท่อช่วยหายใจ รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-01 ทบทวนครั้งที่ : 01 67/248
วิธีปฏิบัติงาน เรื่อง :การดูแลผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal tube) หน้า : 1/3 รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-02 ทบทวนครั้งที่ : 01 วันที่ทบทวน : 3 เม.ย. 2560 ชื่อหน่วยงาน : ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช วันที่อนุมัติ : 3 เม.ย. 2560 ผู้จัดท า : คณะกรรมการการเลื่อนหลุดท่อช่วยหายใจ ฝ่ายการพยาบาล ผู้อนุมัติ : หัวหน้าพยาบาล 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 1.2 เพื่อเปิดทางเดินหายใจและระบายเสมหะ 1.3 เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนของการใส่ท่อช่วยหายใจ 2. ขอบเขต/กลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจทุกราย 3. ค าจ ากัดความ การใส่ท่อช่วยหายใจ หมายถึงการใส่ท่อเข้าไปในหลอดลมโดยตรง โดยใช้ท่อ Endotracheal tube (E-T tube) ซึ่งอาจใส่ผ่านทางปาก (Orotracheal intubation) หรือผ่านทางจมูก (Nasotracheal intubation) 4. ผู้รับผิดชอบ พยาบาลวิชาชีพ 5. อุปกรณ์และเครื่องใช้ 5.1 ชุดดูดเสมหะ 5.2 อุปกรณ์ส าหรับช่วยหายใจโดยใช้มือบีบ (Self inflating bag and reservoir bag) 5.3 Oropharyngeal airway 5.4 Syringe ขนาด 10 ml 5.5 Stethoscope 5.6 Plaster หรือเชือกผูกท่อช่วยหายใจ 5.7 กรรไกร 5.8 ถุง/ภาชนะรองรับขยะติดเชื้อ 5.9 อุปกรณ์วัด cuff pressure (cuff pressure manometer) 5.10 ชุดท าความสะอาดปากและฟัน 68/248
6. วิธีด าเนินงาน 6.1 ประเมินสภาพทั่วไปของผู้ป่วย 6.2 สังเกตอาการและบันทึกสัญญาณชีพ ถ้าพบว่าผิดปกติ เช่นหายใจเหนื่อยหอบ ชีพจรเร็ว รายงานแพทย์ 6.3 ดูดเสมหะเมื่อพบว่ามีเสมหะในหลอดลมคอ พร้อมทั้งบันทึกลักษณะสี และจ านวนของเสมหะ 6.4 ประเมินโอกาสเสี่ยงต่อการดึงท่อช่วยหายใจ 6.5 ดูแลใส่ลมใน pressure cuff และตรวจสอบ pressure cuff ไม่ควรเกิน 25-30 เซนติเมตรน้ า อย่างน้อย ทุก 8 ชั่วโมง 6.6 ฟังเสียงลมหายใจผ่านทรวงอกทั้ง 2 ข้างว่าได้ยินเสียงลมหายใจเข้าเท่ากันทั้ง 2 ข้าง 6.7 ดูแลท่อช่วยหายใจไม่ให้เลื่อนหลุดและอยู่ตรงต าแหน่งที่ก าหนดด้วย plaster หรือเชือกให้เรียบร้อย โดยเปลี่ยนเชือกหรือ plaster วันละครั้งและเมื่อสกปรก 6.8 ดูแลท่อช่วยหายใจและสาย circuit ของเครื่องช่วยหายใจไม่ให้หักพับงอ หรือดึงรั้ง 6.9 ดูแลท าความสะอาดปากและฟันให้ผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง 6.10 สังเกต บันทึกอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย ดังนี้ 6.10.1 สังเกตอาการและบันทึกสัญญาณชีพ 6.10.2 ลักษณะสีผิว ริมฝีปาก อุณหภูมิของอวัยวะส่วนปลาย 6.11 ติดตามและประเมินต าแหน่งท่อช่วยหายใจจาก Chest x-ray และตรวจสอบต าแหน่งทุกครั้งหลัง ให้การพยาบาล 6.12 ส่งตรวจและติดตามผล ค่าความดันของก๊าซในหลอดเลือดแดง (ABG) ตามแผนการรักษา 7. เครื่องชี้วัดคุณภาพ 7.1 ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในหลอดเลือดแดง 7.2 อัตราการเกิดปอดอักเสบจากการใส่ท่อช่วยหายใจ 7.3 อัตราการเกิดภาวะเสมหะอุดกั้น 8. เอกสารอ้างอิง นรุตม์ เรือนอนุกุล. (2551). การบ าบัดระบบหายใจในเวชปฏิบัติ. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพ: บ.บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์ จ ากัด. นลิน โชคงามวงศ์. (2557). The Smart ICU. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพ: บ.บียอนด์เอ็นเทอร์ไพรซ์ จ ากัด. วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 2/3 เรื่อง :การดูแลผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal tube) รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-02 ทบทวนครั้งที่ : 01 69/248
Kovacs G., JA Law, et al. (2004). Acute airway management in the emergency department by Non-anesthesiologists. Canadian journal of anesthesia, 51, 174-180. Keir J., Warner BS, et al. (2009). Management of the difficult airway : A prospective cohort study. The Journal of Emergency Medicine, 36, 257-265. วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 3/3 เรื่อง : การดูแลผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal tube) รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-02 ทบทวนครั้งที่ : 01 70/248
วิธีปฏิบัติงาน เรื่อง : การดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ หน้า : 1/4 รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-03 ทบทวนครั้งที่ : 01 วันที่ทบทวน : 3 เม.ย. 2560 ชื่อหน่วยงาน : ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช วันที่อนุมัติ : 3 เม.ย. 2560 ผู้จัดท า : คณะกรรมการการเลื่อนหลุดท่อช่วยหายใจ ฝ่ายการพยาบาล ผู้อนุมัติ : หัวหน้าพยาบาล 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 1.1 เพื่อให้เนื้อเยื้อต่างๆของร่างกายได้รับออกซิเจนเพียงพอ 1.2 เพื่อลดการท างานของกล้ามเนื้อหายใจและปอด 1.3 เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ 2. ขอบเขต/กลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการใส่ท่อช่วยหายใจหรือท่อหลอดลมคอทุกราย 3. ค าจ ากัดความ เครื่องช่วยหายใจ หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้เทคนิคในการปรับความดันในทางเดินหายใจ ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ หมายถึงผู้ป่วยที่ใส่ท่อหลอดลม/ท่อช่วยหายใจร่วมกับการใช้เครื่องช่วยหายใจ 4. ผู้รับผิดชอบ พยาบาลวิชาชีพ 5. อุปกรณ์และเครื่องใช้ 5.1 เครื่องช่วยหายใจและชุดสายเครื่องช่วยหายใจ 5.2 อุปกรณ์ส าหรับช่วยหายโดยใช้มือบีบ (Self inflating bag and reservoir bag) 5.3 ปอดเทียม (Test lung) 5.4 Sterile water 5.5 ชุดดูดเสมหะ 5.6 Spirometer 5.7 เครื่องวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง (Pulse oximeter) 5.8 เครื่องติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบต่อเนื่อง (EKG-Monitor) หรือ EKG 12 lead (ถ้ามี) 71/248
5.9 Stethoscope 5.10 เครื่องวัดความดัน 5.11 Plaster หรือเชือกผูกท่อหลอดลมคอ/ท่อช่วยหายใจ 5.12 กรรไกร 5.13 Oropharyngeal airway 5.14 Syringe ขนาด 5 ml, 10 ml, และ 20 ml 5.15 อุปกรณ์วัด cuff pressure (cuff pressure manometer) 5.16 ชุดท าความสะอาดปากและฟัน 6. วิธีการด าเนินงาน 6.1 การดูแลเครื่องช่วยหายใจ 6.1.1 ดูแลให้ท่อหลอดลมคอ/ท่อช่วยหายใจที่ต่อกับเครื่องช่วยหายใจอยู่ในต าแหน่งที่ก าหนด 6.1.2 ดูแลให้เครื่องช่วยหายใจท างานตามแผนการรักษาของแพทย์ 6.1.3 บันทึกข้อมูลการตั้งและปรับเปลี่ยนเครื่องช่วยหายใจทุกครั้ง พร้อมชื่อแพทย์และพยาบาล ผู้ปฏิบัติตามแผนการรักษาลงใน Ventilator setting record และบันทึกตรวจสอบข้อมูลการปรับเปลี่ยนเครื่อง ครั้งสุดท้ายทุก 2 ชั่วโมง 6.1.4 ตรวจสอบน้ าในที่ดักน้ า (water tap) หรือในสายเครื่องช่วยหายใจ (ventilator tubing) ถ้ามีน้ าให้เท น้ าด้วยเทคนิคปลอดเชื้อลงในภาชนะรองรับที่มีฝาปิดเป็นระยะๆ 6.1.5 เปลี่ยนชุดสายเครื่องช่วยหายใจตามแนวปฏิบัติคณะกรรมการควบคุมโรคติดเชื้อ 6.1.6 ดูแลให้มีน้ าอยู่ในเครื่องควบคุมความชื้น (humidifier) ตามมาตรฐาน และปรับอุณหภูมิ 34 – 41 องศาเซลเซียส 6.1.7 จัดสายต่อเครื่องช่วยหายใจไม่ให้ดึงรั้ง หรือหัก พับ งอ 6.1.8 ดูแลลมใน pressure cuff ไม่ให้เกิน 25-30 เซนติเมตรน้ าอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง 6.2 การดูแลผู้ป่วยขณะใช้เครื่องช่วยหายใจ 6.2.1 ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง คลื่นไฟฟ้าหัวใจทุก 1 ชั่วโมง ถ้าพบอาการผิดปกติต้องติดตามทุก 15 นาที หรือ 30 นาที จนกว่าจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 2/4 เรื่อง : การดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-03 ทบทวนครั้งที่ : 01 72/248
6.2.2 ประเมินและบันทึกทางเดินหายใจโดย 6.2.2.1 สังเกตอัตราการหายใจ ลักษณะการหายใจ และการเคลื่อนไหวของทรวงอก 6.2.2.2 ฟังเสียงปอดหรือเสียงการหายใจอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง และเมื่อมีอาการผิดปกติ 6.2.2.3 ตรวจสอบและบันทึกต าแหน่ง และขนาดของท่อช่วยหายใจอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง 6.2.3 บันทึกลักษณะของสีผิว ความชื้น ความอุ่น บริเวณปลายมือ ปลายเท้าทุก 1 ชั่วโมง 6.2.4 ดูดเสมหะทุก 2 ชั่วโมง หรือเมื่อจ าเป็น สังเกตและบันทึกจ านวน ลักษณะ สี กลิ่น 6.2.5 จัดท่านอนผู้ป่วยในท่าศีรษะสูง 30-45 องศา ในกรณีไม่มีข้อห้ามของแผนการรักษา และ เปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมง 6.2.6 เคาะปอด กระตุ้นให้หายใจเข้า – ออกลึกๆ และไออย่างถูกวิธี ท าการสั่นสะเทือนปอด ทุก 2 ชั่วโมง ในกรณีไม่มีข้อห้ามของแผนการรักษา 6.2.7 บันทึกปัญหาที่พบขณะใช้เครื่องช่วยหายใจ ได้แก่ การหายใจของผู้ป่วยไม่สัมพันธ์กับ เครื่องช่วยหายใจ ต้องรีบหาสาเหตุจากผู้ป่วย หรือจากการท างานของเครื่องช่วยหายใจและรายงานแพทย์ 6.2.8 ดูแลท าความสะอาดช่องปากและฟันให้ผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง 6.2.9 ให้ข้อมูลผู้ป่วยและญาติ แนะน าและสอนวิธีการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นตามสภาพของผู้ป่วย 6.2.10 ส่งตรวจและติดตามผลค่าความดันก๊าซในหลอดเลือดแดง ตามแผนการรักษา 6.2.11 ติดตามผล Chest x-ray ตามแผนการรักษา 7. เครื่องชี้วัดคุณภาพ 7.1 ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในหลอดเลือดแดง 7.2 อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ 8. เอกสารอ้างอิง ทนันชัย บุญบูรพา. (2551). การบ าบัดระบบหายใจในเวชปฏิบัติ. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพ: บ.บียอนด์ เอ็น เทอร์ไพรซ์ จ ากัด. เพชร วัชรสินธุ์. (2552). การติดตามสภาวะทางระบบหายใจที่ควรทราบเมื่อต้องดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ. Basic to advanced Ventilator and Hemodynamic Management : Monitoring in วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 3/4 เรื่อง : การดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-03 ทบทวนครั้งที่ : 01 73/248
Mechanical Ventilated Patient. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพ: บ.บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์ จ ากัด. รัฐภูมิ ชามพูนท. (2553). alarm sign. Critical care : At difficult time. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพ: บ.บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์ จ ากัด. ทนันชัย บุญบูรพา. (2557). The Smart ICU. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพ: บ.บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์ จ ากัด. Ruben D Restrepo, Brain K Walsh. (2012). AARC Clinical Practice Guideline: Humidification During Invasive and Noninvasive Mechanical Ventilation. Respiratory Care. 57, 782-788. วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 4/4 เรื่อง : การดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-03 ทบทวนครั้งที่ : 01 74/248
วิธีปฏิบัติงาน เรื่อง : การป้องกันการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ ทางปาก/จมูก หน้า : 1/2 รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-05 ทบทวนครั้งที่ : 01 วันที่ทบทวน : 3 เม.ย. 2560 ชื่อหน่วยงาน : ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช วันที่อนุมัติ : 3 เม.ย. 2560 ผู้จัดท า : คณะกรรมการการเลื่อนหลุดท่อช่วยหายใจ ฝ่ายการพยาบาล ผู้อนุมัติ : หัวหน้าพยาบาล 1. วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ 2. ขอบเขต/กลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมการป้องกันการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ ส าหรับผู้ป่วยที่ใส่ท่อหายใจทุกราย 3. ผู้รับผิดชอบ พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/เจ้าหน้าที่พยาบาล 4. อุปกรณ์และเครื่องใช้ 1. Syringe ขนาด 10 มล. และอุปกรณ์วัด pressure cuff 2. อุปกรณ์ผูกยึดท่อช่วยหายใจ ได้แก่ พลาสเตอร์ผ้า และ hernia tape 3. Manometer 4. Lowgan Bow (กรณีผู้ป่วยเด็กโต) 5. กระดาษกาว/เหล็กยึดสายอุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจ (กรณีผู้ป่วยเด็ก) 6. อุปกรณ์ส าหรับการผูกยึดผู้ป่วย ได้แก่ ผ้าผูกยึดที่บุด้วยฟองน้ า เสื้อสามารถ 7. “ค าแนะน าส าหรับผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจและญาติ” 8. แผ่นภาพ “คู่มือภาพประกอบการสื่อสาร” 9. อุปกรณ์เครื่องเขียน 5. วิธีการด าเนินงาน 5.1 ดูแลให้ผู้ป่วยและญาติคลายความวิตกกังวลและสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง โดย 5.1.1 ให้ค าแนะน าผู้ป่วยและญาติทราบถึงประโยชน์ ความจ าเป็นในการใส่ท่อช่วยหายใจ และอันตราย ที่เกิดจากการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติซักถามข้อสงสัย 5.1.2 แนะน าถึงข้อปฎิบัติที่ผู้ป่วยและญาติสามารถท าได้ ขณะผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 5.1.3 สอนผู้ป่วยถึงวิธีการสื่อสารแทนการใช้เสียง ในขณะที่ยังใส่ท่อช่วยหายใจ 5.1.3.1 กรณีผู้ป่วยรู้สึกตัว สามารถเขียนหนังสือได้ สื่อสารโดยการเขียน 5.1.3.2 กรณีผู้ป่วยรู้สึกตัว แต่เขียนหนังสือไม่ได้ ให้ใช้ท่าทางประกอบ อ่านริมฝีปาก หรือใช้ “คู่มือ ภาพประกอบการสื่อสาร” 75/248
5.1.4 ประเมินและตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว 5.1.5 อธิบายให้ผู้ป่วยทราบทุกครั้งก่อนให้การพยาบาลกรณีเปลี่ยน position ต้องใช้พยาบาลอย่างน้อย2 คน 5.2 อธิบายผู้ป่วยและญาติตาม “ค าแนะน าส าหรับผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจและญาติ” 5.3 ผูกยึดท่อช่วยหายใจตามคู่มือ “เทคนิคการผูกยึดท่อช่วยหายใจด้วยพาสเตอร์ผ้าและ hernia tape” และ “เทคนิคการผูกยึดท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยเด็ก” กรณีผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก ผูกยึดท่อช่วยหายใจตามคู่มือ โดยเปลี่ยนพลาสเตอร์ผ้าและ Hernia tape ทุกวัน และทุกครั้งที่สกปรก หรือหลุดลอกของพลาสเตอร์ผ้า ถ้าผู้ป่วย แพ้พลาสเตอร์ผ้าหรือมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดแผลจากการติดพลาสเตอร์ผ้า ให้ผูกยึดท่อช่วยหายใจเฉพาะ hernia tape 5.4 ตรวจสอบท่อช่วยหายใจให้อยู่ในต าแหน่งที่ก าหนดทุกครั้งที่ให้การพยาบาล และอย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง ตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย 5.5 วัด pressure cuff ทุก 8 ชั่วโมง 5.6 ลดการดึงรั้งของท่อช่วยหายใจ 5.7 ประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยทุกเวร เพื่อเฝ้าระวังผู้ป่วยดึงท่อช่วยหายใจ 5.7.1 กรณีผู้ป่วยมีอาการสับสน ไม่ให้ความร่วมมือ มีแนวโน้มจะดึงท่อช่วยหายใจ ให้ปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติงาน เรื่องการผูกยึดผู้ป่วย 5.7.2 กรณีผู้ป่วยรู้สึกตัวดี แจ้งผู้ป่วยเพื่อขอผูกยึดข้อมือในขณะที่ผู้ป่วยหลับ 5.8 กรณีที่พบว่าท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุด ให้ปฏิบัติ ดังนี้ 5.8.1 รายงานแพทย์ด่วน 5.8.2 กรณีผู้ป่วยสามารถหายใจได้เอง และไม่มีข้อห้าม จัดท่านอนศีรษะสูง พร้อมทั้งให้ O2 mask with bag 10 ลิตร/นาที 5.8.3 กรณีผู้ป่วยไม่สามารถหายใจได้เอง จัดท่านอนราบ ศีรษะแหงนเล็กน้อย ให้หายใจด้วยอุปกรณ์ ส าหรับบีบช่วยหายใจโดยใช้มือบีบขณะรอแพทย์ 5.8.4 ประเมินระดับความรู้สึกตัวผู้ป่วย วัดสัญญาณชีพ วัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในหลอดเลือดแดง พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์ในการใส่ท่อช่วยหายใจใหม่ เพื่อพร้อมใช้งานทันที 6. เครื่องชี้วัดคุณภาพ อัตราการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ 7. เอกสารอ้างอิง ฝ่ายการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. (2542). คู่มือปฏิบัติการพยาบาล. สงขลา: ฝ่ายการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์. สันต์ ใจยอดศิลป์ และคณะ. (2540). คู่มือการช่วยชีวิตขั้นสูง. กรุงเทพ: บริษัทพิมพ์สวยจ ากัด. Kavitha Selvan, Hawa Edriss, et al. (2014). SelF Extubtion in ICU patients. The Southwest Respiratory and Critical care Chronicles. 2; 8, 31-34. วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 2/2 เรื่อง : การป้องกันการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ ทางปาก/ จมูก รหัสเอกสาร : WI-NUR01-ETtube-05 ทบทวนครั้งที่ : 01 76/248
วิธีปฏิบัติงาน เรื่อง : การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ หน้า : 1/3 รหัสเอกสาร: WI-NUR01-004 ทบทวนครั้งที่ : 01 วันที่ทบทวน : ชื่อหน่วยงาน : ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล วันที่อนุมัติ : 30 พฤษภาคม 2560 ผู้จัดท า : คณะกรรมการปรับปรุงวิธีปฏิบัติการพยาบาลส่วนกลาง ฝ่ายการพยาบาล ผู้อนุมัติ : หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ 1.2 เพื่อเปิดทางเดินหายใจและระบายเสมหะ 2. ขอบเขต / กลุ่มเป้าหมาย ผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ / ท่อหลอดลมคอทุกราย 3. ค าจ ากัดความ การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ หมายถึง การดูดสิ่งคัดหลั่งที่อุดตันทางเดินหายใจออกมาทาง ท่อช่วยหายใจ 4. ผู้รับผิดชอบ พยาบาลวิชาชีพ / พยาบาลเทคนิค / เจ้าหน้าที่พยาบาล 5. อุปกรณ์และเครื่องใช้ 5.1 สายดูดเสมหะปลอดเชื้อ ตามขนาดที่เหมาะกับผู้ป่วย อายุ ขนาดของสายดูดเสมหะ(เบอร์) แรกเกิด –18 เดือน 6 – 8 Fr. 18 – 24 เดือน 8 – 10 Fr. 2 – 4 ปี 10 – 12 Fr. 7 – 10 ปี 12 – 14 Fr. ผู้ใหญ่ 12 – 16 Fr. 5.2 ชุดเครื่องดูดเสมหะ 5.3 ถุงมือปราศจากเชื้อส าหรับผู้ดูดเสมหะ และถุงมือสะอาดส าหรับผู้ช่วยดูดเสมหะ 5.4 ส าลีปราศจากเชื้อ และ 70% alcohol 5.5 0.9 % NSS ampule ขนาด 3 มิลลิลิตร 5.6 ภาชนะใส่น้ าสะอาดส าหรับล้างสายดูดเสมหะที่ใช้แล้ว 5.7 อุปกรณ์ส าหรับช่วยหายใจโดยใช้มือบีบ (self-inflating bag with reservoir bag) 77/248
6. วิธีด าเนินการ 6.1 ประเมินอาการของผู้ป่วยที่จะดูดเสมหะ เช่น หายใจมีเสียงดังครืดคราด กระสับกระส่าย 6.2 แจ้งผู้ป่วยและญาติให้ทราบถึงเหตุผล และประโยชน์ในการดูดเสมหะ 6.3 จัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมกับสภาพผู้ป่วย 6.4 ผู้ดูดเสมหะล้างมือ (hygienic hand washing) และผูกผ้าปิดปากปิดจมูก 6.5 ผู้ช่วยดูดเสมหะล้างมือ (hygienic hand washing) ผูกผ้าปิดปากปิดจมูกและสวมถุงมือสะอาด 6.6 ให้ออกซิเจน 100% แก่ผู้ป่วยก่อนดูดเสมหะ - ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดที่มีปุ่มปรับออกซิเจน ให้ปรับปุ่มไปที่ออกซิเจน 100% suction ก่อนการ suction ประมาณ 2- 3 นาที - ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดที่ไม่มีปุ่มปรับออกซิเจน 100% suction หรือใช้ออกซิเจน T- piece/ collar mask ให้ปลดข้อต่อเครื่องช่วยหายใจ วางหงายหรือแขวนในต าแหน่งส่วนปลายที่ต่อกับ ท่อช่วยหายใจไม่ให้สัมผัสกับสิ่งใด ผู้ช่วยดูดเสมหะใช้ส าลีเปียก 70% alcohol เช็ดบริเวณรอบท่อช่วยหายใจ แล้วให้ออกซิเจน 100% ต่อเข้ากับ self-inflating bag บีบให้ผู้ป่วยนาน 2-3 นาที 6.7 เปิดเครื่องดูดเสมหะ ปรับความดันส าหรับเด็ก ใช้แรงดูดประมาณ 70 – 80 มิลลิเมตรปรอท และผู้ใหญ่ใช้แรงดูดประมาณ 80-120 มิลลิเมตรปรอท 6.8 ผู้ดูดเสมหะสวมถุงมือปราศจากเชื้อ ต่อสายดูดเสมหะกับสายต่อขวดดูดเสมหะ 6.9 ใส่สายดูดเสมหะเข้าไปทางท่อหลอดลมคอ / ท่อช่วยหายใจ ในจังหวะที่ผู้ป่วยหายใจเข้า ด้วยความนุ่มนวล จนลึกถึงระดับที่ควร คือเมื่อรู้สึกมีแรงต้าน แล้วดึงสายดูดเสมหะขึ้นมา 1 เซนติเมตรหรือ 1/2 นิ้ว เพื่อป้องกันการดูดเยื่อบุหลอดลมคอ แล้วจึงเริ่มท า pressure control โดยหมุนสายดูดเสมหะไป รอบๆ ท่อ พร้อมดึงสายดูดเสมหะออกมาใช้เวลา 10- 15 วินาทีในผู้ใหญ่และเด็กโต ใช้เวลา 10 วินาที ในเด็กเล็ก และใช้เวลา 5 วินาทีในทารกแรกเกิด หลังจากนั้นดึงสายดูดเสมหะออกมาพร้อมสังเกตลักษณะสี และจ านวนของเสมหะ การหายใจ ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปลายนิ้ว และคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 6.10 ขณะที่ผู้ดูดเสมหะก าลังดูดเสมหะอยู่ ผู้ช่วยดูดเสมหะเช็ดข้อต่อเครื่องช่วยหายใจด้านในและ ปลายของท่อด้านนอกด้วยส าลีเปียก 70% alcohol แล้ววางไว้ให้ปลอดจากสิ่งปนเปื้อนหลังดูดเสมหะ ให้ออกซิเจน 100% ประมาณ 2- 3 นาที 6.11 ผู้ช่วยดูดเสมหะใช้ส าลีเปียก 70% alcohol เช็ดบริเวณรอบท่อช่วยหายใจ แล้วต่อเข้ากับ เครื่องช่วยหายใจ 6.12 ล้างสายดูดเสมหะด้วยน้ าสะอาดในภาชนะที่เตรียมไว้ล้างสายยาง 6.13 ผู้ดูดเสมหะถอดถุงมือทิ้งถังขยะติดเชื้อ 6.14 ผู้ดูดเสมหะและผู้ช่วยดูดเสมหะล้างมือ (hygienic hand washing) 7. เอกสารอ้างอิง ทนันชัย บุญบูรพงศ์, ธนิต วีรังคบุตร และประสาทนีย์จันทร. (2551). การบ าบัดระบบหายใจในเวชปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์. วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 2/3 เรื่อง : การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ รหัสเอกสาร: WI-NUR01-004 ทบทวนครั้งที่ : 01 78/248
สุปาณี เสนาดิสัย, และมณี อาภานันทิกุล. (2552). คู่มือปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: จุดทองการพิมพ์. Eckman, M., & et al. (2015).Nursing Procedures. (7thed). Pennsylvania: Lippincott William & Wilkins. Jaypee Brothers Medical Pubishers.(2011). Textbook of Nursing Foundations. New Delhi: Rajkamal Electric Press. Potter, P. A., Perry, A. G., Stockert, P. A., & Hall, A. M. (2013).Fundamentals of Nursing. (8th ed). Missouri : Mosby Elsevier. วิธีปฏิบัติงาน หน้า : 2/3 เรื่อง : การดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจ รหัสเอกสาร: WI-NUR01-004 ทบทวนครั้งที่ : 01 79/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC - 046 เรื่อง แนวทางปฏิบัติการท าความสะอาดช่องปากผู้ป่วยที่ใส่ เครื่องช่วยหายใจ แก้ไขครั้งที่ : 01 วันที่บังคับใช้ : มี.ค. 58 หน้า 1 / 2 1. วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติในการท าความสะอาดช่องปากผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจ ในคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 2. ค าจ ากัดความ การใส่ท่อช่วยหายใจ หมายถึงการใส่ท่อเข้าไปในหลอดลมโดยตรง ประกอบด้วย 1. การใส่ Endotracheal tube (E-T tube) ซึ่งอาจใส่ผ่านทางปาก (orotracheal intubation) หรือผ่านทางจมูก (nasotracheal intubation) 2. การใส่ท่อในหลอดลมคอ Tracheostomy tube (T-T tube) เครื่องช่วยหายใจ หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้เทคนิคในการปรับความดันในทางเดินหายใจ ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ หมายถึง ผู้ป่วยที่ใส่ท่อหลอดลมคอ / ท่อช่วยหายใจร่วมกับการใช้เครื่องช่วยหายใจ 3. ผู้รับผิดชอบ บุคลากรทางการแพทย์ 4. แนวทางการปฏิบัติ 4.1 ประเมินความผิดปกติในช่องปากของผู้ป่วย ก่อนท าความสะอาดช่องปาก และห้ามใช้ 0.12 % Chlorhexidine Gluconate ท าความสะอาดช่องปากในผู้ป่วยดังต่อไปนี้ 4.1.1 มีแผลในช่องปาก 4.1.2 Mucositis 4.1.3 แพ้ Chlorhexidine Gluconate 4.1.4 ผู้ป่วยเด็ก อายุ < 2 เดือน 4.2 ล้างมือด้วย Alcohol hand rub หรือสบู่ผสมน้ ายาท าลายเชื้อ ก่อนท าความสะอาดช่องปาก 4.3 สวมถุงมือสะอาด ผ้าปิดปาก – จมูก 4.4 จัดให้ผู้ป่วยนอนราบ ตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งขณะท าความสะอาดในช่องปาก เพื่อป้องกันการส าลัก 4.5 ท าความสะอาดภายในช่องปากของผู้ป่วย อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง ซึ่งจะเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งตามสภาพ ของผู้ป่วย ดังนี้ 4.5.1 แปรงฟัน และล้างช่องปากด้วยน้ าต้มสุก / 0.9 % NSS Irrigate / เคลือบด้วย 0.12 % Chlorhexidine Gluconate ประมาณ 15 ml เคลือบด้วยการชุบผ้าก๊อซ หรือไม้พันล าลี ภายในช่องปาก (ฟัน ลิ้น เหงือก เพดานปาก และกระพุ้งแก้ม) 4.5.2 ท าความสะอาดช่องปาก โดยการใช้ผ้าก๊อซ หรือไม้พันที่น้ าต้มสุก / 0.9 % NSS ท าความ สะอาด Irrigate / 0.12 % Chlorhexidine ประมาณ 15 ml / เคลือบด้วยการชุบ ผ้าก๊อซ หรือไม้พันส าลีเช็ดภายในช่องปาก (ฟัน ลิ้น เหงือก เพดานปาก และกระพุ้งแก้ม) 4.5.3 สามารถปรับเปลี่ยนเวลา และเพิ่มจ านวนครั้งในการท าความสะอาด ได้ตามความเหมาะสม ของผู้ป่วย 4.6 ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้ ายาท าลายเชื้อ หลังท าความสะอาดช่องปาก 80/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC - 046 เรื่อง แนวทางปฏิบัติการท าความสะอาดช่องปากผู้ป่วยที่ใส่ เครื่องช่วยหายใจ แก้ไขครั้งที่ : 00 วันที่บังคับใช้ : มี.ค. 58 หน้า 2 / 2 5. วิธีการเบิกน้ ายาท าความสะอาดช่องปาก 0.12 % Chlorhexidine Gluconate ขนาดบรรจุ 180 ml. ดังนี้ 5.1 ผู้ป่วยใน เบิกจากคลังยา (คิดเป็นค่าหัตถการ) รายการ 0.12 % Chlorhexidine mouth wash 180 ml รหัสยา 70429 5.2 ผู้ป่วยนอก / ผู้ป่วยกลับบ้าน เบิกจากห้องยารายการ 0.12 % Chlorhexidine mouth wash 180 ml รหัสยา 70429 เอกสารอ้างอิง Centers for Disease Control and Prevention Web site . Published 2014. http://www.aacn.org/WD/CETests/Media/ACC4322.pdf Munro CL, Grap MJ, Hummel R, Sessler. Chlorhexidine, Tooth Brushing, and Preventing Ventilator-associated Pneumonia in Critically III Adults. American Journal Critical Care. 2010;18(5):428-437. 81/248
Day/ว/ด/ป เวลา ด ช บ ด ช1. ประเมินความพร้อมในการถอดท่อช่วยหายใจทุกวัน 2. ล้างมือตามหลัก 5 moments อย่างเคร่งครัด 3. ยกหัวเตียงสูง 30-45 องศา 4. วัด pressure cuff อย่างน้อยเวรละ 1 ครั้ง (pressure cuff 20-30 cmH2O) 5. เทน้้าที่ค้างใน circuit ทิ้งโดยล้างมือก่อนและหลังเทน้้าทุกครั้ง 6. แปรงฟันอย่างน้อยเวรละ 1 ครั้ง และเคลือบด้วย 0.12 % CHG ผู้ประเมิน หมายเหตุ Day = จ้านวนวันของการใส่เครื่องช่วยหายใจ ข้อห้ามปฏิบัติ ห้ามใช้ CHG ในเด็กอายุต่้ากว่า 2 เดือน และผู้ป่วยที่มีแผลในปาก/mucositis ท้าเครื่องหมาย √ ลงในช่องกรณีปฏิบัติ และ × กรณีไม่ปฏิบัติ แบบ check list การดูแลผู้ป่วคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มDay….วันที่…....... Day...วันชื่อ-สกุล...............................................................HN………………………….. AN……......…………… 82/2
ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ FM-ICC01-060 (แก้ไขครั้งที่ 01) วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช นที่….... Day…วันที่….... Day…วันที่….. Day…….วันที่….. Day…วันที่…... Day...วันที่…...... หน่วยงาน..........................วันที่ใส่เครื่องช่วยหายใจ……….......................………………. 248
83/2
248
84/2
248
Goal (2.3) 1. WI-NUR00-006 2. WI-NUR00-004 3. FM-ICC01-033 4. FM-ICC01-061 85/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI-NUR00-006 คู่มือการปฏิบัติการพยาบาล WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : พ.ย. 2561 หน้า 1 / 4 1. วัตถุประสงค์ 1.1 ป้องกันการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนปัสสาวะคา 1.2 เป็นแนวทางในการปฏิบัติให้กับบุคลากร 2. ขอบเขต / กลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมการดูแลผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสาวะคา สวนปัสสาวะทิ้ง และการเก็บปัสสาวะส่งตรวจ 3. ค าจ ากัดความ การใส่สายสวนปัสสาวะคา หมายถึง การใส่สายสวนปัสสาวะผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ โดยคาสายสวนปัสสาวะไว้ การสวนปัสสาวะทิ้ง หมายถึง การใส่สายสวนปัสสาวะผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ โดยไม่ คาสายสวนปัสสาวะไว้ 4. หน้าที่ความรับผิดชอบ พยาบาลวิชาชีพ / พยาบาลเทคนิค / เจ้าหน้าที่พยาบาล / บุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง 5. การเตรียมอุปกรณ์ 5.1 บุคลากรล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygienic hand washing) ก่อนเตรียมอุปกรณ์ 5.2 เตรียมอุปกรณ์อย่าง Aseptic Technique ประกอบด้วย ชุดสวนปัสสาวะ, ถุงมือปราศจากเชื้อ, สายสวน ปัสสาวะ, ชุดรองรับปัสสาวะ, syringe disposable ขนาด 10 มิลลิลิตร, สารหล่อลื่นปราศจากเชื้อแบบใช้ครั้งเดียว, น้้า กลั่นปราศจากเชื้อ 5.3 เลือกใช้สายสวนปัสสาวะที่เหมาะสมกับผู้ป่วยสามารถระบายน้้าปัสสาวะได้ดี โดยใช้สายสวนที่มีขนาดเล็ก ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดการบาดเจ็บบริเวณท่อปัสสาวะ 6. แนวทางปฏิบัติ 6.1 การสวนปัสสาวะ 6.1.1 ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygienic hand washing) 6.1.2 สวมถุงมือสะอาด ท้าความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วยสบู่และน้้าซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด 6.1.3 จัดท่านอนของผู้ป่วย ดังนี้ - ผู้ป่วยชาย ให้นอนหงายเท้าราบ - ผู้ป่วยหญิง ให้นอนหงายชันเข่า 6.1.4 ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygienic hand washing) ก่อนท้าการสวนปัสสาวะ 6.1.5 สวมถุงมือปราศจากเชื้อ ใช้ NSS/Sterile water ในการท้าความสะอาดบริเวณรูเปิดของท่อทางเดิน ปัสสาวะก่อนการสวนปัสสาวะ 6.1.6 ใช้สารหล่อลื่นที่ปราศจากเชื้อแบบใช้ครั้งเดียว หล่อลื่นบริเวณส่วนปลายสายสวน เรื่อง การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ 86/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI-NUR00-006 คู่มือการปฏิบัติการพยาบาล WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : พ.ย. 2561 หน้า 2 / 4 6.1.7 ด้าเนินการใส่สายสวน ดังนี้ - ผู้ป่วยชายรั้งองคชาตให้ตั้งฉากกับล้าตัว เช็ดบริเวณรูเปิดปลายท่อปัสสาวะ ด้วย ส้าลีชุบ Sterile normal saline และสอดสายสวนเข้าในท่อปัสสาวะช้าๆ จนปัสสาวะไหลออกมา เลื่อนสายสวนปัสสาวะเข้าไปอีก 1 - 2 นิ้ว - ผู้ป่วยหญิงใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้แหวก Labia minora เช็ดบริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะ ด้วยส้าลีชุบ Sterile normal saline และสอดสายสวนเข้าในท่อปัสสาวะช้าๆ จนปัสสาวะไหลออกมา เลื่อนสายสวนปัสสาวะเข้าไปอีก 1 - 2 นิ้ว 6.1.8 ฉีดน้้ากลั่นปราศจากเชื้อเข้าลูกโป่งสายสวน 5 – 10 มิลลิลิตร (ตามข้อก้าหนดของสายสวนแต่ละชนิด) แล้วค่อยๆ ดึงสายสวนออกจนลูกโป่งตรึงกระชับกับส่วนล่างของกระเพาะปัสสาวะพอดี 6.1.9 ต่อสายสวนปัสสาวะเข้ากับท่อของถุงรองรับปัสสาวะด้วยเทคนิคปราศจากเชื้อ 6.1.10 ตรึงสายสวนปัสสาวะด้วยปลาสเตอร์ - ผู้ป่วยชายตรึงสายสวนปัสสาวะที่หน้าท้อง หรือโคนขาด้านนอก และรูดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ คืนทุกครั้ง - ผู้ป่วยหญิง ตรึงสายสวนปัสสาวะที่โคนขาด้านใน 6.1.11 จัดสายสวนให้ลาดลงจากท่อปัสสาวะสู่ถุงรองรับปัสสาวะที่แขวนไว้ข้างเตียง ต่้ากว่าระดับ กระเพาะปัสสาวะโดย ไม่ให้ปลายถุงรองรับปัสสาวะสัมผัสพื้น / ข้างเตียง 6.1.12 เขียนวันเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะที่ถุงรองรับปัสสาวะ (กรณีของการใส่สายสวนปัสสาวะครั้งแรก ก้าหนด 2 สัปดาห์) 6.1.13 ถอดถุงมือ และล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygienic hand washing) หมายเหตุ กรณีสวนปัสสาวะในผู้ป่วยเด็กให้ท าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วยน าและสบู่ ราดด้วย น ากลั่นปราศจากเชื อ ซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด 6.1.14 กรณีสวนปัสสาวะทิ้งให้ปฏิบัติตามข้อ 6.1.1 – 6.1.9 และเมื่อปัสสาวะหยุดไหล เพื่อให้แน่ใจว่า ปัสสาวะหมดจริง ใช้มือกดเบาๆ บนผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางที่คลุมอยู่บริเวณหัวหน่าว เมื่อไม่มีปัสสาวะไหลให้เลื่อนสายสวน ออกช้าๆ ผู้ป่วยชายให้รูดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศคืนทุกครั้ง 6.2 การดูแลผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะ 6.2.1 ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygienichand washing) ก่อน และหลังสัมผัสสายสวนปัสสาวะทุกครั้ง 6.2.2 สวมถุงมือสะอาด 6.2.3 ตรวจสอบการยึดตรึงของสายสวนที่โคนขา / หน้าท้องเพื่อป้องกันการเลื่อนเข้าออกของสายสวน ปัสสาวะ 6.2.4 จัดวางต้าแหน่งของถุงรองรับปัสสาวะให้ต่้ากว่าระดับกระเพาะปัสสาวะตลอดเวลาโดยถุงรองรับ ปัสสาวะไม่สัมผัสกับพื้น / ข้างเตียง 6.2.5 ดูแลสายสวนปัสสาวะให้เป็นระบบปิดตลอดเวลาและให้ปัสสาวะไหลลงสู่ถุงรองรับปัสสาวะ ได้สะดวก สายต่อไม่หักพับงอหรืออุดตัน 6.2.6 หากถุงรองรับปัสสาวะ หรือสายต่อรั่วให้เปลี่ยนถุงรองรับปัสสาวะและสายสวนปัสสาวะใหม่ทั้งชุด เรื่อง การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ 87/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI-NUR00-006 คู่มือการปฏิบัติการพยาบาล WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : พ.ย. 2561 หน้า 3 / 4 6.2.7 เทปัสสาวะออกเมื่อมีน้้าปัสสาวะประมาณ 3 / 4 ของถุงหรือในระยะเวลาที่ก้าหนดหรือเมื่อ เคลื่อนย้ายผู้ป่วย 6.2.8 การเทปัสสาวะใช้ส้าลีชุบ 70 % Alcohol เช็ดปลายท่อก่อน และหลังเทปัสสาวะ ระมัดระวังไม่ให้ท่อ เปิดส้าหรับเทปัสสาวะสัมผัสกับภาชนะที่รองรับ ภาชนะที่รองรับควรจะแห้งสะอาด และใช้แยกเฉพาะผู้ป่วยแต่ละราย 6.2.9 ท้าความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ และสายสวนปัสสาวะด้วยน้้า และสบู่เวรละ 1 ครั้ง และหลัง การขับถ่ายทุกครั้ง ซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด 6.2.10 ถอดถุงมือ และล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygienichand washing) หลังสัมผัสสายสวนปัสสาวะ 6.3 การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ 6.3.1 ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygienic hand washing) 6.3.2 ใส่ถุงมือสะอาด 6.3.3 เช็ดบริเวณกระเปาะของปลายสายสวนปัสสาวะเหนือรอยต่อกับถุงรองรับปัสสาวะประมาณ 1 นิ้ว ด้วยส้าลีชุบ 70 % Alcohol และเช็ดตามด้วย 2 % Chlorhexidine in 70 % alcohol รอให้แห้ง 6.3.4 ใช้ sterile syringe และเข็มที่ปราศจากเชื้อเบอร์ 24, 25 ดูดปัสสาวะส่งตรวจประมาณ 5 – 10 มิลลิลิตร 6.3.5 กรณีปัสสาวะออกน้อยให้ Clamp สายสวนปัสสาวะบริเวณใต้กระเปาะของปลายสายสวนปัสสาวะ เป็นเวลาไม่เกิน 10 – 20 นาที 6.3.6 ถอดถุงมือ และล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygienic hand washing) 6.3.7 ส่งปัสสาวะพร้อมใบส่งตรวจไปที่ห้องปฏิบัติการภายใน 1 ชั่วโมง 6.4 การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะและถุงรองรับปัสสาวะ มีหลักปฏิบัติดังต่อไปนี 6.4.1 เปลี่ยนสายสวนและถุงรองรับปัสสาวะใหม่ทั้งชุดเมื่อมีการอุดตัน / รั่ว / ข้อต่อหลุด หรือมีการท้าลาย Closed system 6.4.2 กรณีต้องคาสายสวนไว้นานจะก้าหนดระยะเวลาการเปลี่ยนสายสวนไม่เกิน 4 สัปดาห์ เพื่อป้องกัน การเกาะของหินปูน ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการดึงสายสวนออก ดังนั้นการเปลี่ยนสายสวนในผู้ป่วยแต่ละรายให้ทดสอบ ดังนี้ - คาสายสวนครบ 2 สัปดาห์แล้วเปลี่ยนถุงรองรับปัสสาวะและสายสวนปัสสาวะใหม่ทั้งชุด ถ้าไม่พบ หินปูนที่ปลายสายสวน ครั้งต่อไปให้เปลี่ยนเมื่อครบ 4 สัปดาห์ แต่ถ้ามีคราบหินปูนที่ปลายสายสวนให้เปลี่ยนทุก 2 สัปดาห์ 6.5 การถอดสายสวนปัสสาวะ 6.5.1 พิจารณาถอดสายสวนปัสสาวะออกทันทีเมื่อหมดความจ้าเป็น 6.5.2 ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygienic hand washing) ก่อนสวมถุงมือ 6.5.3 สวมถุงมือสะอาด ท้าความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วยน้้า และสบู่ 6.5.4 ดูดน้้ากลั่นออกจากบอลลูนให้หมด ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าและออกยาวๆ และค่อยๆดึงสายสวนปัสสาวะ ออกอย่างเบามือ 6.5.5 ทิ้งชุดสวนและถุงรองรับน้้าปัสสาวะใส่ถุงขยะติดเชื้อ 6.5.6 ล้างมือหลังถอดถุงมือ เรื่อง การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ 88/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI-NUR00-006 คู่มือการปฏิบัติการพยาบาล WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : พ.ย. 2561 หน้า 4 / 4 7. เครื่องชี วัดคุณภาพ อัตราการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนปัสสาวะ 8. เอกสารอ้างอิง Centers for Disease Control and Prevention. (2017).Guideline for Prevention of Catheter – Associated Urinary Tract Infection. Retrieved January 24, 2018,Available from: https://www.cdc.gov/infectioncontrol/guidelines/cauti/ Centers for Disease Control and Prevention. (2017). Guideline for Prevention of Catheter – Associated Urinary Tract Infection. Retrieved January 18, 2018,Available from: https://www.cdc.gov/infectioncontrol/guidelines/cauti/index.html Fasugba O, Koerner J, Mitchell BG, Gardner A. Systematic review and meta-analysis of the effectiveness of antiseptic agents for meatal cleaning in the prevention of catheter-associated urinary tract infections. Journal of Hospital Infection 2017;95:233-242. Baron EJ. Specimen collection, transport, and processing: Bacteriology. In: Jorgensen JH, Pfaller MA, Carroll KC, Funke G, Landry ML, Richter SS, et al, editors. Manual of clinical microbiology. 11th ed. Washington, DC: ASM press; 2015. p. 270-315. Tille PM. Specimen Management. Diagnostic Microbiology. 13th ed. St. Louis,Missouri: Mosby,Incan Elsevire Inc;2014. 53-67. ก้าธร มาลาธรรม และ ศิริลักษณ์ อภิวานิชย์. คู่มือการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ : โรง พิมพ์จุดทอง; 2558. เรื่อง การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ 89/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI-NUR00-004 คู่มือการปฏิบัติการพยาบาล WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 01 วันที่บังคับใช้ : 1 กันยายน 2548 หน้า 1 เรื่อง การเก็บปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชือ้ 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อตรวจหาชนิดของเชื้อโรคในปัสสาวะและนับจ านวน colony 1.2 เพื่อตรวจดูความไวของเชื้อต่อยา (sensitivity test) 2. ขอบเขต / กลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมผู้ป่ วยที่ได้รับการส่งปัสสาวะตรวจเพาะเชื้อทางห้องปฏิบัติการทุกรายที่ปัสสาวะเองได้ 3. ค าจ ากัดความ การเก็บปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อ หมายถึง การเก็บปัสสาวะที่สะอาดจากผู้ป่ วยโดยตรงน าไปเพาะเลี้ยงเชื้อ หาแบคทีเรีย เชื้อราในอาหารเลี้ยงเชื้อ 4. หน้าทีความรับผิดชอบ่ พยาบาลวิชาชีพ / พยาบาลเทคนิค / เจ้าหน้าที่พยาบาล 5. อุปกรณ์และเครื่องใช้ 5.1 สบู่และน ้าสะอาด 5.2 หม้อนอน 5.3 ภาชนะที่ปราศจากเชื้อส าหรับใส่ปัสสาวะพร้อมฝาปิด และติดฉลากที่เขียนชื่อ-นามสกุลผู้ป่ วย หน่วยงาน ที่ส่งตรวจ วันที่ ชนิดสิ่งส่งตรวจ และวิธีการตรวจ 5.4 ใบส่งตรวจ 6. วิธีการด าเนินงาน 6.1 บันทึกข้อมูลส่งตรวจในคอมพิวเตอร์ พิมพ์ใบรายการและตรวจสอบความถูกต้องกับ Kardex เขียนฉลาก ติดขวดที่ระบุชื่อหน่วยงาน ชื่อ-นามสกุลผู้ป่ วย วันที่ รายการที่ตรวจ แล้วติดที่ข้างขวด หรือกระบอกใส่ปัสสาวะ 6.2 ตรวจสอบชื่อ-นามสกุลผู้ป่ วยให้ตรงกับใบรายการส่งตรวจ 6.3 แจ้งให้ผู้ป่ วยทราบ และอธิบายวิธีการเก็บให้ผู้ป่ วยเข้าใจ 6.4 ผู้ป่ วยที่ช่วยเหลือตัวเองได้ 6.4.1 ผู้ป่ วยหญิง ให้ไปเก็บปัสสาวะส่งตรวจที่ห้องน ้า โดยแนะน าให้ผู้ป่ วยท าความสะอาดอวัยวะ สืบพันธุ์ภายนอก และบริเวณรูเปิดของท่อปัสสาวะด้วยสบู่และน ้าสะอาด ซับให้แห้ง หลังจากนั้นล้างมือให้สะอาด 90/248
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI-NUR00-004 คู่มือการปฏิบัติการพยาบาล WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 01 วันที่บังคับใช้ : 1 กันยายน 2548 หน้า 2 เรื่อง การเก็บปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชือ้ แล้วใช้มือแหวก labia ออก เพื่อไม่ให้ปัสสาวะถูกบริเวณ labia ถ่ายปัสสาวะส่วนต้นทิ้ง แล้วเก็บปัสสาวะส่วนกลาง (midstream urine) ใส่ในภาชนะปราศจากเชื้อที่เตรียมไว้ 6.4.2 ผู้ป่ วยชาย ให้ไปเก็บปัสสาวะที่ห้องน ้า โดยแนะน าผู้ป่ วยให้ท าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอก บริเวณหนังหุ้มปลาย และรูเปิดของท่อปัสสาวะด้วยสบู่และน ้าสะอาด ซับให้แห้ง ถ่ายปัสสาวะส่วนต้นทิ้ง แล้วเก็บปัสสาวะส่วนกลาง (midstream urine) ใส่ในภาชนะปราศจากเชื้อที่เตรียมไว้ ระวังอย่าให้ถูกบริเวณ หนังหุ้มปลาย 6.5 ผู้ป่ วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ให้นอนบนหม้อนอน และท าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาด ด้วยสบู่และน ้าสะอาด ซับให้แห้ง โดยปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ 6.4.1 หรือ 6.4.2 6.6 ส่งปัสสาวะพร้อมใบส่งตรวจไปที่ห้องปฏิบัติการภายใน ½ ชั่วโมง ถ้าไม่สามารถส่งได้ให้เก็บปัสสาวะไว้ใน ตู้เย็น (อุณหภูมิ 4 0 C) ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง 7. เอกสารอ้างอิง Miller, J.M., and Holmes, H.T. “Specimen Collection, Transport, and Storage.” In Patrick R. Murray, et al. eds. Manual of Clinical Microbiology, (7th ed.), 48-49. Washington, D.C.: ASM press, 1999. 91/248
๖๘๑ ถนนสามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๒๔๔-๓๓๓๓ โทรสาร ๐-๒๒๔๔-๔๓๘๘ FM-ICC01-033 แก้ไขครั้งที่ 01 ชื่อ………………………….......นามสกุล………………………………WARD…………………. วันที่ประเมิน……..……………......ผู้ประเมิน........................................ No ขั้นตอนการใส่สายสวนปัสสาวะคา การปฏิบัติ เหตุผล Yes No (กรณีไม่ปฏิบัติ) ๑. ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygenic hand washing) ก่อนเตรียม Set ๒. ใช้สารหล่อลื่นที่ปราศจากเชื้อแบบใช้ครั้งเดียว ๓. เตรียมน้้ากลั่นปราศจากเชื้อใน Syringeและใส่ไว้ใน Tray ฉีดยา ๔. เลือกใช้สายสวนปัสสาวะที่มีขนาดเหมาะสมกับผู้ป่วย ๕. สวมถุงมือสะอาด ท้าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วยสบู่และน้้า และซับให้แห้ง ๖. ถอดถุงมือ และล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygenic hand washing) ก่อนใส่สายสวน ปัสสาวะ ๗. สวมถุงมือปราศจากเชื้อ ๘. คลุมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง ๙. เช็ดบริเวณรูเปิดของท่อทางเดินปัสสาวะด้วย NSS/Sterile water/๑o% povidine iodine (กรณีผู้ป่วยเด็กราดด้วยน้้ากลั่นปราศจากเชื้อ ซับให้แห้ง) ๑๐. ใส่สายสวนปัสสาวะที่หล่อลื่นด้วยสารหล่อลื่นปราศจากเชื้อแบบใช้ครั้งเดียว ๑๑. ใช้น้้ากลั่นปราศจากเชื้อใส่ในบอลลูน(ตามมาตรฐานของสายสวนแต่ละชนิด) ๑๒. ตรึงสายสวนปัสสาวะ (ผู้ชายบริเวณต้นขาด้านนอก / หน้าท้อง และผู้หญิงบริเวณต้นขาด้านใน) ๑๓. แขวนถุงรองรับน้้าปัสสาวะต่้ากว่าระดับกระเพาะปัสสาวะ ๑๔. ล้างมือหลังถอดถุงมือ ๑๕. เขียนวันที่ก้าหนดเปลี่ยนชุดสายสวนปัสสาวะที่ถุงรองรับน้้าปัสสาวะ การท าความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก 1. ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygenic hand washing) ก่อนสวมถุงมือ 2. สวมถุงมือสะอาดท้าความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วยน้้าและสบู่ และซับให้แห้ง (ระบุ) ทุก 8 ชั่วโมง ทุก 12 ชั่วโมง 3. สวมถุงมือสะอาด ท้าความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วยน้้า และสบู่หลังผู้ป่วยถ่าย อุจจาระทุกครั้งและซับให้แห้ง 4. ล้างมือหลังถอดถุงมือ การดูแลผู้ป่วยระหว่างคาสายสวนปัสสาวะ 1. ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygenic hand washing) ก่อนสัมผัสสายสวนปัสสาวะ 2. สายสวนปัสสาวะได้รับการตรึงถูกต้าแหน่ง และไม่เลื่อนหลุด 3. สายสวนปัสสาวะไม่ดึงรั้ง /หัก / พับงอ 4. ถุงรองรับน้้าปัสสาวะอยู่ต่้ากว่าระดับกระเพาะปัสสาวะตลอดเวลา 5. ล้างมือหลังสัมผัสสายสวนปัสสาวะ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช แบบประเมินการดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะคา เม.ย.๖๑ 92/248
FM-ICC01-033 แก้ไขครั้งที่ 01 ๖๘๑ ถนนสามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๒๔๔-๓๓๓๓ โทรสาร ๐-๒๒๔๔-๔๓๘๘ ชื่อ………………………….......นามสกุล………………………………WARD…………………. วันที่ประเมิน……..……………......ผู้ประเมิน......................................... No การเทปัสสาวะออกจากถุงรองรับน้ าปัสสาวะ การปฏิบัติ เหตุผล Yes No (กรณีไม่ปฏิบัติ) 1. ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygenic hand washing) ก่อนสวมถุงมือ 2. สวมถุงมือสะอาดเช็ดปลายเปิดถุงรองรับน้้าปัสสาวะด้วย ๗๐% Alcohol ก่อน และหลังเทปัสสาวะ 3. เทปัสสาวะ (ระบุ) ทุก ๘ ชั่วโมง มีปัสสาวะ ๓/๔ ถุง ก่อนเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 4. ปลายถุงรองรับปัสสาวะไม่สัมผัสกับกรวย / พื้น / ข้างเตียง 5. แยกขวดรองรับปัสสาวะ และกรวยในผู้ป่วยทุกราย 6. ไม่วางขวดที่มีน้้าปัสสาวะไว้ที่เตียงผู้ป่วย (ยกเว้น Record urine ทุก ๑ ชั่วโมง) 7. เปลี่ยนถุงมือทุกครั้งเมื่อท ำกำรเทปัสสำวะในผู้ป่วยแต่ละรำย 8. ล้ำงมือหลังถอดถุงมือ การดูแลระบบระบายน้ าปัสสาวะให้อยู่ในระบบระบายแบบปิด 1. ไม่ปลดสายสวนปัสสาวะ และข้อต่อ 2. เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะใหม่ทั้งชุดเมื่อข้อต่อหลุด / ปนเปื้อนหรือมีกำรท ำลำย Closed system การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ 1. ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygenic hand washing) ก่อนสวมถุงมือ 2. สวมถุงมือสะอาด 3. เช็ด ๗๐%Alcohol และเช็ดตามด้วย 2% Chlorhexidine in 70% alcoholบริเวณกระเปาะ ปลายสายสวนปัสสาวะเหนือรอยต่อกับถุงรองรับปัสสาวะประมาณ ๑ นิ้วรอให้แห้ง ใช้syringe และ เข็มที่ปราศจากเชื้อเบอร์ ๒๔, ๒๕ ดูดปัสสาวะส่งตรวจ 4. ล้างมือหลังถอดถุงมือ การถอดสายสวนปัสสาวะ 1. ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้้ายาท้าลายเชื้อ (Hygenic hand washing) ก่อนสวมถุงมือ 2. สวมถุงมือสะอาด 3. ท้าความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วยน้้าและสบู่ 4. ดูดน้้ากลั่นออกจากบอลลูนให้หมด ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าและออกยาวๆ และค่อยๆดึงสายสวนปัสสาวะ ออกอย่างเบามือ 5. ทิ้งชุดสวนและถุงรองรับน้้าปัสสาวะใส่ถุงขยะติดเชื้อ 6. ล้างมือหลังถอดถุงมือ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช แบบประเมินการดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะคา เม.ย.๖๑ 93/248