The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

VAJIRA 2P SAFETY GOAL ฉบับปรับปรุง2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Noppawan Por, 2024-06-15 00:48:22

VAJIRA 2P SAFETY GOAL ฉบับปรับปรุง2

VAJIRA 2P SAFETY GOAL ฉบับปรับปรุง2

Keywords: คู่ม,ือ

Day/ว/ด/ป เวลา กรณีดูแลทั่วไป 1. ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต ่ากว่ากระเพาะปัสสาวะตลอดเวลา 2. เป็นระบบปิดตลอดเวลา 3. ถุงรองรับปัสสาวะไม่สัมผัสพื้น ผู้ประเมิน Day/ว/ด/ป เวลา กรณี Record I/O 1. ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต ่ากว่ากระเพาะปัสสาวะตลอดเวลา 2. เป็นระบบปิดตลอดเวลา 3. ถุงรองรับปัสสาวะไม่สัมผัสพื้น 4. แยกภาชนะรองรับปัสสาวะในผู้ป่วยแต่ละราย 5. เทปัสสาวะไม่ให้รูเปิดของถุงสัมผัสภาชนะรองรับ 6. ล้างมือ สวมถุงมือ เช็ดรูเปิดของถุงด้วย 70% alcohol ก่อนและหลังเทปัสสาวะ ผู้ประเมิน หมายเหตุ Day = จ่านวนวันของการใส่สายสวนปัสสาวะคา คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล แบบ check list การดูแลผู้Day…......วันที่…...... Day…......วันที่…...... Dayชื่อ-สกุล....................................................HN……………………….. AN……......…………… หน่วยงานDay…..วันที่….......... ท่าเครื องหมาย √ ลงในช่องกรณีปฏิบัติ และ X กรณีไม่ปฏิบัติ Day…..วันที่….......... Dayด ช บ ด ช บ ด94/2


FM-ICC01-061 (แก้ไขครั้งที่ 01) ล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะคา y…......วันที่…...... Day…......วันที่…...... Day…......วันที่…...... Day…......วันที่…...... Day…......วันที่…...... น............................วันที่ใส่สายสวนปัสสาวะคา………................................…….......… Day…..วันที่….......... Day…..วันที่….......... Day…..วันที่….......... y…..วันที่….......... Day…..วันที่….......... ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ 248


Goal (2.4) 1. IC-028 2. IC-027 3. FM-ICC01-062 95/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 028 เรื่อง แนวทางปฏิบัติการใส่และการดูแลสายสวนหลอด เลือดด าส่วนกลาง (Central line) แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : มิ.ย. 2561 หน้า 1 / 3 1. วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อในกระแสโลหิต / การติดเชื้อเฉพาะต าแหน่งที่สัมพันธ์กับการใสสายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง 2. ขอบเขต / กลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมการดูแลผู้ป่วยที่ใสสายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง 3. ค าจ ากัดความ การติดเชื้อในกระแสโลหิตที่สัมพันธกับการใสสายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง หมายถึง การติดเชื้อในกระแสโลหิต ชนิดปฐมภูมิโดยที่ผู้ป่วยมีการใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลางในขณะนั้นต่อเนื่องกัน มากกว่า 2 วัน การวินิจฉัยเป็นไป ตาม CDC ก าหนด (CDC guideline 2017) 4. หน้าที่ความรับผิดชอบ แพทย์ / พยาบาล / บุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง 5. แนวทางการปฏิบัติ 5.1 บุคลากร 5.1.1 ได้รับความรู้เกี่ยวกับข้อบ่งชี้ ขั้นตอนการปฏิบัติที่ถูกต้องของการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการ ใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง 5.1.2 ได้รับการประเมินความรู้ และการปฏิบัติงานเป็นระยะ 5.2 การเตรียมสารอาหาร / สารละลาย / เลือด / ยา 5.2.1 ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้ ายาท าลายเชื้อ (Hygienic hand washing) / Alcohol hand rub ก่อนและ หลังการเตรียมสารอาหาร / สารละลาย / เลือด / ยา 5.2.2 เตรียมอุปกรณ์และสารอาหาร / สารละลาย / เลือด / ยา ให้ถูกต้องตามแผนการรักษา 5.3 การเตรียมการใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง ปฏิบัติ ดังนี้ 5.3.1 ล้างมือด้วยสบู่ผสมน้ ายาท าลายเชื้อ (Hygienic hand washing) / Alcohol handrub ก่อนและ หลังการใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง 5.3.2 การเลือกต าแหน่งที่ใส่ ผู้ใหญ่ควรใช้ต าแหน่ง Subclavian vein มากกว่าต าแหน่ง Jugular vein / Femoral vein การฟอกเลือด และการถ่ายเลือดควรใช้ต าแหน่ง Jugular vein / Femoral vein มากกว่า Subclavian vein 5.3.3 ท าความสะอาดผิวหนังด้วย 4% Chlorhexidine เช็ดให้แห้ง 5.3.4 ผู้ที่ใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลางให้สวมหมวก ผ้าปิดปากและจมูกเสื้อคลุมปราศจากเชื้อ ถุงมือปราศจากเชื้อ และใช้ผ้าคลุมปราศจากเชื้อ ขนาด 100 cm. x 150 cm. (เด็ก 100 cm. x 100 cm.) 5.3.5 ท าความสะอาดผิวหนังผู้ป่วยด้วย 2 % Chlorhexidine in 70% Alcohol รอให้แห้ง ก่อนใส่ สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง (ไม่แนะน าให้ใช้ 2 % Chlorhexidine in 70% Alcohol ในทารกอายุ 2 เดือน/ หญิงอายุครรภ์ 26 สัปดาห์) 5.3.6 ปิดต าแหน่งที่ใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลางด้วย Sterile gauze / Transparent 5.3.7 ระบุวันที่ ในการเปลี่ยนชุดให้สารอาหาร / สารละลาย / ยา ตามข้อ 5.4.5 96/248


5.4 การดูแลต าแหน่งที่ใส่สายสวน 5.4.1 ประเมินต าแหน่งที่ใส่สายสวนทุกวันและทบทวนความจ าเป็นของการใส่สายสวน โดยทีมสหสาขาวิชาชีพ 5.4.2 ไม่ใช้ขี้ผึ้งปฏิชีวนะ / ครีมปฏิชีวนะ ทาต าแหน่งที่ใส่สายสวน 5.4.3 การเปลี่ยน Dressing ปฏิบัติ ดังนี้ ปิดด้วย Sterile gauze ให้เปลี่ยน Dressing ไม่เกิน 24 ชั่วโมงแรก และเปลี่ยน Dressing ครั้งต่อๆ ไปทุก 2 วัน หรือเมื่อลอกหลุด เปียกชื้น หรือเปื้อนเลือด / สารคัดหลั่ง ปิดด้วย Transparent เปลี่ยน Dressing ทุก 7 วัน หรือเมื่อลอกหลุด เปียกชื้น หรือเปื้อนเลือด / สารคัดหลั่ง 5.4.4 การเปลี่ยนชุดให้สารละลาย ชุดให้สารละลายเปลี่ยน ทุก 96 ชั่วโมง ชุดให้สารละลายที่ประกอบด้วยไขมันเปลี่ยนทุก 24 ชั่วโมง ชุดให้สารไขมันแขวนลอยเปลี่ยนทุก 12 ชั่วโมง ชุดให้ยาปฏิชีวนะเปลี่ยนทุก 24 ชั่วโมง ชุดให้เลือด / ส่วนประกอบของเลือดเปลี่ยน ทุก 4 ชั่วโมง 5.4.5 การผสมสารละลายให้ใช้ขวดน้ ายาส าหรับการผสมชนิดใช้ครั้งเดียว 5.4.6 สารละลายที่เหลือจากการใช้ครั้งเดียว ไม่แนะน าให้น ามารวมกันส าหรับใช้ครั้งต่อไป 5.4.7 สารอาหาร / สารละลาย / ยา ที่ผสมแล้วให้แช่ตู้เย็นไม่เกิน 24 ชั่วโมง หลังมีการเปิดใช้ 5.4.8 ไม่แนะน าให้ดูดเลือดทางสายสวนส าหรับการฟอกเลือดไปตรวจ ยกเว้นระหว่างการฟอก เลือด หรือในภาวะฉุกเฉิน 5.4.9 เติม Heparin ปริมาณต่ า (0.25-1.0 U/ml) ในสารน้ าที่ให้ผ่านทางสายสวนหลอดเลือดแดงของสายสะดือ 5.4.10 ควรถอดสายสวนออกทันทีเมื่อไม่มีความจ าเป็น และ สายสวนหลอดเลือดแดงของสายสะดือ ไม่ควรใส่ไว้เกิน 5 วัน สายสวนหลอดเลือดด าของสายสะดือ สามารถทิ้งไว้ได้นานถึง 14 วัน 5.4.11 กรณีมีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อในกระแสโลหิตจากการใส่สายสวนหลอดเลือด ด าส่วนกลาง ให้บันทึกเป็นการรายงานอัตราการติดเชื้อที่ต าแหน่ง Catheter Associated Bloodstream Infection (CLABSI) โดยใช้สูตร CLABSI = จ านวนครั้งของการเกิด CLABSI x 1,000 จ านวนวันที่ใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง ในช่วงเวลาเดียวกัน คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 028 เรื่อง แนวทางปฏิบัติการใส่และการดูแลสายสวนหลอด เลือดด า ส่วนกลาง (Central line) แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : มิ.ย. 2561 หน้า 2 / 3 97/248


6. เอกสารอ้างอิง Center for Disease Control and Prevention. (2011). Guideline for the Prevention of Intravascular Catheter-Related Infections. Update Recommendation July, 2017.Retrieved January 20, 2018. Available from: http://www.cdc.gov/hicpac/pdf/guidelines/bsi-guidelines-2011.pdf. Center for Disease Control and Prevention. (2017). Definition CDC guideline Central line Associated Bloodstream Infection. Retrieved January 20, 2018. Available from: https://www.cdc.gov/infectioncontrol/guidelines/clabsi/ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 028 เรื่อง แนวทางปฏิบัติการใส่และการดูแลสายสวนหลอด เลือดด า ส่วนกลาง (Central line) แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : มิ.ย. 2561 หน้า 3 / 3 98/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC –027 เรื่อง แนวทางปฏิบัติการดูแลผ้ป่ วยที่ได้รับการใสู่สายสวนหลอด เลือดด าส่วนปลาย (Peripheral line) แกไขครั ้ ้งที่ : 00 วันที่บังคับใช้ : ส.ค. 2552 หน้า 1/ 3 1. วัตถุประสงค์ เพื่อป้ องกนการเกั ิดหลอดเลือดด าส่วนปลายอักเสบจากการได้รับสารอาหาร / สารละลาย / เลือด / ยา 2. ค าจ ากัดความ หลอดเลือดด าส่วนปลายอักเสบ (Pheblitis) หมายถึง การอักเสบของหลอดเลือดด าส่วนปลายจากการให้ สารอาหาร / สารละลาย / เลือด / ยา แบ่งออกเป็ น 5 ระดับ ดังนี้ ระดับ 0 ไม่มีอาการ ระดับ 1 แดงบริเวณที่แทง ปวดหรือไม่ปวดกได้ ็ ระดับ 2 ปวดบริเวณที่แทงพร้อมกบแดงและ / หรือบวม ั ระดับ 3 ปวดบริเวณที่แทงพร้อมกบแดงและ / หรือบวม มีรอยแดงเป็ นทาง คล าได้หลอดเลือดแข็ง ั ระดับ 4 ปวดบริเวณที่แทงพร้อมกบแดงและ / หรือบวม มีรอยแดงเป็ นทาง คล าได้หลอดเลือดแข็ง ั ยาวมากกวา 1 นิ ่้ว มีหนอง 3. ขั้นตอนการปฏิบัติ 3.1 บุคลากร 3.1.1 ได้รับความรู้เกี่ ยวกบข้อบ ั ่งชี้ ขั้นตอนการปฏิบัติที่ถูกต้องของการดูแลรักษาผู้ป่ วยที่ได้รับการใส่ สายสวนหลอดเลือดด าส่วนปลาย 3.1.2 ได้รับการประเมินความรู้และการปฏิบัติงานเป็ นระยะ 3.2 อุปกรณ์ส าหรับการให้สารอาหาร/ สารละลาย/ เลือด / ยา 3.2.1 ชุดให้สารอาหาร / สารละลาย / เลือด / ยา 3.2.2 สารอาหาร / สารละลาย / เลือด / ยา ตามแผนการรักษา 3.2.3 สายสวนหลอดเลือดด าส่วนปลาย (Peripheral catheter) ส าหรับให้สารอาหาร / สารละลาย/ เลือด / ยา ตามความเหมาะสม 3.2.4 สายยางรัดแขน (Tourniquet) 3.2.5 Transfer forceps 3.2.6 ส าลีปราศจากเชื้อ 3.2.7 70% Alcohol 3.2.8 Sterile gauze / Transparent dressing 3.2.9 พลาสเตอร์ 3.2.10 เสาแขวนสารอาหาร / สารละลาย/ เลือด / ยา 99/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC –027 เรื่อง แนวทางปฏิบัติการใส่และการดูแลสายสวนหลอดเลือดด า ส่วนปลาย (Peripheral line) แกไขครั ้ ้งที่ : 00 วันที่บังคับใช้ : ส.ค. 2552 หน้า 2/ 3 3.2.11เครื่องกาหนดอัตราการไหล (Infusion pump) ของสารอาหาร / สารละลาย/ เลือด / ยา ในกรณีต้องใช้ 3.2.12 แถบสีกาหนดวันเปลี่ยนชุดใ ห้สารอาหาร / สารละลาย/ ยา 3.3 การเตรียมสารอาหาร / สารละลาย/ เลือด / ยา 3.3.1 ล้างมือแบบ Hygienic / ใช้ Alcohol handrub ก่อนและหลังการเตรียมสารอาหาร / สารละลาย / เลือด / ยา 3.3.2 เตรียมอุปกรณ์และสารอาหาร / สารละลาย/ เลือด / ยา ให้ถูกต้องตามแผนการรักษา 3.3.3 ตรวจสอบการรั่ว แตก ซึม มีตะกอน วันที่หมดอายุ และความผิดปกติอื่นๆ 3.4 การให้สารอาหาร / สารละลาย/ เลือด / ยา 3.4.1 ล้างมือแบบ Hygienic / ใช้ Alcohol handrub ก่อนสวมถุงมือสะอาด 3.4.2 เลือกต าแหน่งที่ใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนปลาย ดังนี้ ผู้ใหญ่ ควรเลือกต าแหน่งบริเวณแขน >ขา เด็กควรเลือกต าแหน่งบริเวณศีรษะ มือ หรือด้านหลังเท้า 3.4.3 ท าความสะอาดผิวหนังบริเวณใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนปลายโดยเช็ดบริเวณที่จะแทงเข็มด้วย 70% Alcohol วนจากด้านในออกไปโดยรอบรอให้แห้งจึงแทงเข็ม 3.4.4 ปิ ดบริเวณที่ใส่สายสวนหลอดเลือดด าด้วย Transparent หรือ Sterile gauze 3.4.5 ระบุวันที่ ในการเปลี่ยนต าแหน่งที่ใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนปลาย และชุดให้สารอาหาร / สารละลาย/ ยา บริเวณต าแหน่งที่ใส่สายสวน / ชุดให้สารละลาย 3.4.6 การเปลี่ยน Dressing ปฏิบัติ ดังนี้ ปิ ดด้วย Sterile gauze เปลี่ยน Dressing ทุก24 ชัวโมง / เมื่อเปื ่ ้อน / หลุด ปิ ดด้วย Transparent เปลี่ยน Dressing ทุก3 วัน / เมื่อเปื้อน / หลุด 3.4.7 การเปลี่ยนต าแหน่งที่ใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนปลาย ในผู้ใหญ่ให้เปลี่ยนทุก 72 ชัวโมง ยกเว้น ่ ผู้ป่ วยเด็กให้จนสิ้นสุดการให้สารละลาย หรือเมื่อมีอาการและการแสดงการอักเสบของหลอดเลือดด าส่วนปลาย ตามค าจ ากดความั 3.4.8 การเปลี่ยนชุดให้สารละลาย ชุดให้สารละลาย เปลี่ยนทุก 72 ชัวโมง่ ชุดให้สารละลายที่ประกอบด้วยไขมันเปลี่ยน ทุก 24 ชัวโมง่ ชุดให้สารไขมันแขวนลอยเปลี่ยนทุก 12 ชัวโมง่ ชุดให้ยาปฏิชีวนะเปลี่ยน ทุก 24 ชัวโมง่ ชุดให้เลือด / ส่วนประกอบของเลือดเปลี่ยน ทุก 4 ชัวโมง่ 100/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC –027 เรื่อง แนวทางปฏิบัติการใส่และการดูแลสายสวนหลอดเลือดด า ส่วนปลาย (Peripheral line) แกไขครั ้ ้งที่ : 00 วันที่บังคับใช้ : ส.ค. 2552 หน้า 3/ 3 3.4.9 การผสมสารละลายให้ใช้ขวดน ้ายาส าหรับการผสมชนิดใช้ครั้งเดียว 3.4.10 สารละลายที่เหลือจากการใช้ครั้งเดียวไม่แนะน าให้น ามารวมกนส าหรับใช้ครั ั้งต่อไป 3.4.11 สารอาหาร / สารละลาย/ ยาที่ผสมแล้วให้แช่ตู้เย็นหลังมีการเปิ ดใช้ 3.4.12 ตรวจสอบการอักเสบของหลอดเลือดด าส่วนปลาย อยางน้อยทุก 8 ชั ่ วโมง กรณีพบอาการ และการ่ แสดงการอักเสบของหลอดเลือดด าส่วนปลาย ควรบันทึกเป็ นรายงานประจ าเดือน และรายงานอัตราการเกิดหลอด เลือดด าส่วนปลายอักเสบ โดยใช้สูตร อัตราการเกิดหลอดเลือดด าส่วนปลายอักเสบ = จ านวนครั้งของการเกิดหลอดเลือดด าส่วนปลายอักเสบ x 100 จ านวนครั้งที่ใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนปลายส าเร็จ 4. เอกสารอ้างอิง Center for Disease Control and Prevention. (2002). Guideline for the Prevention of Intravascular Catheter-Related Infection. Available from http://www.cdc.gov/ncidod/dhqp/gl_intravascular.html Infusion nursing standards of practice. J Intravenous Nursing 2000; 23(6S): S56 –S69. 101/248


Day/ว/ด/ป เวลา กรณี Dressing/ให้ยา 1. ล้างมือตามหลัก 5 moments อย่างเคร่งครัด 2. ใช้ 2 % CHG in 70 % Alcohol ในการ Dressing 3. Scrub the hub ด้วย 70 % Alcohol อย่างน้อย 15 วินาที Day/ว/ด/ป กรณีใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง 1. ล้างมือตามหลัก 5 moments อย่างเคร่งครัด 2. ใส่ Maximal sterile barrier เมื่อท าหัตถการ C – line ได้แก่ Mask, Gown, Gloves, Cap, Sterile full body drape 3. ใช้ 2 % CHG in 70 % Alcohol ท าความสะอาด ผิวหนังก่อนท าหัตถการ C – line ผู้ประเมิน หมายเหตุ Day = จ านวนวันของการใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง ข้อห้ามปฏิบัติ ห้ามใช้ CHG ในเด็กอายุต่ ากว่า 2 เดือน Day……วันที่…........ Day……วันที่…......ท าเครื่องหมาย √ ลงในช่องกรณีปฏิบัติ และ X กรณีไม่ปฏิบัติ ด ช บ ด ช บ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล แบบ check list การดูแลผู้ป่วยที่ใชื่อ-สกุล...............................................................HN………………………….. AN……......…………… Day……วันที่…........ Day……วันที่…......102/


FM-ICC01-062 (แก้ไขครั้งที่ 01) ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ .. ล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ใส่สายสวนหลอดเลือดด าส่วนกลาง หน่วยงาน.....................................วันที่ใส่ C-line …….....................…………………………….. .. Day……วันที่…...... Day……วันที่…......Day……วันที่…......Day……วันที่…......Day……วันที่…...... Day……วันที่…...... Day……วันที่…......Day……วันที่…......Day……วันที่…......Day……วันที่…...... /248


Goal 3 1. IC-062 2. IC-012 3. WI-ICC01-003 4. WI-ICC01-017 103/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC- 062 เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเมื่อบุคลากรเป็นวัณโรค แก้ไขครั้งที่ : 01 วันที่บังคับใช้ : ก.ย.58 หน้า 1 / 2 1. วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นแนวทางการดูแลบุคลากรที่ตรวจพบวัณโรค และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค 2. ค าจ ากัดความ วัณโรค (Tuberculosis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Mycobacterium tuberculosis ติดต่อโดยการ แพร่กระจายเชื้อทางอากาศ (Airborne transmission) และทางละอองเสมหะ (Droplet transmission) จากการไอจาม ของผู้ป่วยวัณโรคในระยะแพร่เชื้อ (ระยะฟักตัว 4 – 6 สัปดาห์) 3. แนวทางการปฏิบัติเมื่อบุคลากรเป็นวัณโรค 3.1 หน่วยงานที่ตรวจพบ / หัวหน้าหน่วยงาน / บุคลากรที่ป่วย แจ้งงาน IC ทันที(โทร.3527 – 8) ในเวลาราชการ 3.2 บุคลากรที่ป่วยติดต่อหน่วยโรคระบบทางเดินหายใจและทรวงอก (โทร.3478) ในเวลาราชการ เพื่อให้ ค าปรึกษา ลงทะเบียน และให้การดูแลบุคลากรที่ป่วยต่อเนื่อง โทร.แจ้งงาน IC ทันที(โทร.3527 – 8) ในเวลาราชการ 3.3 แพทย์ผู้ตรวจรักษา ให้บุคลากรที่เป็น Pulmonary TB (ผลการตรวจ Brocholavage / Sputum AFB / Chest x-ray ยืนยัน) หยุดพักงานระหว่างรับประทานยา 2 สัปดาห์แรก ส่วนกรณีอื่นๆ พิจารณาตามความเหมาะสม 3.4 แนะน าให้บุคลากรที่ป่วยสวม Surgical mask ระหว่างรับประทานยา 2 สัปดาห์แรก / เมื่อยังมีอาการไอ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ 3.5 กรณีบุคลากรทางการพยาบาลป่วย ไม่สามารถกลับไปพักที่บ้าน ฝ่ายการพยาบาลจัดห้องพักแยกให้บุคลากรที่ ป่วยตามความเหมาะสม 3.6 ICN สอบสวนการระบาด และเฝ้าระวังบุคลากรผู้สัมผัสโรค 3.7 บุคลากรอื่นๆ ที่สัมผัสกับบุคลากรที่ป่วยให้สังเกต หากมีอาการไข้เรื้อรัง น้ าหนักลด หรือไอเรื้อรัง พบแพทย์ที่ หน่วยโรคระบบทางเดินหายใจและทรวงอก เพื่อพิจารณาส่งเสมหะตรวจ AFB 3 ครั้ง ร่วมกับถ่ายภาพรังสีทรวงอก ถ้ามี ลักษณะเข้าได้กับวัณโรคปอดให้การรักษาทันที และจัดให้มีการติดตามผู้ที่มีภาพถ่ายรังสีทรวงอกผิดปกติที่ไม่มีอาการทุก 6 เดือน เพื่อรับการวินิจฉัย และดูแลโดยเร็ว 3.8 หน่วยงานที่ตรวจรักษาเขียนใบ รง.506 ส่งงานเวชสารสนเทศ 4. แนวทางปฏิบัติส าหรับบุคลากรในการยื่นค าร้องขอค่าชดเชย 4.1 บุคลากรที่ป่วยประสานกับงาน IC แจ้งความจ านง ยื่นค าร้องขอค่าชดเชย (ภายใน 1 ปีนับจากวันที่ทราบความ เสียหาย) 4.2 เตรียมเอกสาร / หลักฐาน ดังนี้ 4.2.1 ตรวจสอบค้นหาผู้รับบริการ (สิทธิ์บัตรทอง) ที่ป่วยเป็นวัณโรคในหน่วยงาน (ย้อนหลัง 1 – 2 ปี) 4.2.2 เขียน แบบการยื่นค าร้องขอรับเงินช่วยเหลือเพื่อการชดเชย กรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจาก การให้บริการสาธารณสุข หมายเหตุ ในแบบยื่นค าร้องหัวข้อที่ 2 ข้อ 2.4 เหตุที่และความเสียหายที่ เกิดขึ้น ให้บรรยายถึงเหตุการณ์ และความเสียหายต่างๆ ที่ได้รับอย่างชัดเจน เช่น การรักษาที่ได้รับ ผลข้างเคียงของยา ระยะเวลาที่ต้องรักษาตัวหรือถ้ามีบาดแผลบอกลักษณะบาดแผล (โดยเขียนในใบ บันทึกข้อความ ระบุเป็นเอกสารแนบ ความยาวไม่ควรเกินหน้ากระดาษ A4) 104/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC- 062 เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเมื่อบุคลากรเป็นวัณโรค แก้ไขครั้งที่ : 01 วันที่บังคับใช้ : ก.ย.58 หน้า 2 / 2 4.2.3 ถ่ายส าเนาเอกสารหรือหลักฐาน (เขียนรับรองส าเนาถูกต้องทุกแผ่น) ดังนี้ บุคลากรผู้ให้บริการ 1) เวชระเบียน ส าเนาแผ่นแรกของที่มีชื่อ ที่อยู่ และส าเนาช่วงที่ระบุวันที่ที่ได้รับความเสียหาย การวินิจฉัย และการรักษา 2) ส าเนาบัตรประจ าตัวข้าราชการ / พนักงานมหาวิทยาลัย และบัตรประชาชน 3) ใบรับรองแพทย์ (ถ้ามี) 4) ส าเนาการตรวจที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผลการตรวจเสมหะ (AFB) ผู้รับบริการ 1) เวชระเบียน ส าเนาแผ่นแรกที่มีชื่อ ที่อยู่ และส าเนาช่วงที่ได้รับการวินิจฉัย และการรักษา 2) ใบตรวจสอบสิทธิ์ในระบบหลักประกันสุขภาพ (ขอที่ศูนย์ประสานสิทธิ์) หมายเหตุ มุมบนขวาของแบบการยื่นค าร้องฯ ไม่ต้องลงชื่อหน่วยรับค าร้อง และวันที่ยื่นค าร้อง 5. งานควบคุมโรคติดเชื้อ 5.1 ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของ แบบการยื่นค าร้องขอรับเงินช่วยเหลือเพื่อการชดเชยกรณีผู้ให้บริการได้รับ ความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข 5.2 ท าบันทึกข้อความ เพื่อประกอบการยื่นแบบค าร้องฯ ใส่ซองปิดผนึก จ่าหน้าซองถึงผู้อ านวยการส านักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กทม. โดยก าหนดรวบรวมค าร้องส่งทุก 3 เดือน (ส่งภายในวันที่ 5 ของเดือนตุลาคม มกราคม เมษายน และกรกฎาคม) 6. เอกสารอ้างอิง 1. Diane I. Bennett, Michael F. Iademarco,Paul A. Jensen and et al., Guidelines for Preventing the Transmission of Mycobacterium tuberculosis in Health-Care Settings, December 30, 2005 / 54(RR17);1-141 2. www.who.int/tb/publications/who_tb_99_269/en/ Addendum to "WHO guidelines for the prevention of tuberculosis in health care facilities in resource-limited settings", 1999. 105/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 012 เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันเพื่อป้องกัน การ ติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ / เชื้อดื้อยา แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : เม.ย. 61 หน้า 1 /8 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล 1.2 เพื่อเป็นแนวทางการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันส าหรับบุคลากร 2. ค าจ ากัดความ การใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกัน หมายถึง การเลือกอุปกรณ์เครื่องป้องกันให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการป้องกัน และใช้เครื่องป้องกันร่างกายเฉพาะในกรณีที่มีข้อบ่งชี้เท่านั้น 3. ประเภทอุปกรณ์ป้องกันและแนวทางปฏิบัติ 3.1 หมวก (cap) คุณสมบัติท าด้วยผ้าหรือกระดาษ ข้อบ่งชี้ในการสวมหมวก 1. ผ่าตัดหรือช่วยผ่าตัด 2. ปฏิบัติงานในสถานที่ที่ต้องการความสะอาดหัตถการที่อาจมีเลือด/สารคัดหลั่งกระเด็น 3. ขณะปฏิบัติงานเกี่ยวกับวัสดุปราศจากเชื้อ แนวทางปฏิบัติ 1. ล้างมือด้วยน้ าและสบู่เหลว / สบู่ผสมน้ ายาฆ่าเชื้อก่อนสวมหมวก และหลังถอดหมวก 2. สวมหมวกให้คลุมผมและเก็บผมได้ทั้งหมด 3. ระหว่างการใช้งานถ้าเปื้อนเลือด หรือสารคัดหลั่งให้เปลี่ยนใหม่ทันที 4. ระหว่างสวมหมวก ให้ระมัดระวังไม่จับด้านนอกของหมวก 5. การถอดหมวกควรค่อย ๆ ถอดหมวกออก แล้วม้วนให้ด้านในอยู่ด้านนอก 3.2 แว่นป้องกันตา ต้องเป็นแว่นที่ปกปิดเพื่อป้องกันสิ่งปนเปื้อน น้ าหรือละอองไม่ให้กระเด็นหรือฟุ้งเข้าตา ชนิดของแว่นป้องกันตา 3.2.1แว่นป้องกันตา (Goggles) เป็นแว่นตาที่มีแผงกันด้านข้างและด้านล่างจะกระชับกับใบหน้า ป้องกันสารน้ าและละอองได้ดี 3.2.2หน้ากาก (face shield) เป็นแผงติดกับกรอบใช้สวมศีรษะสามารถป้องกันการฟุ้งกระจาย ของสารคัดหลั่งด้านหน้า แต่ป้องกันน้ าและละอองที่เข้าด้านข้างและล่างไม่ค่อยดี สามารถใช้สวมกับ Goggles ได้ ข้อบ่งชี้ในการใส่แว่นป้องกันตา 1. หัตถการที่อาจจะมีเลือด / สารคัดหลั่ง กระเด็นเข้าตา 2. การปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ แนวทางปฏิบัติ 1. ล้างมือด้วยน้ าและสบู่เหลว / สบู่ผสมน้ ายาฆ่าเชื้อก่อนสวมแว่นป้องกันตา และหลังถอดแว่น ป้องกันตา 2. สวมแว่นป้องกันตาให้กระชับใบหน้า 3. ระหว่างการใช้งานถ้าเปื้อนเลือด หรือสารคัดหลั่งให้เปลี่ยนใหม่ทันทีและทิ้งเป็นขยะติดเชื้อ 4. หลังเสร็จกิจกรรมแล้วให้ถอดล้างด้วยน้ าและสบู่ ผึ่งให้แห้ง 106/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 012 เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันเพื่อป้องกัน การ ติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ / เชื้อดื้อยา แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : เม.ย. 61 หน้า 2 /9 3.3 ผ้าปิดปาก – จมูก (Mask) ชนิดของผ้าปิดปาก - จมูกแบ่งเป็น 2 ชนิด 3.3.1.1 Surgical mask คือ ผ้าปิดปาก – จมูกท าจากใยสังเคราะห์ใช้ครั้งเดียวทิ้ง 3.3.1.2 Particulate mask คือ อุปกรณ์เครื่องป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ สามารถ ป้องกันฝุ่นละออง อนุภาค รวมทั้งเชื้อจุลชีพที่มีขนาดตั้งแต่ 0.3 ไมครอนได้ ข้อบ่งชี้ในการใช้ผ้าปิดปาก – จมูก (Mask) 1. Surgical mask - การท าหัตถการ - เมื่อบุคลากรหรือผู้เยี่ยมไข้เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ - การดูแลผู้ป่วยหรือการปฏิบัติงานในห้องทดลอง 2. Particulate mask ใช้ในการดูแลผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ เช่น SARS, Avian Flu, Varicella และ TB แนวทางปฏิบัติ 1. ล้างมือก่อน และหลังสวมผ้าปิดปาก – จมูก 2. การสวม Surgical mask ให้ส่วนที่กันน้ าได้อยู่ด้านนอก ส่วนที่เป็นแถบอลูมิเนียมอยู่ที่สันจมูก และให้ผ้าปิดตั้งแต่จมูกคลุมถึงใต้คาง 3. การสวม Particulate mask ปฏิบัติดังนี้ 3.1 สวมให้คลุมจมูก ปากและคาง 3.2 กดแถบอลูมิเนียมให้แนบกับสันจมูก 3.3 คล้องเชือกไปด้านหลังศีรษะ 3.4 ขยับให้หน้ากากกระชับพอดี ทดสอบความกระชับ (fit test) โดย - หายใจเข้า หน้ากากควรยุบตัวลงเล็กน้อย - หายใจออกไม่มีลมรั่วตามแนวสันจมูก คาง 4. ระหว่างการใช้งานถ้าเปื้อนเลือด / สารคัดหลั่งให้เปลี่ยนใหม่ทันที 5. หลังเสร็จกิจกรรมแล้วให้ถอดทิ้งเป็นขยะติดเชื้อ 3.4 ถุงมือ (Glove) ประเภทของถุงมือ 1. ถุงมือทางการแพทย์ (Surgical gloves) หมายถึง ถุงมือที่ใช้ในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับ ผู้ป่วย ได้แก่ 1.1 ถุงมือปราศจากเชื้อ (Sterile gloves) มี 2 ขนาด - ถุงมือปราศจากเชื้อขนาดสั้นใช้ทั่วไป - ถุงมือปราศจากเชื้อขนาดยาว ใช้ส าหรับการล้วงรกหรือการผ่าตัดอวัยวะที่อยู่ลึก 2. ถุงมือสะอาด (Non sterile gloves) 3. ถุงมือยางหนา หรือถุงมือแม่บ้าน (Heavy duty gloves) 107/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 012 เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันเพื่อป้องกัน การ ติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ / เชื้อดื้อยา แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : เม.ย. 61 หน้า 3 /8 ข้อบ่งชี้ในการใช้ถุงมือปราศจากเชื้อ 1. เมื่อหยิบจับเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อ 2. เมื่อท าหัตถการ ข้อบ่งชี้ในการใช้ถุงมือสะอาด 1. การหยิบจับสิ่งของสกปรก 2. การจับต้องผู้ป่วยหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของผู้ป่วย 3. การหยิบจับ ล้าง วัสดุหรือสถานที่ที่สกปรก หรือมีเชื้อโรค ข้อบ่งชี้ในการใช้ถุงมือย่างหนา 1. ล้างอุปกรณ์ทางการแพทย์ เก็บล้างกระโถน กวาดพื้น เช็ดพื้น 2. เช็ดโต๊ะข้างเตียง เช็ดเตียงผู้ป่วย แนวทางปฏิบัติ 1. การใช้ถุงมือทางการแพทย์ 1.1 การใช้ถุงมือปราศจากเชื้อ - ล้างมือก่อนใส่ถุงมือ และหลังถอดถุงมือ - หลังเสร็จกิจกรรมแล้วถอดถุงมือทิ้งเป็นขยะติดเชื้อ - เปลี่ยนถุงมือทุกครั้งเมื่อให้การพยาบาล หรือท าหัตถการกับผู้ป่วยรายต่อไป 1.2 การใช้ถุงมือสะอาด - ล้างมือก่อนใส่ถุงมือ และหลังถอดถุงมือ - หลังเสร็จกิจกรรมแล้วถอดถุงมือทิ้งเป็นขยะติดเชื้อ - เปลี่ยนถุงมือทุกครั้งเมื่อให้การดูแลรักษาพยาบาลกับผู้ป่วยรายต่อไป 1.3 ถุงมือย่างหนาหรือถุงมือแม่บ้าน - ล้างมือก่อนใส่ถุงมือและหลังถอดถุงมือ - สวมถุงมือ เมื่อท ากิจกรรม เช่น กวาดถูพื้น เก็บล้างกระโถนล้างอุปกรณ์ที่ใช้กับ ผู้ป่วยเช็ดโต๊ะข้างเตียงและเตียงผู้ป่วย - ถอดถุงมือเมื่อเปิด- ปิดประตู - ล้างถุงมือด้วยน้ าและผงซักฟอกน าถุงมือไปผึ่งให้แห้งก่อนน ามาใช้ใหม่ 3.5 เสื้อคลุม (Gown) ข้อบ่งชี้ของการใส่เสื้อคลุม 1. เมื่อจะสัมผัสกับสิ่งที่มีเชื้อโรค 2. เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่สู่ผู้ป่วย ประเภทของเสื้อคลุม - เสื้อคลุมส าหรับห้องผ่าตัด - เสื้อคลุมกันน้ า - เสื้อคลุมส าหรับเชื้อดื้อยา 108/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 012 เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันเพื่อป้องกัน การ ติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ / เชื้อดื้อยา แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : เม.ย. 61 หน้า 4 /8 แนวทางปฏิบัติ 1. ล้างมือก่อนสวมเสื้อคลุมและหลังถอดเสื้อคลุม 2. เลือกใช้ชนิดของเสื้อคลุมให้สอดคล้องกับกิจกรรม 3. ใช้เสื้อคลุม 1 ตัวต่อการดูแลผู้ป่วย 1 คน 4. ระหว่างการใช้งานถ้าเปื้อนเลือด สารคัดหลั่งให้เปลี่ยนใหม่ทันที 5. การถอดเสื้อคลุมให้ระมัดระวังไม่จับด้านนอกของเสื้อควรค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก แล้วม้วน ให้ด้านในอยู่ด้านนอก น าเสื้อคลุมใส่ถังผ้าติดเชื้อ และเสื้อคลุมกันน้ าใส่ขยะติดเชื้อ 3.6 ผ้ากันเปื้อน (Apron) ประเภทของผ้ากันเปื้อน 1. ผ้ายางกันเปื้อนชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง 2. ผ้ายางกันเปื้อนแม่บ้าน ข้อบ่งชี้ในการใช้ผ้ากันเปื้อน 1. ผ้ากันเปื้อนชนิดใช้ครั้งเดียวใช้เมื่อคาดว่าจะมีเลือดหรือสารคัดหลั่งจากร่างกายผู้ป่วยกระเด็น หรือพุ่งเข้าสู่ร่างกายบุคลากร 2. ผ้ากันเปื้อนแม่บ้านใช้ขณะล้างท าความสะอาดเครื่องมือที่ปนเปื้อน และท าความสะอาด สิ่งแวดล้อมหอผู้ป่วย แนวทางปฏิบัติ 1. ล้างมือก่อนสวมผ้ายางกันเปื้อน และหลังถอดผ้ายางกันเปื้อน 2. ผ้ายางกันเปื้อนแม่บ้านหลังเสร็จสิ้นการใช้งาน ให้ท าความสะอาดผึ่งให้แห้งทุกครั้ง กรณี เปื้อนเลือด หรือสารคัดหลั่งจากร่างกายให้ล้างออกและแช่ด้วย 0.5 % sodium hypochlorite นาน 30 นาทีก่อนล้าง ท าความสะอาดตามปกติ และผึ่งให้แห้งก่อนน ามาใช้ใหม่ 3. ผ้ายางกันเปื้อนชนิดใช้ครั้งเดียว หลังจากใช้แล้วถอดอย่างระมัดระวังโดยไม่จับด้านนอกของ ผ้ายางกันเปื้อนเมื่อจะถอดควรค่อยๆ ถอดผ้ายางกันเปื้อนออก แล้วม้วนให้ด้านในอยู่ด้านนอกก่อน น าไปทิ้งถังขยะติดเชื้อ 3.7 รองเท้า (Foot ware) ประเภทของรองเท้า 1. รองเท้าแตะ 2. รองเท้ายางหุ้มข้อ (รองเท้าบู๊ท) ใช้ป้องกันเท้าจากสารน้ าที่สกปรก ข้อบ่งชี้ในการใช้รองเท้า 1. สวมรองเท้าแตะเมื่อเข้าห้องผ่าตัดห้องคลอด 2. สวมรองเท้ายางหุ้มข้อ เมื่อปฏิบัติงานบริเวณเปียกชื้น หรือปฏิบัติงานที่คาดว่าจะมีสารคัดหลั่ง กระเด็น หรือป้องกันการแทงทะลุของเครื่องมือมีคมต่าง ๆ ที่อาจตกลงถูกเท้า แนวทางปฏิบัติ 1. หลังเสร็จสิ้นการใช้ ล้างด้วยน้ าและผงซักฟอก และเช็ดท าความสะอาดทุกวัน หรือเมื่อสกปรก 2. ไม่สวมรองเท้าเหล่านี้เดินไปบริเวณที่สกปรก 3. ถ้ารองเท้าเปื้อนเลือดหรือสารคัดหลั่งจากร่างกาย ให้ล้างคราบสกปรกออกและแช่ในน้ ายา 0.5 % sodium hypochlorite นาน 30 นาทีก่อนล้างท าความสะอาดตามปกติ และผึ่งให้แห้งก่อนน ามาใช้ใหม่ 109/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 012 เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันเพื่อป้องกัน การ ติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ / เชื้อดื้อยา แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : เม.ย. 61 หน้า 5 /8 เอกสารอ้างอิง ก าธร มาลาธรรม และ ศิริลักษณ์ อภิวานิชย์. คู่มือการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุดทอง; 2558. คณะกรรมการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อแห่งชาติ. แนวปฏิบัติของสถานพยาบาลในการด าเนินการ ป้องกันการติดเชื้อจากเข็มทิ่มต า ของมีคมและการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากการปฏิบัติงานของบุคลากร. กรุงเทพฯ โรงพิมพ์ส านักงานพระพุทธศาสนา. 2557. สมหวัง ด่านชัยวิจิตร. โรคติดเชื้อในโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์. 2539. 110/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 012 เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันเพื่อป้องกัน การ ติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ / เชื้อดื้อยา แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : เม.ย. 61 หน้า 6 / 8 ตารางที่ 1 การใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันในกิจกรรมที่มีการปฏิบัติบ่อยครั้ง ในผู้ป่วยทั่วไป กิจกรรม อุปกรณ์ ถุงมือ ปราศจากเชื้อ ถุงมือ สะอาด ถุงมือ ยางหนา เสื้อ กาวน์ ผ้าปิดปาก – ปิดจมูก ผ้า กันเปื้อน แว่น ป้องกันตา ถุงคลุม เท้า 1. ฉีดยา - + - - - - - - 2. เจาะเลือด - + - - - - - - 3. ให้สารน้ า / เลือด - + - - - - - - 4. ดูดเสมหะ + - - - + - + - 5. ดูแลผู้ป่วยเปื้อนเลือด / หนอง / สารคัดหลั่ง - + - - + + - - 6. ท าแผล + - - - + - - - 7. ท าความสะอาดเตียง - - + - - - - - 8. ล้างเครื่องมือที่ใช้แล้ว - - + - + + + - ตารางที่ 2 การใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันในกิจกรรมที่มีการปฏิบัติน้อยในผู้ป่วยทั่วไป กิจกรรม อุปกรณ์ ถุงมือ ปราศจากเชื้อ ถุงมือ สะอาด ถุงมือ ยางหนา เสื้อ กาวน์ ผ้าปิดปาก – ปิดจมูก ผ้า กันเปื้อน แว่น ป้องกันตา ถุงคลุม เท้า 1. การตรวจพิเศษ เช่นเจาะเข่า + - - - + - - - 2. เย็บแผลที่มีเลือดออกมาก + - - - + + + + 3. เย็บแผลที่มีเลือดออกไม่มาก + - - - - + - - 4. ใส่ท่อช่วยหายใจ + - - + + + + - 5. เจาะคอ + - - + + + + - 6. C – line + - - + + - + - 7. ช่วยหายใจด้วย Ambu bag - + - + + + + - 8. กู้ชีพ (CPR) - + - - + + + - 9. เตรียมผิวหนังเผื่อผ่าตัด - + - - - - - - 10. ท าความสะอาดแผลอุบัติเหตุ + - - - + + + - 11. ท าความสะอาดแผลไฟไหม้ น้ าร้อนลวก + - - - + + - - 12. ล้างท้อง - + - - + + + - 13. Blood Exchange + - - + + + + + 14. Hemodialysis + - - - + + + - 15. ตรวจภายในสตรี + - - - + + - - 111/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 012 เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันเพื่อป้องกัน การติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ / เชื้อดื้อยา แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : เม.ย. 61 หน้า 7 /8 ตารางที่ 2 การใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันในกิจกรรมที่มีการปฏิบัติน้อยในผู้ป่วยทั่วไป (ต่อ) กิจกรรม อุปกรณ์ ถุงมือ ปราศจากเชื้อ ถุงมือ สะอาด ถุงมือ ยางหนา เสื้อ กาวน์ ผ้าปิดปาก – ปิดจมูก ผ้า กันเปื้อน แว่น ป้องกันตา ถุงคลุม เท้า 16. ท าความสะอาดเตรียมคลอด - + - - + + + - 17. ท าคลอด + - - + + + + + 18. เช็ดตัวทารกแรก + - - - + + - - 19. ขูดมดลูกเกิด + - - + + + + + 20. แต่งศพ - + - - + + - - ตารางที่ 3 การใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันในหน่วยงานพิเศษในผู้ป่วยทั่วไป กิจกรรม อุปกรณ์ ถุงมือ ปราศจากเชื้อ ถุงมือ สะอาด ถุงมือ ยางหนา เสื้อ กาวน์ ผ้าปิ ดปาก – ปิ ดจมูก ผ้า กันเปื้ อน แว่น ป้ องกันตา ถุงคลุม เท้า 1. ทันตกรรม - + - + + - + - 2. ชันสูตรสิ่งส่งตรวจ - + - + + - /+ + - 3. ตรวจและเตรียมเลือด - + - + + - /+ + - 4. ผ่าตัดเล็ก + - - + + - + - ตารางที่ 4 การใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันในกิจกรรมที่มีการปฏิบัติบ่อยครั้ง ในผู้ป่วยเชื้อดื้อยา กิจกรรม อุปกรณ์ ถุงมือ ปราศจากเชื้อ ถุงมือ สะอาด ถุงมือ ยางหนา เสื้อ กาวน์ ผ้าปิ ดปากปิ ดจมูก ผ้า กันเปื้ อน แว่น ป้ องกันตา ถุงคลุม เท้า 1. ฉีดยา - + - + + - - - 2. เจาะเลือด - + - + + - - - 3. ให้สารน้ า / เลือด - + - + + - - - 4. ดูดเสมหะ + - - + + - + - 5. ดูแลผู้ป่วยเปื้อนเลือด / หนอง / สารคัดหลั่ง - + - + + + - 6. ท าแผล + - - + + - - - 7. ท าความสะอาดเตียง - + - + + - - + 8. ล้างเครื่องมือที่ใช้แล้ว - + - + + - + + 112/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร IC – 012 เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานการใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันเพื่อป้องกัน การติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ / เชื้อดื้อยา แก้ไขครั้งที่ : 02 วันที่บังคับใช้ : เม.ย. 61 หน้า 8 /8 ตารางที่ 5 การใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันในกิจกรรมที่มีการปฏิบัติน้อยในผู้ป่วยเชื้อดื้อยา กิจกรรม อุปกรณ์ ถุงมือ ปราศจากเชื้อ ถุงมือ สะอาด ถุงมือ ยางหนา เสื้อ กาวน์ ผ้าปิดปาก – ปิดจมูก ผ้า กันเปื้อน แว่น ป้องกันตา ถุงคลุม เท้า 1. การตรวจพิเศษ เช่นเจาะเข่า + - - + + - - - 2. เย็บแผลที่มีเลือดออกมาก + - - + + - + + 3. เย็บแผลที่มีเลือดออกไม่มาก + - - + + - - - 4. ใส่ท่อช่วยหายใจ + - - + + - + - 5. เจาะคอ + - - + + + + - 6. C – line + - - + + - + - 7. ช่วยหายใจด้วย Ambu bag - + - + + - + - 8. กู้ชีพ (CPR) - + - + + - + - 9. เตรียมผิวหนังเผื่อผ่าตัด - + - + + - - - 10. ท าความสะอาดแผลอุบัติเหตุ + - - + + - + - 11. ท าความสะอาดแผลไฟไหม้ น้ าร้อนลวก + - - + + - - - 12. ล้างท้อง - + - + + - + 13. Blood Exchange + - - + + + + + 14. Hemodialysis + - - + + - + - 15. ตรวจภายในสตรี + - - + + - - - 16. ท าความสะอาดเตรียมคลอด - + - + + - + - 17. ท าคลอด + - - + + + + + 18. เช็ดตัวทารกแรกเกิด + - - + + - - - 19. ขูดมดลูกเกิด + - - + + + + + 20. แต่งศพ - + - + + - - - ตารางที่ 6 การใช้อุปกรณ์เครื่องป้องกันในหน่วยงานพิเศษในผู้ป่วยเชื้อดื้อยา กิจกรรม อุปกรณ์ ถุงมือ ปราศจากเชื้อ ถุงมือ สะอาด ถุงมือ ยางหนา เสื้อ กาวน์ ผ้าปิ ดปาก – ปิ ดจมูก ผ้า กันเปื้ อน แว่น ป้ องกันตา ถุงคลุม เท้า 1. ทันตกรรม - + - + + - + - 2. ชันสูตรสิ่งส่งตรวจ - + - + + - + - 3. ตรวจและเตรียมเลือด - + - + + - + - 4. ผ่าตัดเล็ก + - - + + - + - 113/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI - ICC01 - 003 วิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 08 วันที่บังคับใช้ : ๑6 ธ.ค. 59 หน้า 1/ ๗ เรื่อง วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน ๑. ผู้รับผิดชอบ บุคลากรทางการแพทย์ / บุคลากรสายสนับสนุนทั่วไป ๒. วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV, HBV, HCV หลังการสัมผัส (Post-Exposure Prophylaxis) ๓. ขอบเขต ครอบคลุมบุคลากรทุกระดับที่มีการสัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อขณะปฏิบัติงาน ๔. ค าจ ากัดความ การสัมผัสจากการปฏิบัติงาน (occupational exposures) หมายถึงการสัมผัสที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการ ติดเชื้อ HIV, HBV, HCV ได้แก่ 4.1 การได้รับบาดเจ็บผ่านผิวหนัง (percutaneous injury) ได้แก่ถูกเข็มต าถูกมีดบาดเป็นต้น 4.2 การสัมผัสเยื่อบุ (contact of mucous membrane) ได้แก่เลือดกระเซ็นเข้าตาปากเป็นต้น 4.3 การสัมผัสผิวหนังที่ไม่ปกติ (contact of non-intact skin) ได้แก่การสัมผัสกับผิวหนังที่มีบาดแผล หรือผิวหนังที่มีผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ (dermatitis) เป็นต้น ๕. วิธีการด าเนินงาน วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรมีการสัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อขณะปฏิบัติงาน แบ่งออกเป็น ๔ กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ ๑ วิธีปฏิบัติงานส าหรับบุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุฯ กลุ่มที่ 2 วิธีปฏิบัติงานส าหรับบุคลากร ตึกเวชศาสตร์ฉุกเฉิน กลุ่มที่ 3 วิธีปฏิบัติงานส าหรับแพทย์เวรอุบัติเหตุ (นอกเวลาราชการ) และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโรคติดเชื้อ (ในเวลาราชการ) กลุ่มที่ 4 วิธีปฏิบัติงานส าหรับ ICN ๕.๑. กลุ่มที่ ๑ วิธีปฏิบัติงานส าหรับบุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุฯ ๕.๑.๑ เมื่อได้รับอุบัติเหตุอันเกรงว่าอาจจะท าให้เกิดการติดเชื้อให้ปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้ ๕.๑.๑.๑ ถูกเข็ม / ของมีคมที่มีเลือดผู้ป่วยทิ่มต าหรือบาด ให้เช็ดเลือดออก ล้างด้วยน้ า สะอาดและสบู่ เช็ดด้วย ๗๐ % Alcohol หรือ ๑๐ % Povidone iodine ๕.๑.๑.๒ เลือด / สารคัดหลั่งกระเด็นถูกผิวหนังให้ล้างด้วยน้ าสะอาดและสบู่ เช็ดด้วย ๗๐ % Alcohol หรือ ๑๐ % Povidone iodine ๕.๑.๑.๓ เลือด / สารคัดหลั่งกระเด็นเข้าตาให้ล้างด้วยน้ าสะอาดหลายๆ ครั้ง และใช้ ๐.๙ % NSS ล้างอีกครั้ง ๕.๑.๑.๔ เลือด / สารคัดหลั่งกระเด็นเข้าปากให้บ้วนน้ าลายออก ล้างปากกลั้วคอด้วยน้ า สะอาดหลาย ๆ ครั้ง 114/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI - ICC01 - 003 วิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 08 วันที่บังคับใช้ : ๑6 ธ.ค. 59 หน้า 2/ ๗ เรื่อง วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน 5. วิธีการด าเนินงาน (ต่อ) ๕.๑.๒ ตรวจสอบผลเลือดของผู้ป่วย 5.1.2.1 ผู้ป่วยมีผลเลือด Anti-HIV (CLIA), HBsAg, Anti-HCV ปฏิบัติ ดังนี้ ในเวลาราชการ ติดต่องาน IC ทันที โทร. ๓๕๒๗ – ๘ นอกเวลาราชการ ติดต่อตึกเวชศาสตร์ฉุกเฉินทันที โทร. ๓๒๐๘ - ๙ 5.1.2.2 ผู้ป่วยไม่มีผลเลือดให้ค าปรึกษา ขอเจาะเลือด HIV Combi (rapid test) , Anti-HIV (CLIA), HBsAg และ Anti-HCV ปฏิบัติ ดังนี้ ผู้ป่วยใน พิมพ์ใบส่งตรวจทางคอมพิวเตอร์ HIV Combi (rapid test) รหัส ๑๙๘๐, Anti-HIV (CLIA) รหัส ๒๐๐๑, HBsAg รหัส ๒๐๑๕ และ Anti-HCV รหัส ๒๐๙๓ บันทึกในใบส่งตรวจว่า “บุคลากรได้รับอุบัติเหตุ” น าส่งห้องตรวจ เคมีคลินิกพร้อม blood clot จ านวน ๕ มิลลิลิตร [ทางห้อง Lab จะส่งตรวจ Anti-HIV (CLIA), HBsAg และ Anti-HCV ต่อไป] ผู้ป่วยนอก / ER - ผู้ป่วยใช้สิทธิเบิกจ่ายตรง / ประกันสังคม / สปสช. บันทึกการส่งตรวจทาง คอมพิวเตอร์ HIV Combi (rapid test) รหัส ๑๙๘๐, Anti-HIV (CLIA) รหัส ๒๐๐๑, HBsAg รหัส ๒๐๑๕ และ Anti-HCV รหัส ๒๐๙๓ บันทึกในใบส่งตรวจว่า “บุคลากรได้รับอุบัติเหตุ” น าส่งห้องเคมีคลินิกพร้อม blood clot จ านวน ๕ มิลลิลิตร [ทางห้อง Lab จะส่งตรวจ Anti-HIV (CLIA), HBsAg และ Anti-HCV ต่อไป] - ผู้ป่วยใช้สิทธิเงินสด กรณีไม่มีเงินจ่าย ปรึกษานักสังคมสงเคราะห์ บันทึกการ ส่งตรวจทางคอมพิวเตอร์ HIV Combi (rapid test) รหัส ๑๙๘๐, Anti-HIV (CLIA) รหัส ๒๐๐๑, HBsAg รหัส ๒๐๑๕ และ Anti-HCV รหัส ๒๐๙๓ บันทึก ในใบส่งตรวจว่า “บุคลากรได้รับอุบัติเหตุ” น าส่งห้องเคมีคลินิกพร้อม blood clot จ านวน ๕ มิลลิลิตร [ทางห้อง Lab จะส่งตรวจ Anti-HIV (CLIA), HBsAg และ Anti-HCV ต่อไป] 5.1.2.3 หลังได้รับผลเลือดของผู้ป่วย ในเวลาราชการติดต่อ งานIC ทันที นอกเวลาราชการติดต่อตึกเวชศาสตร์ฉุกเฉินทันที ๕.2 กลุ่มที่ 2 วิธีปฏิบัติงานส าหรับบุคลากรตึกเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ๕.2.๑ รับแจ้ง และให้บุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุเขียนรายงาน ตามแบบรายงานการได้รับอุบัติเหตุ ขณะปฏิบัติงานทางการแพทย์ (FM-ICC๐๑ – ๐๐๖ แก้ไขครั้งที่ 05) ๕.๒.๒ ให้ค าปรึกษาแก่บุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุ ๕.2.๓ เจาะเลือดบุคลากรตรวจ HIV Combi (rapid test) ในบุคลากรที่ต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV โดยใช้ Coding system (E๐๐๑, E๐๐๒...ฯลฯ) 115/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI - ICC01 - 003 วิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 08 วันที่บังคับใช้ : ๑6 ธ.ค. 59 หน้า 3/ ๗ เรื่อง วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน 5. วิธีการด าเนินงาน (ต่อ) ๕.2.๔ เจาะเลือดบุคลากรตรวจ CBC, Cr, SGPT (ALT), Anti-HCV ในวันที่เริ่มรับประทานยาต้าน ไวรัส HIV ส าหรับบุคลากรที่ต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV ๕.2.๕ บุคลากรที่ต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV รับยาที่ห้องจ่ายยาอาคารเพชรรัตน์ ชั้น G ๕.2.๖ รวบรวมแบบรายงานการได้รับอุบัติเหตุและแนะน าบุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุติดต่องาน IC เพื่อปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในวันเวลาราชการ ๕.3 กลุ่มที่ 3 วิธีปฏิบัติงานส าหรับแพทย์เวรอุบัติเหตุ (นอกเวลาราชการ) และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรค ติดเชื้อ (ในเวลาราชการ) ๕.3.๑ ผู้ป่วยมีผลเลือด Anti-HIV negative บุคลากรไม่ต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV ๕.3. ๒ ผู้ป่วยมีผลเลือด Anti-HIV positive หรือ inconclusive และบุคลากรมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ให้บุคลากรเริ่มรับประทานยาต้านไวรัส HIV เร็วที่สุดหลังได้รับอุบัติเหตุ ภายใน ๑ – ๒ ชั่วโมง ๕.๓.๓ ส าหรับแพทย์เวรอุบัติเหตุ (นอกเวลาราชการ) พิจารณาสั่งยาต้านไวรัส HIV โดยให้ RICOVIR-EM 300/200 mg tab (TDF/FTC) + Rilpivirine 25 mg tab รับประทานทุก ๒๔ ชั่วโมง จ านวนยาพอเพียงจนถึงวันพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในวันเวลาราชการ วิธีการให้ยาต้านไวรัส HIV 1. พิจารณาจากข้อมูลความเสี่ยงของอุบัติเหตุ 1.1 ชนิดของสารที่สัมผัส body fluids ที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ ได้แก่ น้ าอสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด น้ าไขสันหลัง น้ าในข้อ น้ าในช่องปอด น้ าในช่องท้อง น้ าในช่องหัวใจ น้ าคร่ า และหนอง น้ ามูก น้ าลาย น้ าตา เหงื่อเสมหะ อาเจียน อุจจาระ และปัสสาวะโดยทั่วไปหากไม่มีการ ปนเปื้อนเลือดซึ่งมองเห็นได้ ถือว่ามีจ านวนเชื้อไม่เพียงพอต่อการถ่ายทอดสู่ผู้อื่น 1.2 ลักษณะการสัมผัส การสัมผัสที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ได้แก่ การได้รับบาดเจ็บผ่านผิวหนัง (percutaneous injury) ได้แก่ ถูกเข็มต า ถูกมีดบาด เป็นต้น การสัมผัสเยื่อบุ (contact of mucous membrane) ได้แก่ เลือดกระเซ็นเข้าตา ปาก เป็นต้น การสัมผัสผิวหนังที่ไม่ปกติ (contact of non-intact skin) ได้แก่ การสัมผัส กับผิวหนังที่มี บาดแผล หรือผิวหนังที่มีผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ (dermatitis) เป็นต้น 1.3 ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV พบว่าความเสี่ยงโดยเฉลี่ยต่อการติดเชื้อ HIV ในบุคลากรทางการแพทย์จากการ ถูกเข็มต าหรือมีดบาดเท่ากับร้อยละ 0.3 ต่อครั้ง การสัมผัสเยื่อบุเท่ากับร้อยละ 0.09 ต่อครั้ง และการสัมผัสผิวหนังที่ไม่ปกติน้อยกว่าร้อยละ 0.09 ต่อครั้ง โดยทั่วไปการสัมผัสกับผิวหนัง ปกติไม่ถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และไม่มีความจ าเป็นที่จะต้องได้รับยาต้าน ไวรัส HIV 116/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI - ICC01 - 003 วิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 08 วันที่บังคับใช้ : ๑6 ธ.ค. 59 หน้า 4/ ๗ เรื่อง วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน 5. วิธีการด าเนินงาน (ต่อ) 2. แนวทางการให้ยาต้านไวรัส HIV* สูตรยาต้านไวรัส** หมายเหตุ สูตรA แนะน า TDF 300 mg + 3TC 300 mg ทุก ๒๔ ชั่วโมง หรือ TDF 300 mg +FTC 200 mg ทุก ๒๔ ชั่วโมง + Rilpivirine 25 mg ทุก ๒๔ ชั่วโมง หรือ ATV/r 300 / 100 mg ทุก ๒๔ ชั่วโมง หรือ LPV/r 400 / 100 mg ทุก ๑๒ ชั่วโมง ห้ามใช้ boosted PI เช่น ATV/r หรือ LPV/r ร่วมกับยากลุ่ม ergotamine เช่น cafergot และต้องแนะน าไม่ให้ผู้สัมผัสเชื้อ ใช้ยาหรือซื้อยาแก้ปวดไมเกรนเอง สูตรB ทางเลือก TDF 300 mg + 3TC 300 mg ทุก ๒๔ ชั่วโมง หรือ TDF 300 mg +FTC 200 mg ทุก ๒๔ ชั่วโมง + Raltegravir 400 mg ทุก ๑๒ ชั่วโมงหรือ EFV 600mg ทุก ๒๔ ชั่วโมง ห้ามใช้ EFVร่วมกับยากลุ่มergotamine เช่น cafergot และต้องแนะน าไม่ให้ผู้สัมผัส เชื้อใช้ยาหรือซื้อยาแก้ปวดไมเกรนเอง กรณี มีปัญหาไต AZT 300 mg ทุก ๑๒ ชั่วโมง แทน TDF ในสูตร A หรือ B ในผู้ที่มี Cr clearance < 60 mL/min หมายเหตุ * บุคลากรที่สัมผัสทุกรายควรติดต่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลได้ก าหนดให้เป็นแพทย์ที่ปรึกษากรณีที่มีการ สัมผัสสารคัดหลั่ง จากการท างานภายใน 3 วัน ** การสั่งยาอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ เช่น กรณี source patient มีปัญหาหรือสงสัยว่าจะมีปัญหา drugresistant HIV ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลได้ก าหนดให้เป็นแพทย์ที่ปรึกษา ยาต้านไวรัส TDF - Tenofovir (เม็ดละ ๓๐0 mg) 3TC - Lamivudine (เม็ดละ 150 mg) AZT - Zidovudine (เม็ดละ 100 mg) FTC - Emtricitabine (อยู่ในรูปของยาเม็ดรวม TDF 300 mg +FTC 200 mg) ATV/r - Atazanavir ๓๐๐ mg และ ritonavir ๑๐๐ mg LPV/r - Lopinavir / ritonavir (มีสองขนาด ๑๐๐ mg / ๒๕ mg และ ๒๐๐ mg / ๕๐ mg) ๕.4 กลุ่มที่ 4 วิธีปฏิบัติงานส าหรับ ICN ๕.4.๑ รับแจ้งและติดตามรายงานการได้รับอุบัติเหตุขณะปฏิบัติงานทางการแพทย์ และให้บุคลากร ที่ได้รับอุบัติเหตุเขียนรายงานตามแบบรายงานการได้รับอุบัติเหตุขณะปฏิบัติงานทาง การแพทย์ (FM-ICC๐๑ - ๐๐๖) ๕.4.๒ ให้ค าปรึกษาแก่บุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุ ๕.4.3 ติดต่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาให้การรักษาในเวลาราชการ ดังรายนามต่อไปนี้ 117/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI - ICC01 - 003 วิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 08 วันที่บังคับใช้ : ๑6 ธ.ค. 59 หน้า 5/ ๗ เรื่อง วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน 5. วิธีการด าเนินงาน (ต่อ) วัน แพทย์ที่ปรึกษา โทรศัพท์ จันทร์ นายแพทย์ธนานันต์ ตัณฑ์ไพบูลย์ 08 6905 6363 อังคาร แพทย์หญิงวรางคณา มั่นสกุล 08 1622 5305 พุธ นายแพทย์ทวีวงศ์ ตันตราชีวธร ๐๘ ๑๘๐๗ ๕๘๑๔ พฤหัสบดี นายแพทย์กิตติศักดิ์ ผลถาวรกุลชัย 08 9775 9702 ศุกร์ แพทย์หญิงลักขณา บุญญกาศ 08 1480 5804 ๕.4.4 เจาะเลือดบุคลากร ดังนี้ 5.4.4.1 บุคลากรที่ต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV - เจาะเลือดตรวจ HIV Combi (rapid test) โดยใช้ Coding system (A๐๐๑, A ๐๐๒ ... ฯลฯ) - เจาะเลือดตรวจ CBC, Cr, SGPT (ALT), HBsAg, AntiHBs (ในกรณีที่เคยตรวจมา ก่อนและทราบผลว่าเป็นบวกไม่ต้องตรวจ) Anti-HCV - นัดบุคลากรเจาะเลือดตรวจ CBC, Cr, SGPT (ALT) หลังได้รับอุบัติเหตุ 4 สัปดาห์ หากมีอาการหรืออาการแสดงที่สงสัยผลข้างเคียงของยาต้านไวรัส - นัดบุคลากรเจาะเลือดตรวจ Anti-HIV หลังได้รับอุบัติเหตุ 1 เดือนและ 3 เดือน ตามล าดับกรณีบุคลากรมีการติดเชื้อ HCV ควรเจาะเลือดซ้ าหลังสัมผัส ๑๒ เดือน - รับยาได้ที่ห้องจ่ายยาอาคารเพชรรัตน์ ชั้น ๒ 5.4.4.2 กรณีผู้ป่วยมีผลเลือด HBsAg positive พิจารณาให้การป้องกันและนัดบุคลากร พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหาร ดังนี้ 1) บุคลากรเคยได้รับวัคซีนครบ ๓ เข็ม (previous vaccinated) 1. มีภูมิคุ้มกัน (responder) ไม่ต้องให้การรักษา 2. ไม่ทราบว่ามีภูมิคุ้มกัน (Ab response unknown) ให้เจาะ Anti-HBs - Anti-HBs ≥ ๑๐ mIU / ml ไม่ต้องให้การรักษา - Anti-HBs < ๑๐ mIU / ml ให้ HBV vaccine กระตุ้น ๑ เข็ม IM นัดเจาะเลือดตรวจ Anti-HBs หลังได้รับวัคซีน ๗ วัน 3. ไม่มีภูมิคุ้มกัน (non - responder) ให้เจาะ Anti-HBs - Anti-HBs ≥ ๑๐ mIU / ml ไม่ต้องให้การรักษา - Anti-HBs <๑๐ mIU / ml ให้ HBV vaccine กระตุ้น ๑ เข็ม IM นัดเจาะเลือดตรวจ Anti-HBs หลังได้รับวัคซีน ๗ วัน 2) บุคลากร ไม่เคยได้รับวัคซีน (unvaccinated) เจาะเลือดตรวจ HBsAg, Anti-HBs และAnti-HBc - Anti-HBs ≥ ๑๐ mIU / ml ไม่ต้องให้การรักษา 118/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI - ICC01 - 003 วิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 08 วันที่บังคับใช้ : ๑6 ธ.ค. 59 หน้า 6/ ๗ เรื่อง วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน 5. วิธีการด าเนินงาน (ต่อ) - Negative ทั้ง ๓ ตัวให้ HBV vaccine ๓ เข็ม (๐, ๑, ๖ เดือน) IM และนัดเจาะ Anti-HBs หลังได้รับวัคซีนครบ ๑ เดือน - Anti-HBc positive ตัวเดียวให้ HBV vaccine กระตุ้น ๑ เข็ม IM นัดเจาะ เลือดตรวจ Anti-HBs หลังได้รับวัคซีน ๗ วัน - HBsAg / Anti-HBc positive นัดพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหาร ๕.4.4.3 กรณีผู้ป่วยมีผลเลือด Anti-HCV positive 1) เจาะเลือดบุคลากรตรวจ Anti-HCV 2) บุคลากรถูกเข็มต า นัดพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหาร หลังได้รับ อุบัติเหตุ 1 สัปดาห์ 3) บุคลากรถูกสารคัดหลั่งกระเด็นนัดพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดิน อาหาร หลังได้รับอุบัติเหตุ 3 เดือน เอกสารอ้างอิง 1. Update U.S Public Health Service Guidelines for the Management of Occupational Exposures To HBV, HCV, and HIV and Recommendations for Post-Exposure Prophylaxis, MMWR Recomm Rep. 2001 Jun 29; 50(RR-11): 1-52. 2. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.แนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทย ปี2557(Thailand National Guidelines on of HIV/AIDS Treatment and Prevention 2014 Thailand) เข้าถึงได้จาก:http://www.thaiaidssociety.org/images/PDF/hiv_guideline_2557.pdf 119/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI - ICC01 - 003 วิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 08 วันที่บังคับใช้ : ๑6 ธ.ค. 59 หน้า 7/ ๗ เรื่อง วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน แนวทางปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็ม หรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ถูกเข็ม / ของมีคม เปื้อนเลือด เลือด / สารคัดหลั่ง กระเด็นเข้าตา เลือด / สารคัดหลั่ง กระเด็นถูกผิวหนัง เลือด / สารคัดหลั่ง กระเด็นเข้าปาก เช็ดเลือดออกล้างด้วย น้ าสะอาด และสบู่ เช็ดด้วย ๗๐% Alcohol หรือ ๑๐ % Povidone iodine ล้างด้วยน้ าสะอาดหลาย ๆ ครั้ง (อาจใช้ ๐.๙ % NSS ล้างตาอีกครั้ง) บ้วนน้ าลายออก ล้างปาก กลั้วคอด้วยน้ าสะอาด หลาย ๆ ครั้ง เช็ดเลือดออกล้างด้วย น้ าสะอาด และสบู่ เช็ดด้วย ๗๐ % Alcohol หรือ ๑๐ % Povidone iodine เจาะเลือดผู้ป่วยตรวจหา HIV Combi (rapid test), Anti-HIV (CLIA), Anti-HCV, HBsAg โดยให้ค าปรึกษาก่อน และหลังเจาะเลือด - ในเวลาราชการแจ้งงาน IC ทันที โทร. ๓๕๒๗ - ๘ - นอกเวลาราชการแจ้งแผนกเวชศาสตร์ฉุกเฉินทันที โทร.๓๒๐๘ - ๙ - บันทึกรายงานการได้รับอุบัติเหตุ (FM ICC๐๑ - ๐๐๖) ผลเลือดผู้ป่วย Anti-HIV + ปรึกษาแพทย์โรคติดเชื้อ No Yes ผลเลือดผู้ป่วย Anti-HIV - - เจาะเลือดบุคลากรตรวจ Anti-HIV, CBC, Cr, SGPT (ALT), HBsAg, AntiHBs (เว้นในกรณี ที่เคยตรวจมาก่อนและทราบผลว่าเป็นบวก), Anti-HCV ก่อนรับประทานยาต้านไวรัส HIV - ให้บุคลากรได้รับประทานยาภายใน ๑ - ๒ ชั่วโมง ทันที - รับประทานยา ๔ สัปดาห์ - เจาะเลือดตรวจ Anti-HIV เพื่อการเฝ้าระวังติดตามใน เดือนที่ 1 และเดือนที่ 3 - ถ้าบุคลากรมีการติดเชื้อ HCV ควรเจาะเลือดตรวจ Anti-HIV ซ้ าหลังสัมผัส ๑๒ เดือน - เจาะเลือดตรวจ Anti-HCV ทันที -ถูกเข็มต านัดพบแพทย์ 1 สัปดาห์ -ถูกสารคัดหลั่งกระเด็น นัดพบแพทย์ 3 เดือน - เจาะเลือดบุคลากรตรวจ Anti-HBs, Anti-HBc และ HBsAg - มีภูมิคุ้มกัน ไม่ต้องให้การรักษา - ไม่มีภูมิคุ้มกัน พิจารณาให้ HBVvaccine - Anti-HBs < ๑๐ mIU/ml พิจารณา ให้ HBV vaccine - Anti-HBc + ตัวเดียว พิจารณาให้ HBV vaccine - HBsAg / Anti-HBc + พบแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ผลเลือดผู้ป่วย Anti-HCV + ปรึกษาแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร อาหาร ผลเลือดผู้ป่วย HBsAg+ ปรึกษาแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร อร ไม่ต้องรับประทาน ยาต้านไวรัส HIV ต้องรับประทานยาต้าน ไวรัส HIV ผู้ป่วย มีผล Anti-HIV, Anti-HCV HBsAg ธันวาคม ๒๕๕9 120/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช Faculty of Medicine Vajira Hospital, Navamindradhiraj University หมายเลขเอกสาร WI – ICC01 -017 วิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION แก้ไขครั้งที่ : 00 วันที่บังคับใช้ : พ.ย. 60 หน้า 1 เรื่อง วิธีปฏิบัติเมื่อบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน ส าหรับบุคลากรตึกเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ๑. ผู้รับผิดชอบ บุคลากรทางการแพทย์ ที่ปฏิบัติงานตึกเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ๒. วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นแนวทางการดูแลบุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน ๓. ขอบเขต ครอบคลุมบุคลากรทุกระดับที่ได้รับอุบัติเหตุจากเข็มหรือของมีคมขณะปฏิบัติงาน ๔. วิธีการด าเนินงาน 4.1 รับแจ้ง และให้บุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุเขียนรายงาน ตามแบบรายงานการได้รับอุบัติเหตุขณะปฏิบัติงาน ทางการแพทย์ (FM-ICC๐๑ – ๐๐๖ แก้ไขครั้งที่ 05) 4.2 ให้ค าปรึกษาแก่บุคลากรที่ได้รับอุบัติเหตุ 4.3 ผู้ป่วยมีผลเลือด Anti-HIV negative บุคลากรไม่ต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV 4.4 ผู้ป่วยมีผลเลือด Anti-HIV positive หรือ inconclusive และบุคลากรมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ให้บุคลากรเริ่มรับประทานยาต้านไวรัส HIV เร็วที่สุดหลังได้รับอุบัติเหตุ ภายใน ๑ – ๒ ชั่วโมง โดยด าเนินการ ดังนี้ 4.4.1 บุคลากรขออนุมัติสิทธิ์และส่งตรวจเวชศาสตร์ฉุกเฉิน 4.4.2 เจาะเลือดบุคลากรตรวจ HIV Combi (rapid test) ก่อนรับประทานยาต้านไวรัส HIV โดย ใช้ Coding system (E๐๐๑, E๐๐๒...ฯลฯ) 4.4.3 เจาะเลือดบุคลากรตรวจ CBC, Cr, SGPT (ALT), Anti-HCV ก่อนรับประทานยาต้านไวรัส HIV โดยใช้ HN ของบุคลากร 4.4.4 แพทย์เวรอุบัติเหตุ (นอกเวลาราชการ) พิจารณาสั่งยาต้านไวรัส HIV ได้เพียง 1 สูตร โดยใช้ รหัส key สั่งยาดังต่อไปนี้ - RILPIVIRINE (ID+ER) 25 MG TABLET OD - TENOFOVIR+EMTRICITABINE (ID+ER) 300/200 MG TABLET OD โดยใช้ HN ของบุคลากร และให้ยาจ านวนยาพอเพียง จนถึงวันพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในวันเวลาราชการ 4.5 บุคลากรที่ต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV รับยาที่ห้องจ่ายยาอาคารเพชรรัตน์ ชั้น G และติดต่องาน IC ในวันเวลาราชการ 121/248


Goal (4.1) SD-PTC-06 122/248


แนวทางปฏิบัติ เรื่อง การใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูง (High Alert Drugs) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช FACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY ตุลาคม 2561 SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 1/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องในการใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูง 2. เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความปลอดภัยจากการใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูง ค าจ ากัดความ ยาที่มีความเสี่ยงสูง (High Alert Drugs) หมายถึง ยาที่มีโอกาสเกิดความคลาดเคลื่อนทางยาในอัตราสูง หรือเกิด เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยานั้นที่เป็นอันตรายรุนแรง (Sentinel Events) ในอัตราสูง และยาที่มีคุณสมบัติที่เสี่ยงต่อ การใช้ในทางที่ผิด เกิดความคลาดเคลื่อนหรือผลไม่พึงประสงค์สูงกว่ายาอื่น (JCAHO)1 เกณฑ์ในการพิจารณาเลือกยาที่มีความเสี่ยงสูง 1. เป็นยาที่มีโอกาสสูงที่จะเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วย เพราะมีผลข้างเคียงร้ายแรงต่ออวัยวะส าคัญ หากมีการบริหารยาที่ผิดพลาด 2. เป็นยาที่มีอุบัติการณ์การรายงานความคลาดเคลื่อนทางยา ที่ท าให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ Adversed drug event (ADE) ที่รุนแรงในโรงพยาบาล 3. เป็นยาที่มีดัชนีการรักษาแคบ (Narrow Therapeutic Index) รายการยาความเสี่ยงสูง ที่ก าหนดในโรงพยาบาลวชิรพยาบาล มีดังนี้ 1. Digoxin 7. Norepinephrine 2. Heparin 8. Dopamine 3. Regular insulin 9. Dobutamine 4. Morphine injection 10. Fentanyl injection 5. Potassium chloride injection 11. Thrombolytic agents 6. Warfarin 12. Antineoplastic drugs รายละเอียด การรับยาเข้ามาใช้ในโรงพยาบาล การพิจารณาน ายาเข้ามาใช้ในโรงพยาบาลต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการเภสัชกรรม และการบ าบัด (Pharmacy and Therapeutic Committee; PTC) โดยค านึงถึงประโยชน์และความเสี่ยงในการน ามาใช้ รวมถึงประเด็นเรื่อง ชื่อพ้องมองคล้าย (Look Alike – Sound Alike) เพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างเหมาะสมปลอดภัย ก าหนดตัวอักษร H ต่อท้ายชื่อยาบนฉลากยาความเสี่ยงสูง เพื่อสื่อสารให้บุคลากรในโรงพยาบาลทราบ การเก็บรักษา สถานที่เก็บยาความเสี่ยงสูงทุกแห่ง ต้องติดป้ายต าแหน่ง หรือภาชนะใส่ยาให้เห็นชัดเจน เก็บรักษาโดยแยกจากยาอื่นๆ หรือป้องกันการเข้าถึงโดยง่าย การจัดเก็บยาที่มีหลายความแรง ให้มีการแสดงสัญลักษณ์เตือนอย่างชัดเจน เภสัชกรจะติดสติ๊กเกอร์วงกลมสีแดง HAD บนฉลากยาความเสี่ยงสูง (เฉพาะผู้ป่วยที่นอนรักษาในโรงพยาบาล) เพื่อ เป็นสัญลักษณ์เตือนบุคลากรว่าเป็นยากลุ่มเสี่ยงสูง พยาบาลผู้รับค าสั่ง ติดสติ๊กเกอร์วงกลมสีแดง HAD ในใบ MAR เพื่อเป็นการเตือนเมื่อมีการบริหารยา 123/248


แนวทางปฏิบัติ เรื่อง การใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูง (High Alert Drugs) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช FACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY ตุลาคม 2561 SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 2/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล ยาที่มีความเสี่ยงสูง ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษ ให้เก็บในตู้หรือลิ้นชักที่มีกุญแจและมีการบันทึกเมื่อใช้ยากับผู้ป่วย ตามแบบบันทึกการรับจ่ายยาเสพติดชนิดฉีด (FM–TQM-038 แก้ไขครั้งที่01) โดยมีการตรวจสอบอย่างสม ่าเสมอ การใช้ยาความเสี่ยงสูง 1. แพทย์ผู้สั ่งใช้ยา 1.1 ไม่สั ่งยาที่มีความเสี่ยงสูงด้วยวาจา ในกรณีเร่งด่วนจ าเป็นต้องสั่งด้วยวาจา ให้ปฏิบัติตามแนวทางการรับค าสั่ง ทางโทรศัพท์ และแพทย์ลงลายมือชื่อที่ค าสั่งนั้นภายใน 24 ชั่วโมง 1.2 แพทย์ระบุตัวผู้ป่วยอย่างถูกต้องก่อนการเขียนสั่งยา 1.3 เขียนใบสั่งยาให้ครบถ้วน ประกอบด้วย 1.3.1 ชื่อยา (ห้ามใช้ตัวย่อ) 1.3.2 ขนาดยา หรือความเข้มข้น (ไม่เขียนเป็นอัตราส่วน) 1.3.3 ชนิดของสารน ้าและปริมาตรที่ใช้ผสมยา 1.3.4 วิธีการบริหารยาและอัตราเร็วในการให้ยา 1.3.5 น ้าหนักตัวผู้ป่วย 1.3.6 กรณีสั่งใช้ยา Norepinephrine และ KCL injection ให้ระบุว่า บริหารผ่าน peripheral line หรือ central line 1.3.7 กรณีสั่งใช้ KCl ให้ระบุค่าระดับโพแทสเซียมในเลือด (Serum K) ในใบสั่งยาทุกครั้ง 1.4 แพทย์พิจารณาผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือค่าพารามิเตอร์ที่ส าคัญก่อนสั่งยาให้แก่ผู้ป่วย เช่น กรณีสั ่งใช้ Heparin แพทย์ติดตามค่า aPTT และปรับยาตามสถานการณ์ทางคลินิกของผู้ป่วยแต่ละราย กรณีปรับยา Heparin ให้ใช้ แนวทางการปรับยาเบื้องต้น ตาม “ตารางปรับ unfractionated heparin” ในภาคผนวก ทั้งนี้ ให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ใน การปรับขนาดยาของผู้ป่ วยแต่ละราย 1.5 แพทย์พิจารณาข้อห้ามใช้และปฏิกิริยาระหว่างยาที่สั่งใช้กับยาอื่นๆ ที่ผู้ป่วยใช้อยู่ 1.6 แพทย์ปรับยาตามสถานการณ์ทางคลินิกของผู้ป่วยแต่ละราย โดยใช้ความเข้มข้นและอัตราเร็วในการ บริหารยาในภาคผนวกเป็นแนวทางขั้นต้น ทั้งนี้ ให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ในการปรับขนาดยาของผู้ป่วยแต่ละราย 2. พยาบาล 2.1.การรับค าสั่งใช้ยาความเสี่ยงสูง : ตรวจสอบความครบถ้วนของค าสั่งใช้ยาดังข้อ 1.3 หากไม่ครบองค์ประกอบตามที่ ก าหนดให้ไม่รับค าสั่ง 2.2.การบริหารยา พยาบาลบริหารยาความเสี่ยงสูงโดยมีแนวทางปฏิบัติดังนี้ 2.2.1. ติดสติ๊กเกอร์/ประทับตรา HAD ในใบ MAR 2.2.2. ตรวจสอบชื่อ-นามสกุลผู้ป่วย ชื่อยา ขนาดยา วิธีการบริหารยาที่ถูกต้อง 2.2.3. กรณีเตรียมยาให้มีการตรวจสอบ ชื่อยา ความแรง ปริมาณยาที่ผสม อัตราการให้ยา โดยพยาบาลคนที่ 2 เป็น ผู้ตรวจสอบซ ้า (Independent Double check) ก่อนให้ยาแก่ผู้ป่วย 3. เภสัชกร 3.1 เภสัชกรตรวจสอบความครบถ้วนของค าสั่งใช้ยาความเสี่ยงสูง หากค าสั่งใช้ยาในข้อ 1.3 หากไม่ครบ องค์ประกอบ ตามที่ก าหนดให้ไม่รับค าสั่ง (ให้ประสานหน่วยงานทันทีเพื่อแจ้งแพทย์ผู้สั่งใช้ยา) 124/248


แนวทางปฏิบัติ เรื่อง การใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูง (High Alert Drugs) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช FACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY ตุลาคม 2561 SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 3/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล 3.2 เภสัชกรตรวจสอบชื่อ นามสกุลของผู้ป่วย ชื่อยา ขนาดยา (dose) ปฏิกิริยาระหว่างยา (drug interaction) ข้อห้าม ใช้ยานั้นๆ (contraindication) 3.3 ตรวจสอบความถูกต้อง ความเข้มข้น อัตราเร็วในการบริหารยา สารน ้าที่เข้ากันได้ ตามตารางการค านวณและผสม ยาในภาคผนวก 3.4 กรณีพบปัญหาของใบยาด่วน ให้ติดต่อพยาบาลประจ าหอผู้ป่วยทันที 3.5 เภสัชกรผู้ตรวจสอบยา ติดสติ๊กเกอร์สีแดงวงกลม (HAD) ที่ฉลากยา โดยท าการจ่ายยาตามใบค าสั่งการรักษาของ แพทย์ผู้สั่งใช้ยา การเฝ้าระวังผลจากการใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูง พยาบาลเฝ้าระวังอาการข้างเคียงจากยา ติดตามและลงบันทึกผลการใช้ยาหรือการเปลี่ยนแปลงหลังการใช้ยาที่มี ความเสี่ยงสูงในแบบบันทึกการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูง (FM-PTC 03 แก้ไขครั้งที่ 02) กรณีบริหารยา Heparin พยาบาลบันทึกค่า aPTT ในตารางปรับยา Heparin (FM-MR-50 แก้ไขครั้งที่ 00) และลง ลายมือชื่อในช่อง “ผู้ปรับยา” พร้อมระบุชื่อแพทย์ผู้สั่งปรับยาในช่อง “ผู้สั่งปรับยา” พยาบาลแจ้งแพทย์เจ้าของไข้ทันทีเมื่อพบความผิดปกติหรือความผิดพลาดจากการใช้ยา เมื่อเกิดอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง หรือเกิดความผิดพลาดที่ถึงตัวผู้ป่วยจากการใช้ยา ผู้พบเหตุการณ์รายงาน อุบัติการณ์ความเสี่ยงทันที (รายงานทาง VRM) โดยใช้รหัส N06 และเลือกส่งรายงานให้ “หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม” ตัวชี้วัด 1. จ านวนเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูง 2. จ านวนเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่มีความเสี่ยงสูงที่ป้องกันได้ เท่ากับ 0 3. อัตราความคลาดเคลื่อนทางยาของยาความเสี่ยงสูง (prescribing error, dispensing error, administration error) ของผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน เอกสารอ้างอิง 1. Rich DS. New JCAHO medication management standards for 2004. Am J Health-syst Pharm 2004 ; 61 : 1349-1358. 2. The Joint Commission on the Accreditation of Healthcare Organization. National patient safety goals (Accessed on May. 21, 2008, at http://www.JCAHO.org) 3. มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพัฒนาและ รับรองคุณภาพโรงพยาบาล (พ.ร.พ.), 2549. 4. กิตติ พิทักษ์นิตินันท์. โครงการมาตรการความปลอดภัยด้านยา ภายใต้โครงการ First Global Patient Safety Challenge: Clean Care is Safer Care และนโยบาย Thailand Patient Safety Goal. สานักพัฒนาระบบบริการ สุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข, ในรายงานการประชุมชี้แจงมาตรการความปลอดภัย ด้านยา, หน้า 1-6. 20-21 สิงหาคม 2550 ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ กรุงเทพมหานคร. 125/248


ตารางค านวณการผสมและบริการยา potassium chloride (KCl) ในผู้ใหญ่ Potassium chloride injection (KCl) 20 mEq / 10 mL (Ampule) คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช FACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY ตุลาคม 2561 SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 4/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล บริหารยาผ่าน infusion pump เท่านั้น Serum Potassium Route Max conc. Max. infusion rate Max. dose in 24 hr > 2.5 mEq/L Peripheral line 40 mEq/L 10 mEq/hr 200 mEq < 2.5 mEq/L Central line 400 mEq/L 40 mEq/hr 400 mEq ตารางแสดงการผสมยา KCl injection ส าหรับฉีดเข้าหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral line) Peripheral line (max rate 10 mEq/ hr) Conc. (mEq/L) 20 40 (max conc.)* ปริมาตร KCl (mL)ที่เติม 2.5 5 10 2 5 10 20 ปริมาตรสารน ้า* (mL) 247.5 495 990 98 245 490 980 ปริมาตรรวม (mL) 250 500 1000 100 250 500 1000 Max rate (mL/hr) 500 250 *กรณีจ ากัดน ้า : max conc.for peripheral line =10 mEq in 100 mL (100 mEq/L) อัตราการบริหารยาไม่เกิน 10 mEq/hr และให้เฝ้าระวัง phlebitis / extravasation ตารางแสดงการผสมยา KCl injection ส าหรับฉีดเข้าหลอดเลือดส่วนกลาง (Central line) Central line (max rate 40 mEq/hr) Conc. (mEq/L) 80 100 200 400 (max.conc.) ปริมาตร KCl (mL) 4 10 20 40 5 12.5 25 50 25 50 100 50 100 200 ปริมาตรสารน ้า*(mL) 96 240 480 960 95 237.5 475 950 225 450 900 200 400 800 ปริมาตรรวม (mL) 100 250 500 1000 100 250 500 1000 250 500 1000 250 500 1000 Max rate (mL/hr) 500 400 200 100 เมื่อบริหารยาด้วยอัตราเร็วมากกว่า 10 mEq/hr ให้ monitor EKG ทุกครั้ง สารน ้าที่แนะน าให้ใช้ในการผสม : 1) NSS หรือ 2) D5W (D5W อาจลดประสิทธิภาพของ KCl ได้) ตัวอย่างการผสม: ต้องการ KCl ความเข้มข้น 80 mEq/L ปริมาตร 1000 mL ใน NSS เตรียมโดยน า NSS 1000 mL ดูด NSS ออก 40 mL จากนั้นดูด KCl 40 mL (80 mEq) เติมลงในสารน ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปพลิกมาให้ยาเข้ากัน หมายเหตุ การผสม KCl ที่ความเข้มข้นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ให้สอบถามจาก หน่วยวิชาการเภสัชกรรม โทร. 3140 126/248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิFACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAตุลาคม 2561 ตารางค านวณการผสมและบริหา Dobutamine inj.: 1 vial = 250 mg/ 5 mL Dobutamine (250 mg/ 250 mL) Dose mcg/kg/min 40 45 50 วิธีผสม -D5W,NSS 250 mL ดูดออก 5 mL -ดูดยา Dobutamine 5 mL (250 mg) เติม ลงในสารน ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาที่ผสมแล้วอยู่ได้ 24 ชม. 3 7.2 8.1 9.0 5 12.0 13.5 15.0 7 16.8 18.9 21.0 10 24.0 27.0 30.0 15 36.0 40.5 45.0 20 48.0 54.0 60.0 Dobutamine (200 mg/100 mL) Dose mcg/kg/min 40 45 50 วิธีผสม -D5W, NSS 100 mL ดูดออก 4 mL -ดูดยา Dobutamine 4 mL (200 mg) เติม ลงในสารน ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาที่ผสมแล้วคงตัวอยู่ได้ 24 ชม. 3 3.6 4.0 4.5 5 6.0 6.7 7.5 7 8.4 9.4 10.5 10 12.0 13.5 15.0 15 18.0 20.2 22.5 20 24.0 27.0 30.0 127/


วิทยาลัยนวมินทราธิราช AVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 5/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล รยา Dobutamine injection ในผู้ใหญ่ Body weight (kg) 55 60 65 70 75 80 85 90 Drip rate (microdrop/min หรือ mL/hr) 9.9 10.8 11.7 12.6 13.5 14.4 15.3 16.2 16.5 18.0 19.5 21.0 22.5 24.0 25.5 27.0 23.1 25.2 27.3 29.4 31.5 33.6 35.7 37.8 33.0 36.0 39.0 42.0 45.0 48.0 51.0 54.0 49.5 54.0 58.5 63.0 67.5 72.0 76.5 81.0 66.0 72.0 78.0 84.0 90.0 96.0 102.0 108.0 Body weight (kg) 55 60 65 70 75 80 85 90 Drip rate (microdrop/min หรือ mL/hr) 4.9 5.4 5.8 6.3 6.7 7.2 7.6 8.1 8.2 9.0 9.7 10.5 11.2 12.0 12.7 13.5 11.5 12.6 13.6 14.7 15.7 16.8 17.8 18.9 16.5 18.0 19.5 21.0 22.5 24.0 25.5 27.0 24.7 27.0 29.2 31.5 33.7 36.0 38.2 40.5 33.0 36.0 39.0 42.0 45.0 48.0 51.0 54.0 /248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิFACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAตุลาคม 2561 ตารางค านวณการผสมและบริหา D Dobutamine inj.: 1 vial = 250 mg/5 mL Dobutamine (500 mg/250 mL) Dose mcg/kg/min 40 45 50 วิธีผสม -D5W,NSS 250 mL ดูดออก 10 mL -ดูดยา Dobutamine 2 vial = 10 mL (500 mg) เติมลงในสาร น ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาที่ผสมแล้วคงตัวอยู่ได้ 24 ชม. 3.6 4.0 4.5 4.9 6.0 6.7 7.5 8.2 8.4 9.4 10.5 11.5 12.0 13.5 15.0 16.5 18.0 20.2 22.5 24.7 24.0 27.0 30.0 33.0 Dobutamine inj.: 1 vial = 250 mg/5 mL Dobutamine (1,000 mg/250 mL) Dose mcg/kg/min 40 45 50 วิธีผสม -D5W,NSS 250 mL ดูดออก 20 mL -ดูดยา Dobutamine 4 vial = 20 mL (1,000 mg) เติมลงในสารน ้าทีเตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาที่ผสมแล้วคงตัวอยู่ได้ 24 ชม. 3 1.8 2.0 2.2 5 3.0 3.3 3.7 7 4.2 4.7 5.2 10 6.0 6.7 7.5 15 9.0 10.1 11.2 20 12.0 13.5 15.0 128/


วิทยาลัยนวมินทราธิราช AVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 6/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล รยา Dobutamine injection ในผู้ใหญ่ Body weight (kg) 55 60 65 70 75 80 85 90 Drip rate (microdrop/min หรือ mL/ hr) 5.4 5.8 6.3 6.7 7.2 7.6 8.1 3.6 9.0 9.7 10.5 11.2 12.0 12.7 13.5 6.0 12.6 13.6 14.7 15.7 16.8 17.8 18.9 8.4 18.0 19.5 21.0 22.5 24.0 25.5 27.0 12.0 27.0 29.2 31.5 33.7 36.0 38.2 40.5 18.0 36.0 39.0 42.0 45.0 48.0 51.0 54.0 24.0 Body weight (kg) 55 60 65 70 75 80 85 90 Drip rate (microdrop/min หรือ mL/hr) 2.4 2.7 2.9 3.1 3.3 3.6 3.8 4.0 4.1 4.5 4.8 5.2 5.6 6.0 6.3 6.7 5.7 6.3 6.8 7.3 7.8 8.4 8.9 9.4 8.2 9.0 9.7 10.5 11.2 12.0 12.7 13.5 12.3 13.5 14.6 15.7 16.8 18.0 19.1 20.2 16.5 18.0 19.5 21.0 22.5 24.0 25.5 27.0 /248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิFACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAตุลาคม 2561 ตารางค านวณการผสมและบริหาDopamine 1 amp = 250 mg / 10 mL Dopamine (250 mg/ 250 mL) Dose mcg/kg/min 40 45 50 การผสม -ใช้ D5W หรือ NSS 250 mL ดูดออก 10 mL -ดูดยา Dopamine 1 amp = 10 mL (250 mg) เติมลงในสารน ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาทีผสมแล้ว คงตัวอยู่ได้24 ชม. 3 7.2 8.1 9.0 5 12.0 13.5 15.0 7 16.8 18.9 21.0 10 24.0 27.0 30.0 15 36.0 40.5 45.0 20 48.0 54.0 60.0 Dopamine (200 mg /100 mL) Dose mcg/kg/min 40 45 50 การผสม -ใช้ D5W หรือ NSS 100 mL ดูดออก 8 mL -ดูดยา Dopamine 8 mL (200 mg) เติมลงในสารน ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาทีผสมแล้ว คงตัวอยู่ได้24 ชม. 3 3.6 4.0 4.5 5 6.0 6.7 7.5 7 8.4 9.4 10.5 10 12.0 13.5 15.0 15 18.0 20.2 22.5 20 24.0 27.0 30.0 129/


วิทยาลัยนวมินทราธิราช AVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 7/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล ารยา Dopamine injection ในผู้ใหญ่ Body weight (kg) 55 60 65 70 75 85 85 90 Drip rate (microdrop/ min หรือ mL/hr) 9.9 10.8 11.7 12.6 13.5 14.4 15.3 16.2 16.5 18.0 19.5 21.0 22.5 24.0 25.5 27.0 23.1 25.2 27.3 29.4 31.5 33.6 35.7 37.8 33.0 36.0 39.0 42.0 45.0 48.0 51.0 54.0 49.5 54.0 58.5 63.0 67.5 72.0 76.5 81.0 66.0 72.0 78.0 84.0 90.0 96.0 102.0 108.0 Body weight (kg) 55.0 60 65 70 75 85 85 90 Drip rate (microdrop / min หรือ mL/hr) 4.9 5.4 5.8 6.3 6.7 7.2 7.6 8.1 8.2 9.0 9.7 10.5 11.2 12.0 12.7 13.5 11.5 12.6 13.6 14.7 15.7 16.8 17.8 18.0 16.5 18.0 19.5 21.0 22.5 24.0 25.5 27.0 24.7 27.0 29.2 31.5 33.7 36.0 38.2 40.5 33.0 36.0 39.0 42.0 45.0 48.0 51.0 54.0 /248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิFACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAตุลาคม 2561 ตารางค านวณการผสมและบริหารยDopamine 1 amp = 250 mg/ 10 mL Dopamine (500 mg/ 250 mL) Dose mcg/ kg/ min 40 45 50 การผสม -ใช้ D5W หรือ NSS 250 mL ดูดออก 20 mL -ดูดยา Dopamine 2 amp = 20 mL (500 mg) เติมลงในสารน ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาทีผสมแล้ว คงตัวอยู่ได้ 24 ชม. 3 3.6 4.0 4.5 5 6.0 6.7 7.5 7 8.4 9.4 10.5 10 12.0 13.5 15.0 15 18.0 20.2 22.5 20 24.0 27.0 30.0 Dopamine (1,000 mg/ 250 mL) Dose mcg/kg/min 40 45 50 การผสม -ใช้ D5W หรือ NSS 250 mL ดูดออก 40 mL -ดูดยา Dopamine 4 amp = 40 mL (1,000 mg) เติมลงในสารน ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาทีผสมแล้ว คงตัวอยู่ได้ 24 ชม. 3 1.8 2.0 2.3 5 3.0 3.3 7.5 7 4.2 4.7 5.2 10 6.0 6.7 7.5 15 9.0 10.1 11.2 20 12.0 13.5 15.0 130/


วิทยาลัยนวมินทราธิราช AVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 8/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล ยา Dopamine injection ในผู้ใหญ่(ต่อ) Body weight (kg) 55 60 65 70 75 85 85 90 Drip rate (microdrop/ min หรือ mL/hr) 4.9 5.4 5.8 6.3 6.7 7.2 7.6 8.1 8.2 9.0 9.7 10.5 11.2 12.0 12.7 13.5 11.5 12.6 13.6 14.7 15.7 16.8 17.8 18.0 16.5 18.0 19.5 21.0 22.5 24.0 25.5 27.0 24.7 27.0 29.2 31.5 33.7 36.0 38.2 40.5 33.0 36.0 39.0 42.0 45.0 48.0 51.0 54.0 Body weight (kg) 55 60 65 70 75 85 85 90 Drip rate (microdrop/ min หรือ mL/hr) 2.5 2.7 2.9 3.1 3.3 3.6 3.8 4.0 4.1 4.5 4.8 5.2 5.6 6.0 6.3 6.7 5.7 6.3 6.8 7.3 7.8 8.4 8.9 9.0 8.2 9.0 9.7 10.5 11.2 12.0 12.7 13.5 12.3 13.5 14.6 15.7 16.8 18.0 19.1 20.2 16.5 18.0 19.5 21.0 22.5 24.0 25.5 27.0 /248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิFACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAตุลาคม 2561 ตารางค านวณการผสมแลHeparin : 25,000 Units/ 5 mL (5,000 units/ mL) Heparin 25,000 units/ 250 mL Bolus dose (ตาม initial dosIndication Bolus do(units/ kgวิธีผสม -NSS 250 ml. ดุดออก 5 mL -ดูดยา Heparin 5 mL (25,000 units) เติมลงในสารน ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาที่ผสมแล้ว คงตัวอยู่ได้24 ชม. Acute MI treated with fibrinolytic 60 ACS, mechanical valve 70 PE & ventricular/ atrial thrombus 80 Peripheral arterial embolism/ DVT 80 Note : 1) Adjust by weight and clinical correlation 2) Total dose : 48,000 units/ day (2,000 units/ hr) หมายเหตุ ในการผสมยาheparin ให้ปรับปริมาตรตามการใช้จริงของผู้ป่ วยแต่ละร131/


วิทยาลัยนวมินทราธิราช AVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 9/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล ะบริหารยา Heparin ในผู้ใหญ่ Dose se of heparin) infusion rate ose g.) Maximum bolus (units) Initial infusion (units/ kg./hr.) Maximum initial infusion rate (units/hr.) 4,000 12 1,000 5,000 15 1,000 10,000 18 1,000 5,000 18 1,000 ราย โดยคงความเข้มข้นของยาเป็น 100 units/mL /248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิFACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAตุลาคม 2561 ตารางค านวณการผสมแลตารางการปรับ unfractionated aPTT Repeated bolus dose (units) Stop infusion (min) Chan> 7.0 _ 180 Redu5.1 - 7.0 _ 60 Redu4.1 - 5.0 _ 30 - 60 Redu3.1 - 4.0 _ 30 - 60 Redu2.6 - 3.0 _ 30 - 60 Redu1.5 - 2.5 _ 0 1.2 - 1.4 2,500 0 Increase < 1.2 5,000 0 Increa132/


วิทยาลัยนวมินทราธิราช AVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 10/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล ะบริหารยา Heparin ในผู้ใหญ่ heparin (UFH) ตามค่า aPTT nge rate dose of infusion (Adjusted dose) Time to next aPTT (hours) ce rate by 500 units/ hour 3 ce rate by 500 units/ hour 6 ce rate by 300 units/ hour 6 ce rate by 200 units/ hour 6 uce rate by100 units/ hour 6 no change next morning rate by 100 - 200 units/ hour 6 ase rate by 400 units/ hour 6 /248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิFACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAตุลาคม 2561 ตารางค านวณการผสมและบริหารยNorepinephrine inj.: 1 vial = 4 mg/ 4 mL Norepinephrine (4 mg/ 250 mL) Dose mcg/ kg/ min 40 45 วิธีผสม -D5W, D5S 250 mL ดูดออก 4 mL -ดูดยา Norepinephrine 1 vial = 4 mL (4 mg) เติมลงในสารน ้าที่เตรียม ไว้ พลิกไปมาให้ยาเขากัน ยาที่ผสมแล้วคงตัวอยู่ได้ 24 ชม. 0.08 12.0 13.5 0.2 30.0 33.7 0.4 60.0 67.5 0.6 90.0 101.2 0.8 120.0 135.0 1 150.0 168.7 Norepinephrine (8 mg/ 250 mL) Dose mcg/ kg/ min 40 45 วิธีผสม -D5W, D5S 250 mL ดูดออก 8 mL -ดูดยา Norepinephrine 2 vial = 8 mL (8 mg) เติมลงในสารน ้าที่เตรียม ไว้ พลิกไปมาให้ยาเขากัน ยาที่ผสมแล้วคงตัวอยู่ได้ 24 ชม. 0.08 6.0 6.7 0.2 15.0 16.8 0.4 30.0 33.7 0.6 45.0 50.6 0.8 60.0 67.5 1 75.0 84.3 133/


วิทยาลัยนวมินทราธิราช AVAMINDRADHIRAJ UNIVERSITY SD-PTC-06 แก้ไขครั้งที่ 00 จ านวน 11/ 15 หน้า ผู้อนุมัติเอกสาร ................................. (นายสุรวุฒิ ลีฬหะกร) ผู้อ านวยการโรงพยาบาล ยา Norepinephrine injection ในผู้ใหญ่ Body weight (kg) 50 55 60 65 70 75 80 85 Drip rate (microdrop/ min หรือ mL/hr) 15.0 16.5 18.0 19.5 21.0 22.5 24.0 25.5 37.5 41.2 45.0 48.7 52.5 56.2 60.0 63.7 75.0 82.5 90.0 97.5 105.0 112.5 120.0 127.5 112.5 123.7 135.0 146.2 157.5 168.7 180.0 191.2 150.0 165.0 180.0 195.0 210.0 225.0 240.0 255.0 187.5 206.2 225.0 243.7 262.5 281.2 300.0 318.7 Body weight (kg) 50 55 60 65 70 75 80 85 Drip rate (microdrop/min หรือ mL/hr) 7.5 8.2 9.0 9.7 10.5 11.2 12.0 12.7 18.7 20.6 22.5 24.3 26.2 28.1 30.0 31.8 37.5 41.2 45.0 48.7 52.5 56.2 60.0 63.7 56.2 61.8 67.5 73.1 78.7 84.3 90.0 95.6 75.0 82.5 90.0 97.5 105.0 112.5 120.0 127.5 93.7 103.1 112.5 121.8 131.2 140.6 150.0 159.3 /248


คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิFACULTY OF MEDICINE VAJIRA HOSPITAL NAตุลาคม 2561 ตารางค านวณการผสมและบริหารย Norepinephrine inj.: 1 vial = 4 mg/ 4 mL Norepinephrine (4 mg./ 100 mL) Dose mcg/ kg/ min 40 45 50 วิธีผสม -D5W, D5S 100 mL ดูดออก 4 mL -ดูดยา Norepinephrine 4 mL (4 mg) เติมลงในสารน ้าที่ เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเขากัน ยาที่ผสมแล้วคงตัวอยู่ได้ 24 ชม. 0.08 4.8 5.4 6.0 0.2 12.0 13.5 15.0 0.4 24.0 27.0 30.0 0.6 36.0 40.5 45.0 0.8 48.0 54.0 60.0 1 60.0 67.5 75.0 Norepinephrine (8 mg/ 100 mL) Dose mcg/ kg/ min 40 45 50 วิธีผสม -D5W, D5S 100 mL ดูดออก 8 mL -ดูดยา Norepinephrine 2 vial = 8 mL (8 mg) เติมลงในสาร น ้าที่เตรียมไว้ พลิกไปมาให้ยาเข้ากัน ยาที่ผสมแล้วคงตัวอยู่ได้ 24 ชม. 0.08 2.4 2.7 3.0 0.2 6.0 6.7 7.5 0.4 12.0 13.5 15.0 0.6 18.0 20.2 22.5 0.8 24.0 27.0 30.0 1 30.0 33.7 37.5 134/


Click to View FlipBook Version