6 บากเตรีย1 7 สงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ และสง่ ศาสนทูต ๑. พระมชั ฌันติกะ ไป กัสมีร-คันธารรัฐ
ปาฏลบี ตุ ร ๒. พระมหาเทวะ ไป มหิงสกมณฑล
ตักสิลา พ.ศ. ๒๓๕ มีสังคายนา ครงั้ ท่ี ๓ ปรารภการท่มี ี ๓. พระรกั ขิตะ ไป วนวาส(ี รฐั )
อา่ วเบงกอล เดียรถยี ์มากมายปลอมบวชเขา้ มา เนอื่ งจากเกดิ ลาภ ๔. พระโยนกธรรมรักขิต ไป อปรนั ตกะ(รัฐ)
อาอณโศาจกักร สกั การะในหมูส่ งฆอ์ ดุ มสมบูรณ์ พระอรหันต์ ๑,๐๐๐ รูป ๕. พระมหาธรรมรักขติ ไป มหารฐั
มีพระโมคคัลลีบตุ รติสสะเถระเปน็ ประธาน ประชมุ ทำ�ำ ๖. พระมหารกั ขิต ไป โยนกรัฐ
ทะเลอาหรับ 45 ท่อี โศการาม เมืองปาฏลบี ตุ ร โดยพระเจ้าอโศกมหาราช ๗. พระมัชฌมิ ะ ไป เทศภาคแห่งหิมวันต์
ทรงอปุ ถมั ภ์ ใช้เวลา ๙ เดือน ๘. พระโสณะและอุตตระ ไป สวุ รรณภูมิ
3 8 ๙. พระมหนิ ทะ ไป ตมั พปณั ณทิ วปี (ลงั กา)
2 หลงั สงั คายนาแล้ว มีการจดั สง่ พระศาสนทตู ๙
สาย ไปประกาศพระศาสนา (แตล่ ะแห่งมพี ระภกิ ษรุ ่วม
9 คณะพอครบสงฆท์ จี่ ะใหอ้ ุปสมบท) คือ
พทุ ธศาสนาต้ังมน่ั ในลงั กา อย่างไรก็ดี สังคายนาคร้ังนเี้ ป็นกิจกรรมตามข้อ
ปรารภพิเศษ โดยท่ัวไปไมน่ บั เขา้ ในประวัติสงั คายนา
พ.ศ. ๒๓๖ (ฝรั่งนบั =247 BC) ท่ีลังกาทวีป
พระเจา้ เทวานัมปิยติสสะครองราชย์ (พ.ศ. ๒๓๖-๒๗๖) ต่อมา พระนางอนฬุ า ชายาแหง่ พระกนษิ ฐภาดา
ท่อี นุราธปุระ (ไทยนยิ มเรยี กกนั มาวา่ อนรุ าธบุรี) ทรงสดบั ของพระเจ้าเทวานมั ปยิ ตสิ สะ และสตรใี นราชสำำ� นกั
ธรรมจากพระมหนิ ทเถระแล้ว ทรงนับถือและอุปถมั ภ์ จำ�ำนวนมากปรารถนาจะอปุ สมบท พระมหนิ ทเถระ
บำำ� รุงพระพทุ ธศาสนาอยา่ งยง่ิ รวมทง้ั สร้างมหาวิหาร ที่ จงึ แนะนำำ� พระราชาใหส้ ่งทตู ไปทลู พระเจ้าอโศก ขอ
ได้เป็นศนู ย์กลางใหญข่ องพระพทุ ธศาสนาเถรวาทสบื มา อาราธนาพระสงั ฆมิตตาเถรีมาประดิษฐานภกิ ษณุ ีสงฆ์
ในลงั กาทวปี พระเถรีไดน้ ำ�ำกงิ่ พระศรมี หาโพธม์ิ าปลกู ท่ี
ในปนี ั้น มสี งั คายนา ครง้ั ที่ ๔ ปรารภการประดษิ อนุราธปรุ ะด้วย
ฐานพระพุทธศาสนาในลงั กาทวีป เพื่อให้พระพุทธศาสนา
ตั้งมั่นและเจรญิ สบื ไป (ตำำ� นานว่า พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รปู พระสงั ฆมติ ตาเถรี
ประชุมกัน) มีพระมหนิ ทเถระเปน็ ประธานและเป็นผูถ้ าม เดนิ ทางถงึ ลงั กาทวปี
พระอรฏิ ฐะเป็นผู้วิสัชนา ณ ถูปาราม เมืองอนรุ าธบุรี โดย พระเจา้ เทวานัมปยิ ติสสะ
พระเจ้าเทวานมั ปยิ ติสสะทรงอุปถัมภ์ ใชเ้ วลา ๑๐ เดอื น เสด็จมารบั กงิ่ พระศรมี หาโพธ์ิ
38 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
๙ สาย มไี ทยและจนี ด้วย?
(สารัตถทปี นี ว่า มหงิ สกมณฑล=อันธกรัฐ;
สาสนวงส์ วา่ เทศภาคแห่งหิมวนั ต=์ จนี รัฐ คือประเทศจีน;
สวุ รรณภูมิ=สุธรรมนคร คือเมืองสะเทมิ ในพมา่ บางมตวิ ่า
=หริภุญชรฐั บางมตวิ า่ =สยิ ามรัฐ; อปรนั ตรัฐ คง=สุนา-
ปรันตรัฐ; มหารฐั บางมตวิ ่า=สยิ ามรฐั )
ราชาแหง่ ลงั กาทวปี ครง้ั น้ั น คอื พระเจา้ เทวา
นมั ปยิ ตสิ สะ (พงึ สงั เกตวา่ ใชค้ ำำ� นำำ� พระนามอยา่ งเดยี วกบั
พระเจา้ อโศกมหาราช ที่ปรากฏในศลิ าจารึกวา่ “เทวา
นมั ปิยปิยทสั สี” และตำ�ำนานว่ามีเชอ้ื สายศากยะทั้งสอง
พระองค)์
พระปฐมเจดยี ์
โขตาน จีน พทุ ธศาสนาบนเส้นทางสู่จนี
ไทย
อนิ เดีย 240 BC (โดยประมาณ; ฝร่ังนบั =พ.ศ. ๒๔๓
เรานับ=พ.ศ. ๓๐๓) ตำ�ำนานว่าโอรสองคห์ นึ่งของพระเจา้
อโศกฯ ได้ตั้งอาณาจกั รข้ึ นที่โขตาน (Khotan ปัจจุบัน
= Hotan ในมณฑลซนิ เกียงของจีน) ต่อมา นดั ดาของ
กษัตรยิ ์องค์นี้ ได้นำ�ำพระพทุ ธศาสนาเข้าสูโ่ ขตาน (บาง
ตำ�ำราว่าพทุ ธศาสนาเขา้ สโู่ ขตาน 217 BC) และท่ี นั่น
พระพทุ ธศาสนาได้เปน็ ศาสนาประจำ�ำชาติ (จากโขตานน้ี
พระพทุ ธศาสนาจะไปสูจ่ นี ใน พ.ศ. ๖๐๘/ค.ศ. 65)
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 39
มหาสถปู สาญจี อยู่ในสภาพดที ี่สดุ (Vidisha/Bhilsa) ห่างไปทางตะวันตกเฉยี งใต้ ๒๓ กม. พระมารดาของเจา้ ชายมหนิ ท์ และเจ้าหญงิ สงั ฆมิตตา ผู้
(ถ้าวัดจากอุชเชนี กม็ าทางตะวันออก ๑๘๗ กม.) ได้อุปสมบทและไปประดษิ ฐานพระพุทธศาสนาในลังกา
แมว้ ่าตอ่ มาราชวงศโ์ มรยิ ะจะสิ้นไปในปี 185 ทวีปในกาลตอ่ มา
BC (พ.ศ. ๒๙๘) และแมว้ า่ ถาวรวตั ถุมากมายทีพ่ ระเจ้า มหาสถปู สาญจี กบั วทิ สิ าเทวี
อโศกฯ สร้างไวจ้ ะถกู ทำำ� ลายและพังพินาศไปแลว้ ตาม พุทธสถานโดยเฉพาะมหาสถปู สาญจีน้ี คงเป็น
กาลเวลาแทบทง้ั หมด แตม่ ปี ูชนียสถานสำ�ำคญั แห่งหน่ึง ความสำ�ำคัญของวิทศิ า คือ เมื่อก่อนครองราชย์ ตวั อยา่ งทช่ี ่วยใหค้ นปจั จบุ นั มีจนิ ตนาการมองเห็นภาพ
ซง่ึ ได้ขดุ ขึ้นมาให้เหน็ ในปัจจุบันและนับว่าเปน็ พทุ ธสถาน พระเจา้ อโศกฯ ไดม้ าเป็นอปุ ราชครองตกั สิลา และตอ่ มา วดั วาอารามทง้ั หลาย ท่ีพระเจา้ อโศกไดท้ รงสร้างไว้ ซ่ึง
ท่รี กั ษาไวไ้ ดด้ ีท่ีสดุ ในอินเดยี คือ สาญจี โดยเฉพาะมหา ครองแควน้ อวนั ตี ท่เี มืองอุชเชนี (ปัจจุบัน=Ujjain) ครงั้ สญู สิ้นไปแลว้
สถปู ทีบ่ รรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุ ซ่งึ คน้ พบเม่ือปี ๒๓๖๑ นั้นไดอ้ ภเิ ษกกับพระชายาองคแ์ รก ซ่ึงเป็นธิดาของพอ่ ค้า
ชาวศากยะ ท่เี มืองวิทศิ าน้ี คอื พระวิทสิ าเทวี ซึ่งเป็น หลงั ยคุ โมรยิ ะ ราชวงศส์ าตวาหนะ ทรี่ งุ่ เรอื งในยคุ
มหาสถูปสาญจีน้ั น จดุ สงั เกตปัจจุบัน คอื อยู่ทาง ตอ่ มา กไ็ ด้อปุ ถัมภบ์ ำ�ำรงุ พุทธศาสนาที่สาญจีน้ีด้วย
ตะวันออกเฉียงเหนือของเมอื งโภปาล (Bhopal) ห่าง
๓๒ กม. พระเจ้าอโศกฯ ทรงสร้างไวใ้ กลเ้ มอื งวิทศิ า หน้าตรงข้าม จากซา้ ย:
ภาพแกะสลักทีส่ าญจี
มหาสถปู สาญจี
มองโกเลีย
กำำ� แพงเมอื งจีน
อาณาจักรฮน่ั
อินเดยี
ไทย
จากซ้าย:
กำ�ำแพงเมืองจนี
จน๋ิ ซฮี ่องเต้
40 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
จ๋นิ ซฮี ่องเต้ สรา้ งกำำ� แพงเมอื งจีน แตร่ าวศตวรรษที่ 4 BC) เพื่อปอ้ งกันการรุกรานจาก
ภายนอก โดยเฉพาะชนเรร่ ่อนเผา่ เสยี งนุ (Hsiung-nu)
221 BC (ตามฝร่ัง=พ.ศ. ๒๖๒ เรานบั =พ.ศ.
๓๒๒) ท่เี มืองจนี หลังจกั รพรรดิองค์สุดทา้ ยของราชวงศ์ 206 BC (ฝรง่ั นับ=พ.ศ. ๒๗๗ เรานับ=พ.ศ. ๓๓๗)
โจพ้นราชสมบัตใิ นปี 256 BC แล้ว แคว้นตา่ งๆ แย่งชงิ แมว้ า่ จนิ๋ ซฮี อ่ งเตจ้ ะยง่ิ ใหญ่ แตต่ อ่ มาทรงกอ่ ความเคยี ดแคน้
อำำ� นาจกัน ในท่ีสุด เจา้ แคว้นจิน๋ นอกจากปราบพวกอื่น แก่ผูค้ น เช่น กำ�ำจดั ปราชญ์ลัทธิขงจ๊อื ทีข่ ดั แยง้ และใหเ้ ผา
ที่แย่งชิงดว้ ยกัน ๖ แคว้นแล้ว ยงั ผนวกดินแดนจีน ตำำ� ราเสียมาก เม่ือสวรรคตในช่วงปี 210-209 BC แล้ว
นอกน้ั นเขา้ มารวมทัง้ หมด แลว้ ประกาศตนเปน็ จนิ๋ ซี กเ็ กดิ การสู้รบจนท่ีสดุ หลงั สวรรคตเพียง ๔ ปี ถงึ ปี 206
ฮอ่ งเต้ (Ch’in Shih huang-ti หรือ Shi Huangdi) เปน็ BC ราชวงศ์จิ๋นกจ็ บ และถกู ฆ่าลา้ งโคตรหมดส้ิ น
จกั รพรรดอิ งค์แรกท่รี วมประเทศจีนได้เปน็ อนั เดียว
ต่อนเ้ี ป็นยุคราชวงศ์ฮ่ัน (Han) ท่เี ร่มิ ดว้ ยส่งเสริม
214 BC (ฝร่งั นับ=พ.ศ. ๒๖๙ เรานบั =พ.ศ. ๓๒๙) ลทั ธขิ งจื๊อ และปกครองเมอื งจนี สบื มา ๔๒๖ ปี (206 BC
จิน๋ ซฮี อ่ งเต้ ทรงกอ่ สรา้ งจัดเชือ่ มต่อกำ�ำแพงเมอื งจีนให้ -ค.ศ. 220=พ.ศ. ๓๓๗-๗๖๓)
เปน็ ระบบอนั เดยี ว (Great Wall of China หรอื “กำำ� แพง
หมื่นล้ี”) ยาว ๖,๔๐๐ กม. (ของเดมิ มบี า้ งแล้ว สร้างมา
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 41
กษตั ริย์พราหมณก์ ำ�ำจัดพทุ ธศาสนา ก็กลายเปน็ ฝา่ ยตงั้ รับทพั ของโยนก ศงุ คะครองถงึ เพียง
แม่น้้� ำำนมั มทา และอย่ไู ด้ ๑๑๒ ปกี ส็ ้ิ นวงศ์ เพราะกษตั รยิ ์
185 BC (วา่ ตามฝร่ัง แตเ่ รานับ=245 BC =พ.ศ. องค์สุดท้ายถูกพวกพราหมณ์น่ั นเอง สมคบกนั ปลง
๒๙๘) หลงั จากพระเจา้ อโศกครองราชย์ ๓๗ ปี (บางที พระชนม์ แล้วพราหมณป์ ุโรหติ ข้ึ นครองราชย์ ตงั้ วงศ์ใหม่
คำ�ำนวณได้ ๔๑ ป)ี และโอรส-ปนัดดาครองตอ่ มาอกี ๔๗ ชื่อ กาณวายนะใน พ.ศ. ๔๑๐ (73 BC)
ปี ถงึ พ.ศ. ๒๙๘ พราหมณป์ ษุ ยมติ ร ซึง่ เปน็ อำ�ำมาตย์ ได้
ปลงพระชนมก์ ษัตริย์พฤหัทรถ ล้มราชวงศโ์ มริยะ ต้ัง เรอื่ งข้างเคียงในอนิ เดีย
ตัวเป็นกษัตรยิ ์ เร่ิมราชวงศศ์ ุงคะ แลว้ ลม้ เลกิ เสรภี าพ
ทางศาสนา ร้อื ฟ้ืนพิธอี ัศวเมธ (ฆ่ามา้ บชู ายญั ) ตามหลกั (ลทั ธิไศวะ-ลัทธโิ ยคะ)
ศาสนาพราหมณ์ขึ้นมาประกอบอยา่ งใหญ่ยิ่งถึง ๒ ครง้ั
และกำ�ำจัดพุทธศาสนาอย่างรุนแรง เชน่ ฆ่าพระ เผาวดั 150 BC (ประมาณ พ.ศ. ๔๐๐) ลทั ธไิ ศวะ ท่ี
และถงึ กบั ประกาศใหค้ ่าหัวชาวพทุ ธ นับถอื พระศิวะเจริญเดน่ ข้ึ นมาเป็นนกิ ายสำ�ำคัญของฮนิ ดู
ในชว่ งเวลาใกลก้ นั น้ี ปตัญชลิได้แต่งโยคสูตร ซงึ่ ทำ�ำให้
อย่างไรกต็ าม ศงุ คะครองอำำ� นาจไดไ้ ม่กวา้ งขวาง ลทั ธโิ ยคะของฮินดูมีอิทธิพลมากขึ้น (ช่วงเวลาไม่แนน่ อน
เพราะตอนนไี้ ดม้ อี าณาจกั รตา่ งๆ แตกแยกออกไปแลว้ อาจแตง่ ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 คือราว พ.ศ. ๑๐๐๐ กไ็ ด)้
แม้แตม่ า้ อปุ การแหง่ พธิ ีอัศวเมธ ที่ปุษยมติ รปล่อยไปราน
เขา ก็ถกู ทพั กรีกแหง่ โยนกสกัดอยู่ และตอ่ มาศุงคะ
ปตัญชลิ
กรกี ร่งุ ท่ีโยนก
190-180 BC (ตามฝรั่ง=พ.ศ. ๒๙๓-๓๐๓ =เรา
นับ พ.ศ. ๓๕๓) ในชว่ งน้ี ซึ่งราชวงศ์โมรยิ ะอ่อนแอลงจน
ถูกโค่น และราชวงศ์ศุงคะขึ้นครองอำำ� นาจนั้น พระเจา้
เดมีตริอสุ (Demetrius) กษตั ริยร์ าชวงศอ์ นิ เดยี -กรกี
แห่งบากเตรีย หรอื อาณาจกั รโยนก ไดแ้ ผอ่ ำ�ำนาจลงมา
ครองอินเดยี แถบพายพั จนถงึ ปัญจาบ ทำ�ำใหด้ ินแดน
ของศงุ คะถูกจำ�ำกัดแคบลงมาก ราชาเดมีตริอุสสวรรคต
ราว 167 BC (พ.ศ. ๓๗๖)
เดมตี รอิ ุส
42 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
พญามลิ นิ ทป์ น่ิ โยนก ยอยกพทุ ธศาสนา มาจนปัจจบุ นั (บางมติว่าเร่ิมในยคุ ราชวงศ์กษุ าณ) แต่ จากซ้าย:
อาณาจักรกรกี โยนกท้ังหมดอยู่มาอกี ไม่นาน กส็ ิ้นอำ�ำนาจ พญามลิ ินท์
160-135 BC (ตามฝร่ังว่า=พ.ศ. ๓๒๓-๓๔๘; เรา ใน 128 BC (ฝรัง่ วา่ =พ.ศ. ๓๕๕ เรานบั =พ.ศ. ๔๑๕) เศียรพระพุทธรปู คันธาระ
นับ=พ.ศ. ๓๘๓-๔๐๘ แต่คมั ภีรว์ ่า พ.ศ. ๕๐๐=43 BC) รวมเข้าในอาณาจักรกษุ าณ ท่จี ะร่งุ เรอื งต่อมา จนส้ิ นวงศ์
พญามลิ ินท์ หรอื Menander กษตั ริยบ์ ากเตรีย หรอื ในพ.ศ. ๗๖๓
โยนก ซึ่งฝร่งั ว่าเปน็ Indo-Greek king ทยี่ ง่ิ ใหญ่ทีส่ ดุ
ครองดินแดนไพศาลตง้ั แต่โยนก และคันธาระ (= อัฟกา-
นสิ ถานตอนเหนือ ผา่ นปากสี ถาน) ลงมาถึงอนิ เดยี พายพั
ครองราชยท์ ี่สาคลนคร (Sialkot) ทรงเปน็ พุทธมามกะ
พระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในดนิ แดนแถบนี้ท้งั หมด
พ.ศ. ๕๐๐ (= 43 BC; แต่ฝร่ังว่า=160-135 BC
=พ.ศ. ๓๒๓-๓๔๘=เรานับ พ.ศ. ๓๘๓) ตามเรื่องมิลินท
ปญั หา วา่ พระนาคเสนตอบคำำ� ถามของพญามลิ นิ ท์ เป็น
เหตใุ หท้ รงเลอ่ื มใสในพุทธศาสนา
ในยุคนีเ้ ร่มิ เกิดมพี ระพุทธรปู ศลิ ปะคนั ธาระ แบบ
กรีก อันถือกนั วา่ เปน็ ตน้ กำ�ำเนดิ ของพระพทุ ธรปู ท่สี บื
เทคโนโลย:ี เกิดกงั หนั น้�ำ้ำ
100 BC (ชว่ งประมาณ พ.ศ. ๔๕๐) กรกี และ
โรมันโบราณ ร้จู กั ใช้กงั หันน้�้ำำ ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ ประดิษฐกรรม
อย่างแรกของมนษุ ย์ที่ใชผ้ ันพลังงานโดยไมต่ ้องอาศัยแรง
สตั ว์ และได้เป็นแหล่งพลังงานท่ี สำำ� คญั ตอ่ มากวา่ พนั ป)ี
กังหันน้้ำ�ำ ที่ Braine-le-Ch^ateau
ประเทศเบลเยยี ม
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 43
ทมิฬก์ สามอาณาจกั รทมฬิ ปาณฑยะ (Pandya อยใู่ ต้สุด)
ถิ่นอนิ เดียใต้ โจละ (Cola หรอื Chola อยเู่ หนอื ข้ึ นมาจนตอ่ กบั
พ.ศ. ๔๕๕ (ไทยนับ=88 BC; ฝรัง่ นับ=28 BC อนั ธระ)
หลกั ฐานบางแหง่ ว่า พ.ศ. ๔๓๖ บา้ ง ๔๕๐ บ้าง) ในลังกา เจระ หรือ เกราละ (Cera, Chera หรือ Kerala
ทวปี มสี ังคายนาคร้ังท่ี ๕ เรอื่ งนี้เก่ยี วข้องกบั ชาวทมิฬ เปน็ ดนิ แดนผนื แคบๆ ทอดจากเหนอื ลงสดุ ใตต้ ามชายทะเล
จากอินเดยี อนั ควรทราบ ฝง่ั ตะวนั ตกเคียงไปกับ ๒ อาณาจักรแรก พวกเจระนไี้ ม่
พดู ภาษาทมฬิ อยา่ ง ๒ พวกแรก แตพ่ ดู ภาษามลายลมั
เชื่อมความยอ้ นภมู ิหลังว่า ในชมพูทวปี ตอนลา่ ง บางตำ�ำราไมจ่ ดั พวกเจระเป็นทมิฬ แตท่ ้ังชาวทมฬิ และ
ตอ่ จากดนิ แดนของชนชาวอันธระ (แควน้ กลงิ คะ พวกเจระ ก็ล้วนเปน็ ทราวิทเชน่ เดยี วกบั ชาวอันธระที่อยู่
อนั เปน็ ดนิ แดนสุดท้ายท่พี ระเจ้าอโศกพชิ ิตนั้น เทียบ เหนือขึ้นไป)
บัดนไ้ี ด้แกร่ ฐั โอรสิ สา และอนั ธรประเทศน้)ี คอื พ้นเขต
จักรวรรดอิ โศกลงไป จนตลอดถึงปลายแหลมสุดประเทศ
อนิ เดียเป็น “ทมิฬกะ” คือดินแดนของชนชาวทมฬิ ๓
อาณาจกั ร คอื
ลังกาทวปี คู่แค้นแดนทมฬิ
พระพทุ ธรูป กษตั รยิ ์ทมิฬเขา้ ครองลงั กา
ที่ Mihintale
เทา่ ที่ทราบ หลังจากรชั กาลของพระเจา้ เทวา
นมั ปยิ ตสิ สะ ทพี่ ระมหนิ ทเถระเปน็ ศาสนทตู มาประดษิ ฐาน
พระพทุ ธศาสนา และพระสังฆมิตตาเถรมี าต้งั ภิกษุณีสงฆ์
แลว้ ไมน่ าน (พระเจา้ เทวานมั ปยิ ตสิ สะสวรรคต พ.ศ. ๒๗๖
นับอย่างฝร่งั =207 BC; นับอย่างเรา=267 BC) พอถึง
พ.ศ. ๓๐๖ (ฝรั่งนับ=177 ไทยนับ=237 BC) ชาวทมิฬ ๒
คน ช่ือเสนะ และคุตติกะ เข้ามาชงิ เมืองอนรุ าธปรุ ะ จาก
พระเจา้ สรู ติสสะ แลว้ ครองราชย์จนถึงปี ๓๒๘ เจ้าชาย
สิงหฬนามว่าอเสละจงึ มาชิงเมอื งคนื ได้
44 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
ถา้ เทียบปัจจุบันคร่าวๆ พระศิวะ
ปาณฑยะ และโจละ คือรฐั ศิลปะโจละ
ทมิฬนาฑุ (Tamil Nadu)
สว่ นเจระ คอื รัฐเลก็ ๆ ทีช่ ่อื
เกราละ (Kerala)
แตพ่ ระเจา้ อเสละครองราชย์ไดเ้ พยี ง ๑๐ ปี ถึง พระนามว่าพระเจา้ ทุฏฐคามณีอภัย (ครองราชย์ถงึ พ.ศ. ปจั จัยสี่
พ.ศ. ๓๓๘ เจา้ ทมฬิ ชาวโจละนามว่า “เอฬาระ” ได้มายงั ๔๐๖=ฝรัง่ นบั 77 ไทยนับ 137 BC) พระภกิ ษุจำ�ำนวนมากเดินทางลภ้ี ัยไปพำำ� นักรกั ษา
เกาะสิงหฬ (คอื ศรลี งั กา) แล้วจบั พระเจา้ อเสละได้ ยดึ
อำำ� นาจแล้วทมิฬก็ขึ้นครองแผน่ ดินอีก แต่หลงั รัชกาลพระเจา้ ทุฏฐคามณีอภัยไม่นาน ถึง ธรรมวนิ ยั ในชมพทู วปี สว่ นพระเถระทค่ี า้ งอยใู่ นลงั กาทวปี
ปี ๔๒๕ พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั ขึ้นครองราชย์ พวกทมิฬ ก็ยงั ชีวติ โดยยากถึงกับต้องฉันรากไมใ้ บไม้ ทยี่ ังหอบกาย
ปรากฏว่า พระเจ้าเอฬารทมฬิ นเ้ี ป็นราชาท่ีมี ชาวปาณฑยะยกทัพมายดึ ครองอนุราธปุระได้ พระเจา้ ไหวกเ็ พียรสาธยายรกั ษาพระปริยัติธรรมและมารวมตวั
เมตตา เท่ียงธรรม และแมจ้ ะมไิ ดน้ บั ถือพระพุทธศาสนา วัฏฏคามณีอภัยหนไี ปหลบซ่อนองคอ์ ยนู่ าน ๑๔ ปเี ศษ ร่วมคิดร่วมปรกึ ษาสบื พระธรรมวนิ ยั ไว้ จนกระท่งั พ.ศ.
มากอ่ น ก็ได้เอาพระทัยใสเ่ คารพเป็นอย่างดี แตเ่ พราะ โดยไดร้ ับความเก้ือกูลจากพระเถระช่ือมหาตสิ สะ ๔๕๕ พระเจ้าวฏั ฏคามณอี ภัยรวมกำำ� ลังเขม้ แข็งพอ จึงยก
เปน็ ชาวตา่ งชาตแิ ละมาไดร้ าชสมบตั ิดว้ ยการแย่งชงิ ใน พลมารบสังหารกษตั ริย์ทมิฬไดแ้ ละข้ึ นครองราชยใ์ หม่
ท่สี ดุ เจา้ ชายสงิ หฬจากแควน้ โรหณะในภาคตะวนั ออก ลงั กาเขา้ ยคุ เขญ็ พุทธศาสนาพบวิกฤต
เฉยี งใตข้ องเกาะสิงหฬได้ยกทพั มารบเพ่ือขบั ไล่ทมฬิ เมอื่ บา้ นเมืองสงบเรยี บรอ้ ย พระเถระทัง้ ที่หลบ
พระเจา้ เอฬารทมิฬสวรรคตในทรี่ บเมื่อ พ.ศ. ๓๘๒ (รวม ระหว่างนั้นบ้านเมอื งขาดความม่ั นคงปลอดภยั ซ่อนอยู่ในลงั กาทวปี และท่ี กลับมาจากชมพทู วีป ก็มา
ครองราชย์ได้ ๔๔ ปี) เจ้าชายสงิ หฬแหง่ โรหณะข้ึ น ข้าวยากหมากแพง เตม็ ไปด้วยโจรผู้ร้าย ประชาชนน้ั น ทัง้ ซกั ซอ้ มทวนทานพระธรรมวนิ ยั กันจนมั่นใจว่าครบถ้วน
ครองราชย์ท่อี นุราธปุระ รวมเกาะสิงหฬไดท้ ั้งหมด มี ตนเองกเ็ ดอื ดร้อนและไมม่ กี ำำ� ลงั เกอ้ื หนนุ พระสงฆ์ด้วย สมบูรณ์
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 45
แดนทมฬิ ในยุคอโศก ทมฬิ กับพุทธศาสนา
อาณาจักรเหล่าน้มี มี าแต่โบราณ อยา่ งน้อยตั้งแต่ อย่างไรกต็ าม เร่อื งราวคร้งั โบราณของอาณาจักร
สมยั พระเจา้ อโศกฯ (พ.ศ. ๒๑๘-๒๔๕) ดงั ความในศลิ า เหลา่ นเี้ หลอื มาใหท้ ราบกันนอ้ ยยง่ิ รมู้ าบ้างจากวรรณคดี
จารึกของพระเจ้าอโศกฯ โองการท่ี ๒ และท่ี ๑๓ ว่า เก่าๆ และจารกึ ภาษาทมิฬพราหมี จารกึ เหลา่ น้ี (ระหว่าง
เปน็ ดินแดนข้างเคียงเลยออกไปทางใต้ (พระเจา้ อโศกฯ ศตวรรษที่ 2 ก่อนค.ศ. ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 คือราว
รบชนะแควน้ กลงิ คะแลว้ หยุดแค่นั้น อาณาจักรเหล่านี้ พ.ศ. ๒๕๐-๙๕๐) สว่ นมากจดบอกทานบรจิ าค ทรี่ าชา
จงึ ยงั เป็นอสิ ระอยู่; เจระ กล่าวถงึ เฉพาะในโองการที่ ๒ เจา้ นาย พ่อคา้ และชา่ งฝมี ือท้งั หลายได้ถวายแก่พระสงฆ์
เรยี กว่าเกรลปุตระ) ในพระพทุ ธศาสนา และแกน่ ักบวชเชน อันแสดงว่า
พระพุทธศาสนา และศาสนาเชนไดม้ าเจรญิ แถบนี้ ซงึ่ คง
เนอื่ งด้วยการติดตอ่ กับจักรวรรดิอโศกดว้ ย
พระวิษณุ แบบปาณฑยะ
บ้านเมืองสงบ ก็ยังต้องพบปัญหา อภยั คีรีวหิ าร
ครง้ั นั้น พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั ทรงระลึกถึง
อุปการะของพระมหาติสสะคร้ังทรงตกยาก จึงทรงสรา้ ง
อภยั คีรวี ิหารถวาย แตพ่ ระมหาติสสะถูกพระสงฆ์แห่ง
มหาวหิ ารลงปัพพาชนียกรรม ฐานคลุกคลีกบั ตระกูล
ตอ่ มาทางอภัยคีรวี ิหารก็แยกคณะออกไป ทำำ� ให้พระสงฆ์
ในลังกาทวปี แตกเปน็ ๒ นิกาย คือ ฝา่ ยมหาวหิ ารวาสี
กบั ฝา่ ยอภัยคิริวาสี และฝ่ายอภัยครี มี กี ำ�ำลงั มากเพราะ
พระราชามหาอำำ� มาตย์คนมชี ือ่ เสยี งพากนั อปุ ถัมภบ์ ำำ� รงุ
ต่อมา ได้มีคัมภีร์ใหม่ท่ยี กข้ึ นสภู่ าษาสันสกฤตอนั
เปน็ ของนิกายธรรมรุจทิ ีอ่ ยใู่ นพวกวชั ชบี ุตร เขา้ มาสู่
ลังกาทวปี ฝ่ายอภัยคริ วิ าสยี อมรบั ตาม ก็เลยกลายเปน็
พวกนิกายธรรมรจุ ไิ ป
46 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
ทมฬิ กับกรีก-โรมนั -สิงหฬ จากความเปน็ นกั เดนิ เรือน้ี ชาวทมฬิ จำำ� นวนมาก
จงึ ได้ไปต้ังถิ่นฐานในเกาะสิงหฬ ตลอดจนเข้ายึดครอง
ชาวโจละ/โจฬะ เปน็ ต้น เหลา่ นี้ เป็นนักเดินเรอื แผ่นดินจากเจ้าถิ่นชาวสิงหฬในลังกาทวปี
แต่โบราณ มีการคา้ ขายกบั พวกกรีก (เรยี กวา่ ยวน ยวนก
หรอื โยนก คอื Ionian) โรมนั และชาวอาหรบั ตลอดถงึ ปากสี ถาน เนปาล
จีน สืบมานานตัง้ แต่กอ่ น ค.ศ. (กอ่ นมีศาสนาคริสต์และ
อสิ ลาม) ในเอกสารของพวกกรกี ทมี่ าคา้ ขายแถบมทั ราส อทาหะเรลับ อนิ เดีย เบองก่าวอล
(Madras ปัจจุบนั เปล่ยี นเปน็ Chennai) ช่อื The มทั ราส
Periplus of the Erythraean Sea (ค.ศ. 90) เรียก
ชาวโจฬะวา่ “men of the sea” เมืองทา่ ใหญ่เชน่ ลังกา
“กาวริ ปฏั ฏนะ” ทปี่ ากแมน่ ้�้ำำกาเวรกี ็เปน็ ท่รี ูจ้ กั กนั ดีแก่
พวกโรมัน เหรยี ญอตุ ตมะโจละ
อนรุ าธปรุ ะ สงั คายนาครั้งที่ ๕ หรือ ๔ พระเถระเหล่านั้นได้ประชุมกันทำำ� งานนี้ ทีว่ ัดถ้้� ำำ
มาตาเล แกนดี ชื่ออาโลกเลณะ ท่ีมาตลุ นคร ในมลัยชนบท (อย่ใู นถ่ิ น
โคลมั โบ พระเถระมหาวิหารวาสีท้งั หลายปรารภสภาพ ภูเขา ท่ปี จั จบุ ันเรยี กว่า Matale กลางเกาะลงั กา หา่ งจาก
บา้ นเมืองและเหตุการณ์เหล่านีแ้ ล้ว มองเห็นภาวะท่วี ่า อนรุ าธปรุ ะประมาณ ๑๐๘ กม. ใกลไ้ ปทางเมอื งแกนด/ี
เมือ่ บา้ นเมอื งเดอื ดรอ้ นราษฎรยากเขญ็ จะดำ�ำรงพระ Kandy) ทัง้ นี้ สำ�ำเร็จดว้ ยเร่ียวแรงกำ�ำลงั ของพระเถระ
ธรรมวนิ ยั ได้ยาก และคำำ� นึงว่าสบื ไปภายหน้ากุลบตุ รจะ เหลา่ น้ั นเอง (ตำ�ำนานว่าพระมหาเถระประชมุ กัน ๕๐๐
เส่อื มถอยด้อยสติสมาธิปญั ญา (นา่ จะหมายถงึ เสือ่ มสติ รูป) โดยมไิ ด้รับการเก้ือหนุนจากพระราชามหาอำ�ำมาตย์
ดา้ นท่ี สำำ� คญั อยา่ งหน่ึงดว้ ย คอื ความระลกึ สำำ� นกึ ถึงคุณค่า เพยี งแตผ่ ้ปู กครองท่ีเป็นชนปทาธบิ ดใี นถ่ิ นนั้นช่วยดูแล
ความสำ�ำคญั ของพระธรรมวนิ ยั และประโยชน์สุขสว่ นรวม อารักขาใหเ้ ท่าน้ั น การคร้ังนต้ี อ่ มาเรียกและจดั กนั วา่
ทต่ี อ้ งใสใ่ จศึกษาปฏิบัตอิ ย่างจรงิ จงั ) จะไม่สามารถทรง เปน็ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๕ แต่โดยทว่ั ไป เน่ืองจากไมน่ บั
พระปริยัติไวด้ ว้ ยมุขปาฐะ กับท้งั ควรจะมีหลกั ฐานไวเ้ ปน็ การสงั คายนาที่ถปู ารามใน พ.ศ. ๒๓๖ จงึ นบั ครั้งนเ้ี ปน็
เกณฑ์ตดั สินไมใ่ ห้หลักพระศาสนาสับสนปนเปกับลทั ธิอื่น สงั คายนาครง้ั ที่ ๔
ภายนอก เพอ่ื รกั ษาพระธรรมวนิ ยั ไวใ้ หบ้ รสิ ทุ ธิ์ จงึ ตกลง
กันใหจ้ ารึกพระไตรปฎิ กลงในใบลาน
สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 47
ยุ ค กุ ษ า ณ - สิ้ น ยุ ค คุ ป ต ะ
อินเดียใต้: แดนทักษณิ าบถ แม่น้้� ำำนรรมทา/นัมมทา พรอ้ มด้วยเทอื กเขา
วินธยะ (Vindhya Range) ทแ่ี ม่น้้� ำำนั้นไหลเคยี งค่ไู ปจาก
ในตอนทผ่ี ่านมา โดยมากไดพ้ ดู ถึงพระพทุ ธ ตะวนั ออกสตู่ ะวนั ตก กบั ทงั้ ปา่ ใหญท่ เี่ รยี กวา่ มหากนั ตาระ
ศาสนาในสว่ นเหนอื ของชมพูทวีป ต้ังแตภ่ าคตะวันออก (มหากนั ดาร) เป็นเสน้ แบ่งโดยธรรมชาติระหว่างภาคท้ัง
แถวเบงกอล ข้ึ นไปถึงตะวันตกเฉยี งเหนอื ตอนบน จด สองน้ั น
แคว้นโยนก ตอ่ กับอาเซยี กลาง คราวนห้ี ันมาดพู ระ
พทุ ธศาสนาในชมพูทวีปตอนลา่ งแทรกเขา้ มาเล็กนอ้ ย (ทวี่ า่ นี้ เปน็ ความหมายอยา่ งกวา้ ง แตใ่ นความหมาย
ท่ี จำ�ำกดั เฉพาะ หรอื อย่างแคบ Deccan หมายเอาเพยี ง
อนิ เดยี น้ั นแบ่งได้เปน็ ๒ ภาคใหญ่ คอื ภาคเหนือ สว่ นบนของภาคใตน้ ้ั น ดงั นั้น จึงไมร่ วมแดนทมฬิ ซึ่งอยู่ใต้
ซง่ึ นยิ มเรียกรวมๆ ว่า ฮินดสู ถาน/Hindustan อัน สุดที่เคยพดู ถึงบ้างแล้ว)
ประกอบด้วยทรี่ าบล่มุ แม่น้้� ำำสินธุ และทีร่ าบลมุ่ แม่น้�้ำำ
คงคา กับภาคใต้ ซงึ่ เรยี กรวมๆ ว่า Deccan อันเปน็ อยา่ งไรก็ดี ในคมั ภีร์พระพุทธศาสนา มักใช้แม่น้�้ำำ
ดนิ แดนท่รี าบสงู ในสว่ นลา่ งของชมพูทวปี ตัง้ แต่ใต้ คงคาเป็นเครอื่ งกำำ� หนดเขต คอื ถอื ดนิ แดนแถบแมน่ ้�้ำำ
แม่น้�้ำำนรรมทา/นมั มทา (Narmada) ลงไป ทีเ่ รยี กกนั คงคาน้ั นว่าเป็นถิ่นกลาง(แห่งความเจริญ)/มชั ฌมิ เทส/
มาแต่โบราณว่า “ทักษิณาบถ” (=“หนใต้” เขยี นอย่าง มธั ยมประเทศ นบั ถ่ิ นแดนข้างใต้จากฝง่ั แม่น้้� ำำคงคาลงไป
บาลี=ทักขณิ าบถ; คำำ� ว่า Deccan ก็เพยี้ นมาจากคำำ� วา่ เป็นทักขิณาบถ (หนใต)้ และถ่ิ นแดนขา้ งเหนอื เลยฝ่งั
“Daksฺinฺ a/ทักษิณ” น่ั นเอง) แม่คงคาข้ึ นไป เปน็ อุตราบถ (หนเหนือ)
ในคร้งั พุทธกาล ท่ถี ือว่าชมพูทวีปมีมหาชนบท
คือรฐั ใหญ่ ๑๖ นั้น นบั แคว้นอัสสกะ (ตอนบนของแม่น้้� ำำ
โคธาวรี ซง่ึ ปจั จบุ นั เรยี กวา่ โคทวรี/Godavari) และ
อวันตี (ทม่ี ีอุชเชนีเป็นเมืองหลวง) เขา้ ในฝ่ายทกั ขิณาบถ
นับแควน้ คันธาระ (=ปากสี ถานและอัฟกานิสถานตอน
เหนอื ) และกัมโพชะ (คงจะ=ตอนบนของอัฟกานิสถาน
ถึงอาเซยี กลางสว่ นลา่ ง) เขา้ ในฝา่ ยอตุ ราบถ ต่อมา สมยั
หลังบางทจี ดั มหาชนบททงั้ ๑๖ เป็นมธั ยมประเทศ
เปน็ ทีร่ ู้กันตลอดมาว่า อุตราบถเปน็ แหลง่ ของ
อัสดรคอื ม้า และทักขิณาบถเป็นแหลง่ ของโค
50 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
ภาพเขียนและงานแกะสลัก ถ้้�ำำอชันตา
พุทธศาสนาในทักษณิ าบถ เข้าในมหาอาณาจกั รของพระเจา้ อโศกฯ (ส่วนปลายล่าง ขยายดนิ แดนขึ้นไปถึงอนิ เดยี ภาคกลางและภาคตะวันตก
ทีเ่ หลือของชมพูทวปี ซ่งึ เป็นแดนทมิฬ ยงั ปลอ่ ยไวเ้ ป็น เทา่ ท่ีสบื ค้นได้ ถือกนั ว่า การเจาะแกะสลกั ภูเขา
150 BC (ประมาณ; ตามฝรงั่ =พ.ศ. ๓๓๓ นบั เอกราช) และเปน็ แคว้นหนง่ึ ที่พระเจา้ อโศกทรงส่ง
อยา่ งเรา=พ.ศ. ๓๙๓) ในดินแดนสว่ นลา่ งของชมพูทวปี พระสมณทตู มาประกาศพระศาสนา (คัมภีรส์ าสนวงส์วา่ วาดภาพในหมู่ถ้้� ำำ อชันตา เรม่ิ ขึ้นในยุคสาตวาหนะนี้ คือ
ทเ่ี รยี กว่า Deccan หรอื ทกั ษิณาบถ/ทักขิณาบถ น้ั น อันธกรฐั เปน็ แควน้ เมืองยกั ษ์/ยักขปรุ รฐั ) ราว พ.ศ. ๔๐๐ (หรอื อยา่ งเรว็ สดุ ไม่ก่อน พ.ศ. ๓๕๐) แต่
มถี าวรวตั ถทุ ีเ่ ป็นหลักฐานชดั เจนอย่างย่ิงวา่ พระพุทธ ในชว่ งแรกไดม้ ีการทำำ� งานนถ้ี งึ ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ หรอื
ศาสนาเคยเจรญิ รุ่งเรอื งมาก โดยเฉพาะที่ควรกลา่ วถงึ คอื เชื่อกนั วา่ ราชวงศแ์ รกทีต่ ้งั อาณาจกั รใหญข่ ้ึ นใน ๕๕๐ เทา่ นั้น แลว้ กห็ ยดุ ไปนานจนผา่ นพน้ ยคุ สาตวาหนะไป
หมถู่ ้้� ำำอชนั ตา (Ajanta; เรียกตามชือ่ หมู่บา้ นในถ่ิ นท่ีพบ ทกั ษณิ าบถ คอื สาตวาหนะ (ศาลวิ าหนะ ก็เรียก) ซ่งึ
หมถู่ ้�้ำำน้ั น) ซ่งึ ตามดว้ ยหมู่ถ้้� ำำเอลโลรา (Ellora; เรยี กตาม เริม่ ต้นหลงั ยคุ อโศก ในช่วงศตวรรษท่ี ๓ ถงึ ๑ กอ่ น ถ้�้ำำทเ่ี จาะแกะสลักในชว่ งแรกนม้ี ี ๖ ถ้�้ำำ เปน็ ของ
ชอ่ื หมบู่ า้ นในถิ่นทพี่ บเชน่ กนั ) ในยุคหลังต่อมา คริสต์ (พทุ ธศตวรรษที่ ๓-๕) และมบี ทบาทในการกำำ� จดั พระพุทธศาสนาหนี ยานท้ังส้ิ น (ไดแ้ กถ่ ้้� ำำที่ ๘, ๙, ๑๐, ๑๒
ราชวงศ์ศุงคะลงด้วย การค้าระหวา่ งอินเดยี กบั กรุงโรมก็ ๑๓, และ ๓๐; งานเจาะแกะสลักถ้�้ำำหยดุ ไป ๔๐๐ กว่าปี
ดินแดนในทกั ษณิ าบถนี้ เทา่ ท่ีทราบกนั มาวา่ เปน็ รุ่งเรืองในยุคนี้ บางช่วงทีเ่ รืองอำ�ำนาจ ราชวงศ์สาตวาหนะ จงึ มีการทำำ� ตอ่ หรือเพิม่ อีกเมือ่ ใกล้ พ.ศ. ๑๐๐๐ ซึ่งจะ
ถิ่นของชาวอันธระ (เรียกตามบาลวี า่ อันธกะ) และใน กล่าวถงึ ในยคุ ตอ่ ไป)
พทุ ธศตวรรษที่ ๓ (=ศตวรรษที่ ๓ ก่อนคริสต)์ ได้รวม
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 51
ตะวันตกตอนบน มีอชนั ตา
อาคเนย์ มอี มราวตี
ในยุคเดยี วกันน้ี ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ประมาณ ๖๗๐ กม. เมืองอมราวตกี ็ไดเ้ รม่ิ เปน็ ศนู ย์กลาง
สำำ� คญั แหง่ หน่ึงของพระพุทธศาสนา มมี หาวหิ ารที่เปน็
มหาวทิ ยาลยั พระพทุ ธศาสนาชอ่ื วา่ “ศรธี นั ยกฏกั ” เตม็ ไป
ดว้ ยวัดวาอาราม มีสถาปัตยกรรมเป็นแบบอย่าง รงุ่ เรือง
อยู่นานราว ๕๐๐ ปี จนสิ้นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 3
ใกล้ๆ กนั นั้น ลกึ เข้ามาในแผ่นดนิ ใหญ่ ถัดจาก
อมราวตี มาทางตะวันตกอีกราว ๑๒๐ กม. (ห่างอชันตา
ออกไปทางตะวันออกเฉียงใตป้ ระมาณ ๕๘๐ กม.) เปน็
ทต่ี ้ังของนาคารชุนโกณฑะ (=Nagarjuna’s Hill/ดอย
นาคารชุน) ที่สรา้ งถวายพระนาคารชุน (ช่วงชวี ิต พ.ศ.
๖๙๓-๗๙๓) ผตู้ งั้ นกิ ายมาธยมกิ (บางทถี อื วา่ เปน็ ตน้ กำำ� เนดิ
มหายานด้วย แตย่ ังไมย่ อมรับท่วั กัน) มมี หาวทิ ยาลัย
พระพทุ ธศาสนาท่ีพระนาคารชุนสอน พรอ้ มทั้งสถูปเจดีย์
วดั วาอาราม เปน็ มหาสถานอนั รุ่งเรือง ซึ่งพบแลว้ ขดุ แต่ง
กนั มาแตป่ ี ๒๔๖๘ จนกระทงั่ เมอ่ื รฐั บาลสรา้ งเขอ่ื น
“นาคารชนุ สาคร” เสร็จในปี ๒๕๐๓ มหาสถานน้ี กจ็ ึงจม
อยใู่ ตผ้ ืนน้้� ำำ แต่รัฐได้พยายามรักษาบางสว่ นที่สำำ� คญั ดว้ ย
การจำำ� ลองไวบ้ นบกเป็นต้น
ราชวงศส์ าตวาหนะ ได้อปุ ถมั ภ์บำำ� รุงพุทธสถาน
ทงั้ หลายอยา่ งดี ต้งั แตส่ าญจีลงมาถึงนาคารชุนโกณฑะ
และอมราวตี แต่สายวงศเ์ องคงเป็นพราหมณ์ จึงมีการทำ�ำ
พธิ ีบชู ายัญอัศวเมธ
52 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
อุตราบถ และมัธยมประเทศ บากเตรีย
128 BC (ตามฝรัง่ =พ.ศ. ๓๕๕ นบั อย่างเรา=พ.ศ. คนั ธาระ
๔๑๕) หันกลบั ไปดทู างฝา่ ยเหนือ อาณาจักรบากเตรยี ปุรษุ ปุระ ตกั สลิ า
คือโยนก ถกู ชนเผา่ ต่างๆ จากอาเซยี กลางรกุ รานเขา้ มา
เปน็ ระลอก เร่ิมแตพ่ วกศกะ จนในทสี่ ดุ ได้ตกเปน็ ของ กุษาณ
อาณาจกั รกุษาณ ทร่ี งุ่ เรืองต่อมา แม่น้ำ�ำ้ สนิ ธุ แมน่ ้ำ้ำ� ยมุนา
แมน่ ้ำำ�้ คงคา
ระหว่างน้ี ราชวงศศ์ งุ คะ นอกจากอาณาจกั รหด
เล็กลงมากเพราะดนิ แดนใตแ้ ม่น้้� ำำนัมมทาลงไปไดต้ กเปน็ มถรุ า ปาฏลบี ตุ ร
ของอาณาจกั รฝา่ ยใตข้ องราชวงศ์สาตวาหนะ (ที่เกิดขึ้น
ใหม่ในระยะท่ีมคธของราชวงศโ์ มริยะกำำ� ลังแตกสลาย) ศุงคะ กลงิ คะ
แลว้ กอ็ อ่ นกำำ� ลังลงอกี เพราะต้องต้ังรบั ทพั กรีกโยนกอยู่ อา่ ว
เรอื่ ยๆ ต่อมาภายในกเ็ กดิ ปัญหาจนถูกกำ�ำจดั สิ้นวงศ์ใน แมน่ ้�ำำ้ นัมมทา
พ.ศ. ๔๑๐ (73 BC) เบงกอล
ทะเล อชันตา
เมอื่ บากเตรีย/โยนกหมดอำำ� นาจ และศุงคะส้ิ น อาหรบั
วงศ์แลว้ ชมพูทวีปกม็ อี าณาจักรยิ่งใหญ่อยู่ ๒ คือ กษุ าณ สาตวาหอมนระาวตี
ทางฝ่ายเหนอื และสาตวาหนะในฝ่ายใต้
ปาณฑยะ
กษุ าณได้แผ่อำ�ำนาจเข้าแทนท่ี กษตั รยิ ์กรีกโยนก
โดยขยายอาณาจักรลงมาจนถึงเมอื ง มถุรา (ใตก้ รุงเดลี กษุ าณทางฝา่ ยเหนือ กับสาตวาหนะในฝ่ายใต้ หน้าตรงข้าม:
ลงมา ๑๓๗ กม. เย้อื งไปทางตะวันออกเลก็ นอ้ ย; ในยคุ เปน็ อาณาจกั รรว่ มสมยั ท่ี นบั คร่าวๆ ว่าเรมิ่ ตน้ และส้ิ นสุด ภาพแกะสลกั สถปู แบบอมราวตี
ใกล้พุทธกาล มถรุ าเป็นเมืองหลวงของแคว้นสุรเสนะ) ในช่วงสมยั เดียวกนั (เริม่ ในชว่ ง พ.ศ. ๓๐๐-๔๐๐ แลว้ จากซา้ ย:
สาตวาหนะสิ้น พ.ศ. ๗๔๓ กุษาณส้ิ น พ.ศ. ๗๖๓) พุทธศิลปแ์ บบมถุรา
มถรุ านอกจากเป็นศูนย์อำำ� นาจของกุษาณในแถบ เหรียญกษตั ริยก์ ุษาณ
ลา่ งแลว้ กเ็ ปน็ ถ่ิ นที่รุ่งเรืองของศลิ ปะแมแ่ บบที่เรียกว่า
ตระกลู ศิลปแ์ หง่ มถุราด้วย โดยเจรญิ คู่กันมากับศลิ ปะ
แบบคันธาระ และราชวงศก์ ุษาณก็ไดอ้ ุปถมั ภบ์ ำำ� รุงศิลปะ
ทั้งสองสายน้ั น
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 53
ทางสายไหม (สว่ นตน้ ของทางสายไหม ซง่ึ ใชข้ นหยกจากโขตาน เพราะในหลมุ ฝังศพอยี ิปตโ์ บราณก็พบผา้ ไหม นอกจาก
/Khotan ไปยังกรุงจีน มีมานานตง้ั แต่ราว 300 BC/ราว น้ั นมีตำ�ำนานของยวิ วา่ พ่อคา้ อสิ ราเอลได้คา้ ขายกับจีนมา
141-87 BC ท่ีเมืองจนี ในรัชกาลพระเจ้าฮ่ั น-ว่ตู ่ี พ.ศ. ๒๕๐ แลว้ และเร่ิมเช่ือมกบั ตะวนั ตกตง้ั แต่ 200 แตส่ มัยกษตั ริยเ์ ดวดิ /King David คร้ังตน้ ศตวรรษที่ 10
จนี แผอ่ ำำ� นาจมาถงึ อาเซยี กลาง ไดเ้ ปิดเสน้ ทางสายไหม BC แต่คา้ ขายกันจริงจงั ในยุค 100 BC อยา่ งไรก็ดี นัก BC)
เชอ่ื มเมืองเชียงอาน (ฉางอาน) กบั โรม ยาว ๔,๐๐๐ ประวัตศิ าสตรบ์ ้างกว็ ่าทางสายไหมมตี ้ังแตร่ าว 1,000 BC
ไมล์ (๖,๕๐๐ กม.) โดยเรม่ิ มกี องเกวยี นขนสง่ ไหมไปยงั
เปอร์เซียในปี 106 BC (=พ.ศ. ๔๓๘)
54 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
โรมนั เรืองอำ�ำนาจ เดือน “สิงหาคม” ทเี่ ดิมเรียก Sextilis ก็ถกู
เปลีย่ นชอ่ื เพ่อื เฉลมิ พระเกยี รติเป็น August ในปี 8 BC
90 BC (ฝรงั่ นับ=พ.ศ. ๓๙๓ เรานบั =พ.ศ. ๔๕๓) (ทำ�ำนองเดียวกับที่เดอื น “กรกฎาคม” ซงึ่ เดมิ เรยี กว่า
สาธารณรฐั โรมนั เกดิ สงครามกลางเมอื ง ในที่สดุ ปี 48 Quintilis ไดถ้ ูกเปล่ยี นชือ่ เป็น July เม่ือปี 44 BC เพ่ือ
BC จูลิอุส ซีซาร์ (Julius Caesar) มีชยั ได้อำ�ำนาจ แต่ ๔ เฉลิมเกียรตขิ อง Julius Caesar)
ปีต่อมาเขาก็ถกู ลอบสังหาร
นับแตร่ ชั กาลของพระเจา้ ออกัสตัสนเี้ ป็นตน้
ตอ่ มา ออกตาเวียน (Octavian) นัดดา ซงึ่ จูลอิ สุ ไป สาธารณรัฐโรมนั (Roman Republic) เปลีย่ นเป็น
ซซี ารไ์ ดต้ งั้ ไวเ้ ปน็ ทายาท รบชนะแอนโทนแี ละคลโี อพตั รา จกั รวรรดิโรมัน (Roman Empire) เรยี กส้ั นๆ ตามชื่อ
(ราชนิ แี หง่ อยี ิปต์ ราชธดิ าของพระเจา้ Ptolemy XI) ใน เมืองหลวงว่า “โรม”
ปี 31 BC (โอรสของนางคือกษตั ริย์ Ptolemy XV ก็ถกู
สงั หาร จึงส้ิ นราชวงศ์ Ptolemy) พระเจา้ ออกสั ตัส จดั การบา้ นเมอื งและบำ�ำรงุ
ศลิ ปวทิ ยา เร่มิ ยุคแห่งความสงบเรียบร้อยและรงุ่ เรอื งสืบ
ออกตาเวยี นได้รบั สถาปนาเป็นจักรพรรดิโรมัน มา ๒๐๐ ปี มคี ำ�ำเฉพาะเรียกว่า Pax Romana
องค์แรก ในปี 29 BC เฉลมิ พระนามว่า ออกัสตัส หรือ
ออกสั ตัส ซซี าร์ (Augustus Caesar) ในปี 27 BC
จากซา้ ย:
จลู อิ ุส ซซี าร์
คลีโอพตั รา
มาร์ค แอนโทนี
ออกัสตัส ซีซาร์
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 55
จากซา้ ยบน: ถนนโรมัน+ทางสายไหม โรมันมาครองยิว
Pompeii Street
Roman Road พระเจา้ ออกสั ตัสไดใ้ สพ่ ระทยั สร้างถนนโรมนั 63 BC (ตามฝรง่ั =พ.ศ. ๔๒๐; ไทยนับ=พ.ศ.
นายพลปอมปีย์ (Roman Roads ของเดิมสร้างมาแต่ราว 312 BC) ซงึ่ ๔๘๐) นายพลโรมันชอ่ื ปอมปยี ์ (Pompey, คู่แข่งและ
56 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก เชอื่ มกรงุ โรมกบั เมอื งนอ้ ยใหญ่ (ตอนเจรญิ สงู สดุ จกั รวรรดิ แพ้ Julius Caesar) ยึดเยรซู าเลม็ ได้ และเข้าปกครอง
โรมันมถี นนยาวทัง้ ส้ิ น ๘๕,๐๐๐ กม. จากอังกฤษถึง แผ่นดนิ ปาเลสไตน์ ชาวยวิ ตกอยูใ่ ต้การปกครองของ
อาฟรกิ าเหนอื จากคาบสมทุ รไอบเี รียฝงั่ แอตแลนตคิ จักรวรรดโิ รมัน
ในทศิ ตะวันตก จดอ่าวเปอรเ์ ซยี ในทศิ ตะวนั ออก ผา่ น
ดินแดนตา่ งๆ ถ้านบั ตามสภาพปัจจบุ ันก็เกิน ๓๐ ชาต)ิ
ทางสายไหม ซงึ่ เรมิ่ จากเมอื งเชยี งอาน หรอื
จากฝ่ังทะเลจนี ผ่านอาเซยี กลาง มายงั คนั ธาระและ
บากเตรยี /โยนก ตอ่ ไปทางแบกแดด จนถงึ ฝ่งั ตะวนั ออก
ของทะเลเมดเิ ตอเรเนียน ได้เชอ่ื มจักรวรรดิโรมนั กบั จนี
และอินเดยี โดยต่อเข้ากบั ถนนโรมนั นั้น และถนนแถบ
ชมพูทวปี ท่สี ร้างข้ึ นมากมายในยุคอโศก พร้อมทงั้ ถนน
ของจักรวรรดเิ ปอร์เซยี โบราณ เป็นเส้นทางเดนิ แห่ง
อารยธรรมตะวันออก-ตะวันตกอยู่ยาวนาน
(หลกั ฐานฝ่ายกรีกกลา่ วถึงถนนของโมรยิ กษตั รยิ ์
เช่อื มเมอื งตกั สลิ า ปาฏลีบุตร และส้ิ นสุดทเี่ มืองท่า
ตามรลิปติ (บาล=ี ตามลิตต;ิ ตัมพลิงค์ ก็วา่ ) ท่ีปากแม่น้�้ำำ
คงคา ใต้เมอื งกลั กัตตาปัจจบุ ัน ถา้ วดั ตรงเปน็ เส้นบรรทดั
โดยไมผ่ า่ นเมืองอื่นในระหวา่ ง กเ็ ปน็ เสน้ ทางยาว ๒,๐๐๐
กม.)
กำำ� เนดิ ศาสนาครสิ ต์ ค.ศ. 25 หรอื 29 (=เรานบั พ.ศ. ๕๖๘ หรอื ๕๗๒) โรมนั กำ�ำจดั คริสต์
พระเยซูถูกโรมัน ซึง่ เปน็ ผู้ปกครองที่น่ั น ส่ังลงโทษตาม
8-4 BC (ตามฝรง่ั =พ.ศ. ๔๗๕-๔๗๙) นบั แบบ ความประสงค์ของพวกยวิ ใหป้ ระหารชวี ิตดว้ ยการ พ.ศ. ๖๐๗ (ค.ศ. 64; ฝรัง่ นบั =พ.ศ. ๕๔๗) เนโร
เรา=พ.ศ. ๕๓๕-๕๓๙) ช่วงเวลาที่สันนิษฐานว่าพระเยซู ตรึงไม้กางเขน ฐานอวดอ้างเทจ็ วา่ เป็นพระผ้มู าโปรด (Nero) จักรพรรดิโรมนั เร่มิ กำ�ำจัดกวาดลา้ งผูถ้ ือครสิ ต์
ประสตู ทิ ีเ่ มอื งเบธเลเฮม (Bethlehem) ทางใตข้ อง (messianic pretender) อยา่ งโหดเห้ียม
เยรซู าเลม็ ในอิสราเอล
ชาวคริสต์ถือวา่ การสิ้นชพี ของพระเยซูเพราะถูก หลังจากนั้น มีการกวาดล้างชาวครสิ ต์คร้ังใหญ่
พระเยซเู ปน็ ชาวยวิ เปน็ บตุ รของแมน่ างพรหมจารี ตรงึ ไม้กางเขนนี้ เปน็ การไถ่บาปใหแ้ ก่มวลมนุษย์ กับทงั้ ในจกั รวรรดโิ รมันอีกหลายคร้ัง โดยเฉพาะใน พ.ศ. ๗๒๐
แมรี ภรรยาของโจเซฟ ชา่ งไม้แหง่ เมอื งนาซาเรธ ถอื วา่ พระเยซไู ดฟ้ ้ืนคนื ชีพ (Resurrection) และหลังจาก (ค.ศ. 177) จกั รพรรดิมารค์ สั ออรีเลียส จัดการให้งาน
นั้น ๔๐ วัน ได้เสด็จขึ้นสสู่ วรรค์ กำ�ำจัดกวาดล้างผถู้ ือคริสต์จรงิ จงั เป็นระบบ พ.ศ. ๗๙๓
นาม “เยซ”ู คือ Jesus เป็นคำ�ำกรีก ตรงกับคำ�ำยิว (ค.ศ. 250) จักรพรรดิดเี ชียส ดำำ� เนนิ การกำ�ำจดั กวาดล้าง
เป็นภาษาฮบิ รวู ่า Joshua ส่วน “คริสต์” คอื Christ หลงั จากน้ั น ปอล หรือ เปาโล (บางทีเรยี กเปน็ แบบต้อนฆ่าไม่เลือก ทำำ� ใหเ้ กิดมผี ู้พลชี พี ที่เรียกวา่
(ไครสต์) กเ็ ปน็ คำำ� กรีก ตรงกบั คำ�ำฮบิ รวู า่ Messiah แปล ภาษาฮบิ รูวา่ Saul; ไดเ้ ปน็ Saint Paul) เปน็ บุคคล martyr ซึง่ ต่อมายกเป็นนักบญุ (saints) และใน พ.ศ.
วา่ “(ผู้ไดร้ บั การ)เจิมแลว้ ” สำ�ำคญั ท่ี ทำำ� ให้ศาสนาครสิ ต์เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางใน ๘๔๖ (ค.ศ. 303) จักรพรรดิไดโอคลีเชียนกด็ ำำ� เนินการ
ดนิ แดนกรกี -โรมัน กำำ� จัดกวาดลา้ งคราวใหญ่อกี
เมอ่ื อายปุ ระมาณ ๓๐ ปี หลงั ไดร้ ับศลี จุม่
(Baptism) จาก John the Baptist แล้วพระเยซไู ด้เรมิ่
เผยแพรค่ ำำ� สอนทีเ่ ป็นฐานใหเ้ กดิ ศาสนาครสิ ต์ (สว่ นมาก
สอนที่กาลิลี/Galilee ซึ่งอยูส่ ว่ นเหนือสุดของปาเลสไตน์
เมอื งนาซาเรธ/Nazareth ท่พี ระเยซเู ตบิ โตกอ็ ยใู่ นเขต
กาลลิ นี )้ี โดยมสี าวกทที่ า่ นเลอื กไว้ ๑๒ คน (12 Apostles
มี Saint Peter เปน็ หวั หน้า)
แตเ่ ม่ือพระเยซสู อนในปีท่ี ๓ พวกนักบวชยวิ
เปน็ ตน้ ซงึ่ ไมพ่ อใจการสอนของทา่ น รว่ มดว้ ยสาวกคนหนงึ่
ของทา่ นท่ีทรยศ ไดส้ มคบกันจับตัวท่านใหเ้ จ้าหน้าทีย่ วิ
สอบสวนฐานปลกุ ปน่ั ประชาชน แลว้ สง่ แกโ่ รมนั ผปู้ กครอง
จากซา้ ย:
พระเยซู
จักรพรรดเิ นโร
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 57
พุทธศาสนาร่งุ เรือง ยคุ ท่ี ๒
พระเจา้ กนิษกะ ผตู้ ัง้ ศกราช ศาสนา พุทธศิลปร์ งุ่ เรอื งมาก และได้ทรงสร้างมหาสถูป พระเจา้ กนิษกะ
ใหญ่ท่ีสุด สูง ๖๓๘ ฟตุ ไวท้ ีเ่ มืองปรุ ุษปุระ
พ.ศ. ๖๒๑ (ฝรั่งวา่ ค.ศ. 78=พ.ศ. ๕๖๑) พระเจ้า นิยมใชศ้ กั ราชชอ่ื ว่า วกิ รมสังวตั ของพระเจา้ วิกรมาทติ ย์
กนษิ กะ กษตั ริย์ยงิ่ ใหญ่ทสี่ ุดของอาณาจกั รกษุ าณ ขึ้น พระเจา้ กนิษกะสวรรคตราว พ.ศ. ๖๔๕ (แต่บาง ในตำ�ำนาน ซงึ่ ก็ว่าต้งั เมอื่ ชนะชาวศกะ ในปี 56 BC, แต่
ครองราชย์ทเี่ มืองปรุ ุษปรุ ะ (ปจั จบุ ัน=Peshwar) ถือเป็น ตำำ� ราวา่ ครองราชย์ถึง ๔๒ ปี) อาณาจักรกษุ าณอยู่ตอ่ มา ในประวตั ิศาสตร์ พระเจา้ วิกรมาทติ ย์ คอื จันทรคุปตท์ ่ี ๒
เร่มิ ต้นศกกาล (=กาลเวลาของชนชาวศกะ หรือ=ศกราช- อกี ศตวรรษเศษกส็ ้ิ น แหง่ ราชวงศค์ ุปตะ ซึ่งได้ขับไล่ชนชาวศกะออกไปจาก
กาล=กาลเวลาแหง่ ราชาของชนชาวศกะ) อนั เปน็ ทม่ี าของ อุชเชนี ในปี ๙๔๓/400)
คำำ� วา่ “ศกั ราช” (อินเดยี ไดใ้ ช้ศกกาลน้ี เปน็ ศักราชของ (ศกกาลหรอื ศกาพทน์ ั้น กอ่ นรัฐบาลอนิ เดยี ใช้
ราชการ; ปจั จบุ นั พ.ศ. ๒๕๔๕=2002-78=ศกกาล 1924) เปน็ ทางการของประเทศ ทางอนิ เดยี ใตไ้ ด้ใชก้ นั มาโดย
มีตำำ� นานตา่ งจากข้างต้นว่า พระเจ้าศาลวิ าหนะแหง่
พระเจ้ากนิษกะทรงเปน็ พุทธมามกะย่ิงใหญ่ และ ราชวงศ์สาตวาหนะเป็นผู้ตงั้ ข้ึ น เม่ือทรงชนะและได้
ได้ทรงทำ�ำนบุ ำ�ำรงุ พระพุทธศาสนามากมาย ทำำ� ให้พระ สงั หารพระเจา้ วกิ รมาทิตย์ ราชาชาวศกะ แห่งกรุง
พุทธศาสนาแผไ่ ปทางอาเซยี กลาง แลว้ ขยายต่อไปยงั จีน อุชเชนี ใน ค.ศ. 78, เร่อื งนี้ตรงขา้ มกับอินเดยี เหนอื ท่ี
เปน็ ต้น ทรงสืบต่อประเพณพี ุทธในการให้เสรีภาพทาง
พทุ ธศาสนาเข้าสจู่ ีน นกั ประวัตศิ าสตรก์ ลา่ ววา่ ตามหลกั ฐาน ไดม้ ีชาว
พุทธอยูใ่ นจีนนานก่อนนั้น ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 BC เพยี ง
พ.ศ. ๖๐๘ (ค.ศ. 65) เปน็ ปที ่ถี อื กันมาวา่ จีนรบั แตย่ งั ไมม่ ีการเผยแพร่จริงจัง และพระพุทธศาสนากเ็ ขา้
พระพทุ ธศาสนาเขา้ ส่ปู ระเทศโดยทางราชการ กล่าวคือ มาตามกระแสการนบั ถือของประชาชนเพิ่มขึ้นเองทีละ
พระจักรพรรดิ มิง่ ตี่ แห่งราชวงศ์ฮั่น ทรงส่งคณะทูต ๑๘ นอ้ ย ตอนแรกกม็ าทางอาเซียกลาง แลว้ ต่อมาก็มาตาม
คน ไปสบื พระศาสนาทป่ี ระเทศอินเดยี ณ เมอื งโขตาน เส้นทางการค้าดา้ นอาเซียอาคเนย์
(Khotan ปจั จบุ ันเปน็ ของจนี =Hotan แต่สมยั น้ั นอยูใ่ น
อนิ เดีย) หลงั จากนั้น ๒ ปี คณะทูตกลับมาพร้อมดว้ ยพระ พ.ศ. ๖๔๘ (ค.ศ. 105) ท่เี มืองจนี มีผทู้ ำ�ำกระดาษ
ภกิ ษุ ๒ รปู คอื พระกาศยปะมาตงั คะและพระธรรมรกั ษะ ข้ึ นใช้เป็นครง้ั แรกในโลก (ผทู้ ำำ� เปน็ ขันทีในราชสำ�ำนกั )
กับทง้ั พระธรรมคมั ภรี ์จำำ� นวนหน่งึ พระภิกษุ ๒ รูปน้ั นได้
พำ�ำนกั ทีว่ ัดมา้ ขาวในเมืองลกเอี๋ยง (=โล่หยาง Loyang)
และได้แปลพระคัมภีรส์ ภู่ าษาจีนหลายคมั ภีร์
58 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
กษุ าณ โขตาน สังคายนา ทมี่ หายานปรากฏตวั
ปุรุษปุระ พ.ศ. ๖๔๓ (=ค.ศ. 100) พระเจ้ากนิษกะ ทรง
อุปถมั ภก์ ารสงั คายนาท่พี ระสงฆน์ กิ ายสรวาสตวิ าทจัด
ชลนั ธร ข้ึ นทเี่ มืองชลนั ธร (ปจั จบุ นั = Jullundur ไม่ไกลจาก
Lahore) แตห่ ลกั ฐานบางแห่งว่าจัดท่ี กัศมีระ (แคชเมยี ร)์
หลกั ฐานฝา่ ยจนี ว่าได้จารกึ พุทธพจนล์ งบนแผ่นทองแดง
ฮน่ั สงั คายนานี้นับโดยรวมเปน็ ครั้งที่ ๔ แตท่ าง
เถรวาทไมน่ ับ และนกิ ายสรวาสตวิ าทกน็ ับเป็นครัง้ ท่ี ๓
เพราะไมน่ ับการสงั คายนาสมัยพระเจา้ อโศกฯ
ในสงั คายนาคร้ังน้ี พระอศั วโฆษ ปราชญ์ใหญย่ ุค
แรกของมหายาน (เป็นกวีเอกของชมพทู วปี กอ่ นกาลิทาส
และถอื กนั ว่าเป็นผ้รู จนา มหายานศรัทโธทปาทศาสตร์ ของมหายาน และเป็นการที่มหายานยอมรับสงั คายนา
คอื คมั ภีรว์ า่ ดว้ ยการเกิดข้ึ นแห่งศรัทธาในมหายาน และ ครัง้ น้ดี ้วย กับทัง้ ถือเป็นจดุ เร่ิมที่มหายานจะเจรญิ รุดหน้า
พุทธจรติ ) ไดร้ ่วมจัด และได้กล่าวแสดงหลักธรรมของ ตอ่ มา แมน้ กิ ายสรวาสตวิ าทจะสญู ไป ก็ถอื สงั คายนานี้
มหายานเป็นอันมาก นบั ว่าเป็นการปรากฏตวั ครัง้ สำ�ำคญั เสมือนเป็นสงั คีติของมหายาน
หน้าตรงขา้ ม: ชนชาตไิ ทยเรม่ิ รบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา
วดั ม้าขาว (แปะเบย๊ )่ี
ซา้ ย: พ.ศ. ๖๒๑ (ค.ศ. 78) ประมาณชว่ งเวลานี้ ในยคุ
Dragon Gate Cave ท่ไี ทยถูกจีนรุกรานตลอดมาน้ั น คราวหน่งึ พระเจา้ ม่งิ ต่ี
เมอื งโลห่ ยาง แหง่ ราชวงศฮ์ ั่น (ฮ่ั นเมง่ ตี่ กเ็ รียก) ทรงส่งทตู สนั ถวไมตรี
มายงั ขนุ หลวงเมา้ กษัตรยิ ์ไทยแหง่ อาณาจักรอา้ ยลาว
คณะทูตได้นำำ� พระพทุ ธศาสนาเข้ามาดว้ ย ทำำ� ใหห้ วั เมอื ง
ไทยทง้ั ๗๗ มีราษฎร ๕๑,๘๙๐ ครอบครัว (จำำ� นวนคน
ประมาณ ๕๕๓,๗๐๐ คน) หนั มารบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา
เป็นครงั้ แรก
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 59
พามิยาน ศนู ยก์ ารคา้ ศาสนา ฯลฯ เปอร์เซียรุ่ง ชมพูทวีปรวน
ในยคุ นีแ้ ละต่อเนอ่ื งมาประมาณ ๗๐๐ ปี เมอื งพา พ.ศ. ๗๖๓ สิ้นราชวงศ์กษุ าณ (สาตวาหนะ แห่ง
มิยาน (Bamian หรอื Bamiyan; อยหู่ า่ งจากกาบุล/ ทกั ษิณาบถ ก็ได้สิ้นไปใกล้ๆ กันเม่ือ พ.ศ.๗๔๓)
Kabul เมอื งหลวงของอฟั กานสิ ถานปจั จบุ นั ไปทางตะวนั ตก
ราว ๑๕๐ กม.) เปน็ ศนู ยก์ ลางทางศาสนา วัฒนธรรม เวลาศตวรรษหนงึ่ ต่อแต่น้เี ปน็ ชว่ งมดื มวั แหง่
และการค้า บนเสน้ ทางพาณชิ ย์ระหว่างอนิ เดียกับอาเซีย ประวตั ศิ าสตร์ของชมพูทวปี ทราบกนั เพียงว่า อาณาจักร
กลาง โดยเช่ือมตะวันออกถงึ จนี กับตะวันตกถงึ โรม มกี าร เปอร์เซยี หรอื อิหร่านโบราณของราชวงศส์ าสสนทิ
สรา้ งพทุ ธสถาน วดั วาอารามรวมท้งั วัดถ้้� ำำมากมาย ท่ี นา่ (Sassanid) แผ่ขยายอำ�ำนาจ จนในท่สี ุด อาณาจกั รกุษาณ
สังเกตคอื พระพทุ ธรปู ใหญม่ หาปฏมิ ากรรม ทีแ่ กะสลกั รวมถึงบากเตรียหรือโยนก ไดต้ กเปน็ ของอาณาจกั ร
หินผาหนา้ ภเู ขาเขา้ ไป ๒ องค์ ซ่ึงสันนิษฐานกนั วา่ สรา้ ง เปอร์เซีย และชมพูทวปี ก็ระส่�่ำำระสายจนขึ้นสู่ยุคคุปตะใน
ในช่วง พ.ศ. ๗๕๐-๑๐๐๐ องค์หนง่ึ สูง ๕๓ เมตร อีกองค์ ศตวรรษตอ่ มา
หนึ่งสงู ๓๗ เมตร (พระถังซำำ� จัง๋ ไดผ้ า่ นมาเห็นและบนั ทกึ
พระพุทธรูปแกะสลัก ท่ีพามยิ าน วา่ องคพ์ ระประดบั ด้วยทองคำ�ำและเพชรนิลจินดา)
จนี ยุคสามกก๊ สามก๊ก จนในทีส่ ดุ ทางฝา่ ยเหนือ สุมาเอยี๋ นถอดพระเจ้า
โจฮวนออกจากราชสมบตั ใิ น พ.ศ. ๘๐๘ (ค.ศ. 265) ตั้ง
พ.ศ. ๗๖๓-๘๒๓ (ค.ศ. 220-280) ท่เี มอื งจนี ราชวงศ์ใหม่คือราชวงศจ์ ้ิ นขึ้น อนั เปน็ ชว่ งแรกเรยี กว่า
เป็นยคุ สามก๊ก เนื่องจากเม่อื จะสิ้นราชวงศฮ์ ่นั บา้ นเมอื ง จ้ิ นตะวันตก คร้ั นถงึ ปี ๘๐๗ (ค.ศ. 264) ก๊กตะวนั ตกท่ี
ระส่�่ำำระสาย พระจกั รพรรดิ คือ พระเจา้ เห้ยี นเต้ ท่ีเมือง เสฉวนส้ิ นอำ�ำนาจ และตอ่ มาปี ๘๒๓ (ค.ศ. 280) ก๊กเหนือ
ลกเอย๋ี ง เปน็ เพียงหุน่ เชดิ เกิดเป็น ๓ กก๊ ส้รู บกัน มีโจโฉ มชี ัยปราบแคว้นหวู (หรือ งอ่ ) ฝ่ายใต้ลงได้ รวมประเทศ
ทเี่ มอื งหลวงในฝ่ายเหนือ (วุยกก๊ ) เลา่ ปที่ ีเ่ สฉวนในฝ่าย ให้กลบั คนื เปน็ อนั เดียว
ตะวนั ตก (จกก๊ก) และซุ่นกวนท่ี นานกิงในฝา่ ยใตแ้ ถบ
ตะวนั ออก (ง่อก๊ก) ในยคุ น้ีพุทธศาสนาเจริญขึ้นมาเหนือลัทธขิ งจื๊อ
แต่ลัทธเิ ต๋ากร็ ุง่ เรืองข้ึ นดว้ ย นอกจากน้ีภัยใหม่จากทาง
เมอื่ โจโฉสิ้นชพี ในปี ๗๖๓ (ค.ศ. 220) พระเจา้ เหนือก็จะเรม่ิ ปรากฏ คือ พวกหณู ะรุกรานเข้ามา
เห้ยี นเต้พน้ จากราชสมบัติ บุตรของโจโฉข้ึ นครองแผ่น
ดนิ เป็นพระเจา้ โจผีต้ังราชวงศว์ ุย (หรอื เวย่ หรือ เว) ส้ิ น
ราชวงศ์ฮ่ั น แต่ละแคว้นตงั้ ตวั เป็นใหญ่ จึงถอื วา่ เข้ายคุ
60 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
งานอชนั ตา ฟ้ืนขน้ึ มาและเดินหน้าต่อไป ในยคุ ของวากาฏกะนี้ งานศลิ ป์ท่หี มู่ถ้�้ำำอชนั ตาได้
กลับฟ้นื ข้ึ นและเฟ่ืองฟสู บื ตอ่ มาในสมยั ราชวงศจ์ าลกุ ยะ
พ.ศ. ๘๐๐ (โดยประมาณ; กลางหรือปลาย ค.ศต. (พ.ศ. ๑๐๘๖-๑๓๐๐) ดว้ ย
ที่ 3) ทางดา้ นทกั ษิณาบถ เม่ือสาตวาหนะเสอื่ มอำ�ำนาจ
ไปแลว้ ที่ Deccan ตอนบน ราชวงศ์วากาฏกะ (นัก พุทธศตวรรษที่ ๘-๑๒ อาเซยี กลาง โดยเฉพาะ
โบราณคดีบางทา่ นสนั นษิ ฐานวา่ เปน็ เช้ือสายกรกี ) ไดข้ ้ึ น เมืองกูจา (Kucha ถ้าวดั ตรงเปน็ เสน้ บรรทัด ก็อยเู่ ลย
ครองอำ�ำนาจ โดยมเี มืองหลวงอยทู่ ่ปี รุ ิกา (ตอ่ มายา้ ยไปท่ี ตกั สลิ าไปทางตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ราว ๑,๒๕๐ กม. แลว้
นาสิก/Nasik แล้วยา้ ยอีกไปท่ีประวรปรุ ะ) ต่อลงไปทางตะวันออกเฉยี งใตอ้ กี ราว ๒,๔๐๐ กม. จงึ จะ
ถงึ เมืองเชียงอาน) ไดเ้ ปน็ ศูนย์กลางสำำ� คัญของพระพทุ ธ
ในชว่ งเวลาใกลก้ ันน้ี ในอนิ เดยี ภาคเหนือ กม็ ี ศาสนา ที่แผพ่ ระพทุ ธศาสนาต่อจากชมพทู วปี ไปยัง
ราชวงศค์ ุปตะรงุ่ เรอื งขึ้นมา และมสี ัมพนั ธไมตรีอันดีกบั ประเทศจีน โดยเส้นทางสายไหม มีพระภกิ ษุหลายทา่ น
ที่น่ี กบั ทง้ั ทะนบุ ำำ� รงุ ศิลปกรรมเช่นกนั เดนิ ทางไปจนี จากเมืองน้ี (เมืองอื่นที่สำ�ำคัญก็เชน่ โขตาน/
Khotan ทบ่ี ดั นเี้ ปน็ Hotan ซง่ึ หา่ งตกั สลิ าเพยี ง ๗๕๐ กม.)
ทง้ั สองอาณาจกั รนเี้ จรญิ ค่เู คียงกนั มา และสิ้นวงศ์
ในเวลาใกลก้ นั (คปุ ตะสิ้น พ.ศ. ๑๐๘๓=ค.ศ. 540 สว่ น
วากาฏกะก็สิ้นในช่วงใกลก้ ันน้ั น)
โรมันรวน เพราะบารเ์ บเรยี น บาร์เบเรยี น
เผา่ เยอรมนั
พ.ศ. ๘๒๙ (ค.ศ. 286) ไดโอคลีเชียน จักรพรรดิ สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 61
โรมนั ไดเ้ ผชิญปญั หาพวกอนารยชนเผา่ ตา่ งๆ โดยเฉพาะ
พวกเผา่ เยอรมนั ทีท่ ยอยมาบุกตดี นิ แดนแถบเหนอื และ
ตะวนั ตกเรื่อยมาตงั้ แต่ตน้ ศตวรรษ จงึ หาทางจดั การ
ปกครองใหง้ ่ายข้ึ น โดยแยกจักรวรรดิโรมันออกเป็น ๒
ภาค คอื จกั รวรรดโิ รมันตะวันตก และจักรวรรดโิ รมนั
ตะวันออก
พ.ศ. ๘๕๔ (ค.ศ. 311) เกลเี รยี ส จกั รพรรดิโรมนั
ซึ่งได้ห้้� ำำห่ั นผ้ถู ือครสิ ตอ์ ยา่ งมาก ครั้นใกลส้ วรรคต ได้
ประกาศโองการยอมให้มกี ารถอื ศาสนาตามสมคั รใจ
มหาวิทยาลัยนาลนั ทา
โรมนั หนั มาถอื คริสต์ บูรณะเมอื งบแี ซนเทยี ม แลว้ ยา้ ยจากโรมไปท่ี นั่น ตง้ั เป็น
นครหลวงใหมข่ องจกั รวรรดโิ รมนั ใหช้ อื่ วา่ เมอื งคอนสแตน
พ.ศ. ๘๕๖ (ค.ศ. 313) คอนสแตนตนิ ท่ี ๑ ติโนเปิล (Constantinople; ปัจจบุ ันคอื เมอื งอสิ ตันบลุ /
(Constantine I) หรอื คอนสแตนตินมหาราช จกั รพรรดิ Istanbul ในประเทศเตอรก์ ี)
โรมนั ผู้ครองโรมนั ตะวนั ตก ได้ประกาศโองการแห่งมลิ าน
คอนสแตนตินท่ี ๑ (Edict of Milan) ยกศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำ�ำรัฐ
62 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก ของจกั รวรรดโิ รมัน
ต่อมา คอนสแตนติน รบและสังหารไลซเิ นยี ส
จักรพรรดโิ รมนั ตะวันออกในท่ีรบ แลว้ ครองอำ�ำนาจผ้เู ดียว
คร้ั นถงึ พ.ศ. ๘๗๓ จักรพรรดิคอนสแตนติน เห็นชดั แลว้
วา่ คงสกัดพวกอนารยชนเผ่าเยอรมันทง้ั หลาย คือ พวก
แฟรงค/์ Franks พวกกอธ/Goths พวกแวนดาล/Vandals
เป็นต้น ไวไ้ มอ่ ยู่ จะตอ้ งรน่ ถอยจากอิตาลี และกอล จึงได้
อินเดยี รงุ่ ใหม่ ในยคุ คปุ ตะ ในยุคน้ี ศิลปะแบบคุปตะไดเ้ จริญข้ึ นมาแทนท่ี
ศลิ ปะแบบคันธาระ-กรีก ทค่ี ่อยๆ หายไป
พ.ศ. ๘๖๓ (ค.ศ. 320) หลังกษุ าณส้ิ นวงศ์แล้ว
และชมพูทวปี ปนั่ ป่วนอยู่ พระเจา้ จันทรคุปตท์ ่ี ๑ (ต้งั ชอ่ื กษตั ริยใ์ นราชวงศ์คปุ ตะ แม้วา่ สว่ นใหญ่จะเป็น
เลยี นแบบจันทรคุปต์แห่งโมริยวงศ)์ รวบรวมดินแดนชมพู ฮนิ ดู แต่ไดอ้ ปุ ถัมภ์มหาวิทยาลยั นาลันทาอยา่ งมากใน
ทวีปแถบเหนือ ฟ้ืนมคธข้ึ นมา ต้งั ราชวงศ์ใหมช่ ่ือคปุ ตะ ฐานะสถานศกึ ษา
ครองราชยท์ ี่เมอื งปาฏลีบุตร นำ�ำอินเดียข้ึ นสู่ความรุ่งเรือง
อีกคร้ังนานราว ๒๒๐ ปี พระพุทธรูปศลิ ปะคปุ ตะ
(เฉพาะในรัชกาลพระเจ้าจนั ทรคุปต์ที่ ๒ วิกรมา-
ทิตย์ พ.ศ. ๙๒๓-๙๕๘ ไดต้ งั้ เมืองหลวงที่อโยธยา ซงึ่ ใน
คร้งั โบราณเคยเป็นเมืองหลวงของแควน้ โกศลตั้งแตส่ มยั
พระรามในเร่อื งรามเกยี รต์ิ คอื รามายณะ กอ่ นจะย้ายมา
ตงั้ ทสี่ าวตั ถี ส่วนในครัง้ พุทธกาล อโยธยามชี อ่ื วา่ สาเกต
อย่หู า่ งกสุ นิ าราไปทางตะวันตก ๑๗๐ กม.)
โรมันกำ�ำจัดคนนอกครสิ ต์
พ.ศ. ๙๑๐-๙๒๖ (ค.ศ. 367-383) เม่ือโรม เปน็ (มิลานได้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน
ครสิ ตแ์ ลว้ เกรเชยี่ น (Gratian) จกั รพรรดโิ รมนั กก็ วาดลา้ ง ตะวันตกในช่วง พ.ศ. ๘๔๘-๙๔๕=ค.ศ. 305-402
(persecution) คนนอกรีตและคนนอกศาสนาคริสต์ ต่อมาถกู อัตตลิ าทำำ� ลายใน พ.ศ. ๙๙๕=ค.ศ. 452 แม้จะ
ฟน้ื ข้ึ นมาก็ถูกทำ�ำลายอีก เชน่ พวกกอธทำำ� ลายใน พ.ศ.
พ.ศ. ๙๓๘ (ค.ศ. 395) เมื่อจักรพรรดิธโี อโดสอิ ุส ๑๐๘๒=ค.ศ. 539 แลว้ ก็ฟนื้ ขึ้นอกี โดยเฉพาะหลงั ค.ศ.
สวรรคตแลว้ จกั รวรรดโิ รมนั แยกออกเปน็ ๒ เดด็ ขาดถาวร 1000 ไดเ้ ปน็ เมอื งรงุ่ เรอื งยง่ิ ใหญจ่ ากการทศ่ี าสนจกั รครสิ ต์
คอื จักรวรรดโิ รมันตะวนั ออก ซึ่งเรียกต่อมาวา่ จกั รวรรดิ โดยอาร์ชบชิ อปทั้งหลาย ไดค้ รองอำ�ำนาจฝ่ายอาณาจักร
บแี ซนทนี (Byzantine Empire) ท่ี กรงุ คอนสแตนตโิ นเปลิ ดว้ ย)
และจกั รวรรดโิ รมันตะวนั ตก (Western Roman Empire)
ท่ี กรุงมลิ าน (Milan)
จากซ้าย:
เกรเช่ยี น
อตั ติลา
สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 63
คนั ธาระ ปุรุษปรุ ะ โขตาน นานกงิ หลวงจีนฟาเหียนมาบก กลบั ทะเล และเขียนบันทึกการเดนิ ทางไว้ ซงึ่ ฝรั่งแปลเป็นหนังสือ
ตักสลิ าแมน่ ้�ำำ้ แยมม่นนุ ้�้ำำาคงคา ตงั้ ชือ่ วา่ “Record of Buddhist Kingdoms” ให้
คปุ ตะแม่น้้ำำ� สินธุ เชียงอาน พ.ศ. ๙๔๕ (ค.ศ. 402) หลวงจีนฟาเหียน ความรู้เร่อื งสภาพพระพุทธศาสนาในอนิ เดยี ยุคที่รุ่งเรือง
มถุราพารเาวณสาสลี ีคยปาาฏลบี ตุ ร (Fa-hsien) จาริกทางไกลแสนกันดารจากเมืองจนี ข้าม เชน่ วดั วาอารามมากมายท่ตี กั สลิ า กอ่ นถูกพวกฮ่ั น
ทะเล จีน ทะเลทรายโกบีและป่าเขามากมาย ฝา่ ท้ังลมร้อนและหมิ ะ ทำ�ำลาย ก่อนจะถกู ศาสนาฮนิ ดูเริม่ กลืน และก่อนจะพนิ าศ
อาหรบั ยะเยือก ผา่ นทางอาเซียกลางมาถึงชมพูทวปี เข้าทาง ในยคุ ทที่ พั มสุ ลิมบกุ เขา้ มา
ทกั ษณิ าบถ อ่าว คนั ธาระ เยือนปุรษุ ปรุ ะ ตกั สลิ า ไปจนถึงกบิลพสั ด์ุ
นมสั การสังเวชนยี สถานทัง้ ๔ ศึกษาทีป่ าฏลบี ตุ ร อยู่
เบงกอล ในอินเดยี ยุคราชวงศ์คปุ ตะ ๑๐ ปี แล้วนำำ� คมั ภรี ์พระ
ไตรปฎิ ก เป็นต้น เดนิ ทางกลบั เมอื งจนี โดยทางเรือ แวะ
ลังกา พำำ� นกั ท่ลี ังกาทวีป ๒ ปี ผจญภยั ในทะเล ครั้งหนึ่งถูกคล่ื น
มหาสมุทรอินเดยี ใหญ่ซดั ไปข้ึ นเกาะ (คงจะเป็นชวา แต่เวลาน้ั นยงั ไม่มี
อาณาจกั รศรวี ิชัย) ฝ่าคล่ื นลมรา้ ยเกอื บ ๗ เดือน จึงถึง
ชวา เมอื งจีน แลว้ แปลพระคัมภีร์ภาษาสนั สกฤตเป็นภาษาจีน
จนี พุทธศาสนาเข้าสเู่ กาหลี จีนกบั อาเซยี กลาง
Goguryeo พ.ศ. ๙๑๕ (ค.ศ. 372) กษัตรยิ เ์ กาหลีแควน้ ฝา่ ย พ.ศ. ๙๔๔ (ค.ศ. 401) พระกมุ ารชีวะถกู คนจนี
เหนือสง่ ทูตมาขอพระพุทธรปู และคัมภีร์ จากจกั รพรรดิ รา้ ยจับตวั จากเมืองกจู า (Kucha) ในอาเซียกลาง มาถงึ
Baekjae Silla เฮาบตู แ่ี หง่ ราชวงศจ์ ิ้นของจนี (เวลาน้ั นเกาหลียงั แยก เมืองเชยี งอาน แต่เนอ่ื งจากความสามารถของท่าน ทำำ� ให้
Kaya เปน็ ๓ อาณาจกั ร) จากจดุ เร่ิมนี้ พุทธศาสนาก็แพรไ่ ปท่ัว ราชสำำ� นักจนี นับถือ ท่านแปลพระคัมภรี ส์ ันสกฤตเป็นจนี
เกาหลีทั้งหมด จำ�ำนวนมาก และแสดงธรรมอยู่เสมอ เป็นกำ�ำลงั สำำ� คัญให้
พระพทุ ธศาสนาเจริญมั่นคงในจนี
ภาพวาดพระพทุ ธเจ้า
ยคุ Goryeo พ.ศ. ๙๖๔ (ค.ศ. 421) ธีโอโดสิอุสที่ ๒ จักรพรรดิ
โรมันตะวนั ออก ส่งกองทพั ไปสูก้ ับกษตั ริย์เปอรเ์ ซีย ที่
กำ�ำจัดชาวคริสต์
64 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
ก) ฮ่นั - ฮนิ ดู ทำ�ำลายพุทธ
พ.ศ. ๙๕๐-๑๐๕๐ (โดยประมาณ) พวกพราหมณ์ ว่านารายณจ์ ะอวตารปางที่ ๑๐ เรียกว่ากลั กยาวตารลง
ดำำ� เนินแผนทำ�ำลายพระพทุ ธศาสนาด้วยวิธีกลนื โดยแต่ง มากำ�ำจดั พวกอสรู คือชาวพทุ ธที่พระพทุ ธเจ้าหลอกออกมา
คมั ภีร์วิษณุปรุ าณะขึ้น บอกวา่ เทวดารบแพ้อสูร จงึ มาขอ ไว้แล้วน้ี อกี ทีหนง่ึ
พ่งึ องค์วิษณุคอื พระนารายณ์ พระองค์จึงอวตารมาเป็น ในชว่ งน้ี ลทั ธิ “ภักติ” คือ ความมศี รัทธาดว้ ยใจ
พระพุทธเจา้ เพอ่ื หลอกพวกอสรู ใหล้ ะท้งิ พระเวทและ รกั ภักดีตอ่ เทพเจ้าอย่างแรงเข้มในเชงิ อารมณ์ ไดม้ กี ระแส
เลิกบชู ายัญ พวกอสูรจะได้เสอื่ มฤทธ์ิ แลว้ ฝา่ ยเทวดาจะ แรงข้ึ นด้วย ส่งผลกระทบตอ่ พระพุทธศาสนามาก
ได้มาปราบอสูรไดง้ า่ ย (หมายความว่า ชาวพทุ ธ กค็ ือพวก
อสูรท่ถี ูกพระพทุ ธเจ้าหลอกให้ละทิง้ พระเวทอันศกั ดสิ์ ิทธ์ิ
พระพรหม และยญั พิธีอนั ประเสริฐ มาสูท่ างแหง่ ความเสือ่ ม) เรียก
พระวิษณุ พทุ ธาวตารวา่ เป็นนารายณป์ าง “มายาโมหะ” และบอก
พระศวิ ะ
กูจา โล่หยาง
โขตาน เชยี งอาน
มถรุ า จีน
อ่าวเบงกอล
ธโี อโดสิอสุ ท่ี ๒
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 65
พระพทุ ธโฆสาจารย์ จากชมพูทวปี ทงั้ สองนั้นขึ้นเสร็จเปน็ คมั ภรี ว์ ิสทุ ธิมัคคใ์ นปี ๙๗๓ จาก
ไปสบื อรรถกถาท่ลี ังกา น้ั นจึงได้รบั อนญุ าตให้แปลอรรถกถาได้ตามประสงค์ เมื่อ
ทำำ� งานเสรจ็ ส้ิ นแล้ว ก็เดนิ ทางกลับสู่ชมพทู วปี พระพุทธ
พ.ศ. ๙๖๕ (ค.ศ. 422) เนื่องจากพระพุทธศาสนา โฆสาจารย์เป็นพระอรรถกถาจารยท์ ่ีมีผลงานมากที่สุด
ในชมพูทวปี เสอื่ มลงมาก แม้จะยงั รักษาพระไตรปฎิ กบาลี (ตำำ� ราต่างเล่มบอก พ.ศ. ตา่ งกนั บ้าง)
ไว้ได้ แต่คัมภีร์อธบิ ายท่จี ะใช้เปน็ เครื่องชว่ ยในการศึกษา
มอี รรถกถา เปน็ ต้น ไดส้ ูญสิ้นไป พระพทุ ธโฆสไดร้ บั คำ�ำ พระพุทธโฆส
แนะนำ�ำจากพระอุปชั ฌาย์ คอื พระเรวตเถระ ใหเ้ ดินทาง ถวายคมั ภรี แ์ กส่ งั ฆบดี
ไปลังกาทวปี เพอื่ แปลอรรถกถาจากภาษาสิงหลกลบั เปน็
ภาษาบาลี แลว้ นำ�ำมายงั ชมพูทวปี เม่อื ท่านไปถึงลังกา แห่งมหาวหิ าร
ทวปี ในปี ๙๖๕ แล้ว ต่อมาไดข้ ออนุญาตแปลคมั ภรี ์ พระ
เถระแหง่ มหาวหิ ารให้คาถามา ๒ บท เพ่อื แต่งคำ�ำอธบิ าย
เปน็ การทดสอบความรู้ ทา่ นเรยี บเรยี งคำ�ำอธบิ ายคาถา
ท่ัวยโุ รปสะท้าน เพราะฮ่นั มา อีก ๓ ปีตอ่ มา อตั ติลาหันไปสนใจด้านจกั รวรรดิ สเปน กอล อาณาจักรอตั ตลิ า
โรมนั ตะวันตก และยกทัพไปตกี อล (ปัจจบุ นั ครา่ วๆ คือ
พ.ศ. ๙๗๗ (ค.ศ. 434) ชนเรร่ อ่ นเผ่าหูณะ หรือ ฝรง่ั เศสและเบลเยยี่ ม) ทพั โรมนั ไดผ้ นกึ กำ�ำลังกบั พวก โรม ทะเลดำำ� อาเซยี
ฮน่ั จากอาเซยี กลางตอนเหนอื ทฝี่ รง่ั เรยี กวา่ เปน็ อนารยชน วซิ กิ อธ (Goths คือชนเผา่ อนารยะตน้ เดมิ ของเยอรมนี โรมันตะวันออก
ซ่งึ เคยรบกวนจนี จนต้องสร้างกำ�ำแพงเมืองจนี ไดม้ าถึง พวกที่อยู่ทางตะวนั ตกเรยี กว่า Visigoths) และชนชาติ
ยุโรป เทย่ี วบกุ ตที ำำ� ลายไปทวั่ อ่ื นๆทถ่ี ูกพวกฮ่ั นขม่ เหง หยุดยงั้ อัตตลิ าไว้ได้ และมีชัย ทะเลเมดเิ ตอเรเนียน
ปล่อยใหอ้ ตั ติลาล่าถอยไป กระน้ั นก็ตาม ในปตี อ่ มา
พอถึง พ.ศ. ๙๗๗ อตั ตลิ า (Attila) ราชาฮ่ั นไดท้ ำ�ำ คอื พ.ศ. ๙๙๕ (ค.ศ. 452) อัตติลากม็ าตีอิตาลีเสยี หาย
สนธสิ ัญญากบั ธโี อโดสอิ สุ ที่ ๒ ทำ�ำใหจ้ ักรพรรดิโรมนั มากมาย แต่กรุงโรมรอดมาได้ เพราะพอดพี วกฮ่ั น
ตะวนั ออก (บแิ ซนทนี ) ตอ้ งสง่ ทองคำำ� ไปเปน็ ราชบรรณาการ ขาดเสบยี งและเกิดโรคระบาดในกองทพั จึงล่าถอยไป
แกอ่ ตั ตลิ า ปลี ะ ๓๐๐ กก. แตล่ ว่ งมา ๖ ปี อตั ตลิ ากย็ กทพั
เทยี่ วทำ�ำลายเมอื งใหญ่นอ้ ย จนตอ้ งทำำ� สนธสิ ัญญากนั ใหม่
ใหโ้ รมส่งเครือ่ งบรรณาการเพ่มิ ข้ึ น ครั้นถึงปี ๙๙๐ กย็ ก
ทพั มาตีอีก จนธโี อโดสิอสุ ตอ้ งยกดินแดนใหไ้ ปมากมาย
66 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
แมน่ ้ำำ้� สนิ ธคุ ุชราต แม่น้ำำ้� ยแมมุนน่ ้า้ำำ� คงคา มหาวทิ ยาลัยวลภี
ท่เี คยย่ิงใหญค่ กู่ บั นาลนั ทา
วลภี แม่น้�ำำ้ นัมมทา กรรณสุวรรณ พ.ศ. ๑๐๑๘ (โดยประมาณ; ค.ศ. 475) ที่วลภี
วากาฏกะ พ.ศ. ๑๐๑๓ (ค.ศ. 470) ในชว่ งทรี่ าชวงศ์คปุ ตะ ราชธานี เจา้ หญงิ ทุฑฑาแหง่ ราชวงศ์ไมตรกะ ได้ทรงก่อ
ตามลติ ติ อ่อนแอลงจะแตกสลาย ไดม้ อี าณาจักรใหมๆ่ ทยอยเกดิ ตง้ั มหาวหิ ารของพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยหนี ยาน ที่ภายหลงั
ขึ้นหลายแหง่ มที งั้ ทอ่ี ปุ ถมั ภ์ และที่ทำำ� ลายพระพทุ ธศาสนา เรยี กว่ามหาวทิ ยาลยั วลภี ซึง่ เจริญรุ่งเรอื งต่อมากว่า
อา่ วเบงกอล เร่ิมแต่อาณาจักรวลภขี องราชวงศ์ไมตรกะ ที่ตั้งขึ้นทาง ๒๐๐ ปี
ตะวนั ตก (ปัจจุบันคอื Valabhipur ในรัฐ Gujarat) จนถงึ
อาณาจกั รกรรณสุวรรณ (เคาทะ) ของราชาศศางกะ
(ก่อน พ.ศ. ๑๑๔๘-๑๑๖๒=ก่อน ค.ศ. 605-619) ทาง
ตะวนั ออก (แถบเบงกอล เทยี บครา่ วๆ เวลานค้ี อื แถวเมอื ง
กลั กัตตาและบังคลาเทศ)
จักรพรรดจิ นี พิโรธ
พ.ศ. ๙๘๙ จกั รพรรดจิ นี แหง่ ราชวงศเ์ ว่เหนือ
ซงึ่ เคยสง่ เสริมพระพุทธศาสนา มาคดิ เหน็ ว่าบ้านเมอื ง
ตอ้ งสญู เสียกำ�ำลงั คนและคา่ ภาษอี ากรไปเน่อื งจากการที่
คนบวชและบำำ� รุงวดั วาอาราม จงึ ใหฆ้ า่ ภกิ ษแุ ละภิกษุณี
ทำ�ำลายวดั และพระพุทธรปู หา้ มชายอายุต่�่ำำกวา่ ๕๐
ออกบวช โดยได้ดำ�ำเนนิ การน้ีอยู่ ๕ ปี เปน็ เหตุใหล้ ัทธิ
ขงจ๊อื ข้ึ นมามีอำ�ำนาจเหนอื พทุ ธศาสนา
ปฏมิ ากรรมจากเวเ่ หนอื
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 67
อชันตาเลกิ ไป เอลโลราเริ่มไมน่ าน
พ.ศ. ๑๐๓๓ (ค.ศ. 490) วากาฏกะ ซง่ึ รุง่ เรืองข้ึ น แมส้ ้ิ นยุควากาฏกะแล้ว งานสลักวัดถ้้� ำำทอ่ี ชนั ตา
มาตั้งแต่ราว พ.ศ. ๘๐๐ ตอ่ จากสาตวาหนะ แมจ้ ะเป็น กด็ ำ�ำเนนิ ต่อมาในยคุ ของราชวงศ์จาลกุ ยะ จนยุติประมาณ
ราชวงศฮ์ นิ ดู ดงั ท่ี กษตั รยิ ์องคท์ ่ี ๒ ได้ประกอบพิธีอัศวเมธ พ.ศ. ๑๒๐๐ ถ้�้ำำยคุ หลงั นมี้ เี พมิ่ อกี ๒๔ เปน็ ของพทุ ธศาสนา
(ฆ่ามา้ บชู ายัญ) ถงึ ๔ ครั้ง แตก่ ษัตรยิ ์รุ่นหลังหลายองค์ มหายานลว้ น
เป็นชาวพทุ ธ และได้ทะนบุ ำำ� รงุ พระพุทธศาสนาเปน็ อนั ขณะทง่ี านสลกั วัดถ้้� ำำทอ่ี ชันตายุติลง ก็ได้มกี าร
มาก งานบญุ สำำ� คัญช้ิ นหน่งึ คือการขดุ เจาะแกะสลักวัดถ้้� ำำ แกะสลกั วดั ถ้�้ำำข้ึ นท่เี อลโลรา (เรยี กตามช่อื หมูบ่ า้ นท่ี นั่น
(ทางโบราณคดีจัดนบั เปน็ ถ้้� ำำท่ี ๑๖) ทอ่ี ชันตา ซงึ่ ไดถ้ วาย ในปจั จบุ นั ; อย่หู า่ งอชันตาลงมาทางตะวันออกเฉียงใต้
แกส่ งฆใ์ นราว พ.ศ. ๑๐๓๓ ๘๐ กม.) ซึง่ เร่ิมต้นในชว่ ง พ.ศ. ๑๑๐๐-๑๒๐๐ และหยดุ
เวลาตัง้ แตใ่ กล้ พ.ศ. ๑๐๐๐ ในยุควากาฏกะนี้ เลกิ ประมาณ พ.ศ. ๑๔๐๐ รวมมี ๓๔ ถ้�้ำำ แตเ่ ปน็ ของ
เปน็ ชว่ งระยะแหง่ การฟ้นื ใหมข่ องการเจาะแกะสลกั ภูเขา ๓ ศาสนา คอื พทุ ธ ฮินดู และเชน ตา่ งจากอชนั ตา ท่ี
วาดภาพในหม่ถู ้�้ำำอชนั ตา หลงั จากหยุดเงยี บไป ๔๐๐ นอกจากเก่าแก่แลว้ ก็เปน็ ของพุทธศาสนาอย่างเดยี ว
กวา่ ปี ตง้ั แตย่ ุคสาตวาหนะ
เอลโลรา
โรมล่ม ยโุ รปเข้ายุคมืด (Middle Ages) ของยุโรป ซึง่ โลกตะวันตกอย่ใู ต้กำำ� กับ Romulus Augustulus
ของลทั ธคิ วามเชอ่ื และสถาบันของศาสนาคริสต์
พ.ศ. ๑๐๑๙ (ค.ศ. 476) จกั รวรรดิโรมนั ตะวัน
ตก ซึง่ บอบช้�้ำำจากการรงั ควาญของชนเผา่ อนารยะ โดย อนง่ึ สมัยกลางนี้ เคยนิยมเรยี กอกี อยา่ งหน่ึงว่า
เฉพาะพวกฮั่นของอัตติลา คร้ั นถึงปี ๑๐๑๙ น้ี หวั หน้า “ยุคมดื ” (Dark Ages) คอื เป็นกาลเวลา ๑ สหัสวรรษ
เผ่าอนารยชนเยอรมนั ชอื่ โอโดเอเซอ่ ร์ (Odoacer) ก็ หรือ ๑,๐๐๐ ปี แหง่ ความอบั เฉาและตกต่�่ำำ โดยเฉพาะใน
เขา้ บกุ จับจักรพรรดโิ รมวิ ลสั ออกัสตวิ ลสั (Romulus ทางปญั ญา ของยุโรปและอารยธรรมตะวันตก
Augustulus) แหง่ โรม ปลดจากตำ�ำแหน่ง เป็นกาล
อวสานแหง่ จกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตก (ปราชญบ์ างพวกสงวนคำำ� วา่ “ยคุ มดื ” ให้ใชก้ บั
ช่วงระยะตน้ ๆ ของสมัยกลางน้ั น)
ช่วงเวลา ๑,๐๐๐ ปี แต่นไ้ี ป (พ.ศ. ๑๐๑๙-
๑๙๙๖=ค.ศ. 476-1453) คอื หลงั จาก “โรมล่มสลาย”
แลว้ จนจกั รวรรดิบีแซนทีนล่ม (=ตั้งแตโ่ รมันตะวันตก
ลม่ ถงึ โรมันตะวันออกสลาย) เรยี กว่าเป็น “สมยั กลาง”
68 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
พวกฮัน่ ทำำ� ลายตกั สลิ า วดั วาหมดส้นิ
พ.ศ. ๑๐๔๐ (โดยประมาณ; ราว ค.ศ. 500) พวก
หณู ะ หรอื ฮั่นขาว ซ่งึ เปน็ ชนเผ่าเรร่ ่อนจากอาเซยี กลาง
ตอนเหนือ ไดบ้ กุ เขา้ มาครอบครองชมพูทวีปภาคตะวนั ตก
เฉยี งเหนอื ท้งั หมด รวมทง้ั โยนก (Bactria) และคันธาระ
เฉพาะอยา่ งยิ่ง ได้ทำ�ำลายเมอื งตักสลิ า (พวกกรกี เรียกวา่
Taxila บาล=ี ตกกฺ สลิ า; สันสกฤต=ตกฺษศิลา) ศูนยก์ ลาง
การศกึ ษาพระพุทธศาสนาแถบพายัพลงส้ิ นเชงิ
นับแต่นี้ ศิลปะแบบคนั ธาระท่ีเสือ่ มลงต้ังแต่เข้า
ยุคคุปตะ ไมม่ ีผลงานใหม่เกดิ ขึ้นอีก แตศ่ ลิ ปะแบบคปุ ตะ
ยังคงเจรญิ ต่อมา
ตกั สลิ า
บีแซนทนี มองลว่ งหนา้ หลงั ถกู พวกฮ่ั นรงั ควาญแลว้ อกี ๒-๓ ศตวรรษ กอธ
ต่อมาก็เร่มิ เสียดนิ แดนแก่พวกอาหรับ แล้วถูกเซลจกู
ส่วนจักรวรรดโิ รมนั ตะวนั ออก หรือบแี ซนทีน เตอร์กรกุ ราน และถูกอาณาจกั รทางตะวนั ตกขม่ เหง กอล มลิ าน ทะเลดำ�ำ
(Byzantine Empire) ท่คี อนสแตนติโนเปลิ ซง่ึ ตัง้ เม่อื ในทส่ี ดุ กถ็ งึ อวสานเมื่อเสยี เมืองคอนสแตนตโิ นเปิล แก่ สเปน คอนสแตนตโิ นเปิล
ปี ๘๗๓ (ค.ศ. 330) ยงั รอดอยู่ และเจริญตอ่ มา ช่วย จักรวรรดอิ อตโตมานเตอรก์ ใน พ.ศ. ๑๙๙๖ (ค.ศ. 1453)
ดำ�ำรงอารยธรรมกรีก-โรมัน ไว้ในยามทที่ างดา้ นตะวนั ตก ถอื ว่าส้ิ นสุดสมัยกลางในยุโรป โรม
ระส่�่ำำระสาย
จักรวรรดิโรมันตะวนั ตก ทะเล อาเซีย
(แตท่ จ่ี รงิ ยคุ บีแซนทนี นี้ ก็คอื สว่ นสำ�ำคัญหรอื กาล
เวลาส่วนใหญ่ของยคุ มดื น่ั นเอง) เมดเิ ตอเรเนยี น
จักรวรรดิบแี ซนทีนทอ่ี ยนู่ านถึงพันปีนี้ แทบไม่มี จกั รวรรดโิ รมนั ตะวนั ออก
เวลาทรี่ งุ่ เรืองแท้จริงเลย นอกจากรชั สมยั ของจกั รพรรดิ
ทเี่ ขม้ แข็งบางพระองค์ ที่เป็นเหมือนชว่ งแทรกเท่านั้น แต่ อาฟริกา
โดยท่วั ไปมีภยั รกุ รานมาก
อยี ปิ ต์
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 69
ม.สนิ ธุ คุชราต ม.ยมนุ า ม.คงคา อวสานราชวงศ์คุปตะ
หรรษวรรธนะ กันยากุพชะ เวสปาาลฏีลบี ตุ ร พ.ศ. ๑๐๕๐ เศษ กษตั รยิ ์หณู ะ หรอื ฮั่นขาว นาม
วา่ มิหิรกุละ (หรอื มหิรคุละ; ไดส้ มญาว่า “อัตตลิ า/Attila
วลภี อชุ เชนี ม.นัมมทา ประยาค กรรณสวุ รรณ แห่งอินเดยี ) ผู้โหดรา้ ย เป็นฮินดูนิกายไศวะ ครองเมอื ง
สาคละ รกุ เข้ามา ได้ตอ่ สู้กบั กษัตรยิ ์คุปตะ และใหก้ ำำ� จดั
จาลุกยะ พระพุทธศาสนา โดยทำำ� ลายวัด สถูป และสงั หารชาวพุทธ
ม.โคทาวรี เบองก่าวอล จำำ� นวนสุดคณนา (ตัวเลขบางแหง่ วา่ วดั ถกู ทำ�ำลาย ๑,๖๐๐
กลิงคะ วดั ) แตใ่ นที่สุดได้ทำ�ำอัตวินิบาตกรรม ใน พ.ศ. ๑๐๘๓
เวงคี
วาตาปีปรุ ะ ม.กฤษณะ การรกุ รานของพวกฮ่ั นบ่ั นทอนอำำ� นาจของราชวงศ์
คปุ ตะอย่างย่ิง จนในทีส่ ดุ ประมาณ พ.ศ. ๑๐๘๓ (ค.ศ.
ปลั ลวะ 540) จักรวรรดิคุปตะกแ็ ตกสลาย
เจระ
ปาณฑยะ
ภมู ิหลงั บีบค้นั ทข่ี ับดนั อารยธรรม กำ�ำจดั กวาดลา้ ง (persecution) คนนอกรีตและคนนอก
ศาสนาครสิ ต์ (การกำ�ำจัดกวาดล้างทางศาสนาในตะวนั ตก
การขับเคย่ี วราวีลา้ งและล้ภี ยั ทางศาสนา เป็น ถือได้วา่ จบส้ิ นเมอื่ เลกิ ลม้ ศาลไต่สวนศรทั ธาของสเปน
ภูมิหลงั สำ�ำคญั ในประวัติศาสตรข์ องตะวนั ตก และเปน็ แรง [Spanish Inquisition] ในปี 1834/๒๓๗๗)
ขับดนั อารยธรรมมาสู่สภาพปจั จบุ ัน โดยมีภาพรวมดังนี้
เมอื่ ศาสนาอสิ ลามเกดิ ข้ึ นแล้ว ไมช่ า้ กเ็ ปน็ ยคุ
ในจกั รวรรดิโรมันตะวนั ตก เมอื่ ศาสนาครสิ ตเ์ กดิ สงครามกบั อาณาจักรมสุ ลมิ จนกระทั่งมีสงครามศาสนา
ขึ้นแลว้ นับแตเ่ ริม่ ต้น ค.ศ. กเ็ ป็นยคุ แห่งการกวาดลา้ ง (religious war) ทีเ่ รียกว่า “ครเู สด” (Crusade) รวมทัง้
(persecution) คนถือครสิ ต์ ส้ิ น ๘ ครูเสดส์ ยาวนาน ๒๐๐ ปี (1095-1291/๑๖๓๘–
๑๘๓๔) โดยมจี ุดเร่ิมสำำ� คัญจากการทจ่ี ักรวรรดิบแี ซนทนี
สว่ นในจกั รวรรดิโรมันตะวนั ออก คอื บแี ซนทีน ขอความช่วยเหลือจากประเทศครสิ ต์แถบตะวนั ตกเพอ่ื มา
เมื่อจกั รพรรดอิ งค์แรก คือ Constantine I นับถือครสิ ต์ ตา้ นการรกุ รานของมสุ ลิมเซลจูกเตอรก์
และให้ชาวคริสตม์ เี สรภี าพในการนบั ถอื บชู าโดยประกาศ
Edict of Milan ใน ค.ศ. 313/พ.ศ. ๘๕๖ (ก่อนรวมตงั้
จักรวรรดิ ๑๗ ป)ี แลว้ ต่อมาไมน่ าน ก็เข้าส่ยู คุ แห่งการ
70 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
ช่วงตอ่ สยู่ ุคใหม่ กอ่ นอินเดียลกุ ดังไฟ อาณาเขตอยูแ่ คแ่ มน่ ้้� ำำนัมมทา แมน่ ้้� ำำสำำ� คญั ของดินแดนแถบนั้นน่ั นเอง)
แม้ว่าตอ่ มาจาลกุ ยะจะส้ิ นวงศไ์ ปใน พ.ศ. ๑๓๐๐ ราชวงศจ์ าลุกยะสามารถก้อู ำ�ำนาจคนื มาไดใ้ น
พ.ศ. ๑๐๘๖-๑๓๐๐ (ค.ศ. 543-757) ราชวงศ์
จาลกุ ยะ ครองราชย์ท่ีวาตาปีปุระ ในตอนกลางและ แต่ราชวงศร์ าษฏรกูฏทีข่ ้ึ นมาแทน ก็อุปถมั ภง์ านศลิ ป์ พ.ศ. ๑๕๑๘ (ค.ศ. 975) และครองอาณาจักรอยู่จนถงึ
ตะวนั ตกของทกั ษณิ าบถ สลักภเู ขาสืบมา พ.ศ. ๑๗๓๒ (ค.ศ. 1189)
สว่ นทางอินเดยี ฝา่ ยเหนือ เมื่อคปุ ตะอ่อนแอลงจน น่าสงั เกตดว้ ยว่า ราชวงศ์จาลุกยะ ต่อดว้ ยราชวงศ์ ราชวงศ์จาลุกยะท่ี กล่าวมาน้ีเรยี กว่าจาลุกยะ
จบส้ิ นวงศ์ เพราะการเข้ามาของพวกหูณะดงั กลา่ วแล้ว ราษฏรกูฏทเ่ี ข้มแข็งข้ึ นมาแทนท่ี แล้วแผ่อำ�ำนาจ เทยี่ วรบ ตะวนั ตก เพราะในเวลาใกล้กันน้ีมจี าลกุ ยะอกี พวกหน่ึง
น้ั น หลังจากว่นุ วายอยรู่ ะยะหนงึ่ ก็มีกษตั รยิ ์ยง่ิ ใหญ่เกิด กับอาณาจกั รอ่ื นๆ ทง้ั ในภาคกลางและภาคเหนือ ใน ครองอาณาจักรเวงคี (ดนิ แดนแคว้นอันธระระหว่างแม่น้้� ำำ
ข้ึ น คอื พระเจ้าหรรษะ (พ.ศ. ๑๑๔๙-๑๑๙๐=ค.ศ. 606- ระยะน้ี ได้เป็นเครือ่ งกดี ก้ั นชนมสุ ลิมอาหรบั ท่ีเขา้ มาตง้ั โคทาวรี กับแม่น้้� ำำกฤษณะ) ในระยะ พ.ศ. ๑๑๖๗-๑๖๑๓
647) ซง่ึ มีรชั กาลตรงกนั พอดกี บั ราชาทเี่ รอื งอำำ� นาจท่ีสุด อาณาจกั รในแถบแคว้นสินท์ใหไ้ ม่สามารถขยายดินแดน (ค.ศ. 624-1070) เรียกว่าราชวงศจ์ าลกุ ยะตะวนั ออก
ของจาลกุ ยะ คือ พระเจา้ ปลุ เกศินท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๑๕๓- ออกไป
๑๑๘๕=ค.ศ. 610-642)
(แคว้นสนิ ท/์ Sind ในปจั จบุ ัน ซึง่ บางตำ�ำราบางครั้ง
เม่ือพระเจา้ หรรษะแผอ่ ำำ� นาจลงทางใต้ราว พ.ศ. ก็เขยี น Sindh/สนิ ธ์ นั้น กม็ าจากคำำ� ว่า “สนิ ธุ” ทเ่ี ปน็ ชื่อ
๑๒๕๓ กไ็ ด้พ่ายแกพ่ ระเจา้ ปลุ เกศินท่ี ๒ และถกู จำำ� กดั
กำ�ำเนิดนกิ ายเซน ญ่ีปนุ่ รับพระพุทธศาสนา
พ.ศ. ๑๐๖๓ (ค.ศ. 520) ทเ่ี มอื งจนี พระโพธธิ รรม พ.ศ. ๑๐๙๕ (ค.ศ. 552) พระจกั รพรรดกิ มิ เมอิ
ซึง่ เดนิ ทางไปจากอนิ เดยี ใต้ ได้สอนพระพทุ ธศาสนาท่ี (Emperor Kimmei) โปรดใหส้ รา้ งวดั แรกของญปี่ นุ่ เพอ่ื
เปน็ การต้งั นิกายฉาน (Chan; ต่อมาไปถึงญี่ปุ่น เรียกตาม ประดิษฐานพระพุทธรปู ทก่ี ษตั ริยเ์ กาหลีทรงสง่ มาถวาย
สำ�ำเนียงที่นั่นวา่ นิกายเซน=Zen) เป็นเครื่องหมายแหง่ การประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาใน
ประเทศญป่ี ุน่
จากซ้าย:
พระโพธิธรรม (ปีที่สง่ มา ซึ่งถือว่าเปน็ วาระแห่งการท่พี ระพทุ ธ
เจ้าชายโชโตกุ ศาสนาเขา้ สญู่ ่ีปุ่นจากเกาหลี คือประมาณ พ.ศ. ๑๐๘๑/
ค.ศ. 538)
ต่อแต่นั้น เจ้าชายโชโตกไุ ดท้ รงเปน็ ผ้นู ำ�ำในการ
ประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาอย่างจริงจัง
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 71
หมถู่ ้�ำำ้ อชนั ตา-เอลโลรา
ว่าโดยสรุป
เรอื่ งหมู่ถ้้� ำำอชันตา-เอลโลรา น้ั น สรา้ งกันมา ๒. เอลโลรา เป็นหมู่ถ้้� ำำหลัง เกดิ มใี นช่วง พ.ศ.
โดยหลายอาณาจักร หลายราชวงศ์ ผ่านกาลเวลาหลาย ๑๑๐๐ หรือ ๑๒๐๐ ถึง ๑๔๐๐ เป็นของ ๓ ศาสนา คือ
ศตวรรษ ควรจะสรปุ ไว้เพ่ือเข้าใจชัด (เทา่ ทส่ี ันนิษฐานกัน พระพุทธศาสนามหายาน ตามดว้ ยฮินดู และเชน รวมมี
มา) ดังนี้ ๓๔ ถ้�้ำำ แบ่งเป็น
ท่ีต้ัง: รัฐมหาราษฎร์ อินเดยี ตอนกลางภาค ก) ถ้�้ำำพทุ ธศาสนามหายาน
ตะวนั ตก ใกล้เมืองออรงั คาบาด (Aurangabad) - พ.ศ. ๑๑๐๐-๑๓๕๐
- อชนั ตา หา่ งจากออรงั คาบาด ขึ้นไปทางเหนอื - มี ๑๒ ถ้�้ำำ (ท่ี ๑-๑๒)
เยอ้ื งตะวนั ออก ๘๔ กม. (๑๐๕ กม. โดย ข) ถ้้� ำำฮินดู
รถยนต)์ - พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๔๕๐
- เอลโลรา ห่างจากออรังคาบาด ข้ึ นไปทาง - มี ๑๗ ถ้้� ำำ (ที่ ๑๓-๒๙)
ตะวันตกเฉียงเหนือ ๑๕ กม. (๒๙ กม. โดย ค) ถ้�้ำำเชน
รถยนต์) - พ.ศ. ๑๓๕๐-๑๔๕๐
๑. อชนั ตา เป็นหมถู่ ้�้ำำแรก เกิดมใี นชว่ ง พ.ศ. - มี ๕ ถ้้� ำำ (ท่ี ๓๐-๓๔)
๔๐๐-๑๒๐๐ และเปน็ ของพทุ ธศาสนาล้วนๆ รวมมี ๓๐
ถ้�้ำำ แบ่งเป็น
ก) ถ้้� ำำพุทธศาสนาหนี ยาน
- พ.ศ. ๔๐๐-๖๐๐
- มี ๖ ถ้้� ำำ (ท่ี ๘, ๙, ๑๐, ๑๑, ๑๒, ๑๓, ๓๐)
ข) ถ้้� ำำพุทธศาสนามหายาน
- พ.ศ. ๑๐๐๐-๑๒๐๐
- มี ๒๔ ถ้้� ำำ (ทเ่ี หลอื จาก ๖ ถ้�้ำำของหนี ยาน)
(พึงทราบวา่ ถ้�้ำำท่ี ๓๐ บดั นี้ไมม่ ที างข้ึ นไป
อาจถกู หินถลม่ ทบั ? บางตำ�ำราไมน่ ับ จึงบอกจำำ� นวนว่ามี
เพียง ๒๙ ถ้้� ำำ)
72 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
ถ้ำำ�้ เดิม เมือ่ เริ่มคอื วัด ธรรมชาติ และเปน็ ท่ี ฉายออกแหง่ เมตตากรณุ า เปล่ยี นมา
แต่ไปมาตวดั เป็นวมิ าน เปน็ เทวสถานโออ่ ่าทผ่ี ้ยู ่งิ ใหญเ่ พลนิ เมาสำำ� ราญสำ�ำเรงิ กาม
และแสดงอำำ� นาจกดกำำ� ราบอยา่ งโหดเหี้ยมให้นา่ เกรงขาม
เน่อื งจากถ้้� ำำเหล่านีม้ ตี ้นกำำ� เนิดมาจากคตขิ องพระ
ภิกษุในพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ มถี ้�้ำำเป็นเสนาสนะคอื ที่อยู่ เรม่ิ ตน้ เปน็ ปชู นยี ์ ฟน้ื อกี ทเี ปน็ แคท่ เ่ี ทย่ี วดู
อาศยั อย่างหนึ่งตามพระพุทธบัญญัติ พรอ้ มน้ั น วัดกเ็ ปน็
ท่ี บำำ� เพญ็ กุศลเจริญธรรมของประชาชน การเจาะสลกั ตอ่ มา หมู่ถ้้� ำำเหลา่ นไ้ี ด้ถูกทิ้งรา้ งไป และหายจาก
ทำำ� ถ้�้ำำเหล่านจ้ี ึงเปน็ การสรา้ งวัดถ้�้ำำ ดงั นั้น ถ้�้ำำรุ่นเก่า โดย ความทรงจำำ� หลายศตวรรษ แม้กระทัง่ คนถิ่นกไ็ ม่รู้ จน
เฉพาะถ้�้ำำพุทธที่ อชันตา จึงแยกเป็น ๒ แบบ คือ วิหาร กระทง่ั ในยุคที่อังกฤษปกครอง ได้มที หารองั กฤษ ของ
ได้แก่ที่อยูข่ องพระ กับ ไจตยะ (=เจตยิ ะ=เจดยี ์) อันเปน็ บรษิ ทั อสี ตอ์ นิ เดยี (East India Company) มาลา่ สัตว์
ทเี่ คารพบชู า หรอื ท่ศี กั ด์สิ ิทธิ์ และพบโดยบังเอญิ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๖๒ (ค.ศ. 1819) ชาว
โลกจงึ ไดร้ ู้จกั
ศลิ ปกรรมที่นี่ ทง้ั ประติมากรรม และจิตรกรรม
ดีเด่นเปน็ แบบแก่ทอ่ี ื่น โดยเฉพาะภาพวาดท่ีอชนั ตา เป็น อยา่ งไรกต็ าม หลงั จากเปดิ แกก่ ารท่องเท่ยี วแลว้
ท่ี นยิ มแพรไ่ ปทางอฟั กานสิ ถาน (คันธาระ และโยนก) ในระยะตน้ ไดเ้ กิดความสูญเสียมากมาย ท้ังแก่รปู ภาพ
อาเซียกลาง จนถงึ จนี และรูปป้นั จากการจบั -ลูบ-ลอกของผู้มาชม การดแู ล
รักษาไมถ่ กู วิธี ตลอดจนคนทุจรติ เช่น เคยมเี จา้ หนา้ ท่ี
หลวงจีนเหย้ี นจัง หรือพระถงั ซำ�ำจ๋งั กไ็ ด้เขียน นำ�ำเท่ียวตัดเศียรองคป์ ฏมิ าตา่ งๆ ไปขาย กว่าจะจดั ใหม้ ี
บนั ทึกไว้ กลา่ วถงึ ถ้้� ำำอชนั ตา เม่ือ พ.ศ. ๑๑๘๓ การอนุรักษใ์ ห้เรยี บรอ้ ยลงตวั ตามวิธีปฏบิ ตั ิทีถ่ ูกต้องได้
ถ้�้ำำก็เส่อื มโทรมไปมาก
อย่างไรกต็ าม นา่ จะเปน็ ไดว้ ่า ในยคุ หลังๆ ความ
หมายและวัตถปุ ระสงคเ์ ดิมของงานสร้างถ้้� ำำไดห้ ดหาย หลักฐานอันถาวรชัดเจนของอดีตทีห่ มู่ถ้�้ำำเหลา่ น้ี
และกลายเปน็ อยา่ งอื่น น่าจะเปน็ แหลง่ ที่ดสี ำ�ำหรบั การศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ
และลกั ษณะแหง่ ววิ ัฒน-หายนาการ ทไี่ ด้เปน็ ไปใน
ดงั จะเห็นชัดจากผลงานยุคทา้ ยๆ โดยเฉพาะ ประวตั ศิ าสตรข์ องพระพทุ ธศาสนา พรอ้ มทงั้ ใหเ้ หน็ อนจิ จ
ถ้�้ำำไกลาสของฮินดู ที่สนั นษิ ฐานกนั วา่ กษัตริย์ กฤษณะ ภาวะท่จี ะปลกุ เรา้ เตือนใจให้ตงั้ อย่ใู นความไม่ประมาท
ท่ี ๑ (ราว พ.ศ. ๑๒๙๙-๑๓๑๖) แห่งราชวงศ์ราษฏรกูฏ
ให้สร้างข้ึ นน้ั น นอกจากไมเ่ ป็นทีอ่ ยู่ของพระ และไม่เป็น
ศลิ ปเ์ พอ่ื สอนธรรมแล้ว กไ็ ม่เปน็ ถ้�้ำำอยา่ งใดเลย แตเ่ ปน็
เทวสถานอันมีจดุ เนน้ ที่พิธีกรรมและความยง่ิ ใหญ่โดยแท้
จากถ้้� ำำพทุ ธยุคแรกทมี่ ีแตค่ วามเรยี บง่าย สุขสงบกับ
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 73
ภั ย น อ ก - ภั ย ใ น จ น ม ล า ย สู ญ ส้ิ น
พทุ ธฯ ถกู ทำ�ำลายอีก ก่อนฟน้ื ใหม่
พ.ศ. ๑๑๔๘-๑๑๖๒ (ค.ศ. 605-619) ราชา
ศศางกะ เป็นฮนิ ดนู กิ ายไศวะ ไดด้ ำำ� เนนิ การทำำ� ลาย
พระพทุ ธศาสนาอยา่ งรุนแรง เช่น สังหารพระสงฆ์ท่ี
กุสนิ าราหมดส้ิ น โค่นพระศรมี หาโพธท์ิ ่ีพุทธคยา นำ�ำ
พระพทุ ธรูปออกจากพระวหิ ารแลว้ เอาศิวลึงค์เข้าไปตั้ง
แทน แม้แตเ่ งินตราของรชั กาลก็จารกึ ขอ้ ความกำำ� กบั
พระนามราชาวา่ “ผู้ปราบพทุ ธศาสนา”
จากซา้ ย:
พระศรีมหาโพธ์ิ
ศิวลงึ ค์
อาณาจักรศรวี ิชยั เกิดทสี่ ุมาตรา ทวาราวดี จมั ปา
เขมร
พ.ศ. ๑๑๐๐ (กะครา่ วๆ; ค.ศ. 600) ในชว่ งเวลา
น้ี มีอาณาจกั รใหม่ที่สำำ� คญั เรียกวา่ ศรวี ิชัยเกดิ ขึ้น ใน พัทลงุ กลนั ตนั ทะเลจนี ใต้
ดนิ แดนทปี่ ัจจบุ นั เปน็ อินโดนเี ซียและมาเลเซยี ตรังกานู
เคดาห์
เท่าทีท่ ราบ อาณาจกั รน้ีเร่มิ ขึ้นโดยชาวฮินดูจาก
อนิ เดยี ใตม้ าตงั้ ถิ่นฐานทป่ี าเลมบงั ในเกาะสมุ าตรา ตง้ั แตก่ อ่ น สุมาตรา ปะหงั
ค.ศ. 600 แต่มีชื่อปรากฏครัง้ แรกในบันทกึ ของหลวงจนี
อีจ้ งิ ผู้มาแวะบนเส้นทางสูช่ มพทู วปี เม่ือ พ.ศ. ๑๒๑๔ อาณาจักรศรวี ิชยั ทะเลชวา
ชมั พี
เทคโนโลยี: พลงั งานจากลม ปาเลมบงั ชวา
พ.ศ. ๑๑๕๐ (โดยประมาณ; ค.ศ. 600) ที่ กงั หนั ลมเปอรเ์ ซยี
เปอรเ์ ซียคนทำ�ำกังหนั ลม ข้ึ นใช้ครงั้ แรก
76 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
ทั้งฮ่นั และศศางกะ ถึงอวสาน ม.สินธุ คุชราต ม.ยมนุ าม.คงคา ทเิ บต
เนปาล
พ.ศ. ๑๑๔๘ (ค.ศ. 605) หลังชว่ งเวลาวนุ่ วายใน สนิ ท์ กนั ยากุพชะ
ชมพทู วปี กษัตรยิ ์ราชวงศ์วรรธนะได้ปราบพวกหณู ะลง เวสาลี
ได้ใน พ.ศ. ๑๑๔๘ แต่แลว้ ราชาใหมร่ าชยวรรธนะก็ถกู หรรษวรรธนะ ประยาค ปาฏลบี ตุ ร
ราชาศศางกะใช้กลลวงปลงพระชนม์เสีย จาอชุ ลเชุกนมี ย.นะัมมทา
เบองกา่ วอล
เหตกุ ารณน์ ี้ทำำ� ใหเ้ จา้ ชายหรรษวรรธนะผเู้ ปน็ อนชุ า ม.โคทาวรี
ตอ้ งเขา้ มารกั ษาแผน่ ดนิ ข้ึ นครองราชยท์ เ่ี มอื งกนั ยากพุ ชะ
(ปจั จบุ นั =Kanauj) มีพระนามว่าหรรษะ แหง่ ราชวงศ์ เวงคี
วรรธนะ และไดก้ ลายเปน็ ราชาย่งิ ใหญพ่ ระองค์ใหม่
วาตาปปี รุ ะ ม.กฤษณะ
ราชาศศางกะทเี่ ปน็ ฮนิ ดไู ศวะ กส็ ้ิ นอำำ� นาจใน พ.ศ.
๑๑๖๒ แล้วดินแดนทัง้ หมดก็เข้ารวมในจักรวรรดิของ พระเจา้ หรรษวรรธนะ
พระเจา้ หรรษวรรธนะ
ทวาราวดี ในท่ีแหง่ สุวรรณภมู ิ พทุ ธศาสนาเขา้ สู่ทเิ บต
พ.ศ. ๑๑๕๐ (โดยประมาณ; ค.ศ. 600) พ.ศ. ๑๑๖๐ (ค.ศ. 617) เปน็ ปปี ระสตู ขิ องกษตั รยิ ์
อารยธรรมทวาราวดี ของชนชาติมอญ ได้รงุ่ เรอื งเดน่ ข้ึ น ทเิ บตพระนามสรองสันคัมโป ซ่งึ ต่อมาไดอ้ ภิเษกสมรสกบั
มาในดนิ แดนทเ่ี ปน็ ประเทศไทยปัจจบุ ัน แถบลุ่มแมน่ ้�้ำำ เจา้ หญงิ จีนและเจ้าหญิงเนปาล ท่ี นับถอื พระพุทธศาสนา
เจ้าพระยาตอนลา่ ง ตัง้ เมืองหลวงที่นครปฐม เป็นแหล่ง เปน็ จุดเรม่ิ ให้พระพทุ ธศาสนาเข้าสูท่ ิเบต
รับวฒั นธรรมชมพูทวปี รวมทั้งพระพทุ ธศาสนา แลว้ เผย
แพร่ออกไปในเขมร พมา่ ไทยอยู่นาน จนเลอื นหายไปใน พระเจา้ สรองสันคมั โป ทรงส่งราชทูตช่ือทอนมิ
อาณาจกั รสยามยคุ สโุ ขทยั แหง่ พ.ศต. ที่ ๑๘-๑๙ สัมโภตะไปศกึ ษาพระพุทธศาสนาและภาษาต่างๆ ใน
อนิ เดยี และดดั แปลงอกั ษรอินเดียมาใช้เขยี นภาษาทเิ บต
อาณาจักรทวาราวดีนีเ้ จริญขึ้นมาในดินแดนที่
ถอื ว่าเคยเปน็ ถิ่นซึง่ เรียกว่าสวุ รรณภูมใิ นสมยั โบราณ
ตง้ั แต่ก่อนยคุ อโศก ใน พ.ศต. ที่ ๓
จากซา้ ย:
ธรรมจกั ร ศิลปะทวาราวดี
พระเจ้าสรองสันคมั โป
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 77
พทุ ธศาสนารุ่งเรอื ง อนิ เดยี ตั้งตัวได้ พทุ ธร่งุ สุดท้าย ทเี่ กดิ มขี ้ึ นในชว่ ง ๔ ปกี อ่ นๆ แกม่ หาสมาคม รวมทง้ั สง่ เสรมิ
ยุคที่ ๓ เสรภี าพทางศาสนา
พ.ศ. ๑๑๔๙-๑๑๙๐ (ค.ศ. 606-647) พระเจ้า
หรรษะ (หรรษวรรธนะ หรอื หรรษะศีลาทติ ย์ กเ็ รียก) (ทีป่ ระยาค มหี ลักศลิ าจารกึ ของพระเจา้ อโศกดว้ ย
เปน็ กษัตริย์ชาวพทุ ธ ไดท้ รงทะนบุ ำ�ำรงุ พระพทุ ธศาสนา ปัจจุบนั =Allahabad เป็นแดนศักด์สิ ิทธ์ิของพราหมณ์
รวมทั้งอุปถัมภ์มหาวทิ ยาลยั นาลนั ทา ระดับเดียวกบั พาราณสี ชาวฮนิ ดมู งี านพิธที ่ี นี่ทุกปี โดย
เฉพาะทุกรอบ ๑๒ ปี จะมนี ักบวชฮินดูจารกิ มาชมุ นมุ ครัง้
พระเจา้ หรรษะ ทรงดำำ� เนินนโยบายคลา้ ยอย่าง ใหญย่ ิง่ เรียกว่า “กมุ ภเมลา” ท่คี นมาอาบน้้� ำำล้างบาป
พระเจา้ อโศกฯ มุ่งบำำ� รงุ สขุ ของประชาชน เช่น สรา้ งศาลา บางทีถึง ๑๘ ลา้ นคน พระเจา้ หรรษะคงจะทรงใช้โอกาส
สงเคราะห์คนเดินทาง คนยากจน คนเจบ็ ไข้ ท่วั ทง้ั มหา น้ีในการบำ�ำเพญ็ มหาทาน)
อาณาจกั ร และท่ีเมอื งประยาค ณ จดุ บรรจบของแมน่ ้�้ำำ
คงคากบั ยมุนา ทุก ๕ ปี ไดพ้ ระราชทานพระราชทรพั ย์
จีนเขา้ ยคุ ราชวงศถ์ ัง ทแี่ ดนอาหรบั กำำ� เนดิ อิสลาม พ.ศ. ๑๑๗๓ (ค.ศ. 630) ท่านนบมี ุฮัมมดั จดั การ
ทั้งปวงท่มี ะดีนะฮ์ เวลาผ่านไป ๘ หรือ ๑๐ ปี เมอ่ื พรอ้ ม
พ.ศ. ๑๑๖๑ (ค.ศ. 618) ทป่ี ระเทศจนี ซงึ่ เวลานั้น พ.ศ. ๑๑๖๕ (ค.ศ. 622) ในดนิ แดนทเี่ ปน็ ประเทศ แลว้ ทา่ นจึงนำ�ำกำ�ำลงั คน ๑๐,๐๐๐ ยกไปมักกะฮ์ในเดือน
มปี ระชากร ๙ ลา้ นครัวเรือน ประมาณ ๕๐-๗๐ ล้านคน ซาอดุ อี าระเบยี ปจั จบุ นั หรอื เรยี กงา่ ยๆ วา่ อาหรบั ทา่ นนบี มกราคม พวกมักกะฮ์ออกมายอมสยบโดยดี ท่านนบี
ณ เมืองเชียงอาน (ฉางอาน) ราชวงศ์สุย ซ่ึงครองอำ�ำนาจ มฮุ มั มดั ไดเ้ รมิ่ ประกาศศาสนาอสิ ลามทเี่ มอื งมกั กะฮ์ ตงั้ แต่ มุฮัมมดั กส็ ัญญาจะนิรโทษให้ ในการเข้าเมอื งมกั กะฮ์คร้งั
มาได้ไม่นาน เรมิ่ แต่ พ.ศ. ๑๑๒๔ (ค.ศ. 581) ได้จบส้ิ นลง อายุ ๔๐ ปี แตม่ ีความขดั แย้งกับคนทม่ี ีความเชอ่ื อยา่ งเกา่ นพ้ี วกศัตรตู ายเพียง ๒๘ คน และมสุ ลิมตายเพียง ๒ คน
โดยเฉพาะพวกพ่อค้าโลภ จนในท่สี ุดราวปที ่ี ๑๓ ตรงกับ
จนี เขา้ สู่ยุคราชวงศถ์ ัง ซ่งึ จะครองเมืองอยู่จนส้ิ น พ.ศ. ๑๑๖๕ ได้นำำ� สาวกหนอี อกจากมักกะฮ์ ถอื เปน็ เร่มิ ทา่ นนบีมฮุ มั มัดจดั การปกครองในมกั กะฮใ์ ห้
วงศใ์ น พ.ศ. ๑๔๕๐ (ค.ศ. 907) โดยเรืองอำ�ำนาจในชว่ ง ฮจิ เราะห์ศักราชของศาสนาอสิ ลาม แลว้ ไปตง้ั ถ่ิ นประกาศ เรียบรอ้ ย และทำ�ำลายรูปเคารพทม่ี หาวิหารกาบะฮจ์ น
พ.ศ. ๑๑๖๙-๑๒๙๘ (ค.ศ. 626-755) ศาสนาท่ีเมืองมะดีนะฮ์ (Medina เดิมชอื่ เมืองยาธริบ) เสร็จสรรพ แล้วเผยแพร่อิสลามต่อมา และจดั การกบั ชน
เผา่ ทย่ี งั เป็นปฏปิ ักษ์ จนรวมอาระเบยี ไดใ้ นเวลา ๒ ปี
จนี ทา่ นนบมี ภี าระมากในการตอ่ สกู้ บั พวกเมอื งมกั กะฮ์ เริ่มจะขยายเขา้ สูซ่ เี รียและอริ ัก
และรบกบั กองคาราวานเพอื่ ตดั กำำ� ลงั พวกมกั กะฮ์ พรอ้ มทงั้
ปราบศตั รใู นมะดนี ะฮ์ ตลอดจนจดั การกบั พวกยวิ ทเี่ ขา้ กบั ศตั รู พ.ศ. ๑๑๗๕ ท่านนบีมฮุ ัมมดั อายุได้ ๖๓ หรอื
๖๕ ปี จงึ เสด็จสสู่ วรรค์ โดยชาวมสุ ลิมถือว่าท่านขึ้นสู่
พวกยิวสำ�ำคญั โคตรทา้ ยนั้น เม่อื ท่านรบชนะแลว้ สวรรคท์ ีเ่ มืองเยรูซาเลม็
ไดใ้ หป้ ระหารชีวิตผูช้ ายทง้ั ส้ิ น สว่ นสตรแี ละเดก็ ก็ใหข้ าย
เป็นทาสหมดไปจากมะดนี ะฮ์
78 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
เหี้ยนจงั แหง่ นาลันทา หลวงจนี เหีย้ นจังได้มาศกึ ษาท่ีมหาวิทยาลยั จากซา้ ย:
นาลันทาจนจบแล้วสอนที่น่ั นระยะหนง่ึ จึงนำำ� คมั ภีร์พระ พระถังซำำ� จง๋ั
พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๘ (ค.ศ. 629-645) หลวงจนี ไตรปฎิ กเปน็ ตน้ จำำ� นวนมาก เดนิ ทางกลบั ถงึ เมอื งเชยี งอาน/ พระเจ้าถงั ไทจง
เหย้ี นจัง (Hsuan-tsang; เกดิ พ.ศ. ๑๑๔๕) หรอื ยวน ฉางอาน ในพ.ศ. ๑๑๘๘ หลงั จากจากไป ๑๖ ปี ทา่ นไดร้ บั
ฉาง หรอื ทีม่ กั ร้จู ักกนั ในนามว่า พระถงั ซำ�ำจ๋ัง จะไปสืบ การตอ้ นรบั ยกยอ่ งอปุ ถมั ภบ์ ำำ� รงุ อยา่ งยง่ิ จากพระจกั รพรรดิ
พระไตรปิฎกทีอ่ นิ เดยี (พูดกันมาแบบภาษาชาวบา้ นว่า จนี แล้วทำำ� งานแปลพระไตรปฎิ กสัง่ สอนธรรมต่อมาจนถึง
ไปไซที คอื ไปแดนตะวนั ตก) ได้จาริกจากกรงุ จนี ผ่านทาง มรณภาพใน พ.ศ. ๑๒๐๗ กบั ทง้ั ไดเ้ ขยี นบนั ทกึ การเดนิ ทาง
โยนก คันธาระ กัศมีระ (คือ อัฟกานสิ ถาน ปากสี ถาน ไว้ ชอ่ื วา่ Great Tang Records on the Western Regions
และอินเดยี พายพั ปจั จบุ ัน) ทเี่ มอื งจนี เวลาน้ั น เป็น โดยทา่ นเป็นผู้บอกเล่า และพระลกู ศิษยจ์ ดบนั ทกึ ไว้
รัชกาลพระเจ้าถงั ไทจง ซ่ึงครองราชยใ์ น พ.ศ. ๑๑๖๙- หลวงจีนเหย้ี นจัง มชี ่อื สนั สกฤตด้วยวา่ พระโมกษเทวะ
๑๒๐๒ (ค.ศ. 626-649)
ทะเลดำำ�
ในด้านทายาท หลงั จากภรรยาคนแรกส้ิ นชวี ิตเม่อื เมดเิ ตทอะเเลรเนยี น ดามัสกัส แคทสะเเปลยี น
ทา่ นอายุ ๕๐ ปแี ลว้ ทา่ นนบีมภี รรยาอกี ๘ คน แตบ่ ตุ ร เยรซู าเล็ม
ของทา่ นซ่งึ มีอย่างนอ้ ย ๒ คน เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย อเลกซานเดรยี เปออรา่ เ์วซยี
สว่ นธิดาซึ่งมีหลายคน ยังมชี วี ติ อยู่จนถงึ เมื่อท่านสู่สวรรค์
เพยี งคนเดยี ว คอื ฟาติมะฮ์ ซึ่งได้สมรสกบั อาลี ผู้เป็นญาติ อยี ิปต์ โอมาน
ใกลช้ ดิ ของทา่ นนบี
อาหรับ
วาระน้ั นได้เกดิ ความขัดแย้งกนั วา่ ผ้ใู ดจะสบื ทอด
สถานะผนู้ ำำ� ประดาสาวกผใู้ กลช้ ดิ ไดเ้ ลอื กอาบบู ะกะร์ อายุ มะดนี ะฮ์
๕๙ ปี ซึ่งมีธดิ าเป็นภรรยาคนหน่ึงของทา่ นนบี ข้ึ นเปน็ ผู้
ปกครองของอิสลามสบื ต่อมา โดยมีตำ�ำแหน่งเปน็ กาหลิฟ เมกกะ
(แปลวา่ “ผสู้ บื ตอ่ ”) และมมี ะดนี ะฮเ์ ปน็ ทว่ี า่ การ สว่ นอกี ฝา่ ย
หนง่ึ จะใหอ้ าลบี ตุ รเขยของทา่ นนบเี ปน็ ผสู้ บื ตอ่ แตไ่ มส่ ำำ� เรจ็ มหาวหิ ารกาบะฮ์ ทะเลแดง
เน่ืองจากกาหลิฟ ที่ ๑-๒-๓ ล้วนเก่งกล้า ดนิ แดน เยเมน
ของกาหลิฟและอิสลามจึงแผ่ขยายออกไปอยา่ งรวดเร็ว
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 79
พระถังซำ�ำจง๋ั แห่ง “ไซอว๋ิ ” วา่ ได้พบพระพทุ ธรูปใหญท่ ี่ พามิยาน (Bamian) ซงึ่ แกะ
สลกั เขา้ ไปในหนา้ ผา ๒ องค์ (สงู ๕๒ และ ๓๗ เมตร)
อกี เกือบ ๑,๐๐๐ ปีตอ่ มา ได้มนี ักเขยี นช่อื Wu ประดบั ประดางดงามดว้ ยเพชรนิลจนิ ดา (ที่พวกทาลบิ ัน
Cheng’en แตง่ เร่อื งของท่านเปน็ นิยายชือ่ Hsi-yu-chi ทำำ� ลายเมอื่ พ.ศ. ๒๕๔๔) และสภาพพระพทุ ธศาสนาใน
(Record of a Journey to the West ทคี่ นไทยเรียก ตักสิลาที่พนิ าศสูญสิ้นไปแลว้ หลังจากทถ่ี ูกพวกฮ่ั นทำำ� ลาย
วา่ “ไซอ๋ิว” และไดม้ ผี แู้ ปลเป็นภาษาอังกฤษพมิ พอ์ อกมา
แลว้ บางส่วนเมอ่ื ปี 1942 ตั้งชอื่ วา่ Monkey สภาพชมพูทวีปทพี่ ระถังซำ�ำจงั๋ เลา่ ตรงขา้ มกบั คำำ�
พรรณนาของหลวงจนี ฟาเหยี น ทเี่ ขา้ มาเมอื่ ๒๒๘ ปีกอ่ น
ตักสิลา ครง้ั เหย้ี นจงั กับฟาเหยี น ครงั้ ทตี่ กั สลิ ารงุ่ เรอื ง ซงึ่ เตม็ ไปดว้ ยวดั วาอารามงดงามทวั่ ไป
ทางดา้ นวตั ถกุ เ็ หลอื แตค่ วามรกรา้ ง สว่ นในดา้ นจติ ใจ ชาว
หลวงจีนเห้ยี นจัง ไดบ้ รรยายภาพความเจริญและ พทุ ธทเ่ี หลอื อยู่ กห็ นั ไปหาความเชอ่ื และลทั ธพิ ธิ แี บบตนั ตระ
ความเสือ่ มของพระพทุ ธศาสนาในชมพูทวปี ไว้ ทัง้ ด้าน
พายพั แถบโยนก คันธาระ กศั มรี ะ ทเี่ ดนิ ทางผา่ น เช่น
การแผ่ขยายอิสลาม มุสลมิ อาหรบั ยึดเยรูซาเล็ม
ช่วงท่ี 1. อาหรับ-กาหลิฟ พ.ศ. ๑๑๘๑ (ค.ศ. 638) หลงั จากพระนบมี ฮุ ัมมัด
เสดจ็ สสู่ วรรคแ์ ล้ว ๖ ปี ทัพมสุ ลมิ อาหรับก็ยกไปตียึด
ทะเลเมดเิ ตอเรเนยี น ทะเลดำำ� เยรซู าเลม็ นครศักด์สิ ิทธ์ิได้ ชาวยวิ ท่อี ย่ใู ตป้ กครองของ
จักรวรรดิโรมันมา ๗๐๑ ปี (ต้ังแต่ พ.ศ. ๔๘๐=63 BC)
ตรุ กี ก็เปล่ียนมาอยู่ใตป้ กครองของกาหลฟิ อาหรับ
เยรซู าเล็ม ซีเรีย อิรกั อียิปต์ ฯลฯ ทยอยสู่อิสลาม
จอรแ์ ดน พ.ศ. ๑๑๘๒ (ค.ศ. 639) ทพั มสุ ลมิ อาหรบั ยกเขา้ ตี
อียปิ ต์ ยดึ อยี ปิ ตไ์ ด้ ทำำ� ใหจ้ กั รวรรดบิ แี ซนทนี หรอื โรมนั ตะวนั ออก
สญู เสียแควน้ ใหญ่ทีส่ ดุ หลุดมือไป และอียปิ ตก์ ก็ ลายเปน็
ทะเลแดง จดุ นำ�ำอิสลามเข้าสอู่ าฟริกาเหนือและยุโรปตอ่ ไป
80 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
กาหลิฟขยาย โรมใกล้หมดลม เรอื่ งการสืบทอดตำ�ำแหน่ง สว่ นใหญร่ าว ๖๓% แต่ฝา่ ยสหุ นท่ี มี่ ีราว ๓๗% เปน็ ฝา่ ย
ฝา่ ยส่วนมากไดย้ กผู้ปกครองซีเรยี ข้ึ นเป็นกาหลฟิ ครองอำ�ำนาจ)
จากน้ั น ๒ ปี โรมนั ก็ถกู ขับออกจากซีเรีย และ
เม่อื ถึง พ.ศ. ๑๑๙๘ (ค.ศ. 655) ดินแดนของกาหลฟิ ตน้ วงศอ์ าหรับท่ีดามสั กัส (Damascus) สว่ นฝา่ ยขา้ งที่ อาลี
และอิสลามกแ็ ผ่คลมุ คาบสมุทรอาหรบั ท้งั หมด ตลอด จะใหบ้ ตุ รของทา่ นอาลไี ด้ตำ�ำแหนง่ ไม่ยอมรับตามนั้น (ไม่ ฮซุ เซน
ปาเลสไตน์ ซเี รยี อียิปต์ ลิเบยี เมโสโปเตเมยี และล้้� ำำเขา้ ยอมรับสามกาหลิฟแรกดว้ ย โดยถืออาลเี ป็นผสู้ ืบต่อทแ่ี ท้
ไปในอาร์เมเนีย กบั เปอร์เซีย (อหิ รา่ น) ลิดรอนอำำ� นาจ คนเดยี วของทา่ นนบี)
ของจักรวรรดิโรมนั ลงไปเรอ่ื ยๆ
บตุ รของอาลกี เ็ สยี ชวี ติ หมด โดยเฉพาะเมอื่ ฮซุ เซน
อสิ ลามแตกเป็นสหุ น่ี-ชีอะฮ์ ถูกสงั หารใน ค.ศ. 680 อิสลามกแ็ ตกเป็น ๒ นกิ าย ฝา่ ย
มากเปน็ สุหน่ี ฝ่ายหลังเป็นชีอะฮ์ ซงึ่ ถอื ทา่ นอาลีเป็น
พ.ศ. ๑๑๙๘ (ค.ศ. 655) กาหลิฟที่ ๓ ถกู สังหาร อิหม่ามคนแรก
อาลบี ุตรเขยของทา่ นนบีได้เป็นกาหลฟิ ที่ ๔ แต่อีก ๖ ปี
ต่อมาอาลกี ็ถกู ปลงชพี และไดเ้ กดิ การขัดแยง้ รนุ แรงใน (นกิ ายชีอะฮม์ ผี ูน้ ับถอื มากท่สี ุดใน อหิ ร่าน คอื ราว
๙๕% ของประชากรท้ังหมด สว่ นในอริ กั แม้ชอี ะฮจ์ ะเปน็
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 81
สมั พันธไมตรี จีน-อนิ เดยี หรรษะถกู ลอบปลงพระชนม์ ปุโรหิตเก่าของพระเจ้าหรรษะขึ้นเปน็ กษัตรยิ พ์ ระนามวา่
อรุณาศวะ
พ.ศ. ๑๑๘๔ (ค.ศ. 641) คงสืบเนือ่ งจากการ พ.ศ. ๑๑๙๐ (ค.ศ. 647) พวกพราหมณ์ทร่ี ับ
ทท่ี รงสนทิ สนมโปรดหลวงจีนเหย้ี นจัง พระเจ้าหรรษะ ราชการในราชสำ�ำนัก ขดั เคอื งวา่ พระเจ้าหรรษะอปุ ถมั ภ์ ราชทตู จนี จับกษัตรยิ ์อนิ เดยี
ไดท้ รงสง่ ราชทตู ไปประจำ�ำราชสำ�ำนักจนี สถาปนา พระพุทธศาสนา จงึ คบคดิ กนั ปลงพระชนม์ ครง้ั แรกไม่
สัมพันธไมตรรี ะหวา่ งอนิ เดียกับจีนเป็นคร้งั แรก สำ�ำเรจ็ และทรงอภยั หรือไมล่ งโทษรนุ แรง คนพวกนีจ้ ึง ครั้งน้ั น พระเจา้ ถงั ไทจงได้สง่ ราชทตู นำำ� เคร่อื ง
ทำำ� การรา้ ยใหมอ่ กี โดยปลงพระชนมส์ ำ�ำเรจ็ เม่อื ครองราชย์ ราชบรรณาการมาถวายพระเจา้ หรรษะ แตค่ ณะทูตมาถงึ
พ.ศ. ๑๑๘๔ (ค.ศ. 641) กษตั รยิ ์ธรุวภัฏแห่ง ได้ ๔๑ ปี ปราชญถ์ ือว่าเปน็ อวสานแห่งมหาอาณาจกั ร เมอ่ื ส้ิ นรชั กาลแลว้ กษัตรยิ อ์ งค์ใหมไ่ ด้ใหท้ ำำ� ร้ายคณะทตู
ราชวงศ์ไมตรกะ ท่ีเมืองวลภี ซง่ึ รบพ่ายแพต้ อ่ พระเจา้ พุทธสุดท้ายของชมพทู วีป ตัวราชทตู หนีไปไดแ้ ล้วรวมกำ�ำลังหนุนจากทเิ บต เนปาล
หรรษะ ได้มาเป็นพระกนิษฐภาดาเขย และอัสสัม มาบุกเมืองกนั ยากุพชะ จับกษตั รยิ อ์ รุณาศวะ
(นกั ประวตั ศิ าสตรต์ งั้ ขอ้ พจิ ารณาวา่ อนิ เดยี ยคุ กอ่ น กบั ท้งั บตุ รภรรยาไปเป็นข้าในราชสำ�ำนักท่เี ชยี งอาน
มสุ ลมิ เข้ามา มรี าชาย่ิงใหญ่ทส่ี ดุ ๓ พระองค์ คอื อโศก
กนิษกะ และหรรษะ ซง่ึ ล้วนเป็นกษัตริยช์ าวพทุ ธท้ังสิ้น)
อนงึ่ พวกพราหมณ์ก่อการไดส้ ถาปนาพราหมณ์
เมืองหลวงใหมข่ องกาหลิฟ
พ.ศ. ๑๒๐๔ (ค.ศ. 661) เมืองหลวงของกาหลิฟ
เปลยี่ นจากมะดนี ะฮ์ ไปเปน็ ดามสั กสั ในซเี รยี และกาหลฟิ
องค์ใหมไ่ ดเ้ รม่ิ ต้นวงศ์กาหลิฟอมุ ัยยดั (Umayyad) ข้ึ น
เป็นราชวงศม์ ุสลิมแรกของอาหรับ
มหามสั ยิดอมุ ยั ยัด
กรงุ ดามสั กัส
82 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
ทิเบต เชยี งอาน นานกงิ หลวงจนี อีจ้ ิง ตามหลังเหยี้ นจงั บนั ทกึ ทัง้ ของหลวงจนี เหยี้ นจงั และหลวงจีนอ้ีจงิ
คชุ ราต ได้กล่าวถงึ มหาวิทยาลยั วลภีด้วย ทา่ นแรกมาเยอื นวลภใี น
จีน พ.ศ. ๑๒๒๓-๑๒๓๘ (ค.ศ. 680-695) หลวงจีน พ.ศ. ๑๑๘๒ เลา่ วา่ วลภมี ีสงั ฆาราม (วดั ) เกนิ ร้อย มีพระ
อ้ีจงิ (I-ching หรอื I-tsing) จารกิ ทางเรือมาถึงชมพทู วีป สงฆห์ ีนยาน ๖,๐๐๐ รปู สว่ นใหญศ่ กึ ษาทางหนี ยาน ต่าง
มคธ ได้เลา่ เรียนทนี่ าลันทา พำ�ำนักอยู่ ๑๕ ปี จึงเดนิ ทางกลับ จากนาลันทาที่ชำำ� นาญทางมหายาน ส่วนหลวงจีนอ้จี ิง
เมอื งจีน กลา่ วไดค้ วามวา่ วลภกี บั นาลนั ทายง่ิ ใหญพ่ อกนั นาลนั ทา
ทักษิณาบถ อ่าว ในแดนมชั ฌมิ ฉนั ใด วลภใี นแดนประจิมก็ฉนั นั้น
เบงกอล ขามา ทา่ นออกจากกวางตุง้ เดินทาง ๒๐ วนั ถึง
อาณาจกั รศรวี ิชยั เม่ือ พ.ศ. ๑๒๑๔ (ค.ศ. 671; น้คี ือครง้ั
จมั ปา แรกที่ศรีวชิ ยั ได้รับการกลา่ วถึงในเอกสารประวัตศิ าสตร)์
แวะที่น่ั นระยะหนง่ึ แล้ว จึงเดินทางต่อไปยงั ชมพทู วปี โดย
ลงั กา กษัตรยิ แ์ ห่งศรีวชิ ัยไดท้ รงอุปถมั ภ์ด้วย
มหาสมุทรอินเดยี
ศรีวิชัย
กาหลิฟตอี หิ ร่าน-อาฟรกิ า ยันสเปน King Ardashir I (ซา้ ย)
แหง่ ราชวงศ์สาสสนิท
ก่อนศาสนาอสิ ลามเกดิ ขึ้น ถ้านบั ตอ่ จากชมพทู วีป
ไปจดมหาสมทุ รแอตแลนตกิ มี ๒ มหาอำำ� นาจเท่าน้ั น สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 83
แขง่ กันอยู่ คือ จกั รวรรดโิ รมนั กบั จกั รวรรดเิ ปอร์เซีย แต่
เพียงหลงั ท่านนบีมฮุ มั มดั สสู่ วรรค์ได้ ๑๙ ปี จกั รวรรดิ
เปอรเ์ ซยี ของราชวงศส์ าสสนทิ (Sassanid) ทม่ี อี ายุยาว
๔๒๗ ปี กถ็ ึงอวสานเมื่อทัพอาหรบั จากมะดีนะฮ์ เขา้
ตีและจกั รพรรดิอหิ รา่ นองคส์ ดุ ท้ายถกู สงั หารใน พ.ศ.
๑๑๙๔ (ค.ศ. 651)
ดนิ แดนของกาหลฟิ และอสิ ลามขยายตอ่ ไป ไมช่ า้
ก็เข้าครองอาฟรกิ าเหนอื บุกยุโรป ไดส้ เปน แตถ่ กู ย้ังท่ี
ฝร่ังเศส ใน พ.ศ. ๑๒๗๕ (ค.ศ. 732)
ทมฬิ แหง่ อินเดยี ใต้ กบั ศรวี ิชยั ตลอดถึงปลายแหลมสดุ ประเทศอนิ เดีย เปน็ “ทมิฬกะ” ระยะแรกก็มีความเป็นมาท่ีรกู้ นั กระท่อนกระแท่น เช่น
(ดนิ แดนของชนชาวทมิฬ) ๓ อาณาจกั ร คือ ปาณฑยะ ในจารึกและวรรณคดเี กา่ ๆ ของทอ้ งถิ่นบา้ ง ในบันทึกการ
ในฐานะท่ีอาณาจักรศรวี ิชัยอยใู่ กล้ชดิ ได้ติดตอ่ (Pandya ใตส้ ดุ ) โจฬะ (Cola หรอื Chola เหนือข้ึ นมา เดนิ เรอื คา้ ขายของพวกกรกี และโรมนั บา้ ง และโดยเฉพาะ
และสอื่ รบั ความเจรญิ จากชมพูทวีป จงึ ควรทราบเรื่องของ ตอ่ กับอันธระ) และเจระ หรือเกราละ (Cera, Chera ในพงศาวดารลงั กา ทชี่ าวทมฬิ ท้ังโจฬะ และปาณฑยะ
ดินแดนในชมพูทวปี ส่วนทใี่ กล้ชิดหรอื ติดต่อเก่ยี วขอ้ งคไู่ ป หรอื Kerala ทอดจากเหนอื ลงสดุ ใต้ตามชายทะเลฝั่ง (บาลีเรยี กวา่ ปัณฑุ หรอื ปาณฑิยะ) เขา้ ไปย่งุ เก่ียวกบั
ดว้ ย เฉพาะอย่างย่ิงอินเดยี ใตห้ รอื แดนทมิฬ (สว่ นอนิ เดยี ตะวันตกเคยี งไปกับ ๒ อาณาจกั รแรก) การเมืองการสงครามและการยดึ ครองดนิ แดน
ตะวันออกแถบเบงกอล ซ่งึ มีเมืองทา่ ออกสมู่ หาสมุทร
อนิ เดีย โดยเฉพาะยุคทา้ ยๆ คอื อาณาจักรปาละและเสนะ อาณาจักรเหลา่ น้ีมีอยู่แลว้ ในสมยั พระเจา้ อโศกฯ
ได้พูดไว้ตา่ งหาก) ท้ังนจี้ ะตอ้ งเล่าเร่อื งย้อนหลงั บา้ ง เพ่อื จึงเกา่ แกก่ วา่ สาตวาหนะ ที่เป็นดนิ แดนของชาวอนั ธระ
เช่อื มความเข้าใจให้เหน็ ชัด ซึ่งคร้ังน้ั นยังรวมอยู่ในจกั รวรรดิอโศก
ไดก้ ลา่ วแล้ววา่ ในชมพูทวปี ตอนล่าง ต่อจาก เจระนั้น มเี รื่องราวเหลอื มานอ้ ยยิ่ง จนใน
ดินแดนของชนชาวอนั ธระลงไป (เทียบยคุ เริ่มแกะสลักถ้้� ำำ ประวตั ศิ าสตร์ทัว่ ไปไมก่ ล่าวถึง สว่ นปาณฑยะ และโจฬะ
อชันตา คอื ถัดจากอาณาจักรสาตวาหนะลงไปทางใต)้ จน
พระอนุรทุ ธาจารย์ ศรวี ชิ ยั ที่ควรรู้ พระโพธสิ ตั ว์
แตง่ คมั ภีรห์ ลักในการเรียนอภิธรรม อวโลกเิ ตศวร
ตามทหี่ ลวงจนี อจ้ี งิ เลา่ ไวว้ า่ ทา่ นไดแ้ วะทอ่ี าณาจกั ร ศิลปะมลาย-ู ศรวี ชิ ยั
พ.ศ. ๑๒๕๐–๑๖๕๐ (ค.ศ. 707-1107) พระ ศรีวชิ ัย เนอ่ื งจากอาณาจักรดงั กล่าวเปน็ ชมุ ทางและเปน็
อนุรทุ ธาจารย์แห่งมูลโสมวิหารในลงั กาทวีป รจนาคัมภรี ์ จุดผ่านสำ�ำคัญของการค้า ศาสนาและวัฒนธรรม ระหวา่ ง
ประมวลความในพระอภธิ รรมปิฎก ช่อื ว่า อภธิ ัมมตั ถ ตะวันตก-ตะวนั ออก และอินเดยี กับอาเซยี อาคเนย์ จงึ
สงั คหะ ซึง่ ได้เริม่ ใชเ้ ปน็ คมั ภรี ์สำ�ำคัญในการศกึ ษาพระ ควรรู้เรื่องเพิม่ อกี เลก็ นอ้ ย
อภิธรรมตงั้ แต่ประมาณ พ.ศ. ๑๖๐๐ เป็นต้นมา (เวลาท่ี
แต่งไม่แน่ชัด นกั ปราชญ์สันนษิ ฐานกันตา่ งๆ บางทา่ นว่า ก่อนเกิดมอี าณาจกั รศรีวชิ ัยข้ึ นที่จดุ เรมิ่ คอื
ในยคุ เดยี วกนั หรือใกลเ้ คียงกบั พระพทุ ธโฆสาจารย์ โดย สุมาตราในช่วง พ.ศ. ๑๑๐๐ (กอ่ น ค.ศ. 600) น้ั น ท่ี
ทัว่ ไปถือกันวา่ ไม่กอ่ น พ.ศ. ๑๒๕๐ แต่นา่ จะอยใู่ นชว่ ง ชวา พทุ ธศาสนาได้มาตัง้ มั่นนานแล้วก่อนครสิ ตศ์ ตวรรษ
พ.ศ. ๑๕๐๐-๑๖๕๐) ที่ 5 โดยมภี กิ ษุ เชน่ พระคณุ วรมันมาเผยแผธ่ รรม แม้ท่ี
สมุ าตรา พระพุทธศาสนากค็ งไดม้ าถงึ ในยุคเดียวกนั
84 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
จนี
อ่าว ทมฬิ กับลังกา มเี วรกนั มายืดยาว
เบงกอล
โดยเฉพาะหลัง พ.ศ. ๙๕๐ มาแลว้ ในลงั กามีการ
อนั ธระ จัมปา พิพาทแยง่ ชิงราชสมบตั กิ ันเอง แตล่ ะฝ่ายกข็ อกำำ� ลังจาก
ทมฬิ ท่เี ปน็ พวกมาช่วยบา้ ง กษัตรยิ ท์ มฬิ ยกทัพมารกุ ราน
เจระ โจฬะ ทะเลจนี ใต้ และครอบครองบา้ ง กษตั รยิ ท์ มฬิ ฝ่ายโจฬะกบั ฝา่ ย
ปาณฑยะ ปาณฑยะรบกัน ฝา่ ยหน่งึ ขอกำำ� ลงั จากสิงหฬข้ามทะเลไป
ศรวี ิชยั ชว่ ยรบในแดนทมฬิ บา้ ง
ลงั กา
ความเปน็ ไปในระยะแรกของปาณฑยะ และโจฬะ
มหาสมุทรอนิ เดยี กอ็ ย่างที่กล่าวแล้ววา่ นอกจากการรกุ รานเกาะลังกา การ
รบราแข่งอำำ� นาจกนั เองระหวา่ ง ๒ อาณาจักร และการคา้
กบั กรกี โรมัน และจนี ทพ่ี อจะพบหลกั ฐานบา้ งแลว้ ก็
แทบไมม่ เี ร่ืองราวอื่นปรากฏ
หนี ยานมากอ่ น ๕๐๐ ปที ่ีร่งุ เรือง
หลวงจนี อจ้ี งิ บนั ทกึ วา่ ทีศ่ รวี ิชัย พทุ ธศาสนา ในระยะที่ศรีวชิ ัยครอบครองสมุ าตรา ชวา
หีนยานยังเป็นหลัก ผู้นับถอื มหายานมีน้อย บอรเ์ นยี วตะวันตก และแหลมมลายู มอี ำ�ำนาจคุมช่องแคบ
มะละกา เปน็ ใหญใ่ นเส้นทางการค้าระหวา่ งอาเซยี
ต่อมาไมน่ าน เมื่ออาณาจักรในชมพูทวีปที่นบั ถอื อาคเนยก์ บั อินเดยี และเปน็ ศนู ยร์ วมเกบ็ พกั ส่งต่อสินค้า
มหายาน มีกำ�ำลังขึ้น โดยเฉพาะในยคุ ปาละ และขยาย ระหว่างอนิ เดยี กับจนี รุ่งเรอื งอยู่ ๕ ศตวรรษ ศรีวิชยั
มาทางแถบที่เป็นแควน้ เบงกอลในปัจจบุ นั พทุ ธศาสนา ก็ได้เปน็ ศนู ย์กลางแหง่ หนงึ่ ของพทุ ธศาสนามหายานด้วย
มหายานกม็ ายังศรวี ิชัยตามเสน้ ทางค้าขาย เป็นเวลายาวนานถึงประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ (ค.ศต.ที่ 13)
พระโพธสิ ตั ว์ อวโลกิเตศวร ศลิ ปะศรวี ชิ ยั
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 85
ทมิฬยังเฉา กว้างขวางมาก รวมท้งั อาณาจกั รทมิฬด้วย
คราวมีอาณาจกั รใหญท่ างเหนอื สว่ นจาลกุ ยะกค็ อื ผกู้ ำำ� จดั วากาฏกะลง มเี มอื งหลวง
คร้ั นต่อมา ในดินแดนเหนอื ขึ้นไปในทักษิณาบถ อย่ทู ี่วาตาปีปุระ เริม่ แต่ พ.ศ. ๑๐๘๖ (ค.ศ. 543) ตอ่ มา
เมอ่ื สาตวาหนะสลายลงใน พ.ศ. ๗๔๓ (บางตำ�ำราวา่ เสียเมืองแก่พวกราษฏรกฏู ใน พ.ศ. ๑๓๐๐ (ค.ศ. 757)
พ.ศ. ๗๖๘/ค.ศ. 225) แลว้ มีอาณาจกั รใหมๆ่ เกดิ ข้ึ น แลว้ ตงั้ วงศ์ขึ้นใหมอ่ ีกเม่อื ราษฏรกฏู สิ้นอำำ� นาจใน พ.ศ.
นอกจากวากาฏกะท่อี ยคู่ ่อนไปข้างบนแล้ว ที่ใต้ลงมาชดิ ๑๓๐๐ (ค.ศ. 975) เรียกว่าจาลุกยะตะวนั ตก
แดนทมฬิ และเดน่ มาก คอื ปลั ลวะ และจาลุกยะ เมื่อ
แรกสองอาณาจกั รใหมน่ ี้รงุ่ เรอื ง แดนทมิฬกย็ งั เงียบเฉา ในราว พ.ศ. ๑๓๐๐ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8)
น้ั น ปัลลวะเสือ่ มอำำ� นาจลง ปาณฑยะและโจฬะก็เป็น
ปัลลวะ น้ั น เม่อื สาตวาหนะเสอ่ื ม กต็ ้งั อาณาจักร อสิ ระและรงุ่ เรอื งต่อมา
ข้ึ นมาท่ี กัญจี หรอื กญั จีปรุ ัม (Kanchipuram) เมื่อราว
พ.ศ. ๗๖๘ (ค.ศ. 225) แลว้ เรอื งอำ�ำนาจขึ้นมาจนกระทงั่
ราว พ.ศ. ๑๑๕๐ (ค.ศ. 600 เศษ) ก็ปกครองดนิ แดน
เปล้ีย-ฟนื้ -ดับ พ.ศ. ๑๒๔๗-๑๒๙๔ (ค.ศ. 704-751) ท่ีเกาหลี
ชาวพทุ ธได้ใช้ตวั อักษรทแี่ กะเปน็ แม่พมิ พ์ดำำ� เนนิ การ
ระหวา่ งน้ั น ศรวี ชิ ยั เปลย้ี ไประยะหนงึ่ เมอ่ื ถกู พระเจา้ พมิ พ์พระสูตร ซงึ่ ยงั คงอยู่จนบดั น้ี อันยอมรบั กันว่าเป็น
ราเชนทรที่ ๑ แหง่ อาณาจกั รโจฬะยกทพั มาตใี น พ.ศ. หนงั สือตีพิมพ์ที่เกา่ แก่ท่สี ดุ ในโลก (การประดษิ ฐ์แมพ่ ิมพ์
๑๕๖๘/ค.ศ. 1025 และโจฬะยดึ ครองชวาได้สว่ นใหญ่ เกิดข้ึ นในจนี กอ่ นหน้านี้ไมน่ านนกั และตอ่ ไปต้ังแต่ราว
พ.ศ. ๑๔๕๐ การพมิ พห์ นงั สอื จะแพร่หลายทว่ั ไปในจีน)
ราเชนทรท่ี ๑ นอกจากปราบศรวี ิชยั แลว้ ยัง
ครองลังกาทวีปได้หมด และขยายไปยดึ ดนิ แดนบางส่วน จากซา้ ย:
ของพมา่ และมลายดู ้วย Surya Majapahit
แม่พมิ พ์ไม้ ท่ีเกาหลใี ช้
(ราเชนทรท่ี ๑ มาตสี งิ คโปร์ใน พ.ศ. ๑๕๖๘ และ
ตัง้ ช่ือเกาะว่า สิงหปรุ ะ ซ่ึงเพย้ี นมาเปน็ สงิ คโปร์ (บาง พิมพ์พระสูตร
ตำำ� นานวา่ มภี ิกษุให้ชือ่ นั้น บางตำำ� นานวา่ อยา่ งอ่ื นอีก)
อย่างไรก็ตาม ตอ่ มา ศรีวชิ ัยก็รุ่งเรืองข้ึ นไดอ้ กี
และคงอย่อู ีกนานจนเลือนลับไปเมือ่ อาณาจกั รใหม่ชอ่ื
“มชปหติ ” เดน่ ข้ึ นมาแทนที่ในระยะ พ.ศ. ๑๘๐๐
86 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
ม.สินธุ คชุ ราต ม.ยมมุน.คางคา ทเิ บต
ประยาค เวสปาาลฏี ลีบุตร ปาณฑยะ และโจฬะ
จะลับหรอื โรจน์ การค้ากร็ ่งุ
จาอลชุ กุ เชนยี มะ.นมั มทา กลงิ คะ เบองก่าวอล โดยเฉพาะ รัชกาลของพระเจา้ ราเชนทรท่ี ๑
ม.โคทาวรี ตลอดเวลาท้งั หมดนี้ การคา้ ทางทะเลระหว่าง (พ.ศ. ๑๕๕๕-๑๕๘๗/ค.ศ. 1012-44) เปน็ ช่วงเวลาท่ี
ประเทศกด็ ำ�ำเนนิ สืบต่อเรื่อยมา แตม่ ีความเปลย่ี นแปลง โจฬะเรอื งอำำ� นาจสงู สดุ ราเชนทรที่ ๑ สบื งานพชิ ติ ตอ่ จาก
วาตาปปี ุระ ม.กฤษณะ เวงคี คือ การคา้ กบั ด้านโรมนั สะดดุ หยดุ ไป (จกั รวรรดโิ รมัน พระราชบดิ า นอกจากครองปาณฑยะและเจระ ตีดนิ แดน
ตะวันตกลม่ สลายเมอื่ พ.ศ. ๑๐๑๙/ค.ศ. 476) จากน้ั น รายรอบและข้ึ นเหนอื ไปถึงแมน่ ้�้ำำคงคา ชนะกษัตริย์ปาละ
ม.กาเโวรจี ฬกะัญจปี ุรัม อินเดียไดห้ นั มาคา้ ขายกบั อาเซยี อาคเนย์ สว่ นการคา้ ขาย แทบจะรวมอินเดียทัง้ หมดแลว้ ยังเป็นเจ้าทะเลแถบนี้ ทั้ง
มทุรา กบั อาหรบั และจีนกย็ งั ดำ�ำเนินตอ่ มา แผข่ ยายดนิ แดนไปถงึ อาเซยี อาคเนย์ และควบคมุ เสน้ ทาง
การค้า ทำำ� ใหก้ ารพาณชิ ยย์ า่ นน้ี กระทง่ั กับจีนดำำ� เนินไป
คงสบื เนอื่ งจากกิจกรรมการคา้ ขายทีเ่ ฟื่องฟขู ึ้นใน อยา่ งเขม้ แขง็ จนตลอดคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๑
แถบน้ี อาณาจักรใหมซ่ ง่ึ มีชื่อวา่ ศรวี ชิ ยั จงึ ได้เกิดขึ้น
Rajendra Coin
พ.ศ. ๑๒๕๓ (ค.ศ. 710) ทญี่ ี่ปุน่ พระจกั รพรรดิ
โชมุทรงยา้ ยเมอื งหลวงไปตงั้ ทีเ่ มอื งนารา (Nara) เชดิ ชู
พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาประจำ�ำชาติ และใหส้ ร้างวดั
ข้ึ นประจำ�ำทกุ จังหวดั
พ.ศ. ๑๒๕๔ (ค.ศ. 711) ทัพมสุ ลมิ อาหรับจาก
อาฟริกาเหนือ ในนามแหง่ กาหลิฟทด่ี ามัสกัส ยกมาตยี ดึ
สเปนได้
พ.ศ. ๑๒๕๕ (ค.ศ. 712) ทางดา้ นอาเซยี กาหลฟิ ภาษาราชการ และเข้าครองดนิ แดนแถบแควน้ สนิ ทแ์ หง่ จากซ้าย:
แผ่อำ�ำนาจไปทางตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของชมพูทวปี พชิ ติ ลมุ่ น้�้ำำสนิ ธุ ทพั อาหรบั จะรกุ คบื เขา้ ปญั จาบและแคชเมยี ร/์ Todaiji Daibutsu
บากเตรยี /โยนก เข้าไปอาเซยี กลาง (ตำ�ำนานวา่ ถึงชาย กศั มรี ์ แต่ถกู หยดุ ยง้ั ไว้ จกั รพรรดิโชมุ
แดนจนี ) เปลี่ยนชนท้องถิ่นเป็นมุสลมิ ให้ใช้อาระบกิ เปน็ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 87