The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
https://drive.google.com/file/d/1dJ8WmzAzRsW7nS1ZiIh5_CWP9-8jRXRs/view?usp=sharing

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pizza24g, 2022-10-08 12:56:44

กาลานุกรม ครั้งที่๒๘

พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
https://drive.google.com/file/d/1dJ8WmzAzRsW7nS1ZiIh5_CWP9-8jRXRs/view?usp=sharing

ชมพูทวีป ไดผ้ ู้นำ�ำใหม่ โคปาละ ซงึ่ เปน็ ชาวพทุ ธ แตใ่ นระบบของพราหมณ์
เป็นคนวรรณะศทู ร ไดต้ ั้งราชวงศป์ าละข้ึ น ในแถบรฐั
พ.ศ. ๑๒๙๓ (ค.ศ. 750) หลังจากส้ิ นพระเจา้ พหิ าร และเบงกอลในปจั จบุ นั (คลุมดนิ แดนท่เี คยเปน็
หรรษวรรธนะแล้ว ชมพทู วีประส่่� ำำระสายนานเกือบ ๑ ของราชาศศางกะดว้ ย)
ศตวรรษ ศนู ย์อำำ� นาจกระจัดกระจาย ครั้นถึงประมาณ
พ.ศ. ๑๒๙๓ ทางดา้ นตะวันออก ในภาวะที่บา้ นเมืองไร้ กษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี ๒ ไดข้ ยายดนิ แดนไปถงึ กนั ยากพุ ชะ
ขื่อแป ประชาชน (คนส่วนใหญใ่ นแถบนเ้ี วลาน้ั นถอื ได้วา่ และต้งั เมอื งหลวงท่ีปาฏลบี ุตร
เป็นชาวพทุ ธ) ได้ประชุมกนั เลอื กผู้นำำ� ทอ้ งถิ่นคนหนึ่งชื่อ
โคปาละข้ึ นเป็นกษัตริย์ของตน

พระพุทธรูป
ศลิ ปะปาละ

ยุโรป สนิ้ วงศก์ าหลฟิ เรม่ิ วงศ์ใหม่ อาหรับทำำ� กระดาษได้จากจีน

ทะเลดำำ� ไซบเี รีย พ.ศ. ๑๒๙๓ (ค.ศ. 750) กาหลฟิ วงศ์อมุ ยั ยัด พ.ศ. ๑๒๙๔ (ค.ศ. 751) ในยทุ ธการแห่งแม่น้�้ำำ
แคทสะเเปลยี น (Umayyad caliphate) ท่ดี ามัสกสั ถูกชงิ อำำ� นาจ ผมู้ ชี ยั ตาลาส (Battle of Talas) แถบเตอรก์ สี ถาน ทพั จีน
เมดเิ ตทอะเเลรเนียน ดามสั กสั ได้ต้งั วงศ์แอบบาสิด (Abbasid caliphate) ขึ้นเป็น พา่ ยแพแ้ ก่ทพั มุสลิมอาหรบั ทำ�ำให้จกั รวรรดจิ ีนในอาเซีย
เตอรก์ สี ถาน วงศ์ใหม่ และได้ให้กำำ� จัดลา้ งโคตรกาหลิฟวงศ์เก่าหมดสิ้น กลางถงึ อวสาน
อียปิ ต์ (หนีไปได้ ๑ คน)
แบกแดด บากเตรีย ตาลาส กจู า มุสลิมอาหรบั จบั ชา่ งฝีมือจีนเป็นเชลยไปแบกแดด
ทะเลแดง จีน ชา่ งจนี นักทำำ� กระดาษ ได้ทำำ� กระดาษใหแ้ กน่ ายมุสลมิ
เมกกะ เปอร์เซีย แคชเมยี ร์ ทเิ บต เขมร ตรงจังหวะที่จะหนนุ ยคุ ใฝ่วทิ ยาท่ี น่ั น และกวา่ จะถงึ ปี
อาหรบั กนั ยากพุ ชะ ๑๓๓๘ (ค.ศ. 795) อตุ สาหกรรมผลิตกระดาษก็ต้ังม่ั นใน
แบกแดด
อาฟริกา อทาหะเรลบั เบองกา่ วอล
จากชาวมุสลมิ วธิ ที ำ�ำกระดาษกแ็ พรไ่ ปในอาเซีย
ยุโรป อาฟริกา

88 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

ปาละ ราชวงศ์พทุ ธสุดทา้ ย ปาละ+สถานศึกษา นำำ� วิทยาสู่ศรวี ิชยั

ราชวงศ์ปาละ ซง่ึ ล้วนเปน็ กษตั รยิ ์ชาวพทุ ธ ได้ มหาวทิ ยาลัยเหลา่ นเี้ จริญตามแบบอย่างของ
สง่ เสรมิ การศกึ ษาศาสนา ศิลปวทิ ยาและวฒั นธรรมเปน็ นาลันทา ซ่งึ อยู่ไม่ไกล (โอทนั ตปรุ ะอยู่หา่ งนาลนั ทาเพียง
อยา่ งยิ่ง ราชาองค์ท่ี ๑ ท่ี ๒ ที่ ๓ และที่ ๑๐ ได้ตง้ั มหา ๖ ไมล)์
วหิ าร คือมหาวทิ ยาลยั ใหม่ข้ึ น พระองคล์ ะ ๑ แห่ง คอื
โอทนั ตปรุ ะ (ราว พ.ศ. ๑๒๘๘) วกิ รมศลิ า (พ.ศ. ๑๓๕๓) ตลอดยคุ ปาละ (จบราว พ.ศ. ๑๖๖๓/ค.ศ. 1120)
โสมปรุ ะ (พ.ศ. ๑๓๖๓) และชคทั ทละ (พ.ศ. ๑๖๓๓) นี้ วิทยาการและศลิ ปวฒั นธรรมในนามแหง่ พระพทุ ธ-
ศาสนา ได้แพรจ่ ากชมพูทวีปไปยงั ศรีวิชัย ตามเส้นทาง
การคา้ ขาย

วกิ รมศิลา

อิตาลี บีแซนทนี ทะเลแคสเปยี น กาหลิฟแบกแดดใฝ่วิทยา กาหลฟิ ทแี่ บกแดด วงศแ์ อบบาสดิ น้ี (พ.ศ. ๑๒๙๓-
๑๕๙๘=ค.ศ. 750-1055) หนั มาสนใจสง่ เสริมศิลปวทิ ยา
ทะเลดำ�ำ พ.ศ. ๑๓๐๕ (ค.ศ. 762) กาหลฟิ วงศใ์ หม่ คอื (ราชาฮารนู อลั ราษจิด/Harun al-Rashid ในนยิ าย
วงศแ์ อบบาสิด ย้ายเมืองหลวงจากดามัสกัส มาต้ังที่ อาหรบั ราตรี กค็ ือ กาหลฟิ องคท์ ่ี ๕ แหง่ แบกแดด ซึง่
คอนสแตนติโนเปิลซชิ ิลี เฮรตั กาบุล แบกแดด เร่ิมตน้ ยคุ ใหม่ ครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๓๒๙-๕๒ และเปน็ ปราชญ์ ส่งเสริม
ดามัสกสั วรรณคดี) การคา้ ขายก็เป็นช่องทางถ่ายทอดความรู้
เยรูซาเลม็แอบบาสดิทะเลเมดเิ ตอเรเนียน ฮารูน อลั ราษจดิ
มีการแปลผลงานของกรีกเปน็ ภาษาอาหรบั (โดย
อเลกซานเดรีย เฉพาะในช่วงตอ่ จาก พ.ศ. ๑๓๖๒ มกี ารแปลกนั มาก
แบกแดด ระยะหน่ึง) นำำ� ความรจู้ ากอินเดยี มาใช้และเผยแพร่ แล้ว
ชาวมสุ ลมิ อาหรับกพ็ ฒั นาความร้นู ั้นๆ ข้ึ นอกี ทำ�ำให้เกดิ
อยี ิปต์ มะดีนะฮ์ อ่าวเปอรเ์ ซีย โอมาน ยุคทองของศลิ ปวทิ ยาอิสลาม

เมกกะ ทะเลอาหรับ ในยคุ น้ี แบกแดด และเชยี งอาน ได้ชอ่ื วา่ เป็น ๒
มหานครใหญ่ทส่ี ุดในโลก
ทะเลแดง เยเมน

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 89

ข) ยคุ มุสลมิ เข้าครอง มสุ ลมิ อาหรบั ทำ�ำลายมหาวิทยาลัยวลภี

ระลอกที่ 1. มสุ ลิมอาหรบั พ.ศ. ๑๓๑๘ (ค.ศ. 775) ชนมสุ ลิมอาหรบั ทมี่ า
ครองแควน้ สนิ ทต์ ้งั แต่ พ.ศ. ๑๒๕๕ (ค.ศ. 712) ยกทัพมา
ทางเรอื เขา้ ตีเมอื งวลภี สังหารพระเจา้ ศีลาทิตยท์ ี่ ๖ ลม้
ราชวงศ์ไมตรกะ และทำ�ำลายลา้ งพระนครพนิ าศลงโดย
สิ้นเชิง

โดยการโจมตีของชนมสุ ลมิ อาหรบั ท่ี ทำำ� ลายเมอื ง
วลภนี ั้น มหาวิทยาลยั วลภกี ็ไดถ้ ูกทำำ� ลายลงด้วย เปน็
มหาวทิ ยาลยั พทุ ธศาสนาแห่งแรกที่ถกู ทำ�ำลาย (ถ้าไม่นับ
ตักสิลา) และพินาศอย่างไม่เหลอื แมแ้ ตซ่ าก

อารยภฏั วิทยา จากอินเดียสู่ยโุ รป (มีนักประวัติศาสตรก์ ล่าววา่ ดาราศาสตร์น้ั น
90 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก อนิ เดียรับต่อจากเมโสโปเตเมยี และกรกี แล้วเฟอื่ งอยู่
วทิ ยาการของชมพทู วีป โดยเฉพาะที่เจรญิ สืบต่อ เพียงระยะสั้นๆ จากนั้นกเ็ บนไปทางโหราศาสตร์ แตใ่ น
มาราว ๕ ศตวรรษ ในยุคมหาวิทยาลัยนาลนั ทาและวลภี ดา้ นคณิตศาสตร์ อนิ เดียพัฒนาไกลมาก ทีเ่ ป็นอยา่ งน้ี
นับแตส่ มัยคปุ ตะ ถงึ หรรษรัชกาล ไดร้ ับการถา่ ยทอด นา่ พจิ ารณาว่า การเหจากดาราศาสตรไ์ ปหาโหราศาสตร์
สู่โลกตะวันตกโดยชาวมสุ ลิมอาหรบั ทง้ั คณติ ศาสตร์ เป็นเพราะการหนั ไปนิยมตนั ตระหรือไม่ ส่วนคณติ ศาสตร์
ดาราศาสตร์ แพทยศาสตร์ ปรชั ญา เชน่ ยงั ไม่เส่อื ม เพราะโหราศาสตรก์ ต็ ้องคำ�ำนวณมาก)

อารยภัฏ (ชาวอาหรบั เรียกเพ้ยี นเป็น Arjehir) ในยุคกาหลิฟแหง่ แบกแดดนี้ อัล-ขวารซิ มิ (al-
แหง่ ปาฏลีบุตร ไดแ้ ต่งตำ�ำราช่ือ อารยภฏีย์ ไวเ้ ม่ือ พ.ศ. Khwarizmi, ช่อื ของเขาเป็นท่ีมาของคำ�วา่ Algorithm)
๑๐๔๒ โดยประมวลหลกั คณติ ศาสตร์-ดาราศาสตร์ รวม ทม่ี ชี ว่ งชวี ติ ใน พ.ศ. ๑๓๒๓-๑๓๙๓ ไดเ้ ขยี นตำ�รา นำ�ตวั เลข
ท้งั ระบบเลขสิบตวั การใช้เลข ๐ ทศนิยม การที่โลกหมุน อารบิก (เดมิ คอื ตวั เลขอนิ เดีย ฝรงั่ บัดนี้ จงึ เรยี กใหม่วา่
รอบตวั เอง การคำ�ำนวณจนั ทรคราส-สรุ ิยคราส พีชคณติ ตัวเลขฮินด-ู อาระบกิ /Hindu-Arabic numerals) และ
และเรื่องสมการ ความร้อู ่ื นๆ ทางคณติ ศาสตร์-ดาราศาสตรม์ าเผยแพร่รวม
ท้งั ไดใ้ ห้กำ�เนิดคำ�ว่า Algebra (คำ�เดมิ ของเขาวา่ al-jabr)
พรหมคปุ ต์ แหง่ อุชเชนี (ชว่ งชวี ติ พ.ศ. ๑๑๔๑-
๑๒๐๘) กแ็ ตง่ ตำำ� ราคณติ ศาสตรไ์ ว้ มอี ยเู่ ลม่ หนงึ่ ชอื่ พชี คณติ

นาลันทายงั อยู่ แต่แพรต่ นั ตระ เร่มิ แต่พระศานตรกั ษิต ตอ่ ดว้ ยพระปทั มสัมภวะ (ไป
ใกลๆ้ กนั องคห์ ลังไป พ.ศ. ๑๒๙๐=ค.ศ. 747) และใน
มหาวทิ ยาลยั นาลนั ทา และมหาวิทยาลยั อื่นๆ ช่วงต่อมา ก็ไดพ้ ระอาจารย์จากมหาวิทยาลยั ใหมๆ่ เหลา่
ของปาละ แมจ้ ะยังคงอยู่ แตใ่ นดา้ นการศกึ ษาพุทธ นี้ดว้ ย ท่ีเด่นมากคอื พระอตศี ะ หรอื ทปี ังกรศรชี ญาณ
ศาสนา ถอื ไดว้ ่าเกดิ ความเสอ่ื มโทรมภายใน โดยเฉพาะ แห่งวิกรมศิลา ซึ่งไปทิเบต ประมาณ พ.ศ. ๑๖๐๐
ความนิยมลัทธติ ันตระกำ�ำลงั แผค่ รอบงำำ�
มหาวทิ ยาลยั นาลันทา
เวลาน้ั น นาลนั ทากลายเป็นศูนยก์ ลางการศกึ ษา
พทุ ธศาสนาแบบตันตระ และมีการปฏบิ ัติตามลทั ธพิ ิธี
ของตันตระ ดังนั้น ตันตระ (รวมทั้งไสยศาสตร์) จึงเฟือ่ งฟู
ไปทัว่

อนง่ึ ในช่วงเวลาน้ี กษตั ริยท์ ิเบตได้นิมนตพ์ ระ
อาจารยจ์ ากนาลันทาไปสอนและนำ�ำชาวพุทธในทเิ บต

จะเข้ายคุ เตอรก์ เปน็ สุลตา่ น พทุ ธศาสนาแบบมหายาน
เคยเจรญิ ในภาคใตข้ องไทย
ในท่สี ุด ยุคแหง่ วทิ ยาการและสันตจิ ะจบลง
กาหลฟิ อาหรบั ท่ีแบกแดดจะสิ้นอำำ� นาจ เม่อื สุหนีม่ สุ ลิม พ.ศ. ๑๓๐๐ (ค.ศ. 757) ในชว่ งเวลาน้ี ดนิ แดน
พวกเซลจูกเตอร์ก (Seljuq/Seljuk) จะสยบพวกชอี ะฮ์ ทีเ่ ปน็ ภาคใต้ของประเทศไทยปัจจุบนั ได้รวมอยูใ่ นเขต
โดยมายดึ แบกแดด ใน พ.ศ. ๑๕๙๘ (ค.ศ. 1055) และ ของอาณาจกั รศรีวิชยั พทุ ธศาสนาแบบมหายานจงึ
ไดส้ ถานะสุลต่าน เป็นผู้ครองอำำ� นาจที่แทต้ อ่ ไป ร่งุ เรอื งในดนิ แดนแถบน้ดี ้วย ดงั มีเจดีย์พระบรมธาตไุ ชยา
และพระบรมธาตนุ ครศรธี รรมราช กับท้ังปฏิมาของ
พระอวโลกิเตศวรโพธิสตั ว์ เปน็ ตน้ เป็นประจักษ์พยาน

พระบรมธาตไุ ชยา

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 91

ปาละ กบั ทิเบต และศรีวชิ ยั อินเดียค่อยสงบได้ ในยุคแบกแดด

ราชวงศ์ปาละติดตอ่ กบั ทเิ บต และโดยเฉพาะทัง้ พ.ศ. ๑๓๐๕-๑๕๙๘ (ค.ศ. 762-1055) เปน็ ยคุ
การค้าและการพระศาสนา กับอาณาจกั รศรวี ิชัยมาก กาหลิฟ วงศ์แอบบาสดิ ทแ่ี บกแดด ซึ่งมสุ ลิมอาหรับยัง
มหาวิทยาลยั นาลนั ทา และวกิ รมศลิ า กม็ บี ทบาทสำำ� คญั เรอื งอำำ� นาจตอ่ เนอ่ื งสืบมาต้งั แต่ยคุ กาหลฟิ ทีม่ ะดีนะฮ์และ
ในทางไมตรี เมอ่ื ถงึ ตอนน้ี การติดตอ่ กับเมอื งจนี จงึ ลดลง ทด่ี ามสั กสั
ไป ยา้ ยมาสนใจดา้ นทเิ บต ศรวี ชิ ัย ตลอดถงึ ประเทศทัง้
หลายในอาเซียอาคเนย์ แตเ่ นอื่ งจากกาหลิฟทีแ่ บกแดดหนั มาสนใจด้าน
ศลิ ปวทิ ยา อกี ท้ังมภี าระและปัญหาใกล้ตวั ทีต่ ้องจดั การ
นอกจากการศึกษา พระศาสนา และพาณิชย์ จึงทำำ� ใหช้ มพทู วปี คอ่ ยสงบเพลาจากสงครามเกือบตลอด
ศิลปะแบบปาละ อันสบื เนือ่ งจากพระพุทธศาสนา กแ็ พร่ ยุคแบกแดดนั้น
ความนยิ มออกไปดว้ ย เชน่ การหล่อพระพทุ ธรปู และ
ภาพพุทธประวตั บิ นใบลาน เทวรปู ต่างๆ พระบชู าขนาดยอ่ ม และการวาดภาพ
พุทธประวตั บิ นใบลาน

ฝรงั่ จะฟน้ื จักรวรรดิโรมนั

พ.ศ. ๑๓๑๑-๑๓๕๗ (ค.ศ. 768-814) พระเจา้
ชารล์ ะเมน (Charlemagne) หรอื ชารล์ สม์ หาราช
กษตั รยิ ์ของชนเผา่ แฟรงค์ (เผา่ ชนเยอรมนั พวกหนง่ึ ซง่ึ
เป็นท่มี าของฝรั่งเศสและเยอรมนี) รวมอำ�ำนาจได้และตงั้
มหาอาณาจักรให้เปน็ การฟ้ืนจกั รวรรดโิ รมันขึ้นใหม่ ซึง่
ยืนยาวอยู่ได้ ๑๒๕ ปี (พ.ศ. ๑๓๔๓-๑๔๖๘=ค.ศ. 800-
925) แตก่ ไ็ ดเ้ ป็นตน้ กำ�ำเนดิ ของ Holy Roman Empire
ทต่ี ั้งต้นในปี 962 (พ.ศ. ๑๕๐๕)

จากซา้ ย:
Emperor Charlemagne
บรมพทุ โธ

92 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

อาหรับหยดุ เตอรก์ จะเริม่ บุก ศังกราจารย์ ที่ฮนิ ดูด้วยกันก็ระแวง

แตค่ วามสงบคงอย่ไู ด้ไม่นานนกั พอถงึ กลางยคุ พ.ศ. ๑๓๓๑-๑๓๖๓ (ค.ศ. 788-820) ช่วงชวี ิต
แบกแดดนั้น พวกชนชาตขิ ้างเคยี งชมพทู วีปทางด้าน ของศงั กราจารย์ ปราชญ์ฮินดู นกิ ายไศวะ ผตู้ ัง้ ลัทธิ
พายัพ ทีไ่ ดร้ ับอิสลามจากมสุ ลมิ อาหรับ โดยเฉพาะมสุ ลมิ อทไวตเวทานตะ และมุ่งมั่นกำำ� จดั พระพทุ ธศาสนา แตโ่ ดย
เตอรก์ ก็เริม่ ขยายอำ�ำนาจแผอ่ สิ ลามแทนมุสลมิ อาหรับ พื้นฐานเดิม เปน็ ที่ยอมรบั กันวา่ อาจารย์ของอาจารยข์ อง
ยคุ แห่งสงครามจงึ จะเริ่มขึ้น เขาได้หลกั ความคดิ ไปจากพุทธศาสนามหายาน และตวั
เขาเองกถ็ กู ปราชญฝ์ า่ ยฮนิ ดดู ว้ ยกนั เรยี กวา่ เปน็ “ปรจั ฉนั น-
(อินเดียจะเป็นสนามรบรับศกึ เตอร์กต้งั แต่ พ.ศ. เพาทธะ” คอื เปน็ คนพทุ ธแอบแฝง (ทำ�ำนองวา่ ที่โจมตี
๑๕๔๔ คืออีกราว ๒๐๐ ปขี ้างหน้า) พุทธศาสนาอย่างเตม็ ที่ก็เปน็ ปฏิกริ ยิ าเพ่ือแสดงว่าตนไม่
ได้เก่ยี วขอ้ งรับอะไรไปจากพุทธศาสนา)

ศังกราจารย์

สรา้ ง “บรมพุทโธ” ในยุคของศรวี ิชัย จนี ยกเต๋า ถึงคราวเซนขน้ึ

พ.ศ. ๑๓๒๑-๑๓๙๓ (ค.ศ. 778-850) ประมาณวา่ พ.ศ. ๑๓๘๓ (ค.ศ. 840) ทีเ่ มืองจนี ในราชวงศ์
ในชว่ งเวลาน้ี กษตั รยิ ร์ าชวงศไ์ ศเลนทรแหง่ ชวา ซงึ่ รว่ มสมยั ถงั จกั รพรรดิหวูจ่ งขึ้นครองราชย์ ทรงถือลทั ธเิ ตา๋ อยา่ ง
กบั ศรีวชิ ยั แห่งสมุ าตรา ได้สร้างมหาเจดีย์ Borobudur รนุ แรง ถึงกบั ไดห้ ้�้ำำหั่นบีฑาพระพุทธศาสนาเต็มที่
หรือ Barabudur (สันนิษฐานกนั วา่ เพย้ี นจาก “บรม
พทุ โธ”) ทช่ี วาภาคกลาง (ห่างเมืองจอ๊ กจารก์ ารต์ าไปทาง ประวัติศาสตรจ์ ีนบันทึกว่า ในชว่ ง ๒ ปี (พ.ศ.
ตะวันตกเฉยี งเหนอื ๖๘ กม.) อันใหญโ่ ตดงั ภเู ขา เปน็ ๑๓๘๖-๑๓๘๘/ค.ศ. 843-845) หวจู่ งไดย้ ดึ ทดี่ นิ รบิ ทรพั ย์
ศลิ ปะแบบคปุ ตะหรอื หลังคปุ ตะ ใชห้ ินภูเขาไฟสีเทาสรา้ ง สมบตั ิของวดั ทั้งหลายมากมาย ทำ�ำลายอาราม ๔,๖๐๐
ราว ๒ ล้าน ตร.ฟตุ รูปคลา้ ยปิระมิด ช้ั นฐานและลานอีก วดั ทบุ รอ้ื เจดยี ์ ๔๐,๐๐๐ องค์ บังคับภิกษแุ ละภกิ ษุณใี ห้
๕ ชั้นแรก เป็นรปู สเ่ี หล่ยี ม ลาน ๓ ช้ั นบน เป็นรปู วงกลม สกึ ๒๖๐,๕๐๐ รปู แมก้ ารทำ�ำลายจะดำำ� เนินไปในเวลาสั้น
แตไ่ ดเ้ ปน็ จุดเร่มิ แหง่ ความเสื่อมของพุทธศาสนาในจนี สบื
Borobudur ถกู ทง้ิ รกรา้ งไปตงั้ แตร่ าว พ.ศ. ๑๕๕๐ ตอ่ มา
(คงจะเมื่อชาวพุทธหมดไป) จนกระท่ังนกั โบราณคดี
ฮอลนั ดามาปฏิสังขรณ์ในปี ๒๔๕๐-๔ และปฏิสงั ขรณค์ รง้ั พ.ศ. ๑๓๘๘ (ค.ศ. 845) ทเี่ มืองจนี หลงั จาก
ท่ี ๒ เสรจ็ ใกล้ๆ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ทางการไดร้ กุ รานบ่ั นทอนพระพทุ ธศาสนา ปรากฏวา่ พทุ ธ
ศาสนานิกายฉาน(เซน)เดน่ ข้ึ นมาเป็นนิกายหลกั ของจนี

สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 93

ศังกราจารย์ กำำ� จัดพทุ ธได้อย่างไร

วธิ กี ารของศงั กราจารยใ์ นการกำำ� จดั พระพทุ ธศาสนา แตล่ ะครงั้ มใิ ชเ่ ป็นการมชี ีวิตชุมชนอย่างทีศ่ ังกราจารยต์ ้งั
ท่ี สำ�ำคญั คือ เขาเทย่ี วถกเถียงโต้วาทะไปทวั่ ทกุ ถ่ิ นเฉพาะ ข้ึ นแบบวดั ทว่ี า่ นี)้
นอกเมือง โดยไม่ยอมสอนคนในเมอื งเลย เพราะเวลานั้น
พทุ ธศาสนาแมจ้ ะกำำ� ลงั เสอ่ื ม แตย่ งั เขม้ แขง็ ในเมอื ง
พร้อมนั้นก็ตวี งลอ้ มเมืองดว้ ยการจดั คณะนักบวช รูปรา่ งเป็นพระ แตค่ วามรู้ไมเ่ ป็นพทุ ธ

ฮนิ ดูข้ึ น ทำ�ำนองเลยี นแบบสงั ฆะในพระพุทธศาสนา โดย เวลาน้ั น พระสงฆใ์ นพุทธศาสนามากระจุกกนั อยู่
ตั้งวดั ใหญข่ ้ึ นมาใน ๔ ทศิ เรยี กวา่ “มฐั ” ตามอยา่ งวดั ใน ในเมืองใหญ่ๆ ปล่อยให้ชนบทถ่ิ นห่างไกลออ่ นแอ พระ
พทุ ธศาสนาทเี่ รยี กวา่ “วหิ าร” ซง่ึ เปน็ ศนู ยก์ ลางการศกึ ษา ไมม่ ีความรู้ วดั ฮินดูทจ่ี ัดต้ังโดยเนน้ ชนบทกม็ กี ำำ� ลังและได้
(ศาสนาพราหมณแ์ ต่เดมิ มา ไม่มคี ณะนักบวช รบั ความนยิ ม ถงึ กบั ค่อยๆ เปลี่ยนหรือกลนื วดั พุทธไปเป็น
เพราะพราหมณ์เป็นคนวรรณะสงู อยบู่ า้ นมคี รอบครัว วัดฮินดู (ดังมีหลกั ฐานชัดเจนซึง่ ผู้นำำ� ฮินดูบอกเองว่าวดั
Shringeri ทรัพยส์ มบัติ ดงั ท่ีชาวบ้านร้จู ักชูชก เป็นตวั อย่าง แม้วา่ ใน ฮนิ ดสู ำ�ำคัญบางแหง่ ในปัจจุบันน้ั นเดิมเป็นวัดพทุ ธ)
Math พระเวทจะมคี ำำ� วา่ สงั ฆะบา้ ง กห็ มายถงึ การมาประชมุ พบปะ

ทพั อิหร่านผา่ นใกล้ จากซา้ ย:
แตอ่ ินเดียยงั ไม่เข้ายคุ สงคราม กษัตรยิ ์ออตโต ที่ ๑
สันตะปาปา จอหน์ ที่ ๑๒
พ.ศ. ๑๔๑๔ (ค.ศ. 871) กษัตรยิ ์มสุ ลิมวงศ์ มงกฎุ จกั รพรรดิ
ซาฟฟาหรดิ ท่ีต้ังตัวขึ้นใหมใ่ นอิหร่าน ขยายดนิ แดนเขา้
มาในชมพูทวปี ภาคพายพั ตั้งแตอ่ ัฟกานสิ ถานเหนือ ถงึ
ปากีสถานตอนใต้ ซึ่งมุสลมิ อาหรบั เคยเขา้ มายึดก่อนแลว้
รวมทง้ั ยึดพามิยานใน พ.ศ. ๑๔๑๔ (=แย่งจากมสุ ลมิ พวก
ก่อน) เมอ่ื เกง่ กลา้ ข้ึ นก็ยกไปตีแบกแดดใน พ.ศ. ๑๔๑๙
แตแ่ พ้กลับมา

University of Texas Libraries

94 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

นารายณ์อวตารแลว้ ศวิ ะอวตารกม็ ี และระบบวรรณะกลับฟื้นคืนมา
อน่งึ นอกจากเทยี่ วโตว้ าทะแลว้ ศงั กราจารย์ กบั
นอกจากนั้น พวกไศวะสายศังกราจารยค์ งได้
ความคิดเร่ืองนารายณ์ปางพทุ ธาวตาร-มายาโมหะ จากที่ กุมารลิ ะผูร้ ่วมทำำ� งานกำ�ำจัดพทุ ธศาสนา ไดเ้ ท่ียวชักจงู
พวกนิกายไวษณพทำ�ำไว้ ในฐานะท่ีพวกตนเปน็ ปฏิปักษ์กบั กษัตรยิ แ์ ละผู้มีกำ�ำลงั ทรพั ยก์ ำำ� ลงั อำ�ำนาจท้งั หลายใหเ้ ลกิ
พวกไวษณพ กเ็ ลยสรา้ งเรอื่ งพระศิวะอวตารข้ึ นมา ใหต้ ี อุปถมั ภบ์ ำ�ำรุงพทุ ธศาสนา
ทั้งพทุ ธศาสนาและตีลัทธิไวษณพไปพรอ้ มกนั
พุทธศาสนาอ่อนแรง รอวนั ถกู ทำ�ำลาย
เขาแตง่ ความเปน็ คมั ภรี ์ศงั กรทคิ วิชยะวา่ เหลา่
เทพยดาไดม้ าร้องทุกขต์ ่อองค์ศิวะพระอิศวรเปน็ เจ้าวา่ ถงึ ระยะน้ี พทุ ธศาสนาออ่ นกำำ� ลงั มากจนจะถกู กลนื
พระวษิ ณุไดเ้ ขา้ สงิ รา่ งของพระพุทธเจ้าแล้วดำำ� เนินการให้ เขา้ ไปในศาสนาฮนิ ดู แม้แตพ่ ทุ ธคยา สถานทตี่ รสั รู้ กถ็ ูก
ประชาชนดหู ม่ิ นพราหมณ์ รงั เกยี จระบบวรรณะ และ ยึดไปเป็นของวัดฮนิ ดู ยงั เหลอื ร่งุ เรืองอยกู่ ็เฉพาะในเขต
ละเลกิ บชู ายัญ ทำ�ำใหเ้ หลา่ เทพยดาไมไ่ ดร้ ับเครอ่ื งเซน่ อำำ� นาจของราชวงศป์ าละ ซงึ่ กจ็ ะสญู ส้ิ นอำ�ำนาจในไมช่ า้
สังเวย ขอใหพ้ ระองคช์ ว่ ย พระศิวะจงึ ไดอ้ วตารลงมาเป็น
ศังกราจารยเ์ พอ่ื กู้คำำ� สอนของพระเวท ใหก้ ารบูชายญั

กำำ� เนิดจักรวรรดิโรมนั อันศักดส์ิ ิทธ์ิ ราชาท่เี จา้ ทั้งหลายเลอื กข้ึ นมา จะเป็นจกั รพรรดิ จนี พมิ พพ์ ระไตรปิฎก
ตอ่ เมื่อโป๊ป/สนั ตะปาปาท่ี กรุงโรมทรงสวมมงกุฎให้ แต่ พว่ งด้วยสรรพตำำ� รา
พ.ศ. ๑๕๐๕ (ค.ศ. 962) โปป๊ /สนั ตะปาปา จอหน์ กตกิ านี้ก็ไม่ราบร่ื นถาวร จักรวรรดนิ ้เี ปน็ การรวมตวั กัน
ท่ี ๑๒ ทรงถกู กษัตริยอ์ ิตาลีคุกคาม จงึ ทรงขอให้กษตั รยิ ์ ได้เพียงหลวมๆ และมีปญั หามาแตเ่ รมิ่ แรก เนือ่ งจากการ พ.ศ. ๑๕๑๕-๒๖ (ค.ศ. 972-983) ท่ีเมืองจีน นัก
เยอรมนมี าช่วย เมือ่ พ้นภัย องคส์ ันตะปาปาจงึ ประทาน ชกั เย่อย้อื อำ�ำนาจระหวา่ งศาสนจกั รโรมนั คาทอลิก กบั ปราชญ์รว่ มกบั ช่าง ดำำ� เนนิ การพิมพพ์ ระไตรปฎิ กดว้ ย
รางวัล โดยทรงประกอบพิธีสวมมงกุฎให้กษัตรยิ อ์ อตโต ฝ่ายอาณาจักร และต่อมารัฐชาตติ า่ งๆในยุโรปกพ็ ยายาม แมพ่ ิมพไ์ ม้ ๑๓๐,๐๐๐ ชิ้น กว่าจะเสรจ็ ๑๒ ปี แลว้ ตอ้ ง
ท่ี ๑ (Otto I) แหง่ เยอรมนนี ั้น เป็นจักรพรรดิแห่งโรมนั ตั้งตวั ขึ้น ทำ�ำใหช้ ่วงหลงั จาก พ.ศ. ๑๘๑๖/ค.ศ. 1273 มา สรา้ งห้องสมุดพเิ ศษเก็บรักษาแมพ่ มิ พไ์ ว้ ในการน้ีพระ
รวมดินแดนส่วนใหญใ่ นยุโรปตอนกลางและอิตาลเี ขา้ มา แล้ว จักรวรรดินมี้ ีดินแดนหลกั เพยี งขอบเขตของราชวงศ์ จักรพรรดทิ รงอปุ ถมั ภ์ ทำ�ำให้ไดพ้ ิมพ์หนงั สอื ประมวล
อย่ภู ายใตก้ ารปกครองอนั เดยี วกนั ของกษตั ริย์เยอรมัน ฮบั สเบอรก์ (Hapsburg) ในออสเตรียและสเปน ความร้ตู า่ งๆ จำ�ำนวนมาก (ต่อไปที่เกาหลี พ.ศ. ๑๗๗๕ ก็
เรียกว่าเป็นจักรวรรดโิ รมนั อนั ศกั ด์ิสทิ ธิ์ (Holy Roman จะมกี ารพิมพอ์ ย่างน้)ี
Empire; H.R.E.) เหมอื นเป็นการฟ้นื จกั รวรรดโิ รมัน
โบราณข้ึ นมาอีกคร้ังหน่ึง จักรวรรดินี้ยนื ยาวอย่ไู ด้ ๘๔๔
ปี (พ.ศ. ๑๕๐๕-๒๓๔๙=ค.ศ. 962-1806)

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 95

ถึงยคุ ของอาณาจกั รทมฬิ ๑๔๘๕ (ค.ศ. 926-942) ตลอดจนพชิ ิตลงั กาทวีปไดห้ มด ปาณฑยะขึน้ เปน็ ใหญ่ ในแดนทมิฬ
โจฬะเรืองอำ�ำนาจ ในระยะ พ.ศ. ๑๕๕๗-๘๗ (ชว่ งค.ศ. 1014-1044) แต่
รวมจาลุกยะ (ตะวนั ตก) เข้ามาดว้ ยไมส่ ำำ� เรจ็ เพราะรบ ระหวา่ งน้ี พวกปาณฑยะไดแ้ ข็งเมอื งเปน็ อสิ ระ
ราว พ.ศ. ๑๔๐๐ (ในชว่ ง ค.ศ. 850-870) หนั ไป แพ้ใน พ.ศ. ๑๕๙๗ (ค.ศ. 1054) ออกไป แลว้ ก็กลับมารบชนะพวกโจฬะใน พ.ศ. ๑๘๐๐
ดทู างแดนทมิฬในอินเดยี ใต้ หลังจากอาณาจกั รปัลลวะ (ค.ศ. 1257) และพอถงึ พ.ศ. ๑๘๒๒ (ค.ศ. 1279)
ทอ่ี ยเู่ หนอื ข้ึ นไปได้เส่ือมอำำ� นาจลงราว พ.ศ.๑๓๐๐ และ ตอ่ มา พ.ศ. ๑๖๑๓ (ค.ศ. 1070) โจฬะก็เลยไป อาณาจักรโจฬะกจ็ บสิ้นลง
อาณาจกั รทมฬิ โดยเฉพาะปาณฑยะและโจฬะกลับมี รวมกบั จาลกุ ยะ (ตะวนั ออก) ท่ตี ัง้ มาแตป่ ี ๑๑๖๘ (ค.ศ.
กำ�ำลังข้ึ นแลว้ อีกไมช่ า้ นกั อาณาจกั รเหลา่ นี้กแ็ ยง่ ชงิ แขง่ 625) กลายเป็นราชวงศ์จาลกุ ยะ-โจฬะ ปลอ่ ยใหจ้ าลุกยะ ในทส่ี ดุ ปาณฑยะ ซ่งึ มรี าชธานีอยู่ทม่ี ทรุ า
อำำ� นาจกนั ตะวนั ตกอยตู่ อ่ มาจนตกเปน็ ของอาณาจกั รทอี่ ยเู่ หนอื ข้ึ นไป (ปจั จุบนั เรยี กว่า Madurai แต่ในคมั ภีร์บาลีรุ่นมหาวงส์
มพี วกยาทพทเ่ี ทวครี เี ปน็ ตน้ ใน พ.ศ. ๑๗๓๒ (ค.ศ. 1189) เรยี กวา่ “มธรุ า”) กเ็ ปน็ อาณาจักรฝ่ายใตท้ ่ียืนยงอยไู่ ด้
ถงึ ราว พ.ศ. ๑๔๐๐ พวกโจฬะเขม้ แขง็ ถงึ กบั ยั่งยืนท่ีสุด
กำ�ำจัดพวกปัลลวะลง แล้วเริ่มเข้าครอบครอง และทง้ั ชนะ
เอาพวกปาณฑยะเข้ามารวมดว้ ยในช่วง พ.ศ. ๑๔๖๙-

พระนอน ทีศ่ รลี ังกา ส้ินยคุ อนรุ าธปุระ
ที่โปโลนนะรุวา
96 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก พ.ศ. ๑๕๓๕ (ค.ศ. 992; ตัวเลขศักราชเรอ่ื ง
ศรีลงั กาในหลายกรณี ตำ�ำราทง้ั หลายบอกไว้ตา่ งกนั มาก
จงึ ขอให้ถือโดยประมาณ) กษตั ริย์ทมิฬผู้รกุ รานจากโจฬะ
ไดท้ ำ�ำลายเมืองอนุราธปุระ ทำ�ำใหล้ ังกาย้ายเมอื งหลวงไป
ต้ังทปี่ ุลตั ถปิ ุระ คือ โปโลนนะรวุ า/Polonnaruva ตง้ั แต่
ค.ศ. 1056

ตอ่ มาแต่ราว พ.ศ. ๑๘๐๐ อนรุ าธปรุ ะได้ถูกท้งิ
ร้างจนปา่ ข้ึ นคลมุ ไปหมด กระท่ัง พ.ศ. ๒๑๗๓ จึงมีชาว
อติ าลีคนหนงึ่ ไปเยอื นและเขียนบรรยายไวใ้ นหนังสือของ
เขา ครั้นถงึ ราว พ.ศ. ๒๔๓๔ ชาวองั กฤษท่ีมาปกครอง
อาณานิคมจึงได้ดำำ� เนนิ การศึกษาและดแู ลทางโบราณคดี

จากซา้ ย:
เทวครี ี
พหุพลิ หรอื โคมเตศวร
นคิ รนถ์สำำ� คัญในศาสนาเชน
ยุคแรก (กอ่ นมหาวรี ะ)

เม่อื พทุ ธศาสนา ขณะที่กาหลิฟอาหรับแหง่ แบกแดดไมม่ ุ่งเนน้ ที่จะ ท้ังทำ�ำลายแย่งอำ�ำนาจกนั เอง และโดยเฉพาะพวกเตอร์ก
จะสูญสน้ิ จากอนิ เดยี ขยายจกั รวรรดิน้ั น กป็ รากฏว่า ดินแดนมสุ ลิมนอ้ ยใหญ่ ได้ทำ�ำให้พุทธศาสนาถึงกบั สูญส้ิ นไปจากอนิ เดยี
ท่เี กิดขึ้นจากการแผอ่ ำ�ำนาจในยุคกาหลิฟอาหรบั แห่ง
ชว่ งที่ 2. เตอรก์ -สลุ ตา่ น มะดีนะฮ์และดามัสกสั ก่อนหนา้ น้ั น ตา่ งกม็ พี ลังปรารถนา พงึ สังเกตว่า ช่วงตอ่ ไปพวกเตอร์กจะเปน็ ใหญ่
แรงกล้าทจ่ี ะขยายดินแดนและแผ่อสิ ลามออกไป ดงั นั้น และนิยมเรียกผปู้ กครองวา่ สุลต่าน แทนท่ีจะดำ�ำรงศกั ดิ์
ความสงบจงึ คงอย่ไู ม่นาน แลว้ อาณาจกั รมสุ ลมิ ตา่ งๆ ก็ เตม็ ที่เปน็ กาหลิฟ
ตงั้ ตัวขึ้นมาและสงครามก็เกดิ ขึ้นอกี รวมท้งั จะชิงอำำ� นาจ
จากกาหลิฟเองดว้ ย

อาณาจักรมสุ ลิมทแี่ ผ่ขยายในชว่ งนี้พอจะแยกได้
เปน็ ๓ เชือ้ สาย คอื พวกอหิ รา่ น (ในจกั รวรรดิเปอร์เซยี
เก่า) พวกเตอรก์ และพวกมงโกลหรอื พวกเรร่ ่อนจาก
อาเซียกลาง ท้ัง ๓ พวกนที้ ้ังก่อความพินาศต่อชมพทู วปี

สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 97

เมือ่ พุทธศาสนาสูญสน้ิ เตอร์กทำ�ำสงครามไป ก็ปล้นไป
จากอนิ เดยี
พ.ศ. ๑๕๔๔-๑๕๖๙ (ค.ศ. 1001-1026) ในภาวะ
ระลอกท่ี 2. มุสลิมเตอร์ก ทอี่ นิ เดียแตกเปน็ อาณาจักรเล็กๆ นอ้ ยๆ ไม่มศี นู ย์รวม
อำำ� นาจยิ่งใหญ่ ทพั มุสลมิ เตอรก์ ก็รุกเขา้ มา
สุลตา่ นมะหะหมดั
แหง่ ฆาซนี ครง้ั น้ั น สุลต่านมะหะหมดั แหง่ ฆาซนปี ฏิญาณว่า
จะรกุ รบอนิ เดยี เพื่ออิสลามหนหนงึ่ ทกุ ปไี ป และไดย้ กทพั
เข้าตเี มอื งต่างๆ ในอนิ เดยี อยา่ งต่อเนือ่ ง แม้จะไมค่ รบทกุ
ปจี ริง กไ็ ดถ้ ึง ๑๗ ครง้ั

การโจมตมี งุ่ ถลม่ วัดสำำ� คญั และเทวสถานใหญ่โต
ทำ�ำลายรูปเคารพหรอื (ถา้ เปน็ วสั ดุถาวรใหญม่ าก) ทุบให้
เสียรูปทรงแล้วยึดริบทรพั ยส์ ินอันมหาศาล ขนไปเมอื ง
ฆาซนี เพ่ือใช้ในการขบั เค่ียวทำำ� สงครามในอาเซียกลาง
และสร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่

เตอรก์ ตัง้ อาณาจักรรุกเข้ามา ยคุ กาหลิฟสงบ สลุ ต่านรบรกุ ทะเล กาบลุ
แคสเปียน
พ.ศ. ๑๕๒๐ (ค.ศ. 977) คนมุสลิมเตอร์ก ชอ่ื โดยเฉพาะโอรส คือ สลุ ตา่ นมะหะหมดั แห่งฆาซนี
เซบูกติคิน (Sebuktigin; เตอร์กเปน็ ชนมถี ่ิ นเดมิ อย่ใู น ซง่ึ ข้ึ นครองใน พ.ศ. ๑๕๔๑ (ถงึ ๑๕๗๓) เฮรัต ฆาซนา ละฮอร์
อาเซียกลางและกลายเปน็ มุสลิมจากการแผ่อำ�ำนาจของ เตหะราน
อาหรับ) ได้รับแตง่ ตงั้ เปน็ ผู้ปกครองเมอื งฆาซนา ไดเ้ ป็นกษัตรยิ ย์ ง่ิ ใหญท่ ี่สดุ ซึ่งทำำ� ใหร้ าชวงศน์ ้ี สนิ ท์
ครองอัฟกานสิ ถาน อิหรา่ นส่วนใหญ่ และอินเดียพายพั ฆาซนาวิด
(Ghasna ปจั จบุ ัน=Ghasni ในอัฟกานิสถาน ใต้ ตลอดแคว้นปัญจาบ
กาบลุ เมืองหลวงปัจจบุ นั ลงไปราว ๑๒๕ กม.) อาหรบั อา่ ว ทะเลอาหรบั
แมว้ ่าคงจะด้วยเหตผุ ลทางการเมอื ง สุลตา่ นทา่ น เปอร์เซีย
เซบูกตคิ นิ รบชนะกษตั ริย์ฮินดู ขยายดนิ แดนมาถึง นยี้ ืนยนั ความจงรกั ภักดตี ่อกาหลฟิ แห่งแบกแดด แต่ได้
เมอื งเปษวาร์ (=ปรุ ุษปุระในสมยั พระเจา้ กนิษกะ) นำ�ำทรพั ย์จากสงครามแย่งชงิ มา สรา้ งอาณาจกั รให้เจรญิ
ด้วยศิลปะวัฒนธรรมและอลงั การจนเทยี บเทียมมหานคร
ตัง้ ราชวงศ์ฆาซนาวิด (Ghaznavid) ซง่ึ ยนื ยาว แบกแดด
กวา่ ๒๐๐ ปี

98 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

เตอร์กรกุ อนิ เดยี ไม่อาจต้ังรับ (Khajuraho) ที่สร้างขึ้นในชว่ ง พ.ศ. ๑๕๐๐ เศษ ซงึ่ มี
ภาพแกะสลกั คน-เทพเสพกามอันโด่งดัง ทเ่ี วลาน้ี นกั
ยุทธการใหญค่ รงั้ แรกใน พ.ศ. ๑๕๔๔ สุลตา่ น ท่องเทีย่ วนิยมไปทัศนาจรกนั มาก
มะหะหมดั แห่งฆาซนยี กทพั ม้ามา ๑๕,๐๐๐ สว่ นฝา่ ย
อินเดีย กษตั ริย์ฮนิ ดนู ามไชย์ปาลแห่งปญั จาบ ไดร้ บั กำำ� ลงั (เทวสถานขชุรโหนี้ เหลือรอดจากการทำ�ำลายของ
รว่ มรบจากอาณาจักรอื่นๆ มที ัพมา้ ๑๒,๐๐๐ ทัพชา้ ง ทัพมุสลมิ เตอร์กมาได้ สันนษิ ฐานวา่ เพราะสรา้ งไว้ทีห่ า่ ง
๓๐๐ และทหารราบ ๓๐,๐๐๐ สรู้ บกันทีใ่ กลเ้ มอื ง ไกล)
เปษวาร์ ฝ่ายอินเดียท่ีมกี ำำ� ลงั พลเหนือกว่ามากมาย ได้
พ่ายแพอ้ ย่างยับเยนิ ทหารตายในทร่ี บ ๑๕,๐๐๐ คือ ภาพแกะสลัก
เกอื บครึ่งกองทพั ทขี่ ชรุ โห

ทพั หนึง่ ที่ชว่ ยไชย์ปาลรว่ มรบคือกษตั ริย์นันทะ
ซึง่ ได้ต้ังอาณาจกั รฮินดูราชวงศจ์ ันเทละขึ้นเม่ือราว พ.ศ.
๑๔๕๐-๑๕๐๐ และเป็นเจ้าของเทวสถาน ขชุรโห

ไทยอสี านและภาคกลาง มที ้งั เถรวาท ยุโรปกำ�ำจดั คนนอกครสิ ต์ จากซา้ ย:
มหายาน และ พราหมณ์ เข้ามาปนกนั ปรางคส์ ามยอดลพบรุ ี
พ.ศ. ๑๕๕๕ (ค.ศ. 1012) รฐั เยอรมนั เรมิ่ กวาดลา้ ง persecution
พ.ศ. ๑๕๕๐ (ค.ศ. 1007) ในชว่ งเวลาน้ี (persecution) คนนอกรตี นอกศาสนาคริสต์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 99
อาณาจกั รขอมโบราณเรืองอำ�ำนาจ ปกครองถงึ ดนิ แดนที่
เป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนอื และภาคกลางของประเทศ
ไทยปจั จบุ นั โดยตั้งละโวห้ รือลพบุรเี ป็นราชธานแี ถบนี้
พทุ ธศาสนาแบบมหายานทีข่ อมรับจากศรวี ิชัย ผสมกับ
ศาสนาฮินดู จึงเขา้ มาปะปนกบั พทุ ธศาสนาแบบเถรวาทที่
สืบมาแตเ่ ดิม มีพระสงฆ์ท้งั ๒ นกิ าย และภาษาสนั สกฤต
กไ็ ดเ้ ข้ามามอี ิทธิพลมากในภาษาและวรรณคดไี ทยแต่
บัดนั้น

เตอรก์ นำำ� อิสลามสูก่ ลางใจอินเดยี

มถุราก็ถกู สุลต่านมะหะหมัดปล้นขนทรพั ย์ไป
แล้วเผาเมอื งทงิ้ ใน พ.ศ. ๑๕๖๐-๑ (หลังยุคนเ้ี มอื งถูก
สรา้ งขึ้นใหม่ แต่กถ็ ูกปลน้ อีก ๔ ครง้ั โดยเฉพาะครง้ั ใหญ่
ใน พ.ศ. ๒๒๑๑ โดยออรังเซบ กษัตรยิ ์ราชวงศโ์ มกลุ ที่
ทำ�ำลายลา้ งวดั ท้ังปวงหมดสิ้น)

สลุ ตา่ นมะหะหมดั แห่งฆาซนี ได้นามวา่ เป็นผนู้ ำำ�
ธงชัยแห่งอิสลามเข้าสกู่ ลางใจของอินเดีย

สลุ ตา่ นมะหะหมดั
แหง่ ฆาซนี

อโนรธามงั ช่อ พมา่ รวมต้ังอาณาจักร แผอ่ าณาเขต เมอื งพุกาม แม้พกุ ามจะเปน็ ผู้ชนะในการศึกสงคราม แต่
100 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก พุทธศาสนาเถรวาทก็แผ่ขยาย มอญกช็ นะในการศึกษา เพราะพกุ ามได้รบั เอาวัฒนธรรม
ตะเลงมาเปน็ ของตน ตัง้ แต่ภาษา วรรณคดี และศาสนา
พ.ศ. ๑๕๘๗ (ค.ศ. 1044) พระเจา้ อนุรทุ ธมหา เป็นต้นไป
ราช หรอื อโนรธามังช่อ ตัง้ อาณาจกั รพกุ าม ปราบมอญ
รวมพมา่ เปน็ อันเดียวได้คร้ังแรก เมอ่ื พระเจา้ อนุรทุ ธรวมพม่าแลว้ ไดแ้ ผ่อาณาเขต
มาถงึ ล้านนา ลา้ นช้าง จดลพบุรีและทวาราวดี เป็นเหตุ
พระเจ้าอนุรทุ ธแหง่ เมืองพกุ ามนั้น เปน็ กษตั รยิ ์ ให้พุทธศาสนาแบบพกุ ามจากมอญเผยแพร่ในดินแดน
ของชนชาวมรมั มะทร่ี นุ แรง นับถอื พทุ ธศาสนาแบบ เหลา่ นด้ี ว้ ย
ตันตระ แตไ่ ด้เปลย่ี นพระทัยมานบั ถือพทุ ธศาสนา
เถรวาทเม่อื ได้ทรงพบกับพระเถระชาวตะเลง (คือรามัญ (พกุ ามเสียแกม่ งโกล คอื จกั รพรรดิกบุ ไลขา่ น ใน
หรือมอญ) แหง่ เมืองสะเทิม (คือสุธรรมนคร หรอื สุธรรม พ.ศ. ๑๘๓๐)
ปุระ) นามว่าอรหันต์ (ช่ือเดิมวา่ ธรรมทัสส)ี ตอ่ มา เม่ือ
พระเจา้ อนรุ ุทธไปตเี มอื งสะเทิมได้ ก็ขนพระไตรปฎิ กมา

จนี ปาละส้ิน เสนะคือสุดท้าย

ปากสี ถาน เนปาล พ.ศ. ๑๖๑๓ (โดยประมาณ; ค.ศ. 1070) ทาง
ตะวนั ออก ในดนิ แดนทเ่ี ปน็ ส่วนล่างของแคว้นเบงกอล
นวทวปี บงั คลาเทศ ปจั จบุ นั มรี าชวงศ์เสนะซึ่งเปน็ ฮินดู ตงั้ อาณาจกั รใหม่ข้ึ น
ทเ่ี มอื งนาเทีย (Nadia ปัจจุบนั = นวทวปี /Navadwip/
อนิ เดยี Nabadwip อย่เู หนอื เมอื งกัลกัตตาตรงขึ้นไปเพียง ๙๐
กม. หรอื จากปตั นะลงไปทางตะวนั ออกเฉียงใต้ ๔๑๐ กม.

ตอนแรกเสนะข้ึ นตอ่ อาณาจกั รปาละ แตต่ ่อมา
ได้ต้งั ตัวเป็นอสิ ระ และอกี ไมช่ า้ ราว พ.ศ. ๑๖๓๘ (ค.ศ.
1095) อาณาจักรพทุ ธของราชวงศ์ปาละก็ส้ิ นอำ�ำนาจ และ
ราชวงศเ์ สนะไดแ้ ผ่ขยายเขา้ แทนท่ีทว่ั เบงกอล จนถงึ
พหิ ารตอนเหนอื

เทคโนโลยี: จนี คบื อีกกา้ ว เข้าแบกแดด โดยอ้างวา่ มาคมุ้ ครองกาหลฟิ ซึ่งเป็นฝา่ ย
นิกายสุหน่ี ให้พ้นภัยจากพวกชีอะฮ์ แลว้ ไม่ช้าก็รับสถานะ
พ.ศ. ๑๕๘๘ (โดยประมาณ; ค.ศ. 1045) ท่ี เป็นสลุ ตา่ น บญั ชาแบกแดด กาหลิฟอาหรับกส็ ิ้นอำ�ำนาจ
เมอื งจีน มผี ปู้ ระดษิ ฐ์ตวั อักษรเรยี งพมิ พข์ ้ึ นใชเ้ ปน็ ครง้ั
แรก โดยใชต้ ัวดนิ เผา (ในยุโรป เพงิ่ มีระบบใช้ตัวอกั ษร เกิดมหาวทิ ยาลัยในยุโรป
เรียงพมิ พ์ โดยกูเตนเบอร์ก/Gutenberg ประดษิ ฐ์ข้ึ นท่ี
เยอรมนี ในปี ๑๙๙๓/1450) พ.ศ. ๑๖๓๑-๑๗๑๐ (ค.ศ. 1088-1167) มหา
วทิ ยาลยั แรกของยุโรป (และโลกตะวนั ตก) เกิดขึ้น คอื
อาหรบั ลง เตอรก์ รงุ่ ม.โบโลนยา (Bologna ค.ศ. 1088) ม.ปารีส (Paris ราว
ค.ศ. 1150) และม.ออกซฟอร์ด (Oxford ค.ศ. 1167)
พ.ศ. ๑๕๙๘ (ค.ศ. 1055) ขณะทีส่ ุลตา่ นที่ฆาซนี
เรอื งอำ�ำนาจขึ้นนั้น กาหลฟิ ท่ีแบกแดดก็กำำ� ลงั ออ่ นแอลงๆ (พึงเทยี บ มหาวิทยาลยั ในชมพูทวีป โดยเฉพาะ
ม.นาลันทา และ ม.วลภี ท่ีเกดิ มากอ่ นค่อนสหสั วรรษ
ต่อมาในชว่ งท้าย ได้มีชนมุสลิมเตอรก์ อกี พวกหนง่ึ และใกลจ้ ะถูกทำ�ำลายหมดในอีกไมช่ า้ )
จากอาเซียกลาง เรียกว่าเซลจูก (Seljuq หรือ Seljuk)
บนจากซ้าย: ตัวเรียงพมิ พ์โลหะ, ม.โบโลนยา
ลา่ งจากซ้าย: ม.ปารีส, ม.ออกซฟอร์ด

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 101

เสนะ ฟ้ืนฮนิ ดูและระบบวรรณะ และลทั ธติ นั ตระแบบฮนิ ดู ขณะท่ีมหาวทิ ยาลยั พุทธยคุ
น้ั นรวมท้ังนาลันทากเ็ น้นตันตระ จงึ เป็นยุครุ่งเรอื งของ
พ.ศ. ๑๖๓๘ (ค.ศ. 1095) ราชวงศ์เสนะของฮนิ ดู ตันตระ (ซึ่งตามหลกั ฐานพบท่ที ิเบตวา่ เม่อื ถูกทพั มสุ ลิม
แผ่อำ�ำนาจเข้าแทนท่รี าชวงศ์ปาละมากข้ึ นๆ (ถอื วา่ ปาละ บกุ กห็ วังจะเอาชนะมสุ ลมิ ดว้ ยเวทมนตร)์
ส้ิ นเม่ือรามปาลสวรรคตใน พ.ศ. ๑๖๖๓) และไดฟ้ ืน้ ฟู
ศาสนาฮนิ ดู โดยเฉพาะทำำ� ระบบวรรณะทผี่ อ่ นคลายลงไป นาเทยี หรือนวทวปี น้ี ได้เปน็ ศูนยก์ ลางศกั ดิ์สิทธิ์
ในสมยั พุทธของปาละให้กลับเขม้ ข้ึ นมา อีกแห่งหนึง่ ของฮนิ ดู ดงั มีสมญาวา่ เปน็ “พาราณสแี หง่
เบงกอล”
ราชวงศ์เสนะสง่ เสรมิ สถาบนั การศึกษาของฮนิ ดู
ในเมืองหลวง ใหเ้ ปน็ มหาวิทยาลัยนาเทียหรอื นวทวีปที่
ร่งุ เรอื งของฮนิ ดู นาเทยี ศึกษาเน้นหนกั ทางตรรกศาสตร์

ครูเสด: ครสิ ต์-อิสลาม จากซา้ ย:
โป๊ปเออรบ์ ันที่ ๒
พ.ศ. ๑๖๓๘ (ค.ศ. 1095) โดยการเรียกรอ้ ง Siege of Jerusalem จดุ เร่มิ ตน้ แหง่ ครูเสดส์
ปลุกเรา้ ของโปป๊ เออร์บันท่ี ๒ (Pope Urban II) ประเทศ
ครสิ ตท์ งั้ หลายในยโุ รปรวมกำำ� ลงั จดั ทพั ยกไปชว่ ยจกั รวรรดิ
บแี ซนทีนสมู้ ุสลิมเซลจูกเตอร์ก และกูแ้ ผน่ ดนิ ศักดิ์สทิ ธ์ิ
คอื เยรูซาเลม็ คืนจากมสุ ลมิ เปน็ สงครามศาสนาระหว่าง
คริสตก์ บั อิสลาม เรยี กว่าครเู สด (Crusade=สงคราม
“ไมก้ างเขน”)

คร้งั แรกฝ่ายครสิ ต์ยดึ เยรูซาเลม็ ได้ในปี ๑๖๔๒ แต่
ยื้อแย่งกนั ไปมา ในที่สดุ ทางฝ่ายมสุ ลมิ ก็ยดึ คืนกลบั ไป ทำ�ำ
สงครามกนั นาน ๒๐๐ ปี จงึ ยุตใิ น พ.ศ. ๑๘๓๔ (ค.ศ.
1291)

102 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

Dhakeshwari
วิหารพระวิษณุ
สร้างโดยกษตั รยิ ์
แห่งราชวงศ์เสนะ

อารยธรรมเกา่ ในแดนทีม่ าเป็นอเมรกิ า

พ.ศ. ๑๖๔๓-๒๐๗๕ (ค.ศ. 1100-1532)
จกั รวรรดิอินคา (Inca Empire) เจรญิ ข้ึ นมาในอเมริกาใต้
(มศี นู ยก์ ลางอย่แู ถวเปรู) นับถอื ศาสนาบูชาพระอาทิตย์
และเชอ่ื ว่าราชาของตนสืบเชอื้ สายจากพระอาทติ ย์ มี
สถาปัตยกรรมทเ่ี จริญได้สรา้ งถนนและระบบชลประทาน
เปน็ อนั มาก แต่ในทสี่ ุดถึงอวสานเพราะการรกุ รานของ
สเปน

นครวัต อนุสรณ์แห่ง จากซ้าย:
อารยธรรมขอมโบราณ อินคา
นครวตั

พ.ศ. ๑๖๕๖-ราว ๑๖๙๓ (ค.ศ. 1113-c1150) ใน
รชั กาลพระเจ้าสรู ยวรมนั ที่ ๒ ขอมโบราณสร้างเทวสถาน
นครวตั

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 103

สลุ ต่านใหม่ ใช้วธิ ีเกา่ : รบมา ปลน้ ไป เรม่ิ ยคุ มุสลมิ ครองอนิ เดีย รกุ -ทำ�ำลายล้างง่ายๆ ไม่มกี ารตอ่ สู้

พ.ศ. ๑๗๑๖ (ค.ศ. 1173) มฮู ัมหมดั แหง่ ฆูร์ หัน พ.ศ. ๑๗๔๙ (ค.ศ. 1206) กตุ ุบ-อุด-ดิน แม่ทพั ระหวา่ งน้ั น แมท่ ัพอกี คนหนึ่งของมูฮมั หมดั แห่ง
มาบุกทางอนิ เดยี โดยในระยะแรกใช้วธิ กี ารแบบสลุ ต่าน ทหารทาสของมูฮัมหมัดแห่งฆรู ์ เท่ียวรบอยู่ในอนิ เดยี เมอ่ื ฆูร์ ชือ่ บกั ขต์ ิยาร์ ขลั ยี (Bakhtiyar Khalji หรือ Iktiar
มะหะหมดั แห่งฆาซนีเม่อื เกือบ ๒๐๐ ปีก่อน คือ ยกทัพ เจา้ นายส้ิ นแล้ว ไดป้ ระกาศต้งั ตวั เปน็ สุลตา่ นแห่งเดลี เริม่ Khilji) ไดไ้ ปรกุ รบในอินเดยี ภาคตะวนั ออก
มาถล่มเก็บกวาดทรัพยห์ นหนงึ่ ๆ ทกุ ปี ราชวงศ์มสุ ลิมแรกที่ปกครองอินเดีย และเปน็ ราชวงศ์ทาส
(แมมหลูก/Mamluk [Slave] dynasty) วงศแ์ รก บกั ข์ตยิ าร์ ขลั ยี เปน็ ผ้ดู ำำ� เนนิ การข้ั นสุดท้ายใน
ต่อมา เม่ือมฮู มั หมัดยึดละฮอร์ ลม้ ราชวงศฆ์ าซนา การกำ�ำจดั พระพุทธศาสนาใหห้ มดไปจากอินเดยี เปน็ การ
วิดลง ไดเ้ ปน็ ใหญใ่ นอนิ เดยี เหนือแลว้ แตท่ างดา้ นเมอื ง รบทำ�ำลายล้างขา้ งเดียว โดยไม่มกี ารต่อสู้
ฆูร์ ยังมภี าระตอ้ งจัดการกับเตอรก์ กลมุ่ อื่น ก็เลยมอบให้
แม่ทัพชื่อกุตุบ-อดุ -ดนิ ดแู ลด้านนี้ สว่ นตนเองไปรบดา้ น
อาเซียกลาง

104 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

พอยคุ มุสลมิ เรม่ิ พุทธฯ ก็ร้าง มหาวทิ ยาลยั พุทธศาสนาทุกแห่งถูกทำ�ำลาย หน้าตรงข้าม:
(โสมปุระถูกพราหมณ์ผคู้ รองเมืองเผาไปกอ่ นแล้วใน พ.ศ. Qutab Minar
พ.ศ. ๑๗๔๑-๑๗๕๐ (ค.ศ. 1198-1207) ๑๕๙๓) เฉพาะแห่งที่รูเ้ วลาชดั คอื โอทนั ตปุระถกู ถลม่ จากซา้ ย:
บักข์ตยิ าร์ ขัลยี หรอื ขลิ ยี ยกกองทพั มุสลิมเตอรก์ บุกเข้า ทำำ� ลายเผาราบ และวกิ รมศิลาไมเ่ หลอื แม้แต่ซากใน พ.ศ. เจดยี ์พุทธคยา
มาแถบพิหารและเบงกอล ๑๗๔๑ สว่ นชคทั ทละถกู ทำ�ำลายใน พ.ศ. ๑๗๕๐ ธมั เมกขสถปู
เสาอโศก
เหตกุ ารณ์ตอนนี้ ผูเ้ ขียนประวัตศิ าสตร์ชาวมุสลิม เม่อื ทัพมุสลมิ เตอร์กประสบความสำ�ำเร็จในการรบ
เอง ไดบ้ ันทึกไวด้ ้วยความภูมิใจว่า ขัลยไี ดเ้ ผาทำ�ำลาย ทำำ� ลาย ฆ่าคนที่ไมย่ อมเปล่ยี นศาสนาและพระภิกษุสงฆ์ สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 105
อาคารสถานท่ี ยดึ เงินทองทรัพย์สนิ และใหค้ นเลอื กเอา จนหมดสิ้น เผาวัด และกวาดขนเอาทรพั ย์สนิ ไป แลว้
ระหว่างอสิ ลามกบั ความตาย โดยทำำ� การท้ังหมดน้ั นเพ่อื พระพทุ ธศาสนาก็สูญส้นิ จากชมพูทวปี
อสิ ลาม

เหลือแตฮ่ นิ ดู ยงั ส้กู บั มสุ ลิมตอ่ ไป แมส้ ุลตา่ นและแมท่ ัพมสุ ลิมจะครองอินเดียภาค
เหนือไดใ้ นขั้นต้นน้แี ลว้ ก็ยังมภี าระในการสู้รบปราบ
เมอื่ ราชวงศม์ ุสลิมของสุลตา่ นแหง่ เดลีเร่มิ ตน้ ใน ปรามพวกฮนิ ดูทแี่ ข็งขอ้ และขับเคีย่ วกบั มสุ ลิมดว้ ยกันไป
พ.ศ. ๑๗๔๙ แลว้ ก็ถอื วา่ ประเทศอินเดียเข้าสยู่ คุ การ อีกหลายร้อยปี จนจบลงด้วยการตกเป็นเมอื งขึ้นของฝรงั่
ปกครองของมสุ ลิม องั กฤษในทส่ี ดุ

เรือ่ งราวของพระพทุ ธศาสนา ทีเ่ จรญิ รุ่งเรืองใน นกั บวชฮินดู
อนิ เดยี มา ๑๗๔๑ ปี ก็จบไปแต่บดั น้ั น

ขลั ยีกวาดล้างดนิ แดนแถบแควน้ พหิ ารปัจจุบนั ใน
ช่วง พ.ศ. ๑๗๔๑ เสร็จแลว้ ก็รกุ ตอ่ ลงไปทางเบงกอล ปี
ต่อมากเ็ ข้านาเทยี กษัตรยิ ์ฮินดลู กั ษมณเสนหนีออกจาก
วงั ไปหลบซอ่ นในวดั ฮนิ ดู ทีส่ ดุ กส็ วรรคตใน พ.ศ. ๑๗๔๕
ราชวงศเ์ สนะก็ถงึ กาลอวสาน

เตอรก์ มา ระลอกใหม่ มฮู มั หมัดไปรบด้านอาเซยี กลาง แตไ่ ม่สำำ� เรจ็ ผล
ด้วยดี และประสบปัญหาต่างๆ ในทสี่ ุดไดถ้ กู ลอบสงั หาร
พ.ศ. ๑๗๑๖ (ค.ศ. 1173) ชนมสุ ลมิ เตอรก์ อีก ในพ.ศ. ๑๗๔๙ (ค.ศ. 1206)
พวกหนง่ึ มีผู้นำำ� เรียกวา่ “มฮู มั หมัดแห่งฆรู ์” (Muham-
mad of Ghur) ไดต้ ัง้ อาณาจักรขึ้นที่เมืองฆูร์ หรือเฆอร์
(Ghur ปจั จุบัน=Ghowr ในอฟั กานิสถานตะวันตกกลาง)

มฮู ัมหมดั แห่งฆูร์ จะครองความเปน็ ใหญ่ในอาเซยี
กลาง แตไ่ ม่สำ�ำเร็จ จงึ หันมาบกุ ทางอนิ เดยี

ใน พ.ศ. ๑๗๒๙ (ค.ศ. 1186) มูฮมั หมดั รกุ เข้ามา
ยดึ ละฮอร์ (เมืองหลวงใหม่ของราชวงศฆ์ าซนาวดิ ของ
สุลตา่ นมะหะหมดั ซง่ึ ย้ายมาจากฆาซนา ในพ.ศ. ๑๗๐๓)
ทำ�ำให้ราชวงศ์ฆาซนาวิดจบส้ิ นลง

University of Texas Libraries

106 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

มหาวทิ ยาลยั ฮินดู อยู่รอดได้ ฮนิ ดูกอ็ ุปถัมภบ์ ำ�ำรุงมหาวทิ ยาลัยพทุ ธศาสนาในฐานะเปน็
สถานศกึ ษา) จงึ หนั มาส่งเสริม
อยา่ งไรกต็ าม น่าสังเกตว่าทัพมุสลิมเตอรก์ ไมไ่ ด้
ทำ�ำลายมหาวิทยาลัยนาเทยี (นวทวีป) แต่นาเทียกลับ
ไดเ้ ปน็ ศูนยก์ ลางการศึกษาทเี่ จรญิ รุง่ เรืองในยุคที่มสุ ลิม
ปกครองตอ่ มาอีกหลายรอ้ ยปี (พ.ศ. ๑๗๔๑-๒๓๐๐=ค.ศ.
1198-1757)

ทีเ่ ป็นอย่างน้ั นอาจเป็นเพราะว่า นักรบมสุ ลมิ
เตอร์กมาถงึ นาเทยี เม่ือการรบเสรจ็ สิ้น ได้เวลาทีจ่ ะ
จดั การบา้ นเมอื ง และผปู้ กครองมสุ ลิมเตอร์กได้รับรวู้ ่า
มหาวิทยาลยั ทง้ั หลายในชมพูทวีปเป็นเกียรติยศของ
อาณาจักร (ดังทใี่ นยคุ ท่ีฮนิ ดูมีอำ�ำนาจข้ึ นแล้ว ราชวงศ์

ทะเล กาบลุ รบกนั ท่วั ท้ังขา้ งนอก ทัง้ ขา้ งใน ยคุ อาหรับ-เตอรก์ มีมงโกลมาต่อ

แคสเปยี น ขวาเรซมดิ สนิ ท์ พ.ศ. ๑๗๕๘ (ค.ศ. 1215) ทางชมพูทวปี ภาค จะเหน็ ว่า ดินแดนแถบน้จี นถึงอาเซยี กลาง ถูก
พายัพ ด้านเมืองฆรู ์ และฆาซนา ทีเ่ ป็นฐานเร่มิ แผ่อำำ� นาจ มุสลมิ อาหรบั เขา้ มาทำำ� ใหเ้ ป็นมุสลมิ ก่อน ครั้นมาตอน
เฮรตั ละฮอร์ การชงิ อำ�ำนาจกนั ดำ�ำเนินไป เมอื่ มูฮัมหมัดแห่งฆูรถ์ กู ลอบ น้ี พวกชนชาติจากอาเซียกลางมเี ตอรก์ เปน็ ตน้ ท่ี กลาย
สังหารใน พ.ศ. ๑๗๔๙ แล้ว ก็สูร้ บกนั ตอ่ มา เปน็ มุสลมิ แลว้ กก็ ลับขยายอำ�ำนาจแผอ่ ิสลามไปท่วั แลว้
เตหะราน มสุ ลิมเตอรก์ กเ็ ข้าแทนท่ีมุสลิมอาหรับ
พอถงึ พ.ศ. ๑๗๕๘ อาณาจักรฆรู ์ กถ็ กู ยดึ โดย
พวก ขวาเรซม์-ชาห์ ซงึ่ มอี ำำ� นาจข้ึ นมาจนไดค้ รองอิหรา่ น แตส่ ุดท้ายมุสลิมมงโกลจะเขา้ มาเหมือนปิด
แทนพวกเซลจกู เตอร์ก (Khwarezm-Shah กม็ ีถ่ิ นเดิม รายการ
ในอาเซียกลาง และกลายเป็นมสุ ลมิ จากการแผอ่ ำำ� นาจ
อาหรับ อา่ วเปอรเ์ ซีย ทะเลอาหรบั ของอาหรับ)

Khwarezm Shah
Ala Ad Din Mohammed

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 107

ตนั ตระ-ขชุรโหเติบโต สภาพนั้นกค็ อื การท่คี นคงหนั มาหมกมนุ่ วุ่นวาย
อนิ เดยี กถ็ งึ คราวตาย ด้านกามารมณ์กันมาก และอ่อนแอลง ดังตวั อย่าง
เทวสถาน ขชรุ โห (Khajuraho) ดังกล่าวแลว้ ขา้ งตน้ ที่
ควรตงั้ ข้อสงั เกตไว้ศกึ ษากนั ตอ่ ไปดว้ ยวา่ ลัทธิ สร้างข้ึ นเมอ่ื พ.ศ. ๑๕๐๐ เศษ ในอาณาจักรฮนิ ดขู อง
ตันตระ ทย่ี กเอาเรอ่ื งการเสพกาม ตลอดจนการดืม่ สุรา ราชวงศจ์ ันเทละ ที่เข้ารว่ มทำ�ำสงครามต้านพวกมสุ ลิม
เมรัย ข้ึ นมาทำำ� ใหม้ ีความหมายเชงิ ปรัชญาและศักดส์ิ ิทธิ์ เตอรก์ และพา่ ยแพอ้ ย่างยบั เยินใน พ.ศ. ๑๕๔๔
พรอ้ มท้ังเน้นย้�้ำำเร่ืองเร้นลบั เวทมนตร์ ไสยศาสตร์ และ
พธิ ีกรรมมากมาย ซง่ึ ไดเ้ จรญิ ขึ้นๆ ในพุทธศาสนา และ ศรมี หากาลีมาตา
ศาสนาฮนิ ดู แล้วแขง่ กันมา เรม่ิ แต่ประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐ หนา้ ตรงข้าม:
จนฟูสะพรัง่ ในระยะทพี่ ทุ ธศาสนาสูญสิ้นในช่วง พ.ศ. เทวสถานขชุรโห
๑๗๐๐ นั้น อาจเป็นพฒั นาการ (หรอื หายนาการ) ท่ี
สอดคลอ้ งกบั สภาพสังคมอนิ เดยี เวลานั้น

เจงกิส ขา่ น ผ่านไหนแหลกนัน่ เดลรี อด เจงกสิ ข่านไมเ่ ขา้

พ.ศ. ๑๗๖๓ (ค.ศ. 1221) เจงกสิ ขา่ น (Genghis ถึงตอนนี้ อาณาจกั รมุสลิมทง้ั หลายทีแ่ ยง่ ชิง
Khan) ยกทพั ชนเผา่ เรร่ ่อนจากมงโกเลยี บุกตะลยุ บดขย้ี อำำ� นาจกันมาในดินแดนแถบน้ี ตงั้ แต่เซลจูกเตอร์ก กระทง่ั
อาณาจกั รทง้ั หลายต้ังแต่จีนภาคเหนือลงมา ผา่ นอาเซยี ขวาเรซม-์ ชาห์ กท็ ยอยหมดชอื่ ไปในชว่ งใกลๆ้ กัน เปน็ อัน
กลาง ตลอดดินแดนแถบนีท้ เ่ี ปน็ อัฟกานิสถานปจั จุบนั ขึ้นสยู่ ุคใหมข่ องประวตั ิศาสตร์
ทะลุอิหรา่ น เข้ายโุ รปตะวันออก จดรสั เซยี ตอนใต้ ทั้ง
ทำำ� ลายบ้านเมืองและสังหารผคู้ นอยา่ งย่อยยับแหลกลาญ สว่ นทางด้านอินเดีย ซ่ึงไม่ใช่ทางผา่ นของเจงกิส
ขา่ น มสุ ลมิ เตอร์กยงั คงอยู่ แต่กน็ บั วา่ ข้ึ นสูย่ ุคใหม่ด้วย
ดังเช่น พามยิ าน (Bamian) เมืองผา่ นสำำ� คัญที่ได้ คือเป็นยคุ ทีพ่ ระพทุ ธศาสนาสญู ส้ิ นไปแลว้
กลายเปน็ แดนมสุ ลิม และใครมอี ำำ� นาจกย็ ดึ เปลี่ยนมอื กัน
เจงกสิ ขา่ น ไป จนถึงยคุ อาณาจักรฆูร์ก็ยงั รุ่งเรอื งอยู่ แตค่ ราวน้ีไดถ้ ูก
108 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก ทำำ� ลายแบบสิ้นซาก พลเมืองถูกสงั หารหมดส้ิ น

๖๕๑ ปี ทมี่ ุสลมิ ครองอินเดีย ปุรุษปุระ แคชเมยี ร์

นบั แตน่ ี้ อนิ เดยี เขา้ สยู่ คุ จกั รวรรดมิ สุ ลมิ ทยี่ าวนาน ม.สนิ ธุ ละฮอร์ ม.ยมม.นุคางคา
๖๕๑ ปี เดลี
สุลต่านแห่งเดลี
เริม่ ด้วยจักรวรรดิมุสลมิ เตอร์กของสุลตา่ นแห่ง
เดลี (Delhi Sultanate) ซงึ่ จะปกครองอินเดยี ไป ๓๒๐ คชุ ราต อุชเชนี ประยาค
ปี (ชว่ งยิ่งใหญ่ ๑๙๒ ปี ถงึ พ.ศ. ๑๙๔๑ + ช่วงดอ้ ย พาราณสี
อำ�ำนาจ ๑๒๘ ปี ถงึ พ.ศ. ๒๐๖๙)
ทะเลอาหรับ ยาทวะ ม.นมั มทา โอริสสา อา่ วเบงกอล
จนถกู โคน่ และขึ้นแทนใน พ.ศ. ๒๐๖๙ โดยราชวงศ์
โมกลุ แหง่ จักรวรรดมิ สุ ลมิ มงโกล เทวคิรี ม.โคทาวรี

แลว้ โมกลุ ครองอนิ เดยี เรอ่ื ยมาจนตกเปน็ อาณานคิ ม ม.กฤษณะ
ของอังกฤษ ใน พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858)

ปาณฑยะ

สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 109



๘ ๐ ๐ ปี ท่ี อิ น เ ดี ย ไ ม่ มี พุ ท ธ ศ า ส น า

ก) มุสลมิ ครอง ๖ ศตวรรษ

เกาหลีพิมพพ์ ระไตรปฎิ ก

พ.ศ. ๑๗๗๕ (ค.ศ. 1232) เกาหลใี นยคุ โกรโี อ ฝง่ั ทะเลด้านตะวนั ตก) จำ�ำยอมใหม้ งโกลทำำ� ลายและบังคับ
(Koryo period, 918-1392) มคี วามสัมพันธท์ าง ควบคมุ บา้ นเมอื ง
จีน ญปี่ ุ่น วฒั นธรรมใกล้ชดิ กับจีนสมยั ราชวงศ์สงุ (Sung period, ระหว่างลภ้ี ัยทเ่ี กาะกงั หว่าน้ั น กษตั รยิ ์เกาหลีได้
960-1279) แต่มกั ถกู ชนต่างชาติจากมงโกเลยี มารุกราน โปรดใหจ้ ดั พมิ พพ์ ระไตรปฎิ กครบชดุ บรบิ รู ณด์ ว้ ยแมพ่ มิ พ์
เกาะกงั หว่า บ่อยๆ ไมแ้ กะ กว่า ๘๐,๐๐๐ แผน่ เปน็ งานพิมพ์ทีป่ ระณีต

ในปี ๑๗๗๕ น้ี พวกมงโกลมาย่�่ำำยี ทำำ� ใหร้ าชสำำ� นกั เทียบไดก้ ับพระไตรปิฎกท่จี ีนพิมพ์ในสมยั ราชวงศส์ ุง
โกรีโอล้ีภัยไปอยูท่ ี่เกาะกงั หว่า (Kanghwa Island ทาง (ดู พ.ศ. ๑๕๑๕-๑๕๒๖)

112 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

โปป๊ ตง้ั ศาลไตส่ วนศรทั ธา เตอรก์ ยดึ เยรูซาเล็ม
เพ่ือกำำ� จัดลัทธนิ อกครสิ ต์
พ.ศ. ๑๗๘๖ (ค.ศ. 1243) พวกเซลจกู เตอร์ก
พ.ศ. ๑๗๗๖ (ค.ศ. 1233) โปป๊ /สันตะปาปา (Seljuk Turks) จากอาเซยี กลาง ทีม่ ายึดแบกแดด ล้ม
เกรกอรที่ ี่ ๙ (Gregory IX) โดยร่วมกบั จกั รวรรดิโรมนั กาหลิฟอาหรบั ขึ้นเป็นสลุ ตา่ นครองอำ�ำนาจกนั มาต้งั แต่
ได้ตง้ั ศาลไต่สวนศรัทธา (Inquisition) ข้ึ นเพอ่ื กำ�ำจดั ปี ๑๕๙๘ (ค.ศ. 1055) น้ั น ได้แผอ่ ำ�ำนาจกว้างขวางตั้งแต่
กวาดลา้ ง (persecution) ลทั ธินอกรีตและความเช่อื ถอื เปอรเ์ ซยี ไปถงึ อาเซยี นอ้ ย (Asia Minor) รวมทั้งแดน
ทผ่ี ิดแผกแตกต่างจากขอ้ กำ�ำหนดของนกิ ายโรมนั คาทอลิก อาหรบั ในตะวนั ออกกลาง คร้ั นถงึ พ.ศ. ๑๖๑๔ (ค.ศ. 1071)
การสอบสวนลงโทษมกี ารทรมาน จำ�ำคุก ไปจนถงึ เผา ก็ยดึ เยรซู าเลม็ ได้ และตที ัพของจักรวรรดบิ แี ซนทนี พ่าย
ทงั้ เป็น แพ้ เปน็ จุดเรม่ิ เกิดสงครามครเู สดส์ (Crusades) ทที่ พั
คริสต์จากยโุ รปยกมาชงิ เยรูซาเล็ม

ทพั ครสิ ต์มาถงึ พอดพี วกเซลจูกเตอรก์ เร่ิมเส่ือม
ครั้งแรกฝ่ายคริสตช์ นะใน พ.ศ. ๑๖๔๒ (ค.ศ. 1099) ต่อ
มามุสลิมพวกอ่ื น (สลุ ตา่ นแห่งอียปิ ต์) ยึดเยรซู าเลม็ กลบั
คนื ได้ ส่วนพวกเซลจกู เตอร์กแตกเป็นแควน้ เลก็ แควน้
น้อย และแทบถึงอวสานเม่อื ทัพมงโกลทส่ี บื จากเจงกสิ
ขา่ นตยี ่อยยบั ในปี ๑๗๘๖ (ค.ศ. 1243)

หน้าตรงข้ามกลาง, ขวา:
พระไตรปฎิ กเกาหลี
หอธรรมที่ Haeinsa
ซ้ายจากบน:
โปป๊ เกรกอรี่ที่ ๙
Inquisition
สุลต่านแห่งอียิปต์

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 113

ไทยต้งั อาณาจกั รสุโขทยั พุทธศาสนา ในรชั กาลท่ี ๕ (บา้ งว่า ที่ ๖) พระมหาธรรมราชา
เถรวาทสายลังกาวงศร์ งุ่ เรอื ง ลไิ ท (ลอื ไท ก็ว่า) ซ่ึงเสวยราชย์ พ.ศ. ๑๘๙๐–๑๙๒๑/
1347-1378 ทรงอาราธนาพระมหาสามีสงั ฆราชเมอื ง
พ.ศ. ๑๘๐๐ (ค.ศ. 1257) ที่ประเทศไทย พ่อขนุ ลงั กานามวา่ สมุ นะ มาสู่สโุ ขทยั ในปี ๑๙๐๔/1361 ครั้น
ศรอี นิ ทราทิตย์ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อขอม และตั้ง ออกพรรษาแลว้ เสดจ็ ออกผนวชชว่ั คราว ณ วดั อรญั ญกิ
อาณาจักรสุโขทัย นับวา่ เป็นพระมหากษตั ริย์ไทยพระองค์แรกท่ที รงผนวช
และทรงพระราชนิพนธไ์ ตรภูมพิ ระร่วง (เรยี กเปน็ คำ�ำบาลี
ในรชั กาลท่ี ๓ พอ่ ขุนรามคำ�ำแหงมหาราช (ข้ึ น ว่า “เตภูมิกถา”, บรรยายการเวน้ ช่ัว ทำ�ำดี ใหเ้ จริญสงู ข้ึ น
ครองราชย์ พ.ศ. ๑๘๑๘/1275 หรอื ๑๘๒๒/1279, ปี ไปในไตรภมู ิ จนในที่สุดพน้ จากการว่ายเวียนเปล่ียนแปลง
สวรรคตเคยวา่ ๑๘๖๐/1317 แต่ใหม่ว่า ๑๘๔๒/1299) ในไตรภูมนิ ้ั น ขึ้นไปสู่จุดหมายในภมู ทิ ี่ ๔ และเน้นการ
ไดแ้ ผข่ ยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกวา้ งขวาง ทรง ปกครองโดยธรรมอันไมใ่ ช้ความรนุ แรง) ซึ่งถือกันว่าเป็น
ปกครองราษฎรอยา่ งบดิ ากบั บุตร ทรงประดิษฐ์ตวั อักษร วรรณคดไี ทยเล่มแรก ทรงเผดียงพระสงฆ์เขา้ ไปเรยี น
ไทยในปี ๑๘๒๖ และทรงอาราธนาพระมหาเถรสงั ฆราช พระไตรปฎิ กในมหาปราสาท และทรงจดั ระเบยี บคณะสงฆ์
ข้ึ นจากเมอื งนครศรธี รรมราช มาพำ�ำนัก ณ วัดอรญั ญกิ ต้งั แบ่งเป็น ๒ ฝ่ายอย่างลงั กา เปน็ คามวาสี กบั อรญั วาสี
คณะสงฆล์ งั กาวงศ์ พระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นศาสนา ทรงทำำ� นบุ ำ�ำรุงพระพุทธศาสนาอกี มากมาย รวมท้งั โปรด
ประจำ�ำชาตแิ ละรุ่งเรอื งสืบมา พระพทุ ธสิหงิ ค์ ซึง่ สร้างใน ให้จำ�ำลองพระพทุ ธบาทที่เขาสุมนกูฏในลงั กามาไว้ใน
ลงั กามาอย่ทู ี่นครศรีธรรมราช ก็ขึ้นมาประดษิ ฐาน ณ สโุ ขทัย สรา้ งพระพุทธชนิ ราช และพระพุทธชนิ สหี ์
กรงุ สุโขทัยในรชั กาลนี้ (แต่ ชนิ กาลมาลปี กรณ์ วา่ ได้พระ
พทุ ธสหิ งิ คม์ าใน พ.ศ. ๑๘๐๐ รชั กาลพอ่ ขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย)์ เม่อื พระเจ้าลไิ ทสวรรคตใน พ.ศ. ๑๙๒๑ แลว้
พุทธศลิ ป์แบบลังกาเรมิ่ เข้ามาแทนที่พทุ ธศิลป์แบบ พระราชโอรสไดข้ ้ึ นครองราชย์เปน็ พระเจ้าไสยลือไท แต่
มหายาน แมแ้ ต่พระมหาธาตุนครศรีธรรมราช กแ็ ปลงรูป ในปีนั้นเอง สโุ ขทยั ก็ตกเปน็ ประเทศราชขึ้นต่อกรงุ ศรี
เป็นสถูปแบบลงั กา อยธุ ยา และพระเจา้ ไสยลอื ไทยา้ ยไปครองเมอื งทพ่ี ษิ ณโุ ลก
จนสวรรคตในปี ๑๙๖๒/1419 (บ้างว่า ๑๙๕๒)
จากบนซ้าย:
พระพุทธชินราช
สโุ ขทยั
ศลิ าจารึกหลกั ท่ี ๑
พ่อขนุ รามคำ�ำแหงมหาราช

114 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

เตอรก์ วงศท์ าส ตงั้ กาหลฟิ อาหรบั เปน็ หนุ่ แมมหลกู ในปี ๑๘๓๗ ก็ยังมีอียปิ ตเ์ หลอื รอดอยู่ ชาวมุสลมิ จึงหนี
ตวั เองเป็นสุลตา่ น การพิฆาตจากซเี รียเข้ามาลีภ้ ัยในอยี ิปต์ และอารยธรรม
เพอ่ื คมุ มุสลมิ อาหรบั ไว้ เพราะพวกแมมหลกู เองท้งั หมด มสุ ลมิ อาหรับกจ็ งึ รอดพน้ ความพนิ าศมาได้
พ.ศ. ๑๘๐๔ (ค.ศ. 1261) ทาสชาวเตอร์กท่ีเป็น ท้งั สิ้นไม่ใชช่ าวอาหรับ (มักจะเป็นพวกเตอร์กจากอาเซยี
นายทหารในกองทัพมุสลิม ซ่ึงเปน็ ใหญ่ขึ้นมาปกครอง กลาง) และไม่ได้เป็นมสุ ลิมมาแต่เดิม บางคนไมร่ หู้ รือ อยี ิปต์เองเมือ่ เปน็ ท่ีตงั้ ราชวงศ์อาหรบั มาหลาย
อยี ิปต์และซเี รียต้งั แต่ พ.ศ. ๑๗๙๓ (ค.ศ. 1250) เมอ่ื ถึง แทบไม่รภู้ าษาอาหรับเลย ศตวรรษ ก็กลายเป็นดินแดนท่ีมวี ฒั นธรรมแบบอาหรบั
พ.ศ. ๑๘๐๔ (ค.ศ. 1261) ได้ตั้งกาหลฟิ ข้ึ นมาใหม่ท่ไี คโร และเปน็ ศนู ยก์ ลางแหง่ อารยธรรมมสุ ลมิ อาหรบั น้ั น (อยี ปิ ต์
ในอียิปต์ เป็นการสบื แทนกาหลฟิ ในแบกแดด ท่ถี ูกพวก เตอร์ก คอื ผพู้ ทิ กั ษ์อารยธรรมมสุ ลมิ เคยเปน็ ศนู ยก์ ลางอารยธรรมกรกี ต้ังแตย่ คุ ราชวงศโ์ ตเลม)ี
มงโกลทำำ� ลายไปแล้ว และตอ่ มากต็ ั้งตวั เองเป็นสลุ ต่าน ของอาหรบั
โดยนัยน้ี พวกแมมหลูกจงึ เป็นผพู้ ทิ กั ษ์อารยธรรม
สุลตา่ นท่เี คยเปน็ ทาสนั้น สืบวงศ์กนั มา เรยี กวา่ เนือ่ งจากเชย่ี วชาญในการรบ พวกสลุ ตา่ น อิสลามของอาหรับใหค้ งอยูเ่ หลอื รอดมา
ราชวงศท์ าส เปน็ ภาษาอาหรบั วา่ ราชวงศแ์ มมหลกู (Slave แมมหลกู หรือราชวงศท์ าสเหลา่ น้ี ไดท้ ำำ� คุณไวแ้ ก่
dynasty/Mamluk dynasty/Mameluke dynasty) อารยธรรมอิสลามอย่างสำ�ำคญั ยงิ่ ๒ ประการ คือ สดุ ท้าย พวกแมมหลูกกข็ บั ไล่พวกมงโกลออกไป
เปน็ ผ้คู รองอำ�ำนาจแทจ้ รงิ ส่วนองคก์ าหลฟิ เป็นเพยี งเจวด็ จากปาเลสไตนแ์ ละซเี รียได้ แลว้ ครองอำ�ำนาจต่อมา จนถกู
หรอื หุ่นเชิด บางทีนายทพั ก็ถอดถอนหรือถงึ กบั ฆา่ กาหลฟิ ๑. ปกปอ้ งแดนมุสลิมไว้ในยคุ สงครามครูเสดส์ รวมเข้าในจักรวรรดิออตโตมานเตอร์กใน พ.ศ. ๒๐๖๐
ได้ตามใจตัว การใช้ทาสหรอื แมมหลูกเป็นกำ�ำลงั ทหารสว่ น จนกระท่ังสดุ ท้ายได้ขบั ไล่กองทัพครูเสดสข์ องคริสต์ออก (ค.ศ. 1517) และเม่อื เตอรก์ ออ่ นแอลง พวกแมมหลกู ก็
สำ�ำคัญนั้น เปน็ ลักษณะพเิ ศษของอารยธรรมอิสลาม ซ่งึ ไปจากดินแดนแถบนั้นจนหมดส้ิ น กลับฟ้ืนข้ึ นมามีอำำ� นาจอีกระยะหนึง่ แต่ในทส่ี ุดกถ็ กู กำำ� จดั
ได้เรม่ิ ขึ้นในยคุ กาหลฟิ ทีแ่ บกแดด ต้ังแตร่ าว พ.ศ. ๑๓๘๐ หมดส้ิ นใน พ.ศ. ๒๓๕๔ (ค.ศ. 1811)
แล้วใชก้ ันทว่ั โลกมสุ ลิม เชน่ ซ้อื ทาสมาเขา้ เป็นกำ�ำลังรบใน ๒. ช่วยต้านทพั มงโกลไว้ ทำำ� ใหแ้ ดนอสิ ลามบาง
กองทพั พวกแมมหลกู นีร้ บเก่งมาก และเมื่อนานเข้ากจ็ ะ สว่ นรอดจากการทำ�ำลายลา้ งของพวกมงโกลมาได้ คือ
กลายเป็นผคู้ มุ อำำ� นาจอยูเ่ บอ้ื งหลัง หรอื ขึ้นครองอำ�ำนาจ
เสยี เอง เป็นอยา่ งน้ีทงั้ ทางตะวนั ตก คอื สลุ ต่านท่ีอียปิ ต์ ทางด้านอนิ เดยี ก็รอดจากการทำำ� ลายในยุคลกู
ซีเรีย ซึ่งครองอำำ� นาจนานกวา่ ๒๕๐ ปี (พ.ศ. ๑๗๙๓- เจงกิสข่าน (เดลถี ูกทำ�ำลายโดยตีมูร์ใน ค.ศ. 1398 หลังยคุ
๒๐๖๐=ค.ศ. 1250-1517) และตะวนั ออก คืออนิ เดีย ที่ ราชวงศ์ทาสล้มไป ๑๐๘ ปีแลว้ )
มรี าชวงศ์ทาสแทรกอยู่ในสายสุลต่านแห่งเดลี โดยเริ่มข้ึ น
ใกล้ๆกัน แตอ่ ย่สู ้ั นเพยี งราวศตวรรษเดียว (พ.ศ. ๑๗๔๙- สว่ นทางตะวันออกกลาง เมือ่ อาณาจักรมุสลมิ
๑๘๓๓=ค.ศ. 1206-1290; ที่เดลีไม่มีกาหลิฟ) อื่นๆ ถูกพวกมงโกลทำำ� ลายเรียบราบ แต่พวกแมมหลูก
ตา้ นมงโกลได้ ทำ�ำให้อียิปต์และซเี รีย เป็นท่พี งึ่ ของชาว
การที่พวกแมมหลกู แถบตะวนั ตกตั้งกาหลิฟขึ้นก็ มสุ ลิมทีห่ นกี ารลา้ งผลาญของมงโกลเข้ามาอาศยั แมเ้ มอ่ื
ต่อมาพวกแมมหลูกตา้ นไมไ่ หว พวกมงโกลยดึ ซเี รียได้

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 115

กลันตัน ทะเลจนี ใต้

เคดาห์ มะละกา ตรังกานู จักรวรรดมิ ชปหติ
ปะหงั

สมุ าตรา บอรเ์ นียว

ชัมพี
ปาเลมบัง

ทะเลชวา

ชวา

มชปหิต

สมัยกุบไลขา่ น พ.ศ. ๑๘๑๗-๒๔ (ค.ศ. 1274-1281) กบุ ไลข่าน
มฝี รงั่ มารบั ราชการเมืองจีน จักรพรรดิมงโกลส่งทัพเรอื ไปตญี ป่ี ่นุ ๒ คร้ัง แต่ไม่สำ�ำเรจ็
(คร้งั แรกเรอื ถกู พายพุ นิ าศ ครั้งที่ ๒ เรือ ๔,๐๐๐ ลำ�ำ แพ้
พ.ศ. ๑๘๑๔ (ค.ศ. 1271) มาร์โค โปโล (Marco แกญ่ ป่ี ุ่น)
Polo) ชาวเมืองเวนสี (Venice) ในอติ าลี ออกเดนิ ทาง
มายังประเทศจีน (คาเธย์/Cathay) โดยเส้นทางสายไหม พ.ศ. ๑๘๒๒ (ค.ศ. 1280) กุบไลขา่ นล้มราชวงศ์
มาถงึ ปกั ก่ิงในปี ๑๘๑๘ ไดร้ บั ราชการเปน็ คนโปรดของ ซ้อง รวมจนี และต้งั ราชวงศ์หยวน ปกครองทีเ่ มืองหลวง
พระเจา้ กบุ ไลขา่ น เดนิ ทางไปทงั้ ใน จนี อนิ เดยี และอาเซยี ใหมค่ ือปักก่ิง (=เบจิง)
อาคเนย์ แล้วกลบั ถงึ เวนสี ใน พ.ศ. ๑๘๓๘ (ค.ศ. 1295)
คำำ� เลา่ การเดนิ ทางของเขาเป็นเรื่องราวแหลง่ เดยี วที่ชาว จากซ้าย:
ยุโรปไดร้ ้จู กั ตะวันออกไกลกอ่ นครสิ ต์ศตวรรษท่ี 17 มาร์โค โปโล
พระเจา้ กบุ ไลขา่ น

116 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

มชปหิต ค่ันกลาง ต่อศรวี ิชยั อำ�ำนาจข้ึ นมาขม่ ให้ศรีวชิ ัยเลอื นหายไป มาต้ังเมืองตง้ั อาณาจกั รมุสลมิ ขึ้นตามชายฝ่งั ทะเลชวา
กอ่ นเขา้ ยุคมุสลมิ อย่างไรก็ตาม มชปหติ กเ็ ข้มแขง็ อยูไ่ ด้ไมน่ าน และแผ่ศาสนาอสิ ลามออกไป พอถงึ พ.ศ. ๒๐๐๐ เศษ
เลก็ น้อย จกั รวรรดิมชปหติ ก็ถงึ กาลอวสาน และชนมุสลมิ
พ.ศ. ๑๘๓๖ (ค.ศ. 1293) เกิดจักรวรรดมิ ชปหิต เพยี งราวศตวรรษเดียวกต็ ้องสูญสิ้น เพราะนอกจากความ กค็ รอบครองดนิ แดนท่ีเปน็ ประเทศอินโดนเี ซยี หมดส้ิ น
กลา่ วคือ หลังจากอาณาจกั รของราชวงศป์ าละ ทเ่ี ป็น วนุ่ วายภายในแล้ว ถงึ เวลานี้ดนิ แดนแควน้ เบงกอลใน
แดนพทุ ธสดุ ท้ายในชมพทู วปี ถกู มสุ ลิมเตอร์กทำำ� ลาย อินเดียได้ถกู ชนมสุ ลิมเตอร์กเข้าครองแล้ว (ราชวงศ์เสนะ
ส้ิ นเมอ่ื ประมาณ พ.ศ. ๑๖๖๓/ค.ศ. 1120 แลว้ ตอ่ มา ส้ิ น พ.ศ. ๑๗๔๕/ค.ศ. 1202)
อาณาจกั รศรวี ิชัย (อนิ โดนเี ซยี -มาเลเซีย) และพระ
พุทธศาสนาท่ี นั่น ก็เสอ่ื มตามไปดว้ ย โดยเฉพาะในระยะ เม่ือจดั บ้านเมืองเขา้ ทีแ่ ลว้ ถึง พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ
พ.ศ. ๑๘๓๖ ไดม้ อี าณาจกั รใหมเ่ กดิ ข้ึ นในชวาตะวนั ออก ชาวมสุ ลิมจากเบงกอลกม็ า เช่นเดียวกบั ชาวมสุ ลิมอาหรับ
อนั เป็นอาณาจกั รฮินดู มชี ื่อว่าจกั รวรรดิมชปหิต จากอา่ วเปอรเ์ ซยี ทคี่ ้าขายสบื กนั มา ชาวมสุ ลิมเหลา่ นไ้ี ด้
(Majapahit Empire) มชิ า้ มินานอาณาจกั รฮนิ ดนู ไ้ี ดเ้ รือง

เตอร์ก ตัง้ จกั รวรรดอิ อตโตมาน บูดาเปส
ท่ียง่ิ ใหญ-่ ยนื ยาว
เบลเกรด
พ.ศ. ๑๘๓๓ (ค.ศ. 1290) เตอรก์ จากอาเซยี กลาง โรม
อีกพวกหนึ่ง ตอนแรกก็มาเป็นทหารรบั จ้างอยู่ในกองทัพ
ของเซลจูกเตอรก์ น่ั นแหละ ตอ่ มาหลังยุคมงโกลท่ีสบื จาก โซเฟีย ทะเลดำำ� ทะเลแคสเปยี น
เจงกสิ ขา่ นผา่ นพน้ แลว้ เตอรก์ สายนค้ี นหนง่ึ ไดต้ งั้ อาณาจกั ร
เล็กๆ ข้ึ นมาในสว่ นหน่ึงของอนาโตเลีย (Anatolia=Asia ทรโิ ปลี ทะเลเมเดอิเเตธอนเรสเ์นยี น คอนสแตนตโิ นเปิล
Minor คอื เตอรก์ ภี าคตะวนั ออกทอ่ี ยใู่ นอาเซยี ) เปน็ สลุ ตา่ น
ไดช้ อื่ วา่ ออสมานท่ี ๑ (Osman I) เปน็ ตน้ ราชวงศอ์ อตโตมาน อเลกซานเดรีย เยดราูซมาัสเลก็มัสแบกแดด อาเซีย
ซงึ่ ตอ่ มาจะเรอื งอำำ� นาจเปน็ จกั รวรรดอิ อตโตมาน (Ottoman
Empire) อนั ยงิ่ ใหญ่ และยนื ยาวกวา่ ๖ ศตวรรษ (ส้ิ นสลาย อาฟรกิ า ไคโร อ่าวเปอร์เซีย
เม่อื สดุ สงครามโลกครั้งท่ี ๑ ใน พ.ศ. ๒๔๖๑=ค.ศ. 1918)
มะดนี ะฮ์ การแผข่ ยายอาณาเขตในแต่ละยคุ
เมกกะ อาณาเขตด้ังเดิม, 1300-1359
1359-1451
ทะเลแดง เยเมน 1451-1481 (เมห์เหมด็ ท่ี ๒)
1512-1520 (เซลมิ ท่ี ๑)
จกั รวรรดอิ อตโตมาน 1520-1566 (สุไลมาน)
1566-1683

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 117

ยอ้ นทวนความ ก) ยคุ มสุ ลมิ อาหรบั ในช่วงเดียวกนั นี้ ระยะปี ๑๒๔๘-๑๒๕๘/705-
เส้นทางอิสลามสอู่ ินเดยี 715 ทพั มสุ ลมิ อาหรบั ก็ได้บุกขึ้นไปปราบอาเซียกลาง นำำ�
พอถึงปี ๑๑๙๓ (ค.ศ. 650 คือหลังพระศาสดา ประชากรแถบน้ั นเข้าสู่อสิ ลาม
พ.ศ. ๑๘๓๗ (ค.ศ. 1294) เป็นปเี ริม่ ต้นแหง่ การ มูฮมั มดั เสดจ็ สสู่ วรรค์เพียง ๑๘ ปี หลงั สิ้นรชั กาลพระเจา้ ฝรั่งบันทึกวา่ ทัพมสุ ลมิ อาหรับบกุ ถึงไหน ทัพ
ขยายอำ�ำนาจของชนมุสลิมเตอรก์ ลงสทู่ ักษิณาบถ หรอื หรรษะ ๓ ป)ี กองทพั มสุ ลิมอาหรับก็บุกนำำ� อิสลามขยาย อนิ เดียแมจ้ ะมีกำ�ำลงั พลเหนือกวา่ มากมายก็ย่อยยับ
Deccan คอื ดนิ แดนสว่ นล่าง หรือภาคใตข้ องประเทศ เขา้ มาถึงบาลูจิสถาน (Baluchistan ในปากีสถาน) เข้าใน แหลกลาญและถกู สังหารอยา่ งผักปลาท่ี นั่น เพราะพวก
อินเดยี ย้อนทวนความวา่ หลงั ส้ิ นรัชกาลพระเจา้ หรรษะ เขตแหง่ ชมพูทวีป ฮินดู (รวมทงั้ ชาวพทุ ธ) มวั เพลนิ กบั ชีวติ ที่สขุ สบาย (กลาย
หรือสลี าทติ ย์ใน พ.ศ. ๑๑๙๐ (ค.ศ. 647) แลว้ อนิ เดียก็ เป็นคนออ่ นแอและประมาท) แตอ่ าจเปน็ เพราะอีกอย่าง
ระส่�่ำำระสาย ประจวบพอดวี ่าศาสนาอสิ ลามไดเ้ กดิ ข้ึ นที่ ตอ่ มาปี ๑๒๕๕/712 แมท่ ัพอาหรับอายเุ พียง ๒๐ หนึ่งด้วย คือ ทพั มสุ ลมิ ยกมาแบบสายฟ้าแลบ คาดไม่ถึง
อาหรบั ในตะวันออกกลาง แล้วแผข่ ยายมาอย่างรวดเรว็ ปี โดยความช่วยเหลือของคนฮินดูนักฉวยโอกาสทีม่ าเขา้ และใช้วิธฆี ่าทำ�ำลายไมเ่ ลอื ก แบบที่ฝ่ายอินเดยี ไม่คุ้นและ
กบั ศตั รู นำำ� ทพั มุสลมิ เพยี ง ๖,๐๐๐ คน จากบาลูจิสถาน ตงั้ รับไม่ทัน
บกุ เข้ามาบดขยีแ้ ละยึดครองแคว้นสนิ ทไ์ ดห้ มด (Sind
แควน้ ลา่ งสดุ เขตปากีสถานปจั จบุ ัน มกี าราจีเปน็ เมือง-
หลวง ตดิ แดนอินเดีย) มหาวิทยาลัยวลภีกพ็ นิ าศในยุคนี้

จบสงครามครูเสดส์
ที่ครสิ ต์-อิสลามรบกนั มา ๒๐๐ ปี

พ.ศ. ๑๘๓๔ (ค.ศ. 1291) สงครามศาสนา ที่
เรียกว่า ครูเสดส์ ทีช่ าวคริสตย์ กมารบกบั มุสลิมเพ่ือ
ชิงเยรูซาเลม็ กลับคนื ซ่งึ ดำำ� เนนิ มาเกอื บเตม็ ๒๐๐ ปี
(เริม่ ค.ศ. 1095) รวมทงั้ หมด ๘ ครูเสดส์ จบสิ้นลงโดย
เยรูซาเลม็ กอ็ ยู่ในครอบครองของมุสลิมตามเดิม

University of Texas Libraries

118 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

ข) ยุคมสุ ลมิ เตอรก์ เตอรก์ ลงใต้ ขยายอำำ� นาจในทกั ษณิ าบถ ซาอดุ ี อฟั กานสิ ถาน จนี
อาระเบีย เนปาล
ตอ่ มามุสลมิ อาหรับอ่อนกำ�ำลังลง และท่ศี นู ย์กลาง จากนั้นอีกเกือบ ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๑๘๓๗ (ค.ศ. ปากสี ถาน
หนั ไปเน้นงานด้านสงบ พวกเตอร์กในอาเซยี กลางทเ่ี ปน็ 1294) อาลา-อดุ -ดนิ ขัลยี (Ala-ud-din Khalji) สลุ ตา่ น เดลี
มุสลิมแล้ว กย็ กกำ�ำลงั ออกขยายอำำ� นาจแผ่และพทิ กั ษ์ แหง่ เดลีนำ�ำทัพมา้ ๘,๐๐๐ ไม่ต้องมีเสบียงเลย ออกจาก การาจี
อสิ ลามแทน อนิ เดยี ภาคเหนอื โดยมงุ่ ไปหาเงนิ ทนุ มาใช้จา่ ยในบา้ น
เมืองและขยายกองทัพ ข้ามเทอื กเขาวนิ ธยะ เข้าสูแ่ ดน อินเดีย
พ.ศ. ๑๗๔๙ (ค.ศ. 1206) หลังจากเข้าอนิ เดยี ทักษณิ าบถ บุกตเี รอ่ื ยไปในแดน Deccan ตลอดระยะ
ภาคเหนือ เผาและฆ่ากราดไปท่ัว ซึ่งเปน็ เหตสุ ุดทา้ ยให้ ทาง ๘๐๐ กม. จบลงดว้ ยการพชิ ิตเมืองเทวคีรี ราชธานี ยงั ตอ้ งการทุนทรัพย์เพม่ิ อีก ดงั น้ั น หลงั จากขยายดินแดน
พทุ ธศาสนาหมดสิ้นจากอนิ เดียแล้ว กเ็ ริ่มยุคสุลตา่ นแหง่ ของอาณาจักรยาทวะ (ยาทพ) ท่ีมอี ำ�ำนาจเข้มแข็งท่ีสดุ ใน ในภาคเหนอื เสรจ็ ไปอกี ระยะหนงึ่ สลุ ตา่ นกย็ กทพั ลงใตอ้ กี
เดลี ท่อี ินเดียภาคเหนือเปน็ จกั รวรรดิมสุ ลมิ เหลือเจ้า อนิ เดียใตล้ งเสรจ็ ในปี ๑๘๓๙ ไดท้ ุนทรพั ย์มายังเดลีอย่าง โดยมใิ ชม่ ุ่งไปครอบครองดนิ แดน แตม่ ุ่งขนเอาทรพั ย์มา
ฮนิ ดเู พียงหย่อมเลก็ หย่อมน้อยท่ีจะตอ้ งปราบตอ่ ไป มากมายมหาศาลแมจ้ ะไดท้ รัพยไ์ ปมากมายและวางระบบ และปราบพวกกษตั ริย์ฮินดูใหย้ อมรบั อำำ� นาจเป็นเมอื งข้ึ น
เกบ็ ภาษขี ้ึ นใหม่อย่างมปี ระสิทธิภาพ แตส่ ุลตา่ นแหง่ เดลีก็ เพอ่ื สง่ เครื่องราชบรรณาการมาให้เปน็ ประจำำ� ต่อไป

เทมาเสก็ ได้ชอ่ื สิงหปุระ คอื สิงคโปร์ (อกี ราว ๑๐๐ ปตี อ่ จากน้ี เจา้ ปรเมศวรจะหนี
จากสุมาตรามาขึ้นท่ี นี่ ฆา่ เจ้าผู้ครองและยึดสิงคโปร์ แต่
พ.ศ. ๑๘๔๒ (ค.ศ. 1299) เมอื่ อาณาจักรศรีวชิ ยั ถกู สยามหรือมชปหติ ตามล่าและทำ�ำลายเมอื งสงิ คโปร์ จงึ
ท่ปี าเลมบัง บนเกาะสุมาตรา เสอ่ื มอำ�ำนาจแลว้ ตำำ� นาน หนตี ่อไปขึ้นท่ใี กลป้ ลายแหลมทอง นำ�ำความเป็นมลายู
มลายู (หมายถึงมลายูในถิ่นเดิมบนเกาะสุมาตรา) เล่าว่า ไปตง้ั อาณาจักรมะละกา ท่เี ป็นตน้ กำำ� เนิดของประเทศ
เจ้าผหู้ นง่ึ ซง่ึ ครองเมืองท่ี นั่น แลน่ เรอื จากสุมาตรามาขึ้นที่ มาเลเซีย)
เกาะเทมาเสก็ /เตมาเสก หรือทูมาสิก/ตูมาสกิ (Tema-
sek/Tumasik แปลวา่ ดินแดนมีน้้� ำำลอ้ มรอบ แต่บางทา่ น
วา่ อาจเพย้ี นจาก “ธรรมศกิ ษ”์ ) แล้วตั้งเป็นเมอื งโดยเปน็
ราชาหรอื เจ้าผู้ครองคนแรก และตง้ั ชื่อท่ี นั่นว่า สงิ หปรุ ะ
(ตอ่ มาเพีย้ นเป็นสิงคโปร์) เพราะไดเ้ หน็ สตั ว์ตัวหนงึ่ คล้าย
ราชสหี ์ (แตบ่ างตำ�ำนานวา่ พระเจา้ ราเชนทรท่ี ๑ จาก
อาณาจกั รโจฬะ ไดต้ ั้งชอ่ื สงิ หปุระ ต้ังแตม่ าตีไดใ้ นปี
๑๕๖๘/1025 แล้ว)

สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 119

อาณาจักรทมิฬสน้ิ อำำ� นาจ พอถงึ ปี ๑๘๕๒/1309 สุลต่านแห่งเดลีปราบ สลุ ต่านแหง่ เดลี ใกลส้ ิ้นอำำ� นาจ
เปล่ยี นเปน็ ของมสุ ลมิ อินเดยี ใตไ้ ด้หมดแลว้ กส็ ร้างมัสยดิ ไวท้ ี่แหลมโคโมริน
(Cape Comorin) ซง่ึ เปน็ ส่วนปลายใต้สุดของผนื แผน่ ดนิ อยา่ งไรก็ตาม หลังจากสุลต่านอาลา-อุด-ดนิ ขัลยี
หนั กลบั ไปดดู นิ แดนชาวทมฬิ ในอนิ เดยี ใต้ ทอี่ าณา- อินเดยี เปน็ เครือ่ งหมายว่าประเทศอินเดยี ไดเ้ ปน็ ดินแดน สิ้นชพี ในปี ๑๘๕๙/1316 แล้ว ไดเ้ กดิ การแย่งชงิ อำ�ำนาจ
จักรปาณฑยะไดม้ ชี ยั ชนะอาณาจักรทแี่ ข่งอำำ� นาจกนั มา ของจกั รวรรดมิ สุ ลิมหมดส้ิ นแล้ว เกดิ ราชวงศ์ใหม่ และมคี วามวุ่นวายตา่ งๆ บางอาณาจักร
ทงั้ หมดตงั้ แต่ พ.ศ. ๑๘๒๒ และครองอำำ� นาจสบื มา แตเ่ มอ่ื ก็แข็งเมือง อกี ทั้งพวกมงโกลก็คอยมาตี จนสุลต่านถึง
ทพั มุสลิมเตอรก์ ลงมาอินเดียเหนือแลว้ พอถงึ ปี ๑๘๕๐/ กับมาตัง้ เทวคีรี (Devagiri=Daulatabad) ในภาคใต้เป็น
1310) กองทพั มุสลิมเตอรก์ ของสุลต่านแห่งเดลีกร็ กุ ผ่าน เมืองหลวงที่ ๒ ในปี ๑๘๗๐/ค.ศ. 1327 ทั้งเพ่ือคุมภาค
ทกั ษณิ าบถเขา้ มา ตเี อาอาณาจกั รปาณฑยะเขา้ ไวใ้ ตอ้ ำำ� นาจ ใต้ที่ม่ังคัง่ อดุ มสมบรู ณไ์ ว้ และเพอื่ ตัง้ หลักสกู้ บั พวกมงโกล
จากที่มั่นซง่ึ ปลอดภยั จากศตั รู
(สลุ ตา่ นแหง่ เดลปี กครองปาณฑยะตอ่ มาจนกระทงั่
อาณาจกั รฮนิ ดสู ดุ ทา้ ยทตี่ ง้ั ตวั ข้ึ นมาไดใ้ หมค่ อื วชิ ยั นครเขา้ อย่างไรกต็ าม อำ�ำนาจสงู สุดของสลุ ตา่ นแห่งเดลี
ครองแทนในปี ๑๙๒๑/1378 ก่อนทจ่ี ักรวรรดวิ ิชยั นคร คงอยูไ่ ดเ้ พียงถึงปี ๑๘๗๘/1335 จากนั้นเม่อื เรอ่ื งวนุ่ วาย
น้ั นเองจะถูก ๔ อาณาจกั รมุสลิมรวมกำ�ำลังกันทำ�ำลายจบ เกดิ ข้ึ นเรอื่ ยๆ สุลต่านกป็ ราบไม่ไหว อาณาจกั รตา่ งๆ ก็
สิ้นไปในปี ๒๑๐๘/1565 แลว้ ดินแดนแถบน้ที งั้ ปวงกต็ ก เปน็ อสิ ระแยกออกไปๆ พอถึงปี ๑๘๙๔/1351 อนิ เดยี
เป็นของมสุ ลมิ หมดสิ้น) ภาคเหนอื กม็ ีแต่กบฎให้ปราบ ภาคใตก้ ห็ ลดุ จากอำำ� นาจ

ไทยตั้งอยธุ ยา ลาวตง้ั ล้านช้าง

พ.ศ. ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1351) ทปี่ ระเทศไทย พระเจา้
อทู่ อง (รามาธิบดที ่ี ๑) ต้งั กรุงศรอี ยุธยา

พ.ศ. ๑๘๙๖ (ค.ศ. 1353) ทเ่ี มอื งลาว เจา้ ฟ้างุ้ม
ตง้ั อาณาจกั รลา้ นช้าง เป็นอิสระจากขอม ครองราชย์
ท่เี มืองหลวงพระบาง ยกพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็น
ศาสนาประจำ�ำชาติ

120 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

ย้อนประวตั ิของวิชัยนคร มงโกลมา-เดลีมอด

โดยเฉพาะในภาคใต้น้ั น ได้มีอาณาจกั รฮนิ ดเู กิด ตีมรู ์ลงมาจากอาเซยี กลาง แผอ่ ำำ� นาจไปในที่ต่างๆ
ขึ้นใหมท่ ย่ี ง่ิ ใหญ่ ซงึ่ มปี ระวตั วิ า่ เมอ่ื สลุ ตา่ นแหง่ เดลปี ราบ แล้ว พ.ศ. ๑๙๔๑ (ค.ศ. 1398) ตมี ูร์ นำ�ำทัพมงโกลมา
อาณาจักรกัมปลิ ีลงในปี ๑๘๗๐/1327 แล้ว ได้นำำ� ตวั บุกทำ�ำลายลา้ งเดลพี ินาศแหลกลาญ สังหารคนในเดลีไป
ขา้ ราชการสองคนพี่นอ้ ง ชอ่ื หกั กะ และพกุ กะ หรอื หรหิ ระ ๘๐,๐๐๐ กำ�ำจัดสุลต่านแหง่ เดลี
และวรี พกุ กะ ไปกรงุ เดลี ใหเ้ ปลยี่ นศาสนาเปน็ คนมสุ ลมิ แลว้
ก็สง่ กลบั มาปกครองกัมปลิ ี โดยเปน็ เมอื งข้ึ นของสลุ ตา่ น แม้เขาจะผา่ นไป ไม่อยยู่ ึดครอง ก็ทำำ� ให้ระบบ
สุลต่านแห่งเดลีอ่อนเปลยี้ ป้อแป้
แตพ่ อถึงปี ๑๘๗๙/1336 สองพี่นอ้ งไดป้ ระกาศ
อิสรภาพไมข่ ึ้นต่อเดลี และหนั กลับไปเปน็ ฮนิ ดู ตง้ั แต่น้ั นมา สุลต่านแห่งเดลกี น็ บั ได้วา่ ถึงกาลอวสาน
อาณาจกั รชือ่ “วิชัยนคร” ข้ึ นมา ซงึ่ เปน็ ดินแดนสุดท้าย มีสถานะเหลืออยูเ่ พยี งเปน็ อาณาจกั รหนงึ่ ทแ่ี ยง่ ชิงอำ�ำนาจ
ทย่ี ืนหยดั รักษาอำ�ำนาจของฮนิ ดูส่วนหนึง่ ไว้ใหย้ ืนยงอยู่ กันกับอาณาจกั รอ่ื นๆ ในอนิ เดยี เหนอื
ทา่ มกลางพลานภุ าพของมสุ ลมิ ยนื ยาวมาไดอ้ กี กวา่ ๒๐๐ ปี
Hampi ในวชิ ัยนคร
สว่ นทางดา้ นกรงุ เดลี เหตุการณย์ ิง่ เสื่อมทรามลง
จนในท่สี ดุ ก็ถูกพวกมงโกลเขา้ มาทำำ� ลายแหลกลาญ

พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ พระเจา้ ลไิ ท ขออาราธนาพระสงั ฆราชสมุ นเถร พรอ้ ม
เข้าสลู่ า้ นนา ดว้ ยพระบรมสารรี กิ ธาตุ ไปยังลา้ นนา เปน็ การเร่ิมต้น
พทุ ธศาสนาแบบลงั กาวงศใ์ นล้านนา และเพื่อบรรจุ
พ.ศ. ๑๘๙๘–๑๙๒๘ (ค.ศ. 1355/1385) ท่ี พระบรมสารรี ิกธาตทุ อ่ี ัญเชญิ มานั้น จงึ มีการสร้างพระ
อาณาจกั รล้านนา ซงึ่ พระเจา้ เมง็ ราย (พญามังราย กว็ า่ ) ธาตุเจดียท์ ว่ี ัดบบุ ผาราม (คอื วดั สวนดอก, เสรจ็ พ.ศ.
ทรงเป็นตน้ ราชวงศเ์ ริ่มแตป่ ระมาณ พ.ศ. ๑๘๐๒ และ ๑๙๑๗) และพระธาตดุ อยสุเทพ (เสรจ็ พ.ศ. ๑๙๒๗)
ทรงสร้างเมืองเชยี งใหมเ่ ปน็ ราชธานีเสรจ็ ใน พ.ศ. ๑๘๓๕
(ชอื่ ทต่ี ัง้ ว่า “นพบุรศี รนี ครพิงค์เชียงใหม”่ ) ถงึ บดั นเี้ ปน็
รชั กาลพระเจา้ กอื นาธรรมกิ ราช ครัง้ หนงึ่ ประมาณ พ.ศ.
๑๙๑๓ พระเจ้ากอื นา (หรือตอื้ นา) ทรงส่งราชทูตมายัง

เจา้ ฟ้างมุ้
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 121

มงโกลระลอกใหม่ ย้อนกลับมาบกุ อินเดียในปี ๑๙๔๑ (เจงกิสขา่ นไมไ่ ด้เขา้ เทคโนโลย:ี เกาหลีอกี กา้ วในการพิมพ์
ตหี มด อินเดยี จดรสั เซยี อนิ เดยี ) ทำ�ำลายลา้ งเดลีราบเรยี บ
พ.ศ. ๑๙๓๕ (ค.ศ. 1392) ทีเ่ กาหลี มีคน
พ.ศ. ๑๙๑๓ (ค.ศ. 1370) ตีมูร์ หรือ แทมมาเลน ในปตี อ่ มา ตีมรู ์ยกทัพไปตีซเี รยี แล้วเข้าพิฆาตถงึ ประดิษฐต์ ัวเรยี งพมิ พโ์ ลหะข้ึ น แล้ววธิ ีการนี้กแ็ พร่ขยาย
(Timur หรอื Timour หรอื Tamerlane หรือ Timur เมอื งอังการา (Ankara ปจั จุบันคือเมืองหลวงของเตอร์ก)ี ไป และปรากฏวา่ ไปเป็นประโยชน์แกก่ ารพมิ พ์ภาษาของ
Lenk=Timur the Lame=ตมี ูรผ์ กู้ ะเผลก) ราชาแห่ง จบั สุลตา่ นของออตโตมานเตอร์กได้ในปี ๑๙๔๕ จาก ยุโรป (มากกวา่ พมิ พ์ภาษาเกาหลแี ละจนี เปน็ ต้น)
หมชู่ นเตอรก์ -มงโกล จากอาเซยี กลาง ซึง่ เป็นมุสลมิ แล้ว นั้นเขาคดิ การจะเข้าบุกจนี แตไ่ ด้ส้ิ นชพี เสยี ในปี ๑๙๔๘
และอา้ งตนวา่ สบื เชอ้ื สายจากเจงกสิ ขา่ น (Genghis Khan; (ค.ศ. 1405) ราชวงศ์ตีมูหรดิ (Timurids) ของเขาสบื
ยอมรับกนั ว่ารบเก่งปานกับเจงกิสขา่ น แต่โหดร้ายกวา่ ) อำำ� นาจมาไมน่ านกค็ อ่ ยๆ เลือนลางไป
ต้ังเมืองหลวงท่ีสะมารก์ านท์ (Samarkand) เมอื่ ประมาณ
พ.ศ. ๑๙๑๓ อย่างไรกด็ ี อกี ศตวรรษเศษตอ่ มา (พ.ศ. ๒๐๖๙=
ค.ศ. 1526) ผสู้ บื สายทา้ ยวงศข์ องตมี รู ์ คอื บาเบอร์ (Babur
จากนั้น ยกทพั แผอ่ ำำ� นาจขยายดนิ แดนลงมา พฆิ าต หรือ Baber) จะมากำ�ำจัดสุลต่านแห่งเดลีและตงั้ ราชวงศ์
ทงั้ กษตั รยิ ์และราษฎร ผ่านอฟั กานสิ ถานเข้าในตะวันออก โมกลุ ข้ึ นครองอนิ เดียแทนทสี่ ืบตอ่ ไป
กลาง ต้งั แตอ่ ิหร่าน อิรกั ไปจนถงึ เขตรัสเซีย เสรจ็ แลว้

พุกาม
สยาม

ทะเลจนี ใต้
สุมาตมระาละปกะาหตังมู าสกิ บอรเ์ นียว

ปาเลมบัง
ชวา

จากซ้าย:
ตมี รู ์
มะละกา
122 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

กำ�ำเนิดอาณาจกั รมสุ ลิม อานภุ าพของจีนคมุ้ ครองมะละกา กรุงศรอี ยธุ ยาไดส้ ่งกองทพั มาปราบเปน็ คราวๆ
จุดเร่มิ ของมาเลเซยี แต่พอโปรตเุ กสมา ช่อื มะละกาก็ลับหาย แตก่ ถ็ ูกตพี ่ายกลบั ไปทุกครงั้ กระทัง่ ในรัชกาลสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถกท็ รงส่งกองทัพมาตี ๒ ครั้ง คร้ั นถึง
พ.ศ. ๑๙๔๖ (ค.ศ. 1403) ทางปลายแหลมมลายู พ.ศ. ๑๙๔๘ (ค.ศ. 1405) หลงั จากเจา้ ปรเมศวร ปี 1456 จกั รพรรดจิ นี ได้ทรงมอบอิสรยิ ยศ “สลุ ต่าน” แก่
เกดิ อาณาจักรมะละกา (Melaka เคยเรยี ก Malacca) ซงึ่ ซ่ึงหนีจากปาเลมบงั ไดน้ ำ�ำความเป็นมลายูแหง่ สมุ าตรา เจา้ ผ้คู รองมะละกา ปรากฏตอ่ มาว่า อยุธยากบั มะละกา
ถือวา่ เป็นต้นกำ�ำเนดิ ประเทศมาเลเซีย และทำำ� ใหอ้ ิสลาม มาตั้งอาณาจักรทมี่ ะละกาใน ปี ๑๙๔๖ แลว้ เวลาน้ั น ทั้ง ไดส้ งบศึก และสง่ ราชทูตแกก่ นั แตใ่ นรชั กาลสดุ ทา้ ยของ
เป็นศาสนาของประเทศนี้ มชปหติ และสยามตา่ งก็อา้ งอำ�ำนาจครอบครองที่นั่น แต่ มะละกา (1488-1511/๒๐๓๑–๒๐๕๔) สงครามก็เกิด
สยามฝ่ายเดียวท่มี ีกำ�ำลังจดั การถึงได้ เจา้ ปรเมศวรตอ้ ง ข้ึ นอกี เพราะสยามถือว่ามะละกาอยใู่ นเขตอำำ� นาจ แต่
แตเ่ ดมิ นั้น แหลมมลายแู ทบทง้ั หมดอยใู่ นอาณาจกั ร ขึ้นต่อสยาม แตจ่ ะตัง้ ตวั เปน็ อสิ ระจงึ ไดห้ นั ไปพง่ึ อำำ� นาจ มะละกาบอกวา่ เจ้าใหญข่ องตนมแี ตพ่ ระจักรพรรดจิ ีน
ศรีวชิ ัยมาตลอด ค.ศต. ท่ี 9-13 ต่อมา หลงั จากศรวี ิชยั จีนมาคุ้มครอง โดยเจรจาความฝากคณะทตู จีนทมี่ าเยือน เทา่ นั้น กองทพั เรอื ของอยุธยาถกู ตีพา่ ยกลบั ไป แตถ่ งึ ปี
เสือ่ มอำำ� นาจแล้ว ในปี ๑๙๔๔ เม่ืออาณาจักรมชปหิต แล้วในปี 1405 ก็ได้ส่งคณะทตู ของตนไปยังราชสำำ� นักจีน 1511 โปรตุเกสกม็ ายดึ มะละกาได้ คร้งั น้ั น สุลตา่ นส่งทูต
แห่งชวาคกุ คามปาเลมบงั ในสมุ าตรา เจ้าชายฮนิ ดนู ามวา่ และจนี กย็ อมรบั สถานะของมะละกา ไปขอความชว่ ยเหลอื จากจีนเพอ่ื สู้กบั โปรตเุ กส แต่พระ
ปรเมศวรได้หนมี าต้ังหลักท่ีเกาะตูมาสิก หรือเตมาเสก จกั รพรรดจิ ีนทรงอ้างวา่ ทางกรุงจีนกำ�ำลงั มศี ึกกับพวกตาด
(Tumasik/Temasek คือ สงิ หปุระ-->สงิ คโปร์) แตเ่ วลา เวลานั้น เปน็ จงั หวะทจ่ี กั รพรรดยิ งุ โล แหง่ ราชวงศ์ ไมอ่ าจชว่ ยได้ มะละกากต็ กเปน็ อาณานคิ มของโปรตุเกส
นั้น แหลมมลายตู ลอดถงึ เตมาเสก (เทมาเสก็ กเ็ ขยี น) อยู่ หมิงของจนี ต้องการแสดงอำ�ำนาจควบคมุ นา่ นน้�้ำำและดนิ แตน่ ั้นสบื มา จนกระท่ังพวกดทั ช์ (ฮอลนั ดา) มาแยง่ เอา
ในเขตอำ�ำนาจของสยาม เม่อื เจา้ ปรเมศวรขึ้นมาฆา่ เจ้าผู้ แดนแถบนี้ จึงสง่ กองเรือรบใหญ่ มีเรือ ๖๒ ลำำ� กำ�ำลังพล ไปในปี 1641/๒๑๘๔ แลว้ มาจบทอี่ ังกฤษเข้าขดั ในปี
ครองเกาะแล้ว ในปีต่อมา กถ็ กู ราชาแห่งปะหงั หรือแหง่ ๒๗,๘๐๐ คน โดยนายพลขนั ทชี าวมสุ ลิมช่ือเจงโฮ เปน็ ผู้ 1795/๒๓๓๘ และเขา้ ครองเต็มตัวโดยรวมท้งั สิงคโปรใ์ น
ปัตตานซี ึง่ อย่กู บั สยาม ยกกำ�ำลงั มากำ�ำจัด จึงหนตี อ่ จนขึ้น บัญชาการ ออกตระเวนแสดงอานุภาพในปี 1405/๑๙๔๘ ปี 1826/๒๓๖๙ เพิ่งได้เอกราชในช่อื วา่ Federation of
มาตงั้ อาณาจักรท่มี ะละกา ซึ่งเวลานั้นเปน็ หมูบ่ า้ นชาว กองเรอื แวะท่เี มอื งจัมปา สยาม มะละกา ชวา บางเมอื ง Malaya เม่ือปี 1957/๒๕๐๐ แลว้ รวมตัวกันกอ่ ต้ังเป็น
ประมงเลก็ ๆ แลว้ กเ็ ขา้ องิ อำำ� นาจของจนี เปน็ เกราะกนั สยาม ทางใตข้ องอนิ เดยี จนถึงลังกา แลว้ กลับถงึ จนี ในปี 1407 มาเลเซีย (ชอ่ื เตม็ ว่า Federation of Malaysia) ในปี
ในท่ีสุดไดเ้ ขม้ แข็งข้ึ นจนกลับเปน็ ฝ่ายรกุ เช่น ตปี ะหังได้ ต่อมา ในปี 1409 เจงโฮได้นำ�ำกองทพั เรือออกตระเวนเปน็ 1963/๒๕๐๖ (แต่สงิ คโปรถ์ อนตวั ออกไปในปี 1965/
จากสยาม และต่อมากข็ ยายดินแดนไปทัว่ แหลมมลายู ครั้งที่ ๒ คราวนไี้ ดน้ ำ�ำเครื่องราชอสิ ริยยศทพ่ี ระจกั รพรรดิ ๒๕๐๘)
จีนพระราชทานมามอบให้แกเ่ จา้ ปรเมศวร ประกาศให้
ใน พ.ศ. ๑๙๕๗ (ค.ศ. 1414) เจา้ ปรเมศวร มี เปน็ พระราชา แตน่ ไี้ ป มะละกาซงึ่ พยายามแขง็ ขนื ตอ่ สยาม
ชนมายุ ๗๐ พรรษา ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมุสลิม อยแู่ ล้ว ก็เลกิ สง่ เครอ่ื งราชบรรณาการแกก่ รงุ ศรีอยุธยา
เปล่ียนศาสนาไปเปน็ มสุ ลิม และเปลย่ี นพระนามเปน็ ต่อมา เจา้ ปรเมศวรไดเ้ ดินทางไปคารวะพระจกั รพรรดิ
สุลต่านนามวา่ อซิ กันดาร์ ชาฮ์ นอกจากประชากรที่นั่น ยงุ โล ทีเ่ มอื งจนี ถึง ๒ คร้ัง (1411 และ 1419)
สว่ นใหญจ่ ะเปล่ยี นไปเปน็ มสุ ลมิ แลว้ อาณาจกั รมะละกา
ไดเ้ ปน็ แหล่งแพรอ่ ิสลามไปในหมูเ่ กาะอินโดนีเซยี ดว้ ย
(มะละกาจะตกเปน็ ของโปรตเุ กสใน พ.ศ. ๒๐๕๔/ค.ศ. 1511)

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 123

ยุคอาณานคิ ม
โปรตุเกส เรมิ่ ยุคอาณานคิ ม
ใต้ไดใ้ นปี ๒๐๓๑/1488 ตอ่ ดว้ ยโคลัมบัสค้นพบอเมรกิ า
พ.ศ. ๑๙๖๑ (ค.ศ. 1418) คนโปรตเุ กสได้ชื่อว่า ในนามของสเปนในปี ๒๐๓๕/1492 จากนั้น ประเทศทั้ง
เป็นชาวยโุ รปพวกแรกท่ีส่งเสริมการสำำ� รวจและการหา หลายในยโุ รปแถบรมิ ฝง่ั มหาสมุทรแอตแลนติกสว่ นมาก
อาณานิคมทางทะเล โดยเรม่ิ แรกไดแ้ ล่นเรือจากฝง่ั ทะเล ก็พากนั ออกเดินเรือแสวงหาอาณานิคม ได้แก่ ฮอลันดา
อาฟรกิ าตะวนั ตกไปยงั เกาะปอรโ์ ต แซนโต (Porto Santo (ตั้ง Dutch East India Company ในปี ๒๑๔๕/1602,
ในหมู่เกาะมาเดยี รา/Madeira Islands) ตอ่ น้ั นกว่าจะถึง Dutch West India Company, ๒๑๖๔/1621) องั กฤษ
ปี ๒๐๓๐ เขาก็ไปถึงสุดปลายทวีปอาฟริกา (British East India Company, ๒๑๔๓/1600) และ
ฝรงั่ เศส (French East India Company, ๒๒๐๗/1664)
โปรตเุ กสเปดิ ทางเดนิ เรอื ทะเลรอบอาฟริกาดา้ น
University of Texas Libraries
จีนพิมพห์ นังสอื สรรพวิทยา

พ.ศ. ๑๙๔๘ (โดยประมาณ; ค.ศ. 1405) ทเี่ มอื ง
จนี จกั รพรรดิยุงโล แห่งราชวงศห์ มิง ใหน้ ักปราชญ์
คน้ ควา้ และพมิ พห์ นงั สอื ประมวลสรรพวทิ ยา เม่อื เสร็จมี
จำำ� นวนกว่า ๑๒,๐๐๐ เลม่ เป็น encyclopedia ชุดใหญ่

ท่ีสดุ ทีเ่ คยมี บน:
Yongle Encyclopedia
ออตโตมานเตอร์ก ขวา:
จักรพรรดิยุงโล
แผนที่ดินแดนทพี่ บใหม่

หลงั ถูกมงโกลตี ต้งั ตวั ไดใ้ หม่

พ.ศ. ๑๙๕๖ (ค.ศ. 1413) ตีมรู ์รบชนะแลว้ ก็ผา่ น
เลยไป พวกออตโตมาน-เตอร์กท่ีแทบจะอวสาน ก็ต้งั ตัว
ขึ้นใหม่ ตอ่ จากน้ี กม็ ีแต่ขยายอำำ� นาจออกไป จนย่ิงใหญ่
ทส่ี ุดในชว่ ง พ.ศ. ๒๐๖๓-๒๑๐๙ ( ค.ศ. 1520-66)

124 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

พบพระแก้วมรกต ที่เชียงราย สังคายนาครงั้ แรกของประเทศไทย
สดุ ทา้ ย ประดิษฐานท่ีกรุงเทพฯ
พ.ศ. ๑๙๗๘–๒๐๓๐ (ค.ศ. 1435-1487, บา้ งว่า
พ.ศ. ๑๙๗๗ (ค.ศ. 1434, บ้างวา่ ๑๙๗๙/1436) ๑๙๗๕–๒๐๓๑/1432-1488) ทีอ่ าณาจกั รล้านนา เป็น
ทอ่ี าณาจกั รลา้ นนา ในรชั กาลพระเจา้ สามฝั่งแกน พระ รชั กาลพระเจา้ ตโิ ลกราช โอรสของพระเจ้าสามฝงั่ แกน
สถูปใหญ่เก่าแก่องค์หนึ่ง ณ เมืองเชียงราย ตอ้ งอสนีบาต พระองค์เคยทรงผนวชทว่ี ัดปา่ แดงเมื่อปี ๑๙๙๐ คร้ั น
พงั ลง ได้พบพระแกว้ มรกต (หนังสือ รัตนพิมพวงศ์ ถึง พ.ศ. ๒๐๒๐ ไดท้ รงอุปถมั ภก์ ารสังคายนาครั้งแรก
วา่ เทวดาสร้างถวายพระนาคเสนอรหันตเถระ ที่เมือง ของประเทศไทย (นับต่อจากท่ลี ังกา เปน็ คร้ังท่ี ๘) ณ วัด
ปาตลบี ตุ ร ต่อมาไปอยใู่ นลงั กาทวปี แล้วมากมั โพชา โพธาราม หรือวัดเจด็ ยอด เมืองเชียงใหม่
ศรอี ยธุ ยา ละโว้ กำำ� แพงเพชร แลว้ จึงมาถงึ เชยี งราย เจา้
เมอื งเชียงรายจะซอ่ นแก่ศตั รู จงึ เอาปนู ทาลงรกั ปิดทอง จากซา้ ย:
บรรจุไวใ้ นพระเจดยี )์ หลงั จากเหน็ องคจ์ รงิ และแกะปูน พระแก้วมรกต
ออกแลว้ ไดป้ ระดิษฐานทวี่ ัดพระแก้ว เมอื งลำ�ำปาง จาก วดั เจด็ ยอด
น้ั น ได้ไปประดษิ ฐานทีเ่ มอื งเชียงใหมใ่ นปี ๒๐๑๑/1468
ต่อมา อัญเชญิ ไปสถติ ทีเ่ มืองหลวงพระบางใน พ.ศ.
๒๐๙๕/1552 แล้วย้ายไปประดิษฐานที่เมอื งเวยี งจันทน์
ในปี ๒๑๐๗/1564 หลงั จากน้ั น อัญเชญิ มาประดษิ ฐานที่
โรงพระแก้ว ในพระราชวงั เดมิ กรงุ ธนบรุ ี เม่อื ปี ๒๓๒๑/
1778 จนในทีส่ ดุ ณ วันจนั ทร์ เดอื น ๔ แรม ๑๔ ค่�่ำำ ปี
มะโรง พ.ศ. ๒๓๒๗/1784 ในรชั กาลท่ี ๑ แห่งกรงุ
รัตนโกสนิ ทร์ โปรดฯ ใหอ้ ญั เชิญมาประดษิ ฐานในพระ
อุโบสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ จนบัดน้ี

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 125

บ้านเมอื งมัน่ คงลงตัวเข้มแขง็ วดั วาเปน็
แหล่งการศึกษาของชาวบ้านชาวเมอื ง

พ.ศ. ๑๙๙๑–๒๐๓๑ (ค.ศ. 1448-1488) ท่ี กรงุ
ศรอี ยธุ ยา หลงั จากพระเจ้าอ่ทู อง หรอื สมเด็จพระรามา
ธบิ ดที ี่ ๑ ข้ึ นเสวยราชยเ์ ปน็ ปฐมกษตั รยิ ใ์ นปี ๑๘๙๓/1350
และสวรรคตในปี ๑๙๑๒/1369 แล้ว ผา่ นรชั กาลต่างๆ
คอื พระราเมศวร (๑๙๑๒ และ ๑๙๓๑–๑๙๓๘) สมเด็จ
พระบรมราชาธริ าชที่ ๑ หรือขุนหลวงพะง่วั (๑๙๑๓–
๑๙๓๑) เจา้ ทองลนั (๑๙๓๑ เพยี ง ๗ วนั ) สมเดจ็ พระราม-
ราชาธริ าช (๑๙๓๘–๑๙๕๒) สมเดจ็ พระนครอนิ ทราธริ าช
(๑๙๕๒–๑๙๖๗) สมเด็จพระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ หรอื
เจา้ สามพระยา (๑๙๖๗–๑๙๙๑) มาโดยลำ�ำดับ

126 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

บัดน้ี ๑ ศตวรรษล่วงแลว้ หลังการต้งั กรงุ ศร-ี ทรงทำำ� สงครามกบั พระเจา้ ติโลกราช บ่อยครงั้ อย่างที่ ในรัชสมยั ของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถนั้น
อยุธยา เป็นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พดู ไดส้ ั้นๆ ว่า “ไตรโลก” คูศ่ กึ กับ “ติโลก” จนใน ได้ทรงจัดระบบการปกครองแผ่นดิน นำำ� หลกั จตุสดมภ์
ที่สดุ ทางเชยี งใหมข่ อเป็นไมตรใี นปี ๒๐๑๗/1474 แต่ ทม่ี ีแตเ่ ดิมสมยั พระเจา้ อทู่ อง มาวางใหเ้ ปน็ แบบแผน
เม่ือตัง้ อาณาจักรขึ้นใหม่ ภารกิจสำ�ำคัญอยา่ งหนงึ่ ในรชั กาลต่อๆ มา กม็ กี ารขัดแยง้ กนั อกี จนสดุ ท้าย ท้ัง รอบคอบยงิ่ ขึ้น เริ่มแต่การปกครองราชธานี แยกเป็นการ
คือการจัดการเขตปกครองกับอาณาจักรข้างเคียง เฉพาะ เชยี งใหม่และกรงุ ศรีอยุธยา ก็เสยี แกพ่ ระเจา้ บุเรงนอง ทหาร (มสี มหุ พระกลาโหม) ฝ่ายหนึ่ง กบั การพลเรือน (มี
อยา่ งยง่ิ กบั สุโขทัยท่ีเคยครอบครองดนิ แดนแถบน้ั นมา แหง่ พม่า ในปี ๒๑๐๑/1558 และ ๒๑๑๒/1569 ตาม สมุหนายก) ทจี่ ดั เปน็ จตสุ ดมภ์ (เวยี ง วงั คลงั นา) ฝา่ ย
ก่อน แตก่ ารนี้มิได้ใชเ้ วลานาน เพียงถงึ ปี ๑๙๒๑/1378 ลำ�ำดับ โดยเฉพาะเชียงใหมน่ ้ั น ในทส่ี ุด พระเจา้ บุเรงนอง หนง่ึ สว่ นการปกครองหัวเมอื ง แบง่ เปน็ หัวเมอื งชั้นใน
ในรัชกาลขนุ หลวงพะงัว่ พระเจา้ ไสยลอื ไทยก็ยอมขึ้นตอ่ ถึงกบั ให้โอรสมาครองในปี ๒๑๒๑/1578 หลงั จาก เมอื งพระยามหานคร และเมืองประเทศราช ซึ่งทั้งหมด
กรงุ ศรอี ยธุ ยา และดนิ แดนของสุโขทยั ไดถ้ กู แบ่งเป็น ๒ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอสิ รภาพจาก ใชร้ ะบบเดียวกับราชธานี ทรงวางลำำ� ดบั ยศข้าราชการ (ที่
มณฑล มีเมืองหลวงที่พิษณุโลก กบั ท่ี กำ�ำแพงเพชร โดย พม่าในปี ๒๑๒๗/1584 และทรงชนะศึกยทุ ธหตั ถใี น ตอ่ มาเรียกวา่ บรรดาศกั ด)์ิ เป็น เจ้าพระยา พระยา พระ
ใหพ้ ระเจ้าไสยลือไทยไปครองพษิ ณโุ ลก ครั้นเม่ือกษตั ริย์ ปี ๒๑๓๕/1592 แลว้ ตอ่ มา ได้ทรงแกไ้ ขปญั หาดา้ น หลวง ขนุ หม่ื น พัน ทนาย พรอ้ มท้งั ตัง้ พระราชกำ�ำหนด
ที่ครองพษิ ณุโลกพระองค์ตอ่ มา (คือพระมหาธรรมราชา เชียงใหม่ ทำำ� ใหโ้ อรสของพระเจ้าบุเรงนอง (มงั นรธาช่อ) ศักดนิ า และทรงตงั้ กฎมนเทยี รบาลให้รดั กุม
ที่ ๔) สวรรคต ใน พ.ศ. ๑๙๘๑/1438 สมเด็จพระบรม ท่คี รองเชยี งใหม่ ยอมใหเ้ ชียงใหม่ขึ้นต่อกรงุ ศรอี ยธุ ยา
ไตรโลกนาถ ครั้งยงั เป็นพระราเมศวร (โอรสของเจ้า ในปี ๒๑๓๘/1595 แตใ่ นกาลตอ่ ๆ มา ทั้งสองกรุงกม็ ี ในดา้ นการพระศาสนา ต้ังแตต่ ้นรัชกาล โปรด
สามพระยา) ซง่ึ มพี ระชนนีเปน็ พระราชธิดาของพระ ปัญหากบั พมา่ อีก จนท้ังเชียงใหมแ่ ละกรุงศรอี ยธุ ยา ก็ ให้รอ้ื พระราชวงั แลว้ สรา้ งวัดข้ึ นพระราชทานนามวา่ วดั
มหาธรรมราชา คือทรงเปน็ เชอ้ื สายทั้งราชวงศ์พระรว่ ง เสียแกพ่ ระเจา้ อังวะแหง่ พมา่ ในปี ๒๓๐๖/1763 และ พระศรีสรรเพชญ์ (น้ีว่าตาม จลุ ยทุ ธการวงศ์ คือยา้ ย
และราชวงศ์อทู่ อง ก็ได้รบั พระบรมราชโองการใหไ้ ป ๒๓๑๐/1767 ตามลำ�ำดับ คร้ั นเมอ่ื พระเจ้าตากสิน พระราชฐาน แต่บางตำ�ำราวา่ สรา้ งวดั นั้นในวงั ) และคงจะ
ครองเมอื งพิษณุโลก เปน็ อนั รวมอาณาจกั รสโุ ขทัยเดมิ เขา้ มหาราชทรงต้ังกรุงธนบรุ ีในปี ๒๓๑๐ นั้นแลว้ ตอ่ มา ทรงดำำ� เนนิ ตามอยา่ งพระมหาธรรมราชาลไิ ท เมื่อไดท้ รง
กบั กรงุ ศรีอยธุ ยาเปน็ สยามประเทศอันเดยี วกัน แม้เมื่อ ก็ได้ทรงข้ึ นไปทำ�ำศกึ ชงิ เชยี งใหม่ใหเ้ ปน็ อิสระจากพมา่ ใน สร้างวดั จฬุ ามณแี ลว้ จึงเสด็จออกทรงผนวชทว่ี ัดจุฬามณี
ข้ึ นครองราชย์ในปี ๑๙๙๑ แลว้ ก็ประทบั ท่ี กรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๗/1774 เชียงใหม่จึงได้มีเจ้าเมืองปกครองตอ่ นั้น ๘ เดอื น ๑๕ วนั (วา่ พ.ศ. ๑๙๙๘ บ้าง ว่า พ.ศ.
เพยี ง ๑๕ ปี แลว้ โปรดใหพ้ ระราชโอรสครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา มา จนในทสี่ ดุ ถึงรชั กาลท่ี ๕ ข้ึ นสู่ยุคสมยั ใหม่ มีการจัด ๒๐๐๘ บ้าง) อีกทงั้ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๐๒๗ ได้โปรดให้พระ
พระองค์เสดจ็ ไปประทบั ท่ีพิษณุโลก ๒๕ ปี จนเสด็จ ระบบการปกครองบา้ นเมืองให้ทนั สมัย ลา้ นนากเ็ ขา้ อยู่ ราชโอรสและพระราชนดั ดาผนวชเปน็ สามเณร ประเพณี
สวรรคตที่น่ั นในปี ๒๐๓๑ ในแบบแผนเดยี วกับดินแดนส่วนอื่นท้งั ปวงในพระราช- บวชเรยี นคงต้งั ต้นจรงิ จงั แต่นส้ี บื มา ในดา้ นวรรณคดี ท่ี
อาณาจกั รไทย ซ่ึงไดพ้ ฒั นามาจนแบ่งเป็นจังหวัดตา่ งๆ เปน็ งานใหญค่ อื โปรดใหป้ ระชมุ ราชบัณฑติ แต่งหนงั สือ
ส่วนทางเชียงใหม่ ก็มีเรือ่ งขัดแย้งทำ�ำศกึ กบั อยุธยา ดังท่ปี รากฏในปจั จบุ นั มหาชาตคิ ำ�ำหลวง ข้ึ นใน พ.ศ. ๒๐๒๕/1482
มาเรอื่ ยๆ เชน่ ทางอยุธยาขัดเคอื งท่ีเชยี งใหม่เขา้ ขา้ งชว่ ย
สโุ ขทยั จนถึงสมยั ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ได้

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 127

เทคโนโลยี: ตะวันตกรุ่งสาง
เยอรมนั ก้าวไล่มาในการพมิ พ์ เมื่อตะวันออกรา้ งแสง

พ.ศ. ๑๙๙๓ (ค.ศ. 1450) ทเ่ี ยอรมนี กเู ตนเบอรก์ พ.ศ. ๑๙๙๖-๒๐๗๐ (ค.ศ. 1453-1527) ชว่ ง
(Gutenberg) พิมพห์ นังสอื ด้วยตัวเรียงพิมพโ์ ลหะเป็น เวลาท่เี รยี กว่ายุคคนื ชีพ (Renaissance) ในยโุ รป คือ
คร้งั แรก (หนงั สอื ที่พมิ พ์คือไบเบลิ ) ผ่านพ้นยุคมดื โดยมีการฟ้นื ฟูศลิ ปวทิ ยาการของกรกี และ
โรมันโบราณ ทล่ี บั เลอื นจมหายไประหวา่ งเวลา ๑,๐๐๐
จกั รวรรดโิ รมนั ตะวนั ออกลม่ สลาย ปแี หง่ สมยั กลางน้ั น
ยุโรปสิ้นสมยั กลาง
ขณะท่ยี โุ รปและอารยธรรมตะวนั ตกกา้ วออก
พ.ศ. ๑๙๙๖ (ค.ศ. 1453) หลงั จากจักรวรรดิ จากยุคมืดคนื ชีพขึ้นมาไดน้ ี้ ชมพูทวีปและอารยธรรม
บีแซนทีน (Byzantine Empire) หรือโรมนั ตะวนั ออก ตะวันออกได้เรม่ิ ยา่ งก้าวลงไปแลว้ สู่ความอบั เฉาในยคุ
ถูกพวกออตโตมานเตอรก์ โอบลอ้ มเข้ามาๆ จนสุดความ แห่งความมดื มน ท้งั จากภยั รุกรานและลัทธอิ าณานคิ มที่
สามารถท่จี กั รพรรดคิ อนสแตนตินท่ี ๑๑ จะรักษาไว้ได้ จะดำ�ำเนินต่อไป
กรุงคอนสแตนตโิ นเปลิ ก็แตกแก่สลุ ต่านมฮู มั หมดั ที่ ๒
(ถา้ มองโดยรวมท้งั โลก อาจจะพูดวา่ อารยธรรม
นีเ้ ป็นอวสานของจกั รวรรดิโรมันโบราณ อนั ถอื มนุษยไ์ ด้กา้ วส่ยู ุคแห่งการรุกรานและห้�้ำำหั่นบฑี า ไมแ่ บบ
เป็นจดุ กำ�ำหนดการ “ส้นิ สุดสมัยกลาง” (Middle Ages, โจง่ แจ้งก็แบบแฝงเรน้ )
ค.ศ. 476-1453) ของยุโรป นับว่าเข้าสู่ยุคสมยั ใหม่
(modern era) จากบน/จากซ้าย:
ไบเบลิ ของกเู ตนเบอรก์
คอนสแตนตนิ ท่ี ๑๑
กูเตนเบอร์ก
Leonardo da Vinci
Michelangelo Buonarroti

ผู้มชี ื่อเสยี งในยุคคืนชีพ

128 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

ศาลใหญก่ ำำ� จดั คนนอกครสิ ต์ ตง้ั ทสี่ เปน ยวิ แย่ทุกยคุ และทกุ ที่

พ.ศ. ๒๐๒๖ (ค.ศ. 1483) โดยการร้องขอของ ยิวเป็นพวกหนงึ่ ที่ถูกกำำ� จัด (persecution) อยา่ ง
ราชาและราชินีแหง่ สเปน โป๊ป/สันตะปาปา ซิกซตสั ท่ี ๔ รนุ แรง ทั้งในสเปนและท่ีอื่นในยโุ รป ทั้งในแงต่ ่างศาสนา
(Sixtus IV) ทรงมอบอำ�ำนาจให้ตัง้ ศาลไต่สวนศรทั ธาของ แล้วตอ่ มาก็ในแงเ่ ชือ้ ชาตอิ ีก ผสมทั้งทฐิ ชิ งั ยวิ หรือลัทธิ
สเปน (Spanish Inquisition) ขึ้นเป็นเอกเทศเพ่อื กำ�ำจดั ต่อต้านยิว (anti-Semitism) ทส่ี บื จากความเชื่อว่าพวก
กวาดล้างคนนอกศาสนา (persecution) ศาลฯ ของ ยิวเป็นตัวการให้พระเยซูถูกจับตรงึ ไมก้ างเขน เชน่
สเปนน้ีข้ึ นชอื่ วา่ เหย้ี มโหดคลั่งลัทธอิ ยา่ งที่สุด
ในปี ๑๘๙๑ ทบ่ี างเมืองในสวิตเซอรแ์ ลนดแ์ ละ
คนพวกหน่งึ ที่ถูกฆ่ามาก คือพวกทีถ่ ูกหาว่าเปน็ เยอรมนี พวกยิวถกู หาวา่ เป็นพวกแพรโ่ รคไขด้ ำำ� แล้วยิว
แม่มดหมอผี ซึ่งถูกกำำ� จัดมากมายตง้ั แตค่ รสิ ตศ์ ตวรรษ ทกุ คนทถ่ี กู หาตวั ได้ก็ถกู ตอ้ นเขา้ ไปในอาคารไม้และเผา
ท่ี 14 ถงึ 18 (ช่วง พ.ศ. ๑๘๕๐-๒๒๕๐) เช่น Spanish คลอกทั้งเป็น เฉพาะทีเ่ มืองสตรัสเบอรก์ ในฝร่ังเศสคนยิว
Inquisition ที่ให้เอาคนซงึ่ ถกู กลา่ วหาอย่างนี้ไปเผาทัง้ ถูกจบั แขวนคอ กว่า ๒,๐๐๐ คน หรอื อยา่ งในสเปน เมอ่ื
เป็น วันละถึง ๑๐๐ คน พ.ศ. ๒๐๓๕ คนยวิ ถกู ขับออกจากประเทศแสนเจด็ หมื่น
คน
(แม้แตห่ นภี ัยการกำ�ำจัดทางศาสนาอยา่ งน้ีจาก
ยโุ รปมาอยู่ในอเมรกิ าแล้ว คนท่ีหนีมาก็ยงั ห้�้ำำหั่นกันอีก
เช่นทเี่ มอื งซาเลม็ ในรฐั แมสสาจูเซทส์ เมอื่ ปี ๒๒๓๕ ก็ยงั
มกี ารจับคนทีถ่ กู หาวา่ เปน็ แมม่ ดฆา่ เสยี ๒๐ คน)

(ในสเปนนั้น ศาลใหค้ ำ�ำวา่ “นอกรตี ” รวมถึงชาว
มสุ ลมิ ด้วย)

จากบน:
โป๊ป ซกิ ซตัส ที่ ๔
ยิวสวดมนต์ในวนั ชำ�ำระบาป

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 129

โคลัมบัสคน้ พบอเมรกิ า และทุกสิ่งทกุ อยา่ งท่ีอยู่ซกี ตะวันตก ใหส้ เปนไปครอบ
ครองไดท้ ้ังสิ้น
พ.ศ. ๒๐๓๕ (ค.ศ. 1492) คริสโตเฟอร์ โคลมั บสั
(Christopher Columbus) นกั สำ�ำรวจชาวอิตาเลียน ผู้ เนอื่ งจากดินแดนเป็นอนั มากท่มี าเปน็ ประเทศ
ทำำ� งานใหแ้ กท่ างการสเปน เดินทางจากยุโรปไปตะวันตก บราซิล (Brazil) อยเู่ ลยเสน้ แบง่ โลกไปทางทศิ ตะวนั ออก
โดยเช่อื วา่ เพราะโลกกลม เขาก็จะไปถึงอนิ เดียได้ แต่ ตอ่ มา โปรตเุ กสจงึ เขา้ ครองบราซิลเป็นอาณานคิ ม (ค.ศ.
กลายเป็นวา่ เขาได้ค้นพบทวปี อเมริกา 1500-1822 = ๓๒๒ ปี) บราซลิ จงึ เป็นประเทศเดยี วใน
ละตนิ อเมริกาทพี่ ดู ภาษาโปรตเุ กส (ประเทศอื่นแทบทง้ั
(ต่อมาปี ๒๐๔๒/ค.ศ. 1499 อเมรโิ ก เวสปุซซ/ี หมดพูดภาษาสเปน เวน้ เฮติทพี่ ดู ภาษาฝรั่งเศส) บราซลิ
Amerigo Vespucci ได้นำ�ำสำ�ำรวจอเมรกิ าใต้ส่วนเหนือ เป็นประเทศใหญท่ ี่สดุ ในละตนิ อเมรกิ าท้ังโดยเนือ้ ที่ และ
อย่างกว้างขวางและเขียนบรรยายการเดินทางไว้ นกั ประชากร เป็นเกอื บครึง่ หน่ึงของทวีปอเมริกาใต้ (บราซิล
ภมู ิศาสตร์ยโุ รปชอบใจ เลยตง้ั ชื่อแผ่นดนิ ที่ค้นพบใหม่น้ี มีประชากรมากเปน็ ที่ ๒ ในทวปี อเมรกิ าทง้ั เหนือและใต้
ตามช่ือของเขาเป็น “อเมริกา” คอื รองจากสหรัฐอเมรกิ า และมีอาณาเขตกวา้ งใหญเ่ ปน็
อันดบั ๓ ถดั จาก แคนาดา และสหรัฐฯ) และเป็นประเทศ
โปป๊ ให้โปรตุเกสกับสเปนแบ่งโลก ท่มี ีประชากรเปน็ คาทอลกิ มากกว่าประเทศอ่ื นใดในโลก
ไปหาเมืองขึน้ ไดค้ นละซีก
ในปี ๒๐๕๗/1514 สันตะปาปาลีโอ ที่ ๑๐ ออก
พ.ศ. ๒๐๓๗ (ค.ศ. 1494) สบื เนอ่ื งจากปัญหา พระโองการหา้ มใครอื่นผู้ใดก็ตาม มใิ ห้เขา้ ไปยุ่งเกีย่ ว
ท่เี พิม่ ขึ้นในการแขง่ ขนั กนั หาอาณานคิ ม จนถงึ กรณีการ แทรกแซงกับสมบัติของโปรตเุ กส
เดนิ ทางของโคลมั บสั นี้ ทำ�ำให้ผู้ปกครองประเทศโปรตุเกส
จากซ้าย: และประเทศสเปน ต้องมาตกลงกนั ในการแสวงหาผล
อเมรโิ ก เวสปุซซี ประโยชนท์ ่ีจะไมใ่ ห้ขดั แย้งกัน และไดเ้ ซ็นสนธิสัญญา
ครสิ โตเฟอร์ โคลัมบสั โตรเ์ ดซิลยา่ ส์ (Treaty of Tordesillas)
โปป๊ อเลกซานเดอร์ ที่ ๖
แผนท่ขี องโคลัมบสั ท้งั น้ี โดยโป๊ป/สันตะปาปาอเลกซานเดอร์ที่ ๖
หน้าตรงขา้ ม: ประทานความชอบธรรมในการแบง่ โลกดว้ ยการขดี เสน้
Treaty of Tordesillas แบง่ ลงในมหาสมุทรแอตแลนติก ใหด้ ินแดนในสว่ นทมี่ ิใช่
เส้นแบง่ โลก ท่ีโป๊ปขดี ให้ เปน็ ของชาวคริสต์ แยกออกเปน็ ๒ ซกี ทกุ สง่ิ ทุกอย่าง
ท่อี ยู่ซีกตะวันออก ให้โปรตเุ กสไปครอบครองได้ท้ังหมด
130 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 131

โปรตเุ กสเปดิ อนิ เดยี แกก่ ารหาอาณานคิ ม

พ.ศ. ๒๐๔๐ (ค.ศ. 1497) วาสโกดากามา (Vasco
da Gama) ชาวโปรตุเกส เดนิ เรอื ออ้ มแหลมก๊ดู โฮป แล้ว
ปีต่อมา ๒๐๔๑ กม็ าถงึ อนิ เดีย ไดช้ ่ือวา่ เปน็ ผู้เปดิ ถ่ิ นแดน
ตะวนั ออกแกก่ ารคา้ และการจบั จองอาณานคิ มของโปรตเุ กส
และเรมิ่ ยคุ แขง่ แยง่ การคา้ และอาณานคิ มระหวา่ งโปรตเุ กส
สเปน องั กฤษ และฝรงั่ เศส อีกหลายศตวรรษ

วาสโกดากามา

สองมหาอำ�ำนาจมสุ ลมิ ตา่ งนกิ าย โปรตเุ กสผพู้ ชิ ติ มะละกา คอื ฝรง่ั ชาตแิ รก สเปนลา่ อาณานคิ มและสมบตั ิ ในอเมรกิ า
แข่งอำำ� นาจกนั ทมี่ าผูกสมั พันธแ์ ละเปดิ การค้ากบั ไทย
พ.ศ. ๒๐๕๕ (ค.ศ. 1512) ถึงปนี ้ี สเปนซึ่งเป็น
พ.ศ. ๒๐๔๕ (ค.ศ. 1502) ทจ่ี กั รวรรดอิ อตโตมาน พ.ศ. ๒๐๕๔ (ค.ศ. 1511) ท่ี กรงุ ศรอี ยธุ ยา ใน ยุโรปชาตแิ รกทม่ี าล่าอาณานิคมในอเมรกิ า ไดค้ รอบ
หลงั จากล้มจักวรรดโิ รมันตะวันออก คอื บีแซนทีนไดใ้ น รชั กาลสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีที่ ๒ (โอรสของสมเด็จ ครองเกาะขนาดใหญ่ในเวสต์อนิ ดสี หมดแล้ว แตต่ ้องผดิ
พ.ศ. ๑๙๙๖ และเขา้ ตงั้ เมอื งหลวงในคอนสแตนตโิ นเปลิ พระบรมไตรโลกนาถ) ดอู ารต์ ี เฟอรน์ านเดซ (Duarte หวังเศรา้ ใจเปน็ ที่สุด เมือ่ พบวา่ ผืนแผน่ ดนิ ท่ี น่ั นแทบไมม่ ี
แลว้ พวกออตโตมานตอร์กท่เี ป็นมสุ ลมิ นกิ ายสุหนกี่ ็แขง่ Fernandez) นำำ� ทูตคณะแรกของโปรตุเกสมาเข้าเฝา้ สมบตั ิอะไรที่จะขนเอาไป มแี ตค่ นพื้นถิ่นไม่นงุ่ ผา้ ทลี่ ้ม
อำำ� นาจกับจกั รวรรดเิ ปอร์เซยี ทางตะวนั ออก ทเ่ี ปน็ มุสลมิ เพ่ือแจง้ ว่าโปรตุเกสได้เข้าครอบครองมะละกาแลว้ (ยึดได้ หายตายไปอยา่ งรวดเร็วเม่ือติดต่อเกย่ี วข้องกบั คนยโุ รป
นกิ ายชอี ะฮ์ ตอ่ แตน่ ี้ก็ทำ�ำสงครามกนั เปน็ ระยะๆ ณ ๑๕ สิงหาคม) กรงุ ศรอี ยุธยาแม้จะถอื วา่ มะละกาเป็น
ดินแดนของสยาม แตเ่ วลานั้นกำำ� ลังมศี ึกหนักกับเชียงใหม่ ต่อมา พวกสเปนได้ข่าววา่ ทเ่ี ปรู ชาวอนิ คา
เรมิ่ การค้าทาส จึงมไิ ดว้ า่ กล่าวอันใดตอ่ โปรตุเกส เพียงแตแ่ สดงความ ร่�่ำำรวยมาก แล้วกไ็ ด้ยินอกี วา่ ทเี่ มกซโิ ก พวกแอสเทค
จับคนอาฟรกิ นั ขายสง่ มาอเมรกิ า เหน็ ชอบให้โปรตเุ กสเข้ามาทำำ� การค้าทพี่ ระนครศรอี ยุธยา (Aztec) มเี งินและทองคำ�ำอุดมสมบรู ณ์ ดงั นั้น พอถึงปี
นครศรธี รรมราช ปตั ตานี มะริด (Mergui) และตะนาวศรี ๒๐๖๒/1517 พวกสเปนกเ็ ข้าบกุ อาณาจกั รแอสเทค รบ
พ.ศ. ๒๐๕๒ (ค.ศ. 1509) เรม่ิ มกี ารคา้ ทาสในทวปี (Tenasserim) อยู่ 2 ปี ก็พชิ ิตเสร็จ เปล่ียนเมืองหลวงของพวกแอสเทค
อเมรกิ า คนอาฟรกิ นั ถกู จบั สง่ มาขายเปน็ ทาสตลอดเวลาราว เปน็ เมอื งเมกซโิ ก (Mexico City) ได้เงนิ ทองมากมาย
๓๐๐ ปี กวา่ สหรฐั จะเลกิ การคา้ ทาสใน พ.ศ. ๒๓๕๑ (ค.ศ. ทำ�ำใหม้ ีจินตนาการว่าทางเหนือขึ้นไปจะมสี มบัติมหาศาล
1808) กข็ ายมาเกนิ ๑๐ ลา้ นคน (หลงั จากเลกิ คา้ ทาสแลว้
๕๗ ปี สหรฐั จงึ ยกเลกิ สถาบนั ทาสสำำ� เรจ็ ในปี ๒๔๐๘/1865) การกำำ� จัดพวกแอสเทคนี้สำ�ำเรจ็ ไดด้ ้วยความชว่ ย
เหลือของคนอนิ เดียนแดงพวกท่ีเกลียดชาวแอสเทค และ
อาศยั โรคฝดี าษช่วย

132 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

จีน อาณานิคมแรกของโปรตุเกส ในอินเดีย

ปากีสถาน เนปาล พ.ศ. ๒๐๕๓ (ค.ศ. 1510) กษตั รยิ ม์ านเู อล

อนิ เดยี บังคลาเทศ (Manuel) แห่งโปรตุเกสส่งกำำ� ลงั มายดึ เมอื งท่าสำำ� คัญๆ
ต้งั แต่อา่ วเปอร์เซียจนถึงอินเดยี เป็นของตน ทำำ� ใหก้ ารคา้
กวั แบบเปดิ จบส้ิ นไป และในคราวน้ที ่ีอินเดีย โปรตุเกสไดต้ ้งั
อาณานิคมที่กัว (Goa) เปน็ ศูนยก์ ารคา้ และแผ่ศาสนา
คริสตน์ ิกายโรมนั คาทอลิก

กษตั รยิ ์มานูเอล ท่ี ๑

จากเมกซิโก พวกสเปนย้อนกลับลงมายงั แดนท่ี เบริงทไี่ ซบเี รีย เขา้ อลาสกามาสทู่ วีปอเมริกาเม่ือกว่า อา่ วเมกซิโก
ปัจจบุ ันเป็นเปรู (Peru) แล้วต่อมากร็ ุกเข้าในถ่ิ นของพวก ๒๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว และเปน็ ชนพวกแรกในอเมริกาท่ีมี
อนิ คา (Inca) พอถงึ ปี ๒๐๗๕/1532 กจ็ บั จกั รพรรดอิ นิ คา บันทกึ ประวัติศาสตร์ ซง่ึ เรมิ่ เขยี นตั้งแต่ราว พ.ศ. ๕๐๐ แอสเทค มายา ทะเลคารบิ เบยี น
ได้ เมอ่ื รวบรวมยึดทรพั ยส์ มบัตไิ ดม้ ากมายแลว้ ปตี ่อมา =50 BC พบที่กำำ� แพงวัง อนุสาวรีย์ และเครือ่ งป้ันดนิ เผา
ก็สำ�ำเรจ็ โทษจกั รพรรดิอนิ คาเสยี และปกครองดินแดน เป็นต้น ซ่ึงทำ�ำให้รู้ประวตั ขิ องราชา และราชนิ ีสำ�ำคญั กรีนแลนด์
ทัง้ หมด แต่ถึงปี ๒๐๗๘/1535 จึงหาท่เี หมาะได้ และตั้ง ตั้งแตย่ ุคนั้นมาจนถึงถกู สเปนเขา้ ครอง
เมืองหลวงของตนทใ่ี กลฝ้ ั่งทะเล ช่ือวา่ เมืองลีมา (Lima; อเมริกาเหนือ มหาสมุทรแปซฟิ ิก
ปจั จบุ ันเป็นเมอื งหลวงของเปร)ู แล้วสเปนกอ็ อกรกุ ราน อารยธรรมมายารุ่งเรอื งสุดในช่วงปี ๘๓๕-๑๔๕๒/
ชนเจา้ ถ่ิ นอินเดียนแดง ขยายดินแดนออกไปทกุ ทศิ 292-909 ซึง่ ถอื กันวา่ เปน็ ยคุ คลาสสกิ พวกมายากา้ วหนา้ มหาสมุทร
ทางคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ โดยเฉพาะคำำ� นวณปฏทิ ิน แอตแลนตกิ
ในทีซ่ งึ่ ปจั จบุ นั เป็นเมกซโิ กภาคใต้ และ ไดแ้ มน่ ยำำ� มรี ะบบการเขยี นหนังสอื ทพ่ี ฒั นามาก ระบบ
กวั เตมาลา (Guatemala) ซ่ึงอยตู่ อนบนของอเมริกา เกษตรและชลประทานทซ่ี บั ซอ้ นมาก มสี ถาปัตยกรรม มหาสมุทร อเมริกาใต้
กลาง ชนเจา้ ถ่ิ นคือพวกมายา (Maya) ยนื หยัดรักษา และประติมากรรมเป็นต้น บางอยา่ งกา้ วหนา้ กวา่ ยโุ รป แปซิฟกิ อนิ คา
อสิ รภาพอยู่ได้ทนนานกวา่ พวกแอสเทคและอินคา แต่ ในยุคเดยี วกัน แต่แพ้ยโุ รปในด้านเทคโนโลยี ไม่ได้พฒั นา
พวกมายาทรุดโทรมออ่ นกำำ� ลังท้ังจากความแตกแยก เครือ่ งจักรท่ีทนุ่ พลงั งาน ไม่รู้จักใชล้ อ้ รถ และไมไ่ ดฝ้ ึกสตั ว์ Aztec Sun Stone
ภายในและลม้ ตายมากมายดว้ ยโรคระบาดที่มากบั สเปน ไวใ้ ช้งานแทนแรงคน จึงแพ้พวกยุโรป อารยธรรมมายา
ในทีส่ ดุ กถ็ กู พวกสเปนยึดครองในปี ๒๐๘๕/1542 เร่มิ เส่ือมมาแลว้ ต้ังแตห่ ลังปี ๑๔๕๒ กอ่ นถูกสเปนทำำ� ลาย
ในทสี่ ดุ
พวกมายานี้เปน็ ชนอนิ เดยี นแดงเก่าแก่ มีบรรพ
บรุ ษุ จากอาเซียซึง่ ขา้ มแผ่นดินส่วนเชอื่ มต่อชอ่ งแคบ

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 133

คุรุนานกั กาบุล ปาฏลีบตุ ร

คดิ จะสมาน ยงิ่ เพมิ่ การขดั แยง้ ม.สปินธญั ุ จาบละฮอรเ์ ดลี มม.ย.คมงนุคาา เบงกอกลลั กตั ตา
โอริสสา
พ.ศ. ๒๐๖๓ (ค.ศ. 1520) ครุ นุ านักตง้ั ศาสนาสกิ ข์ อคั รา
ประสานศาสนาฮินดู กับอิสลาม (แตก่ ลายเปน็ มศี าสนาอีก จกั รวรรดโิ มกุล
๑ ที่จะตอ้ งมาขดั แยง้ กันเพมิ่ ขึ้น) คชุ ราต
ม.นัมมทา ยคุ บารเ์ บอร์ (1530)
ฝร่งั พาโรคระบาดไปแพร่ในอเมริกา มุมไบ เพมิ่ ในยคุ อกั บาร์ (1605)
เจ้าถิ่นตายดง่ั ใบไมร้ ่วง ม.โคทาวรี เพิ่มในยคุ ออรังเซบ (1707)
ทักษณิ าบถ
พวกสเปนนำำ� โรคระบาด เชน่ ฝดี าษ หดั และไอกรน กัว
เขา้ ไป พวกคนพื้นเมอื งและอนิ เดยี นแดงไม่มีภูมิตา้ นทาน
กพ็ ากันล้มตายเป็นใบไมร้ ว่ ง ทเ่ี มกซิโก นบั มาร้อยปีจาก มทรุ า
๒๐๖๒ ที่สเปนเข้าตนี ้ั น ประชากรเจา้ ถ่ิ นเดมิ ลดจาก ๒๕
ล้านเหลอื เพยี งราว ๑ ล้านคน

โรคระบาดจากยุโรปเหลา่ นี้ เด๋ียวเกดิ ที่โน่นเดี๋ยว
เกิดที่นี่ โดยเฉพาะฝีดาษ รวมแล้วตงั้ แต่เริ่มพบชาวยโุ รป
ฝรั่งว่าประชากรอินเดยี นแดงลดลง ๙๐% เม่ือแรกสเปน
เข้าไป มีชาวถ่ิ น ๕๐ ล้านคน เม่ือถงึ ค.ศต.ท่ี 17 เหลอื
เพยี ง ๔ ล้านคน

ชนพื้นเมือง
อเมริกนั เผา่ ต่างๆ

134 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

ระลอกที่ 3. มุสลิมมงโกล คร้งั นั้น บาเบอร์ (Babur หรือ Baber; คำำ� อาหรบั

จบยุคสลุ ต่านแหง่ เดลี =เสอื ) เจ้ามสุ ลมิ มงโกล ซง่ึ สืบเชอ้ื สายจากเจงกิสขา่ น
และจากตีมรู ์ อ้างสทิ ธวิ า่ อินเดียเป็นมรดกทต่ี มี ูร์ (Timur)
เขา้ ยุคมุสลมิ มงโกล บรรพบุรษุ ของเขาไดพ้ ชิ ิตไว้ แลว้ ยกทัพจากอฟั กานสิ ถาน

พ.ศ. ๒๐๖๙ (ค.ศ. 1526) อาณาจักรสุลตา่ น เขา้ มากำ�ำจัดสุลต่านแหง่ เดลใี หส้ ิ้นอำำ� นาจไปโดยสิ้นเชิง
แห่งเดลี (Delhi Sultanate) ของมสุ ลมิ เตอรก์ ซึ่งตั้ง บาเบอร์ ตงั้ ราชวงศ์ใหม่ข้ึ นในเดลี เริม่ ครอง
ข้ึ นเปน็ จักรวรรดิมสุ ลิมแรกของอินเดยี เมือ่ พ.ศ. ๑๗๔๙ จกั รวรรดิโมกุล หรือมุขา่ ล (Mogul/Mughal Empire)
(ค.ศ. 1206) จนกระทง่ั ถกู ตีมูร์ (Timur) ทำำ� ลายล้างใน ซง่ึ ยงั่ ยืนมาจนอนิ เดยี ตกเป็นอาณานิคมขององั กฤษใน
บาเบอร์ ปี ๑๙๔๑ (ค.ศ. 1398) แล้วออ่ นเปลย้ี มานาน ไดถ้ งึ กาล พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858)
อวสาน ในปี ๒๐๖๙

มสุ ลมิ เตอรก์ เปอรเ์ ซยี ทางตะวนั ออก และกลมุ่ ประเทศยโุ รปทางตะวนั - อาหรับทแี่ บกแดดต้งั แต่ พ.ศ. ๑๘๐๑ (ค.ศ. 1258) และ
ปกครองมสุ ลิมอาหรับหมดสน้ิ ตก ซึง่ ออตโตมานกำำ� ลงั คกุ คามเขา้ มาใกล้ใจกลางแล้ว เมื่อถงึ ยคุ ของออตโตมานเตอรก์ ในบัดน้ี มุสลมิ เตอร์กจาก
อาเซยี กลาง กไ็ ดม้ าเปน็ ผู้จัดกิจการศาสนาอสิ ลาม และ
พ.ศ. ๒๐๖๐ (ค.ศ. 1517) สลุ ต่านเซลิมท่ี ๑ มสุ ลมิ เตอรก์ อาเซยี กลาง ย้อนทาง ปกครองชาวมสุ ลิมอาหรับในตะวนั ออกกลางทงั้ หมด
(Selim I) แห่งจักรวรรดอิ อตโตมานยดึ ครองซเี รยี และ มาครองมุสลมิ อาหรบั ตะวนั ออกกลาง
อียิปต์ ล้มกาหลฟิ แหง่ อียิปต์ เข้าครอบครองดูแลเมือง สุลตา่ นเซลิม ที่ ๑
ศักด์ิสิทธิ์ รวมท้ังมักกะฮ์ และมะดนี ะฮใ์ นอาระเบีย ถงึ ย้อนหลงั ไปประมาณ ๘๐๐ ปกี ่อนโนน้ ราว พ.ศ.
ตอนนีจ้ กั รวรรดิมสุ ลิมเตอร์กครอบคลุมอนาโตเลยี ยุโรป ๑๒๕๐ (ค.ศ. 700) เม่ือแรกศาสนาอิสลามตงั้ ขึ้นใหมใ่ น
ตะวนั ออกเฉียงใต้ ดนิ แดนอาหรบั แหง่ ตะวันออกกลาง ดนิ แดนอาหรบั ทพั มุสลิมอาหรับ จากตะวนั ออกกลาง
และอาฟรกิ าเหนอื (Middle East) เดินทาง ๓-๔,๐๐๐ กิโลเมตร นำ�ำศาสนา
อสิ ลามไปเปลีย่ นชนเผา่ ต่างๆ ในอาเซยี กลาง (Central
ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดอิ อตโตมานนั้น พดู Asia) ให้เปน็ มสุ ลมิ
ง่ายๆ กเ็ หมือนกบั รวม ๒ จักรวรรดใิ หญเ่ ข้าดว้ ยกนั คือ
ทง้ั จักรวรรดิโรมันตะวันออก (Byzantine Empire ท่ตี ี จากน้ั นไมน่ าน ชนชาวอาเซียกลางท่ีเป็นมสุ ลิม
ไดใ้ นปี ๑๙๙๖=ค.ศ. 1453) และจักรวรรดกิ าหลฟิ แหง่ แลว้ โดยเฉพาะพวกเตอรก์ กเ็ ปน็ ฝา่ ยนำำ� อิสลามลงมาแผ่
อาหรบั (Arab Caliphate) ท่เี ข้าครองในบัดน้ี แดนท่ีจะ ขยายอำำ� นาจย้อนเขา้ ไปในแดนอาหรบั ดังที่ไดเ้ ริม่ เข้าแทน
แขง่ อำ�ำนาจกบั จักรวรรดิออตโตมาน เหลอื เพยี งจักรวรรดิ

สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 135

เกดิ โปรเตสแตนต์ ยุโรปเขา้ ยคุ ปฏริ ปู

พ.ศ. ๒๐๖๐-๒๑๐๒ (ค.ศ. 1517-1559) ช่วง สำำ� คญั อยใู่ นโลกซกี ตะวนั ออก จงึ เปน็ สมบตั ขิ องโปรตเุ กส
เวลาทเี่ รียกว่า (ยคุ แห่ง) การปฏริ ูป (Reformation) ตามท่อี งค์พระสันตะปาปาไดท้ รงแบ่งโลกไว้ให้แลว้ นั้น
ในยโุ รป เนื่องจากเกิดศาสนาครสิ ตน์ กิ ายโปรเตสแตนต์ คราวนี้เอาใหม่ เขาจะแล่นเรอื ออกทางทศิ ตะวนั ตกไปให้
ในพ.ศ. ๒๐๖๐ ทำำ� ใหม้ กี ารปรบั เปลย่ี นความคดิ ความเชือ่ ถงึ หม่เู กาะโมลุกกะส์นั้น แล้วทนี แี้ หละ จะเปน็ การพสิ จู น์
ถือและการปฏิบัตติ ่างๆ ในทางศาสนาและวัฒนธรรม วา่ หมู่เกาะโมลกุ กะส์น้ั นอยูใ่ นโลกซีกตะวันตก จงึ ต้อง
เปน็ สมบตั ขิ องสเปน พระเจา้ แผ่นดนิ สเปนกท็ รงตกลง
พรอ้ มนั้นในทางการเมือง พวกเจ้าเยอรมันจำำ� นวน
หนึง่ อึดอัดไมอ่ ยากขึ้นต่อโปป๊ อย่แู ลว้ กไ็ ดม้ าร์ตนิ ลูเธอร์ มาเจลแลนออกเรือในวันที่ ๑๐ ส.ค. ถงึ ทะเล ๒๐
เป็นจดุ รวมกำ�ำลัง จึงแขง็ ขอ้ ตอ่ โป๊ป และต่อจกั รพรรดิ ก.ย. 1519 ไปกัน ๒๗๐ คน ด้วยเรอื ๕ ลำำ� แลน่ ลงทาง
โรมนั อนั ศักด์ิสทิ ธ์ิ (Holy Roman Emperor) ทำ�ำให้มี ฝ่งั อาฟรกิ า แล้วข้ามมหาสมทุ รแอตแลนตกิ แล่นเลยี บ
การปราบปรามและรบราฆา่ ฟันกนั อย่างรุนแรง ฝงั่ ทวีปอเมริกาใต้จนเขา้ ชอ่ งแคบปลายสุดทวีป (ได้นาม
ตามชอื่ ของเขาวา่ ชอ่ งแคบมาเจลแลน) ออกทะเลใหญ่
เดินเรือหาทางไปมา ได้ชื่อมหาสมทุ ร ทเ่ี คยเรยี กว่าทะเลใต้ (South Sea) แต่ไดช้ ื่อใหม่ตาม
แปซิฟกิ อกี ท้งั พสิ จู น์วา่ โลกนี้กลมจริง ทีเ่ ขาเรียกวา่ “มหาสมทุ รแปซิฟิก” (Pacific Ocean,
“ห้วงมหรรณพอ์ นั สงบ”) แลน่ มาแวะเกาะกวม (Guam)
พ.ศ. ๒๐๖๒-๒๐๖๕ (ค.ศ. 1519-1522) แลว้ ไปถึงฟิลปิ ปินส์ ตวั เขาเองเสียชวี ติ ที่นั่น (๒๗ เม.ย.
เฟอร์ดนิ านด์ มาเจลแลน (Ferdinand Magellan) เปน็ 1521) คนท่เี หลือแลน่ เรอื ตอ่ ไปถึงหมู่เกาะโมลกุ กะส์ แล้ว
นกั เดนิ เรือชาวโปรตุเกส และทำ�ำงานใหป้ ระเทศของตนมา เดินทางตอ่ จนเหลือเรอื ๑ ลำ�ำ มคี น ๒๑ คน กลบั มาถงึ
นาน แต่คราวหนึ่งผดิ หวัง จงึ ไปกราบทูลถวายบรกิ ารแด่ สเปน ๘ ก.ย. 1522 รวมใช้เวลา ๓ ปี ผลไดค้ อื เปน็ การ
พระเจา้ ชาร์ลส์ท่ี ๑ แหง่ สเปน โดยเสนอวา่ ตามทีถ่ ือกนั พสิ จู น์ว่าโลกกลมจรงิ และรูว้ า่ ทวีปอเมริกามใิ ช่อินเดีย
มาว่า หม่เู กาะโมลุกกะส์ (Moluccas) แหล่งเครื่องเทศ แตค่ ือดนิ แดนท่เี ป็น “โลกใหม”่

บนจากซ้าย:
มารต์ นิ ลูเธอร์
มาเจลแลน

136 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

บน: พระสริ มิ งั คลาจารยแ์ หง่ ลา้ นนา ปราชญ์ พระสริ ิมังคลาจารย์ ยังมี เช่น พระญาณกติ ติ (โยชนา
พระธาตดุ อยสุเทพ ไทยทส่ี กุ ใสในมาตรฐานวชิ าการสากล วนิ ัย, โยชนาอภธิ รรม เปน็ ตน้ ) พระรัตนปัญญา (สารตั ถ
ล่างจากซ้าย: สงั คหะ, ชินกาลมาลีปกรณ์) พระโพธิรังสี (จามเทววี งศ)์
Pope Clement VII พ.ศ. ๒๐๖๗ (ค.ศ. 1524) ท่อี าณาจกั รล้านนา พระนนั ทาจารย์ (สารตั ถสังคหะ) พระสุวรรณรงั สี
พระเจ้าเฮนรีท่ี ๘ ในรชั กาลพระเมอื งแก้ว พระสริ ิมงั คลาจารย์ แห่งวัด (ปฐมสมโพธสิ งั เขป) สันนิษฐานกันวา่ ปญั ญาสชาดก ก็
สวนขวญั นครเชยี งใหม่ รจนาคมั ภีร์ มงั คลัตถทีปนี ซึง่ แต่งในยุคน้ี
อธิบายมงคล ๓๘ ประการ ในมงคลสูตร (ข.ุ ขุ.๒๕/๔/๓;
ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๑๖/๓๗๖) อนั เป็นพระสตู รสำำ� คญั ทแี่ สดงหลกั องั กฤษประกาศไมข่ น้ึ กับโปป๊
การดำ�ำเนนิ ชีวิตของพทุ ธิกชน และถือเปน็ บทสวดหลัก ต้ังนิกายใหม่ของตนเอง
ของพทุ ธบรษิ ทั โดยประมวลอรรถาธิบายจากอรรถกถา
ฎีกา อนุฎีกา เปน็ ต้น มากมาย พร้อมทั้งคำ�ำบรรยายของ พ.ศ. ๒๐๗๗ (ค.ศ. 1534) พระเจ้าเฮนรที ี่ ๘
ทา่ นเอง นำำ� มาแจกแจงอยา่ งละเอยี ดลออ มีระเบียบ (Henry VIII) ซงึ่ ไมไ่ ดพ้ ระโอรสทจ่ี ะสบื ตอ่ ราชวงศท์ วิ ดอร์
เปน็ ลำำ� ดับ พรอ้ มด้วยระบบการอ้างอิงทค่ี รบถ้วนชดั เจน (Tudor) ทรงหาเหตุถอื การอภิเษกสมรสกับพระมเหสีว่า
แม่นยำ�ำ ปจั จุบนั ใชเ้ ปน็ ตำำ� ราเรยี นในหลักสตู รพระปรยิ ตั ิ เปน็ โมฆะ เพ่อื จะทรงมมี เหสใี หม่ จงึ ไดต้ ิดตอ่ ขอให้โปป๊
ธรรมแผนกบาลขี องคณะสงฆไ์ ทย สำ�ำหรบั ป.ธ. ๔-๕ และ ทรงออกกฤษฎกี าตามนั้น แตไ่ มส่ ำ�ำเร็จ พระเจา้ เฮนรที ่ี ๘
๗ (ทา่ นรจนาคมั ภีร์อ่ื นอกี ๓ คือ เวสสันตรทีปนี จักกวาฬ จงึ ประกาศแยกตวั ไมข่ น้ึ ต่อโป๊ป/สันตะปาปาที่วาติกนั
ทปี นี และสังขยาปกาสกฏกี า) โดยตัง้ ศาสนจักรอังกฤษ (Church of England) ข้ึ น
อันเป็นโปรเตสแตนตน์ กิ ายหนงึ่ และกษตั ริยอ์ ังกฤษเป็น
ตลอดชว่ งเวลาต้ังแตป่ ระมาณกลางพุทธศตวรรษ ประมุขศาสนจักรเอง แล้วทรงมีมเหสอี งค์ใหมแ่ ละกด
ที่ ๒๐ จนส้ิ นพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ เฉพาะอยา่ งยิ่ง ใน กำำ� ราบสำำ� นักบาทหลวงทัง้ หลายตา่ งๆ นานา
รชั กาลพระเมืองแกว้ (พ.ศ. ๒๐๓๘–๒๐๖๘/ค.ศ. 1495-
1525) ล้านนาได้เป็นดินแดนแห่งความรุ่งเรอื งของการ
ศึกษา มีวรรณคดีภาษาบาลเี กิดขึ้นมาก พระเถระหลาย
ท่านเปน็ ปราชญ์นิพนธ์คมั ภีรแ์ ละตำ�ำราไว้ นอกจาก

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 137


Click to View FlipBook Version