โปรเตสแตนตป์ ฏิรปู ที่ ๓ (Paul III) จึงทรงจัดให้มคี ณะกรรมาธกิ ารของพระ อาทติ ย์เปน็ ศนู ยก์ ลางของจกั รวาล ถือว่าเปน็ การเริ่มต้น
คาทอลกิ ย้อนปฏริ ูป กร็ บกนั ใหญ่ คาร์ดนิ ัลข้ึ นมากำำ� กับ เปน็ ศาลสูงสดุ ในการไตส่ วนศรทั ธา ปฏวิ ัตวิ ิทยาศาสตร์ (scientific revolution)
ซึง่ ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๑๓๑ (ค.ศ. 1588) โป๊ป/สันตะปาปา
พ.ศ. ๒๐๘๓ หรอื ๒๑๐๒-๒๑๕๓ (ค.ศ. 1540 ซิกซตสั ท่ี ๕ (Sixtus V) ไดจ้ ัดตัง้ ให้มรี ปู ร่างชดั เจนเป็น แต่เพราะขัดกบั คำ�ำสอนของศาสนาครสิ ต์ซึ่งยงั มี
หรอื 1559-1610) การปฏิรปู โดยโปรเตสแตนตน์ ั้นตาม the Congregation of the Roman and Universal อำำ� นาจอยู่มาก จงึ เปน็ เหตุใหน้ ักวิทยาศาสตร์ทเี่ ผยแพร่
มาด้วยการย้อนปฏิรูป (Counter-Reformation) ของ Inquisition เรียกสั้นๆ วา่ the Holy Office ความรเู้ ชน่ นั้น ถกู จบั ข้ึ นศาลไตส่ วนศรทั ธา (Inquisition)
ฝ่ายโรมนั คาทอลิก ท่ีจะเร่งกำำ� จดั พวกโปรเตสแตนตใ์ ห้ และลงโทษ เชน่ บรโู น (Giordano Bruno) ถูกเผาท้งั
หมดสิ้น เร่ิมต้นปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ใน ค.ศ. 1600 กาลิเลโอ (Galileo Gali lei) แม้จะ
ขัดกบั ศาลครสิ ต์ ยอมรบั ผิด ลดโทษ ก็ถูกกักขังใหอ้ ยแู่ ตใ่ นบ้านจนตายใน
โปป๊ ต้งั ศาลสูงสดุ ค.ศ. 1642
กำ�ำกบั การไต่สวนศรทั ธาอกี ชนั้ พ.ศ. ๒๐๘๖ (ค.ศ. 1543) โคเปอรน์ คิ ัส
(Copernicus) พมิ พ์หนังสือ On the Revolutions of จากซ้าย:
พ.ศ. ๒๐๘๕ (ค.ศ. 1542) เน่อื งจากไดม้ ีศาสนา Celestial Spheres (ว่าดว้ ยปรวิ รรตแห่งเวหาสมณฑล) สันตะปาปา ปอลท่ี ๓
คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์เกดิ ข้ึ น ซงึ่ การกำ�ำจดั (perse- แสดงหลกั ความจริงวา่ โลกหมนุ รอบดวงอาทิตย์ โดยมดี วง สนั ตะปาปา ซกิ ซตัสท่ี ๕
cution) จะต้องจัดการเปน็ พิเศษ โป๊ป/สันตะปาปา ปอล นโิ คลสั โคเปอร์นคิ ัส
จอรด์ าโน บรโู น
กาลเิ ลโอ กาลิเลอิ
138 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
จากซา้ ย:
พระนางแมรีที่ ๑
พระเจ้าฟรานซิสที่ ๒ กับ
พระนางแมรีสจว๊ ร์ต
วนั เซนตบ์ าร์โธโลมวิ
สเปนนกั ล่า ทำำ� ลายแอสเทคแล้ว กวาดล้าง (persecution) พวกโปรเตสแตนต์อย่าง ในรชั กาลพระเจ้าฟรานซสิ ท่ี ๒ มกี ารกวาดลา้ ง
ก็ถลม่ อนิ คา รุนแรง เชน่ ให้จำำ� คกุ บชิ อพแหง่ วูรซ์ เตอร์ และบชิ อพแหง่ (persecution) พวกโปรเตสแตนต์ ที่เรยี กวา่ ฮูเกนอตส์
ลอนดอน ๒ ปี ออกจากคกุ แลว้ กใ็ หเ้ อาทงั้ ๒ บชิ อพน้ั นไป (Huguenot) อย่างรุนแรง ฮเู กนอตส์จงึ สมคบกันวางแผน
พ.ศ. ๒๐๙๖ (ค.ศ. 1553) หลังจากล้มอาณาจกั ร เผาทงั้ เปน็ ทอ่ี อกซฟอรด์ เปน็ ตน้ จนไดส้ มญาวา่ “Bloody (Conspiracy of Amboise) จะโคน่ พวกคาทอลกิ ทป่ี กครอง
แอสเทคลงในปี ๒๐๕๕-๕๗ แล้ว ถงึ ปนี ้ี นกั ล่าอาณานิคม Mary” (แมรี่กระหายเลอื ด หรือแมรล่ี ะเลงเลอื ด) ในปี ๒๑๐๓ แตแ่ ผนแตก เลยถกู จบั แขวนคอราว ๑,๒๐๐ คน
ของสเปน ก็ตอี าณาจักรอนิ คาพินาศ
สงครามศาสนาในยโุ รป จากนั้นอีก ๒ ปี ก็เกิดสงครามศาสนากลางเมอื ง
พระนางแมรีล่ ะเลงเลอื ด เปน็ ระยะๆ รวม ๓๖ ปี (๒๑๐๕-๒๑๔๑/1562-1598) โดย
กวาดลา้ งโปรเตสแตนต์ในอังกฤษ “สงครามศาสนา” (Wars of Religion) ท่ปี ระวตั ิ ที่พวกฮูเกนอตส์ได้ทพั โปรเตสแตนตต์ ่างชาตมิ าชว่ ยด้วย
ศาสตรต์ ะวันตกเล่าไว้นี้ หมายถึงสงครามในศาสนาครสิ ต์
พ.ศ. ๒๐๙๘ (ค.ศ. 1555) หลังสิ้นรัชกาลของ เอง ระหวา่ งคาทอลกิ กับโปรเตสแตนต์ ระหว่างนีม้ เี หตกุ ารณใ์ หญค่ ร้งั ร้ายยง่ิ คือ ชาว
พระราชบิดา คือ เฮนรที ี่ ๘ ซง่ึ ได้ตงั้ ศาสนจกั รอังกฤษ คาทอลกิ สงั หารเหมาชาวโปรเตสแตนต์ในวันเซนต์
ข้ึ นแล้ว พระนางแมรที ่ี ๑ (Mary I หรอื Mary Tudor) พ.ศ. ๒๑๐๓ (ค.ศ. 1560) ฝรงั่ เศส ซง่ึ เปน็ ประเทศ บารโ์ ธโลมิว (Saint Bartholomew’s Day Massacre)
ซึ่งเปน็ ราชธิดาของมเหสีองคเ์ ก่า ขึ้นครองราชย์ กลบั คาทอลกิ ได้พยายามกวาดลา้ งโปรเตสแตนต์อยา่ งรนุ แรง ปี ๒๑๑๕/1572 ต้ังแต่ ๒๔ ส.ค. ไป ๒ เดอื นเศษ ตาย
หันไปฟ้นื ฟูนิกายโรมันคาทอลิก และดำำ� เนินการกำ�ำจดั ตั้งแตร่ ะยะแรก ถงึ กบั เกดิ สงครามศาสนาหลายคร้งั ราว ๑๓,๐๐๐ คน
(หลังจากนี้ราวครึ่งศตวรรษ จะถงึ รชั กาลพระเจ้า
หลยุ ส์ท่ี ๑๓ ต่อด้วยพระเจา้ หลุยสท์ ี่ ๑๔ มหาราช องคท์ ่ี
มไี มตรกี บั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช สมัยอยธุ ยา ซึ่งจะ
กวาดล้างโปรเตสแตนตอ์ ย่างรนุ แรงย่ิงจนจบสิ้น)
สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 139
อาณาจักรฮนิ ดูสดุ ท้าย วชิ ยั นคร ซึง่ ชาวโปรตุเกสทเ่ี ดินทางมาได้เขยี นบนั ทกึ ไว้
ราวปี ๒๐๖๓ วา่ ใหญ่โตอย่างกบั โรม
พ.ศ. ๒๑๐๘ (ค.ศ. 1565) อาณาจกั รฮนิ ดสู ดุ ทา้ ย
ท่เี หลืออยใู่ นทักษณิ าบถ คือ วิชัยนคร (Vijayanagar (ดนิ แดนสว่ นล่างของอินเดียนีม้ ีการตดิ ต่อโดย
Empire) ถงึ กาลอวสาน หลังจากยนื หยดั อยไู่ ด้ทา่ มกลาง เฉพาะทางการค้ากบั โรมมานาน อยา่ งน้อยต้งั แตต่ ้นครสิ ต์
อำ�ำนาจคกุ คามของอาณาจักรมุสลิมทล่ี อ้ มรอบเป็นเวลา ศักราชในยุคอาณาจักรโจฬะ ดังทีใ่ นทางโบราณคดไี ด้พบ
๒๒๙ ปี เหรยี ญกระษาปณข์ องโรมนั มากมายในผืนแผ่นดนิ แถบน)ี้
จกั รวรรดวิ ชิ ยั นครนมี้ เี นอ้ื ทค่ี รา่ วๆ ขนาดใกลเ้ คยี ง
กับอิรักในปจั จบุ ัน อยู่สว่ นลา่ งตลอดถงึ ปลายสุดของ
แผน่ ดินอินเดยี เจรญิ ร่งุ เรอื งมาก มีการตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั
กรงุ โรม โปรตเุ กส ไปจนถงึ จนี มีเมอื งหลวงชื่อเดียวกนั ว่า
จากซ้าย: แมร่ีสิ้นสมัย นอ้ งแมรี่หนั ไป ท้งั สเปน เนเธอรแ์ ลนด์ เมอื งข้ึ นในอเมรกิ า และดินแดน
ราชนิ ีเอลิซาเบธที่ ๑ กำำ� ราบคาทอลกิ ของโปรตุเกสทง้ั หมด ไดต้ ้งั พระทยั เดด็ เด่ียวว่าจะบดขยี้
พระเจ้าฟิลปิ ส์ที่ ๒ พวกโปรเตสแตนต์ใหด้ บั สิ้นจากดินแดนเหลา่ น้ี ทรงเริม่
พ.ศ. ๒๑๐๖ (ค.ศ. 1563) เมอ่ื สิ้นรชั กาลพระนาง กำำ� จดั โดยเข้าโจมตโี ปรเตสแตนตใ์ น เนเธอร์แลนด์ แล้ว
แมรท่ี ่ี ๑ แลว้ ราชนิ เี อลิซาเบธท่ี ๑ (Elizabeth I) ซ่ึงเป็น กลายเปน็ สงครามรบกันยดื เยือ้ ถึง ๘๐ ปี (๒๑๑๑-๙๑/
ราชธดิ าของมเหสอี งคใ์ หม่ ข้ึ นครองราชย์ ทรงหนั กลบั 1568-1648)
มาบำำ� รงุ นิกายอังกฤษ และกำำ� จดั (persecution) พวก
คาทอลิก ระหวา่ งน้ั น ในปี ๒๑๓๑/1588 กย็ กกองทพั เรือ
มหึมาไปปราบองั กฤษท่ีเป็นประเทศโปรเตสแตนต์ แตถ่ กู
ฝรงั่ เศสว่าแรง ต้องเทยี บสเปน เผาแพ้กลับมายบั เยนิ
พ.ศ. ๒๑๑๑ (ค.ศ. 1568) สเปนซง่ึ เปน็ ประเทศ ในท่สี ดุ กไ็ ม่สามารถเปลยี่ นพวกดัทช์และพวก
คาทอลกิ สำำ� คัญอกี หนง่ึ ก็กวาดล้าง (persecution) อังกฤษให้เปน็ คาทอลกิ ไดด้ ว้ ยการบงั คบั
โปรเตสแตนต์อย่างตอ่ เนอ่ื ง
ในสเปน การกำำ� จดั คนผู้ไมเ่ ปน็ คาทอลิก อีกดา้ น
ปีนี้ พระเจ้าฟลิ ิปส์ที่ ๒ ซึ่งยงิ่ ใหญม่ าก ปกครอง หนึ่ง ซ่งึ รนุ แรงมาก และยืดเยอ้ื ยิ่ง คือ ศาลไต่สวนศรทั ธา
(Spanish Inquisition) ซึ่งใชว้ ิธีเผาท้งั เป็น เปน็ ต้น ยาว
นานถึงประมาณ ๓๕๐ ปี (๒๐๒๑-๒๓๗๗/1478-1834)
140 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
อวสานแห่งวชิ ัยนคร มสุ ลิมครองสุดอินเดีย
หลงั จากสู้รบกบั อาณาจักรขา้ งเคียงครองอำำ� นาจ ถึงคราวน้ี อำำ� นาจของมุสลิมกค็ ลุมไปถึงสุดแผน่ ดนิ
มาไดย้ าวนาน ในทีส่ ุด ผา่ นเขา้ มาในยคุ ราชวงศ์โมกุล ถงึ จดมหาสมุทรอินเดยี
ปี ๒๑๐๘ (ค.ศ. 1565) อาณาจักรมสุ ลมิ ๔ แคว้น คอื
พิชาปรุ ะ พที ร อาหหมดั นคร และกอลคอนดา ได้รวม กษัตริย์แห่งวิชยั นครไดห้ นไี ปตง้ั เมืองอยู่ในที่ใหม่
กำ�ำลงั กนั เข้าตี เอาชนะวชิ ัยนครได้ หา่ งออกไป และสบื ราชย์กันมาอยา่ งไมร่ าบรื่น จนกระท่ัง
ปี ๒๒๑๕ (ค.ศ. 1672) กษัตรยิ ์องค์สดุ ท้ายสวรรคต กส็ ิ้น
ท้งั น้ี ผู้โจมตีมไิ ดต้ อ้ งการครอบครอง เพยี งแตจ่ ะ วงศ์
ทำำ� ลายอำำ� นาจ เมอื่ ชนะแลว้ จงึ เขา้ เผาทำำ� ลายบา้ นเรอื นทรพั ย์
สนิ ไลฆ่ า่ ฟนั ผคู้ นจนหมดสิ้น โดยใชเ้ วลารวม ๕ เดอื น แลว้ อนิ เดยี
ปลอ่ ยทิ้งให้เปน็ ท่ีรกร้างไร้ประโยชน์ไมอ่ าจฟ้ืนข้ึ นได้อกี
แหลมโคโมรนิ
สงครามสำ�ำคัญพลกิ ผันอารยธรรม
สงครามศาสนาในยโุ รป ทีร่ ุนแรงกว่านี้ จะเกิดข้ึ น
กลางทวีปยุโรป เป็นสงคราม ๓๐ ปี เร่มิ แต่ปี ๒๑๖๑/
1618 ข้างหนา้
ผลสืบเนื่องสำ�ำคัญอย่างหนง่ึ ของการกวาดล้าง
(persecution) และสงครามศาสนา (religious wars)
ในยุโรป กค็ ือการถา่ ยเทประชากรขนานใหญ่ เชน่ ยวิ ราว
๑๗๐,๐๐๐ คน ถกู ขับออกจากสเปนในปี ๒๐๓๕/1492
พวกฮูเกนอตส์กวา่ ๔๐๐,๐๐๐ หนีจากฝรงั่ เศสในชว่ ง
ใกลป้ ี ๒๒๒๘/1685 และการอพยพหลบหนคี ราวใหญ่
นอ้ ยอื่นๆ ทัง้ ทไี่ ปในประเทศอื่นในยุโรป ตลอดจนไปยัง
อเมริกา
การถ่ายเทประชากรนี้ นบั ว่าเป็นปัจจยั สำ�ำคญั
อยา่ งหน่งึ ทีก่ ่อรปู แปลงร่างอารยธรรมตะวนั ตก
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 141
โมกุลเริ่มใหเ้ สรีภาพทางศาสนา เจ้านายฮินดเู ขา้ รบั ราชการ โดยเฉพาะพวกเจา้ ราชบุตร
ไดต้ ำ�ำแหน่งสูงๆ
พ.ศ. ๒๑๒๔ (ค.ศ. 1581) อักบาร์ (Akbar)
จักรพรรดโิ มกุลองคท์ ่ี ๓ ผยู้ ่งิ ใหญท่ ี่สดุ ในราชวงศ์ ซ่ึงข้ึ น ยง่ิ กว่านั้นยังทรงให้ผู้รใู้ นศาสนาต่างๆ ท้งั มสุ ลิม
ครองราชย์ต้งั แต่ปี ๒๐๙๙/1556 เม่ือพชิ ติ ขยายดนิ แดน ฮินดู เชน คริสต์ ปาร์ซี มาถกถ้อยทางศาสนาตอ่ เบื้อง
ไดม้ ากมายแล้ว กพ็ ยายามสรา้ งความจงรักภกั ดี รวมคน พระพกั ตร์ในพระราชวัง
โดยใหเ้ สรภี าพทางศาสนา
ตอ่ มาถึงกับทรงประกาศใหพ้ ระองคเ์ องเป็นผ้มู ี
นอกจากยกเลิกภาษรี ายหัวคนไมเ่ ป็นมสุ ลิมแล้ว อำำ� นาจชข้ี าดสงู สดุ ในเรอ่ื งราวปญั หาเกยี่ วกบั ศาสนาอสิ ลาม
ก็ถงึ กับทรงยกเลิกการบงั คับเชลยศึกใหน้ ับถืออิสลาม เหนอื กวา่ ศาสนบุคคลท้ังปวง
ทรงอภเิ ษกสมรสกบั เจา้ หญิงฮนิ ดู เปดิ ใหเ้ จ้าชายและ
อกั บาร์
พระนเรศวรมหาราช เสียกรุง ครงั้ ที่ ๑ พระญาตขิ องพระเจา้ บเุ รงนอง ฝรง่ั เรยี ก Tabinshwehti)
พระนเรศวรฯ กู้เอกราช รกุ รานแผข่ ยายอาณาเขต มีฝรั่งร่วมรบโดยชาวโปรตุเกส
ท่มี าตั้งบา้ นเรือนค้าขายในกรงุ ศรอี ยธุ ยาเขา้ ประจำ�ำการ
พ.ศ. ๒๑๓๓–๒๑๔๘ (ค.ศ. 1590-1605) ที่กรุง ๑๒๐ คน (ในสงครามรชั กาลต่อไป ท้ังฝ่ายไทยฝ่ายพม่า
ศรอี ยธุ ยา หลงั รชั กาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ โอรส ต่างกม็ คี นโปรตเุ กสเขา้ กองทพั มากข้ึ น) จึงเริ่มมกี ารใช้ปนื
๒ พระองคค์ รองราชยต์ อ่ มา คอื สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าช คาบศิลาและปืนใหญ่ในการรบ และหลังชนะศกึ ทรง
ท่ี ๓ (๒๐๓๑-๒๐๓๔/1488-1491) และสมเด็จพระรามา- ปูนบำำ� เหน็จตา่ งๆ รวมทงั้ ทรงอนญุ าตให้สร้างโบสถ์ มี
ธบิ ดที ี่ ๒ (๒๐๓๔-๒๐๗๒/1491-1529 เข้ายุคโปรตุเกส บาทหลวงสอนศาสนาคริสต์แต่นั้นมา
ครองมะละกา) จากน้ั นมกี ษตั รยิ อ์ กี ๒ พระองค์ คอื สมเดจ็
พระบรมราชาธิราชท่ี ๔ (๒๐๗๒-๒๐๗๖/1529-1533 เมอ่ื พระชัยราชาธริ าช (ไชยราชาธิราช ก็เขียน)
เพียง ๔ ปีก็สวรรคตด้วยไขท้ รพษิ ) สมเด็จพระรัษฎาธริ าช สวรรคตในปี ๒๐๘๙ โอรสคอื พระแกว้ ฟา้ ซงึ่ มพี ระชนมายุ
กมุ าร (๒๐๗๖/1533 เพียง ๕ เดือน ก็ถกู สำำ� เร็จโทษ) กถ็ งึ ๑๑ พรรษา ครองราชยต์ อ่ มาได้ ๒ ปี กถ็ กู ขนุ วรวงศาธริ าช
รชั กาลสมเดจ็ พระชยั ราชาธริ าช (๒๐๗๗-๒๐๘๙/1534- คบคดิ กบั พระราชมารดา (เจ้าแมศ่ รสี ุดาจันทร)์ ชิงราช
1546) ในรชั กาลนี้ ไทยเรมิ่ มสี งครามกับพม่าเปน็ ครัง้ แรก สมบัติ โดยประหารชีวติ เสีย เมอื่ ผชู้ งิ ราชย์ครองราชย์ได้
ในปี ๒๐๘๑ เพราะพระเจา้ ตะเบ็งชเวตี้ (คอื มงั ตรา เปน็ ๔๒ วนั ถกู กำ�ำจัดแลว้ ก็มาถึงรัชกาลสมเด็จพระมหาจกั ร
พรรดิราช (๒๐๙๑–๒๑๑๑/1548-1568) และมีสงคราม
ศาสนาใหมข่ องจักรพรรดิอักบาร์ เรียกวา่ ศาสนาใหม่ของอกั บาร์ มีผนู้ บั ถือเพียงไมเ่ กนิ ๑๙
คน และเม่ือสวรรคตในปี ๒๑๔๘/1605 ศาสนานั้นก็ดับ
เฉพาะอยา่ งย่งิ ในปี ๒๑๒๔/1581 อกั บารไ์ ดท้ รง ลับไปด้วย
ต้ังหลกั ศาสนาใหม่ อนั เน้นด้านจริยธรรมข้ึ น โดยรวมคำ�ำ
สอนของศาสนาต่างๆ เขา้ ด้วยกัน เรยี กว่า Din-e llahi อกี ครงึ่ ศตวรรษจากน้ี จกั รพรรดอิ อรงั เซบจะกำำ� จดั
(Divine Faith = ทพิ ยศรัทธา) และมอี งคอ์ กั บารเ์ องเปน็ ฮนิ ดอู ย่างรุนแรง
ศูนย์รวมแห่งความจงรักภักดี
แต่เรือ่ งน้ี กลายเปน็ การสรา้ งความไมพ่ อใจแกช่ าว
มสุ ลิมทเ่ี ครง่ หลัก เกดิ มีปฏิกิรยิ า บ้างก็บนั ทกึ ว่าพระองค์
สร้างศาสนาใหม่ ละทงิ้ อิสลาม แต่จะอยา่ งไรก็ตาม ส่ิงที่
Abu’l-Fazl ibn Mubarak ถวายคมั ภรี ์ Akbarnama - Book of Akbar แดอ่ กั บาร์
กบั พมา่ ตอ่ มา คร้ั นพระเจา้ ตะเบ็งชเวต้ีแหง่ พม่าสวรรคต (ถิ่นมอญตอ่ แดนไทย) ใน พ.ศ. ๒๑๒๗/1584 และพระ รัฐฉาน
ในปี ๒๐๙๓ และเมือ่ พระเจ้าบุเรงนอง (คอื จะเดด็ ฝรั่ง เกยี รติยศยงิ่ ขจรขจายเมื่อไดท้ รงชนะศึกยทุ ธหตั ถีในปี
เรยี ก Bayinnaung) ขึ้นครองแผน่ ดนิ แลว้ กแ็ ผเ่ ดชานภุ าพ ๒๑๓๕/1592 คร้ั นพระราชบิดา คอื สมเดจ็ พระมหา- เชียงใหม่ หลวงพระบาง
ตอ่ มาจนไดเ้ ชียงใหม่ ประจวบพอดใี นฝา่ ยไทยท่ีเตรียม ธรรมราชาธิราช (๒๑๑๒–๒๑๓๓) สวรรคตแล้ว พระองค์
รบั ศึก พระเจา้ อยู่หวั ทรงได้ชา้ งเผือก ๗ เชือก เฉลมิ พระ จงึ ได้ทรงครองราชย์สบื ตอ่ มา ๑๕ ปี (ถึง ๒๑๔๘/1605) หงสาวดี สโุ ขทัย
ราชสมัญญา “พระเจ้าช้างเผือก” พระเจา้ บเุ รงนองทรง
เหน็ โอกาส จงึ ทำำ� อบุ ายสง่ พระราชสาสน์ มาทลู ขอชา้ งเผอื ก ในรัชกาลน้ี นอกจากทหารอาสาชาวโปรตุเกส อยุธยา เสยี มราฐ
๒ เชอื ก เม่อื ฝ่ายไทยปฏิเสธ สงครามใหญ่กเ็ ร่มิ ตัง้ แตป่ ี แลว้ กม็ ที หารญปี่ ่นุ ในกองทพั ไทยดว้ ย (คราวยทุ ธหตั ถี
๒๑๐๖ จนในทสี่ ดุ จบลงในรชั กาลต่อมาของพระราชโอรส มีทหารญ่ปี นุ่ ๕๐๐ คน) และนอกจากสเปนส่งทูตจาก นครปฐม
คอื สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช ดว้ ยการท่ีกรุงศรีอยธุ ยา มนิลามาทำำ� หนงั สอื สญั ญาทางพระราชไมตรแี ละการคา้
เสยี แก่พม่าใน พ.ศ. ๒๑๑๒ ครั้นแลว้ พระเจ้าบุเรงนองก็ แลว้ ผูแ้ ทนดทั ช์กไ็ ดเ้ ข้าเฝ้าใน พ.ศ. ๒๑๔๗ อา่ วไทย
ได้อภิเษกพระมหาธรรมราชาเป็นพระศรีสรรเพชญ์ ครอง
กรงุ ศรอี ยธุ ยา ในฐานะเจา้ เมืองประเทศราชของพมา่ กาล ทะเลอนั ดามนั
ผ่านมา ๑๕ ปี สยามจึงได้เปน็ เอกราชเม่ือสมเด็จพระ ไชยา
นเรศวรมหาราชประกาศอสิ รภาพจากพม่า ทเี่ มอื งแครง
ลงั กาสุกะ
เคดาห์
รัฐมาเลย์
จกั รวรรดิมชปหิต
พระเจ้าบเุ รงนอง
จากซา้ ย: ญีป่ ุน่ ปดิ ประเทศ เม่ือรู้เจตนานักบวช ศาสนา (religious war) ระหว่างประเทศคาทอลกิ กบั
Kamakura Buddha Daibutsu ท่มี ากบั นกั ล่าอาณานคิ ม ประเทศโปรเตสแตนต์ โดยกองทัพของจกั รวรรดิโรมนั
แมทธวิ เปอรร์ ี อันศกั ดิ์สทิ ธยิ์ กมาทำำ� ลายพวกโปรเตสแตนต์ แลว้ กม็ ี
Thirty Years War พ.ศ. ๒๑๔๐ (ค.ศ. 1597) หันไปทางญ่ปี ุ่น พวก ประเทศอื่นๆ มาชว่ ยฝ่ายโน้นฝา่ ยนี้ เชน่ เดนมารก์
โชกุนทปี่ กครองบ้านเมือง ซึ่งไดส้ ง่ เสริมและสนทิ สนมเป็น นอรเวย์ สวีเดน ออสเตรยี ฝร่ังเศส และสเปน รบกนั จน
อยา่ งดี กบั มชิ ชันนารที ัง้ หลายทม่ี ากับประดาเรือค้าขาย ยุติใน พ.ศ. ๒๑๙๑ (ค.ศ. 1648) จึงเรยี กว่า “สงคราม
เกดิ ล่วงรู้วา่ นักสอนศาสนาเหลา่ น้ั นเป็นสื่อทอดไปสู่การ ๓๐ ปี” (Thirty Years’ War)
ทหารและการเมือง ทจ่ี ะเขา้ มายดึ ครองอาณานคิ ม
จึงพลิกท่าทหี นั ไปเปน็ ศตั รู แลว้ ดำ�ำเนนิ การกวาดล้าง เยอรมนซี ่งึ เปน็ สนามรบหลกั หมดประชากรไป ๗
(persecution) คนทไี่ ปถอื ครสิ ต์ ถงึ กบั ออกเปน็ ประกาศ ล้านคน คอื ๑ ใน ๓ ของทง้ั ประเทศเวลานั้น (คนเยอรมนั
ราชการตอ่ เน่ืองเปน็ ชุด เริ่มแต่ปี ๒๑๔๙ และขบั ไลฝ่ ร่งั ตายในสงครามนี้มากกว่าตายในสงครามโลกคร้งั ที่ ๑)
ออกไป แล้วปิดประเทศตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๘๓ (ค.ศ. 1640) และถึงตอนน้ี จักรวรรดโิ รมันอันศกั ดิ์สทิ ธิท์ ี่อ่อนเปลี้ยมา
เปน็ ตน้ มา รวมเวลา ๒๐๐ ปีเศษ กระท่ังนายพลแมทธวิ ตัง้ แตเ่ กิดโปรเตสแตนตข์ ึ้น กน็ ับได้ว่าสลาย เหลือสกั แต่
เปอร์รี นำ�ำเรอื รบอเมรกิ นั มาบงั คับให้ญปี่ นุ่ เปดิ ประเทศอีก ชอื่ จักรวรรดแิ ละนามพระจักรพรรดทิ เี่ ป็นเกียรติยศ
ใน พ.ศ. ๒๓๙๗ (ค.ศ. 1854)
คาทอลกิ -โปรเตสแตนต์ รบกนั ๓๐ ปี “เมื่อบา้ นเมืองดี
เยอรมนียอ่ ยยับ เขาสรา้ งวดั ให้ลูกทา่ นเล่น”
พ.ศ. ๒๑๖๑-๙๑ (ค.ศ. 1618-48) ช่วงเวลาใน พ.ศ. ๒๑๖๓–๒๑๗๑ (ค.ศ. 1620-1628) ท่ี กรุง
ยุโรป ซง่ึ มีสงครามศาสนาระหว่างโรมันคาทอลกิ กบั ศรีอยุธยา หลังรชั กาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้ว
โปรเตสแตนต์ ทเ่ี รยี กว่า “สงคราม ๓๐ ป”ี (Thirty พระราชอนชุ า คือสมเด็จพระเอกาทศรถครองราชย์ต่อมา
Years’ War) อกี ๑๕ ปี (๒๑๔๘/1605–๒๑๖๓/1620) จากนั้นเป็น
รัชกาลของโอรส ๒ พระองคต์ ดิ ต่อกนั คอื เจา้ ฟ้าศรี
ความขดั แยง้ และทำำ� ลายล้างกนั ระหวา่ งชาวคริสต์ เสาวภาคย์ ซง่ึ ครองราชยไ์ มถ่ งึ ๑ ปี กถ็ กู จม่ื นศรเี สาวรกั ษ์
นกิ ายใหม่คือโปรเตสแตนต์ กับนกิ ายเดมิ คือ โรมนั กับพวกจบั สำ�ำเร็จโทษเสีย แล้วถวายราชสมบตั ิแกโ่ อรส
คาทอลกิ รุนแรงและขยายกวา้ งออกไปเรื่อยๆ จนในทส่ี ดุ อกี พระองค์หนงึ่ ท่ีประสตู ิแต่พระสนม ซ่ึงได้ผนวชอยทู่ ี่
เวลาผ่านมา ๑๐๑ ปี ถึง พ.ศ. ๒๑๖๑ กเ็ กิดเป็นสงคราม
144 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
วัดระฆังจนมีสมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระพมิ ลธรรม ลาสกิ ขามา โดยเฉพาะชาวญปี่ นุ่ ไดเ้ ขา้ มาอยนู่ านแลว้ มากมาย จากซา้ ย:
ขึ้นเสวยราชย์ใน พ.ศ. ๒๑๖๓ (บางตำ�ำราว่า ๒๑๕๓) เปน็ พระเจา้ ทรงธรรมทรงสง่ ทตู คณะแรกไปญป่ี นุ่ เมอ่ื ปี ๒๑๖๔ พระเจ้าเจมสท์ ี่ ๑
สมเด็จพระอนิ ทราชาธิราช (พระราชพงศาวดารฉบบั ชาวญีป่ ุ่นมบี ทบาทสำ�ำคญั ถึงกับมีกรมทหารอาสาญป่ี นุ่ มณฑปพระพทุ ธบาท
พระราชหตั ถเลขา เรยี กวา่ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๑) ซง่ึ หวั หน้าชอ่ื ยามาดา นางามาซา มคี วามดีความชอบใน ออกญาเสนาภมิ ุข
ประชาชนยกย่องถวายพระนามว่าพระเจา้ ทรงธรรม ราชการหลายครงั้ จนพระเจา้ ทรงธรรมทรงตงั้ เปน็ ออกญา
เสนาภิมขุ (ต่อมาถกู พระเจา้ ปราสาททองสง่ ไปเป็นเจ้า- บอกหนงั สือพระภกิ ษสุ ามเณรทีพ่ ระท่ี น่งั จอมทองสาม
ถงึ ยุคน้ี สยามไดม้ ชี าวตา่ งชาติเขา้ มาคา้ ขาย เมอื งนครศรธี รรมราช และทำ�ำอบุ ายกำำ� จดั เสยี ) แตท่ หาร หลงั เนอื งๆ (ในยคุ รัตนโกสนิ ทร์ ก็มปี ระเพณบี อกหนังสอื
ตงั้ ถ่ิ นฐาน ตลอดจนเข้ารับราชการกันมากแลว้ เรม่ิ ดว้ ย ญปี่ ุ่นก็ขึ้นตอ่ เจา้ นายที่ตา่ งกันไป จึงมีบางพวกก่อปญั หา พระในพระบรมมหาราชวังสืบมา) เม่อื มีผู้พบรอยพระ
โปรตเุ กสมาในรัชกาลสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี ๒ (๒๐๓๔- ขั้นรุนแรงถงึ กบั เปน็ ขบถ เม่ือถกู ปราบไดห้ นีไปยึดเมอื ง พทุ ธบาทบนไหลเ่ ขาสวุ รรณบรรพต เมอื งสระบรุ ี กไ็ ดท้ รง
๒๐๗๒/1491-1529) สเปนและดทั ช์กม็ ที ูตเขา้ มาตง้ั แต่ เพชรบุรี แลว้ หนตี อ่ ไปยึดเมืองบางกอก กว่าจะแก้ปญั หา ถวายทดี่ นิ โดยรอบกว้าง ๑ โยชน์ โปรดใหส้ ร้างมณฑป
รชั กาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อมาในรัชกาล เสร็จใช้เวลาถงึ ปีคร่งึ สวมรอยพระพุทธบาท สรา้ งพระอารามทเี่ ชิงเขา และให้
สมเด็จพระเอกาทศรถ นอกจากกษตั รยิ ์ฮอลนั ดา (ดทั ช)์ ฝรัง่ สอ่ งกล้องตดั ถนนจากตำ�ำบลทา่ เรอื มาถงึ เชิงเขา โปรด
ไดส้ ่งทูตมาเพือ่ ไมตรีทางการค้าแลว้ พระองคก์ ็ทรงสง่ พระเจา้ ทรงธรรมได้ทรงศึกษาพระปริยตั ธิ รรม ใหป้ ระชมุ ราชบณั ฑติ แตง่ กาพยม์ หาชาตใิ นปี ๒๑๗๐ และ
ราชทูตไปยังฮอลแลนดใ์ นปี ๒๑๕๐ และไดพ้ ระราชทาน ชำ�ำนาญมาแต่ยังผนวช และไดม้ พี ระราชศรัทธาเสด็จออก โปรดใหส้ ร้างพระไตรปิฎกไว้จบบริบูรณ์ เมอ่ื มาถงึ ยคุ น้ี
ทีด่ นิ ให้พวกดัทช์ตง้ั ภูมิลำ�ำเนาอยูท่ างใต้กรงุ บนริมแม่น้�้ำำ ไดม้ ีความนิยมสรา้ งวัดกนั มากขึ้น จนกระท่ังวา่ ผใู้ ดมเี งิน
ฝ่ังตะวันออก องั กฤษก็นำำ� เรือค้าขายเขา้ มากรุงศรีอยธุ ยา มฐี านะพอ กม็ กั สรา้ งวัดไวป้ ระจำ�ำวงศต์ ระกูล เปน็ ทเี่ กบ็
เป็นครง้ั แรกต้งั แต่ปี ๒๑๕๕ ครั้นถงึ รชั กาลพระเจ้า อฐั ิบรรพบรุ ษุ และวัดเปน็ ทศ่ี ึกษาเล่าเรยี น จนมีคำำ� กล่าว
ทรงธรรมนี้ พระเจ้า James I แหง่ องั กฤษ (ครองราชย์ กันมาว่า “เมอ่ื บา้ นเมอื งดี เขาสร้างวดั ใหล้ กู ท่านเล่น”
1603/๒๑๔๖–1625/๒๑๖๘ ต่อจากพระราชินเี อลิซาเบธ
ท่ี ๑) ได้มพี ระราชสาสน์ เข้ามาขอรับความสนับสนุนให้
ชาวองั กฤษไดร้ บั ความสะดวกในการคา้ ขาย อยา่ งไรก็ดี
การค้าขายของชาวตา่ งชาติเหล่านี้มีการแก่งแย่งแข่งดีกัน
มาก จนปะทะกันรุนแรงหรอื ถงึ กบั รบกนั เช่น ในช่วงปี
๒๑๖๐–๒๑๖๒ คราวหนง่ึ พวกโปรตเุ กสยึดเรือฮอลนั ดา
ด้วยไมพ่ อใจว่าไดส้ ทิ ธิทางการค้าเหนือตน ตอ่ มา เรือ
องั กฤษ ๒ ลำ�ำ รบกับเรือฮอลนั ดา ๓ ลำำ� ในอ่าวปัตตานี
แตก่ รุงสยามก็แกป้ ัญหาใหส้ งบไปไดด้ ว้ ยดี
สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 145
จากซ้าย:
พระเจ้าชาห์ ชะฮาน
พระนางมมุ ตัซ มาฮาล
พระเจ้าออรังเซบ
จากซา้ ย:
เรือ Mayflower
ข้ึนฝง่ั ที่พลมี ธั
เกาะแมนฮัตตัน
กาลิเลโอขนึ้ ศาล
หนภี ยั ศาสนา สอู่ เมริกา หาอิสรภาพ ในนวิ อิงแลนด์ (เขตรฐั แมสซาชเู ซตส์) เมอื่ เดอื นธนั วาคม เกาะแมนฮตั ตนั นวิ ยอรก์ ราคา๒๔เหรยี ญ
คณะนมี้ ี ๑๐๒ คน ได้ชื่อวา่ “พิลกรมิ ส”์ (Pilgrims)
พ.ศ. ๒๑๗๓ (ค.ศ. 1620) ชาวครสิ ต์พวกเพยี ว- พ.ศ. ๒๑๗๙ (ค.ศ. 1626) พวกฮอลันดาซื้อเกาะ
รติ นั (Puritans) ซงึ่ หนกี ารกำำ� จดั กวาดลา้ ง (persecution) แมนฮัตตนั (ในเมืองนิวยอรก์ ) จากชาวอนิ เดียนแดง
ของโปรเตสแตนตน์ ิกายองั กฤษไปยังอัมสเตอรด์ ัมใน เจ้าถิ่น ในราคา ๒๔ เหรยี ญ ($24) (ถิ่นนี้ชาวดัทช์เรยี กว่า
ฮอลแลนด์ตัง้ แต่ ค.ศ. 1608 ไดล้ งเรือ Mayflower มาหา นิวอมั สเตอร์ดมั /New Amsterdam; ต่อมาอังกฤษยึด
อสิ รเสรภี าพในแผน่ ดนิ อเมรกิ า ข้ึ นฝง่ั ทพี่ ลมี ธั (Plymouth) ไปได้และต้ังชื่อใหมว่ า่ นวิ ยอรก์ /New York)
146 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
ทชั มาฮาล อนสุ รณ์รักตลอดกาล ชาฮ์ ชะฮานเตรียมการจะสร้างอนุสรณท์ ่ฝี งั ศพ
ของพระองคไ์ วเ้ คียงคทู่ ชั มาฮาล แต่เมื่อพระองค์ประชวร
พ.ศ. ๒๑๙๑ (1648) ทัชมาฮาล (Taj Mahal) ณ ในปี ๒๒๐๐/1657 โอรสสอี่ งค์ได้ชงิ อำ�ำนาจกัน
เมอื งอคั รา (Agra) ท่พี ระเจ้าชาฮ์ ชะฮาน (Shah Jahan)
จักรพรรดโิ มกลุ สรา้ งเปน็ อนสุ รณ์ท่ีฝงั ศพมเหสี มุมตัซ ออรงั เซบชนะแลว้ ปลดราชบดิ า ข้ึ นเปน็ จกั รพรรดิ
มาฮาล (Mumtaz Mahal) ซง่ึ สวรรคตเมือ่ ปี ๒๑๗๒ โดย เอง และขงั พระเจา้ ชาฮ์ ชะฮานไวใ้ นปอ้ มอคั รา (Agra fort)
เร่ิมสรา้ งในปี ๒๑๗๓ ไดเ้ สร็จสิ้นลง ใช้เวลาสร้าง ๑๗ ปี จนสวรรคตในปี ๒๒๐๙/1666
(มมุ ตซั สวรรคตเม่อื พระชนม์ ๓๔ พรรษา ขณะท่ี
ชาฮ์ ชะฮาน มพี ระชนม์ ๓๗ พรรษา หลงั จากมีโอรสธดิ า
๑๔ องค์)
กาลเิ ลโอข้ึนศาลสอบศรัทธา คารด์ นิ ัลริเชลลู
รอดตายเพราะยอมสละคำ�ำสอน
มหาราช (Louis XIV King of France หรอื Louis the
พ.ศ. ๒๑๘๖ (ค.ศ. 1633) กาลเิ ลโอ (Galileo Great; คลมุ รชั กาลสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช แห่ง
Galilei) นกั วทิ ยาศาสตร์ยง่ิ ใหญ่ เผยแพร่ความรู้ว่าดวง กรงุ ศรีอยธุ ยา พ.ศ. ๒๒๐๐-๒๒๓๑)
อาทติ ย์เป็นศนู ยก์ ลางของจักรวาล ถูกคริสตศ์ าสนจกั ร
จบั ข้ึ นศาลไต่สวนศรัทธา (Inquisition) ยอมสละคำำ� สอน อำ�ำนาจอนั ย่ิงใหญ่ของรัชกาลนี้ สืบมาจากฐานที่
ของตน ได้พน้ โทษประหาร แตต่ อ้ งโทษกกั ขงั อยใู่ นบ้าน วางไว้แลว้ ในสมัยของพระราชบดิ า คอื พระเจา้ หลุยส์ท่ี
จนตายใน ค.ศ. 1642 ๑๓ คร้งั นั้นแมว้ ่าฝรั่งเศสจะเปน็ ดนิ แดนคาทอลิก แตก่ าร
กวาดลา้ งพวกโปรเตสแตนต์ ทไ่ี ดก้ ระทำำ� อยา่ งรนุ แรงทสี่ ดุ
บาทหลวงใหญ่ ว่าการแผน่ ดินฝรงั่ เศส อย่างทเี่ รยี กว่าให้เหี้ยนแผน่ ดนิ นั้น ก็เปน็ การกระทำ�ำอยา่ ง
อิสระ ไม่รอฟงั กรงุ โรม โดยมบี าทหลวงใหญ่ช้ั นคารด์ นิ ลั
พ.ศ. ๒๑๘๖-๒๒๕๘ (ค.ศ. 1643-1715) ที่ (ระดับรองโปป๊ ) ชอื่ ริเชลลู (Cardinal Richelieu, 1585-
ฝร่ังเศส เป็นรัชกาลทย่ี าวย่งิ ของพระเจา้ หลุยสท์ ่ี ๑๔ 1642) เปน็ อัครมหาเสนาบดี บญั ชาการแผ่นดินแทนพระ
องค์ นำำ� ฝรงั่ เศสเข้าร่วมสงคราม ๓๐ ปี พยายามทำ�ำลาย
อำำ� นาจของสเปน และไดแ้ ผข่ ยายดนิ แดนออกไปอกี บั่นทอน
จกั รวรรดโิ รมันอนั ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ใหอ้ ่อนเปล้ยี หนกั ลงไป
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 147
สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช แล้วพระศรีสธุ รรมราชา อนชุ าของพระเจา้ ปราสาททอง
หน้าตรงขา้ มจากบน: ครองราชย์ได้ ๒ เดอื น ก่อเรอื่ งขัดเคืองพระทัยแก่สมเด็จ
ราชทตู ฝรั่งเศสเขา้ เฝ้าพระนารายณม์ หาราช พระนารายณซ์ ง่ึ ได้รว่ มสังหารเจา้ ฟ้าชยั มาด้วยกนั จึงถูก
โกษาปาณถวายราชสาสน์ ปลงพระชนม์ บัดนี้ พ.ศ. ๒๑๙๙ มาถึงรัชกาลอันยาว
๓๒ ปี ของสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ซ่ึงเป็นพระ
ฝรง่ั เศสมา พาการทูตคกึ คกั ลงทา้ ย ราชโอรสของพระเจ้าปราสาททอง
ฝร่ังเศสถกู ไล่ พาเมอื งไทยเขา้ เงียบ
ในรชั กาลนี้ ความสมั พนั ธ์กับประเทศตา่ งๆ
พ.ศ. ๒๑๙๙–๒๒๓๑ (ค.ศ. 1656-1688) ที่กรุง เจริญสบื ต่อมา แตค่ ราวหน่งึ ไดเ้ กดิ พพิ าทกบั องั กฤษถงึ
ศรอี ยธุ ยา สิ้นรัชกาลพระเจา้ ทรงธรรมแล้ว ๒๘ ปตี อ่ มา กบั ประกาศสงคราม จงึ ขาดไมตรีกันไปชว่ งหน่ึง และมี
มกี ษตั รยิ ถ์ งึ ๕ พระองค์ และใน ๕ พระองคน์ ั้น ๔ พระองค์ ประเทศมิตรใหม่คอื ฝร่ังเศสซึ่งเร่มิ เข้ามาค้าขายท่ี กรงุ ศรี
มเี วลาครองราชย์รวมกันเพยี ง ๓ ปี กลา่ วส้ั นๆ ว่า ๒ อยุธยาใน พ.ศ. ๒๒๒๔/1681 แต่ในความสัมพันธ์กบั
พระองคแ์ รก คอื พระราชโอรสของพระเจา้ ทรงธรรม ไดแ้ ก่ ฝร่งั เศสน้ี เน่อื งจากจุดหมายของพระเจา้ หลุยสท์ ่ี ๑๔
สมเด็จพระเชษฐาธริ าชครองราชยไ์ ด้ปเี ศษหรือไมถ่ ึงปี ก็ ทรงมงุ่ จะนำ�ำศาสนาครสิ ต์นิกายโรมนั คาทอลกิ เขา้ มาเปน็
ถกู เจา้ พระยากลาโหมสรุ ยิ วงศ์สำำ� เร็จโทษเสีย (พระเจ้า สำ�ำคญั ดังทพี่ ระองค์ทรงดำ�ำเนินการอยา่ งถึงทีส่ ดุ ใน
ทรงธรรมเอง เอกสารบางแหล่งก็วา่ ทรงถูกเจ้าพระยา ประเทศฝรั่งเศสเอง เป้าหมายนเี้ ป็นแกนขบั เคล่อื นให้
กลาโหมฯ วางยาพิษ) แลว้ พระอนชุ าคือสมเด็จพระ- สัมพันธไมตรีกบั ฝรงั่ เศสแข็งขัน โดยความสัมพนั ธท์ าง
อาทติ ยวงศ์ พระชนมายุ ๙ พรรษา ครองราชยไ์ ด้ ๓๘ วัน ศาสนาน้ั นพว่ งพนั กนั ไปกบั ความสมั พนั ธท์ างดา้ นการเมอื ง
ก็ถูกยกลงจากเศวตฉตั ร (ตอ่ มาก็ถูกประหารชีวิต) แลว้ และการทหาร ย่ิงมีฟอลคอน (Constantine Phaulkon,
เจา้ พระยากลาโหมฯ กข็ ้ึ นเปน็ กษตั รยิ พ์ ระนามวา่ พระเจา้ ชาวไอโอเนยี นกรกี /โยนก มากบั เรือพาณิชย์ขององั กฤษ)
ปราสาททอง ครองราชยอ์ ยู่ ๒๕ ปี (๒๑๗๓/1630– ที่มารบั ราชการกา้ วหนา้ จนได้เป็นเจ้าพระยาวิชเยนทร์
๒๑๙๘/1655) เมอื่ สวรรคตแลว้ เจา้ ฟา้ ชยั ซงึ่ เปน็ พระราช ช่วยจัดชว่ ยหนนุ ด้วย กิจการงานเมอื งดา้ นฝรง่ั เศสก็เป็น
โอรสองคใ์ หญค่ รองราชยไ์ ด้ ๓-๔ วัน กถ็ กู จับสำ�ำเรจ็ โทษ เร่อื งเดน่ จนความสัมพันธก์ ับประเทศอื่นๆ เลือนรางไป
ไทยก็สง่ คณะทตู ไปฝรง่ั เศส และฝรง่ั เศสก็สง่ ทูตมาไทย
ผลัดเปล่ียนแลกกนั ไปมา โดยเฉพาะครัง้ สำ�ำคัญคอื ทพี่ ระ
วิสตู รสนุ ทร (โกษาปาน) เปน็ หัวหน้าคณะนำำ� ไป คูข่ นาน
กบั การทตู ฝรง่ั เศสกส็ ง่ ทหารมาจำำ� นวนมาก ซง่ึ ไดไ้ ปประจำำ�
รักษาปอ้ มท่ีเมืองสำำ� คัญๆ โดยจดั เข้าในราชการไทย
148 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
ในการนี้ ดา้ นประโยชน์ก็มมี าก เชน่ คนไทยไดฝ้ กึ ฝรง่ั เศสได้เขียนเปน็ ขอ้ สังเกตสำำ� คัญไว้ใน จดหมายเหตุ
หดั การทหารและการช่างอย่างตะวนั ตก ไดเ้ รียนร้วู ิชาการ การเดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธประมขุ มสิ ซงั สู่
ใหมๆ่ นกั เรยี นไทยไดไ้ ปศกึ ษาในฝรงั่ เศส แตใ่ นขณะเดยี วกนั อาณาจักรโคจนิ จนี วา่ “ข้าพเจ้าไมเ่ ช่ือว่าจะมปี ระเทศใด
กก็ ่อใหเ้ กิดความหวาดระแวงวา่ ฝรัง่ เศสจะเป็นกำ�ำลังหนนุ ในโลก ท่มี ีศาสนาอยู่มากมาย และแต่ละศาสนาสามารถ
รว่ มกบั เจา้ พระยาวชิ เยนทรค์ ดิ การใหญค่ รอบครองเมอื งไทย ปฏบิ ัติพธิ กี ารของตนไดอ้ ย่างเสรเี ท่ากับประเทศสยาม”
ในทีส่ ดุ ขณะเมือ่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชประชวร (กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๐)
หนกั แลว้ เสด็จสวรรคตในปี ๒๒๓๑ พระเพทราชาและ
ขนุ หลวงสรศกั ด์ิ (ตอ่ มาคือพระเจา้ เสือ) ก็ไดย้ ดึ อำำ� นาจ ในด้านพระพุทธศาสนา ประเพณีบวชเรยี นทสี่ ืบ
กำำ� จดั เจา้ พระยาวชิ เยนทรก์ บั พวก และขบั ไลท่ หารฝรงั่ เศส มา คงเป็นท่ี นิยมแพร่หลายมาก และในรัชกาลน้ี ผบู้ วช
ออกจากเมอื งไทย แล้วพระเพทราชาก็ขึ้นครองราชย์ กไ็ ด้รบั พระบรมราชูปถมั ภอ์ ยา่ งดี ทำำ� ใหค้ นหลบเลี่ยง
ราชการไปบวชกันมาก จึงคราวหนง่ึ มรี บั สงั่ ให้ออกหลวง
ต่อจากนี้ กรงุ สยามซ่งึ เคยเปิดกว้างในการตอ้ นรบั สรศกั ด์ิ เปน็ แม่กองประชุมสงฆส์ อบความรู้พระภกิ ษุ
ชาวตา่ งชาติ กเ็ ปลยี่ นนโยบายกลบั ตรงขา้ ม แมจ้ ะไมถ่ งึ กบั สามเณร ผูท้ ่หี ลบลบ้ี วช สอบไดค้ วามชดั วา่ ไมม่ คี วามรใู้ น
ปิดประเทศอย่างญป่ี ุ่น (๒๑๔๐–๒๓๙๗/1597-1854) ก็ พระศาสนา ถกู บงั คบั ใหล้ าสกิ ขาจำำ� นวนมาก นอกจากนี้
จำำ� กดั และระมดั ระวงั ความสมั พนั ธก์ บั ตา่ งประเทศจงึ นอ้ ยลง ประเพณีบวชแล้วพ้นราชภยั กไ็ ดป้ รากฏในรชั กาลน้ี
ด้วย ดังปรากฏวา่ เมื่อประชวรจะสวรรคต พระเพทราชา
ในดา้ นกจิ การศาสนา สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช กบั ขนุ หลวงสรศกั ดไิ์ ดล้ อ้ มวงั ไวเ้ ตรยี มจะยดึ อำำ� นาจ
กท็ รงดำ�ำเนินตามวถิ ีไทยพื้นฐาน คือทรงให้เสรภี าพในการ พระองคโ์ ปรดใหช้ ว่ ยชวี ติ บรรดาขา้ ราชการฝา่ ยในไว้ ดว้ ย
นบั ถอื ศาสนา นอกจากทรงออกพระราชกฤษฎีกาอนุญาต การถวายพระราชวงั เปน็ วสิ งุ คามสมี า แลว้ พระสงฆม์ สี มเดจ็
ใหร้ าษฎรนับถอื ศาสนาใดๆ กไ็ ดแ้ ลว้ ยงั ทรงอปุ ถมั ภค์ รสิ ต์ พระสงั ฆราชเป็นประธานทำำ� สังฆกรรมอุปสมบทบุคคล
ศาสนาและศาสนาอื่นๆ เชน่ โปรดใหส้ รา้ งวดั เซนตโ์ ยเซฟ ที่ เหลา่ น้ั น นำ�ำไปพระอาราม เป็นอันพน้ ภัย
สถติ ของสงั ฆนายกทอ่ี ยธุ ยา และสรา้ งวดั เซนตเ์ ปาโลทลี่ พบรุ ี
และตะนาวศรี เป็นต้น พระเจ้าหลุยสท์ ่ี ๑๔ ถึงกับทรงคิด สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชทรงเอาพระทยั ใส่
ว่าพระองค์ทรงเลื่อมใสในครสิ ต์ศาสนา และได้มพี ระ ในการพระศาสนา การศึกษา และสง่ เสริมวรรณคดีมาก
ราชสาส์นทูลเชญิ เขา้ รตี ดว้ ยใน พ.ศ. ๒๒๒๘ แตส่ มเดจ็ ดังไดท้ รงมพี ระราชปจุ ฉาไปยงั คณะสงฆห์ ลายครัง้ มี
พระนารายณม์ หาราชทรงผ่อนผันดว้ ยพระปรชี าญาณว่า วรรณคดพี ทุ ธศาสนาเหลอื มาถงึ ปจั จบุ นั หลายเรอื่ ง เปน็
หากพระผเู้ ปน็ เจา้ พอพระทยั ใหพ้ ระองคเ์ ขา้ รตี เมอื่ ใด กจ็ ะ ยคุ หนงึ่ ทร่ี งุ่ เรอื งของวรรณคดี ทงั้ ทรงพระราชนพิ นธเ์ อง
บนั ดาลใหเ้ กดิ ศรทั ธาข้ึ นในพระทยั ของพระองคเ์ มอ่ื นั้นเอง และมกี วสี ำำ� คญั มากทา่ น เชน่ ศรปี ราชญ์ พระมหาราชครู
พระโหราธิบดี ขุนเทพกวี พระศรีมโหสถ
เสรีภาพทางศาสนาในเมอื งไทยน้ี บาทหลวง
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 149
โมกลุ กำำ� จดั ฮนิ ดูอีก จากซ้าย:
เนเดอร์ ชาห์
พ.ศ. ๒๒๐๑ (1658) พระเจา้ ออรังเซบ (Aurang- บลั ลังก์นกยูง
zeb) ขึ้นครองราชย์ ขยายอาณาเขตออกไปไดก้ ว้างทีส่ ดุ เพชรโกอนิ วั ร์
ในยคุ โมกลุ แต่ได้มุ่งมั่นห้�้ำำหั่นบฑี า (persecution) ชาว หน้าตรงข้าม:
ฮนิ ดูและสกิ ข์ เป็นเหตใุ ห้ราชวงศ์โมกุลสญู เสยี อำ�ำนาจ มงกฎุ พระราชินี
ปกครองราษฎรลงไปมาก วกิ ตอเรีย
ออรงั เซบครองราชยอ์ ยู่ ๔๙ ปี เม่ือสวรรคตในปี
๒๒๕๐ แล้ว จักรวรรดโิ มกลุ ไดแ้ ตกสลายอยา่ งรวดเรว็ ท้ัง
เพราะเกดิ สงครามสบื ราชสมบัติ ทัง้ ต่างประเทศรุกราน
และแคว้นใหญน่ อ้ ยกต็ ัง้ ตวั เปน็ อสิ ระ
ฝรั่งเศสสมยั พระนารายณ์ คร้ั นถงึ ปี ๒๒๕๘ (ค.ศ. 1715) พระเจ้าหลุยสท์ ่ี
กำ�ำจดั คริสต์ตา่ งนิกาย ๑๔ กป็ ระกาศวา่ พระองคไ์ ดท้ ำำ� ใหก้ ารทกุ อยา่ งของศาสนา
โปรเตสแตนตใ์ นฝรั่งเศสจบส้ิ นแล้ว
ในพ.ศ. ๒๒๐๘ (ค.ศ. 1665) พระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔
(Louis XIV) ดำ�ำเนนิ การกำ�ำจัดกวาดล้าง (persecution)
พวกฮเู กนอตส์ (โปรเตสแตนต)์ ครงั้ ใหม่ และยง่ิ กวา่ นั้น ใน
พ.ศ. ๒๒๒๘ (ค.ศ. 1685) ไดย้ กเลกิ โองการแหง่ แนนต์สท์ ี่
พระเจา้ เฮนรที ่ี ๘ ประกาศไว้ แลว้ กำำ� จดั หนกั ข้ึ นเพอื่ ลา้ งใหส้ ้ิ น
การน้ี ทำำ� ใหช้ าวโปรเตสแตนตห์ นไี ปอยตู่ า่ งประเทศ
เชน่ องั กฤษ ปรสั เซยี เนเธอรแ์ ลนด์ และอเมรกิ า มากกวา่
๔ แสนคน หลายจังหวดั ถึงกบั ร้างทีเดยี ว (“...several
provinces were virtually depopulated.” <The
Concise Columbia Encyclopedia, 1991) ทำ�ำให้
ฝรง่ั เศสสญู เสยี กำ�ำลังคนท่ีมคี ณุ ภาพ ขาดกำำ� ลงั งานของ
ชาตใิ นยุคปฏวิ ัติอุตสาหกรรม ที่กำ�ำลงั จะมาถงึ
พระเจ้าหลุยสท์ ี่ ๑๔
150 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
ชาห์ตเี ดลี ขนทรัพย์ไป ทัพชาห์ทำำ� ลายพระ
พ.ศ. ๒๒๘๒ (ค.ศ. 1739) เนเดอร์ ชาห์ แห่ง อน่งึ กองทัพของเนเดอร์ ชาหน์ ้ี เปน็ ผทู้ ำ�ำลายพระ
จกั รวรรดอิ หิ รา่ น ตอ้ งการทุนทรัพย์จำ�ำนวนมาก จงึ มาตี พกั ตร์พระพทุ ธรูปใหญ่ ๒ องค์ (สูง ๕๓ และ ๓๗ เมตร)
ยึดนครเดลีของโมกลุ ในปี ๒๒๘๒ แลว้ ขนเอาสมบัติ ท่ีพามิยาน อันอยู่บนทางผา่ นส่เู ดลี ซงึ่ ต่อมาพวกทาลิบัน
มหาศาลไป รวมทั้งบัลลังก์นกยูง และเพชรโกอนิ วั ร์ ได้ทำำ� ลายครัง้ สดุ ท้ายหมดทั้งองค์ เมอื่ ต้นปี ๒๕๔๔
(Koh-i-noor diamond คือเพชร ๑๐๙ กะรัตทมี่ าอยู่
ในมงกฎุ พระราชนิ วี ิกตอเรยี ตลอดถึงกษตั ริย์องั กฤษใน
บัดน)้ี ชว่ ยใหง้ ดเกบ็ ภาษีในอิหรา่ นได้ถึง ๓ ปี
อหิ ร่านห้ำำ้� ห่ันมสุ ลิมสหุ นี่ ท่ตี ่างนิกาย เปอร์เซียอ่อนกำำ� ลัง และอา้ งการท่ีมุสลิมสหุ นถี่ ูกรงั แก “เนเดอร์ ชาห์” (Nadir Shah) จากนั้นก็รบขยายดนิ แดน
ก็บกุ เข้ามา ทางฝา่ ยพระเจา้ ซารแ์ ห่งรัสเซยี กฉ็ วยโอกาส จนจกั รวรรดิอิหร่านหรอื เปอรเ์ ซยี นั้น ยิง่ ใหญไ่ มห่ ย่อน
พ.ศ. ๒๒๖๒ (ค.ศ. 1719) เนือ่ งจากอิหรา่ น หรอื ขยายแดนเขา้ มา แล้วท้ังสองก็มาตกลงเอาดินแดนรอบ กวา่ สมัยกอ่ น รวมทง้ั ทะลุอฟั กานสิ ถานเข้ามา และได้มาตี
เปอรเ์ ซีย ซึง่ ประชากรส่วนใหญ่เป็นมสุ ลิมนกิ ายชีอะฮ์ นอกของเปอรเ์ ซียมาแบ่งกนั ยดึ นครเดลขี องราชวงศ์โมกุลในปี ๒๒๘๒ ขนทรัพยไ์ ป
ไดห้ ้�้ำำหัน่ บฑี า (persecution) พวกมุสลิมนิกายสหุ น่ี มากมาย
ที่เป็นขา้ งนอ้ ย ครั้งน้ั นเฮราท (Herat; ปัจจบุ นั อยู่ใน ชาห์ผ้ไู ม่ชอบสวรรค์
อฟั กานิสถาน ต.ตก ฉ.เหนอื ) ซึง่ เปน็ สุหน่ี ไดแ้ ข็งเมือง อยา่ งไรกด็ ี ความเก่งกาจของเขาทว่ี ่ารบไหนชนะ
ชาหแ์ หง่ ราชวงศ์ซาฟาวดิ (Safavid dynasty) จึงสง่ ทัพ พ.ศ. ๒๒๗๙ (ค.ศ. 1736) ระหวา่ งน้ั น ขา่ นผหู้ นงึ่ นั่น น้ั นข้ึ นช่อื แตใ่ นเร่อื งความโหดร้าย ขีร้ ะแวง วนุ่ กบั การ
ไปปราบ แตพ่ ลาดพ่ายสูญเสียกำำ� ลังมาก ซง่ึ เป็นขา้ เกา่ ท่จี งรักภักดขี องชาหแ์ หง่ ราชวงศ์ซาฟาวิด หาทนุ มาทำ�ำสงคราม และสนใจแต่การรบราฆา่ ฟันปราบ
ไดซ้ อ่ งสุมกำำ� ลังและเขา้ มารบจนในทสี่ ุดก็ก้บู ลั ลังกท์ ีเ่ สีย ปราม ถึงขนาดท่ีเมอ่ื มีผ้ทู ูลว่าในสวรรคไ์ ม่มีสงคราม ก็
ต่อมาอกี ๓ ปี (ค.ศ. 1722) เจ้าผ้คู รองกันทหาร ไป ๔ ปี จากพวกอฟั กนั คืนใหแ้ กโ่ อรสของชาหอ์ งค์เก่าได้ ตรสั วา่ “แลว้ อย่างน้ั นในสวรรค์จะไปสนกุ อะไร”
(Kandahar ในอฟั กานสิ ถาน) ซึง่ เคยเป็นสว่ นหน่ึงของ แลว้ ออกรบก้ดู ินแดนจากพวกออตโตมานเตอร์ก ตลอด
เปอร์เซยี กย็ กทัพมาตชี นะเปอรเ์ ซีย ตัง้ ตวั เป็นชาหเ์ อง จนเอาดินแดนคนื จากรสั เซีย เนเดอร์ ชาห์ ไม่ใส่ใจบำ�ำรุงสขุ ของประชาชน แถม
ฆา่ ฟนั ลา้ งโคตรล้มราชวงศ์ซาฟาวิดกบั ทัง้ ขนุ นางข้าราช ย่ิงชรากย็ ่งิ รา้ ย ไปไหนก็สั่งฆา่ สั่งทรมานคน ราษฎรเดอื ด
บริพารเปน็ ต้นอย่างโหดเหี้ยม แต่แลว้ ตัวเขาเองกเ็ กดิ ในทส่ี ุดคงเหน็ วา่ ชาห์และโอรสออ่ นแอ ก็เลยข้ึ น รอ้ นมาก ตอ่ มากเ็ กดิ ความไมส่ งบข้ึ นท่โี นน่ ที่นี่ ตอ้ งปราบ
เสยี จริต หลานขึ้นครองแทน และการฆ่าฟันสังหารก็ ครองราชย์เองในปี ๒๒๗๙ (ค.ศ. 1736) เฉลมิ พระนามวา่ กนั เรอื่ ย ในท่ีสุดทหารของชาห์ก็ปลงชีพพระองคเ์ สยี เอง
ดำ�ำเนินตอ่ ไป ใน พ.ศ. ๒๒๙๐ (ค.ศ. 1747)
ฝ่ายสลุ ต่านแห่งออตโตมานเตอรก์ ฉวยโอกาสที่
สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 151
๘ ๐ ๐ ปี ที่ อิ น เ ดี ย ไ ม่ มี พุ ท ธ ศ า ส น า
ข) ฝรงั่ มา พทุ ธศาสนากลบั เร่มิ ฟื้น
ค) ยคุ อังกฤษปกครอง
อังกฤษชนะฝรัง่ เศส ได้เบงกอล องั กฤษรว่ มปกครองอินเดีย
พ.ศ. ๒๓๐๐ (ค.ศ. 1757) อังกฤษกบั ฝรง่ั เศส ตอ่ มาปี ๒๓๑๗/1774 บริษัทอินเดยี ตะวนั ออก
หลงั จากแข่งอทิ ธิพลกันมานานเพ่อื ครองอำ�ำนาจในอินเดยี ขององั กฤษ กเ็ ขา้ รว่ มจดั การปกครองประเทศอนิ เดยี โดย
บริษทั อนิ เดียตะวนั ออก ขององั กฤษ (British East มวี อร์เรน ฮาสตงิ ส์ (Warren Hastings) เป็นขา้ หลวงใหญ่
India Company) รบชนะบรษิ ทั อนิ เดียตะวันออกของ องั กฤษคนแรก จากนั้นกข็ ยายอำำ� นาจออกไปเรื่อยๆ
ฝรัง่ เศส (French East India Company) ที่รวมกำ�ำลัง
กบั กองทัพของกษตั รยิ โ์ มกลุ แห่งอนิ เดีย
องั กฤษชนะแลว้ ไดอ้ ำำ� นาจปกครองแควน้ เบงกอล
อังกฤษร่งุ อตุ สาหกรรมเรมิ่ ปฏวิ ตั สิ ู่ความกา้ วหน้ายุคใหม่
พ.ศ. ๒๒๙๓-๒๓๙๓ (ค.ศ. 1750-1850) เกิด ความเปลี่ยนแปลงนี้ สืบเน่ืองจากการคืนชีพของ
การปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ซง่ึ ศลิ ปวทิ ยาการต้งั แตป่ ี ๑๙๙๖/1453 จนกระท่งั เกิดการ
เรม่ิ ขึ้นในประเทศองั กฤษ โดยมีการประดษิ ฐ์คดิ คน้ การ ปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตรท์ เี่ ริ่มขึ้นเม่อื ปี ๒๐๘๖/1543 และ
พบแหล่งพลงั งานใหญอ่ ยา่ งใหม่ การใชเ้ ครอ่ื งจักรกล เช่น ดำำ� เนนิ ตอ่ มาตลอด ค.ศต.ท่ี ๑๖ และ ๑๗ ซง่ึ ทำำ� ใหป้ ระชาชน
เครอื่ งจักรทอผา้ เคร่ืองจักรไอน้�้ำำ เปน็ ตน้ มีการจัดตง้ั เกิดความต่ื นตัวทางปัญญายง่ิ ขึ้น จนทำำ� ให้ ค.ศต.ที่ ๑๘
โรงงาน นำ�ำไปสูก่ ารพัฒนาเทคโนโลยแี ละอุตสาหกรรม ไดช้ อ่ื วา่ เปน็ (ยคุ แหง่ ) การเรอื งปญั ญา (Enlightenment)
สบื ตอ่ มา
เม่ือมาประสานกบั การปฏวิ ัตอิ ุตสาหกรรมน้ี ก็
จากบน: ทำำ� ใหเ้ กิดความเปลี่ยนแปลงครัง้ ใหญ่ของวิถชี วี ิตในยุโรป
เครื่องจกั รทอผา้ ท้ังทางความคิด ความเชอื่ เศรษฐกจิ และสังคม มนุษย์
เคร่อื งจักรไอน้�้ำำ สมยั ใหม่พากนั เช่อื ในคตแิ หง่ ความกา้ วหนา้ (idea of
พระอบุ าลีเถระ progress) ว่าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะพามนุษย์ไป
สคู่ วามเจริญและสขุ สมบูรณย์ ง่ิ ขึ้นไปไม่มีทีส่ ิ้นสุด
154 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
องั กฤษสำำ� รวจโบราณสถาน หน้าตรงข้าม:
วอร์เรน ฮาสติงส์
บคุ คลเร่มิ แรกสำ�ำคญั ในด้านน้ี ท่ีจะเสรมิ ความรู้ จากซ้าย:
ประวัติศาสตรโ์ ลกโดยเชอ่ื มโยงตะวนั ตก-ตะวันออก ด้วย เซอร์ วิลเลยี ม โจนส์
เรอ่ื งการเดนิ ทพั ของอเลกซานเดอรม์ หาราช กบั อาณาจกั ร แซมมวล จอห์นสัน
กรกี /โยนกในอาเซยี กลาง คอื เซอร์ วลิ เลียม โจนส์ (Sir
William Jones) ผูพ้ พิ ากษาศาลฎีกาแหง่ กัลกัตตา
ทา่ นผนู้ ี้ เมอ่ื ปี ๒๓๑๗ ไดร้ ว่ มกบั แซมมวล จอหน์ สนั
(Samuel Johnson เปน็ ผชู้ ำำ� นาญงานพจนานกุ รม) เรง่ เรา้
ให้ผู้สำ�ำเรจ็ ราชการขององั กฤษ ท่ปี กครองอนิ เดียเวลาน้ั น
คอื วอรเ์ รน ฮาสตงิ ส์ (Warren Hastings) ดำำ� เนนิ งานสำ�ำรวจ
ซากโบราณสถานและสืบค้นหาเมอื งเก่าๆ ในอินเดยี จน
กระทง่ั ตอ่ มาอกี ๑๐ ปี กม็ กี ารตงั้ อาเซยี สมาคมแหง่ เบงกอล
เกิดสยามวงศ์ในลังกาทวีป โปรตุเกสเป็นนักลา่ อาณานคิ มพวกแรกทมี่ าถงึ ลังกาทวปี อุปถัมภ์เรอื เดินสมุทร
ในปี ๒๐๔๘/1505 เมอื่ มอี ำ�ำนาจข้ึ นก็ไดข้ ่มเหงประชาชน (พวกดทั ช์นี้ ได้ชว่ ยชาวลงั กาทวปี รบขับไล่พวก
พ.ศ. ๒๒๙๓ (ค.ศ. 1750) เนอื่ งจากศาสนวงศใ์ น ฆ่าพระสงฆ์ ทำ�ำลายวดั บังคับคนให้เข้ารตี เปน็ คาทอลิก
ลังกาทวีปสญู สิ้น พระเจา้ กติ ติสิรริ าชสงิ หจ์ ึงทรงสง่ คณะ และขนทรพั ยไ์ ปเมอื งของตน รวมทง้ั ขนบลั ลงั ก์งาช้างของ โปรตุเกสออกไปจนหมดในปี ๒๒๐๑/1658 แตแ่ ลว้ พวก
ทตู มายังราชอาณาจกั รสยาม ในรัชกาลพระเจา้ อยหู่ วั กษตั รยิ ส์ ิงหฬไปยงั กรงุ ลิสบอน ดทั ชก์ เ็ ขา้ ครองดนิ แดนชายทะเลแทนทพ่ี วกโปรตเุ กส และ
บรมโกศ แห่งกรงุ ศรอี ยธุ ยา ขอพระสงฆไ์ ทยไปอุปสมบท แผศ่ าสนาครสิ ตน์ กิ ายโปรเตสแตนต์ แมจ้ ะไม่โหดร้าย
ชาวลังกา ได้พระอุบาลีเถระเป็นหวั หน้าคณะเดนิ ทางไป ตอ่ มา พระเจ้าราชสงิ ห์ที่ ๑ รบชนะโปรตเุ กส ขึ้น มากอย่างพวกโปรตุเกส ชาวสงิ หฬตอ้ งรบกับพวกดัทช์
ในปี ๒๒๙๖ พำ�ำนักทีว่ ัดบุพพาราม กรงุ แกนดี ประกอบ ครองราชย์ในปี ๒๑๒๔/1581 แต่พระองคไ์ ดท้ ำ�ำปติ ฆุ าต อีกเกือบ ๑๖๘ ปี จนพวกองั กฤษมาขับไล่ดทั ช์ไปใน
พธิ ีผกู สีมาแลว้ อุปสมบทกุลบตุ ร ฟืน้ สงั ฆะในลงั กาทวีป พระสงฆ์ว่าเปน็ อนนั ตริยกรรมแกไ้ ขไมไ่ ด้ จงึ ทรงหันไป ปี ๒๓๓๙/1796 แตแ่ ลว้ ในทสี่ ุด ณ วันที่ ๒ มีนาคม
ข้ึ นใหม่ เกิดเปน็ คณะสงฆ์อุบาลีวงศ์ หรอื สยามวงศ์ หรอื บำำ� รุงศาสนาฮนิ ดนู ิกายไศวะ และทำ�ำลายพระพทุ ธศาสนา ๒๓๕๘/1815 องั กฤษกป็ ลดพระเจ้าศรวี ิกรมราชสงิ ห์
สยามนกิ าย อันเป็นคณะสงฆ์ใหญ่ท่ีสุดในศรีลงั กาจน โดยเผาคมั ภรี ์ และฆา่ พระสงฆจ์ นหมดส้ิ น เชอื้ สายทมฬิ จากราชบลั ลงั ก์ เป็นอนั ส้ิ นวงศก์ ษตั รยิ ข์ อง
ปจั จุบัน สามเณรสรณงั กร ซงึ่ ได้รบั อุปสมบทในคราวน้ั น ลังกาทวปี และเอาประเทศเปน็ เมอื งขึ้นหมดสิ้น)
ได้รบั สถาปนาเป็นพระสังฆราชแหง่ ลังกาทวีป คร้ั นพระเจ้ากติ ติสิริราชสงิ หข์ ึ้นครองราชย์ จะ
ทรงฟน้ื ฟพู ระพทุ ธศาสนา จึงทรงสง่ คณะทูตไปยงั สยาม
พึงทราบเหตทุ ีส่ ังฆะในศรลี งั กาสูญส้ิ นว่า พวก ประเทศ ทัง้ น้ี โดยได้รบั ความรว่ มมอื จากพวกดัทช์ ช่วย
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 155
เสียกรงุ คร้ังท่ี ๒ สงั คมได้ คนที่จะมเี หย้าเรือน ตอ้ งได้บวชเรยี นเป็น “คน เสยี และทรงตัง้ พระราชโอรสพระองคน์ ้อยคือ เจา้ ฟา้
พระเจา้ ตากสนิ ก้เู อกราช ตัง้ กรงุ ธนบุรี สุก” ก่อน ปรากฏว่า ในรชั กาลน้ี ผ้ทู จ่ี ะเป็นขุนนางมียศ อุทุมพร กรมขนุ พรพินติ เป็นพระมหาอปุ ราช เพ่ือสืบ
ตอ้ งเปน็ ผทู้ ีไ่ ดบ้ วชแล้ว จึงจะทรงตัง้ ถงึ เจา้ นายในพระ ราชสมบัตติ ่อไป แตต่ ่อมา เมื่อพระเจ้าบรมโกศประชวร
พ.ศ. ๒๓๑๐–๒๓๒๕ (ค.ศ. 1767-1782) ท่ี กรงุ ราชวงศ์ก็ผนวชทกุ พระองค์ แต่ในลงั กาทวีป ศาสนวงศ์ หนกั เจา้ ฟ้าเอกทศั ก็ลอบลาผนวชมาตงั้ พระองค์เป็น
ศรอี ยธุ ยา ส้ิ นรชั กาลสมเด็จพระนารายณม์ หาราช ใน สูญส้ิ น พระเจ้ากติ ติสริ ิราชสงิ หจ์ งึ ทรงส่งสริ ิวัฒนอำ�ำมาตย์ อิสระอยู่ในวัง ครั้นเม่ือพระเจ้าบรมโกศสวรรคตในปี
ปี ๒๒๓๑/1688 แลว้ ผ่านมาอกี ๓ รัชกาล คือ สมเดจ็ เปน็ ราชทูตมาใน พ.ศ. ๒๒๙๓/1750 เพอ่ื ขอพระภิกษุ ๒๓๐๑/1758 แล้ว สมเดจ็ พระเจา้ อทุ ุมพรครองราชยไ์ ด้
พระเพทราชา (ต้นราชวงศส์ ดุ ท้ายของกรงุ ศรีอยุธยา คอื สงฆไ์ ปใหอ้ ุปสมบทบวชกลุ บตุ รท่ี น่ั น คณะสงฆ์ไทย มี ยงั ไมเ่ ตม็ ๒ เดอื น ทรงพระประสงคม์ ใิ หเ้ กดิ เหตเุ ดอื ดรอ้ น
ราชวงศพ์ ลหู ลวง, ๒๒๓๑–๒๒๔๖/1688-1703) พระเจา้ พระอบุ าลีเปน็ หวั หนา้ เดินทางไปในปี ๒๒๙๖ และได้ฟืน้ จึงถวายราชสมบัติแกเ่ จา้ ฟ้าเอกทัศ ซง่ึ ขึ้นครองราชย์
เสือ (สมเดจ็ พระสรรเพช็ ญท์ ี่ ๘ หรือขุนหลวงสรศกั ดิ์ สังฆะข้ึ นใหม่ เกิดเป็นคณะสงฆ์อุบาลีวงศ์ หรือสยามวงศ์ เปน็ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พระท่ี น่ังสรุ ิยาสนอ์ มรินทร์
โอรสของสมเดจ็ พระนารายณ์ แต่เป็นบุตรเลี้ยงของพระ หรือสยามนิกายสบื มา (“ขุนหลวงขี้เร้ือน”) ส่วนพระองคเ์ องเสด็จออกไปทรง
เพทราชา, ๒๒๔๖–๒๒๕๑/1703-1708) และสมเดจ็ ผนวชแลว้ ประทับท่วี ัดประดู่ คร้ั นพมา่ ยกทพั มาตกี รงุ
พระเจ้าอยหู่ ัวท้ายสระ (สมเด็จพระสรรเพชญท์ ี่ ๙ โอรส พระเจา้ บรมโกศครองราชย์อยู่ ๒๖ ปี มีพระราช ศรีอยธุ ยาใน พ.ศ. ๒๓๐๓ จึงไดล้ าผนวชออกมาชว่ ยแก้ไข
องค์ใหญข่ องพระเจา้ เสอื , ๒๒๕๑–๒๒๗๕/1708-1732) โอรสเปน็ เจา้ ฟา้ ชาย ๓ พระองค์ (มพี ระราชธดิ าทเี่ ปน็ เจา้ สถานการณ์โดยทรงออกวา่ ราชการแผ่นดนิ จนเมอื่ พม่า
รวม ๔๕ ปี เมือ่ จะขึ้นรัชกาลใหม่ เกดิ การแย่งราชสมบตั ิ ฟา้ หญงิ และพระราชโอรสพระราชธิดาท่ีเป็นพระองค์เจา้ ถอยทพั ไปแลว้ ทรงเหน็ พระเจา้ เอกทศั มพี ระอาการระแวง
เป็นศกึ กลางเมืองครัง้ ใหญท่ ี่สดุ ระหว่างพระราชอนุชาซึง่ อีกหลายพระองค)์ พระองคใ์ หญค่ ือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ กไ็ ดเ้ สดจ็ ออกผนวชอกี จงึ ไดพ้ ระนามวา่ “ขนุ หลวงหาวดั ”
เป็นกรมพระราชวงั บวร (พระมหาอปุ ราช) กบั พระราช กรมขุนเสนาพทิ กั ษ์ (“เจ้าฟ้ากงุ้ ”) ครัง้ หนึง่ ทำำ� ความผดิ (ตอ่ มา เมือ่ พม่ายกทพั มาอีก และกรุงใกล้จะแตกในปี
โอรสองคก์ ลางทีไ่ ดร้ บั มอบราชสมบตั ิ (พระองคใ์ หญไ่ ม่ ฉกรรจ์ถงึ โทษประหาร จึงทรงผนวชเพอ่ื พน้ ราชภยั และ ๒๓๑๐ ข้าราชการและราษฎรวงิ วอนให้ลาผนวชถึงกบั
ยอมรบั ราชสมบัติจงึ ออกผนวช) ในท่สี ุด กรมพระราชวัง เลยได้ทรงศึกษาธรรม กบั ทั้งทรงสามารถเชิงกวี ได้นพิ นธ์ เขียนหนังสือทูลเชิญใสใ่ นบาตรยามเสด็จออกบิณฑบาต
บวรชนะแลว้ ข้ึ นครองราชย์ เรยี กกันวา่ สมเดจ็ พระเจ้า วรรณคดเี รอื่ งนนั โทปนนั ทสตู รคำ�ำหลวง และพระมาลยั สตู ร กม็ ิได้ทรงยอมตามอกี )
อยูห่ วั บรมโกศ (สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ ๓, ๒๒๗๕– คำ�ำหลวง (ตอ่ มา ทรงนพิ นธก์ าพยเ์ หเ่ รอื และกาพยห์ อ่ โคลง
๒๓๐๑/1732-1758) และทรงกำ�ำจัดกวาดล้างขา้ ราชการ ท่ีขึ้นชอื่ ลอื ชาและเป็นแบบฉบับ, เจ้าฟา้ กุณฑล และ กษัตรยิ ์พม่า คอื พระเจา้ มงั ระ แหง่ กรุงองั วะ ได้
วังหลวงเสียมากมาย เปน็ เหตหุ นงึ่ ให้บา้ นเมอื งออ่ นแอลง เจ้าฟา้ มงกฎุ ซึ่งเป็นพระกนิษฐภคนิ ี กไ็ ด้ทรงนิพนธ์เร่ือง โปรดใหเ้ นเมยี วสีหบดี และมังมหานรธา ยกทพั มาตีกรุง
อิเหนาใหญ่ และอิเหนาเล็ก) เมอื่ ได้รับพระราชทาน ศรีอยธุ ยา ไดล้ อ้ มกรุงอยู่ ๒ ปี ในที่สุดกเ็ สยี กรงุ แก่พม่า
โดยท่ัวไป ในรัชกาลนี้ บ้านเมืองสงบสขุ การบวช อภยั โทษแล้ว ตอ่ มาไดเ้ ปน็ พระมหาอปุ ราช แต่ในที่สุด ได้ ในวันที่ ๗ เมษายน ๒๓๑๐ (จลุ ยุทธการวงศ์ ว่า ในปจี อ
เรียนคงจะได้เป็นประเพณีทางการศึกษาทีแ่ น่นแฟ้นข้ึ น ลอบเป็นช้กู บั พระมเหสอี งค์หนง่ึ จึงถกู ลงพระราชอาชญา ตอ่ ปีกนุ วนั อังคาร เดอื น ๕ ข้ึ น ๙ ค่่� ำำ) พมา่ เก็บกวาดคน
แลว้ ตามท่ีชาวบ้านถอื กันมาว่าคนท่ีบวชเรียนแล้วเป็น สิ้นพระชนม์ ส่วนพระราชโอรสพระองค์กลางคอื เจา้ ฟ้า และทรพั ย์สมบตั เิ อาไป เผาพระนครหมดสิ้น และทำำ� ลาย
ทิด (นา่ จะเป็น “ฑิต” ซึ่งกร่อนจาก “บณั ฑิต”) มีความรู้ เอกทศั กรมขุนอนรุ ักษม์ นตรี พระเจา้ บรมโกศทรงเหน็ ว่า แม้กระทง่ั กำำ� แพงเมือง เปน็ อวสานของกรุงศรีอยุธยาทไี่ ด้
ความคิดเปน็ ผ้ใู หญ่ พร้อมทจ่ี ะรับผดิ ชอบครอบครวั และ เป็นผโู้ ฉดเขลา จะพาใหบ้ ้านเมอื งพิบัติ จึงโปรดให้ผนวช เป็นเมืองหลวงมา ๔๑๗ ปี มกี ษตั ริย์ ๓๔ พระองค์
156 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
เม่อื ใกลท้ ่ี กรงุ จะแตก พระยาตาก ซึ่งมาชว่ ยรบ ท้งั สรู้ บกบั พมา่ ที่เขา้ มาเป็นคสู่ งคราม และแก้ปญั หา จากซา้ ย:
ปอ้ งกันพระนคร มองเห็นความอ่อนแอของผปู้ กครอง แว่นแคว้นขา้ งเคยี ง แต่กระน้ั นกท็ รงใส่พระทัยจัดการ พระเจ้าตากสิน
บ้านเมอื งและสถานการณท์ ี่จะรกั ษาไว้ไมอ่ ยู่ ได้ตดั สนิ ใจ บา้ นเมอื งใหส้ งบและรม่ เย็นม่ั นคงในทางสันติ ดงั ที่วา่ วัดอรุณ
นำำ� พลจำำ� นวนหน่งึ ตฝี ่าวงล้อมของพมา่ ออกไป แล้วยอ้ น พอเริม่ ตัง้ กรงุ ก็ทรงตัง้ หลกั ทางจติ ใจ ศลี ธรรม และการ
กลบั มากู้กรงุ กลบั ได้ แต่มองเห็นสภาพอนั ไม่เหมาะทีจ่ ะ ศกึ ษาใหแ้ กป่ ระชาชน เฉพาะอยา่ งยิ่ง จัดวัดต่างๆ ในกรุง สร้างสมดุ ภาพไตรภมู ิอนั วิจิตรขนาดใหญย่ ง่ิ และกองทพั
กลบั ฟ้นื คนื ข้ึ นเป็นราชธานี จงึ มาตั้งกรุงธนบุรี แลว้ เริ่ม ข้ึ นเปน็ วัดหลวง เลือกสรรพระภกิ ษุที่ทรงศีลทรงธรรม ทไ่ี ปตเี วียงจันทน์ไดเ้ มืองแล้วอญั เชญิ พระแก้วมรกตลงมา
เปน็ กษตั รยิ ป์ กครองในวนั ที่ ๒๘ ธนั วาคม ๒๓๑๐ ทรงปญั ญาอาราธนามาสถาปนาเปน็ สมเด็จพระสังฆราช ตอนปลายรัชกาล ทรงใฝพ่ ระทัยในการบำำ� เพ็ญกรรมฐาน
ตง้ั เปน็ พระราชาคณะ เปน็ ตน้ และโปรดให้รวบรวม มาก และท้ายสดุ ในปี ๒๓๒๕/1782 มีเรอ่ื งบันทึกมาว่า
ตลอดรชั กาลของพระเจา้ ตากสินมหาราช ๑๕ ปี คมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกจากหัวเมืองมาเลอื กคัดจัดเป็นฉบบั ทรงมพี ระสติฟนั่ เฟือน ถึงกบั ทรงพสิ ูจน์ความบริสุทธ์ขิ อง
เตม็ ไปดว้ ยการศึกสงคราม ทงั้ ปราบกก๊ ตา่ งๆ ของคนไทย หลวง แมจ้ ะไมท่ นั เรยี บรอ้ ยกอ่ นส้ิ นราชการ โปรดใหจ้ ดั พระสงฆด์ ้วยการใหด้ ำ�ำน้้� ำำ และเข้าพระทยั ว่าทรงไดเ้ ป็น
ที่แตกแยกและต้ังตัวกันขึ้นมายามบ้านเมืองระส่่� ำำระสาย พระอรยิ บคุ คล ทรงใหพ้ ระสงฆก์ ราบไหวพ้ ระองค์ และ
ลงโทษพระสงฆท์ ไี่ มย่ อมตาม ในกรงุ กเ็ รม่ิ เกดิ เหตวุ นุ่ วายจน
ตอ้ งระงับเรื่องโดยในวาระสดุ ท้ายพระองค์ถูกสำ�ำเรจ็ โทษ
เป็นอันส้ิ นรัชกาล
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 157
กปั ตนั คกุ เดินเรือไป โลกได้รู้จัก National Library of Australia
ทวีปออสเตรเลีย อังกฤษไดอ้ าณานคิ ม
พ.ศ. ๒๓๑๑ (ค.ศ. 1768) กปั ตนั คกุ (Captain
James Cook, เรยี กกันวา่ “Captain Cook”) ได้รับมอบ
หมายให้ไปที่เกาะตาฮีติ (Tahiti) เพ่ือราชการบางอย่างใน
งานทางดาราศาสตร์ แตม่ คี ำ�ำสั่งลับวา่ รฐั บาลอังกฤษให้
เขาหาทางยดึ ครองแผ่นดินทลี่ ือกันวา่ เปน็ ทวีปทางใตช้ อ่ื
วา่ Terra Australis เขาเดนิ เรือจากตาฮีติต่อลงไปทางใต้
ถงึ จะไมพ่ บทวีปลกึ ลับนั้น แต่ก็ไปถงึ นิวซีแลนด์ (New
Zealand) แล้วเลยไปทางตะวันตกจนพบแผ่นดินทีเ่ ป็น
ทวปี ออสเตรเลีย (Australia) ทำำ� ใหอ้ ังกฤษไดอ้ าณานคิ ม
อกี มากมาย เขาเดนิ ทางหลายเทย่ี วไปจนถึงฝั่งทวีป
อเมริกาเหนอื ในทีส่ ุด ถูกคนพื้นถ่ิ นฆา่ ตายทเ่ี กาะฮาวาย
158 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
องั กฤษใฝศ่ ึกษา ตั้งอาเซยี สมาคม เปน็ ผู้ได้ศกึ ษาเล่าเรยี นมากและมคี วามใฝ่รู้ยิ่งข้ึ นไป
การท่อี ังกฤษมาปกครองอนิ เดยี เมื่อมองในแงผ่ ล
พ.ศ. ๒๓๒๗ (ค.ศ. 1784) นกั ปราชญน์ กั ศกึ ษา
ชาวตะวันตกได้ตงั้ อาเซียสมาคมแห่งเบงกอลขึ้น เพอื่ ดี กท็ ำ�ำใหเ้ กดิ การศึกษารู้เรอื่ งราวแตโ่ บราณ จนกระทง่ั
เปน็ ท่ใี หช้ าวยุโรปผู้สนใจศิลปวิทยาของอาเซยี มาพบปะ ประวตั ศิ าสตรแ์ ห่งอารยธรรมของชมพูทวีปปรากฏเดน่ ชดั
หาความรู้กัน โดยเฉพาะในเรอ่ื งโบราณคดี เหรยี ญ ข้ึ นมา ดังเช่นความเปน็ มาของพระพทุ ธศาสนาและเร่อื ง
กระษาปณ์ และศิลาจารกึ ตา่ งๆ พรอ้ มทงั้ วรรณคดีและ พระเจา้ อโศกมหาราช ที่จมซอ่ นอยใู่ ตผ้ ืนแผ่นดนิ และจาง
ตน้ ฉบับบันทึกทงั้ หลาย หายไปหมดแลว้ จากความทรงจำำ� ของชาวอนิ เดียเอง ก็ได้
ปรากฏขึ้นมาใหมด่ ้วยอาศัยการศกึ ษาค้นคว้าของชาว
ทัง้ นเี้ กดิ จากความดีพิเศษอนั เป็นส่วนทคี่ วร องั กฤษเหลา่ นี้
ยกย่องของชาวองั กฤษว่า แม้จะมขี อ้ เสยี ทีไ่ ปมีเมืองข้ึ น
แต่นักปกครองและนกั บริหารขององั กฤษแทบทกุ คน
ประเทศอเมริกาเพ่งิ เกดิ นกั ดาราศาสตรอ์ งั กฤษ พบดาวมฤตยู
พ.ศ. ๒๓๑๘-๒๖ (ค.ศ. 1775-83) เกิดปฏิวตั ิ พ.ศ. ๒๓๒๔ (ค.ศ. 1781) เซอร์ วลิ เลยี ม เฮอเชล
อเมริกัน (American Revolution) เปน็ สงครามกับ (Sir William Herschel) นักดาราศาสตรช์ าวองั กฤษ
องั กฤษ เพื่อปลดเปลอ้ื งอเมริกาให้พ้นจากการเป็นอาณา (เกิดในเยอรมนี) ค้นพบดาวเคราะห์ที่ต่อมาเรียกวา่
นคิ มคอื เมอื งข้ึ นของอังกฤษ ซ่งึ ใชเ้ วลา ๘ ปีคร่งึ โดย “ดาวมฤตย”ู (Uranus) ซึ่งอยู่ห่างดวงอาทติ ยป์ ระมาณ
ประเทศสหรฐั อเมริกา เกิดข้ึ นดว้ ยการประกาศอสิ รภาพ ๒,๘๗๐ ล้าน กม. เปน็ ลำำ� ดับท่ี ๗ ในบรรดาดาวเคราะห์
ณ วันท่ี ๔ กรกฎาคม ๒๓๑๙/1776 ทัง้ ๙ เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง ๕๒,๒๙๐ กม. หมนุ รอบดวง
อาทติ ยร์ อบละ ๘๔.๐๗ ปี
อทิ ธพิ ลใหญ่ตอ่ โลกเวลาน้ี
หน้าตรงขา้ มจากซา้ ย:
พ.ศ. ๒๓๑๙ (ค.ศ. 1776) อดัม สมิธ (Adam กปั ตันคกุ
Smith) ชาวสกอต พมิ พเ์ ผยแพร่ Wealth of Nations อนสุ าวรยี ์เทพเี สรีภาพ
อันเป็นหนังสอื ท่ีมีอิทธพิ ลอย่างย่ิงตอ่ ระบบทุนนิยมที่ หนา้ นจี้ ากซา้ ย:
ครอบงำำ� โลกยคุ ปัจจุบัน จอรจ์ วอชิงตัน
อดัม สมิธ
ระฆังแหง่ เสรภี าพ
วลิ เลียม เฮอเชล
Wealth of Nations
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 159
จากซา้ ย:
พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก
พระบรมมหาราชวัง
หน้าตรงข้ามจากซา้ ย:
กฎหมายตราสามดวง
วดั พระเชตพุ นฯ
“... ยอยกพระพทุ ธศาสนา รตั นโกสนิ ทร์ มหนิ ทรายธุ ยา มหาดลิ กภพ นพรตั นราชธานี
ป้องกันขอบขณั ฑสีมา บูรรี มย์ อดุ มราชนเิ วศน์มหาสถาน อมรพมิ านอวตารสถิต
รกั ษาประชาชนและมนตร”ี สักกะทตั ติยวษิ ณกุ รรมประสิทธิ์”; เฉพาะ “อมรรัตน
โกสนิ ทร”์ ในรชั กาลท่ี ๔ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปลย่ี นจากคำำ�
พ.ศ. ๒๓๒๕ (ค.ศ. 1782) วันท่ี ๖ เมษายน ที่ เดิมวา่ “บวรรตั นโกสนิ ทร์”
ประเทศไทย พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลก
มหาราช เสดจ็ ขึ้นครองราชย์ เปน็ ปฐมกษัตริยแ์ ห่ง ในรัชกาลน้ี (๒๓๒๕–๒๓๕๒/1782-1809) พม่า
ราชวงศ์จกั รี แลว้ ทรงยา้ ยเมอื งหลวงมาตัง้ ท่ี กรงุ เทพฯ ซงึ่ ก็ยังยกทพั มาตีอย่างต่อเนือ่ ง แต่ไทยกช็ นะในสงคราม
ทรงสรา้ งขึ้นบนฝง่ั ตะวนั ออกของแมน่ ้�้ำำเจ้าพระยา โดย ใหญท่ ุกครั้ง เริ่มตงั้ แต่สงครามเก้าทัพใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ซง่ึ
มีวัดพระศรรี ัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง เปน็ พระเจา้ ปดงุ มกี ำำ� ลงั พลถงึ แสนส่หี มื่นสี่พนั คน จดั เปน็ ๙
ท่ปี ระดษิ ฐานพระพุทธมหามณีรตั นปฏมิ ากร พระแกว้ ทัพ ยกมาตี ๕ ทาง วางกำำ� หนดจะตีกรุงเทพฯ พรอ้ มกนั
มรกต เร่ิมยคุ รตั นโกสินทร์ จากทกุ ดา้ น แตพ่ มา่ มาไมถ่ ึงกรงุ เทพฯ ไทยมีกำำ� ลังเพียง
เจ็ดหม่ื นเศษ จดั เป็น ๔ ทพั กต็ ที ัพพม่าแตกกลับไป โดย
กรุงเทพฯ มีช่ือเตม็ วา่ “กรงุ เทพมหานคร อมร เผด็จศึกท่ีสนามรบทงุ่ ลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี
160 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
ธนบรุ ี กรุงเทพมหานครฯ
แมน่ ้�้ำำเจา้ พระยา
แม้ว่าบ้านเมอื งยังมีศึกสงครามมากมาย ก็ทรง จากการท่ีบ้านเมอื งยุง่ กบั ศึกสงครามระส่่� ำำระสาย พระสงฆแ์ ละคฤหัสถ์ทำ�ำกจิ พิธีมคี วามสมั พนั ธต์ ่อกนั และ
มีพระทยั มงุ่ บำ�ำรงุ ประโยชน์สุขของประชาราษฎร์ เร่มิ กวา่ จะก้บู ้านกเู้ มืองข้ึ นมาฟน้ื ฟูจดั ใหเ้ ขา้ รูปได้ ไม่นอ้ ย ประพฤตกิ ารทั้งหลายในทางพระศาสนาให้ถูกต้อง เฉพาะ
ด้วยด้านที่สำ�ำคัญ งานรวบรวมพระไตรปิฎกที่พระเจา้ กว่า ๒๐ ปี ราษฎรแตกกระสานซ่านเซน็ ยากแค้น เต็มไป อยา่ งยิ่งใหก้ ารบวชเปน็ เรือ่ งของการศกึ ษาเลา่ เรยี นตาม
กรุงธนบุรีไดท้ รงเริ่มไวย้ ังคา้ งอยู่ คร้ั นถงึ ปี ๒๓๓๑ โปรด ดว้ ยการปลน้ ฆ่าแย่งชิงเบยี ดเบียนกันสดุ ลำ�ำเค็ญ ไม่เปน็ วตั ถปุ ระสงค์ ดังความในกฎพระสงฆ์ฉบบั ที่ ๒ วา่ “...ถ้า
ให้อาราธนาพระสงฆป์ ระชุมทำำ� สังคายนา ครงั้ ท่ี ๙ (ครั้ง อันได้ศกึ ษาหรือคดิ การสรา้ งสรรค์ การบวชเรยี นกว็ ปิ ริต สามเณรรปู ใด มอี ายุสมควรจะอปุ สมบทแลว้ กใ็ ห้บวช
แรกของกรุงเทพฯ) เสร็จแลว้ คดั ลอกสร้างเปน็ พระ พระสงฆ์ขาดปัจจัยเคร่อื งอาศัยฝืดเคอื งเป็นอยู่ไม่ไหว เขา้ ร่่� ำำเรยี นคันถธรุ ะ วิปสั นาธุระ อยา่ ให้เท่ียวไปมาเรยี น
ไตรปฎิ กฉบับหลวง เรยี กว่า ฉบบั ทองใหญ่ (เดมิ เรยี กวา่ ลาสกิ ขาไปจำำ� นวนมาก แต่คนพวกหน่ึงกลบั บวชมาหา ความร้อู ทิ ธฤิ ทธ์ิใหผ้ ิดธุระทั้งสองไป .... จับได้ จะเอาตัว
ฉบับทองทบึ ) ประดษิ ฐานไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม เพื่อ เลี้ยงชพี โดยใชค้ วามเช่อื เหลวไหลไสยศาสตร์ล่อหาลาภ สามเณรแลชีต้นอาจารยญาตโิ ยมเปนโทษจงหนกั ” และ
เป็นหลกั ของแผน่ ดนิ (ต่อมาทรงสร้างเพ่มิ ๒ ฉบบั คือ การบวชมี แต่สารัตถะคือการเรียนหามไี ม่ พระองคไ์ ด้ กฎพระสงฆฉ์ บับที่ ๔ ว่า “… แต่นี้สืบไปเม่ือหน้า ห้าม
ฉบับรองทอง และฉบบั ทองชบุ ) ทรงสรา้ งและปฏสิ ังขรณ์ ตรัสแสดงพระบรมราโชบายว่า “ฝา่ ยพระพทุ ธจักรพระ อย่าให้มภี ิกษุโลเลละวฏั ะประนิบัด ... มิได้ร่่� ำำเรียนธุระ
พระอารามถึง ๑๓ แห่ง เช่นทรงสร้างวัดพระเชตพุ นฯ ราชอาณาจักรย่อมพรอ้ มกนั ทงั สองฝ่ายชวนกันชำ�ำระพระ ทงั สองฝา่ ย อยา่ ใหม้ ีได้เปนอนั ขาดทีเดียว” โปรดใหม้ ี
(จัดว่าเปน็ วัดประจำำ� รัชกาลท่ี ๑) ทรงฟ้นื วรรณคดที ถี่ กู สาศนา” ถงึ กับไดท้ รงตรากฎพระสงฆ์ รวม ๑๐ ฉบบั การสอนพระปริยตั ิธรรมในพระบรมมหาราชวงั ตลอด
เผาและสญู หายครัง้ กรงุ แตก เชน่ รามเกียรต์ิ อเิ หนา และ เพื่อกวดขันมิให้ภิกษุสามเณรประพฤติผดิ เพ้ยี นจากพระ จนวังเจ้านาย และบา้ นข้าราชการผใู้ หญ่ และทรงสบื ต่อ
อณุ รุท ธรรมวินยั มใิ หต้ ดิ หลงหรอื ชกั นำำ� คนในไสยศาสตร์ ใหท้ ้งั ประเพณีมพี ระราชปุจฉาถามคณะสงฆ์
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 161
เนปาลเสียเอกราช
พ.ศ. ๒๓๕๗-๒๓๕๙ (ค.ศ. 1814-16) เกดิ สงคราม
กรู ข่า ซง่ึ อังกฤษชนะแลว้ ผนวกเนปาลเข้ามาเป็นรัฐใน
อารักขา (protectorate; ได้เอกราชในปี ๒๔๖๖/1923)
ทหารกูรขา่
ฝร่งั เศสสู่ประชาธิปไตย ฝรง่ั เศสนำ�ำหนา้
พาระบบเมตรกิ แพรไ่ ปท่ัวโลก
พ.ศ. ๒๓๓๒-๒๓๕๘ (ค.ศ. 1789-1815) เกิด
การปฏวิ ตั ิฝรัง่ เศส (French Revolution) เปน็ การ พ.ศ. ๒๓๔๒ (ค.ศ. 1799) ท่ปี ระเทศฝร่งั เศส
เปลย่ี นแปลงทางการเมอื งทีล่ ้มลา้ งระบอบเกา่ ในฝรง่ั เศส หลังปฏิวตั ใิ หญ่ (French Revolution) ในปี 1789 แลว้
ซงึ่ มีขนุ นาง (nobility) และคณะบาทหลวงคาทอลิก ในปตี อ่ มา คือ 1790 มีการต้ังคณะกรรมการข้ึ นพิจารณา
(clergy) เป็นผปู้ กครองประเทศ มาสรู่ ะบอบการปกครอง แกป้ ญั หาการใช้มาตราช่ัง-ตวง-วัด ท่ยี งั ลักล่ั นสบั สน
โดยรัฐธรรมนญู ตามคำำ� ขวญั ว่า “Liberty, Equality,
Fraternity” (เสรภี าพ สมานภาพ ภราดรภาพ) อันถือ ครั้นถงึ ปี 1793 ณ วนั ท่ี ๑ ส.ค. ไดม้ ขี ้อยุตขิ ั้นตน้
กันว่าเป็นแบบอยา่ งของการปกครองแบบประชาธปิ ไตย ในการใชร้ ะบบเมตริก (metric system) เริ่มด้วยการช่ัง
น้�้ำำหนกั เปน็ กิโลกรัม (kilogram) ต่อมา ๑๐ ธ.ค. 1799
รฐั ธรรมนญู ฝรง่ั เศสเรมิ่ ท่ี คำำ� ปรารภวา่ ดว้ ยประกาศ จึงไดก้ ำำ� หนดคา่ ของมาตราลงไวใ้ นกฎหมายให้เป็นการ
แหง่ สิทธขิ องมนษุ ย์และพลเมอื ง (Declaration of แน่ชดั ลงไป จากนั้น ความนยิ มในระบบเมตรกิ นี้กแ็ พร่
the Rights of Man and Citizen) อันเป็นเอกสาร ขยาย
ประวตั ศิ าสตรส์ ำำ� คัญ
(อา่ นเร่อื งเตม็ ใน ภาคพเิ ศษ ทา้ ยเล่ม)
การปฏิวตั ิน้ี ทำ�ำใหป้ ระเทศฝร่งั เศสเปล่ียนจาก
ราชอาณาจกั รเปน็ สาธารณรัฐ แตก่ ารขึ้นครองอำำ� นาจ
ของพระเจา้ นะโปเลยี นได้แทรกค่ั นใหก้ ลับไปเป็นระบอบ
สมบรู ณาญาสทิ ธิราชยร์ ะยะหน่งึ
162 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
พม่าหมดอิสรภาพ การโจมตคี ่าย
ใกล้กรุงยา่ งก้งุ
พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๖๙ (ค.ศ. 1824-26) สงคราม
พมา่ รบอังกฤษครั้งแรก ตอ่ มาปี ๒๓๙๕ ก็มีสงครามคร้งั ท่ี
๒ แตล่ ะครัง้ เสยี ดินแดนไปเพมิ่ ข้ึ นๆ จนในทีส่ ุดปี ๒๔๒๙/
1886 พมา่ กก็ ลายเปน็ แคว้นหนง่ึ ในอนิ เดยี ขององั กฤษ
จนมาไดเ้ อกราชในปี ๒๔๙๑/ 1948
นะโปเลยี นเปลยี่ นโฉมยโุ รป ภาษามอื เพอ่ื คนหหู นวก ขยายโอกาส จากซา้ ย:
ในการศึกษาออกไปกวา้ งไกล นะโปเลียน
พ.ศ. ๒๓๔๗-๒๓๕๗ (ค.ศ. 1804-1814) ดยุคแห่งเวลลงิ ตนั
พระเจา้ นะโปเลยี นที่ ๑ จกั รพรรดิฝร่ังเศส (Napoleon พ.ศ. ๒๓๖๐ (ค.ศ. 1817) นักการศกึ ษาอเมรกิ ัน ยุทธการท่วี อเตอร์ลู
I; เดมิ เรียก Napoleon Bonaparte) แผ่อำำ� นาจไปทว่ั ชือ่ โธมัส แกลลอเดท (Thomas Hopkins Gallaudet) โธมสั แกลลอเดท
ผนื แผ่นดนิ ใหญข่ องทวปี ยุโรป ทำ�ำให้จกั รวรรดโิ รมนั อัน หลังจากไปยุโรปเพื่อศกึ ษาหาวธิ ีสอนเด็กหหู นวก ในทีส่ ุด
ศักดสิ์ ทิ ธิ์ถงึ กาลอวสานในปี ๒๓๔๙/1806 ไดพ้ อใจรบั เอาวิธีสอนภาษามือ หรือภาษาสัญญาณ (sign คนหหู นวกใหเ้ ปล่าแหง่ แรกของอเมรกิ า บตุ รชายทั้งสอง
language) จากฝรงั่ เศส คร้ั นถงึ ปี ๒๓๖๐ เขาไดต้ ้ัง ของเขาไดส้ ืบตอ่ และขยายงานกศุ ลในการสอนคนหหู นวก
แตส่ ุดท้าย นะโปเลยี นกไ็ ด้พา่ ยแพ้แก่กองทพั Hartford School for the Deaf ข้ึ นเป็นโรงเรียนสอน ใหเ้ จริญแพร่หลายยงิ่ ขึ้นไปอกี
องั กฤษของ ดยุคแหง่ เวลลิงตัน (Duke of Wellington)
ในยทุ ธการที่ วอเตอรล์ ู (Waterloo) เมอ่ื ปี ๒๓๕๘/1815
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 163
ในรชั กาลนี้ (๒๓๕๒–๒๓๖๗/1809-1824) อกั ษรเบรลล์ เพอื่ คนตาบอด
สมเดจ็ พระสงั ฆราช (ม)ี ได้ขยายหลกั สูตรการเรยี นภาษา ความกา้ วหนา้ สำำ� คญั ทางการศึกษา
บาลี จาก ๓ ชั้น (คอื เปรียญตร-ี โท-เอก) เป็น ๙ ประโยค และสื่อสาร
กำำ� เนดิ ธรรมยตุ ติกนิกาย พ.ศ. ๒๓๗๒ (ค.ศ. 1829) ที่ประเทศฝรั่งเศส
หลยุ ส์ เบรลล์ (Louis Braille) ตาบอดมาตง้ั แต่อายุ ๓
พ.ศ. ๒๓๗๒ (ค.ศ. 1829) ท่ปี ระเทศไทย ใน ขวบ ถงึ ปีน้ีมีอายุ ๒๐ ปี ไดพ้ ฒั นาวิธอี ่าน เขยี น (และ
รัชกาลที่ ๓ เจ้าฟ้ามงกุฎ (ร.๔ ก่อนครองราชย์) หลังจาก พิมพ์) หนังสือสำำ� หรับคนตาบอดได้สำ�ำเรจ็ เรยี กวา่ อักษร
โสกันต์แล้ว ได้ทรงผนวชเปน็ สามเณร ๗ เดอื น ต่อมา เบรลล์ เปน็ รอยนูนของจดุ ที่เรียงกนั อ่านด้วยการสัมผสั
ทรงผนวชเป็นพระภกิ ษใุ นปี ๒๓๖๗ ประทับทวี่ ัดมหาธาตุ
วิสาขบชู าหายไปคราวสิน้ อยธุ ยา อันเป็นท่สี ถิตของสมเด็จพระสังฆราช ทรงสอบได้เปรยี ญ
กลับฟื้นข้ึนมาเปน็ งานใหญ่ ๕ ประโยค ไดท้ รงเลอ่ื มใสในความเคร่งวินัยของพระ
ภกิ ษมุ อญชื่อซาย พุทธฺ วโํ ส (ได้เปน็ พระราชาคณะท่ี
พ.ศ. ๒๓๖๐ (ค.ศ. 1817) ทปี่ ระเทศไทย ใน พระสุเมธาจารย์ อยูว่ ดั บวรมงคล) มีพระประสงคจ์ ะ
รชั กาลท่ี ๒ (พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลยั ) ประพฤตเิ ครง่ ครดั เชน่ นั้น จงึ เสดจ็ ไปประทบั ทวี่ ดั สมอราย
มีความในพระราชกำ�ำหนดพิธวี ิสาขบชู า จ.ศ. ๑๑๗๙ วา่ (วัดราชาธวิ าส) ใน พ.ศ.๒๓๗๒ ทรงอุปสมบทใหม่ แลว้
“ทรงมีพระทัยปรารถนาจะบำ�ำเพ็ญพระราชกุศลให้มีผล กำำ� หนดดว้ ยการฝงั ลกู นิมิตผกู สมี าใหม่ของวดั สมอรายใน
วเิ ศษย่งิ กว่าที่ไดท้ รงกระทำำ� มา จงึ มพี ระราชปจุ ฉาถาม พ.ศ. ๒๓๗๖ ว่าเป็นการตงั้ คณะธรรมยตุ หรอื ธรรมยุต
คณะสงฆ์ มสี มเดจ็ พระสงั ฆราช (ม)ี เป็นประธาน ซึ่งได้ ตกิ นกิ าย (คณะธรรมยตุ ิกา ก็เรยี ก) จากนั้นได้เสด็จมา
ถวายพระพรถึงโบราณราชประเพณงี านวิสาขบชู าดงั สมยั ประทบั ณ วดั บวรนเิ วศ ถอื เป็นศูนยก์ ลางของคณะ
พระเจา้ ภาติกราช แห่งลังกาทวีป” เป็นเหตุใหท้ รงมี ธรรมยุตต่อมา
พระราชโองการกำำ� หนดวันพิธวี ิสาขบูชานกั ขตั ฤกษใ์ หญ่
คร้ังละ ๓ วัน จากซา้ ย:
รัชกาลที่ ๒
หลุยส์ เบรลล์
อักษรเบรลล์
164 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
วัดโพธ์ิมีจารึกสรรพวทิ ยา เปดิ แห่งแรกของไทย และเมื่อวนั ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ โดยชวี ติ สว่ นใหญไ่ ดเ้ สียสละบำ�ำเพญ็ ประโยชน์ให้แก่สังคม จากซา้ ย:
เป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของไทย (วนั คลา้ ยวนั พระราชสมภพของพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ ไทยมากมาย ตง้ั แตก่ ลางรชั กาลท่ี ๓ ตลอดรชั กาลที่ ๔ รชั กาลที่ ๓
เจ้าอยหู่ ัว) ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ มพี ธิ ีถวาย (๒๓๙๔–๒๔๑๑/1851-1868) จนถงึ ต้นรัชกาลที่ ๕ เป็น จารกึ วดั โพธิ์
พ.ศ. ๒๓๗๔ (ค.ศ.1831) ท่ปี ระเทศไทย ใน ประกาศนียบตั รของยูเนสโก (UNESCO) ข้ึ นทะเบยี น ผทู้ ำ�ำการผ่าตดั แผนปจั จบุ ันครง้ั แรก รเิ รม่ิ ปลกู ฝีป้องกนั หมอบรัดเลย์
รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด “จารกึ วดั โพธิ์” เป็นเอกสารมรดกความทรงจำ�ำของโลก ไข้ทรพิษ ตั้งโรงพมิ พ์หนังสอื ไทยครงั้ แรก ทำำ� ใหค้ นไทย
ใหป้ ฏิสังขรณ์วัดพระเชตพุ นฯ เปน็ คร้งั ใหญ่ และโปรดให้ (Memory of the World) แห่งภูมิภาคเอเชยี แปซฟิ ิก รู้จักสง่ิ พมิ พส์ มยั ใหมแ่ ละได้ประโยชนท์ างการศกึ ษาอยา่ ง
ประชุมนกั ปราชญร์ าชบณั ฑิตชว่ ยกนั แตง่ และรวบรวม มาก เชน่ พมิ พป์ ระกาศหา้ มสูบฝ่นิ ของทางราชการ ตำ�ำรา
สรรพวทิ ยามาจารึกลงบนแผน่ หิน ๑,๓๖๐ แผ่น ประดบั ในรัชกาลนี้ (๒๓๖๗–๒๓๙๓/1824-1850) ปลูกฝี คัมภรี ์ครรภร์ กั ษา ตำำ� ราเรียนภาษาอังกฤษ พระ
ไว้ตามผนังพระอโุ บสถ เสาระเบียงรอบพระอุโบสถ พระ นอกจากโปรดใหส้ ร้างพระไตรปิฎกฉบับหลวงเพมิ่ จำ�ำนวน ราชพงศาวดารไทย พงศาวดารจีน (เชน่ สามกก๊ ) นริ าศ
วหิ าร วิหารคด และศาลารายรอบพระมณฑป รวม ๘ ข้ึ นมาก ทรงสร้าง ทรงปฏิสงั ขรณพ์ ระอาราม และทรง ลอนดอน กจิ จานกุ จิ อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ปฏทิ นิ ภาษาไทย
หมวด เชน่ เร่ืองพระพทุ ธศาสนา ตำ�ำรายาและแพทยแ์ ผน ส่งเสรมิ การสรา้ งและปฏสิ ังขรณว์ ดั มากเป็นพิเศษแล้ว ตลอดจนหนังสือรายปี (บางกอกกาลันเดอร/์ Annual
โบราณ วรรณคดี สภุ าษิต และภาพฤาษีดดั ตน เรียกว่า ทรงขยายการบอกพระปรยิ ัตธิ รรมแกพ่ ระภกิ ษสุ ามเณร Bangkok Calendar) รายเดอื น (บางกอกรคี อรเ์ ดอร/์
“ประชมุ จารกึ วัดพระเชตพุ น” หรือเรยี กงา่ ยๆ ว่า “จารกึ ในพระบรมมหาราชวงั เต็มทัง้ ๔ มุขของพระท่ี นงั่ ดสุ ิต Bangkok Recorder) และจดหมายเหตุ เมื่อถงึ แกก่ รรม
วัดโพธิ์” ทำำ� ใหว้ ัดพระเชตุพนฯ ได้ชือ่ ว่าเป็นมหาวิทยาลยั มหาปราสาท โปรดใหจ้ า้ งอาจารย์บอกพระปริยตั ิธรรม ณ ๒๓ มิ.ย. ๒๔๑๔ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้า
ทกุ พระอารามหลวง พระราชทานอปุ ถมั ภแ์ กพ่ ระภิกษุ เจ้าอยูห่ วั ได้พระราชทานความชว่ ยเหลือเกีย่ วกับการศพ
สามเณรท่ีสอบได้ตลอดไปถงึ โยมบิดามารดา และโปรดให้ เพราะครอบครัวไม่มีแมแ้ ตเ่ งนิ คา่ ทำ�ำศพ
จา้ งอาจารย์สอนหนงั สอื ไทยแกเ่ ด็ก
หมอบรัดเลย์ ริเรม่ิ งานการแพทย์และ
การพิมพแ์ กส่ ังคมไทย
พ.ศ. ๒๓๗๘–๒๔๑๔ (ค.ศ. 1835-1871) ที่
ประเทศไทย หลังจากไดเ้ ริ่มมมี ิชชนั นารอี เมริกนั เข้ามาใน
พ.ศ. ๒๓๗๑ แล้ว ถงึ ปี ๒๓๗๘ มชิ ชันนารอี เมรกิ นั ทา่ น
หนึ่งที่คนไทยร้จู กั กนั ดใี นช่ือวา่ หมอบรดั เลย์ (Rev. Dan
Beach Bradley) ได้เขา้ มาทำ�ำงานเผยแพรค่ ริสตศ์ าสนา
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 165
ตงั้ โรงเรยี นอนุบาล ให้การเรยี น ไดข้ ้อยุติพอต้งั ทฤษฎี ต้ังฐานความคดิ ของคอมมิวนิสต์ ไว้ใน
เป็นประสบการณ์ ที่รา่ เริงเบิกบาน วา่ ชวี ิตประกอบขึ้นดว้ ยเซลล์ “The Communist Manifesto”
พ.ศ. ๒๓๘๐ (ค.ศ. 1837) ทป่ี ระเทศเยอรมนี พ.ศ. ๒๓๘๒ (ค.ศ. 1839) ท่ีประเทศเยอรมนี พ.ศ. ๒๓๙๑ (ค.ศ. 1848) ที่กรงุ ลอนดอน
นักการศกึ ษาเยอรมนั ช่อื เฟรอเบล (Friedrich Wilhelm นกั พฤกษศาสตร์ ชื่อ ชไลดึน (Matthias Jakob Schlei- ประเทศองั กฤษ สันนบิ าตคอมมิวนิสต์ (Communist
August Froebel) ตั้งโรงเรยี นอนบุ าล (kindergarten) den) กบั นกั สัตววทิ ยาช่อื ชวานน์ (Theodor Schwann) League) มมี ตริ ับ The Communist Manifesto
ขึ้นเปน็ แหง่ แรก โดยมุง่ หวังใหก้ ารเรียนเป็นประสบการณ์ รว่ มกันศกึ ษาจนลงความเหน็ ว่า ชีวิตนั้น ไมว่ ่าสตั วห์ รือ (Manifest des Kommunismus, “คำ�ำประกาศ
ท่ีเปน็ ไปเองแก่เด็กด้วยความร่าเริงสดใสเบิกบาน ผลงาน พืช ล้วนประกอบขึ้นดว้ ยเซลล์ กล่าวคอื เซลลเ์ ปน็ คอมมิวนิสต์” หรือ “คำ�ำแถลงปณธิ านคอมมวิ นิสต”์ ) ท่ี
เล่มสำ�ำคัญทส่ี ดุ ของเขาชื่อว่า The Education of Man องค์ประกอบพ้นื ฐานของชวี ิต ถอื กนั วา่ สองทา่ นนเี้ ป็น มาร์กซ์ (Karl Heinrich Marx) และเองเกลส์ (Friedrich
(1826) ผู้วางรากฐานแหง่ ทฤษฎวี ่าด้วยเซลล์ Engels) ไดเ้ ขยี นข้ึ น อนั เป็นการแถลงหลกั การ เจตจำ�ำนง
และแนวปฏิบัติการของคอมมวิ นิสต์ เรม่ิ ด้วยถอื วา่
ไดโนเสารเ์ พื่อนร่วมยคุ ของเตา่ หายไป ประวตั ิศาสตร์ คอื ประวตั ิการตอ่ สู้ของชนช้ั น กรรมกร
บ้างกลายเปน็ นก ท่วั โลกจะต้องรวมตัวกนั ทำำ� การปฏิวตั ิของคอมมวิ นิสต์
หมดจากโลกแตไ่ ดโนเสาร์ ในทีส่ ุด ชยั ชนะจะเปน็ ของชนกรรมาชพี การตอ่ สู้ของ
แตเ่ ตา่ ยงั อยูม่ าเปน็ คขู่ องกระตา่ ย ชนช้ั นจะจบสิ้น โดยคอมมวิ นสิ ต์จะเปน็ ทัพหนา้ ของชน
กรรมาชีพน้ั น ซ่ึงมาล้มลา้ งการยดึ ครองทรัพย์สินสว่ นตัว
พ.ศ. ๒๓๘๕ (ค.ศ. 1842) ก่อนน้ั น ไม่เคยมใี คร และยกชนกรรมาชีพข้ึ นเปน็ ผปู้ กครองอย่างไรก็ตาม ใน
ไดย้ นิ คำำ� ว่า “ไดโนเสาร์” หรอื แมแ้ ตเ่ คยนึกเคยคดิ ถงึ สตั ว์ ชว่ งเวลาระยะแรกทีป่ ระกาศน้อี อกมา ยงั ไมม่ ีอทิ ธพิ ล
อะไรอย่างนี้ จนกระทง่ั ถงึ ปี 1841 ทีป่ ระเทศอังกฤษ Sir เป็นท่สี นใจมาก มาร์กซแ์ ละเองเกลส์เก็บตัวเงียบอยู่
Richard Owen เชื่อมโยงเร่อื งราวไดค้ วามเขา้ ใจเป็นหลกั หลายปี จนกระท่งั ๑๖ ปตี ่อมา ในปี 1864/๒๔๐๗ มกี าร
ข้ึ นมา แล้วทำ�ำรายงานโดยเรยี กเปน็ ชอื่ รวมของสัตวเ์ หล่าน้ี ชมุ นมุ ตง้ั สมาคมคนงานนานาชาติข้ึ น (เรียกกนั ว่า “First
วา่ “Dinosauria” พิมพเ์ ผยแพร่คร้งั แรกในปี 1842 แล้ว International”) มารก์ ซจ์ ึงได้ข้ึ นมาเป็นผู้นำำ� ความคดิ
หลงั จากน้ั น ความสนใจและศึกษาในเร่ืองไดโนเสาร์ก็ และไม่ชา้ ลทั ธมิ ารก์ ซก์ ็แพร่ไปในประเทศตา่ งๆ บนผนื
ขยายแพร่หลายออกไป จนคนพดู คำำ� ว่า “dinosaur” กนั แผน่ ดนิ ทวปี ยุโรปอย่างรวดเร็ว
เปน็ สามัญ (อา่ นเรื่องเตม็ ใน ภาคพิเศษ ทา้ ยเลม่ )
จากบนซ้าย:
เฟรอเบล, ชไลดึน, ชวานน์
โอเวน, เองเกลส,์ มารก์ ซ์
166 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
สรา้ งเจดยี ์ใหญ่ ได้ภูเขาทอง ต่อมา มกี ารซอ่ มใหญโ่ ดยกรมชลประทานเปน็ ร. ๔ ทรงเรม่ิ พิธมี าฆบูชา
เจ้าการ ในปี ๒๔๙๓–๒๔๙๗/1950-1954 และครัง้ ลา่ สุด
พ.ศ. ๒๓๙๓ (ค.ศ. 1850) ทีป่ ระเทศไทย ใน ในปี ๒๕๐๙/1966 มีการบุโมเสกสีทองหมุ้ พระเจดยี บ์ น พ.ศ. ๒๓๙๔ (ค.ศ. 1851) ทีป่ ระเทศไทย ใน
รชั กาลที่ ๓ ทีว่ ัดสระเกศ พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้ ยอด สร้างพระเจดยี ์เล็กขึ้นสี่มมุ และซุม้ เจดยี ท์ ัง้ ส่ที ศิ รชั กาลที่ ๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ได้
เจา้ อยหู่ วั มีพระราชประสงคจ์ ะสร้างพระเจดยี ใ์ หญอ่ งค์ ทรงพระราชดำำ� ริถงึ ความสำ�ำคญั ของการประชมุ ใหญแ่ หง่
หน่ึง ให้เหมือน แต่ให้ใหญ่กว่า “พระเจดยี ์ภูเขาทอง” ท่ี บรมบรรพต (ภูเขาทอง) สงู ๗๖ เมตร กว้างโดย พระอรหนั ตสาวก ทเ่ี รยี กวา่ จาตุรงคสนั นบิ าต คราวที่
วดั ภูเขาทอง ท่ี กรงุ เกา่ แต่พ้ื นดินบรเิ วณน้ั นเป็นทีล่ ่มุ ก่อ เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลาง ๑๕๐ เมตร ฐานวดั โดยรอบ ๓๓๐ เมตร พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงพระโอวาทปาฏโิ มกข์ คือหลักคำำ�
พระเจดยี ข์ ึ้นไปก็ทรุดลงมาทุกที จนต้องหยดุ ทง้ิ คา้ งไว้ มีบันไดเวยี น ๒ ทาง บนั ไดขึ้นทางทิศใตม้ ี ๓๗๕ ข้ั น สอนสำ�ำคัญอนั เปน็ ใหญเ่ ป็นประธาน ดังนั้น ในปที ่ีเสดจ็
ไม่เป็นรูปพระเจดีย์ มแี ตก่ องอิฐ แลว้ ตน้ ไม้กข็ ้ึ นคลุมรก บนั ไดลงทางทิศเหนือมี ๓๐๔ ข้ั น ขึ้นครองราชย์น้ั นเอง จงึ โปรดใหจ้ ดั งานวนั มาฆบชู า ขึ้น
ตอ่ มา คำำ� ตน้ วา่ “พระเจดยี ”์ กห็ ายไป เหลอื แต่ “ภเู ขาทอง” เปน็ ครั้งแรก
คร้ั นมาในรัชกาลที่ ๔ ไดโ้ ปรดให้ซอ่ มแปลงภูเขา
กอ่ พระเจดยี ์ขึ้นไวบ้ นยอด โปรดเกลา้ ฯ ให้เปลย่ี นชอ่ื
ภูเขาทองวา่ “บรมบรรพต” เหมอื นอยา่ งพระเมรุบรม
บรรพตอนั เคยสรา้ งทท่ี ้องสนามหลวง และซ่อมต่อมา
ตลอดรัชกาล จนสำำ� เรจ็ ในรัชกาลท่ี ๕ พระบาทสมเดจ็
พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั โปรดให้อัญเชญิ พระบรม
สารีรกิ ธาตทุ ี่ได้รักษาไว้ในพระบรมมหาราชวงั ไปทรง
บรรจใุ นพระเจดยี ์ใหญ่ บนบรมบรรพต ใน พ.ศ. ๒๔๒๐
ต่อมา ในปี ๒๔๔๑/1898 อุปราชอังกฤษผ้ปู กครอง
อนิ เดีย ซง่ึ เคยอยูท่ ่ี กรุงเทพฯ และคนุ้ เคยกับพระองค์ ได้
ถวายพระบรมสารรี ิกธาตซุ ึ่งขุดพบที่เมอื งกบลิ พสั ดุ์ โปรด
เกลา้ ฯ ใหเ้ จ้าพระยายมราช (ป้ัน สขุ มุ ) ไปอญั เชิญมา
แล้วมีพระราชพิธีบรรจใุ นพระเจดยี ์บนยอดบรมบรรพต
เม่อื ๒๓ พ.ค. ๒๔๔๒ นับเป็นการบรรจคุ ร้งั ท่ี ๒
จากซ้าย:
ภูเขาทอง
รชั กาลท่ี ๔
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 167
องั กฤษอา่ นจารึกอโศกได้ จากซา้ ย:
เจมส์ ปรินเสป
สมาชิกสำำ� คัญคนหนึ่งของอาเซียสมาคมแห่ง อักษรพราหมี
เบงกอลนี้ คอื เจมส์ ปรินเสป (James Prinsep; ชว่ ง อกั ษรขโรษฐี
ชวี ติ ค.ศ. 1799-1840) ไดเ้ ปน็ เลขานุการของสมาคม
ต้งั แตป่ ี ๒๓๗๕ และเป็นบคุ คลแรกท่ีเพียรพยายามอา่ น
ตัวอักษรพราหมี และอกั ษรขโรษฐี จนอ่านศิลาจารึก
ของพระเจา้ อโศกมหาราชไดส้ ำำ� เรจ็ ในปี ๒๓๘๐
อังกฤษมาทำำ� สญั ญาค้าขาย อย่างนี้กับประเทศอื่นๆ ในยโุ รป ตลอดจนอเมริกาและ จากบนซ้าย: พระราชนิ ีวิกตอเรีย, เซอร์ จอหน์ บาวริง, ฟรานซสิ บี แซยร,์ ประธานาธบิ ดวี ิลสัน
ไทยเปดิ ประเทศรบั อารยธรรมตะวนั ตก ญป่ี นุ่ แม้วา่ ตามสนธสิ ญั ญานี้ ไทยจะตอ้ งเสยี เปรียบบาง
อยา่ ง และเกิดสทิ ธิสภาพนอกราชอาณาเขต (extrater-
พ.ศ. ๒๓๙๘ (ค.ศ. 1855) ท่ีประเทศไทย ใน ritoriality, extraterritorial rights) แต่เปน็ การก้าวฝา่
รชั กาลท่ี ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ไปในโลกยุคใหม่ทเ่ี วลานั้นประดาประเทศเจ้าอาณานคิ ม
กอ่ นครองราชย์ ไดผ้ นวชอยนู่ านถึง ๒๗ พรรษา ได้ทรง กำ�ำลังแผข่ ยายอำ�ำนาจ โดยไทยยอมเสยี สละบางอยา่ งทาง
ศึกษาพระธรรมวินัยจนเช่ยี วชาญ และทรงเรยี นรู้ กฎหมายและการเงิน เปน็ การผอ่ นผนั กันไมใ่ ห้เขากา้ วไป
วทิ ยาการสมัยใหม่ โดยทรงคบหาร้จู กั ชาวตะวนั ตกเป็น ใช้อำ�ำนาจทางทหารและความกดดันทางการเมืองเขา้ มา
อย่างดี ทรงชำำ� นาญทัง้ ภาษาบาลแี ละภาษาอังกฤษ ทรง ครอบงำ�ำ อยา่ งที่ทำ�ำกับประเทศขา้ งเคียงรอบเมืองไทย
จารกิ ไปไดเ้ ห็นชีวิตผู้คนและสภาพบ้านเมืองท่ัวไป เม่อื
เสดจ็ ขึ้นครองราชย์ จงึ ทรงรเิ รม่ิ การใหมๆ่ เปลยี่ นโฉมหนา้ เร่อื งของเมืองไทยน้ี มีข้อเทียบคล้ายกับประเทศ
ของบา้ นเมอื ง เรมิ่ นำำ� ประเทศไทยเขา้ สสู่ มยั ใหม่ โดยเฉพาะ ญ่ีปุน่ ซึง่ โชกุนได้ปิดประเทศเพราะปัญหาจากโปรตเุ กส
การเปิดประเทศ มสี มั พันธไมตรกี บั ประเทศตะวันตก และสเปนใน พ.ศ. ๒๑๘๒ (เมอื่ สมเดจ็ พระนารายณ์
ทวั่ ไป ท่เี ปน็ ก้าวใหญ่ คือ ในปี ๒๓๙๘/1855 นี้ พระ มหาราชประสตู ไิ ด้ ๗ พรรษา) และเปิดประเทศดว้ ยสนธิ
ราชินวี ิกตอเรีย (Queen Victoria) ไดท้ รงส่งเซอร์ จอหน์ สัญญากานากาวา/Treaty of Kanagawa กับอเมรกิ า
บาวริง (Sir John Bowring) เปน็ ผ้แู ทนพระองคเ์ ข้ามา ในปี ๒๓๙๗ (ก่อนไทยทำ�ำสญั ญาบาวรงิ ๑ ป)ี จบระยะ
เจรจาใหส้ ยามยกเลกิ ขอ้ จำ�ำกัดตา่ งๆ ทางการค้า ยอมให้ เวลา “sakoku”/national seclusion (1639-1854)
องั กฤษต้ังกงสุลในกรงุ เทพฯ เกดิ เปน็ สนธสิ ญั ญาบาวรงิ (1688-1855)
(Bowring Treaty) จากน้ั น ไทยกท็ ำำ� สญั ญาหรอื ขอ้ ตกลง
168 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
อนิ เดียเป็นเมืองข้ึนองั กฤษ เมือ่ อังกฤษปราบกบฎเสรจ็ ใน พ.ศ. ๒๔๐๑ ก็
ยุบเลกิ บริษัทอนิ เดียตะวนั ออกเสีย แล้วรัฐบาลองั กฤษ
พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) เมื่ออังกฤษปราบ กเ็ ข้าปกครองอนิ เดยี เองโดยตรง ใหอ้ นิ เดยี มฐี านะเป็น
อาณาจักรสกิ ขล์ งไดใ้ นปี ๒๓๙๒/1849 แล้ว อังกฤษ อปุ ราชอาณาจักร คอื เป็นเมอื งขนึ้ โดยสมบรู ณ์
โดย บริษทั อินเดยี ตะวนั ออก (British East India
Company) กไ็ ดป้ กครองอนิ เดยี หมดส้ิ น แตต่ ่อมาปี
๒๔๐๐ ทหารอินเดยี ทางภาคเหนอื ได้กอ่ กบฎขึ้นแล้ว
ราษฎรก็ร่วมดว้ ยขยายกวา้ งออกไป
ส่วนท่เี มืองไทย พระเพทราชาขบั ไลฝ่ รง่ั เศสออก ได้เปน็ ศาสตราจารย์แล้วมาเมืองไทยในปี ๒๔๖๖ เขา้ รับ ศึกษาโดยเด็กเปน็ ศนู ยก์ ลาง
ไปใน พ.ศ. ๒๒๓๑ (เมื่อสมเด็จพระนารายณม์ หาราช ราชการเป็นทปี่ รกึ ษาการต่างประเทศ ได้รับพระราชทาน
สวรรคต) ถงึ จะไม่ได้ปดิ ประเทศเปน็ ทางการอยา่ งญ่ีปนุ่ บรรดาศกั ด์เิ ปน็ พระยากัลยาณไมตร)ี ได้ไปเจรจาขอ พ.ศ. ๒๔๐๒-๙๕ (ค.ศ. 1859-1952) ชว่ งชีวิต
แตค่ วามสัมพันธ์ตา่ งประเทศกเ็ บาบางลงไป จนมาเปิด เปล่ยี นสญั ญากับประเทศต่างๆ ในยุโรปจนเสรจ็ ส้ิ นใน ของจอห์น ดิวอ้ี (John Dewey) นักปรชั ญาปฏบิ ตั นิ ยิ ม
ประเทศแกก่ ารค้าเสรีด้วยสนธสิ ญั ญาบาวริง/Bowring พ.ศ. ๒๔๖๘ (หลงั เสรจ็ ภารกิจ พระยากัลยาณไมตรถี วาย และนักการศึกษาอเมริกนั ผูท้ ำ�ำให้การศึกษาแบบ
Treaty กับองั กฤษในปี ๒๓๙๘ น้ี (หลังญป่ี ุ่นทำ�ำสญั ญา บังคมลากลบั อเมรกิ า ไปสอนท่ี ม.ฮาร์วาร์ด แต่ยังยนิ ดี กา้ วหนา้ (progressive education) ทห่ี นนุ แนวคิด
กบั อเมริกา ๑ ป)ี เรียกได้วา่ จบช่วงเวลาจำำ� กดั ความ เป็นข้าราชการของประเทศไทยโดยไม่รับเงินเดอื น) ให้เด็กเปน็ ศนู ยก์ ลาง (child-centered education)
สัมพันธ์ (1688-1855) โดดเดน่ เปน็ ท่ี นิยมข้ึ นมา
ทฤษฎวี ิวัฒนาการอันลือลั่น
เรื่องสทิ ธิสภาพนอกราชอาณาเขต ไดแ้ กไ้ ขเสรจ็
ในรชั กาลท่ี ๖ หลงั จบสงครามโลกคร้ังที่ ๑ ในสมัยที่ พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) ชารล์ ส์ ดารว์ นิ
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ (Charles Darwin) ชาวองั กฤษ ประกาศทฤษฎี
ทรงเป็นเสนาบดกี ระทรวงการตา่ งประเทศ โดยประธานา ววิ ัฒนาการ (theory of evolution) วา่ ดว้ ยการ
ธบิ ดอี เมรกิ นั (Woodrow Wilson) สนบั สนนุ ไดแ้ กส้ ญั ญา คดั เลอื กโดยธรรมชาติ อันลือลั่น และสั่นสะเทอื น โดย
ใหไ้ ทยเป็นประเทศแรกในปี ๒๔๖๓/1920 ตามมาด้วย เฉพาะต่อวงการครสิ ต์ศาสนา
ประเทศอื่นๆ คณะทูตพิเศษทไี่ ปดำ�ำเนนิ การเรือ่ งน้ีชว่ ง
ท้าย มีชาวอเมรกิ นั รวมอยู่ด้วย คอื ดร.ฟรานซสิ บี แซยร์ จากซ้าย:
(Francis B. Sayre, เปน็ บตุ รเขยของประธานาธิบดวี ลิ สนั ชาร์ลส์ ดารว์ ิน
จอหน์ ดิวอ้ี
สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 169
อเลกซานเดอร์ คนั น่ิงแฮม ความสนใจในเรอ่ื งประวตั ิศาสตรอ์ ินเดีย และชอบศกึ ษา
คนั นิ่งแฮม ผู้ได้ทำำ� คุณไว้ ในการฟน้ื พุทธสถาน โบราณวตั ถทุ ง้ั หลาย จึงลาออกมาเพือ่ อทุ ศิ เวลาให้แกก่ าร
ขุดค้นวัดวาอารามโบราณสถาน
อับราฮมั พ.ศ. ๒๔๐๖ (ค.ศ. 1863) องั กฤษตง้ั หน่วยงาน
ลนิ คอล์น สำ�ำรวจโบราณคดอี นิ เดยี เรียกว่า Indian Archaeo- ในปที ีไ่ ด้รบั แตง่ ตั้งในตำ�ำแหนง่ ดังกล่าว กไ็ ปทำำ� งาน
logical Survey โดยมี เซอร์ อเลกซานเดอร์ คนั นงิ แฮม ขดุ ฟน้ื ทตี่ กั สลิ า (กอ่ นหนา้ นที้ า่ นไดข้ ดุ คน้ มาแลว้ ทส่ี ารนาถ
170 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก (Sir Alexander Cunningham) เปน็ ผอู้ ำำ� นวยการคนแรก เม่ือปี ๒๓๘๐/1837 และที่สาญจีในปี ๒๓๙๓/1850
รวมทัง้ ทำ�ำการสำ�ำคัญในการขุดฟน้ื พทุ ธคยา; ท่านเกดิ
ท่านผ้นู มี้ ารับราชการทหารในอินเดยี ได้ ๒๘ ปี ถึง ค.ศ. 1814 ได้เป็นเซอร์ ค.ศ. 1887 ส้ิ นชพี ค.ศ. 1893)
ปี ๒๔๐๔ ขณะเป็นพลตรี กข็ อลาออก เพราะตัง้ แตร่ ะยะ
แรกทร่ี ับราชการทหาร เมอื่ ไดพ้ บกับเจมส์ ปรินเสป กเ็ กิด
สงครามกลางเมอื งจบไป อเมรกิ าไดเ้ ลกิ ทาส ทาสในรฐั ท่ีมีอย่แู ล้ว เขาคดิ ว่าบรรพบุรุษผูก้ ่อต้ังประเทศ
อเมรกิ ามุ่งใหร้ ะบบทาสค่อยๆ ลดจนหมดส้ิ นไปในทส่ี ุด
พ.ศ. ๒๔๐๔–๒๔๐๘ (ค.ศ. 1861–65) ทสี่ หรฐั จึงต้องปอ้ งกนั ไม่ใหร้ ะบบทาสน้ั นขยายออกไปยังถ่ิ นอ่ื น
อเมรกิ า เกดิ สงครามกลางเมอื ง ระหวา่ งรฐั ฝ่ายเหนือ เขาได้รับเลือกต้ังเปน็ ประธานาธบิ ดีในปี ๒๔๐๓ โดยไม่
เรียกวา่ “Union” กบั รัฐฝ่ายใต้ทถี่ อนตัวแยกออกไป ซ่ึง ไดเ้ สียงจากรัฐลกึ ภาคใต้ (Deep South) แม้แตค่ ะแนน
เรียกกลมุ่ ของตนวา่ “Confederacy” (ทางใต้เรยี ก เดยี ว และยังไม่ทนั ถึงวันปฏญิ าณตนเข้ารับตำ�ำแหนง่ (๔
สงครามนว้ี ่า “สงครามระหว่างรฐั ” แตท่ างเหนอื เรยี ก มี.ค. ๒๔๐๔) รัฐ South Carolina กป็ ระกาศถอนตวั แยก
เป็นทางการวา่ “สงครามกบฏ”) สงครามนีม้ ีเหตุปจั จยั ออกจากสว่ นรวมของประเทศ (ทเ่ี รยี กว่า Union, แยก
หลายอยา่ งสะสมมาหลายปี รวมทัง้ ปัญหาว่ารัฐบาลกลาง เม่อื ๒๐ ธ.ค. ๐๓) ตามดว้ ยรัฐอื่นในภาคใตอ้ ีก ๖ รฐั แล้ว
ควรมีอำ�ำนาจควบคมุ แคไ่ หน แตล่ ะรฐั ควรมีสทิ ธิ์เทา่ ใด แต่ ๔ ก.พ. ๐๔ ก็รว่ มกนั ตรารฐั ธรรมนูญของตน ซึง่ กค็ ลา้ ย
สำ�ำคัญทีส่ ดุ ก็คอื ปญั หาเร่ืองทาส ซึ่งรองรับเศรษฐกิจของ กับรฐั ธรรมนญู สหรัฐน่ั นเอง ตา่ งในขอ้ ท่รี บั รองสถาบนั
รฐั ภาคใต้ ว่าควรจะมีตอ่ ไป หรือจะเลิกเสีย และถา้ จะมี ทาสนโิ กร และเร่อื งสทิ ธขิ องรัฐ ตัง้ รฐั บาลช่วั คราวของ
หรือจะเลิก จะมีในรูปลักษณะไหน หรอื จะเลิกอย่างไร ตนเองขึ้น เปน็ Confederate States of America
(เรยี กง่ายๆ ว่า Confederacy) มที ี่ทำำ� การ มีธง มีเงนิ ตรา
อบั ราฮมั ลินคอลน์ (Abraham Lincoln) แสดง และเกบ็ ภาษเี อง พอถึง ๑๒ เม.ย. สงครามกลางเมอื ง
การต่อต้านระบบทาสมาตงั้ แต่ระยะแรกในชวี ิตการเมือง
แต่ไมถ่ ึงกับจะให้ล้มเลกิ โดยยอมรบั สิทธขิ องรฐั ทั้งหลาย
ทีจ่ ะจัดกิจการของตน ถอื ว่ารัฐธรรมนูญก็คมุ้ ครองระบบ
อดีตอนั รุง่ เรอื ง ท่ีไม่เหลือแมร้ ่องรอย
ดินแดนชมพูทวปี ที่พระพทุ ธศาสนาเคยรงุ่ เรอื ง
นับเฉพาะภาคเหนอื วัดตง้ั แตเ่ บงกอลข้ึ นไป ถึงบากเตรยี
หรอื จากแคว้นองั คะถึงโยนก เปน็ ระยะทางตัดตรงยาว
ราว ๒,๗๐๐ กโิ ลเมตร ตลอดชว่ งเวลา ๑,๗๐๐ ปี เตม็
ไปดว้ ยมหาอาณาจกั รต่างๆ มปี ราสาทราชวัง อนั ใหญ่โต
มโหฬาร และวัดวาอาราม สถานศึกษา มหาสถปู เจดีย์
ปชู นยี สถาน ท่ีวิจิตรงดงาม มากมายสดุ จะนับได้ แต่ใน
เวลาที่นกั โบราณคดีเหล่าน้เี รมิ่ ขุดค้น แทบไม่มรี อ่ งรอย
อะไรเหลืออยูเ่ ลยบนผืนแผ่นดนิ
(Civil War) ก็เรม่ิ ขึ้น และมรี ฐั แยกออกไปอกี ๔ รฐั รวม สังคมอเมริกนั ไปอีกนาน และความขัดแย้งนี้ นอกจากทำำ� โดยประชาชน เพอื่ ประชาชน” (“… government of
เป็นฝา่ ย Confederacy ๑๑ รฐั รบกนั ๔ ปี ถึง ๙ เม.ย. ให้อเมริกาสูญเสยี ประธานาธิบดที ี่ยง่ิ ใหญท่ ีส่ ุดท่านหนึ่ง the people, by the people, for the people, ...”)
๐๘ กองทัพฝา่ ยใต้ยอมแพ้ แต่อกี ๕ วนั ต่อมา (๑๔ เม.ย.) ไปแลว้ ก็ไดส้ ูญเสยี กำำ� ลังคนไปทั้งหมดถึง ๖๑๘,๒๒๒ ก็เปน็ คำำ� ที่กล่าวในสงครามกลางเมอื งน้ี คือในคำ�ำปราศรัย
ประธานาธบิ ดีลนิ คอล์นก็ถูกลอบสังหาร คน (ฝา่ ย Union สญู เสยี ๓๖๐,๒๒๒ คน โดยตายใน ณ สุสานสงครามกลางเมอื งอทุ ิศแก่ทหารที่ล้มตายไป ท่ี
การรบ ๑๑๐,๐๐๐ คน และฝา่ ย Confederacy สูญเสีย เมอื งเกตตีสเบอรก์ รฐั เพนซิลเวเนีย เมือ่ วนั ที่ ๑๙ พ.ย.
อย่างไรก็ตาม กอ่ นหน้าน้ั น ลินคอล์นไดเ้ ซน็ เหน็ ๒๕๘,๐๐๐ คน โดยตายในการรบ ๙๔,๐๐๐ คน และท้ัง 1863/๒๔๐๖ เรียกวา่ Gettysburg Address
ชอบการแก้ไขรัฐธรรมนญู ไปแลว้ โดยเพ่มิ อนบุ ัญญัติ สองฝา่ ยบาดเจบ็ อย่างนอ้ ย ๔๗๑,๔๒๗ คน) เปน็ สงคราม
ขอ้ ที่ ๑๓ ซ่ึงใหเ้ ลกิ ทาสตามความว่า “การเป็นทาส ก็ ทคี่ นอเมรกิ นั ตายมากทสี่ ดุ ยิง่ กวา่ ในสงครามใดๆ (ใน Gettysburg national cemetery
ดี การรับใช้โดยไม่สมคั รใจ กด็ ี มิใหม้ ใี นสหรฐั …” พอ สงครามปฏวิ ตั อิ เมรกิ นั คอื คราวประกาศอสิ รภาพจาก
ประธานาธบิ ดจี อหน์ สันรบั ตำำ� แหน่งแลว้ ก็รีบดำำ� เนนิ การ อังกฤษ ซึ่งจบในปี 1783/๒๓๒๖ คนอเมรกิ ันตายในการ
ให้อนุบัญญัติท่ี ๑๓ น้ั นไดร้ บั มติเห็นชอบ มผี ลบังคบั ใช้ รบ ๔,๔๓๕ คน, ในสงครามโลกครง้ั ท่ี ๑ ทหารอเมรกิ นั
ตงั้ แตว่ ันท่ี ๑๘ ธันวาคม ๒๔๐๘ ตายประมาณ ๕๓,๕๑๓ คน และในสงครามโลกครง้ั ที่ ๒
คนอเมริกนั ตายประมาณ ๒๙๒,๖๐๐ คน)
สงครามกลางเมอื งจบลง โดยเปน็ ความสำ�ำเร็จของ
ประธานาธิบดีลินคอล์นท่ีรักษาประเทศใหค้ งอยูร่ วมเปน็ วาทะหนง่ึ ของประธานาธบิ ดลี นิ คอลน์ ที่นำำ� มาอา้ ง
อนั เดียวได้ และชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ ลิกทาส แต่สงครามนี้ แม้จะ กนั บอ่ ยมาก โดยถอื วา่ แสดงความหมายของประชาธปิ ไตย
เลิกทาสได้ ก็ยังไม่สามารถแก้ปมของเรื่องท่ีซ้อนลึกลงไป ไดก้ ะทดั รดั ชดั เจน คอื ขอ้ ความวา่ “รฐั บาลของประชาชน
อกี ช้ั นหนงึ่ คอื ปญั หาการแบง่ แยกเหยยี ดผวิ ทจ่ี ะรงั ควาญ
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 171
จากรายงานของนกั สำ�ำรวจ: ชดั เจนวา่ พระพทุ ธศาสนาทนี่ ่ี (ท่ีเมอื งกบิลพสั ด)์ุ ได้ บางแหง่ กระดูกคนบา้ ง เหลก็ บ้าง ไม้บ้าง พระพุทธรปู
ความสญู สิ้นเพราะถูกทำ�ำลาย ถกู ทำ�ำลายล้างดว้ ยไฟและดาบ” บา้ ง ฯลฯ ถกู เอามารวมสุมกนั ไว้เปน็ กองมหึมา...”
นักโบราณคดีเหลา่ นบี้ ันทึกไว้ว่า สถานท่แี ละส่งิ นกั โบราณคดอี ีกคนหนงึ่ สำำ� รวจอกี ทห่ี นงึ่ เขยี นวา่ การทำ�ำลายวดั ใหญน่ ีค้ งต้องเกดิ ข้ึ นอย่างฉับพลนั
กอ่ สรา้ งเหลา่ น้ั นสูญสิ้นไปเพราะการทำำ� ลายของคน และ “การขุดค้นทุกท่ีทุกแห่งใกล้ๆ สารนาถ พบรอ่ งรอยของ และไมไ่ ดค้ าดหมาย เพราะ พ.ต.คิตโต ได้พบซากเศษ
เป็นการทำ�ำลายแบบแทบส้ิ นซากส้ิ นเชิง เชน่ ที่ Mr. Carl- ไฟทงั้ น้นั ตัวข้าพเจ้าเองก็พบไม้ทไ่ี หม้เกรียม และเมลด็ สง่ิ ของตามท่ตี า่ งๆ ในลักษณะที่ทำำ� ให้มองเหน็ เหตกุ ารณ์
lyle เขยี นไวใ้ นรายงานการสำำ� รวจโบราณคดี เล่ม ๑๘ ขา้ วสารทไี่ หมไ้ ฟดำ�ำไปครง่ึ ๆ คอ่ นๆ” พนั ตรี คติ โต (Major วา่ เกิดไฟไหม้ชนดิ ท่ีคนจดุ โหมเข้ามาฉบั พลนั ทันใด ทำำ� ให้
(Archaeological Survey Reports, vol.18) วา่ “พบ Kittoe) เล่าสรปุ ว่า “ทกุ แห่งถกู บกุ ปลน้ และเผา ไมว่ ่าจะ ภิกษทุ ั้งหลายต้องละทง้ิ อาหารท่ี กำ�ำลังฉนั อยู่ไปทันที
กระดกู คนมากมาย และวตั ถทุ ถ่ี กู ไฟไหมด้ ำ�ำเกรยี มนานาชนดิ เปน็ พระสงฆ์ กุฏวิ หิ าร หรอื พระพทุ ธรูปหมดไปดว้ ยกนั
อยตู่ ามหอ้ งชน้ั นอกและประตทู างเขา้ ออกทง้ั สองดา้ น เปน็ ที่
องค์กรขาวพิฆาตดำำ� รางวลั โนเบล (Nobel Prize) จากบนซ้าย:
เพอ่ื ผทู้ ำำ� คุณประโยชนอ์ นั ย่ิงใหญ่ คู คลักซ์ แคลน
พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) ท่ีรัฐเทนเนสซี (Ten- เหรียญรางวัลโนเบล
nessee) อเมริกา เกิดองค์กรลบั “คู คลกั ซ์ แคลน” พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) นกั เคมแี ละวิศวกรชาว อัลเฟรด โนเบล
(Ku Klux Klan) ซ่ึงถือการแบ่งแยกรงั เกียจผิวอยา่ ง สวเี ดน ชือ่ อลั เฟรด โนเบล (Alfred Bernhard Nobel)
รนุ แรง โดยทำ�ำงานขู่ ฆ่า รงั ควานคนผวิ ดำำ� และใครก็ตาม ประดิษฐ์ดินระเบิด (dynamite) สำำ� เรจ็ แต่เขาไมร่ ูส้ ึก
ท่จี ะใหค้ นดำำ� มสี ิทธิเทา่ เทียมกับคนขาว แตร่ าว ๑๐ ปี ชื่นชมกบั โชคลาภอยา่ งนั้น และไดส้ ละเงนิ ส่วนใหญต่ ง้ั
องค์กรนี้ก็ซบเซา ขึ้นเป็นกองทุนประเดมิ $9,200,000 เพ่ือใหจ้ ดั สรรเป็น
รางวัลประจำำ� ปีแกผ่ ู้ท่สี รา้ งสรรค์คณุ ประโยชน์ยงิ่ ใหญ่
หลังสงครามโลกครัง้ ที่ ๑ คู คลักซ์ แคลน ฟน้ื ให้แก่มนษุ ยชาติใน ๕ ดา้ น คือ ฟสิ ิกส์ เคมี สรรี วิทยา
ใหม่และยง่ิ ใหญข่ ้ึ นมาก ในปี 1924 มสี มาชิกถงึ ๔ ล้าน หรือการแพทย์ วรรณคดี และสันติภาพ กองทุนได้
คน ครองอำ�ำนาจการเมอื งอเมรกิ าถึง ๗ รฐั ขยายความ เพม่ิ พนู ข้ึ น และหลงั จากเขาสิ้นชีพแลว้ ครบปที ่ี ๕ จงึ มี
รงั เกยี จไปยังคนตา่ งชาติ ต่างนิกายศาสนาท้งั หมด ถือ การจัดมอบรางวัลทงั้ ๕ น้ั นเป็นครง้ั แรกเมือ่ ๑๐ ธ.ค.
อุดมการณ์ “White Supremacy” ชูป้าย “America ๒๔๔๔/1901 ต่อมาถงึ ปี ๒๕๑๒/1969 ไดจ้ ัดมอบรางวัล
for Americans” เพิม่ ขึ้นเปน็ สาขาที่ ๖ ทางเศรษฐศาสตร์ (เม่ือปี ๒๕๓๕
รางวัลหน่งึ ๆ มีมูลค่าประมาณ $1.2 ล้าน)
172 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
คันนง่ิ แฮมคิดถงึ ใคร ท่มี าเผา-ฆ่า แมแ้ ตต่ งั้ ใจไปขุดฟ้ืน บางแห่งกท็ ำำ� ไม่ได้ โดยเฉพาะที่ฝงั ศพมุสลิมมากแห่งกส็ รา้ งซ้อนขึ้น
ไวข้ า้ งบน ทับสถานทซี่ ่งึ ถกู ทำ�ำลายไปแล้วน้ั นเอง ทำำ� ใหไ้ ม่
นายพลคนั นิ่งแฮมร้สู กึ หงดุ หงิดขุ่นเคอื ง เพราะ สถปู เจดยี ์ ปชู นยี สถานท้งั หลายเป็นอันมาก เมื่อ สามารถจะไปขุดค้นดอู ะไรได้ กลายเปน็ อปุ สรรคสำ�ำคญั ท่ี
จะไปท่ีซากปรักหกั พงั ของพุทธสถานทไี่ หน กเ็ จอกระดูก ถกู ทำ�ำลายลงไปแลว้ ชาวมสุ ลมิ เตอร์กกน็ ำ�ำเอาวัสดจุ าก ขวางกั้นการขดุ คน้
ไหม้ดำ�ำและสง่ิ ทบี่ ง่ บอกถงึ การจดุ ไฟเผาทกุ แห่งไป ใคร สถานทที่ ่ี ทำำ� ลายไปแล้วน้ั น มาใชส้ รา้ งทีฝ่ งั ศพมสุ ลมิ ดงั
หนอท่ีมาห้�้ำำห่ั นขม่ เหงชาวพุทธผู้ไม่เบยี ดเบียนทำ�ำรา้ ยใคร ท่ี นายพลคนั นิง่ แฮมเขยี นไวว้ า่ “ทุกทศิ ของเมอื งพหิ ารจะ
ทำ�ำเหมือนอยา่ งทศี่ าลไต่สวนศรทั ธาของครสิ ต์ในสเปน เห็นท่ีฝงั ศพมสั ซุลหมา่ น (musulman เปน็ คำ�ำเตอรก์ ตรง
ไดท้ ำ�ำกับคนท่ีถูกหาวา่ นอกศาสนา ตอนแรกนายพลคัน กับคำำ� ว่ามุสลิมของอาหรบั ) ที่ขนาดย่อมก็สรา้ งด้วยอิฐ
นิ่งแฮมคงคิดว่าเป็นพวกพราหมณ์ เขาจงึ ใชค้ ำ�ำวา่ “พวก ขนาดใหญก่ ส็ ร้างดว้ ยกอ้ นหนิ ทีส่ ะกัดและแกะสลักแลว้
พราหมณ์ใจร้าย” (malignant Brahmans) ต่อมาก็ จากแหลง่ สามญั ของชาวมะหะหมดั คอื ซากสงิ่ ก่อสรา้ ง
ชดั เจนว่าเปน็ การกระทำ�ำของทพั มสุ ลิมเตอร์ก ของพทุ ธหรอื พราหมณ์ท่ถี กู ทำ�ำลายลงไปแล้ว”
เทคโนโลย:ี เครอ่ื งพมิ พด์ ดี เกดิ ทอ่ี เมรกิ า พม่าสร้างพระไตรปฎิ กฉบับหินออ่ น จากซา้ ย:
Remington No.1
พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) มคี นอเมริกันประดษิ ฐ์ พ.ศ. ๒๔๑๕ (ค.ศ. 1872) ทมี่ ัณฑะเลย์ ในพม่า Typewriter (1873)
เครอ่ื งพมิ พด์ ดี ไดส้ ำำ� เรจ็ ซงึ่ ทำำ� ใหผ้ ลติ เครอื่ งพมิ พด์ ดี เรมงิ ตนั พระเจา้ มนิ ดงทรงอปุ ถมั ภ์สงั คายนาคร้งั ที่ ๕ มีการแปล วดั มหรรณพาราม
(Remington) เคร่ืองแรกออกมาในเดอื นกันยายน 1873 พระไตรปฎิ กครง้ั ใหญ่ และโปรดใหจ้ ารึกพระไตรปฎิ กลง พระไตรปฏิ กหนิ อ่อน
ในแผ่นหินอ่อนสีขาวจบใน ๗๒๙ แผ่น พระเจ้ามนิ ดง
ในกรุง “โรงเรียนหลวงสำำ� หรบั ราษฎร” สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 173
เกิดกอ่ นท่ีวดั มหรรณพ์
พ.ศ. ๒๔๑๔ (ค.ศ. 1871) ทีป่ ระเทศไทย ใน
รชั กาลท่ี ๕ ดว้ ยพระบรมราชโองการ “โปรดเกลา้ ฯ จะให้
มอี าจารย์สอนหนังสือไทยและสอนเลขทุกๆ พระอาราม”
การศึกษาแบบสมัยใหมใ่ นประเทศไทยก็เร่ิมตงั้ ต้น ท้ังน้ี
โดยใหพ้ ระสงฆ์รบั ภาระชว่ ยการศกึ ษาของชาติ คร้ั นแล้ว
ใน พ.ศ. ๒๔๒๗ ก็โปรดใหต้ ัง้ โรงเรยี นหลวงสำ�ำหรบั ราษฎร
ขึ้นตามวดั เร่ิมท่ีวดั มหรรณพาราม เป็นโรงเรยี นแรก
ฝร่ังแตง่ หนังสือธรรมโด่งดงั ลทั ธิชงั ยิว vs. ลทั ธิยิวรกั ถ่ิน
พ.ศ. ๒๔๒๒ (ค.ศ. 1879) ทอี่ งั กฤษ เซอร์ เอดวนิ พ.ศ. ๒๔๒๔ (ค.ศ. 1881) ท่รี ัสเซยี พระเจ้าซาร์
อาร์โนลด์ (Sir Edwin Arnold) แต่งบทประพันธอ์ ัน อเลกซานเดอร์ ท่ี ๓ ขึ้นครองราชย์ นอกจากห้�้ำำหัน่
ไพเราะ แสดงพุทธประวตั ิและคำำ� ตรสั สอน ชื่อเรื่อง The (persecution) พวกโรมันคาทอลกิ แลว้ กด็ ำ�ำเนนิ การ
Light of Asia (ประทีปแหง่ ทวปี อาเซีย) ทำำ� ใหค้ นอนิ เดยี กวาดลา้ งยวิ ถึงขนาดปฏิญาณว่า จะกำำ� จดั ยวิ ใหห้ มด
และชาวตะวนั ตกจำ�ำนวนมากสนใจพระพุทธศาสนา บา้ งก็ ประเทศ โดยฆ่าเสีย ๑ ใน ๓ ขับไล่ออกไป ๑ ใน ๓ และ
ถึงกับหนั มานบั ถือ ท่ีเหลอื จากนั้นใหเ้ ปล่ียนศาสนา แลว้ ก็เริ่มต้นสังหารทีละ
มากๆ เปน็ เหตุให้ในระยะ ๓๐ ปตี อ่ มา คนยวิ อพยพหนี
ลอนดอน มีองคก์ รพิมพ์พระไตรปฎิ ก จากรสั เซียหลายลา้ นคนและทำำ� ใหเ้ กดิ ลทั ธไิ ซโอน (Zion-
ism คือ ลทั ธิมวลยิวรกั ถิ่น หรือขบวนการรวมมวลชนยวิ
พ.ศ. ๒๔๒๔ (ค.ศ. 1881) ท่อี ังกฤษ ท.ี ดับลิว. ทวั่ โลกร่วมใจคืนถ่ิ นสรา้ งดนิ แดนของตนในปาเลสไตน์)
รสี เดวดิ ส์ (T.W. Rhys Davids) ต้ัง Pali Text Society
(สมาคมบาลีปกรณ)์ ขึ้นในกรุงลอนดอน “to foster and การกวาดล้างยวิ ในรัสเซยี ดำ�ำเนินมาเร่อื ยๆ โดย
promote the study of Pali texts” ไดพ้ มิ พ์คัมภรี ์ แรงข้ึ นเปน็ ระยะๆ เช่น ชว่ งต่อมา ในปี ๒๔๔๖, ๒๔๔๘-
พระพุทธศาสนาภาษาบาลี เร่ิมแตพ่ ระไตรปฎิ กและ ๙ (1903, 1905-6) มีการสงั หารหมอู่ ยา่ งหนัก ย่งิ หลัง
อรรถกถา ด้วยอักษรโรมนั พร้อมทัง้ คมั ภีรแ์ ปล ตลอด สงครามโลกคร้งั ที่ ๑ แล้ว ทฐิ ิชังยิว หรือลทั ธติ ่อตา้ นยิว
จนพจนานกุ รมบาล-ี อังกฤษ อนั เกื้อกลู ตอ่ การศึกษา (anti-Semitism) กย็ ง่ิ รนุ แรงแผข่ ยายในยโุ รป กวา้ งออกไป
พระพุทธศาสนาเป็นอันมาก
ดูโลกปัจจบุ นั
จากบนซา้ ย: อย่ามองขา้ มนักเศรษฐศาสตร์ทา่ นน้ี
เซอร์ เอดวนิ อาร์โนลด์
ท.ี ดับลิว. รสี เดวิดส์ พ.ศ. ๒๔๒๖-๘๙ (ค.ศ. 1883-1946) ช่วงชวี ติ
พระเจา้ ซาร์ อเลกซานเดอร์ ที่ ๓ ของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes)
จอห์น เมยน์ ารด์ เคนส์ ชาวอังกฤษผ้เู ป็นนกั เศรษฐศาสตร์ทมี่ ีอทิ ธิพลมากท่ีสุด
พระไตรปิฎกปาฬิ จลุ จอมเกล้าบรมธมั มกิ มหาราช แหง่ ครสิ ต์ศตวรรษที่ 20
(ชุดทีไ่ ดร้ ับพระราชทานและเก็บรกั ษาไวใ้ นประเทศญป่ี ุน่ )
หน้าตรงขา้ ม:
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อย่หู วั
174 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
อเมรกิ าออกหนา้ รว่ มดว้ ยแคนาดา มโี รงเรียนแล้ว ต้องมโี รงพยาบาล
ชวนจดั เขตเวลาใชก้ นั ทั้งโลก เปน็ ฐานของชีวติ และสงั คม
พ.ศ. ๒๔๒๗ (ค.ศ. 1884) ทสี่ หรัฐอเมรกิ า และ พ.ศ. ๒๔๓๑ (ค.ศ. 1888) ท่ีประเทศไทย ใน
แคนาดา ย้อนหลังไปหลายปี กิจการรถไฟได้เจรญิ ข้ึ น รัชกาลท่ี ๕ “ได้เปิดโรงพยาบาลรักษาคนไข้เปน็ คร้ังแรก
ขยายออกไปๆ ทำำ� ใหก้ ารคมนาคมขนส่งไปทว่ั ถงึ กัน เมื่อวนั ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ตรงกับวันพฤหัสบดี
ความขยายออกไปของการเดนิ ทางรถไฟ กบั ความกวา้ ง แรม ๑ ค่�่ำำ เดอื น ๖ ปชี วด และเมื่อวนั ท่ี ๒๕ ธนั วาคม
ใหญข่ องดินแดน ๒ ประการน้ี ได้เปน็ เงอ่ื นไขที่บงั คบั พ.ศ. ๒๔๓๑ ไดพ้ ระราชทานนามว่า โรงศิรริ าชพยาบาล
ใหต้ ้องจัดการกำำ� หนดเวลา คอื ให้มีเวลามาตรฐาน ตามพระนามสมเดจ็ พระเจ้าลกู ยาเธอ เจ้าฟา้ ศริ ิราช
(standard time) และจัดตง้ั เขตเวลา (time zones) ซง่ึ กกธุ ภณั ฑ”์ (ประวตั กิ ระทรวงศกึ ษาธกิ าร ๒๔๓๕–๒๕๐๗,
ผู้แทนจาก ๒๗ ชาตไิ ด้มาประชุมที่กรุงวอชงิ ตนั ดซี ี และ หน้า ๖๕)
ตกลงรับระบบการจดั เขตเวลามาตรฐาน ในเดือน ต.ค.
1884/๒๔๒๗ ใช้ ร.ศ. แทน จ.ศ.
(อา่ นเรอ่ื งเต็ม ใน ภาคพิเศษ ท้ายเล่ม) พ.ศ. ๒๔๓๒ (ค.ศ. 1889) ตง้ั แต่วันที่ ๑ เมษายน
เปน็ เริ่มตน้ ท่ีประเทศไทย ในรัชกาลที่ ๕ โปรดใหใ้ ช้
ไทยพมิ พพ์ ระไตรปฎิ กเป็นเลม่ หนังสอื รตั นโกสนิ ทรศก เปน็ ศกั ราชทางราชการ แทน “จลุ ศกั ราช”
ชุดแรกของโลก ซง่ึ ใช้กันสืบมายาวนาน (เปน็ การใชอ้ ย่างพม่า) ดงั นั้น ๑
เมษายน จ.ศ. ๑๒๕๑ (พ.ศ. ๒๔๓๒) จงึ เปลี่ยนใช้วา่ ๑
พ.ศ. ๒๔๓๑ (ค.ศ. 1888) ทป่ี ระเทศไทย พระบาท เมษายน ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. = ร.ศ. + ๒๓๒๔; พ.ศ. = จ.ศ.
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ร.๕ โปรดให้พิมพ์พระไตรปิฎก + ๑๑๘๑; จ.ศ. = ร.ศ. + ๑๑๔๓)
บาลี ด้วยอักษรไทย เป็นเลม่ หนงั สือสมยั ใหม่ อันนับวา่
เปน็ คร้งั แรกของโลก จบละ ๓๙ เล่ม (ยงั ขาดปัฏฐาน)
๑,๐๐๐ ชดุ เสรจ็ และฉลองในปี ๒๔๓๖ พรอ้ มกับ
รชั ดาภิเษก แลว้ สง่ ไปพระราชทานแกน่ านาประเทศ
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 175
จากซ้าย: อนาคารกิ ธรรมปาละ พ.อ. ออลคอตต์ อนาคาริก ธรรมปาละ พระพทุ ธศาสนา โดยครองตนเปน็ อนาคารกิ เพอื่ ใหท้ ำำ� งาน
ผนู้ ำ�ำการฟน้ื ฟูพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย ได้สะดวก และใช้ชือ่ ใหมว่ า่ อนาคาริก ธรรมปาละ
พ.ศ. ๒๔๓๔ (ค.ศ. 1891) อนาคารกิ ธรรมปาละ ณ วนั ที่ ๒ มกราคม ๒๔๓๔ หลงั จากเยอื นสารนาถ
(Anagarika Dharmapala) ชาวลังกา เกดิ เมอื่ พ.ศ. ธรรมปาละได้มาที่พุทธคยา เมือ่ เห็นสภาพของอภิ
๒๔๐๗=ค.ศ. 1864 ในตระกูลผู้ดีลงั กาทีเ่ ปลย่ี นไปนบั ถอื สัมพทุ ธสถานทถี่ กู ทอดท้ิงทรดุ โทรมและตกอยใู่ ต้การ
คริสต์สมัยเปน็ อาณานิคมของอังกฤษ เดิมช่ือ David ครอบครองของพวกนกั บวชฮนิ ดทู เ่ี รยี กวา่ มหนั ตแ์ ลว้ ได้
Hewavitharne ปฏญิ าณตอ่ หน้าต้นพระศรมี หาโพธ์ิ วา่ จะอุทศิ ชวี ิตของ
ตนเพ่อื กู้พุทธสถานสำำ� คญั น้ั นกลับคนื ข้ึ นมาส่คู วามเป็น
ตอ่ มา David ไดเ้ รยี นรู้จักพระพทุ ธศาสนาจาก ทัศนยี ปูชนยี สถานให้จงได้
ชาวอเมริกนั ชอ่ื พ.อ. ออลคอตต/์ Col. H.S. Olcott จึง
หนั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา และเมอ่ื ไดร้ สู้ ภาพพระพทุ ธ
ศาสนาท่ถี กู เบียดเบียนตา่ งๆ จงึ ไดต้ ัง้ ปณิธานท่จี ะฟ้ืนฟู
วทิ ยาลัยแหง่ แรกของไทย มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ประกาศตงั้ เป็น
มหาวิทยาลัยฝ่ายพระพทุ ธศาสนา ๙ ม.ค. ๒๔๙๐ เปิด
พ.ศ. ๒๔๓๒ (ค.ศ. 1889) ทป่ี ระเทศไทย พระบาท การศกึ ษา ๑๘ ก.ค. ๒๔๙๐ ให้ปริญญาพุทธศาสตร
สมเด็จพระจลุ จอมเกล้าฯ ร.๕ โปรดให้ยา้ ยท่รี าชบัณฑติ บณั ฑติ มฐี านะสมบูรณต์ ามกฎหมายเมอื่ รัฐตรา พรบ.
บอกหนงั สอื พระ จากในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ออกมา มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐
จัดเป็นบาลีวิทยาลยั ขึ้นทีว่ ัดมหาธาตุ เรยี กวา่ “มหาธาตุ
วิทยาลยั ” เป็นคร้งั แรกทใ่ี ช้นามวิทยาลัยในประเทศไทย จากบน:
อาคารถาวรวัตถุ
ตอ่ มา ณ ๑๓ ก.ย. ๒๔๓๙ เสดจ็ ไปทรงวางศลิ า สงั ฆเสนาสนร์ าชวิทยาลัย
ฤกษ์สงั ฆเสนาสน์ราชวิทยาลยั ประกาศพระราชปรารภ หนา้ ตรงข้ามจากบน:
เปล่ียนนามมหาธาตุวิทยาลยั เป็น “มหาจฬุ าลงกรณ สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้าฯ
ราชวทิ ยาลยั ” ใหเ้ ป็นทศ่ี ึกษาพระปริยัตธิ รรมและวชิ า มหามกฏุ ราชวิทยาลัย
ช้ั นสูง
176 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
ตง้ั มหาโพธสิ มาคมเป็นฐาน ต่อมาเรม่ิ จดั คณะไปนมสั การพทุ ธคยา และพุทธ
เริม่ งานฟืน้ พุทธสถาน สถานอื่นๆ เปน็ ครง้ั แรกในเดอื น ธ.ค. ๒๔๓๗ แลว้ ในเดอื น
ก.พ. ๒๔๓๘ ได้นำำ� พระพุทธรูปเขา้ ไปตั้งบูชาในพระเจดีย์
ณ วนั ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๓๔ น้ั นเอง กไ็ ด้ตง้ั พทุ ธคยา (พระพุทธรูปองคน์ ้เี ปน็ แบบญปี่ ุ่น) แตค่ นของ
Maha Bodhi Society (มหาโพธสิ มาคม) แห่งแรกขึ้น ฮินดูมหนั ต์ไดน้ ำำ� พระพทุ ธรูปน้ั นออกมาทิง้ ขา้ งนอก เรื่อง
มาเป็นฐานในการทำำ� งาน ให้ชอ่ื วา่ Buddhagaya Maha เปน็ ความขึ้นศาลกนั และพยายามกันตอ่ มา จนใน ต.ค.
Bodhi Society (พุทธคยามหาโพธิสมาคม แตต่ ้งั ข้ึ นที่ ๒๔๔๔ แมช้ าวพทุ ธจะได้อสิ รภาพในการเขา้ ไปบูชาใน
ลังกา) จากนั้นได้มุ่งมั่นทำ�ำงานเพ่อื จุดหมายทีต่ ั้งไว้ ต้อง พระพทุ ธคยาเจดยี ์ แต่องค์พระเจดียก์ ็ยังเป็นทรพั ย์สนิ
เดินทางไปในประเทศต่างๆ มาก โดยเฉพาะไปเผยแผ่ ในความดแู ลของฮนิ ดูมหนั ตก์ บั รฐั บาล คณะของทา่ น
ธรรมในอเมรกิ า (แวะเมอื งไทย ก.พ. ๒๔๓๗) ตลอดจนไป ธรรมปาละทำ�ำไดเ้ พียงซื้อทีส่ ร้างที่พักไวใ้ กลๆ้
รว่ มประชมุ สภาศาสนาโลกที่ชิคาโกใน ก.ย. ๒๔๓๖ (the
1893 World’s Parliament of Religions in Chicago) ตอ่ มาไม่นานไดซ้ ้อื ท่เี พอื่ สร้างวิหารทส่ี ารนาถ จน
กระทัง่ สรา้ งมลู คนั ธกุฏีวิหารเสร็จที่นั่นในปี ๒๔๗๓
ต้งั กระทรวงธรรมการ ให้ธรรมะ มหาวทิ ยาลัยสงฆ์แห่งแรก
คุมศาสนา และเปน็ แกนของการศึกษา ในประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๓๕ (ค.ศ. 1892) วันที่ ๑ เมษายน ท่ี พ.ศ. ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1893) ทปี่ ระเทศไทย
ประเทศไทย ในรัชกาลที่ ๕ มีพระบรมราชโองการ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าฯ ร.๕ เสดจ็ ไปทรงเปิด
ประกาศตงั้ กรมธรรมการขึ้นเป็น “กระทรวงธรรมการ” “มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ” ทส่ี มเด็จพระมหาสมณเจา้
(พรอ้ มกับกระทรวงอื่นๆ รวมเป็น ๑๐ กระทรวง) ให้รบั กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสทรงจัดตง้ั ข้ึ น
ผดิ ชอบการศึกษาทงั้ ฝ่ายบา้ นเมอื งและพระศาสนาเนอื่ ง
อยู่ในนโยบายอนั เดยี วกนั โดยก่อนน้ี ในปี ๒๔๓๒ ได้ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ประกาศตง้ั เปน็ มหาวทิ ยาลยั
โปรดใหร้ วมกรมศึกษาธกิ ารที่ตั้งขึ้นแต่ พ.ศ. ๒๔๓๐ กับ สงฆ์ ชอื่ สภาการศกึ ษามหามกุฏราชวิทยาลยั ณ ๓๐
กรมอื่นๆ อกี ๓ กรม เข้าในกรมธรรมการมาพรอ้ มแลว้ ธ.ค. ๒๔๘๘ เปิดการศกึ ษา ๑๖ ก.ย. ๒๔๘๙ ใหป้ ริญญา
ศาสนศาสตรบณั ฑิต มฐี านะสมบูรณ์ตามกฎหมายเม่อื รัฐ
ตรา พรบ. มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั พ.ศ. ๒๕๔๐
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 177
อเมรกิ ันชายนำำ� เขา้ มา แม้จะสนิ้ ชีพ
อเมริกนั หญงิ ชว่ ยทนุ ใหเ้ ดินหน้า ขอเกิดมาทำำ� งานพทุ ธศาสนาต่อไป
การเพือ่ พระศาสนาทง้ั นี้ รวมทัง้ การสร้างโรงเรียน ตอ่ มา พ.ศ. ๒๔๗๔ อนาคาริก ธรรมปาละ ชรา
และโรงพยาบาลเพอื่ การสงเคราะหค์ วบคู่ไป ไดร้ ับความ ลง ไดบ้ วชโดยมีนามวา่ ศรี เทวมิตร ธรรมปาละ จากน้ั น
รว่ มมอื จากชาวพุทธหลายแหง่ โดยเฉพาะบคุ คลที่ช่วย อกี ๒ ปีก็ได้อปุ สมบท (ตรงน้ี ผบู้ นั ทึกลำ�ำดับเหตุการณ์
เหลือโดยตลอดและมากที่สุดจนสุดทา้ ยตัง้ เป็นกองทุน ในประวตั เิ ขียนไว้สบั สนว่า ค.ศ. 1931: Ordained as a
คอื เศรษฐินชี าวอเมรกิ ัน ชอ่ื Mrs. Mary Foster Bhikkhu... แลว้ ค.ศ. 1933: Received Higher Ordi-
(กองทุนช่ือ Mary Foster Permanent Fund, ตง้ั ใน nation. ทำ�ำให้สงสยั ว่าเป็นการบันทึกผดิ พลาด ครง้ั แรก
ก.ค. ๒๔๖๗) อาจบรรพชาเปน็ สามเณร แล้วครั้งหลังอปุ สมบทเปน็ พระ
ภกิ ษุ หรอื เปน็ ภกิ ษแุ ล้วบวชซ้�้ำำแบบทำำ� ทฬั หีกรรม)
เจดีย์พทุ ธคยา
หลงั การบรู ณะ แตเ่ วลาผ่านมาเพยี ง ๒ เดือนเศษ ณ ๒๙ เม.ย.
๒๔๗๖ ทา่ นกถ็ งึ มรณภาพทส่ี ารนาถ เมอื งพาราณสี กลา่ ว
วาจาสดุ ทา้ ยวา่ “ขอใหข้ า้ พเจา้ ไดเ้ กดิ ใหม.่ ..ขา้ ฯ ขอเกดิ อกี
๒๕ ชาติ เพ่อื เผยแพร่ธรรมของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า”
คน้ พบเอกซเรย์ จากซ้าย:
Wilhelm C. Roentgen
พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895) ณ วนั ท่ี ๕ พ.ย. นกั เอกซเรย์ชน้ิ แรก
ฟิสิกส์เยอรมนั ชอ่ื เรนิ ตเ์ กน (Wilhelm C. Roentgen) 1896 Olympic Medal
ค้นพบรังสแี มเ่ หลก็ ไฟฟ้าความถีส่ งู ที่เรยี กว่า “เอกซเรย์ ตราสัญลกั ษณ์กีฬาโอลิมปิก
(X-ray)” และได้รับรางวลั โนเบล ประจำ�ำปี ๒๔๔๔/1901 หนา้ ตรงข้าม:
ดี ที ซูซกู ิ
กฬี าโอลมิ ปกิ คืนชพี
พ.ศ. ๒๔๓๙ (ค.ศ. 1896) กฬี าโอลมิ ปกิ ของกรีก
โบราณ ซ่ึงหยุดไปเพราะถูกพวกโรมันห้าม ตั้งแต่ปี ๗๓๗/
194 ได้รับการฟืน้ ฟู เริ่มจัดข้ึ นใหม่ที่เมืองเอเธนส์
178 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก
ปลกู เมล็ดพชื ไว้ บุคคลที่ได้บำำ� เพญ็ ประโยชน์อยา่ งมากแก่พระพทุ ธศาสนา มหาโพธิสมาคม
ผลเผลด็ ให้ผ้อู ื่นชืน่ ชมตอ่ ไป และแกช่ าวพทุ ธสมยั ปจั จบุ ัน โดยเฉพาะผู้ทมี่ านมสั การ
สังเวชนยี สถานคงจะอนุโมทนาอตั ถจริยาเพ่ือกู้พุทธสถาน
กาลลว่ งมาถงึ พ.ศ. ๒๔๙๒ (ค.ศ. 1949) หลังจาก ที่ทา่ นไดบ้ ำ�ำเพญ็ แลว้
ท่านธรรมปาละส้ิ นชพี ไปแล้ว ๑๖ ปี งานท่ที า่ นเพียรทำ�ำ
ไวจ้ ึงสำ�ำเรจ็ บ้างบางส่วน เม่ือรฐั บาลรฐั พิหารออก พรบ. ปราชญ์อินเดียตน่ื ตัวตามฝร่งั
ศาสนสถานพุทธคยา (Buddha Gaya Temple Act) ต้งั สมาคมทางพทุ ธ
กำำ� หนดใหก้ ารจดั การมหาโพธเิ จดยี ์เป็นอำ�ำนาจของคณะ
กรรมการท่ปี ระกอบด้วยชาวฮินดูและชาวพทุ ธมจี ำ�ำนวน พ.ศ. ๒๔๓๕ (ค.ศ. 1892) ปราชญช์ าวอินเดยี เกิด
ฝา่ ยละเท่ากนั ความต่ื นตัวขึ้นจากแรงกระตุ้นท่ีไดเ้ ห็นชาวตะวนั ตกศกึ ษา
คน้ คว้าพระพุทธศาสนากนั จริงจงั จึงไดต้ ัง้ Buddhist
มหาโพธสิ มาคมในอินเดยี มีสำ�ำนักงานใหญอ่ ย่ทู ่ี Text Society (สมาคมพทุ ธศาสนปกรณ)์ ข้ึ นบา้ งในเมอื ง
เมอื งกลั กตั ตา (Kolkata หรือ Calcutta) มีสาขาหลาย กัลกตั ตา
แหง่ หลายเมือง ออกวารสารช่อื The Maha Bodhi
อนาคารกิ ธรรมปาละ เปน็ ชาวพุทธผูม้ ีบทบาท
สำำ� คัญยง่ิ ในการฟน้ื ฟพู ระพทุ ธศาสนาในชมพทู วีป เปน็
พุทธแบบเซนเด่นกอ่ น ทอ่ี เมรกิ า
พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897) ทอี่ เมรกิ า ซูซกู ิ
(Daisetz Teitaro Suzuki) ปราชญ์แหง่ พระพทุ ธศาสนา
นิกายเซน ดว้ ยการบรรยายตามมหาวทิ ยาลยั อเมรกิ ัน
และเขยี นหนังสอื ไดท้ ำ�ำให้ชาวตะวันตกรเู้ ข้าใจพระ
พุทธศาสนา และนิยมสมาธแิ พร่หลายออกไปมาก พรอ้ ม
กับนยิ มพระพทุ ธศาสนาแบบเซนด้วย
สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 179
ในหัวเมือง เผดยี งพระสงฆ์ ราชสำำ� นกั อังกฤษ คิดอ่านตรวจตราสืบหาแบบแผน จากบนซา้ ย:
สอนทั่วราชอาณาจกั ร และทำำ� ความเห็นวิธีที่จะแกไ้ ขจัดการศกึ ษา …” พระยา กรมหม่นื ดำำ� รงราชานุภาพ
วสิ ุทธสรุ ิยศกั ด์ไิ ดด้ ำ�ำเนินการแล้วส่งมายงั กระทรวง ครูพระ
พ.ศ. ๒๔๔๑ (ค.ศ. 1898) ท่ปี ระเทศไทย ใน ธรรมการ และกรมศึกษาธกิ ารประมวลเรียบเรยี งเสร็จ พระยาวิสุทธสรุ ยิ ศักดิ์
รชั กาลที่ ๕ มีพระบรมราชโองการ “ประกาศจดั การ นำ�ำข้ึ นทูลเกล้าฯ ซึ่งทรงพอพระราชหฤทัยและตรสั ชม นักเรียนยโุ รปสมัย ร.๕
เล่าเรียนในหวั เมอื ง” เผดยี งพระสงฆ์ท่ัวราชอาณาจกั ร สำ�ำเรจ็ เป็น “โครงการศกึ ษา พ.ศ. ๒๔๔๑” (บางทเี รยี ก
ใหเ้ อาใจใสส่ ่ังสอนธรรมแกป่ ระชาชน และฝกึ สอนวชิ า เป็น “โครงการศกึ ษาสำ�ำหรับชาติ พ.ศ. ๒๔๔๑” กม็ ี) (กอ่ นเปล่ยี นแปลงการปกครอง เรยี ก “โครงการ
ความรตู้ า่ งๆ แกก่ ลุ บตุ ร เพอ่ื การนี้ ทรงอาราธนากรมหม่ื น อันควรถอื ว่าเป็นแผนการศึกษาแหง่ ชาติ ฉบบั แรกของ ศึกษา” เปน็ พ้ื น มเี รยี กเปน็ แผนการศึกษาสลบั บา้ ง ต่อ
วชริ ญาณวโรรส เจ้าคณะใหญ่ บงั คบั การพระอารามใน ประเทศไทย มา ต้ังแตป่ เี ปลีย่ นการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงเรยี ก
หวั เมอื งในสว่ นการพระศาสนาและการศึกษา และทรง ว่า “แผนการศึกษาชาต”ิ แล้วต่อมาอีก ถงึ ปี ๒๕๐๒ มี
มอบหมายกรมหม่ื นดำ�ำรงราชานุภาพเป็นเจา้ หนา้ ทอี่ นกุ ลู ตามโครงการศึกษา พ.ศ. ๒๔๔๑ นี้ การเลา่ เรียน ประกาศคณะปฏิวัติต้งั สภาการศึกษาแหง่ ชาตขิ ึ้น แต่
ในฝ่ายกิจการของฆราวาส สามัญแบง่ ลำำ� ดบั ชั้นเป็น ๔ คือ การเล่าเรียนเบอื้ งแรก นี้ไปเติม “แห่ง” เร่มิ ดว้ ย “แผนการศึกษาแห่งชาติ
(มลู ศกึ ษา) เบ้ืองตน้ (ประถมศึกษา) เบ้อื งกลาง (มธั ยม พุทธศกั ราช ๒๕๐๓”)
แผนการศกึ ษาแห่งชาติ ศึกษา) และเบ้อื งสงู สดุ (อุดมศึกษา) ในตอนวา่ ด้วย
ฉบับแรกของประเทศไทย อุดมศกึ ษา มคี วามต่อท้ายว่า “หมายเหต:ุ ได้หวังใจไว้ว่า
ในปสี ุวรรณาภเิ ษก ถา้ จะเป็นได้ จะได้รวมมหามกุฏ
พ.ศ. ๒๔๔๑ (ค.ศ. 1898) ทปี่ ระเทศไทย ใน ราชวิทยาลัย เป็นส่วนวิทยาลยั สำำ� หรับวนิ ยั และศาสตร์
รชั กาลท่ี ๕ เนื่องด้วย “การศึกษาทีไ่ ด้เร่มิ จัดการมาแต่ มหาธาตวุ ทิ ยาลยั เปน็ วทิ ยาลยั สำำ� หรบั กฎหมาย โรงเรยี น
ต้นน้ั น ยังไม่ได้รูปการลงเปน็ หลกั ฐานแนน่ อน จนใน แพทยากรเป็นวทิ ยาลัยสำ�ำหรบั แพทย์ และตั้งโรงเรียน
พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั เปน็ วิทยาลัยสำำ� หรับวิทยา และมหี อสากลวิทยาขึ้นแหง่
เสดจ็ พระราชดำำ� เนินประพาสทวีปยโุ รปครั้งแรก ได้ทอด หน่ึง รวมวิทยาลยั ต่างๆ เหล่านี้ เข้าเปน็ รัตนโกสินทร
พระเนตรเห็นนักเรยี นซึ่งไดม้ าเล่าเรยี นอยูช่ ้านาน ยังเรียน สากลวิทยาลยั ” (สากลวทิ ยาลยั คอื คำำ� ครั้งน้ั นสำำ� หรบั
ไม่สำ�ำเรจ็ ทันพระราชประสงคท์ ่ีจะทรงใชร้ าชการ เป็นเหตุ university) แต่พระองคไ์ ด้เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๔๕๓
ใหไ้ มพ่ ึงพอพระราชหฤทัย จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ จา้ พระยา กอ่ นถงึ ปสี วุ รรณาภเิ ษก (พ.ศ. ๒๔๖๑) นั้น การจึงไมเ่ ปน็
พระเสดจ็ สเุ รนทราธิบดี (ม.ร.ว. เปยี มาลากลุ ) ซึง่ ขณะ ไปตามโครงการนี้
นั้นเป็นพระยาวิสทุ ธสรุ ิยศักด์ิ อัครราชทตู พิเศษประจำำ�
180 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
วทิ ยาศาสตร+์ เทคโนโลยี: อเมรกิ นั ตา่ งกท็ ำำ� หลอดไฟฟา้ ข้ึ นมาใชไ้ ดส้ ำำ� เรจ็ ในปี ๒๔๐๓ จากบนซ้าย:
ความก้าวหน้าทค่ี วรสนใจ /1860 และ ๒๔๒๒/1879 เอดสิ นั เปน็ นกั ประดษิ ฐย์ ง่ิ ใหญ่ แพลงค์
ไอน์สไตน์
พ.ศ. ๒๔๔๓-๕๙ (ค.ศ. 1900-16) เปน็ ชว่ งทม่ี คี วาม มาร์โคนี
กา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีหลายอยา่ ง เชน่ ออรว์ ิลล์ ไรท์
วลิ เบอร์ ไรท์
ดา้ นวิทยาศาสตร:์ เบกแลนด์
เบลล์
แมกซ์ แพลงค์ (Max Planck) นักฟสิ ิกสเ์ ยอรมนั สแวน
วางฐานแหง่ ทฤษฎีควอนตัม ในปี ๒๔๔๓/1900; เอดสิ นั
ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักฟสิ กิ ส์อเมรกิ นั (เยอรมัน
โดยกำ�ำเนดิ ) พฒั นาทฤษฎพี เิ ศษแห่งสมั พทั ธภาพ ในปี มีผลงานประดษิ ฐก์ วา่ ๑,๐๐๐ อย่าง และเปน็ ผูต้ ั้งโรง
๒๔๔๘/1905 และเผยแพร่ทฤษฎที ัว่ ไปแห่งสัมพทั ธภาพ ไฟฟ้ากลางแห่งแรกของโลก ทเ่ี มอื งนิวยอร์ก (1881-2)
ในปี ๒๔๕๙/1916
ดา้ นเทคโนโลย:ี
มารโ์ คนี (Guglielmo Marconi) ชาวอติ าลี ใช้
วทิ ยุทต่ี นประดิษฐ์ข้ึ นส่งข่าวเปน็ ครงั้ แรก ในปี ๒๔๔๔/
1901; ออร์วิลล์ ไรท์ (Orville Wright) ขบั ข่เี คร่ืองบนิ ท่ี
ตน และพ่ชี าย คอื วิลเบอร์ ไรท์ (Wilbur Wright) สรา้ ง
ขึ้น สำ�ำเร็จคร้ังแรกในวนั ท่ี ๑๗ ธันวาคม ๒๔๔๖/1903;
เบกแลนด์ (Leo Hendrik Baekeland) นักเคมอี เมรกิ นั
เช้อื สายเบลเยี่ยมสรา้ งสารสงั เคราะห์เป็นพลาสติกสมัย
ใหมข่ ้ึ นในปี ๒๔๕๒/1909
ใกล้ๆ กอ่ นชว่ งน:้ี เบลล์ (Alexander Graham
Bell) ชาวอเมรกิ นั ไดป้ ระดษิ ฐโ์ ทรศพั ทแ์ ลว้ ใชค้ รงั้ แรก ๑๐
มี.ค. ๒๔๑๙/1876; สแวน (Sir Joseph Wilson Swan)
ชาวอังกฤษ และเอดิสนั (Thomas Alva Edison) ชาว
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 181
พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ฉบับแรก ยาก พอถึงปี 1924 เกนิ ครงึ่ ของรถยนตท์ ใ่ี ช้กนั ในโลก คอื ละม่อม รวมทั้งการเตรียมอาชพี โดยเฉพาะทรงเห็นว่า
ถดั จาก “กฎพระสงฆ์” ใน ร. ๑ รถฟอรด์ Model T และในปี 1927 รถฟอร์ด คนั ที่ ๑๕ “การหนงั สอื ” จะชว่ ยทาสใหเ้ ปน็ ไทยไดแ้ ท้จรงิ ด้วยการ
ล้าน ก็ออกจากโรงงานในวาระครบ ๒๐ ปี มโี รงเรยี น อยา่ งมโี รงทาน จะเหน็ วา่ เรมิ่ แต่ พ.ศ. ๒๔๑๑ ก็
พ.ศ. ๒๔๔๕ (ค.ศ. 1902) วันท่ี ๑๖ มิถุนายน ทรงออก “ประกาศวา่ ดว้ ยทาษลกู หน้ี จุลศกั ราช ๑๒๓๐”
ทปี่ ระเทศไทย ในรชั กาลท่ี ๕ มีพระบรมราชโองการ เฮนรี ฟอร์ด เป็นผ้นู ำ�ำ assembly line คอื ระบบ
ประกาศ “พระราชบัญญัตลิ ักษณะปกครองคณะสงฆ์ การใชส้ ายสง่ งานประกอบชน้ิ สว่ น (บางทีเรยี กวา่ พอถงึ ปี ๒๔๑๗/1874 กม็ ี “ประกาศเกษยี ณอายุ
ร.ศ. ๑๒๑” เพ่ือใหฝ้ า่ ยพุทธจกั รมกี ารปกครองเปน็ production line คอื สายการผลติ ) เข้ามาใชใ้ นโรงงาน ลกู ทาสลูกไทย” ใน จ.ศ. ๑๒๓๖ ดังนเี้ ปน็ ต้น จนทา้ ย
แบบแผนเรยี บร้อยคู่กนั กบั ฝ่ายพระราชอาณาจักรทไี่ ด้ เมือ่ ๗ ต.ค. 1913/๒๔๕๖ ทำำ� ให้การผลิตฟอรด์ Model สดุ หลังจากทรงเตรยี มการเป็นลำ�ำดับมา ๓๐ ปีเศษ ก็
แก้ไขข้ึ นแลว้ “… การปกครองสงฆมณฑล ยอ่ มเปน็ การ T รุดหนา้ มาก จากที่เคยใช้เวลาประกอบคันละ ๑๒.๕ ทรงตรา “พระราชบัญญตั ลิ กั ษณะเลกิ ทาส ร.ศ. ๑๒๔”
สำ�ำคัญ ทั้งในประโยชน์แหง่ พระศาสนา และในประโยชน์ ชัว่ โมง เหลือเพยี ง ๑.๕ ช่วั โมง จึงผลติ รถได้จำำ� นวนมาก อันมีผลต้งั แต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๘ และ
ความเจรญิ ของพระราชอาณาจกั รด้วย … จะชักนำำ� และขายได้ในราคาถกู สมความตั้งใจ กำำ� กับทา้ ยด้วยกฎหมายลกั ษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ.
ประชาชนทั้งหลายให้เลอื่ มใสศรทั ธาในพระพุทธศาส ๒๔๕๑) วางโทษผู้ซ้อื ขายทาสเท่ากับโจรปล้นทรพั ย์
โนวาท ประพฤติสัมมาปฏบิ ัติ และร่�่ำำเรียนวิชาคณุ ใน ความสำ�ำเร็จของฟอร์ดทำ�ำใหบ้ รษิ ทั อื่นตอ้ งนำ�ำระบบ
สงฆสำำ� นักยงิ่ ขึ้นเป็นอนั มาก” ท้ังน้ี โดยมีพระราชดำ�ำรวิ ่า นี้ไปใช้ และแพร่ไปในอตุ สาหกรรมอ่ื นๆ ทำำ� ใหเ้ กดิ ความ ก้าวใหมข่ องการศกึ ษาพระปรยิ ัตธิ รรม:
การดำำ� เนินการตามประกาศจดั การเลา่ เรยี นในหวั เมือง เปลยี่ นแปลงครงั้ ใหญ่ในวงการอตุ สาหกรรม บาลสี อบเขยี น มนี ักธรรมมาเคยี ง
เม่อื พ.ศ. ๒๔๔๑ น้ั นบรรลุผลท่ปี ระสงค์ สมควรตัง้ เปน็
แบบแผนการปกครองคณะสงฆใ์ หม้ ั่นคงเรยี บรอ้ ยได้ (อา่ นเรอื่ งเต็ม ใน ภาคพิเศษ ทา้ ยเลม่ ) พ.ศ. ๒๔๕๔ (ค.ศ. 1911) ทป่ี ระเทศไทย ใน
รชั กาลท่ี ๖ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณ
เฮนรี ฟอร์ด พาอเมริกากา้ วขึ้นมานำ�ำ เมอื งไทยเลกิ ทาส อยา่ งนุ่มนวล วโรรส ทรงใหน้ ำ�ำวิธีแปลโดยเขียน มาใชแ้ ทนการสอบ
ในอตุ สาหกรรมรถยนต์ ดว้ ยวธิ กี ารเปน็ ขั้นตอน แปลปากเปลา่ ในการสอบบาลสี นามหลวง เปน็ ครงั้ แรก
เร่มิ ดว้ ยประโยค ๑-๒ และประกาศใชเ้ ปน็ ทางการสำ�ำหรบั
พ.ศ. ๒๔๔๖ (ค.ศ. 1903) ที่สหรัฐอเมรกิ า เฮนรี พ.ศ. ๒๔๔๘ (ค.ศ. 1905) ทปี่ ระเทศไทย ในรชั กาล ทกุ ประโยคใน พ.ศ. ๒๔๕๘ ครบถงึ ประโยค ๙ ในปี ๒๔๖๙
ฟอรด์ (Henry Ford, 1863–1947) จัดตง้ั บริษัทฟอร์ด ที่ ๕ แมว้ า่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวจะ
มอเตอร์ (Ford Motor Co.) ขึ้น และในปี 1908 ได้เรมิ่ ทรงมพี ระราชดำำ� รใิ นการเลกิ ทาสมาแตต่ น้ รชั กาล แตส่ ถาบนั อน่งึ ไดท้ รงจัดการศึกษาพระปรยิ ัตธิ รรมขึ้นใหม่
ผลติ รถฟอร์ด Model T สดี ำำ� ราคาไม่แพง และหาซื้อไม่ ทาสมคี วามซบั ซอ้ น โดยเฉพาะเปน็ เรือ่ งของผลประโยชน์ อกี หลักสตู รหนึ่ง โดยเม่ือเรม่ิ แรกเรียกว่า “องค์ของ
ไมเ่ ฉพาะฝา่ ยนายเงนิ แมแ้ ตท่ าสเองบา้ งกไ็ มพ่ อใจ ยงั อยาก สามเณรรธู้ รรม” แล้วเข้ารูปลงตวั เปน็ “นกั ธรรม” สอบ
เปน็ ทาส เพราะไมต่ อ้ งทำำ� มาหากนิ และไมร่ จู้ กั ทางทจ่ี ะไป ครง้ั แรกเม่ือเดือนตลุ าคม ๒๔๕๔
ทำ�ำมาหากนิ จงึ ทรงเตรียมการเป็นข้ั นตอนอยา่ งละมุน
182 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
เมืองไทยเร่มิ ใช้ “พุทธศักราช” หอพระสมดุ สำ�ำหรับพระนคร
ก่อนมาเป็นหอสมุดแหง่ ชาติ
พ.ศ. ๒๔๕๖ (ค.ศ. 1913) ตง้ั แต่วันที่ ๑ เมษายน
เปน็ ต้นสืบไป ทป่ี ระเทศไทย ในรัชกาลท่ี ๖ พระบาท พ.ศ. ๒๔๕๙ (ค.ศ. 1916) ท่ปี ระเทศไทย ใน
สมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หวั โปรดใหใ้ ช้ พทุ ธศกั ราช รัชกาลท่ี ๖ โปรดให้ยา้ ย หอพระสมุดสำ�ำหรับพระนคร
เปน็ ศักราชทางราชการ แทน “รตั นโกสนิ ทรศก” (พ.ศ. = (เดิมทเี ดยี ว คอื หอพระสมดุ วชริ ญาณ ซ่ึงตั้งอยใู่ น
ร.ศ. + ๒๓๒๔) พระบรมมหาราชวัง) มาตงั้ ที่ตึกสังฆเสนาสนร์ าชวิทยาลยั
(ตรงขา้ มสนามหลวง แถบวัดมหาธาตุ) และไดเ้ สดจ็
จากบน: พระราชดำำ� เนินทรงประกอบพิธเี ปดิ เมอ่ื ๖ ม.ค. ๒๔๕๙
รชั กาลท่ี ๖
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ตอ่ มา หลังจากตงั้ กรมศิลปากรข้ึ นในปี ๒๔๗๖
และมีกองหอสมดุ หอพระสมดุ สำำ� หรบั พระนครไดเ้ ปลยี่ น
สงครามโลกครั้งท่ี 1 ชอื่ เปน็ หอสมุดแห่งชาติ และต้งั อยทู่ ี่นั่นจนถงึ ๕ พ.ค.
๒๕๐๙ จงึ ได้มพี ิธเี ปดิ อาคารหอสมดุ แหง่ ชาติ ท่ไี ด้สรา้ ง
ความเปลีย่ นแปลงใหญ่ ข้ึ นใหมท่ ่ีบรเิ วณท่าวาสุกรี
ทนี่ ำำ� สูค่ วามเปล่ียนแปลงต่อไป
เกดิ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั
พ.ศ. ๒๔๕๗-๖๑ (1914-18) สงครามโลก ครง้ั ท่ี มหาวทิ ยาลยั แห่งแรกของประเทศไทย
๑ (World War I) ระหว่างฝ่ายอำ�ำนาจกลาง (Central
Powers มเี ยอรมนี ออสเตรยี -ฮังการี บัลกาเรยี และ พ.ศ. ๒๔๕๙ (ค.ศ. 1916) ทป่ี ระเทศไทย ใน
จักรวรรดิออตโตมาน ท่ีตอ่ มาสลายและต้งั สว่ นท่เี หลอื รชั กาลท่ี ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
เปน็ สาธารณรัฐเตอร์กี) กบั ฝา่ ยสมั พนั ธมิตร (Allies มี “...ได้ประกาศประดิษฐานโรงเรียนขา้ ราชการพลเรอื น
อังกฤษ ฝรง่ั เศส รสั เซีย เบลเยี่ยม อิตาลี ญ่ีปุ่น สหรฐั ฯ ของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ขึ้นเป็น
เปน็ ต้น) สนามรบสว่ นใหญ่คอื ยุโรป และตะวนั ออกกลาง จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั เม่ือวันที่ ๒๖ มนี าคม พ.ศ.
ในทีส่ ุดฝ่ายแรกพ่ายแพ้ ๒๔๕๙ และโอนไปข้ึ นอยใู่ นกระทรวงธรรมการแล้ว … จงึ
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้งั กรมมหาวทิ ยาลัยขึ้นอกี
ในสงครามใหญ่นี้ คนตายท้งั สิ้น ๑๔.๖ ล้านคน กรมหนึ่ง เม่ือวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐” (ประวัติ
(ทหาร ๘ + พลเรือน ๖.๖) แยกเปน็ ฝ่ายสัมพนั ธมติ ร กระทรวงศกึ ษาธิการ ๒๔๓๕–๒๕๐๗, หนา้ ๒๕๔)
ตาย ๘ ลา้ นคน (ทหาร ๔.๘ + พลเรือน ๓.๒) ฝา่ ยอำำ� นาจ
กลางตาย ๖.๖ ล้านคน (ทหาร ๓.๑ + พลเรือน ๓.๕)
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 183
รัสเซียไปเป็นคอมมูนสิ ต์ พวกชาตนิ ยิ มอาหรบั ที่ลุกฮอื กอ่ กบฎขึ้นภายใน และ
ออตโตมานมาถึงอวสาน สงครามจากขา้ งนอก ออตโตมานกส็ ลายในทสี่ ุด
พ.ศ. ๒๔๖๑ (ค.ศ. 1918) ผลแกฝ่ ่ายแพจ้ าก เตอรก์ ฟุบ อาหรบั ฟน้ื ยิวเข้าทางทจี่ ะฟู
สงครามใหญน่ ้ี นอกจากเยอรมนถี กู สนธสิ ญั ญากดบบี หนกั
จนระเบิดเปน็ สงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ต่อมาแล้ว เหตุการณ์ ยกตัวอย่าง เริ่มแต่กอ่ นสงครามโลก ซาอุด ซ่ึงตอ่
สืบเน่ืองท้งั ในระหวา่ งและภายหลงั ท่ี สำ�ำคัญคอื เกิดการ มาไดเ้ ปน็ กษัตริยแ์ ห่งประเทศซาอดุ อี าระเบีย ทตี่ ัง้ ขึ้น
ปฏวิ ัติของพวกบอลเซวิกในรัสเซีย ในปี ๒๔๖๐ ที่ทำำ� ให้ ใหม่ ไดบ้ กุ มารุกรบจนขับไล่พวกเตอร์กออกจากอาระเบีย
รสั เซยี กลายเปน็ คอมมวิ นสิ ต์ จกั รวรรดอิ อสเตรยี -ฮงั การี ตะวนั ออกในปี ๒๔๕๖/1913) และในชว่ ง ค.ศ. 1916-
หรือเรยี กงา่ ยๆ วา่ จักรวรรดิฮบั สเบอรก์ ส้ิ นสลาย และท่ี 1918 องั กฤษได้ช่วยและร่วมรบกบั เจา้ อาหรับ ขบั ไล่
น่าสังเกตพเิ ศษ ก็คอื อวสานของจกั รวรรดอิ อตโตมาน เตอรก์ ออกจากดินแดนส่วนตา่ งๆ ของอาหรบั ตลอดจน
ดำำ� เนนิ การเม่ือสิ้นสงครามแลว้ ทำำ� ให้เจ้าไฟซาลไดเ้ ปน็
จักรวรรดิสลุ ต่านออตโตมานรงุ่ เรอื งสุดถงึ ราว กษตั รยิ ไ์ ฟซาลที่ ๑ ของราชอาณาจักรอริ กั ท่ีตั้งข้ึ นใหม่
กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 16 จากนั้นก็เร่มิ เสือ่ ม ทำ�ำสงคราม และเจา้ อับดลุ เลาะหไ์ ดเ้ ป็นเจา้ ผู้ครองทรานสจอรแ์ ดน
แพ้พวกยโุ รปคราวใหญค่ รัง้ แรกใน พ.ศ. ๒๑๑๔ (ค.ศ. ในปี ๒๔๖๔/1921)
1571) ต่อจากน้ั นกร็ บแพพ้ วกยโุ รปและเสียดินแดนไป
เรอื่ ยๆ จนถูกตง้ั สมญาวา่ “บรุ ุษอมโรคแห่งยุโรป” (“Sick สว่ นอังกฤษเองกย็ กทัพเขา้ ยดึ เยรูซาเล็ม และ
Man of Europe”) เหตทุ แี่ พ้นอกจากเพราะภายใน ครอบครองปาเลสไตน์ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๐
ออ่ นแอลงแล้ว ขอ้ สำ�ำคัญคือ ตกเปน็ เบย้ี ลา่ งในทาง (ค.ศ. 1917) แล้วจดั การดูแลมาจนส้ิ นสงครามโลกคร้ัง
อาวุธและอปุ กรณ์ต่างๆ เพราะถึงยคุ นวี้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละ ที่ ๒
เทคโนโลยีได้เจริญข้ึ นมาในประเทศตะวันตก
จากบนซ้าย:
จุดพลาดสุดทา้ ยท่ี ทำ�ำใหถ้ งึ อวสานกค็ อื การเขา้ Abdul Aziz Al Saud
สสู่ งครามโลกครั้งที่ ๑ โดยอยู่ข้างเยอรมนั รว่ มรบแลว้ เจา้ อับดุลเลาะห์
ก็เลยรว่ มแพ้ดว้ ย เฉพาะอยา่ งยง่ิ ในช่วงสงครามโลกคร้งั มุสตาฟา เคมาล
ท่ี ๑ นั้น ได้เกิดกระแสลทั ธิชาตนิ ิยมแพรไ่ ปในหม่ชู นชาว หนา้ ตรงข้าม:
อาหรบั ฝรั่งโดยเฉพาะองั กฤษกเ็ ข้าหนุนชาวอาหรับใหล้ ุก พระปกเกลา้ เจ้าอย่หู ัว
ข้ึ นกู้ชาตกิ ูแ้ ผ่นดินจากพวกเตอร์ก เม่อื ถกู โถมทบั ทงั้ จาก
184 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
จากจกั รวรรดอิ อตโตมาน ก็ให้เปล่ียนชื่อเมืองคอนสแตนติโนเปลิ เปน็ อสิ ตันบลุ เป็นอนั สบื ตอ่ งานพมิ พพ์ ระไตรปฎิ กบาลี ท่ี ร. ๕ ทรงเริ่ม
เปน็ สาธารณรฐั เตอรก์ ี (Constantinople -> Istanbul) และเมอื งหลวงใหม่ ไว้เมือ่ พ.ศ. ๒๔๓๑ คอื “พระไตรปิฎกบาฬี จลุ จอมเกล้า
จากแองกอรา เปน็ องั การา (Angora -> Ankara) บรมธัมมิกมหาราช” อนั ขาดคมั ภีรป์ ฏั ฐาน จึงยังมี ๓๙
พ.ศ. ๒๔๖๔ (ค.ศ. 1921) หลังจากร่วมแพ้ใน เล่ม ใหค้ รบเต็มชุดสมบรู ณ์ เสร็จแล้วพระราชทานไปใน
สงครามโลกครง้ั ท่ี ๑ จักรวรรดอิ อตโตมานเตอรก์ แตก จบยุคมสุ ลิมเตอร์ก นานาประเทศประมาณ ๔๐๐–๔๕๐ จบ และโปรดให้จัด
สลาย ดนิ แดนอาหรับในตะวนั ออกกลางหลดุ มือไปหมด มสุ ลมิ อาหรับต้งั ตัวขึ้นใหม่ งานฉลองในวันที่ ๒๕–๒๗ พ.ย. ๒๔๗๓
แลว้ กไ็ ดม้ ีการจดั การปกครองประเทศกันใหม่
โดยนัยน้ี จักรวรรดิออตโตมาน (Ottoman
ในที่สดุ ถึงปี ๒๔๖๔ สภามีมติประกาศช่อื ประเทศ Empire) ของเตอรก์ ทไ่ี ด้เป็นศนู ยอ์ ำำ� นาจของอสิ ลามมา
เปน็ เตอร์กี ปี ๒๔๖๕ ยุบเลิกตำำ� แหน่งสลุ ตา่ น ปี ๒๔๖๖ เกินกว่า ๖ ศตวรรษ ต้งั แต่ ค.ศ. 1290 (พ.ศ. ๑๘๓๓) ต่อ
ประกาศใหป้ ระเทศเปน็ สาธารณรฐั เตอรก์ ี โดยมมี สุ ตาฟา จากพวกเซลจกู เตอรก์ ทต่ี ่อจากอาหรับ ก็ถึงกาลอวสาน
เคมาล (เคมาล อะตาเตอร์ก) เปน็ ประธานาธิบดีคนแรก
ปลอ่ ยทิ้งคอนสแตนติโนเปิลเมืองหลวงเก่าของจกั รวรรดิ ต่อนไ้ี ป ศนู ยก์ ลางของอิสลามกลับไปอยูใ่ นหมู่
ออตโตมาน (ที่ยึดมาจากจักรวรรดโิ รมันตะวันออกหรอื ชนชาวอาหรับแถบตะวันออกกลาง คลา้ ยยคุ เรม่ิ กำ�ำเนดิ
บแี ซนทนี ตง้ั แต่ ค.ศ. 1453=พ.ศ. ๑๙๙๖) เสยี ตงั้ แองกอรา คือ สิน้ ยุคมสุ ลิมเตอร์กเป็นใหญ่ กลบั มาสู่ยคุ ของมุสลิม
เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐใหม่ อาหรับ
เตอร์กสลดั ความเปน็ รัฐอิสลาม พระไตรปฎิ กบาลีเมอื งไทย พมิ พ์ใหม่
ครบชดุ ครง้ั แรก เรยี กวา่ “ฉบบั สยามรฐั ”
ปีตอ่ มา ๒๔๖๗ ยบุ เลิกตำำ� แหน่งกาหลฟิ ลม้ ราช
วงศ์ออตโตมานท่ีสุลตา่ นออสมาน/อสุ มาน ท่ี ๑ ต้งั ไวเ้ มอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๘ (ค.ศ. 1925) ที่ประเทศไทย ใน
ปี ๑๘๓๓/ค.ศ. 1290 และขบั สมาชิกราชวงศ์ออตโตมาน รชั กาลท่ี ๗ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยหู่ วั เสด็จ
ออกจากเตอรก์ หี มดส้ิ น และปี ๒๔๗๑ ให้เตอรก์ เี ป็น ขึ้นครองราชย์ โปรดใหจ้ ดั พมิ พพ์ ระไตรปฎิ กฉบบั สยามรฐั
คามยิ รฐั หรือรัฐคามิยการ (secular state) แทๆ้ ลว้ นๆ จบละ ๔๕ เล่ม จำ�ำนวน ๑,๕๐๐ จบ เพือ่ อุทศิ ถวายพระ
สตรเี อาผ้าคลมุ หนา้ ออก ชาวเตอรก์ หันไปแต่งกายอย่าง ราชกุศล แดพ่ ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอย่หู วั
ชาวตะวันตก ใช้อกั ษรโรมันแทนอกั ษรอาหรบั และนับ
วนั เวลาตามปฏิทินฝรั่งแทนฮิจเราะห์ ครั้นถงึ พ.ศ.๒๔๗๓
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 185
วีรบรุ ุษผ้มู ีชยั นำำ� ความสำำ� เร็จมาให้ พระเณรเรียนนกั ธรรมกันสบื มา
แกเ่ พ่อื นรว่ มชาตแิ ละมวลชาวโลก คฤหสั ถ์เริ่มมธี รรมศกึ ษาใหเ้ รยี น
พ.ศ. ๒๔๗๐ (ค.ศ. 1927) ทส่ี หรัฐอเมริกา มขี ่าว พ.ศ. ๒๔๗๒ (ค.ศ. 1929) ทีป่ ระเทศไทย ใน
ใหญท่ คี่ นสนใจตื่นเตน้ กนั ไปทั่วทง้ั โลก เมอื่ ชาร์ลส์ เอ. รชั กาลที่ ๗ เริ่มเปิดโอกาสใหค้ ฤหัสถเ์ รียนพระปริยตั ิธรรม
ลินด์เบอร์ก (Charles A. Lindbergh) นำำ� เครอ่ื งบินลำ�ำ แผนกธรรม โดยแยกจากแผนกนกั ธรรมสำำ� หรับพระภิกษุ
น้อยชอ่ื Spirit of St. Louis ขึ้นจากเมืองนิวยอร์ก ใน สามเณร เรยี กวา่ “ธรรมศกึ ษา”
ตอนเชา้ ของวันท่ี ๒๐ พ.ค. ไปลงจอดท่ีเมืองปารีส ในคนื
วันรุ่งขึ้น ๒๑ พ.ค. ๒๔๗๐ รวมใชเ้ วลาบิน ๓๓ ชว่ั โมงครง่ึ นกั ดาราศาสตรอ์ เมริกนั พบดาวยม
เปน็ ระยะทาง ๕,๘๐๐ กม. (๓,๖๐๐ ไมล์) นีค่ อื การบิน
เดีย่ วรวดเดยี วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสำำ� เรจ็ คร้ังแรก พ.ศ. ๒๔๗๓ (ค.ศ. 1930) ที่สหรัฐอเมริกา
(first nonstop solo flight across the Atlantic) นกั ดาราศาสตร์อเมริกนั ชื่อว่า ทอมบอฆ์ (Clyde W.
Tombaugh) ค้นพบดาวเคราะห์ทีเ่ รียกว่า “ดาวยม”
อเมริกาจดั งานตอ้ นรบั ลินดเ์ บอรก์ อย่างวีรบรุ ษุ ผู้ (Pluto, พระยม ก็เรยี ก) ซึง่ อยู่ห่างทส่ี ดุ จากดวงอาทิตย์
ยง่ิ ใหญ่ เป็นงานฉลองชยั ครงั้ ย่งิ ใหญท่ ่ีสุดของชาตหิ ลัง ไกลโดยเฉล่ยี ประมาณ ๕,๙๑๔ ล้าน กม. เปน็ ลำ�ำดับ
การชนะในสงครามโลกครง้ั ท่ี ๑ นอกจากเงินรางวัล และ สุดทา้ ย คอื ท่ี ๙ ในบรรดาดาวเคราะหท์ ้ัง ๙ ไมอ่ าจมอง
เครื่องหมายเกียรตยิ ศทป่ี ระธานาธิบดอี เมรกิ นั มอบให้ เห็นดว้ ยตาเปลา่ เสน้ ผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒,๓๐๐ กม.
แลว้ รัฐสภาอเมริกนั (Congress) ไดอ้ อกกฎหมายพเิ ศษ (บา้ งว่า ๓,๓๐๐ กม., ไมถ่ ึงคร่งึ หนง่ึ ของโลก) หมุนรอบ
มอบเหรียญ Congressional Medal of Honor แกเ่ ขา ดวงอาทิตยร์ อบละ ๒๔๘.๔ ปี
(อ่านเร่อื งเต็ม ใน ภาคพเิ ศษ ทา้ ยเลม่ )
จากบน: เมอื งไทยเปลยี่ นการปกครอง
ทอมบอฆ์ เปน็ ประชาธปิ ไตย
รชั กาลท่ี ๗
ลินดเ์ บอร์ก พ.ศ. ๒๔๗๕ (ค.ศ. 1932) ที่ประเทศไทย ในวันที่
หน้าตรงขา้ มจากบน: ๒๔ มถิ นุ ายน คณะราษฎร ไดย้ ดึ อำำ� นาจ เปลย่ี นการปกครอง
พทุ ธทาสภิกขุ จากสมบูรณาญาสิทธริ าชย์ เป็นระบอบประชาธปิ ไตย
ปรดี ี พนมยงค์
ม.ธรรมศาสตร์
186 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก
กำำ� เนดิ พุทธทาสภกิ ขุ สถาปนาราชบัณฑิตยสถาน (The Royal Institute) สืบ
และสวนโมกขพลาราม แทนราชบณั ฑติ ยสภา ซึง่ ได้โปรดให้ตง้ั ข้ึ นโดยประกาศลง
วันที่ ๑๙ เม.ย. ๒๔๖๙
พ.ศ. ๒๔๗๕ (ค.ศ. 1932) ทีป่ ระเทศไทย พระ
มหาเงอื่ ม อนิ ฺทปญฺโ ซ่งึ มาศึกษาพระปริยตั ธิ รรมอยใู่ น มหาวทิ ยาลยั วชิ าธรรมศาสตรแ์ ละการเมอื ง
กรงุ เทพฯ ได้ตัดสนิ ใจหยุดการเลา่ เรียนแลว้ เดินทางกลบั มาเปน็ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
ไปยงั บา้ นเกดิ ท่ีพุมเรียง ไชยา สุราษฎร์ธานี หลงั จากหา
เสนาสนะอันวิเวก กไ็ ด้พบ แล้วเขา้ อยใู่ นวดั รา้ งตระพังจกิ พ.ศ. ๒๔๗๗ (ค.ศ. 1934) ทป่ี ระเทศไทย ใน
เน้ือท่ีประมาณ ๖๐ ไร่ ในวันวสิ าขบูชา ท่ี ๑๒ พฤษภาคม รชั กาลท่ี ๘ โดย “พระราชบญั ญตั ิมหาวิทยาลยั วิชา
๒๔๗๕ เน่ืองจากท่ี น่ั นมตี ้นโมกและตน้ พลามาก จงึ คิดคำำ� ธรรมศาสตรแ์ ละการเมือง พุทธศกั ราช ๒๔๗๖”
ข้ึ นมาต้ังช่อื ที่น้ั นว่า “สวนโมกขพลาราม” แล้วดว้ ยใจมุ่ง มหาวิทยาลยั วิชาธรรมศาสตร์และการเมืองไดเ้ กิดข้ึ น
มั่นทจี่ ะมอบกายถวายชวี ติ สนองงานของพระพุทธเจ้า จึง และไดท้ ำ�ำพธิ เี ปิดเม่ือวันที่ ๒๗ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ซ่งึ
เรยี กตนวา่ “พทุ ธทาส” และตอ่ มาในเดอื นพฤษภาคม ถือเปน็ วนั สถาปนามหาวิทยาลัย โดยมหี ลวงประดษิ ฐ์
๒๔๗๖ กไ็ ดอ้ อกหนงั สอื พมิ พร์ ายตรมี าส ชอ่ื “พทุ ธสาสนา” มนูธรรม คือ ศาสตราจารย์ ดร.ปรดี ี พนมยงค์ เปน็ “ผู้
เปน็ ขั้นต้นของงานเผยแผธ่ รรมของพุทธทาสภิกขุ ซง่ึ ต่อ ประศาสน์การ” คนแรก เมอื่ เรม่ิ กอ่ ตงั้ มหาวิทยาลัยมีชือ่
มาได้แพร่ขยายออกไปอย่างกวา้ งขวาง เป็นทร่ี ู้ทว่ั ไปใน ว่า “มหาวทิ ยาลยั วิชาธรรมศาสตรแ์ ละการเมือง”
สังคมไทย โดยเฉพาะในหมชู่ นระดับท่เี คยเรยี กวา่ ปญั ญา (ม.ธ.ก. หรือตามนยิ มว่า มธก.) และนบั ว่าไดร้ ับชว่ ง
ชน ตลอดจนในวงการพทุ ธศาสนาระหวา่ งประเทศ การศกึ ษาทางกฎหมายจากโรงเรียนกฎหมายเดมิ (ที่
เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา) มเี ป้าหมายที่จะเปน็ ตลาด
ราชบณั ฑติ ยสถาน เครอื ขา่ ยทางปญั ญา วชิ า ตอ่ มา ในปี ๒๔๙๕ รฐั บาลได้ตรา “พระราชบญั ญัติ
แหล่งอ้างอิงทางวิชาการ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ พุทธศกั ราช ๒๔๙๕” เป็นเหตุ
ให้ช่อื ของมหาวิทยาลยั ไมม่ ีคำำ� ว่า “การเมือง” และส้ั น
พ.ศ. ๒๔๗๖ (ค.ศ. 1933) ทปี่ ระเทศไทย ใน เข้าเป็น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ม.ธ. หรอื มธ.) ดัง
รชั กาลท่ี ๗ สภาผแู้ ทนราษฎรตราพระราชบญั ญัตวิ า่ ด้วย ปรากฏในปัจจุบัน
ราชบัณฑติ ยสถาน พุทธศกั ราช ๒๔๗๖ ใหป้ ระกาศใชเ้ ปน็
กฎหมาย ในวันท่ี ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งถอื เป็นวนั
สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 187