pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไมตรี สุเทพากุล (ภาคปกติ) บรรยายวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 (ครั้งที่ 1) (สัปดาห์ที่ 1) สวัสดีครับนักศึกษาทุกท่าน สำหรับวันนี้เป็นการบรรยายวิชากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา วิชากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาจะมีอาจารย์บรรยายด้วยกันทั้งหมด 6 ท่านด้วยกัน แบ่งเป็นภาคปกติ 3 ท่าน และภาคค่ำอีก 3 ท่าน อาจารย์เองนั้น จะบรรยายกฎหมายสิทธิบัตร 4 ครั้ง นับแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับเครื่องหมายการค้ามีอาจารย์เองและอาจารย์สุทธิพล ทวีชัยการ บรรยายร่วมกัน กฎหมายลิขสิทธิ์มี อาจารย์สุทธิพลฯ ร่วมบรรยายกับอาจารย์ธรรมนูญ พิทยาภรณ์ ก็จะมีการบรรยายตามลำดับกันไป คือ สิทธิบัตร 4 ครั้ง เครื่องหมายการค้า 4 ครั้ง ส่วนที่เหลือทั้งหมดจะเป็นลิขสิทธิ์ สำหรับทรัพย์สินทางปัญญา วิชานี้หลายๆ คนอาจจะเคยเรียนแล้ว หรือว่าบางคนอาจจะมาครั้งแรก ก็ให้ดูตารางเปรียบเทียบของอาจารย์ ตารางนี้ใช้มาที่เนติบัณฑิตตั้งแต่ปี 2543 ก็ประมาณ 20 กว่าปีแล้ว ก็ขอให้นักศึกษาไปลองหาดู ซึ่งสามารถใช้ เป็นแนวทางในการเตรียมตัวสอบตอนใกล้สอบดูมาตราสำคัญต่างๆได้ ก็มีทั้งหมด 5 หน้า เดี๋ยวเราจะมาดู ตารางอีกครั้งหนึ่ง แต่ก่อนที่จะลงไปในรายละเอียดของตารางเปรียบเทียบ อาจารย์ขอเกริ่นในส่วนของวิชานี้ ก่อนนะครับ ประการแรก เราต้องมาทำความรู้จักทรัพย์สินทางปัญญาก่อนว่าคืออะไร อันนี้จะพูดปูพื้นเบื้องต้น เท่านั้นเอง ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิที่พูดถึงเรื่องผลงานอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ ของมนุษย์ เช่น พบการประดิษฐ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ เครื่องหมายการค้าหรือวรรณกรรมทางศิลปกรรม ดนตรีกรรมต่างๆ อันนี้ก็เป็นความหมายของทรัพย์สินทางปัญญา ประการที่สอง เหตุผลในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เดิมนั้นมีเหตุผลว่าเป็นการสนับสนุนให้มี การสร้างสรรค์งานขึ้นมามากๆ แต่ต่อมามีการยกระดับทรัพย์สินทางปัญญา โดยไปดูในเรื่องประโยชน์ทาง เศรษฐกิจของชาติหรือการค้าระหว่างประเทศ เพราะว่าในโลกปัจจุบัน สินค้าและบริการต่างๆ ที่มีทรัพย์สิน ทางปัญญา ได้มีการขาย มีการจำหน่ายไปทั่วโลกอย่างที่เราใช้กันอยู่ เช่น ซอฟต์แวร์หรือสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เมื่อมีการขายไปทั่วโลกก็มีคน Copy มีการละเมิด ซึ่งก็ทำให้เจ้าของสิทธิไม่ว่าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร หรือ เครื่องหมายการค้าต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันตก ก็มาเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ให้ความคุ้มครองไม่ให้ มีการละเมิด อันนี้ก็เป็นเหตุผลในปัจจุบันที่มีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ประการที่สาม ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา ในส่วนของประเภททรัพย์สินทางปัญญาจริงๆ แล้ว มีอยู่หลายประเภท ปัจจุบันถ้าเราไปดูตามกฎหมายใหม่ๆ มีหลายฉบับ ฉบับที่เก่าแก่ก็มีลิขสิทธิ์ เครื่องหมาย การค้า สิทธิบัตร ความลับทางการค้า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือ GI พวกพระราชบัญญัติพันธุ์พืชและยังมี กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นตัวพระราชบัญญัตินั้นอยู่หลายฉบับ แต่ของเราที่เนติบัณฑิตมี 3 ฉบับ ด้วยกันเท่านั้นที่เราต้องเรียนและสอบ ก็คือ ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หัวข้อที่ 2 เป็นเรื่องความเป็นเจ้าของ กฎหมายจะเขียนไว้ว่าใครบ้างเป็นเจ้าของงานที่สร้างกันมา อย่างเช่น ลิขสิทธิ์ก็มีมาตรา 9 ลูกจ้าง มาตรา 10 ผู้ว่าจ้าง หรือสิทธิบัตรก็มีมาตรา 10 ผู้ประดิษฐ์เอง มาตรา 11 มีเรื่องลูกจ้างนายจ้างเหล่านี้เป็นต้น หรือหน่วยราชการ ซึ่งประเด็นความเป็นเจ้าของในตารางเป็นประเด็น รอง หมายความว่า ถ้าข้อสอบมีไม่ใช่เป็นประเด็นหลัก อาจจะเสริมเข้าไปไม่ว่าข้อสอบของเนติบัณฑิต หรือผู้ พิพากษา หรืออัยการ เป็นประเด็นรอง ประเด็นหลักอย่างอยู่ในเรื่องเงื่อนไขการได้สิทธิในตารางแรก หัวข้อที่ 3 เป็นเรื่องสิทธิแต่ผู้เดียวและการละเมิดใน 3 พระราชบัญญัตินี้ก็มีเขียนเรื่องละเมิดเอาไว้ ทั้งหมด เช่น ลิขสิทธิ์ก็มีมาตรา 15 พูดถึงสิทธิแต่ผู้เดียว นักศึกษาดูลิขสิทธิ์ก่อนนะครับและมีเรื่องการละเมิด ลิขสิทธิ์ขั้นต้น มาตรา 27 ถึง 30 ขั้นรองมาตรา 31 ข้อสอบจะอยู่ในกลุ่มนี้ ปีที่แล้วก็อยู่ตรงนี้ส่วนสิทธิบัตร ก็อยู่ในมาตรา 36 และ 63 สิทธิบัตรการออกแบบ เครื่องหมายการค้าจดทะเบียน มาตรา 44 เป็นมาตรา หลัก และเครื่องหมายการค้าไม่จดทะเบียนมาตรา 46/2 เรื่องลวงขาย เรื่องละเมิดก็อยู่ในตารางที่ 3 หัวข้อที่ 3 เรื่องละเมิดก็เป็นเรื่องสำคัญเท่าๆ กับเรื่องเงื่อนไขของการได้สิทธิ ก็ย้ำว่าข้อสอบเนติบัณฑิตหรือผู้ช่วยหรือ อัยการจะมี 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องเงื่อนไขกับการละเมิดสำคัญที่สุด หัวข้อที่ 4 หัวข้อสุดท้ายเรื่องข้อยกเว้นการละเมิด อาจจะเป็นประเด็นรองโดยทั่วไปถือว่าเป็น ประเด็นรอง ก็หมายความว่า การกระทำที่เป็นการละเมิดแล้ว บางกรณีกฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่าอาจจะไม่ผิด ก็ได้ อย่างเช่น พวกลิขสิทธิ์ เช่น พวกการวิจัย การใช้เพื่อตนเอง สิทธิบัตรก็มีคล้ายๆ กัน อันนี้เป็นข้อยกเว้น ของการละเมิด แต่ว่าแต่ว่าเนติบัณฑิตเคยออกข้อสอบข้อยกเว้น มาตราของสิทธิบัตรมาตรา 36 วรรคสอง อนุมาตรา 7 เรื่องหลักของการสูญสิ้นไปด้วยสิทธิออกมาไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง เพราะฉะนั้น จะบอกว่าไม่สำคัญ ก็ไม่ใช่เพราะว่าเคยออกข้อสอบของเนติบัณฑิตเป็นประเด็นเดียว ก็คือเป็นข้อใหญ่เลยข้อเดียว เพราะฉะนั้น นักศึกษาก็ต้องดูด้วยนะครับในเรื่องข้อยกเว้น อันนี้ก็เป็นหัวข้อสุดท้ายของตารางเปรียบเทียบ อาจารย์อยากให้นักศึกษาเห็นภาพว่าคดีทรัพย์สินทางปัญญาที่ขึ้นสู่ศาลมันมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทแรก ก็คือ เงื่อนไขของการได้สิทธิ โดยเฉพาะในส่วนของสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า เพราะว่ามันมีระบบการตรวจสอบและจดทะเบียนในเรื่องเงื่อนไขอย่างสิทธิบัตรในมาตรา 5 บอกว่าต้องมี ความหมายตามมาตรา 6 มีการประดิษฐ์สูงขึ้นตามมาตรา 7 และประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมตามมาตรา 8 และไม่เป็นการต้องห้ามตามมาตรา 9 เพราะฉะนั้น เวลาไปขอสิทธิบัตร ก็มีการตรวจสอบและถ้ากรมทรัพย์สิน ทางปัญญาไม่จดทะเบียนให้ก็เป็นคดีขึ้นสู่ศาล จริงๆ มันมีขั้นตอนไปถึงคณะกรรมการสิทธิบัตรก่อน แล้วถ้าคน ที่ไปขอจดไม่ได้รับจด ก็ฟ้องกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ให้จดซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครอง เหมือนกับคดีปกครอง การฟ้องอย่างนี้กฎหมายบัญญัติไว้พิเศษให้ไปฟ้องที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้ฟ้องที่ ศาลปกครอง เพราะว่ามันเป็นคดีพิเศษเช่นเดียวกับพวกคดีภาษีอากร ซึ่งในการฟ้องเราต้องไปฟ้องที่ศาล ทรัพย์สินทางปัญญา ถ้าเราแพ้ในชั้นต้น เราก็อุทธรณ์ไปที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกทรัพย์สินทาง ปัญญา หรือหากเรายังไม่พอใจเราก็ขออนุญาตฎีกาไปที่ศาลฎีกาแผนกทรัพย์สินทางปัญญา อันนี้ก็เป็นเรื่อง สิทธิบัตร ส่วนเรื่องเครื่องหมายการค้าก็คล้ายๆ กัน เราดูเงื่อนไขนะครับว่าการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ต้องบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 8 หรือไม่เหมือนใครตามมาตรา 13 ซึ่งเวลาไปขอจด ก็คล้ายๆ กัน หากกรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ให้จด เราก็ฟ้องเพิกถอนคำสั่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาไปที่ศาล ทรัพย์สินทางปัญญา ระบบการฟ้องก็คล้ายๆ กัน เหมือนกับสิทธิบัตร และก็มีลักษณะนี้หลายร้อยเรื่องในแต่ละ ปี อันนี้เป็นกลุ่มคดีที่อาจารย์เรียกว่าคดีพิพาททางทะเบียน คือคนที่ฟ้องส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ไปขอจดหรือ บางครั้งก็มีคนที่คัดค้านก็มี อันนี้เป็นกลุ่มที่พิพาทกันทางทะเบียน ประเภทที่สอง ที่อาจารย์เน้นก็คือข้อพิพาทในการฟ้องเรื่องละเมิด การละเมิดนั้นเราดูนะครับ ในลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า ไม่ว่ากฎหมายเขียนแยกเป็น 3 พระราชบัญญัติ อย่างเช่น ลิขสิทธิ์ มาตรา 27, 28, 29, 30 พวกนี้ก็จะพูดเรื่องการทำซ้ำ ดัดแปลง สิทธิบัตรมาตรา 36 ก็จะใช้คำว่ามีการผลิต การขาย เครื่องหมายการค้าถ้าเป็นในทางอาญาก็เป็นการทำปลอม มาตรา 44 ก็ทำให้เหมือนหรือคล้าย ซึ่งถ้า เราดูลึกๆ ลงไปแล้ว มันเป็นการกระทำที่คล้ายๆ กัน ลิขสิทธิ์เราเรียกว่าทำตาม สิทธิบัตรเราก็เรียกว่าผลิต เครื่องหมายการค้าเราเรียกว่าทำปลอม ทำให้เหมือน เพราะฉะนั้น การกระทำก็คล้ายๆ กัน และมีการขาย เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น นักศึกษาก็คงไม่ต้องไปตกใจว่ามันมีถึง 3 พระราชบัญญัติ แต่หลักการมันคล้ายๆ กัน ถ้อยคำที่ใช้อาจจะต่างกันบ้างก็เลยมาแนะนำว่ากลุ่มคดีที่ฟ้องละเมิดที่ขึ้นสู่ศาลมีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ใน ส่วนของคดีแพ่งนั้น อย่างเช่นของสิทธิบัตรก็มีมาตรา 36 และมาตรา 63 มาตรา 36 คือสิทธิบัตรการประดิษฐ์ และมาตรา 63 เป็นเรื่องสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ส่วนอาญาก็มีมาตรา 85 มาตรา 86 แต่ก็บอกว่า อาญานั้นไม่ค่อยได้ออกข้อสอบ ข้อสอบผู้พิพากษาก็เคยออกเพียงครั้งเดียว ส่วนใหญ่ข้อสอบก็มักจะออกไปทาง แพ่งมากกว่ามาตราที่เราต้องจำก็อย่างเช่น มาตรา 36 และ 63 อันนี้ก็เป็นกลุ่มก็ดีที่เรียกว่ากลุ่มคดีละเมิด นักศึกษาก็กลับไปดูตัวอย่างข้อสอบเก่าได้นะครับ ต่อไปให้นักศึกษาไปหาตัวอย่างข้อสอบเก่าเมื่อปีที่แล้วมาดูนะครับ ซึ่งได้พูดถึงเรื่องสิทธิบัตรและ ลิขสิทธิ์ซึ่งข้อข้อสอบค่อนข้างยาวมาก หากนักศึกษาดูข้อสอบเป็นข้อสอบที่ค่อนข้างที่จะทันสมัย เป็นการที่ บริษัทกระรอกบินประดิษฐ์ตู้ชงเครื่องดื่ม อันนี้ก็เป็นสิทธิบัตรการประดิษฐ์ประเภทผลิตภัณฑ์ หลังจากนั้น นอกจากมีเครื่องชงแล้วก็มีชื่อเมนูเครื่องดื่มและภาพวาดเครื่องดื่ม อันนี้ก็เป็นลิขสิทธิ์ อาจารย์อยากแนะนำ นักศึกษาว่าเวลาเห็นข้อสอบเนติบัณฑิต สิ่งแรกที่ควรจะดูคือดูว่าเขาถามว่าอย่างไร เขาถามว่าการทำของ บริษัทสิงโตบินละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ตู้ชงเครื่องดื่มและละเมิดลิขสิทธิ์ในเมนูเครื่องดื่มและภาพวาด ข้อสอบเขาจะจำกัดขอบเขตของการตอบให้แคบลง ดังนั้น นักศึกษาเวลาอ่าน ควรจะดูคำถามก่อนว่าเขาถาม ว่าอย่างไร เพราะถ้าเรามาอ่านโจทย์ก่อนมันอาจจะเยอะมากไม่รู้ว่าประเด็นคืออะไร เราอาจจะเสียเวลาไป สัก 10 นาทีแล้ว เมื่อทราบแล้วว่าเป็นเรื่องละเมิดสิทธิบัตรเราก็มาดูตาราง มาดูว่าสิทธิบัตรเป็นสิทธิบัตร ประเภทใด เรื่องนี้เป็นสิทธิบัตรเป็นการประดิษฐ์ก็เป็นมาตรา 36 และเป็นการประดิษฐ์สิทธิบัตรประเภทไหน ก็เป็นประเภทผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มันมี 2 อย่าง คือ ผลิตภัณฑ์และกรรมวิธี หากเป็นผลิตภัณฑ์เข้ามาตรา 36 อนุมาตรา 1 หากเป็นกรรมวิธีก็เข้ามาตรา 36 อนุมาตรา 2
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เพราะฉะนั้น เวลาเราเห็นคำถาม เราก็กลับมาดูว่าเป็นความผิดตามมาตราไหน อันนี้ในส่วนของ ลิขสิทธิ์ในคำถามของปีที่แล้ว ก็มีเรื่องเมนูเครื่องดื่ม เราก็กลับไปในเรื่องของเงื่อนไขไปดูอีกทีว่ามันมีปัญหาเรื่อง เงื่อนไขของการได้ลิขสิทธิ์หรือไม่ ข้อนี้มันไปอยู่ในมาตรา 6 ด้วยว่าชื่อเมนูเครื่องดื่มไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะว่ายัง ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถความวิริยะอุตสาหะในการสร้าง คือ สร้างงานยังไม่ถึงขนาดที่จะมีลิขสิทธิ์ อันนี้ ก็อยู่ในเรื่องของเงื่อนไข ส่วนประเด็นที่ 2 เรื่องของภาพวาดซึ่งเป็นจิตรกรรม ก็อยู่ในเรื่องละเมิด ก็มีลิขสิทธิ์ใน ศิลปกรรม แต่เป็นการละเมิดตามมาตรา 27 และขั้นรองตามมาตรา 31 เพราะมีการเผยแพร่ อันนี้ก็คือ ตัวอย่างของปีที่แล้ว และข้อสอบย้อนไปอีกปีหนึ่งก่อนปีที่แล้ว ก็เป็นเรื่องของการประดิษฐ์รถยนต์ สิทธิบัตรนั้นมา 2 ปี เลยนะครับ 2 ปี เราดูคำถามนะครับ ขอถามว่าการประดิษฐ์รถยนต์แบบ a เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ขอรับ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ได้หรือไม่ เห็นหรือไม่ครับ คำถามก็คือเรื่องเงื่อนไข เพราะว่าเขาถามว่าทำใหม่หรือไม่ เราก็มาดูมาตรา 5 และ 6 ของสิทธิบัตร คำถามก็เขียนแคบนะครับว่าเป็นการประดิษฐ์ใหม่หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ ก็อยู่ในมาตรา 6 อนุมาตรา 1 อนุมาตรา 10 และคำถามที่ 2 ก็บอกว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่ รถยนต์แบบ b เมื่อเป็นการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ก็มาดูเรื่องเงื่อนไขของการออกแบบผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 56 รถยนต์แบบ b มีความใหม่ ตามมาตรา 56 หรือไม่ ก็อยู่ในเรื่องเงื่อนไขและสุดท้ายข้อสอบปีนั้นก็มีเครื่องหมายการค้าด้วย โดยถามว่า เครื่องหมายการค้ามีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่ ก็อยู่ในตารางนี้เหมือนกันก็อยู่ในเงื่อนไขของข้อ 1 มาตรา 6 บอกว่าเครื่องหมายการค้ามีลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 เพราะฉะนั้น ถ้าใครจำเรื่องเงื่อนไขได้ว่า เครื่องหมายการค้าต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะก็ตอบเรื่องเงื่อนไขได้ อันนี้คือคำถาม เพราะฉะนั้น ปีที่เกี่ยวกับรถที่ ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติไม่ต้องมีคนขับก็เป็นเรื่องเงื่อนไขหมดเลยนะครับ ทั้งสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า นักศึกษาพอที่จะเห็นภาพนะครับว่าข้อสอบมีลักษณะอย่างไร นักศึกษาก็ต้องพยายามไปดูตัวอย่างข้อสอบเก่า ย้อนหลังด้วยนะครับ อันนี้ก็เป็นการแนะนำก่อนที่จะลงสู่เนื้อหาในแต่ละพระราชบัญญัตินะครับ และอีก ประการอยากจะฝากนักศึกษาไว้ในคำบรรยายของอาจารย์ของทุกปีในการบรรยายครั้งสุดท้าย อาจารย์จะบอก มาตราสำคัญไว้อยู่ท้ายสุดของคำบรรยาย ซึ่งปีที่แล้วก็มีและข้อสอบก็ออกมาตราตามที่อาจารย์บอกไว้ สิทธิบัตร 1. ประวัติความเป็นมาของการคุ้มครองสิทธิบัตรในประเทศไทย พระราชบัญญัติสิทธิบัตรพ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายสิทธิบัตรฉบับแรกโดยมีเหตุผล 2 ประการในการออกกฎหมาย ประการแรก เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการผลิตและการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็น ประโยชน์แก่การเกษตรกรรมอุตสาหกรรมและพาณิชย์ของประเทศ ประการที่สอง เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ประดิษฐ์และผู้ออกแบบโดยการห้ามมิให้ผู้อื่นทำซ้ำหรือลอก เลียนงานที่คิดขึ้น ต่อมามีการแก้ไขพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 อีก 2 ครั้ง เป็นพระราชบัญญัติ สิทธิบัตร ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติสิทธิบัตร ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2542
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ต่อไปเรามาดูตัวอย่างคดีก่อนที่จะมีการออกกฎหมาย โดยมีการฟ้องคดีต่อศาล แต่หลักของเราก็คือ ว่าสิทธิบัตรต้องมีกฎหมายรับรองและเป็นเรื่องรัฐบาลจะให้หรือไม่ให้สิทธิบัตร เพราะฉะนั้น ก่อนที่มีกฎหมาย ฉบับนี้ศาลฎีกาก็ตัดสินว่าไม่ให้ความคุ้มครองการประดิษฐ์และการออกแบบ เช่น ฎีกาที่ 837/2507 "สิทธิในวิธีการประดิษฐ์" หรือ "สิทธิเปเต้นท์" ในขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ามี กฎหมายไทยก่อตั้งคุ้มครองจึงไม่ได้ชื่อว่าเป็น"สิทธิตามกฎหมาย"จึงไม่อาจก่อให้เกิดเป็นมูลละเมิดที่จะเรียกร้อง ให้บังคับบัญชาทางศาลได้ ฎีกาที่ 353/2510 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 272(1) เป็นบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องเครื่องหมาย การค้า มิได้บังคับในเรื่องรูปทรงลวดลายของสินค้าหรือสิ่งผลิต จึงมิใช่เป็นบทบัญญัติห้ามการผลิตวัตถุอันเป็น สินค้ามิให้ซ้ำกันหรือมีแบบรูปเหมือนคล้ายกัน เมื่อไม่มีกฎหมายคุ้มครองสิทธิในการประดิษฐ์สินค้า แม้จำเลยจะผลิตสินค้ามีรูปลักษณะอย่าง เดียวกับสินค้าของโจทก์ ก็หาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่ โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือใช้ สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์หาได้ไม่ กฎหมายสิทธิบัตรนั้นใช้หลักดินแดน หมายความว่า สิทธิบัตรที่ออกให้โดยประเทศใดมีผลหรือใช้ บังคับได้ในประเทศนั้นเท่านั้น อันนี้นักศึกษาต้องทราบด้วยนะครับเป็นข้อสอบเนติบัณฑิตอยู่ครั้งหนึ่ง ฎีกาที่ 6818/2549 สิทธิบัตรที่จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ ต้องเป็นสิทธิบัตรที่ได้ ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรต่ออธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์พร้อมทั้งเปิดเผยรายละเอียดการ ประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ เมื่อผ่านการตรวจสอบว่ามีลักษณะครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว อธิบดีจึงจะออกสิทธิบัตรให้ผู้ขอตามมาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว สิทธิบัตรที่ออกโดยอธิบดีกรมทรัพย์สิน ทางปัญญาดังกล่าวจึงจะได้รับความคุ้มครองในราชอาณาจักรไทยตามทฤษฎีสากลในเรื่องหลักดินแดนซึ่งผู้ทรง สิทธิบัตรจะบังคับใช้สิทธิของตนได้เฉพาะแต่ภายในเขตอำนาจอธิปไตยของประเทศที่ออกสิทธิบัตรนั้นเท่านั้น ไม่อาจบังคับใช้สิทธิของตนต่อการกระทำละเมิดเกี่ยวกับสิทธิบัตรที่เกิดขึ้นนอกอาณาเขตของประเทศนั้นได้ 2. ความหมายของสิทธิบัตร ความหมายของสิทธิบัตรมี 2 ประการ ดังนี้ สิทธิบัตรในความหมายแรก หมายถึง หนังสือที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ (Invention) หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 และ ให้รวมถึงอนุสิทธิบัตร (Petty Patense) ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 ด้วย สิทธิบัตรในความหมายที่สอง หมายถึง ลักษณะการคุ้มครอง คือ สิทธิพิเศษ ที่กฎหมายบัญญัติให้ เจ้าของสิทธิบัตรมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวหรือสิทธิเด็ดขาด Exclusive right) ในการแสวงหาประโยชน์จากการ ประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสิทธิบัตร เช่น สิทธิในการผลิต การขายผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร ตามมาตรา 36 และสิทธิบัตรในการใช้แบบผลิตภัณฑ์กับผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร หรือขาย หรือมีไว้เพื่อขาย หรือเสนอขาย หรือนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวตามมาตรา 63
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 3. ประเภทสิทธิบัตร (มาตรา 3 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง) สิทธิบัตรตามกฎหมายไทยปัจจุบันมี 3 ประเภทคือ 1. สิทธิบัตรการประดิษฐ์ 2. สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ 3. อนุสิทธิบัตร เป็นกฎหมายที่ออกมาคุ้มครองการประดิษฐ์ที่ไม่มีความสลับซับซ้อนและไม่มี เทคโนโลยีสูงมากนัก ไม่มีลักษณะเท่าเทียมกับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ธรรมดา คือไม่ต้องมีขั้นการประดิษฐ์ที่ สูงขึ้น 4. เปรียบเทียบสิทธิบัตรกับทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น 1. สิ่งที่กฎหมายคุ้มครอง สิทธิบัตร มุ่งที่ผลิตภัณฑ์หรือตัวสินค้า กฎหมายให้ความคุ้มครองงานสร้างสรรค์เกี่ยวกับการประดิษฐ์ ซึ่งเป็นผลให้เกิดผลิตภัณฑ์ กรรมวิธี และคุ้มครองการออกแบบผลิตภัณฑ์ เครื่องหมายการค้า กฎหมายคุ้มครองสัญลักษณ์ของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายสินค้าหรือบริการ เพื่อเป็น สื่อให้ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ถูกต้อง นอกจากเครื่องหมายการค้าแล้วยังมีเครื่องหมายบริการและ เครื่องหมายรับรอง ลิขสิทธิ์กฎหมายคุ้มครองงานสร้างสรรค์เกี่ยวกับงานศิลปะและการสื่อสารในลักษณะต่างๆ เช่น การ สื่อสารทางเสียง ได้แก่ งานดนตรีกรรม งานสิ่งบันทึกเสียง การสื่อสารทางภาพ ได้แก่ งานภาพยนตร์ งาน โสตทัศนวัสดุ การสื่อสารทางข้อความ ได้แก่ งานวรรณกรรม และการสื่อสารทางวัตถุได้แก่ งานศิลปกรรมตาม ประเภทงานต่างๆ ตามมาตรา 6 วรรคแรก พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 4. เปรียบเทียบสิทธิบัตรกับทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น 2. การได้มาซึ่งสิทธิ สิทธิบัตร เป็นระบบตรวจสอบและจดทะเบียน หากเป็นสิทธิบัตรการประดิษฐ์ผู้ประสงค์จะขอรับ ความคุ้มครองจะต้องยื่นคำขอรับสิทธิบัตรตามมาตรา 17 โดยต้องเปิดเผยรายละเอียดการผลิตและมีการ ประกาศโฆษณาให้ผู้มีส่วนได้เสียคัดค้านตามมาตรา 28 มาตรา 31 นอกจากนี้ต้องผ่านการตรวจสอบอย่าง ละเอียดจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการรับจดทะเบียน เครื่องหมายการค้า เจ้าของเครื่องหมายการค้าแม้ยังไม่ได้จดทะเบียน ก็มีสิทธิห้ามมิให้บุคคลอื่นใช้ เครื่องหมายการค้าของตนและมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่บุคคลอื่นนำ เครื่องหมายของตนไปจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนจะทำให้เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ลิขสิทธิ์ผู้สร้างสรรค์ได้รับความคุ้มครองทันทีเมื่อได้สร้างสรรค์งานขึ้นโดยไม่จำต้องไปจดทะเบียน หรือการจดแจ้งความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ 3. ระยะเวลาคุ้มครอง
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สิทธิบัตร มีระยะเวลาคุ้มครองสั้นที่สุด สิทธิบัตรการประดิษฐ์ 20 ปี สิทธิบัตรการออกแบบ 10 ปี และอนุสิทธิบัตร 6 ปี แต่ต่ออายุได้ 2 ครั้ง ๆ ละ 2 ปี เครื่องหมายการค้า เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ตลอดไปโดยไม่มีกำหนดเวลา แต่ต้องขอต่ออายุทะเบียนเครื่องหมายการค้าทุกๆ 10 ปี ลิขสิทธิ์โดยทั่วไปได้รับความคุ้มครองตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และอีก 50 ปี หลังจากผู้สร้างสรรค์ตาย 5. วัตถุประสงค์ในการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตร 1. เพื่อจูงใจให้มีการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ 2. เพื่อกระตุ้นให้มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการประดิษฐ์คิดค้นใหม่ๆ 3. เพื่อให้รางวัลตอบแทนแก่ผู้ประดิษฐ์และผู้ออกแบบ 4. เพื่อคุ้มครองสิทธิอันชอบธรรมของผู้ผลิตและผู้ออกแบบ 5. เพื่อจูงใจให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุนจากต่างประเทศ 6. สิ่งที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิบัตร สิ่งที่กฎหมายสิทธิบัตรให้ความคุ้มครองปรากฏตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “สิทธิบัตร” หมายความว่า หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการผลิตและการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ และมาตรา 3 วรรคสอง บัญญัติว่า “อนุสิทธิบัตร” หมายความว่าหนังสือสำคัญที่ออกให้ คุ้มครองการประดิษฐ์ สิ่งที่ขอรับสิทธิบัตรได้มี 2 ประเภท 1. การประดิษฐ์ 2. การออกแบบผลิตภัณฑ์ 7. ความหมายของการผลิตการประดิษฐ์ (invention) พระราชบัญญัติสิทธิบัตรมาตรา 3 วรรค 3 บัญญัติว่า “การประดิษฐ์” มีความหมายว่า การคิดค้น หรือคิดทำขึ้นอันเป็นผลให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ กรรมวิธีขึ้นใหม่ หรือการกระทำใดๆ ที่ทำให้ดีขึ้นซึ่งผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธี กฎหมายสิทธิบัตรให้ความหมายของการผลิต แยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนความคิดสร้างสรรค์ส่วนหนึ่ง และส่วนที่เป็นผลจากความคิดสร้างสรรค์ คือ สิ่งประดิษฐ์อีกส่วนหนึ่ง มาตรา 3 วรรคสาม ระบุผลอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของการประดิษฐ์ไว้ 3 ประเภท คือ 1. ผลิตภัณฑ์ 2. กรรมวิธี 3. การทำให้ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีดีขึ้น ผลิตภัณฑ์พระราชบัญญัติสิทธิบัตรไม่ได้ให้คำนิยามคำว่า “ผลิตภัณฑ์” ไว้ สิ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้นทุก ชนิดเป็นผลิตภัณฑ์และขอรับสิทธิบัตรได้ ทางปฏิบัติผลิตภัณฑ์ในความหมายอย่างกว้างหมายถึง สิ่งที่มีรูปร่าง
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หรือมีคุณสมบัติทางกายภาพทั้งหมดที่มนุษย์ผลิตขึ้น โดยไม่จำกัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ ขอรับสิทธิบัตรได้ ฎีกาที่ 3523/2537 สิทธิบัตรที่โจทก์ร่วมได้รับเป็นสิทธิบัตรการประดิษฐ์ลูกตะกร้อพลาสติก ไม่ใช่ การประดิษฐ์ที่ได้มาซึ่งกรรมวิธีใหม่ การวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ผลิตรายใดจะเป็นการละเมิดสิทธิบัตรของ โจทก์ร่วมหรือไม่ จะต้องพิจารณาที่ผลิตภัณฑ์เป็นหลัก มิใช่พิจารณาที่กรรมวิธีการผลิต ดังนั้น ไม่ว่าผู้ผลิต รายใดซึ่งผลิตตะกร้อพลาสติกจะพัฒนาวิธีการสานตะกร้อพลาสติกให้ดีกว่าหรือต่างไปจากวิธีการสานของโจทก์ ร่วมเพียงใดก็ตาม หากลูกตะกร้อพลาสติกที่ผลิตออกมามีรูปทรงรูปร่างลักษณะเหมือนกับของโจทก์ร่วมแล้ว ถือว่าผลิตภัณฑ์นั้นผลิตโดยละเมิดข้อถือสิทธิตามสิทธิบัตรของโจทก์ร่วม กรรมวิธีมาตรา 3 วรรคสี่ หมายความว่า วิธีการ กระบวนการ หรือกรรมวิธีในการผลิต หรือในการ เก็บรักษาให้คงสภาพ หรือให้มีคุณภาพดีขึ้น หรือการปรับสภาพให้ดีขึ้นซึ่งผลิตภัณฑ์และรวมถึงการใช้กรรมวิธี นั้นๆ ด้วย การทำให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีดีขึ้น หมายถึงความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นการแก้ไข ปรับปรุง หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือกรรมวิธีที่มีอยู่ให้ดีขึ้นทำให้ประหยัดขึ้นรวดเร็วขึ้นใช้งานได้นานขึ้น เช่น ไส้ ปากกาลูกลื่นที่บรรจุหมึกได้มากกว่าเดิม หรือกรรมวิธีการผลิตปุ๋ยที่ลดขั้นตอนการผลิตบางขั้นตอนลง หลอด ประหยัดไฟ ถังชักโครกประหยัดน้ำ แชมพูบรรเทารังแคได้มากกว่าเดิม 8. ความหมายของการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตามมาตรา 3 วรรคห้า บัญญัติว่า “แบบผลิตภัณฑ์” หมายความว่า รูปร่างของผลิตภัณฑ์หรือ องค์ประกอบของลวดลายหรือสีของผลิตภัณฑ์ อันมีลักษณะพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถใช้เป็นแบบ สำหรับผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม รวมทั้งหัตถกรรมได้ จากนิยามดังกล่าว การออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการทำให้รูปร่างลักษณะ ภายนอกของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเกิดความสวยงามเพื่อดึงดูดให้ผู้ซื้ออยากซื้อสินค้า เช่น การ ออกแบบรูปร่างของเครื่องรับโทรทัศน์ ลวดลายและสีของพรมหรือผ้าม่าน แม้ว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์เป็น ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เช่นเดียวกับการประดิษฐ์ แต่ก็มีข้อแตกต่างคือการออกแบบผลิตภัณฑ์ เป็นความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์กล่าวคือส่วนที่เป็นองค์ประกอบที่เป็นลักษณะ ที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกของผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถมองเห็นได้ แต่การประดิษฐ์เป็นความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับ ลักษณะทางเทคนิคหรือลักษณะที่เกี่ยวกับการทำงานมุ่งที่การใช้ประโยชน์ การทำหน้าที่ต่างๆ ซึ่งเป็น องค์ประกอบภายในของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีการผลิตและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างง่ายๆ ก็ คือ เรื่องของนาฬิกาข้อมือ นาฬิกาข้อมือส่วนที่เป็นการประดิษฐ์คือความคิดเกี่ยวกับกลไกการทำงาน ทำให้เกิด การทำงานสัมพันธ์กัน ส่วนการออกแบบของนาฬิกาก็อาจจะเป็นเรื่องของรูปร่างของตัวเรือน ลวดลายหน้าปัด ลวดลายสายนาฬิกา เพราะฉะนั้น หากนักศึกษาจะแยกการประดิษฐ์และการออกแบบก่อให้นึกถึงตัวอย่างนี้ คือ การผลิตต้องเน้นเรื่องฟังก์ชั่นการทำงานของสิ่งประดิษฐ์ การออกแบบเน้นเรื่องความสวยงามรูปร่าง
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 9733/2552 (ค้นไม่พบ) ตัดสินเห็นด้วยกับการปฏิเสธคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบ ผลิตภัณฑ์แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป (pre-stressed concrete planks) สำหรับการก่อสร้างอาคาร ที่มี ลักษณะพิเศษตามคำขอคือพื้นด้านล่างแบบกลม ศาลได้พิจารณาว่ารูปร่างตามที่ยื่นขอ ไม่ได้มีลักษณะพิเศษที่ เป็นเอกลักษณ์ แต่เป็นไปตามหลักวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงความสามารถในการรับแรง การออกสิทธิบัตรการ ประดิษฐ์ให้จะทำให้เกิดการผูกขาดทางการค้าต่อผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ ทั้งยังระบุด้วยว่าควรให้ไปขอรับเป็น สิทธิบัตรการประดิษฐ์แทน ฎีกาที่ 5073/2557 การออกแบบแม่พิมพ์กระเบื้องเพื่อผลิตกระเบื้องให้มีรูปร่าง ขนาด และ รูปลักษณะที่แปลกใหม่แตกต่างจากกระเบื้องที่ผลิตออกจำหน่ายในประเทศไทยเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ กระเบื้องให้มีรูปร่างของผลิตภัณฑ์อันมีลักษณะพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถใช้เป็นแบบสำหรับ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้ เข้าลักษณะเป็นแบบผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 ไม่ใช่ งานสร้างสรรค์รูปทรงที่เกี่ยวกับปริมาตรที่สัมผัสและจับต้องได้ และไม่ใช่งานออกแบบอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง หรืองานออกแบบตกแต่งภายในหรือภายนอกตลอดจนบริเวณของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างหรือการสร้างสรรค์ หุ่นจำลองของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอันจะถือได้ว่าเป็นงานศิลปกรรมประเภทประติมากรรมและงาน สถาปัตยกรรมที่จะมีลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4 และมาตรา 6 วรรคหนึ่ง การออกแบบ ผลิตภัณฑ์กระเบื้องของโจทก์ที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 เมื่อไม่ ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับแบบผลิตภัณฑ์กระเบื้องดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรมในประเทศไทยตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 59 ประกอบมาตรา 56 และได้รับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์กระเบื้องดังกล่าว การออกแบบ ผลิตภัณฑ์กระเบื้องของโจทก์ที่ 1 จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางชี้สองสถานโดยกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ เพียงว่า โจทก์ทั้งสองมีลิขสิทธิ์ตามคำฟ้องหรือไม่ จำเลยทั้งสี่ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ และ ค่าเสียหายมีเพียงใดเท่านั้น มิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาว่าจ้างผลิตแบบแม่พิมพ์ กระเบื้องต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันละเมิดความลับทางการค้าสำหรับสูตร วิธีการ และ ขั้นตอนการผลิตกระเบื้องของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ และโจทก์ทั้งสองก็มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลในการกำหนด ประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้ต้องวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลทรัพย์สินทาง ปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้กำหนดดังกล่าว เมื่อแบบแม่พิมพ์กระเบื้องของโจทก์ที่ 1 ไม่ใช่งาน ศิลปกรรมประเภทประติมากรรมและงานสถาปัตยกรรมอันมีลิขสิทธิ์ที่จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ดังที่โจทก์ที่ 1 อ้างตามคำฟ้อง โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีลิขสิทธิ์ในแบบแม่พิมพ์กระเบื้องดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสี่ย่อมไม่อาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในแบบแม่พิมพ์กระเบื้องดังกล่าวได้ ฎีกาที่ 6379/2537 แบบปากกาเป็นงานสร้างสรรค์อันเกิดจากการนำเอาการสร้างแบบพิมพ์ รูปลักษณะของปากกาและแบบแม่พิมพ์ซึ่งเขียนด้วยลายเส้นประกอบเป็นรูปทรงอันเข้าลักษณะศิลปกรรม
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประเภทงานจิตรกรรมและการสร้างแม่พิมพ์กับหุ่นจำลองของปากกาดังกล่าวซึ่งเป็นงานสร้างสรรค์รูปทรงที่ เกี่ยวกับปริมาตรที่สัมผัสและจับต้องได้ อันเข้าลักษณะศิลปกรรมประเภทงานประติมากรรมมาประกอบเข้า ด้วยกันและสร้างขึ้นเป็นปากกาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการขีดเขียนและเพื่อประโยชน์ทางการค้าอันเป็น ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากการชื่นชมในคุณค่าของตัวงานจิตรกรรมและประติมากรรมดังกล่าว งานสร้างสรรค์ แบบปากกาจึงเป็นงานศิลปประยุกต์ อันอาจได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 4(7) ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีคุณค่าทางศิลปะหรือไม่ งานออกแบบปากกา ค.และ ล. ซึ่งรวมงานสร้างแบบพิมพ์ รูปลักษณะของปากกา แบบแม่พิมพ์ หุ่นจำลองและแม่พิมพ์ปากกาเป็นศิลปกรรมประเภทงานศิลปประยุกต์ซึ่ง เกิดจากการนำเอางานจิตรกรรมและประติมากรรมมารวมกันโดย ย.ป.ข. กรรมการโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และ อ. ผู้รับจ้างจากโจทก์ที่ 1 ได้สร้างสรรค์ขึ้นขณะที่อยู่ในราชอาณาจักร บุคคลทั้งสี่จึงเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในแบบปากกา ค. และ ล. ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 6 ประกอบด้วยมาตรา 4 เมื่อบุคคลทั้งสี่ได้ทำ หนังสือสัญญาโอนลิขสิทธิ์ในแบบปากกาดังกล่าวให้ แก่โจทก์ทั้งสี่แล้ว โจทก์ทั้งสี่จึงเป็นผู้ได้ไปซึ่งลิขสิทธิ์และ เป็นผู้ที่มีลิขสิทธิ์ในแบบปากกา ค.และ ล ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 7,8 และ 15 ย่อม ได้ รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ฎีกาที่ 934/2549 บริษัท ค. ขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ "วิธีการเดินชมทัศนียภาพบนพื้นทะเล และอุปกรณ์สำหรับการเดินชมทัศนียภาพบนพื้นทะเล" โจทก์ซึ่งประกอบกิจการนำเที่ยวโดยการเดินชม ทัศนียภาพบนพื้นทะเลถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรพิพาท และได้รับผลกระทบโดยตรง จากการที่มีการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรดังกล่าว นับเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสียที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรได้ ตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคสอง โจทก์มีพยานซึ่งอยู่ในวงการดำน้ำมาเบิกความชัดเจนว่าในส่วนของวิธีการตามข้อถือสิทธิในสิทธิบัตร มีการใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วในราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตร พยานหลักฐานโจทก์ได้แสดงถึง รายละเอียดของระบบการทำงานของอุปกรณ์เดินใต้น้ำที่มีลักษณะเช่นเดียวกับข้อถือสิทธิตามสิทธิบัตรพิพาท โจทก์หาจำต้องนำสืบแยกแสดงขั้นตอนต่าง ๆ ตามลำดับทั้ง 10 ขั้นตอน ตามข้อถือสิทธิข้อ 1 รวมทั้ง รายละเอียดเพิ่มเติมข้อ 2 ถึงข้อ 7 และกล่าวถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ว่าใช้ร่วมกันทั้งหมดหรือไม่อย่างไร กรณีที่มี การนำระบบและอุปกรณ์มาใช้กับนักท่องเที่ยวเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการใช้แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักรตาม มาตรา 6 วรรคสอง (1) ฎีกาที่ 1764/2549 พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 9 (1) บัญญัติให้การประดิษฐ์ยาหรือสิ่ง ผสมของยาซึ่งเป็นตัวผลิตภัณฑ์ขอรับสิทธิบัตรไม่ได้เท่านั้น ไม่ได้บัญญัติให้กรรมวิธีการผลิตยาเป็นการประดิษฐ์ ที่ขอรับสิทธิบัตรไม่ได้ แม้โจทก์จะเคยได้รับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ลักษณะเดียวกันนี้จากสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปแล้วก็ตาม ก็หาได้เป็นข้อจำกัดในการตรวจสอบการประดิษฐ์โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกระบวนการและวิธีการที่บัญญัติ ไว้ใน พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522 ไม่
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไมตรี สุเทพากุล (ภาคปกติ) บรรยายวันที่ 1 มิถุนายน 2566 (ครั้งที่ 2)(สัปดาห์ที่ 2) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เรามาเรียนต่อในส่วนของสิทธิบัตร ในเรื่องของการขอรับสิทธิบัตรการ ประดิษฐ์ตามมาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 ส่วนมาตรา 9 นั้น เราเรียนไปแล้ว การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตร ไม่ได้ขอให้กลับมาดูเรื่องเดิมที่เราเรียนไปในตารางช่องงานที่ได้รับความคุ้มครอง ซึ่งมี 2 ประเภท คือ การ ประดิษฐ์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ อาจารย์ขอทบทวนก่อนที่จะเข้าไปในรายละเอียดของการประดิษฐ์ใน วันนี้นะครับ คราวที่แล้ว เราได้บรรยายถึงการประดิษฐ์ตามมาตรา 3 วรรคสามว่าเป็นการคิดค้นทำขึ้นอันเป็นผลให้ ได้มาซึ่ง 1.ผลิตภัณฑ์ 2.กรรมวิธี 3.การทำให้ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีดีขึ้น อันนี้เป็นผลที่ได้จากการผลิตตาม มาตรา 3 วรรคสาม อยากให้นักศึกษาแยกให้ดีว่า คำถามในข้อสอบเป็นการประดิษฐ์หรือการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการประดิษฐ์มากกว่าการออกแบบ และตัวอย่างที่ให้มาส่วนใหญ่จะเป็น ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธี ส่วนการออกแบบผลิตภัณฑ์เราเรียนไปแล้วในมาตรา 3 วรรคห้า เป็นการคุ้มครองเกี่ยวกับการคิด สร้างสรรค์ เรื่องรูปร่าง ลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาให้เกิดความสวยงามเพื่อดึงดูดให้ ผู้ซื้ออยากซื้อสินค้า เป็นส่วนของการออกแบบผลิตภัณฑ์ซึ่งตัวอย่างที่เราเห็นชัดที่สุด คือ ข้อสอบในส่วนของ การออกแบบรถยนต์เป็นข้อสอบเนติบัณฑิตสมัยที่ 64 คือ รถยนต์แบบ A เป็นรถยนต์ที่ขับได้โดยอัตโนมัติไม่ ต้องมีคนขับ แบบ B คือ การออกแบบรูปลักษณ์รถให้สวยงามต่างจากรถทั่วไป อันนี้เป็นการคุ้มครองที่ข้อสอบ ถามมาว่าคุ้มครองด้วยกฎหมายอะไร ซึ่งเราก็ได้บอกไปแล้วว่ามันอยู่ในตารางมาตรา 5 เรื่องการประดิษฐ์ และ ตอนท้ายของตารางเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ก็อยู่ในมาตรา 56 และ 57 ซึ่งนอกจากนี้ในตารางนี้ยังมีใน เรื่องของงานอนุสิทธิสิทธิบัตรซึ่งต่างจากสิทธิบัตรการประดิษฐ์ เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่และเป็นการประดิษฐ์ที่ สามารถประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมได้ ขอให้ศึกษาแยกในขั้นต้นก่อนว่า เป็นการประดิษฐ์หรือการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ และถ้าเป็นการประดิษฐ์เป็นการขอรับสิทธิบัตรซึ่งต้องมีองค์ประกอบตามมาตรา 5 หรือว่าเป็นการ ประดิษฐ์ที่ขออนุสิทธิบัตรซึ่งอยู่ในมาตรา 65 ทวิ ข้อสอบมีทั้งที่เป็นการขอสิทธิบัตรการประดิษฐ์และขออนุ สิทธิบัตร เวลาถ้าดูข้อสอบก็แยกให้ออกก่อนว่าเป็นสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตร ถ้าพิจารณาในเรื่องสิทธิบัตรในหัวข้อ เงื่อนไขของการขอรับสิทธิบัตรตามมาตรา 5 ซึ่งมีมาตรา 6 บอก ว่า ต้องเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ มาตรา 7 บอกว่ามีขั้นการผลิตที่สูงขึ้น และมาตรา 8 เป็นการประดิษฐ์ที่ สามารถประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมได้ซึ่ง 3 มาตรานี้ เป็นข้อสอบที่ออกมากที่สุด ลักษณะการประดิษฐ์ที่อาจขอรับสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรได้ ลักษณะการประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ตามมาตรา 5 พระราชบัญญัติสิทธิบัตรประกอบด้วยลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ 1.เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ 2.เป็นการผลิตที่มีขั้นการผลิตสูงขึ้น 3.เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การประดิษฐ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรได้นั้น จะต้องประกอบด้วยลักษณะครบทั้ง 3 ประการดังกล่าว และ ต้องไม่เป็นการประดิษฐ์ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 9 มาตรา 5(1) เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ (Novelty) การประดิษฐ์ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีที่จะขอรับสิทธิบัตรได้นั้นต้องเป็นการผลิตขึ้นใหม่ (New or novel inventions) หลักการนี้เป็นหลักพื้นฐานของกฎหมายสิทธิบัตรที่มีวัตถุประสงค์จูงใจให้มีการ ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ หากสิ่งที่คิดค้นได้เป็นสิ่งเก่าไม่ใหม่ ไม่ว่าผู้ประดิษฐ์จะคิดค้นด้วยตนเองโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ ตนคิดค้นไปเหมือนกับงานที่ปรากฏอยู่แล้วโดยบังเอิญก็ตาม กฎหมายสิทธิบัตรก็ไม่ให้ความคุ้มครองเพราะสิ่งที่ คิดค้นได้ไม่ใหม่ กฎหมายสิทธิบัตรให้พิจารณาความใหม่จากข้อเท็จจริงว่างานที่คิดค้นได้เป็นการประดิษฐ์ใหม่ หรือไม่ ฎีกาที่ 1822/2543 แม้จำเลยจะต่อสู้ว่าจำเลยเป็นคนคิดออกแบบปลอกพุ่มพวงมาลัยด้วยตนเอง มิได้ลอกเลียนงานของผู้อื่น แต่เมื่อเขาเท็จจริงปรากฏว่าแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยไปเหมือนกับแบบผลิตภัณฑ์ ปลอกหุ้มพวงมาลัยที่เผยแพร่ในวารสารรถยนต์ก่อนวันขอรับสิทธิบัตร แบบผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของจำเลย จึงมิใช่แบบผลิตภัณฑ์ใหม่ สิทธิบัตรของจำเลยจึงไม่สมบูรณ์ต้องเพิกถอนตามมาตรา 64 วรรคสอง การประดิษฐ์ขึ้นใหม่คืออะไร พระราชบัญญัติสิทธิบัตร มาตรา 6 วรรคแรก บัญญัติว่า การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ได้แก่ การประดิษฐ์ที่ไม่ เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว คำว่า “งานที่ปรากฏอยู่แล้ว (Prior Art)” คือ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประดิษฐ์คิดค้นในเรื่อง เดียวกัน หรือเกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรที่มีอยู่แล้ว หรือเป็นการประดิษฐ์ที่มีหรือใช้ แพร่หลายอยู่แล้ว หรือได้มีการเปิดเผยถึงสาระสำคัญแล้วก่อนวันรับสิทธิบัตร ในมาตรา 6 วรรคแรก เป็นมาตราที่พูดกว้าง ๆ ว่าการประดิษฐ์ต้องไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วและใน วรรคสองจะลงอธิบายละเอียดว่า การประดิษฐ์ที่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วมีอะไรบ้าง อยู่ในอนุมาตรา 1 ถึง อนุมาตรา 5 (ข้อสอบที่ออกมาอยู่ในอนุมาตรา 1 และอนุมาตรา 2 มากที่สุด) ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์แบบ A เป็นการประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตร ในข้อสอบก็เป็นเรื่องการประดิษฐ์ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีคนขับ เวลาข้อสอบออกมา ข้อสอบจะเทียบกับงานที่ปรากฏอยู่ แล้ว นักศึกษาต้องพยายามดูโจทย์ว่าให้อะไรมา งานที่ปรากฏอยู่แล้วในข้อสอบ คือ รถยนต์แบบ A ที่บริษัท คิดค้นขึ้นมา แต่ว่าบริษัทได้ขายรถยนต์แบบ A ไปแล้ว 1 เดือน หลังจากนั้น 2 ปี จึงมาขอรับสิทธิบัตร ฉะนั้น งานที่ปรากฏอยู่แล้วในเรื่องรถยนต์แบบ A คือ มีการขายรถแบบเดียวกันนั้นโดยคนที่คิดค้นเองด้วยก่อนวัน ขอรับสิทธิบัตร เพราะว่าโจทย์ให้มาว่าหลังจากขายไป 2 ปี ถึงมาขอรับสิทธิบัตร เพราะฉะนั้น คนที่ทำให้งานที่ ปรากฏอยู่แล้วอาจจะเป็นคนที่คิดค้นเองก็ได้ คือ ขายรถก่อนขอรับสิทธิบัตรก็เสียความใหม่ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น รถคันนี้แม้ว่าคิดค้นขึ้นใหม่ เป็นรถที่มีความใหม่ แต่ก็เสียความใหม่เพราะว่ามีการขายก่อนวันขอรับ สิทธิบัตร
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาตรา 6 วรรคสอง บัญญัติว่า “งานที่ปรากฏอยู่แล้ว ให้หมายความถึงการประดิษฐ์ ดังต่อไปนี้ด้วย (1) การประดิษฐ์ที่มีหรือใช้แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักร ก่อนวันขอรับสิทธิบัตร (2) การประดิษฐ์ที่ได้มีการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่ แล้ว ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร ก่อนวันขอรับสิทธิบัตร และไม่ว่าการเปิดเผยนั้นจะกระทำโดยเอกสาร สิ่งพิมพ์ การนำออกแสดง หรือการเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วยประการใด ๆ (3) การประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรแล้วไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนวันขอรับ สิทธิบัตร (4) การประดิษฐ์ที่มีผู้ขอรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรไว้แล้วนอกราชอาณาจักรเป็นเวลาเกินกว่าสิบ แปดเดือนก่อนวันขอรับสิทธิบัตรแต่ยังมิได้มีการออกสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรให้ (5) การประดิษฐ์ที่มีผู้ขอรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรไว้แล้วไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรและได้ ประกาศโฆษณาแล้วก่อนวันขอรับสิทธิบัตรในราชอาณาจักร” งานที่ปรากฏอยู่แล้วตามมาตรา 6 วรรคสอง อนุมาตรา 1 ถึง 5 อาจแบ่งลักษณะของงานที่ปรากฏอยู่ แล้วเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ 1.งานที่ปรากฏอยู่แล้วในลักษณะของการมีหรือใช้แพร่หลายตามมาตรา 6 วรรคสอง(1) 2.งานที่ปรากฏอยู่แล้วในลักษณะของการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดของการประดิษฐ์สู่ สาธารณะชนแล้วตามมาตรา 6 วรรคสอง(2)-(5) คำอธิบายรายอนุมาตรา มาตรา 6 วรรคสอง(1) การประดิษฐ์ที่มีหรือใช้แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักรก่อนวันขอรับ สิทธิบัตร มีองค์ประกอบที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้ 1.เป็นเรื่องการมีหรือใช้แพร่หลาย ซึ่งต่างจากมาตรา 6 วรรคสอง(2) เรื่องของการเปิดเผยสาระสำคัญ หรือรายละเอียดของการประดิษฐ์ 2.สถานที่การมีหรือใช้ได้หลายพิจารณาเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น หากมีการใช้ได้หลายนอก ประเทศไม่เข้าอนุมาตรานี้ 3.คำว่า “แพร่หลาย” คืออะไร ต้องมีจำนวนมากเพียงใดถึงจะถือว่าแพร่หลาย ต้องพิจารณาว่าโดย ลักษณะของการมีหรือใช้ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีนั้นสาธารณชนมีโอกาสที่จะได้รู้เห็นหรือได้รับประโยชน์ในวง กว้างพอสมควรหรือไม่ หากเป็นของใช้อุปโภคบริโภคต้องมีจำนวนมาก มีคนเห็นมาก จึงจะถือว่าแพร่หลาย แต่ ถ้าเครื่องจักรใหญ่ หรือโรงงานนิวเคลียร์การมี 1 ถึง 2 เครื่อง ก็น่าจะถือว่าไปหลายแล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้ ส่วนตัวหรือเป็นการใช้อย่างไม่เปิดเผย ไม่ถือว่าเป็นงานปรากฏอยู่แล้วแต่หากไปผลิตออกทดลองตลาด จำนวน 10,000 ชิ้น ให้ลูกค้าลองใช้ เช่นนี้ ถือว่าแพร่หลายแล้ว 4.ผู้ที่ทำให้แพร่หลาย คือ ใครก็ได้ ซึ่งรวมทั้งผู้ผลิตเอง เช่น ข้อสอบในข้อรถยนต์แบบ A รถยนต์แบบ A คนที่เอาไปขาย คือ คนที่คิดค้นรถยนต์นี้เอง เพราะฉะนั้น เป็นคนที่ประดิษฐ์เองเอาไปขายก็ทำให้แพร่หลาย โดยเขาอาจจะไม่รู้กฎหมายว่าจะไปขายก่อนขอรับสิทธิบัตรไม่ได้ 5.มาตรา 6 วรรคสุดท้าย การเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดโดยผู้ผลิต กฎหมายถือว่าไม่มีผลทำ ให้การผลิตนั้นกลายเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว เป็นข้อยกเว้นที่ใช้เฉพาะมาตรา 6 วรรคสอง(2) ไม่ใช้กับมาตรา
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 6 วรรคสอง(1) เรื่องมีหรือใช้แพร่หลาย ฉะนั้น หากผู้ประดิษฐ์เองทำให้ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีแพร่หลายก็ไม่ เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 6 วรรคท้าย 6.เกณฑ์เวลาที่ใช้ในการพิจารณาเรื่องความใหม่ คือ วันขอรับสิทธิบัตรต้องมีหรือใช้ไปหลายอยู่แล้ว ก่อนวันขอรับสิทธิบัตร ถ้าแพร่หลายในวันขอรับสิทธิบัตรหรือหลังวันขอรับสิทธิบัตร ไม่ถือว่าเป็นงานที่ปรากฏ อยู่แล้ว วันขอรับสิทธิบัตรคือวันใดมีด้วยกัน 3 กรณีดังต่อไปนี้ กรณีแรก วันขอรับสิทธิบัตร คือ วันที่ยื่นคำขอและเจ้าหน้าที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาในไทยรับคำ ขอ อย่างเช่น อาจเป็นการไปยื่นคำขอรับสิทธิบัตรด้วยตนเอง วันที่ไปยื่นอาจไม่ใช่วันขอรับสิทธิบัตร เพราะคำ ขอรับสิทธิบัตรต้องมีการเปิดเผยรายละเอียดของการประดิษฐ์จึงจะเป็นคำขอที่ถูกต้อง ดังนั้น หากพนักงาน เจ้าหน้าที่ตรวจคำขอแล้วเห็นว่าถูกต้องตามมาตรา 17 จึงรับคำขอไว้ถือว่าเป็นวันขอรับสิทธิบัตรที่สมบูรณ์ เพราะเจ้าหน้าที่รับคำขอไว้แล้ว กรณีที่ 2 ถ้าเป็นกรณีที่มีการแสดงสินค้าให้นับวันเปิดงานแสดงสินค้าเป็นวันขอรับสิทธิบัตร ตาม มาตรา 19 บัญญัติว่า บุคคลใดแสดงการประดิษฐ์หรือสิ่งประดิษฐ์ในงานแสดงต่อสาธารณชนซึ่งหน่วยงานของ รัฐเป็นผู้จัดหรืออนุญาตให้มีขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรสำหรับการประดิษฐ์นั้นภายใน 12 เดือน นับแต่วันเปิดงานแสดงต่อสาธารณชนให้ถือว่าได้ยื่นคำขอนั้นในวันเปิดงานแสดงนั้น กรณีที่ 3 วันที่ได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในต่างประเทศ และประเทศนั้นให้สิทธิบัตร ให้นับวันที่ได้ยื่น คำขอรับสิทธิบัตรในต่างประเทศครั้งแรกเป็นวันขอรับสิทธิบัตร กรณีนี้เป็นกรณีที่บุคคลที่ได้ยื่นคำขอรับ สิทธิบัตรสำหรับการประดิษฐ์ไว้นอกราชอาณาจักร ภายหลังได้มายื่นคำขอรับสิทธิบัตรในราชอาณาจักร ตาม มาตรา 19 ทวิ มาตรา 19 ทวิบุคคลตามมาตรา 14 ที่ได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรสำหรับการประดิษฐ์ไว้นอก ราชอาณาจักร ถ้ายื่นขอรับสิทธิบัตรสำหรับการประดิษฐ์นั้นในราชอาณาจักรภายในสิบสองเดือนนับแต่วันที่ได้ ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรนอกราชอาณาจักรเป็นครั้งแรก บุคคลนั้นจะขอให้ระบุว่าวันที่ได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรนอก ราชอาณาจักรเป็นครั้งแรกเป็นวันที่ได้ยื่นคำขอในราชอาณาจักรก็ได้ ตัวอย่างข้อสอบเนติบัณฑิตที่เคยออกไปแล้ว ตัวอย่างที่ 1 บริษัทบ้านเย็นไปขอรับสิทธิบัตรกรรมวิธีสร้างบ้านด้วยดินเหนียว ต่อมา บริษัทย้อนยุคก็ ได้มาสร้างบ้านด้วยดินเหนียวเหมือนกัน บริษัทบ้านเย็นจึงมาฟ้องว่าละเมิดสิทธิบัตรกรรมวิธีบริษัทย้อนยุค ต่อสู้ว่าสิทธิบัตรไม่สมบูรณ์ เพราะว่าวิธีการสร้างบ้านด้วยดินเหนียวมีมาช้านานกว่า 200 ปี ถามว่าข้อต่อสู้ของบริษัทย้อนยุคฟังขึ้นหรือไม่ ประเด็นในข้อสอบที่ต้องพิจารณามีประเด็นเดียว คือ ความใหม่ ธงคำตอบก็บอกว่ากรรมวิธีการสร้างบ้านด้วยดินเหนียวเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมากว่า 200 ปี ไม่ใช่ กรรมวิธีใหม่ตามมาตรา 5 อนุมาตรา 1 และมาตรา 6 สิทธิบัตรไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 54 เมื่อไม่สมบูรณ์ก็ไม่ ละเมิด ตัวอย่างที่ 2 บริษัทนิวส์ได้คิดค้นรถอัตโนมัติไม่มีคนขับและผลิตออกขาย 1 เดือนในไทยจำนวน 1000 คัน หลังจากนั้น 2 ปี ก็มาขอรับสิทธิบัตร ฉะนั้น กรณีนี้ก็เป็นอนุมาตรา 1 นักศึกษาต้องเข้าใจว่าเป็น มาตรา 6 วรรคสอง(1) เพราะว่าถ้าพูดวรรคด้วยมันจะยาว เพราะฉะนั้น เรื่องรถยนต์แบบ A ก็อยู่ในอนุมาตรา 1 เป็นการขายก่อนขอรับสิทธิบัตร เพราะในโจทย์บอกว่าหลังจากนั้น 2 ปี จึงมาขอรับสิทธิบัตร ฉะนั้น
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ก็เป็นกรณีที่มีหรือใช้แพร่หลายเพราะมีการขายมาก่อนก็เสียความใหม่ตามอนุมาตรา 1 ซึ่งบางคนก็ไปตอบเอา วรรคท้ายข้อยกเว้นของอนุมาตรา 2 มาตอบว่าไม่เสียความใหม่เพราะเขาข้อยกเว้น ซึ่งไม่ใช่นะครับอนุมาตรา 1 ไม่มีข้อยกเว้น อันนี้ก็เป็นตัวอย่างของอนุมาตรา 1 อีกอันหนึ่ง ตัวอย่างที่ 3 เป็นเรื่องหน้ากากอนามัย ไม่แน่ใจว่าเป็นของเนติบัณฑิตหรือของผู้ช่วย โจทย์มีว่านาย สงบได้คิดค้นหน้ากากอนามัย โดยประดิษฐ์จากเยื่อฟางข้าว เยื่อสา เยื่อไผ่ เอามาประกบกัน 3 ชั้นกันฝุ่นได้ดี หลังจากนั้น 1 มิถุนายน 61 นายสงบได้ยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตร คดีนี้ โจทย์บอกว่าขอรับอนุสิทธิบัตรหน้ากากอนามัย ข้อสอบข้อนี้มีวันที่มาด้วย ต้องพิจารณาวันที่ด้วย ว่าขอรับอนุสิทธิบัตรเมื่อไหร่ และอย่าลืมว่าอนุสิทธิบัตรใช้หลักเกณฑ์เดียวกับสิทธิบัตรตามมาตรา 65 ทศ โยง มาตรา 6 มาใช้ วันที่ 1 มิถุนายนยื่นคำขอ วันที่ 1 ธันวาคม 2561 ปีเดียวกันผลิตหน้ากากออกขาย วันที่ 15 ธันวาคม 2561 กรมทรัพย์สินออกอนุสิทธิบัตรให้ นักศึกษาดูนะครับ มีนาคม 2562 ปีถัดมา นายเลิศ ประดิษฐ์หน้ากากออกขาย นายสงบก็ฟ้องว่านายเลิศละเมิดอนุสิทธิบัตรหน้ากาก ข้อต่อสู้ข้อแรกที่นายเลิศต่อสู้ บอกว่า หน้ากากได้ทำมาจากเยื่อฟาง เยื่อสา เยื่อไผ่ เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามนั้นธรรมชาติไม่ได้ทำขึ้นใหม่ ไม่เป็นการ ประดิษฐ์ ธงคำตอบ ธงคำตอบวินิจฉัยว่า เป็นการประดิษฐ์ แม้ว่าทำจากเยื่อฟาง เยื่อสา เยื่อไผ่ แต่ได้นำมา ประกอบกันสำหรับกรองฝุ่น PM 2.5 เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ตามมาตรา 3 เวลาสู้กันในศาลบางครั้งก็สู้กันไป ถึงว่าเป็นการประดิษฐ์หรือไม่ในมาตรา 3 ก่อน และประเด็นต่อมาก็มาสู้เรื่องความใหม่ สู้ว่านายสงบประดิษฐ์ หน้ากากออกขายก่อนวันออกอนุสิทธิบัตร เราดูในโจทย์นะครับเขาบอกว่านายสงบยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตร วันที่ 1 มิถุนายน และวันที่ 1 ธันวาคม อีก 6 เดือนจึงผลิตออกขาย ฉะนั้น เขาผลิตออกขายเมื่อไหร่ครับ ก่อน หรือหลังวันขอรับ ก็ตอบได้ว่าหลังวันขอรับอนุสิทธิบัตร เขาผลิตออกขายหลังวันขอรับอนุสิทธิบัตรอีก 6 เดือน จึงไม่เสียความใหม่ตามมาตรา 6 วรรคสอง(1) ข้อต่อสู้ต่อมาอ้างว่า หน้ากากไม่มีคุณสมบัติกรองฝุ่นได้ดี ไม่เป็นที่ประจักษ์โดยง่าย กล่าวคือ หน้ากาก นี้ไม่มีขั้นการผลิตสูงขึ้น ถ้าเราจำหลักเกณฑ์เรื่องอนุสิทธิบัตร ว่ามาตรา 65 ทวิ ต้องมีความใหม่และประยุกต์ใช้ ในอุตสาหกรรมได้ อนุสิทธิบัตรไม่ต้องมีขั้นประดิษฐ์สูงขึ้น ถ้าเราจำหลักเกณฑ์นี้ไม่ได้เราก็จะตอ บไม่ได้ เขา หลอกมาว่าไม่มีขั้นประดิษฐ์สูงขึ้น ต้องตอบมาตรา 65 ทวิว่า อนุสิทธิบัตรไม่ต้องมีขั้นประดิษฐ์สูงขึ้น ขอให้มี ความใหม่ตามที่เราวินิจฉัยไปแล้วข้างต้นตามอนุมาตรา 1 ว่าอนุสิทธิบัตรนี้สมบูรณ์ครบเงื่อนไขตามมาตรา 65 ทวิ และ 65 ทศ เมื่ออนุสิทธิบัตรสมบูรณ์การที่นายเลิศไปประดิษฐ์หน้ากากก็เป็นการละเมิดตามมาตรา 36( 1) มาตรา 6 วรรคสอง(2) การผลิตที่ได้มีการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือ สิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้ว ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร ก่อนวันขอรับสิทธิบัตรและไม่ว่าการเปิดเผย นั้นจะกระทำโดยเอกสารสิ่งพิมพ์ การนำออกแสดงหรือการเปิดเผยต่อสาธารณะชนด้วยประการใดๆ งานที่ปรากฏอยู่แล้วประเภทที่ 2 ตามมาตรา 6 วรรคสอง(2) เป็นการประดิษฐ์ที่ได้มีการเปิดเผย สาระสำคัญหรือรายละเอียดทำให้สาธารณชนได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตนั้นก่อนวันขอรับ สิทธิบัตร มาตรา 6 วรรคสอง(2) มีองค์ประกอบที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้ 1.การเปิดเผยสาระสำคัญตามอนุมาตรานี้เป็นการเปิดเผยที่มุ่งให้ประชาชนรับรู้สาระสำคัญหรือ รายละเอียดของผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธี ซึ่งต่างจากมาตรา 6 วรรคสอง(1) ซึ่งเป็นเรื่องของการแพร่หลายของ
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตัวผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีไปสู่ประชาชน การเปิดเผยตามมาตรา 6 วรรคสอง(2) เช่น การตีพิมพ์หนังสืออธิบาย รายละเอียดว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีองค์ประกอบอย่างไร มีโครงสร้างอย่างไร หรืออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ กรรมวิธีการผลิตเพื่อจำหน่ายแก่ประชาชน หรือการแสดงรายละเอียดการประดิษฐ์ในนิทรรศการ หรือการ จัดทำเอกสารวิจัยของการประดิษฐ์และนำไปมอบให้ห้องสมุด หรือนำไปลงโฆษณาในอินเตอร์เน็ต หรือถ่ายทำ วิดีโอคลิปนำออกเผยต่อสาธารณชนในลักษณะที่สาธารณะจนสามารถรับรู้ได้ 2.สำหรับสถานที่ทำการเปิดเผยต่อสาธารณชนไม่ว่าจะกระทำภายในประเทศหรือต่างประเทศ ถือว่า เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว คือไม่ว่าเปิดเผยที่ใดในโลก 3.สำหรับบุคคลที่ต้องการเปิดเผย กฎหมายไม่คำนึงถึงว่าการเปิดเผยดังกล่าวกระทำโดยใคร แม้ผู้ ประดิษฐ์จะเป็นผู้ทำการเปิดเผยต่อสาธารณชนเอง เช่น ผู้ประดิษฐ์คิดค้นยารักษาโรค มะเร็งได้ จึงได้เขียน บทความอธิบายรายละเอียดของยารักษาโรคมะเร็งพิมพ์ลงในวารสาร ดังนี้ถือว่าการประดิษฐ์ยารักษา โรคมะเร็งกลายเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว หากผู้ประดิษฐ์ประสงค์จะขอรับสิทธิบัตรก็ไม่ควรเปิดเผยการ ประดิษฐ์ของตนก่อนที่จะยื่นคำขอรับสิทธิบัตร ข้อยกเว้นมาตรา 6 วรรคสอง อนุมาตรา 2 มี 3 กรณีด้วยกันตามมาตรา 6 วรรคท้าย ที่กฎหมาย บัญญัติยกเว้นให้การผลิตที่ได้มีการเปิดเผยสาระสำคัญตามมาตรา 6 วรรคสอง(2) ไม่ถือว่าเป็นงานที่ปรากฏ อยู่แล้ว คือ 1.การเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดการผลิตที่ขอรับสิทธิบัตรที่เกิดขึ้นหรือเป็นผลจากการ กระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นเรื่องของการผิดสัญญาหรือลูกจ้างขโมยความลับไปเปิดเผยให้โรงงานที่ เป็นคู่แข่ง หรือหน่วยราชการนำรายละเอียดการผลิตที่ผู้ผลิตยื่นในการขออนุมัติตั้งโรงงานไปเปิดเผย กรณีนี้ถือ ว่าการผลิตยังเป็นของใหม่อยู่ แม้ความจริงจะมีการเปิดเผยหรือคนอื่นดู 2.การเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดโดยผู้ผลิตเอง เช่น นักประดิษฐ์คิดค้นยารักษาโรคมะเร็งได้ และนำไปเปิดเผยในวาระทางการแพทย์ก่อนยื่นขอรับสิทธิบัตร 3.การเปิดเผยด้วยการแสดงผลงานของผู้ผลิตในงานแสดงสินค้าระหว่างประเทศหรืองานแสดงต่อ สาธารณชนของทางราชการ การเปิดเผยในข้อนี้มี 2 ประเภท คือ (ก) งานแสดงสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐหรือเอกชนเป็นผู้จัดก็ได้และจัดในไทยหรือต่างประเทศก็ได้ (ข) งานแสดงต่อสาธารณะชนของทางราชการ ข้อนี้จำกัดเฉพาะการแสดงของทางราชการและจะจัดใน ไทยหรือต่างประเทศก็ได้ ข้อยกเว้นทั้ง 3 ข้อนี้ จะไม่เสียความหมายต่อเมื่อภายใน 12 เดือน ต้องมายื่นคำขอรับสิทธิบัตร คือ หลังจากเปิดเผยไปแล้วไม่เกิน 12 เดือน มาขอรับสิทธิบัตรก็จะถือว่ายังใหม่อยู่ ฎีกาที่ 10626/2559 โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ทรงสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิตเลือดจระเข้ชนิดแคปซูล ข้อถือ สิทธิตามสิทธิบัตรของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า กรรมวิธีสำหรับเตรียมผงเลือดจระเข้แห้ง ประกอบด้วย 1) การเก็บ เลือดจระเข้ในภาชนะปิดผ่านการทำให้ปลอดเชื้อด้วยการอบนึ่งฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งไอน้ำภายใต้ความดันที่ อุณหภูมิ 121 องศา เป็นเวลา 15นาที หรือการทำให้ปลอดเชื้อด้วยรังสี ส่วนจำเลยนำเลือดจระเข้ไปผ่าน กระบวนการพาสเจอร์ไส์ ซึ่งเป็นการทำให้ปลอดเชื้อด้วยการใช้ความร้อนไม่สูงมากนัก แล้วทำให้เย็นลงอย่าง รวดเร็ว จึงเป็นกรรมวิธีที่เเตกต่างจากของโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยละเมิดอนุสิทธิบัตรกรรมวิธีของโจทก์
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตัวอย่างข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาเรื่องความใหม่ คำถาม นายเอกคิดประดิษฐ์แว่นตาดิจิทัลใช้สำหรับถ่ายรูปได้เมื่อผู้ใส่แว่นกระพริบตา ซึ่งเป็นแว่นตาที่ มีประสิทธิภาพสูงกว่ากล้องถ่ายรูปธรรมดา และยังไม่มีใครคิดค้นได้มาก่อน นายเอกได้ส่งข้อมูลและวิธีการ ทำงานโดยละเอียดของแว่นตาดิจิทัลไปลงในนิตยสาร investor ที่พิมพ์จำหน่ายอยู่ในประเทศสิงคโปร์ โดย นิตยสารวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2558 นายเอกยื่นคำขอรับ สิทธิบัตรการผลิตแว่นตาดิจิทัลดังกล่าวต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา หลังจากนั้นนายเอกได้ผลิตแว่นตาดิจิทัล ออกจำหน่ายอย่างแพร่หลายในประเทศไทย นายบอยให้การต่อสู้ว่า สิทธิบัตรของนายเอกออกโดยไม่ชอบด้วย กฎหมาย ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายบอยฟังขึ้นหรือไม่ ธงคำตอบ การที่นายเอกส่งข้อมูลและวิธีการทำงานโดยละเอียดของแว่นตาดิจิทัลไปลงในนิตยสาร investor ที่พิมพ์จำหน่ายอยู่ในประเทศสิงคโปร์เป็นการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดการผลิตในเอกสาร หรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนวันรับสิทธิบัตร โดยหลักแล้วต้องถือว่าการผลิต นั้นเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วตามพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2522 มาตรา 6 วรรคสอง(2) แต่เนื่องจากการเปิดเผย สาระสำคัญหรือรายละเอียดนั้นกระทำโดยนายเอกผู้ประดิษฐ์ และนายเอกยื่นคำขอรับสิทธิบัตรหลังจากการ เปิดเผยดังกล่าว 1 เดือน จึงเป็นการเผยเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดภายใน 12 เดือน ก่อนที่จะมีการ รับสิทธิบัตร จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 6 วรรคท้าย ที่ไม่ให้ถือว่าเป็นการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียด ตามมาตรา 6 วรรคสอง(2) การผลิตแว่นตาดิจิทัลจึงยังเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว ต่อมา แม้นายเอกผลิตแว่นตาดิจิทัลออกจำหน่ายอย่างแพร่หลายในประเทศไทย แต่ได้กระทำภายหลัง วันขอรับสิทธิที่แล้ว จึงไม่ทำให้การผลิตนั้นกลายเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 6 วรรคสอง(1) แต่ถือว่าเป็นการผลิตขึ้นใหม่ตามมาตรา 5(1) ประกอบมาตรา 6 วรรคหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าแว่นตาดิจิทัลดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงกว่ากล้องถ่ายรูปธรรมดา จึงถือได้ว่าเป็นการประดิษฐ์ที่ ไม่เป็นประจักษ์โดยง่ายแก่บุคคลที่มีความชำนาญในระดับสามัญสำหรับงานประเภทนั้นตามมาตรา 5 อนุมาตรา 2 ประกอบมาตรา 7 และสามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ตามมาตรา 5(3) ประกอบ มาตรา 8 การออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์แว่นตาดิจิทัลให้นายเอกจึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 5 มาตรา 6 วรรคสอง(3) การประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรแล้วไม่ว่าในหรือนอก ราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตร งานที่ปรากฏอยู่แล้วประเภทที่ 3 ตามมาตรา 6 วรรคสอง(3) เป็นการประดิษฐ์ที่ได้มีการจดทะเบียน สิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรในประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วจะนำไปขอรับสิทธิบัตรประเทศอื่นไม่ได้ ไม่ว่าผู้ที่ได้รับ สิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรดังกล่าวจะเป็นบุคคลเดียวกับผู้ที่ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรเดียวกันนั้นในประเทศไทย หรือไม่ เพราะเมื่อมีการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้สำหรับการผลิตแล้ว กฎหมายอนุญาตให้ประชาชน ทั่วไปตรวจดูรายละเอียดในคำขอรับสิทธิบัตร บางประเทศตีพิมพ์รายละเอียดการผลิตที่ได้รับสิทธิบัตรแล้วออก เผยแพร่ให้สาธารณชนทราบ ดังนั้น การประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรแล้วไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนวัน ขอรับสิทธิบัตร จึงถือว่าเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วไม่เป็นงานใหม่ที่จะขอรับสิทธิบัตรได้
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาตรา 6 วรรคสอง(4) การประดิษฐ์ที่มีผู้ขอรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรไว้แล้วนอก ราชอาณาจักรเป็นเวลาเกินกว่า 18 เดือนก่อนวันขอรับสิทธิบัตร แต่ยังไม่ได้มีการออกสิทธิบัตรหรืออนุ สิทธิบัตรให้ งานที่ปรากฏอยู่แล้วประเภทที่ 4 มาตรา 6 วรรคสอง(4) กรณีนี้เป็นเรื่องที่ไปยื่นขอรับสิทธิบัตรไว้ แล้วในต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน วัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติสิทธิบัตรตามอนุมาตรานี้ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตที่ได้ยื่นขอรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรไว้แล้วในประเทศอื่นมายื่นขอรับสิทธิบัตรใน ประเทศไทยโดยเร็ว คือ ภายใน 18 เดือน เพราะต้องการให้เปิดเผยให้คนไทยเร็วที่สุด ถ้าเกินกว่า 18 เดือนก็ เท่ากับเอาของเก่ามาจดในประเทศไทย หากผู้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรไว้นอกราชอาณาจักรจะขอให้นับวันยื่นคำ ขอรับปฏิบัติย้อนหลังตามมาตรา 19 ทวิ ก็ต้องมายื่นคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ในราชอาณาจักรภายใน 12 เดือน นับแต่วันที่ได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรนอกราชอาณาจักรเป็นครั้งแรก มาตรา 6 วรรคสอง(5) การประดิษฐ์ที่มีผู้ขอรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรไว้แล้วไม่ว่าในหรือนอก ราชอาณาจักรและได้ประกาศโฆษณาแล้วก่อนวันขอรับสิทธิบัตรในราชอาณาจักร งานที่ปรากฏอยู่แล้วประเภทที่ 5 ตามมาตรา 6 วรรคสอง(5) เป็นการประดิษฐ์ที่ได้มีการประกาศ โฆษณาคำขอรับสิทธิบัตรซึ่งมีรายการต่าง ๆ รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับการประดิษฐ์แล้ว เท่ากับเป็นการ เปิดเผยการผลิตต่อสาธารณชนอย่างหนึ่ง จึงถือว่าเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วไม่เป็นงานใหม่ สำหรับการขอรับอนุ สิทธิบัตรในประเทศไทยไม่มีขั้นตอนการประกาศโฆษณาคำขอรับก่อน แต่จะพิจารณาออกสิทธิบัตรให้ไปก่อน แล้วจึงประกาศโฆษณาการออกอนุสิทธิบัตรให้คัดค้านในภายหลัง สำหรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าการผลิตที่จะขอรับปฏิบัติเป็นการผลิตใหม่หรือไม่ ทั้ง 5 ข้อ ดังกล่าวนั้น เป็นหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม ทางปฏิบัติอาจมีปัญหาว่าการผลิตที่ขอรับ สิทธิบัตรจะต้องเป็นการผลิตที่แตกต่างจากการประดิษฐ์ที่มีอยู่แล้วเพียงใดจึงจะถือว่าเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ซึ่งตามมาตรา 6 วรรคหนึ่ง บัญญัติแต่เพียงว่าการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ได้แก่ การประดิษฐ์ที่ไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่ แล้ว คำว่า “ไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว” น่าจะหมายถึงเหมือนกับงานที่ปรากฏอยู่แล้ว 100% หากมีการ ประดิษฐ์แตกต่างจากงานที่ปรากฏอยู่แล้วไม่ว่ามากหรือน้อยก็ถือว่าเป็นการผลิตขึ้นใหม่ ในการตรวจสอบว่า เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่หรือไม่ จะเปรียบเทียบการประดิษฐ์ที่มีอยู่แล้วกับการผลิตที่ขอรับสิทธิบัตรโดย เปรียบเทียบลักษณะทางเทคนิคที่ระบุในข้อถือสิทธิ หากพบว่าการผลิตมีลักษณะทางโครงสร้างหรือ องค์ประกอบหรือมีส่วนผสมที่แตกต่างไปจากเดิม หรือมีขั้นตอนการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากเดิมต้องถือว่าการ ผลิตที่ขอรับสิทธิบัตรเป็นการผลิตขึ้นใหม่ แม้ว่าส่วนอื่นๆ ของการประดิษฐ์จะเหมือนเดิม อันนี้ก็เป็นการ วินิจฉัยเรื่องความใหม่จากทางปฏิบัติ ฎีกาที่ 4783/2549 โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรของจำเลยที่ 1 โดยกล่าวอ้างว่าการประดิษฐ์ ที่มีส่วนประกอบของกวาวเครือมีการเปิดเผยสาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่เผยแพร่มา ตั้งแต่ปี 2474 ก่อนวันที่จำเลยที่ 1 ขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์จึงไม่ใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ และไม่มีขั้นการ ประดิษฐ์สูงขึ้น เพราะองค์ประกอบสมุนไพรจากกวาวเครือเป็นส่วนประกอบพื้น ๆ ธรรมดาที่บุคคลอื่นและ โจทก์ใช้หรือผลิตกันอยู่ทั่วไป ทั้งไม่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรืออื่นๆ ได้ เพราะ ไม่ใช่เรื่องการผลิตทางอุตสาหกรรม ไม่เป็นประโยชน์ทางอุตสาหกรรม คงถือเป็นเพียงการผสมสมุนไพร จึงไม่
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อาจขอรับสิทธิบัตรได้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นที่เข้าใจอย่างชัดแจ้งแล้วว่า สิทธิบัตรพิพาทไม่สมบูรณ์ เพราะเหตุใด ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ประกอบธุรกิจจำหน่ายและผลิตยาและเครื่องสำอางซึ่งผลิตจากสมุนไพรกวาวเครือ ต่อมาเมื่อ ประมาณเดือนสิงหาคม 2542 จำเลยที่ 1 ประกาศในหนังสือพิมพ์ให้ผู้ผลิต ขาย มีไว้เพื่อขาย และเสนอขาย ผลิตภัณฑ์จากกวาวเครือที่มีลักษณะเช่นเดียวกัน หรือคล้ายกันกับองค์ประกอบสมุนไพรจากกวาวเครือของ จำเลยที่ 1 ยุติการกระทำและเรียกคืนผลิตภัณฑ์จากท้องตลาด จึงเป็นการบรรยายฟ้องว่าโจทก์ประกอบธุรกิจ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรกวาวเครือเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งหากสิทธิบัตรพิพาทมีผลสมบูรณ์ จำเลยที่ 1 ย่อมจะมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรดังกล่าว และมีสิทธิห้ามบุคคลอื่นรวมทั้งโจทก์ในการ ประกอบการค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกวาวเครือได้ ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากข้อถือสิทธิที่ระบุไว้ใน สิทธิบัตรพิพาทเป็นสำคัญ โจทก์ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการฟ้องขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรได้ ตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคสอง ฎีกาที่ 2703/2546 เมื่อมีเหตุอันสมควรที่จำเลยจะเชื่อว่าได้มีการละเมิดสิทธิบัตรของจำเลย การที่ จำเลยใช้วิธีการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ เป็นการขอรับความคุ้มครอง เพื่อให้มีการบังคับตามสิทธิบัตรที่จำเลยได้รับอยู่เป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนเจ้าพนักงานตำรวจ จะดำเนินการแก่โจทก์อย่างไรต่อไปเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานตำรวจ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการจง ใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายหรือใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันจะ เป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และมาตรา 421 การประดิษฐ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรได้ต้องประกอบด้วย (1) เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ (2) เป็นการ ประดิษฐ์ที่มีขั้นสูงขึ้น และ (3) เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม ตามมาตรา 5 แห่ง พระราชบัญญัติสิทธิบัตรฯ การประดิษฐ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรได้จึงต้องประกอบด้วยลักษณะการประดิษฐ์ทั้ง 3 ข้อ จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ เมื่อการประดิษฐ์วัสดุรองรับแรงกระแทกบนหัวเสาเข็มตามสิทธิบัตรของจำเลยไม่ เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่แล้ว การประดิษฐ์ของจำเลยจึงไม่อาจขอรับสิทธิบัตรได้สิทธิบัตรของจำเลยได้ออกไป โดยไม่ชอบด้วยมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นสิทธิบัตรไม่สมบูรณ์ และเพิกถอนได้ตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ฎีกาที่ 2448/2554 แม้การผลิตตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 1862 จะมีการผลิตจำหน่ายอยู่ใน ต่างประเทศแล้วก่อนวันขอรับอนุสิทธิบัตรในประเทศไทย การผลิตดังกล่าวก็ไม่เสียความใหม่ตาม พระราชบัญญัติสิทธิบัตร มาตรา 6 วรรคสอง อนุมาตรา 1 เพราะมาตรา 6 วรรคสอง อนุมาตรา 1 ต้องมีหรือ ใช้แพร่หลายในราชอาณาจักร ประเด็นต่อไป เรื่องการประดิษฐ์ที่มีขั้นการผลิตสูงขึ้น มาตรา 5(2) คือ เป็นการประดิษฐ์ที่มีการประดิษฐ์สูงขึ้นตามมาตรา 7 มาตรา 7 บัญญัติว่า การผลิตที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น ได้แก่ การผลิตที่ไม่เป็นที่ประจักษ์โดยง่ายแก่ บุคคลที่มีความชำนาญในระดับสามัญสำหรับงานประเภทนั้น จากคำนิยามดังกล่าวกฎหมายมุ่งพิจารณาความสามารถในเชิงประดิษฐ์คิดค้น ไม่ใช่เพียงการใช้ฝีมือ ทางช่างธรรมดา ดังนั้น การประดิษฐ์ที่กฎหมายคุ้มครองสำหรับสิทธิบัตร การผลิตจะต้องไม่ใช่การประดิษฐ์
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีที่ง่ายจนเกินไป หรือเป็นสิ่งที่สามารถคิดหรือทำได้โดยง่ายโดยผู้ที่มีความรู้พื้นฐานทั่วไป ในเรื่องนั้น คำว่า “ไม่เป็นที่ประจักษ์โดยง่าย” หมายความว่า การผลิตนั้นต้องไม่สามารถคิดค้นหรือทำได้โดยง่าย ส่วน “ประจักษ์โดยง่าย”คือ เราเห็นแล้วก็คิดได้ทันทีโดยหลักเหตุผลธรรมดา ใช้หลักตรรกะธรรมดา เช่น การ รวมหรือการแยก ตัวอย่างการรวม เช่น การเอายางลบมาติดบนแท่งดินสอ การติดล้อที่เก้าอี้เพื่อให้เลื่อนไปมาได้ การเอา ดินสอมารวมกับปากกา การเอาปากกาหลายๆ สีมารวมกัน เป็นการทำเพื่อความสะดวกในการใช้งาน หรือการ ย่อส่วน หรือขยายส่วน หรือการเปลี่ยนวัตถุดิบ หรือเปลี่ยนใช้วัสดุตามธรรมดาที่รู้ว่าใช้แทนกันได้ เช่น เก้าอี้ สมัยก่อนใช้ไม้ ตอนหลังใช้วัสดุมีคุณสมบัติเหมือนไม้ อย่างนี้เป็นเรื่องที่ประจักษ์โดยง่าย ขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น ต้องมีการพัฒนาหรือก้าวหน้าในเชิงการผลิตขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง เช่น การ ประดิษฐ์แว่นตามีการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เดิมมีเฉพาะเลนส์สายตาสั้นกับสายตายาวแยกกัน ปัจจุบัน สามารถเอาเลนส์ทั้งสองมารวมอยู่ในแว่นอันเดียวกันเรียกว่ามีขั้นการผลิตสูงขึ้น ส่วนบุคคลที่มีความรู้ความชำนาญในระดับสามัญสำหรับงานประเภทนั้น ที่กฎหมายกำหนดให้ถือเอา ความรู้ความสามารถมาใช้เป็นเครื่องวัดว่าการผลิตที่พิจารณามีขั้นการผลิตสูงขึ้น หมายถึง ผู้ที่มีความรู้หรือ ความชำนาญระดับปานกลางหรือระดับเฉลี่ย โดยปกติหมายถึงบุคคลที่ทำงานในด้านนั้นอยู่เป็นปกติ ซึ่งอาจมี ความรู้ความชำนาญแตกต่างกันไปในแต่ละสาขา เช่น การตัดเย็บรองเท้าอาจไม่ใช้ความรู้สูงมากนัก แต่ในด้าน การผลิตคอมพิวเตอร์ระดับความรู้ความชำนาญอาจต้องสูงมาก แต่มีข้อสังเกตว่ากฎหมายสิทธิบัตรไม่ได้ กำหนดให้ถือเอาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เช่น การเอาเลนส์สายตาสั้นและเลนส์สายตายาวมาประกบเป็นอัน เดียวกัน ถ้าถามคนทำแว่นตาอาจบอกว่ายาก แต่ถ้าไปถามผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ผู้เชี่ยวชาญอาจบอกว่าง่ายมาก สำหรับเกณฑ์เวลาที่นำมาชี้ขาดว่าเป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการผลิตสูงขึ้นหรือไม่ ใช้เวลาก่อนวันขอรับ สิทธิบัตรเป็นเกณฑ์ชี้ขาด อันนี้เคยออกข้อสอบผู้ช่วยครั้งหนึ่งว่าเอาวันไหนเป็นตัวชี้ก็ใช้เกณฑ์เดียวกับความใหม่ ความแตกต่างของการพิจารณาความใหม่กับขั้นการผลิตสูงขึ้น หลักการพิจารณาว่าขั้นตอนการผลิตสูงขึ้นหรือไม่ จะต่างจากหลักเรื่องความใหม่ เพราะความใหม่เป็น การพิจารณาข้อเท็จจริงว่ามันแพร่หลายหรือเปิดเผยหรือยัง แตกต่างกันหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริง แต่ว่าเรื่องขั้น การประดิษฐ์สูงขึ้นเป็นการที่จะบอกว่าประจักษ์โดยง่ายหรือไม่ เป็นดุลพินิจของคนที่อยู่ในสาขานั้น ๆ ว่าเขา คิดว่าอันนี้สามารถคิดค้นได้โดยง่ายหรือไม่ เป็นการวัดจากความรู้สึกนึกคิดของคนค่อนข้างมาก หากไม่กระทำ ด้วยความละเอียดรอบคอบและวิจารญาณที่ดีแล้ว อาจผิดพลาดได้โดยง่ายและเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในการ วินิจฉัย การพิจารณาว่าการประดิษฐ์มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้นหรือไม่ ในทางปฏิบัติหลักเกณฑ์ที่จะวัดว่าสิ่งใดมี ขั้นตอนการประดิษฐ์สูงขึ้นหรือไม่ ต้องพิจารณาจากลักษณะการทำงานและอาจวัดที่ผลหรือประโยชน์ใช้สอย ว่าผลหรือประโยชน์ใช้สอยที่ได้รับจากการประดิษฐ์แตกต่างไปจากเดิมมากหรือไม่ หรือเป็นที่จำหน่ายได้หรือไม่ ไม่ได้วัดที่ความแตกต่างในองค์ประกอบหรือโครงสร้างของการประดิษฐ์ ถ้าผลหรือประโยชน์ใช้สอยที่ได้รับ แตกต่างจากเดิมมากและไม่เป็นที่คาดหมายได้ก็ถือว่ามีขั้นการผลิตที่สูงขึ้น เช่น ยาไวอากา โครงสร้างหรือ ส่วนผสมอาจจะต่างจากโครงสร้างยารักษาโรคหัวใจนิดเดียว คือ ขยายหลอดเลือด แต่ผลที่ได้ไม่เป็นที่ คาดหมายได้
pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง นอกจากนี้การนำมาส่วนประกอบที่มีอยู่แล้วมาประกอบเป็นการประดิษฐ์ใหม่ จะถือว่ามีขั้นการ ประดิษฐ์ที่สูงขึ้นเฉพาะในกรณีที่ปรากฏว่าผลที่ได้รับจากการรวมส่วนประกอบดังกล่าวมากกว่าผลรวมของ ส่วนประกอบเหล่านั้นแต่ละส่วน แต่ถ้าผลที่ได้รับไม่แตกต่างไปจากเดิมและหน้าที่ของส่วนประกอบแต่ละส่วน อย่างเหมือนเดิม ถือว่าไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น ในตัวอย่างคำพิพากษาของศาลอังกฤษเคยวินิจฉัยว่าเครื่อง ทำไส้กรอกซึ่งมีอุปกรณ์บดเนื้อและอัดเนื้อที่บดแล้วในถุง ซึ่งอุปกรณ์แต่ละส่วนมีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนำมารวมกัน ไม่ทำให้แต่ละส่วนมีหน้าที่แตกต่างไปจากเดิมจึงไม่มีขั้นการผลิตที่สูงขึ้น นอกจากหลักเกณฑ์การพิจารณาเกี่ยวกับขั้นการผลิตสูงขึ้นโดยตรงแล้ว ยังมีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ บางอย่างที่แสดงว่าการผลิตมีขั้นการผลิตที่สูงขึ้นที่สำคัญพอสรุปได้ดังนี้ การผลิตที่ทำให้เกิดผลแตกต่างไปจาก เดิม โดยไม่เป็นที่คาดหวังมาก่อน การผลิตที่เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่มีผู้ใดแก้ไขได้มาช้านาน การผลิตนั้น ประสบความสำเร็จในการค้า ในทางตรงกันข้าม หากมีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์บางอย่างที่แสดงว่าการประดิษฐ์บางลักษณะไม่มี ขั้นการผลิตที่สูงขึ้น ที่สำคัญพอสรุปได้ดังนี้ การผลิตที่เป็นการนำส่วนประกอบที่มีหน้าที่อย่างเดียวกับส่วนประกอบที่ใช่อยู่แล้วแทนส่วนประกอบ ดังกล่าว ไม่ถือว่ามีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น เช่น การใช้มอเตอร์ไฮดรอลิคแทนมอเตอร์ไฟฟ้า หรือการใช้ พลังงานแสงอาทิตย์แทนพลังงานไฟฟ้า การผลิตที่เป็นเพียงเปลี่ยนใช้วัสดุแตกต่างไปจากเดิม เช่น การใช้ เซรามิคแทนโลหะในการทำลูกบิดประตู หรือใช้พลาสติกแทนอลูมิเนียมในการทำภาชนะบรรจุของเหลว ฎีกาที่ 5631/2536 การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตร คือ ผลิตภัณฑ์ลูกตะกร้อพลาสติกลักษณะของ โครงสร้างแทบไม่แตกต่างจากตะกร้อหวายที่ใช้กันทั่วไป แต่ผลที่เกิดขึ้นแตกต่างกันมาก คือ ตะกร้อพลาสติก สามารถรับน้ำหนัก รักษาขนาด รักษาความยืดหยุ่น ความเด้งตัวคงที่กว่าตะกร้อหวาย ตะกร้อหวายซื้อมาใหม่ๆ จะแข็งมาก พอเก่าเปียกน้ำความเด้งตัวลดลงต้องรอให้แห้งก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผลที่เกิดจากการผลิต แตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่แล้วมาก ถือว่าไม่เป็นที่ประจักษ์โดยง่าย จึงมีลักษณะของขั้นการผลิตที่สูงขึ้น ฎีกาที่ 13331/2555 จำเลยเป็นผู้ส่งสิทธิบัตรการประดิษฐ์ปั้นจั่นเคลื่อนที่เร็ว ปั้นจั่นเคลื่อนที่เร็ว ของจำเลยแตกต่างจากรถเจาะน้ำบาดาลแบบกระแทกและปั้นจั่นตอกเสาเข็มแบบเดิม ปั้นจั่นแบบเดิมมีปัญหา ความล่าช้าในการเคลื่อนย้ายประกอบติดตั้ง การเข้าหมุด การย้ายหมุด และความมั่นคงแข็งแรง ประโยชน์ของ รถตอกเสาเข็มของจำเลย คือ ทำให้เคลื่อนที่ได้เร็วและไม่ต้องรื้อปั้นจั่นประกอบใหม่ ปั้นจั่นเคลื่อนที่เร็วของ จำเลยจึงมีลักษณะการทำงานและผลที่ได้รับมีประสิทธิภาพดีกว่าปั้นจั่นตอกเสาเข็มแบบเดิม การประดิษฐ์ ปั้นจั่นเคลื่อนที่เร็วของจำเลยไม่เคยมีบุคคลใดทำขึ้นมาก่อน และไม่สามารถคิดหรือทำได้โดยง่ายโดยบุคคลที่มี ความชำนาญในระดับสามัญ จึงเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่และมีขั้นการผลิตสูงขึ้น ฎีกาที่ 829/2549 จำเลยเป็นผู้ทรงสิทธิบัตรการประดิษฐ์อุปกรณ์ล็อคก้านแป้นคลัชและก้านแป้น เบรค เมื่อพิจารณาการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของจำเลยเปรียบเทียบกับงานที่ปรากฏอยู่แล้ว การประดิษฐ์ของ จำเลยมีการพัฒนาส่วนประกอบซึ่งเป็นสาระสำคัญของการประดิษฐ์เพิ่มขึ้นมา ทำให้รูหรือห่วงตรงกันและ สามารถใช้กุญแจคล้องเพื่อเพิ่มความปลอดภัยได้อีกชั้นหนึ่ง เมื่อนำส่วนประกอบดังกล่าวมารวมกันทำให้เห็น ว่าสิ่งประดิษฐ์ของจำเลยมีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น สิทธิบัตรของจำเลยจึงเป็นสิทธิบัตรที่ออกโดยชอบด้วย กฎหมายตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522
pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 18329/2557 สิทธิบัตรพิพาทเป็นสิทธิบัตรกรรมวิธีการกระตุ้นให้สร้างสารกฤษณาโดยการ สร้างรอยแผลบนต้นกฤษณาเป็นการกระทำเพื่อกระตุ้นเอาผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติของ ต้นไม้มาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยเห็นได้จากสาระสำคัญตามข้อถือสิทธิของสิทธิบัตรที่มุ่งเน้นวิธีการ ควบคุมปริมาณการหลั่งของสารกฤษณาได้มากกว่าธรรมชาติจากกรรมวิธีการสร้างรอยแผลดังที่ระบุไว้ในข้อถือ สิทธิ การพิจารณาออกสิทธิบัตรกรรมวิธีที่คิดค้นขึ้นอันเป็นผลให้ได้มาซึ่งผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก ธรรมชาติอย่างเช่นสิทธิบัตรพิพาทในคดีนี้ต้องให้ความสำคัญกับเทคนิคพิเศษเฉพาะด้านของการประดิษฐ์ในแต่ ละรายที่ทำให้เกิดผลผลิตดังกล่าวว่า กรรมวิธีนั้นเป็นที่ประจักษ์โดยง่ายแก่บุคคลที่มีความชำนาญในระดับ สามัญสำหรับการคิดค้นกรรมวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งสารกฤษณาหรือไม่ โดยกรรมวิธีนั้นมิใช่เพียงกระบวนการที่ไม่มี เทคนิคพิเศษเพื่อให้ได้มาซึ่งสารกฤษณาดังกล่าว หากกรรมวิธีนั้นมิได้เกิดขึ้นจากการกระทำหรือการแทรกแซง ของผู้ประดิษฐ์จนถึงขั้นที่ถือได้ว่าเป็นการคิดค้นหรือคิดทำขึ้นอันเป็นผลให้ได้มาซึ่งกรรมวิธีใหม่ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 กรรมวิธีนั้นก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อกรรมวิธีตามข้อถือสิทธิบัตรพิพาทเป็น กรรมวิธีที่เป็นประจักษ์โดยง่ายแก่บุคคลที่มีความชำนาญในระดับสามัญสำหรับการคิดค้นกรรมวิธีในการสร้าง สารกฤษณาอันถือไม่ได้ว่าเป็นกรรมวิธีที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น การออกสิทธิบัตรดังกล่าวย่อมเป็นการออกที่ ไม่ชอบด้วยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 จบในส่วนของการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น ยังเหลือในการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ ในทางอุตสาหกรรมได้ ซึ่งเป็นหัวข้อสุดท้าย ก็ขอค้างไว้บรรยายในคราวหน้า และอาจารย์ขอแจ้งเบอร์โทรศัพท์ ไว้เผื่อว่านักศึกษามีข้อสงสัยอยากจะสอบถามก็สามารถที่จะโทรมาสอบถามหรือแอดไลน์มาที่อาจารย์แล้วฝาก คำถามไว้ได้นะครับ เบอร์โทร 081-1742136 สำหรับวันนี้ก็ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ ***จบการบรรยาย*** สรุปโดย a04 ตรวจทาน A06
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา ทรัพย์สินทางปัญญา (สิทธิบัตร) (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์ไมตรี สุเทพากุล บรรยายวันที่ 8 มิถุนายน 2566 (ครั้งที่ ๓) (สัปดาห์ที่ 3) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เราจะมาเริ่มกันที่เรื่อง ลักษณะของการประดิษฐ์ที่อาจขอรับสิทธิบัตรได้ ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรมาตรา 5 (3) มาตรา 5 (3) การประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้(industrial applicability) มาตรา 5 (3) เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ (industrial applicability) ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในมาตรา 8 การประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรมได้ พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฯ มาตรา 8 บัญญัติว่า “การประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม ได้แก่ การประดิษฐ์ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการผลิตทางอุตสาหกรรม รวมทั้งหัตถกรรม เกษตรกรรม และพาณิชยกรรม” การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ นอกจากเป็นการผลิตขึ้นใหม่และมีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นแล้ว ต้องเป็นการผลิตที่ประยุกต์ใช้ทางอุตสาหกรรมได้ด้วย ซึ่งโดยหลักการแล้ว การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ จะต้องใช้ประโยชน์ได้จริง หรือสามารถนำเอาไปใช้ในทางปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฎีที่สมมุติขึ้น จึงอาจสรุปได้ว่า การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้จะต้องเป็นการผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีที่สามารถทำให้ เกิดขึ้นได้จริง เช่น เอาไปผลิตได้จริงและเป็นสิ่งที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม และคุ้มกับ ต้นทุนในเชิงพาณิชย์ ตัวอย่างเช่น เครื่องจักรกลที่ผู้ผลิตระบุว่าสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา ไม่มีกำหนด ซึ่งขัดกับหลัก ทางวิทยาศาสตร์ หรือการทำน้ำให้กลายเป็นน้ำมัน ก็ต้องใช้ต้นทุนสูงมากในเชิงพาณิชย์ ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องสิทธิบัตรการประดิษฐ์ อนุสิทธิบัตร (Petty Patent) การคุ้มครองอนุสิทธิบัตรเริ่มขึ้นตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับที่3) พ.ศ. 2542 เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ที่มีเทคโนโลยีไม่พอที่จะขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ คือ เป็นการ ประดิษฐ์ที่ไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น ซึ่งเหมาะสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีของนักประดิษฐ์ไทย ความหมายของอนุสิทธิบัตร พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 3 วรรคสอง บัญญัติว่า “อนุสิทธิบัตร หมายความว่า หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ที่กำหนดไว้ในหมวด 3 ทวิ แห่งพระราชบัญญัตินี้” ลักษณะการประดิษฐ์ที่ขอรับอนุสิทธิบัตรได้ พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ มาตรา 65 ทวิบัญญัติว่า“การประดิษฐ์ที่ขอรับอนุสิทธิบัตรได้ต้องประกอบด้วย ลักษณะดังต่อไปนี้ (1) เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ (2) เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรม”
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ จะต้องเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ และสามารถประยุกต์ในทาง อุตสาหกรรมได้ แต่ไม่ต้องมีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะของการประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาเรื่องความใหม่และการประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม หรือการ ประดิษฐ์ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองของเรื่องอนุสิทธิบัตรนั้น ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับมาตรา 6 มาตรา 8 และ มาตรา 9 โดยมาตรา 65 ทศ ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติในเรื่องสิทธิบัตรการประดิษฐ์มาใช้กับอนุสิทธิบัตร โดยอนุโลม ข้อสังเกต พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฯ มาตรา 65 ตรีบัญญัติว่า “บุคคลใดจะขอรับทั้งอนุสิทธิบัตรและ สิทธิบัตรสำหรับการประดิษฐ์อย่างเดียวกันไม่ได้” อนุสิทธิบัตร แม้ว่าอายุคุ้มครองสั้นกว่า แต่มีโอกาสที่จะได้อนุสิทธิบัตรมากกว่าและเร็วกว่า เพราะ ไม่ต้องตรวจสอบว่ามีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น และใช้เวลาตรวจสอบน้อยกว่า ตัวอย่างการประดิษฐ์ที่ขอรับอนุสิทธิบัตรได้ เช่น การเอาหลอดไฟไปติดกับลูกกุญแจ ทำให้ไขกุญแจ ได้สะดวกขึ้น หรือการเอากระดิ่งไปติดที่รองเท้าของเด็ก เพื่อให้รู้ว่าเด็กหายไปไหน หรือการทำช็อคโกแลตที่มี เหล้าอยู่ข้างใน เป็นต้น ฎีกาที่ 2448/2554 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทรงอนุสิทธิบัตรชุดรางรับหลอดไฟ จำเลยที่ 1 ได้ขาย สินค้าตามอนุสิทธิบัตร ได้ท้องตลาดในประเทศไทยในปี 2543 ก่อนที่จะมีการยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตร ปี 2544 ดังนั้นจึงเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา 6 วรรคสอง (1) เรื่องของความใหม่ ในเรื่องการมีหรือใช้อย่าง แพร่หลายในราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตรของจำเลยจึงไม่สมบูรณ์ชอบที่จะเพิกถอนได้ ตามมาตรา 65 นว ฎีกาที่ 2709/2557 ผลิตภัณฑ์กลไกประตูเลื่อนของจำเลยมีลักษณะทางกายภาพที่เป็นรางเลื่อน ประตู ด้านบนมีหูหิ้วรางเลื่อนเหมือนกับกลไกประตูเลื่อนของเดิม การที่จำเลยปรับปรุงระบบกลไกประตู เลื่อนสำหรับห้องเย็นซึ่งมีผู้ประดิษฐ์คิดค้นและใช้แพร่หลายอยู่ก่อนแล้วให้มีการทำงานดีขึ้น แข็งแรงและ ทนทานขึ้น โดยดัดแปลงปรับปรุงระบบกลไกที่มีอยู่เดิมอันเป็นการพัฒนากลไกรางประตูเลื่อนเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ส่วนสาระสำคัญ มิใช่เป็นการคิดค้นหรือคิดทำขึ้นอันเป็นผลให้ได้ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีใดขึ้นใหม่ การ ประดิษฐ์กลไกประตูเลื่อนสำหรับห้องเย็นตามอนุสิทธิบัตรของจำเลยจึงไม่เป็นการประดิษฐ์ตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 3 และไม่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ตามมาตรา 65 ทวิ (1) การที่กรมทรัพย์สิน ทางปัญญาออกอนุสิทธิบัตรแก่จำเลยย่อมไม่ชอบ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยมี ลักษณะใหม่เนื่องจากมีการออกแบบรวมทั้งมีลายเส้นและลวดลายหรือรอยต่าง ๆ เห็นได้ชัดเจนนั้น เห็นว่า จำเลยให้การและนำสืบว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยแตกต่างจากของเดิมและใช้เป็นส่วนประกอบ กลไกประตูเลื่อนสำหรับห้องเย็นตามอนุสิทธิบัตร โดยออกแบบให้เวลาเปิดประตูทำให้ยึดแน่นไม่เลื่อน มี แป้นนำร่องป้องกันมิให้ประตูถอยเลื่อนเมื่อใช้งานมาก ทำให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงขึ้น อันเป็นการ ให้การต่อสู้คดีว่าการออกแบบของจำเลยเป็นไปในลักษณะเพื่อประโยชน์การใช้งานอันเป็นลักษณะของการ ประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ มิใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกัน
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาแล้วในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดี ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย ฎีกาที่ 7716/2549 คำขอรับอนุสิทธิบัตรของจำเลยมีชื่อที่แสดงถึงการประดิษฐ์คือโต๊ะที่ ประกอบจากชิ้นส่วนที่ขึ้นรูปครั้งเดียวและตามข้อถือสิทธิว่าการประดิษฐ์ที่ขอคุ้มครองคือโต๊ะที่มีลักษณะ ประกอบด้วยชิ้นส่วนขาโต๊ะทำจากการฉีดพลาสติกขึ้นรูปครั้งเดียว สาระสำคัญทางการประดิษฐ์ที่จำเลยจด อนุสิทธิบัตรคือการฉีดพลาสติกขาโต๊ะขึ้นรูปครั้งเดียว แต่การฉีดขึ้นรูปพลาสติกเพียงครั้งเดียวเป็นวิธีการ ผลิตที่มีมานานแล้ว งานประดิษฐ์ของจำเลยจึงมิใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ตามความหมายในมาตรา 65 ทวิ ประกอบด้วย มาตรา 6 วรรค (1) (2) และมาตรา 65 ทศ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 รวมถึงข้อถือสิทธิที่กล่าวถึงการประกอบขาโต๊ะทั้งสองด้านเข้าด้วยกันโดยใช้ท่อหรือคานเหล็กสองเส้นที่เจาะ เป็นช่องทั้งปลายบนและล่างเพื่อใช้สกรูยึดด้านบน ส่วนด้านล่างใช้สำหรับสอดใส่ตะแกรง รวมทั้งลวดลาย ประกอบขาโต๊ะซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงรายละเอียดที่ไม่ซับซ้อนดังมีคำอธิบายอยู่ในหนังสือ การออกแบบเครื่อง เรือน ซึ่งเป็นหนังสือคู่มือการศึกษาที่แพร่หลายมาก่อนหน้าวันขอรับอนุสิทธิบัตรของจำเลย จึงถือว่าไม่ใช่ การประดิษฐ์ใหม่เช่นกัน กรณีมีเหตุที่ควรเพิกถอนอนุสิทธิบัตรของจำเลย ฎีกาที่ 2603/2549 โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรของจำเลยโดยกล่าวอ้างว่า การ ประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรของจำเลยไม่เป็นการประดิษฐ์ใหม่เนื่องจากเหมือนกับการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตร ของโจทก์ และเหมือนกับการประดิษฐ์ตามวัตถุพยานหมาย จ. 28 ที่โจทก์ได้นำออกจำหน่ายอยู่ก่อนแล้ว ก่อนวันที่จำเลยขอรับอนุสิทธิบัตร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรของจำเลยแตกต่าง จากการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรของโจทก์ในสาระสำคัญ การประดิษฐ์ที่จำเลยขอรับอนุสิทธิบัตรจึงไม่ใช่งานที่ ปรากฏอยู่แล้วตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 ทศ ประกอบด้วยมาตรา 6 วรรคสอง (3) ฎีกาที่ 1749/2557 โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงอนุสิทธิบัตรการประดิษฐ์เครื่องเติมเงินออนไลน์ จำเลยผลิตและจำหน่ายเครื่องเติมเงินออนไลน์ตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์จำเลยให้การว่าโจทก์ลอกเลียน เครื่องเติมเงินออนไลน์ของนายชัยวัตร โจทก์ไม่ใช่ผู้ประดิษฐ์และไม่ใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ศาลฎีกาเห็นว่า การผลิตของโจทก์ไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วและไม่ได้ลอกเลียนการผลิตของนายชัยวัฒน์จึงเป็นการ ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ฎีกาที่ 10626/2559 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ทรงอนุสิทธิบัตรการผลิต กรรมวิธีเตรียมผลเลือดจระเข้และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกรรมวิธีนั้น โจทก์ที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิจาก โจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 ผลิตเลือดจระเข้แห้งโดยใช้กรรมวิธีตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ที่ 1 และนำ ออกจำหน่าย จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าอนุสิทธิบัตรไม่สมบูรณ์ ปัญหาว่าการผลิตตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ที่ 1 เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 4 นำกรรมวิธีเตรียมผงเลือดจระเข้แห้ง ไปเผยแพร่ในนิตยสารเมืองปศุสัตว์ เป็นการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดที่เกิดขึ้นหรือเป็นผลจาก การกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายและการเปิดเผยดังกล่าวได้กระทำภายใน 12 เดือนก่อนวันขอรับอนุ สิทธิบัตร จึงมิให้ถือว่าเป็นการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดตามมาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 6 วรรคท้าย นอกจากนี้จำเลยก็มิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เชื่อได้ว่ากรรมวิธีตามอนุสิทธิบัตรเป็นการผลิต
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ที่มีหรือใช้แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักรก่อนวันขอรับอนุสิทธิบัตรตามมาตรา 6 วรรคสอง (1) กรรมวิธี ตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ที่ 1 จึงเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรมาตรา 65 ทศ ประกอบ มาตรา 6 วรรคหนึ่ง *ฎีกาที่ 9213/2557 ถุงห่อผลไม้ตามวัตถุพยานหมาย ว.จ.2 ที่บริษัท ก. และบริษัท ซ. นำเข้า มาจำหน่ายในประเทศไทยก่อนที่จำเลยยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตรการประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้ และ ว.จ.3 กับถุง ห่อผลไม้ของจำเลยตามวัตถุพยานหมาย ว.ล.3 มีลักษณะเหมือนกัน กล่าวคือ เป็นถุง 2 ชั้น มีถุงห่อหุ้ม ชั้นนอกและถุงห่อหุ้มชั้นในถุงห่อหุ้มชั้นนอกมีการเคลือบสีดำอยู่ด้านในเพื่อกรองแสงไม่ให้แสงสว่างเข้าไปใน ถุงและถุงห่อหุ้มชั้นในเคลือบด้วยคาร์บอนอยู่อีกชั้นหนึ่ง ถุงห่อหุ้มชั้นนอกและชั้นในมีปลายเปิดด้านบน สำหรับรองรับการสอดเข้าของผลไม้ที่ต้องการห่อ ด้านล่างของถุงห่อหุ้มชั้นนอกมีรูเจาะทะลุถึงด้านล่างของ ถุงห่อหุ้มชั้นใน และด้านล่างของถุงห่อหุ้มชั้นนอกจะเป็นช่องเว้าออกด้านข้างมีรูเจาะทะลุถึงด้านในของถุง ห่อหุ้มชั้นในบริเวณก้นถุงมีรูระบายน้ำและระบายอากาศมีปีกที่มีลวดเหล็กอยู่ข้างในยื่นออกมาเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ปีกที่ลวดเหล็กอยู่คนละด้านกันซึ่งปีกที่ยื่นออกมาจะใช้ในการรัดกิ่งไม้หรือใช้มัดปากถุงไม่ให้ถุง ห่อผลไม้หลุดออกจากผลไม้ถุงห่อผลไม้ตามวัตถุพยานหมาย ว.จ.2 และ ว.จ.3 มีลักษณะเหมือนกับถุงห่อ ผลไม้ตามวัตถุพยานหมาย ว.ล.3 ของจำเลย และการประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้วัตถุพยานหมาย ว.จ.2 และ ว.จ. 3 เหมือนกับข้อถือสิทธิสำหรับการประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้ตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 4343 ของจำเลยซึ่งระบุข้อ ถือสิทธิไว้ว่า ถุงห่อผลไม้ประกอบด้วยถุงห่อหุ้มชั้นนอกที่เป็นถุงชั้นนอกที่มีปลายเปิดด้านบนชั้นนอกและ พื้นผิวด้านนอกของถุงห่อหุ้มชั้นนอกจะมีชั้นสารเคลือบกันน้ำเคลือบอยู่อย่างน้อยหนึ่งชั้น สำหรับป้องกันน้ำ จากภายนอกเข้าสู่ด้านในถุงห่อหุ้มชั้นนอกและพื้นผิวด้านในของถุงห่อหุ้มชั้นนอกจะเป็นสีทึบแสงอย่างน้อย หนึ่งชั้นสำหรับป้องกันแสงจากภายนอกเข้าสู่ด้านในถุงห่อหุ้มชั้นในซึ่งถุงห่อหุ้มชั้นในจะเป็นถุงชั้นในที่อยู่ ด้านในถุงห้อหุ้มชั้นนอกและมีปลายเปิดด้านบนชั้นในสำหรับเป็นช่องทางสวมเข้าทางด้านบนของผลไม้ที่ ต้องการห่อหุ้มชั้นใน และพื้นผิวด้านนอกของถุงห่อหุ้มชั้นในอย่างน้อยหนึ่งด้านจะเป็นสีทึบแสงอย่างน้อย หนึ่งชั้น สำหรับป้องกันแสงจากภายนอกเข้าสู่ด้านในถุงห่อหุ้มชั้นใน และพื้นผิวด้านนอกของสีทึบแสงอย่าง น้อยหนึ่งด้านของถุงห้อหุ้มชั้นในจะมีชั้นสารเคลือบกันน้ำเคลือบอยู่อย่างน้อยหนึ่งชั้น สำหรับป้องกันน้ำจาก ภายนอกเข้าสู่ด้านในถุงห่อหุ้มชั้นในอีกชั้นหนึ่ง แม้การประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้ตามวัตถุพยานหมาย ว.จ.2 และ ว.จ.3 จะมิใช่การประดิษฐ์ที่มีหรือใช้แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักรก่อนวันที่จำเลยขอรับอนุสิทธิบัตร เลขที่ 4343 ก็ตาม แต่ถุงห่อผลไม้ตามวัตถุพยาน ว.จ.2 และ ว.จ.3 เป็นการประดิษฐ์ที่ปรากฏอยู่แล้วนอก และในราชอาณาจักรก่อนวันที่จำเลยขอรับอนุสิทธิบัตรเลขที่ 4343 เมื่อการประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้วัตถุพยาน หมาย ว.ล.3 ตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 4343 เหมือนกับการประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้วัตถุพยานหมาย ว.จ.2 และ ว.จ.3 การประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้วัตถุพยานหมาย ว.ล.3 จึงเป็นการประดิษฐ์ที่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วอันมิใช่ การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 6 วรรคหนึ่ง การ ออกอนุสิทธิบัตรเลขที่ 4343 ย่อมไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 65 ทวิ ต้องถือว่าอนุ สิทธิบัตรเลขที่ 4343 ไม่สมบูรณ์ ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว มาตรา 65 นว วรรคหนึ่ง โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ เสียชอบที่จะขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรนั้นได้ ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว มาตรา 65 นว วรรคสอง แม้การ
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้ตามวัตถุพยานหมาย ว.จ.1 ที่โจทก์นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเหมือนกับการ ประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้ในข้อถือสิทธิตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 4343 ของจำเลยก็ตาม แต่เมื่ออนุสิทธิบัตรการ ประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้เลขที่ 4343 ที่อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาออกให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2551 เป็นอนุสิทธิบัตรไม่สมบูรณ์ การประดิษฐ์ถุงห่อผลไม้ดังกล่าวจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 65 สัตต การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่อาจเป็นการละเมิดอนุสิทธิบัตร เลขที่ 4343 ของจำเลยตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 35 ทวิ และ มาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) *ฎีกาที่ 10485/2557 การพิจารณาว่าการประดิษฐ์ที่โจทก์ขอรับอนุสิทธิบัตรเป็นการประดิษฐ์ ขึ้นใหม่หรือไม่ต้องพิจารณาตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 6 ที่บัญญัติ ว่า การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ได้แก่การประดิษฐ์ที่ไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว และงานที่ปรากฏอยู่แล้วตามมาตรา 6 วรรคสอง (2) ได้แก่ การประดิษฐ์ที่ได้มีการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ ได้เผยแพร่อยู่แล้วไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรการประดิษฐ์และข้อถือสิทธิตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์เมื่อ เปรียบเทียบกับการประดิษฐ์ตามเอกสารประกาศแสดงสิทธิบัตรในประเทศญี่ปุ่น อันเป็นงานที่ปรากฏอยู่ ก่อนโจทก์ยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตร เห็นว่า เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายของเหลวและลักษณะทั่วไปทาง กายภาพและการใช้งานทำนองเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ คงมีส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ในบางส่วน แต่โจทก์ก็ไม่ได้แสดงรายละเอียดตามข้ออ้างดังกล่าวไว้ในรายการแสดงรายละเอียดการ ประดิษฐ์ของโจทก์ในคำขอรับอนุสิทธิบัตร จึงฟังไม่ได้ว่าการประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ไม่เป็นงานที่ ปรากฏอยู่แล้ว การประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ย่อมไม่ใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ที่จะขอรับอนุสิทธิบัตรได้ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ “แบบผลิตภัณฑ์” หมายความว่า รูปร่างของผลิตภัณฑ์หรือองค์ประกอบของลวดลาย หรือสีของ ผลิตภัณฑ์ อันมีลักษณะพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถใช้เป็นแบบสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้ แบบผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 3 วรรคห้า อาจให้ความคุ้มครอง แยกได้ 2 ลักษณะ คือ 1.รูปร่างของผลิตภัณฑ์คือ การคุ้มครองส่วนที่เป็นรูปทรงของผลิตภัณฑ์สามมิติ คือ ความกว้าง ความยาว ความสูง 2.องค์ประกอบของลวดลายหรือสีของผลิตภัณฑ์เป็นลวดลาย หรือสีผิวภายนอกของผลิตภัณฑ์ แบบผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ อาจประกอบด้วยรูปร่างหรือองค์ประกอบของลวดลายหรือสีของผลิตภัณฑ์ แบบใดแบบหนึ่งหรือทั้งสองแบบก็ได้แบบผลิตภัณฑ์จึงเป็นลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถ มองเห็นได้ด้วยตา การออกแบบผลิตภัณฑ์จึงเป็นความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการทำให้รูปร่างลักษณะ ภายนอกของผลิตภัณฑ์ให้เกิดความสวยงาม หาได้เน้นที่คุณสมบัติการใช้งานของผลิตภัณฑ์แต่อย่างใดไม่ ฎีกาที่ 2537/2550 ผลิตภัณฑ์รองเท้าบู๊ทของจำเลยที่ 2 มีลักษณะคล้ายกางเกงขายาวกันน้ำ จำเลยที่ 2 ออกแบบรองเท้าบูทด้านบนมีหูไว้ร้อยเชือกสำหรับผูกติดกับเข็มขัด เพื่อป้องกันไม่ให้รองเท้า หลุดขณะสวมใส่เวลาทำงาน ศาลฎีกาเห็นว่า ลักษณะการออกแบบหูไว้ร้อยเชือกดังกล่าว เป็นไปเพื่อ ประโยชน์ของการใช้สอย อันเป็นเรื่องของการประดิษฐ์ หาใช่เรื่องของการออกแบบผลิตภัณฑ์ไม่
6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การออกแบบหูร้อยเชือกดังกล่าวจึงไม่ใช่ลักษณะพิเศษสำหรับแบบผลิตภัณฑ์ที่จะถือว่าเป็นการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ใหม่และเมื่อพิจารณาความใหม่ในส่วนอื่นที่เป็นรูปทรงและลวดลายรองเท้าบูทของจำเลยที่ 2 ก็เหมือนรองเท้าบูททั่วๆไป แม้จะมีลวดลายแตกต่างกันบ้าง ก็แตกต่างเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นรายละเอียด ไม่ใช่สาระสำคัญ แบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่แบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะขอรับสิทธิบัตรการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ได้ ลักษณะการขอออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ มาตรา 56 บัญญัติว่า “การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรตาม พระราชบัญญัตินี้ได้ต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรมรวมทั้งหัตถกรรม” ข้อพิจารณา การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ตามมาตรา 57 การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ มีทั้งหมด 4 ข้อ ได้แก่ 1. มาตรา 57 (1) แบบผลิตภัณฑ์ที่มี หรือใช้แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักรก่อนวันขอรับ สิทธิบัตร กรณีนี้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับมาตรา 6 วรรคสอง (1) ซึ่งเป็นความใหม่ที่มีหรือใช้แพร่หลายภายใน ระดับประเทศ (National Novelty) ซึ่งมีหลักว่า ไม่ว่าใครทำให้แพร่หลาย หรือแม้ผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ จะเป็นผู้ทำให้แพร่หลายโดยตนเอง ก็จะทำให้แบบผลิตภัณฑ์นั้นสูญเสียความใหม่ ไม่สามารถขอรับสิทธิบัตร การออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ ฎีกาที่ 2906/2552 เมื่อโจทก์เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายช้อนส้อมเช่นเดียวกับที่จำเลยได้รับ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์และต้องหยุดดำเนินการไป นับได้ว่าสิทธิของโจทก์ถูกกระทบหรือถูกโต้แย้ง สิทธิแต่ผู้เดียวในสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการที่จะกล่าว อ้างว่าสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยได้ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และฟ้องคดีเพื่อขอให้ เพิกถอนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ มาตรา 64 วรรคสอง ได้ความว่าช้อนส้อม ของโจทก์มีการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อนที่จำเลยจะขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ทั้งการตรวจคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ไม่ได้พิจารณาถึงแบบผลิตภัณฑ์ที่มีหรือใช้แพร่หลาย อยู่แล้วในประเทศไทยก่อนวันขอรับสิทธิบัตรตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ มาตรา 57 (1) และเมื่อไม่ปรากฏว่า แบบผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของจำเลยแตกต่างจากช้อนส้อมของโจทก์ เท่ากับว่าแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยมี หรือใช้กันแพร่หลายอยู่แล้วในประเทศไทยก่อนวันขอรับสิทธิบัตรและถือว่าไม่มีความใหม่ ตาม พ.ร.บ.สิทธิ บัตรฯ มาตรา 57 (1) ฎีกาที่ 5341/2533 แบบผลิตภัณฑ์เหยือกน้ำของโจทก์และของผู้อื่นมีลักษณะที่เป็นสาระสำคัญ คือรูปร่างของตัวเหยือกที่เป็นรูปทรงกระบอกเหมือนกัน ส่วนรูปร่างของพวยรินและด้านถือแม้จะแตกต่าง กันก็เป็นเพียงรายละเอียด แบบผลิตภัณฑ์ของโจทก์จึงคล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ของผู้อื่นที่แพร่หลายอยู่แล้ว ในราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตรจนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบ แบบผลิตภัณฑ์ของโจทก์จึงไม่ถือว่า เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ตามมาตรา 56 ประกอบมาตรา 57 (1) และ 57 (4)
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 12/2550 รูปแบบการออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยตามสิทธิบัตรทั้ง 2 คำขอคล้ายกับ รูปแบบผลิตภัณฑ์เสาอากาศรับสัญญาณที่มีผู้อื่นเปิดเผยและเผยแพร่มาก่อน แม้รูปแบบปีกของจำเลยทำให้ การรับสัญญาณดีขึ้นก็เป็นเรื่องของประสิทธิภาพ มิใช่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 56 ประกอบมาตรา 57 (1) (2) (3) สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ทั้งสองแบบของ จำเลยจึงไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 64 ฎีกาที่ 12602/2555 การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรได้นั้น ต้องเป็นการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรมรวมทั้งหัตถกรรม โดยไม่จำต้องมีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า แบบผลิตภัณฑ์โคมไฟของจำเลยที่ 2 เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างลักษณะแตกต่างไปจากแบบ ผลิตภัณฑ์โคมไฟที่มีหรือใช้แพร่หลายอยู่แล้วในประเทศ ไม่มีการเปิดเผยภาพ สาระสำคัญหรือรายละเอียด ในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วไม่ว่าในหรือนอกประเทศ และไม่เคยมีการโฆษณาประกาศมาแล้ว ก่อนวันขอรับสิทธิบัตร จึงเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรมรวมทั้งหัตถกรรมที่จะขอรับ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ ฎีกาที่ 9749/2556 โจทก์เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทถ้วยน้ำ ถ้วยใส่น้ำ ถ้วยใส่น้ำ ผลไม้ ถ้วยใส่เยลลี่ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำแปดเหลี่ยมห้ามโจทก์ และบุคคลอื่นผลิตหรือจำหน่ายถ้วยน้ำลักษณะดังกล่าว โจทก์ผลิตและจำหน่ายถ้วยแปดเหลี่ยมที่มี รูปลักษณะคล้ายแบบผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรพิพาทของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ปี 2544 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะยื่น ขอคำขอรับสิทธิบัตรพิพาท และเมื่อพิจารณารูปแบบโดยรวมของถ้วยน้ำของโจทก์กับจำเลยที่ 2 แล้ว ข้อ แตกต่างที่พบเป็นเพียงรายละเอียดไม่อาจถือเป็นข้อแตกต่างอันเป็นสาระสำคัญหรือลักษณะพิเศษ ฟังได้ว่า ถ้วยน้ำแปดเหลี่ยมของโจทก์ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายกับผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของจำเลยที่ 1 มีการไช้ แพร่หลายอยู่แล้วในราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตร สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำของ จำเลยที่ 1 จึงเป็นสิทธิบัตรที่ไม่สมบูรณ์ ตามมาตรา 57(1) (4), 64 2. มาตรา 57 (2) แบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการเปิดเผยภาพ สาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสาร หรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตร หลักเกณฑ์ของมาตรา 57 (2) มีองค์ประกอบที่ต้องพิจารณา ดังต่อไปนี้ 2.1. หลักเกณฑ์ข้อนี้คล้ายกับหลักเกณฑ์ความหมายของการประดิษฐ์ตามมาตรา 6 วรรคสอง (2) และเป็นความใหม่ระดับโลกคือไม่ว่าเปิดเผยภายในหรือภายนอกประเทศ ก็สูญเสียความใหม่ *2.2. การเปิดเผยตามมาตรา 57 (2) แตกต่างจากการออกแบบตามมาตรา 6 เพราะมาตรา 57 (2) เน้นการเปิดเผย ภาพ แต่ในมาตรา 6 ไม่มี เนื่องจากสามารถมองเห็นลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ได้ เป็นการเปิดเผยแบบผลิตภัณฑ์ตามเอกสารโดยแท้ ดังนั้นการเปิดเผยภาพในเอกสาร หรือสิ่งพิมพ์ก็เพียง พอที่จะทำให้แบบผลิตภัณฑ์สูญเสียความใหม่ ซึ่งต่างจากมาตรา 6 วรรคสอง (2) ของการประดิษฐ์ ซึ่ง คุ้มครองลักษณะการทำงานภายในของผลิตภัณฑ์ การเปิดเผยที่จะทำให้การประดิษฐ์สูญเสียความใหม่ต้อง เป็นการเปิดเผยสาระสำคัญ หรือรายละเอียดของการประดิษฐ์ที่เป็นลักษณะทางเทคนิคหรือกลไกการ
8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ทำงานของการประดิษฐ์ ลำพังการเปิดเผยภาพของการประดิษฐ์อย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะเป็นการ เปิดเผยที่จะทำให้สูญเสียความใหม่ตามมาตรา 6 วรรคสอง (2) 2.3. การเปิดเผยตามมาตรา 57 (2) ลักษณะของการเปิดเผย แคบกว่า การเปิดเผยการประดิษฐ์ เพราะเป็นการเปิดเผยเฉพาะเอกสาร หรือสิ่งตีพิมพ์เท่านั้น ไม่รวมการเปิดเผยโดยการนำออกแสดง หรือ การเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วยประการใด ๆ เหมือนมาตรา 6 วรรค 2 (2) 2.4. การเปิดเผยตามมาตรา 57 (2) ไม่มีข้อยกเว้นการกระทำที่ไม่ทำให้แบบผลิตภัณฑ์ไม่สูญเสีย ความใหม่เหมือนกับมาตรา 6 วรรคสอง (2) ประกอบมาตรา 6 วรรคท้าย ดังนั้นหากมีการเปิดเผยภาพ สาระสำคัญ หรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ก่อนวันขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะ เป็นการเปิดเผยที่เกิดขึ้นหรือมีผลมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเปิดเผยโดยผู้ออกแบบเองก็ ถือว่าแบบผลิตภัณฑ์นั้นไม่ใหม่แล้ว ขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ไม่ได้ กล่าวคือ มาตรา 57 (2) ไม่มีข้อยกเว้นในวรรคท้ายเหมือนดังเช่นมาตรา 6 วรรคท้าย ฎีกาที่ 475/2537 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อสิทธิบัตรของโจทก์จำเลยทั้งสี่ให้การ ปฏิเสธต่อสู้ว่าสิทธิบัตรของโจทก์ไม่สมบูรณ์พร้อมกับฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรของโจทก์ จึงเป็นเรื่อง ที่จำเลยทั้งสี่ยกความไม่สมบูรณ์ในสิทธิบัตรของโจทก์ขึ้นอ้าง ตามมาตรา 64 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ สิทธิบัตรฯ ภาระการพิสูจน์ว่าสิทธิบัตรของโจทก์สมบูรณ์หรือไม่ย่อมตกอยู่แก่จำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่บรรยาย ฟ้องแย้งว่าผลิตภัณฑ์ที่จะได้รับสิทธิบัตรจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ผลิตภัณฑ์ที่โจทก์ได้รับสิทธิบัตรมีการ ใช้กันแพร่หลายในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ของโจทก์ ผลิตภัณฑ์ของโจทก์จึง ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่สามารถขอรับสิทธิบัตรได้ สิทธิบัตรของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ บรรยายแจ้งชัดแล้วว่าสิทธิบัตรของโจทก์ไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใด ไม่เคลือบคลุม การฟ้องขอให้เพิกถอน สิทธิบัตรเพราะเป็นสิทธิบัตรไม่สมบูรณ์เป็นการฟ้องโดยอาศัยอำนาจตาม พระราชบัญญัติสิทธิบัตรฯมาตรา 64 วรรคสอง ไม่ใช่การฟ้องเนื่องจากมูลละเมิด ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะต้องบังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ซึ่งมีกำหนดไว้ 10 ปี แบบผลิตภัณฑ์เครื่องตัด กระแสไฟฟ้าของโจทก์ไม่ใช่เป็นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะนำไปยื่นรับคำขอสิทธิบัตรจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ ตามมาตรา 56,57 แห่ง พระราชบัญญัติสิทธิบัตรฯ สิทธิบัตรของโจทก์ที่กรมทะเบียนการค้ากระทรวง พาณิชย์รับจดทะเบียนไว้จึงไม่สมบูรณ์จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เช่นเดียวกับโจทก์จึง เป็นผู้มีส่วนได้เสียมีอำนาจฟ้องและขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรได้ ฎีกาที่ 5865/2548 จำเลยขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์เสาข้างประตูม้วนแบบเก็บ เสียง เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2539 และได้รับสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 ปัญหาว่าสิทธิบัตร การออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยเป็นสิทธิบัตรที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า แบบผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของจำเลย ได้มีการจดทะเบียนสิทธิบัตรไว้ที่ไต้หวัน ตั้งแต่ปี 2528 เมื่อจำเลย ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2539 การออกแบบผลิตภัณฑ์ของ จำเลยจึงไม่ถือว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตรมาตรา 57 (2) สิทธิบัตร การออกแบบผลิตภัณฑ์ของจำเลย จึงออกโดยไม่ชอบตามมาตรา 64 ประกอบมาตรา 56
9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 10467/2557 แบบผลิตภัณฑ์หลอดดูดที่มีลักษณะยืดหดได้ซึ่งเป็นสาระสำคัญตาม คำขอรับสิทธิบัตรจำเลยได้มีการเปิดเผยในเอกสารประกอบคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์นอก ราชอาณาจักรแล้วก่อนวันที่จำเลยยื่นคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ สิทธิบัตรการออกแบบ ผลิตภัณฑ์หลอดดูดของจำเลยจึงไม่ใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการ เปิดเผยสาระสำคัญจนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบ จึงเป็นสิทธิบัตรที่ไม่สมบูรณ์ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฯ มาตรา 56, 57 (2) (4) 3. มาตรา 57 (3) แบบผลิตภัณฑ์ที่เคยมีประกาศโฆษณาตามมาตรา 65 ประกอบด้วยมาตรา 28 มาแล้วก่อนวันขอรับสิทธิบัตร การสูญเสียความใหม่ตามข้อนี้หมายถึง การยื่นและประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตรการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยคล้ายกับมาตรา 6 วรรคสอง (5) จะต่างกันคือมาตรา 6 วรรคสอง (5) รวมถึงการยื่นและประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ในต่างประเทศด้วย ฎีกาที่ 10467/2557 โจทก์ขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนก่อสร้าง (แผ่นเพลต) สำหรับการก่อสร้างเรือนไทยแบบหล่อทั้งหลัง กรมทรัพย์สินทางปัญญาเห็นว่าแบบผลิตภัณฑ์ของโจทก์ ไม่ใหม่แต่เลียนแบบคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ 082336 ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบ แบบผลิตภัณฑ์ตามคำขอรับสิทธิบัตรของโจทก์กับแบบผลิตภัณฑ์ตามคำขอรับสิทธิบัตรเลขที่ 082336 ที่ได้ประกาศโฆษณาแล้วมีลักษณะคล้ายกันในสาระสำคัญ ส่วนแตกต่างเป็นความแตกต่างเล็กน้อยไม่ใช่ สาระสำคัญ แบบผลิตภัณฑ์ตามคำขอรับสิทธิบัตรของโจทก์จึงคล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ตามคำขอสิทธิบัตร เลขที่ 082336 จนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรมาตรา 57 (3) และ (4) ไม่ใช่การ ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ตามมาตรา 56 4. มาตรา 57 (4)แบบผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวใน (1) (2) หรือ (3) จนเห็นได้ว่า เป็นการเลียนแบบ หลักเกณฑ์ความหมายของการออกแบบผลิตภัณฑ์ข้อนี้จะแตกต่างจากเรื่องความหมายของการ ผลิต เนื่องจากการผลิตที่แตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะแตกต่างมากหรือน้อย ก็ต้องถือว่าเป็นการ ผลิตใหม่ เพราะการประดิษฐ์นั้น วัดที่ผลหรือประโยชน์ที่ได้รับ แต่การออกแบบผลิตภัณฑ์จะพิจารณา ความหมายตามมาตรา 57 (4) ที่บัญญัติว่า แบบผลิตภัณฑ์จะขอรับสิทธิบัตรได้จะต้องไม่คล้ายกับแบบ ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วจนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบ ดังนั้น การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ต้องปรากฏรูปแบบ การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัดในสาระสำคัญ การแตกต่างจากเดิมเพียงเล็กน้อย ไม่ถือว่าเป็นการออกแบบใหม่ ฎีกาที่ 823/2557 แบบผลิตภัณฑ์รูปร่างและลักษณะแก้วตามคำขอรับสิทธิบัตรการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ของโจทก์คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏอยู่แล้วในต่างประเทศในเอกสารสิ่งพิมพ์ชื่อ Food Pack ส่วนที่โจทก์นำสืบว่าแบบผลิตภัณฑ์ของโจทก์มีข้อแตกต่าง คือ ไม่มีลักษณะลายเส้นถี่ๆ รอบตัวแก้ว ดังแบบผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏอยู่แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า ความแตกต่างดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าแตกต่างในข้อ
10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สาระสำคัญ ทั้งแบบผลิตภัณฑ์ของโจทก์ไม่ปรากฏว่าได้มีการออกแบบส่วนใดๆ ที่ให้มีความแตกต่างชัดเจน มากพอ แบบผลิตภัณฑ์ตามคำขอรับสิทธิบัตรของโจทก์จึงมิใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ตามมาตรา 56 ฎีกาที่ 4058-4059/2557 แบบผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำที่โจทก์ได้รับสิทธิบัตร การออกแบบ ผลิตภัณฑ์คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำในเอกสารสิทธิบัตรของประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้แตกต่างใน สาระสำคัญ แบบผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำของโจทก์ เป็นรูปทรงกรวยขนาดของปากถ้วยกว้างกว่าก้นถ้วย เช่นเดียวกับของสหรัฐอเมริกา ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าของโจทก์นั้นแตกต่างจากของสหรัฐอเมริกา ถ้วยน้ำ ของโจทก์เป็นแบบขั้นบันไดที่ลดหลั่นระดับผิวตามมุมมองด้านข้าง 15 ขั้น ลดหลั่นตั้งแต่ด้านบนของถ้วยจน เกือบถึงส่วนของก้นถ้วย ไม่ปรากฏที่ใดมาก่อน ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ถ้วยน้ำของสหรัฐอเมริกามีจำนวน ขั้นบันไดน้อยกว่าของโจทก์แต่ข้อแตกต่างดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ แบบผลิตภัณฑ์ ถ้วยน้ำของโจทก์จึงคล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำของสหรัฐอเมริกาที่ได้มีการเปิดเผยสาระสำคัญหรือ รายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่นอกราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตรจนเห็นได้ว่า เป็นการเลียนแบบตามมาตรา 57 (2) (4) ดังนั้น แบบผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำของโจทก์ไม่ถือว่าเป็นการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ใหม่ สิทธิบัตรการออกแบบถ้วยน้ำของโจทก์จึงเป็นสิทธิบัตรที่ออกโดยไม่ชอบตามมาตรา 56 และเป็นสิทธิบัตรที่ไม่สมบูรณ์ต้องเพิกถอนตามมาตรา 64 ฎีกาที่ 1822/2543 แบบผลิตภัณฑ์ปลอกหุ้มพวงมาลัยรถของจำเลยมีลักษณะพิเศษและลักษณะ เด่นที่เป็นสาระสำคัญคือมีปุ่มนูนเรียงเป็นแถว 3 แห่ง รอบปลอกหุ้มพวงมาลัย ซึ่งสาระสำคัญดังกล่าว เหมือนแบบปลอกหุ้มพวงมาลัยที่เผยแพร่ในวารสารรถยนต์ที่ประเทศไต้หวันก่อนจำเลยขอรับสิทธิบัตร แม้จำเลยจะนำสืบว่าแบบปลอกหุ้มพวงมาลัยของจำเลย จะแตกต่างจากงานที่เผยแพร่ในวารสารรถยนต์ คือนอกจากปุ่มนูนแล้ว บนพื้นเรียบยังมีจุดขาวๆหลายจุด และมีสีต่างกัน ซึ่งส่วนที่แตกต่างดังกล่าว เป็นเพียงรายละเอียด แบบผลิตภัณฑ์ของจำเลยจึงคล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ที่เผยแพร่ในวารสารรถยนต์ จนเห็นได้ว่าเป็นการเลียนแบบ จึงไม่ใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ สิทธิบัตรของจำเลยจึงไม่สมบูรณ์ ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง ฎีกาที่ 974/2551 แบบผลิตภัณฑ์รั้วสำเร็จรูปตามสิทธิบัตรที่พิพาททั้ง 4 ฉบับของจำเลยเป็น แบบผลิตภัณฑ์ที่เหมือนหรือคล้ายกับที่มีการตีพิมพ์อันเป็นการเปิดเผยและแพร่หลายอยู่ก่อนวันขอรับ สิทธิบัตรของจำเลยตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ มาตรา 57 (2) การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จดทะเบียนทั้ง 4 ฉบับ จึงไม่ใช่การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ตามความหมายของ พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ มาตรา 56 สิทธิบัตรทั้ง 4 ฉบับ ของจำเลยย่อมไม่สมบูรณ์ซึ่งโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนได้ตามมาตรา 64 แพ่ง พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ มาตรา 56 การออกแบบผลิตภัณฑ์ พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฯ มาตรา 56 บัญญัติว่า “การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรตาม พระราชบัญญัตินี้ได้ต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรมรวมทั้งหัตถกรรม” การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิบัตร นอกจากจะต้องเป็นการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว ยังต้องเป็นแบบผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถใช้เป็น
11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แบบสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เช่น สามารถใช้เป็นแบบในการผลิตยางรถยนต์ได้จริง หรือสามารถใช้ เป็นแบบสำหรับผลิตภัณฑ์หัตถกรรมได้เช่น กระเป๋าหญ้าที่ทำด้วยมือ มาตรา 58 การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฯ มาตรา 58 บัญญัติว่า “การออกแบบผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้ขอรับสิทธิบัตรไม่ได้ (1) แบบผลิตภัณฑ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน (2) แบบผลิตภัณฑ์ที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา” การเพิกถอนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร เนื่องจากสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรที่ออกโดยไม่ชอบเป็น สิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรที่ไม่สมบูรณ์กฎหมายจึงกำหนดให้เพิกถอนได้กรณีสิทธิบัตรการประดิษฐ์ เพิกถอนได้ตามมาตรา 54 สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 64 และอนุสิทธิบัตรตามมาตรา 65 นว โดยมีเหตุแห่งการเพิกถอน 2 กรณีดังนี้ 1.เป็นการประดิษฐ์ที่ไม่มีลักษณะตามมาตรา 5 มาตรา 9 การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีลักษณะ ตามมาตรา 56 มาตรา 58 และการประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรที่ไม่มีลักษณะตามมาตรา 65 ทวิ, มาตรา 9 , 65 ทศ 2. บุคคลที่ไปยื่นคำขอรับสิทธิบัตร มิใช่บุคคลที่มีสิทธิขอรับสิทธิบัตรตามมาตรา 10 , 11, 14 ความไม่สมบูรณ์ของสิทธิบัตรตามมาตรา 54 วรรคสอง มาตรา 64 วรรคสองและมาตรา 65 วรรคสอง แยกออกได้เป็น 2 กรณีดังนี้ 1. ความไม่สมบูรณ์ของสิทธิบัตร บุคคลใดๆ จะกล่าวอ้างขึ้นก็ได้ 2. แต่หากถึงขั้นใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนสิทธิบัตร หรืออนุสิทธิบัตร กฎหมายบัญญัติให้สิทธิเฉพาะ พนักงานอัยการหรือผู้มีส่วนได้เสียเท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องเพิกถอน โดยศาลฎีกาได้วางหลักไว้ว่า บุคคลผู้มีส่วน ได้เสีย หมายถึง บุคคลผู้ที่ต้องเสื่อมเสียสิทธิในการแสวงหาประโยชน์โดยตรงอันเนื่องมาจากการที่บุคคลอื่น เป็นผู้ทรงสิทธิบัตร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การที่สิทธิบัตรยังคงมีอยู่จะกระทบต่อการประกอบกิจการหรือ ทางทำมาหาได้ของผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ถูกห้ามมิให้ผลิตหรือขาย (ฎีกาที่ 3787/2558) ผู้มีส่วนได้เสียอาจเป็นคู่แข่งขันทางการค้าของผู้ทรงสิทธิบัตรหรือผู้ผลิตสินค้าที่มีลักษณะอย่าง เดียวกับผู้ทรงสิทธิบัตร เป็นต้น ดังนั้น บุคคลใดเป็นผู้มีสิทธิขอรับสิทธิบัตร จึงมีความสำคัญมากในการออก สิทธิบัตร อนึ่ง การเพิกถอนสิทธิบัตรทั้ง 2 กรณีดังกล่าวตามมาตรา 54 วรรคสองและมาตรา 64 วรรคสอง เป็นการขอเพิกถอนหลังจากมีการออกสิทธิบัตรแล้ว ซึ่งต่างจากมาตรา 31 การคัดค้านการขอรับสิทธิบัตร ว่าตนมีสิทธิรับสิทธิบัตรดีกว่าหรือคำขอรับสิทธิบัตรออกโดยไม่ชอบตามมาตรา 5 และ 56 ในชั้นขอรับ สิทธิบัตร บุคคลผู้มีสิทธิขอรับสิทธิบัตร ประเภทของบุคคลที่มีสิทธิขอรับสิทธิบัตร บุคคลที่มีสิทธิขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์อนุสิทธิบัตร และสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ทั้ง 3 กรณีใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ได้แก่ บุคคลประเภทดังต่อไปนี้ 1. ผู้ประดิษฐ์หรือผู้ออกแบบรวมทั้งทายาท บุคคลประเภทนี้เป็นผู้ที่คิดค้นประดิษฐ์เองและ ออกแบบเอง ซึ่งในข้อนี้บุคคลเหล่านี้ต้องไม่ใช่ลูกจ้างหรือผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างที่มีวัตถุประสงค์ให้ทำการ
12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประดิษฐ์หรือออกแบบและต้องไม่ใช่ข้าราชการหรือพนักงานองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ ประดิษฐ์หรือออกแบบ ตามมาตรา 10 มาตรา 65 มาตรา 65 ทศ ในกรณีที่มีบุคคลหลายคนทำการประดิษฐ์ร่วมกัน บุคคลเหล่านั้นมีสิทธิขอรับสิทธิบัตรร่วมกัน หากผู้ประดิษฐ์ร่วมคนใดไม่ยอมร่วมขอรับสิทธิบัตร หรือติดต่อไม่ได้หรือไม่มีสิทธิขอรับสิทธิบัตร ผู้ประดิษฐ์ คนอื่นจะขอรับสิทธิบัตรสำหรับการประดิษฐ์ที่ได้ทำร่วมกันนั้นในนามของตนเองก็ได้ ตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ฎีกาที่ 7769/2547 การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรได้นั้น นอกจากจะต้องเป็นการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว ยังต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่ออุตสาหกรรม รวมทั้งหัตถกรรม ตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 56 ด้วย ช. พี่โจทก์เป็นผู้เริ่มคิดออกแบบ ส่วนรูปแบบโครงสร้างรูป แปดเหลี่ยมนั้น โจทก์กับ ช. ช่วยกันกำหนดโครงสร้าง ภาพจำลองเสาอากาศโจทก์กับ ช. ร่วมกันเขียนขึ้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความสวยงามและมีองค์ประกอบอันเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองแบบผลิตภัณฑ์นั้นว่า สามารถใช้รับสัญญาณโทรทัศน์และวิทยุได้หรือไม่ และเป็นการยืนยันว่าโจทก์กับ ช. ร่วมกันออกแบบ ผลิตภัณฑ์ในส่วนดังกล่าว ซึ่งการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นสามารถร่วมกันกระทำในส่วนหนึ่งส่วนใดซึ่งเป็น ส่วนอันเป็นสาระสำคัญในการออกแบบนั้นก็ได้ จึงฟังได้ว่า โจทก์กับ ช. ร่วมกันออกแบบผลิตภัณฑ์แผง สายอากาศเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุตามคำขอรับสิทธิบัตร จึงมีสิทธิขอรับสิทธิบัตรร่วมกัน แต่ ช. ไม่ยอม ร่วมไปขอรับสิทธิบัตรกับโจทก์ด้วยเพราะไม่ทราบขั้นตอนรายละเอียดในการดำเนินการและติดต่อเจ้าหน้าที่ โจทก์ผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมจึงมีสิทธิขอรับสิทธิบัตรสำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้ทำร่วมกันนั้นใน นามของตนเองได้ตามมาตรา 65 ประกอบด้วยมาตรา 15 วรรคสอง โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงสิทธิบัตรตามคำ ขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ กรณีบุคคลหลายคนต่างทำการประดิษฐ์อย่างเดียวกันโดยไม่ได้ร่วมกัน บุคคลซึ่งได้ยื่นคำขอรับ สิทธิบัตรไว้ก่อน เป็นผู้มีสิทธิรับสิทธิบัตรตามมาตรา 16 กล่าวคือ ต่างคนต่างคิดค้น กฎหมายบอกว่า บุคคลซึ่งได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรไว้ก่อนเป็นผู้มีสิทธิรับสิทธิบัตร ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๖ หรือหลัก First to file ดังนั้น ผู้ประดิษฐ์ ที่ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรก่อน จึงเป็นผู้มีสิทธิดีกว่า หลักนี้แตกต่างจากกฎหมาย เครื่องหมายการค้าตามมาตรา 67 ที่บัญญัติว่า ผู้ที่ใช้เครื่องหมายการค้ามาก่อนเป็นผู้มีสิทธิดีกว่า 2. นายจ้าง หรือผู้ว่าจ้าง หน่วยราชการ องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ มีสิทธิขอรับสิทธิบัตร การประดิษฐ์และอนุสิทธิบัตรและสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับการประดิษฐ์หรือการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ที่ลูกจ้าง พนักงานองค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจได้ประดิษฐ์หรือออกแบบขึ้น ตามสัญญาจ้าง ที่มิได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น สำหรับลูกจ้างก็มีสิทธิได้รับบำเหน็จพิเศษจากนายจ้าง ส่วนข้าราชการและ พนักงานองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจก็มีสิทธิได้รับบำเหน็จพิเศษเช่นกัน เว้นแต่ระเบียบของทางราชการ หรือองค์การของรัฐกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ตามมาตรา 11 มาตรา 12 มาตรา 13 มาตรา 65 และ มาตรา 65 ทศ กรณีนี้เป็นเรื่องนายจ้าง ผู้ว่าจ้าง และมีลูกจ้างเป็นคนประดิษฐ์ออกแบบตามสัญญาจ้าง กล่าวคือ จ้างมาประดิษฐ์หรือออกแบบ
13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาตรา 11 วรรคสอง เป็นการให้สิทธิลูกจ้างมากขึ้นไปอีก โดยบอกว่าแม้ว่าลูกจ้างจะไม่ได้จ้างให้ มาทำการประดิษฐ์แต่ได้ทำการประดิษฐ์สิ่งใดขึ้นมา มาตรา 11 วรรคสอง บอกว่ากรณีที่ลูกจ้างทำการ ประดิษฐ์สิ่งใดด้วยการใช้วิธีการ สถิติหรือรายงานซึ่งรูปร่าง สามารถใช้หรือล่วงรู้การเป็นลูกจ้างตามสัญญา จ้างจึงเป็นกรณีที่จ้างทำหน้าที่อื่น ไม่ได้ทำการประดิษฐ์หรือออกแบบ แต่ว่าได้ไปใช้สถิติหรือรายงานต่าง ๆ ของนายจ้างมาทำการประดิษฐ์หรือออกแบบ ในมาตรา 11 วรรคสอง บอกว่า แม้สัญญาจ้างไม่ได้เกี่ยวข้อง กับการประดิษฐ์ก็ตาม ก็ให้สิทธิขอรับสิทธิบัตรตกเป็นของนายจ้าง ซึ่งเป็นข้อยกเว้นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งนักศึกษาต้องระมัดระวัง เพราะข้อยกเว้นตามมาตรา 11 วรรคสองนี้เคยออกข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา มาแล้ว 3. ผู้รับโอนสิทธิขอรับสิทธิบัตร เนื่องจากสิทธิขอรับสิทธิบัตรเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งจึงโอนและรับ มรดกกันได้ตามมาตรา 10 วรรคสอง การโอนให้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอน ตามมาตรา 10 วรรคสาม กรณีนี้เป็นเรื่องการโอนสิทธิขอรับสิทธิบัตร มิใช่การโอนสิทธิบัตรตามมาตรา 18 อย่าลืมว่า การโอนสิทธิขอรับสิทธิบัตรนี้มีค่า มีทรัพย์สิน มีราคา ซึ่งต่างจากการโอนสิทธิบัตร คุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับสิทธิบัตร ตามมาตรา 14 มาตรา 14 บัญญัติว่า “บุคคลซึ่งจะขอรับสิทธิบัตรได้ต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย (๒) มีสัญชาติของประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญา หรือความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการ คุ้มครองสิทธิบัตรซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย (๓) มีสัญชาติของประเทศที่ยินยอมให้บุคคลสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ ตั้งอยู่ ในประเทศไทยขอรับสิทธิบัตรในประเทศนั้นได้ (๔) มีภูมิลำเนา หรืออยู่ในระหว่างการประกอบอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมอย่างแท้จริงและ จริงจังในประเทศไทย หรือประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการ คุ้มครองสิทธิบัตรซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย” เรื่องกระบวนการขอรับสิทธิบัตร เป็นเราต้องรู้ไว้เพราะนักศึกษาบางคนอาจไปทำงานด้านนี้ ซึ่งต้องรู้ถึงขั้นตอนต่าง ๆ ประการแรกคือ คำขอรับสิทธิบัตร เนื่องจากสิทธิบัตรก่อตั้งโดยการให้สิทธิหรือออกหนังสือสำคัญ และต้องตรวจสอบว่าการประดิษฐ์หรือการออกแบบเข้าเงื่อนไขหรือไม่ ซึ่งแตกต่างจากลิขสิทธิ์ ซึ่งคุ้มครอง โดยอัตโนมัติ คำขอรับสิทธิบัตรในส่วนของการประดิษฐ์และอนุสิทธิบัตร ในคำขอนี้ต้องมีข้อมูลเบื้องต้นว่า ผู้ขอรับสิทธิบัตร ขอรับในฐานะผู้ขอเองหรือเป็นตัวแทนผู้ขอสิทธิบัตร ตามมาตรา 17 และมาตรา 65 ทศ นอกจากนี้ยังมีรายละเอียด เช่น ๑. ชื่อที่แสดงถึงการประดิษฐ์ เช่น เป็นหม้อหุงข้าว 2. ลักษณะและความมุ่งหมายของการประดิษฐ์ ว่ามีลักษณะสำคัญอย่างไร มีความมุ่งหมายอะไร เช่น ทำน้ำให้สะอาด
14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 3. รายละเอียดของการประดิษฐ์ เป็นการกำหนดให้ผู้ขอเปิดเผยรายละเอียดหรือสิ่งสำคัญ เพราะ เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกัน เมื่อผู้ขอเปิดเผยแล้ว แล้วจะให้สิทธิแต่ผู้เดียว การเปิดเผยต้องเปิดเผยให้หมดและ ต้องเปิดเผยวิธีการประดิษฐ์ที่ดีที่สุด จะปกปิดไว้ไม่ได้และในมาตรา 17 (3) ระบุว่า การเปิดเผยต้องมี ข้อความสมบูรณ์รัดกุม ชัดแจ้ง อันจะทำให้ผู้มีความชำนาญในระดับสามัญในศิลปะหรือวิทยาการ ที่เกี่ยวข้องสามารถทำและปฏิบัติการตามการประดิษฐ์นั้นได้และต้องระบุวิธีการในการประดิษฐ์ที่ดีที่สุด ที่ผู้ประดิษฐ์จะพึงทราบได้ 4. ข้อถือสิทธิโดยชัดแจ้ง ซึ่งเป็นขอบเขตของการประดิษฐ์ซึ่งประสงค์จะได้รับความคุ้มครอง 5. รายการอื่นตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง กรณีสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ก็เช่นเดียวกัน คือ ๑. ต้องมีข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้ขอรับสิทธิบัตร ตามมาตรา 59 และต้องมีรายการดังที่กล่าวมา ข้างต้น เนื่องจากแบบผลิตภัณฑ์สาระสำคัญอยู่ที่รูปแบบ ลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ดังนั้นภาพหรือ รูปแบบจึงมีความสำคัญมาก การแสดงโดยภาพจะทำให้เห็นได้ชัดเจน 2. ข้อความระบุผลิตภัณฑ์ที่จะใช้กับแบบผลิตภัณฑ์ที่ขอรับสิทธิบัตรซึ่งแบ่งแบบผลิตภัณฑ์ออกเป็น ประเภทประเทศ 3. ข้อถือสิทธิโดยชัดแจ้งว่าจะถือสิทธิในรูปร่าง ลวดลาย หรือสีของผลิตภัณฑ์ 4. รายการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ได้แก่คำพรรณนาแบบผลิตภัณฑ์ผู้ขอจะเขียนรายการ นี้หรือไม่ก็ได้ซึ่งเป็นเรื่องของการขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนการขอรับสิทธิบัตรและการพิจารณา ขั้นตอนที่ ๑ วันที่ขอรับสิทธิบัตร ในประเทศไทย สำหรับการประดิษฐ์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ เราใช้ระบบคัดค้านก่อนออกสิทธิบัตร ส่วนอนุสิทธิบัตร เราใช้ระบบการคัดค้านหลังออกอนุสิทธิบัตร นอกจากนี้ ให้มาดูความหมายของวันที่ขอรับสิทธิบัตร ซึ่งความจริงเราเรียนไปแล้วในส่วนของความใหม่ ต่อมาเรามาทบทวนว่า ผู้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรก่อนเป็นผู้มีสิทธิดีกว่า ตามหลัก First to file system ซึ่ง เป็นระบบของประเทศไทยและของโลก โดยส่วนใหญ่ ส่วนระบบที่ว่าใครคิดค้นก่อนมีสิทธิดีกว่า เรียกว่า First to invent System นี้เป็นระบบเก่า เพราะฉะนั้นวันขอรับสิทธิบัตรนี้จึงมีความสำคัญมาก 2 ประการ คือ 1. วันขอรับสิทธิบัตร เป็นวันที่ตัดสินว่าใครมีสิทธิดีกว่ากัน กล่าวคือ ใครยื่นก่อนมีสิทธิดีกว่า และ 2. เป็นวันที่ถือเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยความใหม่ ดังที่เราได้เรียนไปแล้วในเรื่องเงื่อนไขของการ ขอสิทธิเราใช้วันขอรับสิทธิบัตรเป็นเกณฑ์ นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร ตามมาตรา 17 วรรคสาม ซึ่งขอรับความคุ้มครองในประเทศที่เป็นสมาชิกได้ เป็นการอำนวยความสะดวก ลดภาระของผู้ขอไม่ต้องไป ยื่นขอรับสิทธิบัตรในประเทศต่าง ๆ โดยสามารถยื่นขอรับอนุสิทธิบัตรภายในประเทศของตน แล้วสำนักงาน อนุสิทธิบัตรจะยื่นส่งต่อไปที่องค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก หลังจากนั้นเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศจะ พิจารณาการออกสิทธิบัตรให้ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศ ต้องไปดูกฎหมายของแต่ละประเทศนั้น ๆ
15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ขั้นตอนที่ 2 การประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตร หากคำขอรับถูกต้องอธิบดีก็สั่งให้ประกาศ โฆษณาเพื่อให้บุคคลอื่นคัดค้าน ว่ามีสิทธิดีกว่า หรือคัดค้านว่าคำขอรับสิทธิบัตรไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบการประดิษฐ์ เมื่อมีการประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตรแล้ว ผู้ขอรับ สิทธิบัตรต้องยื่นตรวจสอบการประดิษฐ์ภายใน 5 ปีนับแต่วันที่มีการประกาศโฆษณา ตามมาตรา 29 สำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ไม่มีขั้นตอนขอให้ตรวจสอบตามมาตรา 61 ขั้นตอนที่ 4 การออกสิทธิบัตร หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว หากอธิบดีเห็นว่าผู้ขอมีสิทธิ อธิบดีก็จะสั่งรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้ตามมาตรา 33 และ 65 หากอธิบดียกคำขอ ผู้ขอก็มีสิทธิ อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการสิทธิบัตร หรือฟ้องต่อศาลตามมาตรา 34 มาตรา 72 และมาตรา 65 สำหรับขั้นตอนการขออนุสิทธิบัตรนั้น ใช้ระบบคัดค้านหลัง การออกอนุสิทธิบัตรไม่ต้องมีการ ตรวจสอบการประดิษฐ์แต่เมื่อรับจดทะเบียนแล้ว หากมีผู้ขอตรวจสอบจึงจะทำการตรวจสอบ อย่างเรื่อง อนุสิทธิบัตรในมาตรา 65 ตรีเพิ่มเติมว่าผู้ขอจะขอรับอนุสิทธิบัตรและสิทธิบัตรการประดิษฐ์อย่างเดียวกัน ไม่ได้ หากขอมาทั้ง 2 อย่าง ให้ถือว่าขอรับอนุสิทธิบัตรตามมาตรา 77 เบญจ ***จบการบรรยาย***
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (สิทธิบัตร) (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์ ไมตรี สุเทพากุล บรรยายวันที่ 15 มิถุนายน 2566 (ครั้งที่ ๔) (สัปดาห์ที่ 4) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เราจะมาศึกษากันต่อในหัวข้อสิทธิบัตรนะครับ ซึ่งถ้าเราดูตามตาราง เปรียบเทียบนั้น เราได้ศึกษาในเรื่องเงื่อนไขในเรื่องความเป็นเจ้าของมาแล้ว ในวันนี้เราจะมาศึกษากันต่อใน เรื่องของการละเมิดสิทธิแต่ผู้เดียวและสุดท้ายก็คือเรื่องข้อยกเว้นของการละเมิดแต่ก่อนที่จะลงในเนื้อหาของ เรื่องละเมิดนั้น อาจารย์อยากจะให้เรากลับมาพิจารณาดูในเรื่องของเงื่อนไข โดยเฉพาะในส่วนของลักษณะ การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้กับเรื่องของความใหม่ ตามมาตรา 6 และเรื่องการออกแบบที่ขอรับสิทธิบัตร ได้ตามมาตรา 56 ในเรื่องของความใหม่นะครับ ก่อนอื่นอาจารย์จะพูดในเรื่องของภาพรวมเสียก่อนว่าในเรื่องของเงื่อนไขที่อาจารย์ได้บรรยายไปแล้ว กับเรื่องละเมิดที่กำลังจะบรรยายในวันนี้ จะมีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งนี้เพราะว่าในเรื่องของเงื่อนไขนั้นเราได้ พิจารณาไปแล้ว เช่นเราพิจารณาว่า การประดิษฐ์นี้ มีความหมายหรือไม่ โดยการเปรียบเทียบของเรานั้น เราก็จะเปรียบเทียบจากงานที่ปรากฏอยู่แล้วกับการประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรนะครับ แต่ในส่วนของการ ละเมิดนั้น ตัวเปรียบเทียบจะเป็นคนละตัวกัน กล่าวคือ เราจะเอาตัวผลิตตามสิทธิบัตรเป็นตัวตั้ง และเราจะเอา งานที่ละเมิดเป็นตัวเปรียบเทียบนะครับ ที่อาจารย์โยงในเรื่องของเงื่อนไขนั้น ก็เนื่องจากว่าหลักการพิจารณา เรื่องเงื่อนไขความใหม่กับเรื่องการละเมิดนั้น อาจารย์บางท่านบอกว่าเป็นเรื่องเดียวกัน คือการพิจารณานั้น เป็นเรื่องหลักการเดียวกันหรือคล้ายกัน หรือที่เรียกว่าเหรียญคนละด้าน ซึ่งถ้าเราเปรียบเทียบของเก่า หากนักศึกษาจำได้เวลาที่เราเปรียบเทียบความใหม่สำหรับการประดิษฐ์นะครับ อาจารย์ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เวลาที่เราพูดถึงเรื่องสิทธิบัตรนั้น เราจะต้องแยกเสียก่อนว่าเป็นเรื่องการประดิษฐ์หรือการออกแบบ เราเปรียบเทียบความใหม่ของการประดิษฐ์ซึ่งการประดิษฐ์นั้น ก็คือเราจะเปรียบเทียบฟังก์ชัน การทำงาน ดังนั้นในเรื่องเงื่อนไขของความใหม่นั้น เราก็จะเปรียบเทียบว่างานที่ปรากฏอยู่แล้ว กับงานที่ขอรับ สิทธิบัตรนั้น เหมือนกันหรือไม่ หากเหมือนกัน ก็ถือว่าไม่ใหม่ แต่ในเรื่องของละเมิดนั้น ตัวเปรียบเทียบอย่างที่ อาจารย์กล่าวไปแล้วว่า เราจะเอาการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรเป็นตัวตั้ง และเอาตัวที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดนั้น มาเปรียบเทียบ หลักการก็เช่นเดียวกับเรื่องเงื่อนไขของความใหม่ ก็คือเราจะต้องพิจารณาว่างานที่ถูกกล่าวหา ว่าละเมิดนั้น มีฟังก์ชันหรือมีการทำงานเหมือนกับการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรหรือไม่ อันนี้จะเรียกว่าหลักการ พิจารณาเดียวกันนะครับ เพียงแต่ตัวเปรียบเทียบนั้นเป็นคนละตัวกัน ต่อไปมาดูเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งก็จะเหมือนกันกับเรื่องที่เราเคยเปรียบเทียบในเรื่องความ ใหม่ หากเราออกแบบผลิตภัณฑ์ เราก็คงจะจำได้แล้วว่าจะคุ้มครองเรื่องรูปร่าง รูปทรง รวมถึงลวดลาย ดังนั้น สิ่งที่เราเรียนไปแล้วนั้น การออกแบบผลิตภัณฑ์จะถือว่าเป็นของใหม่หรือไม่ เราก็ต้องเอาตัวงานที่ ปรากฏอยู่แล้วเป็นตัวตั้ง แล้วก็เอาแบบผลิตภัณฑ์ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดนั้นมาเปรียบเทียบ โดยเปรียบเทียบว่า แบบผลิตภัณฑ์ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดนั้น มีรูปร่าง หรือลวดลาย หรือรูปทรงที่เหมือนกับแบบผลิตภัณฑ์ที่ จดสิทธิบัตรเอาไว้หรือไม่ เพราะฉะนั้น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่เราเรียนมาในเรื่องเงื่อนไขนั้น ในส่วนของ
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ความใหม่กับในส่วนของเรื่องละเมิดนั้น อาจจะนำมาพิจารณาได้ถ้าการประดิษฐ์เราก็จะใช้หลักของฟังก์ชั่น เดียวกัน มีเทคนิคการทำงานเหมือนกันหรือไม่ ส่วนการออกแบบ เราก็จะใช้หลักในเรื่องของรูปร่าง รูปทรง หรือลวดลาย ว่าเหมือนกันหรือไม่ ซึ่งหลักการอันนี้ ไม่ได้ใช้เฉพาะในเรื่องของสิทธิบัตร แต่อาจนำไปใช้ในเรื่อง ของเครื่องหมายการค้าได้ด้วย เพราะในเรื่องของเครื่องหมายการค้า เราจะมีเงื่อนไขในการขอจดเครื่องหมาย การค้าว่ามีความเหมือนหรือคล้ายหรือไม่และการละเมิด ซึ่งก็จะใช้หลักการเดียวกันกับในเรื่องของสิทธิบัตร นะครับ ซึ่งหากนักศึกษามองภาพตรงนี้ออก นักศึกษาก็จะเข้าใจง่ายขึ้น อันนี้อาจารย์ยังอยู่ในภาพรวมก่อนนะครับ เพราะก่อนที่จะลงไปในรายละเอียดนั้น อาจารย์อยากจะ ปูพื้นให้นักศึกษาเห็นว่าประเด็นเรื่องใดบ้างที่สำคัญและเคยออกเป็นข้อสอบ ก็ให้นักศึกษาระวังไว้ ตอนนี้ อาจารย์กำลังจะบรรยายว่า ทั้ง 3 พระราชบัญญัตินั้น จะมีการกระทำที่คล้ายกัน ซึ่งนักศึกษาไม่ต้องกลัวว่า จะมีคำพูดที่แตกต่างกันมากมายนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ลิขสิทธิ์ก็จะมีคำว่าทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ ส่วนเครื่องหมายการค้าก็จะมีคำว่า ปลอม หรือทำให้เหมือน เลียนแบบ ซึ่งก็เหมือนกับการทำซ้ำ หรือดัดแปลง ส่วนสิทธิบัตร ก็จะมีเรื่องทำให้เหมือน ซึ่งก็คือ ทำผลิตภัณฑ์ให้มีฟังก์ชั่นให้เหมือนกัน ตามมาตรา 36 ทวิวรรค หนึ่ง หรือทำผลิตภัณฑ์ดัดแปลงให้มีความคล้ายกัน แม้จะไม่เหมือนทีเดียวก็ตาม ก็คือมาตรา 36 ทวิวรรคสอง ในเรื่องประโยชน์ใช้สอยที่เหมือนกัน ก็ถือว่าเป็นละเมิดได้อันนี้เป็นข้อสอบ ซึ่งอาจารย์ขอเรียนว่า มาตรา 36 ทวิวรรคสองนั้นออกข้อสอบบ่อยมากทั้งของข้อสอบเนติบัณฑิตและของผู้ช่วยผู้พิพากษา เพราะฉะนั้น การทำละเมิดนั้น ก็จะมีหลักการคล้ายๆกันทั้ง 3 พระราชบัญญัติเพียงแต่ในกฎหมายสิทธิบัตร นั้น อาจจะใช้คำว่าผลิต ผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) หรือใช้แบบผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (2) นะครับ อันนี้ก็เป็นการละเมิดที่อาจจะกล่าวได้ว่า มีการกระทำที่คล้ายกันทั้ง 3 พระราชบัญญัติ เพราะฉะนั้น ก็ให้นักศึกษาสบายใจนะครับ ไม่จำเป็นต้องไปท่องมาก แต่สามารถที่จะเปรียบเทียบกันได้ ทั้ง 3 พระราชบัญญัตินะครับ ต่อไปเรามาทวนหลักที่เคยพูดไปแล้วอีกนิดนึงนะครับ ในเรื่องสิทธิบัตรนั้น เกี่ยวกับหลักดินแดน เป็นเรื่องที่เคยออกข้อสอบมานะครับว่าจดสิทธิบัตรประเทศไหน ก็ให้ความคุ้มครองประเทศนั้น เช่น จดสิทธิบัตรที่ประเทศญี่ปุ่น ก็จะให้ความคุ้มครองที่ประเทศญี่ปุ่น หากมาทำการละเมิดในประเทศไทย ก็ไม่ถือ ว่าเป็นการละเมิด เพราะไม่ใช่เป็นการจดสิทธิบัตรในประเทศไทย หรือฎีกาที่เคยพูดไปแล้วว่าจดสิทธิบัตร ในประเทศอเมริกา แต่มาอนุญาตให้ใช้สิทธิในประเทศไทย ถ้ามีการละเมิดในประเทศไทย ก็ไม่ถือว่าเป็นการ ละเมิดเพราะเป็นการจดสิทธิบัตรที่ประเทศอเมริกาก็ต้องไปให้ความคุ้มครองที่ประเทศอเมริกา ไม่ถือว่าเป็น การละเมิดในประเทศไทย อันนี้เป็นหลักเรื่องดินแดนที่เคยออกข้อสอบมาหลายครั้งนะครับ อีกกรณีหนึ่งที่อาจารย์ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งนะครับ ความจริงได้เคยพูดไปแล้ว แต่เนื่องจากว่าวันนี้เราจะ มาพูดถึงเรื่องละเมิด อาจารย์จึงขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าการคุ้มครองเรื่องละเมิดของสิทธิบัตรนั้น เมื่อเปรียบเทียบ กับในเรื่องความลับทางการค้าหรือในเรื่องลิขสิทธิ์ ก็จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกัน ในเรื่องสิทธิบัตรนั้น หากใครก็ตามที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ได้เหมือนกับสิ่งที่บุคคลอื่นได้เคยจดสิทธิบัตรไว้ไม่ว่าจะคิดค้นได้เอง โดยบังเอิญหรือไม่ก็ตาม ก็จะมากล่าวอ้างไม่ได้เพราะมีการจดสิทธิบัตรเอาไว้แล้ว ซึ่งในเรื่องนี้เคยถูกนำไป ออกเป็นข้อสอบเมื่อปีที่แล้วในเรื่องของเครื่องชงกาแฟ ซึ่งข้อสอบได้ออกหลอกมาว่าคิดค้นโดยตนเอง
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ซึ่งตรงจุดนี้จะใช้กับกฎหมายเรื่องสิทธิบัตรไม่ได้แม้จะคิดค้นด้วยตนเองก็ตาม แต่ในเรื่องการคิดค้นด้วยตนเอง นั้นจะใช้ได้กับในเรื่องของความลับในทางการค้า เพราะเรื่องความลับทางการค้านั้น ไม่มีการจดทะเบียน หากมีบุคคลอื่นคิดเรื่องความลับทางการค้าได้เหมือนกัน ก็สามารถนำไปใช้ได้ ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดเกี่ยวกับ ความลับทางการค้านะครับ สิทธิบัตรนั้น ก็จะมีข้อแตกต่างกับในเรื่องลิขสิทธิ์อีกนะครับ เพราะเรื่องลิขสิทธิ์นั้นไม่จำเป็นต้อง จดทะเบียน การคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้น เนื่องจากไม่มีการจดทะเบียน ก็จะคุ้มครองในส่วนของการสร้างสรรค์งาน กล่าวคือ ถ้านายดำและนายแดง ต่างสร้างสรรค์งานออกมาแล้วเหมือนกัน กรณีนี้ก็ต้องถือว่าต่างคนต่าง ก็ได้รับลิขสิทธิ์ไม่ถือว่าเป็นการละเมิด ซึ่งจะแตกต่างจากสิทธิบัตร เพราะฉะนั้นนักศึกษาจะต้องแยกให้ดี เพราะลิขสิทธิ์นั้น ถ้าได้สร้างสรรค์มา แล้วเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 6 ก็จะถือว่าได้ลิขสิทธิ์นะครับ ต่อไปเรามาดูเรื่องละเมิดในส่วนของสิทธิบัตรนะครับ มองในภาพรวมแล้วเราอาจจะแบ่งแยกออกได้ เป็นการละเมิดทางแพ่งซึ่งก็คือมาตรา 36 และมาตรา 63 ซึ่งมาตรา 36 และ 63 นั้น เป็นหลักเกณฑ์ที่ใช้ใน การฟ้องเรื่องละเมิดได้หลังจากมีการออกสิทธิบัตรแล้ว แต่มีอีกมาตราหนึ่งเรียกว่าเป็นการฟ้อง เมื่อมีการ กระทำ แล้วเข้าเงื่อนไขของมาตรา 36 และมาตรา 63 ซึ่งจะบัญญัติอยู่ในมาตรา 35 ทวิ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการ ขอรับสิทธิบัตรและระหว่างนั้น ก่อนออกสิทธิบัตร ก็จะมีบุคคลมาทำการผลิต กรณีเช่นนี้ก็อาจจะฟ้องร้องผู้ที่ ผลิตได้หากเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 35 ทวิ โดยมาตรา 35 ทวินั้นมีการนำไปออกเป็นข้อสอบประมาณ 2-3 ครั้ง เพราะฉะนั้น ก็ถือว่าเป็นมาตราที่สำคัญรองจากมาตรา 36 และมาตรา 63 นะครับ สำหรับในส่วนของในทางอาญา ก็จะมีมาตรา 85 หากเป็นการละเมิดตามมาตรา 36 และ 63 ก็จะเป็นความผิดตามมาตรา 85 และถ้าเป็นการละเมิดตามมาตรา 65 ทวิ ก็จะมีความผิดตามมาตรา 86 ซึ่งในส่วนของกฎหมายอาญานั้น นักศึกษาไม่ต้องกังวล เพราะยังไม่เคยถูกนำไปออกเป็นข้อสอบนะครับ อาจารย์คงต้องกล่าวว่าข้อสอบนั้นจะเน้นในเรื่องละเมิดในทางแพ่งและในส่วนของเงื่อนไข ซึ่งเดี๋ยวอาจารย์ จะบรรยายต่อไป เดี๋ยวเรากลับมานิดนึงนะครับ ในเรื่องประเภทของคดีที่ขึ้นสู่ศาล อาจารย์อยากจะให้นักศึกษาเห็น ภาพรวมก่อนว่าที่เราได้ศึกษามานั้น อาจารย์ได้พูดตั้งแต่ต้นแล้วว่าในเรื่องเงื่อนไขกับเรื่องละเมิดนั้น มันจะเป็น คดีที่ขึ้นสู่ศาล โดยเงื่อนไขนั้น ก็คือเรื่องของคู่กรณีก็คือ บุคคลที่ขอจดทะเบียนหรือคัดค้านคำขอจดทะเบียน ฟ้องกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งอาจารย์เคยบอกแล้วว่าเรื่องนี้เป็นคดีปกครอง ซึ่งเหล่านี้เป็นคดีพิพาททาง ทะเบียน เช่น พิพาทว่ามีการขอจดทะเบียน แต่มีผู้คัดค้านว่าสิ่งที่ขอจดทะเบียนนั้นไม่ใช่ของใหม่ ก็เป็นการ ฟ้องเพิกถอนคำวินิจฉัยกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ถือว่าเป็นคดีปกครอง โดยในเรื่องนี้ถือว่าเป็นคดีในกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวกับเงื่อนไข ไม่ว่าสิทธิบัตรการประดิษฐ์หรือการออกแบบ อะไรก็แล้วแต่ แต่กลุ่มที่เราจะศึกษากันในวันนี้ ก็คือในเรื่องละเมิด คู่กรณีก็คือผู้ทรงสิทธิบัตรหรือเจ้าของ สิทธิบัตรฟ้องผู้ที่ละเมิด โดยการละเมิดนั้น ก็อย่างที่อาจารย์เรียนไปแล้วว่าเป็นเรื่องที่กฎหมายให้สิทธิแต่ ผู้เดียวแก่ผู้ทรงสิทธิทั้ง 3 พระราชบัญญัติ ดังนั้น กฎหมายจึงให้สิทธิผูกขาดในการหาประโยชน์ตามช่วงเวลาที่ กฎหมายกำหนดเอาไว้
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ทีนี้ในทางปฏิบัตินั้น คดีที่อาจารย์พบเห็นส่วนใหญ่ เป็นคดีที่เจ้าของหรือผู้ทรงสิทธิบัตรนั้น ฟ้องผู้ละเมิด จำเลยซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกฟ้องก็จะให้การ โดยจะให้การ 2 ประเด็นใหญ่ๆได้แก่ 1. ให้การว่าไม่มีการกระทำละเมิด เพราะไม่มีการผลิต หรือไม่มีการขาย หรือผลิตภัณฑ์นั้นไม่เหมือน หรือไม่สมบูรณ์หรือไม่ตรงกัน 2. คือให้การว่าสิทธิบัตรที่ออกมานั้นไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ ให้การต่อสู้ว่าสิทธิบัตรที่ออกมานั้น ออกมา โดยไม่ชอบ ไม่เข้าเงื่อนไข หรือบุคคลที่ขอจดสิทธิบัตรนั้น ไม่ใช่บุคคลที่มีคุณสมบัติที่จะขอสิทธิบัตรได้ เพราะถ้าศาลฟังว่าสิทธิบัตรดังกล่าวนั้นไม่สมบูรณ์แล้วศาลก็คงจะพิจารณาคดีได้ง่าย ฉะนั้นคดีเหล่านี้มักจะถูกนำมาออกเป็นข้อสอบ โดยอาจารย์จะขอแยกแนวข้อสอบออกมาเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆเพื่อให้นักศึกษาเห็นถึงเค้าโครงข้อสอบนะครับ ข้อสอบรูปแบบแรก ก็จะให้การต่อสู้ 2 ประเด็น ประเด็นแรก คือไม่มีการทำละเมิดและต่อสู้ว่า สิทธิบัตรนั้นไม่สมบูรณ์ ดังนั้น เราจะต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าสิทธิบัตรนั้นสมบูรณ์หรือไม่ หรือเข้าเงื่อนไขหรือไม่ เพราะถ้าฟังว่าสิทธิบัตรดังกล่าวไม่สมบูรณ์เราก็สามารถตอบข้อสอบได้ว่าไม่เป็นการทำละเมิด และเมื่อ สิทธิบัตรดังกล่าวไม่สมบูรณ์ก็ต้องเพิกถอนตามมาตรา 54 มาตรา 64 และมาตรา 65 นว. แต่ถ้ารับฟังว่าสิทธิบัตรดังกล่าวนั้นเป็นสิทธิบัตรที่สมบูรณ์ ก็จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่ามีการทำละเมิด ตามมาตรา 36 มาตรา 63 หรือมาตรา 65 ทวิประกอบ มาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 36 หรือไม่ อันนี้ เป็นข้อสอบที่ออกมาบ่อยๆ อีกรูปแบบหนึ่งที่ออกง่ายกว่า ก็คือถามประเด็นเดียวว่ามีการทำละเมิดหรือไม่ เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องมาพิจารณาในเรื่องละเมิดอย่างเดียว โดยไม่ต้องพิจารณาในเรื่องของสิทธิบัตรว่าเป็น สิทธิบัตรที่สมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งในเรื่องการพิจารณาว่าเป็นการทำละเมิดหรือไม่ เราก็ต้องดูบทบัญญัติในมาตรา 36 และมาตรา 36 ทวิ เดี๋ยวเรามาดูแนวข้อสอบในแบบแรกก่อนนะครับ ซึ่งเป็นข้อสอบเนติบัณฑิตปี 2562 ซึ่งก็มีประเด็น ในเรื่องของเงื่อนไข คำถามมีอยู่ว่า นายนิดประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่สามารถตอบปัญหาข้อกฎหมายได้ ต่อมาเดือน มกราคม 2561 นายนิดผลิตและจำหน่ายหุ่นยนต์ดังกล่าว ต่อมาเดือนมิถุนายน พ.ศ 2561 นายหน่อย ลูกช่าง ได้ประดิษฐ์หุ่นยนต์ดังกล่าวเลียนแบบและออกจำหน่าย ต่อมาเดือนมีนาคม 2562 นายนิดขอรับ สิทธิบัตร ซึ่งเป็นการขอรับสิทธิบัตรหลังจากผลิตออกจำหน่ายแล้ว ในเดือนกันยายน 2562 ได้มีการออก สิทธิบัตร กรณีนี้ ก็คือจะมีประเด็นในเรื่องความไม่สมบูรณ์นะครับ เพราะว่านายหน่อยนั้น ให้การต่อสู้ว่า สิทธิบัตรของนายนิดนั้นไม่สมบูรณ์ และการกระทำนั้นไม่ละเมิดสิทธิบัตร ซึ่งเราก็ต้องกลับมาวินิจฉัยในเรื่อง เงื่อนไขว่าในเรื่องนี้เป็นงานที่มีหรือใช้โดยแพร่หลายตามมาตรา 6 วรรคสอง (1) เพราะฉะนั้นสิทธิบัตรนี้ ก็ไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 54 วรรคหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องเพิกถอน เมื่อเพิกถอนแล้วก็รับฟังได้ว่านายหน่อย ไม่ละเมิดแค่นั้นเองนะครับ อันนี้ก็เป็นข้อสอบของเนติบัณฑิต นักศึกษาครับในเรื่องละเมิดนั้น หลักการที่จะพิจารณาว่าเป็นการทำละเมิดหรือไม่ ทั้ง 3 พระราชบัญญัตินั้น สุดท้ายแล้วเหตุผลของการวินิจฉัยว่าละเมิดหรือไม่นั้น ก็จะใช้คำว่า “ละเมิดในส่วน ที่เป็นสาระสำคัญ” ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร หรือเครื่องหมายการค้าก็ตาม ละเมิดในส่วนที่ เป็นสาระสำคัญ หมายความว่าอย่างไร เราจะลงรายละเอียดกันต่อไปนะครับ
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ในเรื่องละเมิดนั้น อาจารย์ให้นักศึกษาระวังเอาไว้นะครับว่า เมื่อเราพิจารณาในเรื่องละเมิดแล้ว นักศึกษาอย่าลืมว่าเราจะต้องดูข้อยกเว้นของการละเมิดด้วย โดยเฉพาะมาตรา 36 วรรคสอง ในเรื่อง ข้อยกเว้นในเรื่องการละเมิดของการประดิษฐ์นั้น ข้อสอบเนติบัณฑิตนั้นออกในเรื่องข้อยกเว้นนี้มาประมาณ 3 ครั้งแล้ว ดังนั้นในบางครั้ง เมื่อเราพิจารณาแล้วว่าเป็นการละเมิด แต่หากเราหลงลืมไม่ได้ดูข้อยกเว้น เราก็จะตอบไม่ครบและอาจจะไม่ได้คะแนนก็ได้อันนี้อาจารย์ก็ขอเตือนนักศึกษาไว้ว่าให้ดูข้อยกเว้นด้วย ต่อไปเรามาลงในตัวกฎหมายหรือในรายละเอียดกันนะครับ ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ของผู้ทรงสิทธิบัตร สิทธิหน้าที่ของผู้ทรงสิทธิบัตรหรือผู้ทรงอนุสิทธิบัตรเกิดขึ้น เมื่อมีการรับจดทะเบียนการประดิษฐ์ หรือการออกแบบ และได้ออกสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรให้ผู้ขอรับแล้ว ตามมาตรา 36 และมาตรา 63 ซึ่งจะทำให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรเปลี่ยนฐานะเป็นผู้ทรงสิทธิบัตรหรือผู้ทรงอนุสิทธิบัตร และมีสิทธิและหน้าที่ตาม กฎหมาย หากมีการโอนสิทธิบัตรให้กับบุคคลอื่น ผู้ขอรับสิทธิบัตรจะมีฐานะเป็นผู้ทรงสิทธิบัตร หรือผู้ทรง อนุสิทธิบัตร รวมทั้งมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้โอนสิทธิบัตร หรือผู้โอนอนุสิทธิบัตรทุกประการ สิทธิและหน้าที่ของผู้ทรงอนุสิทธิบัตร มีลักษณะเช่นเดียวกับสิทธิและหน้าที่ของผู้ทรงสิทธิบัตรการ ประดิษฐ์ กล่าวคือ ผู้ทรงอนุสิทธิบัตรนั้น มีมาตรา 65 ทศ โยงให้นำมาตรา 36 ของผู้ทรงสิทธิบัตร การประดิษฐ์มาใช้ เรื่องการละเมิดของอนุสิทธิบัตรจึงใช้มาตรา 36 เช่นเดียวกัน โดยนำมาตรา 65 ทศ โยงมาใช้ อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 35 ทวิ มาตรา 62 ทวิ บัญญัติว่า การกระทำที่ขัดต่อมาตรา 16 หรือมาตรา 63 ก่อนวันออกสิทธิบัตรมิให้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิบัตรของ ผู้ทรงสิทธิ แต่มีข้อยกเว้นตามมาตรา 35 ทวิ และมาตรา 62 ทวิให้เรียกค่าเสียหายจากผู้ฝ่าฝืนได้หลังจาก ออกสิทธิบัตรแล้ว ซึ่งจากบทบัญญัติมาตรา 35 ทวิและมาตรา 62 ทวิ จะเห็นได้ว่าสิทธิของผู้ทรงสิทธิ ตามมาตรา 36 และมาตรา 63 เกิดขึ้นเมื่อมีการออกสิทธิบัตร มิใช่ มีสิทธิตั้งแต่วันยื่นคำขอรับสิทธิบัตร ตามมาตรา 35 ทวิและมาตรา 62 ทวิ กล่าวคือมาตรา 35 และมาตรา 62 นี้เป็นบทบัญญัติที่นับอายุสิทธิบัตร 20 ปีและ 10 ปีนับจากวันยื่นคำขอรับสิทธิบัตร ว่าสิทธิของผู้ทรง สิทธิบัตรเกิดขึ้นเมื่อออกสิทธิบัตร ดังนั้นการกระทำใดๆ ตามมาตรา 36 และมาตรา 63 ก่อนออกสิทธิบัตร จึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิบัตร ถามว่า ถ้าไม่ละเมิดแล้ว จะทำอย่างไรได้บ้าง คำตอบ มาตรา 35 ทวิ 62 ทวิ 65 ทศ บอกว่า กำหนดข้อยกเว้นไว้ให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรเรียก ค่าเสียหายจากผู้ฝ่าฝืนกระทำการใด ๆ ตามมาตรา 36 หรือมาตรา 63 ได้ก่อนวันออกสิทธิบัตร 2 กรณี คือ ในช่วงตั้งแต่วันขอรับสิทธิบัตรถึงวันออกสิทธิบัตรนั้น หากมีการกระทำใดๆ ตามมาตรา 36 หรือมาตรา 63 ก็เข้า 2 กรณีนี้ผู้ขอรับสิทธิบัตรเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำการฝ่าฝืนได้ กรณีแรก มีการประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตร ตามมาตรา 28 แล้ว หากผู้ฝ่าฝืนไม่สุจริต และ รู้ว่าการประดิษฐ์นั้นได้มีการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรไว้แล้ว
6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กรณีที่สอง ผู้ฝ่าฝืนได้รับคำบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรว่า การประดิษฐ์นั้นได้ยื่นคำขอรับ สิทธิบัตรไว้แล้ว ดังนั้น ภายหลังจากมีการออกสิทธิบัตร ผู้ขอรับสิทธิบัตรจึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก ผู้ฝ่าฝืนได้ตามมาตรา 35 และมาตรา 62 ทวิ ถามว่า เหตุใดกฎหมายจึงบัญญัติข้อยกเว้นไว้ 2 ข้อนี้ คำตอบ เหตุผลคือ นับตั้งแต่วันยื่นคำขอรับสิทธิบัตรจนถึงวันออกสิทธิบัตรนั้น ได้มีการตรวจสอบ พยานหลักฐาน ช่วงเวลาดังกล่าวอาจมีผู้ต้องการแสวงหาประโยชน์จากการประดิษฐ์ที่ได้เปิดเผยแล้ว โดยอาจผลิตหรือขายก่อนที่ผู้ขอรับสิทธิบัตรจะได้รับสิทธิบัตร ดังนั้นมาตรา 35 ทวิและมาตรา 62 ทวิ จึงเป็นกรณีที่มีการกระทำใด ๆ ระหว่างวันขอรับสิทธิบัตรถึงวันออกสิทธิบัตร และให้ผู้ขอเรียกค่าเสียหาย ฟ้องได้หลังจากออกสิทธิบัตรแล้ว ตัวอย่างข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาสนามใหญ่ เรื่องมาตรา 35 ทวิ นายเอกคิดประดิษฐ์แว่นตาดิจิทัลใช้สำหรับถ่ายรูปได้เมื่อผู้ใส่แว่นกะพริบตา ซึ่งเป็นแว่นตาที่มี ประสิทธิภาพสูงกว่ากล้องถ่ายรูปธรรมดา และยังไม่มีใครคิดค้นได้มาก่อน นายเอกได้ส่งข้อมูลและวิธีการ ทำงานโดยละเอียดของแว่นตาดิจิทัลไปลงในนิตยสาร INVENTOR ที่พิมพ์จำหน่าย อยู่ในประเทศสิงคโปร์ โดยนิตยสารวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2558 นายเอกยื่นคำขอรับ สิทธิบัตรการประดิษฐ์แว่นตาดิจิทัลดังกล่าวต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา หลังจากนั้นนายเอกได้ผลิตแว่นตา ดิจิทัลออกจำหน่ายอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ต่อมาวันที่ 1 กันยายน 2558 อธิบดีกรมทรัพย์สินทาง ปัญญาเห็นว่า คำขอรับสิทธิบัตรถูกต้องแล้ว จึงมีคำสั่งประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตร วันที่ 1 ตุลาคม 2558 นายบอยซึ่งรู้ว่าการประดิษฐ์ดังกล่าวได้มีการขอรับสิทธิบัตรไว้แล้ว แต่เห็นว่าแว่นตาดิจิทัลขายดี จึงผลิตแว่นตาดิจิทัลที่นายเอกยื่นคำขอรับสิทธิบัตรไว้แล้วออกจำหน่ายเป็นเวลา 1 เดือน แล้วก็หยุด จำหน่ายเพราะได้กำไรพอแล้ว นายเอกได้รับสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2558 จึงยื่นฟ้องนายบอยฐาน ละเมิดสิทธิบัตรและเรียกค่าเสียหาย นายบอยให้การต่อสู้คดีว่า นายบอยผลิตแว่นตาดิจิทัลออกจำ หน่าย และหยุดจำหน่ายก่อนที่นายเอกได้รับสิทธิบัตร และสิทธิบัตรของนายเอกออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายบอยฟังขึ้นหรือไม่ ธงคำตอบ การที่นายเอกส่งข้อมูลและวิธีการทำงานโดยละเอียดของแว่นตาดิจิทัลไปลงในนิตยสาร INVENTOR ที่พิมพ์จำหน่ายอยู่ในประเทศสิงคโปร์ เป็นการเปิดเผยสาระสำคัญ หรือรายละเอียดการ ประดิษฐ์ในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่ได้เผยแพร่อยู่แล้วในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตร โดยหลักแล้วต้องถือว่าการประดิษฐ์นั้นเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 6 วรรคสอง (2) แต่เนื่องจากการเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดนั้น กระทำโดยนายเอก ผู้ประดิษฐ์ และนายเอกยื่นคำขอรับสิทธิบัตรหลังจากการเปิดเผยดังกล่าวหนึ่งเดือน จึงเป็นการเปิดเผย สาระสำคัญหรือรายละเอียดภายในสิบสองเดือนก่อนที่จะมีการขอรับสิทธิบัตร จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 6 วรรคท้าย ที่ไม่ให้ถือว่าเป็นการเปิดเผยสาระสำคัญ หรือรายละเอียดตามมาตรา 6 วรรคสอง (2) การ ประดิษฐ์แว่นตาดิจิทัลจึงยังเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว ต่อมา แม้นายเอกผลิต แว่นตาดิจิทัลออกจำหน่ายอย่างแพร่หลายในประเทศไทย แต่ได้กระทำภายหลังวันขอรับสิทธิบัตรแล้ว จึงไม่
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ทำให้การประดิษฐ์นั้นกลายเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 6 วรรคสอง (1) แต่ถือว่าเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ตามมาตรา 5 (1) ประกอบมาตรา 6 วรรคหนึ่ง เมื่อปรากฏ ว่าแว่นตาดิจิทัลดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงกว่ากล้องถ่ายรูปธรรมดา จึงถือได้ว่าเป็นการประดิษฐ์ที่ไม่เป็น ที่ประจักษ์โดยง่ายแก่บุคคลที่มีความชำนาญในระดับสามัญสำหรับงานประเภทนั้น ตามมาตรา 5 (2) ประกอบมาตรา 7 และสามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ตามมาตรา 5 (3) ประกอบมาตรา 8 การออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์แว่นตาดิจิทัลให้นายเอกจึงชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 5 แม้ว่าการที่นายบอยผลิตแว่นตาดิจิทัลเหมือนแว่นตาดิจิทัลที่นายเอกประดิษฐ์ออกจําหน่ายก่อน นายเอกได้รับสิทธิบัตรจะไม่เป็นการละเมิดสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิบัตร ตามพระราชบัญญัติ สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 36 (1) แต่การกระทำของนายบอยเป็นการกระทำต่อการประดิษฐ์ที่ขอรับ สิทธิบัตร และได้มีการประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตรแล้ว โดยนายบอยรู้ว่าการประดิษฐ์นั้นได้มีการยื่น ขอรับสิทธิบัตรไว้แล้ว ในกรณีเช่นนี้ นายเอกผู้ขอรับสิทธิบัตรมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากนายบอยซึ่งเป็น บุคคลผู้ฝ่าฝืนสิทธินั้น เมื่อนายเอกได้ยื่นฟ้องนายบอยต่อศาล เรียกค่าเสียหายดังกล่าวหลังจากที่ได้มีการ ออกสิทธิบัตรให้แก่ตนเองแล้ว จึงเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 35 ทวิ ข้อต่อสู้ของนาย บอยฟังไม่ขึ้น ต่อไป เป็นเรื่องมาตรา 36 ในทางปฏิบัติเองก็มีคดีขึ้นสู่ศาลมากที่สุด คือมาตรา 36 และมาตรา 63 ก่อนอื่นเรามาดูก่อนว่า “ผู้ทรงสิทธิบัตรมีสิทธิอย่างไรบ้าง” ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตรฯ บัญญัติ เกี่ยวกับสิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตรไว้ 4 ประการ คือ 1. สิทธิเด็ดขาดที่จะแสวงหาประโยชน์จากการประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ สิทธิบัตร 2. สิทธิที่จะใช้ถ้อยคำที่แสดงว่าได้รับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตร ซึ่งไม่ค่อยสำคัญ 3. สิทธิที่จะอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้สิทธิตามสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตร 4. สิทธิที่จะโอนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรให้แก่บุคคลอื่น สิทธิทั้ง 4 ประการ เราจะเห็นว่าสิทธิที่สำคัญที่สุดคือ สิทธิประการแรก กล่าวคือสิทธิในการ แสวงหาประโยชน์จากการประดิษฐ์โดยการออกแบบ เรามาดูว่าสำคัญอย่างไร กล่าวคือ ในกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิที่สำคัญที่สุดคือสิทธิแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งกฎหมาย ให้กับผู้ทรงสิทธิเพื่อให้หาผลประโยชน์ในช่วงเวลาที่มีอายุคุ้มครอง ผลประโยชน์ในด้านนี้คือ ผลประโยชน์ ในทางเศรษฐกิจหรือทางตลาด สิทธิแต่ผู้เดียวเข้าใจได้ว่า เป็นการให้อำนาจผูกขาดทางตลาดในการผลิต การค้า การนำเข้า และคำว่า ตลาด หมายถึง ตลาดในประเทศไทย กล่าวคือสิทธินี้ใช้ได้ในประเทศไทย ดังนั้น หากมีคนอื่นนำไปผลิตที่ประเทศกัมพูชา หรืออยู่นอกประเทศ ย่อมไม่เป็นการละเมิดสิทธิบัตร เพราะการละเมิดนี้ใช้หลักดินแดน กล่าวคือ ต้องละเมิดภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการผลิตนอก ประเทศ แต่นำเข้ามาในประเทศก็เป็นการละเมิดได้ เป็นสิทธิแต่ผู้เดียวทางด้านเศรษฐกิจ หรือทางแพ่ง ซึ่งมี บัญญัติไว้ในมาตรา 36 ในพระราชบัญญัติสิทธิบัตร สิทธิบัตรการประดิษฐ์ และมาตรา 63 สิทธิบัตรการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นทางแพ่ง
8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สำหรับในทางอาญา บัญญัติให้มีโทษทางอาญาด้วยในมาตรา 85 ถ้าเป็นการฝ่าฝืนเป็นมาตรา 36 และมาตรา 63 และกรณีตามมาตรา 86 ถ้าฝ่าฝืนอนุสิทธิบัตรตามมาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 36 เพราะทางอาญามีทั้งสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร กรณีมาตรา 35 ทวิหรือมาตรา 36 ทวิไม่มีโทษทางอาญา เรื่องการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิบัตร กล่าวคือ การกระทำที่เป็นสิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรง สิทธิบัตร ตามมาตรา 36 และมาตรา 63 โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น สิทธิในการผลิต ในการขาย สำหรับใน การขายนี้กฎหมายไม่ได้บอกไว้ว่าการขายต้องขายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยชอบหรือผลิตโดยละเมิด ดังนั้นไม่ว่า ขายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยชอบหรือที่ละเมิดหากขายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ทรงสิทธิบัตร ย่อมเป็นการ ละเมิดตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) นอกจากนี้สิทธิแต่ผู้เดียวจะได้รับความคุ้มครองภายในอายุคุ้มครอง ตามที่กฎหมายกำหนด หากไม่ได้รับความคุ้มครองก็จะตกเป็นของสาธารณะสมบัติ การละเมิดสิทธิบัตร อาจแบ่งเป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆ คือ 1. การละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์มาตรา 36 2. การละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์มาตรา 63 นักศึกษาต้องแยกก่อนว่า เรากำลังดูเรื่องการประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพราะการ ประดิษฐ์จะมีการแยกออกไปอีกเป็นการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์และกรรมวิธี เรามาดูเรื่อง สิทธิบัตรการประดิษฐ์ก่อน เรามาดูว่าองค์ประกอบที่เป็นการละเมิดสิทธิบัตรการ ประดิษฐ์ มีองค์ประกอบ 2 ข้อ คือ 1. มีการกระทำใด ๆ อันเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิบัตร ตามมาตรา 36 วรรค 1 (1) และ มาตรา 36 (2) โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องดูว่ามีการกระทำหรือไม่ และการกระทำนั้นมีบัญญัติไว้ในมาตรา 36 หรือไม่ หลังจากนั้นเราจึงมาดูต่อว่า 2. ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีที่ละเมิดเป็นผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร หรือกรรมวิธี ตามสิทธิบัตรตาม มาตรา 36 ประกอบมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง และมาตรา 36 ประกอบมาตรา 36 ทวิวรรคสองหรือไม่ องค์ประกอบแรก การกระทำใด ๆ อันเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) ในมาตรา 36 วรรคหนึ่ง มี 2 อนุมาตรา ซึ่งมาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง (1) เป็นเรื่องละเมิด สิทธิบัตรผลิตภัณฑ์(2) เป็นเรื่องละเมิดสิทธิบัตรกรรมวิธี นักศึกษาต้องย้อนกลับไปดูในตอนต้นที่เราแยกไว้ ว่า สิทธิบัตรนั้นเป็นสิทธิบัตรการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธี ขณะนี้เรามาศึกษาเรื่องการละเมิด ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาว่า สิทธิบัตรที่จดทะเบียนไว้นั้นเป็นสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธี เราจะเริ่มศึกษาเรื่อง การละเมิดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) ก่อน ก่อนเข้าไปถึงรายละเอียดของมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) อาจารย์ขออธิบาย องค์ประกอบข้อหนึ่ง ที่ว่า การกระทำใด ๆ อันเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ซึ่ง 2 อนุมาตรานี้เป็นกรณีที่พิจารณาว่าจำเลยได้กระทำการใด ๆ บ้างตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ในมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) และ (๒) โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น
9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง (1) สิทธิในการผลิตผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร (2) สิทธิในการใช้ผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ต้องดูว่ามีการกระทำหรือไม่ ในบางครั้งบางคดีจำเลยรับว่าจำเลยผลิตจริง แต่ต่อสู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่จำเลยผลิตนั้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หรือ กรรมวิธีตามสิทธิบัตร จำเลยยอมรับว่ามีการกระทำจริงตามองค์ประกอบข้อหนึ่ง แต่จำเลยต่อสู้ว่าผลิตภัณฑ์ หรือกรรมวิธีที่ละเมิด ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร หรือกรรมวิธีตามสิทธิบัตรที่จดสิทธิบัตรไว้ ซึ่งหากมีกรณี เช่นนี้ เราจะต้องมาพิจารณาในประเด็นที่ 2 ว่า ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีที่ละเมิดนี้เป็นผลิตภัณฑ์ตาม สิทธิบัตรหรือกรรมวิธีตามสิทธิบัตรหรือไม่ ซึ่งในมาตรา 36 ประกอบมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง และมาตรา 36 ทวิวรรคสอง กล่าวคือ มาตรา มาตรา 36 ทวินี้มาขยายมาตรา 36 ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ผลิตภัณฑ์นั้น หรือกรรมวิธีนั้นเป็นผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีตามสิทธิบัตรหรือไม่ ซึ่งหลักการที่เรากล่าวแล้วว่า นอกจากมี การกระทำตาม องค์ประกอบข้อ 1 แล้ว ยังมีองค์ประกอบข้อ 2 ที่ว่า ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีที่ละเมิด ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรหรือกรรมวิธีตามสิทธิบัตร ซึ่งหากดูจากมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) ตอนท้าย ใช้คำว่า ซึ่งผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร และมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (2) ใช้คำว่า กรรมวิธีตามสิทธิบัตร และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตร จึงเป็นการละเมิด ซึ่งหากในคดีมีการโต้แย้งว่าผลิตภัณฑ์ หรือกรรมวิธีไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีตามสิทธิบัตร ศาลต้องพิจารณาต่อไปว่า ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธี ที่ละเมิดเป็นผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีการผลิตตามสิทธิบัตรหรือไม่ กล่าวโดยง่ายคือ เหมือนหรือไม่ ของ ละเมิดกับของที่จดสิทธิบัตรนั้นเหมือนกันหรือไม่ กล่าวโดยสรุปแล้ว ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีตามสิทธิบัตรหรือไม่นั้น ได้มีมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง กล่าวคือ ต้องอยู่ภายในขอบเขตที่ระบุในข้อถือสิทธิและมาตรา 36 ทวิ วรรคสอง บอกว่าแม้ไม่ได้ระบุในข้อ 1 สิทธิโดยเฉพาะเจาะจง แต่มีคุณสมบัติประโยชน์ใช้สอย และทำให้ เกิดผลทำนองเดียวกันก็เป็นการละเมิดได้ นักศึกษาอาจมองว่าประเด็นนี้ละเอียดเกินไป แต่ข้อสอบเนติฯ บัณฑิตเคยออกข้อสอบมาแล้วเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ตามมาตรา 36 ทวิวรรคสอง ซึ่งเดี๋ยวอาจารย์จะ ยกตัวอย่างข้อสอบให้ดู กลับมาดูองค์ประกอบข้อ 1 คือ มีการกระทำใด ๆ อันเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิบัตร ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) และมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (๒) โดยไม่ได้รับอนุญาต พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 36 วรรคหนึ่ง นักศึกษาต้องแยกว่าข้อเท็จจริงใน ข้อสอบเป็นสิทธิบัตรประเภทไหน ซึ่งตามมาตรา 36 เป็นสิทธิบัตรการผลิตผลิตภัณฑ์ ในมาตรา 36 วรรค หนึ่ง (1) คำว่า สิทธิแต่ผู้เดียวนั้น รองศาสตราจารย์ดร. จักรกฤษณ์ ควรพจน์ ได้อธิบายว่า คือการกระทำ ต่าง ๆ ตามมาตรา 36 (1) นี้ สิทธิเด็ดขาดตามสิทธิบัตรสำหรับผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) มี 6 ประเภท ได้แก่ 1. สิทธิในการผลิตผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร 2. สิทธิในการใช้ผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร 3. สิทธิในการขายผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร 4. สิทธิในการมีไว้เพื่อขายผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร
10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 5. สิทธิในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร 6. สิทธิในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร สิทธิประการแรก สิทธิในการผลิตผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร การผลิต คือ การทำขึ้นซึ่งผลิตภัณฑ์ในลักษณะอย่างเดียวกับที่ผู้ทรงสิทธิบัตรจดทะเบียนสิทธิบัตร ไว้ ทำขึ้นเหมือนกัน ทั้งนี้ไม่ว่าเป็นการทำผลิตภัณฑ์ขึ้นโดยวิธีการผลิตใด หมายความว่า ไม่ดูว่าใช้วิธีการหรือ กรรมวิธีอะไร แต่ถ้าผลิตออกมาแล้วผลิตภัณฑ์เหมือนกันก็เป็นการผลิต อย่าลืมว่าเรากำลังพิจารณาเรื่อง สิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (๑) และสิทธินี้ดูอย่างเดียวว่า ลักษณะเหมือนกันกับที่จดไว้หรือไม่ แต่ไม่ดูวิธีการว่าใช้วิธีการผลิตแบบไหน ซึ่งต่างจาก (2) เรื่องกรรมวิธี ซึ่งจะกล่าวต่อไป โดยในเรื่องของการผลิตผลิตภัณฑ์มีตัวอย่าง ถ้าเราซื้อผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรมาโดยชอบ ต่อมา ผลิตภัณฑ์ชำรุด ถามว่า ผู้ซื้อจะซ่อมแซมได้หรือไม่ การซ่อมแซมให้ดีดังเดิมจะเป็นการผลิตหรือไม่ เป็นการละเมิด หรือไม่ ตอบ กรณีแรก การซ่อมแซมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ใช้การได้ดีดังเดิม ไม่น่าจะเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นการละเมิด เพราะการซ่อมแซมไม่ได้เป็นการรบกวนขัดสิทธิในอันจะแสวงหาประโยชน์ของผู้ทรง สิทธิบัตรแต่ประการใด ผู้ซื้อเพียงแต่ทำให้ผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรกลับมาใช้งานได้ดีดังเดิม ซึ่งเป็นกรณี ซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ที่ชำรุดให้ดีเหมือนเดิม กรณีที่ 2 การซ่อมแซมต้องไม่ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่ กล่าวคือ ไม่ไปเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ ของตัวผลิตภัณฑ์เช่น เข้าไปดัดแปลงผลิตภัณฑ์ให้ต่างไปจากเดิม เช่น ดัดแปลงรถเข็นไฟฟ้าให้วิ่งเร็วขึ้น หรือใช้พลังงาน การซ่อมแซมแบบนี้อาจารย์เห็นว่าเป็นการผลิต และเป็นการละเมิดแล้ว ซึ่งต่างจากกรณี ซ่อมแซมที่ให้ใช้งานได้เหมือนเดิม กรณีที่ 3 หากผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรเกิดชำรุดเสียหาย บุบสลายไปทั้งหมด เจ้าของผลิตภัณฑ์ได้ ทำผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่ให้เหมือนเดิม เช่น รถเข็นไฟฟ้าถูกไฟไหม้เสียหายหมด นาย ก ทำรถเข็นขึ้นใหม่ ดังนี้ ไม่ใช่การซ่อมแซม แต่เป็นการผลิตผลิตภัณฑ์เป็นการละเมิด ระบบสลายไปแล้วเราไปทำขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องการผลิต มีข้อสังเกตว่า กรณีที่ ๑ การซ่อมแซมที่ได้กล่าวไปแล้ว ที่ไม่เป็นการละเมิดนั้น จะต้องเป็นการ ซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาโดยถูกกฎหมาย แต่หากไปซื้อผลิตภัณฑ์ที่ละเมิดกฎหมายมา การซ่อมแซมทุก กรณีย่อมเป็นการละเมิดทุกกรณีและเข้าความหมายแรก คือ คำว่า ผลิต กรณีที่ 2 การนำผลิตภัณฑ์ไปใช้ประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งอันเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการ ประดิษฐ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เช่น การนำเครื่องดูดฝุ่นที่มีสิทธิบัตรไป ใช้ดูดฝุ่น ในความเห็นของอาจารย์เห็นว่า การใช้ที่จะเป็นการละเมิดสิทธิบัตรต้องเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำ ขึ้นโดยละเมิดเท่านั้น ตัวอย่างเช่น นาย ก. ผลิตเครื่องโกนหนวด มีสิทธิบัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต และต่อมา ขายให้นาย ข. นาย ข. ซื้อเครื่องโกนหนวดที่ละเมิดมา และนำมาใช้ นาย ก. ละเมิดโดยการผลิตและนำมา
11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ขายส่วนนาย ข. ละเมิดโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นกรณีที่นาย ข. ซื้อของละเมิดมา แล้วนำมาใช้ จึงเป็น การละเมิดโดยการใช้ตามความหมายที่ 2 อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นกรณีที่อยู่ในมาตรา 36 วรรคสอง (7) เรื่องหลักการสูญสิ้น หรือสิ้นสิทธิ ในกรณีนี้เช่น หากการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทำขึ้นหรือจำหน่ายโดยชอบ เช่น นาย ข ซื้อเครื่องโกนหนวดที่ผลิต หรือจำหน่ายโดยผู้ทรงสิทธิบัตร นาย ข มีสิทธิใช้เครื่องโกนหนวดดังกล่าวได้เพราะเป็นสิทธิในการใช้ ผลิตภัณฑ์ของผู้ทรงสิทธิที่เหนือผลิตภัณฑ์นั้น และระงับสิ้นไปตามหลักของการระงับไปซึ่งสิทธิ ตามมาตรา 36 วรรคสอง (7) ซึ่งเป็นสิทธิประการที่ 2 สิทธิการใช้ผลิตภัณฑ์ สิทธิประการที่ 3 สิทธิในการขายผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร ความหมายของคำว่า ขาย ตามมาตรา 36 หมายถึง การซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเพื่อแลก กับราคา การขายโดยปราศจากความยินยอมของผู้ทรงสิทธิย่อมเป็นละเมิด โดยไม่คำนึงว่าผลิตภัณฑ์นั้น ผลิตโดยบุคคลใด ไม่ว่าผลิตโดยละเมิดหรือไม่ละเมิด เนื่องจากสิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิบัตร เป็นสาระสิทธิ สิทธิการผลิตแยกออกจากสิทธิในการขาย แม้ว่าผู้ทรงสิทธิอนุญาตให้นาย ก. ผลิต แต่ไม่ได้ อนุญาตให้นาย ก. ขาย หากนาย ก. นำไปขายโดยไม่ได้รับอนุญาต นาย ก. ละเมิดโดยการขาย การขายนี้ รวมถึงการซื้อเงินผ่อน การแลกเปลี่ยน การเช่าซื้อ เพราะธุรกรรมเหล่านี้นำไปสู่การโอนกรรมสิทธิ์ แต่การ ทำนิติกรรมที่ไม่โอนกรรมสิทธิ์ ไม่เป็นการละเมิด เพราะไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไร แต่การให้สินค้า ตัวอย่าง น่าจะเป็นการละเมิด เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจการค้า ซึ่งมีผลเป็นการรบกวนสิทธิของ ผู้ทรงสิทธิ กรณีเรื่องการแถม ปัญหาว่า การแถมจะเป็นการขายด้วยหรือไม่ ตอบคือ การแถมผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร จะอยู่ในความหมายของการขายหรือไม่ อยากให้ตีความ ตามหลักเกณฑ์ที่เราวางไว้กล่าวคือ 1. การแถมเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจการค้าหรือไม่ ๒. การแถมเป็นการรบกวนขัดสิทธิ ในอันที่จะแสวงหาประโยชน์ของผู้ทรงสิทธิบัตรหรือไม่ ซึ่งจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ในข้อแรก การแถมเป็นส่วนหนึ่งของธุรกรรมการขาย เพราะถ้าไม่มีการขายสินค้าหลักก็ไม่อาจอ้างให้มีการแถมผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรได้ และอีกประการหนึ่งการ ขายยังโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าหลักและโอนกรรมสิทธิ์ในของแถม ในความหมายนี้ การแถมจึงเป็นการขาย ส่วนในประเด็นที่ 2 หากพิจารณาในแง่ของการรบกวนขัดสิทธิของผู้ทรงสิทธิเจตนารมณ์ของ กฎหมายสิทธิบัตรตามมาตรา 36 ประสงค์ให้ผู้ทรงสิทธิมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการแสวงหาประโยชน์ทางการค้า จากการประดิษฐ์นั้น เพราะฉะนั้นการแถมของที่ละเมิดย่อมทำให้เจ้าของสิทธิบัตรไม่อาจขายผลิตภัณฑ์ของ ตนหรือขายได้น้อยลง และทำให้ไม่ได้รับผลประโยชน์เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้การแถมจึงเป็นการรบกวนขัด สิทธิของผู้ทรงสิทธิ และเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการประดิษฐ์ของผู้อื่น ในประเด็นที่ 3 เรามาดูว่าการแถมเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย เพราะเมื่อผู้ขายถูกจับ ผู้ขายก็จะอ้าง ว่าไม่ได้เป็นการขาย แต่เป็นการแถม ซึ่งเป็นการอ้าง โดยผู้ขายอาจรวมราคาผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแถมไว้กับ สินค้าหลักแล้ว
12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประการสุดท้าย การแถมทำให้งานที่ละเมิดสิทธิบัตรแพร่หลายออกไปในท้องตลาด เป็นอันตรายต่อ ผู้บริโภค จึงสรุปได้ว่า ถ้าตีความว่าการแถมไม่ใช่การขาย ก็จะเป็นการส่งเสริมให้มีการละเมิดมากยิ่งขึ้น โดยอาศัยช่องว่างของกฎหมาย ซึ่งเป็นคำอธิบายว่า การแถมเป็นการขาย อย่างไรก็ตามมีข้อสอบผู้ช่วย ผู้พิพากษาออกในประเด็นนี้แต่ออกในธงคำตอบว่า การแถมไม่ใช่การขาย ตัวอย่าง บริษัททิม จำกัด ได้รับอนุสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ที่เปิดขวดไวน์จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา แล้ว เมื่อปี 2550 และได้ผลิตสินค้าที่เปิดขวดไวน์ตามอนุสิทธิบัตรดังกล่าวออกจำหน่ายในประเทศไทย จนแพร่หลาย ต่อมาในปี 2552 บริษัทเอก จำกัด ขายสินค้าตู้เย็นโดยแถมสินค้าที่เปิดขวดไวน์ซึ่งมีผู้อื่นผลิต ให้เหมือนกับสินค้าที่เปิดขวดไวน์ตามข้อถือสิทธิในอนุสิทธิบัตรของ บริษัททิม จำกัด บริษัททิม จำกัด จึงฟ้องบริษัทเอก จำกัด ว่าบริษัทเอก จำกัด ละเมิดอนุสิทธิบัตร ผลิตภัณฑ์ที่เปิดขวดไวน์ของบริษัท ทิม จำกัด โดยการแถมสินค้าที่เปิดขวดไวน์ดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อจำนวนมาก บริษัทเอก จำกัด ให้การต่อสู้ว่า การแถมสินค้าดังกล่าวไม่ใช่การขายผลิตภัณฑ์ตามอนุสิทธิบัตร ที่จะเป็นการละเมิดอนุสิทธิบัตร และฟ้อง แย้งขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรดังกล่าว เพราะการประดิษฐ์ ตามอนุสิทธิบัตรนั้นไม่ใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ บริษัททิม จำกัด ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ที่เปิดขวดไวน์ของบริษัททิม จำกัด เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ และบริษัทเอก จำกัด ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตร ดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรนั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตร นั้นเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วก่อนวันที่บริษัททิม จำกัด ยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ที่เปิดขวดไวน์ ดังกล่าว ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ตามคำให้การของ บริษัทเอก จำกัด และข้อต่อสู้ตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งของ บริษัททิม จำกัด ดังกล่าว ฟังขึ้นหรือไม่ ธงคำตอบ พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 ทศ บัญญัติให้นำบทบัญญัติในเรื่อง สิทธิบัตรการประดิษฐ์มาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ ตามมาตรา 36 ดังนั้น บริษัททิม จำกัด ผู้ทรงอนุสิทธิบัตรเท่านั้นที่มีสิทธิในการผลิต ใช้ ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ตามอนุสิทธิบัตร การที่บริษัทเอก จำกัด นำสินค้า ที่เปิดขวดไวน์ที่มีผู้ทำขึ้นเหมือนกับข้อถือสิทธิตามอนุสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ของบริษัททิม จำกัด มาใช้แถม ในการขายสินค้าตู้เย็นของตนนั้น เป็นเพียงการส่งเสริมการขายตู้เย็น จึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่จะถือได้ว่าเป็นการกระทำถึงขนาดที่จะเป็นการขายสินค้าที่เปิดขวดไวน์ การขาย เสนอขาย หรือมีไว้เพื่อขายสินค้าที่เปิดขวดไวน์ จึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิแต่ผู้เดียว บริษัททิม จำกัด ที่มีอยู่ตามอนุสิทธิบัตร การกระทำของบริษัทเอก จำกัด จึงไม่เป็นการละเมิดอนุสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ที่เปิด ขวดไวน์ของบริษัททิม จำกัด ตามมาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 36 (1) ข้อต่อสู้ตามคำให้การของบริษัท เอก จำกัด ข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อการประดิษฐ์ที่เปิดขวดไวน์ตามอนุสิทธิบัตรของบริษัททิม จำกัด เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วก่อน วันที่บริษัททิม จำกัด ยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตร จึงไม่ใช่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ที่จะขอรับอนุสิทธิบัตรได้
13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 ทวิ (1) และมาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 6 วรรคหนึ่ง ข้อต่อสู้ตามคำให้การของบริษัทเอก จำกัด ข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน ผู้มีส่วนได้เสียที่จะขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรได้นั้น หมายถึง บุคคล ซึ่งการคงมีอยู่ของอนุสิทธิบัตร นั้นเป็นเหตุให้ตนไม่อาจใช้สิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรงอนุสิทธิบัตร ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 36 ได้ แต่เมื่อบริษัทเอก จำกัด ขายสินค้าตู้เย็น ไม่ได้ประกอบการผลิต และจำหน่ายซึ่งสินค้าที่เปิดขวดไวน์ บริษัทเอก จำกัด ย่อมไม่ได้รับผลกระทบจากการคงมีอยู่ของ อนุสิทธิบัตรของบริษัททิม จำกัด และไม่ได้รับผลกระทบต่อสิทธิในการแสวงหาประโยชน์ในกิจการตามปกติ ของบริษัทเอก จำกัด โดยตรง บริษัทเอก จำกัด จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรของ บริษัททิม จำกัด ได้ตามมาตรา 65 นว วรรคสอง ข้อต่อสู้ตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งของบริษัททิม จำกัด ฟังขึ้น (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3787/2555) สิทธิประการที่ ๔ สิทธิในการมีไว้เพื่อขายผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร การมีไว้เพื่อขาย หมายถึง การ เก็บรักษาหรือมีไว้ในครอบครอง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำผลิตภัณฑ์นั้นออกขายต่อไป เช่น เก็บสินค้าที่ นำมาไว้ในโกดังเตรียมไว้ขาย สิทธิประการที่ 5 สิทธิในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร การเสนอขาย หมายถึงการเสนอ สินค้าแก่ผู้อื่น เมื่อผู้ซื้อสินค้า เช่น การวางจำหน่ายในตลาด หรือการส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งการเสนอขายน่าจะ รวมถึงการทำนิติกรรม ที่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์อื่น เช่น เช่าซื้อ เสนอ แลกเปลี่ยน การให้เช่ารถยนต์ไม่มี การโอนกรรมสิทธิ์ไม่เป็นการเสนอขาย สิทธิประการที่ 6 สิทธิในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรสิทธิโดยการ นำสินค้าต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้ผู้ทรงสิทธิผูกขาดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรได้ ไม่ต้องแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตกับต่างประเทศ การนำเข้าแตกต่างกับการมีไว้เพื่อขาย เพราะการนำเข้า ละเมิดทุกกรณีไม่ว่านำเข้าโดยวัตถุประสงค์ใด แม้ว่าเป็นการนำเข้าเพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัว แต่การมีไว้เพื่อ ขายเป็นการละเมิด เมื่อมีวัตถุประสงค์ว่ามีไว้เพื่อนำออกขาย ในเรื่องการนำขายนี้กรณีที่จะเป็นการละเมิด สิทธิบัตร ต้องเป็นการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ละเมิด ขอย้ำว่าผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ละเมิด ที่ จำหน่ายโดยบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่ผู้ทรงสิทธิบัตรและผู้จำหน่ายหรือผู้จำหน่ายไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ทรง สิทธิบัตร แต่ถ้าเป็นกรณีสินค้าที่นำเข้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้ทรงสิทธิบัตร หรือผู้นำออกจำหน่ายรู้เห็นยินยอมให้ นำออกจำหน่าย เช่นนี้ก็ไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดเนื่องจากสิทธิบัตร สิทธิตามสิทธิบัตรเหนือสินค้าดังกล่าว ระงับสิ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นหลักของเรื่องการระงับไปซึ่งสิทธิตามมาตรา 36 วรรคสอง (7) ต่อไปมาดูเรื่องสิทธิตามสิทธิบัตรกรรมวิธี ตามมาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง (๒) ในกรณีสิทธิบัตรกรรมวิธี สิทธิในการใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตร ผลิตใช้ ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่ง ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตร ซึ่งตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (2) นี้ ผู้ทรงสิทธิบัตรในกรรมวิธีมีสิทธิเด็ดขาด 2 ประการคือ 1. สิทธิเด็ดขาดเหนือกรรมวิธีตามสิทธิบัตร 2. สิทธิเด็ดขาดเหนือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตร