38 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กรณีที่ 2 สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิแต่ผู้เดียว มีลักษณะกึ่งเด็ดขาด คือ สัญญาที่เจ้าของเครื่องหมาย การค้าอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ ใช้เครื่องหมายการค้า และตัดสิทธิให้ผู้อื่น แต่ตัวเจ้าของเครื่องหมายการค้า สามารถใช้เครื่องหมายการค้านั้นได้ กรณีที่ 3 สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิโดยเด็ดขาด (Exclusive License Agreement) เป็นการทรงสิทธิ เสมือนว่าผู้รับอนุญาตใช้สิทธิ์ได้แบบเดียวกับเจ้าของเครื่องหมายการค้า เพราะหมายถึงสัญญาที่เจ้าของ เครื่องหมายการค้าอนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าของตนแต่ผู้เดียวเท่านั้น โดยที่เจ้าของ เครื่องหมายการค้าเองก็ไม่มีสิทธิ เป็นกรณีที่ห้ามทุกคน รวมถึงห้ามตัวเจ้าของเครื่องหมายการค้าด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า ฎีกาที่ 15233/2553 ข้อสัญญาที่โจทก์ตกลงให้สิทธิจำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการสถานีบริการน้ำมัน ของโจทก์ภายใต้ชื่อทางการค้าว่า "เอสโซ่" นั้น ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายในสถานีบริการน้ำมันเป็น สินค้าของโจทก์ แม้จะมีการใช้เครื่องหมายการค้า "เอสโซ่" ก็เป็นการใช้เครื่องหมายการค้าโดยโจทก์เอง มิใช่ กรณีที่จำเลยที่ 1 จัดหาสินค้าเองแล้วนำเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาใช้กับสินค้าของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด สัญญาให้ใช้สิทธิดำเนินการสถานีบริการน้ำมันดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า แม้จะไม่ จดทะเบียนต่อนายทะเบียนก็หาตกเป็นโมฆะไม่ ขอบเขตและระยะเวลาการอนุญาต ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า มีสิทธิที่จะใช้ เครื่องหมายการค้านั้นได้ทั่วประเทศและตลอดอายุการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น รวมทั้งระยะเวลา การต่ออายุเครื่องหมายการค้าด้วย เว้นแต่สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น (มาตรา 78) การโอนการอนุญาตและการอนุญาตช่วง ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า จะโอนการอนุญาตให้แก่บุคคลภายนอกไม่ได้และจะอนุญาต ช่วงให้บุคคลอื่นใช้เครื่องหมายการค้านั้นอีกทอดหนึ่งก็ไม่ได้ เว้นแต่สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าจะ ได้ให้อำนาจไว้ (มาตรา 79) ในกรณีที่สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น สัญญาอนุญาตให้ใช้ เครื่องหมายการค้าย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุการโอนหรือรับมรดกสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่มีการทำ สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้านั้น (มาตรา 79/1) มาตรา 46 การฟ้องคดีบุคคลใดจะฟ้องคดี เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้ จดทะเบียน หรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดสิทธิดังกล่าวไม่ได้ บทบัญญัติมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน ในอัน ที่จะฟ้องคดีบุคคลอื่นซึ่งเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น กรณีเจ้าของเครื่องหมายการค้า เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องคดีเพื่อห้ามมิให้ทำละเมิดใน อนาคต หรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดสิทธิของตนได้ (มาตรา 46 วรรคหนึ่งแปลความกลับ)
39 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ในส่วนเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนจึงไม่มีสิทธิดังกล่าว เว้นแต่จะมีการลวงขาย (passing off) (มาตรา 46 วรรคสอง) ***จบการบรรยาย***
pg. 1 สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ ๑/๗๖ วิชา กฎหมายทรัพย์สินปัญญา (ลิขสิทธิ์) (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ บรรยายวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๖ (ครั้งที่ 4) (สัปดาห์ที่ ๑๒) สวัสดีครับนักศึกษา ในการบรรยายกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเรื่องลิขสิทธิ์ อาจารย์ก็จะสอนกับ อาจารย์ธรรมนูญ โดยอาจารย์จะรับผิดชอบบรรยายในเรื่องของลิขสิทธิ์ทั้งหมดสามครั้งในเรื่องของโครงสร้าง ของกฎหมาย องค์ประกอบของงานลิขสิทธิ์ และงานลิขสิทธิ์แต่ละประเภทเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงฎีกาในเรื่อง เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์รวมถึงข้อยกเว้นที่น่าสนใจ พร้อมทั้งบรรยายข้อแตกต่างระหว่างกฎหมายทรัพย์สิน ทางปัญญาประเภทต่าง ๆ ด้วย สำหรับกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์นั้น ปัจจุบันมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมจนถึงฉบับที่ห้าแล้ว โดยได้มีการแก้ไขในปีพ.ศ. ๒๕๖๕ กฎหมายลิขสิทธิ์คือ ทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่เป็นสิทธิในลักษณะผูกขาดซึ่งมอบให้กับตัว เจ้าของลิขสิทธิ์ ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญานั้นแบ่งออกได้เป็นสองประเภทใหญ่คือ ๑. ทรัพย์สินอุตสาหกรรม หรือก็คือทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เช่น สิทธิบัตร หรือเครื่องหมายการค้า รวมถึงความลับทางการค้า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์และชื่อทางการค้าด้วย ๒. ลิขสิทธิ์ลิขสิทธิ์นั้นเป็นสิทธิที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับสิทธิข้างเคียง สิทธิข้างเคียงนั้นหมายถึงสิทธิ ข้างเคียงของลิขสิทธิ์ โดยสิทธิข้างเคียงของกฎหมายลิขสิทธิ์ที่กฎหมายไทยยอมรับในขณะนี้มีเพียงเรื่องเดียว คือ สิทธิของนักแสดง ข้อแตกต่างระหว่างทรัพย์สินทางปัญญาและทรัพยสิทธิ ทรัพย์สินทั่วไปก็จะประกอบไปด้วยสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ ส่วนสิทธิที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินก็คือทรัพยสิทธิ แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาก็ จะแยกออกมาเป็นเรื่องของ “สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา” ต่างหาก ทรัพยสิทธินั้น ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๙๘ บัญญัติว่า “บรรดาทรัพยสิทธิทั้งหลาย ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น” เมื่อกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ จึงมีการถกเถียงกันว่า “กฎหมายอื่น” นั้นหมายถึงกฎหมายอะไร หมายความรวมถึงกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน ทางปัญญาหรือไม่ เพราะถ้าหากรวมถึงกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาย่อม เป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่ง แต่ ณ เวลานี้ได้ข้อยุติแล้วว่า ทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ รวมถึงลิขสิทธิ์นั้นไม่ใช่ทรัพยสิทธิ เพราะ ทรัพย์สินทางปัญญาและทรัพยสิทธินั้นมีข้อแตกต่างกันดังนี้ ๑. ระยะเวลาคุ้มครอง ทรัพยสิทธิ เช่น กรรมสิทธิ์นั้นจะมีอยู่ตลอดไปจนกว่าทรัพย์สินนั้นจะถูกทำลาย หรือสูญสลายไป แต่สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาจะมีระยะเวลาคุ้มครองที่จำกัด หากอยู่ภายในระยะเวลาที่ คุ้มครอง ไม่ว่าตัวทรัพย์สินจะสูญสลายไปหรือไม่ แต่ก็ยังได้รับความคุ้มครองในด้านทรัพย์สินทางปัญญา เหตุที่ ทรัพย์สินทางปัญญาต้องมีระยะเวลาคุ้มครองที่จำกัด ก็เพราะขอบเขตการใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญานั้น ค่อนข้างกว้าง ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตัววัตถุแห่งสิทธิเท่านั้น เช่น เราซื้อหนังสือมาหนึ่งเล่ม เราย่อมเป็นเจ้าของ
pg. 2 กรรมสิทธิ์ในหนังสือเล่มดังกล่าว ความเป็นกรรมสิทธิ์ในหนังสือเล่มนั้น ก็จะคงมีอยู่ตลอดไปจนกว่าหนังสือเล่ม นั้นจะถูกทำลาย แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม แม้หนังสือเล่มนั้นจะถูกทำลายไป แต่ตราบใด ที่เราเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ เราก็สามารถทำซ้ำงานขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งลิขสิทธิ์นั้นเป็นสิทธิที่มีลักษณะผูกขาด ขอบเขตของความคุ้มครองในเรื่องของลิขสิทธิ์จึงกว้างกว่ากรรมสิทธิ์ กฎหมายจึงจำกัดระยะเวลาคุ้มครองไว้ ๒. มูลค่าทางเศรษฐกิจและลักษณะการผูกขาด สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาสามารถนำสิทธินั้นไป ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ หรือทำซ้ำเพื่อจำหน่ายได้ หรือเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ แต่ทรัพยสิทธิหรือกรรมสิทธิ์นั้น จะมีความเป็นเจ้าของในตัวทรัพย์สินเท่านั้น ๓. ความคุ้มครองเฉพาะแต่ละประเทศ ทรัพยสิทธิสามารถใช้ยันคนได้ทั่วโลก แต่สิทธิในทรัพย์สินทาง ปัญญาโดยหลักแล้วเป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองเฉพาะในแต่ละประเทศ เว้นแต่จะได้เข้าร่วมในภาคีซึ่งมี ข้อตกลงในการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญากรุงเบิร์นซึ่งเป็น อนุสัญญาที่คุ้มครองลิขสิทธิ์ หากแต่ละประเทศต่างเป็นภาคี ประเทศที่เข้าเป็นภาคีก็จะให้ความคุ้มครองในงาน ลิขสิทธิ์ของประเทศสมาชิก ดังนั้นถ้ามีการสร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์ในประเทศที่เข้าเป็นภาคีการสร้างสรรค์งาน ดังกล่าวก็จะได้รับความคุ้มครองตามอนุสัญญา ความหมายของลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔ “ลิขสิทธิ์” หมายความว่า สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะ ทำการใด ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ข้อพิจารณา คำว่า “ผู้เดียวกันนี้” ตามตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔ หมายถึงผู้สร้างสรรค์งาน ลิขสิทธิ์ แต่เจ้าของลิขสิทธิ์นั้นอาจเป็นผู้สร้างสรรค์หรือไม่ก็ได้ เช่น การไปจ้างคนให้วาดภาพ ผู้จ้างก็จะจ่ายค่า สินจ้างให้ผู้วาด จะเห็นได้ว่าผู้วาดเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน เมื่อวาดภาพเสร็จแล้วก็จะต้องส่งงานให้แก่ผู้ว่าจ้าง ผู้ว่าจ้างก็จะกลายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ จะเห็นได้ว่าผู้สร้างสรรค์และเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นเป็นคนละคนกัน แต่กรณี ที่นักวาดเป็นผู้สร้างสรรค์งานอิสระไม่ได้รับจ้างวาดภาพ กรณีเช่นนี้นักวาดก็จะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และเป็นผู้ สร้างสรรค์ผลงานด้วย ซึ่งสิทธิของผู้สร้างสรรค์และสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นมีความแตกต่างกัน เนื่องจาก ลิขสิทธิ์นั้นหมายถึงสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ เพียงแต่ ลิขสิทธิ์นั้นเป็นสิทธิที่เกิดจากงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ฉะนั้น “สิทธิแต่ผู้เดียว” ดังกล่าว จึงเป็นสิทธิของ เจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นอาจไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์ผลงานก็ได้ “สิทธิแต่ผู้เดียว” หรือสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๑๕ ซึ่งได้กำหนดไว้เลยว่าสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นมีอะไรบ้าง มีข้อสังเกตอยู่ว่า งานที่จะได้รับการคุ้มครองตามลิขสิทธิ์นั้น จะต้องเป็นงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ สร้างสรรค์ขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์จะได้รับความคุ้มครองตามลิขสิทธิ์ กล่าวคือ งานที่ผู้ สร้างสรรค์ได้ทำขึ้นจะต้องเป็นงานที่กฎหมายได้รับรองว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ด้วย จึงจะได้รับความคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ งานอันมีลิขสิทธิ์ที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์นั้นบัญญัติอยู่ในมาตรา ๖ อันได้แก่ งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ หรืองานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ ของผู้สร้างสรรค์
pg. 3 ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด ซึ่งคำจำกัดความของงานแต่ละประเภทนั้นบัญญัติอยู่ ในมาตรา ๔ แต่การคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่ครอบคลุมถึงความคิด หรือขั้นตอน กรรมวิธีหรือระบบ หรือวิธีใช้หรือทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ความแตกต่างระหว่างกรรมสิทธิ์และลิขสิทธิ์ กรรมสิทธิ์นั้นเป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่ง ส่วนลิขสิทธิ์นั้นเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง โดย กรรมสิทธิ์นั้นเกิดขึ้นจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนลิขสิทธิ์นั้นเกิดขึ้นจากพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ตัวอย่างความแตกต่างระหว่างลิขสิทธิ์และกรรมสิทธิ์ สมมุติว่านักศึกษาไปซื้อภาพวาดมาหนึ่งภาพ นักศึกษาย่อมมีกรรมสิทธิ์ในภาพวาดดังกล่าว แต่ นักศึกษาจะเอาภาพวาดนั้นไปทำซ้ำเพื่อไปพิมพ์เป็นโปรสการ์ดขายไม่ได้ เพราะการซื้อภาพวาดมานั้นสิ่งที่ นักศึกษาได้มาก็คือกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่ง แต่ในการซื้อภาพวาดนั้นนักศึกษาไม่ได้รับลิขสิทธิ์ มาด้วย เพราะในการซื้อขายนั้นไม่ได้มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิต่างๆ ในการซื้อขายภาพวาดดังกล่าว จึงเป็นเพียง การโอนกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของมาให้นักศึกษาเท่านั้น ซึ่งนักศึกษาก็จะมีสิทธิใช้ภาพวาดดังกล่าวอย่าง เจ้าของกรรมสิทธิ์คือ สามารถนำไปขายต่อได้ แต่เราไม่สามารถนำภาพวาดดังกล่าวไปใช้ในเชิงลิขสิทธิ์ได้ สิทธิที่สำคัญของลิขสิทธิ์ประการหนึ่งก็คือ สิทธิในการทำซ้ำหรือดัดแปลงชิ้นงาน เช่นการนำเอาภาพ ดังกล่าวไปพิมพ์ซ้ำเป็นโปสการ์ดเพื่อขาย สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้นถ้า นักศึกษาซื้อด้วยการโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น นักศึกษาก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเอาภาพดังกล่าวไปทำซ้ำ หากนักศึกษา ซื้อภาพดังกล่าวมาแล้วเอาไปทำซ้ำ ผลก็คือย่อมเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้รับมอบอำนาจ ย่อมมีอำนาจฟ้องนักศึกษาเพื่อดำเนินคดีได้ ฎีกาที่ ๒๒๑๙/๒๕๓๑ โจทก์ร่วมขายภาพวาดสีน้ำมันขนาด ๑๒ นิ้วฟุตคูณ ๑๕ นิ้วฟุตอันเป็นงาน จิตรกรรมซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม ราคาเพียงภาพละ ๓๐๐ บาท ให้ อ. และ ม. ดังนี้ เชื่อได้ว่าโจทก์ร่วม ขายภาพดังกล่าวเป็นภาพ ๆ ไป หาได้ขายลิขสิทธิ์ในภายให้ไปด้วยไม่ ถ้าโจทก์ร่วมอนุญาตให้นำภาพดังกล่าว ไปพิมพ์ได้ก็จะต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้เมื่อจำเลยที่ ๑ที่ ๒ ได้ทำซ้ำซึ่งภาพวาดนั้นเป็นบัตรอวยพร ปีใหม่ ออกจำหน่ายแก่ประชาชนโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วม จึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม ฎีกาที่ ๔๐๗๖/๒๕๓๓ จำเลยทั้งสองซื้อภาพพิพาทไปจากโจทก์ทั้งสองโดย โจทก์ทั้งสองไม่เคยขาย ลิขสิทธิ์ในภาพพิพาทให้จำเลยทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองนำภาพที่ซื้อจากโจทก์ทั้งสองไปพิมพ์บัตรอวยพรปี ใหม่จำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสองถือว่าจำเลยทั้งสองละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง สิทธิข้างเคียง ลิขสิทธิ์นั้นจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับสิทธิข้างเคียง ซึ่งสิทธิข้างเคียงก็คือสิทธิที่พ่วงไปกับลิขสิทธิ์ กล่าวคือ เป็นสิทธิหรือเป็นงานที่สืบเนื่องจากงานอันมีลิขสิทธิ์ ซึ่งสิทธิข้างเคียงที่กฎหมายไทยรองรับนั้นมีอยู่เพียงสิทธิ เดียวคือสิทธิของนักแสดง โดยมีการบัญญัติให้ความคุ้มครองเป็นพิเศษอยู่ในหมวดที่สอง มาตรา ๔๔ ถึงมาตรา ๕๓ ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ เหตุผลที่กฎหมายให้ความคุ้มครองสิทธิของนักแสดงนั้น ก็เพราะ สิทธิของนักแสดงนั้นเป็นสื่อกลาง ระหว่างงานลิขสิทธิ์กับสาธารณะชน เพราะงานอันมีลิขสิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นนวนิยายหรือบทเพลงจะสามารถดัง ขึ้นมาได้ก็ด้วยการเผยแพร่ ตัวอย่างเช่น จะต้องมีการนำนวนิยายไปทำเป็นบทละคร แล้วเลือกนักแสดง เพื่อให้
pg. 4 นักแสดงนำภาพและความรู้สึกของตัวละครในนวนิยายออกมาแสดงเผยแพร่ต่อสาธารณะชน หรือกรณีที่มีการ เขียนเพลงขึ้นมาหนึ่งเพลง การจะทำให้เพลงดังกล่าวเป็นที่รู้จักขึ้นมาได้ก็จะต้องนำไปให้นักร้องเป็นผู้ขับร้อง และเผยแพร่ต่อสาธารณชน ดังนั้นกฎหมายจึงมองว่าสิทธิของนักแสดงจึงเป็นสิทธิที่ควรจะได้รับความคุ้มครอง เพราะเป็นสิทธิที่เป็นสื่อกลางระหว่างงานลิขสิทธิ์และสาธารณะชน อย่างไรก็ตาม กฎหมายย่อมให้ความคุ้มครองแก่เจ้าของลิขสิทธิ์มากกว่านักแสดง นักแสดงจึงได้รับ ความคุ้มครองตามกฎหมายไม่เท่ากับตัวของเจ้าของลิขสิทธิ์ เพราะสิทธิของนักแสดงนั้นเป็นเพียงสิทธิข้างเคียง ของลิขสิทธิ์เท่านั้น ตามมาตรา ๔ “นักแสดง” หมายความว่า ผู้แสดง นักดนตรี นักร้อง นักเต้น นักรำ และผู้ซึ่งแสดง ท่าทาง ร้อง กล่าว พากย์ แสดงตามบทหรือในลักษณะอื่นใด สิทธิของนักแสดงนั้นมาตรา ๔๔ บัญญัติว่า “นักแสดงย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการกระทำอันเกี่ยวกับ การแสดงของตน ดังต่อไปนี้ (๑) แพร่เสียงแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งการแสดง เว้นแต่จะเป็นการแพร่เสียงแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนจากสิ่งบันทึกการแสดงที่มีการบันทึกไว้แล้ว (๒) บันทึกการแสดงที่ยังไม่มีการบันทึกไว้แล้ว (๓) ทำซ้ำซึ่งสิ่งบันทึกการแสดงที่มีผู้บันทึกไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนักแสดงหรือสิ่งบันทึกการแสดง ที่ได้รับอนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์อื่น หรือสิ่งบันทึกการแสดงที่เข้าข้อยกเว้นการละเมิดสิทธิของนักแสดงตาม มาตรา ๕๓” มีประเด็นว่า สิทธิของนักแสดงนั้น เมื่อมีการแสดงแล้วจะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิของนักแสดง เมื่อใด ในเรื่องนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ฉะนั้น การได้รับความคุ้มครองของนักแสดงจึงต้องพิจารณา จากคำพิพากษาของศาลฎีกา ศาลฎีกาวางหลักว่า สิทธินักแสดงเป็นสิทธิข้างเคียงของลิขสิทธิ์ แม้จะอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่า ด้วยลิขสิทธิ์เช่นกัน แต่ก็มิใช่สิทธิอย่างเดียวกับลิขสิทธิ์ ฎีกาที่ ๕๐๓๓/๒๕๕๒ มาตรา ๗๘ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นบทเฉพาะกาลที่ บัญญัติขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์แก่งานที่จัดทำขึ้นก่อนวันที่ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ใช้บังคับและไม่ มีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมฯ หรือ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ แต่เป็นงานที่ได้รับ ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งเห็นได้ว่า บทบัญญัติมาตรา ๗๘ ทั้งวรรคหนึ่งและ วรรคสองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ แต่สิทธินักแสดงเป็นสิทธิข้างเคียงของลิขสิทธิ์ ซึ่งแม้จะอยู่ ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์เช่นกัน แต่ก็มิใช่สิทธิอย่างเดียวกับลิขสิทธิ์ นอกจากนี้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ยังได้บัญญัติแยกลิขสิทธิ์ไว้ในหมวด ๑ และสิทธินักแสดงไว้ในหมวด ๒ ทั้งเมื่อประสงค์ให้ใช้บังคับ บทบัญญัติใดแก่ทั้งลิขสิทธิ์และสิทธินักแสดงก็จะบัญญัติไว้ชัดเจนฉะนั้นการแสดงหรือการบันทึกเสียงการแสดง ของนักแสดงที่ได้จัดทำขึ้นก่อนที่ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ใช้บังคับ จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง ศาลฎีกาวางหลักว่า กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดเจนว่าบุคคลเช่นใดบ้างที่ถือเป็นนักแสดง และบัญญัติ คุ้มครองโดยให้สิทธิในส่วนการกระทำเกี่ยวกับการแสดงของตน โดยมิได้บัญญัติว่าสิ่งที่แสดงและได้รับความ คุ้มครองคืออะไร อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงนี้ ย่อมถือเป็นสาระสำคัญ แห่งสิทธิของนักแสดง และเป็นไปไม่ได้ที่จะแปลความเป็นว่า “ไม่ว่านักแสดงจะกระทำอะไรก็ได้สิทธิของ
pg. 5 นักแสดงในส่วนเกี่ยวกับการกระทำนั้นทั้งหมดโดยไร้ขอบเขต ซึ่งการได้สิทธิของนักแสดงที่จะได้รับความ คุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ นั้น ต้องมีองค์ประกอบที่บุคคลที่จะแสดงนั้นเป็นไปตามบทนิยามคำ ว่านักแสดงในมาตรา ๔ และสิ่งที่แสดงหรือการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงที่จะได้รับการคุ้มครอง นั้นต้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ด้วยเท่านั้น” ฎีกาที่ ๓๓๓๒/๒๕๕๕ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มีเจตนารมณ์ที่ถือว่าการกระทำอันเกี่ยวกับการ แสดงของนักแสดงนั้นต้องเป็นการกระทำที่เป็นการแสดงงานอันมีลิขสิทธิ์โดยเฉพาะงานดนตรีกรรม งาน นาฏกรรม และงานวรรณกรรมที่มีลักษณะทำนองเป็นบทพากย์ บทละคร หรือบทที่ใช้แสดงอื่นใดอันอาจนำมา ให้บุคคลที่ถือเป็นนักแสดงตามบทนิยามมาตรา ๔ แสดง การได้สิทธิของนักแสดงที่จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ นั้น ต้องมี องค์ประกอบที่บุคคลที่จะแสดงนั้นเป็นไปตามบทนิยามคำว่านักแสดงในมาตรา ๔ และสิ่งที่แสดงหรือการ กระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงที่จะได้รับการคุ้มครองนั้นต้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ด้วยเท่านั้น โจทก์ทั้งสองมิได้บรรยายฟ้องให้เห็นเป็นประเด็นให้วินิจฉัยว่า การแสดงการเดินแบบเสื้อผ้าตามฟ้อง มี การทำท่าที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราวในลักษณะงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนาฏกรรมได้อย่างไร จึงไม่อาจ พิจารณาวินิจฉัยและฟังว่าการแสดงการเดินแบบนี้เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนาฏกรรมโดยตัวเอง หรือเป็น การแสดงงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนาฏกรรมอยู่แล้ว ดังนี้แม้โจทก์ทั้งสองจะเป็นนักแสดงหรือผู้แสดงท่าทางใน การเดินแบบ ก็ยังไม่อาจถือได้ว่าได้สิทธิของนักแสดง ศาลฎีกาวางหลักว่า พิธีกรร่วมรับจ้างในงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้ามีหน้าที่วิจารณ์และสัมภาษณ์นักแสดง ที่เชิญเข้ามาร่วมงาน ไม่อยู่ในความหมายของลิขสิทธิ์นักแสดงตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ ฎีกาที่ ๑๓๑๕๙/๒๕๕๕ สิทธิของนักแสดงในประเทศไทยเพิ่งจะได้รับความคุ้มครองเป็นครั้งแรก โดย บัญญัติอยู่ในหมวด ๒ ว่าด้วยสิทธิของนักแสดง ต่อจากหมวด ๑ ว่าด้วยลิขสิทธิ์ แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ นักแสดงซึ่งได้รับความคุ้มครองสิทธิตามมาตรา ๔๔ และ ๔๕ มีความหมายตามบทนิยามในมาตรา ๔ ว่า "ผู้แสดง นักดนตรี นักร้อง นักเต้น นักรำ และผู้ซึ่งแสดงท่าทาง ร้อง กล่าว พากย์ แสดงตามบทหรือใน ลักษณะอื่นใด" โดยมาตรา ๔๔ และตามบทนิยามมาตรา ๔ มิได้บัญญัติให้ชัดเจนว่าสิ่งที่แสดงและได้รับความ คุ้มครองในฐานะสิทธินักแสดงควรเป็นเช่นไร แต่เมื่อพิจารณาตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายลิขสิทธิ์และ เนื้อความจากบทนิยามในมาตรา ๔ จะเห็นได้ว่าสิทธิของนักแสดงเป็นการที่นักแสดงได้นำงาน "ดนตรีกรรม" หรืองาน "นาฏกรรม" อันได้แก่ การเล่นดนตรี การร้อง หรือการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงที่ ประกอบเป็นเรื่องราว ที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์มาแสดงให้ปรากฏต่อผู้อื่น หรือนำคุณค่าของงานอันมีลิขสิทธิ์ ดังกล่าวมาแสดงให้บุคคลอื่นชื่นชม โดยที่นักแสดงนั้นมิใช่ผู้สร้างสรรค์งานหรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เอง ซึ่งการ นำเสนองานดังกล่าว นักแสดงได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะให้เกิดมีคุณค่าอันควรได้รับความคุ้มครองต่อเนื่อง จาก ผู้สร้างสรรค์หรือเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์ ทำนองเป็นสิทธิข้างเคียงกับลิขสิทธิ์ มิใช่เป็นการกระทำสิ่งใด ๆ ของ นักแสดงแล้วก็จะได้สิทธินักแสดงเสมอไปโดยไม่มีข้อจำกัด โดยที่สิทธิของนักแสดงจะได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมายลิขสิทธิ์นี้ ต้องมีองค์ประกอบที่บุคคลที่จะแสดงนั้นเป็นไปตามบทนิยามคำว่านักแสดงในมาตรา ๔ และสิ่งที่แสดงหรือการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงที่จะได้รับความคุ้มครองนั้น จะต้องเป็นงาน อันมีลิขสิทธิ์ด้วย
pg. 6 โจทก์เป็นนักแสดงโดยรับจ้างให้ทำหน้าที่พิธีกรร่วมในงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า มีหน้าที่วิจารณ์และ สัมภาษณ์นักแสดงที่เชิญมาร่วมงาน โดยโจทก์แสดงท่าทาง เต้นและร้องเพลงให้งานสนุกสนานเท่านั้น ซึ่ง ลักษณะการกระทำของโจทก์ไม่ได้เป็นการสื่อความหมายหรือแสดงให้เห็นว่าการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็น การแสดงที่เป็นการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงประกอบเป็นเรื่องราวของนักแสดงตามที่บัญญัติไว้ใน บทนิยามมาตรา ๔ ทั้งไม่ปรากฏว่าสิ่งที่โจทก์นำมาแสดงประกอบท่าทางหรือการแสดงในงานรื่นเริงดังกล่าว เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ แม้โจทก์จะนำสืบว่าโจทก์ได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะในการ อุทิศฝีมือหรือความสามารถเฉพาะตัวของโจทก์ซึ่งได้สั่งสมมายาวนานหลายสิบปี ก็เป็นการแสดงออกซึ่ง ความสามารถในการสร้างความบันเทิงของโจทก์แก่ผู้ร่วมงานตามที่รับจ้างมา ซึ่งไม่อยู่ในความหมายของสิทธิ ของนักแสดง อันจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้ ความแตกต่างระหว่างลิขสิทธิ์กับทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น ๑. เจตนารมณ์ในความคุ้มครอง ลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียงเป็นการคุ้มครองงานทางด้านสุนทรียภาพ ซึ่งเดิมไม่ได้เน้นไปทางด้าน เศรษฐกิจ ไม่ได้ใช้เพื่อคุ้มครองงานในด้านทางเศรษฐกิจ เช่น เป็นการให้การคุ้มครองในบทนิยาย บทกวี หรือ บทเพลง เพื่อที่จะให้งานเหล่านั้นสามารถทำซ้ำและนำไปเผยแพร่ได้เร็วยิ่งขึ้น จึงทำให้ต่อมาได้นำมาใช้ ประโยชน์ในทางด้านเศรษฐกิจด้วย แต่การให้ความคุ้มครองในเรื่องงานอันมีลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียงนั้น จะ เน้นไปในการให้ความคุ้มครองในการสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมมากกว่าเชิงพาณิชย์หรือเชิงอุตสาหกรรม จึงไม่ เหมือนกับสิทธิบัตรหรือเครื่องหมายการค้า ที่มุ่งนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ๒. เงื่อนไขในการคุ้มครอง เมื่อเทียบกับเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตร ระดับการคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า เช่น หากเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้นำเอาเครื่องหมายการค้าของตนไปจดทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้ว หาก ต่อมามีบุคคลอื่นนำเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกันหรือเหมือนกันไปโดยบังเอิญแม้ไม่ได้จะเกิดจากการ ลอกเลียนแบบ แต่ถ้านำไปจดทะเบียนก็จะรับจดทะเบียนไม่ได้ หรือเงื่อนไขในการรับจดสิทธิบัตรก็คืองาน ประดิษฐ์นั้นจะต้องเป็นการประดิษฐ์ที่ใหม่ กล่าวคืองานประดิษฐ์ดังกล่าวจะต้องไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน จึงจะสามารถนำไปจดสิทธิบัตรได้ กลับกัน ในเรื่องของลิขสิทธิ์นั้น ถ้างานที่สร้างสรรค์ไปพร้องกันโดยบังเอิญจะ ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น มีรูปวาดสองรูปที่คล้ายกัน ใช้เทคนิคการวาดที่คล้ายกัน ภาพวาดทั้งสอง ภาพย่อมได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์เช่นเดียวกัน หรือภาพถ่ายสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เช่นภาพถ่ายประตูเนติ บัณฑิต แม้ภาพถ่ายในแต่ละภาพจะมีความคล้ายกัน แต่ทุกภาพก็ย่อมได้รับความคุ้มครองทางลิขสิทธิ์ เหมือนกัน แต่ถ้ามีการเอาภาพถ่ายของบุคคลใดบุคคลหนึ่งไปทำซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงจะถือว่าเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ๓. อายุความคุ้มครอง ลิขสิทธิ์นั้นมีอายุความคุ้มครองค่อนข้างนาน คือ ถ้าผู้สร้างสรรค์งานเป็นบุคคลทั่วไป กฎหมายก็จะให้ ความคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้สร้างสรรค์และบวกเพิ่มไปอีก ๕๐ ปีภายหลังจากผู้สร้างสรรค์ตาย (ประเทศ สหรัฐอเมริกาให้ความคุ้มครองเพิ่มอีก ๗๐ ปี) เครื่องหมายการค้า มีอายุการคุ้มครอง ๑๐ ปีนับแต่จดทะเบียนแต่สามารถต่ออายุความคุ้มครองได้
pg. 7 สิทธิบัตร หากเป็นการประดิษฐ์จะมีอายุการคุ้มครอง ๒๐ ปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตรในราชอาณาจักร แต่ถ้าเป็นสิทธิบัตรในการออกแบบผลิตภัณฑ์จะมีอายุความคุ้มครอง ๑๐ ปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร ส่วนอนุสิทธิบัตรนั้นมีอายุความคุ้มครอง ๖ ปีนับแต่วันขอรับอนุสิทธิบัตรและขอต่อได้สองคราว คราวละ ๒ ปี เหตุที่ทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องมีระยะเวลาในการให้ความคุ้มครองนั้นก็เพราะ สิทธิในเรื่องของ ทรัพย์สินทางปัญญานั้นเป็นสิทธิผูกขาด หากผูกขาดตลอดไปสาธารณะชนย่อมไม่ได้รับประโยชน์ เพราะส่วน ใหญ่แล้วสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญานั้น มักจะมีคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจ กฎหมายจึงเห็นว่าสังคมควรที่ จะได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นด้วย จึงได้มีการจำกัดระยะเวลาให้ความคุ้มครองไว้ เช่น สิทธิบัตรยา ในการ คิดค้นยาหนึ่งตัวย่อมมีค่าใช้จ่ายในการคิดค้นและวิจัยเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าให้ความผูกขาดกับสิทธิบัตรยาไป โดยตลอดก็จะทำให้ยามีราคาแพง เพราะเป็นการให้สิทธิผูกขาดแก่ผู้ผลิตรายเดียว ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถใช้ ประโยชน์จากการค้นคว้าวิจัยยาดังกล่าวได้ กฎหมายจึงกำหนดระยะเวลาในการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรยา ไว้ เพื่อให้เจ้าของสิทธิบัตรสามารถแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จากการค้นคว้าวิจัยของตนได้ก่อน แล้วเมื่อ ครบกำหนดระยะเวลาคุ้มครอง ก็จะเปิดโอกาสให้สาธารณะชนเข้าไปใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ดังกล่าวเพื่อ นำมาผลิตยา เพื่อให้ยาราคาถูกลงได้ ๔. อัตราโทษทางอาญา สำหรับลิขสิทธิ์นั้นมีทั้งการละเมิดโดยตรงและการละเมิดโดยอ้อมซึ่งมีอัตราโทษต่างกัน การละเมิด โดยตรงก็เช่นการก๊อบปี้ชิ้นงานอันมีลิขสิทธิ์ อาทิ การก๊อบปี้แผ่นซีดีหนัง กรณีดังกล่าวเป็นการละเมิดโดยตรง เพราะเป็นการทำซ้ำต่องานอันมีลิขสิทธิ์โดยตรง ส่วนการละเมิดโดยอ้อมก็เช่นการนำเอาแผ่นหนังก๊อปไปขาย ซึ่งการละเมิดโดยอ้อมนั้นจะมีอัตราโทษลดลงกึ่งหนึ่ง โดยเรื่องการละเมิดโดยอ้อมบัญญัติอยู่ในมาตรา ๓๑ ในเรื่องเครื่องหมายการค้านั้น ไม่ได้มีการแยกการละเมิดเป็นการละเมิดโดยตรงหรือการละเมิดโดย อ้อมไว้ จะมีเฉพาะกรณีปลอม หรือเลียนเครื่องหมายการค้า ซึ่งทั้งสองกรณีนั้นมีอัตราโทษที่ต่างกัน สำหรับสิทธิบัตรนั้นไม่ได้แยกเป็นเรื่องการละเมิดโดยตรงหรือละเมิดโดยอ้อม ๕. การคุ้มครองผู้สร้างงาน ในเรื่องของลิขสิทธิ์นั้น กฎหมายให้ความคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ผลงานด้วย แม้ว่าผู้สร้างสรรค์ผลงานจะ ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตามมาตรา ๑๘ แต่ทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่นนั้น กฎหมายจะให้สิทธิก็ต่อเมื่อ บุคคลนั้นเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เช่น สิทธิบัตร กฎหมายก็จะให้ความคุ้มครองเฉพาะผู้ทรงสิทธิบัตร แต่ไม่ได้ให้ความคุ้มครองแก่ผู้คิดค้นหรือพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรนั้น เช่น กรณีลูกจ้างเป็นผู้ประดิษฐ์ สิทธิขอรับสิทธิบัตรย่อมตกแก่นายจ้าง ลูกจ้างผู้ประดิษฐ์จะมีสิทธิได้รับเพียงบำเหน็จพิเศษจากนายจ้าง นอกเหนือจากค่าจ้างตามปกติเท่านั้น แต่จะไม่ถือว่าลูกจ้างที่เป็นผู้ผลิตเป็นผู้ทรงสิทธิบัตรอันได้รับความ คุ้มครองตามกฎหมาย หรือเครื่องหมายการค้า กฎหมายก็จะให้ความคุ้มครองเฉพาะเจ้าของเครื่องหมายการค้า ไม่ได้ให้ความคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ด้วย โดยปกติแล้วตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์มาตรา ๙ ลิขสิทธิ์ย่อมตกแก่ผู้สร้างสรรค์ เว้นแต่จะมีการตก ลงกันเป็นอย่างอื่น เช่น กรณีค่ายเพลงจ้างนักแต่งเพลง ก็อาจจะมีการตกลงกันให้ลิขสิทธิ์เป็นของค่ายเพลงก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ก็ได้ให้ความคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ไว้ด้วยแม้ผู้สร้างสรรค์จะไม่ได้มี ลิขสิทธิ์ในงานที่ตนสร้างสรรค์ก็ตาม เช่น การให้ความคุ้มครองว่าผู้ที่ได้รับลิขสิทธิ์ไปจะลบชื่อผู้สร้างสรรค์ออก แล้วใส่ชื่อบุคคลอื่นเป็นผู้สร้างสรรค์แทนไม่ได้ แม้ผู้สร้างสรรค์จะขายลิขสิทธิ์ไปก็ตาม เพราะกฎหมายถือว่าสิทธิ
pg. 8 ในการแสดงออกว่าผู้สร้างสรรค์เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้น เป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๘ หาก มีการลบชื่อของผู้สร้างสรรค์ออกแล้วเอาชื่อของบุคคลอื่นใส่แทน แม้ผู้สร้างสรรค์ผลงานจะถึงแก่ความตายไป แล้ว แต่ทายาทของผู้สร้างสรรค์ก็สามารถฟ้องดำเนินคดีแทนได้ ซึ่งสิทธิเหล่านี้เรียกว่าสิทธิในทางศีลธรรม (Moral Rights) แต่สิทธิบัตรหรือเครื่องหมายการค้าจะไม่ได้ให้ความคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ผลงานดังเช่น กฎหมายลิขสิทธิ์ ๖. การจดทะเบียน ลิขสิทธิ์นั้นย่อมได้มาโดยไม่ต้องจดทะเบียน กล่าวคือ หากเป็นการสร้างสรรค์ผลงานอันได้รับลิขสิทธิ์ เมื่อมีการสร้างสรรค์ผลงานแล้วกฎหมายยอมให้ความคุ้มครองโดยอัตโนมัติ และไม่มีแบบพิธี การได้รับลิขสิทธิ์ จึงไม่ต้องจดทะเบียน เพียงแต่สร้างสรรค์ผลงานก็ได้รับการคุ้มครองทางด้านลิขสิทธิ์แล้ว แต่ลิขสิทธิ์สามารถจด แจ้งข้อถือสิทธิเพื่อเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ แต่การได้มาซึ่งสิทธิบัตรนั้นถือว่าการจดทะเบียนเป็นแบบ หากไม่นำชิ้นงานไปจดทะเบียนย่อมไม่ได้รับ ความคุ้มครอง ส่วนเครื่องหมายการค้านั้นแม้จะไม่ได้จดทะเบียน กฎหมายก็ให้ความคุ้มครองบางส่วน แต่ความ คุ้มครองนั้นจะเป็นการคุ้มครองอย่างจำกัด เว้นแต่จะนำเครื่องหมายการค้าไปจดทะเบียนจึงจะได้รับการ คุ้มครองครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ หากมีการนำเครื่องหมายการค้าไปใช้โดยละเมิด เจ้าของ เครื่องหมายการค้าจะฟ้องผู้ละเมิดได้ก็ต่อเมื่อมีการนำเครื่องหมายการค้าไปจดทะเบียน ดังนั้นถ้ามิได้มีการจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้า เจ้าของเครื่องหมายการค้าก็จะฟ้องผู้ที่ละเมิดเครื่องหมายการค้าไม่ได้ เว้นแต่เป็น กรณีการล้วงขาย หรือการพิสูจน์ว่าเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นมีสิทธิดีกว่า ๗. บทบัญญัติในส่วนของการละเมิดสิทธิ ลิขสิทธิ์นั้นมีบทบัญญัติของกฎหมายโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ ระบบลิขสิทธิ์ที่สำคัญของโลก ระบบลิขสิทธิ์ที่สำคัญของโลกมีอยู่ทั้งสิ้นสามระบบ ๑. ระบบสิทธิของผู้สร้างสรรค์หรือระบบภาคพื้นยุโรป ระบบนี้ก่อให้เกิดเรื่องของธรรมสิทธิ์ (Moral rights) โดยระบบนี้เป็นระบบที่เน้นให้ความสำคัญแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงาน โดยให้ความเคารพในหลักธรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิทธิที่ปรากฏอยู่ในมาตรา ๑๘ ดังนั้นระบบนี้จึงมีแนวคิดว่าลิขสิทธิ์สามารถมีได้ในบุคคลธรรมดา แต่ไม่ อาจมีได้ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เพราะนิติบุคคลไม่มีชีวิตจิตใจย่อมไม่อาจสร้างสรรค์ผลงานได้ ๒. ระบบแองโกลแซ็กซอนหรือระบบสิทธิในการทำสำเนา ระบบนี้ให้ความสำคัญกับการมีอยู่ของ ลิขสิทธิ์ และให้สิทธิในการทำสำเนาซึ่งเน้นประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มากกว่าการเป็นผู้สร้างสรรค์ กล่าวคือหาก ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผลงานแล้วแต่ไม่ยอมใช้สิทธิของตน ก็สามารถโอนสิทธิดังกล่าวให้ผู้อื่นไปทำซ้ำเพื่อใช้ ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ ดังนั้นภายใต้ระบบที่สอบนี้ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจึงสามารถเป็นเจ้าของ ลิขสิทธิ์ได้ ๓. ระบบสังคมนิยม ระบบสังคมนิยมถือว่าลิขสิทธิ์มีสภาพเป็นเครื่องมือในการจัดการกระบวนการทาง วัฒนธรรม จึงให้ความสำคัญที่ประโยชน์ของสังคมส่วนรวม กล่าวคือหากประโยชน์ของส่วนรวมและประโยชน์ ของผู้สร้างสรรค์ขัดกัน ก็จะต้องให้ความสำคัญกับประโยชน์ส่วนรวมก่อน เช่น เดิมในสหภาพโซเวียตนั้น การ โฆษณาเผยแพร่งานจะต้องถูกควบคุมโดยสำนักโฆษณา บริษัทภาพยนตร์บริษัทผลิตแผ่นเสียงและโรงละครเป็น ของรัฐทั้งสิ้น การคัดเลือกว่าจะให้ผลงานใดได้รับการเผยแพร่ก็เป็นสิทธิของรัฐ และถือว่าผู้สร้างสรรค์งานนั้น
pg. 9 สร้างสรรค์งานในฐานะตัวแทนและแสดงออกซึ่งความคิดของชุมชนสังคมนิยม ดังนั้นการที่จะเอางานมาแสดง ในที่สาธารณะจึงสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าสิทธิ จึงทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์แทบจะไม่สามารถใช้ ประโยชน์ของลิขสิทธิ์ในเชิงพาณิชย์ได้เลย ต่อมา ได้มีการทำอนุสัญญากรุงเบิร์นซึ่งเป็นความตกลงทางด้านของลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ จึงทำให้ ระบบลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ทั้งสามประเภทเริ่มมีการผสมผสานกัน จากนั้นก็ได้มีการทำข้อตกลง TRIPs ในปัจจุบัน ทำ ให้ระบบต่าง ๆ มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งลักษณะของลิขสิทธิ์ในปัจจุบันนั้นจะเน้นไปในเชิงพาณิชย์ เพราะข้อตกลงดังกล่าวเป็นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ซึ่งเกี่ยวกับการค้า ประวัติของกฎหมายลิขสิทธิ์ เดิมลิขสิทธิ์นั้นไม่ใช่สิทธิในทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีการวิวัฒนาการจนกลายมาเป็นสิทธิในการเศรษฐกิจซึ่ง มีประวัติความเป็นมาดังนี้ ในยุคกรีกและโรมัน แนวคิดเรื่องลิขสิทธิ์นั้นเป็นแนวคิดเกี่ยวกับปรัชญาซึ่งแนวคิดเรื่องสิทธิทาง เศรษฐกิจยังไม่ได้เกิดขึ้น ต่อมาในยุคกลางได้มีเรื่องของงานเขียนเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นงานเขียนที่มุ่งเผยแผ่ ศาสนา จึงเริ่มมีการตระหนักถึงสิทธิทางศีลธรรมของผู้เขียน จากนั้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมได้มีการประดิษฐ์ เครื่องพิมพ์ขึ้นใน ค.ศ. ๑๔๕๐ จึงเกิดธุรกิจการค้าขายของผู้พิมพ์และจำหน่ายหนังสือ คือทางผู้พิมพ์ก็จะเอา หนังสือที่พิมพ์ไปขายโดยเอาเงินที่ได้จากการขายนั้นมาจ่ายให้แก่ผู้เขียนส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นจึงก่อให้เกิดสิทธิ ในการทำสำเนา ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากลิขสิทธิ์ในเชิงพานิชย์ และเกิด Statue of Queen Anne ขึ้นมาใน ค.ศ. ๑๗๙๐ ซึ่งเป็นกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับแรกของโลก หลังจากนั้นก็เกิดอนุสัญญากรุงเบิร์นขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๘๖ เพื่อกำหนดมาตรฐานในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศให้สอดคล้องกัน ซึ่งประเทศไทยก็ได้ เข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาดังกล่าวด้วย หลังจากนั้นใน ค.ศ. ๑๙๙๕ ข้อตกลง TRIPs ก็มีผลใช้บังคับภายหลังจาก ที่มีการตั้งองค์กรการค้าโลกขึ้น ซึ่งก็ได้มีการนำเอาสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งรวมถึงลิขสิทธิ์มาทำเป็น ข้อตกลงระหว่างภาคีซึ่งผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ในการค้าระหว่างประเทศด้วย ประวัติกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทย ประเทศไทยมีกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับแรก คือ ประกาศหอพระสมุทรวชิรญาณ ร.ส. ๑๑๑ (พ.ศ. ๒๔๓๕) ซึ่งประกาศตัวนี้มีการประกาศว่า ห้ามมิให้ผู้ใดนำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ลงอยู่ในหนังสือวชิรญาณวิเศษไปพิมพ์ซ้ำ เว้นแต่จะขออนุญาต ซึ่งกฎกติกานี้ใช้บังคับกับคนทั่วไป หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาเป็นพระราชบัญญัติกรรมสิทธิ์ผู้แต่งหนังสือ ร.ศ. ๑๒๐ (พ.ศ. ๒๔๔๔) และก็ ได้มีการจัดทำพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติกรรมสิทธิ์ของผู้แต่งหนังสือ พ.ศ. ๒๔๕๗ ซึ่งกำหนดแบบพิธี ในการได้รับความคุ้มครอง คือกำหนดให้มีการจดทะเบียนก่อนจึงจะได้รับความคุ้มครอง แต่ต่อมาภายหลังจาก ที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญากรุงเบิร์นก็ได้มีการจัดทำพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและ ศิลปะกรรม พ.ศ. ๒๔๗๔ ขึ้น โดยได้มีการใช้คำว่า “ลิขสิทธิ์” เป็นครั้งแรกและมีการคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ ของต่างประเทศรวมทั้งมีการกำหนดโทษทางอาญา กรณีละเมิดลิขสิทธิ์และยกเลิกแบบพิธีคุ้มครอง คือมีการ กำหนดให้ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองโดยที่ไม่ต้องจดทะเบียน หลังจากนั้นก็ได้มีการออก พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งได้ขยายประเภทงานที่ได้รับความคุ้มครองให้กว้างขึ้น และเพิ่ม ระยะเวลาคุ้มครองงานจากตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์บวกอีก ๓๐ ปีเป็นตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์บวกอีก ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
pg. 10 ต่อมาก็ได้มีการจัดทำพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยได้ตกลง เข้าร่วมองค์กรการค้าโลก ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นผลมาจากข้อตกลง TRIPs โดยมาตรฐานขั้นต่ำในการ ให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้น สอดคล้องกับข้อตกลง TRIPs โดยได้มีการเพิ่มเรื่องการคุ้มครองโปรแกรม คอมพิวเตอร์และเพิ่มเรื่องสิทธิของนักแสดงเข้าไว้ด้วย ลักษณะทั่วไปของลิขสิทธิ์ ๑. ตามมาตรา ๑๕ ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Right) ซึ่งเป็นสิทธิในเชิงนิเสธ (Negative Right) อันเป็นสิทธิที่จะห่วงกันห้ามไม่ให้ผู้อื่นมาใช้สิทธิ ดังนั้นผู้ที่จะมาใช้สิทธิได้จึงต้องได้รับ อนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน ๒. ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิในทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ลิขสิทธิ์นั้นเป็นสิทธิที่มีมูลค่ามหาศาลเมื่อเทียบกับ กรรมสิทธิ์ เพราะกรรมสิทธิ์นั้นจะมีเพียงสิทธิเหนือทรัพย์สินชิ้นใดชิ้นหนึ่งเท่านั้น เช่น ในการพิมพ์หนังสือเล่ม หนึ่ง กรรมสิทธิ์ก็จะมีอยู่เหนือหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่ลิขสิทธิ์นั้นจะอยู่ในหนังสือทุกเล่มที่มีเนื้อหา เดียวกัน หากหนังสือถูกทำลายไปกรรมสิทธิ์ย่อมสิ้นไป แต่ลิขสิทธิ์ไม่สิ้นไปสามารถทำซ้ำขึ้นใหม่ได้ ลิขสิทธิ์จึง เป็นสิทธิที่มีมูลค่ามหาศาล ๓. ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่มีจำกัดเวลา กล่าวคือลิขสิทธิ์นั้นมีอายุ หากพ้นจากอายุความคุ้มครองแล้ว สาธารณชนก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ระยะเวลาการคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นมีระยะเวลายาวนานคือตลอด ระยะเวลาอายุของผู้สร้างสรรค์และบวกเพิ่มไปอีก ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย ๔. ลิขสิทธิ์มีลักษณะเป็นสหสิทธิ (Multiple Rights) กล่าวคือลิขสิทธิ์นั้นมีสิทธิหลายตัวรวมอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณะชน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นสิทธิที่รวมอยู่ใน ลิขสิทธิ์ ดังนั้นลิขสิทธิ์จึงมีลักษณะเป็นสหสิทธิ ๕. ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่แยกต่างหากจากกรรมสิทธิ์ เมื่อลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่แยกต่างหากจากกรรมสิทธิ์ ไม่ใช่ทรัพยสิทธิ ดังนั้นลิขสิทธิ์จึงไม่อาจได้มาโดย การครอบครองปรปักษ์ได้เพราะลิขสิทธิ์มิได้มีอายุแห่งการคุ้มครองไม่จำกัดเวลาอย่างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ฎีกาที่ ๘๔๖/๒๕๓๔ เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่า โจทก์ขายลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทให้แก่ ป. ต่อมา ป. ขาย ต่อให้จำเลยที่ ๑ อีกทอดหนึ่ง แต่จำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐานการซื้อขายลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทระหว่าง ป. กับ โจทก์เป็นหนังสือมาแสดงต่อศาล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า ลิขสิทธิ์นั้นโอนได้ แต่การโอนสิทธิหรือใช้ประโยชน์เช่นนั้นไม่สมบูรณ์ เว้นแต่จะได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อเจ้าของหรือ ตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจโดยชอบจากเจ้าของลิขสิทธิ์จึงฟังได้ว่าโจทก์ขายลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทให้ ป. ไม่มี ลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทที่จะขายให้จำเลย เพลงพิพาทยังเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์อยู่ เมื่อโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้ง สองละเมิดลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาท โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ในแผ่นเสียงที่ผลิต ออกจำหน่ายก่อนจำเลยทั้งสองจะซื้อลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทจาก ป. ที่กระดาษกลางแผ่นเสียงมีข้อความระบุว่า เนื้อร้องและทำนองเป็นของผู้ใด ใครเป็นผู้ขับร้อง จำเลยทั้งสองจึงทราบดีว่าโจทก์เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องเพลง พิพาทจำเลยทั้งสองมิได้ซื้อลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทจาก ป. โดยสุจริตเพราะหากจำเลยทั้งสองสุจริตจริงก่อนซื้อ จำเลยทั้งสองน่าจะให้ ป. แสดงหลักฐานว่า ป. ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาจากโจทก์แล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ ขอให้ ป. แสดงหลักฐานดังกล่าวและจำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐานการซื้อลิขสิทธิ์จากโจทก์มาแสดง การกระทำ
pg. 11 ของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์แล้ว โจทก์เพิ่งทราบว่า จำเลยทั้งสอง ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ จึง เป็นการฟ้องคดีภายในกำหนด ๓ เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๙๖ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นโดยอายุการ ครอบครองหรือการครอบครองปรปักษ์นั้น มีได้เฉพาะกับทรัพย์สินเพียง ๒ ประเภท คือ อสังหาริมทรัพย์และ สังหาริมทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๒ ซึ่งบทบัญญัติตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน มุ่งให้ความคุ้มครองในเรื่องกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองใน ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสำคัญ ส่วนลิขสิทธิ์แม้จะเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง แต่เป็นทรัพย์สินอีกประเภทหนึ่งที่มี ลักษณะพิเศษแตกต่างจากอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ จนไม่อาจจัดเป็นทรัพย์สินในความหมายของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ได้ กล่าวคือลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมาตรา ๔ แห่ง พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า "ลิขสิทธิ์" "งาน" และ "ผู้สร้างสรรค์" กับ มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้ให้ความหมายของคำว่า "สิทธิแต่ผู้เดียว" ไว้โดยเฉพาะแล้ว สิทธิใน งานอันมีลิขสิทธิ์ตามที่กฎหมายให้ความคุ้มครอง จึงต่างกับสิทธิในกรรมสิทธิ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๓๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิในลิขสิทธิ์เป็นสิทธิในนามธรรม ซึ่งเป็นการให้ความคุ้มครองแก่ รูปแบบของการแสดงออกซึ่งความคิดของผู้สร้างสรรค์ เป็นผลงาน ๘ ประเภทตามคำจำกัดความของคำว่า "งาน" ดังกล่าวข้างต้น การจะได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์งานจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ ส่วนผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้สร้างสรรค์ งานอาจได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ตามที่ บัญญัติไว้ในมาตรา ๘ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น และลิขสิทธิ์มิได้มี อายุแห่งการคุ้มครองโดยไม่จำกัดเวลาอย่างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ แต่มีอายุแห่งการคุ้มครองจำกัดและสิ้นอายุแห่งการคุ้มครองได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖ ถึง มาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์มิได้บัญญัติให้ผู้ใดอาจมีลิขสิทธิ์ได้โดย การครอบครองปรปักษ์ ทั้งสภาพของลิขสิทธิ์ก็ไม่อาจมีการครอบครองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา ๑๓ ดังเช่นสิทธิในกรรมสิทธิ์บนอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ซึ่งมี การครอบครองได้สิ่งที่จำเลยทั้งสองครอบครองไว้จึงเป็นเพียงการครอบครองแผ่นกระดาษที่มีเนื้อเพลงพิพาท อันเป็นสังหาริมทรัพย์เท่านั้น มิได้ก่อให้เกิดสิทธิในลิขสิทธิ์ได้แต่อย่างใด การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์จะได้มาโดยทางใด ได้บ้าง เป็นเรื่องที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วดังกล่าวข้างต้น เมื่อไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ใดได้มาซึ่ง ลิขสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจอ้างว่าได้ลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทมาโดยการ ครอบครองปรปักษ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะเรียกสำนวนคดีอาญาเรื่องอื่นของศาลชั้นต้นมาเป็นพยานของศาลในคดี นี้ ซึ่งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓๙ และ ๒๔๐ แต่เท่าที่ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและพิพากษามา มิได้ใช้ข้อเท็จจริงอันเกิดจากสำนวนคดีดังกล่าวเลย ไม่ทำให้คำ พิพากษาของศาลล่างทั้งสองต้องเสียไป คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงชอบแล้ว สำหรับวันนี้อาจารย์ขอทิ้งท้ายไว้ว่า กฎหมายลิขสิทธิ์นั้นให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง เป็นการคุ้มครอง ความคิดหรือไม่ หรือต้องมีการแสดงออกซึ่งความคิดจึงจะได้รับความคุ้มครอง เช่น นาย ก. ไปเล่าแนวความคิด พล็อตนิยายให้นาย ข. ฟัง นาย ข. ได้ฟัง จึงเอาแนวความคิดนั้นไปแต่งเป็นนิยาย เช่นนี้ นาย ก. จะฟ้องนาย ข. ไม่ได้ โดยคำตอบนั้นอยู่ในมาตรา ๖ วรรคสอง ที่กำหนดว่า การคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่คลุมถึงความคิด หรือ
pg. 12 ขั้นตอน กรรมวิธีหรือระบบ หรือวิธีใช้หรือทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทาง วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าลิขสิทธิ์นั้นไม่คุ้มครองความคิดและแนวความคิด ดังนั้น การเอาแนวความคิดของคนอื่นมาใช้จึงสามารถทำได้ เพราะลิขสิทธิ์นั้นจะให้ความคุ้มครองในการแสดงออกซึ่ง แนวความคิด (Expression of Ideas) โดยอาจารย์จะนำมาอธิบายในคราวหน้า ***จบการบรรยาย*** สรุปโดย A03 ตรวจทาน P5
pg. 1 สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ ๑/๗๖ วิชา กฎหมายทรัพย์สินปัญญา (ลิขสิทธิ์) (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ บรรยายวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๖ (ครั้งที่ 4) (สัปดาห์ที่ ๑๒) สวัสดีครับนักศึกษา ในการบรรยายกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเรื่องลิขสิทธิ์ อาจารย์ก็จะสอนกับ อาจารย์ธรรมนูญ โดยอาจารย์จะรับผิดชอบบรรยายในเรื่องของลิขสิทธิ์ทั้งหมดสามครั้งในเรื่องของโครงสร้าง ของกฎหมาย องค์ประกอบของงานลิขสิทธิ์ และงานลิขสิทธิ์แต่ละประเภทเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงฎีกาในเรื่อง เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์รวมถึงข้อยกเว้นที่น่าสนใจ พร้อมทั้งบรรยายข้อแตกต่างระหว่างกฎหมายทรัพย์สิน ทางปัญญาประเภทต่าง ๆ ด้วย สำหรับกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์นั้น ปัจจุบันมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมจนถึงฉบับที่ห้าแล้ว โดยได้มีการแก้ไขในปีพ.ศ. ๒๕๖๕ กฎหมายลิขสิทธิ์คือ ทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่เป็นสิทธิในลักษณะผูกขาดซึ่งมอบให้กับตัว เจ้าของลิขสิทธิ์ ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญานั้นแบ่งออกได้เป็นสองประเภทใหญ่คือ ๑. ทรัพย์สินอุตสาหกรรม หรือก็คือทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เช่น สิทธิบัตร หรือเครื่องหมายการค้า รวมถึงความลับทางการค้า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์และชื่อทางการค้าด้วย ๒. ลิขสิทธิ์ลิขสิทธิ์นั้นเป็นสิทธิที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับสิทธิข้างเคียง สิทธิข้างเคียงนั้นหมายถึงสิทธิ ข้างเคียงของลิขสิทธิ์ โดยสิทธิข้างเคียงของกฎหมายลิขสิทธิ์ที่กฎหมายไทยยอมรับในขณะนี้มีเพียงเรื่องเดียว คือ สิทธิของนักแสดง ข้อแตกต่างระหว่างทรัพย์สินทางปัญญาและทรัพยสิทธิ ทรัพย์สินทั่วไปก็จะประกอบไปด้วยสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ ส่วนสิทธิที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินก็คือทรัพยสิทธิ แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาก็ จะแยกออกมาเป็นเรื่องของ “สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา” ต่างหาก ทรัพยสิทธินั้น ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๙๘ บัญญัติว่า “บรรดาทรัพยสิทธิทั้งหลาย ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น” เมื่อกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ จึงมีการถกเถียงกันว่า “กฎหมายอื่น” นั้นหมายถึงกฎหมายอะไร หมายความรวมถึงกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน ทางปัญญาหรือไม่ เพราะถ้าหากรวมถึงกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาย่อม เป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่ง แต่ ณ เวลานี้ได้ข้อยุติแล้วว่า ทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ รวมถึงลิขสิทธิ์นั้นไม่ใช่ทรัพยสิทธิ เพราะ ทรัพย์สินทางปัญญาและทรัพยสิทธินั้นมีข้อแตกต่างกันดังนี้ ๑. ระยะเวลาคุ้มครอง ทรัพยสิทธิ เช่น กรรมสิทธิ์นั้นจะมีอยู่ตลอดไปจนกว่าทรัพย์สินนั้นจะถูกทำลาย หรือสูญสลายไป แต่สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาจะมีระยะเวลาคุ้มครองที่จำกัด หากอยู่ภายในระยะเวลาที่ คุ้มครอง ไม่ว่าตัวทรัพย์สินจะสูญสลายไปหรือไม่ แต่ก็ยังได้รับความคุ้มครองในด้านทรัพย์สินทางปัญญา เหตุที่ ทรัพย์สินทางปัญญาต้องมีระยะเวลาคุ้มครองที่จำกัด ก็เพราะขอบเขตการใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญานั้น ค่อนข้างกว้าง ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตัววัตถุแห่งสิทธิเท่านั้น เช่น เราซื้อหนังสือมาหนึ่งเล่ม เราย่อมเป็นเจ้าของ
pg. 2 กรรมสิทธิ์ในหนังสือเล่มดังกล่าว ความเป็นกรรมสิทธิ์ในหนังสือเล่มนั้น ก็จะคงมีอยู่ตลอดไปจนกว่าหนังสือเล่ม นั้นจะถูกทำลาย แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม แม้หนังสือเล่มนั้นจะถูกทำลายไป แต่ตราบใด ที่เราเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ เราก็สามารถทำซ้ำงานขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งลิขสิทธิ์นั้นเป็นสิทธิที่มีลักษณะผูกขาด ขอบเขตของความคุ้มครองในเรื่องของลิขสิทธิ์จึงกว้างกว่ากรรมสิทธิ์ กฎหมายจึงจำกัดระยะเวลาคุ้มครองไว้ ๒. มูลค่าทางเศรษฐกิจและลักษณะการผูกขาด สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาสามารถนำสิทธินั้นไป ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ หรือทำซ้ำเพื่อจำหน่ายได้ หรือเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ แต่ทรัพยสิทธิหรือกรรมสิทธิ์นั้น จะมีความเป็นเจ้าของในตัวทรัพย์สินเท่านั้น ๓. ความคุ้มครองเฉพาะแต่ละประเทศ ทรัพยสิทธิสามารถใช้ยันคนได้ทั่วโลก แต่สิทธิในทรัพย์สินทาง ปัญญาโดยหลักแล้วเป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองเฉพาะในแต่ละประเทศ เว้นแต่จะได้เข้าร่วมในภาคีซึ่งมี ข้อตกลงในการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญากรุงเบิร์นซึ่งเป็น อนุสัญญาที่คุ้มครองลิขสิทธิ์ หากแต่ละประเทศต่างเป็นภาคี ประเทศที่เข้าเป็นภาคีก็จะให้ความคุ้มครองในงาน ลิขสิทธิ์ของประเทศสมาชิก ดังนั้นถ้ามีการสร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์ในประเทศที่เข้าเป็นภาคีการสร้างสรรค์งาน ดังกล่าวก็จะได้รับความคุ้มครองตามอนุสัญญา ความหมายของลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔ “ลิขสิทธิ์” หมายความว่า สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะ ทำการใด ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ข้อพิจารณา คำว่า “ผู้เดียวกันนี้” ตามตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๔ หมายถึงผู้สร้างสรรค์งาน ลิขสิทธิ์ แต่เจ้าของลิขสิทธิ์นั้นอาจเป็นผู้สร้างสรรค์หรือไม่ก็ได้ เช่น การไปจ้างคนให้วาดภาพ ผู้จ้างก็จะจ่ายค่า สินจ้างให้ผู้วาด จะเห็นได้ว่าผู้วาดเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน เมื่อวาดภาพเสร็จแล้วก็จะต้องส่งงานให้แก่ผู้ว่าจ้าง ผู้ว่าจ้างก็จะกลายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ จะเห็นได้ว่าผู้สร้างสรรค์และเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นเป็นคนละคนกัน แต่กรณี ที่นักวาดเป็นผู้สร้างสรรค์งานอิสระไม่ได้รับจ้างวาดภาพ กรณีเช่นนี้นักวาดก็จะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และเป็นผู้ สร้างสรรค์ผลงานด้วย ซึ่งสิทธิของผู้สร้างสรรค์และสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นมีความแตกต่างกัน เนื่องจาก ลิขสิทธิ์นั้นหมายถึงสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ เพียงแต่ ลิขสิทธิ์นั้นเป็นสิทธิที่เกิดจากงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ฉะนั้น “สิทธิแต่ผู้เดียว” ดังกล่าว จึงเป็นสิทธิของ เจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นอาจไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์ผลงานก็ได้ “สิทธิแต่ผู้เดียว” หรือสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๑๕ ซึ่งได้กำหนดไว้เลยว่าสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นมีอะไรบ้าง มีข้อสังเกตอยู่ว่า งานที่จะได้รับการคุ้มครองตามลิขสิทธิ์นั้น จะต้องเป็นงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ สร้างสรรค์ขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์จะได้รับความคุ้มครองตามลิขสิทธิ์ กล่าวคือ งานที่ผู้ สร้างสรรค์ได้ทำขึ้นจะต้องเป็นงานที่กฎหมายได้รับรองว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ด้วย จึงจะได้รับความคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ งานอันมีลิขสิทธิ์ที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์นั้นบัญญัติอยู่ในมาตรา ๖ อันได้แก่ งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ หรืองานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ ของผู้สร้างสรรค์
pg. 3 ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด ซึ่งคำจำกัดความของงานแต่ละประเภทนั้นบัญญัติอยู่ ในมาตรา ๔ แต่การคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่ครอบคลุมถึงความคิด หรือขั้นตอน กรรมวิธีหรือระบบ หรือวิธีใช้หรือทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ความแตกต่างระหว่างกรรมสิทธิ์และลิขสิทธิ์ กรรมสิทธิ์นั้นเป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่ง ส่วนลิขสิทธิ์นั้นเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง โดย กรรมสิทธิ์นั้นเกิดขึ้นจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนลิขสิทธิ์นั้นเกิดขึ้นจากพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ตัวอย่างความแตกต่างระหว่างลิขสิทธิ์และกรรมสิทธิ์ สมมุติว่านักศึกษาไปซื้อภาพวาดมาหนึ่งภาพ นักศึกษาย่อมมีกรรมสิทธิ์ในภาพวาดดังกล่าว แต่ นักศึกษาจะเอาภาพวาดนั้นไปทำซ้ำเพื่อไปพิมพ์เป็นโปรสการ์ดขายไม่ได้ เพราะการซื้อภาพวาดมานั้นสิ่งที่ นักศึกษาได้มาก็คือกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่ง แต่ในการซื้อภาพวาดนั้นนักศึกษาไม่ได้รับลิขสิทธิ์ มาด้วย เพราะในการซื้อขายนั้นไม่ได้มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิต่างๆ ในการซื้อขายภาพวาดดังกล่าว จึงเป็นเพียง การโอนกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของมาให้นักศึกษาเท่านั้น ซึ่งนักศึกษาก็จะมีสิทธิใช้ภาพวาดดังกล่าวอย่าง เจ้าของกรรมสิทธิ์คือ สามารถนำไปขายต่อได้ แต่เราไม่สามารถนำภาพวาดดังกล่าวไปใช้ในเชิงลิขสิทธิ์ได้ สิทธิที่สำคัญของลิขสิทธิ์ประการหนึ่งก็คือ สิทธิในการทำซ้ำหรือดัดแปลงชิ้นงาน เช่นการนำเอาภาพ ดังกล่าวไปพิมพ์ซ้ำเป็นโปสการ์ดเพื่อขาย สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้นถ้า นักศึกษาซื้อด้วยการโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น นักศึกษาก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเอาภาพดังกล่าวไปทำซ้ำ หากนักศึกษา ซื้อภาพดังกล่าวมาแล้วเอาไปทำซ้ำ ผลก็คือย่อมเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้รับมอบอำนาจ ย่อมมีอำนาจฟ้องนักศึกษาเพื่อดำเนินคดีได้ ฎีกาที่ ๒๒๑๙/๒๕๓๑ โจทก์ร่วมขายภาพวาดสีน้ำมันขนาด ๑๒ นิ้วฟุตคูณ ๑๕ นิ้วฟุตอันเป็นงาน จิตรกรรมซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม ราคาเพียงภาพละ ๓๐๐ บาท ให้ อ. และ ม. ดังนี้ เชื่อได้ว่าโจทก์ร่วม ขายภาพดังกล่าวเป็นภาพ ๆ ไป หาได้ขายลิขสิทธิ์ในภายให้ไปด้วยไม่ ถ้าโจทก์ร่วมอนุญาตให้นำภาพดังกล่าว ไปพิมพ์ได้ก็จะต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้เมื่อจำเลยที่ ๑ที่ ๒ ได้ทำซ้ำซึ่งภาพวาดนั้นเป็นบัตรอวยพร ปีใหม่ ออกจำหน่ายแก่ประชาชนโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วม จึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม ฎีกาที่ ๔๐๗๖/๒๕๓๓ จำเลยทั้งสองซื้อภาพพิพาทไปจากโจทก์ทั้งสองโดย โจทก์ทั้งสองไม่เคยขาย ลิขสิทธิ์ในภาพพิพาทให้จำเลยทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองนำภาพที่ซื้อจากโจทก์ทั้งสองไปพิมพ์บัตรอวยพรปี ใหม่จำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสองถือว่าจำเลยทั้งสองละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง สิทธิข้างเคียง ลิขสิทธิ์นั้นจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับสิทธิข้างเคียง ซึ่งสิทธิข้างเคียงก็คือสิทธิที่พ่วงไปกับลิขสิทธิ์ กล่าวคือ เป็นสิทธิหรือเป็นงานที่สืบเนื่องจากงานอันมีลิขสิทธิ์ ซึ่งสิทธิข้างเคียงที่กฎหมายไทยรองรับนั้นมีอยู่เพียงสิทธิ เดียวคือสิทธิของนักแสดง โดยมีการบัญญัติให้ความคุ้มครองเป็นพิเศษอยู่ในหมวดที่สอง มาตรา ๔๔ ถึงมาตรา ๕๓ ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ เหตุผลที่กฎหมายให้ความคุ้มครองสิทธิของนักแสดงนั้น ก็เพราะ สิทธิของนักแสดงนั้นเป็นสื่อกลาง ระหว่างงานลิขสิทธิ์กับสาธารณะชน เพราะงานอันมีลิขสิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นนวนิยายหรือบทเพลงจะสามารถดัง ขึ้นมาได้ก็ด้วยการเผยแพร่ ตัวอย่างเช่น จะต้องมีการนำนวนิยายไปทำเป็นบทละคร แล้วเลือกนักแสดง เพื่อให้
pg. 4 นักแสดงนำภาพและความรู้สึกของตัวละครในนวนิยายออกมาแสดงเผยแพร่ต่อสาธารณะชน หรือกรณีที่มีการ เขียนเพลงขึ้นมาหนึ่งเพลง การจะทำให้เพลงดังกล่าวเป็นที่รู้จักขึ้นมาได้ก็จะต้องนำไปให้นักร้องเป็นผู้ขับร้อง และเผยแพร่ต่อสาธารณชน ดังนั้นกฎหมายจึงมองว่าสิทธิของนักแสดงจึงเป็นสิทธิที่ควรจะได้รับความคุ้มครอง เพราะเป็นสิทธิที่เป็นสื่อกลางระหว่างงานลิขสิทธิ์และสาธารณะชน อย่างไรก็ตาม กฎหมายย่อมให้ความคุ้มครองแก่เจ้าของลิขสิทธิ์มากกว่านักแสดง นักแสดงจึงได้รับ ความคุ้มครองตามกฎหมายไม่เท่ากับตัวของเจ้าของลิขสิทธิ์ เพราะสิทธิของนักแสดงนั้นเป็นเพียงสิทธิข้างเคียง ของลิขสิทธิ์เท่านั้น ตามมาตรา ๔ “นักแสดง” หมายความว่า ผู้แสดง นักดนตรี นักร้อง นักเต้น นักรำ และผู้ซึ่งแสดง ท่าทาง ร้อง กล่าว พากย์ แสดงตามบทหรือในลักษณะอื่นใด สิทธิของนักแสดงนั้นมาตรา ๔๔ บัญญัติว่า “นักแสดงย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการกระทำอันเกี่ยวกับ การแสดงของตน ดังต่อไปนี้ (๑) แพร่เสียงแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งการแสดง เว้นแต่จะเป็นการแพร่เสียงแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนจากสิ่งบันทึกการแสดงที่มีการบันทึกไว้แล้ว (๒) บันทึกการแสดงที่ยังไม่มีการบันทึกไว้แล้ว (๓) ทำซ้ำซึ่งสิ่งบันทึกการแสดงที่มีผู้บันทึกไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนักแสดงหรือสิ่งบันทึกการแสดง ที่ได้รับอนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์อื่น หรือสิ่งบันทึกการแสดงที่เข้าข้อยกเว้นการละเมิดสิทธิของนักแสดงตาม มาตรา ๕๓” มีประเด็นว่า สิทธิของนักแสดงนั้น เมื่อมีการแสดงแล้วจะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิของนักแสดง เมื่อใด ในเรื่องนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ฉะนั้น การได้รับความคุ้มครองของนักแสดงจึงต้องพิจารณา จากคำพิพากษาของศาลฎีกา ศาลฎีกาวางหลักว่า สิทธินักแสดงเป็นสิทธิข้างเคียงของลิขสิทธิ์ แม้จะอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่า ด้วยลิขสิทธิ์เช่นกัน แต่ก็มิใช่สิทธิอย่างเดียวกับลิขสิทธิ์ ฎีกาที่ ๕๐๓๓/๒๕๕๒ มาตรา ๗๘ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นบทเฉพาะกาลที่ บัญญัติขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์แก่งานที่จัดทำขึ้นก่อนวันที่ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ใช้บังคับและไม่ มีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมฯ หรือ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ แต่เป็นงานที่ได้รับ ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งเห็นได้ว่า บทบัญญัติมาตรา ๗๘ ทั้งวรรคหนึ่งและ วรรคสองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ แต่สิทธินักแสดงเป็นสิทธิข้างเคียงของลิขสิทธิ์ ซึ่งแม้จะอยู่ ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์เช่นกัน แต่ก็มิใช่สิทธิอย่างเดียวกับลิขสิทธิ์ นอกจากนี้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ยังได้บัญญัติแยกลิขสิทธิ์ไว้ในหมวด ๑ และสิทธินักแสดงไว้ในหมวด ๒ ทั้งเมื่อประสงค์ให้ใช้บังคับ บทบัญญัติใดแก่ทั้งลิขสิทธิ์และสิทธินักแสดงก็จะบัญญัติไว้ชัดเจนฉะนั้นการแสดงหรือการบันทึกเสียงการแสดง ของนักแสดงที่ได้จัดทำขึ้นก่อนที่ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ใช้บังคับ จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง ศาลฎีกาวางหลักว่า กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดเจนว่าบุคคลเช่นใดบ้างที่ถือเป็นนักแสดง และบัญญัติ คุ้มครองโดยให้สิทธิในส่วนการกระทำเกี่ยวกับการแสดงของตน โดยมิได้บัญญัติว่าสิ่งที่แสดงและได้รับความ คุ้มครองคืออะไร อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงนี้ ย่อมถือเป็นสาระสำคัญ แห่งสิทธิของนักแสดง และเป็นไปไม่ได้ที่จะแปลความเป็นว่า “ไม่ว่านักแสดงจะกระทำอะไรก็ได้สิทธิของ
pg. 5 นักแสดงในส่วนเกี่ยวกับการกระทำนั้นทั้งหมดโดยไร้ขอบเขต ซึ่งการได้สิทธิของนักแสดงที่จะได้รับความ คุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ นั้น ต้องมีองค์ประกอบที่บุคคลที่จะแสดงนั้นเป็นไปตามบทนิยามคำ ว่านักแสดงในมาตรา ๔ และสิ่งที่แสดงหรือการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงที่จะได้รับการคุ้มครอง นั้นต้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ด้วยเท่านั้น” ฎีกาที่ ๓๓๓๒/๒๕๕๕ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มีเจตนารมณ์ที่ถือว่าการกระทำอันเกี่ยวกับการ แสดงของนักแสดงนั้นต้องเป็นการกระทำที่เป็นการแสดงงานอันมีลิขสิทธิ์โดยเฉพาะงานดนตรีกรรม งาน นาฏกรรม และงานวรรณกรรมที่มีลักษณะทำนองเป็นบทพากย์ บทละคร หรือบทที่ใช้แสดงอื่นใดอันอาจนำมา ให้บุคคลที่ถือเป็นนักแสดงตามบทนิยามมาตรา ๔ แสดง การได้สิทธิของนักแสดงที่จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ นั้น ต้องมี องค์ประกอบที่บุคคลที่จะแสดงนั้นเป็นไปตามบทนิยามคำว่านักแสดงในมาตรา ๔ และสิ่งที่แสดงหรือการ กระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงที่จะได้รับการคุ้มครองนั้นต้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ด้วยเท่านั้น โจทก์ทั้งสองมิได้บรรยายฟ้องให้เห็นเป็นประเด็นให้วินิจฉัยว่า การแสดงการเดินแบบเสื้อผ้าตามฟ้อง มี การทำท่าที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราวในลักษณะงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนาฏกรรมได้อย่างไร จึงไม่อาจ พิจารณาวินิจฉัยและฟังว่าการแสดงการเดินแบบนี้เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนาฏกรรมโดยตัวเอง หรือเป็น การแสดงงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนาฏกรรมอยู่แล้ว ดังนี้แม้โจทก์ทั้งสองจะเป็นนักแสดงหรือผู้แสดงท่าทางใน การเดินแบบ ก็ยังไม่อาจถือได้ว่าได้สิทธิของนักแสดง ศาลฎีกาวางหลักว่า พิธีกรร่วมรับจ้างในงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้ามีหน้าที่วิจารณ์และสัมภาษณ์นักแสดง ที่เชิญเข้ามาร่วมงาน ไม่อยู่ในความหมายของลิขสิทธิ์นักแสดงตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ ฎีกาที่ ๑๓๑๕๙/๒๕๕๕ สิทธิของนักแสดงในประเทศไทยเพิ่งจะได้รับความคุ้มครองเป็นครั้งแรก โดย บัญญัติอยู่ในหมวด ๒ ว่าด้วยสิทธิของนักแสดง ต่อจากหมวด ๑ ว่าด้วยลิขสิทธิ์ แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ นักแสดงซึ่งได้รับความคุ้มครองสิทธิตามมาตรา ๔๔ และ ๔๕ มีความหมายตามบทนิยามในมาตรา ๔ ว่า "ผู้แสดง นักดนตรี นักร้อง นักเต้น นักรำ และผู้ซึ่งแสดงท่าทาง ร้อง กล่าว พากย์ แสดงตามบทหรือใน ลักษณะอื่นใด" โดยมาตรา ๔๔ และตามบทนิยามมาตรา ๔ มิได้บัญญัติให้ชัดเจนว่าสิ่งที่แสดงและได้รับความ คุ้มครองในฐานะสิทธินักแสดงควรเป็นเช่นไร แต่เมื่อพิจารณาตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายลิขสิทธิ์และ เนื้อความจากบทนิยามในมาตรา ๔ จะเห็นได้ว่าสิทธิของนักแสดงเป็นการที่นักแสดงได้นำงาน "ดนตรีกรรม" หรืองาน "นาฏกรรม" อันได้แก่ การเล่นดนตรี การร้อง หรือการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงที่ ประกอบเป็นเรื่องราว ที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์มาแสดงให้ปรากฏต่อผู้อื่น หรือนำคุณค่าของงานอันมีลิขสิทธิ์ ดังกล่าวมาแสดงให้บุคคลอื่นชื่นชม โดยที่นักแสดงนั้นมิใช่ผู้สร้างสรรค์งานหรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เอง ซึ่งการ นำเสนองานดังกล่าว นักแสดงได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะให้เกิดมีคุณค่าอันควรได้รับความคุ้มครองต่อเนื่อง จาก ผู้สร้างสรรค์หรือเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์ ทำนองเป็นสิทธิข้างเคียงกับลิขสิทธิ์ มิใช่เป็นการกระทำสิ่งใด ๆ ของ นักแสดงแล้วก็จะได้สิทธินักแสดงเสมอไปโดยไม่มีข้อจำกัด โดยที่สิทธิของนักแสดงจะได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมายลิขสิทธิ์นี้ ต้องมีองค์ประกอบที่บุคคลที่จะแสดงนั้นเป็นไปตามบทนิยามคำว่านักแสดงในมาตรา ๔ และสิ่งที่แสดงหรือการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของนักแสดงที่จะได้รับความคุ้มครองนั้น จะต้องเป็นงาน อันมีลิขสิทธิ์ด้วย
pg. 6 โจทก์เป็นนักแสดงโดยรับจ้างให้ทำหน้าที่พิธีกรร่วมในงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า มีหน้าที่วิจารณ์และ สัมภาษณ์นักแสดงที่เชิญมาร่วมงาน โดยโจทก์แสดงท่าทาง เต้นและร้องเพลงให้งานสนุกสนานเท่านั้น ซึ่ง ลักษณะการกระทำของโจทก์ไม่ได้เป็นการสื่อความหมายหรือแสดงให้เห็นว่าการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็น การแสดงที่เป็นการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงประกอบเป็นเรื่องราวของนักแสดงตามที่บัญญัติไว้ใน บทนิยามมาตรา ๔ ทั้งไม่ปรากฏว่าสิ่งที่โจทก์นำมาแสดงประกอบท่าทางหรือการแสดงในงานรื่นเริงดังกล่าว เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ แม้โจทก์จะนำสืบว่าโจทก์ได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะในการ อุทิศฝีมือหรือความสามารถเฉพาะตัวของโจทก์ซึ่งได้สั่งสมมายาวนานหลายสิบปี ก็เป็นการแสดงออกซึ่ง ความสามารถในการสร้างความบันเทิงของโจทก์แก่ผู้ร่วมงานตามที่รับจ้างมา ซึ่งไม่อยู่ในความหมายของสิทธิ ของนักแสดง อันจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้ ความแตกต่างระหว่างลิขสิทธิ์กับทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น ๑. เจตนารมณ์ในความคุ้มครอง ลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียงเป็นการคุ้มครองงานทางด้านสุนทรียภาพ ซึ่งเดิมไม่ได้เน้นไปทางด้าน เศรษฐกิจ ไม่ได้ใช้เพื่อคุ้มครองงานในด้านทางเศรษฐกิจ เช่น เป็นการให้การคุ้มครองในบทนิยาย บทกวี หรือ บทเพลง เพื่อที่จะให้งานเหล่านั้นสามารถทำซ้ำและนำไปเผยแพร่ได้เร็วยิ่งขึ้น จึงทำให้ต่อมาได้นำมาใช้ ประโยชน์ในทางด้านเศรษฐกิจด้วย แต่การให้ความคุ้มครองในเรื่องงานอันมีลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียงนั้น จะ เน้นไปในการให้ความคุ้มครองในการสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมมากกว่าเชิงพาณิชย์หรือเชิงอุตสาหกรรม จึงไม่ เหมือนกับสิทธิบัตรหรือเครื่องหมายการค้า ที่มุ่งนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ๒. เงื่อนไขในการคุ้มครอง เมื่อเทียบกับเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตร ระดับการคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า เช่น หากเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้นำเอาเครื่องหมายการค้าของตนไปจดทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้ว หาก ต่อมามีบุคคลอื่นนำเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกันหรือเหมือนกันไปโดยบังเอิญแม้ไม่ได้จะเกิดจากการ ลอกเลียนแบบ แต่ถ้านำไปจดทะเบียนก็จะรับจดทะเบียนไม่ได้ หรือเงื่อนไขในการรับจดสิทธิบัตรก็คืองาน ประดิษฐ์นั้นจะต้องเป็นการประดิษฐ์ที่ใหม่ กล่าวคืองานประดิษฐ์ดังกล่าวจะต้องไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน จึงจะสามารถนำไปจดสิทธิบัตรได้ กลับกัน ในเรื่องของลิขสิทธิ์นั้น ถ้างานที่สร้างสรรค์ไปพร้องกันโดยบังเอิญจะ ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น มีรูปวาดสองรูปที่คล้ายกัน ใช้เทคนิคการวาดที่คล้ายกัน ภาพวาดทั้งสอง ภาพย่อมได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์เช่นเดียวกัน หรือภาพถ่ายสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เช่นภาพถ่ายประตูเนติ บัณฑิต แม้ภาพถ่ายในแต่ละภาพจะมีความคล้ายกัน แต่ทุกภาพก็ย่อมได้รับความคุ้มครองทางลิขสิทธิ์ เหมือนกัน แต่ถ้ามีการเอาภาพถ่ายของบุคคลใดบุคคลหนึ่งไปทำซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงจะถือว่าเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ๓. อายุความคุ้มครอง ลิขสิทธิ์นั้นมีอายุความคุ้มครองค่อนข้างนาน คือ ถ้าผู้สร้างสรรค์งานเป็นบุคคลทั่วไป กฎหมายก็จะให้ ความคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้สร้างสรรค์และบวกเพิ่มไปอีก ๕๐ ปีภายหลังจากผู้สร้างสรรค์ตาย (ประเทศ สหรัฐอเมริกาให้ความคุ้มครองเพิ่มอีก ๗๐ ปี) เครื่องหมายการค้า มีอายุการคุ้มครอง ๑๐ ปีนับแต่จดทะเบียนแต่สามารถต่ออายุความคุ้มครองได้
pg. 7 สิทธิบัตร หากเป็นการประดิษฐ์จะมีอายุการคุ้มครอง ๒๐ ปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตรในราชอาณาจักร แต่ถ้าเป็นสิทธิบัตรในการออกแบบผลิตภัณฑ์จะมีอายุความคุ้มครอง ๑๐ ปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร ส่วนอนุสิทธิบัตรนั้นมีอายุความคุ้มครอง ๖ ปีนับแต่วันขอรับอนุสิทธิบัตรและขอต่อได้สองคราว คราวละ ๒ ปี เหตุที่ทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องมีระยะเวลาในการให้ความคุ้มครองนั้นก็เพราะ สิทธิในเรื่องของ ทรัพย์สินทางปัญญานั้นเป็นสิทธิผูกขาด หากผูกขาดตลอดไปสาธารณะชนย่อมไม่ได้รับประโยชน์ เพราะส่วน ใหญ่แล้วสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญานั้น มักจะมีคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจ กฎหมายจึงเห็นว่าสังคมควรที่ จะได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นด้วย จึงได้มีการจำกัดระยะเวลาให้ความคุ้มครองไว้ เช่น สิทธิบัตรยา ในการ คิดค้นยาหนึ่งตัวย่อมมีค่าใช้จ่ายในการคิดค้นและวิจัยเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าให้ความผูกขาดกับสิทธิบัตรยาไป โดยตลอดก็จะทำให้ยามีราคาแพง เพราะเป็นการให้สิทธิผูกขาดแก่ผู้ผลิตรายเดียว ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถใช้ ประโยชน์จากการค้นคว้าวิจัยยาดังกล่าวได้ กฎหมายจึงกำหนดระยะเวลาในการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรยา ไว้ เพื่อให้เจ้าของสิทธิบัตรสามารถแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จากการค้นคว้าวิจัยของตนได้ก่อน แล้วเมื่อ ครบกำหนดระยะเวลาคุ้มครอง ก็จะเปิดโอกาสให้สาธารณะชนเข้าไปใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ดังกล่าวเพื่อ นำมาผลิตยา เพื่อให้ยาราคาถูกลงได้ ๔. อัตราโทษทางอาญา สำหรับลิขสิทธิ์นั้นมีทั้งการละเมิดโดยตรงและการละเมิดโดยอ้อมซึ่งมีอัตราโทษต่างกัน การละเมิด โดยตรงก็เช่นการก๊อบปี้ชิ้นงานอันมีลิขสิทธิ์ อาทิ การก๊อบปี้แผ่นซีดีหนัง กรณีดังกล่าวเป็นการละเมิดโดยตรง เพราะเป็นการทำซ้ำต่องานอันมีลิขสิทธิ์โดยตรง ส่วนการละเมิดโดยอ้อมก็เช่นการนำเอาแผ่นหนังก๊อปไปขาย ซึ่งการละเมิดโดยอ้อมนั้นจะมีอัตราโทษลดลงกึ่งหนึ่ง โดยเรื่องการละเมิดโดยอ้อมบัญญัติอยู่ในมาตรา ๓๑ ในเรื่องเครื่องหมายการค้านั้น ไม่ได้มีการแยกการละเมิดเป็นการละเมิดโดยตรงหรือการละเมิดโดย อ้อมไว้ จะมีเฉพาะกรณีปลอม หรือเลียนเครื่องหมายการค้า ซึ่งทั้งสองกรณีนั้นมีอัตราโทษที่ต่างกัน สำหรับสิทธิบัตรนั้นไม่ได้แยกเป็นเรื่องการละเมิดโดยตรงหรือละเมิดโดยอ้อม ๕. การคุ้มครองผู้สร้างงาน ในเรื่องของลิขสิทธิ์นั้น กฎหมายให้ความคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ผลงานด้วย แม้ว่าผู้สร้างสรรค์ผลงานจะ ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตามมาตรา ๑๘ แต่ทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่นนั้น กฎหมายจะให้สิทธิก็ต่อเมื่อ บุคคลนั้นเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เช่น สิทธิบัตร กฎหมายก็จะให้ความคุ้มครองเฉพาะผู้ทรงสิทธิบัตร แต่ไม่ได้ให้ความคุ้มครองแก่ผู้คิดค้นหรือพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรนั้น เช่น กรณีลูกจ้างเป็นผู้ประดิษฐ์ สิทธิขอรับสิทธิบัตรย่อมตกแก่นายจ้าง ลูกจ้างผู้ประดิษฐ์จะมีสิทธิได้รับเพียงบำเหน็จพิเศษจากนายจ้าง นอกเหนือจากค่าจ้างตามปกติเท่านั้น แต่จะไม่ถือว่าลูกจ้างที่เป็นผู้ผลิตเป็นผู้ทรงสิทธิบัตรอันได้รับความ คุ้มครองตามกฎหมาย หรือเครื่องหมายการค้า กฎหมายก็จะให้ความคุ้มครองเฉพาะเจ้าของเครื่องหมายการค้า ไม่ได้ให้ความคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ด้วย โดยปกติแล้วตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์มาตรา ๙ ลิขสิทธิ์ย่อมตกแก่ผู้สร้างสรรค์ เว้นแต่จะมีการตก ลงกันเป็นอย่างอื่น เช่น กรณีค่ายเพลงจ้างนักแต่งเพลง ก็อาจจะมีการตกลงกันให้ลิขสิทธิ์เป็นของค่ายเพลงก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ก็ได้ให้ความคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ไว้ด้วยแม้ผู้สร้างสรรค์จะไม่ได้มี ลิขสิทธิ์ในงานที่ตนสร้างสรรค์ก็ตาม เช่น การให้ความคุ้มครองว่าผู้ที่ได้รับลิขสิทธิ์ไปจะลบชื่อผู้สร้างสรรค์ออก แล้วใส่ชื่อบุคคลอื่นเป็นผู้สร้างสรรค์แทนไม่ได้ แม้ผู้สร้างสรรค์จะขายลิขสิทธิ์ไปก็ตาม เพราะกฎหมายถือว่าสิทธิ
pg. 8 ในการแสดงออกว่าผู้สร้างสรรค์เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้น เป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๘ หาก มีการลบชื่อของผู้สร้างสรรค์ออกแล้วเอาชื่อของบุคคลอื่นใส่แทน แม้ผู้สร้างสรรค์ผลงานจะถึงแก่ความตายไป แล้ว แต่ทายาทของผู้สร้างสรรค์ก็สามารถฟ้องดำเนินคดีแทนได้ ซึ่งสิทธิเหล่านี้เรียกว่าสิทธิในทางศีลธรรม (Moral Rights) แต่สิทธิบัตรหรือเครื่องหมายการค้าจะไม่ได้ให้ความคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ผลงานดังเช่น กฎหมายลิขสิทธิ์ ๖. การจดทะเบียน ลิขสิทธิ์นั้นย่อมได้มาโดยไม่ต้องจดทะเบียน กล่าวคือ หากเป็นการสร้างสรรค์ผลงานอันได้รับลิขสิทธิ์ เมื่อมีการสร้างสรรค์ผลงานแล้วกฎหมายยอมให้ความคุ้มครองโดยอัตโนมัติ และไม่มีแบบพิธี การได้รับลิขสิทธิ์ จึงไม่ต้องจดทะเบียน เพียงแต่สร้างสรรค์ผลงานก็ได้รับการคุ้มครองทางด้านลิขสิทธิ์แล้ว แต่ลิขสิทธิ์สามารถจด แจ้งข้อถือสิทธิเพื่อเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ แต่การได้มาซึ่งสิทธิบัตรนั้นถือว่าการจดทะเบียนเป็นแบบ หากไม่นำชิ้นงานไปจดทะเบียนย่อมไม่ได้รับ ความคุ้มครอง ส่วนเครื่องหมายการค้านั้นแม้จะไม่ได้จดทะเบียน กฎหมายก็ให้ความคุ้มครองบางส่วน แต่ความ คุ้มครองนั้นจะเป็นการคุ้มครองอย่างจำกัด เว้นแต่จะนำเครื่องหมายการค้าไปจดทะเบียนจึงจะได้รับการ คุ้มครองครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ หากมีการนำเครื่องหมายการค้าไปใช้โดยละเมิด เจ้าของ เครื่องหมายการค้าจะฟ้องผู้ละเมิดได้ก็ต่อเมื่อมีการนำเครื่องหมายการค้าไปจดทะเบียน ดังนั้นถ้ามิได้มีการจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้า เจ้าของเครื่องหมายการค้าก็จะฟ้องผู้ที่ละเมิดเครื่องหมายการค้าไม่ได้ เว้นแต่เป็น กรณีการล้วงขาย หรือการพิสูจน์ว่าเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นมีสิทธิดีกว่า ๗. บทบัญญัติในส่วนของการละเมิดสิทธิ ลิขสิทธิ์นั้นมีบทบัญญัติของกฎหมายโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ ระบบลิขสิทธิ์ที่สำคัญของโลก ระบบลิขสิทธิ์ที่สำคัญของโลกมีอยู่ทั้งสิ้นสามระบบ ๑. ระบบสิทธิของผู้สร้างสรรค์หรือระบบภาคพื้นยุโรป ระบบนี้ก่อให้เกิดเรื่องของธรรมสิทธิ์ (Moral rights) โดยระบบนี้เป็นระบบที่เน้นให้ความสำคัญแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงาน โดยให้ความเคารพในหลักธรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิทธิที่ปรากฏอยู่ในมาตรา ๑๘ ดังนั้นระบบนี้จึงมีแนวคิดว่าลิขสิทธิ์สามารถมีได้ในบุคคลธรรมดา แต่ไม่ อาจมีได้ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เพราะนิติบุคคลไม่มีชีวิตจิตใจย่อมไม่อาจสร้างสรรค์ผลงานได้ ๒. ระบบแองโกลแซ็กซอนหรือระบบสิทธิในการทำสำเนา ระบบนี้ให้ความสำคัญกับการมีอยู่ของ ลิขสิทธิ์ และให้สิทธิในการทำสำเนาซึ่งเน้นประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มากกว่าการเป็นผู้สร้างสรรค์ กล่าวคือหาก ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผลงานแล้วแต่ไม่ยอมใช้สิทธิของตน ก็สามารถโอนสิทธิดังกล่าวให้ผู้อื่นไปทำซ้ำเพื่อใช้ ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ ดังนั้นภายใต้ระบบที่สอบนี้ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจึงสามารถเป็นเจ้าของ ลิขสิทธิ์ได้ ๓. ระบบสังคมนิยม ระบบสังคมนิยมถือว่าลิขสิทธิ์มีสภาพเป็นเครื่องมือในการจัดการกระบวนการทาง วัฒนธรรม จึงให้ความสำคัญที่ประโยชน์ของสังคมส่วนรวม กล่าวคือหากประโยชน์ของส่วนรวมและประโยชน์ ของผู้สร้างสรรค์ขัดกัน ก็จะต้องให้ความสำคัญกับประโยชน์ส่วนรวมก่อน เช่น เดิมในสหภาพโซเวียตนั้น การ โฆษณาเผยแพร่งานจะต้องถูกควบคุมโดยสำนักโฆษณา บริษัทภาพยนตร์บริษัทผลิตแผ่นเสียงและโรงละครเป็น ของรัฐทั้งสิ้น การคัดเลือกว่าจะให้ผลงานใดได้รับการเผยแพร่ก็เป็นสิทธิของรัฐ และถือว่าผู้สร้างสรรค์งานนั้น
pg. 9 สร้างสรรค์งานในฐานะตัวแทนและแสดงออกซึ่งความคิดของชุมชนสังคมนิยม ดังนั้นการที่จะเอางานมาแสดง ในที่สาธารณะจึงสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าสิทธิ จึงทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์แทบจะไม่สามารถใช้ ประโยชน์ของลิขสิทธิ์ในเชิงพาณิชย์ได้เลย ต่อมา ได้มีการทำอนุสัญญากรุงเบิร์นซึ่งเป็นความตกลงทางด้านของลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ จึงทำให้ ระบบลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ทั้งสามประเภทเริ่มมีการผสมผสานกัน จากนั้นก็ได้มีการทำข้อตกลง TRIPs ในปัจจุบัน ทำ ให้ระบบต่าง ๆ มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งลักษณะของลิขสิทธิ์ในปัจจุบันนั้นจะเน้นไปในเชิงพาณิชย์ เพราะข้อตกลงดังกล่าวเป็นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ซึ่งเกี่ยวกับการค้า ประวัติของกฎหมายลิขสิทธิ์ เดิมลิขสิทธิ์นั้นไม่ใช่สิทธิในทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีการวิวัฒนาการจนกลายมาเป็นสิทธิในการเศรษฐกิจซึ่ง มีประวัติความเป็นมาดังนี้ ในยุคกรีกและโรมัน แนวคิดเรื่องลิขสิทธิ์นั้นเป็นแนวคิดเกี่ยวกับปรัชญาซึ่งแนวคิดเรื่องสิทธิทาง เศรษฐกิจยังไม่ได้เกิดขึ้น ต่อมาในยุคกลางได้มีเรื่องของงานเขียนเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นงานเขียนที่มุ่งเผยแผ่ ศาสนา จึงเริ่มมีการตระหนักถึงสิทธิทางศีลธรรมของผู้เขียน จากนั้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมได้มีการประดิษฐ์ เครื่องพิมพ์ขึ้นใน ค.ศ. ๑๔๕๐ จึงเกิดธุรกิจการค้าขายของผู้พิมพ์และจำหน่ายหนังสือ คือทางผู้พิมพ์ก็จะเอา หนังสือที่พิมพ์ไปขายโดยเอาเงินที่ได้จากการขายนั้นมาจ่ายให้แก่ผู้เขียนส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นจึงก่อให้เกิดสิทธิ ในการทำสำเนา ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากลิขสิทธิ์ในเชิงพานิชย์ และเกิด Statue of Queen Anne ขึ้นมาใน ค.ศ. ๑๗๙๐ ซึ่งเป็นกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับแรกของโลก หลังจากนั้นก็เกิดอนุสัญญากรุงเบิร์นขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๘๖ เพื่อกำหนดมาตรฐานในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศให้สอดคล้องกัน ซึ่งประเทศไทยก็ได้ เข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาดังกล่าวด้วย หลังจากนั้นใน ค.ศ. ๑๙๙๕ ข้อตกลง TRIPs ก็มีผลใช้บังคับภายหลังจาก ที่มีการตั้งองค์กรการค้าโลกขึ้น ซึ่งก็ได้มีการนำเอาสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งรวมถึงลิขสิทธิ์มาทำเป็น ข้อตกลงระหว่างภาคีซึ่งผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ในการค้าระหว่างประเทศด้วย ประวัติกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทย ประเทศไทยมีกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับแรก คือ ประกาศหอพระสมุทรวชิรญาณ ร.ส. ๑๑๑ (พ.ศ. ๒๔๓๕) ซึ่งประกาศตัวนี้มีการประกาศว่า ห้ามมิให้ผู้ใดนำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ลงอยู่ในหนังสือวชิรญาณวิเศษไปพิมพ์ซ้ำ เว้นแต่จะขออนุญาต ซึ่งกฎกติกานี้ใช้บังคับกับคนทั่วไป หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาเป็นพระราชบัญญัติกรรมสิทธิ์ผู้แต่งหนังสือ ร.ศ. ๑๒๐ (พ.ศ. ๒๔๔๔) และก็ ได้มีการจัดทำพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติกรรมสิทธิ์ของผู้แต่งหนังสือ พ.ศ. ๒๔๕๗ ซึ่งกำหนดแบบพิธี ในการได้รับความคุ้มครอง คือกำหนดให้มีการจดทะเบียนก่อนจึงจะได้รับความคุ้มครอง แต่ต่อมาภายหลังจาก ที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญากรุงเบิร์นก็ได้มีการจัดทำพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและ ศิลปะกรรม พ.ศ. ๒๔๗๔ ขึ้น โดยได้มีการใช้คำว่า “ลิขสิทธิ์” เป็นครั้งแรกและมีการคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ ของต่างประเทศรวมทั้งมีการกำหนดโทษทางอาญา กรณีละเมิดลิขสิทธิ์และยกเลิกแบบพิธีคุ้มครอง คือมีการ กำหนดให้ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองโดยที่ไม่ต้องจดทะเบียน หลังจากนั้นก็ได้มีการออก พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งได้ขยายประเภทงานที่ได้รับความคุ้มครองให้กว้างขึ้น และเพิ่ม ระยะเวลาคุ้มครองงานจากตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์บวกอีก ๓๐ ปีเป็นตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์บวกอีก ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
pg. 10 ต่อมาก็ได้มีการจัดทำพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยได้ตกลง เข้าร่วมองค์กรการค้าโลก ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นผลมาจากข้อตกลง TRIPs โดยมาตรฐานขั้นต่ำในการ ให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้น สอดคล้องกับข้อตกลง TRIPs โดยได้มีการเพิ่มเรื่องการคุ้มครองโปรแกรม คอมพิวเตอร์และเพิ่มเรื่องสิทธิของนักแสดงเข้าไว้ด้วย ลักษณะทั่วไปของลิขสิทธิ์ ๑. ตามมาตรา ๑๕ ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Right) ซึ่งเป็นสิทธิในเชิงนิเสธ (Negative Right) อันเป็นสิทธิที่จะห่วงกันห้ามไม่ให้ผู้อื่นมาใช้สิทธิ ดังนั้นผู้ที่จะมาใช้สิทธิได้จึงต้องได้รับ อนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน ๒. ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิในทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ลิขสิทธิ์นั้นเป็นสิทธิที่มีมูลค่ามหาศาลเมื่อเทียบกับ กรรมสิทธิ์ เพราะกรรมสิทธิ์นั้นจะมีเพียงสิทธิเหนือทรัพย์สินชิ้นใดชิ้นหนึ่งเท่านั้น เช่น ในการพิมพ์หนังสือเล่ม หนึ่ง กรรมสิทธิ์ก็จะมีอยู่เหนือหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่ลิขสิทธิ์นั้นจะอยู่ในหนังสือทุกเล่มที่มีเนื้อหา เดียวกัน หากหนังสือถูกทำลายไปกรรมสิทธิ์ย่อมสิ้นไป แต่ลิขสิทธิ์ไม่สิ้นไปสามารถทำซ้ำขึ้นใหม่ได้ ลิขสิทธิ์จึง เป็นสิทธิที่มีมูลค่ามหาศาล ๓. ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่มีจำกัดเวลา กล่าวคือลิขสิทธิ์นั้นมีอายุ หากพ้นจากอายุความคุ้มครองแล้ว สาธารณชนก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ระยะเวลาการคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นมีระยะเวลายาวนานคือตลอด ระยะเวลาอายุของผู้สร้างสรรค์และบวกเพิ่มไปอีก ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย ๔. ลิขสิทธิ์มีลักษณะเป็นสหสิทธิ (Multiple Rights) กล่าวคือลิขสิทธิ์นั้นมีสิทธิหลายตัวรวมอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณะชน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นสิทธิที่รวมอยู่ใน ลิขสิทธิ์ ดังนั้นลิขสิทธิ์จึงมีลักษณะเป็นสหสิทธิ ๕. ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่แยกต่างหากจากกรรมสิทธิ์ เมื่อลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่แยกต่างหากจากกรรมสิทธิ์ ไม่ใช่ทรัพยสิทธิ ดังนั้นลิขสิทธิ์จึงไม่อาจได้มาโดย การครอบครองปรปักษ์ได้เพราะลิขสิทธิ์มิได้มีอายุแห่งการคุ้มครองไม่จำกัดเวลาอย่างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ฎีกาที่ ๘๔๖/๒๕๓๔ เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่า โจทก์ขายลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทให้แก่ ป. ต่อมา ป. ขาย ต่อให้จำเลยที่ ๑ อีกทอดหนึ่ง แต่จำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐานการซื้อขายลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทระหว่าง ป. กับ โจทก์เป็นหนังสือมาแสดงต่อศาล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า ลิขสิทธิ์นั้นโอนได้ แต่การโอนสิทธิหรือใช้ประโยชน์เช่นนั้นไม่สมบูรณ์ เว้นแต่จะได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อเจ้าของหรือ ตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจโดยชอบจากเจ้าของลิขสิทธิ์จึงฟังได้ว่าโจทก์ขายลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทให้ ป. ไม่มี ลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทที่จะขายให้จำเลย เพลงพิพาทยังเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์อยู่ เมื่อโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้ง สองละเมิดลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาท โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ในแผ่นเสียงที่ผลิต ออกจำหน่ายก่อนจำเลยทั้งสองจะซื้อลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทจาก ป. ที่กระดาษกลางแผ่นเสียงมีข้อความระบุว่า เนื้อร้องและทำนองเป็นของผู้ใด ใครเป็นผู้ขับร้อง จำเลยทั้งสองจึงทราบดีว่าโจทก์เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องเพลง พิพาทจำเลยทั้งสองมิได้ซื้อลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทจาก ป. โดยสุจริตเพราะหากจำเลยทั้งสองสุจริตจริงก่อนซื้อ จำเลยทั้งสองน่าจะให้ ป. แสดงหลักฐานว่า ป. ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาจากโจทก์แล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ ขอให้ ป. แสดงหลักฐานดังกล่าวและจำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐานการซื้อลิขสิทธิ์จากโจทก์มาแสดง การกระทำ
pg. 11 ของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์แล้ว โจทก์เพิ่งทราบว่า จำเลยทั้งสอง ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ จึง เป็นการฟ้องคดีภายในกำหนด ๓ เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๙๖ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นโดยอายุการ ครอบครองหรือการครอบครองปรปักษ์นั้น มีได้เฉพาะกับทรัพย์สินเพียง ๒ ประเภท คือ อสังหาริมทรัพย์และ สังหาริมทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๒ ซึ่งบทบัญญัติตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน มุ่งให้ความคุ้มครองในเรื่องกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองใน ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสำคัญ ส่วนลิขสิทธิ์แม้จะเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง แต่เป็นทรัพย์สินอีกประเภทหนึ่งที่มี ลักษณะพิเศษแตกต่างจากอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ จนไม่อาจจัดเป็นทรัพย์สินในความหมายของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ได้ กล่าวคือลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมาตรา ๔ แห่ง พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า "ลิขสิทธิ์" "งาน" และ "ผู้สร้างสรรค์" กับ มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้ให้ความหมายของคำว่า "สิทธิแต่ผู้เดียว" ไว้โดยเฉพาะแล้ว สิทธิใน งานอันมีลิขสิทธิ์ตามที่กฎหมายให้ความคุ้มครอง จึงต่างกับสิทธิในกรรมสิทธิ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๓๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิในลิขสิทธิ์เป็นสิทธิในนามธรรม ซึ่งเป็นการให้ความคุ้มครองแก่ รูปแบบของการแสดงออกซึ่งความคิดของผู้สร้างสรรค์ เป็นผลงาน ๘ ประเภทตามคำจำกัดความของคำว่า "งาน" ดังกล่าวข้างต้น การจะได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์งานจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ ส่วนผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้สร้างสรรค์ งานอาจได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ตามที่ บัญญัติไว้ในมาตรา ๘ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น และลิขสิทธิ์มิได้มี อายุแห่งการคุ้มครองโดยไม่จำกัดเวลาอย่างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ แต่มีอายุแห่งการคุ้มครองจำกัดและสิ้นอายุแห่งการคุ้มครองได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖ ถึง มาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์มิได้บัญญัติให้ผู้ใดอาจมีลิขสิทธิ์ได้โดย การครอบครองปรปักษ์ ทั้งสภาพของลิขสิทธิ์ก็ไม่อาจมีการครอบครองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา ๑๓ ดังเช่นสิทธิในกรรมสิทธิ์บนอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ซึ่งมี การครอบครองได้สิ่งที่จำเลยทั้งสองครอบครองไว้จึงเป็นเพียงการครอบครองแผ่นกระดาษที่มีเนื้อเพลงพิพาท อันเป็นสังหาริมทรัพย์เท่านั้น มิได้ก่อให้เกิดสิทธิในลิขสิทธิ์ได้แต่อย่างใด การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์จะได้มาโดยทางใด ได้บ้าง เป็นเรื่องที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วดังกล่าวข้างต้น เมื่อไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ใดได้มาซึ่ง ลิขสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจอ้างว่าได้ลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทมาโดยการ ครอบครองปรปักษ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะเรียกสำนวนคดีอาญาเรื่องอื่นของศาลชั้นต้นมาเป็นพยานของศาลในคดี นี้ ซึ่งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓๙ และ ๒๔๐ แต่เท่าที่ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและพิพากษามา มิได้ใช้ข้อเท็จจริงอันเกิดจากสำนวนคดีดังกล่าวเลย ไม่ทำให้คำ พิพากษาของศาลล่างทั้งสองต้องเสียไป คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงชอบแล้ว สำหรับวันนี้อาจารย์ขอทิ้งท้ายไว้ว่า กฎหมายลิขสิทธิ์นั้นให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง เป็นการคุ้มครอง ความคิดหรือไม่ หรือต้องมีการแสดงออกซึ่งความคิดจึงจะได้รับความคุ้มครอง เช่น นาย ก. ไปเล่าแนวความคิด พล็อตนิยายให้นาย ข. ฟัง นาย ข. ได้ฟัง จึงเอาแนวความคิดนั้นไปแต่งเป็นนิยาย เช่นนี้ นาย ก. จะฟ้องนาย ข. ไม่ได้ โดยคำตอบนั้นอยู่ในมาตรา ๖ วรรคสอง ที่กำหนดว่า การคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่คลุมถึงความคิด หรือ
pg. 12 ขั้นตอน กรรมวิธีหรือระบบ หรือวิธีใช้หรือทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทาง วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าลิขสิทธิ์นั้นไม่คุ้มครองความคิดและแนวความคิด ดังนั้น การเอาแนวความคิดของคนอื่นมาใช้จึงสามารถทำได้ เพราะลิขสิทธิ์นั้นจะให้ความคุ้มครองในการแสดงออกซึ่ง แนวความคิด (Expression of Ideas) โดยอาจารย์จะนำมาอธิบายในคราวหน้า ***จบการบรรยาย*** สรุปโดย A03 ตรวจทาน P5
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์สินปัญญา (ลิขสิทธิ์) (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์ อ.ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ บรรยายวันที่ 17 สิงหาคม 2566 (ครั้งที่ 5) (สัปดาห์ที่ 13) สวัสดีครับนักศึกษาทุกท่าน วันนี้อาจารย์จะมาบรรยายในประเด็นของลิขสิทธิ์นะครับ องค์ประกอบของงานลิขสิทธิ์ 1. ลิขสิทธิ์ เป็นการคุ้มครองการแสดงออกซึ่งความคิด (Expression of Idea) ลิขสิทธิ์นั้นไม่ได้คุ้มครองความคิด แต่คุ้มครองสิ่งที่นำความคิดนั้นมาแสดงออก (Copyright exists not in ideas but in the material that embodies the ideas) โดยการแสดงออกทางความคิด จะต้องเป็นการ แสดงออกทางความคิดในงานอันมีลิขสิทธิ์ที่กฎหมายรับรองไว้ด้วย เช่น นาย ก. เป็นผู้ที่มีจินตนาการมากมาย ได้ไปเล่าพล็อตนิยายให้นาย ข. ฟังถึงพล็อตนิยายของตนเอง นาย ข. ฟังเรื่องราวในจินตนาการของนาย ก. ก็ เกิดแรงบันดาลใจ และได้นำจินตนาการและพล็อตนิยายของนาย ก. ไปเขียนเป็นนิยาย จัดพิมพ์และได้นำออก ขายในเวลาต่อมา เช่นนี้ นาย ก. จะไปฟ้องนาย ข. ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ได้ เพราะลิขสิทธิ์ไม่ได้มุ่งคุ้มครองถึง แนวความคิด หรือโครงสร้างเรื่องอันเกิดจากความคิด หรือจินตนาการของบุคคลใด แต่ทว่าลิขสิทธิ์คุ้มครอง การแสดงออกทางความคิด สิ่งที่นาย ก. ได้นำไปเล่าให้นาย ข. ฟังถึงจินตนาการของตน ยังไม่ถือว่าเป็นการ แสดงออกทางความคิดแต่อย่างใด ดังนั้น ในละครหรือนิยายสมัยเก่าจะเห็นได้ว่า พล็อตเรื่องมักจะซ้ำ ๆ เช่น เรื่องที่เราคุ้นเคยกันว่าเป็นนิยายน้ำเน่า ที่มักจะมีพล็อตว่าพระเอกรวย นางเอกจน ต้องมีตัวร้ายอยู่ในเรื่อง เหมือน ๆ กัน ในประเด็นนี้ มาตรา 6 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์กำหนดไว้ชัดเจนว่า “การคุ้มครอง ลิขสิทธิ์ไม่คลุมถึงความคิด หรือขั้นตอน กรรมวิธีหรือระบบ หรือวิธีใช้หรือทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์” ลิขสิทธิ์ไม่เป็นการคุ้มครองความคิดแต่อย่างใด แต่เป็นการคุ้มครองการแสดงออกซึ่งความคิด ฎีกาที่ 7036/2543 การพิจารณาว่าหนังสือแบบฝึกคณิตคิดเลขเร็วของโจทก์ซึ่งได้สร้างขึ้นเมื่อกลาง ปี 2534 มีลิขสิทธิ์หรือไม่ ต้องใช้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 แม้หลักเกณฑ์ตาม มาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 จะไม่ได้บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลักเกณฑ์นั้นไม่มีอยู่ เพราะหลักเกณฑ์ ดังกล่าวเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปในการให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ ดังนี้ ในการพิจารณาว่างานใดมีลิขสิทธิ์ตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2521 หรือไม่ จึงต้องอาศัยหลักเกณฑ์ทั่วไปนั้นด้วย หนังสือแบบฝึกคณิตคิดเลข เร็วของโจทก์เป็นตำราเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 โดยวางรากฐานการเรียนการสอนเป็น ขั้นตอนเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตรชั้นประถมศึกษา มีเนื้อหาสาระของตัวอย่างการคิดและวิเคราะห์ แบบทดสอบคิดเลขเร็ว และโจทย์ปัญหาในภาคผนวกเพื่อพัฒนาและเสริมสร้างทักษะในสายการเรียนการสอน วิชาคณิตศาสตร์โดยให้นักเรียนมีแนวการคิดและมีการวิเคราะห์หาคำตอบได้รวดเร็ว และดัดแปลงวิธีการคิด ให้เป็นแนวทางของตนเองได้ ทั้งเป็นงานที่ทำให้เกิดความเข้าใจในการคิดเลข มีความสัมพันธ์กันตามลำดับ ความง่ายยากตามขั้นตอน จูงใจให้เกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเพื่อให้มีความสามารถ ในการคิดเลขได้รวดเร็วยิ่งขึ้น การที่โจทก์นำตัวเลขรูปภาพสัญลักษณ์ โจทย์ปัญหาและเครื่องหมายต่าง ๆ กัน
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาปรับใช้โดยมีวิธีการคิดตามลำดับเพื่อให้เข้ากับหลักสูตรและพัฒนาเสริมสร้างทักษะในการเรียนตามวัยของ เด็กนักเรียนในลำดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 โดยอาศัยข้อมูลและประสบการณ์จากการใช้สอนใน โรงเรียนมาเป็นเวลานานหลายปี เป็นการริเริ่มสร้างสรรค์งานของโจทก์เพื่อให้นักเรียนสามารถคิดคำนวณเลข ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ถือได้ว่าเป็นงานนิพนธ์ที่โจทก์ได้สร้างสรรค์ขึ้น โดยแสดงออกซึ่งการริเริ่มของโจทก์เองอันเป็น งานวรรณกรรมตามความหมายในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์สร้างสรรค์งานดังกล่าว หาใช่เป็นเพียงความคิด ขั้นตอนกรรมวิธี ระบบวิธีใช้หรือ ทำงาน แนวความคิด หลักการการค้นพบ หรือทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ อันไม่ได้รับความคุ้มครองแต่อย่างใดไม่ หนังสือแบบฝึกคณิตคิดเลขเร็วจึงเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ แม้สัญญาจะระบุชื่อสัญญาว่า “หนังสือสัญญาขายลิขสิทธิ์” แต่มีข้อความในรายละเอียดกำหนดจำนวนตำราคณิตคิดเลขเร็วสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 ให้จำเลยที่ 1 พิมพ์ กำหนดเดือนและปีที่เริ่มจำหน่าย และการคิดเงิน ค่าลิขสิทธิ์ โจทก์มิได้ลงนามในฐานะผู้ขาย และจำเลยที่ 1 มิได้ลงนามในฐานะผู้ซื้อเอกสารดังกล่าวจึงเป็นเพียง บันทึกข้อตกลงเท่านั้น จากการคิดค่าแห่งลิขสิทธิ์เป็นรายเล่ม และกำหนดจำนวนพิมพ์ของหนังสือแต่ละเล่ม แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีเจตนาที่จะซื้อขายสิทธิในการทำซ้ำงานมีลิขสิทธิ์ของ โจทก์ แต่เป็นกรณีที่โจทก์อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิแต่ผู้เดียวของโจทก์ในการทำซ้ำงานอันมีลิขสิทธิ์ของ โจทก์ได้ตามมาตรา 13 (4) และ 14 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ในขณะที่ทำข้อตกลงดังกล่าวเท่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงมิใช่ข้อตกลงในการซื้อขายลิขสิทธิ์โดยโจทก์มีเจตนา โอนลิขสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลย ทั้งสองได้ขอซื้อลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมทั้งหกเล่มของโจทก์และแนบสำเนาสัญญามาท้ายฟ้อง ซึ่งระบุว่าเป็น หนังสือสัญญาขายลิขสิทธิ์ก็ตาม ก็เป็นเพียงความเข้าใจคลาดเคลื่อนของโจทก์ โจทก์มีเจตนาที่แท้จริงเพียง อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิแต่ผู้เดียวของโจทก์ในการทำซ้ำงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์เท่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นเพียงสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ แม้หนังสือแบบฝึกคณิตคิดเลขเร็วของโจทก์จะมีการ ปรับปรุงใหม่โดยโจทก์และนักวิชาการของจำเลยที่ 1 ในระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แต่เป็นการ ปรับปรุงโดยเปลี่ยนรูปแบบปกหนังสือใหม่และจัดรูปแบบหนังสือโดยแยกคำเฉลยออกพิมพ์ต่างหาก ส่วน เนื้อหาของหนังสือยังเหมือนเดิม หนังสือที่ปรับปรุงใหม่จึงไม่ใช่เป็นงานสร้างสรรค์ที่โจทก์ได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ใหม่หรือดัดแปลงโดยปรับปรุงงานเดิมในส่วนอันเป็นสาระสำคัญ แต่เป็นงานสร้างสรรค์หรืองานวรรณกรรม เดียวกันกับหนังสือฉบับเดิมนั่นเอง หนังสือที่ปรับปรุงใหม่จึงมิใช่เป็นงานที่โจทก์สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ในฐานะที่ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธินำงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ที่ปรับปรุงใหม่ออกโฆษณา หรือ เผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยพิมพ์ออกจำหน่ายในฐานะที่เป็นนายจ้างของโจทก์ได้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 7 นำประสบการณ์จากการสอนในโรงเรียนมาจัดทำหนังสือแบบฝึกหัดคณิตคิดเลขเร็ว ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 ถือเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ ฎีกาที่ 1908/2546 ขณะที่โจทก์เขียนหนังสือ “คู่มือการประเมินผลการฝึกอบรมสำหรับ ผู้รับผิดชอบโครงการฝึกอบรม/สัมมนา” และหนังสือ “คู่มือการประเมินและติดตามผลการฝึกอบรมสำหรับ ผู้รับผิดชอบโครงการฝึกอบรม/สัมมนา” โจทก์ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดสำนักงาน ก.พ. มีหน้าที่โดยตรงในการ ประเมินผลการฝึกอบรม แต่ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องจัดทำเอกสาร หรือเขียนตำราทางวิชาการเพื่อใช้ในการ
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฝึกอบรม การที่โจทก์เขียนหนังสือดังกล่าวขึ้นจึงไม่ถือว่าเป็นงานที่โจทก์ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ในกรอบงานของ โจทก์ และสำนักงาน ก.พ. ซึ่งโจทก์สังกัดก็มิได้มีคำสั่งให้โจทก์เขียนหนังสือดังกล่าว หรือมีการจ่ายค่าตอบแทน ให้ โจทก์เขียนหนังสือทั้งสองเล่มนอกเวลาราชการ โจทก์ได้กำหนดเค้าโครงการเขียนและสารบัญ รวมทั้งได้ เขียนอธิบายเนื้อหาสาระและรายละเอียดต่าง ๆ แต่ละประเด็นโดยใช้ถ้อยคำและคำอธิบายของโจทก์ใหม่ ทั้งหมดตามความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ของโจทก์โดยตรง จึงเป็นงานนิพนธ์ที่โจทก์ทำขึ้นโดยไม่ได้ ลอกเลียนงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น โจทก์เป็นผู้ทำหรือก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรมในหนังสือ ดังกล่าวจึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ มิใช่สำนักงาน ก.พ. เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 14 แนวความคิด ทฤษฎี และตัวข้อมูลความรู้ไม่ใช่สิ่งที่กฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครองตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 6 วรรคสอง บุคคลสามารถที่จะนำแนวความคิด ทฤษฎี และตัวข้อมูลความรู้ไปใช้ ประโยชน์ได้ตราบเท่าที่การใช้ประโยชน์ของบุคคลนั้นไม่เป็นการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่ง งานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น ข้อสังเกต การสร้างสรรค์งานจะต้องมีการแสดงออกซึ่งความคิด (Expression of Idea) เป็นของ ตนเอง มิใช่เพียงคัดลอกเลียนแบบของผู้อื่นในส่วนสาระสำคัญ เช่น หากเป็นนิยาย ถ้าไม่ได้มีเพียงการลอก พล็อตเรื่อง หรือโครงสร้างของเรื่องเท่านั้น แต่ลอกไปถึงรายละเอียดของตัวละครและเนื้อเรื่อง รวมถึงลำดับ เหตุการณ์ของเรื่อง ก็จะถือว่าเป็นการลอกเลียนในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ฎีกาที่ 6656/2549 เป็นการวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการดัดแปลงงานวรรณกรรมประเภทนวนิยายโดย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในนวนิยายเรื่อง “ไฟพระจันทร์” ของโจทก์ แต่จำเลยนำสืบให้ศาลเห็น ได้ว่านวนิยายเรื่อง “หางเครื่อง” ของจำเลยได้สร้างขึ้นจากชีวิตของนักร้องสาว ว. ทั้งยืนยันว่ามิได้มีการลอก เลียน หรือทำซ้ำในรายละเอียดของนวนิยายของโจทก์และลำดับเหตุการณ์แตกต่างกัน จึงฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้ ละเมิดลิขสิทธิ์ในนวนิยายของโจทก์ การนำเอาลักษณะท่าทางของผีที่อยู่ในนวนิยายมาทำให้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ลักษณะท่าทาง ดังกล่าวเป็นเพียงแนวคิดจินตนาการที่ต้องการทำให้คนกลัว เมื่อเป็นเพียงแนวความคิด จึงไม่อาจหวงกั้น ไม่ให้ผู้อื่นนำแนวคิดดังกล่าวไปใช้ได้ เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น ฎีกาที่ 18803-18804/2556 เนื้อหาในภาพยนตร์เรื่อง "เปนชู้กับผี" ไม่ถึงกับแสดงว่ามีการ ดัดแปลงมาจากนิยายผีของ ห. การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เคยให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้าง ภาพยนตร์จากนิยายผีของ ห. นั้น การได้แรงบันดาลใจนั้นอาจเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ซึ่งลำพังแนวความคิด ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 6 วรรคสอง งานอันมีลิขสิทธิ์ที่จะได้รับความ คุ้มครองต้องมีการนำความคิดมาแสดงออกเป็นงานแล้ว เมื่อมีแต่บางส่วนที่มีแนวความคิดคล้ายกันหรือใช้ แนวความคิดของ ห. ที่ได้เป็นแรงบันดาลใจ ก็ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ โดย การดัดแปลงงานวรรณกรรมนิยายผีที่ ห. เป็นผู้สร้างสรรค์มาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง “เปนชู้กับผี” ภาพผีไต่ลงจากเสาห้อยหัวลง ปรากฏว่าเคยมีคนใช้แนวคิดลักษณะเช่นนี้มาแล้ว จึงมีลักษณะเป็น แนวคิดจินตนาการลักษณะอาการของผีให้น่ากลัว หาใช่ว่าบุคคลใดใช้แนวความคิดวาดภาพเช่นนี้แล้วจะหวง กันให้ผู้อื่นไม่มีสิทธิใช้แนวคิดนี้ไปสร้างงานของตนได้ แม้การโฆษณาอาจทำให้เข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากงานวรรณกรรมของ ห. แต่โฆษณามี รายละเอียดต่อมาอีกมาก เมื่ออ่านโดยรวมแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการยกย่องผลงานของ ห. และจำเลยที่ 1 ได้แรง
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง บันดาลใจจากผลงานดังกล่าว นอกจากนี้ ในฉากจบยังมีข้อความว่า “ความดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ขออุทิศแด่ ห. บรมครูศิลปินผู้เป็นแรงบันดาลใจ” ทั้งเมื่อจำเลยที่ 1 ทราบว่าโจทก์ร่วม และโจทก์ที่ 2 เกรงว่าคนจะเข้าใจ ผิด ก็ได้รีบเชิญสื่อมวลชนมารับทราบว่าภาพยนตร์ดังกล่าวไม่ได้สร้างจากนิยายผีของ ห. แสดงถึงพฤติการณ์ ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่ต้องการยกย่อง และแสดงถึงการสร้างภาพยนตร์โดยได้แรงบันดาลใจจากงานของ ห. จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้โจทก์ร่วมและโจทก์ที่ 2 ต้องเสียหาย 2. ต้องมีการสร้างสรรค์โดยตนเอง (Originality) หลักการที่ว่างานอันมีลิขสิทธิ์นั้นจะต้องเป็นงานที่สร้างสรรค์ด้วยตนเอง เป็นหลักที่ไม่ได้บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ แต่เป็นหลักที่ศาลฎีกาได้วางเอาไว้ว่า งานที่สร้างสรรค์ขึ้นนั้นต้องเป็นงานที่ผู้สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ขึ้นโดยตนเอง โดยมิได้ลอกใคร โดยการใช้ทักษะและวิจารณญาณ (Labor, skill & judgment) ประกอบด้วย “ผู้สร้างสรรค์” หมายความว่า ผู้ทำ หรือ ผู้ก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีลิขสิทธิ์ตาม พระราชบัญญัตินี้ “Labor, skill & judgment” การสร้างสรรค์โดยตนเองจะต้องประกอบไปด้วย 3 สิ่ง ดังต่อไปนี้ คือ Labor ต้องมีการใช้แรงกาย Skill หรือ ทักษะ Judgment หรือ วิจารณญาณ การทำพจนานุกรม โดยนำคำต่าง ๆ มาเรียบเรียงความหมายและหลักการเขียน เป็นการสร้างสรรค์ ผลงานโดยใช้ทักษะและความวิริยะอุตสาหะ จึงเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ แม้การจัดทำพจนานุกรมจะมีวิธีจัดทำแบบเดียวกับวิธีที่ใช้มาแต่โบราณ แต่หากได้ใช้ความวิริยะ อุตสาหะในการสร้างสรรค์โดยตนเอง ก็เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ได้ ฎีกาที่ 2750/2537 การจะเป็นผู้สร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์นั้น ความสำคัญมิได้อยู่ที่ว่างานที่อ้างว่า ได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นงานใหม่หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าบุคคลผู้นั้นได้ทำหรือก่อให้เกิดงานโดยได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะ ในการสร้างสรรค์ และงานดังกล่าวมีที่มาหรือต้นกำเนิดจากบุคคลผู้นั้นโดยบุคคลผู้นั้นมิได้คัดลอกหรือทำซ้ำ หรือดัดแปลงมาจากงานอันมีลิขสิทธิ์ แม้การจัดทำพจนานุกรม จะมีวิธีจัดทำแบบเดียวกับวิธีที่ใช้มาแต่โบราณ โจทก์ก็อาจเป็นผู้สร้างสรรค์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในพจนานุกรมนั้นได้หากการจัดทำพจนานุกรมของโจทก์ เป็นงานที่ได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์ด้วยการให้บทนิยาม หรือความหมายของคำพร้อม ภาพประกอบความหมายของคำ โดยการแสดงออกซึ่งความคิดริเริ่มตามลีลาของโจทก์เอง มิได้ทำซ้ำหรือ ดัดแปลงจากงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต บทความเกี่ยวกับวิตามินอีจัดทำขึ้นโดยใช้ข้อความที่แตกต่างกัน แม้ประกอบด้วยข้อมูลเพียงย่อหน้า สั้น ๆ แต่บทความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเป็นการเรียบเรียงขึ้นโดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับวิตามินอี แสดงให้เห็น ถึงทักษะ การตัดสินใจและความวิริยะอุตสาหะในการนำเข้าข้อมูลที่มีอยู่ มาเรียบเรียงเป็นบทความ จึงเป็นงาน สร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ฎีกาที่ 11047/2537 บทความเกี่ยวกับวิตามิน อี ที่โจทก์จัดทำขึ้นตามเอกสารหมาย จ. 4 ถึง จ. 6 เป็นบทความที่จัดทำขึ้นด้วยการใช้ข้อความที่แตกต่างกัน แม้จะประกอบด้วยข้อมูลเพียง 3 ถึง 5 ย่อหน้าสั้น ๆ แต่บทความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเป็นการเรียบเรียงขึ้นโดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับวิตามิน อี ไม่ได้มีลักษณะเป็น เพียงการรวบรวมข้อมูล หรือเป็นการแปลข้อมูลจากบทความอื่นโดยตรง แต่ได้แสดงให้เห็นถึงทักษะ การ ตัดสินใจและความวิริยะอุตสาหะในการนำข้อมูลที่มีอยู่มาเรียบเรียงเป็นบทความ จึงเป็นงานสร้างสรรค์และ
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ถือได้ว่าเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย กฎหมายลิขสิทธิ์มุ่งประสงค์ที่จะให้ความคุ้มครองการ แสดงออก ไม่ได้ให้ความคุ้มครองความคิด ดังนั้น แม้บทความเอกสารหมาย จ. 7 ถึง จ. 9 จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ วิตามิน อี แต่ฝ่ายจำเลยนำสืบให้เห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวิตามิน อี มีอยู่แล้วใน บทความต่าง ๆ ซึ่งมีปรากฏเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั่วไป ข้อมูลดังกล่าวจึงไม่จำเป็นต้องนำมาจากบทความ เอกสารหมาย จ. 4 ถึง จ. 6 ทั้งบทความตามเอกสารหมาย จ. 7 ถึง จ. 9 มีการระบุถึงแหล่งที่มาของบทความ อ้างอิงไว้ด้วย เมื่อเปรียบเทียบบทความเอกสารหมาย จ. 7 ถึง จ. 9 กับบทความเอกสารหมาย จ. 4 ถึง จ. 6 แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีการนำข้อความที่เป็นสาระสำคัญในเนื้อหาของบทความเอกสารหมาย จ. 4 ถึง จ. 6 มาใช้ โดยตรง หรือเป็นการดัดแปลงบทความดังกล่าวเพียงเล็กน้อยหรือในส่วนที่ไม่สำคัญ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ละเมิดลิขสิทธิ์ในบทความเอกสารหมาย จ. 4 ถึง จ. 6 ของโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 18 บุคคล ย่อมมีสิทธิในการใช้ชื่อของตน การที่จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อโจทก์ในบทความเอกสารหมาย จ. 7 ถึง จ. 9 โดยไม่ได้ รับอนุญาตจากโจทก์ย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิในชื่อของโจทก์ จำเลยที่ 1 ละเมิดสิทธิในชื่อของโจทก์ หาได้ ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ จึงไม่จำต้องพิจารณาว่าจะนำข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 74 มาใช้แก่ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 หรือไม่ เมื่อไม่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายแล้วโจทก์จะต้องนำสืบตามข้อ กล่าวอ้างของตนให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการละเมิดสิทธิของโจทก์เช่นใด ภาพถ่ายผลไม้ เป็นผลงานที่โจทก์จะต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะในการจัดทำ ตั้งแต่คัดเลือกผลไม้ จัด องค์ประกอบ ถ่ายภาพ แล้วนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ จึงเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ ส่วนข้อมูลที่อธิบายถึงผลไม้ต่าง ๆ ถือเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทวรรณกรรม ฎีกาที่ 5259/2549 โจทก์เป็นนิติบุคคล แต่โจทก์ก็มีผู้แทนนิติบุคคลเป็นผู้ทำการแทนนิติบุคคล ตาม ป.พ.พ. มาตรา 70 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า ความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคล และมาตรา 67 บัญญัติว่านิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เว้นแต่สิทธิและหน้าที่ซึ่ง โดยสภาพจะพึงมีพึงได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดาเท่านั้น ประกอบกับ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 8 วรรคสอง ก็บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย ถ้าผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล นิติบุคคล นั้นต้องเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจึง เป็นผู้สร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์ได้ โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้สร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์ได้ โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์ เป็นผู้สร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์ได้ โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้สร้างสรรค์งานด้วยตนเองตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 18 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์เป็นผู้ทำ หรือก่อให้เกิดหนังสือชื่อผลไม้ชุดที่ 1 ด้วย ตนเอง โดยใช้ความรู้ความสามารถในฐานะสำนักพิมพ์สร้างสรรค์งานด้วยการทุ่มเทความรู้ วิจารณญาณ ฝีมือ แรงงาน โดยขั้นตอนถ่ายรูปผลไม้ต้องคัดสรรผลไม้ที่มีผลสมบูรณ์จากจังหวัดระยอง และจันทบุรีมาทำความ สะอาด จัดวางตำแหน่งผลไม้จากนั้นมีทีมงานช่างถ่ายภาพรูปลงในฟิล์มใหญ่ แล้วนำภาพไปสแกนโดยระบบ คอมพิวเตอร์เสร็จ แล้วมีข้อมูลอธิบายเกี่ยวกับผลไม้ประกอบรูปผลไม้ จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้ความวิริยะ อุตสาหะในการจัดทำหนังสือผลไม้ชุดที่ 1 แล้วภาพถ่ายรูปผลไม้จึงเป็นงานศิลปกรรมประเภทงานภาพถ่าย ส่วนข้อมูลอธิบายผลไม้เป็นงานวรรณกรรมประเภทสร้างสรรค์อันมีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 6 โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดหา หรือออกแบบรูปผลไม้โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเข้าไปสั่งการให้จำเลยที่ 2 ทำซ้ำ หรือดัดแปลงรูปภาพผลไม้จากหนังสือของโจทก์ จำเลย ที่ 1 จึงมิได้กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ภาพผลไม้ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงตุลาคม 2545 ของปฏิทินที่
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำเลยที่ 2 ทำขึ้นเป็นการทำซ้ำและดัดแปลงมาจากหนังสือผลไม้ชุดที่ 1 จึงละเมิดลิขสิทธิ์ในงานศิลปกรรม ภาพถ่ายของโจทก์ ส่วนข้อมูลอธิบายผลไม้อันเป็นงานวรรณกรรมของโจทก์ เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลในปฏิทิน กับในหนังสือแล้วแตกต่างกัน จำเลยที่ 2 จึงมิได้ละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมของโจทก์ โจทก์จัดทำหนังสือชื่อผลไม้ชุดที่ 1 แล้วยังพิมพ์งานปฏิทินชุดผลไม้ให้แก่ลูกค้าต่างประเทศ การที่ จำเลยที่ 2 นำไปดัดแปลงย่อมทำให้โจทก์ขาดรายได้ การที่จำเลยที่ 2 แจกจ่ายให้ลูกค้าแม้จะมิได้ขายก็ ก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่โจทก์และมิใช่เป็นการใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือบุคคลในครอบครัวกับไม่ เข้าข้อยกเว้นกรณีอื่นตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 32 วรรคสอง ทั้งยังขัดต่อการแสวงหา ประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์ตามมาตรา 32 วรรคแรก การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ตามมาตรา 27 (1) ข้อสังเกต การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ เพียงแค่แสดงออกทางความคิดอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ จะต้องมีการ สร้างสรรค์โดยตนเอง ถึงขนาดที่จะต้องมีการใช้แรงกาย ทักษะ และวิจารณญาณโดยไม่ได้ลอกเลียนงานจาก ผู้อื่นด้วย กรณีที่ไม่ถือว่ามีลิขสิทธิ์ เช่น เอกสารเสนอราคาที่ลอกเลียนมาจากแค็ตตาล็อกของบริษัทที่จัด จำหน่าย ย่อมไม่ใช่งานอันมีลิขสิทธิ์ ฎีกาที่ 6528/2546 ผู้ที่จะได้ลิขสิทธิ์จากการนำลิขสิทธิ์ของผู้อื่นมารวบรวม หรือประกอบเข้า ด้วยกันต้องใช้ความรู้ความสามารถ หรือความวิริยะอุตสาหะในระดับหนึ่ง โดยมิใช่เป็นการลอกเลียนงานอัน เป็นลิขสิทธิ์ของผู้อื่น โจทก์จัดทำเอกสารเพื่อประกอบการเสนอราคารถยนต์ปฏิบัติการตรวจเก็บกู้วัตถุระเบิด ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยลอกเลียนมาจากแค็ตตาล็อกของบริษัท พ. ทั้งหมด เพียงจัดเรียงองค์ประกอบ ให้สวยงามขึ้นเท่านั้น โจทก์มิได้ใช้ความริเริ่มของตนเองเพียงพอจนเป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดงานรวบรวมขึ้น จึงไม่ได้ลิขสิทธิ์ ดังนั้น แม้จำเลยไม่มีสิทธิที่จะนำแค็ตตาล็อกมาจัดทำเป็นส่วนหนึ่งเอกสารประกอบการเสนอ ราคาของจำเลยต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นกัน โดยที่บริษัท พ. ไม่ได้อนุญาตให้กระทำได้เพราะจำเลย ไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัท พ. ซึ่งหากเป็นการไม่ชอบก็เป็นเรื่องที่จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของ บริษัท พ. โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ฎีกาที่ 7121/2552 พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุให้สงสัยตามสมควรว่า เป็นไปได้ที่โจทก์ร่วมวาด แม่แบบก่อนการแกะแบบโดยลอกแบบส่วนใหญ่ หรือทั้งหมด มาจากงานประติมากรรมนางรำคู่ชิ้นหนึ่งที่ ปรากฏอยู่ที่เสาของโบราณปราสาทบายน จากนั้นจึงทำบล็อก และแกะแบบต่อไปตามลำดับ หรือไม่ก็อาจนำ ลายที่ลอกจากงานศิลปะที่พบเห็นได้ทั่วไป ทั้งที่เป็นศิลปะไทย หรือศิลปะขอม ซึ่งสามารถเขียนลอกลายกันได้ อย่างง่ายดายมาเขียนลอกลงไปในส่วนที่เป็นรายละเอียดของงานประติมากรรมนางรำคู่ ที่ปรากฏอยู่ที่เสาของ โบราณสถานปราสาทบายนอีกเพียงเล็กน้อย ซึ่งหากลักษณะการสร้างงานของโจทก์ร่วมเป็นเช่นนั้น ก็ไม่อาจ ถือได้ว่าการสร้างงานประติมากรรมนางรำคู่ของโจทก์ร่วมเป็นการสร้างงานที่มีความคิดริเริ่มด้วยตนเอง หรือใช้ ความวิริยะอุตสาหะที่เพียงพอแม้แต่เพียงขั้นเล็กน้อย แม้การทำซ้ำหรือดัดแปลงจากงานประติมากรรมนางรำคู่ ตามโบราณสถานจะต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะอยู่บ้าง แต่ก็เป็นความวิริยะอุตสาหะในการทำซ้ำหรือ ดัดแปลง มิอาจถือเป็นความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานถึงขนาดจะได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตาม ความหมายของกฎหมาย ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยจะได้ขายงานที่ทำซ้ำ หรือดัดแปลง จากงานประติมากรรมนางรำ
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง คู่ตามวัตถุพยานของโจทก์ร่วมหรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยย่อมไม่อาจเป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ของโจทก์ร่วม ฎีกาที่ 2160/2553 เอกสารประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ลูกค้าเข้าร่วมการสัมมนาที่จัดขึ้น ยังไม่ถึงกับ เป็นการใช้ความรู้ความสามารถ สติปัญญา วิริยะอุตสาหะที่เพียงพอถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการริเริ่มสร้างสรรค์ งานนิพนธ์อันเป็นวรรณกรรมที่จะได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ งานอันมีลิขสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นงานใหม่อย่างเช่นกรณีของสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ที่จะได้รับความ คุ้มครองตามกฎหมายสิทธิบัตรต่อเมื่อเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ซึ่งจะต้องเป็นงานที่ไม่เคยปรากฏอยู่แล้ว ดังนั้น งานอันมีลิขสิทธิ์จึงอาจเหมือน หรือคล้ายกับงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ปรากฏอยู่แล้วได้ ทั้งคุณค่าของงานและคุณค่าทางศิลปะไม่ใช่เงื่อนไขของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ แม้งานที่สร้างขึ้นนั้นจะไม่ มีคุณค่าของงานหรือไม่มีคุณค่าทางศิลปะ แต่ถ้าหากผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้นด้วยความวิริยะอุตสาหะ ด้วยความ ทุ่มเทกำลังและสติปัญญา ความรู้ ความสามารถประสบการณ์ และวิจารณญาณในการสร้างงานนั้น ไม่ใช่สักแต่ ทำขึ้น งานนั้นก็ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ โดยการคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นเป็นการคุ้มครองซึ่งการแสดงออกซึ่ง ความคิด ไม่ใช่การคุ้มครองแนวความคิดหรือความคิด ฎีกาที่ 19350/2557 จากบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4 และมาตรา 6 ประกอบกับหลักปรัชญาแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ งานสร้างสรรค์ประเภทศิลปกรรมที่มีลักษณะเป็นงาน ประติมากรรมจะเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 นั้น ต้องเป็นงาน ที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำ หรือก่อให้เกิดงานนั้นด้วยการริเริ่มขึ้นเอง (Originality) โดยมิได้ทำซ้ำ หรือดัดแปลงจาก งานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต งานอันมีลิขสิทธิ์ไม่จำต้องเป็นงานใหม่อย่างเช่นกรณีของ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิบัตรต่อเมื่อเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ หรือ ต้องไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว งานอันมีลิขสิทธิ์จึงอาจเหมือน หรือคล้ายกับงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ปรากฏอยู่แล้ว ได้ แต่งานที่เหมือน หรือคล้ายกันนั้น ต้องเกิดจากการริเริ่มสร้างสรรค์ขึ้นเองของผู้สร้างสรรค์โดยมิได้ทำซ้ำ หรือดัดแปลง จากงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต คุณค่าของงาน หรือคุณค่าทางศิลปะ ไม่ใช่ เงื่อนไขของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ แม้งานที่สร้างขึ้นนั้นจะไม่มีคุณค่าของงาน หรือคุณค่าทางศิลปะ หากผู้ สร้างสรรค์ได้ทำขึ้นด้วยความวิริยะอุตสาหะ ด้วยการทุ่มเทกำลังสติปัญญา ความรู้ความสามารถ ใช้ ประสบการณ์และวิจารณญาณในการสร้างงานนั้น มิใช่สักแต่ทำขึ้น งานนั้นก็ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ การ คุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการให้ความคุ้มครองรูปแบบของการแสดงออกซึ่งความคิด ไม่คุ้มครองความคิดหรือ แนวความคิด ปรากฏตามสินค้าของโจทก์ว่าเป็นรูปปั้นพระพักตร์พระพุทธรูปบนใบโพธิ์ซึ่งมีลักษณะเป็นงาน สร้างสรรค์รูปทรงที่เกี่ยวกับปริมาตรที่สัมผัสและจับต้องได้เป็นรูปสามมิติ รูปปั้นพระพักตร์พระพุทธรูปบนใบ โพธิ์นั้น จึงเป็นงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้แสดงออกโดยรูปแบบของงานประติมากรรม อันเป็นงานสร้างสรรค์ ประเภทศิลปกรรมอย่างหนึ่งตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4 แม้จะรับฟังข้อเท็จจริงที่ศาลทรัพย์สิน ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมาว่า รูปปั้นนั้นผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้นโดยเลียนแบบ ธรรมชาติหรือสิ่งที่ปรากฏมีอยู่ก่อนแล้ว คือ พระพักตร์พระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูป ซึ่งมีอยู่มานานนับพันปี แล้วก็ตาม ก็ถือได้ว่าผู้สร้างสรรค์งานรูปปั้นพระพักตร์พระพุทธรูปบนใบโพธิ์ได้สร้างสรรค์งานนั้นด้วยการริเริ่ม ขึ้นเอง และด้วยความวิริยะอุตสาหะแล้ว เพราะมิใช่การสร้างงานนั้นขึ้นโดยทำซ้ำ หรือดัดแปลง จากงาน ประติมากรรมรูปปั้นพระพักตร์พระพุทธรูปอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น เมื่อปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้แจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ใน
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ผลงานประติมากรรมรูปปั้นพระพักตร์พระพุทธรูปบนใบโพธิ์ดังกล่าวในชื่อผลงาน “คุ้มครอง” และ “โพธิ พักตร์” ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา จึงมีเหตุผลให้เชื่อว่าโจทก์เป็นผู้สร้างสรรค์งานประติมากรรมรูปปั้นพระ พักตร์พระพุทธรูปบนใบโพธิ์ดังกล่าว โจทก์ย่อมเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานประติมากรรมนั้น ฎีกาที่ 13535/2557 ในการจัดทำแผนที่ประกอบด้วยการดำเนินการในขั้นตอนของการสำรวจ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์เรียบเรียง และเลือกใช้ข้อมูล แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมานำเสนออันเป็นการแสดงออก ซึ่งความคิดในรูปแบบของแผนที่ แม้ถนน ซอย และสถานที่ต่าง ๆ ที่ลงในแผนที่จะเป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริง แต่ก็ต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะ และความรู้ความสามารถ ในการสำรวจวัดระยะ และจำลองรูปแผนที่โดยใช้ มาตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ได้รูปแผนที่ถูกต้องมีประโยชน์ในการใช้งานย่อมเป็นการสร้างสรรค์งานแผนที่ขึ้น อันเป็นงานศิลปกรรมอย่างหนึ่งและเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6 วรรคหนึ่ง และ 15 วรรคหนึ่ง แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาว่า ว. เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ในงานแผนที่ดังกล่าวได้ลิขสิทธิ์มาจากการรับโอนจากผู้สร้างสรรค์งาน แตกต่างจากคำฟ้องที่บรรยายว่า ว. เป็น ผู้ริเริ่มสร้างสรรค์เอง แต่ข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันนี้เป็นเพียงรายละเอียดของการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ของ ว. เท่านั้น ศาลย่อมรับฟังข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาได้ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่าง ประเทศ และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง แผนที่ที่ ว. มีลิขสิทธิ์อยู่แต่เดิมที่ทำในปี 2529 คือแผนที่เอกสาร หมาย จ. 28 แต่ ว. โอนลิขสิทธิ์ให้ บ. ครั้งละ 10 ปี 2 ครั้ง เป็นเวลา 20 ปี โดยแต่ละครั้งที่สิ้นสุดกำหนดเวลา โอนลิขสิทธิ์ทำให้ ว. ได้ลิขสิทธิ์กลับคืนมานั้น ย่อมได้คืนเฉพาะงานแผนที่ที่ได้โอนไปแต่แรกตามเอกสารหมาย จ. 28 เท่านั้น ส่วนแผนที่เพิ่มเติมที่ บ. ปรับปรุงย่อมไม่โอนไปยัง ว. เพราะไม่มีข้อตกลงให้โอนลิขสิทธิ์ส่วนที่ สร้างสรรค์เพิ่มเติม เมื่อ ว. ได้ลิขสิทธิ์ในแผนที่ตามเอกสารหมาย จ. 28 กลับคืนมาแล้วโอนลิขสิทธิ์ต่อแก่โจทก์ โจทก์นำมาจัดพิมพ์เป็นแผนที่เอกสารหมาย จ. 18 จึงมีส่วนที่เป็นแผนที่ดั้งเดิมตามเอกสารหมาย จ. 28 อยู่ ด้วยส่วนหนึ่ง กับส่วนที่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง โจทก์ย่อมมีลิขสิทธิ์โดยการรับโอนจาก ว. เฉพาะ แผนที่ส่วนดั้งเดิม และย่อมมีอำนาจฟ้องเฉพาะส่วนดังกล่าว แม้การทำแผนที่ออกมาเหมือนกัน โดยบุคคลคน ละคนกันอาจเป็นเพราะเป็นการจัดทำจากสภาพพื้นที่ที่มีอยู่จริง โดยไม่ได้ลอกเลียนกันอันไม่ถือเป็นการละเมิด ลิขสิทธิ์ แต่หากการทำแผนที่เหมือนกันโดยใช้แผนที่ที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นมาเป็นต้นแบบในคัดลอก ทำซ้ำ หรือดัดแปลง ย่อมเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เมื่อเปรียบเทียบแผนที่ที่เป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์กับแผนที่ของ จำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว พบส่วนที่คลาดเคลื่อนเหมือนกัน 3 รายการ ย่อมแสดงได้ว่าเป็นการลอกเลียนจาก แผนที่ที่โจทก์มีลิขสิทธิ์ แต่โจทก์มีลิขสิทธิ์เฉพาะงานแผนที่ที่สร้างสรรค์ขึ้นตั้งแต่ปี 2529 การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ลอกเลียนแผนที่ตามเอกสารหมาย จ. 18 ที่พัฒนามาจากแผนที่เอกสารหมาย จ. 28 มาก จนไม่อาจ ฟังได้ว่าเป็นการทำซ้ำโดยการคัดลอกงานแผนที่ตามเอกสารหมาย จ. 28 คงถือได้ว่าเป็นเพียงการดัดแปลง เท่านั้นจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์เอง เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำหน่ายแผนที่ ของตนก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่างานนั้นทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (1) และมาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) เป็นความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ละเมิดลิขสิทธิ์ของ โจทก์เพียงบางส่วนของงานตามฟ้องจึงสมควรกำหนดโทษให้น้อยลงตามสมควรด้วย
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การทำซ้ำแบบเรียนจำนวนสองถึงสี่หน้าจากจำนวน 50 หน้า ให้แก่นักเรียนจำนวน 20 ถึง 30 คน ซึ่งในส่วนที่ทำสามเป็นโจทก์ฝึกทักษะด้วยระบบลูกคิด ในแต่ละหน้าประกอบด้วยโจทย์หลายข้อซึ่งผู้สร้างสรรค์ ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะในการแสดงออกซึ่งความคิดของผู้สร้างสรรค์ในข้อนั้น ๆ ดังนั้นในทุก ๆ หน้าจึงเป็น ส่วนสาระสำคัญของแบบเรียนโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนหน้าแต่อย่างใด จึงเป็นการทำซ้ำตำราเรียนอันเป็นงาน วรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ ฎีกาที่ 10657/2559 แม้จะมีการทำซ้ำแบบเรียน “Smart Center Mental Arithmetic System Course 3 Book 1” จำนวน 2 หน้า จากจำนวนทั้งหมด 50 หน้า และแบบเรียน “Smart Center Mental Arithmetic System Course 3 Book 2” จำนวน 4 หน้า จากทั้งหมด 50 หน้า ให้แก่นักเรียนจำนวน ประมาณ 20 ถึง 30 คน แต่ในส่วนที่ทำซ้ำดังกล่าวเป็นโจทย์ฝึกทักษะด้วยระบบลูกคิดโดยในแต่ละหน้า ประกอบด้วยโจทย์หลายข้อ ซึ่งโจทย์แต่ละข้อผู้สร้างสรรค์ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะในการแสดงออกซึ่ง ความคิดของผู้สร้างสรรค์ในข้อนั้น ๆ ดังนี้ ในทุก ๆ หน้า จึงเป็นส่วนสาระสำคัญของแบบเรียนดังกล่าว โดยมิได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนหน้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ ตามข้อ 6.1 และข้อ 8.1 ของสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์และ เครื่องหมายการค้าระบุว่า ผู้รับอนุญาต (จำเลย) ตกลงว่าจะไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของ โจทก์ และข้อ 6.3 และข้อ 8.3 กำหนดให้ผู้รับอนุญาต (จำเลย) ต้องใช้หลักสูตรและวิธีการสอนตามเงื่อนไข และหลักเกณฑ์ที่ผู้อนุญาต (โจทก์) กำหนดไว้ กับทั้งข้อ 6.18 และข้อ 8.16 ผู้รับอนุญาต (จำเลย) ต้องใช้ แบบเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอนภายใต้ลิขสิทธิ์ของผู้อนุญาต (โจทก์) จากผู้อนุญาต (โจทก์) เท่านั้น แสดงว่าจำเลยจะต้องใช้หลักสูตรและวิธีการสอนตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่ผู้อนุญาต (โจทก์) กำหนดไว้โดย ต้องใช้แบบเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอนภายใต้ลิขสิทธิ์ของผู้อนุญาต (โจทก์) จากผู้อนุญาต (โจทก์) เท่านั้น ทั้งโจทก์มิได้อนุญาตให้จำเลยทำซ้ำตำราเรียนของโจทก์ การที่จำเลยอ้างว่าทำซ้ำตำราเรียนบางส่วน เพื่อเป็นการฝึกทักษะ จึงเป็นการกระทำนอกเหนือไปจากขอบเขตตามสัญญา โดยจำเลยประกอบกิจการ โรงเรียนกวดวิชา ซึ่งเป็นธุรกิจเพื่อหากำไร แม้จะเป็นการทำซ้ำโดยผู้สอนเพื่อประโยชน์ในการสอน แต่ก็เป็น การกระทำเพื่อหากำไรจากการประกอบกิจการโรงเรียนกวดวิชาของจำเลย จึงไม่เข้าข้อยกเว้นการละเมิด ลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 32 วรรคหนึ่งและวรรคสอง (6) นอกจากนี้โจทก์ได้รับ ค่าลิขสิทธิ์ซึ่งรวมอยู่ในรายได้จากการจำหน่ายตำราเรียนให้แก่นักเรียนที่มาเรียนที่โรงเรียนของจำเลยเท่านั้น โดยโจทก์มิได้อนุญาตให้จำเลยใช้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมตำราเรียนของโจทก์ การที่จำเลยทำซ้ำตำราเรียน อันเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์แม้เพียงบางส่วนโดยมิได้ชำระค่าลิขสิทธิ์แก่โจทก์ และการกระทำดังกล่าว เป็นช่องทางให้นักเรียนที่มาเรียนที่โรงเรียนของจำเลยไม่จำต้องซื้อตำราเรียนจากโจทก์ ย่อมเป็นการขัดต่อการ แสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของโจทก์ ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 32 วรรค หนึ่ง การที่จำเลยทำซ้ำตำราเรียนบางส่วนของโจทก์จึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ ของโจทก์ ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 27 (1) ข้อพิจารณา 1. เอาชื่อทางการค้า Exxon มาใช้จะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ศาลของสหรัฐอเมริกาได้วินิจฉัยว่า Exxon ถือว่าเป็นชื่อทางการค้าที่ติดไว้ในกิจการน้ำมัน ลำพังชื่อ “Exxon” ยังไม่ถึงขนาดที่จะเข้าองค์ประกอบในเรื่องของการสร้างสรรค์ด้วยตนเอง โดยศาลมองว่า Exxon
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เป็นเครื่องหมายการค้าในกิจการค้าน้ำมัน เป็นคำที่ไม่ได้สื่อถึงข้อมูล ไม่ได้ให้รายละเอียด ไม่ได้มีสุนทรียในด้าน วรรณกรรม จึงไม่ได้รับความคุ้มครองในด้านลิขสิทธิ์ 2. กฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครอง ชื่อ คำขวัญ สโลแกน สำนวน ชื่อเพลง ชื่อเครื่องหมายการค้าหรือไม่ สำหรับกรณีเหล่านี้ เมื่อพิจารณาก็จะเห็นได้ว่า ยังไม่ถึงขนาดที่จะเข้าเงื่อนไขอันที่จะได้รับความ คุ้มครองทางลิขสิทธิ์ แต่ก็จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นกรณีไป เพราะหากมีการพิสูจน์ว่าผู้สร้างสรรค์นั้นได้ กระทำถึงขนาดที่จะได้รับความคุ้มครองทางลิขสิทธิ์แล้ว ก็อาจจะได้รับความคุ้มครองได้ ข้อสังเกต หากมีการนำเฉพาะชื่อนวนิยายที่ชื่อว่า “อังยี่” มาใช้ เป็นชื่อภาพยนตร์โดยที่ไม่ได้ลอก เนื้อหาของนวนิยายมาด้วย ไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะการให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ในวรรณกรรมนั้น เป็นการคุ้มครองนวนิยายเนื้อหาทั้งเล่มไม่ใช่การคุ้มครองชื่อนวนิยายเท่านั้น หรือการเอาชื่อเพลงมาตั้งเป็นชื่อภาพยนตร์ก็ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ดนตรีกรรม เพราะลิขสิทธิ์ดนตรี กรรมนั้นหากมีเพียงชื่อ หรือคำร้อง แต่ไม่มีทำนอง ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองทางด้านลิขสิทธิ์ ดังนั้นการนำเอา เฉพาะชื่อเพลงมาตั้งเป็นชื่อภาพยนตร์จึงไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่สามารถฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ได้ ฎีกาที่ 876/2496 สลากปิดขวดยาก็ดี แผ่นพิมพ์ฉลากสรรพคุณยา ก็ดีแม้จะมีข้อความเหมือนกับ ฉลากของโจทก์ ก็เห็นว่าข้อความเช่นนี้ ไม่เป็นลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรม และศิลปกรรม โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะห้ามจำเลย หรือว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ได้ ข้อพิจารณา หากฉลากยามีการบรรยายสรรพคุณและวิธีการใช้ก็อาจจะเข้าความคุ้มครองลิขสิทธิ์ ทางด้านวรรณกรรมได้ แต่ลำพังเพียงตัวสลากปิดขวดยา ไม่เป็นลิขสิทธิ์และนอกจากนี้ถ้ามีการนำชื่อทางการ ค้าไปใช้ก็อาจจะเป็นการละเมิดเครื่องหมายทางการค้าได้แต่ฎีกานี้ไม่ได้วินิจฉัยไว้ 3. การกระทำโดยบังเอิญ เช่น การระบายสีโดยบังเอิญเพราะมือปัดไปโดนสีหกใส่ภาพ หรือการ ถ่ายภาพโดยบังเอิญ ได้รับการคุ้มครองหรือไม่ ไม่ได้รับความคุ้มครอง เพราะงานใดอันจะได้รับความคุ้มครอง จะต้องเป็นผลงานอันเกิดจากความคิด สร้างสรรค์ และกระทำโดยวิระยะอุตสาหะ วิจารณญาณ และใช้แรงกายในการกระทำด้วย ความบังเอิญ ไม่ถือ ว่าเป็นความตั้งใจแต่อย่างใด จึงไม่ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ 4. ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ลิขสิทธิ์หรือไม่ เทียบเคียงฎีกาที่ 7772/2557 วินิจฉัยว่า การนำตัวเลขรูปภาพและเครื่องหมายต่าง ๆ มาปรับใช้ เป็นโจทย์ปัญหาในวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนสามารถคิดวิธีทำและหาคำตอบได้ในเวลาอันรวดเร็ว มิได้มี เพียงทฤษฎีทางคณิตศาสตร์จึงมีลักษณะเป็นงานนิพนธ์ที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นเรื่องราวในรูปของหนังสือด้วย ความวิริยะอุตสาหะโดยใช้ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้วยการแสดงออก ซึ่งการริเริ่มของผู้ สร้างสรรค์เอง โดยมิได้ทำซ้ำ หรือดัดแปลง จากงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น จึงเป็นงานอันนี้ลิขสิทธิ์ประเภทงาน วรรณกรรม ฎีกาที่ 7772/2557 การที่โจทก์ร่วมนำตัวเลข รูปภาพและเครื่องหมายต่าง ๆ มาปรับใช้เป็นโจทย์ ปัญหาในวิชาคณิตศาสตร์เพื่อให้นักเรียนสามารถคิดวิธีทำและหาคำตอบได้ในเวลาอันรวดเร็วในหนังสือ "Smart Center Mental Arithmetic System Course 1 Book 1 " แ ล ะ "Smart Center Mental Arithmetic System Course 1 Book 2" นั้น มิได้มีเพียงทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ หนังสือของโจทก์ร่วมทั้งสอง เล่มดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นงานนิพนธ์ที่โจทก์ร่วมได้สร้างสรรค์ขึ้น เป็นเรื่องราวในรูปของหนังสือด้วยความ
pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง วิริยะอุตสาหะโดยใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ด้วยการแสดงออก ซึ่งการริเริ่มของโจทก์ร่วมเอง โดยมิได้ทำซ้ำ หรือดัดแปลง จากงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น อันเป็นงานวรรณกรรมตามความหมายในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หาใช่เป็นเพียงความคิด หรือขั้นตอนกรรมวิธี หรือระบบ หรือวิธีใช้หรือ ทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางคณิตศาสตร์อันไม่ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 6 วรรคสอง และโจทก์ร่วมมีสำเนาหนังสือรับรองการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาออก ให้เพื่อแสดงว่าโจทก์ร่วมได้แจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ผลงานหนังสือของโจทก์ร่วมทั้งสองเล่มดังกล่าวต่อกรมทรัพย์สิน ทางปัญญา ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรมหนังสือทั้งสองเล่มดังกล่าว จึง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และเป็นผู้เสียหาย ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมหนังสือ ทั้งสองเล่มนั้น การกล่าวอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ผลงานโดยเสนอความคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน ให้ความช่วยเหลือเสนอความคิดในฐานะที่เป็นคนรู้จักสนิทสนมกัน โดยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าได้มีการนำแนวคิดที่ ได้เสนอไปใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานจริงหรือไม่ จึงยังรับฟังไม่ได้ว่ามีการลงทุนลงแรงหรือมีส่วนร่วมทำหรือ สร้างสรรค์ผลงานมาตั้งแต่แรกเริ่ม ฎีกาที่ 7457/2550 มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่บริษัทโจทก์สร้างสรรค์ ผลงานอุลตร้าแมน บัญญัติว่า “ผู้ประพันธ์ ให้กินความถึงผู้แต่งเพลงดนตรี ผู้ทำ หรือก่อให้เกิดซึ่งศิลปกรรม เช่น ช่างเขียน ช่างภาพหุ่น สถาปนิก ฯลฯ ด้วย” และมาตรา 10 กำหนดว่า ผู้ประพันธ์มีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะ มอบอำนาจให้ผู้อื่นทำวรรณกรรม วิทยาศาสตรกรรม หรือศิลปกรรมของตน เป็นภาพยนตร์แสดงให้ประชาชน ดู ดังนั้น ในการสร้างงานศิลปกรรมหรืองานภาพยนตร์ การมีส่วนร่วมทำหรือร่วมก่อให้เกิดงานศิลปกรรม หรือ งานภาพยนตร์จึงเป็นสาระสำคัญของการที่จะได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ลิขสิทธิ์ ให้ความคุ้มครองการแสดงออกซึ่งความคิดในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่มิได้ให้ความคุ้มครองสิ่งที่เป็นเพียง ความคิด เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ร่วมสร้างสรรค์ผลงานอุลตร้าแมนพิพาท เพียงการที่จำเลยที่ 2 อ้างว่ามี ส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ผลงานอุลตร้าแมน โดยเสนอความคิดในการสร้างสรรค์ผลงานอุลตร้าแมน อัน เป็นการให้ความช่วยเหลือเสนอความคิดในฐานะที่เป็นคนรู้จักสนิทสนมกัน โดยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าได้มีการนำ แนวความคิดตามที่จำเลยที่ 2 เสนอไปใช้ในการสร้างผลงานอุลตร้าแมนจริงหรือไม่ ยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ลงทุนลงแรง หรือมีส่วนร่วมทำ หรือร่วมก่อให้เกิดผลงานอุลตร้าแมน และฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับ โจทก์สร้างสรรค์ผลงานอุลตร้าแมนตั้งแต่เริ่มแรก 3. งานลิขสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องใหม่ การสร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์นั้น ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่างานที่ได้สร้างสรรค์นั้นเป็นงานใหม่หรือไม่ แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า บุคคลนั้นได้ก่อ หรือได้ทำงานนั้น โดยใช้ความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์และงาน ดังกล่าวมีที่มา หรือต้นกำเนิดจากบุคคลนั้น โดยไม่ได้คัดลอกดัดแปลง หรือทำซ้ำมาจากงานอันมีลิขสิทธิ์อื่น เช่น นิยายต่าง ๆ ที่มีการนำเอาพล็อตเรื่องมาทำซ้ำกับเรื่องอื่น แม้พล็อตเรื่องจะไม่ใช่พล็อตเรื่องใหม่ แต่ถ้างาน นั้นมีการสร้างสรรค์รายละเอียด เนื้อเรื่องลำดับเหตุการณ์และตัวละครเองโดยผู้เขียน โดยใช้ความวิริยะ อุตสาหะ ก็ถือเป็นงานอันนี้มีลิขสิทธิ์ ฎีกาที่ 19305/2555 การจะเป็นผู้สร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์นั้น ความสำคัญมิได้อยู่ที่ว่างานที่อ้าง ว่าได้สร้างสรรค์นั้นเป็นงานใหม่หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าบุคคลนั้นได้ทำ หรือก่อให้เกิดงานโดยได้ใช้ความวิริยะ
pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อุตสาหะในการสร้างสรรค์ และงานดังกล่าวมีที่มา หรือต้นกำเนิดจากบุคคลผู้นั้น มิได้คัดลอกหรือทำซ้ำ หรือ ดัดแปลงมาจากงานอันมีลิขสิทธิ์อื่น เมื่อพิจารณาตุ๊กตารูปช้างของโจทก์ร่วมเปรียบเทียบกับภาพธงราชนาวีไทย และธงชาติไทยในอดีตที่มีรูปช้างทรงเครื่องอยู่กลางธง ซึ่งมีมาช้านานแล้ว มีการตกแต่งเครื่องทรงตัวช้างที่ คล้ายคลึงกัน แสดงว่างานที่โจทก์ร่วมอ้างว่าโจทก์ร่วมมีลิขสิทธิ์ตามฟ้องนั้นเป็นการปรับปรุงเล็กน้อย โดย ลอกเลียนแบบมาจากรูปช้างทรงเครื่อง ที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณเช่นที่ปรากฏอยู่ในธงราชนาวีไทยและธงชาติ ไทยในอดีต งานของโจทก์ร่วมจึงถือไม่ได้ว่าเป็นงานที่โจทก์ร่วมได้ทำขึ้นโดยใช้ความวิริยะอุตสาหะในการ สร้างสรรค์งานของโจทก์ร่วมเอง โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้สร้างสรรค์ตามความหมายแห่งมาตรา 4 ของ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 การรับแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา มิใช่เป็นการจดทะเบียนรับรอง สิทธิหรือยืนยันลิขสิทธิ์ของผู้แจ้ง แต่เป็นเพียงหลักฐานเบื้องต้นของผู้แจ้งว่าเป็นเจ้าของของลิขสิทธิ์เท่านั้น หากมีการโต้แย้งว่าผู้ใดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือไม่ต้องมีการพิสูจน์โจทก์ฟ้องจำเลยว่าละเมิดลิขสิทธิ์ โดยมิได้ กล่าวถึงเรื่องสิทธิบัตรมาด้วย ตามทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้อที่โจทก์ร่วมอ้างมาในอุทธรณ์ จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ไม่ชอบ ด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และ ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง 4. การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ไม่ต้องจดทะเบียน หากเป็นกรณีของเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตร จะต้องจดทะเบียน จึงจะได้รับความคุ้มครอง เพราะกรณีของสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้านั้น งานจะต้องมีความใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย จึงจะ สามารถจดทะเบียนได้ ซึ่งแตกต่างกับงานอันมีลิขสิทธิ์ เพราะองค์ประกอบของงานนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีความ ใหม่ เมื่อไม่จำเป็นต้องมีความใหม่ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องจดทะเบียน ดังนั้นงานอันมีลิขสิทธิ์แม้ไม่จดทะเบียนก็ ได้รับความคุ้มครอง ส่วนการไปจดแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์กับกรมทรัพย์สินทางปัญญานั้น เป็นเพียงหลักฐานในการจดแจ้งไว้ว่า ตนเองเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่สร้างสรรค์และได้สร้างสรรค์งานขึ้นก่อน ไม่ใช่การจดทะเบียน ฎีกาที่ 19305/2555 การรับแจ้งข้อมูล หรือลิขสิทธิ์ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นเพียง หลักฐานเบื้องต้นของผู้แจ้งว่าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น 5. งานลิขสิทธิ์ต้องชอบด้วยกฎหมาย สำหรับเรื่องสิทธิบัตรและเครื่องหมายทางการค้านั้น กฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า หากเครื่องหมาย ทางการค้า หรืองานสิ่งประดิษฐ์นั้น เป็นงานที่ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ก็จะไม่ สามารถจดทะเบียนได้ แต่บทบัญญัติในเรื่องลิขสิทธิ์นั้น ไม่ได้มีเรื่องนี้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ แต่ศาลฎีกาได้วาง หลักไว้ว่า งานลิขสิทธิ์นั้นต้องเป็นงานอันชอบด้วยกฎหมาย เช่น หนังลามกย่อมไม่ใช่งานอันมีลิขสิทธิ์ ฎีกาที่ 3705/2530 ลิขสิทธิ์ที่บุคคลสามารถเป็นเจ้าของได้ จะต้องเป็นลิขสิทธิ์ในงานที่ตน สร้างสรรค์โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อปรากฏว่าวีดีโอเทปของกลาง 1 ที่โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ มี บทแสดงการร่วมเพศระหว่างหญิงและชายบางตอนอันเป็นภาพลามก ซึ่งผู้ใดทำ หรือมีไว้หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง ในการค้า เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 งานของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่งานสร้างสรรค์ ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ผู้เสียหายตาม
pg. 13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) และไม่มีอำนาจฟ้องวีดีโอเทปของกลาง 2 ที่จำเลยอ้าง ส่งต่อศาลในระหว่างการพิจารณา ไม่ใช่ของกลางที่พนักงานสอบสวนได้ยึดไว้ในคดี และโจทก์มิได้มีคำขอให้ริบ แม้วีดีโอเทปดังกล่าวจะมีภาพลามกรวมอยู่ด้วยอย่างเดียวกันกับวีดีโอเทปของกลาง 1 ศาลก็ไม่มีอำนาจสั่งริบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบจึงเป็นการไม่ ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มี อำนาจยกขึ้นวินิจฉัยไม่ริบวีดีโอเทปดังกล่าวได้ คุณภาพของงาน จะถือเป็นสาระสำคัญของการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์หรือไม่ สำหรับประเด็นนี้ กฎหมายไม่ได้กำหนดว่างานลิขสิทธิ์ต้องมีคุณภาพก่อนจึงจะได้รับความคุ้มครอง โดย มาตรา 4 ในส่วนนิยามของงานศิลปกรรมนั้น ตอนท้ายกฎหมายกำหนดให้ความคุ้มครองไม่ว่างานนั้นจะมี คุณค่าทางศิลปะหรือไม่ ฎีกาที่ 5306/2550 โจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ข้อมูลการออกแบบ สร้างประกอบ ติดตั้งระบบกรอง น้ำ เครื่องกรองน้ำ และสารเคมีสำหรับปรับสภาพน้ำ ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับข้อมูลของบริษัทโจทก์ ข้อมูล ผลิตภัณฑ์หรือสินค้า ตัวเลขแสดงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ และรูปภาพผลิตภัณฑ์ประกอบ โดยโจทก์เป็นผู้ สร้างสรรค์ด้วยตนเองจากความรู้ ความสามารถ ความวิริยอุตสาหะ และประสบการณ์ในธุรกิจประเภทนี้มาคิด คำนวณออกแบบผลิตภัณฑ์จนสามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพสัมฤทธิผลได้ตามความต้องการของลูกค้า โดย มิได้ลอกเลียนมาจากผู้อื่น และโจทก์ได้แสดงออกซึ่งข้อมูลนั้นโดยนำมาลงในเว็บไซต์ของโจทก์เอง กับจัดพิมพ์ เป็นเอกสารภาษาอังกฤษเป็นเล่ม ซึ่งประกอบด้วยแค็ตตาล็อก โบรชัวร์ ประวัติความเป็นมาของบริษัท รายละเอียดคำอธิบายสินค้า และรูปภาพประกอบ โจทก์จึงย่อมได้ลิขสิทธิ์ในข้อมูลดังกล่าวซึ่งเป็นงาน วรรณกรรม ทั้งนี้ไม่ว่าข้อมูลซึ่งเป็นงานวรรณกรรมนั้นจะมีคุณภาพหรือไม่ มีคุณค่าทางสุนทรียภาพ มี อรรถรส มีคนอ่านหรือไม่มีใครอ่านก็ยังถือเป็นงานที่มีลิขสิทธิ์ในเมื่องานนี้เป็นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยตัว โจทก์เองกรณีหาจำต้องมีอรรถรสหรือสุนทรีภาษาแต่อย่างใดไม่ งานข้อมูลการออกแบบ สร้าง ประกอบ ติดตั้งระบบกรองน้ำ เครื่องกรองน้ำ สารเคมีสำหรับปรับสภาพน้ำและรูปภาพประกอบ ในเว็บไซต์ของโจทก์จึง เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 4 และมาตรา 6 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสามละเมิดลิขสิทธิ์งาน วรรณกรรมของโจทก์ โดยทำซ้ำ ดัดแปลงข้อมูล รูปภาพในเว็บไซต์และในเอกสารโฆษณาสินค้า การทำซ้ำ ดัดแปลงข้อมูลต่าง ๆ ของเครื่องกรองน้ำในเว็บไซต์ มิใช่เป็นการทำซ้ำ ดัดแปลงงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่ เป็นเพียงการทำซ้ำ ดัดแปลงข้อมูลต่าง ๆ ของเครื่องกรองน้ำซึ่งเป็นงานวรรณกรรมต่างหากจากงานโปรแกรม คอมพิวเตอร์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการกระทำละเมิดตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 27 และ มาตรา 31 มิใช่ละเมิดงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 30 เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันละเมิด ลิขสิทธิ์โจทก์โดยการนำข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำของโจทก์ไปทำซ้ำเป็นรูปเล่มสินค้าเครื่องกรองน้ำออก เผยแพร่ให้ลูกค้าของจำเลยทั้งสาม คดีโจทก์จึงมีมูลเฉพาะการละเมิดลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 27 และมาตรา 31 ส่วนงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 30 มิได้ถูกละเมิด จึงไม่มีมูล
pg. 14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ลิขสิทธิ์ตามกฎหมายไทย ตามคำจำกัดความในมาตรา 4 “ลิขสิทธิ์” หมายความว่า สิทธิแต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ ตาม พระราชบัญญัตินี้ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ข้อสังเกต เจ้าของลิขสิทธิ์อาจไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์ผลงาน กล่าวคือสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์อาจเกิดจากผู้ สร้างสรรค์ หรือผู้สร้างสรรค์เองอาจจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ก็ได้ เช่น ในกรณีที่มีการจ้างคนอื่นให้ทำผลงาน ผู้ สร้างสรรค์ก็จะไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์แต่ถ้าผู้สร้างสรรค์เป็นผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานเองโดยไม่มีใครจ้าง ผู้ สร้างสรรค์ย่อมเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งอาจจะมีการโอนลิขสิทธิ์ดังกล่าวให้บุคคลอื่นต่อไปในภายหลังก็ได้ ก็จะ ทำให้ผู้สร้างสรรค์ไม่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม สิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์และสิทธิของผู้ สร้างสรรค์นั้นแยกต่างหากจากกัน ซึ่งสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นบัญญัติอยู่ในมาตรา 15 ส่วนสิทธิของผู้ สร้างสรรค์นั้นบัญญัติอยู่ในมาตรา 18 ซึ่งเป็นธรรมสิทธิ์ งานที่ผู้สร้างสรรค์ทำขึ้นมีอะไรบ้าง งานอันมีลิขสิทธิ์จะต้องเป็นงานที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย โดยมาตรา 6 บัญญัติว่า งานอันมีลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่ งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ หรืองานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนก วิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะของผู้สร้างสรรค์ ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด การ คุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่คลุมถึงความคิด หรือขั้นตอน กรรมวิธี หรือระบบ หรือวิธีใช้หรือ ทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ตามมาตรา 6 สามารถแบ่งกลุ่มของงานลิขสิทธิ์ได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ 1. วรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม และดนตรีกรรม โดยเนื้องานของกลุ่มนี้เกิดจากงานสร้างสรรค์ ของผู้สร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็น บทความ การร่ายรำ หรือดนตรีก็ตาม “วรรณกรรม” หมายความว่า งานนิพนธ์ที่ทำขึ้นทุกชนิด เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ ปาฐกถา เทศนา คำปราศรัย สุนทรพจน์ และให้หมายความรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย ข้อสังเกต กรณีที่จะเป็นการละเมิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ต้องเป็นการคัดลอก หรือทำซ้ำ ในตัวของ โปรแกรม ถ้าเป็นการคัดลอกเนื้อหาคอนเทนท์ที่เขียนลงในเว็บไซต์ ไม่ถือเป็นการทำซ้ำซึ่งโปรแกรม คอมพิวเตอร์และไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นเพียงการละเมิดวรรณกรรมทั่วไป ฎีกาที่ 5306/2550 ข้อมูลการออกแบบเครื่องกรองน้ำถือเป็นงานวรรณกรรม ฎีกาที่ 2750/2537 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานถือเป็นงานวรรณกรรม ฎีกาที่ 1104/2537 บทความเกี่ยวกับวิตามินถือว่าเป็นงานวรรณกรรม ฎีกาที่ 5259/2549 หนังสือชื่อผลไม้ ถือเป็นงานวรรณกรรม ฎีกาที่ 11118/2558 รายการดำเนินงานวิจัยและบทความที่ร่วมกันเขียนมา แม้ต่างคนต่างส่งพิมพ์ เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการ ก็เป็นงานนิพนธ์อันถือเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ 2. โสตทัศนวัสดุ ภาพยนต์สิ่งบันทึกเสียง การแพร่เสียงแพร่ภาพ งานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทนี้ เป็นเนื้องานที่จะต้องมีการสร้างสรรค์และโดยตัวงานนั้นเป็นสื่อที่จะต้องมี การกระจายงานออกไปเพื่อการสื่อสารด้วย
pg. 15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สำหรับภาพยนตร์นั้น เป็นโสตทัศนวัสดุอย่างหนึ่ง โดยมีการนำมาสร้างภาพและเสียงให้เป็นภาพยนตร์ ซึ่งเมื่อมีการถ่ายทำแล้วก็จะต้องมีการบันทึกไว้ในสิ่งบันทึก เช่น ฟิล์ม จึงเป็นโสตทัศนวัสดุอย่างหนึ่ง ส่วนการแพร่เสียงแพร่ภาพนั้น ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการแพร่เสียงแพร่ภาพไม่ใช่ผู้ที่จัดงาน แต่เป็นผู้ที่ทำ การแพร่เสียงแพร่ภาพ เช่น ในการจัดประกวดนางงาม ผู้ที่มีสิทธิ์ในการแพร่เสียงแพร่ภาพงานจัดประกวดไม่ใช่ ผู้จัดงานประกวด แต่สิ่งที่นำไปแพร่เสียงแพร่ภาพนั้นเป็นสิ่งที่มีลิขสิทธิ์ ผู้ที่แพร่เสียงแพร่ภาพจึงเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ ส่วนผู้ที่จัดงานไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้นสัญญาให้แพร่เสียงแพร่ภาพจึงไม่ใช่สัญญาลิขสิทธิ์ เพราะลิขสิทธิ์จะ เกิดขึ้นเมื่อมีการแพร่เสียงแพร่ภาพเกิดขึ้น 3. งานอื่นใดในแผนกวรรณคดีวิทยาศาสตร์หรือแผนกศิลปะ งานเหล่านี้ไม่มีคำจำกัดความอยู่ในมาตรา 4 แต่งานประเภทนี้จะมีประโยชน์เมื่องานสร้างสรรค์ชิ้น หนึ่งมีลักษณะที่ไม่เข้ากับประเภทของงานตามข้อหนึ่งและข้อสอง แต่เป็นงานที่จำเป็นที่จะต้องได้รับความ คุ้มครอง กลุ่มของงานอันมีลิขสิทธิ์ในกลุ่มที่สามนี้จึงเป็นตัวช่วยทำให้งานดังกล่าวได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมาย เพื่อเป็นการอุดช่องโหว่ของกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลฎีกา วันนี้ขอจบการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ จบการบรรยาย สรุปโดย A03
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ บรรยายวันที่ 24 สิงหาคม 2566 (ครั้งที่ 6 )(สัปดาห์ที่ 14 ) สวัสดีครับวันนี้เป็นครั้งสุดท้ายของลิขสิทธิ์ในส่วนที่อาจารย์รับผิดชอบนะครับ ครั้งที่แล้วได้พูดถึงงาน อันมีลิขสิทธิ์ตาม มาตรา 6 ซึ่งมีทั้งหมด 3 กลุ่ม มาต่อกันเลยนะครับ กลุ่มที่ 1 วรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม และดนตรีกรรม งานวรรณกรรม คือ งานนิพนธ์ที่ทำขึ้นทุกชนิด เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ ปาฐกถา เทศนา คำปราศรัย สุนทรพจน์ และให้หมายความรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย โปรแกรมคอมพิวเตอร์คือตัวที่เพิ่มขึ้นมาจากผลการเจรจาทางการค้า ที่มีการจัดตั้งองค์การการค้าโลก ฎีกาที่ 5306/2550 โจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ข้อมูลการออกแบบ สร้าง ประกอบ ติดตั้งระบบกรอง น้ำ เครื่องกรองน้ำ และสารเคมีสำหรับปรับสภาพน้ำ ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับข้อมูลของบริษัทโจทก์ ข้อมูล ผลิตภัณฑ์หรือสินค้า ตัวเลขแสดงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ และรูปภาพผลิตภัณฑ์ประกอบ โดยโจทก์เป็นผู้ สร้างสรรค์ด้วยตนเองจากความรู้ ความสามารถ ความวิริยะอุตสาหะ และประสบการณ์ในธุรกิจประเภทนี้มา คิดคำนวณออกแบบผลิตภัณฑ์จนสามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพสัมฤทธิผลได้ตามความต้องการของลูกค้า โดยมิได้ลอกเลียนมาจากผู้อื่น และโจทก์ได้แสดงออกซึ่งข้อมูลนั้นโดยนำมาลงในเว็บไซต์ของโจทก์เอง กับ จัดพิมพ์เป็นเอกสารภาษาอังกฤษเป็นเล่ม ซึ่งประกอบด้วยแค็ตตาล๊อก โบรชัวร์ ประวัติความเป็นมาของบริษัท รายละเอียดคำอธิบายสินค้า และรูปภาพประกอบ โจทก์จึงย่อมได้ลิขสิทธิ์ในข้อมูลดังกล่าวซึ่งเป็นงาน วรรณกรรม ทั้งนี้ไม่ว่าข้อมูลซึ่งเป็นงานวรรณกรรมนั้นจะมีคุณภาพหรือไม่ มีคุณค่าทางสุนทรียภาพ มีอรรถรส มีคนอ่านหรือไม่มีใครอ่านก็ยังถือเป็นงานที่มีลิขสิทธิ์ในเมื่องานนี้เป็นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยตัวโจทก์เองกรณี หาจำต้องมีอรรถรสหรือสุนทรีภาษาแต่อย่างใดไม่ งานข้อมูลการออกแบบ สร้าง ประกอบ ติดตั้งระบบกรองน้ำ เครื่องกรองน้ำ สารเคมีสำหรับปรับสภาพน้ำและรูปภาพประกอบ ในเว็บไซต์ของโจทก์จึงเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 4 และมาตรา 6 วรรคหนึ่ง ฎีกาที่ 2750/2537 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานถือเป็นงานวรรณกรรม ฎีกาที่ 11047/2537 บทความเกี่ยวกับวิตามินอีถือเป็นงานวรรณกรรม ฎีกาที่ 5259/2549 หนังสือชื่อผลไม้ถือเป็นงานวรรณกรรม ฎีกาที่ 1118/2558 รายงานการดำเนินงานวิจัยและบทความที่ร่วมกันเขียนขึ้นมา แม้ต่างคนต่างส่ง พิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการ ก็เป็นงานนิพนธ์อันถือเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ คำถาม งานนิพนธ์ที่จะถือเป็นวรรณกรรมจำเป็นต้องมีการบันทึกงานไว้หรือไม่ ในส่วนนี้ยังไม่มีคำ พิพากษาฎีกา แต่ในส่วนนี้ของประเทศเราเป็นระบบ Civil law คือ ใช้ประมวลกฎหมาย ในความเห็นของ อาจารย์เห็นว่าจะต้องมีการเขียนไว้ว่า จะเป็นวรรณกรรมได้ต้องมีการบันทึกงาน ฉะนั้นความเห็นของอาจารย์มี ว่าเรื่องการบันทึกงานไม่เป็นเงื่อนไขที่จะได้มาซึ่งลิขสิทธิ์หรือไม่ เป็นเงื่อนไขว่าจะเป็นวรรณกรรมได้ต้องมี
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง บันทึกของงาน หากมีการฟ้องร้องกันโจทก์อ้างว่าแสดงปาฐกถา จำเลยบอกว่าไม่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์เพราะไม่ มีบันทึกของงานข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น โปรแกรมคอมพิวเตอร์หมายความว่า คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดที่นำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานหรือเพื่อให้ได้รับผลอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาโปรแกรม คอมพิวเตอร์ในลักษณะใด ฎีกาที่ 5306/2550 จำเลยทั้งสามละเมิดลิขสิทธิ์งานวรรณกรรมของโจทก์ โดยทำซ้ำ ดัดแปลงข้อมูล รูปภาพในเว็บไซต์และในเอกสารโฆษณาสินค้า การทำซ้ำ ดัดแปลงข้อมูลต่างๆ ของเครื่องกรองน้ำในเว็บไซต์ มิใช่เป็นการทำซ้ำ ดัดแปลงงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นเพียงการทำซ้ำ ดัดแปลงข้อมูลต่างๆ ของเครื่อง กรองน้ำซึ่งเป็นงานวรรณกรรมต่างหากจากงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการ กระทำละเมิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 27 และ มาตรา 31 มิใช่ละเมิดงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตาม มาตรา 30 เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์ โดยการนำข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำ ของโจทก์ไปทำซ้ำเป็นรูปเล่มสินค้าเครื่องกรองน้ำ ออกเผยแพร่ให้ลูกค้าของจำเลยทั้งสาม คดีโจทก์จึงมีมูล เฉพาะการละเมิดลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 27 และมาตรา 31 ส่วนงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตาม มาตรา 30 มิได้ถูกละเมิด จึงไม่มีมูล ฎีกาที่ 7586-7587/2555 ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4 คำว่า "โปรแกรม คอมพิวเตอร์" หมายความว่า คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดที่นำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ทำงาน หรือเพื่อให้ได้ผลอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใน ลักษณะใด และตามมาตรา 30 การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้แก่โปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งได้แก่ การทำซ้ำหรือดัดแปลง การ เผยแพร่ต่อสาธารณชน การให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานดังกล่าว ดังนี้ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องทั้งสองสำนวนว่า โจทก์เป็นผู้สร้างสรรค์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่เพียงผู้เดียว โดยใช้ชื่อผลงานใน เว็บไซต์ว่า "ไทยเพอร์ซันแนลคอนเน็กชันส์ (Thai Personal Connections)" และได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ (ที่ถูก แจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์) ประเภทงานวรรณกรรม ซึ่งมีลักษณะเป็นงานสิ่งเขียนไว้ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ของโจทก์มีชื่อเว็บไซต์ว่า "Thai Personal Connections" ที่มีข้อมูลของโจทก์อัน เกี่ยวกับการซื้อขายบ้าน ที่ดิน สื่อการนัดพบชาวต่างชาติ บริการรับทำวีซ่า รับจัดพิธีสมรส การให้บริการ แปลภาษา บริการเช่ารถยนต์ และธุรกิจเกี่ยวกับผ้าไหมไทย รายละเอียดปรากฏตามสำเนาโปรแกรม คอมพิวเตอร์เอกสารท้ายฟ้องนั้น เมื่อพิจารณาตามเอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าเอกสารดังกล่าว เป็นเอกสารที่แสดงข้อมูลของโจทก์ซึ่งปรากฏอยู่บนเว็บเพจในเว็บไซต์ที่อ้างว่าเป็น ของโจทก์และข้อมูลที่โจทก์อ้างว่าทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งข้อมูลของโจทก์ที่ปรากฏอยู่ บนเว็บเพจในเว็บไซต์โดยโจทก์อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษอัน เกี่ยวกับการซื้อขายบ้าน ที่ดิน สื่อการนัดพบชาวต่างชาติ บริการรับทำวีซ่า รับจัดพิธีสมรส การให้บริการ แปลภาษา บริการเช่ารถยนต์ และธุรกิจเกี่ยวกับผ้าไหมไทย ซึ่งมิใช่ภาษาคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาษาเครื่อง (machine language) โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนด้วยภาษาเครื่องเรียกว่า "object program" หรือ
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เป็นภาษาระดับสูง (high level language หรือ source language) โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนด้วย ภาษาระดับสูงเรียกว่า "Source program" ดังนั้น ข้อมูลของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด ที่นำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเขียนเป็นภาษาเครื่อง หรือภาษาระดับสูงดังกล่าว เพื่อให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ทำงานหรือเพื่อให้ได้รับผลอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ข้อมูลของโจทก์ดังกล่าวเป็นเพียงผลลัพธ์ที่ได้จาก การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว แสดงผลลัพธ์นั้นบนจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น ประกอบกับ ตามหนังสือรับรองการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์เอกสารท้ายฟ้อง โจทก์แจ้งต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาว่า ผลงานของ โจทก์ชื่อ "Thai Personal Connections" เป็นสิ่งเขียนอันเป็นงานวรรณกรรม มิได้แจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ว่างาน ดังกล่าวเป็นชุดคำสั่งที่นำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอันเป็นโปรแกรม คอมพิวเตอร์ซึ่งเขียนด้วยภาษาเครื่องหรือภาษาระดับสูงแต่อย่างใด แสดงว่าโจทก์มิได้เป็นผู้สร้างสรรค์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์อันจะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ดังนี้ ตามคำฟ้องทั้งสอง สำนวนดังกล่าวที่โจทก์หาว่าจำเลยทั้งสามละเมิดลิขสิทธิ์ในข้อมูลของโจทก์อันเกี่ยวกับการซื้อขายบ้าน ที่ดิน สื่อการนัดพบชาวต่างชาติ บริการรับทำวีซ่า รับจัดพิธีสมรส การให้บริการแปลภาษา บริการเช่ารถยนต์ และ ธุรกิจเกี่ยวกับผ้าไหมไทยในเว็บไซต์ ซึ่งปรากฏบนจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยการคัดลอกข้อมูลดังกล่าว ลงในเว็บไซต์ที่มีชื่อว่า เดอะ ไทย เพอร์ซันแนล ทัช (The Thai Personal Touch) ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อขายแก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น จึงไม่มีมูลอันจะเป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในโปรแกรม คอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 30 (1) และมาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) ดังที่โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องได้ ฎีกาที่ 4488/2559 การทำซ้ำโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก เจ้าของลิขสิทธิ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำซ้ำจากบันทึกของงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ที่ผู้เสียหาย อนุญาตให้ทำขึ้น หรือทำซ้ำจากบันทึกของงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของ ผู้เสียหาย ก็ล้วนเป็นการกระทำต่อโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ซึ่งถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงาน โปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 30 (1) เพราะชุดคำสั่งที่เขียนด้วยภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (source code) หรือภาษาเครื่อง (object code) อันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4 ซึ่งบันทึกอยู่ในงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายหรือบันทึกอยู่ในบันทึกของ งานที่ทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายนั้นเป็นตัวงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4 และ 6 กรณี POPCAT คือเกม พื้นฐานในการทำงานของเกมถือเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่ง ในตัว เกมคอมพิวเตอร์ต่างๆจะมีงานสร้างสรรค์อย่างอื่นที่เป็นเนื้อหาในเกม เค้าโครงของเรื่อง ตัวละคร คาแรกเตอร์ ต่างๆ ตรงนี้อาจจะได้รับการคุ้มครองในฐานะตัววรรณกรรมและอาจจะได้รับการคุ้มครอง ถ้ามีลักษณะเป็นงาน วาด งานเขียน ก็อาจจะได้รับการคุ้มครองในฐานะงานศิลปกรรม แต่ถ้าเป็นเนื้อหาลักษณะทั่วๆไปเช่น เกมแนว ต่อสู้ ผจญภัย ท่าทางต่อสู้ในเกม จะเป็นลักษณะคล้ายๆแนวความคิดก็จะไม่เป็นลิขสิทธิ์ แต่ถ้าเป็นระบบการ ทำงานของตัวโปรแกรมเกมคอมพิวเตอร์ก็เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ และยังมีส่วนที่เป็น งานวรรณกรรมและศิลปกรรมอื่นๆด้วย
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ศิลปกรรม หมายความว่า งานอันมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่าง ดังต่อไปนี้ (1) งานจิตรกรรม ได้แก่ งานสร้างสรรค์รูปทรงที่ประกอบด้วยเส้น แสง สี หรือสิ่งอื่น อย่างใดอย่าง หนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ลงบนวัสดุอย่างเดียวหรือหลายอย่าง จุดใหญ่เลยคือ ต้องเป็นการสร้าสรรค์งานลงบนวัสดุ การเพ้นท์หรือสักลงบนร่างกายมนุษย์ถ้าดูจากคำ จำกัดความไม่เป็นงานจิตรกรรมเพราะร่างกายคนเราไม่ถือเป็นวัสดุ ตรงนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจนะครับ ฎีกาที่ 1265/2563 ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4 และมาตรา 6 งานสร้างสรรค์ ประเภทศิลปกรรมที่มีลักษณะเป็นงานจิตรกรรมจะเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติ ดังกล่าวของ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 นั้น ต้องเป็นงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำหรือก่อให้เกิดงานนั้นด้วยการริเริ่ม ขึ้นเองโดยมิได้ทำซ้ำหรือดัดแปลงจากงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต งานอันมีลิขสิทธิ์ไม่จำต้อง เป็นงานใหม่อย่างเช่นกรณีของสิทธิบัตรการประดิษฐ์ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิบัตรต่อเมื่อ เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่หรือต้องไม่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้ว งานอันมีลิขสิทธิ์จึงอาจเหมือนหรือคล้ายกับงาน อันมีลิขสิทธิ์ที่ปรากฏอยู่แล้วได้ แต่งานที่เหมือนหรือคล้ายกันนั้นต้องเกิดจากการริเริ่มสร้างสรรค์ขึ้นเองของผู้ สร้างสรรค์โดยมิได้ทำซ้ำหรือดัดแปลงจากงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต คุณค่าของงานหรือ คุณค่าทางศิลปะไม่ใช่เงื่อนไขของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ แม้งานที่สร้างขึ้นนั้นจะไม่มีคุณค่าของงานหรือคุณค่า ทางศิลปะ หากผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้นด้วยความวิริยะอุตสาหะ ด้วยการทุ่มเทกำลังสติปัญญาความรู้ ความสามารถ ใช้ประสบการณ์และวิจารณญาณในการสร้างงานนั้น งานนั้นก็ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ โดย การคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการให้ความคุ้มครองรูปแบบของการแสดงออกซึ่งความคิด ไม่คุ้มครองความคิดหรือ แนวความคิด เมื่อพิจารณาถึงแบบซุ้มประตูเมืองที่ขยายมาตราส่วน ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรก ซุ้ม ประตูด้านบน ซึ่งประกอบไปด้วยรูปโบราณสถานของเมือง 5 อย่าง ได้แก่ ศาลหลักเมือง พระเจ้าศรีธรรมาโศก ราชและกำแพงเมือง พระบรมมหาธาตุ ศาลาพุทธสิหิงค์ และหอพระนารายณ์ ส่วนที่สอง คานของซุ้มประตู โดยด้านซ้ายและขวามีลายไทย 4 มุม วงกลมล้อมรูป 12 นักษัตร ด้านละ 6 ตัว ตรงกลางเป็นแผ่นป้าย “ยินดี ต้อนรับ เทศบาลนครนครศรีธรรมราช” และส่วนที่สาม เสาของซุ้มประตูเมือง โดยเสาซ้ายและขวามีลายเส้น ดอกไม้ใหญ่เริ่มจากตรงกลางเสา เสาละ 1 ดอก ส่วนเสากลางมีดอกไม้ 1 ดอก เริ่มตั้งแต่ฐานล่างสุดของเสา ด้านบนเป็นตราของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์นำสืบว่าได้ออกแบบโดยปรึกษากับนายภิญโญ ค้นประวัติของเมือง นครศรีธรรมราช ตรวจสอบศึกษาสถาปัตยกรรมพื้นบ้าน วัตถุโบราณ โบราณสถานในจังหวัด ภูมิปัญญาท้องถิ่น จุดเด่นของจังหวัด รวบรวมหลายอย่างเข้าด้วยกัน แล้วจินตนาการด้วยลีลาการเขียนจิตรกรรม ทำเป็นร่างงาน จิตรกรรมขึ้นมา ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทำหรือก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์ด้วยความวิริยะอุตสาหะแล้ว แม้ การออกแบบดังกล่าวของโจทก์จะเป็นไปตามนโยบายและแนวคิดของจำเลยที่ 1 และมีการปรับปรุงแก้ไขตาม คำแนะนำของจำเลยที่ 1 ตามที่ฝ่ายจำเลยอ้างก็ตาม แต่การคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นเป็นการคุ้มครองในการ แสดงออก ไม่คลุมถึงความคิดหรือแนวความคิด การที่โจทก์ปรับปรุงแก้ไขก็เพียงเพื่อให้เป็นไปตามความ ต้องการของทางจำเลยที่ 1 เพื่อที่โจทก์จะได้รับพิจารณาให้เป็นผู้ก่อสร้างซุ้มประตูตามแบบดังกล่าว นอกจากนี้ แม้ซุ้มประตูด้านบนจะประกอบไปด้วยโบราณสถานของจังหวัด ซึ่งบุคคลทั่วไปรู้จักและมีการก่อสร้างมานาน แล้วก็ตาม แต่การที่โจทก์เลือกโบราณสถานที่สำคัญของจังหวัดมาเพียง 5 รายการ โดยออกแบบโบราณสถาน
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ทั้งห้ารายการให้มีลักษณะ มุมมอง ลายเส้น และขนาด ที่เหมาะสมกับซุ้มประตู แล้วนำมาจัดเรียงกัน ตกแต่ง ด้วยลายไทย ลายดอกไม้ 12 นักษัตร โจทก์ย่อมต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะในการดำเนินการเพื่อให้ออกมาเป็น แบบได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าแบบซุ้มประตูเมืองดังกล่าวเกิดจากการทำซ้ำหรือดัดแปลงจากงานอันมีลิขสิทธิ์ของ ผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานศิลปกรรมอันมี ลักษณะงานจิตรกรรมในแบบซุ้มประตูเมืองดังกล่าว (2) งานประติมากรรม ได้แก่ งานสร้างสรรค์รูปทรงที่เกี่ยวกับปริมาตรที่สัมผัสและจับต้องได้ เช่น รูปปั้นต่างๆ (3) งานภาพพิมพ์ได้แก่ งานสร้างสรรค์ภาพด้วยกรรมวิธีทางการพิมพ์ และหมายความรวมถึง แม่พิมพ์หรือแบบพิมพ์ที่ใช้ในการพิมพ์ด้วย (4) งานสถาปัตยกรรม ได้แก่ งานออกแบบอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง งานออกแบบตกแต่งภายในหรือ ภายนอก ตลอดจนบริเวณของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง หรือการสร้างสรรค์หุ่นจำลองของอาคารหรือสิ่งปลูก สร้าง (5) งานภาพถ่าย ได้แก่ งานสร้างสรรค์ภาพที่เกิดจากการใช้เครื่องมือบันทึกภาพโดยให้แสงผ่านเลนซ์ ไปยังฟิล์มหรือกระจก และล้างด้วยน้ำยาซึ่งมีสูตรเฉพาะ หรือด้วยกรรมวิธีใดๆ อันทำให้เกิดภาพขึ้น หรือการ บันทึกภาพโดยเครื่องมือหรือวิธีการอย่างอื่น (6) งานภาพประกอบ แผนที่ โครงสร้าง ภาพร่าง หรืองานสร้างสรรค์รูปทรงสามมิติอันเกี่ยวกับ ภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ หรือวิทยาศาสตร์ (7) งานศิลปะประยุกต์ได้แก่ งานที่นำเอางานตาม (1) ถึง (6) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง รวมกันไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น นอกเหนือจากการชื่นชมในคุณค่าของตัวงานดังกล่าวนั้น เช่น นำไปใช้สอย นำไปตกแต่งวัสดุหรือสิ่งของอันเป็นเครื่องใช้หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้า ฎีกาที่ 5756/2551 โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานที่นำภาพการ์ตูน โดราเอมอนมาดัดแปลงเป็นงานศิลปะ ใช้ประยุกต์กับวัสดุสิ่งของ เครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มและนำมาใช้ ในทางการค้าลักษณะงานตามฟ้องจึงเข้าลักษณะเป็นงานศิลปะประยุกต์ กล่าวคือ เป็นงานที่นำเอางานภาพ การ์ตูนไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นนอกเหนือจากการชื่นชมในคุณค่าของตัวงานดังกล่าว โดยนำไปใช้เพื่อ ประโยชน์ทางการค้าตามนิยามคำว่า "งานศิลปะประยุกต์" ในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ซึ่ง มาตรา 22 บัญญัติไว้ว่าลิขสิทธิ์ในงานศิลปะประยุกต์ให้มีอายุยี่สิบห้าปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก งาน ของผู้เสียหายมีการโฆษณางานเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2512 งานดังกล่าวจึงมีอายุการคุ้มครองอยู่ ถึงเพียงวันที่ 1 ธันวาคม 2537 ขณะเกิดเหตุในคดีนี้ งานที่นำภาพตัวการ์ตูนโดราเอมอนมาดัดแปลงเป็นงาน ศิลปะ ใช้ประยุกต์กับวัสดุสิ่งของ เครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มและนำมาใช้ประโยชน์ทางการค้าตามฟ้องจึงไม่ มีลิขสิทธิ์อีกต่อไป ฎีกาที่ 6379/2537 (เคยออกข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา) แบบปากกาเป็นงานสร้างสรรค์อันเกิดจาก การนำเอาการสร้างแบบพิมพ์รูปลักษณะของปากกาและแบบแม่พิมพ์ซึ่งเขียนด้วยลายเส้นประกอบเป็น รูปทรงอันเข้าลักษณะศิลปกรรมประเภทงานจิตรกรรมและการสร้างแม่พิมพ์กับหุ่นจำลองของปากกาดังกล่าว
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ซึ่งเป็นงานสร้างสรรค์รูปทรงที่เกี่ยวกับปริมาตรที่สัมผัสและจับต้องได้ อันเข้าลักษณะศิลปกรรมประเภทงาน ประติมากรรมมาประกอบเข้าด้วยกัน และสร้างขึ้นเป็นปากกาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการขีดเขียนและเพื่อ ประโยชน์ทางการค้า อันเป็นประโยชน์อย่างอื่นนอกจากการชื่นชมในคุณค่าของตัวงานจิตรกรรมและ ประติมากรรมดังกล่าว งานสร้างสรรค์แบบปากกาจึงเป็นงานศิลปะประยุกต์อันอาจได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 4(7) ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีคุณค่าทางศิลปะหรือไม่ งานออกแบบปากกา ค. และ ล. ซึ่งรวมงานสร้างแบบพิมพ์รูปลักษณะของปากกา แบบแม่พิมพ์ หุ่นจำลองและแม่พิมพ์ปากกาเป็น ศิลปกรรมประเภทงานศิลปะประยุกต์ซึ่งเกิดจากการนำเอางานจิตรกรรมและประติมากรรมมารวมกัน โดย ย. ป. ข. กรรมการโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และ อ. ผู้รับจ้างจากโจทก์ที่ 1 ได้สร้างสรรค์ขึ้นขณะที่อยู่ใน ราชอาณาจักร บุคคลทั้งสี่จึงเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในแบบปากกา ค. และ ล. ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 6 ประกอบด้วย มาตรา 4 เมื่อบุคคลทั้งสี่ได้ทำหนังสือสัญญาโอนลิขสิทธิ์ในแบบปากกาดังกล่าวให้ แก่ โจทก์ทั้งสี่แล้ว โจทก์ทั้งสี่จึงเป็นผู้ได้ไปซึ่งลิขสิทธิ์และเป็นผู้ที่มีลิขสิทธิ์ในแบบปากกา ค. และ ล. ตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 7, 8 และ 15 ย่อมได้ รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ข้อสังเกต การจะเป็นงานศิลปะประยุกต์ได้ต้องเริ่มจากงานเป็นศิลปกรรมชนิดใดชนิดหนึ่งและนำงาน ศิลปกรรมนั้นมาใช้ประโยชน์ ฎีกาที่ 7117/2552 กรณีมีข้อพิจารณาว่าลูกล้อรถเข็นที่ใช้สำหรับทางเลื่อนที่โจทก์ที่ 1 เป็น ผู้ผลิต และโจทก์ที่ 2 สั่งสินค้าดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เข้าองค์ประกอบของงานอันมีลิขสิทธิ์ หรือไม่ โจทก์ทั้งสองไม่ได้นำบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงานจิตรกรรม งานภาพร่าง หรือแบบจำลองมา เบิกความเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ทำหรือก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์ดังกล่าวด้วยตนเอง (Originality) โดยใช้ ความคิดสร้างสรรค์หรือความวิริยะอุตสาหะอย่างไร เป็นการแสดงออกซึ่งความคิด (Expression of idea) ของ ผู้สร้างสรรค์เช่นใด นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาสินค้าลูกล้อตามวัตถุพยานจะเห็นว่าลูกล้อดังกล่าวมีลักษณะของ วัตถุที่ใช้งานในการทำให้สิ่งของเคลื่อนที่ได้ โดยมีคุณประโยชน์พิเศษคือมีระบบการล็อกล้อพิเศษสำหรับทาง เลื่อน ซึ่งรูปลักษณะของลูกล้อทางเลื่อนดังกล่าวเป็นไปตามข้อจำกัดของรูปแบบลูกล้อที่มีอยู่ทั่วไปในสังคมและ ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน รูปลักษณะที่ปรากฏจึงเป็นการสร้างลูกล้อเลื่อนขึ้นตามกรอบวัตถุประสงค์ของ การใช้งาน แล้วจึงปรับปรุงรูปแบบของลูกล้อเลื่อนให้มีความสวยงามน่าดู เช่น กำหนดส่วนเว้าโค้ง ส่วนมุม และเลือกใช้สีต่างๆ โดยความสวยงามน่าดูตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างนั้นไม่อาจที่จะแยกต่างหากไปจากตัว สินค้าที่มุ่งประสงค์ต่อประโยชน์การใช้สอยได้เลย พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองจึงรับฟังไม่ได้ว่า ลูกล้อ ดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นจากงานที่เกี่ยวข้องกับศิลปะในแง่ใดแง่หนึ่ง หรือเริ่มต้นจากงานที่มีความงาม (Aesthetic work) เป็นจุดเริ่มต้น แล้วนำงานดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการทำให้สิ่งของเคลื่อนที่ ลูกล้อทางเลื่อนดังกล่าว จึงไม่อาจถือเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ได้ ฎีกาที่ 5202/2552 วัตถุประสงค์ของการให้ความคุ้มครองงานศิลปะประยุกต์ คือการนำงาน ศิลปกรรมลักษณะต่างๆ มาใช้ในลักษณะที่เกิดประโยชน์อย่างอื่นนอกเหนือจากการชื่นชมในคุณค่าของตัวงาน ดังกล่าว เมื่อรับฟังได้ว่า ภาพกราฟฟิคบลูเพาเวอร์กับภาพวาดรูปมือเป็นงานศิลปกรรมลักษณะงานจิตรกรรม และเมื่อภาพดังกล่าวถูกนำไปใช้ประกอบกันบนซองบรรจุภัณฑ์เพื่อประกอบเครื่องหมายการค้า อันเป็นการ
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง นำเอางานศิลปกรรมไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้า การออกแบบซองบรรจุภัณฑ์ดังกล่าวจึงเป็นงาน ศิลปะประยุกต์ ฎีกาที่ 2681/2553 งานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทศิลปะประยุกต์ที่นำเอางานศิลปกรรมประเภทงาน ภาพร่าง ภาพประกอบ และหรืองานสถาปัตยกรรม อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างมารวมกันตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4 ได้ให้นิยามศัพท์คำว่า "ศิลปกรรม" ไว้ ในส่วนของงานสถาปัตยกรรมนั้นจะต้อง เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง ไม่ใช่เป็นเพียงการออกแบบตกแต่งสถานที่ที่ใช้ในการผลิต รายการ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ โดยตรง สำหรับงานภาพร่างและงานภาพประกอบ นั้น ตามนิยามศัพท์ข้างต้น งานภาพร่างและงานภาพประกอบจะต้องเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ หรือวิทยาศาสตร์ด้วย ไม่ใช่งานภาพร่างหรืองานภาพประกอบใดๆ ก็ได้ เมื่อรูปแบบรายการเกมโชว์ไม่อาจ พิจารณาว่าเป็นงานภาพร่าง งานภาพประกอบ และงานสถาปัตยกรรมแล้วย่อมไม่อาจเป็นงานศิลปะประยุกต์ได้ นาฏกรรม หมายความว่า "งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงที่ประกอบขึ้นเป็น เรื่องราว" แต่การเล่นเกมโชว์นับเป็นการแข่งขันภายใต้กรอบกติกาที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้เล่นเกมโชว์มีอิสระที่จะ กระทำการใดๆ ภายใต้กรอบกติกาดังกล่าวเพื่อให้ตนชนะการเล่นเกมโชว์นั้น มิใช่ว่าผู้เล่นเกมโชว์จะต้องปฏิบัติ ตนไปตามรูปแบบและกฎกติกาที่กำหนดไว้ เพราะมิเช่นนั้นแล้วการเล่นเกมโชว์ย่อมจะไม่ใช่การแข่งขันอย่าง แท้จริง การเล่นเกมโชว์จึงเป็นเช่นเดียวกับการแข่งขันกีฬา ไม่ใช่งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า หรือ การแสดงที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราวอันจะถือได้ว่าเป็นงานนาฏกรรมได้ รูปแบบรายการเกมโชว์ของโจทก์จึง ไม่ใช่งานนาฏกรรม ดนตรีกรรม หมายความว่า งานเกี่ยวกับเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อบรรเลงหรือขับร้องไม่ว่าจะมีทำนองและ คำร้องหรือมีทำนองอย่างเดียว และให้หมายความรวมถึงโน้ตเพลงหรือแผนภูมิเพลงที่ได้แยกและเรียบเรียง เสียงประสานแล้ว ดนตรีกรรมต้องมีคำร้องและทำนอง หรือทำนองเพลงอย่างเดียว ฉะนั้นเนื้อเพลงอย่างเดียวไม่เป็น ดนตรีกรรมแต่เป็นวรรณกรรม ฎีกาที่ 826/2548 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันนำเพลง "วันเวลา" และเพลง "เจ็บนิด เดียว" ไปลงโฆษณาเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์และเผยแพร่ทางโทรทัศน์ โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการละเมิด ลิขสิทธิ์ของโจทก์ แต่ทางไต่สวนโจทก์ได้ความว่าการกระทำที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ ของโจทก์นั้น เป็นการนำชื่อเพลงดังกล่าวไปลงโฆษณาเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์และเผยแพร่ทางโทรทัศน์และ ม้วนวิดีโอเทปบันทึกภาพพร้อมเสียง การกระทำที่เป็นการนำเพลงอันมีลิขสิทธิ์ไปลงโฆษณาเผยแพร่ใน หนังสือพิมพ์และเผยแพร่ทางโทรทัศน์ตามฟ้อง กับการนำแต่ชื่อเพลงอันมีลิขสิทธิ์ไปลงโฆษณาเผยแพร่ใน หนังสือพิมพ์และเผยแพร่ทางโทรทัศน์นั้นเป็นการกระทำที่แตกต่างกัน งานเพลงเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภท ดนตรีกรรม ซึ่งงานดนตรีกรรมที่จะถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 4 จะต้องมีทำนอง เพลงหรือโน้ตเพลงหรือแผนภูมิเพลงที่ได้แยกและเรียบเรียงเสียงประสานแล้วเป็นหลัก จะมีคำร้องด้วยหรือไม่ ก็ได้ ลำพังเฉพาะคำร้องหรือชื่อเพลงยังไม่ถือว่าเป็นงานดนตรีกรรมอันมีลิขสิทธิ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อ บริษัทจำเลยที่ 1 ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ด้วยข้อความว่า "หมดปัญหากับภาษาต่างดาวด้วย SOKEN VCD &
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง DVD โชว์ชื่อเพลง MP3 เป็นภาษาไทย" และมีข้อความว่า "แสดงหน้าจอ MP3 แบบภาษาไทยจาก VCD SOKEN 190" อยู่ใต้จอภาพเครื่องรับโทรทัศน์ ซึ่งมีข้อความในจอภาพนั้นว่า "แผ่นดิสก์ MP3 01 วันเวลา 02 "เจ็บนิดเดียว" ส่วนสปอตโฆษณาทางโทรทัศน์ก็เป็นการโฆษณาเช่นเดียวกับที่ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ จึงเป็น การเอาแต่ชื่อเพลง "วันเวลา" และชื่อเพลง "เจ็บนิดเดียว" มาโฆษณาเผยแพร่ต่อสาธารณชนเท่านั้นมิได้นำ ทำนองเพลงหรือโน้ตเพลงหรือแผนภูมิเพลง ที่ได้แยกและเรียบเรียงเสียงประสานและคำร้องของเพลงทั้งสอง ดังกล่าวอันเป็นงานดนตรีกรรมมาโฆษณาเผยแพร่ต่อสาธารณชนแต่อย่างใด ลำพังเฉพาะชื่อเพลงทั้งสองมิใช่ งานดนตรีกรรมอันมีลิขสิทธิ์ตามความหมายที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 4 และ 6 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ การนำเอาแต่ชื่อเพลงซึ่งมิใช่งานดนตรีกรรมมาโฆษณาเผยแพร่ต่อสาธารณชนไม่อาจถือเป็นการกระทำอันเป็น การละเมิดลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมได้ ทั้งการกระทำดังกล่าวก็เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะโฆษณาขาย สินค้าเครื่องเล่น "VCD SOKEN 190" ของตนเท่านั้น มิได้เจตนากระทำละเมิดลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมนั้นแต่ อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสามไม่เป็นการละเมิดงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ ฎีกาที่ 9602/2554 พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4 ให้ความหมายของคำว่า ดนตรีกรรม ว่า งานเกี่ยวกับเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อบรรเลงหรือขับร้องไม่ว่าจะมีทำนองและคำร้องหรือทำนองอย่างเดียว และให้ หมายความรวมถึงโน้ตเพลงหรือแผนภูมิเพลงที่ได้แยกและเรียบเรียงเสียงประสานไว้แล้ว ดังนั้น งานดนตรี กรรมที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ จึงต้องมีทำนองเพลงเป็นสำคัญ จะมีคำร้องหรือไม่ ไม่ใช่ข้อ สำคัญ ลำพังเพียงทำนองเพลงอย่างเดียวก็ถือว่าเป็นงานดนตรีกรรมแล้ว โดยไม่นำคุณค่าของงานดนตรีกรรม มาเป็นเงื่อนไขแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ เพราะหากผู้แต่งเพลงได้ริเริ่มสร้างสรรค์งานเพลงนั้นขึ้นเองด้วยความ วิริยะอุตสาหะโดยมิได้ทำซ้ำหรือดัดแปลงจากงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ไม่ว่างานเพลง ที่แต่งขึ้นนั้นจะเป็นที่นิยมของผู้ฟังเพียงใดหรือไม่ หรือผู้แต่งเพลงนั้นอาจขายลิขสิทธิ์ในเพลงนั้นให้แก่ผู้ใดได้ เพียงใดหรือไม่ก็ตาม งานเพลงนั้นก็ได้รับความคุ้มครองทันทีที่สร้างสรรค์งานเพลงนั้นเสร็จ เมื่อโจทก์เป็นผู้ สร้างสรรค์งานเพลงโดยเป็นผู้แต่งทั้งคำร้องและทำนองเพลงหนุ่มดอย งานเพลงหนุ่มดอยของโจทก์ย่อมเป็น งานดนตรีกรรมอันมีลิขสิทธิ์และได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 การใช้สิทธิป้องกันลิขสิทธิ์ และเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิดลิขสิทธิ์เพลงหนุ่มดอยของโจทก์เป็นการใช้สิทธิที่ได้รับความ คุ้มครองตามกฎหมาย การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงมิใช่การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมโดยเป็นผู้สร้างสรรค์ทั้งคำร้องและทำนองเพลงชื่อเพลง "หนุ่มดอย" ซึ่งเพลงหนุ่มดอยของโจทก์มีคำร้องและทำนองในท่อนสร้อยว่า "ผม ผม ผม ผม ผม ผมเอาแครอต มาฝาก อยาก อยาก อยาก อยาก อยาก อยากให้เธอได้กิน กิน กิน กิน แครอต ร่างกายๆ แข็งแรง แก้มของเธอ จะแดง แดงเหมือนสีแครอต" ซึ่งการเปิดครั้งหนึ่งจะต้องเล่นท่อนสร้อยดังกล่าวซ้ำจำนวน 4 ครั้ง ตอนท้ายของ เพลงจะเล่นซ้ำท่อนสร้อยเฉพาะข้อความว่า "แก้มของเธอจะแดง แดงเหมือนสีแครอต" เพิ่มอีกหนึ่งครั้ง และใน ตอนท้ายของท่อนสร้อยจะมีคำร้องและทำนองคำว่า "ลา ลันลา" ต่อท้ายทุกครั้ง ส่วนเพลง "เด็กดอยใจดี" ของ จำเลยทั้งสามที่จำเลยที่ 3 ประพันธ์ขึ้นใหม่ มีคำร้องและทำนองในท่อนสร้อยว่า ผมเอาแครอตมาฝาก อยากให้ เธอได้กิน ผักมีวิตามิน ไม่ต้องกินของแพง ผมเอาแครอตมาฝาก อยากให้เธอแข็งแรง แก้มของเธอจะแดง แดง เหมือนสีแครอต ลา... ลันลา ลันลา ลัน ลัน ลันลา ลันลา ลันลา" และในการเปิดเพลงเด็กดอยใจดี 1 ครั้ง
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จะต้องเล่นท่อนสร้อยดังกล่าวซ้ำจำนวน 3 ครั้ง และในตอนท้ายของท่อนสร้อยจะมีคำร้องและทำนองคำว่า "ลา ลันลา" ต่อท้ายทุกครั้ง ซึ่งการมีทำนองและคำร้องท่อนสร้อยจำนวน 3 ถึง 4 ครั้ง ย่อมทำให้ผู้ฟังจดจำ เพลงดังกล่าวได้ง่ายจากท่อนสร้อย คำร้องและทำนองในท่อนสร้อยหรือท่อนฮุคของเพลงหนุ่มดอยและเพลง เด็กดอยใจดีจึงเป็นสาระสำคัญของเพลง เมื่อเพลงเด็กดอยใจดีมีเนื้อร้องคำว่า "แก้มของเธอจะแดง แดงเหมือน สีแครอต" ในท่อนสร้อยและคำว่า "ลา ลันลา" ในตอนท้ายเช่นเดียวกับเพลงหนุ่มดอยของโจทก์และจำเลยทั้ง สามมิได้ให้การปฏิเสธว่าการแต่งทำนองเพลงท่อนสร้อย ของเพลงเด็กดอยใจดีมิได้เลียนแบบและมิได้ทำซ้ำโดย ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนอันเป็นสาระสำคัญ ของทำนองเพลงหนุ่มดอยของโจทก์ ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังได้ ว่าการประพันธ์เพลงเด็กดอยใจดีของจำเลยที่ 3 เป็นการทำซ้ำและดัดแปลงด้วยการเลียนแบบและปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนอันเป็นสาระสำคัญของทำนองเพลงหนุ่มดอยของโจทก์โดยไม่มีลักษณะเป็นการจัดทำงาน ขึ้นใหม่ จึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 27(1) จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้มีลิขสิทธิ์และผู้จัดจำหน่ายอัลบั้มเพลงที่ประกอบด้วยเพลงเด็กดอย ใจดีโดยว่าจ้างให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้แต่งคำร้องและทำนอง จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการผลิตสิ่งบันทึกเสียงและ แถบบันทึกภาพ จัดจำหน่าย ให้เช่า แลกเปลี่ยนซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ รวมทั้งงานอื่นใดอันมีลิขสิทธิ์ ส่วนจำเลยที่ 2 ประกอบกิจการจัดสร้างและจำหน่ายภาพยนตร์ ละคร เนื้อร้อง ทำนองแพร่ภาพแพร่เสียงแทนผู้ผลิตในสื่อต่างๆ แก่บุคคลหรือนิติบุคคลทั่วไป และเป็นบริษัทในเครือของ บริษัทจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมรู้จักเพลงหนุ่มดอยของโจทก์และทราบว่าจำเลยที่ 3 ร่วมแต่งคำ ร้องในเพลงหนุ่มดอยกับโจทก์ และทราบเป็นอย่างดีว่าเพลงหนุ่มดอยของโจทก์ไม่ประสบผลสำเร็จด้าน การตลาด จึงต้องการให้จำเลยที่ 3 ช่วยแก้ไขปรับปรุงเพลงหนุ่มดอยให้เป็นเพลงเด็กดอยใจดีและให้เด็กหญิง ช. ขับร้อง แล้วจัดทำเป็นซีดีออกจำหน่ายจนประสบผลสำเร็จในด้านการตลาด พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และ ที่ 2 มีลักษณะเป็นการร่วมกันก่อให้จำเลยที่ 3 กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์งานเพลงหนุ่มดอยของโจทก์ ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ทำซ้ำและดัดแปลงเพลงหนุ่มดอย ซึ่งเป็นงานดนตรีกรรมอันมีลิขสิทธิ์ ของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ และการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันผลิตออกจำหน่ายซีดีเพลงและวี ซีดีคาราโอเกะดังกล่าวจึงเป็นการทำซ้ำและนำสิ่งบันทึกเสียงและภาพยนตร์ที่ทำซ้ำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ออก ขายตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27 (1) และ 31 (1) ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในฐานละเมิด ลิขสิทธิ์ต่อโจทก์ นาฏกรรม หมายความว่า งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงที่ประกอบขึ้นเป็น เรื่องราว และให้หมายความรวมถึงการแสดงโดยวิธีใบ้ด้วย เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว ฎีกาที่ 2681/2553 นาฏกรรม หมายความว่า "งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า หรือการ แสดงที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว" แต่การเล่นเกมโชว์นับเป็นการแข่งขันภายใต้กรอบกติกาที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้เล่น เกมโชว์มีอิสระที่จะกระทำการใดๆ ภายใต้กรอบกติกาดังกล่าวเพื่อให้ตนชนะการเล่นเกมโชว์นั้น มิใช่ว่าผู้เล่น เกมโชว์จะต้องปฏิบัติตนไปตามรูปแบบและกฎกติกาที่กำหนดไว้ เพราะมิเช่นนั้นแล้วการเล่นเกมโชว์ย่อมจะ ไม่ใช่การแข่งขันอย่างแท้จริง การเล่นเกมโชว์จึงเป็นเช่นเดียวกับการแข่งขันกีฬา ไม่ใช่งานเกี่ยวกับการรำ