The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทรัพย์สินทางปัญญา (ภาคปกติ) 66

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Narin Ker Kirdteraphong, 2024-06-06 04:27:33

ทรัพย์สินทางปัญญา (ภาคปกติ) 66

ทรัพย์สินทางปัญญา (ภาคปกติ) 66

5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สินค้าของจำเลย มีคำว่า Mita ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าเครื่องถ่าย เอกสาร แต่ในส่วนของตัวจำเลย ศาลฎีกามองว่าเขาไม่ได้มีการนำเอาคำดังกล่าวมาใช้อย่างเครื่องหมาย การค้า และไม่ได้เขียนคำว่า Mita ในลักษณะเดียวกับโจทก์ร่วม ประกอบกับที่กล่องสินค้าของจำเลยทั้ง 3 ปรากฏป้ายชื่อและที่อยู่ของจำเลยที่ 2 มิได้ระบุชื่อบริษัทโจทก์ร่วม และเมื่อกล่องสินค้าของจำเลยทั้ง 3 กับ ของโจทก์ร่วมแตกต่างกันอย่างชัดเจน และราคาสินค้าของจำเลยทั้ง 3 และโจทก์ร่วมก็ยังแตกต่างกันมาก ศาลฎีกามองว่า ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้เสนอหรือจำหน่ายสินค้าที่มีชื่อหรือข้อความในการประกอบ สินค้าให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ฎีกาที่ 547/2538 ฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ที่กล่องบรรจุสินค้าผงหมึกและฉลากติดสินค้าข้างขวดผง เหล็กจะมีคำว่า Mita ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ในประเทศไทยสำหรับ สินค้าเครื่องถ่ายเอกสาร แต่จำเลยทั้งห้ามิได้นำคำดังกล่าวมาใช้อย่างเครื่องหมายการค้าดังกล่าว คือ สินค้าผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย มิได้ระบุว่าเป็นผงหมึก และผงเหล็กภายใต้เครื่องหมายการค้า คำว่า Mita ของโจทก์ที่ 1 สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไม่มี เครื่องหมายการค้าระบุหรือติดไว้ที่กล่อง หรือขวดบรรจุสินค้า สิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ โจทก์ที่ 1 เป็นสิทธิแต่ผู้เดียว เพื่อใช้เครื่องหมายการค้านั้น สำหรับสินค้าจำพวกที่ได้จดทะเบียนไว้ เพื่อระบุ ว่าสินค้านั้นเป็นของโจทก์ที่ 1 และแยกแยะให้เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่ 1 แตกต่างจากสินค้าของผู้ผลิตอื่น เท่านั้น หาได้รวมไปถึงสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะผลิตสินค้าขาย หรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่ผลิตขึ้นอันเป็นสิทธิของ ผู้ทรงสิทธิบัตร (ซึ่งสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของสิทธิบัตร) ประกอบกับกล่องและขวดบรรจุผงหมึกและผงเหล็ก ที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่ายก็มิได้เขียนคำว่า Mita ให้มีลักษณะบ่งเฉพาะว่า Mita เช่นเดียวกับของโจทก์ ที่ 1 แต่เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ว่า MITA และคำว่า TONE กับ DEVELOPER เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ เช่นเดียวกัน รวมทั้งข้อความ ซึ่งหมายความว่า ใช้กับหรือใช้สำหรับ ก็เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ชัดเจน เพราะฉะนั้นศาลฎีกาจึงมองว่ามีความแตกต่างและไม่ได้เอามาใช้กับตัวสินค้า จึงไม่เป็นการละเมิดเรื่องของ เครื่องหมายการค้าแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นฎีกานี้จึงเป็นฎีกาที่จริง ๆ แล้วเคยใช้ในการออกสอบของสำนักอบรมเนติมาแล้ว และ เป็นกรณีที่ข้อสอบออกมาในยุคต้น ๆ คือมีการพูดถึงเรื่องเครื่องถ่ายเอกสารและพูดถึงเรื่องผงหมึก จดทะเบียนเครื่องถ่ายเอกสาร แต่ Mita เป็นเรื่องผงหมึก มีปัญหาว่า จะผิดเรื่องลิขสิทธิ์หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ผิดลิขสิทธิ์ ลิขสิทธิ์นั้นไม่ได้คุ้มครองเรื่องของผงหมึก ส่วนสิทธิบัตรก็มีเรื่องของการ คุ้มครองที่ขาดอายุไป ถามว่า ผิดเรื่องของเครื่องหมายการค้าหรือไม่ ตอบ หากตัวเครื่องหมายไม่ได้ใช้กับสินค้า ก็ไม่ผิดเรื่องของเครื่องหมายการค้า เช่นเดียวกับในกรณีหลายปีก่อนมีการประกวดโลโก้ของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง และปรากฏว่า ต่อมามีคนมาร้องว่าสถานีโทรทัศน์แห่งนั้นละเมิดเครื่องหมายการค้า ปรากฏว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือ คนที่ร้อง จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเสื้อผ้า แต่ในส่วนโลโก้เป็นเหมือนชื่อทางการค้าซึ่งไม่ได้นำมาใช้กับสินค้า


6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงยุติไป เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเรื่องของเครื่องหมายการค้าต้อง เป็นเรื่องที่ใช้หรือจะใช้เป็นที่หมายที่เกี่ยวกับสินค้าเพื่อแสดงความแตกต่าง ซึ่งศาลฎีกาเขียนโดยสรุปว่า เมื่อจำเลยทั้งสามไม่ได้นำคำดังกล่าวมาใช้อย่างเครื่องหมายการค้าและ ไม่ได้เขียนคำว่า Mita ในลักษณะเดียวกับผงหมึก เพราะฉะนั้นจึงไม่ผิดเรื่องเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายการค้าที่เราพูดอาจเป็นภาพคำหรือตัวอักษรก็ได้ กลุ่มแรก เป็นตัวเครื่องหมายการค้าเอง ซึ่งเราพูดถึงคำจำกัดความไว้ชัดเจน คือ เครื่องหมายที่ใช้ หรือเป็นที่หมายที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เพื่อแสดงว่าสินค้าของเครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้กับ เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นกลุ่มแรก กลุ่มสอง เป็นเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับบริการ จึงเรียกว่า เครื่องหมายบริการ กล่าวคือ เครื่องหมายที่ใช้หรือจะเป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับบริการเพื่อแสดงว่าบริการที่ใช้เครื่องหมายการค้าของ เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างกับบริการที่ใช้เครื่องหมายบริการของบุคคลอื่น ชื่อคือเครื่องหมายการค้า แต่ว่าเป็นเครื่องหมายบริการอย่างหนึ่ง แต่ตัวเครื่องหมายบริการนี้ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การบินไทย เวลาเราไปซื้อตั๋วเครื่องบินการบินไทย ถ้าการบินไทยเป็นเครื่องหมายการค้า ซึ่งเราไม่ได้ไปซื้อเครื่องบิน แต่เราไปซื้อตั๋วเครื่องบิน หากเป็นสายการบินอื่นเราจะจดจำได้อย่างไรว่าบริการของสายการบินนี้ดีกว่าหรือ แย่กว่าสายการบินอื่น เราต้องจดจำตัวเครื่องหมายในการให้บริการ เพราะฉะนั้นในตัวเครื่องหมายบริการ จึงเป็นเครื่องหมายที่ใช้กับบริการ แต่ไม่ได้เป็นเครื่องหมายที่นำไปใช้กับสินค้า สินค้าในที่นี้คือสินค้าบริการ หากเราพูดถึงในแง่ของหลักการ สินค้าที่เราไปซื้อสินค้าบริการ เช่นเดียวกับ 7 eleven เราไม่ได้ไปซื้อบริษัท 7 eleven แต่เราไปซื้อบริการ ซึ่งเป็นเรื่องของเครื่องหมายบริการ กลุ่มสาม เครื่องหมายรับรอง เช่น เชลล์ชวนชิม เปิบพิสดาร ซึ่งหากเป็นคำจำกัดความของกฎหมาย คือ เครื่องหมายที่ต้องขอรับรอง หรือจะใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของบุคคลอื่น เพื่อเป็นการรับรองเกี่ยวกับแหล่งกำเนิด ส่วนประกอบวิธีการผลิต คุณภาพ หรือคุณลักษณะเด่นของสินค้า นั้น หรือเพื่อรับรองเกี่ยวกับสภาพ คุณภาพ ชนิด หรือคุณลักษณะเด่นของบริการ กลุ่มสี่ เป็นเครื่องหมายร่วม ซึ่งในคำจำกัดความหมาย คำว่า เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมาย บริการที่ใช้หรือจะใช้ในบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจในกลุ่มเดียวกัน หรือโดยสมาชิก สมาคม สหกรณ์สหภาพ สมาพันธ์กลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่นใดของรัฐ เพราะฉะนั้นเครื่องหมายร่วม อาจเป็นเครื่องหมายร่วมของ บริษัทในกลุ่ม ซึ่งอาจเป็นบริษัทที่ขายสินค้าหรืออาจเป็นกลุ่มในส่วนเครื่องหมายบริการก็ได้เราเห็นตัวอย่าง ชัดเจน กลุ่มของบริษัท CP ALL หรือ SCG หรือกลุ่มในบริษัทเครือ ปตท. ซึ่งเป็นตัวอย่างว่าเครื่องหมาย การค้ามีหลายประเภท เพราะฉะนั้นจะต้องทำความเข้าใจ สำหรับประเด็นที่มีความสำคัญต่อไปคือ เครื่องหมายการค้านั้นหากจะได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมาย 100% จะต้องเป็นเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน ซึ่งเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีเครื่องหมาย การค้าแล้ว เพราะในประเทศไทยในขณะนี้ หากเราไม่ตรวจสอบทางทะเบียนเราจะไม่รู้เรามีทั้งเครื่องหมาย การค้าที่จดทะเบียนตามกฎหมาย กับเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน เครื่องหมายการค้าที่ใช้อยู่นั้น


7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อาจเป็นเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียน แต่หากเป็นเครื่องหมายการค้าที่นำไปใช้กับสินค้าแล้ว เสียภาษีจะเป็นเครื่องหมายการค้า แต่ในเครื่องหมายการค้านี้เอง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรืออาจเป็น เครื่องหมายร่วมในเครื่องหมายการค้า ในกลุ่มเครื่องหมายการค้าทั้งหมดนี้อาจเป็นเครื่องหมายการค้าที่มี การจดทะเบียนแล้ว หรือเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้มีการจดทะเบียน แต่ก่อนที่เราจะรู้ว่าจดทะเบียนหรือ ยังไม่ได้จดทะเบียน เราจำเป็นต้องทราบก่อนว่าเครื่องหมายการค้าแบบไหนที่จดทะเบียนได้เพราะ เครื่องหมายการค้าที่เราเห็นอยู่ขณะนี้อาจไม่ใช่เครื่องหมายการค้าที่กฎหมายรับจดทะเบียน ถามว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าเครื่องหมายการค้าใดกฎหมายรับจดทะเบียน มาตรา 6 ระบุไว้เลยว่า เครื่องหมายการค้าอันพึงรับต่อทะเบียนได้ต้องมีองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ ประการแรก ต้องเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ประการที่สอง เป็นเครื่องหมายการค้าที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้อย่างไรจึงเป็น เครื่องหมายการค้าที่ไม่มีลักษณะต้องห้าม ประการที่สาม ไม่เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่บุคคลอื่นได้จด ทะเบียนไว้แล้ว หมายความว่า สมมุติเราอาจจะดีไซน์โลโก้ขึ้นมา เพื่อใช้เครื่องหมายการค้า และเราอาจ นำไปขอให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้กระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีแผนกที่จะรับจดทะเบียน จดทะเบียนให้ ถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องหมายการค้าที่เราจะไปขอจดทะเบียนนี้เหมือนหรือคล้ายกับ เครื่องหมายการค้าที่บุคคลอื่นได้จดทะเบียนไว้แล้ว ตอบ นายทะเบียนจะต้องเข้าไปดูว่าเครื่องหมายการค้าที่มาขอจดทะเบียนนั้นว่าเหมือนหรือคล้าย กับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วหรือไม่ เพราะหากเหมือนจะรับจดทะเบียนไม่ได้ โดยนายทะเบียนจะพิจารณาลักษณะของเครื่องหมายการค้าที่จะรับจดทะเบียนได้ทีละประการ หากครบ องค์ประกอบทั้ง 3 ประการจึงจะรับจดทะเบียนได้ ถามว่า อะไรคือเครื่องหมายการค้าที่นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนได้ เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ มาตรา 7 เขียนไว้ว่า เป็นเครื่องหมายการค้าที่ทำให้ ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น โดยเราจะต้องไปดูกฎหมายว่ายกตัวอย่าง คำว่า ลักษณะบ่งเฉพาะไว้อย่างไร ซึ่งอยู่ในมาตรา 7 เขียนไว้ว่า เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นสาระสำคัญดังต่อไปนี้ให้ถือว่ามี ลักษณะบ่งเฉพาะ เพราะฉะนั้นจะต้องดูลักษณะบ่งเฉพาะ ตามวรรคสองของมาตรา 7 ตั้งแต่ (1) ถึง (11) ว่าเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะในตัวเองหรือไม่ แต่ในบางกรณีเครื่องหมายการค้านั้นไม่เข้า ลักษณะใน (1) ถึง (11) แต่มีการใช้ จำหน่าย เผยแพร่โฆษณาจนแพร่หลายและมีการพิสูจน์จึงเข้าเกณฑ์ กฎหมายให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ หมายความว่าเป็นกรณีที่เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ที่เกิดขึ้นภายหลังโดยการใช้ยกตัวอย่าง คำวินิจฉัยที่ 98/2529 คำว่า Super cut เมื่อนำมาใช้กับสินค้าเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าจะทำให้ เข้าใจได้ว่าเป็นสินค้าตัดกระแสไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม จึงเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง


8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จึงไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ มิฉะนั้นจะเป็นการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้วไปโอ้อวด เมื่อไม่มีลักษณะ บ่งเฉพาะตามมาตรา 7 จึงไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แต่หากไม่นำไปใช้กับเครื่องตัดกระแสไฟฟ้า อาจมีโอกาสที่ขอจดทะเบียนได้ ถามว่า หากไม่ได้รับจดทะเบียน แต่ใช้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งประชาชนเข้าใจว่าเครื่องหมายการค้านี้ คือเครื่องตัดกระแสไฟฟ้า ผลจะเป็นอย่างไร คำตอบ อาจรับจดทะเบียนได้ในฐานะที่เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะที่เกิดขึ้น ภายหลังการใช้แต่ต้องใช้เวลาหลายปี ฎีกาที่ 608/2545 สิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของเครื่องหมายการค้าคำว่า "JAVACAFE" ของโจทก์ นอกจากอักษรโรมันที่เขียนติดกันจำนวน 8 พยางค์แล้ว สำเนียงเรียกขาน ก็ถือเป็นส่วนสาระสำคัญของ เครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะสามารถทำให้ประชาชนผู้ใช้สินค้านั้นทราบและเข้าใจ ได้ว่าสินค้าที่มีเสียงเรียกขานของเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้านั้นแตกต่างจากสินค้าอื่น คำว่า "JAVACAFE" แม้จะเขียนติดต่อเป็นคำเดียวกัน แต่คำว่า "JAVA" และ "CAFE" สามารถแยกออกจากกันได้ และสามารถแปลความหมายตามพจนานุกรมได้ คำว่า "JAVA" เรียกขานว่า "จาวา" หมายถึง ชื่อเกาะใน ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งประชาชนโดยทั่วไปรู้จักดีว่าหมายถึงเกาะชวาในประเทศสาธารณรัฐ อินโดนีเซีย ซึ่งตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2535) เรื่อง การกำหนดชื่อทางภูมิศาสตร์ ตามมาตรา 7 วรรคสอง (2) แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้ชื่อเมืองท่า จังหวัด อำเภอ ตำบล มณฑล เกาะ ภูเขา แม่น้ำ ทะเล หรือทะเลสาบที่ประชาชน โดยทั่วไปรู้จักเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ ดังนั้น คำว่า "JAVA" หรือ "จาวา" จึงเป็นคำที่ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะส่วน คำว่า "CAFE" เรียกขานว่า คาเฟ่ ความหมายตามพจนานุกรม หมายถึง กาแฟ หรือภัตตาคารขนาดเล็ก จึง ถือเป็นคำสามัญไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ เช่นเดียวกัน เมื่อนำคำ 2 คำ ดังกล่าวมาเขียนติดกันเป็น "JAVACAFE" สำเนียงเรียกขานก็จะเป็น จาวาคาเฟ่ จะเห็นได้ว่าทั้งตัวอักษรโรมันและสำเนียงเรียกขานยังคง เดิม และแม้จะแปลไม่ได้ แต่ก็สามารถสื่อความหมายให้คนทั่วไปได้ เข้าใจว่าหมายถึงกาแฟที่มีแหล่งกำเนิด มาจากเกาะชวาในประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ตามมาตรา 7 วรรคสอง (1) ชื่อ ชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดา ที่ไม่เป็นชื่อ ชื่อตัว ชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดย ธรรมดา ชื่อเต็มของนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือชื่อในทางการค้าที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ และไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง ถามว่า ไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง หมายความว่าอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น คำว่า หอมนวล นำไปจดทะเบียนกับน้ำหอม เช่นนี้คำว่า หอมนวลแม้เป็นชื่อก็จริง แต่ไปเล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าน้ำหอม ดังนั้นจึงไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ แต่ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 60/2528 วินิจฉัยว่า แม้คำว่า MILAN จะเป็นชื่อเมืองในอิตาลี ซึ่งคนทั่วไปรู้จัก แต่การที่นาย MILAN LANG ได้เขียนชื่อ MILAN โดยลักษณะพิเศษ จึงทำให้มีลักษณะบ่งเฉพาะ


9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 8406/2554 เครื่องหมายการค้าที่ประกอบด้วยชื่อนิติบุคคลจะเป็นเครื่องหมายการค้าที่มี ลักษณะบ่งเฉพาะได้เมื่อแสดงถึงลักษณะพิเศษ และไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าที่ใช้ เครื่องหมายการค้านั้นโดยตรง เพราะฉะนั้นจึงเป็นส่วนที่น่าสนใจ ประเด็นที่เราต้องดูเป็นพิเศษ จะมี 2 ส่วน ชื่อ ชื่อนิติบุคคล หรือชื่อทางการค้าที่โดยลักษณะพิเศษ ไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง ซึ่งโยงกับมาตรา 7 (2) กล่าวคือ คำหรือข้อความอันไม่ได้ เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง และไม่เป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พาณิชย์ประกาศกำหนด ตรงนี้จะมีอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรกคือ คำหรือข้อความที่ไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง ซึ่งแม้เป็นชื่อ ชื่อตัว ชื่อสกุล หากเล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรงก็ไม่ได้แต่หากเป็นชื่อ นามสกุลธรรมดา และมีลักษณะพิเศษ ใช้เป็นเครื่องหมายการค้าได้ คำ หรือข้อความที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง คำว่า เล็งถึงลักษณะ หมายถึงการสื่อความหมาย หรือบรรยายถึงรูปร่างลักษณะของสินค้า ในขณะที่คำว่า เล็งถึงคุณสมบัติของสินค้า หมายถึง การแสดงถึงสรรพคุณว่าดีหรือไม่ดี เมื่อสักครู่ยกตัวอย่าง ชื่อว่า หอมหวน ใช้กับน้ำหอม คราวนี้ผมอยากจะจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าคำว่า หอมนวล กับสินค้าสบู่ ถามว่า จดได้หรือไม่ คำตอบคือ คำว่า หอมนวล เมื่อนำไปใช้กับสบู่ เมื่อนำไปใช้แล้วแสดงว่า ผิวพรรณจะผ่องใสเป็นยองใย ดูแล้วสดชื่นเพราะฉะนั้นจึงเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้านั้นโดยตรง คำว่า สดใส จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ใช้กับน้ำยาล้างจาน ถามว่า จดได้หรือไม่ มีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่ คำตอบคือ ถือว่าเป็นคำหรือข้อความที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง หมายความ ว่า คนทั่วไปเข้าใจว่าหากทำความสะอาดด้วยน้ำยาตัวนี้แล้วจะทำให้ภาชนะต่าง ๆ มีความสดใสสะอาด ถือว่าเป็นการเล็งถึงลักษณะ หรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง กล่าวคือไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ รับจดทะเบียน ไม่ได้ คำว่า แข็งแรง จดทะเบียนกับเก้าอี้ได้หรือไม่ กรณีนี้ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ เพราะเล็งถึงลักษณะหรือ คุณสมบัติของสินค้านั้นโดยตรง อีกส่วนหนึ่ง ตามมาตรา 7 วรรคสอง (2) คือ ต้องไม่เป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด ถามว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดอะไร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดชื่อทางภูมิศาสตร์ ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 เพื่อกำหนดชื่อทางภูมิศาสตร์ตามมาตรา 7 วรรคสอง (2) หากเป็นชื่อ ประเทศ ไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ย่อมทำไม่ได้ ถามว่า หากนำชื่อทวีป แคว้น รัฐ หรือมณฑล ไปจด ทำได้หรือไม่


10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง คำตอบคือ ไม่ได้ ถามว่า หากไปจดชื่อมหาสมุทรทำได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้ และหากเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์อื่น ๆ ที่ประชาชนทั่วไปในประเทศรู้จักกันแพร่หลาย เช่น เขต ปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ คาบสมุทร ทะเล อ่าว เกาะ ทะเลสาบ ภูเขา แม่น้ำ จังหวัด เมืองท่า อำเภอ ถนน จะรับจดทะเบียนไม่ได้ ฎีกาที่ 2802/2546 คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ซึ่งเป็นที่สุดตาม มาตรา 18 วรรคหนึ่ง นั้น มีความหมายเพียงว่าผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานอื่นอีก ไม่ได้เท่านั้น หากคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้อุทธรณ์ ย่อมมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล ทรัพย์สินฯ มาตรา 26 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจ ฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้ได้ชื่อเมืองหลวงของประเทศและชื่อทางภูมิศาสตร์อื่น ๆ ที่ประชาชนโดยทั่วไป รู้จักถือว่าเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ แต่คำว่า "PHOENIX" ไม่ถือว่าเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ เพราะเป็นเพียงชื่อเมืองหลวงของมลรัฐหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกามิใช่ชื่อเมืองหลวงของประเทศ สหรัฐอเมริกา และจะถือว่าเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์อื่น ๆ เสียทีเดียวหาได้ไม่ เพราะยังจะต้องพิจารณาใน รายละเอียดว่าเป็นชื่อเมืองที่ประชาชนทั่วไปรู้จักหรือไม่ หากประชาชนทั่วไปไม่รู้จักแล้วก็ถือว่าเป็นชื่อที่มี ลักษณะบ่งเฉพาะซึ่งไม่ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียนแม้โจทก์จะมิได้มีคำขอมาท้ายฟ้องขอให้จำเลยทั้งหก ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ด้วย แต่ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องมีคำสั่ง ลงไว้ในคำพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินฯ มาตรา 26 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา 141(5) และมาตรา 167 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มิได้มีคำพิพากษา เกี่ยวกับเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมมาจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ ฎีกาที่ 3549/2541 คำว่า "CONCERT" ซึ่งมีความหมายว่าการแสดงดนตรีสากลโดยใช้เครื่อง ดนตรีวงใหญ่และอาจมีนักร้องประสานเสียงด้วยหรือมโหรีสังคีตและการประสานเสียงเมื่อนำมาใช้กับสินค้า จำพวกวิทยุ ตู้ลำโพง โทรทัศน์ เครื่องเล่นวีดีโอและเครื่องขยายเสียง คำว่า "CONCERT" หาใช่คำที่เล็งถึง ลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าดังกล่าวโดยตรงไม่เพราะสินค้าวิทยุและตู้ลำโพงมิใช่สินค้าที่ใช้รับฟังได้ เฉพาะเสียงการแสดงดนตรี มโหรีสังคีตหรือการประสานเสียงเท่านั้น หากแต่ใช้รับฟังเสียงอื่นได้ด้วย ไม่ว่า จะเป็นเสียงคนพูด เสียงสัตว์ร้อง เสียงคนหรือสัตว์เดินหรือวิ่งเสียงที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น เสียงคลื่นทะเล ฟ้าร้องเสียงการทำและปรุงอาหารหรือเครื่องดื่ม และเสียงอื่น ๆอีกมากมาย เสียงดนตรีจึงเป็นเพียงเสียง อย่างหนึ่งในบรรดาเสียงอื่นอีกมากมายที่รับฟังได้จากวิทยุและตู้ลำโพงส่วนโทรทัศน์และเครื่องเล่นวีดีโอก็ ใช้ได้ทั้งชมภาพและฟังเสียงทุกชนิดไม่จำกัดเฉพาะเสียงดนตรี เครื่องขยายเสียงก็สามารถขยายเสียงได้ทุก ชนิดไม่จำกัดเฉพาะเสียงดนตรีเช่นกันความหมายของคำว่า "CONCERT" เน้นไปที่การแสดงดนตรีวงใหญ่ที่ ทำให้เกิดเสียงดนตรีขึ้นมา แต่เสียงอื่นที่มิได้เกิดจากการแสดงมีได้มากมายหลายกรณี คำว่า "CONCERT"จึง เป็นคำที่ไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าวิทยุตู้ลำโพง โทรทัศน์ เครื่องเล่นวีดีโอ และเครื่อง


11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ขยายเสียง โดยตรงย่อมมีลักษณะบ่งเฉพาะเมื่อนำมาใช้เป็นเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าดังกล่าว ทั้งนี้ ตามบทบัญญัติมาตรา 7 วรรคสอง(2)แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534เครื่องหมาย การค้าคำว่า "CONCERT" ของโจทก์จึงมีลักษณะพึงรับการจดทะเบียนได้ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าว พระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของกรมทะเบียนการค้า กระทรวง พาณิชย์ และของกรมศิลปากรกระทรวงศึกษาธิการไปเป็นของกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 3 บัญญัติให้โอนบรรดาอำนาจ หน้าที่เกี่ยวกับราชการของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าและ กฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรไปเป็นของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ หรือของเจ้าหน้าที่กรม ทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์พ.ศ. 2535 มาตรา 3 กำหนดให้กรมทรัพย์สินทางปัญญามีอำนาจหน้าที่ในการ ปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาอื่น รวมทั้งดำเนินการด้าน กฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาอื่น และมาตรา 5 กำหนดให้กอง ตรวจสอบ 2กรมทรัพย์สินทางปัญญา มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบเพื่อการจด ทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้า กองทะเบียนและหนังสือสำคัญ กรมทรัพย์สินทางปัญญามี อำนาจหน้าที่ในการดำเนินการ เกี่ยวกับการประกาศโฆษณาและการรับจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา จัดเก็บเอกสารทางทะเบียนรวมทั้งออกหนังสือรับรองและต่ออายุ ทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาและ ดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไข เปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และกองบริการ และ เผยแพร่มีอำนาจหน้าที่ในการให้คำปรึกษา แนะนำ และบริการ เกี่ยวกับการจดทะเบียนทรัพย์สินทาง ปัญญา และจัดทำสารบบ และกำกับการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็นไปตามกฎหมาย จาก บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวเห็นได้ว่า การดำเนินการเกี่ยวกับการรับจดทะเบียนหรือไม่รับจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ที่เป็นปัญหาข้อพิพาทกันในคดีนี้อยู่ ในกรอบอำนาจหน้าที่และการควบคุมของกรมทรัพย์สินทางปัญญาจำเลยเพื่อให้เป็นไป ตามพระราชบัญญัติ ดังกล่าวทั้งหมดจำเลยจึงไม่อาจอ้างว่า ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวข้องการปฏิบัติหน้าที่ของนาย ทะเบียนเครื่องหมายการค้าและอธิบดีกรมจำเลยมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นในคณะกรรมการเครื่องหมาย การค้าได้แม้โจทก์มิได้ฟ้องข้าราชการในกรมจำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและ คณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ผู้อื่นเป็นจำเลย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีนี้ เพื่อให้รับผิดได้ เมื่อ คำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ไม่รับจด ทะเบียนการค้าคำว่า "CONCERT" ของโจทก์เป็นคำสั่งและคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ชอบที่ศาลจะ สั่งให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียน ฎีกาที่ 608/2545 เครื่องหมายการค้าคำว่า "SINVINOJAVATEASTRAIGHT" มิได้มีแต่คำว่า "JAVA" อันเป็นชื่อในภูมิศาสตร์ หรือคำว่า "TEA" ซึ่งเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะและคุณสมบัติแห่งสินค้าโดยตรง เท่านั้น แต่ยังมีคำอื่นที่มีลักษณะบ่งเฉพาะประกอบอยู่ด้วย จึงอาจได้รับการจดทะเบียนได้ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะจดทะเบียน


12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง นอกจากนี้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวมิได้มีแต่เพียงคำว่า "JAVA" ซึ่งเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ที่ประชาชน โดยทั่วไปรู้จักและมีคำว่า "CAFE" ซึ่งเป็นคำอันได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้ากาแฟโดยตรงอย่าง เครื่องหมายการค้าคำว่า"JAVACAFE" ของโจทก์ซึ่งไม่อาจรับจดทะเบียนได้เพราะไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะตาม มาตรา 6(1) ประกอบมาตรา 7 วรรคสอง (2) ฎีกาที่ 5698/2562 การที่จะพิจารณาว่าคำที่เลียนเสียงมาจากคำภาษาต่างประเทศเป็นคำที่เล็ง ถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรงอันจะทำให้ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสอง (2) นั้น นอกจากจะต้องพิจารณาว่าคำภาษาต่างประเทศดังกล่าวมีคำแปล เป็นภาษาไทยว่าอย่างไรแล้ว ยังต้องคำนึงถึงการใช้ในประเทศไทยด้วยว่า ถูกนำมาใช้ในความหมายหรือใน ลักษณะใด และต้องพิจารณาต่อไปว่าคำดังกล่าวเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลักษณะหรือ คุณสมบัติของสินค้าที่ขอจดทะเบียนโดยตรงจนถึงขนาดทำให้เมื่อสาธารณชนเห็นเครื่องหมายการค้านี้แล้ว สามารถทราบถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้านั้นได้ในทันที หรืออาจใช้วิจารณญาณเพียงเล็กน้อยก็ สามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าเครื่องหมายการค้าดังกล่าวสื่อให้เห็นถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าที่ใช้ เครื่องหมายการค้านั้นได้ แต่หากเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเป็นเพียงคำที่อาจสื่อให้สาธารณชนผู้ใช้สินค้า คิดหรือจินตนาการแล้วยังต้องใช้วิจารณญาณพอสมควรในการพิจารณาจึงจะเข้าใจว่าคำดังกล่าวสื่อให้ทราบ ถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้านั้น อาจถือไม่ได้ว่าเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้านั้น โดยตรง จึงเป็นคำที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นคำภาษาไทย ไม่มีความหมายตามพจนานุกรม คำดังกล่าวพ้อง เสียงกับคำภาษาอังกฤษที่โจทก์ประดิษฐ์ขึ้นคำว่า "INTOUCH" ซึ่งเป็นคำผสมระหว่างคำว่า IN แปลว่า ใน ข้างใน และคำว่า TOUCH แปลว่า สัมผัส แตะต้อง ซึ่งสามารถแปลได้หลายความหมาย โดยไม่ปรากฏ หลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าเหตุใดนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าจึงเลือก แปลความหมายของคำดังกล่าวเช่นนั้น ประกอบกับการให้ความหมายของคำว่า IN TOUCH ก็เป็นใน ลักษณะของการสื่อความหมาย ไม่ใช่ความหมายโดยตรง การนำคำว่า IN และคำว่า TOUCH มารวมกันจึง ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่ามีความหมายอย่างไร และแม้ตามพจนานุกรมดังกล่าวจะให้ความหมายของคำว่า Be in touch แปลว่า ติดต่อ แต่การติดต่อนั้นมีได้หลายรูปแบบ ทั้งการพบปะ พูดคุย หรือการติดต่อทาง ลายลักษณ์อักษร สาธารณชนในประเทศไทยเมื่อเห็นเครื่องหมายการค้าดังกล่าวแล้วย่อมไม่อาจทราบหรือ เข้าใจได้ในทันทีหรือใช้วิจารณญาณเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจทราบหรือเข้าใจได้ว่าสินค้าภายใต้เครื่องหมาย การค้าดังกล่าวเป็นสินค้าประเภทหรือชนิดใด การใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ย่อมถือได้ว่าเป็นการใช้ใน ลักษณะที่ทำให้สาธารณชนหรือผู้ใช้สินค้านั้นทราบหรือเข้าใจได้ว่าสินค้าของโจทก์แตกต่างจากสินค้าของ บุคคลอื่น เครื่องหมายการค้าของโจทก์ จึงเป็นคำที่ไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ คำประดิษฐ์ ตามมาตรา 7 วรรคสอง (3) ยกตัวอย่าง orlwoola เป็นคำที่แกล้งสะกดผิด ไม่ใช่คำประดิษฐ์ ส่วนคำว่า ชาแฟ เป็นคำตลบที่ได้จากการควบกันของคำสองคำ เช่นนี้เป็นคำประดิษฐ์


13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หรือกรณีที่เป็นชื่อย่อของนิติบุคคลที่อ่านได้แต่แปลไม่ได้ชื่อย่อของนิติบุคคลที่อ่านได้แต่แปลไม่ได้ เช่น UPS เป็นเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการของบริษัทส่งของ เป็นคำประดิษฐ์ ส่วนคำว่า Uneeda เป็นคำพ้องเสียง ซึ่งมาจากคำว่า you need ไม่ใช่คำประดิษฐ์ ส่วนคำว่า DLABOLO เป็นคำภาษาต่างประเทศที่รู้จักกันอยู่แล้วในภาษาอิตาเลียน หมายความถึง การละเล่นเกม เช่นนี้ไม่ใช่คำประดิษฐ์ ตัวอย่างคำประดิษฐ์ตามความหมายของคำพิพากษาศาลฎีกา ฎีกาที่ 3692/2534 เครื่องหมายการค้าของโจทก์คำว่า"DIMETAPP" กับของจำเลยคำว่า" MEDITAPP" ต่างก็เป็นคำของภาษาต่างประเทศพิมพ์ด้วยอักษรโรมันลักษณะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่อย่างเดียวกัน สำเนียงอ่านออกเสียงคล้ายกันตัวอักษรมีจำนวนเท่ากัน ถ้าไม่สังเกตจะเข้าใจว่า เครื่องหมายการค้า ของ โจทก์และของจำเลยเป็นอย่างเดียวกัน เพราะอักษรทุกตัวเหมือนกันเพียงแต่สลับคำพยางค์หน้า 2 คำ เท่านั้น และจำเลยได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยใช้กับสินค้าจำพวก 3 เช่นเดียวกับของโจทก์ แม้จะระบุรายการสินค้าว่า ยาแก้หวัด แต่ในข้อบ่งใช้ที่ยา ของจำเลยก็ระบุว่าเป็นยาบรรเทาอาการแพ้ เช่น แพ้อากาศ คัดจมูก น้ำมูกไหล แก้หืด เป็นต้น เช่นเดียวกับยาของโจทก์ ทั้งยาของโจทก์ จำเลยต่างก็เป็นยา เม็ดและยาน้ำด้วยกัน แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่จะลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ อันถือได้ว่า เครื่องหมายการค้าของจำเลยคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ได้ นำไปจดทะเบียนไว้แล้วเพื่อใช้กับ สินค้าจำพวกเดียวกันจนถึงนับได้ว่า เป็นการลวงสาธารณชน ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474มาตรา 16 คำว่า "TAPP" แม้จะฟังว่าอักษร "TA" ย่อมาจากคำว่า" TABLET" และอักษร "PP" เป็นชื่อย่อของสารเคมี 2 ชนิดแต่เมื่อนำอักษรดังกล่าวมารวมกันเป็นคำว่า "TAPP" จึงจัดว่าเป็นคำที่ประดิษฐ์ขึ้นพึงรับจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าได้ตามมาตรา 4(3) แห่ง พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 หาใช่ชื่อสามัญหรือสิ่งใดที่ใช้กันสามัญในการค้าขายซึ่ง ต้องห้ามถือเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะใช้เป็นส่วนหนึ่ง แห่งเครื่องหมายการค้าตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันไม่ แม้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่นำไปจดทะเบียนจะไม่เหมือนเพียงแต่ คล้ายกับเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์และโจทก์ไม่ได้คัดค้านการขอจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าของจำเลย ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีตามสิทธิของโจทก์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเพราะ โจทก์ได้จดทะเบียนและใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้ายาของโจทก์ผลิตออกจำหน่ายเป็นที่รู้จักแพร่หลาย มาก่อนที่จำเลยจะจดทะเบียนและใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้ายาของจำเลยเป็นเวลาหลายปี โจทก์ย่อม อยู่ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่จำเลยลอกเลียนนำไปจดทะเบียนดีกว่าจำเลยผู้ที่ได้จด ทะเบียนเป็นเจ้าของ โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ ตามมาตรา 41(1)แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474. ฎีกาที่ 5112-5113/2543 คำว่า "โต๊ะกัง" เดิมนายโต๊ะกัง แซ่ตั้ง ประกอบกิจการร้านค้าทองคำ รูปพรรณและใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "โต๊ะกัง" สำหรับสินค้าทองคำรูปพรรณของตนตั้งแต่ก่อนปี 2457 โดยมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น และใช้ชื่อร้านค้าว่า "ตั้งโต๊ะกัง" ซึ่งนำมาจากชื่อของนายโต๊ะกังเอง โดยที่คำดังกล่าวมิได้มีความหมายว่าร้านค้าทองคำแต่อย่างใด ครั้นเมื่อ


14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เครื่องหมายการค้าคำว่า "โต๊ะกัง" เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ต่อมามีผู้ประกอบกิจการค้าทองคำหลาย รายนำคำว่า "โต๊ะกัง" มาใช้เป็นชื่อหรือเครื่องหมายการค้าของตนเนื่องจากเห็นว่าเป็นคำที่มีผู้รู้จักและเป็นที่ นิยมโดยทั่วไป แต่ก็มิใช่ว่าผู้ประกอบการค้าทองคำทั่วไปนิยมใช้คำนี้เป็นชื่อหรือเครื่องหมายการค้าโดยเห็น ว่า มีความหมายถึงร้านค้าทองคำ ประชาชนผู้ซื้อสินค้าทองคำจากผู้ประกอบกิจการดังกล่าวหรือซื้อทองคำที่มีเครื่องหมายการค้า คำว่า "โต๊ะกัง" ย่อมสามารถพิจารณาเครื่องหมายการค้าเหล่านี้เพื่อแยกแยะความเป็นเจ้าของหรือ แหล่งกำเนิดของสินค้าได้ แสดงให้เห็นว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า "โต๊ะกัง" นี้ยังคงมีความหมายบ่งเฉพาะที่ ใช้แสดงความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ คำว่า "โต๊ะกัง" จึงเป็นคำที่ประดิษฐ์ขึ้นและมี ลักษณะบ่งเฉพาะได้และมิใช่คำสามัญที่หมายถึงร้านค้าทองรูปพรรณดังที่โจทก์ทั้งสองอ้างมาในอุทธรณ์ การ ที่โจทก์ทั้งสองนำคำว่า "โต๊ะกัง" มาประกอบกับเครื่องหมายการค้าของตน จึงเป็นการนำเอาเครื่องหมาย การค้าของผู้อื่นซึ่งได้รับจดทะเบียนไว้ก่อนมาใช้เป็นส่วนสาระสำคัญอันมีลักษณะเด่น ประชาชนอาจสังเกต และจดจำได้ง่ายกว่าคำอื่นตลอดจนรูปที่โจทก์ทั้งสองนำมาประกอบ ทั้งคำว่า "โต๊ะกัง" ที่เขียนและอ่านออก เสียงได้เหมือนกันย่อมถือว่าเป็นจุดเด่นที่อาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดได้ง่าย ฎีกาที่ 2915/2538 เครื่องหมายการค้าของโจทก์ใช้คำว่า PEPE เป็นคำเฉพาะที่แปลความไม่ได้ เป็นคำประดิษฐ์ที่โจทก์และกลุ่มบริษัทของโจทก์ในต่างประเทศใช้เป็นชื่อทางการค้าและเป็นเครื่องหมาย การค้ามาเป็นเวลานานประมาณ 15 ปีแล้วสำหรับในประเทศไทย โจทก์และกลุ่มบริษัทโจทก์ยังได้ยื่นคำขอ และจดทะเบียนเครื่อง-หมายการค้าดังกล่าวไว้หลายรูปแบบซึ่งล้วนแต่ใช้คำว่า PEPE เป็นหลักสำคัญ ความมุ่งหมายสำคัญของโจทก์ ตลอดจนความเข้าใจของสาธารณชนจึงอาศัยคำว่า PEPEดังกล่าวเป็นสำคัญในการ บ่งชี้ว่าสินค้าที่ใช้คำดังกล่าวเป็นสินค้าของโจทก์ การที่จำเลยเพิ่งใช้คำว่า PEPE ในเครื่องหมายการค้าคำว่า DON PEPE เป็นการใช้คำประดิษฐ์ที่ไม่มีคำแปลตรงกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยจงใจ แม้จำเลยจะ ใช้คำว่า DON ประกอบด้วย แต่จากตำแหน่งที่วางคำว่า DON ซึ่งอยู่บนคำว่าPEPE โดยใช้ตัวอักษรที่เล็ก กว่า ไม่ใช้ตัวอักษรที่ใหญ่และเด่นชัดเท่ากับคำว่า PEPEย่อมเป็นการเน้นสาระสำคัญอยู่ที่คำว่า PEPE เป็น หลักตรงกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ คำว่า DON ลักษณะของตัวพิมพ์อักษรในเครื่องหมายการค้าของ โจทก์และของจำเลยที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเป็นเพียงส่วนประกอบปลีกย่อยที่ไม่ก่อให้เกิดข้อแตกต่างที่ เด่นชัดแก่สาธารณชน แสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยในการลอกเลียนใช้คำว่า "PEPE" เป็นข้อสำคัญตรง กับเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อผลของการลวงสาธารณชนให้เกิดความสับสนหลงผิดอย่างชัดแจ้ง และ โอกาสที่สาธารณชนจะเกิดความสับสนหลงผิดในตัวสินค้าของจำเลยซึ่งเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับสินค้า ของโจทก์ว่าเป็นสินค้าของโจทก์เป็นไปได้ง่าย เครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงเหมือนหรือคล้ายกับ เครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหลงผิด ตัวหนังสือประดิษฐ์ ตัวเลขประดิษฐ์ มาตรา 7 วรรคสอง (4) ตัวหนังสือ ตัวเลขที่ประดิษฐ์ขึ้นที่จะถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะได้ อาจเป็นภาษาไทยหรือ ภาษาต่างประเทศก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เป็นการเขียนแบบธรรมดา เช่นคำว่า The Mall เป็นตัวหนังสือประดิษฐ์


15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ไม่ได้เขียนอย่างการเขียนธรรมดา หรือ 7-eleven เป็นตัวเลขประดิษฐ์มีลักษณะทำนองเดียวกับตัวหนังสือ ประดิษฐ์แต่ไม่ได้เขียนอย่างการเขียนธรรมดา กลุ่มของสีที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ มาตรา 7 วรรคสอง (5) เพราะฉะนั้น กรณีที่จะเป็นลักษณะบ่งเฉพาะได้ จึงต้องเป็นสีที่มีการรวมกลุ่มหรือชุมนุมกันตั้งแต่ 2 สีขึ้นไป ต้องไม่ใช่สีของเครื่องหมายรูป เครื่องหมายคำ ข้อความ เครื่องหมายรูปร่าง หรือรูปทรงของวัตถุ และต้องมีการจัดวางตำแหน่งและออกแบบรูปร่างไว้ในลักษณะพิเศษ เช่น สีชมพูในฉนวนใยแก้วทำหน้าที่ อย่างเครื่องหมายการค้า จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ หรือสีจำนวน 10 สี ในเม็ดยาซึ่งบรรจุในแคปซูล มีลักษณะบ่งเฉพาะ แต่หากเป็นกรณีสีแดงลายตั้งในยาสีฟัน ทำหน้าที่ในการทำความสะอาดปากและมีสี น้อยชนิดที่ผู้ผลิตจะเลือกใช้ได้จึงจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่ได้ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ตัวอย่างลักษณะบ่งเฉพาะในกลุ่มสีของไทย เช่น 7 Eleven กล่าวคือ มีทั้งสีส้ม สีเขียวสีแดง และสีขาว ลายมือชื่อ มาตรา ๗ วรรคสอง (6) ลายมือชื่อของผู้ขอจดทะเบียน หรือของเจ้าของเดิมของกิจการของผู้ขอจดทะเบียน หรือลายมือชื่อ ของบุคคลอื่นโดยได้รับอนุญาตจากบุคคลนั้นแล้ว แน่นอนถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ แต่มีคำพิพากษาของ ศาลต่างประเทศบอกว่า ลายมือชื่อของตนหรือของผู้อื่นที่นำมาขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ต้อง เป็นลายมือชื่อที่แท้จริง แต่พอไปเขียนแล้วไม่ใช่ลายมือชื่อ ศาลต่างประเทศบอกว่าไม่ใช่เป็นลายมือชื่อที่มี ลักษณะบ่งเฉพาะ เช่น กรณีที่เกิดขึ้นที่มิลาน ลายมือชื่อของตนและของผู้อื่นต่างนำมาขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าได้แต่ต้องเป็นลายมือชื่อที่แท้จริง การที่เขียนว่า COPPEPLATE ไม่ถือเป็นลายมือชื่อ ภาพบุคคล มาตรา 7 วรรคสอง (7) ภาพของผู้ขอจดทะเบียนหรือของบุคคลอื่นโดยได้รับอนุญาตจากบุคคลนั้นแล้ว หรือในกรณีที่บุคคล นั้นตายแล้วโดยได้รับอนุญาตจากบุพการีผู้สืบสันดาน และคู่สมรสของบุคคลนั้น ยกตัวอย่างเช่น น้ำพริกเผาตราแม่ประนอม ถือว่า ภาพบุคคลเป็นเครื่องหมายการค้าซึ่งมีในส่วน ของตัวรูปภาพ ภาพบุคคล คำว่า แม่ประนอม ดีไซน์ขึ้นมาในลักษณะของภาพที่ประดิษฐ์ขึ้น เพราะฉะนั้นจึง เป็นทั้งภาพที่ประดิษฐ์ขึ้น และภาพของผู้ขอจดทะเบียน ซึ่งมีหลายอย่าง เช่นนี้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ จดทะเบียนได้ ภาพประดิษฐ์ มาตรา 7 วรรคสอง (8) เป็นภาพประดิษฐ์ขึ้น เช่น ภาพพืช สัตว์สิ่งของ สถานที่ หรือทิวทัศน์ เช่น ฝาหอยเชลล์ ใบโพธิ์ ชฎา วัวกระทิงกำลังจะชนกัน เช่นนี้เป็นภาพประดิษฐ์ ซึ่งต้องมีลักษณะไม่เหมือนกับภาพทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น ฎีกาที่ 7024/2549 ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 บัญญัติให้ ภาพถ่าย ภาพวาด ภาพประดิษฐ์ ตรา ชื่อ คำ ข้อความ ตัวหนังสือ ตัวเลข ลายมือชื่อ กลุ่มของสี รูปร่าง หรือรูปทรงของวัตถุหรือสิ่งของเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เป็นเครื่องหมายการค้าได้ แต่จะมีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงจดทะเบียนตามมาตรา 6 (1) ได้หรือไม่ ต้องพิจารณามาตรา 7 เป็นสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ารูปขวดที่เป็นเครื่องหมายการค้าดังกล่าวมีลักษณะเป็นภาพที่ปรากฏลายเส้นโค้งมน มีสัดส่วนตั้งแต่ฐานจรดปลายแสดงให้เห็นเป็นรูปภาพขวดน้ำอัดลมที่ประกอบด้วยเส้นตรงกึ่งกลางของรูปขีด


16 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ไว้ในแนวตั้งซึ่งมีระยะห่างเท่ากันจำนวนสามเส้นพาดคล่อมระหว่างกรอบสี่เหลี่ยมที่จัดไว้ตรงกลางลำตัวของ รูปภาพขวดอันนับได้ว่าเป็นภาพที่โจทก์ประดิษฐ์ขึ้น ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้ารูปขวดดังกล่าวแตกต่างไปจากสินค้าอื่น เครื่องหมายการค้านี้จึงมีลักษณะบ่ง เฉพาะตามมาตรา 7 วรรคสอง (6) และเมื่อเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทั้งเครื่องหมายดังกล่าวมีลักษณะ บ่งเฉพาะแล้วย่อมไม่ใช่เครื่องหมายการค้าที่เป็นสิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขายตามประกาศนายทะเบียนฯ ตามมาตรา 17 เพราะกรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 17 นั้น หมายถึงเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะอันพึง จดทะเบียนได้ตามมาตรา 6 แต่เครื่องหมายการค้ารายนั้นมีส่วนหนึ่งส่วนใดหรือหลายส่วนเป็นสิ่งที่ใช้กัน สามัญในการค้าขายสำหรับสินค้าบางอย่างหรือบางจำพวกแล้ว นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าอาจสั่งให้ผู้ ขอจดทะเบียนปฏิเสธไม่ขอคือเป็นสิทธิของตนแต่ผู้เดียวหรือแสดงปฏิเสธอย่างอื่นได้ ฎีกาที่ 630/2551 การรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีหลักเกณฑ์ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้าฯ แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ (ฉบับที่ 2)ฯ โดยสรุปคือเครื่องหมาย การค้านั้นต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 8 และไม่เป็นเครื่องหมาย การค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วจนอาจทำให้สาธารณชน สับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าตามมาตรา 13 พ.ร.บ.เครื่องหมาย การค้าฯ ไม่ได้ให้คำนิยามคำว่า "ลักษณะบ่งเฉพาะ" ไว้โดยแจ้งชัดแต่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 7 วรรคแรกว่า "เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะได้แก่ เครื่องหมายการค้าอันมีลักษณะที่ทำให้ประชาชนผู้ใช้สินค้า นั้นทราบและเข้าใจได้ว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น" และในมาตรา 7 วรรค สอง ได้บัญญัติว่า "เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นสาระสำคัญ ต่อไปนี้ ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ...(6) ภาพที่ประดิษฐ์ขึ้น" เมื่อพิเคราะห์เครื่องหมายการค้า "รูปขวด" ของโจทก์ที่ขอจดทะเบียนที่มีลักษณะบ่งเฉพาะพิเศษโดยมีส่วนเว้า ส่วนนูน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมี ลวดลายเป็นจุดที่เว้าลึกรอบขวดในระยะที่ห่างเท่ากันแล้ว เห็นว่า รูปขวดของโจทก์มีลักษณะไม่เหมือนรูป ขวดทั่วไป แต่เป็นภาพที่ประดิษฐ์ขึ้นตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 7 วรรคสอง (6) ซึ่งถือได้ว่า เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะในตัวเองที่ทำให้ประชาชนผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์นั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่น เครื่องหมายการค้ารูปขวดของโจทก์จึง เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 ฎีกาที่ 5466/2552 เครื่องหมายการค้ารูปคลื่นประดิษฐ์ ของโจทก์ถูกใช้มาในลักษณะของกรอบ ภาพที่มีคำว่า "MILO" หรือ "ไมโล" ปรากฏอยู่ข้างในเท่านั้น ซึ่งเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าอื่นๆ ทั่วไป ในท้องตลาดก็มีการใช้กรอบภาพในลักษณะเช่นที่ปรากฏอยู่เช่นกัน แม้ว่าจะไม่เหมือนกับเครื่องหมาย การค้ารูปคลื่นประดิษฐ์ของโจทก์ แต่ก็เห็นได้ว่า ภาพประดิษฐ์ในลักษณะที่เป็นกรอบภาพเช่นนี้ไม่มีลักษณะ โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่างใดอันที่จะทำให้สาธารณชนหรือผู้ใช้สินค้าจดจำหรือแยกแยะความแตกต่าง ระหว่างสินค้าตามที่โจทก์กล่าวอ้างได้ หากนำไปใช้โดยลำพังกับสินค้า เครื่องหมายการค้ารูปคลื่นประดิษฐ์ ของโจทก์ย่อมไม่อาจทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของ


17 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โจทก์แตกต่างไปจากสินค้าอื่นเช่นใด ถือว่าเครื่องหมายการค้ารูปคลื่นประดิษฐ์ของโจทก์ไม่ใช่ภาพที่ ประดิษฐ์ขึ้นอันจะมีลักษณะบ่งเฉพาะตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสอง (6) วันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ครับ สวัสดีครับ ***จบการบรรยาย***


1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (เครื่องหมายการค้า) (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ บรรยายวันที่ 20 กรกฎาคม ๒๕๖6 (ครั้งที่ 2-3) (สัปดาห์ที่ 9) สวัสดีนักศึกษาครับ ครั้งนี้ก็เป็นการบรรยายกฎหมายเครื่องหมายการค้า ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 วันนี้อาจารย์จะบรรยายทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายให้จบในส่วนต้นที่อาจารย์รับผิดชอบนะครับ ครั้งที่แล้ว อาจารย์ได้บรรยายไปถึงเรื่องตัวเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะในกรณีของภาพประดิษฐ์ วันนี้จะมา บรรยายต่อจากคราวที่แล้ว ซึ่งจะบรรยายในส่วนของภาพอันไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้า โดยตรงตามมาตรา 7 วรรคสอง (9) ภาพอันไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง มาตรา 7 วรรคสอง (9) ภาพอันไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้านั้นโดยตรง และไม่เป็นภาพ แผนที่ หรือภาพ แสดงสถานที่ทางภูมิศาสตร์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ยกตัวอย่างเช่น โฆษณาขายไข่ไก่ ไข่เป็ด นำภาพไข่ เป็ดมา เช่นนี้เป็นการแสดงถึงลักษณะและคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง จดทะเบียนไม่ได้ หรือเป็นภาพ แผนที่ แสดงสถานที่ทางภูมิศาสตร์ หากนำภาพนั้นมาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า และเป็นภาพสถานที่ ทางภูมิศาสตร์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เช่นนี้ทำไม่ได้ ซึ่งมีในส่วนของประกาศรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พาณิชย์ เรื่อง กำหนดชื่อทางภูมิศาสตร์ ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 กำหนดให้มีภาพ แผนที่ หรือภาพ แสดงสถานที่ทางภูมิศาสตร์ เช่นนี้ถือว่าไม่อาจรับจดทะเบียนได้ เพราะไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ รูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุมาตรา 7 วรรคสอง (10) หากจะมีลักษณะบ่งเฉพาะที่รับจดทะเบียนได้จะต้องเป็นรูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุ และรูปร่างหรือ รูปทรงของวัตถุนั้นต้องไม่เป็นลักษณะโดยธรรมชาติของสินค้านั้นเอง หรือไม่เป็นรูปร่างหรือรูปทรงที่จำเป็น ต่อการทำงานทางเทคนิคของสินค้านั้น หรือไม่เป็นรูปร่างหรือรูปทรงที่ทำให้สินค้านั้นมีคุณภาพเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นรูปทรงเครื่องโกนหนวด และมีใบมีดเป็นวงกลม 3 หัวเรียงกันในรูป สามเหลี่ยมหน้าจั่ว เช่นนี้ถือว่าเป็นลักษณะเทคนิคของสินค้า การนำรูปทรงของเครื่องโกนหนวดมา จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้า เช่นนี้ทำไม่ได้ เพราะกฎหมายบอกว่าถ้าจะนำรูปทรงอะไรมาใช้จะต้อง ไม่ใช่เป็นรูปทรงที่จำเป็นต่อการทำงานทางด้านเทคนิคของสินค้า หรือกรณีของรูปทรงไฟแช็ก รูปทรงปากกา ซึ่งมิได้มีการดัดแปลงหรือตกแต่งจนทำให้ประชาชน หรือผู้ใช้สินค้าทราบหรือเข้าใจว่ารูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุดังกล่าวเป็นตัวสินค้า จึงขาดลักษณะบ่งเฉพาะ ในตัวเอง และไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะด้วยการใช้ กรณีเครื่องยนต์อเนกประสงค์รุ่น GX มีลักษณะเหมือนเครื่องยนต์ของผู้อื่นทั่วไป จึงไม่มีลักษณะ เด่นเป็นพิเศษ จึงเป็นเครื่องหมายการค้าที่ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ในกรณีของขวดโค้ก Coca Cola ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานทางเทคนิคของตัวสินค้า ไม่ได้เป็น รูปร่างหรือรูปทรงที่ทำให้สินค้านั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงสามารถจดทะเบียนได้


2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง และมีกรณีของรูปร่างของเครื่องเย็บกระดาษด้วยลวด ถ้าไปจดเป็นเครื่องหมายการค้า ของเครื่อง เย็บกระดาษด้วยลวด ย่อมทำไม่ได้ เพราะเป็นรูปร่างหรือรูปทรงที่จำเป็นต่อการทำงานด้านเทคนิคของ สินค้านั้น หลอดยาสีฟันที่ต้องใช้ปั๊มออก จดทะเบียนไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องทางเทคนิค หรือกรณีของรูปร่าง ตัวอย่าง รูปร่างหรือรูปทรงที่ทำให้สินค้านั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่น รูปร่างของเพชรพลอย นำไปใช้กับ สินค้าเพชรพลอย ก็ทำให้สินค้านั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ย่อมทำไม่ได้ ฎีกาที่ 773-776/2550 เมื่อพิจารณาเครื่องหมายทั้งสี่คำขอที่โจทก์ขอจดทะเบียนคือรูปไฟแช็ก J1 (แบบจุดคล้ายประกายไฟ) ตาม และรูปไฟแช็ก J8 (แบบอิเล็กทรอนิกส์) ตาม กับเครื่องหมายรูปปากกา BIC คริสตัล ตาม และปากกา BIC 4 สี ตาม จะเห็นได้ว่าในส่วนของรูปทรงไฟแช็กทั้ง 2 แบบ คือ J1 และ J8 ก็มีรูปทรงเป็นไฟแช็กโดยทั่วไป แม้โจทก์จะอธิบายถึงรายละเอียดอื่น อาทิ J1 มีฝาครอบเป็นสามเหลี่ยม หรือ J8 มีรูระบายอากาศ 4 รู เป็นต้น แต่รายละเอียดดังกล่าวก็ไม่เด่นหรือมีลักษณะพิเศษเพียงพอให้เห็น ว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะที่จะทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่ามีความแตกต่างจากสินค้า ประเภทเดียวกันของรายอื่น ในทำนองเดียวกันรูปทรงปากกาทั้งแบบ BIC คริสตัล และ BIC สี่สี ก็มีลักษณะ การใช้งานและรูปทรงเช่นเดียวกับสินค้าปากการายอื่นๆ ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดอยู่แล้ว เพราะแม้แบบ BIC สี่สี ที่มีไส้ปากกาหลายสีรวมอยู่ในด้ามเดียวกัน แต่การใช้งานก็เป็นการใช้ทีละไส้ปากกา ซึ่งมีวิธีใช้ไม่ ต่างจากปากกาที่มีไส้เพียงอันเดียวแม้แต่ด้ามหนีบก็เหมือนกับสินค้าปากการายอื่นที่ทำไว้เสียบกับเสื้อส่วน การมีปุ่ม 4 ปุ่ม ไว้สำหรับกดเวลาเปลี่ยนไส้ปากกาแต่ละสีก็ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ โดยสรุป เครื่องห มาย การค้าตามรูปทรงที่ขอจดทะเบียนทั้งสี่คำขอของโจทก์ มิได้มีการดัดแปลงหรือตกแต่งจนไม่ทำให้ประชาชน หรือผู้ใช้สินค้าทราบหรือเข้าใจว่ารูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุดังกล่าวเป็นตัวสินค้า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้บริโภคยังคงรู้ว่าสินค้าของโจทก์เป็นไฟแช็ก และปากกา คำขอจดทะเบียนทั้งสี่คำขอจึงขาดลักษณะบ่ง เฉพาะในตัวของ (Inherent Distinctiveness) ฎีกาที่ 9240/2554 รูปร่างหรือรูปทรงของเครื่องยนต์ของโจทก์ที่ขอจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้ารูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุนั้น แม้โจทก์จะกล่าวอ้างและนำสืบว่าโจทก์ได้ประดิษฐ์โดยออกแบบให้มี เอกลักษณ์โดดเด่นในตัวแตกต่างจากเครื่องยนต์ประเภทเดียวกันของผู้อื่นมาก ทั้งอุปกรณ์แต่ละชิ้นใช้สีที่มี ลักษณะเฉพาะแตกต่างจากสีเครื่องยนต์ของผู้อื่น ซึ่งโจทก์ใช้สีเช่นนี้ตั้งแต่ปี 2526 ตลอดมาจนปัจจุบัน แต่ เมื่อพิจารณาภาพเครื่องยนต์ของโจทก์เปรียบเทียบกับภาพเครื่องยนต์ของผู้อื่นอีก 5 ราย เห็นว่า ลำพัง รูปร่างหรือรูปทรงหรือลักษณะของเครื่องยนต์ของโจทก์และของผู้อื่นเหล่านี้ หากไม่ติดชื่อหรือเครื่องหมาย การค้า หรือใช้สีแตกต่างกันย่อมไม่อาจทำให้ผู้ซื้อทั่วไปใช้เป็นที่สังเกตแยกได้ว่า เครื่องยนต์เครื่องใดเป็นของ เจ้าของรายใด และชื่อก็ดี เครื่องหมายการค้าก็ดี รวมทั้งสี่ที่มีการใช้แตกต่างกันนั้นไม่อาจถือได้ว่าเป็นรูปร่าง หรือรูปทรงของวัตถุและไม่ได้ใช้เป็นสาระสำคัญของเครื่องหมายรูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุที่โจทก์ขอจด ทะเบียน จึงเห็นได้ว่าลำพังลักษณะรูปร่างเครื่องยนต์ของโจทก์ซึ่งมีลักษณะเหมือนเครื่องยนต์ของผู้อื่นทั่วไป ไม่มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ บุคคลทั่วไปเห็นแล้วก็มีแต่จะนึกถึงลักษณะของสินค้าเครื่องยนต์ประเภทนี้ เท่านั้น การที่โจทก์ใช้สีที่อ้างว่ามีลักษณะเฉพาะและใช้มานานไม่เปลี่ยนแปลงก็อาจจะเป็นสิ่งที่บุคคลใช้เป็น


3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ที่สังเกตแยกแยะ ทั้งที่สีนี้ไม่ใช่ส่วนที่เป็นเครื่องหมายรูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุ นอกจากนี้ยังเห็นว่า เครื่องยนต์ของโจทก์ใช้เครื่องหมายคำว่า HONDA ติดอยู่ ไม่ปรากฏว่าโจทก์นำเครื่องยนต์รุ่นนี้ออกจำหน่าย โดยไม่ใช้เครื่องหมายคำว่า HONDA จึงน่าเชื่อว่า โจทก์ประสงค์จะขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูปร่าง หรือรูปทรงของเครื่องยนต์ดังกล่าวเพียงเพื่อใช้หวงกันไม่ให้ผู้อื่นผลิตเครื่องยนต์ที่มีลักษณะคล้ายของโจทก์ ได้ตลอดไปในฐานะเป็นเครื่องหมายการค้าอันเป็นการจำกัดสิทธิของบุคคลอื่นมากเกินสมควร และเห็นได้ว่า เครื่องหมายที่โจทก์ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะตาม พ.ร.บ.เครื่องหมาย การค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 ส่วนที่บางประเทศรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ให้โจทก์ก็ขึ้นอยู่กับ สภาพสังคมและรายละเอียดของกฎหมายของแต่ละประเทศ ไม่เป็นเหตุผลให้ควรรับจดทะเบียน เครื่องหมายการค้านี้แก่โจทก์ เสียง มาตรา 7 วรรคสอง (11) เสียงจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ แต่ต้องเข้าลักษณะตามมาตรา 7 วรรคสอง (11) กล่าวคือ ต้องเป็นเสียงที่ไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้านั้นโดยตรง เสียงนั้นต้องไม่เป็นเสียงโดย ธรรมชาติของสินค้านั้น และเสียงนั้นไม่ได้เกิดจากการทำงานของสินค้านั้น ตัวอย่าง เราเคยดูภาพยนตร์ กรณีบริษัทหนัง ก่อนเวลาหนังฉายจะมีสิงโตคำรามขึ้นมา เป็นกรณีที่ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ ซึ่งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้เพราะไม่ได้เป็นการขายสิงโต สินค้า คือหนัง ภาพยนตร์ โลโก้ของบริษัทภาพยนตร์และเมื่อนำเสียงสิงโตคำรามไปจดเป็นเครื่องหมายการค้าของ บริษัทภาพยนตร์ ย่อมทำได้เพราะไม่ได้ขายสิงโต ไม่ได้ขายตุ๊กตาสิงโต ย่อมจดทะเบียนได้ กรณีเสียงระฆัง หากจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าระฆังจะทำไม่ได้ แต่หากจดทะเบียนเครื่องหมายระฆัง แต่เอาไปใช้เป็นเสียงเริ่มต้นรายการสถานีโทรทัศน์ทำได้ หรือหากเป็นกรณีเสียงธรรมชาติของสินค้านั้น ถามว่า เสียงเป็ดร้อง ก๊าบก๊าบ จดทะเบียนได้หรือไม่ ถ้าขายเป็ดแล้วไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ย่อมทำไม่ได้ เพราะจัดว่าเป็นเรื่องของเสียงโดย ธรรมชาติของสินค้านั้น หรือหากนำไปใช้ในการขายเป็ด ก็เป็นการเล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้า โดยตรง อีกประการหนึ่งคือ หากเป็นเสียงที่เกิดจากการทำงานของสินค้านั้น เช่น เสียงเครื่องยนต์ของ รถจักรยานยนต์ เราไปจดสำหรับเพื่อจำหน่ายรถจักรยานยนต์ เช่นนี้ทำไม่ได้ เพราะเป็นเสียงที่เกิดจากการ ทำงานของรถจักรยานยนต์จึงนำเสียงนั้นไปจดทะเบียนไม่ได้ ตัวอย่างของประเทศไทย เช่น เรื่องเล่าเช้านี้ หรือเสียง Happy ของ dtac มีการนำไปจดทะเบียน ของเสียงเช่นกัน ซึ่งเป็นในส่วนของเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ เป็นตัวอย่างของคำว่า ลักษณะ บ่งเฉพาะ ซึ่งเป็นตัวของมันเองที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ การได้มาซึ่งสิทธิเครื่องหมายการค้าโดยการใช้ มาตรา 7 วรรคสาม บางครั้งอาจไปเข้ากรณีที่ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ แต่ถามว่ารับจดได้หรือไม่ คำตอบคือ รับจดได้ ถ้าเข้าลักษณะบ่งเฉพาะโดยการใช้ ตามมาตรา 7 วรรคสาม มาตรา 7 วรรคสาม บัญญัติว่า “เครื่องหมายการค้าที่ไม่มีลักษณะตามวรรคสอง (๑) ถึง (๑๑) หาก ได้มีการจําหน่าย เผยแพร่ หรือโฆษณาสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นจนแพร่หลายแล้วตามหลักเกณฑ์ที่


4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง รัฐมนตรีประกาศกําหนด และพิสูจน์ได้ว่าได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์นั้นแล้ว ให้ถือว่ามีลักษณะบ่ง เฉพาะ” เพราะฉะนั้นลักษณะบ่งเฉพาะหรือการได้มาซึ่งสิทธิในการใช้นั้น ตรงนี้จะต้องมีการพิสูจน์ เพราะฉะนั้นในส่วนนี้สิ่งที่ต้องดูคือ เมื่อมีปัญหาเราต้องดูว่า เครื่องหมายการค้านั้นมีลักษณะบ่งเฉพาะ ตาม (1) ถึง (11) หรือไม่ ถ้ามีก็จบ ถ้าไม่มีเราต้องดูว่าได้มีการจำหน่าย เผยแพร่ หรือโฆษณาสินค้าที่ใช้ เครื่องหมายการค้าจนแพร่หลายตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดหรือไม่ ถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไร ตอบ ต้องพิสูจน์ว่าคนที่ขอนั้นได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์หรือไม่ หากถูกต้องก็มี ลักษณะบ่งเฉพาะ และส่งผลต่อการจดเครื่องหมายการค้าได้ ซึ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่วางหลักไว้ คือ *ฎีกาที่ 5449/2549 แม้คำว่า "Washington" จะเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ คำว่า "แอปเปิ้ล" และรูป แอปเปิ้ลประดิษฐ์จะเล็งถึงลักษณะและคุณสมบัติของสินค้านั้น แต่ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 วรรคสาม ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นตามมาตรา 7 วรรคสอง (1) หรือ (2) ว่า แม้จะเป็นชื่อคำหรือข้อความที่ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะมาตรา 7 วรรคสอง (1) หรือ (2) หากได้มีการจำหน่าย เผยแพร่ หรือโฆษณาสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นจนแพร่หลายแล้วตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศ กำหนด และพิสูจน์ได้ว่าได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์นั้นแล้ว ก็ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะได้ ซึ่งข้อยกเว้น ดังกล่าวย่อมรวมถึงกรณีชื่อทางภูมิศาสตร์ที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 7 วรรคสอง (2) ด้วย เพราะชื่อทาง ภูมิศาสตร์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของคำหรือข้อความตามมาตรา 7 วรรคสอง (2) นั่นเอง เมื่อโจทก์นำสืบพิสูจน์ได้ ว่าเครื่องหมายการค้าพิพาทได้จำหน่าย เผยแพร่ และโฆษณาสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทจน แพร่หลายแล้วในประเทศไทย จึงเป็นเครื่องหมายการค้าที่ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 6 (1) และมาตรา 7 วรรคสาม ฎีกาที่ 3685/2551 การพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้ามีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่ ต้องพิจารณา ความหมายของคำในเครื่องหมายการค้า ประกอบกับตัวสินค้าที่ยื่นขอจดทะเบียน โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าคำว่า LASERJET ซึ่งเป็นคำประดิษฐ์จากการผสมคำ เพื่อใช้กับสินค้าจำพวกที่ 2 ประเภท หมึกที่บรรจุในตลับคาร์ทริดจ์สำหรับเครื่องถ่ายเอกสารและเครื่องพิมพ์ โดยคำว่า LASER มีความหมายว่า คลื่นแสงที่ขยายกำลังแต่ถูกส่งออกมาเป็นลำแสงที่แคบอาจเรียกว่า ลำแสงเลเซอร์ ส่วนคำว่า JET แปล ความหมายได้ว่า ของเหลว แก๊ส หรือฝุ่นที่พ่นออกมาเป็นลำ คำว่า LASERJET จึงมิได้หมายความเพียงว่า ของเหลวที่พุ่งออกมาดังที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าวินิจฉัย แต่เป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติ ของสินค้าโดยตรงว่า สินค้าผงหมึกของโจทก์มีลักษณะการทำงานด้วยการพ่นออกมาเป็นลำคล้ายแสงเลเซอร์ ไม่ว่าจะพ่นเป็นแสง ของเหลว ผง หรือฝุ่น เครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสอง (2) โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้า LASERJET กับ เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ ทั้งได้โฆษณาเผยแพร่และจำหน่ายสินค้าเครื่องพิมพ์กับหมึกพิมพ์ในประเทศไทยมา นานจนสาธารณชนในประเทศไทยรู้จักและเข้าใจว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้า LASERJET ของโจทก์


5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แตกต่างจากสินค้าหมึกพิมพ์ของผู้อื่น เครื่องหมายการค้า LASERJET จึงมีลักษณะบ่งเฉพาะโดยการใช้ ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสาม ฎีกาที่ 5401/2553 พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสาม ระบุเพียงว่า ชื่อ คำ หรือข้อความที่ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะตาม (1) หรือ (2) หากได้มีการจำหน่ายเผยแพร่ หรือโฆษณาสินค้าที่ ใช้เครื่องหมายการค้านั้นจนแพร่หลายแล้วตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และพิสูจน์ได้ว่าได้ ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์นั้นแล้ว ก็ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ เมื่อเครื่องหมายการค้าของโจทก์มีการ จำหน่าย เผยแพร่ และโฆษณามาตั้งแต่ปี 2543 แสดงว่าสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีการ จำหน่าย เผยแพร่ หรือโฆษณาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอที่จะทำให้สาธารณชนที่เกี่ยวข้องใน ประเทศไทยรู้จักและเข้าใจว่าสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวแตกต่างจากสินค้าอื่น เครื่องหมาย การค้าของโจทก์มีลักษณะบ่งเฉพาะโดยการใช้ ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสาม *ฎีกาที่ 2766/2559 แม้คำว่า "SuperShield" เมื่อนำมาใช้กับสีน้ำ สีน้ำมัน สีน้ำใช้สำหรับทาอาคาร จะ ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะในตัวเองตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสอง (2) แต่โจทก์ได้นำ สืบการได้ลักษณะบ่งเฉพาะจากการใช้ตามมาตรา 7 วรรคสาม โดยแสดงหลักฐานความแพร่หลายในการจำหน่าย เผยแพร่หรือโฆษณาสินค้า ต่อมานายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งว่าพิจารณาจากหลักฐานของโจทก์แล้วเห็น ว่ามีความแพร่หลายตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิสูจน์ลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 วรรค สาม จึงให้รับจดทะเบียนได้ เครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงมีลักษณะบ่งเฉพาะจากการใช้ตามมาตรา 7 วรรคสาม *ฎีกาที่ 4216/2561 หลักฐานที่แสดงประวัติของบริษัทการโฆษณาและใบแจ้งหนี้แสดงการจำหน่าย สินค้าเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าเริ่มมีการใช้การโฆษณาหรือการจำหน่ายสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าที่ยื่นขอจด ทะเบียนไว้ตั้งแต่เมื่อใด เป็นจำนวนเท่าไร และเป็นระยะเวลานานต่อเนื่องเพียงใด แพร่หลายในประเทศไทยหรือไม่ จึงยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า เครื่องหมายการค้านั้นมีการจำหน่ายเผยแพร่หรือโฆษณาอย่างต่อเนื่อง เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะต้องห้ามไม่ให้จดทะเบียน มาตรา 8 เครื่องหมายการค้าใดหากมีลักษณะต้องห้ามไม่ให้จดทะเบียน ก็จะรับจดทะเบียนไม่ได้ เป็นการขยาย ความของมาตรา 6 (2) กล่าวคือ มาตรา 6 (2) บอกว่า 1. เครื่องหมายการค้านอกจากจะต้องมีลักษณะบ่ง เฉพาะแล้ว จะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้ คำว่า ต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้อยู่ใน มาตรา 8 ซึ่ง มี 3 - 4 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มแรก เครื่องหมายตรา ธงชาติพระบรมฉายาลักษณ์สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ กลุ่มที่ 2 เครื่องหมายราชการ กลุ่มที่ 3 เกี่ยวข้องกับองค์กรต่างประเทศและระหว่างประเทศ กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มที่เครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐ ประศาสโนบายซึ่งรัฐประศาสโนบายนี้จะไปเกี่ยวโยงกับกฎหมายฉบับอื่น ซึ่งเดี๋ยวเราจะกล่าวกัน ซึ่งอาจโยง กับกฎหมายลิขสิทธิ์กฎหมายสิทธิบัตร กล่าวคือ หากเครื่องหมายใดที่ไปขัดกับกฎหมายลิขสิทธิ์ และผิด กฎหมายตามกฎหมายลิขสิทธิ์ หรือกฎหมายสิทธิบัตร หากจะนำมาขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าก็ถือว่า ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐประศาสโนบาย ซึ่งมาตรา 8 (9) นี้เป็นข้อที่ ต้องจับตามอง


6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ส่วนมาตรา 8 (10) สำคัญ เพราะเครื่องหมายใด ถ้าไปเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายที่มีชื่อเสียง ทั่วไป ถ้าเหมือนก็จะต้องห้าม รับจดไม่ได้ แต่หากคล้ายต้องคล้ายถึงขนาดที่ทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลง ผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าไม่ว่าจะจดหรือไม่ และกลุ่มสุดท้าย สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หากไปขอจด ก็รับจดไม่ได้ ที่กล่าวมาคือ กลุ่มที่ต้องห้ามรับจดเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 8 ตั้งแต่ มาตรา 8 (1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) (8) มาตรา 8 บัญญัติว่า เครื่องหมายการค้าที่ประกอบด้วยลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ห้าม มิให้รับจดทะเบียน (1) ตราแผ่นดิน เครื่องหมายราชการ ธงพระอิสริยยศ ธงราชการ หรือธงชาติของประเทศไทย (2) เครื่องหมายประจำชาติหรือธงชาติของรัฐต่างประเทศ เครื่องหมายหรือ ธงขององค์การระหว่าง ประเทศที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกหรือที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วไป เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้ซึ่งมี อำนาจหน้าที่ของรัฐต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศนั้น (3) พระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย พระปรมาภิไธยย่อ หรือพระนามาภิไธยย่อ (4) พระบรมฉายาลักษณ์หรือพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท (5) พระราชลัญจกร ลัญจกรในราชการ หรือตราประจำตำแหน่ง (6) ตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (7) เครื่องหมายกาชาด นามกาชาด หรือกาเจนีวา (8) เครื่องหมายที่เหมือนหรือคล้ายกับเหรียญ ใบสำคัญ หนังสือรับรอง ประกาศนียบัตรหรือ เครื่องหมายอื่นใด อันให้เป็นรางวัลในการแสดงหรือประกวดสินค้าที่รัฐบาลไทย ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ของประเทศไทย รัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศได้จัดให้มีขึ้น เว้นแต่ผู้ขอจดทะเบียนจะ ได้รับเหรียญ ใบสำคัญ หนังสือรับรอง ประกาศนียบัตร หรือเครื่องหมายเช่นว่านั้นเป็นรางวัลสำหรับสินค้านั้น และใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องหมายการค้านั้น (9) เครื่องหมายที่คล้ายกับ (1) (2) (3) (5) (6) หรือ (7) (10) เครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐประกาศ นโยบาย (11) เครื่องหมายที่เหมือนกับเครื่องหมายที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปหรือคล้ายกับเครื่องหมาย ดังกล่าวจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของ หรือแหล่งกำเนิดของสินค้าไม่ว่าจะได้ จดทะเบียนไว้แล้วหรือไม่ก็ตาม (12) เครื่องหมายอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด


7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เป็นการบรรยายในครั้งที่สองของอาจารย์ซึ่งจะบรรยายต่อจากคราวที่แล้วในมาตรา 8 (9) กฎหมายบัญญัติเอาไว้ว่า เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะตามบทบัญญัติในมาตรา 8 (1) – (13) นั้น ห้ามมิให้จดทะเบียน (9) เครื่องหมายที่ขัดต่อกฎหมายซึ่งหากเราดูแนวคำวินิจฉัยต่างๆ เราจะเห็นว่าจะมีอยู่ 2 ลักษณะ ใหญ่ๆ ที่มีลักษณะต้องห้าม คือ เป็นเครื่องหมายที่ต้องห้ามในตัวเครื่องหมายเอง เช่น ภาพชายหญิงเปลือย ภาพสุนัขถ่ายอุจจาระ เช่นนี้ก็ไม่ให้จด ถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือ เป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อนโยบายสาธารณะกล่าวคือขัดต่อกฎหมายนั่นเอง เช่น เครื่องหมายการค้าที่ไปลอก เลียนงานจิตรกรรมที่มีลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ดังนั้นจึงไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ไม่ได้เพราะไปขัดต่อกฎหมายลิขสิทธิ์ เมื่อขัดต่อกฎหมายลิขสิทธิ์ในมาตรา 8 (9) จึงบอกว่าถือว่าขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือรัฐประศาสโนบาย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 245/2524 และที่ 396/2525 รูปประดิษฐ์ รูปกวาง Bambi และกระต่าย และรูปการ์ตูนหนูทอง เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ผู้ขอจดทะเบียนมิได้ ประดิษฐ์ขึ้นเอง จึงต้องห้ามรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เมื่อเป็นงานจิตรกรรมหรืองานศิลปกรรมจึง ต้องห้าม ฎีกาที่ 2000/2543 งานภาพพิมพ์รูปการ์ตูนหมีพูห์ของผู้เสียหาย อันเป็นศิลปกรรมอยู่ในประเภท ของงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ผู้เสียหายสร้างสรรค์จินตนาการเป็นงานศิลปกรรมนั้น เป็นการสร้างสรรค์จินตนาการ โดยวิจักขณ์จากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสัตว์โลกที่เรียกกันว่า "หมี" (BEAR) มาเป็นงานศิลปกรรมในรูปการ์ตูน มนุษย์เมื่อพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติก็สามารถสร้างจินตนาการในศิลปลักษณะต่าง ๆ กันได้ และเมื่อการ สร้างสรรค์จินตนาการภาพการ์ตูนมีที่มาจากสัตว์ธรรมชาติอย่างเดียวกัน โดยการริเริ่มขึ้นเองของผู้สร้างสรรค์ แต่ละคน งานศิลปกรรมดังกล่าวจึงอาจจะเหมือนกันหรือคล้ายกันได้โดยไม่จำต้องมีการลอกเลียนทำซ้ำหรือ ดัดแปลงงานของกันและกันแต่อย่างใด พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 6 วรรคสอง ไม่ได้ให้ความ คุ้มครองแก่ความคิดในการสร้างสรรค์งาน ฉะนั้น การใช้ความคิดริเริ่มนำความสวยงามตามธรรมชาติของสัตว์ โลกมาสร้างสรรค์เป็นภาพการ์ตูนจึงเป็นความคิดที่กฎหมายไม่ได้ให้ความคุ้มครองเอาไว้ กฎหมายลิขสิทธิ์ คุ้มครองเฉพาะการแสดงออกซึ่งความคิดเท่านั้นและการคุ้มครองการแสดงออกซึ่งความคิดดังกล่าวจนถึงขั้นที่ ผู้สร้างสรรค์จะเป็นผู้มีลิขสิทธิ์นั้น ยังต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 8 ด้วย ฎีกาที่ 3240/2543 งานสร้างสรรค์ที่ผู้รับจ้างทำขึ้นมาจะตกเป็นลิขสิทธิ์ของผู้ว่าจ้างก็ต่อเมื่อการ ว่าจ้างนั้นมีผลสมบูรณ์ผูกพันกันโดยชอบ โจทก์สร้างสรรค์งานภาพเขียนขึ้นแม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่ามีเหตุ มาจากการที่จำเลยมาติดต่อกับโจทก์เพื่อให้โจทก์จัดทำป้ายโฆษณาการคล้องช้างในงานอยุธยามรดกโลกก็ ตาม แต่ในชั้นแรกโจทก์กับจำเลยยังไม่ได้ตกลงกันในเรื่องราคาค่าจ้างรวมทั้งรายละเอียดของภาพโฆษณา ต่อมาโจทก์ได้เขียนภาพต้นแบบขึ้นนำไปให้จำเลยพิจารณาจำเลยก็ขอให้ปรับปรุงรายละเอียดบางประการ จากนั้นโจทก์จึงเสนอราคาค่าจ้างแต่จำเลยเห็นว่าแพงไปและตกลงกันไม่ได้ จำเลยจึงไม่ว่าจ้างโจทก์ทำป้าย โฆษณา ดังนี้ แสดงให้เห็นว่าโจทก์กับจำเลยยังตกลงกันในเรื่องสาระสำคัญของสัญญาไม่ได้ การว่าจ้างหรือ สัญญาจ้างทำของระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เกิดขึ้น จำเลยจึงไม่ได้เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ งานสร้างสรรค์ภาพ


8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง "พิธีคล้องช้าง" ที่โจทก์ทำขึ้นจึงหาตกเป็นลิขสิทธิ์ของจำเลยตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ไม่ แต่เป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์เพียงผู้เดียว ฎีกาที่ 4588/2552 การนำงานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่นมาใช้เป็นเครื่องหมายการค้า แม้จะไม่ ปรากฏข้อห้ามในกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าโดยตรง แต่ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 8 ได้บัญญัติห้ามมิให้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะของเครื่องหมาย ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐประศาสโนบาย เมื่อเจตนารมณ์ของ กฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ต้องการที่จะให้ความคุ้มครองแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วย เครื่องหมายการค้าก็มุ่งที่จะให้ความคุ้มครองแก่บุคคลผู้กระทำการโดยสุจริตเป็นสำคัญ ดังนั้น การที่บุคคลใด ทำซ้ำหรือดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่นโดยวิธีใด ๆ อันไม่สุจริต และนำไปใช้เป็นเครื่องหมายการค้า ของตน ย่อมเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชน หรือรัฐประศาสโนบาย กลุ่มคำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวมาเคยออกข้อสอบมาแล้ว เป็นกรณีที่ไปนำงานประติมากรรม ที่เผยแพร่อยู่ที่สาธารณะนำมาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า งานประติมากรรมที่เป็นงานของผู้อื่น หรืออาจเป็นศิลปกรรมต่างๆ อาจเป็นจิตรกรรมที่ไม่ได้เปิดเผย ต่อสาธารณชน และไม่ได้เข้าข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์หากเรานำไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ก็จะ รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่ได้เพราะขัดต่อนโยบายสาธารณะดังที่ได้อธิบายไปแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาเพิ่มเติม ฎีกาที่ 7203/2554 เครื่องหมายการค้าของโจทก์ประกอบด้วยรูปสุนัข และคำว่า "BULLDOG" ที่ ด้านล่างของรูปสุนัข ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมก็เป็นรูปสุนัข เครื่องหมายการค้าทั้งสองจึงต่างมี รูปสุนัขเป็นสาระสำคัญและเป็นลักษณะเด่นของเครื่องหมาย และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบก็เห็นได้ว่าเป็นรูป สุนัขยืนหันหน้าในท่าเดียวกัน รูปร่างลักษณะของสุนัขเป็นสุนัขพันธุ์เดียวกันและคล้ายกันมากจนอาจเรียกได้ ว่าเกือบเหมือนกัน ซึ่งหากไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่พบความแตกต่าง แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์จะมีคำว่า "BULLDOG" ประกอบอยู่ด้วย ก็เห็นได้ชัดว่ารูปสุนัขเป็นสาระสำคัญและมีลักษณะโดดเด่นยิ่งกว่าคำประกอบ ทั้งรูปสุนัขก็ชัดเจนว่าเป็นสุนัขพันธุ์บูลด็อก สาธารณชนผู้ซื้อสินค้าอาจเรียกขานเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และของจำเลยร่วมเช่นเดียวกันว่า "ตราสุนัข" หรือ "ตราหมา" หรือ "ตราหมาบูลด็อก" เมื่อนำมาใช้กับสินค้า ชนิดเดียวกัน ย่อมทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดได้ว่าเป็นสินค้าของเจ้าของเดียวกันหรือมีแหล่งกำเนิด ของสินค้าจากแหล่งเดียวกัน เมื่อได้ความว่าจำเลยร่วมเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของต่างประเทศ เป็น ผู้เชี่ยวชาญประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผงขัดหรือผงทรายแบบยืดหยุ่น โดยใช้รูปสุนัขที่ผู้ก่อตั้ง บริษัทจำเลยร่วมได้คิดประดิษฐ์เป็นเครื่องหมายการค้าใช้กับสินค้าของจำเลยร่วมมาตลอด และได้จดทะเบียน เครื่องหมายการค้าในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกตั้งแต่ปี 2529 ในปี 2532 จำเลยร่วมได้นำสินค้าของจำเลย ร่วมเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ผ่านบริษัทในประเทศไทยเป็นตัวแทนจำหน่ายโดยในขณะนั้นมีโจทก์เป็นผู้ ถือหุ้นและกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่โจทก์จะนำเครื่องหมายการค้าของ โจทก์มาขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในปี 2535 แสดงว่าจำเลยร่วมได้ใช้เครื่องหมายการค้ารูป


9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สุนัขบูลด็อกในประเทศไทยมาก่อนโจทก์ ทั้งการที่โจทก์เคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทตัวแทน จำหน่ายสินค้าของจำเลยร่วม โจทก์ย่อมรู้จักเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมมาก่อนที่โจทก์ยื่นขอจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้า เชื่อว่าโจทก์จงใจนำเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมมาขอจดทะเบียน เป็นการ ใช้สิทธิไม่สุจริต แม้โจทก์จะเคยได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวแต่ขาดต่ออายุก็ตาม ก็ไม่ทำ ให้โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยร่วม จึงไม่มีเหตุสมควรที่โจทก์จะได้รับการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าดังกล่าวตามคำขอได้ กรณีไม่ถือว่าเครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์เป็นเครื่องหมาย การค้าที่มีลักษณะขัดต่อรัฐประศาสโนบาย อันต้องห้ามไม่ให้รับจดทะเบียนตามมาตรา 8 (9) แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้าฯ เพราะการพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้าใดขัดต่อรัฐประศาสโนบายตามบทบัญญัติ มาตรานี้ต้องพิจารณาจากลักษณะที่ปรากฏอยู่ในตัวเครื่องหมายซึ่งเป็นภาพถ่าย ภาพวาด ภาพประดิษฐ์ ตรา ชื่อ คำ ข้อความ รูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุนั้นเอง ที่ทำให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าขัดต่อบทบัญญัติของมาตราดังกล่าวในอนุมาตราหนึ่งมาตราใดหรือไม่ มิใช่เป็นกรณีของการนำเครื่องหมาย การค้ามาขอจดทะเบียนโดยไม่ชอบหรือโดยไม่สุจริตเพราะนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่อาจเห็นจาก ลักษณะของตัวเครื่องหมายที่นำมาขอจดทะเบียนได้ การดูว่าเครื่องหมายการค้าใดเป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชนและรัฐประศาสโนบายหรือไม่ หากเรามองตามกฎหมายไทยในประเทศไทย ต้องมองจากลักษณะ ศีลธรรม จารีตประเพณีและนโยบายสาธารณะของประเทศไทย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลักษณะศีลธรรม จารีตประเพณีนโยบายสาธารณะของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นศาลไทยอาจมีการ วินิจฉัยที่แตกต่างจากศาลอื่น เครื่องหมายการค้าบางอัน ถ้าจดในประเทศไทยอาจจดไม่ได้แต่หากไปจดที่ต่างประเทศศาล ต่างประเทศอาจมองว่าไม่ขัดต่อศีลธรรม ยกตัวอย่างเช่น กรณีรูปตุ๊กตาชายใส่กระโปรงลายสก๊อต และมีสิ่ง ล้อเลียนอวัยวะเพศโผล่ออกมา ในประเทศอังกฤษอนุญาตให้จดทะเบียนได้ หรือกรณีของข้อความว่า “...” ที่ถุงยางอนามัยและตกแต่งด้วยธงชาติของสหรัฐอเมริกา ในสหรัฐอเมริกาบอกว่าจดทะเบียนได้ถือว่าไม่ขัด ต่อศีลธรรม เพราะฉะนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับนโยบาย จารีตประเพณีของในแต่ละประเทศ แต่หากนำมาจด ในประเทศไทยอาจารย์เชื่อว่าจดไม่ได้แน่นอน กรณีที่น่าสนใจและอาจเป็นข้อสอบเพราะน่าสนใจมาก ๆ คือ กรณีมาตรา 8 (10) ซึ่งได้เกริ่นไป ในตอนแรกแล้ว ถ้าเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะเหมือนเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงทั่วไป ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด หรือคล้ายกับเครื่องหมายดังกล่าวจนอาจทำให้สาธารณชนสับสน หลงผิดในความเป็นเจ้าของแหล่งกำเนิดของสินค้า ไม่ว่าจะได้จดทะเบียนไว้แล้วหรือไม่ก็ตาม ตรงนี้ถือว่า จดทะเบียนไม่ได้ ถ้าเป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือน สมมติว่า มีเครื่องหมายการค้ายี่ห้อหนึ่งที่ดังมาก ๆ แล้ว มีใครที่มาขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แล้วไปเหมือนกับเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป เช่นนี้จะรับจดทะเบียนไม่ได้แน่นอน แต่หากเป็นกรณีที่สิ่งที่นำมาขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นคล้าย แค่คล้าย จะต้องไปดูว่าการคล้ายนั้นอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือ แหล่งกำเนิดของสินค้าหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องมาดูตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งกฎหมายไม่ได้วางหลัก ว่า


10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เครื่องหมายลักษณะใดจึงจะถือว่าเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเรา ต้องดูจากแนวการตีความของคำพิพากษาของศาลฎีกา และอีกประการหนึ่งคือศาลฎีกามีแนวการตีความที่ แตกต่างกันออกไป เพราะภายหลังรัฐมนตรีก็ได้มีการประกาศกำหนดไว้ ถามว่า มาตรา 8 (10) นี้ กำหนดไว้ทำไม ตอบ เหตุผลเพราะกฎหมายต้องการป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และป้องกันสิทธิของผู้บริโภค ทำให้เกิดความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าประเภทนี้แม้เครื่องหมายการค้านี้จะไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าไว้ เช่น มีเครื่องหมายการค้าที่ใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ สมมติว่า เป็นแบรนด์เนมสำหรับ กระเป๋า มีการจดทะเบียนไว้ในต่างประเทศและจำหน่ายสินค้าไปทั่วโลก แต่บังเอิญว่าในประเทศไทยยังไม่ได้ มีการจดทะเบียนขาย ยี่ห้อนี้เป็นเครื่องหมายหนึ่งที่ดังมากเกี่ยวกับเข็มขัดกระเป๋า ทำออกมาเยอะมากซึ่งอยู่ ในประเทศฝรั่งเศส และมีผลิตภัณฑ์สินค้าจำหน่ายไปทั่วโลก แต่ตอนนั้นยังไม่ได้มาจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าในประเทศไทยต่อมามีนาย ก บังเอิญไปเที่ยวที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเห็นยี่ห้อนี้ก็เกิดความคิดว่าใช้ได้ นาย ก จึงไปจดทะเบียน หากเป็นเช่นนี้ตามมาตรา 8 (10) ถ้านายทะเบียนตรวจดู จากระบบฐานข้อมูลของ กรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว ปรากฏว่าไปเหมือนกับเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนไว้ในประเทศฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นตรงนี้หากนำไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลย นายทะเบียนจะไม่รับจดเพราะอาศัย เหตุตามมาตรา 8 (10) แต่ถ้าไม่มี(10) อะไรจะเกิดขึ้น นายทะเบียนจะต้องไปดูในมาตรา 6 นายทะเบียน จะต้องพิจารณาก่อนว่า ๑. เครื่องหมายนี้เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่ 2. เป็นเครื่องหมายการค้าที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้ ยกตัวอย่าง สมัยก่อน แต่ก่อนมาตรา 8 (๑๐) ไม่มี 3. เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่บุคคลอื่นได้จดทะเบียนแล้ว เครื่องหมายการค้านี้หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัทเอยังไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย เพราะฉะนั้นหากไม่มีมาตรา 8 (10) เมื่อนาย ก ไม่สุจริต เพราะไปนำเครื่องหมายการค้าจากต่างประเทศ มาจดทะเบียน เพราะฉะนั้นหากนายทะเบียนรับจด และต่อมาเครื่องหมายการค้าเอ จะมาขอจดในประเทศ ไทย เช่นนี้จะเกิดความลำบากเพราะนายทะเบียนดูแล้วเห็นว่าเข้ามาตรา 6 (1) (2) แต่ไปติด (3) เพราะนาย ก นำมาจดทะเบียนแล้ว ด้วยกรณีนี้จึงก่อให้เกิดปัญหาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม จึงเกิดการปรับปรุงและออก กฎหมาย มาตรา 8 (10) ขึ้นมา แต่ก่อนเมื่อยังไม่มีแนวว่าลักษณะใดจึงจะเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียง แพร่หลายทั่วไป ศาลฎีกาจึงต้องนำแนวการตีความมาดูประกอบ ศาลฎีกาในยุคแรก ๆ วินิจฉัยโดย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8834/2542 ได้ไปอาศัยความตกลงทริปส์ ความตกลงอนุสัญญากรุงปารีสมาช่วยใน การตีความ โดยวางหลักว่าการพิจารณาความมีชื่อเสียงของเครื่องหมาย พิจารณาจากกลุ่มคนไทย ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้านั้น ๆ เท่านั้น ไม่ได้พิจารณาจากกลุ่มคนไทยฯ หรือคนไทย ทั่วประเทศ โดยเครื่องหมายนั้นจะต้องมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้บริโภค และการพิจารณาว่าเครื่องหมาย ใดคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปหรือไม่ศาลฎีกาก็พิจารณาโดยใช้หลักว่า อาจทำให้


11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ผู้ซื้อสินค้าเกิดความสับสนหรือหลงผิดหรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนในสินค้าจำพวกเดียวกัน ซึ่งเป็น แนวหลัก ๆ เลย ต่อมาจึงมีวิวัฒนาการขึ้นมา ก่อนนั้นจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5639/2540 ซึ่งเป็นกรณีที่จำเลย ที่ 1 ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า Seiko ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2503 สำหรับสินค้าจำพวก เครื่อง บอกเวลาและได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเมื่อปี 2505 ได้มีการโฆษณาสินค้าเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 แพร่หลายในประเทศไทยมาก่อนที่โจทก์ยื่นขอจดทะเบียน เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นคู่คิดประดิษฐ์เครื่องหมาย การค้าคำว่า Seiko และได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยก่อนที่จะยื่น คำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นเวลานานหลายปีประกอบกับได้มีการโฆษณาสินค้า เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 เป็นที่แพร่หลายทั่วไป เพราะฉะนั้นประเด็นนี้เมื่อโจทก์ได้เลียน เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้านั้นอยู่ก่อนแล้ว จึงอาจทำให้ผู้ซื้อสินค้า เกิดความสับสนหรือหลงผิดว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์คือเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ซึ่งนับว่าเป็น การลวงสาธารณชน โจทก์จึงไม่มีสิทธิจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาทต่อนายทะเบียนเครื่องหมาย การค้า จำเลยที่ 1 มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ดีกว่าโจทก์ ฎีกา 5639/2540 โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “SEIKO” ของจำเลย เพื่อใช้กับ สินค้าต่างจำพวกกับสินค้าของจำเลย ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้านั้นอยู่ก่อนแล้ว ก็อาจทำให้ผู้ซื้อสินค้าสับสน หรือหลงผิดว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์คือเครื่องหมายการค้าของจำเลย ซึ่งนับว่าเป็นการลวงสาธารณชน โจทก์จึงไม่มีสิทธิจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ฎีกาที่ 5168/2548 เครื่องหมายการค้า และเครื่องหมายการค้าคำว่า "ROLEX" ของโจทก์เป็น เครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปสำหรับสินค้านาฬิกาและอุปกรณ์ชิ้นส่วนนาฬิกา สินค้านาฬิกา และอุปกรณ์ชิ้นส่วนนาฬิกาของโจทก์เป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี มีชื่อเสียงในการบอกเวลาที่เที่ยงตรงและมีความ ทนทานแต่มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับนาฬิกาที่ใช้เครื่องหมายการค้าอื่น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องมีฐานะทาง การเงินดีจึงจะสามารถซื้อสินค้านาฬิกาของโจทก์ได้ ความมีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปของนาฬิกายี่ห้อโรเล็กซ์ เป็นเหตุให้มีผู้ผลิตสินค้านาฬิกาโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "ROLEX" ปลอมออกขายหลายราย แต่ไม่ ปรากฏว่ามีผู้ใดผลิตสินค้านาฬิกาโดยใช้เครื่องหมายการค้าที่เลียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "ROLEX" ออก ขาย แสดงให้เห็นว่าหากนาฬิกานั้นใช้เครื่องหมายการค้าที่ไม่เหมือนกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "ROLEX" ผู้ ซื้อย่อมสังเกตเห็นได้โดยง่ายว่าสินค้านาฬิกานั้นไม่ใช่สินค้าของโจทก์ ไม่อาจสับสนหลงผิดว่าเป็นสินค้า นาฬิกาที่มีชื่อเสียงของโจทก์ นอกจากนี้เครื่องหมายการค้าที่บริษัทโซเล็กซ์อินเตอร์เนชันแนล(ประเทศไทย) จำกัด ที่จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการได้ยื่นคำขอจดทะเบียนนั้น ใช้กับสินค้าเครื่องประดับทำจากบรอนซ์หรือ โลหะมีค่าจำเลยมิได้ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้านาฬิกาแต่อย่างใด ดังนี้การยื่นขอจด ทะเบียนของจำเลยจึงไม่มีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยมีเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และเจตนาจะ ผลิตสินค้านาฬิกาเช่นเดียวกับโจทก์เพื่อให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของ สินค้า หากแม้จำเลยจะใช้เครื่องหมายการค้า กับสินค้านาฬิกาแล้วนำสินค้านาฬิกานั้นออกจำหน่ายก็ไม่มี เหตุผลให้เชื่อว่าผู้ซื้อนาฬิกานั้นจะสับสนหลงผิดว่าเป็นสินค้าของโจทก์เพราะประชาชนทั่วไปทราบดีว่า


12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เครื่องหมายการค้าคำว่า "SOLEX" เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงสำหรับสินค้ากุญแจ ส่วนเครื่องหมาย การค้าคำว่า "ROLEX" เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปสำหรับสินค้านาฬิกา กรณีไม่ ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียนตามบทบัญญัติมาตรา 8 (10) แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ โจทก์ย่อมไม่อาจ ขอให้บังคับจำเลยถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ กรณีนี้เป็นกรณีที่ไปจดคล้าย มาตรา 8 (10) มี 2 กรณีคือ เครื่องหมายการค้าที่เหมือน กับเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป จึงต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียน แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไม่เหมือน แต่ไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ไปคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป ตรงนี้ หากสมมติว่าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป เราต้องพิสูจน์ว่าอย่างไร มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป หากไปจด Rolex กับนาฬิกา ย่อมทำไม่ได้ย่อมรับจดทะเบียนไม่ได้ แต่กรณีนี้เขาไม่ได้จดกับนาฬิกา แต่เขาไปจดคำว่า Solex กับกุญแจ เป็นกรณีคำคล้าย นายทะเบียนจึง เห็นว่าไม่ต้องห้ามไม่ให้รับจด แต่นายทะเบียนจะต้องไปดูว่าอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความ เป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดสินค้าหรือไม่ ซึ่งในกรณีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยดีมากว่า Rolex เป็นเครื่องหมาย การค้าที่มีชื่อเสียงสำหรับนาฬิกา ส่วน Solex มีชื่อเสียงสำหรับสินค้ากุญแจ เพราะฉะนั้นหาก Rolex จดก่อนหรือยังไม่ได้จด แต่เมื่อ Solex จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ศาลฎีกามองว่าเมื่อ Solex ใช้กับ กุญแจ ถึงแม้จะคล้ายกันแต่การขายไม่ถึงขนาดที่จะทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของ หรือแหล่งกำเนิดของสินค้า เพราะคำว่า Rolex นั้นใช้กับนาฬิกาซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก ดังนั้นนายทะเบียนจึงรับ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ ฎีกาที่ 649/2550 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2550 เป็นกรณีนำช้างซึ่งเป็นสัตว์ประจำ ชาติของไทยไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ศาลมองว่าโจทก์จะหวงกันผู้อื่นที่ใช้รูปช้างประกอบเป็นส่วน สำคัญของเครื่องหมายการค้าไม่ได้ เมื่อโจทก์และจำเลยใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าต่างชนิดกันและมี ลูกค้าเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายกัน และเครื่องหมายการค้าของจำเลยไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมาย การค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนแล้ว จนถึงนับได้ว่าเป็นการรวมสาธารณะ ฎีกาที่ 385/2549 เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นตัว Z เครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นตัว S ศาลวินิจฉัยว่าเครื่องหมายการค้า ROZA เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงทั่วไป ใช้กับสินค้าต่างจำพวกกัน แต่คล้ายกันแล้ว จึงทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิด ถือว่าต้องห้ามมิให้รับจดเช่นกัน แต่กรณีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำว่า ROZA เป็นสาระสำคัญของเครื่องหมายการค้า ทั้งภาษาเขียนและ ภาษาพูด เสียงอ่านคำว่า ROZA อ่านเป็นภาษาไทยว่า โรซ่า ซึ่งคำว่า ROZA ของโจทก์กับคำว่า ROSA ของ จำเลย จะเห็นว่ามีอักษรโรมัน 4 ตัวเรียงกัน คงแตกต่างเฉพาะตัวที่ 3 คือตัว Z และตัว S เท่านั้น ที่สำคัญคือ ตัวอักษรที่เป็นสระและมีผลต่อการออกเสียง ตัว O และตัว A ทั้ง 2 คำ ใช้เหมือนกันและอ่านออกเสียงเป็น 2 พยางค์เช่นกัน ส่วนตัว S และตัว Z นั้น แม้จะเขียนแตกต่างกัน แต่การออกเสียงเป็นสำเนียงไทยก็ คล้ายคลึงกันมาก ทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในเครื่องหมายการค้าทั้งสองได้โจทก์จดทะเบียน เครื่องหมายการค้าว่า ROZA สำหรับสินค้าประเภทซอสมะเขือเทศซอสพริก ปลากระป๋องน้ำมะเขือเทศส่วน เครื่องหมายการค้าคำว่า ROSA จดเครื่องหมายการค้าประเภทกาแฟ ชา น้ำผึ้ง เค้ก เมื่อเครื่องหมายการค้า


13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง คำว่าROZA เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป ตามนัยมาตรา 8 (10) ของพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า แม้จะเป็นการจดทะเบียนกับเครื่องหมายการค้าต่างจำพวกกับที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้ โจทก์ก็มีสิทธิจะร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเสียได้ซึ่งเป็นกรณีของการจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้าไปแล้ว กรณีนี้เป็นกรณีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคล้าย ซึ่งหากใช้คำว่า ROZA เหมือนกันก็จะไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัย แต่กรณีนี้ไปจดทะเบียนไม่เหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นการคล้าย การคล้ายนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การออกเสียงก็คล้าย การสะกดตัวอักษรก็คล้าย แตกต่างกันเพียงตัวเดียว ดังนั้นจึงต้องห้ามไม่ให้รับจด แต่อย่างไรก็ตามหากไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว ก็สามารถขอเพิกถอนได้ คำถามคือ หลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 8 (10) คืออะไร ประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาเครื่องหมายที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป ลงวันที่ 21 กันยายน 2547 โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา 2 ประการ ประการแรกคือ สินค้าหรือบริการที่ใช้เครื่องหมายนั้นต้องมีปริมาณการจำหน่ายจำนวนมาก หรือมี การใช้หรือมีการโฆษณาหรือได้มีการโฆษณาเครื่องหมายโดยวิธีการใดๆ และเครื่องหมายนั้นจะต้องมีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้บริโภค ซึ่งค่อนข้างที่จะกว้าง ซึ่งหากเราดูจะต้องดูจากตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา ดังต่อไปนี้คือ ฎีกาที่ 5113/2548 โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า Intel เป็นภาษาไทย และ Intel ใน ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย โดยจดทะเบียนเมื่อปี 2527 ซึ่งเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เป็นที่รู้จักของกลุ่มสาธารณชนในกลุ่มสาขาที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย จึงเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียง แพร่หลายทั่วไป ต่อไป กรณีมาตรา 8 (11) กล่าวคือมาตรา 8 (11) หมายความว่า ในกรณีที่มีตั้งแต่ (1) ถึง (7) ตรงนี้ถือว่าต้องห้ามในตัวของมันเอง แต่มาตรา 8 (11) เป็นกรณีคล้าย ดังนั้นกฎหมายจึงห้ามไม่ให้ไปจด คล้ายกับที่ต้องห้ามตาม (1) ถึง (7) เป็นกรณีของมาตรา 8 (11) กรณีเครื่องบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หากเป็นกรณีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ถ้าได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมายว่าด้วยการนั้น ก็ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียน สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์นี้ มีพระราชบัญญัติคุ้มครอง สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 กำหนดว่าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ตามมาตรา 3 วรรคสี่ หมายถึง ชื่อ สัญลักษณ์หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียกหรือใช้แทนแหล่งภูมิศาสตร์ ซึ่งอาจจะเป็นประเทศเขตภูมิภาค ท้องถิ่น เมือง จังหวัด ทะเล ทะเลสาบ แม่น้ำ ลำน้ำ ภูเขาที่สามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งภูมิศาสตร์นั้นเป็น สินค้าที่มีคุณภาพ มีชื่อเสียง หรือมีคุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้หน้าทุเรียน มีทุเรียนจากแหล่งซึ่งเขาเห็นว่ามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ต่อมามี การนำทุเรียนไปปลูกในภาคอีสานและแหล่งที่ดังมาก ทุเรียนในภาคอีสานคือที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยบอกว่า ทุเรียนของเขากลิ่นไม่แรง แห้ง หอม ไม่หวานมาก อร่อย เพราะดินตรงนั้นเป็นดินภูเขาไฟจึงนำไปขอจด ทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กล่าวคือ เป็นทุเรียนภูเขาไฟที่ศรีสะเกษ เช่นนี้คือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หากใครจะนำไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยใช้ชื่อทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษก็จะทำไม่ได้ หรือในกรณี ของส้มโอที่นำไปจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์คือ ส้มโอนครชัยศรี หรือที่จังหวัดเพชรบูรณ์จะมีมะขาม


14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หวาน เมื่อนำไปจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์เราจะไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ามะขามหวาน เพชรบูรณ์ย่อมไม่ได้หรือในกรณีของกาแฟดอยตุง ที่นำไปจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หากอยู่ที่ ดอยตุงใช้ได้แต่หากไม่ได้อยู่ที่ดอยตุง แล้วไปทำกาแฟ แล้วไปจดยี่ห้อกาแฟเป็นกาแฟดอยตุง เช่นนี้ทำไม่ได้ ต้องห้าม ตามมาตรา 8 (12) ถ้าเป็นกรณีของดังระดับโลก สินค้าที่ดังระดับโลก คือ Champagne เราคงเคย เห็นว่าเป็นเหล้าองุ่นหรือไวน์ขาวอัดแก๊ส ถามว่า ถ้าเราไปอยู่ในอเมริกา และเราทำเหล้าองุ่นไวน์แล้วนำมาอัดแก๊สก็เหมือนกับที่ทำในประเทศ ฝรั่งเศส ถามว่า เราจะใช้ชื่อ Champagne ได้หรือไม่ หรือเราอาจจะไปทำเหล้าองุ่นขาวอัดแก๊สที่ประเทศ ออสเตรเลีย ถามว่าเราไปใช้ชื่อคำว่า Champagne ได้หรือไม่ คำตอบคือ ชื่อ Champagne นี้ถูกจดทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นบุคคลอื่นจะไปใช้ชื่อว่า Champagne ไม่ได้เราจะเห็นได้ว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง หากจะใช้คำว่า Champagne เขาจะไม่ใช้คำว่า Champagne แต่เขาจะใช้คำว่า California Champagne หรืออาจจะใช้คำว่า Sparkling Wine ที่ออสเตรเลียหากจะทำเป็นเหล้าไวน์ขาวอัดแก๊ส เขาจะเลี่ยงไปใช้ ชื่อว่า Australian Champagne คราวนี้ชื่อ Champagne นี้ จะต้องใช้กับไวน์ขาวอัดแก๊สที่ทำอยู่ในแคว้น หรือพื้นที่ตำบล Champagne ประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น จึงจะเรียกชื่อว่า Champagne ได้ คราวนี้หากมีการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์แล้ว และเรานำมาเป็นเครื่องหมายการค้า เราย่อมทำไม่ได้ต้องห้ามตามมาตรา 8 (12) มีความแตกต่างกันในด้านเจตนารมณ์ของเครื่องหมายการค้า คำว่า เจตนารมณ์ของเครื่องหมายการค้า กับ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิในสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์นี้ตรง นี้มีความแตกต่างกัน แต่เคารพซึ่งกันและกัน กฎหมายเครื่องหมายการค้า การคุ้มครองต้องการสื่อถึง ตัวสินค้า ผู้ผลิตสินค้า หรือผู้ให้บริการในตลาด สื่อถึงตัวสินค้าว่าแยกแยะมีคุณภาพหรือไม่ ส่วนกฎหมาย คุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ต้องการที่จะบ่งบอกพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ผู้ผลิตตั้งอยู่และบ่งบอกลักษณะ สินค้าตามแหล่งภูมิศาสตร์ซึ่งมีเจตนารมณ์ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นในกรณีที่ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าจะต้องเป็นกรณีที่สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ได้รับความคุ้มครอง และมีการขึ้นทะเบียนไว้แล้ว เท่านั้น แต่ถ้าอ้างว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์แต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เช่นนี้ไม่ต้องห้ามรับจดทะเบียน เครื่องหมายการค้า เพราะฉะนั้นตรงนี้เห็นชัดเจนว่ามาตรา 8 (12) คือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ได้รับความ คุ้มครองตามกฎหมาย เรื่องสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ผมคิดว่าตามลักษณะที่เราดู คือสิ่งที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย นั้นและได้ขึ้นทะเบียน ถ้าเข้าองค์ประกอบแล้ว ย่อมต้องห้ามไม่ให้รับจดทะเบียน เครื่องหมายอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ตรงนี้ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียน คือ ประกาศกระทรวง พาณิชย์โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2543 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2543 กล่าวถึงเครื่องหมายการค้าที่ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียน กล่าวคือ เครื่องหมายการค้า ที่ใช้กับชื่อเภสัชภัณฑ์สากลที่องค์การอนามัยโลกได้ขึ้นทะเบียนสงวนสิทธิ์การคุ้มครองไว้ และเครื่องหมาย


15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การค้า เครื่องหมายและคำบรรยายที่อาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดที่เกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือ การหลงผิดเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือบริการ ซึ่งมีเพียงเท่านี้ เพราะฉะนั้นในส่วนของมาตรา 8 ที่มีความสำคัญมาก ๆ ที่อยากให้นักศึกษาทำความเข้าใจ คือ มาตรา 8 (9) มาตรา 8 (10) และมาตรา 8 (12) มีความสำคัญอย่างมาก มีประเด็นน่าสนใจที่น่านำมา ออกเป็นข้อสอบ อาจมารวมกับในส่วนของกฎหมายลิขสิทธิ์หรือกฎหมายสิทธิบัตร ฎีกาที่ 2239/2554 การตีความบทบัญญัติมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และประกาศ กระทรวงพาณิชย์ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวจึงต้องตีความโดยเคร่งครัดว่า เครื่องหมายหรือคำบรรยายอันอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดเกี่ยวกับ "แหล่งกำเนิดของสินค้า" นั้น หมายถึง เครื่องหมายหรือคำบรรยายที่สื่อความหมายถึงหรือทำให้เข้าใจว่าเป็นประเทศ เมือง หรือสถานที่อัน เป็นแหล่งกำเนิดหรือที่มาของสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวโดยตรงเท่านั้น ไม่อาจตีความโดยขยาย ความให้หมายความรวมถึงเครื่องหมายหรือคำบรรยายที่สื่อความหมายถึงหรือทำให้เข้าใจว่าเป็นคนสัญชาติ ของประเทศหรือบุคคลซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่นั้น ๆ ด้วยได้ ต่อมา อยากจะกล่าวถึงในส่วนของมาตรา 13 ซึ่งเป็นมาตราที่น่าสนใจ เครื่องหมายการค้าที่ห้ามมิให้นายทะเบียนรับจดทะเบียน มาตรา 13 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 27 ในกรณีที่เครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนนั้น นาย ทะเบียนเห็นว่า (1) เป็นเครื่องหมายการค้า ที่เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วหรือ (2) เป็นเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว จนอาจ ทำให้สาธาณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ถ้าเป็นการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า สำหรับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกันที่นาย ทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน ห้ามมิให้นายทะเบียนรับจดทะเบียน มาตรา 13 เขียนว่าภายใต้บังคับมาตรา 27 มาตรา 27 บัญญัติว่า ในกรณีที่มีผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ที่เหมือนหรือคล้ายกับ เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วตามมาตรา 13 หรือในกรณีที่มีผู้ขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกันตามมาตรา 20 ทั้งนี้ สำหรับสินค้าจำพวกเดียวกัน หรือต่างจำพวก กันที่นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน ถ้านายทะเบียนเห็นว่าเป็นเครื่องหมายการค้า ซึ่งต่างเจ้าของต่างได้ใช้มาแล้วด้วยกันโดยสุจริต หรือมีพฤติการณ์พิเศษที่นายทะเบียนเห็นสมควรรับจด ทะเบียน นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกันดังกล่าวให้แก่เจ้าของหลาย คนก็ได้ โดยจะมีเงื่อนไข และข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีการใช้และเขตแห่งการใช้เครื่องหมายการค้านั้น หรือเงื่อนไข และข้อจำกัดอื่นตามที่นายทะเบียนเห็นสมควรกำหนดก็ได้ทั้งนี้ ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งคำสั่งพร้อมด้วย เหตุผลให้ผู้ขอจดทะเบียนและเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วทราบโดยไม่ชักช้า มาตรา 27 นี้เป็นกรณีที่จะขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้โดยมีเจ้าของเครื่องหมายการค้า หลายคน เป็นกรณีคนที่ขอจดหลายคนก็ว่ากันไปตามมาตรา 27 แต่หากเป็นการขอจดคนเดียวก็ต้อง


16 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง นำมาตรา 13 มาใช้เพราะฉะนั้นมาตรา 13 นี้กำหนดห้ามนายทะเบียนรับจดทะเบียนเลย หากเป็นกรณี เครื่องหมายการค้าที่เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้ว ไม่ว่าจะใช้สินค้าจำพวก เดียวกันหรือต่างจำพวกกันที่นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน และ (2) เป็นเครื่องหมายการค้าที่ คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดใน ความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ไม่ว่าจะใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกันที่ นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน ตรงนี้เห็นว่าถ้าเป็นกรณีของมาตรา 13 หากเราไปดูประกอบกัน จะเห็นว่าเหตุใดจึงต้องห้ามนายทะเบียนรับจด เพราะหากคนอื่นจดแล้ว หากเรานำไปจดทะเบียนเราก็จะมี สิทธิตามมาตรา 44 ซึ่งมาตรา 44 เขียนว่า ภายใต้บังคับมาตรา 27 และมาตรา 68 เมื่อได้จดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าแล้ว ผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าเป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันจะใช้ เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ผู้ที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าก็มีสิทธิ ผูกขาดในการใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนนั้น ถือว่าเป็นสิทธิผู้ขายเพียงผู้เดียว เพราะฉะนั้นเมื่อมาตรา 44 เขียนไว้เช่นนี้จึงต้องไปดูที่มาตรา 13 เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน เมื่อเป็นของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน นายทะเบียนจึงจะไปรับจดไม่ได้ การจดทะเบียนตาม มาตรา 13 นั้นอาจเป็นการจดในสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกัน ก็ให้เป็นดุลพินิจของนายทะเบียน ถ้านายทะเบียนเห็นว่าถึงแม้จะเป็นต่างจำพวกกัน แต่มีลักษณะอย่างเดียวกัน และเป็นกรณีการ จดที่เหมือนกันกับที่ผู้อื่นจดทะเบียนไว้นายทะเบียนก็จะรับจดทะเบียนไม่ได้จึงต้องย้อนกลับไปในมาตรา 6 มาตรา 6 (3) บัญญัติว่า เครื่องหมายการค้าอันเป็นรับจดทะเบียนได้ต้องประกอบด้วยลักษณะ ดังต่อไปนี้... (3) ไม่เป็นเครื่องหมายการค้า ที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่บุคคลอื่นได้จดทะเบียนไว้แล้ว คำว่า เหมือน จะไม่ค่อยมีประเด็น แต่หากถามว่า หากเขาไม่ได้จดในสินค้าจำพวกเดียวกัน เขาไปจด กับสินค้าต่างจำพวกกันจะทำได้หรือไม่ ในมาตรา 13 (1) หากเป็นกรณีเหมือนกัน แม้จะไปจดทะเบียนกับ สินค้าต่างจำพวกกัน แต่นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน ก็ห้ามไม่ให้นายทะเบียนรับ จดทะเบียน แต่กรณีที่จะเป็นประเด็นคือกรณีที่คล้าย หากเป็นเครื่องหมายการค้าแล้วไปขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของคนอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ทะเบียนก็ต้องดูว่า อาจทำให้สาธารณชนสับสน หรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า หรือแหล่งกำเนิดของสินค้า หรือไม่ และแม้ว่าจะใช้กับสินค้าต่างจำพวกกันก็ตาม หากนายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน นายทะเบียนก็รับจดทะเบียนไม่ได้ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจในกรณีของมาตรา 13 และมีแนวฎีกามากมาย ซึ่งการพิจารณาในส่วนนี้จะมีแนวที่ไม่ได้เขียนอธิบายไว้ว่าเหมือนอย่างไร แตกต่างอย่างไร แต่หากเหมือน ดูจากลักษณะ มีทั้งศาลอังกฤษ ศาลอเมริกา ศาลฎีกา หากศาลมองแล้วเห็นว่าเหมือนกับเครื่องหมายการค้า ที่บุคคลอื่นได้จดทะเบียนไว้เช่นนี้ย่อมชัดเจน ดูด้วยลักษณะ เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเครื่องหมายการค้าที่


17 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เหมือนกันโดยไม่มีที่ติแต่กรณีที่คล้ายกันย่อมมีประเด็น ซึ่งศาลฎีกามองว่าจะต้องคล้ายกันจนถึงขนาด สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ฎีกาที่ 6466/2538 เครื่องหมายการค้าของจำเลยมีลักษณะตัวอักษรและภาพวาดเหมือนกับ เครื่องหมายการค้าของโจทก์มากจนเกินกว่าที่บุคคลจะคิดประดิษฐ์ขึ้นเองโดยมิได้เลียนแบบกันการที่จำเลย ใช้เครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าพิพาทกับสินค้าเช่นเดียวกับสินค้าของโจทก์ ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยเลียนแบบเครื่องหมายการค้าพิพาทของโจทก์อันอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือ หลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์หรือโจทก์มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของสินค้านั้นด้วยจึงเป็นการ กระทำที่ไม่สุจริตเมื่อโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศ ญี่ปุ่นมาตั้งแต่พ.ศ.2499ทั้งได้จด ทะเบียนในต่างประเทศอีกหลายประเทศตลอดจนลงทุนโฆษณาเครื่องหมายการค้าดังกล่าวมาก่อนจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลย แม้จำเลยจะได้ครอบครองเครื่องหมายการค้าเป็นเวลานาน ประมาณ28ปีแล้วแต่เมื่อโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยและจำเลยได้จดทะเบียนและใช้ เครื่องหมายการค้าโดยไม่สุจริตเสียแล้วจำเลยย่อมไม่ได้สิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าว คำฟ้องโจทก์ใน ส่วนที่ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนดีกว่าจำเลยและให้จำเลยเพิก ถอนคำขอจดทะเบียนของจำเลยเป็นคำฟ้องตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา41(1) ซึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องต่อศาลได้ไม่ใช่กรณีที่จะต้องอุทธรณ์คำสั่งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าต่อ คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าตามมาตรา16วรรคสองแต่เมื่อเครื่องหมายการค้าของโจทก์ยังไม่ได้รับการ จดทะเบียนและนับแต่ใช้พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องเป็นเวลาเกิน กว่า5ปีแล้วดังนั้นโจทก์จึงนำคดีสู่ศาลเพื่อป้องกันในการล่วงสิทธิเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ได้เพราะ ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา29วรรคแรก ฎีกาที่ 8245/2544 จำเลยเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าพิพาทและได้ใช้เครื่องหมายการค้า พิพาทมาก่อนโจทก์ แม้จะส่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยหลังจากโจทก์จดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าในประเทศไทยแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของจำเลยในอันที่จะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ดีกว่า โจทก์ เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้าที่แท้จริงมาก่อนโจทก์ และการที่เครื่องหมายการค้าของ โจทก์เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยจนไม่มีที่ติ พฤติการณ์จึงไม่เชื่อว่าโจทก์คิดประดิษฐ์เครื่องหมาย การค้าพิพาทขึ้นมาเองโดยไม่ได้ลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิในเครื่องหมาย การค้าพิพาทดีกว่าจำเลย การพิจารณาความคล้ายกันของเครื่องหมายการค้า จะต้องปรากฏว่าคล้ายกันจนถึงขนาดอาจทำ ให้สาธารณชนสับสน หรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของ หรือแหล่งกำเนิดของสินค้า โดยพิจารณาจากความ คล้ายกันทางสายตา หรือความคล้ายกันทางเสียงเรียกขาน หรือความคล้ายกันทางความหมาย ฎีกาที่ 8902/2543 เครื่องหมายการค้าทั้งของโจทก์และจำเลยประกอบด้วยคำว่า ZENTEL และ ZENTAB เป็นสาระสำคัญ ตัวอักษรต่างกันเพียง 2 ตัวสุดท้ายลักษณะการวางรูปแบบและขนาดตัวอักษร เหมือนกัน ส่วนเสียงเรียกขานก็แตกต่างกันเล็กน้อยเช่นกัน โดยใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกัน ทั้งสาธารณชน จำนวนมากมิได้มีความรู้ในภาษาอังกฤษหรือตัวอักษรโรมัน ย่อมยากที่จะสังเกตข้อแตกต่างของเครื่องหมาย


18 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การค้าทั้งสองได้ ถือว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยคล้ายกับของโจทก์ที่ได้จดทะเบียนไว้ก่อนจนอาจทำให้ สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ ฎีกาที่ 5463/2552 เครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นอักษรโรมัน ตัวพิมพ์ใหญ่ คำว่า "HALOTRION" ส่วนของโจทก์เป็นอักษรโรมัน ตัวพิมพ์ใหญ่ คำว่า "HALOTRON" จึงมีอักษรโรมันที่เป็น ตัวพิมพ์ใหญ่เหมือนกันถึง 8 ตัว และอยู่ในตำแหน่งเดียวกันแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอักษรโรมัน 4 ตัวแรก คือ HALO กับอักษรโรมัน 2 ตัวสุดท้ายคือ ON เพียงแต่เครื่องหมายการค้าของจำเลยมีอักษรโรมัน I แทรกอยู่ ระหว่างอักษรโรมัน R กับ O เท่านั้น ถือว่า เครื่องหมายการค้าของจำเลยและของโจทก์มีรูปลักษณะที่ คล้ายกันมาก ในส่วนของเสียงเรียกขานนั้น เครื่องหมายการค้า HALOTRION ของจำเลยอ่านออกเสียง 4 พยางค์ ว่า ฮา-โล-ทรี-ออน และเครื่องหมายการค้า HALOTRON ของโจทก์อ่านออกเสียง 3 พยางค์ ว่า ฮา-โล-ทรอน แม้จะมีจำนวนพยางค์ที่ออกเสียงต่างกัน แต่เสียงเรียกขาน 2 พยางค์แรกซึ่งเป็นส่วนสำคัญนั้น เหมือนกัน ถือว่าเสียงเรียกขานเครื่องหมายการค้าของจำเลยและของโจทก์ก็คล้ายกันมากเช่นกันเมื่อ พิจารณาเกี่ยวกับจำพวกสินค้า และรายการสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของแต่ละฝ่ายจะเห็นว่า เป็นสินค้า จำพวก 1 รายการสินค้า สารหรือน้ำยาที่ใช้ในการดับเพลิงเหมือนกัน ดังนี้ ถือได้แล้วว่า เครื่องหมายการค้า HALOTRION ของจำเลยคล้ายกับเครื่องหมายการค้า HALOTRON ของโจทก์ โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้า HALOTRON มาก่อนจำเลยใช้เครื่องหมายการค้า HALONITE และ HALOTRION ทั้งจำเลยประกอบธุรกิจชนิดเดียวกับโจทก์ซึ่งมีสินค้าจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อนแล้ว และ บริษัทในเครือของจำเลยเคยสั่งซื้อสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ จึงเป็นไปได้ว่าจำเลยเคยเห็น เครื่องหมายการค้าของโจทก์มาก่อน ทำให้จำเลยคิดใช้เครื่องหมายการค้า HALOTRION อนึ่ง การที่สารฮา ลอน HALON เป็นคำสามัญที่บุคคลทั่วไปอาจใช้ได้ ก็ไม่ทำให้จำเลยอาจนำไปใช้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับ เครื่องหมายการค้าของโจทก์ได้ รวมทั้งข้ออ้างที่ว่าการใช้เครื่องหมายการค้า HALOTRION เป็นเพราะมีการ ใช้สารประกอบ 3 ชนิด จำเลยก็ไม่สมควรที่จะทำให้เครื่องหมายการค้าของตนคล้ายกับของโจทก์เช่นนี้ จึงรับ ฟังว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้า HALOTRON ดีกว่าจำเลย และเมื่อคดีรับฟังมาแล้วว่า เครื่องหมาย การค้า HALOTRION ของจำเลยคล้ายกับเครื่องหมายการค้า HALOTRON ของโจทก์ จึงรับฟังต่อไปได้ด้วย ว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้า HALOTRION ดีกว่าจำเลย ฎีกาที่ 1778/2514 โจทก์จดทะเบียนการค้าคำว่า "DEGUADIN" ซึ่งใช้กับสินค้ายาอมแก้เจ็บคอ แก้หวัด และอาการที่คล้ายคลึงกันมาประมาณ 10 ปีแล้ว จำเลยมาขอจดทะเบียน คำว่า "DEORADIN" ใช้กับ สินค้ายาอมแก้เจ็บคอและหวัดเช่นเดียวกัน เห็นได้ว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์จำเลยเป็นตัวอักษรโรมัน ทั้งหมด 8 ตัวเท่ากัน พิมพ์ด้วยตัวพิมพ์ขนาดไล่เลี่ยกัน ตัวอักษรเหมือนกันถึง 6 ตัว คือ ตัวหน้า2 ตัว ตัวท้าย 4 ตัว คงผิดกันแต่ตัวกลางสองตัว คือ ของโจทก์ GU ของจำเลยเป็น OR คนที่ไม่สันทัดจัดเจนใน ภาษาต่างประเทศมองดูแล้วอาจหลงผิดคิดว่าเป็นเครื่องหมายการค้าเดียวกันได้ง่ายสำเนียงที่เรียกขานก็ คล้ายคลึงกัน เพราะขึ้นต้นด้วยคำว่า "D" ลงท้ายสำเนียง "DIN" เหมือนกัน เครื่องหมายการค้าทั้งสองนี้มี ลักษณะคล้ายกันจนถึงกับนับได้ว่าเป็นลวงสาธารณชนได้


19 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เพราะฉะนั้น ตรงนี้เป็นจุดที่เราจะต้องพิจารณาการคล้าย เป็นการใช้ดุลพินิจ เหตุต่อมาดูในส่วนคำวินิจฉัยของศาลฎีกา เพราะคนมองเรื่องการคล้ายไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น หากเราจะดูเพื่อต้องการความชัดเจนจึงต้องมาดูการใช้ดุลพินิจของศาล และจะรู้ได้อย่างไรว่าทำให้ สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า ก็ต้องมาดูส่วนประกอบที่เป็นหลัก ที่สำคัญ แม้สะกดไม่เหมือนกัน แต่เวลาออกเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาต่างประเทศ ยกตัวอย่าง Rolex กับ Solex หรือคำว่า ROZA กับ ROSA ฎีกาที่ 926/2539 โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ากับสินค้าจำพวก 10ซึ่งเป็นเครื่องบอก เวลาในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2494 เป็นรูปมงกุฎห้ายอด บนยอดมงกุฎแต่ละยอดมีจุดกลมสีดำ ใต้มงกุฎมี อักษรโรมันคำว่า ROLEX ส่วนจำเลยเพิ่งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ากับสินค้าจำพวก 39 รายการดินสอ และสินค้าจำพวก 39 ทั้งจำพวกเมื่อปี 2524 และปี 2526 เป็นรูปมงกุฎห้ายอดมีจุดกลมสีดำอยู่บนยอด มงกุฎ ใต้มงกุฎต่างมีอักษรโรมันคำว่า LOlex ซึ่งมีลักษณะตัวอักษรคล้ายคลึงกัน ทั้งยังอ่านออกเสียงคล้ายคำ ว่า "โรเล็กซ์" ด้วย เมื่อพิจารณารวมทั้งหมดจะคล้ายคลึงกันมาก แม้จำเลยจะจดทะเบียนในสินค้าต่างจำพวก กับของโจทก์ ก็เป็นการลวงสาธารณชนให้หลงผิด แม้จำเลยจะยังมิได้นำสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า ดังกล่าวออกจำหน่ายแต่การที่จำเลยนำเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไปทำการจดทะเบียนถือได้ว่าเป็นการใช้ สิทธิไม่สุจริต โจทก์จึงมีสิทธิห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวต่อไปได้ จำเลยลอกเลียนเครื่องหมาย การค้าของโจทก์ และนำไปจดทะเบียนกับสินค้าคนละประเภทกับโจทก์ ทั้งจำเลยยังมิได้นำสินค้าภายใต้ เครื่องหมายการค้าดังกล่าวออกจำหน่ายในท้องตลาดจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในเรื่องค่าเสียหาย โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทมานานกว่า 80 ปี และได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้แล้วทั้ง ในต่างประเทศและในประเทศไทย เป็นการอ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยผู้ได้จด ทะเบียนไว้ในประเทศไทย จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นการใช้สิทธิตาม พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2474 มาตรา 41(1) นอกเหนือจากการที่เคยใช้สิทธิโต้แย้งต่อนาย ทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 22 ไว้แล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง *ฎีกาที่ 1122/2534 โจทก์จำเลยต่างยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในสินค้าจำพวกที่ 5 ซึ่งเป็นคำประดิษฐ์อักษรโรมันออกเสียงเหมือนกันว่านิโคล ต่างกันแต่เพียงว่าของโจทก์เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ว่า NICOLE ของจำเลยเป็นตัวพิมพ์เล็กว่า nicole เช่นนี้ ถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าทั้งสองมีลักษณะเหมือนหรือ คล้ายกันอันอาจทำให้ประชาชนหรือผู้ซื้อผิดหลงได้ เมื่อจำเลยได้ใช้เครื่องหมายการค้ามาก่อน รวมทั้งได้จด ทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้แล้วกับสินค้าจำพวก 38 รวมทั้งโฆษณาสินค้าดังกล่าวทางเอกสารสิ่งตีพิมพ์มา ตลอดในขณะที่โจทก์มิได้กระทำเลย อีกทั้งโจทก์อ้างว่าได้ลอกเลียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวจากนิตยสาร ญี่ปุ่น เครื่องหมายการค้าดังกล่าวจึงมิใช่เครื่องหมายการค้าที่โจทก์ประดิษฐ์ขึ้นอันจะถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของ ได้ กรณีจึงถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของและมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าโจทก์ ดังนั้น เมื่อโจทก์ยื่นคำขอจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวสำหรับใช้กับสินค้าของโจทก์อันอาจทำให้ประชาชนหรือผู้ซื้อหลงเข้าใจ ว่าสินค้าของโจทก์เป็นของจำเลย แม้จะเป็นสินค้าต่างจำพวกกันก็ตาม ก็ย่อมทำให้จำเลยเสียหายได้ จำเลย ย่อมมีสิทธิห้ามโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวได้.


20 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 7378/2538 เครื่องหมายการค้าคำว่า halog ของจำเลยก็ไม่มีคำแปลเช่นเดียวกันและออก สำเนียงเรียกขานว่า ฮาลอกหรือเฮลอกเหมือนกันทั้งสองคำต่างกันแต่เพียงว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นตัวพิมพ์เล็กเท่านั้นดังนี้เครื่องหมายการค้าคำว่า halog ของจำเลยจึงเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า HALOG ของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ก่อน แล้วอาจทำให้สาธารณชนหลงผิดได้แม้จำเลยจะได้รับการจดทะเบียนสำหรับจำพวกที่48ประเภท เครื่องสำอางก็ถือได้ว่าสินค้าของโจทก์และจำเลยเป็นสินค้าที่มีลักษณะอย่างเดียวกันอันอาจทำให้ผู้ซื้อหลง เข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์ได้เมื่อโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่าHALOG กับสินค้าครีม ทาผิวหนังมาก่อนจำเลยโจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า HALOGกับhalog ในสินค้าครีมทาผิวหนัง และสินค้าที่มีลักษณะอย่างเดียวกันดีกว่าจำเลยและมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของ จำเลยดังกล่าวได้ เราดูจากตัวบทของมาตรา 13 จะเห็นว่า เขียนไว้ว่า จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดใน ความเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า หรือแหล่งกำเนิดของสินค้า และตอนท้ายของมาตรา 13 (12) เขียนว่า ไม่ว่าจะใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวก การที่นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงมองว่าจะไปอ้างว่าจดทะเบียนต่างจำพวก อันนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะในตัวบทเขียนไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกัน หากเป็นกรณีที่เห็นว่ามีลักษณะแบบเดียวกันแล้ว ย่อมต้องห้าม ไม่ให้รับจดทะเบียน ฎีกา 6441/2537 เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีจุดเด่นอยู่ที่คำว่า AngelFace ซึ่งอ่านได้เป็น 3 พยางค์ เช่นเดียวกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า Alla Puff ซึ่งอ่านได้เป็น 3 พยางค์เช่นกัน ส่วนคำว่า POND'S ของโจทก์กับคำว่า DUBARRY ของจำเลยเป็นตัวอักษรขนาดเล็กกว่าคำทั้งสองดังกล่าวและไม่เป็น จุดเด่นของเครื่องหมายการค้าทั้งสอง อักษรโรมัน A ตัวแรกในคำว่า Alla ของจำเลยมีลักษณะการเขียน เหมือนกับอักษรโรมัน A ตัวแรกของคำว่า Angel ของโจทก์ และอักษรโรมันตัว P ในคำว่า Puff ของจำเลยก็ คล้ายอักษรโรมันตัว F ในคำว่า Face ของโจทก์ ลักษณะการเขียนของตัวอักษรคำว่าAlla Puff และคำว่า Angel Face ก็คล้ายคลึงโดยลากเส้นตรงของตัวอักษร P และ F ยาวลงมาด้านล่างเหมือนกันและตัวอักษรมี ขนาดเท่ากัน การวางตำแหน่งคำว่า DUBARRY เหนือคำว่า Alla Puff ก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกับคำว่าPOND'S ซึ่งอยู่เหนือคำว่า Angel Face นอกจากนี้เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยยังใช้กับสินค้าชนิด เดียวกัน ตลับแป้งของจำเลยมีขนาดเท่ากับตลับแป้งของโจทก์ รูปร่าง ลักษณะของตัวตลับแป้ง และฝาก็ เหมือนกัน สีของตลับแป้งของจำเลยก็มีสีแดงเช่นเดียวกับตลับแป้งของโจทก์ ตัวอักษรโรมันที่ตลับแป้งก็ใช้สี ทองเช่นเดียวกัน ผู้บริโภคหากมิได้สังเกตย่อมเกิดความสับสนและซื้อสินค้าผิดจากความประสงค์ได้ ดังนี้ เครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชน ให้สับสนหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์แล้ว ฎีกาที่ 4786/2534 เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลย ต่างเป็นรูปปลาโลมาที่มีลักษณะ กระโจนตัวลอย ลำตัวโค้ง หัวปลาอยู่ทางซ้ายและหางปลาอยู่ทางขวาแบบเดียวกัน มีขนาดใกล้เคียงกัน ต่างใช้ กับสินค้าพื้นรองเท้ายางที่ผลิตออกจำหน่าย ซึ่งเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน แม้โจทก์และจำเลยจะขอจดทะเบียน


21 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เครื่องหมายการค้าดังกล่าว ใช้กับสินค้าคนละจำพวก กล่าวคือโจทก์ใช้กับสินค้าจำพวก 40 พื้นรองเท้ายาง ส่วนจำเลยใช้กับสินค้าจำพวก 50 พื้นรองเท้าก็ตาม แต่ก็เป็นสินค้าชนิดเดียวกันคือพื้นรองเท้ายางดังกล่าว แม้ รูปตัวปลาโลมาตามคำขอจดทะเบียนของโจทก์มีสีดำทึบ ส่วนรูปตัวปลาโลมาตามคำขอจดทะเบียนของจำเลย เป็นตัวปลาโปร่งมีลายเส้นประตามลำตัวปลาก็ตาม แต่เมื่อใช้หล่อติดเป็นเครื่องหมายการค้ากับพื้น รองเท้ายาง แล้วย่อมจะไม่ปรากฏให้เห็นสีของตัวปลาว่าแตกต่างกันอย่างไร นอกจากนี้ ในการเรียกขานสินค้าที่โจทก์และ จำเลยผลิตออกจำหน่ายนั้น ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายย่อมจะเรียกกันว่าพื้นรองเท้าตราปลาโลมาเท่านั้น ความสำคัญที่ เด่นชัดของเครื่องหมายการค้าของ โจทก์และของจำเลยจึงอยู่ที่ตัวปลาโลมา แม้จะมีตัวหนังสืออักษรโรมัน ซึ่งมี ตัวสะกดและอ่านออกเสียงแตกต่างกันโดยของโจทก์ใช้คำว่า DOLPHIN ส่วนของจำเลยใช้คำว่า PORPOISE แต่ก็ปรากฏว่ามีคำแปลอย่างเดียวกันว่าปลาโลมาอักษรโรมันที่เป็นตัวหนังสือดังกล่าว จึงเป็นเพียง ส่วนประกอบของเครื่องหมายการค้าที่มีความสำคัญน้อยกว่า รูปตัวปลาโลมาเป็นอันมากเครื่องหมายการค้าทั้ง สองดังกล่าวมีลักษณะ ทำนองเดียวกันอันอาจทำให้ประชาชนทั่วไปหลงผิดได้ว่า สินค้าของโจทก์และจำเลย เป็นสินค้าของเจ้าของเดียวกัน ดังนี้ กรณีจึงถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยเหมือนหรือ คล้ายกันจนถึง นับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชน แม้โจทก์จะมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลย แต่ เครื่องหมายการค้าของโจทก์ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ห้ามจำเลยมิให้ใช้ เครื่องหมายการค้านั้น อันเป็น การฟ้องคดีเพื่อป้องกันการล่วงสิทธิเครื่องหมายการค้าที่ไม่จดทะเบียนได้ ทั้งนี้ เพราะต้องห้ามตาม มาตรา 29 วรรคแรก แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้าฯ กรณีจึงไม่อาจบังคับตามคำขอ ท้ายฟ้อง ของโจทก์ที่ให้ห้ามจำเลยดังกล่าวได้ อาจารย์กล่าวว่า การดูว่าเป็นการทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของเครื่องหมาย การค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้านั้น อาจไม่ได้ดูที่คำภาษาอังกฤษ คำอ่าน คำเขียนต่างกัน แต่ดูตัวโลโก้ ตัวรูป มีลักษณะที่คล้ายกัน ตรงนี้ศาลฎีกาดูหลายอย่างประกอบกัน แม้คำต่างกัน ความหมายต่างกัน แต่สิ่งที่ศาล ฎีกาให้ความสำคัญคือรูปโลโก้เป็นรูปปลาโลมา เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นความแตกต่าง และตัวสินค้าเองก็ คล้ายกันคือพื้นรองเท้า ซึ่งอาจทำให้คนสับสนหรือหลงผิดได้ ศาลฎีกาจึงมองว่าคล้ายกันแล้ว ฎีกาที่ 8512/2538 เครื่องหมายการค้าของโจทก์คำว่า "Dulcolax" มีอักษรโรมันรวม 8 ตัว ส่วน เครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า "DECOLAX" มีอักษรโรมันรวม 7 ตัว และในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และจำเลยคงมีแตกต่างกันที่ตัวอักษรโรมันเพียง 2 ตัว คือตัวอักษร "ul" และ "E" และเครื่องหมายการค้าของ โจทก์เป็นตัวพิมพ์ใหญ่เฉพาะตัวแรกคือตัวอักษร "D" ตัวอักษรอื่นเป็นตัวพิมพ์เล็ก ส่วนเครื่องหมายการค้าของ จำเลยใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด แต่เครื่องหมายการค้าทั้งสองต่างก็ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรโรมันตัวพิมพ์ใหญ่ "D" เหมือนกัน และลงท้ายด้วยตัวอักษรโรมันคำว่า "COLAX" เหมือนกัน ทั้งการอ่านก็ออกเสียงเป็น 3 พยางค์ เหมือนกันซึ่งเมื่อพิจารณาโดยรวมทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่าคล้ายคลึงกันมาก ซึ่งแม้แต่ผู้ที่อ่านอักษรโรมันได้ หากไม่พิจารณาให้รอบคอบ ก็ยากที่จะสังเกตเห็นข้อแตกต่างของเครื่องหมายการค้าทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าของโจทก์และจำเลยตามแผงบรรจุเม็ดยาต่างก็เป็นสินค้าประเภทยาระบาย ใช้สำหรับอาการท้องผูก เหมือนกัน ทั้งเม็ดยาและซองบรรจุยาก็มีลักษณะกลมนูนและมีขนาดเท่ากัน เม็ดยามีผิวเคลือบสีน้ำตาลเหลือง เหมือนกัน และเมื่อคำนึงถึงว่าส่วนใหญ่ของสาธารณชนมิได้มีความรู้ในภาษาอังกฤษหรือตัวอักษรโรมันดี


22 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง พอที่จะแยกความแตกต่างของตัวอักษรด้วยแล้ว ย่อมเป็นไปได้ง่ายที่สาธารณชนจะเกิดความสับสนหรือหลงผิด ในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ เครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า "DECOLAX" จึงเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ คำว่า "Dulcolax" จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหรือหลงผิดแล้ว โจทก์ได้ใช้และจดทะเบียน เครื่องหมายการค้านี้มาก่อนจำเลยจนเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย การที่จำเลยใช้ เครื่องหมายการค้าคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในสินค้าประเภทเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนา ของจำเลยที่จะเลียนแบบเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์คำว่า "Dulcolax" เป็นการละเมิดสิทธิใน เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ โจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า "DECOLAX" ของจำเลยได้ ฎีกาที่ 4434-4436/2540 โจทก์ตั้งโรงงานผลิตถั่วลันเตากรอบถั่วลิสง และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ โดยได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรมและกองควบคุมอาหาร กระทรวง สาธารณสุขโจทก์ผลิตสินค้าประเภทถั่วลันเตามานาน 8 ปี วางขายและจำหน่าย ทั่วประเทศ ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "GOLD" มานาน 10 ปี และจดทะเบียนในประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2512 สำหรับสินค้าจำพวกที่ 42 ชนิดสินค้ากาแฟ กาแฟสกัด น้ำเชื้อกาแฟ ชาและชาสกัด สินค้า ของโจทก์ที่ผลิตมีแต่ถั่วลันเตากรอบ ส่วนสินค้าของจำเลยที่ 1 เป็นกาแฟสำเร็จรูปชนิดเกล็ดและกาแฟ สำเร็จรูปที่สกัดแคฟเฟอีนเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 แตกต่างกันหลายประการ กล่าวคือ เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 มีเฉพาะ ภาษาอังกฤษ เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีสำเนียงเรียกขานว่า โกลด์นัทและกรีนนัทโกลด์ ส่วนเครื่องหมาย การค้าของจำเลยที่ 1 อ่านว่า โกลด์ เครื่องหมายการค้าทั้งสองของโจทก์มี 2 พยางค์และ 3 พยางค์ ตามลำดับ ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 มีพยางค์เดียว และสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ว่า เป็นถั่ว ลันเตากรอบกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นกาแฟเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกันมาก แม้จะจัด อยู่ในสินค้าจำพวกเดียวกันก็ตาม จำเลยที่ 1 จดทะเบียนคำว่า "GOLD" มาตั้งแต่ปี 2512 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ เคยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "GOLD" กับสินค้ากาแฟที่จำเลยที่ 1 ผลิต นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมาย การค้าจดทะเบียน คำว่า "GOLDBLEND" และ "โกลด์เบลนด์" กับสินค้ากาแฟและใช้ในลักษณะเป็นรุ่นหรือ ชนิดของสินค้ากาแฟประกอบกับเครื่องหมายการค้าอักษรประดิษฐ์"NESCAFE" หรือ "เนสกาแฟ" เท่านั้น การ เรียกขานสินค้าของโจทก์ อาจเรียกว่า "ถั่วกรีนนัทโกลด์" หรือ"ถั่วโกลด์นัท" ส่วนสินค้าของจำเลยที่ 1 อาจ เรียกว่า "เนสกาแฟโกลด์เบลนด์" เมื่อเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 แตกต่างกันหลาย ประการเช่นนี้ เครื่องหมายการค้าคำว่า "GOLDNUT โกลด์นัท" และ "กรีนนัทโกลด์ GreennutGold" ของ โจทก์ จึงไม่เหมือน หรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนคำว่า "GOLD" ของจำเลยที่ 1 จนอาจทำให้ สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ฎีกาที่ 7378/2538 โจทก์ได้ผลิตและจำหน่ายยารักษาโรคชนิดต่างๆ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดย ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า HALOG ตั้งแต่ พ.ศ. 2515และส่งไปจำหน่ายยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกสำหรับ ประเทศไทยโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2515 สำหรับสินค้า


23 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำพวกที่3 ประเภทยารักษาโรคผิวหนังบริษัทในเครือของโจทก์เป็นผู้ส่งสินค้าของโจทก์เข้ามาจำหน่ายใน ประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2518 และได้โฆษณาสินค้าของโจทก์ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศไทย ในหนังสือนิตยสารวงการแพทย์ก่อนจำเลยยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำเดียวกันกับของโจทก์ในพ.ศ. 2532หลายปีจำเลยทราบว่ามีเครื่องหมายการค้าคำว่า HALOG ของโจทก์ใช้กับสินค้าจำพวกยารักษาผิวหนัง ก่อนจำเลยยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวแล้วปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า HALOG ของ โจทก์ไม่มีคำแปลส่วนเครื่องหมายการค้าคำว่า halog ของจำเลยก็ไม่มีคำแปลเช่นเดียวกันและออกสำเนียง เรียกขานว่า ฮาลอกหรือเฮลอกเหมือนกัน ทั้งสองคำต่างกันแต่เพียงว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นตัวพิมพ์ ใหญ่ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นตัวพิมพ์เล็กเท่านั้น ดังนี้เครื่องหมายการค้าคำว่า halog ของจำเลย จึงเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า HALOG ของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ก่อนแล้วอาจทำให้ สาธารณชนหลงผิดได้แม้จำเลยจะได้รับการจดทะเบียนสำหรับจำพวกที่48ประเภทเครื่องสำอางก็ถือได้ว่า สินค้าของโจทก์และจำเลยเป็นสินค้าที่มีลักษณะอย่างเดียวกันอันอาจทำให้ผู้ซื้อหลงเข้าใจผิดว่าสินค้าของ จำเลยเป็นสินค้าของโจทก์ได้เมื่อโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า HALOG กับสินค้าครีมทาผิวหนังมาก่อน จำเลยโจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า HALOG กับ halog ในสินค้าครีมทาผิวหนังและสินค้าที่มี ลักษณะอย่างเดียวกันดีกว่าจำเลยและมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวได้ อาจารย์กล่าวว่า ถ้าเป็นกรณีที่เขียนเหมือนกันทุกอย่าง แต่แตกต่างกันที่ตัวพิมพ์ใหญ่กับตัวพิมพ์เล็ก และสินค้า แม้ว่าจะต่างกัน แต่ก็ใช้กับผิวหนังด้วยกันทั้งคู่ เพราะฉะนั้น ศาลจึงมองว่าสินค้าของจำเลยและของ โจทก์มีลักษณะอย่างเดียวกัน กรณีนี้ศาลฎีกาบอกว่าคล้ายกันแล้ว วินิจฉัยแนวเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1122/2534 ซึ่งเป็นกรณีที่เขียนคำเดียวกัน แต่เขียนตัวพิมพ์ใหญ่กับตัวพิมพ์เล็กต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงให้ จำไว้เลยว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ศาลฎีกามองว่าเป็นเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกัน ฎีกาที่ 6580/2548 โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า “SPONSOR" และคำว่า “สปอนเซอร์” โดยมีการจำหน่ายสินค้าและโฆษณาเผยแพร่สินค้าภายใต้เครื่องหมายดังกล่าวเป็นที่แพร่หลาย เพื่อใช้กับสินค้าประเภทเครื่องดื่มเกลือแร่ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง และเครื่องดื่มทุกชนิด ซึ่งเป็นสินค้าจำพวก 42 ส่วนจำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าจำพวก 25 รายการสินค้ารองเท้าแตะฟองน้ำ เมื่อเครื่องหมายการค้าใช้กับสินค้าต่างจำพวกและคนละประเภทกัน ตลอดจนไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องหรือ เชื่อมโยงกัน จึงไม่อาจทำให้สาธารณชนหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ ฎีกาที่ 7870/2543 เครื่องหมายบริการของโจทก์และจำเลยมีคำว่า ORIENTAL เหมือนกัน แม้คำ ดังกล่าวจะเป็นคำสามัญ และเครื่องหมายบริการของโจทก์มีคำว่า PLACE กับรูปประดิษฐ์เสาโรมันประกอบอยู่ ด้วยก็ตาม แต่ก็ได้ความว่า อาคารและเครื่องหมายบริการของโจทก์ คำว่า ORIENTAL ตรงกับชื่อย่านที่ตั้ง อาคารนั้นที่เรียกกันว่าโอเรียนเต็ล คำว่า ORIENTAL นี้จึงเป็นจุดเด่นในเครื่องหมายบริการของโจทก์และจำเลย จึงเป็นสาระสำคัญของเครื่องหมายบริการทั้งสองและอาจเรียกขานเครื่องหมายบริการทั้งสองว่าโอเรียนเต็ล เหมือนกัน เครื่องหมายบริการทั้งสองต่างใช้คำดังกล่าวเป็นอักษรโรมันตัวพิมพ์ใหญ่ แม้ตัวอักษร O ตัวแรกใน เครื่องหมายบริการของโจทก์มีลักษณะเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่กว่าตัวอักษรตัวอื่น และลายเส้นตัวอักษรแต่ละ ตัวมีความหนาบางประสมกันแตกต่างจากเครื่องหมายบริการของจำเลยที่มีขนาดตัวอักษรและความหนาของ


24 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ลายเส้นเสมอกันทุกตัว ก็เป็นข้อแตกต่างในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย แต่ยังเป็นคำคำเดียวกันเรียกขาน เหมือนกันเป็นจุดสำคัญอยู่ เครื่องหมายบริการของโจทก์จึงนับว่าคล้ายกับเครื่องหมายบริการของจำเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานประกอบการของโจทก์อยู่ใกล้ชิดกับโรงแรมที่ใช้เครื่องหมายบริการของจำเลย ย่อม เป็นพฤติการณ์ที่อาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของและแหล่งกำเนิดของบริการได้ จึงนับ ได้ว่า เครื่องหมายบริการของโจทก์ดังกล่าวคล้ายกับเครื่องหมายบริการ ORIENTAL ที่มีชื่อเสียงแพร่หลายของ จำเลยจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของบริการได้ จึงชอบที่ คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าจะสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายบริการของโจทก์ ฎีกาที่ 8902/2543 เครื่องหมายการค้าทั้งของโจทก์และจำเลยประกอบด้วยคำว่า ZENTEL และ ZENTAB เป็นสาระสำคัญ ตัวอักษรต่างกันเพียง 2 ตัวสุดท้ายลักษณะการวางรูปแบบและขนาดตัวอักษร เหมือนกัน ส่วนเสียงเรียกขานก็แตกต่างกันเล็กน้อยเช่นกัน โดยใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกัน ทั้งสาธารณชนจำนวนมากมิได้มีความรู้ในภาษาอังกฤษหรือตัวอักษรโรมัน ย่อมยากที่จะสังเกตข้อแตกต่างของ เครื่องหมายการค้าทั้งสองได้ ถือว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยคล้ายกับของโจทก์ที่ได้จดทะเบียนไว้ก่อนจน อาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ ฎีกาที่ 8331/2544 เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมัน คำว่า MAKITA อ่านว่า มากิต้า หรือ มากิตะ ซึ่งมีลักษณะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทุกตัวอักษร และตัวเขียนเล็กแบบอักษรประดิษฐ์กับอักษร M.E.W. ในรูปวงกลม ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นอักษรโรมันคำว่า MAKITO อ่านว่า มากิโต้ หรือ มากิโตะ มี ลักษณะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทุกตัวอักษร ซึ่งทั้งสองคำจะประกอบด้วยจำนวนตัวอักษรโรมัน 6 ตัว เท่ากัน มีอักษร 5 ตัวหน้าเหมือนกัน โดยจัดวางเรียงชิดติดกันอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ต่างกันแต่อักษรตัวสุดท้ายซึ่งของโจทก์ จะเป็นตัวอักษร A ส่วนของจำเลยจะเป็นตัวอักษร O แม้จะเห็นความแตกต่างของตัวอักษรตัวสุดท้ายอย่าง ชัดเจนเมื่อเขียนเป็นอักษรโรมันลักษณะตัวพิมพ์ใหญ่ แต่หากเปรียบเทียบกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์คำว่า makita ในการเขียนเป็นอักษรประดิษฐ์ ซึ่งเขียนในลักษณะของตัวเขียนเล็กคือ makita จะเห็นได้ว่าอักษรตัว สุดท้ายคือ a จะมีลักษณะกลมคล้ายตัวอักษร o เพียงแต่ด้านล่างทางด้านขวาของตัวอักษร a จะมีหางลาก ออกมา ซึ่งหากบุคคลผู้ไม่คุ้นเคยกับอักษรโรมันอาจสังเกตไม่เห็นความแตกต่างได้ และเมื่อพิจารณาเสียงเรียก ขานคำว่า makita กับ MAKITO แล้ว เสียงเรียกขานจะใกล้เคียงกันมาก กล่าวคือ พยางค์แรกออกเสียง เหมือนกัน พยางค์ท้ายสุดของโจทก์ออกเสียงเป็น ตะ หรือ ต้า ส่วนของจำเลยออกเสียงเป็น โต้ หรือ โตะ แม้ โจทก์จะยังไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า MATIKA ซึ่งเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่กับสินค้าของโจทก์ คงใช้แต่ เครื่องหมายการค้าคำว่า makita ซึ่งเขียนเป็นตัวพิมพ์เล็กและจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า MAKITO โดย เขียนเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ก็ตาม แต่ข้อแตกต่างระหว่างตัวพิมพ์เล็กกับตัวพิมพ์ใหญ่ดังกล่าวหาใช่ข้อแตกต่างใน สาระสำคัญอันจะไม่ทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดไม่ เครื่องหมายการค้าคำว่า MAKITO ของจำเลยจึง คล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า makita ของโจทก์ ฎีกาที่ 6934/2549 เครื่องหมายการค้าคำว่า SOSO ของจำเลยที่ 3 กับเครื่องหมายการค้าคำว่า SOLO ของโจทก์ ใช้อักษรโรมันตัวเดียวกัน จำนวนตัวอักษรและลำดับการวางอักษรเหมือนกันทุกประการ มี ความแตกต่างกันเพียงเฉพาะอักษรตัว S กับ L เท่านั้น แต่มีเสียงเรียกขานที่คล้ายกัน โอกาสที่จะมีการออก


25 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เสียงเรียกขานไม่ชัดและมีการฟังเสียงเรียกขานเข้าใจคลาดเคลื่อนย่อมเป็นไปได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับ เหตุผลที่ว่าวัตถุประสงค์ที่สำคัญประการหนึ่งของการมีกฎหมายคุ้มครองเครื่องหมายการค้าก็คือการคุ้มครอง ผู้บริโภคให้สามารถแยกความแตกต่างในแหล่งกำเนิดของสินค้าหรือความเป็นเจ้าของได้โดยง่าย รวมทั้งเมื่อ พิจารณาถึงเครื่องหมายการค้า SOLO และ SOSO ของโจทก์ที่ได้จดทะเบียนไว้ทั้งหมด เปรียบเทียบกับ เครื่องหมายการค้าพิพาทโดยภาพรวมแล้ว เห็นว่า มีความเหมือนหรือคล้ายอย่างชัดแจ้ง แม้รายชื่อสินค้าจำพวก 6 และจำพวก 8 เป็นคนละรายการกัน แต่เป็นสินค้าจำพวกเครื่องมือช่างช่อง ทางการจำหน่ายก็อาจเป็นสถานที่เดียวกัน อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะเป็นลูกค้ากลุ่ม เดียวกัน โอกาสที่จะทำให้เกิดความสับสนหลงผิดในหมู่สาธารณชนกับตัวเครื่องหมายการค้าย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อพิจารณาถึงเครื่องหมายการค้า SOLO ของโจทก์ที่ได้จดทะเบียนไว้ก่อนแล้ว ปรากฏว่าได้มีการจดไว้ใน รายการสินค้าจำพวก 8 เช่นเดียวกัน รายการสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า SOSO ของจำเลยที่ 3 จึงเป็น รายการสินค้าในประเภทเดียวกันกับสินค้าของโจทก์ที่ใช้คำว่า SOLO และเมื่อคำว่า SOSO มีลักษณะเหมือน คล้ายกับคำว่า SOLO สาธารณชนที่พบเห็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า SOSO ของจำเลยที่ 3 อาจ สับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ ฎีกาที่ 19463/2555 เครื่องหมายการค้าของโจทก์และเครื่องหมายการค้า COMSTAR ของจำเลย ต่างมีภาคส่วนเครื่องหมายคำเป็นอักษรโรมันคำว่า COM เช่นเดียวกัน แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์จะมี ภาคส่วนดาวซึ่งแตกต่างจากเครื่องหมายการค้าของจำเลยซึ่งเป็นเครื่องหมายคำไม่มีภาพประกอบ แต่รูปดาว ของโจทก์นั้นบุคคลทั่วไปย่อมทราบว่าหมายถึงคำว่า ดาว หรือคำว่า STAR ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของ จำเลย ทั้งตามคำขอจดทะเบียนโจทก์ได้ระบุคำอ่านรูปดาวในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ว่า "สตาร์" ซึ่งเมื่อ เรียกขานรวมทั้งเครื่องหมายจะเรียกขานได้ว่า "คอมสตาร์" ซึ่งพ้องกับเสียงเรียกขานของเครื่องหมายการค้า ของจำเลย เมื่อโจทก์และจำเลยต่างจดทะเบียนใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันรายการสินค้าเดียวกัน เครื่องหมาย การค้าของจำเลยจึงคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความเป็น เจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ฎีกาที่ 2767/2559 เครื่องหมายการค้าคำว่า "COMBID - COMBID" ของโจทก์ประกอบด้วยอักษร โรมันตัวพิมพ์ใหญ่จำนวน 6 ตัว อ่านออกเสียงว่า คอมบิด ในขณะที่เครื่องหมายการค้าคำว่า "COMBIF Combif" ประกอบด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ 1 ตัว และตัวพิมพ์เล็กอีกจำนวน 5 ตัว อ่านออกเสียงว่า คอมบิฟ แม้ เครื่องหมายการค้าทั้งสอง จะมีเสียงเรียกขานคล้ายกัน ประกอบด้วยตัวอักษรโรมันจำนวน 6 ตัว เช่นเดียวกัน และเป็นอักษรโรมันที่เหมือนกันเกือบทั้งหมดโดยมีความแตกต่างกันที่ตัวอักษรตัวสุดท้ายของเครื่องหมาย การค้าทั้งสอง โดยเครื่องหมายการค้าคำว่า "COMBID" ของโจทก์เป็นตัวอักษร "D" แต่เครื่องหมายการค้าคำว่า "COMBIF" เป็นตัวอักษร "F" ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเครื่องหมายการค้าทั้งสองแล้ว พบว่ามี ความแตกต่างที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน เนื่องจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันตัวพิมพ์ ใหญ่ทั้งหมด ในขณะที่เครื่องหมายการค้าคำว่า "COMBIF Combif" คำที่ 2 มีเพียงตัวอักษรตัวแรก คืออักษร "C" เท่านั้นที่เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ส่วนตัวอักษรที่เหลือทั้งหมดเป็นตัวพิมพ์เล็ก นอกจากนี้เครื่องหมายการค้าทั้ง สองแม้จดทะเบียนใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกัน คือ จำพวกที่ 5 แต่รายการสินค้าที่จดทะเบียนนั้นแตกต่างกัน


26 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โดยเครื่องหมายการค้าของโจทก์จดทะเบียนใช้กับรายการสินค้ายาที่เตรียมขึ้นเพื่อใช้ต่อต้านหรือทำลายเชื้อ ไวรัส ส่วนเครื่องหมายการค้าคำว่า "COMBIF Combif" ขอจดทะเบียนใช้กับรายการสินค้าอาหารเสริมใช้ ในทางการแพทย์ช่วยย่อยอาหารและป้องกันท้องผูก ซึ่งเป็นสินค้าคนละประเภทกัน โอกาสที่ผู้บริโภคจะสับสน หลงหรือผิดจึงเป็นไปได้น้อย แม้จะเป็นสินค้าจำพวกยาเหมือนกัน แต่มีวัตถุประสงค์ในการใช้ที่แตกต่างกัน อย่างชัดเจน อีกทั้งกลุ่มผู้ใช้สินค้าของยาทั้งสองก็แตกต่างกัน สินค้ายาตามเครื่องหมายการค้า "COMBID" ของ โจทก์ ผู้ใช้คือผู้ป่วยโรคเอดส์ ซึ่งไม่สามารถซื้อใช้เองได้โดยตรง แต่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์เท่านั้น ในขณะที่ผู้ใช้ สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า "COMBIF" เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่กว้างกว่า ไม่จำกัดเฉพาะผู้ป่วยโรคเอดส์ ดังนั้น แม้เครื่องหมายการค้าทั้งสองจะมีเสียงเรียกขานใกล้เคียงกันก็ตาม แต่เครื่องหมายการค้าคำว่า "COMBIF" ที่ขอ จดทะเบียน จึงเป็นเครื่องหมายการค้าอันพึงรับจดทะเบียนได้ตามมาตรา 6 (3) และมาตรา 13 แห่ง พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 อาจารย์กล่าวว่าคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้แตกต่างจากฉบับอื่น กล่าวคือแม้เครื่องหมายการค้าจะ คล้ายกันและจดทะเบียนกับสินค้าจำพวกเดียวกัน แต่รายการสินค้าที่จดทะเบียนนั้นแตกต่างกัน ผู้ใช้สินค้า แตกต่างกัน ทำให้สาธารณชนไม่อาจสับสนหรือหลงผิด จึงรับจดทะเบียนได้ คำพิพากษาศาลฎีกากรณีที่วินิจฉัยว่า ไม่คล้ายกัน ฎีกาที่ 7331/2544 เครื่องหมายการค้าของโจทก์คือเครื่องหมายประกอบด้วยคำว่า KinderEmeukal และรูปประดิษฐ์เป็นรูปการ์ตูนเด็กผู้ชายซึ่งโดยเฉพาะในส่วนรูปประดิษฐ์การ์ตูนเด็กผู้ชายซึ่งไม่มีใน เครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นส่วนที่แตกต่างจากเครื่องหมายการค้าที่มีคำว่า KINDER ของจำเลยอย่าง เด่นชัด ส่วนที่เป็นคำว่า KinderEm-eukal อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมในรูปประดิษฐ์การ์ตูนเด็กผู้ชายนั้นแม้จะมีคำ ว่า KINDER คำเดียวกับคำว่า KINDER ในเครื่องหมายการค้าของจำเลย และคำว่า KINDER นี้ก็เป็นคำที่ใช้ใน ภาษาเยอรมันก็ตามแต่ตามความเป็นจริงคำว่า KINDER นี้ก็เป็นคำซึ่งมีความหมายตามพจนานุกรมว่า เด็ก หลายคนย่อมเป็นคำที่คนทั่วไปสามารถนำมาใช้ได้เป็นปกติอยู่แล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าคำว่าKINDER ไว้ ก็ไม่ถึงกับมีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้อื่นใช้คำนี้โดยเด็ดขาดเพียงแต่ผู้ที่จะนำคำว่า KINDER ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งประกอบเครื่องหมายการค้าของตนในภายหลังต้องทำให้เครื่องหมายการค้านั้นมีลักษณะ แตกต่างจากเครื่องหมายการค้าของจำเลยและไม่ทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดได้ ศาลฎีกามองว่า ถ้าเห็นว่ามีส่วนที่มีความแตกต่างกันก็ใช้ได้เพราะฉะนั้นถ้าส่วนหนึ่งคล้ายกัน แล้วนำ ส่วนหนึ่งมาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ศาลฎีกาจึงมองว่าไม่ถือว่าคล้าย ฎีกาที่ 1899/2548 เครื่องหมายการค้าของโจทก์ทั้งที่เป็นคำ และเป็นรูปกับคำต่างประกอบด้วย ตัวอักษรโรมันแบบพิมพ์ใหญ่และแบบอักษรประดิษฐ์ 4 ตัว คือ "F" "O" "R" และ "D" โดยเครื่องหมายการค้าที่ เป็นรูปและคำจะมีวงรีล้อมรอบตัวอักษรประดิษฐ์ดังกล่าวอยู่ ส่วนเครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นคำขอจด ทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าที่ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ 3 ตัว คือ "F" "O" และ "R" ดังนี้ เมื่อ พิจารณาจากลักษณะของเครื่องหมายการค้าของโจทก์และเครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนจะ เห็นได้ว่า แม้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวต่างมีตัวอักษรขึ้นต้นด้วยอักษร "F" และตามด้วยตัวอักษร "O" และ "R" ตามลำดับเช่นเดียวกัน แต่เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีตัวอักษร "D" อยู่ในตอนท้ายด้วย ซึ่งแม้


27 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เครื่องหมายการค้าของโจทก์กับที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนจะมีจำนวนตัวอักษรต่างกันเพียงตัวอักษรเดียว แต่เนื่องจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์มีตัวอักษรเพียง 4 ตัว เท่านั้น สาธารณชนจึงสามารถสังเกตเห็นความ แตกต่างของเครื่องหมายการค้าของโจทก์กับเครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนได้โดยง่าย และ โดยเหตุที่เครื่องหมายการค้าดังกล่าวต่างประกอบด้วยตัวอักษรโรมันเช่นเดียวกัน การเขียนจึงต้องมีตัวสะกด ซ้ำกันบ้าง ในกรณีเช่นนี้จะสันนิษฐานว่าจำเลยมีเจตนาเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ได้ นอกจากนั้นเครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนมีเสียงเรียกขานว่า "ฟอร์" และมีคำแปลจาก ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยชัดเจนคือแปลว่า "สำหรับ" ส่วนเครื่องหมายการค้าของโจทก์มีเสียงเรียกขานว่า "ฟอร์ด" ซึ่งมีที่มาจากชื่อผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องหมายการค้าทั้งสองจึงมีความหมายและเสียง เรียกขานที่ต่างกัน ดังนั้น เครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมาย การค้าของโจทก์จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ฎีกาที่ 5214/2548 โจทก์ประดิษฐ์และใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า SUNGARD ในสินค้าของโจทก์ เป็นที่แพร่หลายทั่วไปก่อนที่จำเลยจะใช้คำว่า SUN เป็นคำนำหน้าของเครื่องหมายการค้าของจำเลย แม้สินค้า ของจำเลยจะใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า SUN นำหน้าจำนวนมากมาย แต่เป็นการใช้ภายหลังเครื่องหมาย การค้าคำว่า SUNGARD ของโจทก์ โจทก์ไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้า SUNGARD เลียนแบบหรือเหมือนกับ เครื่องหมายการค้าภายใต้คำว่า SUN นำหน้าของจำเลย *ฎีกาที่ 5451/2554 โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการที่ประกอบด้วยคำ ว่า "Mc" เป็นสาระสำคัญและใช้คำว่า "Mc" กับผลิตภัณฑ์อาหารหลายรูปแบบมาตลอด ส่วนบริษัท ฟ. ผู้ขอจด ทะเบียนยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แม้เครื่องหมายการค้าของผู้ขอจดทะเบียนดังกล่าว จะมีภาค ส่วนอักษรโรมัน คำพยางค์แรกว่า "Mac" และมีอักษรโรมันตัว M และ c เช่นเดียวกันกับคำว่า "Mc" ใน เครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการของโจทก์ก็ตาม แต่คำดังกล่าวเป็นคำที่มีความหมายโดยทั่วไป หมายถึงชาวสกอตแลนด์ จึงมิใช่คำประดิษฐ์ ผู้ขอจดทะเบียนจึงมีสิทธิใช้เป็นคำต้นของเครื่องหมายการค้าของ ผู้ขอจดทะเบียนได้ เมื่อพิจารณาถึงเสียงเรียกขาน เครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการของโจทก์อาจ เรียกขานได้แตกต่างกัน เช่น บิคแม็ค แม็คฟิช แม็คโดนัลด์'ส แม็คพิซซ่า แม็คเบอร์เกอร์ และแม็คทูไนท์ เป็น ต้น ซึ่งมีเสียงเรียกขานแตกต่างไปจากเครื่องหมายการค้าของผู้ขอจดทะเบียน นอกจากนี้เครื่องหมายการค้าของผู้ขอจดทะเบียนยังประกอบด้วยรูปประดิษฐ์นกอินทรี จึงแตกต่างจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์ซึ่งไม่มีภาพหรือรูปประดิษฐ์ของสัตว์ใดเป็นสัญลักษณ์ แม้โจทก์จะใช้เครื่องหมายการค้าของตนมายาวนานและแพร่หลายเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อเครื่องหมายการค้าของ ผู้ขอจดทะเบียนไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้ก่อนแล้ว จนอาจทำให้ สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า จึงไม่ต้องห้ามรับจด ทะเบียนตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 8 (10) และมาตรา 13 แม้คำว่า "Candy" ในเครื่องหมายการค้าของผู้ขอจดทะเบียนเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรงต้องห้ามมิให้ รับจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 7 วรรคสอง (2) และผู้ขอจดทะเบียนแสดงปฏิเสธไม่ขอถือ สิทธิของตนแต่ผู้เดียวที่จะใช้คำดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่เครื่องหมายการค้าของผู้ขอจดทะเบียนประกอบด้วยภาค


28 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ส่วนอื่นที่มีลักษณะบ่งเฉพาะด้วย เมื่อพิจารณาทั้งเครื่องหมายแล้ว เครื่องหมายการค้าของผู้ขอจดทะเบียนจึงมี ลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 6 (1) ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา กรณีเครื่องหมายที่มีลักษณะคล้ายกัน แต่ไม่สับสน ฎีกาที่ 3686/2451 เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นเครื่องหมายอักษรโรมันอย่างเดียว แต่ เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นเป็นทั้งเครื่องหมายรูปคือกิเลน 5 ตัว ในวงกลมและเครื่องหมายอักษร ภาษาจีนอ่านว่า "โหงวคี่เล้ง" และอักษรไทย ตัวเลขอารบิคำว่า "ตรา 5 กิเลน" ส่วนที่เป็นสาระสำคัญของคำ และอักษรคือ "KIRIN" และ "กิเลน" ไม่คล้ายกันเพราะเป็นอักษรโรมันกับเป็นอักษรไทย แต่คำว่า "กิเลน" มีเสียงเรียกขานคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้ว แม้สินค้าของโจทก์และของ บุคคลอื่นเป็นสินค้าจำพวกเดียวกันแต่รายการสินค้าแตกต่างกันโดยของโจทก์เป็นยารักษาโรคแผนปัจจุบัน แต่ ของบุคคลอื่นเป็นยาแผนโบราณ และสินค้ายาของโจทก์ต้องสั่งและใช้โดยแพทย์ในโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่มีการ จำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป ประชาชนไม่อาจหาซื้อได้ แต่สินค้ายาของบุคคลอื่นหาซื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา ตลาดยาของโจทก์จึงเป็นโรงพยาบาล สถานพยาบาล ซึ่งแพทย์เป็นผู้สั่งซื้อหรือสั่งจ่ายยา ซึ่งยากที่แพทย์หรือเภสัชกรหรือผู้ใช้ยาจะสับสนหรือหลงผิดหรือผิดพลาด ขณะที่ตลาดยาของบุคคลอื่นนั้นเป็น ร้านขายยาซึ่งประชาชนผู้ซื้อสินค้ายาของบุคคลอื่นสับสนหรือหลงผิด เครื่องหมายการค้าที่โจทก์ยื่นขอจด ทะเบียนกับของบุคคลอื่นจึงไม่คล้ายกันจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือ แหล่งกำเนิดของสินค้า ฎีกาที่ 2504/2553 เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันคำว่า MAGNUM ส่วนของบริษัท อ. เป็นอักษรไทยคำว่า แมกนั่ม จึงไม่เหมือนหรือคล้ายกันในเรื่องรูปลักษณะของเครื่องหมายการค้าแม้เสียง เรียกขานเครื่องหมายการค้าของโจทก์กับของบริษัท อ. มีเสียงเรียกขานที่เหมือนหรือคล้ายกันมาก เพราะ เครื่องหมายการค้าคำว่า แมกนั่ม ของบริษัท อ. เป็นอักษรไทยที่สะกดเลียนเสียงภาษาอังกฤษคำว่า MAGNUM แต่สินค้าของโจทก์และบริษัท อ. เป็นรายการสินค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งลักษณะของการวางจำหน่ายในร้านค้า โดยทั่วไปน่าจะไม่ได้วางใกล้ชิดกันหรือบนชั้นวางสินค้าเดียวกัน ดังนั้น กลุ่มผู้บริโภคสินค้าของโจทก์กับของ บริษัท อ. แม้จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเกิดความสับสนได้ สินค้าส่วนใหญ่ของบริษัท อ. ภายใต้เครื่องหมายการค้าที่เกี่ยวกับคำว่า MAGNUM เป็นสินค้าประเภท เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เมื่อไม่ปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าของบริษัท อ. เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียง แพร่หลายทั่วไป ย่อมจะไม่ได้รับความคุ้มครองในสินค้าต่างจำพวกที่ขอจดทะเบียนไว้ และปรากฏต่อไปว่า บริษัท อ. ไม่เคยนำสินค้าประเภทชา หรือกาแฟออกจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้านี้ ความสับสนในหมู่ ผู้บริโภคจึงไม่มี ประกอบกับโจทก์ได้ใช้คำว่า MAGNUM เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องหมายการค้ากับสินค้าไอศกรีม ของตนในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว มิได้ประสงค์ที่จะใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า MAGNUM เพื่อ แอบอิงหรือแสวงหาประโยชน์จากชื่อเสียงเกียรติคุณในเครื่องหมายการค้าของบริษัท อ. ฎีกาที่ 7202/2554 การพิจารณาเปรียบเทียบว่าเครื่องหมายการค้าใดคล้ายกันจนอาจทำให้ สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ไม่ใช่พิจารณา เปรียบเทียบเฉพาะรูปหรือคำหรือข้อความที่ปรากฏให้เห็นด้วยสายตาเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาดูภาพรวมทุก


29 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ส่วนของเครื่องหมายนั้น ทั้งสำเนียง เสียงเรียกขาน รายการสินค้าที่ขอจดทะเบียนหรือที่จดทะเบียนไว้แล้ว สาธารณชนกลุ่มผู้ซื้อสินค้า ใช้เครื่องหมายการค้า และความสุจริตในการขอจดเครื่องหมายการค้า โดย สาระสำคัญอยู่ที่ว่าความคล้ายนั้นถึงขนาดที่อาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของ สินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าหรือไม่ สำหรับเครื่องหมายการค้าคำว่า "PROTO" ของจำเลยเปรียบเทียบกับคำว่า "proton" ของโจทก์ เห็น ได้ว่า คำว่า "PROTO" ประกอบด้วยอักษรโรมันที่เหมือนกัน 5 ตัวแรก นับว่าเครื่องหมายการค้า ทั้งสองคล้ายกันระดับหนึ่ง แต่ก็มีความแตกต่างกันหลายประการ กล่าวคือ ต่างจดทะเบียนโดยใช้ตัวอักษร ประดิษฐ์ที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน เครื่องหมายการค้าคำว่า "PROTO" อาจเรียกขานได้ว่า โปร-โต หรือ โปร-โต้ ส่วนเครื่องหมายการค้าคำว่า "proton" อาจเรียกขานได้ว่า โปร-ตอน หรือ โปร-ตัน สำเนียงเรียก ขานจึงแตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายการสินค้าที่ขอจดทะเบียนของเครื่องหมายการค้าทั้งสอง คือ "PROTO" ใช้กับสินค้าจำพวกที่ 12 รายการสินค้า ผ้าเบรก แผ่นคลัตซ์ คลัตช์ออโตเมติก ดุมล้อ ก้ามเบรก วงล้อ ซี่ลวด สำหรับรถจักรยานยนต์ ส่วน "proton" ใช้กับสินค้าจำพวกที่ 12 รายการสินค้ารถยนต์แล้ว เห็นได้ว่า แม้จะ เป็นสินค้าจำพวกเดียวกัน แต่ก็มีข้อแตกต่างกันที่รายการสินค้าของจำเลยเป็นชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ของ รถจักรยานยนต์ ซึ่งสาธารณชนผู้ซื้อสินค้าเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นช่างซ่อมหรือตกแต่งรถจักรยานยนต์ หรือ ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ที่มีความสนใจในการซ่อมหรือตกแต่งรถจักรยานยนต์ สาธารณชนอื่นที่ไม่ใช่บุคคลในกลุ่ม ผู้ใช้สินค้าดังกล่าวโดยตรง แม้จะเป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์ภายใต้เครื่องหมายการค้านี้ มักไม่ได้เป็นผู้ซื้อชิ้นส่วน อะไหล่หรืออุปกรณ์ของรถจักรยานยนต์ด้วยตนเอง กลุ่มคนที่ซื้อสินค้าเหล่านี้มักจะเป็น ผู้คลุกคลี มีความคุ้นเคยและมีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์เป็นอย่างดีพอสมควร บุคคลเหล่านี้ย่อมแยกแยะความแตกต่างระหว่างสินค้าชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ของรถจักรยานยนต์ที่ใช้ เครื่องหมายการค้าคำว่า "PROTO" ของจำเลยกับสินค้ารถยนต์หรือชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ของรถยนต์ที่ใช้ เครื่องหมายการค้าคำว่า "proton" ของโจทก์ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาสูงกว่าสินค้าของจำเลยมาก เครื่องหมาย การค้าคำว่า "PROTO" ของจำเลย จึงไม่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "proton" ของโจทก์ จนอาจทำให้ สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 6 (3) ประกอบมาตรา 13 และ มาตรา 6 (2) ประกอบมาตรา 8 (10) สำหรับประเด็นที่สำคัญอีกประการ คือ มาตรา 44 เป็นหัวใจของพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า เพราะคล้ายกับการกำหนดสิทธิในการผูกขาดของเจ้าของเครื่องหมายการค้า มาตรา 44 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 27 และมาตรา 28 เมื่อได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แล้ว ผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมาย การค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ข้อสังเกต มาตรา 44 อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 27 และมาตรา 68 เมื่อย้อนกลับไปดูมาตรา 27 ตัวบทกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า ในกรณีที่มีผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับ เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วตามมาตรา 13 หรือในกรณีที่มีผู้ขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกันตามมาตรา 2๗ ทั้งนี้ สำหรับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกัน


30 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ที่นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน ถ้านายทะเบียนเห็นว่าเป็นเครื่องหมายการค้า ซึ่งต่างเจ้าของ ต่างได้ใช้มาแล้วด้วยกันโดยสุจริต หรือมีพฤติการณ์พิเศษที่นายทะเบียน เห็นสมควรรับจดทะเบียน นาย ทะเบียนจะรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกันดังกล่าวให้แก่เจ้าของหลายคนก็ได้ โดยจะ มีเงื่อนไขและข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีการใช้และเขตแห่งการใช้ เครื่องหมายการค้านั้น... กล่าวคือ ถ้าเป็นกรณีที่นายทะเบียนรับจดกับเครื่องหมายการค้าเดียว แต่เจ้าของเครื่องหมายการค้ามี หลายคน ก็ย่อมทำได้ นายทะเบียนจะเป็นคนกำหนดเงื่อนไข เพราะฉะนั้นมาตรา 44 จึงอยู่ภายใต้บังคับของ มาตรา 27 และมาตรา 68 เป็นกรณีที่เขามีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว แต่เขาอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ เพราะฉะนั้นถ้า เป็นกรณีที่อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิแล้วก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขนั้น เพราะฉะนั้นมาตรา 44 จึงอยู่ภายใต้บังคับ มาตรา 27 และมาตรา 68 นอกเหนือจากนั้น เราจำง่าย ๆ ว่า เจ้าของเครื่องหมายการค้า เมื่อจดทะเบียนแล้วผู้ที่จดทะเบียนเป็น เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิผูกขาดทันที 100% เป็นสิทธิผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวในการจะใช้เครื่องหมาย การค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียน เพราะฉะนั้นจึงต้องจดทะเบียนสิทธิผูกขาดนั้นคือ ใช้เครื่องหมาย การค้านั้น ต้องจดทะเบียนไว้ด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าผู้อื่นมาใช้สิทธิก็สามารถฟ้องในฐานะที่เป็นการละเมิด เครื่องหมายการค้าได้ ซึ่งมาตรา 44 เป็นมาตราสำคัญให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียว เพราะฉะนั้นเราเรียกว่า Exclusive Life ของ เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ เป็นมาตราเดียวซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ใช้กฎหมาย รวมถึงศาลจะต้อง พิจารณาหาหลักเกณฑ์ก่อนว่า 1. เป็นเรื่องเครื่องหมายการค้าหรือไม่ 2. เป็นการใช้เครื่องหมายการค้าหรือไม่ 3. เป็นสินค้าที่ระบุว่าจะใช้เครื่องหมายการค้าหรือไม่ 4. ถ้าเป็นการใช้เครื่องหมายการค้ากับการผลิตสินค้านั้นทำได้หรือไม่ ซึ่งกรณีมาตรา 44 เป็นคนละกรณีกับในส่วนของสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จด ทะเบียน เพราะบางกรณี เจ้าของเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศ ที่เป็นเครื่องหมายการค้าที่ใช้ มีชื่อเสียงแล้วมาขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของเขาในประเทศไทย แต่บังเอิญว่ามีผู้ที่ไปขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้า เช่น กระเป๋าแบรนด์เนมฝรั่งเศส ซึ่งเจ้าของกระเป๋าแบรนด์เนมนั้นยังไม่ได้จดทะเบียน เครื่องหมายการค้าในประเทศไทย ปรากฏว่าอาแป๊ะคนหนึ่งไปที่ประเทศฝรั่งเศสเห็นกระเป๋ายี่ห้อนี้ดีจึงนำมา ขอจดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีกฎหมาย Well known Mask นายทะเบียนดูอย่างเดียวว่าขัด ต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีหรือไม่ ต้องห้ามหรือไม่เครื่องหมายการค้านั้นมีคนจดมาก่อนหรือไม่ หากเห็นว่าครบองค์ประกอบ นายทะเบียนก็จะรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นในประเทศไทย และอาแป๊ะ นั้นก็ใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้ากระเป๋าในประเทศไทย ต่อมา บริษัทกระเป๋าแบรนด์เนมในประเทศฝรั่งเศสต้องการมาจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมในประเทศ ไทยจึงไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ปรากฏว่าเมื่อนายทะเบียนไปดู เห็นว่าไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ แต่ไป เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่บุคคลอื่นได้จดทะเบียนไว้แล้ว นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนไม่ได้


31 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ทั้งที่ความจริงแล้วไม่เป็นธรรมเลย เพราะกระเป๋าแบรนด์เนมฝรั่งเศสนั้นได้จดทะเบียนในต่างประเทศมาก่อน แล้ว แต่อาแป๊ะกับนำมาจดทะเบียนในประเทศไทยก่อน เช่นนี้จึงมีตัวช่วยตามมาตรา 67 กล่าวคือ กฎหมาย ไม่ให้อำนาจอะไรเลยกับเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียน ดังนั้นภายใน 5 ปีนับแต่วันที่นาย ทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ตามมาตรา 44 ผู้มีส่วนได้เสียอาจร้องขอต่อศาลขอให้เพิก ถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ แสดงได้ว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ซึ่งได้จด ทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น เพราะฉะนั้นกรณีนี้จึงเป็นกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะ ยังไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทยก็ตาม แต่หากพิสูจน์สิทธิของเขาได้ ก็สามารถไปฟ้องร้อง ต่อศาลพิสูจน์ว่าตนเองมีสิทธิดีกว่า แล้วให้ศาลเพิกถอนคนที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แล้วตนเองก็ขอจด ทะเบียนได้ ซึ่งเป็นตัวช่วยในกรณีของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนแบบสุจริต ฎีกาที่ 284/2539 โจทก์เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคอมพิวเตอร์ ภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า "UNIX" ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทยและสำหรับในประเทศไทยโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ดังกล่าวสำหรับสินค้าจำพวกที่ 8 ชนิดสินค้าคอมพิวเตอร์ ส่วนและอุปกรณ์เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ใน จำพวกนี้รวมทั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์และคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ พร้อมทั้งได้โฆษณาเผยแพร่สินค้า คอมพิวเตอร์ ของโจทก์มาก่อนที่จำเลยจะยื่นขอจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดและใช้ชื่อบริษัททั้งภาษาไทยแล ภาษาอังกฤษว ่ า"บริ ษั ทย ูนิ กซ ์ คอมพ ิวเตอร์(ประเทศไทย)จำกัด"และUNIXCOMPUTER (THAILAND)COMPANYLIMITED" คำว่า "UNIX"ที่จำเลยนำไปจดทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลย และเป็นส่วนหนึ่งของตรา บริษัท จำเลยเหมือนกันกับเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนคำว่า "UNIX" ซึ่งใช้กับ สินค้าคอมพิวเตอร์ ของโจทก์จำเลยประกอบธุรกิจจำหน่ายรับซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ และจัดทำโปรแกรม คอมพิวเตอร์จำเลยอยู่ในวงการธุรกิจคอมพิวเตอร์ ทราบดีว่าคำว่า "UNIX" เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน ที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่โจทก์ผลิตและจำหน่าย การที่จำเลยนำคำว่า"UNIX" ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าจด ทะเบียนของโจทก์ไปจดทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของชื่อและตราของบริษัทจำเลยและจำเลยรับเป็นตัวแทน จำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า"ONIX" ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับ เครื่องหมายการค้าของโจทก์มากย่อมทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดว่าสินค้าคอมพิวเตอร์หรือการค้าของ จำเลยเป็นสินค้าหรือการค้าของโจทก์เป็นการแสวงหาประโยชน์จากชื่อเสียงและเกียรติคุณในเครื่องหมาย การค้าจดทะเบียนของโจทก์โดยมิได้รับอนุญาต การใช้คำว่า "UNIX" เป็นส่วนหนึ่งของชื่อและตรา บริษัท จำเลยจึงเป็นการใช้โดยไม่สุจริตเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ การกระทำของ จำเลยเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าจด ทะเบียนคำว่า "UNIX" ย่อมมีสิทธิขัดขวางมิให้จำเลยนำคำดังกล่าวไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อและตรา บริษัท จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ การที่จำเลยรู้อยู่แล้วยังจำหน่ายสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี เครื่องหมายการค้าคำว่า "ONIX" ซึ่งเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนคำว่า "UNIX" ที่ใช้กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ของโจทก์ที่ผลิตออกจำหน่ายจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหรือหลงผิดใน ความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าย่อมถือได้ว่าเป็นการใช้เครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือ


32 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง คล้ายดังกล่าวซึ่งติดมากับสินค้านั้นอยู่ในตัว ดังนี้แม้จำเลยจะมิใช่ผู้ผลิตสินค้านั้นและคิดประดิษฐ์เครื่องหมาย การค้าคำว่า "ONIX" การกระทำของจำเลยก็เป็นการใช้เครื่องหมายการค้าโดยละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้า จดทะเบียนคำว่า "UNIX"ของโจทก์แล้ว ข้อสังเกต การนำเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นมาติดไว้ที่หน้าร้านของตน ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้ เครื่องหมายการค้า เพราะเป็นการใช้กับร้านค้า ไม่ได้ใช้กับตัวสินค้า แต่น่าจะถือได้ว่าเป็นการใช้เครื่องหมาย บริการได้ ฎีกาที่ 7731/2538 การที่โจทก์ที่ 1 ระบุว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า 0101 ของโจทก์ที่ 1 อ่าน ออกเสียงในภาษาญี่ปุ่นว่า โออิโออิ นั้น แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ที่ 1 ได้นำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ที่ 1 นั้นมาจากภาษาญี่ปุ่น ดังนั้นเมื่อจำเลยได้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า 0101 ซึ่งเป็นตัวเลข อารบิคประดิษฐ์ไว้ในประเทศญี่ปุ่นสำหรับสินค้า 33 จำพวก ตั้งแต่ปี 2516 และได้จด-ทะเบียนเครื่องหมาย การค้านั้นสำหรับสินค้าจำพวกเครื่องแต่งกาย จำพวกกระเป๋าและจำพวกกระดาษในปี 2522 ปี 2520 และปี 2520 ตามลำดับ จำเลยจึงเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นและโจทก์ที่ 1 ได้เห็นและลอกเครื่องหมาย การค้าตัวเลขอารบิคประดิษฐ์ 0101 ของจำเลยไปเป็นภาคส่วนของเครื่องหมายการค้าในส่วนที่เป็นตัวเลข อารบิคประดิษฐ์ของเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 นอกจากนี้โจทก์ที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใดกับคำว่า MARUI ซึ่งเป็นชื่อของจำเลยแต่กลับปรากฏจากภาพถ่ายร้านค้าที่โจทก์ที่ 1 เพิ่งเปิดว่า โจทก์ที่ 1 ได้ติดแผ่น ป้ายหน้าร้านว่า MARUI 0101 ตรงกับชื่อ MARUI ของจำเลยตามที่ปรากฏอยู่ที่หน้าร้านหลายแห่งของจำเลย ทั้งยังปรากฏอีกด้วยว่าถุงบรรจุสินค้า และกระดาษห่อสินค้าซึ่งโจทก์ที่ 1 ใช้บรรจุและห่อสินค้าของโจทก์ที่ 1 ให้แก่ลูกค้าของโจทก์ที่ 1 ไม่มีคำว่า youngs fashion ซึ่งเป็นภาคส่วนหนึ่งของเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1คงมีแต่ตัวเลยอารบิคประดิษฐ์ 0101 ขนาดใหญ่บนถุงบรรจุสินค้าและกระดาษห่อสินค้าเหล่านั้น การที่ โจทก์ที่ 1 ติดป้ายหน้าร้านว่า MARUI 0101 และใช้ถุงบรรจุสินค้าและกระดาษห่อสินค้าเช่นนั้น ถือได้ว่า โจทก์ที่ 1 จงใจลอกเครื่องหมายการค้าตัว-เลขอารบิคประดิษฐ์ 0101 ของจำเลยซึ่งได้จดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าไว้ในประเทศญี่ปุ่นมาก่อนนานประมาณถึง 15 ปี แล้ว ดังนั้น แม้จำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าดังกล่าวในประเทศไทย จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมาย-การค้าคำว่า 0101 ก็มีสิทธิในเครื่องหมาย การค้านั้นดีกว่าโจทก์ที่ 1 เมื่อโจทก์ที่ 1ไม่มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทคำว่า 0101 ดีกว่าจำเลยและ โจทก์ที่ 1 ให้นำเครื่องหมายการค้าคำว่า 0101 younge fashion ไปจดทะเบียนเครื่อง-หมายการค้า โจทก์ที่ 2 ก็ย่อมไม่มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยด้วย ฎีกาที่ 1257-1258/2536 การที่จำเลยที่ 1 พนักงานบริษัทจำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 3 เป็น กรรมการผู้จัดการได้นำสินค้าผงหมึกพิพาทไปเสนอจำหน่าย ต่อทางราชการ โดยระบุในใบเสนอราคาว่า เป็น อุปกรณ์สำหรับ ใช้กับเครื่องถ่ายเอกสาร MITA รุ่น DC-313Z เป็นการเสนอราคา สินค้าตรงตามความ ประสงค์ของทางราชการซึ่งมิได้ระบุว่าต้องการ ผงหมึกเฉพาะที่มีเครื่องหมายการค้า MITA เท่านั้น กล่องสินค้า ของจำเลยทั้งสามมีข้อความระบุชัดว่าเป็นสินค้าผงหมึก (TONER) ที่ใช้กับเครื่องถ่ายเอกสาร MITA(FORUSEINMITA) รุ่น DC-211 RE313Z และ 313Z แม้ที่กล่องสินค้าดังกล่าว จะมีคำว่า "MITA" ซึ่ง เป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมที่ได้จดทะเบียนไว้สำหรับใช้กับสินค้าเครื่องถ่ายเอกสาร แต่จำเลยทั้งสาม


33 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ก็มิได้นำคำดังกล่าวมาใช้อย่างเครื่องหมายการค้า กล่าวคือ มิได้ระบุว่าผงหมึกของจำเลยทั้งสามเป็นผงหมึกที่มี เครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมผงหมึกของจำเลยทั้งสาม เป็นผงหมึกที่ไม่มีเครื่องหมายการค้าระบุไว้ และ จำเลยทั้งสาม มิได้เขียนคำว่า "MITA" ให้มีลักษณะบ่งเฉพาะว่า "mita" เช่นเดียวกับของโจทก์ร่วม แต่เขียนเป็น ตัวพิมพ์ใหญ่ว่า "MITA" และคำว่า "TONER" ซึ่งหมายถึงผงหมึก ที่กล่องสินค้าของจำเลย ทั้ง สามก็เขียนเป็น ตัวพิมพ์ใหญ่เช่นเดียวกันรวมทั้งคำว่า "FORUSEIN" ก็เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เห็นได้ชัดเจนประกอบกับที่ กล่อง สินค้าดังกล่าวปรากฏป้ายชื่อบริษัทและที่อยู่ของจำเลยที่ 2 อยู่ด้วย มิได้ระบุชื่อบริษัทโจทก์ร่วมที่กล่องสินค้า ดังกล่าวแต่ อย่างใด ส่วนกลางสินค้าของโจทก์ร่วมปรากฏว่า คำว่า "TONER" เขียนตัวอักษร "T" ด้วยตัวพิมพ์ ใหญ่เพียงตัวเดียวตัวอักษรนอกนั้น เป็นตัวพิมพ์เล็ก โดยเขียนว่า "TONER" มีเครื่องหมายการค้าคำว่า "mita" เขียนเรียงกันตามแนวนอน 6 แถว แถวละ 8 คำ และมีชื่อ บริษัทโจทก์ร่วมอยู่ด้วย แต่ไม่มีคำว่า "FORUSEIN" กล่องสินค้า ผงหมึกของจำเลยทั้งสามกับของโจทก์ร่วมจึงแตกต่างกันอย่างชัดแจ้ง การที่จำเลยทั้งสามนำคำว่า "MITA" ซึ่งเป็นชื่อหรือข้อความในการประกอบการค้าของโจทก์ร่วมมาใช้ระบุที่หีบห่อบรรจุสินค้า ของจำเลย ทั้งสามในลักษณะดังกล่าว ประกอบกับราคาสินค้าที่จำเลย ทั้งสาม เสนอ จำหน่ายแก่ทางราชการ กับราคา สินค้าของโจทก์ร่วม ก็แตกต่างกันมาก จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้เสนอจำหน่าย สินค้าซึ่งมีชื่อหรือ ข้อความในการประกอบการค้าของโจทก์ร่วม เพื่อให้ประชาชนหรือทางราชการหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือ การค้าของโจทก์ร่วมการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 275 ประกอบด้วย มาตรา 272(2) แม้จดทะเบียนแล้วไม่ได้หมายความว่าจะมีสิทธิผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว แต่จะต้องเป็นกรณีที่มีสิทธิห้าม ใช้เครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้าย ฎีกาที่ 7331/2544 ศาลฎีกามองว่า มีคำว่า KinderEm-eukal และรูปประดิษฐ์เป็นรูปการ์ตูน เด็กผู้ชาย ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยมีคำว่า Kinder ไม่มีรูปประดิษฐ์การ์ตูนเด็กผู้ชาย ซึ่งเป็นส่วนที่ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ส่วนที่แตกต่างกันจึงเป็นคำว่า Kinder คำนี้มีความหมายว่าเด็กหลายคน จึงเป็นคำ ที่คนทั่วไปสามารถที่จะนำมาใช้เป็นปกติ จำเลยจึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้อื่นใช้คำนี้โดยเด็ดขาด เพียงแต่ว่าผู้ที่ จะนำคำว่า Kinder ไปใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องหมายการค้าของตนในภายหลัง จะต้องทำให้เครื่องหมาย การค้านั้นมีรูปลักษณะที่แตกต่างจากเครื่องหมายการค้าของจำเลย ที่จะไม่ทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิด ซึ่งเป็นแนวคำวินิจฉัย ถามว่า จะใช้อย่างไร ในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าไม่มีการกำหนดความหมายของการใช้ เพราะฉะนั้น ศาลจะต้องวางแนวคำวินิจฉัยไว้ ตอบ ถ้าเป็นการนำเครื่องหมายการค้าไปติดอยู่กับสินค้าหรือหีบห่อบรรจุสินค้า เช่นนี้ถือว่าเป็นการใช้ เพราะมองเห็นได้อย่างชัดเจน ถามว่า หากจำเลยไม่ใช่เป็นผู้นำเครื่องหมายการค้าไปติด แต่ผู้ที่นำเครื่องหมายการค้าไปติดมีผู้อื่น ผลิต แล้วติดเครื่องหมายการค้า เช่นนี้จะถือว่ามีการใช้หรือไม่ เช่นนี้ศาลฎีกาบอกว่ามีการใช้เครื่องหมายการค้าแล้ว หรือในกรณีการนำป้ายเครื่องหมายการค้าไปวาง ไว้บริเวณแผงสินค้าหรือกองสินค้า เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการใช้เครื่องหมายการค้า


34 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ในกรณีของการระบุคำว่า Intel Gard ด้านหลังพลาสติกแสดงความเป็นเจ้าของบัตรพลาสติก ศาลฎีกาก็ถือว่าเป็นการใช้เครื่องหมายการค้าแล้ว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5113/2548 แต่ถ้าเป็นกรณีที่ นำเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นไปติดไว้ที่หน้าร้านของตน ศาลฎีกาบอกว่ายังถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้เครื่องหมาย การค้า เพราะเป็นการใช้กับร้านค้า ไม่ได้ใช้กับตัวสินค้า ในประเทศอังกฤษ กรณีเรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการขาย การใช้สินค้าที่ผลิตขึ้น เพื่อส่งออกอย่างเดียว แม้จะไม่ได้ใช้กับสินค้าที่อยู่ในประเทศ แต่เป็นการใช้แล้วซึ่งสิทธิผู้เดียว ในการใช้เครื่องหมายการค้าจะต้องเป็นการนำเครื่องหมายการค้ามาใช้อย่างเครื่องหมายการค้า เพียงแต่ระบุว่าสินค้าของจำเลยเป็นอุปกรณ์ที่จะนำไปใช้กับสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ ยังไม่ถือ ว่าเป็นการใช้เครื่องหมายการค้า อันเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ฎีกาที่ 365๐/2529 โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าจำพวก 38 ไว้เฉพาะสินค้า กางเกงในและถุงเท้า โจทก์จึงมีสิทธิผู้เดียวเพื่อใช้เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าเฉพาะ กางเกงในและถุงเท้าเท่านั้น หามีสิทธิสำหรับสินค้าทั้งจำพวก 38 ทั้งหมดไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิห้ามมิให้จำเลย ใช้เครื่องหมายการค้าที่จำเลยจดทะเบียนไว้ สำหรับสินค้าอื่นในจำพวก 38 นอกจากกางเกงในและถุงเท้า หรือ ว่าศาลฎีกาพยายามวางกรอบมิฉะนั้นแล้วจะทำให้กรอบของการใช้เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้วกว้าง มาก การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใดไว้ย่อมต้องใช้เครื่องหมายการค้าตามลักษณะที่จดทะเบียน การที่ จำเลยจดทะเบียนไว้ในลักษณะที่แตกต่างจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์แต่นำมาใช้แตกต่างจากที่ขอจด ทะเบียนไว้โดยใช้เหมือนกับของโจทก์เช่นนี้ก็ย่อมมีความผิด ฎีกาที่ 5571/2538 รูปเครื่องหมายการค้าของโจทก์ซึ่งอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นรูปคนในเรือ2 คนอยู่ตรงกลางคนหนึ่งเป็นผู้หญิงกำลังพายเรืออยู่กลางลำน้ำซึ่งอยู่ด้านขวาของรูปส่วนอีกคนหนึ่งเป็น เด็กผู้ชายถือถ่อช่วยอยู่ท้ายเรือลำเดียวกันที่ด้านซ้ายของรูปกลางลำเรือมีรูปดอกไม้ที่ด้านหัวและท้ายเรือก็มีรูป ดอกไม้มีภาพทิวทัศน์ภูเขาและเรือใบ2ลำภาพดังกล่าวอยู่ในกรอบวงรีด้านบนกรอบวงรีมีอักษรภาษาจีนอ่านว่า ลีคุมกี และด้านล่างมีวงกลมอยู่ด้านซ้ายและขวาข้างละ1วงภายในวงกลมมีอักษรภาษาจีนตรงกลางด้านล่าง กรอบวงรีมีถ้อยคำว่าOYSTERFLAVOREDSAUCEอยู่ในกรอบประดิษฐ์รูปสี่เหลี่ยมและที่มุมด้านในของกรอบ สี่เหลี่ยมผืนผ้ามีรูปดอกไม้อยู่ทั้งสี่มุมส่วนเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของจำเลยเป็นรูปชายกับหญิงพายเรือ สวนกันกลางน้ำซึ่งมีภาพภูเขา 3 ลูกและเมฆเป็นทิวทัศน์อยู่ภายในวงกลมและมีกรอบสี่เหลี่ยมล้อมวงกลมนั้น ไว้อีกชั้นหนึ่งส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยตามคำขอจดทะเบียนก็เป็นรูปคน 2 คนพายเรือสวนกันกลาง น้ำมีภูเขา 3 ลูกเป็นทิวทัศน์อยู่ภายในวงกลมด้านข้างซ้ายและขวาของวงกลมมีดอกไม้วางเรียงกันลงมาด้านละ 3ดอกและมีกรอบสี่เหลี่ยมล้อมวงกลมไว้อีกชั้นหนึ่งภาพเรือ2ลำแล่นสวนกันในเครื่องหมายการค้าของจำเลย ซ้อนกันหากไม่สังเกตให้ดีจะดูคล้ายคน2คนนั่งอยู่ในเรือลำเดียวกันตำแหน่งของคนทั้งสองอยู่ในตำแหน่ง เดียวกับคนทั้งสองในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทั้งเมื่อจำเลยนำเครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวมาใช้ กับสินค้าซอสหอยนางรมจะเห็นได้ชัดเจนว่าฉลากเครื่องหมายการค้าที่ปิดข้างขวดคล้ายกับฉลากเครื่องหมาย การค้าของโจทก์อย่างมากเครื่องหมายการค้าของจำเลยและสลากเครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงเหมือนและ คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ภาพถ่ายสินค้าและสลากเครื่องหมายการค้าเมื่อโจทก์ได้ส่งซอสน้ำมัน


35 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หอยมาจำหน่ายในประเทศไทย 40 ปีเศษแล้ว และโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ใน ต่างประเทศหลายประเทศการที่จำเลยเพิ่งยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเมื่อปี2529 และ ได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้อย่างหนึ่ง แต่เวลานำไปใช้กับสินค้าชนิดเดียวกันกับของโจทก์จำเลย ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมรายละเอียดอื่นลงไปให้เหมือนและคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ย่อม แสดงให้เห็นเจตนาไม่สุจริตของจำเลยที่จะเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อให้สาธารณชนสับสนหลงผิด ในแหล่งกำเนิดของสินค้าเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของและใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์มาก่อนจำเลย แม้โจทก์จะยัง มิได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูปคนพายเรือโจทก์ก็เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นและใน เครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลยผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ โจทก์ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูปคนพายเรือของจำเลย และให้จำเลยถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูปคนพายเรือได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 มาตรา 41 (1)อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ เมื่อเครื่องหมายการค้า รูปคนพายเรือของโจทก์ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนสำหรับสินค้าจำพวกที่42รายการสินค้าซอสน้ำมันหอยโจทก์ จึงเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนไม่อาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในการล่วงละเมิดสิทธิใน เครื่องหมายการค้าดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา 29 วรรคแรกและ โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฎว่าจำเลยทำการลวงขายสินค้าของจำเลยว่าเป็นสินค้าของโจทก์ตามมาตรา 29 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติเดียวกันอันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาทโจทก์จึงไม่ อาจเรียกค่าเสียหายรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะเลิกกระทำละเมิดตามฟ้องได้ ฎีกาที่ 6648/2542 แม้จำเลยที่ 2 จะได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นรูปรวงข้าวอยู่ในวงกลม สำหรับสินค้าจำพวกเครื่องจักร กับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นรูปรวงข้าวอยู่ในวงกลมและมีภาษาไทย คำว่า "ตรารวงข้าว" อยู่ใต้รูปสำหรับสินค้าจำพวกเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมาย การค้า พ.ศ. 2534 และยังคงจดทะเบียนอยู่ในวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิใช้ เครื่องหมายการค้าข้างต้นต่อไปตามมาตรา 117 ก็ตาม แต่การที่จำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้ารูปรวงข้าว ในวงกลมและคำว่า "InterNationalGroup" กับสินค้าจำพวกเครื่องไฟฟ้าโดยไม่มีคำว่า "ตรารวงข้าว" กำกับ ทั้ง ยังเน้นคำว่า "National" ซึ่งไม่ใช่เครื่องหมายการค้าของตนให้ใหญ่เป็นพิเศษยิ่งกว่าคำอื่น ย่อมแสดงว่าจำเลย ทั้งสองมีเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร เพื่อให้ประชาชน หลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหาย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองยังคงมี สิทธิใช้เครื่องหมายการค้าตรารวงข้าวที่จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนไว้ตามกฎหมายเดิมต่อไปหรือไม่จึงไม่ทำให้ จำเลยทั้งสองเสียเปรียบหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมแต่อย่างใด เพราะข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิในการใช้ เครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองเป็นคนละเรื่องกับการจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าเลียน เครื่องหมายการค้าคำว่า "National" ของผู้เสียหาย ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่น จำเลยคงมีความผิดตามฟ้อง


36 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สิทธิในการใช้สินค้าและสิทธิในการผลิตสินค้านั้นเป็นคนละกรณีกัน การวินิจฉัยสิทธิการใช้มาตรา 44 ศาลมีความระมัดระวังมาก แนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกามีลักษณะ การวางขอบเขตการใช้ของเจ้าของเครื่องหมายการค้าอย่างชัดเจนไม่ให้กว้างจนเกินไป ซึ่งสิทธิในตัวนี้คือสิทธิที่ จะใช้เครื่องหมายการค้าของตนกับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ไม่ใช่สิทธิที่จะผลิตสินค้าเองโดยห้ามผู้อื่นไม่ให้ผลิต สินค้าที่มีลักษณะอย่างเดียวกับสินค้าของตน ซึ่งเป็นเรื่องของสิทธิบัตรสิทธิ สิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้า คือ สิทธิที่จะใช้เครื่องหมายการค้า ถ้าคนอื่นไปใช้เครื่องหมาย การค้า ตรงนี้เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิห้ามได้ แต่ถ้าหากผู้อื่นไปผลิตสินค้า โดยเขาไม่ได้ใช้เครื่องหมาย การค้า แต่เขาไปผลิตสินค้าเช่นเดียวกับสินค้าของเครื่องหมายการค้านั้น เช่นนี้เป็นคนละกรณีกัน หากจะฟ้อง อาจต้องฟ้องเรื่องการละเมิดสิทธิบัตร แต่ไม่ใช่การฟ้องเรื่องการละเมิดเครื่องหมายการค้า ฎีกาที่ 547/2538 แม้ที่กล่องบรรจุสินค้าผงหมึกและฉลากปิดข้างขวดบรรจุสินค้าผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่ายจะมีคำว่า MITA ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1ที่ได้จดทะเบียนไว้ในประเทศไทย สำหรับสินค้าเครื่องถ่ายเอกสารแต่จำเลยทั้งห้ามิได้นำคำดังกล่าวมาใช้อย่างเครื่องหมายการค้ากล่าวคือสินค้า ผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายมิได้ระบุว่าเป็นผงหมึกและผงเหล็ก ภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า mita ของโจทก์ที่ 1สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไม่มีเครื่องหมายการค้าระบุหรือ ติดไว้ที่กล่องหรือขวดบรรจุสินค้าสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ที่ 1 เป็นสิทธิแต่ผู้เดียวเพื่อใช้ เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าจำพวกที่ได้จดทะเบียนไว้ เพื่อระบุว่าสินค้านั้นเป็นของโจทก์ที่ 1 และ แยกแยะให้เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่ 1 แตกต่างจากสินค้าของผู้ผลิตอื่นเท่านั้น หาได้รวมไปถึงสิทธิแต่ผู้เดียวที่ จะผลิตสินค้าขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่ผลิตขึ้นนั้น อันเป็นสิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตรการประดิษฐ์ไม่ ประกอบกับกล่องและขวดบรรจุผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่าย ก็มิได้เขียนคำว่า MITA ให้ มีลักษณะบ่งเฉพาะว่า mita เช่นเดียวกับของโจทก์ที่ 1 แต่เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ว่า MITA และคำว่า TONE กับ DEELOPER ก็เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เช่นเดียวกันรวมทั้งข้อความว่า FORUSEIN ซึ่งหมายความว่าใช้กับ หรือใช้สำหรับก็เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เห็นได้ชัดเจนแม้กล่องและขวดบรรจุสินค้าดังกล่าวจะมิได้ระบุชื่อ บริษัทผู้ผลิตแต่ก็มิได้ระบุชื่อบริษัทโจทก์ที่ 1 ว่าเป็นผู้ผลิตผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่1นำเข้ามาจำหน่าย ส่วนกล่องบรรจุผงหมึกของโจทก์ที่ 1 คำว่า TONER เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เฉพาะอักษร T เพียงตัวเดียว ตัวอักษรนอกนั้นเขียนด้วยตัวพิมพ์เล็กโดยเขียนว่า Toner มีเครื่องหมายการค้าคำว่า mita เขียนเรียงกันตาม แนวนอน 6 แนวแถวละ 8 คำอยู่ส่วนบนของกล่องมีคำว่า mita เขียนด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นกรอบสี่เหลี่ยม สีแดงเห็นได้เด่นชัดทั้งหกด้านของกล่องสีดำและมีชื่อโจทก์ที่ 1 อยู่ด้วยแต่ไม่มีข้อความว่า FORUSEIN ส่วนที่ ฉลากปิดข้างขวดบรรจุสินค้าผงหมึกของโจทก์ที่1ก็เป็นฉลากสีฟ้ามีคำว่า mita เป็นตัวอักษรสีขาวเห็นเด่นชัด คำว่า toner เป็นตัวอักษรเล็กกว่าคำว่า mita มากและฝาขวดเป็นสีน้ำเงินแต่ฉลากปิดข้างขวดบรรจุสินค้าผง หมึกของจำเลยที่ 1 เป็นสีน้ำตาลเข้มมีคำว่า TONERFORUSEINMITA เห็นได้เด่นชัดและฝาขวดเป็นสีน้ำตาล เข้มกล่องและขวดสินค้าผงหมึกที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่ายกับของโจทก์ที่ 1 จึงแตกต่างอย่างชัดเจน สำหรับขวดบรรจุสินค้าผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่ายและของโจทก์ที่ 1 ก็แตกต่างกันชัดเจนเช่นกัน ดังนี้จากข้อความที่ระบุข้างกล่องและขวดบรรจุสินค้าที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายอย่างชัดเจนว่า FORUSEINMITA


37 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ซึ่งหมายถึงสินค้าที่ใช้กับเครื่องถ่ายเอกสาร มิต้า ประชาชนผู้ต้องใช้สินค้าผงหมึกและผงเหล็กดังกล่าวย่อม ทราบดีว่าสินค้าที่จำเลยทั้งห้าจำหน่ายมิใช่สินค้าของโจทก์ที่ 1 เพียงแต่เป็นสินค้าที่อาจใช้แทนกันได้เท่านั้น ประชาชนจึงไม่สับสนหรือหลงผิดว่าสินค้าที่จำเลยทั้งห้าจำหน่ายเป็นสินค้าของโจทก์ที่ 1 แต่อย่างใดการที่ จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้นำผงหมึกและผงเหล็กเข้ามาจำหน่ายและเสนอจำหน่ายใน ประเทศไทยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้าได้จำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายสินค้าโดยใช้เครื่องหมายการค้า ของโจทก์ที่1และข้อความในการประกอบการค้าของโจทก์ทั้งสองเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือ การค้าของโจทก์ที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงยังไม่เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า mita ของโจทก์ที่1 โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจขอให้ห้ามจำเลยทั้งห้านำเข้ามาในราชอาณาจักรจำหน่ายหรือเสนอ จำหน่ายสินค้าผงหมึกและผงเหล็กที่นำเข้าดังกล่าวและเรียกให้จำเลยทั้งห้าชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ ต่อไปเรื่องการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า ตามมาตรา 68 เป็นการอนุญาตให้ใช้สิทธิ จะสังเกตว่าในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา เราไม่มีเช่าสิทธิ ในการเช่ามี น้อย แต่เรามีเรื่องการอนุญาตให้ใชสิทธิ เรื่องการอนุญาตให้ใช้สิทธิ หรือการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า เรื่องที่ยังไม่ได้โอนเครื่องหมายการค้าไป ถ้าเขาอนุญาตให้ผู้อื่นใช้เครื่องหมายการค้าของเขา ซึ่งเป็นกรณีของ มาตรา 68 วางหลักว่า ถ้าเป็นเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้วคุณจะทำสัญญาอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิใน เครื่องหมายการค้าของตน จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อนายทะเบียน มาตรา 68 วางหลักไว้เฉพาะในกรณีเจ้าของเครื่องหมายการค้า ถ้าเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จด ทะเบียน ถ้าคุณจะอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน เป็นคนละส่วนกับในส่วนของ เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน ถ้าเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนอนุญาตให้ผู้อื่น ใช้สิทธิ กฎหมายก็ไม่ได้เขียนเอาไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับนายทะเบียน เพราะฉะนั้นจึง สามารถบังคับได้ เป็นสิทธิผูกพันระหว่างตัวเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนกับคนที่ได้รับอนุญาต แต่ถ้าเป็นกรณีเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ถ้าจะอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิจะต้องทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อนายทะเบียน มิฉะนั้นแล้วจะเป็นโมฆะ เพราะฉะนั้นเงื่อนไขที่สำคัญที่จะกำหนด ส่วนใหญ่แล้วสามารถกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ เงื่อนไขหรือข้อกำหนดสำคัญที่อนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า ก็เพื่อควบคุมคุณภาพของสินค้า หรือระบุว่าสินค้าชิ้นไหนสามารถใช้เครื่องหมายการค้าได้ เพราะฉะนั้นเขา อาจจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าหลายอย่าง เพราะฉะนั้นในสัญญาอนุญาตให้ใช้ เครื่องหมายการค้าจึงจะต้องมีการระบุสินค้าที่เจ้าของเครื่องหมายการค้าอนุญาตให้ผู้อื่นนำเครื่องหมายการค้า นำไปใช้ จะต้องระบุให้ชัดเจน เงื่อนไขหรือข้อกำหนดที่สำคัญในลักษณะของสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้านี้ คล้ายกับ สัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ มี 3 กรณี กรณีแรก คือ สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิโดยไม่เด็ดขาด (Non-Exclusive Licensing Agreement) คือ สัญญาที่เจ้าของเครื่องหมายการค้าอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิแต่ไม่เด็ดขาดเจ้าของสามารถนำเครื่องหมายการค้า ไปอนุญาตให้นายก นาย ข นาย ค คนอื่นใช้ได้ อาจกำหนดพื้นที่ขอบเขตในการใช้เครื่องหมายการค้า แต่พอ อนุญาตให้ใช้สิทธิโดยไม่เด็ดขาด ดังนั้นจึงจะไปอนุญาตให้ผู้อื่นใช้เครื่องหมายการค้านั้นก็ย่อมทำได้


Click to View FlipBook Version