14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สิทธิเหนือกรรมวิธีหมายถึง การใช้กรรมวิธีที่จะเป็นการละเมิดตามสิทธิบัตรนี้ หมายถึงการนำเอา กรรมวิธีตามสิทธิบัตรไปใช้เพื่อให้เกิดผลอย่างหนึ่งอย่างใดดังที่ระบุไว้ในคำขอรับสิทธิบัตร ต้องเป็นการใช้ กรรมวิธีที่ระบุไว้นะครับ ข้อสังเกต สิทธิบัตรกรรมวิธีให้ความคุ้มครองในลักษณะที่จำกัด เพราะอาจเป็นกรรมวิธีในการผลิต ผลิตภัณฑ์นั้น มีผู้นำไปใช้และเมื่อมีผู้นำไปใช้ กรรมวิธีตามสิทธิบัตรในการประดิษฐ์ผลิตออกมาแล้วผลิตภัณฑ์ จะเหมือนกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นการละเมิด เพราะว่าสิทธิบัตรกรรมวิธีจำกัดเฉพาะการใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตร ถ้าใช้กรรมวิธีอื่น ๆ แล้ว ก็ไม่เป็นการละเมิด เป็นการตีความอย่างแคบ เพราะการผลิตผลิตภัณฑ์อาจมีหลาย กรรมวิธี แต่ที่ขอให้รับความคุ้มครองในเรื่องนี้คุ้มครองเฉพาะกรรมวิธีที่จดตามสิทธิบัตรไว้เท่านั้น การใช้กรรมวิธีหมายถึง ต้องเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอน วิธีการที่ระบุไว้ในคำขอรับสิทธิบัตร อย่าง เป็นขั้นเป็นตอน กล่าวคือ บางครั้งอาจมีหลายขั้นตอน การที่จะเป็นการละเมิดการใช้กรรมวิธีต้องปฏิบัติตาม ขั้นตอนดังกล่าวที่ระบุไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การใช้กรรมวิธีจะไม่ได้ใช้ครบทุกขั้นตอน ขาดวิธีการบาง ขั้นตอนไปบางส่วนไป แต่ว่าส่วนที่ขาดนั้นไม่ใช่ส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิบัตรกรรมวิธี เช่นกัน เราได้เรียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ไปแล้ว ซึ่งหลักการคล้ายๆกัน ฎีกาที่ 10626/2559 โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ทรงสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิตเลือดจระเข้ชนิดแคปซูล ข้อถือสิทธิตามสิทธิบัตรของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า กรรมวิธีสำหรับเตรียมผงเลือดจระเข้เเห้ง ประกอบด้วย 1) การ เก็บเลือดจระเข้ในภาชนะปิดผ่านการทำให้ปลอดเชื้อด้วยการอบนึ่งฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งไอน้ำภายใต้ความดันที่ อุณหภูมิ 121 องศา เป็นเวลา 15 นาที หรือการทำให้ปลอดเชื้อด้วยรังสี ส่วนจำเลยนำเลือดจระเข้ไปผ่าน กระบวนการพาสเจอร์ไส์ ซึ่งเป็นการทำให้ปลอดเชื้อด้วยการใช้ความร้อนไม่สูงมากนัก แล้วทำให้เย็นลงอย่าง รวดเร็ว จึงเป็นกรรมวิธีที่เเตกต่างจากของโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยละเมิดอนุสิทธิบัตรกรรมวิธีของโจทก์ ฎีกาที่ 14948/2557 จำเลยที่ 1 เจาะรูทำรอยแผลในตำแหน่งเป็นเกลียวเวียนขึ้นไปตามลำต้น กฤษณาแล้วเสียบท่อเข้าไปในรูโดยให้ปลายท่อยาวโผล่พ้นลำต้น ซึ่งแตกต่างกับการทำรอยแผลรูปสี่เหลี่ยมเป็น แนวแล้วเจาะรูตามข้อถือสิทธิในสิทธิบัตรของโจทก์ จึงไม่เป็นการใช้กรรมวิธีตามข้อถือสิทธิในสิทธิบัตรกรรมวิธี ของโจทก์ และไม่เป็นการลัดขั้นตอนกรรมวิธีของโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 ใช้กรรมวิธีในการสร้างสารกฤษณา แตกต่างจากกรรมวิธีตามข้อถือสิทธิดังกล่าว ย่อมไม่เป็นการละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์กรรมวิธีของโจทก์ สิทธิเหนือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตร ในเรื่องสิทธิบัตรกรรมวิธีมี 2 สิทธิคือ 1.สิทธิในการใช้กรรมวิธี 2.สิทธิเด็ดขาดเหนือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตร ผู้ทรงสิทธิบัตรในกรรมวิธีสามารถที่ จะกีดกันผู้อื่นจากการผลิต ใช้ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย หรือนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดย ใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตรมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (2) ดังนั้น สิทธิเด็ดขาดตามสิทธิบัตรกรรมวิธีจึงขยายครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นจากการใช้ กรรมวิธีตามสิทธิบัตรด้วย ซึ่งเป็นเรื่องของสิทธิของผู้ทรงสิทธิในเรื่องสิทธิบัตรกรรมวิธีตามมาตรา 36 วรรค หนึ่ง (2)
15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง องค์ประกอบของการละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีองค์ประกอบ 2 ข้อ คือ องค์ประกอบข้อ ๑ คือ มีการกระทำใด ๆ อันเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิบัตร ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) และมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (2) โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเราศึกษาจบกันไปแล้วคือ เรื่องกรรมวิธี และผลิตภัณฑ์ เราได้เรียนการกระทำต่าง ๆไปแล้ว ต่อไปเรากำลังจะเริ่มองค์ประกอบของการละเมิดสิทธิบัตร การประดิษฐ์ข้อ 2 กรณีที่จะเป็นการละเมิดได้นอกจากต้องมีการกระทำตามองค์ประกอบข้อ 1 แล้ว จะต้อง เข้าองค์ประกอบข้อ 2 ด้วยกล่าวคือ องค์ประกอบข้อ 2 ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีที่ละเมิดเป็นผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรหรือกรรมวิธีตาม สิทธิบัตร ตามมาตรา 36 ประกอบมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง และมาตรา 36 ประกอบมาตรา 36 ทวิวรรคสอง ในการพิจารณาต้องพิจารณาทั้งข้อ 1 การกระทำว่ามีการกระทำหรือไม่และข้อ 2 ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ หรือกรรมวิธีตามสิทธิบัตรหรือไม่ องค์ประกอบข้อ 2 ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีที่ละเมิดเป็นผลิตภัณฑ์หรือ กรรมวิธีตามสิทธิบัตรตามมาตรา 36 ประกอบมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง และมาตรา 36 ประกอบมาตรา 36 ทวิวรรคสอง สำหรับการพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีตามสิทธิบัตร กฎหมายให้พิจารณาจากสิ่งที่ บรรยายไว้ในข้อถือสิทธิซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำขอรับสิทธิบัตร ข้อถือสิทธิอาจมีเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อ เฉพาะสิ่งที่บรรยายไว้ในข้อถือสิทธิเท่านั้นที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เมื่อมีการกล่าวอ้างว่าละเมิด สิทธิบัตร ศาลจะพิจารณาจากข้อถือสิทธิว่าการกระทำที่มีการฟ้องร้องเป็นการกระทำละเมิดสิทธิตามสิทธิบัตร หรือไม่ จึงมีการเปรียบเทียบข้อถือสิทธิตามสิทธิบัตรการประดิษฐ์และตามสิทธิบัตรที่ละเมิด ในเรื่องนี้ตามหลักกฎหมายอังกฤษ กล่าวว่าการกระทำเป็นการละเมิดสิทธิบัตร แม้ว่าสิ่งดังกล่าวจะมี ลักษณะบางประการที่แตกต่างไปจากการประดิษฐ์ในข้อถือสิทธิโดยส่วนที่แตกต่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็น องค์ประกอบสำคัญของการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตร กฎหมายสิทธิบัตรของอังกฤษเรียกว่า “Pith and marrow” ซึ่งวางหลักไว้ว่า เฉพาะการนำเอาสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของการประดิษฐ์มาใช้โดยปราศจาก ความยินยอมจึงจะเป็นการละเมิดสิทธิบัตร หลักนี้ให้พิจารณาว่า ผลิตภัณฑ์ที่ละเมิดกับผลิตภัณฑ์ตามข้อถือ สิทธิในสิทธิบัตรว่า 1. มีลักษณะสำคัญเป็นอย่างเดียวกันกับการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรหรือไม่ 2. ทำหน้าที่สำคัญ essential function 3. เพื่อให้ได้ผลอย่างเดียวกันกับการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตรหรือไม่ การประดิษฐ์จะเน้นฟังก์ชันการทำงานของสิ่งประดิษฐ์ เพราะฉะนั้นการละเมิดนี้เราจึงต้องดูว่า ลักษณะสำคัญและหน้าที่สำคัญมีผลเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ ในเรื่องนี้อาจารย์ยกตัวอย่าง กรณีที่นาย ก. เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เครื่องดูดฝุ่น นาย ข. ได้ผลิต จำหน่ายเครื่องดูดฝุ่นที่มีลักษณะและหน้าที่การทำงานเหมือนกับเครื่องดูดฝุ่นตามสิทธิบัตรของนาย ก. ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แม้ว่าเครื่องดูดฝุ่นของนาย ข. มีลักษณะบางประการแตกต่างจากของนาย ก. คือ มีลักษณะรูปร่างน้ำหนักแตกต่างกัน ก็ถือว่านาย ข. ละเมิดสิทธิบัตรของนาย ก. เนื่องจากความแตกต่างนั้น ไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญ และเมื่อได้ทำให้หน้าที่การทำงาน หรือผลของเครื่องดูดฝุ่นแตกต่างกันจากการ
16 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประดิษฐ์ตามสิทธิบัตร อันนี้เป็นหลักกฎหมายของอังกฤษ ซึ่งของประเทศไทยเองก็ได้นำมาบัญญัติไว้ในมาตรา 36 ทวิ ซึ่งเป็นบทขยายมาตรา 36 ในกฎหมายไทยตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร การพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีใดเป็นผลิตภัณฑ์ หรือกรรมวิธีที่ละเมิดหรือไม่นั้น ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง ผลิตภัณฑ์หรือตามมาตรา 36 วรรคสองกรรมวิธี พระราชบัญญัติสิทธิบัตรขยายการตีความการละเมิดตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) และมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (๒) ไว้ในมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง และมาตรา 36 ทวิวรรคสอง ได้กล่าวไว้ในครั้งที่แล้วว่าข้อสอบ เคยออกไปแล้ว ซึ่งออกในมาตรา 36 ทวิวรรคสอง เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้วและข้อสอบผู้ช่วยเคยนำมาตรา นี้มาออกข้อสอบแล้ว ให้นักศึกษาทำความเข้าใจด้วยนะครับ ต่อไปเรามาดูมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง ว่าแตกต่างจากมาตรา 36 ทวิวรรคสอง อย่างไร มาตรา ๓๖ ทวิวรรคหนึ่ง บัญญัติว่า“สิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตรตามมาตรา ๓๖ ในการประดิษฐ์ที่ได้รับ สิทธิบัตรมีขอบเขตดังระบุในข้อถือสิทธิ ในการวินิจฉัยขอบเขตของการประดิษฐ์ตามข้อ ถือสิทธิ ให้พิจารณา ลักษณะของการประดิษฐ์ที่ระบุในรายละเอียดการประดิษฐ์และรูปเขียนประกอบด้วย” ความหมายของมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่งนี้คือ หลักการตีความที่เรียกว่าตีความถ้อยคำที่ระบุไว้ในข้อ ถือสิทธิ กล่าวคือเป็นการตีความถ้อยคำอย่างเคร่งครัดการประดิษฐ์ตามข้อถือสิทธิการประดิษฐ์ตามสิทธิบัตร นี้คืออะไร และสิ่งที่จำเลยได้กระทำต่อนั้นมีลักษณะเหมือนกับที่บรรยายไว้ในข้อถือสิทธิหรือไม่ ถ้าเหมือนก็ถือ ว่าเป็นการละเมิด ยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องวัคซีน covid 19 สมมติว่ามีการจดสิทธิบัตรวัคซีน covid 19 ไว้ซึ่ง ประกอบด้วยสาร a, b และ c หากมีคนทำละเมิด ทำวัคซีนขึ้นมาโดยมีสาร a, b และ c ตรงตามข้อถือสิทธิที่ จดทะเบียนสิทธิบัตรไว้ก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์วัคซีน covid 19 นั้น โดยอ้างมาตรา 36 ประกอบมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง กล่าวคือเราตีความถ้อยคำที่ระบุไว้ในข้อถือสิทธิโดยเคร่งครัด เมื่อจดไว้ว่ามี สาร a b และ c คนละเมิดมีสาร a b และ c เหมือนกัน สำหรับมาตรา 36 ทวิวรรค สองนี้ขยายมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง กล่าวคือ วรรคหนึ่งนั้นตีความตามถ้อยคำอย่างเคร่งครัด กล่าวคือต้องตรงกับที่ระบุไว้ในข้อถือ สิทธิ มาตรา 36 ทวิวรรคสอง ไม่ได้บัญญัติไว้เช่นนั้น แต่ขยายความกว้างขึ้น มาตรา 36 ทวิวรรคสอง บอก ว่าขอบเขตของการประดิษฐ์ที่ได้รับความคุ้มครองย่อมคุ้มถึงขอบเขตของการประดิษฐ์ที่ได้รับความคุ้มครอง ย่อมคลุมถึงลักษณะของการประดิษฐ์ที่แม้จะมิได้ระบุในข้อถือสิทธิโดยเฉพาะเจาะจง แต่เป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติ ประโยชน์ใช้สอย และทำให้เกิดผลทำนองเดียวกับลักษณะของการประดิษฐ์ที่ระบุไว้ในข้อถือสิทธิตามความเห็น ของบุคคลที่มีความชำนาญในระดับสามัญ ในศิลปะหรือวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์นั้น กล่าวคือ แม้ว่าไม่ได้ระบุไว้ในข้อถือสิทธิโดยเฉพาะเจาะจงเหมือนกับมาตรา 36 ทวิ วรรคหนึ่งซึ่งถ้า เราตีความตามมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง ก็ไม่เป็นละเมิด เพราะไม่ได้ระบุไว้แต่มาตรา 36 ทวิวรรคสอง บอก ว่าแม้ไม่ได้ระบุไว้ในข้อถือสิทธิโดยเฉพาะเจาะจง แต่เป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติประโยชน์ใช้สอย และทำให้เกิดผลใน ทำนองเดียวกันกับการประดิษฐ์ในข้อถือสิทธิ และมาตรา 36 ทวิวรรคสอง บอกว่า แม้ว่าเลี่ยงโดยใช้วัตถุดิบ หรือขั้นตอนที่แตกต่างออกไป แต่ว่าถ้ายังมีคุณสมบัติประโยชน์ใช้สอย และทำให้เกิดผลทำนองเดียวกันก็ยังถือ ว่าเป็นการละเมิดอยู่เช่นกัน
17 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หลักการนี้มาจากหลักของต่างประเทศซึ่งนำมาบัญญัติไว้ในกฎหมายไทยเรา หลักการนี้เป็นหลักการ ตามมาตรา 36 ทวิวรรคสอง ซึ่งจะไม่ใช่การตีความตามคำในข้อถือสิทธิอย่างเคร่งครัด แต่เป็นการตีความโดย ใช้หลักการที่เรียกว่าทฤษฎีที่เท่าเทียมกัน ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเพียงขยายความว่าแม้องค์ประกอบของการ ประดิษฐ์หรือลักษณะของการประดิษฐ์นั้นจะไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในข้อถือสิทธิทุกประการ หรือที่เรียกว่า เฉพาะเจาะจง แต่สิ่งที่ต่างกันมีคุณสมบัติทำนองเดียวกัน มีประโยชน์ใช้สอยทำนองเดียวกัน และทำให้เกิดผล ทำนองเดียวกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าความแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงการใช้องค์ประกอบที่แทนที่กันได้ก็ถือ ว่าเป็นการละเมิด อย่าลืมนะครับ ต้องใช้ถ้อยคำในกฎหมายนะครับว่า คุณสมบัติประโยชน์ใช้สอย และเกิดผลทำนอง เดียวกัน ซึ่งข้อสอบของเนติบัณฑิตได้ออกไปแล้ว หากใครจำได้คงตอบได้นะครับ ตามมาตรา 36 ทวิ วรรคสอง ตัวอย่างในเรื่องนี้ ยกตัวอย่างเรื่องวัคซีนเมื่อสักครู่ นำมาเปรียบเทียบว่า ผู้ที่จดสิทธิบัตรวัคซีน covid 19 ไว้จดไว้ว่าวัคซีนตัวนี้มีสาร a b และ c ต่อมามีคนผลิตวัคซีนเลียนแบบ เป็นสาร a b และ x โดย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า สาร c และสาร x มีคุณสมบัติประโยชน์ใช้สอยเหมือนกัน และทำให้เกิดผลในทำนอง เดียวกัน เช่นนี้ใช้มาตรา 36 ทวิวรรคสอง กล่าวคือ แม้จะไม่ได้มีสารเหมือนกัน แต่นำ x มาแทน c ซึ่งข้อเท็จจริงบอกว่ามีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดผลเหมือนกัน กรณีนี้เป็นเรื่องการใช้องค์ประกอบที่ใช้แทนกันได้ กล่าวคือนำสาร x มาแทนสาร c ได้กรณีเช่นนี้มาตรา 36 ทวิวรรคสอง บอกว่า ก็ยังถือว่าเป็นการละเมิด แม้ว่าสาร x จะไม่ได้ตรงกับสาร c ที่ระบุไว้ในข้อถือสิทธิก็ตาม โดยใช้หลักของมาตรา 36 ประกอบมาตรา 36 ทวิวรรค 2 ตามทฤษฎีของความเท่าเทียมกัน นอกจากนี้หากนักศึกษาดูมาตรา 36 ทวิวรรคสองนี้ก็ยังบอกว่า ต้องเป็นเรื่องของบุคคลที่มีความ ชำนาญระดับสามัญ หมายความว่า การที่จะวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติประโยชน์ใช้สอย และทำให้ เกิดผลทำนองเดียวกันนั้นกับลักษณะการประดิษฐ์ที่ระบุไว้ในข้อถือสิทธิ ต้องถือตามความเห็นของบุคคลที่มี ความชำนาญระดับสามัญในศิลปะหรือวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์นั้น หมายความว่า ถ้าบุคคลที่มีความ ชำนาญระดับสามัญรู้หรือเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างเดียวกันหรือใช้แทนกันได้ จากตัวอย่างเมื่อสักครู่ เรื่อง วัคซีน covid-19 ถ้าบุคคลผู้มีความรู้ในระดับสามัญรู้ว่าสาร x ใช้แทนสารc ได้ก็เป็นการละเมิด หรือตัวอย่างอื่น เช่น มีคนดัดแปลงรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เป็นใช้แก๊ส แต่โครงสร้างเหมือนกันทุกอย่างและผู้มีความชำนาญในระดับ สามัญบอกว่าใช้แก๊สแทนน้ำมันได้ก็ถือว่าละเมิดเช่นกัน ซึ่งมาตรา 36 ทวิเป็นมาตราที่ขยายมาตรา 36 ตัวอย่างข้อสอบเนติ พ.ศ. 2559 บริษัทซอฟต์ฟิต จำกัด ได้รับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ รองเท้าชายดูดซับแรงสั่นสะเทือน โดยมีข้อถือ สิทธิว่าใช้แผ่นยางหนาครึ่งเซนติเมตรติดกาวไว้ที่ส้นรองเท้าด้านในเพื่อดูดซับแรงสั่นสะเทือน ยางผลิตจาก ยางพาราอัดแผ่น จากนั้นบริษัทซอฟต์ฟิต จำกัด จึงได้ผลิตรองเท้าดังกล่าวออกขายโดยโฆษณาว่าเป็นรองเท้า เพื่อสุขภาพและตั้งชื่อว่ารองเท้า ซอฟต์ฟิตรุ่นแอร์ ต่อมาบริษัทสมาร์ททอล จำกัด ได้ผลิตรองเท้าชายออกขาย โดยมีแผ่นยางไว้ที่บริเวณส้นเท้าด้านใน โดยยางที่คิดผลิตจากยางพาราอัดแน่นหนา ๓ เซนติเมตร แล้วบริษัท สมาร์ททอล จำกัด ผลิตรองเท้าออกจำหน่ายโดยโฆษณาว่าเป็นรองเท้าเพิ่มความสูงซ่อนรูป เนื่องจากบุคคล ทั่วไปไม่สามารถมองเห็นจากภายนอกว่ารองเท้ามีการเสริมความสูง ต่อมาบริษัท ซอฟต์ฟิต จำกัด แจ้งความ
18 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ดำเนินคดีแก่บริษัทสมาร์ททอล จำกัด กล่าวหาว่าละเมิดสิทธิบัตรของตน บริษัท สมาร์ททอล จำกัด จึงฟ้องคดี ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ การกล่าวอ้างว่า สิทธิบัตรของบริษัท ซอฟต์ฟิต จำกัด จำเลย ได้รับการจดทะเบียนโดยไม่ชอบ เนื่องจากข้อถือสิทธิดังกล่าวเป็นข้อถือสิทธิในการใช้ยางพาราอัดแผ่น เพื่อดูดซับแรงสั่นสะเทือน ซึ่งไม่มีความใหม่และไม่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้นเนื่องจากการใช้ยางอัดแน่นติดที่ส้น รองเท้าเพื่อดูดซับแรงสั่นสะเทือนมีมานานแล้ว และขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิบัตรของจำเลย แต่จำเลยให้การ ต่อสู้คดีว่าการเพิกถอนสิทธิบัตรเป็นเรื่องของภาครัฐเท่านั้นที่จะกระทำได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอน สิทธิบัตร และในข้อถือสิทธิของสิทธิบัตรกำหนดให้ความคุ้มครองจำเลยในการใช้แผ่นยางอัดแน่นรองส้น รองเท้า เมื่อโจทก์ใช้แผ่นยางอัดแน่นรองส้นรองเท้าที่โจทก์ผลิต จึงเป็นการละเมิดสิทธิบัตรของจําเลย ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่ ธงคำตอบ ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๔ วรรคสอง บุคคลผู้มีส่วนได้เสียจะ ฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรที่ไม่สมบูรณ์ก็ได้ การที่บริษัทสมาร์ททอล จํากัด โจทก์ได้ผลิตรองเท้าชาย ออกขายแล้วถูกบริษัท ซอฟต์ฟิต จำกัด จำเลย แจ้งความดำเนินคดีข้อหาละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ รองเท้า ชายดูดซับแรงสั่นสะเทือนของโจทก์นั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลที่ต้องเสื่อมเสียสิทธิในการแสวงหาประโยชน์ อันเนื่องมาจากการที่บุคคลอื่นเป็นผู้ทรงสิทธิบัตรโดยตรง จึงเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิจะฟ้องต่อศาล ขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรดังกล่าวด้วยเหตุที่ออกไปโดยไม่ชอบ เพราะสิทธิบัตรนั้นไม่สมบูรณ์ได้ ข้อต่อสู้ของ จำเลยที่ว่า การเพิกถอนสิทธิบัตรเป็นเรื่องของภาครัฐเท่านั้นที่จะกระทำได้จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า บริษัทสมาร์ททอล จำกัด โจทก์ ละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์รองเท้าชาย ดูดซับแรงสั่นสะเทือนของตนในข้อถือสิทธิว่า ใช้แผ่นยางหนาครึ่งเซนติเมตรติดกาวไว้ที่ส้นรองเท้าด้านในเพื่อ ดูดซับแรงสั่นสะเทือนนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ผลิตรองเท้าชายออกขายโดยติดแผ่นยางพาราอัดแน่น หนา ๓ เซนติเมตร ที่ส้นรองเท้า ดังนี้ แม้โจทก์จะผลิตรองเท้าชายดังกล่าวโดยใช้แผ่นยางพาราอัดแผ่น ๓ เซนติเมตร มิได้ใช้แผ่นยางพาราอัดแผ่นหนาครึ่งเซนติเมตรเช่นเดียวกับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ของบริษัท ซอฟต์ ฟิต จำกัด จำเลย แต่ส่วนแตกต่างกันดังกล่าวมิใช่ส่วนแตกต่างในข้อสาระสำคัญ สาระสำคัญอยู่ที่การประดิษฐ์ รองเท้านั้นดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ซึ่งเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่และมีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้นตามพระราชบัญญัติ สิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕ การผลิตรองเท้าของโจทก์จึงเป็นผลิตรองเท่านั้น โดยใช้ข้อถือสิทธิด้วยการใช้ แผ่นยางติดกาวไว้ที่ส้นรองเท้าด้านในเพื่อดูดซับแรงสั่นสะเทือนตามสิทธิบัตรการประดิษฐ์ของจำเลย อันมี คุณสมบัติประโยชน์ใช้สอย และทำให้เกิดผลทำนองเดียวกัน จึงเป็นการละเมิดสิทธิบัตรของจำเลยที่มีอยู่ตาม มาตรา ๓๖ (๑) และ ๓๖ ทวิ วรรคสอง แล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยในส่วนนี้ฟังขึ้น ถ้าข้อสอบออกมาตรา 36 จะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับนักศึกษาที่ไม่ได้ดูรายละเอียดในมาตราดังกล่าวนี้ แต่อาจารย์ได้สอนมานานแล้ว นักศึกษาอาจไม่คิดว่าจะออกข้อสอบสำหรับมาตราที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่ในทาง ความเป็นจริงทางคดีใช้กันมาก ต่อไปข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาเป็นกรณีมาตรา 36 ทวิวรรคสองเช่นกัน ข้อสอบผู้ช่วย ฯ นายดำเนิน นักกายภาพบำบัดของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใช้เวลาว่างหลังเลิกงาน ประดิษฐ์คิดค้นกระเป๋าน้ำร้อนแบบใหม่ และได้รับ “สิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญาสำหรับ กระเป๋าน้ำร้อนนั้น โดยในข้อถือสิทธิและรายละเอียด การประดิษฐ์ระบุว่า “เป็นกระเป๋าน้ำร้อนทำด้วย
19 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สารประกอบและในสัดส่วน ซิลิก้า 80% พลาสติก เสน 10% และมีตะกั่ว 10% และมีคุณสมบัติเบา มีความ ยืดหยุ่น ไม่แตกง่าย เก็บความร้อนได้ดี ในวงการแพทย์มักใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางไว้บนท้องของคนไข้ที่ปวดท้อง หรือบริเวณที่ปวดกล้ามเนื้อ เพื่อบรรเทาอาการปวด กระเป๋าน้ำร้อนของนายดำเนินเป็นการประดิษฐ์ที่มีความ ใหม่ มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นและสามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรมได้ ในเวลาต่อมา ปรากฏว่า นายสะดวก ซึ่งมีอาชีพทำกระเป๋าน้ำร้อนได้นำกระเป๋าน้ำร้อนตามสิทธิบัตร ของนายดำเนินมาดัดแปลง โดยผลิตเป็นกระเป๋าน้ำร้อนที่มีสารประกอบที่ใช้ในการผลิตเป็น ซิลิก้า 80% โพลิ เมอร์ 10% และตะกั่ว 10% แล้วนำออกขายในประเทศไทย ซึ่งสารประกอบพลาสติกแต่ละชนิด มีคุณสมบัติทางเคมีเช่นเดียวกับโพลิเมอร์และตามความเห็นของผู้มีความชำนาญด้านนั้นในระดับสามัญ เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสารประกอบพลาสติกเงินเป็นโพลิเมอร์ดังกล่าวไม่ทำให้คุณสมบัติของกระเป๋าน้ำร้อน ของนายสะดวกแตกต่างไปจากของนายดำเนิน กล่าวคือ ยังสามารถเก็บความร้อนใต้นาน เบา มีความยืดหยุ่น ไม่ฉีกง่าย เมื่อนายดำเนินพบว่านายสะดวกผลิตกระเป๋าน้ำร้อนออกขาย จึงยื่นฟ้องนายสะดวกว่าละเมิดสิทธิบัตร นายสะดวกให้การต่อสู้ว่า สิทธิบัตรผลิตภัณฑ์สำหรับกระเป๋าน้ำร้อนของนายดำเนินไม่สมบูรณ์ เพราะกระเป๋า น้ำร้อนไม่ใช่สิ่งที่ขอรับสิทธิบัตรได้เนื่องจากเป็นวิธีการวินิจฉัย บำบัด หรือรักษาโรคมนุษย์หรือสัตว์ นอกจากนั้นนายสะดวกมิได้ละเมิดสิทธิบัตรของนายดำเนิน เนื่องจากกระเป๋าน้ำร้อนของนายสะดวกมี สารประกอบบางตัวแตกต่างจากที่ระบุไว้ ในข้อถือสิทธิตามสิทธิบัตรของนายดำเนิน ให้วินิจฉัยว่า (ก) ผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของนายดำเนินได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ 2522 หรือไม่ เพราะเหตุใด (ข) การกระทำของนายสะดวกเป็นการละเมิดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ของนายดำเนิน หรือไม่ เพราะเหตุใด ธงคำตอบ (1) การประดิษฐ์ของนายดำเนินเป็นการประดิษฐ์ประเภทผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ ใช้ในการบำบัดความเจ็บปวด มิใช่วิธีการวินิจฉัย บำบัด หรือรักษา โรคมนุษย์หรือสัตว์ตามพระราชบัญญัติ สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 9 (4) ผลิตภัณฑ์กระเป๋าน้ำร้อนของนายดำเนินจึงสามารถได้รับความคุ้มครอง โดยขอรับสิทธิบัตรได้ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ2522 มาตรา 5 ข้อต่อสู้ของนายสะดวกที่ว่ากระเป๋า น้ำร้อนของนายดำเนินไม่ได้รับ ความคุ้มครองจึงขอรับสิทธิบัตรไม่ได้และสิทธิบัตรของนายดำเนินไม่สมบูรณ์ จึงฟังไม่ขึ้น (ข) แม้ว่าผลิตภัณฑ์ของนายสะดวกจะใช้สารประกอบโพลิเมอร์แทนพลาสติกเลซินเป็นสารตัวหนึ่ง แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของนายดำเนินก็ตาม แต่ปรากฏข้อเท็จจริงตามความเห็นของบุคคลที่มี ความชำนาญในระดับสามัญในศิลปะหรือวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์นั้นว่า ผลิตภัณฑ์ของนายสะดวก มีคุณสมบัติเบา เก็บความร้อนได้นาน และมีความยืดหยุ่น ไม่ฉีกง่าย เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ของนายดำเนิน จึงถือได้ว่าผลิตภัณฑ์ของนายสะดวกมีคุณสมบัติประโยชน์ใช้สอย และทำให้เกิดผลทำนองเดียวกับผลิตภัณฑ์ ตามสิทธิบัตรของนายดำเนิน ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2552 มาตรา 36 ทวิ วรรคสอง การกระทำ
20 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ของนายสะดวกจึงเป็นการละเมิดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ของนายดำเนินตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 36 ทวิ วรรคสอง ตามทฤษฎีเทียบเคียง (Doctrine of Equivalents) ดังนั้น ข้อต่อสู้ของนายสะดวกที่ว่าไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตรของนายดำเนินก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน *ข้อสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ข้อยกเว้นการละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ซึ่งสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ในมาตรา 36 วรรคสอง นำไปใช้กับอนุสิทธิบัตรด้วย หลักการของข้อยกเว้นนี้ เนื่องจากต้องการให้คนประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆซึ่งสิทธิทางปัญญา นี้เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เมื่อไหร่ก็ตามที่ไปกระทบถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ ก็จะได้รับยกเว้น เราจะเห็นได้ ว่าในมาตรา 36 วรรคสองนี้ กฎหมายเขียนไว้ชัด มาตรา ๓๖ วรรคสอง (๑)การกระทำใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง หรือวิจัย ทั้งนี้ ต้องไม่ขัดต่อการใช้ประโยชน์ตามปกติของผู้ทรงสิทธิบัตร และไม่ทำให้เสื่อมเสียต่อประโยชน์อันชอบธรรมของ ผู้ทรงสิทธิบัตรเกินสมควร ซึ่งหากดูเปรียบเทียบระหว่างสิทธิบัตรกับลิขสิทธิ์ เราจะเห็นว่าใช้ให้คำเหมือนกัน โดยในเรื่องลิขสิทธิ์ บอกว่า ๑. การกระทำที่ไม่ขัดต่อสาธารณประโยชน์ของงานอันมีลิขสิทธิ์ 2. การกระทำไม่ขัดต่อสิทธิทาง กฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการเดียวกันกับสิทธิบัตร ตามมาตรา 36 วรรค สอง (1) กล่าวคือ การใช้ประโยชน์ตามปกติของผู้ทรงสิทธิบัตร หรือผลประโยชน์อันชอบธรรมของผู้ทรงสิทธิ คืออะไรนั้น ที่บอกแล้วว่ากฎหมายสิทธิบัตรไม่ต้องการให้ผูกขาดให้เจ้าของสิทธิได้แสวงหาประโยชน์แต่ผู้เดียว ประโยชน์ในทางการค้า ซึ่งถ้าเป็นการกระทำที่ไม่ได้กระทบต่อสาธารณประโยชน์แล้ว ก็ควรจะยกเว้นให้ตาม มาตรา 36 วรรคสอง (1) ในเรื่องศึกษาค้นคว้า ทดลอง วิจัย ตัวอย่างเช่น อาจารย์คณะวิศวกรรมทำการถอด หรือประกอบชิ้นส่วนงานประดิษฐ์อันมีสิทธิบัตร เพื่อ สาธิตให้นักศึกษาทราบถึงกลไกการทำงานของการประดิษฐ์ย่อมเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 36 วรรคสอง (1) มาตรา 36 วรรคสอง (๒)การผลิตผลิตภัณฑ์หรือใช้กรรมวิธีดังที่ผู้ทรงสิทธิบัตรได้จดทะเบียนไว้ ซึ่งผู้ผลิตผลิตภัณฑ์หรือผู้ใช้กรรมวิธีดังกล่าวได้ประกอบกิจการหรือมีเครื่องมือ เครื่องใช้เพื่อประกอบกิจการ ดังกล่าวโดยสุจริตก่อนวันยื่นขอรับสิทธิบัตรในราชอาณาจักร โดยผู้ผลิตหรือผู้ใช้กรรมวิธีไม่รู้หรือไม่มีเหตุอัน ควรรู้ถึงการจดทะเบียนนั้น ทั้งนี้ โดยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๙ ทวิ เรื่องนี้ให้สิทธิแก่ผู้ประดิษฐ์รายแรกที่ใช้การประดิษฐ์เรียกว่า เป็นหลักสิทธิของผู้ใช้ ภายใต้หลักนี้บอก ว่าถ้าบุคคลใดใช้การประดิษฐ์ในลักษณะส่วนตัวและเป็นความลับก่อนที่จะมีการออกสิทธิบัตร สิทธิของบุคคล ที่ใช้การประดิษฐ์อยู่ก่อนไม่ถูกกระทบกระเทือนโดยสิทธิบัตรที่ออกภายหลัง บุคคลผู้ที่ใช้ก่อนคงมีสิทธิใช้ ประโยชน์ในการนั้นต่อไปได้แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นการใช้โดยสุจริตก่อนวันยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศ ไทย เพราะฉะนั้นจึงต้องดูว่าใช้ก่อนโดยสุจริตหรือไม่ มาตรา 36 วรรคสอง (๓)การเตรียมยาเฉพาะรายตามใบสั่งแพทย์ โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือผู้ประกอบโรคศิลปะ รวมทั้งการกระทำต่อผลิตภัณฑ์ยาดังกล่าว จะเห็นว่าเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อ ไม่ให้ผู้ทรงสิทธิบัตรห้ามมิให้ทางการแพทย์ใช้ผลิตภัณฑ์ยาซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
21 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาตรา 36 วรรคสอง (๔)การกระทำใด ๆ เกี่ยวกับการขอขึ้นทะเบียนยา โดยผู้ขอมีวัตถุประสงค์ที่ จะผลิต จำหน่าย หรือนำเข้าซึ่งผลิตภัณฑ์ยาตามสิทธิบัตรหลังจากสิทธิบัตร ดังกล่าวสิ้นอายุลง มีเจตนารมณ์ที่ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันทางการค้า เปิดโอกาสให้บริษัทยายื่นขออนุญาตขึ้นทะเบียน สิทธิบัตรยาระหว่างอนุสิทธิบัตรได้เพื่อให้สามารถจำหน่ายยาได้ทันทีหลังจากสิทธิบัตรสิ้นอายุ มาตรา 36 วรรคสอง (๕)การใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นการประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับตัวเรือ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์อื่นของเรือของประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิบัตรซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ในกรณีที่เรือดังกล่าวได้เข้ามาในราชอาณาจักร เป็นการชั่วคราวหรือโดยอุบัติเหตุ และจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ดังกล่าวกับเรือนั้น มาตรา 36 วรรคสอง (๖)การใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นการประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับการสร้างการ ทำงาน หรืออุปกรณ์อื่นของอากาศยาน หรือยานพาหนะของประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญา หรือความตกลง ระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิบัตรซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ในกรณีที่อากาศยานหรือ ยานพาหนะดังกล่าวได้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวหรือโดยอุบัติเหตุ มาตรา 36 วรรคสอง (๗)การใช้ ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่ง ผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร หากผู้ทรงสิทธิบัตรได้อนุญาต หรือยินยอมให้ผลิต หรือขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว เรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยเจ้าของสิทธิและได้มีการใช้สิทธิแล้ว เช่น ขายไปโดยชอบแล้ว สาระสำคัญของหลักนี้มีว่า เมื่อมีการจำหน่ายสินค้าภายใต้ทรัพย์สินทางปัญญาใด โดยผู้ทรงสิทธิเองหรือโดย ความยินยอมของผู้ทรงสิทธิสิทธิทางกฎหมายเหนือสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นย่อมเป็นอันระงับไป ผู้ทรงสิทธิจะ บังคับสิทธิของตนเองกับผู้ใช้ประโยชน์ในสินค้านั้นไม่ได้ผู้ซื้อสินค้าย่อมแสวงหาประโยชน์ได้ผู้ที่ซื้อโดยชอบ อาจนำไปขายต่อได้ *หลักการนี้เราเรียกว่าหลัก First Sale เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ทรงสิทธิแสวงหาประโยชน์ในเชิง พาณิชย์จากสิทธิของตนได้ครั้งแรกครั้งเดียว ผู้ทรงสิทธิจะไปตามเก็บค่าสิทธิทุกทอดที่มีการขายไม่ได้ เพราะเมื่อผู้ทรงสิทธิได้รับประโยชน์จากการจำหน่ายแล้ว สิทธิเหนือสินค้า สิทธิที่ระงับไป คือสิทธิที่เหนือ สินค้านั้นชิ้นนั้นเป็นอันระงับไป ผู้ทรงสิทธิจะไปตามเก็บค่าสิทธิทุกทอดไม่ได้ เพราะจะเป็นการค้ากำไรเกิน ควร หลักนี้จึงบอกว่าถ้าเป็นการขายโดยชอบ เก็บค่าสิทธิได้เพียงครั้งแรกครั้งเดียว หลังจากนั้นคนที่ซื้อสามารถ นำไปขายต่อได้นำไปใช้ได้ หลักนี้ต้องระมัดระวัง นักศึกษาต้องเข้าใจว่า สิทธิที่ระงับคือสิทธิในตัวผลิตภัณฑ์ สิทธิในการผลิต การ ใช้การขาย เสนอขาย และนำเข้า เรายึดเฉพาะสิทธิบัตรในตัวผลิตภัณฑ์หรือวัตถุชิ้นนั้น ๆ ที่ขายไป จะตามไป เก็บค่าสิทธิไม่ได้ส่วนสิทธิในนามธรรม หมายความว่า สิทธิของผู้ทรงสิทธิตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง (1) ไม่ ระงับ คือสิทธิแต่ผู้เดียวที่ผู้ทรงสิทธิมีอยู่ เช่น สิทธิในการผลิต ใช้ขาย เสนอขายไม่ระงับ ที่ระงับไปคือ สิทธิใน ตัวผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นเท่านั้น เมื่อนำไปเทียบเคียงกับกฎหมายลิขสิทธิ์ก็มีหลักการเดียวกัน การระงับสิ้นไปของ ลิขสิทธิ์ตามมาตรา 32/1 เป็นกฎหมายใหม่ โดยกฎหมายเขียนว่า การจำหน่ายต้นฉบับหรือสำเนางานลิขสิทธิ์ ที่ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยชอบมิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ หมายความว่า ถ้าซื้องานลิขสิทธิ์มาโดยชอบแล้ว ก็นำไปขายต่อได้ไม่เป็นการละเมิด มีหลักการเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีข้อสอบเนติที่เป็นตัวอย่าง
22 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง คําถาม บริษัท ดูดี จำกัด ได้รับสิทธิบัตรการประดิษฐ์สำหรับสารเคมีช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงใน ประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว บริษัท ดูดี จำกัด จึงได้ผลิตสารเคมีช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดจน ขายสารเคมี ดังกล่าวแก่บุคคลทั่วไปทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ต่อมาบริษัท กึกก้อง จำกัด ซื้อสารเคมี ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มาจาก บริษัท เฉิน เฉิน จำกัด ในสาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วนำเข้ามาจำหน่าย แก่ประชาชนทั่วไป ในประเทศไทย ทั้งนี้บริษัท เฉิน เฉิน จำกัด ได้สั่งซื้อสารเคมีช่วยประหยัดน้ำมัน เชื้อเพลิง ดังกล่าวมาจากบริษัท ดูดีจำกัด และบริษัท กึกก้อง จำกัด นำเข้าสารเคมีดังกล่าวและนำออกจำหน่ายโดย ไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัท ดูดี จำกัด ให้วินิจฉัยว่า บริษัท กึกก้อง จำกัด จะต้องรับผิดต่อบริษัท ดูดี จำกัด ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ หรือไม่ ธงคําตอบ สิทธิบัตรการประดิษฐ์สำหรับสารเคมีช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัท ดูดี จำกัด เป็นสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ แม้มาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติให้ ผู้ทรงสิทธิบัตรในสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์เท่านั้น มีสิทธิในการผลิต ใช้ ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย และนำเข้ามาใน ราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร แต่เมื่อผู้ทรงสิทธิบัตรได้อนุญาตหรือยินยอมให้ผลิต หรือขาย ผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรนั้นไปแล้ว ผู้ทรงสิทธิบัตรย่อมหมดสิทธิในการใช้ ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขายและ นำเข้าซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง (๗) เมื่อบริษัท ดูดี จำกัด ได้ผลิตสารเคมีช่วยประหยัด น้ำมันเชื้อเพลิงและขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว สิทธิของบริษัท ดูดี จำกัด ในฐานะผู้ทรงสิทธิบัตรที่จะควบคุม ติดตามการแสวงหาประโยชน์จากผลิตภัณฑ์นั้นจึงหมดไป ดังนั้น การที่บริษัท กึกก้อง จํากัด ได้นำเข้า ผลิตภัณฑ์ ตามสิทธิบัตรดังกล่าวโดยซื้อผลิตภัณฑ์นั้นมาจากบริษัท เฉิน เฉิน จํากัด ซึ่งได้สั่งซื้อมาจากบริษัท ดูดี จำกัด และนำออกจำหน่ายจึงไม่ต้องรับผิดต่อบริษัท ดูดี จำกัด ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่อย่างใด คำถาม นายสันติเป็นผู้ทรงอนุสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ “แชมพู สมุนไพร” ซึ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพร ไทยหลายชนิด มีคุณสมบัติบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นเงางาม แก้รังแคและคันศีรษะ โดยผลิตออกจำหน่ายทั้ง ขวดใหญ่ขนาด 6 ลิตร และขวดเล็กขนาด ๒๐๐ มิลลิลิตร จนเป็นที่นิยมชมชอบของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แชมพูขวดเล็ก ต่อมานายแสวงซื้อผลิตภัณฑ์ “แชมพูสมุนไพร” ขนาด 6 ลิตร ที่นายสันติผลิตออกจำหน่าย หลายสิบขวด มาแบ่งบรรจุในขวดแชมพูเปล่าที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า "แสงธรรม" ของ บริษัทรัศมีบุญ จำกัด ขนาด ๒๐๐ มิลลิลิตร ซึ่งตนไปรับซื้อขวดเปล่ามา แล้ว นำออกมาจำหน่าย ปรากฏว่าเครื่องหมายการค้า คำว่า “แสงธรรม” เป็น เครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียง แต่บริษัทรัศมีบุญ จำกัด ไม่ได้นำไปจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าไว้ ให้วินิจฉัยว่า การกระทำของนายแสวงเป็นการละเมิดสิทธิของนายสันติ ผู้ทรงอนุสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ “แชมพูสมุนไพร” และเป็นการลวงขายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “แสงธรรม” ของบริษัท รัศมีบุญ จำกัด หรือไม่ ธงคำตอบ แม้ผู้ทรงอนุสิทธิบัตรจะมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการผลิต ใช้ ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขายหรือ นำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งผลิตภัณฑ์ตามอนุสิทธิบัตร ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา
23 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ๖๕ ทศ ประกอบมาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง (๑) แต่เมื่อนายสันติผู้ทรงอนุสิทธิบัตรในผลิตภัณฑ์ “แชมพูสมุนไพร" ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้นายแสวงไปแล้ว สิทธิแต่ผู้เดียวของผู้ทรงอนุสิทธิบัตรยกเว้นการผลิต ผลิตภัณฑ์ของนายสันติที่คิดค้นผลิตออกมาจําหน่ายนั้น ย่อมระงับไป การที่นายแสวงผลิตภัณฑ์ "แชมพู สมุนไพร ขนาด 1 ลิตร ที่ตนซื้อมาไปแบ่งบรรจุในขวดขนาด ๒๐๐ มิลลิลิตร แล้วนำออกจำหน่าย จึงไม่ใช่การ ผลิต และขายผลิตภัณฑ์ตามอนุสิทธิบัตรอันจะเป็นการละเมิดสิทธิแต่ผู้เดียวของนายสันติผู้ทรงอนุสิทธิบัตร ตาม มาตรา ๖๕ ทศ ประกอบมาตรา ๓๖ วรรคสอง (๒) แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าว เจ้าของเครื่องหมาย การค้าที่จดทะเบียนแล้วเป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จด ทะเบียนไว้ตามมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ หากเจ้าของ เครื่องหมาย การค้าไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายของตนไว้ แต่มีบุคคลอื่นเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของ เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนก็มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อป้องกันการ ละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน หรือเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการ ละเมิดสิทธิดังกล่าว ตามมาตรา ๔๖ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๔๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว การที่นายแสวงนำ ผลิตภัณฑ์ “แชมพูสมุนไพร” ที่ คนซื้อมานำไปแบ่งบรรจุในขวดเปล่าที่มีเครื่องหมายการค้า คำว่า “แสงธรรม ของบริษัทรัศมีบุญ จำกัด แล้วนำออกจำหน่าย ย่อมเป็นการเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของบริษัท รัศมีบุญ จํากัด เจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า “แสงธรรม” ที่ไม่ได้จดทะเบียนตามมาตรา ๔๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนเรื่องการละเมิดอนุสิทธิบัตร ต้องนำมาตรา 36 และมาตรา 36 ทวิมาใช้สิทธิของผู้ทรง อนุสิทธิบัตรนั้น เหมือนกับสิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตร ต่อไปการละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ความยุ่งยากไม่เท่ากับการประดิษฐ์ และข้อยกเว้น ก็ไม่ยุ่งยากเท่ากับการประดิษฐ์ สิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์อยู่ในมาตรา 63 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ทรงสิทธิบัตรเท่านั้นมีสิทธิใช้แบบผลิตภัณฑ์กับผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร หรือขาย หรือมีไว้เพื่อขาย หรือเสนอ ขาย หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่ง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เว้นแต่การใช้แบบผลิตภัณฑ์เพื่อ ประโยชน์ในการศึกษา หรือวิจัย การมีสิทธิใช้แบบผลิตภัณฑ์หมายถึง การมีสิทธิผลิต สินค้าที่มีรูปร่าง หรือลวดลาย หรือสีของ ผลิตภัณฑ์ตามที่ระบุไว้ในข้อถือสิทธิอย่าลืมว่าสิทธิบัตรการออกแบบภายนอกต่างจากการผลิตคุ้มครอง ฟังก์ชันการทำงาน ฉะนั้นถ้ามีการผลิตสินค้าที่มีรูปร่าง ลวดลาย หรือสีเหมือนกันก็เป็นการใช้แบบผลิตภัณฑ์ และเป็นการละเมิด ปัญหาต่อไปคือ การใช้แบบผลิตภัณฑ์นั้น เราต้องดูที่ผลิตภัณฑ์ที่ละเมิดนั้น หากเหมือนหรือคล้าย ก็เป็นละเมิด ซึ่งมีหลักการเปรียบเทียบโดยให้นำเรื่องเงื่อนไขการขอรับสิทธิบัตรการออกแบบมาพิจารณา ฎีกาที่ ๑๐๖๙๓-๑๐๖๙๒/๒๕๕๐ การประดิษฐ์ของจำเลยและโจทก์เป็นอุปกรณ์ล็อคกันขโมยรถยนต์ มีส่วนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนในรูปแบบการล็อก กล่าวคือ การประดิษฐ์ของจำเลยจะเป็นการล็อกที่ สัมพันธ์กัน ๒ ชั้น โดยการล็อกดังกล่าวสามารถกระทำให้สำเร็จสมบูรณ์ภายในอุปกรณ์นั้นเอง ซึ่งมีผลทำให้ อุปกรณ์ของจำเลยเป็นระบบท่อแกนคู่ โดยไม่ต้องใช้แม่กุญแจต่างหากดังเช่นอุปกรณ์ของโจทก์ สำหรับการ
24 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประดิษฐ์ของโจทก์แม้จะถือว่าเป็นการล็อก ๒ ชั้น แต่เป็นรูปแบบการล็อกที่ไม่สัมพันธ์กันในลักษณะที่จะทำ การล็อกทั้งสองชั้นดังกล่าวให้สำเร็จสมบูรณ์ในอุปกรณ์นั้นเอง เช่นเดียวกับอุปกรณ์ของจำเลย โดยอุปกรณ์ของ โจทก์จะต้องใช้แม่กุญแจที่เตรียมไว้ต่างหากในการล็อกชั้นที่สอง นอกจากนี้ การคลายล็อกอุปกรณ์ของจำเลย จะใช้ลูกกุญแจเพียง 1 ดอก ในขณะที่การคลายล๊อกอุปกรณ์ของโจทก์ต้องใช้ลูกกุญแจ ๒ ดอก ถือได้ว่าเป็น ความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางเทคนิคสำหรับการประดิษฐ์ เพราะเป็นการก่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน ได้ดีการประดิษฐ์ของจำเลย จึงไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตรของโจทก์ด้วย ฎีกาที่ ๑๑๔๖๖/๒๕๕๕ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ปั้นจั่นเคลื่อนที่เร็วของโจทก์เป็นอุปกรณ์ปั้นจั่นสำหรับ ตอกเสาเข็มที่นำมาติดตั้งไว้บนรถบรรทุกอาศัยจุดหมุนที่ยกจากพื้นคัทซีรถทำให้เสากระโดงยกตั้งได้รวดเร็ว มีเหล็กค้ำเสากระโดง อุปกรณ์ทั้งหมดพับเก็บง่ายสามารถเดินทางไปที่ต่าง ๆ สิ่งที่โจทก์อ้างว่าปั้นจั่นของฝ่าย จำเลยเหมือนกับปั้นจั่นของโจทก์ คือเสากระโดง รอกทด สลิง เสาค้ำหลัง เครื่องยนต์ กว้าน และขาไฮดรอลิก นั้น เป็นอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วกว่า ๕๐ ปี และการที่ปั้นจั่นของจำเลยที่ 4 มีเสากระโดงที่พับไม่ได้และขาไฮดรอลิก แตกต่างจากปั้นจั่นของโจทก์ ซึ่งโจทก์รับว่าทำให้การติดตั้งช้าไม่มีประสิทธิภาพ และไม่มีเทคนิคการทำงาน เหนือกว่าปั้นจั่นของโจทก์ จำเลยที่ 4 จึงมิได้ผลิตปั้นจั่นที่มีลักษณะอยู่ภายในขอบเขตข้อถือสิทธิของโจทก์ กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาที่ ๖๕๗๒/๒๕๕๐ จากบทบัญญัติ พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฯ มาตรา 36 ทวิ ผลิตภัณฑ์ที่ให้อาหารสัตว์ ปีกของจำเลยที่ 1 จะถือว่าละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ที่ให้อาหารสัตว์ปีกของโจทก์ ต่อเมื่อการประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ที่ให้อาหารสัตว์ปีกของจำเลยที่ 1 มีขอบเขตของการประดิษฐ์ตามที่ระบุในข้อถือสิทธิของสิทธิบัตร การประดิษฐ์ที่ให้อาหารสัตว์ปีกของโจทก์ ขอบเขตของการประดิษฐ์ตามข้อถือสิทธิในสิทธิบัตรของโจทก์มี เพียงใดจะต้องพิจารณาลักษณะของการประดิษฐ์ตามที่ระบุในรายละเอียดการประดิษฐ์และรูปเขียน ประกอบด้วย ขอบเขตของการประดิษฐ์ดังกล่าวย่อมคลุมถึงลักษณะของการประดิษฐ์ที่แม้จะมิได้ระบุในข้อถือ สิทธิโดยเฉพาะเจาะจง แต่เป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติประโยชน์ใช้สอย และทำให้เกิดผลทำนองเดียวกับลักษณะของ การประดิษฐ์ที่ระบุในข้อถือสิทธิตามความเห็นของบุคคลที่มีความชำนาญในระดับสามัญในศิลปะหรือ วิทยาการที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์นั้นด้วย สิทธิบัตรการประดิษฐ์ที่ให้อาหารสัตว์ปีกของโจทก์มีข้อถือสิทธิ รวม 11 ข้อ ส่วนผลิตภัณฑ์ให้อาหารสัตว์ปีกของจำเลยที่ 1 ที่ได้รับสิทธิบัตรในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเมื่อ เปรียบเทียบกับขอบเขตของการประดิษฐ์ตามที่ระบุในข้อถือสิทธิของสิทธิบัตรที่ให้อาหารสัตว์ปีกของโจทก์ แล้ว จะเห็นได้ว่าการปรับความตื้นและลึกของกระทะที่ให้อาหารสัตว์ปีกของจำเลยที่ 1 และตามข้อถือสิทธิข้อ 2 และรูปที่ 9 ของสิทธิบัตรของจำเลยที่ 1 มีวิถีทางในการปรับโดยมีชิ้นส่วนที่มีการเชื่อมกันโดยไม่มีการ เคลื่อนไหวตามกันระหว่างวงแหวนและกระทะอาหารเช่นเดียวกับข้อถือสิทธิในสิทธิบัตรของโจทก์ข้อ 1, 2 และ 4 ทั้งกรรมวิธีการใช้ที่ให้อาหารสัตว์ปีกของจำเลยที่ 1 ก็ไม่ต่างกับกรรมวิธีตามข้อถือสิทธิในสิทธิบัตรของ โจทก์ข้อ 10 และ 11 โดยโครงสร้างหลักและกรรมวิธีการใช้ ตลอดจนประโยชน์ใช้สอยของผลิตภัณฑ์ที่ให้ อาหารสัตว์ปีกของจำเลยที่ 1 เป็นเช่นเดียวกับของโจทก์ แม้จะมีข้อแตกต่างกันในข้อปลีกย่อยก็ถือได้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่ให้อาหารสัตว์ปีกของจำเลยที่ 1 มีขอบเขตของการประดิษฐ์เช่นเดียวกับที่ระบุในข้อถือสิทธิของ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ที่ให้อาหารสัตว์ปีกของโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 ประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวและให้จำเลย
25 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ที่ 3 นำเข้ามาในราชอาณาจักรจึงเป็นการร่วมกันละเมิดสิทธิบัตรของโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะได้รับสิทธิบัตร การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในประเทศสหรัฐอเมริกาและดินแดนไต้หวัน แต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้อ้างว่าได้รับ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ดังกล่าวมาก่อนโจทก์ จึงไม่มีผลทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการละเมิด สิทธิบัตรของโจทก์ เมื่อโจทก์ได้รับสิทธิบัตรดังกล่าวจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ของ ประเทศไทยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฯ มาตรา 36 ที่บุคคลอื่นจะละเมิด มิได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 หยุดการ กระทำการละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ที่ให้อาหารสำหรับสัตว์ปีก และวิธีการนำเอาลูกไก่เข้าไปในกรงเลี้ยง ตามสิทธิบัตรของโจทก์ โดยห้ามผลิตและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ละเมิดสิทธิบัตรจึงชอบแล้ว ฎีกาที่ ๑๒๖๔๙/๒๕๕๖ โจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิบัตรการประดิษฐ์ “ภาชนะบรรจุที่มีชั้นเคลือบสำหรับ การพิมพ์” ซึ่งเป็นการประดิษฐ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับบรรจุ เช่น เมล็ดพืชไร่ น้ำตาลทราย และ เคมีภัณฑ์บางชนิด ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ มาตรา 3, ๓๖, ๖๓, 8๕ จำเลยทั้งสี่เป็นผู้ประกอบการ เกี่ยวกับการขายพัสดุบรรจุภัณฑ์เมล็ดพืชไร่ในตลาดเดียวกันกับโจทก์ จำเลยทั้งสี่ผลิตและขายภาชนะที่มี ลักษณะสาระสำคัญ เดียวกับข้อถือสิทธิตามสิทธิบัตรของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ข้อเท็จจริงที่ได้ จากการไต่สวน มูลฟ้องจึงครบองค์ประกอบความผิดตามฟ้อง คดีโจทก์จึงมีมูล ฎีกาที่ 5485/๒๕๕๒ ประเด็นที่วินิจฉัย ขอบเขตของการประดิษฐ์ตามข้อถือสิทธิที่ได้รับความ คุ้มครอง ปัญหาว่า สิ่งประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรของจำเลยที่ ๑ ละเมิดข้อถือสิทธิตามสิทธิบัตรของโจทก์หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า อุปกรณ์ล็อกเบรกรถยนต์ที่มีสวิตช์ตัดต่อไฟฟ้าระบบสตาร์ทเครื่องยนต์นั้น ละเมิดข้อถือ สิทธิตามสิทธิบัตรเลขที่ 10218 ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า อนุสิทธิบัตรนี้มีความแตกต่างจากสิทธิบัตรเลขที่ 10218 ของโจทก์อย่างชัดเจน เนื่องจากมีการใช้สวิตซ์ตัดต่อไฟฟ้าระบบสตาร์ทเครื่องยนต์เป็นสาระสำคัญ ในขณะที่การประดิษฐ์ของโจทก์ไม่มีโครงสร้างในส่วนนี้ ทั้งโจทก์เองก็ระบุไว้ในลักษณะและความมุ่งหมายของ การประดิษฐ์โดยย่อในสิทธิบัตรว่า “จึงได้ ความคิดที่จะประดิษฐ์อุปกรณ์ป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ที่เป็น อุปกรณ์ที่ติดตั้งง่ายไม่มีระบบวงจรที่ใช้ไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง” นอกจากนี้ การประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรของ จำเลยยังมีลักษณะเป็นท่อแกนคู่และมีระบบการคลายล็อกที่แตกต่างจากการประดิษฐ์ของโจทก์ การประดิษฐ์ ตามอนุสิทธิบัตรจึงมีความแตกต่างจากการประดิษฐ์ของโจทก์ในสาระสำคัญที่เป็นการป้องกันการโจรกรรม รถยนต์ พยานหลักฐานของโจทก์ รับฟังไม่ได้ว่าสินค้าที่ผลิตตามอนุสิทธิบัตรของจำเลยละเมิดข้อถือสิทธิตาม สิทธิบัตรของโจทก์ ฎีกาที่ 9๗๔๙/๒๕๕๖ โจทก์เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทถ้วยน้ำ ถ้วยใส่น้ำ ถ้วยใส่น้ำผลไม้ ถ้วยใส่เยลลี่ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำแปดเหลี่ยม ห้ามโจทก์และบุคคล อื่นผลิตหรือจำหน่ายถ้วยน้ำลักษณะดังกล่าว โจทก์ผลิตและจำหน่ายถ้วยแปดเหลี่ยมที่มีรูปลักษณะคล้ายแบบ ผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรที่พิพาทของจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่ปี ๒๕4๔ ก่อนที่จำเลยที่ ๑ จะยื่นคําขอรับสิทธิบัตร พิพาทและเมื่อพิจารณารูปแบบโดยรวมของถ้วยน้ำของโจทก์กับของจำเลยที่ ๑ แล้ว ข้อแตกต่างที่พบเป็นเพียง รายละเอียดไม่อาจถือว่าเป็นข้อแตกต่างอันเป็นสาระสำคัญหรือลักษณะพิเศษ ฟังได้ว่าถ้วยน้ำแปดเหลี่ยมของ โจทก์ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรของจำเลยที่ ๑ ที่มีการใช้แพร่หลายอยู่แล้ว
26 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ในราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตร สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็น สิทธิบัตรที่ไม่สมบูรณ์ ตามมาตรา ๕๗ (๑) (๔), 6๔ ครับนักศึกษาครับ สรุปแล้ววันนี้เราก็จบในเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรตามมาตรา 36 ซึ่งจะมีมาตรา 36 ทวิวรรคหนึ่ง และวรรคสองมาประกอบ โดยจะนำไปใช้กับเรื่องอนุสิทธิบัตรด้วยและการละเมิดสิทธิบัตรการ ออกแบบตามมาตรา 63 และอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงเรื่องมาตรา 35 ทวิ เป็นเรื่องที่มีการกระทำในระหว่างการ ยื่นคำขอการออกสิทธิบัตร หากเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อ ก็ถือว่าเป็นการละเมิดได้ และได้พูดถึงข้อยกเว้นการ ละเมิดตามมาตรา 36 วรรคสอง ก็น่าจะครอบคลุมในเรื่องการละเมิดสำหรับการเตรียมตัวสอบนะครับ โดยใน เรื่องสิทธิบัตรนั้น เรามีเวลาบรรยาย เพียง 4 ครั้งก็น่าจะจบในครั้งนี้ครั้งหน้าเราจะมาเริ่มบรรยายในเรื่อง เครื่องหมายการค้า ซึ่งอาจารย์จะบรรยายต่อในครั้งหน้าอีก 1 ครั้ง เนื่องจากอาจารย์อีกท่านหนึ่งท่าน ติดภารกิจ ในเรื่องเครื่องหมายการค้าที่เราจะพูดกันนั้น เรื่องแรกก็คือในเรื่องการเพิกถอนการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้า ตามมาตรา 61 ถึงมาตรา 67 นะครับ ซึ่งมาตราเหล่านี้จะคล้ายกับเรื่องการขอเพิกถอน สิทธิบัตร หลักเกณฑ์คล้ายๆกัน เนื่องจากการจดทะเบียนไม่ชอบ เพราะไม่เข้าเงื่อนไข และอีกเรื่องหนึ่งก็คือใน เรื่องละเมิดเครื่องหมายการค้าซึ่งจะมีมาตรา 44 และละเมิดเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 46 วรรคสอง ในเรื่องการลวงขาย ก็ให้นักศึกษาไปเตรียมตัวก่อนก็ได้วันนี้ขอจบการบรรยายแต่เพียงเท่านี้สวัสดีครับ ***จบการบรรยาย***
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไมตรี สุเทพากุล บรรยายวันที่ 22 มิถุนายน 2566 (ครั้งที่ 5) (สัปดาห์ที่ 5) สวัสดีครับนักศึกษาทุกท่าน สำหรับวันนี้จะเป็นการบรรยายในประเด็นของกฎหมายเครื่องหมายทาง การค้านะครับ ซึ่งเงื่อนไขของสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้านั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ มีการ กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ ดังกรณีของสิทธิบัตรที่จะขอจดสิทธิบัตรได้จะต้องมีความใหม่ มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น เป็นต้น ส่วนกรณีของเครื่องหมายการค้าที่สามารถจดทะเบียนตามมาตรา 6 ได้นั้น จะต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะ ตามมาตรา 7 ไม่เป็นเครื่องหมายที่ต้องห้ามตามมาตรา 8 ไม่เป็นเครื่องหมายที่เหมือนหรือคล้ายกับ เครื่องหมายทางการค้าของบุคคลอื่นตามมาตรา 13 เหล่านี้ล้วนเป็นลักษณะของเครื่องหมายทางการค้าที่ กฎหมายกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องมีลักษณะตามนี้จึงจะสามารถจดทะเบียนได้ ในส่วนของความเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนั้น กฎหมายกำหนดเอาไว้ชัดเจนถึงกรณีของผู้ที่มีสิทธิขอรับ สิทธิบัตรซึ่งมีกำหนดไว้ตั้งแต่มาตรา 10 ที่ประดิษฐ์ด้วยตนเอง หรือ มาตรา 11 การประดิษฐ์ให้นายจ้าง หรือ มาตรา 13 อันเป็นกรณีของหน่วยงานราชการ แต่ทว่าหากเป็นกรณีของเครื่องหมายการค้าจะมีความแตกต่าง กัน ซึ่งจะมีประเด็นพิพาทกันในเรื่องของใครมีสิทธิดีกว่า อันกำหนดไว้ในมาตรา 67 และถือว่ามาตรานี้เป็น มาตราหลักสำคัญด้วย หรือ มาตรา 35 ที่ได้กำหนดถึงสิทธิดีกว่าในขั้นตอนของการขอรับจดทะเบียน โดย มาตรานี้เคยออกข้อสอบด้วย กรณีข้อพิพาทว่าใครเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าในส่วนของการเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตาม มาตรา 67 ซึ่งประเด็นที่จะทำการศึกษาในวันนี้ หลักๆ แล้วก็จะอยู่ในเรื่องของเงื่อนไขอยู่ดี เนื่องจากการเพิก ถอนนี้จะต้องย้อนกลับไปพิจารณาถึงเรื่องเงื่อนไขตามมาตรา 6 ด้วย ซึ่งการเพิกถอนการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้านั้น จะมีทั้งการเพิกถอนโดยนายทะเบียน หรือ เพิกถอนโดยคณะกรรมการเครื่องหมาย การค้า ซึ่งก็คือการเพิกถอนตามมาตรา 61 62 63 และ 65 นั่นเอง และการเพิกถอนโดยศาล ตามมาตรา 66 และ มาตรา 67 แต่ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหานั้น อาจารย์จะขอกล่าวถึงภาพรวมหัวข้อที่จะทำการบรรยายในวันนี้เสียก่อน ตามที่ได้บรรยายไปในครั้งที่แล้ว ว่าตอนนี้การบรรยายถึงเรื่องทะเบียนเครื่องหมายการค้าอยู่ ซึ่งเบื้องต้น จะต้องพิจารณาเสียก่อนว่า สามารถจะทะเบียนได้หรือไม่ เข้าเงื่อนไขหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิบัตรหรือ เครื่องหมายการค้าก็ตาม ซึ่งจะมีกระบวนการตามที่ได้เคยบรรยายไปแล้ว โดยหากต้องการไปจดทะเบียนแต่ ไม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียน ก็สามารถที่จะอุทธรณ์ไปยังคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าหรือสามารถฟ้อง เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาก็ได้ โดยในการบรรยายวันนี้จะมีประเด็นของ การเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ซึ่งก็ถือว่าเป็นหัวข้อที่อยู่ในเรื่องของข้อพิพาททางทะเบียนอยู่ และคาบเกี่ยวกับเรื่องของเงื่อนไขของลักษณะเครื่องหมายทางการค้าที่สามารถจดทะเบียนได้ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับหัวข้อที่ได้บรรยายไปแล้ว ในกรณีของสิทธิบัตรที่จดทะเบียนแล้วไม่เข้าเงื่อนไข จะสามารถเพิกถอนได้ ตามมาตรา 54 หรือสิทธิบัตรการประดิษฐ์ตามมาตรา 64 หรือสิทธิบัตรการออกแบบ
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตามมาตรา 65 ซึ่งการเพิกถอนสิทธิบัตรนั้น สามารถเพิกถอนได้เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไข กล่าวคือไม่มีความใหม่ ไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นหรือไม่ใช่เจ้าของอันไม่มีสิทธิไปขอรับสิทธิบัตรแต่กลับไปขอรับเอง ประเด็นเหล่านี้ สามารถเพิกถอนได้เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไข และเป็นเหตุให้มีการร้องเพิกถอนในภายหลังได้ ซึ่งการเพิกถอน เครื่องหมายการค้านั้นก็จะมีความคล้ายคลึงกับการเพิกถอนสิทธิบัตรนี้ด้วย การเพิกถอนการจดทะเบียน กรณีที่มีการจดทะเบียนไปเรียบร้อยแล้ว และต่อมามีผู้ไปร้องเพิกถอนการจดทะเบียนนั้นเนื่องจากไม่ เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 61 หรือมาตรา 62 ซึ่งกรณีนี้จะเป็นคนละกรณีกับการคัดค้านการขอจดทะเบียน ตาม มาตรา 35 อันถือว่าเป็นการคัดค้านว่าเครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนนั้นไม่เข้าเงื่อนไขหรือผู้ขอไม่มีสิทธิ ดีกว่า ซึ่งเหตุแห่งการคัดค้านนั้นก็จะเหมือนกับเหตุแห่งการขอเพิกถอนเลย โดยหลักๆแล้วจะพิจารณาจาก เงื่อนไขและความเป็นเจ้าของ เพียงแต่ว่าทั้งสองกรณีนี้จะอยู่กันคนละขั้นตอน โดยการขอเพิกถอนนั้น จะเป็น ขั้นตอนที่มีการจดทะเบียนไปเรียบร้อยแล้ว และมาขอให้เพิกถอนในภายหลัง ส่วนการคัดค้านการขอจดทะเบียนนั้น จะเป็นขั้นตอนที่คัดค้านระหว่างที่มีการขอจดทะเบียนนั่นเอง ซึ่งการเพิกถอนการจดทะเบียนนั้น จะมีกำหนดบุคคลที่มีอำนาจในการเพิกถอนเอาไว้ คือ การเพิกถอนโดยนาย ทะเบียนตามมาตรา 55 การเพิกถอนโดยคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 61 และการเพิกถอน โดยศาลตามมาตรา 66-67 นั่นเอง ซึ่งในการขอเพิกถอนนั้นจะต้องพิจารณาเสียก่อนว่าจะเพิกถอนด้วยเหตุใด จะได้ทำการร้องให้ถูกต้อง เนื่องจากหากมีการร้องผิดกรณี ก็อาจจะถูกเพิกถอนได้ และอาจารย์ขอย้ำว่ากรณี ของการเพิกถอนที่จะทำการศึกษาในวันนี้นั้น เป็นเฉพาะกรณีที่มีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้วเท่านั้น ไม่รวมถึงกรณีที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนแต่อย่างใด เนื่องจากหากเป็นกรณีที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน จะ เป็นกรณีของการคัดค้านตามมาตรา 35 อันสามารถคัดค้านขณะที่ยังไม่มีการจดทะเบียนเครื่องหมายทาง การค้าสำเร็จได้ เช่น คัดค้านว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ขอจดทะเบียน หรือ คัดค้านว่าเครื่องหมายที่ขอจดทะเบียนนั้น ไม่มีลักษณะตามมาตรา 6 เป็นต้น ข้อสังเกต ระยะเวลาในการฟ้องขอให้เพิกถอนตามมาตรา 61 และมาตรา 62 นั้นไม่ได้มีการกำหนด ระยะเวลาเอาไว้ แต่ทว่าตามมาตรา 67 นั้นจะมีกำหนดเอาไว้ 5 ปี (ประเด็นนี้เคยออกสอบ) การเพิกถอนโดยนายทะเบียน กรณีของการเพิกถอนโดยนายทะเบียนนั้นไม่ค่อยออกข้อสอบเท่าใดนัก เนื่องจากไม่มีความสำคัญ เท่ากับการเพิกถอนโดยคณะกรรมการและการเพิกถอนโดยศาล โดยการเพิกถอนโดยนายทะเบียนนั้นจะมีอยู่ 4 กรณีด้วยกัน คือ 1. เจ้าของเครื่องหมายไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนในเรื่องต่ออายุ ตามมาตรา 55 วรรคสอง 2. เจ้าของเครื่องหมายการค้า ขอเพิกถอนเครื่องหมายการค้าเอง ตามมาตรา 57 เนื่องจากเจ้าของไม่ ประสงค์จะใช้เครื่องหมายการค้านี้แล้ว ยกเว้นว่า หากมีการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายทางการค้า การเพิกถอน นั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ได้รับอนุญาตใช้เครื่องหมายด้วย
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 3. เจ้าของเครื่องหมายการค้าฝ่าฝืนเงื่อนไขตามมาตรา 58 เนื่องจากบางกรณีเมื่อนายทะเบียนรับจด ทะเบียนจะมีการกำหนดเงื่อนไขเอาไว้ หากว่าเจ้าของเครื่องหมายฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข นายทะเบียนก็ ย่อมสามารถที่จะสั่งเพิกถอนได้ ตามมาตรา 58 4. เจ้าของเครื่องหมายการค้าหรือตัวแทนเลิกตั้งสำนักงานในประเทศไทย ตามมาตรา 59 การเพิกถอนโดยคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามี 3 กรณี คณะกรรมการเครื่องหมายการค้านั้น จะคล้ายคลึงกับคณะกรรมการสิทธิบัตร กล่าวคือ เวลาที่ไปขอ จดทะเบียนแต่กรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ให้จดทะเบียน ก็สามารถที่จะอุทธรณ์ไปที่คณะกรรมการได้ โดยมี ขั้นตอนของการอุทธรณ์กำหนดไว้ตามมาตรา 35 – 38 แต่กรณีนี้กฎหมายได้กำหนดอำนาจของ คณะกรรมการในการเพิกถอนเอาไว้โดยกำหนดเหตุเพิกถอนได้ด้วยตามมาตรา 61 1. เป็นเครื่องหมายการค้าที่ขาดองค์ประกอบในการจดทะเบียน ตามมาตรา 61 1.1 มิได้เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ตามมาตรา 7 (ประเด็นนี้ออกข้อสอบบ่อย) ซึ่ง มาตรา 7 ได้กำหนดความหมายของเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะเอาไว้ คือ เครื่องหมายที่มีลักษณะ ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้าทราบและเข้าใจได้ว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างจากสินค้าอื่นๆ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการคุ้มครองเครื่องหมายการค้านั้น ก็เพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่างของ สินค้าต่างราย ซึ่งมาตรา 7 วรรคสองนั้นยังได้กำหนดไว้ให้ละเอียดมากขึ้นด้วยว่าอย่างไรจึงจะถือว่ามีความ แตกต่างจากสินค้ารายอื่นๆ เช่น ตามมาตรา 7 วรรคสอง อนุมาตรา 2 ที่กำหนดไม่ให้จดคำหรือข้อความว่า “คำหรือข้อความ อันไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรงและไม่เป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ด้วย” เนื่องจากมีเหตุผลว่า คำๆนั้นเป็นคำที่บุคคลทั่วไปต้องการใช้ เช่น การใช้คำว่า SUPERCUT กับ สินค้าเครื่องตัด ไฟ อันเป็นการเล็งถึงคุณสมบัติว่าเมื่อเกิดไฟฟ้ารั่วขึ้น สินค้าชนิดนี้สามารถทำการตัดไฟได้อย่างซุปเปอร์หรือดี เยี่ยม ดังนั้น ผู้ค้าขายสินค้าเครื่องตัดไฟทุกรายจึงย่อมอยากที่จะใช้คำๆนี้ ดังนั้น จึงไม่ควรให้ผู้ค้ารายใดผูกขาด คำๆ นี้เพียงรายเดียว เพราะหากมีการอนุญาตให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ใช้คำนี้แล้ว ก็ย่อมเป็นการ ผูกขาดให้แก่ผู้ค้าเพียงรายเดียวอันจะเป็นการเอื้อประโยชน์จนเกินไป หรือหากมีการอนุญาตให้จดทะเบียนและ ผู้ค้ารายอื่นๆก็ใช้คำว่า SUPERCUT เหมือนกันหมด ก็ย่อมที่จะทำให้บุคคลอื่นๆไม่สามารถแยกแยะความ แตกต่างของผลิตภัณฑ์นั้นได้ ตัวอย่างข้อสอบ ตัวอย่างที่ 1 กรณีของ COKE ที่มีอยู่หลายประเด็น ในประเด็นแรกมีว่า ขวด COKE นั้น สามารถใช้ เป็นเครื่องหมายได้หรือไม่ ประเด็นที่สองคือ ลักษณะของขวด COKE นั้น บริษัท COLA ได้มาทำการจด ทะเบียนรูปทรงขวด COKE สามมิติ ซึ่งมีลักษณะด้านบนเรียว ตรงกลางป่อง และด้านล่างมีทรงเข้าเข้าไปด้าน ใน และมีริ้วนูนรอบๆขวด โดยทำการจดทะเบียนรูปทรงขวดกับบริษัท COLA ต่อมานาย ก. ได้ทำการผลิตขวด รูปทรงเดียวกับของบริษัท COLA เลย และบริษัท COLA ได้ทำการฟ้องนาย ก. นาย ก.จึงทำการร้องต่อ คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าให้ทำการเพิกถอนเครื่องหมายรูปทรงขวดนั้น โดยอ้างว่าไม่มีลักษณะบ่ง เฉพาะ ซึ่งข้อสอบข้อนี้ ประเด็นแรกที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยคือ มาตรา 4 โดยมาตรานี้ได้กำหนดเอาไว้ว่า “เครื่องหมายให้หมายความรวมถึงรูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุ” และมีการวินิจฉัยว่ารูปทรงสามมิติก็สามารถที่
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จะเป็นเครื่องหมายการค้าได้เช่นกัน ประเด็นที่สองคือ ลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 วรรคหนึ่งนั้น ก็มีการ วินิจฉัยว่า รูปทรงขวดมีเอกลักษณ์พิเศษ คือ มีส่วนเว้าและนูน จึงไม่ใช่เพียงภาชนะบรรจุสินค้าทั่วไป อันถือว่า มีลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรานี้ จึงไม่สามารถที่จะเพิกถอนได้ ตามมาตรา 61 (1) ตัวอย่างที่ 2 กรณีของ DERMACREAM ซึ่งคำว่า DERMA นั้นแปลว่าผิวหนัง และ CREAM แปลว่า ของเหลว ประเด็นคือว่าคำๆนี้มีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่ ซึ่งธงคำตอบ คือ ไม่มี เนื่องจากไม่มีการเล็งถึง ลักษณะและคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง ตัวอย่างที่ 3 กรณีของการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า “ฤาษีดัดตน” โดยใช้กับการบริการ การสอนวิชาบริหารร่างกายแบบฤาษีดัดตน ข้อเท็จจริงกำหนดให้ว่า ไม่มีการใช้คำๆนี้ซ้ำกับบุคคลอื่น ซึ่งก็ต้อง พิจารณาต่อไปว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่ โดยธงคำตอบได้บรรยายต่อไปว่า คำว่า ฤาษีดัดตนนั้นเป็น เครื่องหมายคำ เมื่อนำมาใช้กับการบริหารร่างกายแบบฤาษีดัดตน จึงถือว่าเป็นเครื่องหมายที่ไม่มีลักษณะบ่ง เฉพาะนั่นเอง ฎีกาที่ 8969/2559 โจทก์ขอจดคำว่า TRUE FITNESS กับศูนย์ออกกำลังกาย และ TRUE YOGA กับศูนย์ฝึกโยคะ ศาลฎีกากล่าวว่า TRUE FITNESS นั้นเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของบริการ โดยตรง กล่าวคือ ฟิตเนสนั้นคือศูนย์ออกกำลังกาย ส่วนกรณีของ TRUE YOGA นั้น ศาลได้วินิจฉัยว่าเป็นคำที่ เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติโดยตรงคือศูนย์ฝึกโยคะ จึงไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ฎีกาที่ 5402/2551 เครื่องหมายบริการของโจทก์ประกอบด้วยคำ 2 คำ หรือ SOUTH AFRICAN กับ AIRWAYS ซึ่งคำแรกนั้น แม้จะไม่ใช่ชื่อทางภูมิศาสตร์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยตรง แต่ก็เป็นคำที่มี ความหมายเกี่ยวกับประเทศแอฟริกาใต้ จึงเป็นคำสามัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศแอฟริกาใต้ ส่วนคำว่า AIRWAYS นั้น ความหมายตามพจนานุกรม หมายถึง เส้นทางการบิน แต่ความหมายอันเป็นที่ทราบกัน โดยทั่วไปอีกประการหนึ่งนั้น หมายถึง สายการบิน คำว่า AIRWAYS ถือว่าเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือ คุณสมบัติของบริการโดยตรง ดังนี้ เครื่องหมายบริการของโจทก์จึงเป็นเครื่องหมายบริการที่ไม่มีลักษณะบ่ง เฉพาะ นอกจากนี้คำว่า AIRWAYS ย่อมสื่อให้เห็นถึงการบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางทางอากาศ รวมถึงการให้บริการติดตั้ง ดูแลและซ่อมบำรุงอากาศยานด้วย และยังรวมถึงบริการอื่นๆ ในรายการบริการ จำพวกที่ 37 และ 39 ซึ่งเป็นบริการปลีกย่อยที่เกี่ยวข้องกับบริการหลักของโจทก์ แม้จะแยกพิจารณาเป็นราย รายการ เครื่องหมายบริการของโจทก์ก็ยังคงเล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของบริการโดยตรงเช่นเดิม แม้ เครื่องหมายบริการของโจทก์จะมีความหมายเกี่ยวข้องโดยตรงกับเจ้าของเครื่องหมายที่เป็น "สายการบินแห่ง ประเทศแอฟริกาใต้" แต่เครื่องหมายบริการของโจทก์ก็มีความหมายเกี่ยวเนื่องกับการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับ การเดินทางทางอากาศอันเป็นการเล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติการบริการของโจทก์โดยตรง อีกทั้ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้าฯ ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการรับจดทะเบียนเครื่องหมายบริการด้วยเหตุผลว่า เครื่องหมายบริการของโจทก์เป็นการใช้ชื่อที่เป็นธรรมเนียมปกติทางการค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เป็นรัฐ ถือหุ้นโดยรัฐหรือได้รับความเห็นชอบจากรัฐนั้นๆ ให้ใช้ชื่อดังกล่าวแต่อย่างใด ในทางกลับกันกฎหมายไม่ ประสงค์ที่จะให้นำคำหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับรัฐต่างประเทศเช่นนั้นไปใช้ในการจดทะเบียน อนึ่งการที่ประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษหลายประเทศรับจดทะเบียนเครื่องหมายบริการของโจทก์นั้น เป็นเรื่องหลักเกณฑ์และ
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ความเห็นของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับประเทศนั้นๆ ในการพิจารณารับจดทะเบียนเครื่องหมายต่าง ๆ ไม่อาจ นำมาเป็นเหตุผลให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าต้องรับจดทะเบียนเครื่องหมายบริการของโจทก์ โดยไม่ต้อง พิจารณาถึงหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ แต่อย่างใด กรณีจึงเป็นอันรับฟังได้ว่า เครื่องหมายบริการคำว่า "SOUTH AFRICAN AIRWAYS" ของโจทก์ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ฎีกาที่ 4128/2550 หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ ซึ่งทำขึ้นก่อนฟ้อง หลังจากนายทะเบียน เครื่องหมายการค้ามีคำสั่งปฏิเสธการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์และคณะกรรมการ เครื่องหมายการค้ามีคำวินิจฉัยยืนตาม ได้มอบอำนาจไว้อย่างกว้างขวางและระบุไว้ชัดเจนว่าโจทก์มอบอำนาจ ให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีต่อสู้คดีทางอาญา และทางแพ่งอันเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า ของโจทก์ในศาลได้ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงเป็นการมอบอำนาจแก่ผู้ดำเนินคดีนี้แทนโจทก์แล้วการฟ้อง คดีขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ายืน ตามคำสั่งของนายทะเบียน ไม่มีบทบัญญัติใน พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ หรือในกฎหมายใดบัญญัติให้โจทก์ ต้องฟ้องคดีภายใน 90 วัน นับแต่ทราบคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้อง ภายหลังกำหนดดังกล่าวได้โจทก์ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นสาระสำคัญสอง ส่วน คือคำที่เป็นตัวอักษรโรมันสองคำรวมกันในลักษณะประดิษฐ์ คือคำว่า POPCORN อ่านว่า ป๊อบคอร์น แปลว่า ข้าวโพดคั่ว และคำว่า CHICKEN อ่านว่า ชิคเคน แปลว่าไก่ เมื่อรวมคำกันแล้วแปลว่า ไก่ข้าวโพดคั่ว เพื่อใช้กับสินค้าจำพวก 29 รายการสินค้า 18 รายการ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ เน้นที่สัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีไก่เป็นส่วนผสม คำว่า POPCORN CHICKEN อาจจัดอยู่ในความหมายของสินค้า รายการที่ 1) เนื้อสัตว์ 2) ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ 4) สัตว์ปีกไม่มีชีวิต 5) ผลิตภัณฑ์ทำจากสัตว์ปีก และ 6) สัตว์ล่าไม่มีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้ารายการที่ 17) อาหารที่มีไก่เป็นส่วนผสม ทั้งเมื่อพิเคราะห์เฉพาะคำ ว่า POPCORN มีความหมายเดียวกันกับสินค้ารายการที่ 9) ผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธี และที่ 10) ผักที่ผ่านกรรมวิธี ส่วนลำพังคำว่า CHICKEN ก็เป็นคำสามัญในการค้าขายสินค้าตามรายการข้างต้น เครื่องหมายการค้า POPCORN CHICKEN เมื่อจะนำไปใช้กับสินค้าต่าง ๆ ตามความประสงค์ของโจทก์ดังที่แสดงออกไว้ในคำขอจด ทะเบียน จึงนับได้ว่ามุ่งประสงค์ที่จะให้เล็งถึงลักษณะของสินค้าโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้ารายการที่ 17) อาหารที่มีไก่เป็นส่วนผสม จึงไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสอง (2) ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียนตามมาตรา 6 (1) หากยอมรับให้จดทะเบียนคำที่เล็งถึงลักษณะของ สินค้าโดยตรงเช่นนี้ได้ย่อมจะทำให้โจทก์ผูกขาดการใช้คำสามัญที่แสดงลักษณะของการนำพืชหรือสัตว์มาทำ การแปรรูปเป็นอาหาร อันเป็นการกีดกันสิทธิของบุคคลทั่วไปที่จะใช้คำเหล่านั้นโดยชอบเกี่ยวกับการค้าของตน ฎีกาที่ 2043/2552 คำว่า UNDER WATER WORLD ได้จดทะเบียนการค้าเกี่ยวกับบริการ นิทรรศการทางทะเลและน้ำจืด ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าคำนี้ได้เล็งถึงการบริการนั้นโดยตรง ไม่มีลักษณะบ่ เฉพาะจึงไม่สามารถที่จะจดทะเบียนได้ ฎีกาที่ 570/2552 COOKIE CRISP ที่แปลว่าคุกกี้กรอบ โดยโจทก์มาทำการจดทะเบียนการค้าขนม คุกกี้ที่มีลักษณะแบน ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าคำนี้เป็นคำที่เล็งถึงลักษณะของขนมคุกกี้ ไม่มีลักษณะที่บ่งเฉพาะ ตามอนุมาตรา 2
6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 1.2 เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 8 ซึ่งมาตรานี้ประเด็นที่ออกข้อสอบบ่อย จะอยู่ในมาตรา 8 (9) อันว่าด้วยเครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่ง หากมีลักษณะต้องห้ามดังนี้แล้ว ก็ถือว่าถูกต้องห้ามไม่ให้รับการจดทะเบียน โดยในประเด็นนี้ ปัจจุบันมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่กับกรณีของเครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบ เรียบร้อยนี้ในความเห็นแรก เห็นว่า ควรพิจารณาเฉพาะแต่ตัวเครื่องหมายเท่านั้น ไม่ต้องพิจารณาว่าหากนำ งานลิขสิทธิ์หรืองานของผู้อื่นมาจดทะเบียนแล้วจะต้องห้ามหรือไม่ ส่วนความเห็นที่สองเห็นว่าการนำงาน ลิขสิทธิ์หรืองานของผู้อื่นมาจดทะเบียนนั้น ก็ย่อมถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งศาลฎีกาในระยะ หลังๆจะวินิจฉัยไปในแนวทางของความเห็นที่สอง กล่าวคือ หากมีการนำงานลิขสิทธิ์หรืองานของผู้อื่นมาจด ทะเบียน ก็ย่อมถือว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้วตามมาตรา 8 (9) ฎีกาที่ 4588/2552 การนำงานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่นมาใช้เป็นเครื่องหมายการค้า แม้จะไม่ ปรากฏข้อห้ามในกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าโดยตรง แต่ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 8 ได้บัญญัติห้ามมิให้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะของเครื่องหมายที่ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐประศาสโนบาย เมื่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย ว่าด้วยลิขสิทธิ์ต้องการที่จะให้ความคุ้มครองแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วย เครื่องหมายการค้าก็มุ่งที่จะให้ความคุ้มครองแก่บุคคลผู้กระทำการโดยสุจริตเป็นสำคัญ ดังนั้น การที่บุคคลใด ทำซ้ำหรือดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่นโดยวิธีใด ๆ อันไม่สุจริต และนำไปใช้เป็นเครื่องหมายการค้า ของตน ย่อมเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชน หรือรัฐประศาสโนบาย ตัวอย่างข้อสอบ กรณีการนำงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นไปจดเป็นเครื่องหมายทางการค้า โดยนางสาวส้มได้วาดภาพ ลายเส้นอาทิตย์และมีการเขียนคำๆหนึ่งลงไป ต่อมานายเดนำภาพลายเส้นของนางสาวส้มไปจดทะเบียน เครื่องหมายการค้า นางสาวส้มร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของนายเด นายเดให้การ ต่อสู้ว่านางสาวส้มไม่มีสิทธิอ้างงานลิขสิทธิ์อันเป็นเหตุให้สามารถระงับการจดทะเบียนได้แต่อย่างใด ซึ่งธง คำตอบของข้อนี้ คือ มาตรา 8 (9) กำหนดว่าห้ามไม่ให้รับจดทะเบียนเครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีหรือรัฐศาสโนบาย การที่นายเดนำภาพลายเส้นซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของนางสาวส้มไปจด เป็นเครื่องหมายการค้า จึงต้องห้ามตามมาตรา 8 (9) และมาตรา 6 (2) ซึ่งหากว่ามีการจดทะเบียนไปแล้ว ก็ จะต้องมีการเพิกถอนตามมาตรา 61 (2) กรณีเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 8 นั้น นอกจากอนุมาตรา 9 แล้วนั้นก็ยังมี อนุมาตราอื่นๆอีก เช่น อนุมาตรา 10 อันว่าด้วยเครื่องหมายที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปหรือ WELL-KNOWN MARK อันถือว่าเป็นกรณีต้องห้าม แม้ว่าจะเป็นสินค้าต่างจำพวกก็ตามก็เป็นอันต้องห้ามเช่นกัน ฎีกาที่ 2047/2552 คำว่า “ACCORD” ของบริษัทฮอนด้าที่มีการจดทะเบียนเพื่อใช้กับรถยนต์โดย มีผู้ค้ารายอื่นนำคำเดียวกันนี้ไปจดทะเบียนกับสินค้าพัดลม จึงเกิดปัญหาว่าถือว่าต้องห้ามตามมาตรา 8 (10)
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง นี้หรือไม่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ คำว่า ACCORD ของบริษัทฮอนด้านั้น ถือว่าเป็น WELL-KNOWN MARK หรือไม่ โดยศาลฎีกามองว่า คำว่า ACCORD นี้ยังไม่ถือว่าเป็น WELL-KNOWN MARK แต่อย่างใด เพราะเป็น เพียงชื่อรุ่นของรถยนต์เท่านั้น ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อรถที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ดังนั้น จึงสามารถนำคำนี้ไปจด ทะเบียนกับสินค้าพัดลมได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 8 (10) ฎีกาที่ 385/2549 คำว่า ROZA เป็นสาระสำคัญของเครื่องหมายการค้าทั้งในลักษณะของภาษา เขียนและภาษาพูด โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าย่อมมุ่งหวังให้สาธารณชนรู้จักด้วยการอ่านและออก เสียง เสียงอ่านของคำว่า ROZA เป็นสำเนียงไทยว่า โรซ่า เมื่อพิจารณาคำว่า ROZA ของโจทก์กับคำว่า ROSA จะเห็นว่ามีอักษรโรมัน 4 ตัวเรียงกัน คงแตกต่างกันเฉพาะตัวที่ 3 คือ ตัว Z กับตัว S เท่านั้น ที่สำคัญคือ ตัวอักษรที่เป็นสระและมีผลต่อการออกเสียงคือตัว O และตัว A ทั้ง 2 คำใช้เหมือนกันและอ่านออกเสียงเป็น 2 พยางค์เช่นกัน ส่วนตัว S และ Z นั้น แม้จะเขียนแตกต่างกัน แต่การออกเสียงเป็นสำเนียงไทยก็คล้ายคลึงกัน มาก ทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในเครื่องหมายการค้าทั้งสองได้โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า ROZA สำหรับสินค้าประเภทซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ปลากระป๋อง น้ำมะเขือเทศ ส่วนเครื่องหมายการค้าคำ ว่า ROSA จดทะเบียนใช้กับสินค้าประเภทกาแฟ ชา ลูกกวาด น้ำผึ้ง เค้ก เมื่อเครื่องหมายการค้าคำว่า ROZA เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปตามนัยมาตรา 8 (10) ของ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แม้จะเป็นการจดทะเบียนกับสินค้าต่างจำพวกกับที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้ โจทก์ก็มีสิทธิที่จะร้องขอให้ เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเสียได้ ฎีกาที่ 3920/2551vโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมาย การค้าจำเลย และมีคำสั่งให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าถอนคำสั่งรับจดทะเบียน และปฏิเสธไม่รับจด ทะเบียน จึงเป็นเรื่องของการฟ้องเพื่อให้ยกเลิกคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า หาได้เป็นการ ฟ้องเพื่อบังคับให้จำเลยดังกล่าวต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวแต่อย่างใดไม่ การที่จำเลยดังกล่าวจะได้ดำเนินการใด ๆ โดยส่วนตัวหรือไม่ อย่างไรนั้น จึงไม่มีผลต่อคำพิพากษาของศาล นอกจากนี้การที่คณะกรรมการเครื่องหมาย การค้าไม่มีสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมาย และโจทก์ฟ้องจำเลยอื่น ๆ ซึ่งเป็นกรรมการของคณะกรรมการ เครื่องหมายการค้า ก็เป็นเรื่องที่กฎหมายเปิดช่องให้กระทำได้ ฝ่ายจำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างเหตุที่จำเลย ดังกล่าวไม่ได้เข้าร่วมประชุมมาปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ได้จดทะเบียน เครื่องหมายการค้าที่มีคำว่า "INTEL" (อินเทล) ไว้หลายคำขอซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำว่า "INTEL" แต่เพียงคำเดียว ดังนั้น เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "INTEL Lip" แล้วจะเห็นว่า เครื่องหมายการค้าทั้ง สองเครื่องหมายต่างเป็นอักษรโรมัน มีจำนวนตัวอักษรที่เหมือนกันและอยู่ในลำดับเดียวกันถึง 5 ตัว คือ I, N, T, E, L โดยเครื่องหมายการค้าคำว่า "INTEL Lip" จะมีตัวอักษรโรมันเพิ่มเติมอีก 3 ตัว เป็นคำต่อท้ายคือ L, i และ p ซึ่งอักษรโรมัน 5 ตัวแรกนั้นมีลักษณะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่คล้ายกับอักษรโรมันในเครื่องหมายการค้าของ โจทก์ ส่วนอักษรโรมันอีก 3 ตัวนั้น มีลักษณะเป็นตัวเขียน ลักษณะของคำจึงมีความคล้ายกัน ในส่วนของเสียง เรียกขานนั้น อาจพิจารณาได้ว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็น 1 คำ อ่านออกเสียงได้ 2 พยางค์ คือ "อินเทล" ส่วนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ 387379 เป็นคำ 2 คำ อ่านออกเสียงได้ 3 พยางค์ คือ "อิน - เทล-ลิบ" ทำให้เสียงเรียกขานของเครื่องหมายการค้าทั้งสองเครื่องหมายเหมือนกันใน 2 พยางค์แรก ซึ่งเป็น
8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตำแหน่งที่สำคัญและสาธารณชนส่วนใหญ่จะจดจำได้มากที่สุด จึงถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า " INTEL" (อินเทล) ของโจทก์คล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "INTEL Lip" ตามคำขอเลขที่ 387379 แม้เครื่องหมาย การค้าของโจทก์มีคำอื่น เช่น inside, INSIDE, Proshare หรือ TEAMSTATION อยู่ด้วยนั้น ก็เป็นภาคส่วนใน เครื่องหมายการค้าอื่น ๆ ของโจทก์เท่านั้นวัตถุประสงค์ให้การคุ้มครองแก่เครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียง แพร่หลายทั่วไปนั้น เพราะเครื่องหมายการค้าดังกล่าวมีการใช้มานานจนเป็นที่แพร่หลายทั่วไปและอาจจะต้อง เสียค่าใช้จ่ายอย่างสูงในการดำเนินกิจการตลอดจนการโฆษณาประชาสัมพันธ์จนทำให้เครื่องหมายการค้านั้น เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไป ดังนั้น หากมีการนำเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่มี ชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปดังกล่าวไปใช้กับสินค้าต่างจำพวกกัน ก็อาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดใน ความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ กฎหมายจึงไม่อนุญาตให้มีการกระทำเช่นนั้น ฎีกาที่ 5168/2548 เครื่องหมายการค้า และเครื่องหมายการค้าคำว่า "ROLEX" ของโจทก์เป็น เครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปสำหรับสินค้านาฬิกาและอุปกรณ์ชิ้นส่วนนาฬิกา สินค้านาฬิกา และอุปกรณ์ชิ้นส่วนนาฬิกาของโจทก์เป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี มีชื่อเสียงในการบอกเวลาที่เที่ยงตรงและมีความ ทนทานแต่มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับนาฬิกาที่ใช้เครื่องหมายการค้าอื่น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องมีฐานะทาง การเงินดีจึงจะสามารถซื้อสินค้านาฬิกาของโจทก์ได้ ความมีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปของนาฬิกายี่ห้อโรเล็กซ์ เป็นเหตุให้มีผู้ผลิตสินค้านาฬิกาโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "ROLEX" ปลอมออกขายหลายราย แต่ไม่ ปรากฏว่ามีผู้ใดผลิตสินค้านาฬิกาโดยใช้เครื่องหมายการค้าที่เลียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "ROLEX" ออกขาย แสดงให้เห็นว่าหากนาฬิกานั้นใช้เครื่องหมายการค้าที่ไม่เหมือนกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "ROLEX" ผู้ซื้อย่อม สังเกตเห็นได้โดยง่ายว่าสินค้านาฬิกานั้นไม่ใช่สินค้าของโจทก์ ไม่อาจสับสนหลงผิดว่าเป็นสินค้านาฬิกาที่มี ชื่อเสียงของโจทก์ นอกจากนี้เครื่องหมายการค้าที่บริษัทโซเล็กซ์อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่จำเลย เป็นกรรมการผู้จัดการได้ยื่นคำขอจดทะเบียนนั้น ใช้กับสินค้าเครื่องประดับทำจากบรอนซ์หรือโลหะมีค่าจำเลย มิได้ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้านาฬิกาแต่อย่างใด ดังนี้การยื่นขอจดทะเบียนของจำเลย จึงไม่มีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยมีเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และเจตนาจะผลิตสินค้านาฬิกา เช่นเดียวกับโจทก์เพื่อให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า หากแม้ จำเลยจะใช้เครื่องหมายการค้า กับสินค้านาฬิกาแล้วนำสินค้านาฬิกานั้นออกจำหน่ายก็ไม่มีเหตุผลให้เชื่อว่าผู้ ซื้อนาฬิกานั้นจะสับสนหลงผิดว่าเป็นสินค้าของโจทก์เพราะประชาชนทั่วไปทราบดีว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า "SOLEX" เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงสำหรับสินค้ากุญแจ ส่วนเครื่องหมายการค้าคำว่า "ROLEX" เป็น เครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปสำหรับสินค้านาฬิกา กรณีไม่ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียนตาม บทบัญญัติมาตรา 8 (10) แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้บังคับจำเลยถอนคำขอจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้า ได้ ตัวอย่างข้อสอบเนติบัณฑิต สมัยที่ 61 บริษัทหนึ่งจดคำว่า WASHINGTON กับสินค้า APPLE ปี พ.ศ. 2544 (เหตุที่โจทก์กำหนดปีมาให้ เนื่องจากต้องการหลอกว่า จะต้องเพิกถอนภายใน 5 ปีหรือไม่) นายวิทย์ร้องต่อคณะกรรมการให้เพิกถอนโดย อ้างเหตุมาตรา 61 (1) เพราะคำว่า WASHINGTON เป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะตาม 7 (2)
9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จึงไม่สามารถที่จะจดทะเบียนคำนี้ได้ เหตุที่สองนั้นอ้างว่า WASHINGTON เป็นชื่อรัฐต่างประเทศ ตามมาตรา 8 (6) อันถือว่าต้องห้าม ต้องเพิกถอนตามมาตรา 61 (2) และอีกประเด็นหนึ่งคือ ประเด็นของระยะเวลาที่เพิก ถอน เนื่องจากมีการร้องขอให้เพิกถอนในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นไปตามมาตรา 61 อันไม่มีกำหนด ระยะเวลาในการเพิกถอนเอาไว้ ดังนั้น แม้จะเกินระยะเวลากว่า 5 ปีไปแล้ว ก็ย่อมสามารถที่จะทำการเพิกถอนได้อยู่ กล่าวโดยสรุป คดีนี้ แม้ว่าจะเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์อันต้องห้าม ตามมาตรา 7 (2) แต่มาตรา 7 วรรค ท้ายยังได้กำหนดถึงลักษณะบ่งเฉพาะจากการใช้เอาไว้ด้วย หากว่ามีการใช้อย่างแพร่หลายไปแล้ว ก็สามารถที่ จะเข้าข้อยกเว้นได้ ดังนั้นกรณีนี้จึงสามารถที่จะจดทะเบียนได้ ส่วนประเด็นที่สองอันว่าด้วยชื่อรัฐต่างประเทศ นั้น ธงคำตอบได้ให้คำตอบไว้ว่า ชื่อ WASHINGTON นั้น เป็นเพียงชื่อมลรัฐของสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ชื่อของรัฐ ต่างประเทศแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นเครื่องหมายต้องห้ามตามมาตรา 8 (6) เพิกถอนไม่ได้ตามมาตรา 61 (2) 1.3 เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นๆที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วไม่ว่า จะใช้สินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน หรือ 1.4 เป็นเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว จนอาจ ทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ไม่ว่าจะใช้กับสินค้าจำพวก เดียวกันหรือต่างจำพวกที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน 2. เป็นเครื่องหมายการค้าที่ขัดต่อกฎหมาย ตามมาตรา 62 กล่าวคือ เป็นเครื่องหมายการค้าที่ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐประศาสโนบาย ตามมาตรา 8 (9) 3. เจ้าของเครื่องหมายการค้าไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้าตามมาตรา 63 กรณีนี้จะมีหลักการอยู่คือ กฎหมายป้องกันไม่ให้บุคคลใดจดทะเบียนกันท่ามิให้บุคคลอื่นใช้ กล่าวคือ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแต่ ตนกลับไม่ใช้เครื่องหมายนั้น ซึ่งหลักเกณฑ์ของมาตรา 63 นั้น จะมีอยู่ 2 กรณีด้วยกัน คือ 1. ก่อนจดทะเบียน เจ้าของไม่ได้ตั้งใจโดยสุจริตที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้า และ 2. หลังจากจดทะเบียนแล้วไม่ได้มี การใช้โดยสุจริต 3 ปีก่อนร้องขอให้เพิกถอน แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ คือ มีพฤติการณ์พิเศษที่ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ใช้ เครื่องหมายการค้านั้น เช่น จดทะเบียนในประเทศไทย แต่รัฐบาลของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นห้ามส่ง สินค้ามา เป็นต้น การเพิกถอนโดยศาล 1. เครื่องหมายการค้ากลายเป็นสิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขาย ตามมาตรา 66 (ประเด็นนี้ไม่ค่อยออก สอบเท่าใดนัก) สำหรับสินค้าบางอย่างที่เครื่องหมายการค้านั้น ถูกเรียกแทนตัวสินค้าไปแล้ว ก็ถือว่าสูญเสีย ลักษณะบ่งเฉพาะไป เมื่อเครื่องหมายสูญเสียลักษณะบ่งเฉพาะก็จะต้องเพิกถอนตามมาตรา 66 นี้ซึ่งมาตรานี้ เป็นกรณีที่ตอนเริ่มจดทะเบียนนั้นมีลักษณะบ่งเฉพาะอยู่ แต่เมื่อใช้ไปนานๆแล้ว กลับสูญเสียลักษณะบ่งเฉพาะ กลายเป็นชื่อเรียกสินค้าไป เช่น การเรียกผงซักฟอกว่า “แฟ้บ” หรือ เรียกเครื่องถ่ายเอกสารว่า “ซีร็อก” เป็นต้น ฎีกาที่ 2323/2538 ในเรื่องการเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 41 (2) แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์อ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิบัญญัติ ว่า ทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นศาลอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนได้เมื่อผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องและแสดงได้ว่า
10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เครื่องหมาย-การค้านั้นในบัดนี้เป็นสิ่งสามัญในการค้าขาย ปรากฏว่ามีสินค้าหลายชนิด เช่น น้ำยาปรับอุณหภูมิ หม้อน้ำรถยนต์ ยาสระผม ยาสีฟัน น้ำยาฉีดเท้า น้ำยาหลังโกนหนวดใช้คำว่า COOL รวมอยู่กับถ้อยคำอื่นเพื่อ ต้องการบอกให้ผู้บริโภครู้ว่าเมื่อใช้สินค้านั้นแล้วจะเกิดความเย็นขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพียงคำโฆษณา สรรพคุณของสินค้าเท่านั้น ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนคำว่า COOL ของจำเลยได้ กลายเป็นสิ่งสามัญในการค้าขายไปแล้ว โจทก์จึงไม่อาจขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย การที่นายทะเบียนจะสั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนปฏิเสธว่าไม่ขอถือเป็นสิทธิของตนแต่ผู้เดียวที่จะใช้ส่วนหนึ่งหรือ หลายส่วนแห่งเครื่องหมายการค้านั้นมีได้ 2 กรณี คือ เมื่อเห็นว่าเครื่องหมายการค้านั้นมีสิ่งที่ใช้กันสามัญใน การค้าขายหรือเครื่องหมายการค้านั้นมีลักษณะไม่บ่งเฉพาะว่าเป็นของสินค้านั้น ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะยื่นคำขอจดทะเบียน ฎีกาที่ 706/2560 จะว่าด้วยกรณีของอำนาจในการเพิกถอน ในมาตรา 66 อันว่าด้วยกรณีที่สูญเสีย ลักษณะบ่งเฉพาะนั้น หมายความว่า ขณะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นมีลักษณะบ่งเฉพาะ แต่เมื่อใช้ไป นานๆเครื่องหมายนั้นสูญเสียลักษณะบ่งเฉพาะจึงต้องเพิกถอนตามมาตรา 66 และสามารถทำการฟ้องร้องต่อ ศาลได้ แต่หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะจดทะเบียนนั้น เครื่องหมายไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะแล้ว อันเป็นอำนาจ ของคณะกรรมการเครื่องหมายทางการค้าตามมาตรา 61 (1) ไม่ใช่มาฟ้องร้องที่ศาลตามมาตรา 66 1. กรณีอ้างว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าอีกฝ่ายตามมาตรา 67 ซึ่งประเด็นนี้มีการ พิพาทกันในศาลค่อนข้างมาก ว่าใครมีสิทธิดีกว่าหรือใครเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั่นเอง โดยมีหลักการที่ เหมือนกับเรื่องของสิทธิบัตรเลย ก็คือ ผู้ที่ยื่นขอจดทะเบียนก่อนย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้ยื่นขอจดในภายหลัง ซึ่ง หลักการนี้อยู่ในมาตรา 20 แต่ก็มีเงื่อนไขว่า ผู้ที่ไปยื่นจดทะเบียนนั้น จะต้องเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า และจะต้องเป็นคนที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นมาก่อนด้วย หลักเกณฑ์ตามมาตรา 67 กรณีที่จะอ้างว่าตนมีสิทธิดีกว่า ที่สามารถฟ้องเพิกถอนตามมาตรา 67 นี้ได้นั้น จะต้องอ้างว่าตนนั้นมี สิทธิดีกว่าผู้ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ แม้ว่าผู้ฟ้องนั้นจะจดทะเบียนหรือไม่ก็ตาม เพียงแต่พิสูจน์ได้ว่า ตนมีสิทธิดีกว่า คนที่จดทะเบียนไปแล้ว ก็ย่อมสามารถที่จะฟ้องเพิกถอนได้ ตามมาตรา 67 เหตุผลที่มีการบัญญัติมาตรานี้ขึ้น ก็เนื่องจากแต่เดิมนั้นผู้ที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าต่างประเทศ มักจะมาให้คนไทยผลิตสินค้าในประเทศ ไทย และติดสินค้าเป็นเครื่องหมายการค้านั้นๆ เมื่อผู้เป็นเจ้าของเดิมไม่ยอมจดทะเบียน ผู้รับผลิตนั้นกลับนำ เครื่องหมายการค้านั้นไปจดทะเบียนเสียเอง กรณีเช่นนี้ ก็ถือว่าผู้รับผลิตสินค้าที่นำเครื่องหมายการค้าไปจดนั้น ไม่มีสิทธิดีกว่า เพราะผู้เป็นเจ้าของเดิมที่จ้างทำของนั้น เป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นมาก่อน โดยหลักเกณฑ์ของการเพิกถอนตามมาตรา 67 นั้น มีดังนี้ 1. ผู้ที่ใช้เครื่องหมายการค้ามาก่อนเป็นผู้มีสิทธิดีกว่า 2. ไม่จำต้องมีสินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก็มีสิทธิดีกว่าได้ 3. กรณีที่มีเครื่องหมายการค้าที่คล้ายคลึงกัน ก็ถือว่ามีสิทธิดีกว่าด้วย
11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 4.กรณีที่มีสิทธิดีกว่าเฉพาะสินค้าบางอย่าง ก็ให้เพิกถอนได้เฉพาะสินค้าที่ตนมีสิทธิดีกว่าเท่านั้น กล่าวคือ หากใช้กับสินค้าใดมาก่อน ก็ถือว่ามีสิทธิดีกว่าเฉพาะสินค้าตัวนั้นๆ เพิกถอนได้เฉพาะสินค้าที่จด ทะเบียนนั้นเท่านั้น 5.มาตรา 67 นี้จะต้องทำเป็นคำฟ้องไม่ใช่คำร้องขอ 6. ระยะเวลาฟ้องเพิกถอนมีระยะเวลา 5 ปี(ไม่ใช่อายุความ) แต่อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาได้ขยายจำพวกสินค้านี้ออกไปอีก โดยศาลฎีกาได้ขยายความว่า แม้ เครื่องหมายการค้าโจทก์จะใช้กับสินค้าคนละรายการกับสินค้าของจำเลย แต่การใช้เครื่องหมายการค้าของ จำเลยนั้นทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าที่ผลิตโดยโจทก์ โจทก์ก็ย่อมสามารถที่จะฟ้องเพิกถอนได้ ฎีกาที่ 884/2536 โจทก์และจำเลยต่างแย่งกันจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งมีลักษณะเหมือน หรือเกือบเหมือนกัน แม้จำเลยจะได้ถูกนายทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนตามบทกฎหมายก็ถือได้เพียงว่า จำเลยมิได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าตามนิตินัยต่อไปเท่านั้น แต่เมื่อจำเลยยังคงใช้เครื่องหมายการค้านั้น อยู่ จำเลยจึงเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าโดยพฤตินัย เมื่อทั้งโจทก์และจำเลยต่างใช้และเป็นเจ้าของ เครื่องหมายการค้าพิพาทโดยพฤตินัยมาด้วยกัน แต่จำเลยใช้มาก่อนย่อมมีสิทธิดีกว่า เครื่องหมายการค้าที่ไม่ ต่ออายุการจดทะเบียนจนนายทะเบียนเพิกถอนเครื่องหมายการค้าเสียจากทะเบียนนั้น ทำให้ผู้เป็นเจ้าของ เครื่องหมายการค้าไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนเท่านั้น แต่สิทธิในเครื่องหมาย การค้าที่ไม่จดทะเบียนยังคงมีอยู่ ฎีกาที่ 9277/2547 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้ง สองในเครื่องหมายการค้านั้นตั้งแต่ในขณะที่ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ใช้บังคับอยู่ดังนี้ การฟ้อง ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 จึงอยู่ในบังคับอายุความทั่วไป 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิม และบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 41 (1) ซึ่งเป็น บทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ทั้งสองถูกโต้แย้งสิทธิ ไม่ต้องฟ้องภายในระยะเวลาการฟ้องคดี 5 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 67 แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมาย การค้า พ.ศ. 2534 ฝ่ายโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "โต๊ะกัง" และ "ตั้งโต๊ะกัง" ที่เป็นภาษาไทย จีน และอังกฤษ ซึ่งเขียนว่า "TOH KANG" และ "TANG TOH KANG" มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษของโจทก์ที่ 2 โดยใช้กับสินค้าจำพวกทองคำ คำดังกล่าวเป็นคำที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ไม่ได้มีความหมายว่าทองคำหรือ เกี่ยวข้องกับทองคำแต่อย่างใด หากแต่เป็นชื่อสกุลของบรรพบุรุษของฝ่ายโจทก์ที่ประกอบกิจการค้าทองคำ ติดต่อกันมาตั้งแต่ก่อนปี 2464 เป็นเวลากว่า 80 ปีแล้ว และยังใช้คำว่า "ตั้งโต๊ะกัง" เป็นชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด โจทก์ที่ 1 ตลอดมาด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 เพิ่งมาประกอบกิจการร้านทองในลักษณะเดียวกับโจทก์ทั้งสองเมื่อปี 2515 และต่อมาในปี 2531 ถึงปี 2532 จำเลยที่ 1 จึงได้นำคำว่า "โต๊ะกัง" เป็นภาษาไทย คำว่า "โต๊ะกัง" เป็นอักษรภาษาไทยและจีนรวมกัน คำว่า "โต๊ะกังบุ้นกี่" เป็นอักษรภาษาไทยและจีนรวมกัน คำว่า "TOA KANG" เป็นอักษรภาษาอังกฤษ กับคำว่า "โต๊ะกังเยาวราช" เป็นอักษรภาษาไทยไปยื่นคำขอจดทะเบียนเป็น เครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกเงิน ทอง นาก และอัญมณี ดังนี้ เห็นได้ว่า เครื่องหมายการค้าที่ จำเลยที่ 1 นำไปยื่นคำขอจดทะเบียนไว้นั้น ทุกเครื่องหมายจะมีคำว่า "โต๊ะกัง" แสดงว่าสาระสำคัญหรือ
12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ลักษณะเด่นของเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 อยู่ที่คำว่า "โต๊ะกัง" หาใช่อยู่ที่คำว่า "บุ้นกี่" หรือ "เยาวราช" ซึ่งเป็นเพียงส่วนประกอบไม่ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 จึงเหมือนหรือคล้ายกับ เครื่องหมายการค้า คำว่า "โต๊ะกัง" ที่เป็นภาษาไทย จีนและอังกฤษของโจทก์ทั้งสองจนอาจทำให้สาธารณชน สับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดสินค้า เป็นการจดทะเบียนโดยไม่สุจริต เมื่อโจทก์ ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลยที่ 1 แม้โจทก์ทั้งสองจะมิได้จดทะเบียนต่ออายุ เครื่องหมายการค้าดังกล่าวก็ตาม ก็ไม่ทำให้สิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทั้งสองที่ใช้ติดต่อกันมาโดย ตลอดเสียไปแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองย่อมฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ได้จำเลยทั้งสองนำชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้งสองใช้เป็นชื่อห้างย่อมทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดว่า สถานประกอบการค้าทองของจำเลยทั้งสองเป็นสถานประกอบการค้าทองของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นสถาน ประกอบการค้าทองที่โจทก์ทั้งสองมีส่วนรวมอยู่ด้วย เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการสับสน หรือหลงผิดดังกล่าวได้เช่นกัน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสองให้ใช้ชื่อทางการค้าคำว่า "โต๊ะ กัง" เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิในชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้ง สอง โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเนื่องจากการใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้ง สองโดยไม่ชอบนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 18 และ 420 ฎีกาที่ 926/2539 โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ากับสินค้าจำพวก10ซึ่งเป็นสินค้าเกี่ยวกับ เครื่องบอกเวลาในประเทศไทยตั้งแต่ปี2494เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นรูปมงกุฎห้ายอดบนยอดมงกุฎ แต่ละยอดมีจุดกลมสีดำใต้มงกุฎมีอักษรโรมันคำว่า ROLEX (โรเล็กซ์) ส่วนจำเลยเพิ่งจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้ากับสินค้าจำพวก39รายการดินสอและสินค้าจำพวก39ทั้งจำพวกเมื่อปี2524 และปี2526โดย เครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นรูปมงกุฎห้ายอดมีจุดกลมสีดำอยู่บนมงกุฎเช่นเดียวกัน ใต้มงกุฎต่างมีอักษร โรมันคำว่า Lolex ซึ่งมีลักษณะตัวอักษรคล้ายคลึงกันทั้งยังอ่านออกเสียงคล้ายคำว่า "โรเล็กซ์" ด้วยเมื่อ พิจารณารวมทั้งหมดจึงคล้ายคลึงกันมาก แม้จำเลยจะจดทะเบียนในสินค้าต่างจำพวกกับสินค้าของโจทก์ก็นับ ได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้หลงผิด เพราะผู้ซื้อหรือผู้ใช้สินค้าอาจหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าที่ โจทก์ผลิตขึ้น แม้จำเลยจะยังมิได้นำสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวออกจำหน่าย แต่การที่จำเลยนำ เครื่องหมายการค้าดังกล่าวไปจดทะเบียนถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ทำให้โจทก์เสียหายโจทก์จึงมีสิทธิ ห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวต่อไปได้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้ามานานกว่า 80 ปีและได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้แล้วทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไทยเป็นการอ้างว่าโจทก์มี สิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยผู้ได้จดทะเบียนไว้ในประเทศไทย จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าของจำเลย เป็นการใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2474 มาตรา 41(1) นอกเหนือจากการที่เคยใช้สิทธิโต้แย้งต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตามมาตรา22ไว้แล้วโจทก์ ย่อมมีอำนาจฟ้อง ฎีกาที่ 2108/2538 เครื่องหมายการค้าที่โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้และของจำเลยที่ได้รับการจด ทะเบียนไว้มีคำในอักษรโรมัน และอักษรไทยรวมทั้งสำเนียงเรียกขานคล้ายคลึงกันมาก หากไม่ได้สังเกตอย่าง รอบคอบโดยถี่ถ้วนย่อมหลงผิดได้ว่าเป็นเครื่องหมายการค้าอย่างเดียวกัน เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของ
13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำเลยต่างเป็นคำที่ประดิษฐ์ขึ้นเองโดยไม่มีคำแปล จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าขึ้นเอง จนคล้ายคลึงกับของโจทก์ซึ่งใช้มาก่อน โดยไม่ได้เจตนาการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลย แม้จำเลยจะจดทะเบียนไว้แล้วและโจทก์ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนใน ประเทศไทย โจทก์ก็ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา41 (1) โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับ สินค้าจำพวกที่ 42 ประเภทอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งซึ่งประกอบด้วย เนื้อเป็ด ไก่ ปลา และผักแม้จะแตกต่างกับ สินค้าของจำเลย ซึ่งเป็นลูกกวาด ขนมปังกรอบ ขนมปังช็อกโกแล็ต และนมแต่ก็อยู่ในจำพวกที่ 42 และถือว่า เป็นสินค้าประเภทอาหารด้วย ผู้ซื้อสินค้าอาจเข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายเดียวกันได้ถือว่าจำเลย ใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยไม่สุจริต โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน ในประเทศไทย เมื่อไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าจำเลยได้ลวงขายสินค้าของจำเลยต่อสาธารณชนว่าเป็นของ โจทก์จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามมาตรา 29 วรรคสองได้ แม้โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมาย การค้าพิพาทดีกว่าจำเลย แต่เมื่อยังไม่ได้รับการจดทะเบียนจึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ห้ามจำเลยมิให้ใช้เครื่องหมาย การค้านั้นตามมาตรา 29 วรรคแรก ทั้งโจทก์มิได้ฟ้องนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าด้วย จึงไม่อาจพิพากษา บังคับนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ได้และเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5), 246 และ 247 ฎีกาที่ 1970/2559 พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 67 วรรคหนึ่ง บัญญัติ ว่าภายในห้าปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใดตามมาตรา 40 ผู้มีส่วนได้ เสียอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ หากแสดงได้ว่าตนมีสิท ธิใน เครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น ดังนั้น การร้องขอหรือฟ้องให้ ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าทั้งสองเครื่องหมายของจำเลย จึงต้องกระทำภายในห้าปีนับแต่ วันที่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าทั้งสองเครื่องหมาย เมื่อ เครื่องหมายการค้าทะเบียนเลขที่ ค204838 และเลขที่ ค212584 ของจำเลย นายทะเบียนเครื่องหมาย การค้ามีคำสั่งให้จดทะเบียนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2547 และ 18 มกราคม 2 58 ตามลำดับ โจทก์ฟ้องคดี นี้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2554 เกินกว่าห้าปีนับแต่วันที่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งให้จด ทะเบียนเครื่องหมายการค้าทั้งสอง เครื่องหมายแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าทั้งสองเครื่องหมายของจำเลยคดีนี้ ปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาข้อ กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้า ระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้า ระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ( 5 ) ฎีกาที่ 2179/2559 เมื่อพิจารณาภาพรวมของเครื่องหมายการค้าของจำเลยและของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าเครื่องหมายการค้า ที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนไว้สำหรับใช้กับสินค้าจำพวกที่ 7 ประกอบด้วยรูป
14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สุนัขพันธุ์บูลด็อก และคำว่า "BULLDOG" ที่ด้านล่างของรูปสุนัข ส่วนเครื่องหมายการค้า ที่โจทก์อ้างว่าเป็น เจ้าของก็เป็นรูปสุนัขพันธุ์บูลด็อก เครื่องหมายการค้าทั้งสองจึงต่างมีรูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกเป็นสาระสำคัญและ เป็นลักษณะเด่นของเครื่องหมาย และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบในส่วนรูปสุนัขของทั้งสองเครื่องหมายเห็นได้ว่า เป็นรูปร่างลักษณะของสุนัขพันธุ์เดียวกันคือพันธุ์บูลด็อก ยืนหันหน้าในท่าเดียวกัน ขาทั้งสี่ข้างล้วนอยู่ใน ตำแหน่งเดียวกัน และมีรายละเอียดต่าง ๆ ตรงกันจนไม่อาจสังเกตเห็นความแตกต่างของรูปสุนัขของทั้งสอง เครื่องหมายได้อย่างชัดเจน และมีลักษณะคล้ายกับการลอกเลียนกันมา คงมีข้อแตกต่างกันเพียงแต่ใน รายละเอียดอื่นที่ไม่ใช่รูปสุนัข โดยในเครื่องหมายการค้าที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนไว้มีเส้นตรงในแนวนอน ลากผ่านด้านหลังขาทั้งสี่ช่วงล่างซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าสุนัขยืนอยู่บนพื้นราบ แต่รูปสุนัขในเครื่องหมายการค้าที่ โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของไม่มีเส้นตรงเช่นนั้นประกอบอยู่ด้วยเท่านั้น ซึ่งหากไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่พบความ แตกต่างนี้ และแม้เครื่องหมายการค้าที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนไว้จะมีคำว่า "BULLDOG" ประกอบอยู่ด้วย โดยที่เครื่องหมายการค้ารูปสุนัขที่โจทก์กล่าวอ้างถึงไม่มีคำดังกล่าวประกอบหรือในบางครั้งก็มีคำว่า "MIRKA" ประกอบอยู่ด้วยอันเป็นความแตกต่างอีกข้อหนึ่ง แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่าภาคส่วนรูปสุนัขในเครื่องหมาย การค้าเป็นสาระสำคัญและมีลักษณะโดดเด่นยิ่งกว่าคำประกอบเหล่านั้น การที่เครื่องหมายการค้าของโจทก์ และของจำเลยมีรูปลักษณะของรูปสุนัขซึ่งปรากฏชัดเจนว่าเป็นสุนัขพันธุ์เดียวกันคือพันธุ์บูลด็อกในลักษณะที่ คล้ายกับลอกเลียนกันมาดังกล่าว ย่อมทำให้สาธารณชนผู้ซื้อสินค้าอาจเรียกขานเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และของจำเลยเช่นเดียวกันว่า "ตราสุนัข" หรือ "ตราหมา" หรือ "ตราหมาบูลด็อก" ได้ ด้วยความคล้ายกันอย่าง มากโดยคล้ายกับลอกเลียนกันมาของรูปสุนัขดังกล่าว ประกอบกับความเป็นสาระสำคัญและลักษณะเด่นของ รูปสุนัขในเครื่องหมายการค้าทั้งสองเช่นนี้ แม้จำเลยจะได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์ บูลด็อกของจำเลยไว้สำหรับใช้กับสินค้าต่างจำพวกกับสินค้าที่โจทก์ส่งมาขายในประเทศไทยก็ตาม แต่สินค้า ของโจทก์และของจำเลยต่างก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการก่อสร้าง ย่อมอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดได้ ว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์และสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นสินค้าของเจ้าของ เดียวกันหรือมีแหล่งกำเนิดของสินค้ามาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน เครื่องหมายการค้า ที่จำเลยได้รับการจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับใช้กับสินค้าไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้องตามทะเบียนเครื่องหมายการค้า เลขที่ ค227964 จึงคล้ายกับเครื่องหมายการค้า ที่โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของและใช้กับสินค้าเครื่องมือที่ใช้ใน การขัดถู ผ้าทรายและกระดาษทรายจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้า หรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้โจทก์มีหลักฐานสำเนาหนังสือโต้ตอบ สำเนาใบสั่งซื้อสินค้า และสำเนาสัญญา ตัวแทนจำหน่ายมาแสดงให้เห็นว่ามีการใช้เครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกกับสินค้าจำพวกกระดาษ ทราย ผ้าทราย และวัสดุที่ใช้ในการขัดถูในประเทศไทยผ่านทางตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ตั้งแต่ปี 2532 ในขณะที่จำเลยนอกจากจะไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานเกี่ยวกับการใช้เครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อก ของโจทก์ผ่านตัวแทนจำหน่ายของโจทก์ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2532 แล้ว ยังปรากฏว่าบริษัทที่จำเลยเคย เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการได้สั่งซื้อสินค้ากระดาษทรายของโจทก์มาจำหน่าย การที่โจทก์ประกอบกิจการผลิต และจำหน่ายสินค้ากระดาษทรายและเครื่องมือเครื่องใช้ในการขัดถูโดยใช้เครื่องหมายการค้า มาตั้งแต่ปี 2486 การได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกในประเทศต่าง ๆ สำหรับใช้กับสินค้า
15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำพวกที่ 3 และที่ 7 รวมทั้งจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งในเรื่องความเป็นเจ้าของสิทธิในเครื่องหมายการค้ารูป สุนัขพันธุ์บูลด็อกและการที่จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับสินค้าของโจทก์ดังกล่าว และจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยได้ใช้เครื่องหมายการค้า มาก่อนที่โจทก์จะส่งสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกของโจทก์ เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยโดยบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่าย คงนำสืบเพียงว่าจำเลยเป็นหุ้นส่วนในห้าง หุ้นส่วนจำกัด ล. ซึ่งจดทะเบียนก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2527 โดยประกอบกิจการขายปลีกเครื่องมือช่างและ เครื่องมือเกษตร รวมทั้งไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้อง กระดาษทราย และผ้าทราย แต่หลักฐานที่จำเลยอ้างว่า จำเลยใช้เครื่องหมายการค้าที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ที่มีลักษณะเป็นเอกสารที่พิมพ์ จากหน้าเว็บไซต์โฆษณาสินค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุวันเวลาลงโฆษณา ส่วนพยานหลักฐาน อื่นก็เป็นหลักฐานการสั่งซื้อสินค้าอันเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อก ของโจทก์ในประเทศไทยแล้วทั้งสิ้น โจทก์จึงเป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้ารูปพันธุ์สุนัขบูลด็อกก่อนที่จำเลยยื่นคำ ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูปพันธุ์สุนัขบูลด็อก ทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ค227964 แม้โจทก์ จะยังไม่เคยนำสินค้าไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้องที่ใช้เครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกของโจทก์เข้ามา จำหน่ายในประเทศไทยแต่สินค้าที่โจทก์นำมาจำหน่ายในประเทศไทยและสินค้าไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้อง ต่างก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการก่อสร้าง จึงเป็นสินค้าที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน และการที่จำเลยใช้เครื่องหมาย การค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกกับสินค้าไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้องอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดว่า โจทก์เป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าเป็นแหล่งเดียว กับสินค้าของโจทก์ นอกจากนี้ เมื่อ จำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ใช้เครื่องหมายการค้ารูปสุนัข พันธุ์บูลด็อกในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่จำเลยเริ่มยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าสำหรับใช้กับสินค้าจำพวกที่ 3 ทะเบียนเลขที่ ค4208 อีกทั้งยังปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าที่จำเลย ขอจดทะเบียนดังกล่าวและที่ได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ค 227964 คล้ายกับเครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อก ที่โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้แล้วที่ ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสาธารณรัฐฟินแลนด์ ประกอบกับจำเลยอยู่ในวงการค้าขายสินค้าเครื่องมือ ช่างก่อสร้างจำพวกกระดาษทราย ผ้าทราย และไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้อง จำเลยย่อมรู้จักเครื่องหมาย การค้าและสินค้าของโจทก์อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนไปยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าครั้งแรกในปี 2535 กรณีมีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยจงใจนำเครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกของโจทก์ไปขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าทะเบียนเลขที่ ค 227964 ที่พิพาทในคดีนี้ดีกว่าจำเลย กรณีมีเหตุสมควรให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ทะเบียนเลขที่ ค227964 ของจำเลย พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 67 เป็นบทบัญญัติที่ กำหนดระยะเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า จึงเป็น บทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง และเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยไม่ได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ในคำให้การ จำเลยมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์ได้ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 38 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง กำหนด
16 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ระยะเวลาห้าปีตามมาตรา 67 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ต้องนับแต่วันที่นายทะเบียน เครื่องหมายการค้ามีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 40 มิใช่นับแต่วันที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นวันที่ยื่นคำขอจดทะเบียน เมื่อจำเลยยื่นคำขอ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2548 มีการประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าดังกล่าววันที่ 15 มิถุนายน 2548 และนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งให้จด ทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 40 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2548 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2551 จึงไม่เกินกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่นาย ทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 40 ส่วนระยะเวลาที่จำเลย อ้างในอุทธรณ์เป็นกรณีของการยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2535 ซึ่งจำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับใช้กับสินค้าจำพวกที่ 3 ไม่ใช่การยื่นคำขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าสำหรับใช้กับสินค้าจำพวกที่ 7 ที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็น คดีนี้ อีกทั้งจำเลยขาดต่ออายุทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว แม้จำเลยจะยื่นคำขอจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าดังกล่าวสำหรับใช้กับสินค้าจำพวกและรายการเดิม แต่ก็ปรากฏว่ายังไม่ได้รับการจด ทะเบียน กรณีดังกล่าวจึงไม่เกี่ยวข้องกับการนับระยะเวลาฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าที่พิพาทในคดีนี้ โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าทะเบียนเลขที่ ค 227964 ภายในกำหนดระยะเวลา 5 ปี ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 67 เมื่อโจทก์ เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้ารูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกดีกว่าจำเลย การที่จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าดังกล่าวสำหรับการใช้สินค้าไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้องของจำเลย และนำสินค้านั้นออกขาย ย่อม เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยไม่ชอบ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะขอให้ห้ามจำเลยมิให้ใช้เครื่องหมายการค้ารูปสุนัข ที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้ารูปสุนัขของโจทก์กับสินค้าไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้องและสินค้า อื่นของจำเลย รูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกและคำว่า "BULLDOG" ไม่ใช่สิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขายสำหรับสินค้า เครื่องมือที่ใช้ในการขัดถู ผ้าทราย กระดาทราย และไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้อง ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมาย การค้า พ.ศ.2534 มาตรา 17 เพราะสินค้าดังกล่าวมิใช่สินค้าสุนัขพันธุ์บูลด็อก แต่รูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกเป็นรูป ที่มีลักษณะบ่งเฉพาะเพราะเป็นภาพที่ประดิษฐ์ขึ้นตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 7 วรรค สอง (6) ส่วนคำว่า "BULLDOG" ก็ไม่ใช่คำที่เล็งถึงลักษณะและคุณสมบัติของสินค้าเครื่องมือที่ใช้ในการขัดถู ผ้าทราย กระดาษทราย และไฟเบอร์ตัดโลหะและกระเบื้องโดยตรง จึงเป็นคำที่มิได้เล็งถึงลักษณะหรือ คุณสมบัติของสินค้านั้นโดยตรงอันมีลักษณะบ่งเฉพาะในตัวเองตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสอง (2) รูปสุนัขพันธุ์บูลด็อกและคำว่า "BULLDOG" ย่อมมีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจด ทะเบียนสำหรับใช้กับสินค้าเครื่องมือที่ใช้ในการขัดถู ผ้าทราย กระดาษทราย และไฟเบอร์ตัดโลหะและ กระเบื้องได้ ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 6 (1) ตัวอย่างข้อสอบ นายกบได้ไปทำงานกับนายเอดะที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนายเอดะมีอาชีพผลิตน้ำผลไม้ และใช้เครื่องหมาย การค้า IC ต่อมาทั้งสองได้ทะเลาะกัน นายกบจึงได้กลับมาที่เมืองไทย และได้ทำการจดทะเบียนเครื่องหมาย
17 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การค้า IC นี้ที่ประเทศไทย โดยจดกับสินค้าจำพวกแรกคือ น้ำผลไม้ และจำพวกที่สองคือ น้ำส้มสายชูซึ่งนาย เอดะได้มาทำการฟ้องเพิกถอน โดยอ้างว่าตนมีสิทธิดีกว่า ซึ่งกรณีนี้ นายเอดะย่อมมีสิทธิที่จะทำการฟ้องเพิก ถอนได้ เพราะตนเป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้านี้มาก่อนนายกบเฉพาะในส่วนของน้ำผลไม้หากแต่ในจำพวก สินค้าน้ำส้มสายชูนั้น นายเอดะไม่เคยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับผลิตภัณฑ์น้ำส้มสายชูมาก่อน และ น้ำส้มสายชูกับน้ำผลไม้ก็ไม่ใช่สินค้าจำพวกที่เหมือนกันหรือคล้ายกันเลย เพราะฉะนั้น การที่นายกบ จด ทะเบียนเครื่องหมาย IC กับน้ำส้มสายชูนั้น ทำให้นายเอดะไม่มีสิทธิดีกว่า เพราะว่าไม่เคยใช้เครื่องหมายการค้า นี้กับน้ำส้มสายชูมาก่อนนั่นเอง ฎีกาที่ 9277/2547 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้ง สองในเครื่องหมายการค้านั้นตั้งแต่ในขณะที่ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ใช้บังคับอยู่ดังนี้ การฟ้อง ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 จึงอยู่ในบังคับอายุความทั่วไป 10 ปี ตาม ป. พ.พ. มาตรา 164 เดิม และบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 41 (1) ซึ่งเป็น บทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ทั้งสองถูกโต้แย้งสิทธิไม่ต้องฟ้องภายในระยะเวลาการฟ้องคดี 5 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 67 แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมาย การค้า พ.ศ. 2534 ฝ่ายโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "โต๊ะกัง" และ "ตั้งโต๊ะกัง" ที่เป็นภาษาไทย จีน และอังกฤษ ซึ่งเขียนว่า "TOH KANG" และ "TANG TOH KANG" มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษของโจทก์ที่ 2 โดยใช้กับสินค้าจำพวกทองคำ คำดังกล่าวเป็นคำที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ไม่ได้มีความหมายว่าทองคำหรือ เกี่ยวข้องกับทองคำแต่อย่างใด หากแต่เป็นชื่อสกุลของบรรพบุรุษของฝ่ายโจทก์ที่ประกอบกิจการค้า ทองคำ ติดต่อกันมาตั้งแต่ก่อนปี 2464 เป็นเวลากว่า 80 ปีแล้ว และยังใช้คำว่า "ตั้งโต๊ะกัง" เป็นชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด โจทก์ที่ 1 ตลอดมาด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 เพิ่งมาประกอบกิจการร้านทองในลักษณะเดียวกับโจทก์ทั้งสองเมื่อปี 2515 และต่อมาในปี 2531 ถึงปี 2532 จำเลยที่ 1 จึงได้นำคำว่า "โต๊ะกัง" เป็นภาษาไทย คำว่า "โต๊ะกัง" เป็นอักษรภาษาไทยและจีนรวมกัน คำว่า "โต๊ะกังบุ้นกี่" เป็นอักษรภาษาไทยและจีนรวมกัน คำว่า "TOA KANG" เป็นอักษรภาษาอังกฤษ กับคำว่า "โต๊ะกังเยาวราช" เป็นอักษรภาษาไทยไปยื่นคำขอจดทะเบียนเป็น เครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกเงิน ทอง นาก และอัญมณี ดังนี้ เห็นได้ว่า เครื่องหมายการค้าที่ จำเลยที่ 1 นำไปยื่นคำขอจดทะเบียนไว้นั้น ทุกเครื่องหมายจะมีคำว่า "โต๊ะกัง" แสดงว่าสาระสำคัญหรือ ลักษณะเด่นของเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 อยู่ที่คำว่า "โต๊ะกัง" หาใช่อยู่ที่คำว่า "บุ้นกี่" หรือ "เยาวราช" ซึ่งเป็นเพียงส่วนประกอบไม่ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 จึงเหมือนหรือคล้ายกับ เครื่องหมายการค้า คำว่า "โต๊ะกัง" ที่เป็นภาษาไทย จีนและอังกฤษของโจทก์ทั้งสองจนอาจทำให้สาธารณชน สับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดสินค้า เป็นการจดทะเบียนโดยไม่สุจริต เมื่อโจทก์ ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลยที่ 1 แม้โจทก์ทั้งสองจะมิได้จดทะเบียนต่ออายุ เครื่องหมายการค้าดังกล่าวก็ตาม ก็ไม่ทำให้สิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทั้งสองที่ใช้ติดต่อกันมาโดย ตลอดเสียไปแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองย่อมฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ได้จำเลยทั้งสองนำชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้งสองใช้เป็นชื่อห้างย่อมทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดว่า สถานประกอบการค้าทองของจำเลยทั้งสองเป็นสถานประกอบการค้าทองของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นสถาน
18 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประกอบการค้าทองที่โจทก์ทั้งสองมีส่วนรวมอยู่ด้วย เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการสับสน หรือหลงผิดดังกล่าวได้เช่นกัน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสองให้ใช้ชื่อทางการค้าคำว่า "โต๊ะ กัง" เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิในชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้ง สอง โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเนื่องจากการใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้ง สองโดยไม่ชอบนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 18 และ 420 ฎีกาที่ 6765/2546 พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 67 ที่บัญญัติให้ผู้มี ส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใน 5 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียน มีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 40 นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง มิใช่บทบัญญัติ เกี่ยวกับอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องและเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น แม้จำเลยจะไม่ได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จำเลยก็มีสิทธิยกขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์ได้ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทาง ปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 38ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง กำหนดระยะเวลา 5 ปี ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 67 ให้นับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ตามมาตรา 40 มิใช่นับ แต่วันที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอันจะมีผลให้ถือเอาวันที่ยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นวันที่จดทะเบียน เครื่องหมายการค้านั้น นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN และเครื่องหมาย การค้าคำว่า UMILAUFEN เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2537 และวันที่ 19 เมษายน 2539 ตามลำดับ โจทก์ฟ้อง ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 จึงเป็นการฟ้อง ภายในกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์ฟ้องขอให้ศาล พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN ดีกว่าจำเลย และขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN ที่จำเลยได้รับโอนจากบริษัท ส. และเครื่องหมายการค้าคำว่า UMILAUFEN ที่จำเลยได้จดทะเบียนไว้ โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามสัญญาผู้ถือหุ้น และมิได้ ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN ที่โจทก์อนุญาตให้จำเลยใช้ตามสัญญาให้ใช้ เครื่องหมายการค้า ทั้งมิได้ขอให้บังคับตามสิทธิในสัญญาให้ความช่วยเหลือและบริการทั่วไปทางเทคนิค คำ ฟ้องของโจทก์จึงมิได้เกิดจากกรณีพิพาทกันตามข้อสัญญาข้อใดข้อหนึ่งหรืออาศัยสิทธิตามสัญญาข้อใดข้อหนึ่ง ตามสัญญาทั้งสามฉบับดังกล่าวอันจะต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดก่อน โจทก์จึงจะมีสิทธิ ฟ้องคดีต่อศาลได้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN และ UMILAUFEN สำหรับสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์โดยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN และใช้ กับสินค้าสุขภัณฑ์มาก่อนจำเลยจึงมีสิทธิดีกว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าทั้งสองที่ได้จดทะเบียนไว้ สำหรับสินค้าสุขภัณฑ์ ดังนี้ โจทก์ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียซึ่งมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าทั้งสองตาม มาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ทั้งนี้ตามมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าว ส่วนปัญหาว่าจำเลยมีสิทธิใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN ตามสัญญาที่โจทก์ให้จำเลยใช้
19 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เครื่องหมายการค้าหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่งและเป็นคนละเรื่องกับการฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าทั้งสอง ทั้งโจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาให้ใช้เครื่องหมายการค้า และห้ามมิให้จำเลยใช้ เครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN ตามสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าของจำเลยได้โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN โดยใช้กับสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์มา ก่อนที่จำเลยจะใช้เครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์ของจำเลย แม้โจทก์จะยังมิได้รับการจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย โจทก์ก็เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "LAUFEN" สำหรับ สินค้าเครื่องสุขภัณฑ์ดีกว่าจำเลย ส่วนเครื่องหมายการค้าคำว่า UMI-LAUFEN ที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนไว้ สำหรับสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์นั้นเป็นเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFENของโจทก์ จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้เมื่อ โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN กับสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์มาก่อนจำเลยแม้ยังมิได้จดทะเบียนไว้ สำหรับสินค้านั้นในประเทศไทยโจทก์ย่อมมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า UMI-LAUFEN ใช้กับสินค้าเครื่อง สุขภัณฑ์ดีกว่าจำเลย โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า LAUFEN และคำว่า UMI-LAUFEN ซึ่งใช้กับ สินค้าเครื่องสุขภัณฑ์ดีกว่าจำเลย และเครื่องหมายการค้าคำว่า UMI-LAUFEN ก็มีคำว่า LAUFEN อันเป็น ลักษณะเด่นของเครื่องหมายเหมือนกับเครื่องหมายการค้าคำว่าLAUFEN ของโจทก์อันอาจทำให้สาธารณชน สับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ ดังนั้น แม้คำว่า UMI-LAUFEN จะเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยซึ่งประกอบกิจการผลิตและขายสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์ แต่เมื่อโจทก์เป็นผู้มี สิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า UMI-LAUFEN ซึ่งใช้กับสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์ดีกว่าจำเลย โจทก์ย่อมมีอำนาจ ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่าUMI-LAUFEN ของจำเลยได้ สิทธิต่างๆของเจ้าของเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน 1. สิทธิแต่ผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ตามมาตรา 44 2. สิทธิในการใช้สีของเครื่องหมายการค้า ตามมาตรา 45 3. สิทธิในการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า ตามมาตรา 68 ซึ่งมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ 3.1อนุญาตให้ใช้สิทธิไม่เด็ดขาด คือ อนุญาตให้ใช้หลายคนได้ 3.2อนุญาตให้ใช้สิทธิแต่ผู้เดียว คือ อนุญาตให้ผู้ใดผู้หนึ่งใช้ ไม่สามารถอนุญาตให้ผู้อื่นใช้ได้อีก แต่ เจ้าของก็ยังใช้สิทธินั้นได้ตามปกติอยู่ 3.3อนุญาตให้ใช้สิทธิเด็ดขาด คือ อนุญาตให้ผู้ใดผู้หนึ่งใช้เท่านั้น อนุญาตให้คนอื่นใช้ไม่ได้ และ เจ้าของนั้นก็ไม่สามารถใช้เองได้ด้วย ฎีกาที่ 15233/2553 ข้อสัญญาที่โจทก์ตกลงให้สิทธิจำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการสถานีบริการน้ำมันของ โจทก์ภายใต้ชื่อทางการค้าว่า "เอสโซ่" นั้น ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายในสถานีบริการน้ำมันเป็น สินค้าของโจทก์ แม้จะมีการใช้เครื่องหมายการค้า "เอสโซ่" ก็เป็นการใช้เครื่องหมายการค้าโดยโจทก์เอง มิใช่ กรณีที่จำเลยที่ 1 จัดหาสินค้าเองแล้วนำเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาใช้กับสินค้าของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด สัญญาให้ใช้สิทธิดำเนินการสถานีบริการน้ำมันดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า แม้จะไม่ จดทะเบียนต่อนายทะเบียนก็หาตกเป็นโมฆะไม่ โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้างสถานีบริการน้ำมัน โดย
20 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มีข้อตกลงว่า เมื่อครบอายุสัญญาเช่าที่ดินแล้ว ยอมให้สิ่งปลูกสร้างบนที่ดินตกเป็นเจ้าของที่ดิน ดังนั้นเมื่อครบ อายุสัญญาเช่าที่ดิน สถานีบริการน้ำมันรวมทั้งส่วนควบ ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่เจ้าของที่ดิน เมื่อถังน้ำมัน 9 ถัง ฝังอยู่ใต้พื้นดินและป้ายโฆษณาใหญ่ที่ปักยึดติดลงไปในดินอย่างมั่นคง ซึ่งตามสภาพจึงเป็นสาระสำคัญของ การประกอบกิจการจำหน่ายน้ำมันไม่อาจแยกออกจากสถานีบริการน้ำมันได้ นอกจากการขุดทำลายพื้นผิวของ สถานีบริการน้ำมัน จึงถือว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นส่วนควบของสถานีบริการน้ำมันย่อมตกเป็นของเจ้าของสถานี บริการน้ำมัน โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองส่งคืนได้ ส่วนถังน้ำมันสำหรับใส่น้ำมันเสีย ฮ้อยท์ยก เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ปั๊มลม ถือไม่ได้ว่าเป็นสาระสำคัญของสถานีบริการน้ำมันและตู้จ่ายน้ำมัน แม้จะเป็นส่วน สาระสำคัญในการให้บริการจำหน่ายน้ำมัน แต่มีลักษณะที่มิได้ยึดติดแน่นกับที่ดินหรือสถานีบริการน้ำมันเป็น การถาวร สามารถยกเคลื่อนย้ายโดยไม่ต้องทุบทำลาย จึงไม่ถือเป็นส่วนควบของสถานีบริการน้ำมัน โจทก์จึงมี สิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองส่งคืนแก่โจทก์ได้ส่วนที่ศาลล่างพิพากษาว่า หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำ พิพากษา ให้โจทก์เข้าไปรื้อถอนขนย้ายเครื่องบริภัณฑ์ซึ่งติดตั้งอยู่ที่สถานีบริการน้ำมันนั้น เห็นว่า ไม่มีกฎหมาย ให้อำนาจโจทก์เข้าไปดำเนินการบังคับคดีเองได้ คำพิพากษาส่วนนี้จึงไม่ชอบ 4.สิทธิในการโอนเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้ว ตามมาตรา 49 หรือสิทธิในการโอนคำขอจด ทะเบียนเครื่องหมายการค้า (กรณีที่ยังไม่ได้จดทะเบียน) มาตรา 48 สิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน มาตรา 46 “บุคคลใดจะฟ้องคดี เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน หรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดสิทธิดังกล่าว ไม่ได้ บทบัญญัติมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน ในอันที่ จะฟ้องคดีบุคคลอื่นซึ่งเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น” มาตรา 46 วรรคสองนั้นถือว่าเป็นมาตราที่ออกข้อสอบบ่อยมาก ซึ่งจะว่าด้วยกรณีของการนำสินค้า ของเจ้าของเครื่องหมายการค้าไม่จดทะเบียนไปลวงขาย ผู้ลวงขายนั้นย่อมเป็นผู้กระทำละเมิดต่อเจ้าของ เครื่องหมายการค้านั้น ตามมาตรานี้ สำหรับข้อสอบละเมิดของเนติบัณฑิตนั้นจะมีอยู่สองมาตรา คือ มาตรา 44 และมาตรา 46 วรรคสอง ที่มักจะออกข้อสอบบ่อย โดยนักศึกษาจะต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าเครื่องหมายการค้านั้นเป็นเครื่องหมาย การค้าที่จดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียน การบรรยายครั้งหน้าอาจารย์จะมาบรรยายถึงประเด็นของสิทธิของ เจ้าของเครื่องหมายกรค้าทั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนต่อ สำหรับวันนี้ขอจบการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ ***จบการบรรยาย***
21 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปโดย A05 ตรวจทาน C2
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไมตรี สุเทพากุล บรรยายวันที่ 29 มิถุนายน 2566 (ครั้งที่ 6 )(สัปดาห์ที่ 6 ) สวัสดีครับมาเรียนกันต่อในส่วนของเครื่องหมายการค้านะครับ หัวข้อในวันนี้คือสิทธิแต่เพียงผู้เดียว ของผู้ทรงสิทธิและการละเมิดสิทธิ เริ่มจากสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนตามมาตรา 14 และสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่จดทะเบียนตามมาตรา46 วรรคสอง เรื่องลวงขาย ซึ่งสองมาตรานี้ เป็นมาตราสำคัญที่ออกข้อสอบสลับกันไปมาหรือออกมาทั้งสองมาตรา ในเรื่องเงื่อนไขกับเรื่องละเมิด เหมือนกับเป็นเหรียญคนละด้านใช้หลักเกณฑ์พิจารณาเทียบเคียงกันได้ วันนี้ดูเรื่องเงื่อนไขการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตามมาตรา 6 มีเงื่อนไขข้อสามว่า ต้องไม่เป็น เครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วตามมาตรา 13 พูดง่าย ๆ คือ หลักเกณฑ์การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตาม มาตรา 6 กับมาตรา 13 นำมาใช้กับการ พิจารณาเรื่องละเมิด ซึ่งได้เปรียบเทียบไว้ในคราวที่แล้ว เรื่องสิทธิบัตร การจะดูว่าเป็นการละเมิดสิทธิบัตรหรือไม่ พิจารณาจากหลักเกณฑ์เรื่องเงื่อนไขเช่นกัน คือพิจารณาว่าสิทธิบัตรนั้นมีความใหม่หรือไม่ เช่น สิทธิบัตรการประดิษฐ์ต้องมีความใหม่ คือพิจารณาฟังชั่น ของสิ่งที่ขอรับสิทธิบัตรกับงานที่ปรากฏอยู่แล้ว เรื่องละเมิดสิทธิบัตรก็เช่นกัน ฟังชั่นสิ่งที่ละเมิดกับการประดิษฐ์ที่ขอจดสิทธิบัตรไว้นั้นทำงาน เหมือนกันหรือไม่ ในวันนี้เรื่องเครื่องหมายการค้าจะง่ายกว่า โดยเทียบเครื่องหมายการค้าที่ละเมิดว่าเหมือน หรือคล้ายกับเครื่องหมายที่จดทะเบียนไว้หรือไม่ ถ้าเป็นเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนก็ตามมาตรา 44 ข้อสอบที่ผ่านมามีหลายปีที่ออกข้อสอบลักษณะคาบเกี่ยวกันสอง พ.ร.บ. น้อยมากที่จะออกแค่พ.ร.บ. เดียว ตัวอย่างข้อสอบเรื่องเครื่องหมายการค้ามีว่า บริษัทนิวได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “FAST” ใช้กับรถยนต์ ซึ่งคำว่าเร็วเมื่อนำมาใช้กับรถยนต์จะเล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าคือรถยนต์ โดยตรงหรือไม่ ตามมาตรา 7 วรรคสอง(2) ถ้าเล็งถึงลักษณะโดยตรงก็จะไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะจะจดคำว่า FAST ซึ่งแปลว่าเร็วกับรถยนต์ไม่ได้ แนะนำนักศึกษาว่าการเตรียมตัวสอบให้ดูทุก พ.ร.บ.นะครับ และการตอบข้อสอบตอบให้ครบทุก ประเด็นอย่าปล่อยว่าง เพราะถ้าปล่อยกระดาษว่างคะแนนเป็นศูนย์แต่ถ้าเขียนไปบ้างอาจจะได้คะแนนบ้าง ลักษณะการตอบข้อสอบทรัพย์สินทางปัญญาให้แยกย่อหน้าเป็นแต่ละ พ.ร.บ. และไปดูข้อสอบเก่ากันด้วยนะครับ ซึ่งข้อสอบเก่าช่วงหลังๆออกสิทธิบัตรถี่มากๆ และไม่รู้ว่าจะออกอีกหรือไม่ ส่วนเครื่องหมายการค้าช่วง หลังออกน้อยจึงอยากให้ดูเครื่องหมายการค้าดีๆ เพราะไม่ออกมานานแล้ว ส่วนลิขสิทธิ์ออกหลายครั้งเช่นกัน อยากให้ดูข้อสอบที่ออกลักษณะคาบเกี่ยวกันสองพ.ร.บ. นะครับ ซึ่งเรื่องใหญ่ๆ ที่ข้อสอบจะออกคือเรื่อง เงื่อนไขกับเรื่องละเมิด เงื่อนไขที่ถามบ่อยคือเรื่องสิทธิบัตรกับเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ไม่ค่อยถามเรื่อง เงื่อนไข ส่วนในเรื่องละเมิดจะออกทั้งสามพ.ร.บ. เลย ซึ่งการละเมิดทั้งสามพ.ร.บ.จะมีลักษณะคล้ายกันคือการ
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กระทำต่างๆ ที่มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวแม้ทั้งสามพ.ร.บ. จะใช้คำต่างกันก็อาจจะมีการกระทำที่คล้ายกัน เช่น กระทำซ้ำของลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร คือ การผลิต ของเครื่องหมายการค้าคือทำให้เหมือนหรือคล้าย หรือปลอมหรือเลียน นอกจากนั้นคือเรื่องการขาย นำเข้า นักศึกษาไปดูนะครับเรื่องสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของทั้งสามพ.ร.บ.จะคล้ายกัน และหลักการสูนสิ้นในสิทธิทั้งสามพ.ร.บ.ก็ใช้หลักเดียวกันเรื่องนี้ออกข้อสอบหลายครั้ง ส่วนเรื่องละเมิด อย่างเช่นในลิขสิทธิ์เรื่องละเมิดขั้นต้นในมาตรา 27 ถึง 30 ละเมิดขั้นรองมาตรา 31 หมายถึงเอางานที่ละเมิด ขั้นต้นมาแล้วมาเผยแพร่ ส่วนเครื่องหมายการค้าเรื่องละเมิดก็มีการทำปลอม ทำเลียนเครื่องหมายการค้า และ เรื่องข้อยกเว้นของละเมิดโดยเฉพาะเรื่องข้อยกเว้นของละเมิดลิขสิทธิ์มาตรา 32 และสิทธิบัตรมาตรา 36 วรรคสอง (7) เครื่องหมายการค้าไม่ค่อยมีข้อยกเว้นอาจจะมีในมาตรา 47 แต่ออกข้อสอบน้อย ทั้งหมดนี้คือ ภาพกว้างๆของการเตรียมตัวดูหนังสือสอบครับ ในส่วนของสามพ.ร.บ.ที่เรียนมาในเรื่องละเมิด เรื่องลิขสิทธิ์ไม่จดทะเบียนก็ฟ้องละเมิดได้ ส่วนสิทธิบัตร จะฟ้องละเมิดได้ต่อเมื่อจดทะเบียนในประเทศไทยเพราะใช้หลักดินแดน ส่วนเครื่องหมายการค้านั้นมีได้ทั้ง เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน การละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าในทางแพ่ง 1.การละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน มาตรา 44 2.การละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าไม่จดทะเบียน มาตรา 46 วรรคสอง เครื่องหมายการค้า จะออกข้อสอบในส่วนแพ่งเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอาญามีออกบ้างในสนามผู้ช่วย ใน ส่วนอาญาจะอยู่ในมาตรา 108 มาตรา 109 มาตรา 110 และในป.อ. มาตรา 272 ถึง 275 การละเมิดในกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา คือ การกระทำใดๆอันเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของ เจ้าของสิทธิโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของสิทธิ เช่น การใช้ เครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่จดทะเบียนไว้มาตรา 44 การทำซ้ำหรือดัดแปลงงานลิขสิทธิ์มาตรา 15 มาตรา 27 ในพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ การผลิต การใช้ ขาย การประดิษฐ์มาตรา 36 ในพ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน หมายถึง เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนใน ประเทศไทยต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ถ้าเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในต่างประเทศไม่ถือว่า เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนตามความหมายของมาตรา 44 แห่งพ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า เจ้าของเครื่องหมายการค้าไม่จดทะเบียน หมายถึง 1.เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้ามานานพอสมควรจนประชาชนรู้จัก แต่มิได้จด ทะเบียนในประเทศไทย 2.เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในต่างประเทศแต่มิได้จดทะเบียนในประเทศไทย 3.เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในประเทศไทยกับสินค้าชนิดใดจำพวกใดจำพวกหนึ่งย่อม ถือได้ว่าเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าไม่จดทะเบียนในสินค้าชนิดอื่นจำพวกอื่น ซึ่งเจ้าของเครื่องหมายการค้า ประเภทนี้มี 2 สถานะ คือ เจ้าของเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน เช่น จดทะเบียนกับสินค้า ก. ก็จะมีสิทธิแต่ผู้ เดียวในเครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้า ก. ตามมาตรา 44 ในขณะเดียวกันก็มีอีกสถานะคือเป็นเจ้าของ
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เครื่องหมายการค้าไม่จดทะเบียนในเครื่องหมายเดียวกันกับสินค้าอื่น เช่น ข. ค. ง. คือสินค้าประเภทอื่นๆ ที่ ไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ก็มีสถานะเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่จดทะเบียน ซึ่งมีผลต่อไป ว่าอาจมีสิทธิฟ้องในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่จดทะเบียนในสินค้า ข. ค. ง. ได้ถ้ามีการลวงขาย ฉะนั้นบุคคลประเภทที่ 3 นี้ออกข้อสอบมาหลายครั้งแล้ว ขอย้ำอีกทีว่า เวลาอ่านข้อสอบให้ดูก่อนว่าเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนหรือไม่จด ทะเบียนต้องแยกให้ได้ก่อน เพราะมีสิทธิต่างกันและใช้กฎหมายต่างกัน การละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าแตกต่างจากข้อพิพาททางทะเบียน (การขอจดทะเบียนการเพิก ถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้า) เรื่องละเมิด คือมีเจ้าของเครื่องหมายการค้าไม่ว่าจะจดทะเบียนหรือไม่จด ทะเบียนและมีคนมาลอกเลียนเครื่องหมายการค้ากับสินค้า ส่วนในเรื่องเพิกถอนทางทะเบียนเรื่องสิทธิดีกว่าใน มาตรา 67 ออกข้อสอบอยู่หลายครั้งโดยออกคู่กับเรื่องลวงขายตามมาตรา 46 วรรคสอง ถ้ามีข้อสอบแบบนี้ นักศึกษาต้องตอบทั้งเรื่องเพิกถอนตามมาตรา 67 และมาตรา 46 วรรคสองเป็นสองประเด็นนะครับซึ่งน่า ออกข้อสอบมากเพราะได้สองประเด็น การละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนตามมาตรา 44 มาตรา 44 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 27 และมาตรา 68 เมื่อได้จดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าแล้ว ผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้ เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ” คำว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 27 และมาตรา 68” หมายความว่ามาตรา 27 และมาตรา 68 เป็น ข้อยกเว้นของมาตรา 44 คือ เจ้าของไม่มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้า คนอื่นมีสิทธิใช้ได้ถ้า เข้าหลักเกณฑ์มาตรา 27 และ มาตรา 68 มาตรา 27 คือ เรื่องต่างคนต่างใช้กันมาโดยสุจริตเป็นเรื่องที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนให้กับผู้ขอจด เครื่องหมายการค้าหลายรายโดยเหตุผลที่ว่าต่างคนต่างใช้กันมาโดยสุจริตหรือมีพฤติการณ์พิเศษ เช่น ทายาท หลายคนใช้เครื่องหมายการค้าเดียวกันมานายทะเบียนจึงรับจดทะเบียนให้หลายคนโดยมีเงื่อนไขการใช้ ดังนั้น ในมาตรา 27 จึงมีคนใช้เครื่องหมายการค้าได้หลายคนไม่ใช่เป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของผู้ขอจดทะเบียน ส่วน มาตรา 68 เป็นเรื่องอนุญาตให้ใช้สิทธิ คือเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้สิทธิ ได้ การอนุญาตทำให้บุคคลอื่นมีสิทธิใช้เครื่องหมายการค้านั้นด้วยนอกจากเจ้าของเครื่องหมายการค้า องค์ประกอบการละเมิดตามมาตรา 44 องค์ประกอบข้อ 1. มีการใช้เครื่องหมายการค้า 1.มีการกระทำที่ถือว่าเป็นการใช้เครื่องหมายการค้า เช่น มีการทำเครื่องหมายการค้าขึ้นมาและนำไป ติดกับสินค้า หรือมีการนำเข้าสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น หรือมีการจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมาย การค้าของผู้อื่น ตัวอย่างอื่นที่ศาลฎีกาตัดสินไว้ คือ การนำคำว่าอินเทลการ์ดไปติดหลังบัตรพลาสติกแสดง ความเป็นเจ้าของสินค้าบัตรพลาสติกเป็นการใช้เครื่องหมายการค้า
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 2.มีการใช้อย่างเครื่องหมายการค้าหรือไม่ (เคยออกข้อสอบเนติ) คือ ใช้เครื่องหมายการค้าแยกแยะ ความแตกต่างของสินค้าที่ต่างเจ้าของกัน การใช้เครื่องหมายการค้าบางกรณีมิได้มีการใช้เครื่องหมายการค้านั้น อย่างเครื่องหมายการค้า ฎีกาที่ 5113/2548 การนำเครื่องหมายการค้าไปติดที่หน้าร้านไม่เป็นการใช้เครื่องหมายการค้า เพราะไม่ได้ใช้กับสินค้าแต่อาจเป็นการใช้เครื่องหมายบริการ ซึ่งการใช้เครื่องหมายการค้าคือใช้กับสินค้า การละเมิดโดยการนำเข้าต้องเป็นการนำเข้าสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าที่ละเมิด ถ้าเป็นสินค้าที่มีการ ขายโดยชอบในประเทศแรกต่อมาจำหน่ายในประเทศที่สองเข้าหลักการสูญสิ้นไปซึ่งสิทธิ โดยเจ้าของสิทธิ อนุญาตให้ขายหรือยินยอมให้ขายไปแล้วในต่างประเทศและมีคนนำเข้ามาในประเทศ ข้อสอบเนติฯ เคยออก เรื่องการนำเข้าสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงไม่ใช่เครื่องหมายการค้าที่ละเมิด หลักนี้ในเรื่อง เครื่องหมายการค้าเรียกว่า “การนำเข้าซ้อน” เป็นการนำเข้าสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงที่เจ้าของ ขายในต่างประเทศแล้วมีการนำเข้ามาในประเทศ ไม่เป็นการละเมิดตามมาตรา 44 ฎีกาที่ 2817/2543 เมื่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่ายสินค้าของตนใน ครั้งแรก ซึ่งได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้นจากราคาสินค้าที่จำหน่ายไปเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มี สิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งประกอบการค้าปกตินำสินค้านั้นออกจำหน่ายอีกต่อไป โจทก์ที่ 1 ผู้ผลิตสินค้า ปัตตะเลี่ยน ไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงที่จำเลยซื้อ จากตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1 ในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ มาจำหน่ายในประเทศไทยได้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL" ของโจทก์ที่ 1 จากประเทศ สหรัฐอเมริกามาจำหน่ายในประเทศไทย โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ตั้งให้โจทก์ที่ 2 เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่มี เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์ที่ 1 ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว โจทก์ที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้นำเข้าซึ่ง สินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวจากโจทก์ที่ 1 มาจำหน่ายในประเทศไทยผู้หนึ่งเท่านั้น การที่ จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL" เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยจึงไม่เป็น การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 421 ข้อสังเกต ข้อสอบเนติฯ เอาฎีกานี้มาดัดแปลงว่า บริษัทไทยเจริญไม่ละเมิดโดยการนำเข้าตามมาตรา 44 เพราะสินค้าที่ซื้อมาเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงของเจ้าของที่ขายในต่างประเทศ ตามหลัก เมื่อมีการขายในที่ใดในโลกก็เป็นการสูญสิ้นไปซึ่งสิทธิเมื่อมีการนำเข้ามาในประเทศไทยก็เป็นการนำเข้าสินค้าที่ มีเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงไม่เป็นการละเมิดโดยการนำเข้าตามมาตรา 44 (มีโอกาสออกข้อสอบซ้ำได้นะ ครับเพราะไม่ได้ออกนานแล้ว) การละเมิดที่จะเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 44 คือ ต้องมีการใช้เครื่องหมายการค้า อย่างเครื่องหมายการค้า ซึ่งเครื่องหมายการค้ามีหน้าที่ คือ แยกแยะความแตกต่างของสินค้าที่ต่างเจ้าของกัน ฉะนั้นถ้าเรานำเครื่องหมายการค้าของคนอื่นมาใช้แต่ไม่ได้ใช้อย่างเครื่องหมายการค้า คือไม่ได้นำมาแยกแยะ ความแตกต่างของสินค้าก็ไม่เป็นละเมิดตามมาตรา 44 ตัวอย่างข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา มีว่า บริษัทนาดีผลิตปุ๋ยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ND กับปุ๋ย นายศรีซื้อปุ๋ย ND มาผสมกับมูลสัตว์และตั้งชื่อปุ๋ยของตนว่า ปุ๋ยตาศรี และนำว่า ND มาพิมพ์ไว้ข้างถุงปุ๋ยโดย
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เขียนว่ามีส่วนผสมปุ๋ย ND อยู่ 5% ปัญหาคือการนำเครื่องหมายการค้าของบริษัทนาดีมาติดข้างถุงปุ๋ยเป็นการ ใช้เครื่องหมายการค้าตามมาตรา 44 หรือไม่ คำตอบ การใช้เครื่องหมายการค้าที่จะเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนนั้นต้องเป็นการ ใช้เครื่องหมายการค้าที่แยกแยะความเป็นเจ้าของสินค้าต่างรายกัน แต่เรื่องนี้นายศรีพิมพ์ข้างถุงว่าปุ๋ย ND 5% มิได้มีการใช้คำว่า ND อย่างเครื่องหมายการค้าเพราะไม่ได้ใช้แยกแยะความแตกต่างของเจ้าของปุ๋ย จึงไม่เป็น การละเมิดตามมาตรา 44 ฎีกาที่ 6528/2559 โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า TOEFL จดทะเบียนกับสินค้า แบบทดสอบภาษาอังกฤษและ CD แบบทดสอบต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาประเทศไทย นายเอ เปิดโรงเรียน สอนภาษาอังกฤษเอาข้อสอบเก่าของโจทก์กับ CD มาพิมพ์และพิมพ์คำว่า TOEFL ขนาดใหญ่กลางหน้าปก หนังสือแบบทดสอบและแผ่น CD ปัญหาว่า การที่นายเอ นำคำว่า TOEFL มาพิมพ์บนหน้าปกหนังสือเป็น ละเมิดหรือไม่ สินค้าที่นายเอใช้ เป็นจำพวกเดียวกับที่โจทก์จดทะเบียนไว้ คือ แบบทดสอบกับ CD ปัญหาที่จะพิจารณามีว่า การพิมพ์คำว่า TOEFL ขนาดใหญ่บนหน้าปกแบบทดสอบเป็นการใช้คำว่า TOEFL อย่างเครื่องหมายการค้าหรือไม่ หรือว่าเป็นการใช้เพียงบอกชื่อว่าเป็นแบบเรียน TOEFL ศาลฎีกา วินิจฉัยว่า การที่พิมพ์คำว่า TOEFL ขนาดใหญ่ไว้อยู่กลางหน้าปกแบบทดสอบเป็นการนำคำว่า TOEFL มาใช้ อย่างเครื่องหมายการค้าแล้ว จึงเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ตามมาตรา 44 ข้อสังเกต ฎีกานี้ดัดแปลงออกข้อสอบเนติฯ มีสอง พ.ร.บ. อันแรกคือพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์มีการละเมิด ลิขสิทธิ์หรือไม่ มีการทำซ้ำหรือไม่ ส่วนเรื่องเครื่องหมายการค้าข้อสอบเนติออกว่า บริษัทเอ ให้บริการทดสอบภาษาอังกฤษจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า PET กับสินค้าหนังสือ แบบทดสอบ นายดำ เปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเอาคำว่า PET ขนาดใหญ่พิมพ์ไว้หน้าปกหนังสือคู่มือ และ มีการพิมพ์คำว่า “ดำรุย” ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของตนขนาดเล็กๆไว้ใต้ปกหนังสือ บริษัทเอจึงฟ้องนายดำ ว่าละเมิดเครื่องหมายการค้า นายดำต่อสู้ว่าไม่ได้ละเมิดเครื่องหมายการค้า PET เพราะใช้คำว่า PET เป็นชื่อ เรียกแบบทดสอบ ไม่ได้ใช้อย่างเครื่องหมายการค้าและตนมีเครื่องหมายการค้าของตนเองชื่อ “ดำรุย” ซึ่งไม่ เหมือนกับคำว่า PET ที่จดทะเบียนไว้ คำตอบ การที่พิมพ์คำว่า PET ขนาดใหญ่ไว้อยู่กลางหน้าปกแบบทดสอบเป็นการนำคำว่า PET มาใช้ อย่างเครื่องหมายการค้าแล้ว จึงเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัทเอตามมาตรา 44 ฎีกาที่ 2766/2559 จำเลยจงใจนำคำว่า "SUPER - SHIELD" มาวางไว้ที่ด้านหน้ากระป๋องโดยวาง อยู่ในตำแหน่งบนสุด และเป็นจุดที่มองเห็นได้ชัดที่สุดยิ่งกว่ารูปจระเข้ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของจำเลย แสดงให้เห็นว่าจำเลยเจตนาจะให้ผู้ซื้อมองเห็นและจดจำคำดังกล่าวได้ยิ่งกว่าเครื่องหมายการค้ารูปจระเข้ของ จำเลยที่มีขนาดเล็กและติดอยู่ด้านข้าง การที่จำเลยนำคำว่า "SUPER - SHIELD" ซึ่งเป็นภาคส่วนที่เด่นและใช้ เรียกขานสินค้าของโจทก์ไปใช้ จึงเป็นการใช้อย่างเครื่องหมายการค้าเพื่อให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดใน ความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าโดยไม่สุจริต มิได้ใช้เป็นคำบรรยายคุณสมบัติของสินค้า แม้สินค้าซีเมนต์ทากันซึมของจำเลยจะเป็นสินค้าต่างจำพวกกับสินค้าสีน้ำ สีน้ำมัน สีน้ำใช้สำหรับทาอาคาร ของโจทก์ แต่สินค้าของโจทก์และจำเลยมีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากเป็นสินค้าที่ใช้ในการก่อสร้างเหมือนกัน
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จึงอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ การ กระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามมาตรา 44 กรณีไม่ใช่การใช้อย่างเครื่องหมายการค้า ฎีกาที่ 5340/2553 โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าซึ่งจดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าจำพวก 9 รายการสินค้า คอมพิวเตอร์ซอฟแวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ใช้กับคอมพิวเตอร์ เครื่องปลายทาง คอมพิวเตอร์ จอภาพคอมพิวเตอร์ เครื่องเซ็นเซอร์บัตร จำเลยทั้งสองใช้ตราประทับของจำเลยที่ 1 อันมี เครื่องหมายอักษรโรมัน Q และคำว่า Q-MATIC ประกอบอยู่ด้วยเป็นหัวกระดาษจดหมายที่จำเลยทั้งสองมีถึง ลูกค้าของจำเลยทั้งสอง กับเป็นหัวกระดาษใบสั่งงาน และใช้ลงโฆษณากิจการของจำเลยทั้งสองทาง อินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ของจำเลยทั้งสอง แม้จะตรงกับเครื่องหมายการค้าพิพาทอยู่ด้วย แต่เมื่อจำเลยทั้งสอง ไม่ได้ใช้เครื่องหมายต่อสินค้าตามรายการสินค้าที่โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ และไม่ใช่ลักษณะที่ เป็นการใช้อย่างเครื่องหมายการค้า จึงไม่เป็นความผิดฐานเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่จดทะเบียนไว้ แล้วในราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 109 องค์ประกอบข้อ 2. เครื่องหมายการค้าที่ใช้เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนไว้แล้ว 1.หลักเกณฑ์การพิจารณาความเหมือนหรือคล้ายใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการรับจดทะเบียนเครื่องหมาย การค้าตามมาตรา 13 คือ พิจารณาว่า การใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวอาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิด ในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าหรือไม่ 2.ความเหมือนหรือคล้ายพิจารณาจากตัวเครื่องหมายการค้า กรณีเครื่องหมายการค้ามีส่วนประกอบ หลายส่วน ให้แยกเครื่องหมายการค้าออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นสาระสำคัญ กับ ส่วนที่ไม่เป็นสาระสำคัญ หากส่วนที่เป็นสาระสำคัญเหมือนหรือคล้ายกันก็เป็นการละเมิด 3.การพิจารณาความคล้ายกัน ศาลฎีกาพิจารณาจากการคล้ายกันทางสายตา คล้ายกันทางเสียงเรียก ขาน และคล้ายกันทางความหมาย ฎีกาที่ 1138/2529 เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นรูปหัวและคอม้าลาย และคำว่าหัวม้าลายกับ อักษรโรมันว่า HEAD ZEBRA ส่วนของจำเลยที่ 1 เป็นรูปม้าลายทั้งตัวยืนอยู่ในวงกลม และคำว่า ตราม้าลาย และอักษรโรมันว่า ZEBRA BRAND สาระสำคัญของเครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยที่ 1 คือรูปม้าลาย ประชาชนผู้ซื้อสินค้าอาจเรียกว่า ตราม้าลาย เมื่อใช้กับสินค้าชนิดเดียวกันจะทำให้เกิดสับสนและหลงผิดใน แหล่งผลิตได้อันนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิขอจดทะเบียนการค้าสำหรับสินค้า จำพวกที่ 13 ที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ฎีกาที่ 4432/2553 เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 3 ประกอบด้วยคำว่า KOBE และ GOBE เป็นสาระสำคัญ ซึ่งคำทั้งสองต่างใช้อักษรโรมันตัวพิมพ์ใหญ่ 4 ตัว มีเสียงเรียกขานเหมือนกันว่า โกเบ และใช้กับสินค้าลวดเชื่อมโลหะเหมือนกัน กล่องบรรจุสินค้ามีสีเหมือนกัน ขนาดเท่ากัน ตัวอักษรบน กล่องและการวางตำแหน่งตัวอักษรคล้ายกัน เมื่อคำนึงถึงว่าส่วนใหญ่ของสาธารณชนมิได้มีความรู้ภาษาอังกฤษ ดีพอที่จะแยกความแตกต่างของตัวอักษรด้วยแล้ว ย่อมเป็นไปได้ง่ายที่สาธารณชนจะเกิดความสับสนหรือหลง ผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 3 จึงเหมือนหรือ
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ คำว่า KOBE จนถึงกับเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหรือหลงผิด โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 3 ได้ (ข้อสอบจะไม่ออกให้วินิจฉัยว่าเครื่องหมายเหมือนหรือคล้ายในสาระสำคัญหรือไม่ เพราะออกยาก นักศึกษาจะวินิจฉัยความเห็นต่างกัน) องค์ประกอบข้อ 3.มีการใช้กับสินค้าที่จดทะเบียนไว้(ข้อสอบออกหลายครั้ง) 1.สินค้าที่บุคคลอื่นนำเครื่องหมายการค้าไปใช้จะต้องเป็นสินค้าจำพวกเดียวกับที่เจ้าของเครื่องหมาย การค้าจดทะเบียนไว้หรือเป็นสินค้าต่างจำพวกที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน หลักเกณฑ์การพิจารณาจำพวกสินค้า ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับมาตรา 13 2.การพิจารณาว่าเป็นสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกที่มีลักษณะอย่างเดียวกันที่เป็นการละเมิด มีดังนี้ 2.1 เป็นสินค้าชนิดเดียวกัน เป็นละเมิด 2.2 เป็นสินค้าจำพวกเดียวกัน แต่คนละรายการ เป็นละเมิด ฎีกาที่ 2108/2538 โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ต่อนายทะเบียน เครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกที่ 42 ประเภทอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งซึ่งประกอบด้วยเนื้อ เป็ด ไก่ ปลา และผัก เช่นเดียวกับสินค้าที่ใช้มานานในต่างประเทศ แม้สินค้าดังกล่าวจะแตกต่างกับสินค้าของจำเลยซึ่ง เป็นลูกกวาด ขนมปังกรอบ ขนมปังช็อกโกแล็ตและนม แต่สินค้าของจำเลยอยู่ในจำพวกที่ 42 และถือได้ว่า เป็นสินค้าประเภทอาหารด้วยจึงเป็นสินค้าจำพวกเดียวกัน 2.3 เป็นสินค้าต่างจำพวก แต่มีลักษณะอย่างเดียวกัน เป็นละเมิด ฎีกาที่ 3030/2533 เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันว่า "LUCKY" อ่านว่า "ลักกี้" แปลว่าโชคดี ใช้กับสินค้าที่นอนสปริงในจำพวกสินค้าประเภท 50 ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นอักษร โรมันว่า "LUXKY" อ่านว่า "ลักกี้" แปลความหมายไม่ได้ใช้กับสินค้าที่นอนทุกชนิดในจำพวกสินค้าประเภท 41 เครื่องหมายการค้าของโจทก์กับเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นอักษรโรมันและจำนวนตัวอักษร เท่ากัน ตัวอักษรต่างกันเฉพาะตัวที่ 3 เท่านั้น แต่คงอ่านออกเสียงเหมือนกันแม้สินค้าของโจทก์และจำเลยจะ จดทะเบียนไว้ต่างจำพวกกัน แต่ก็จดทะเบียนสินค้าในประเภทเดียวกันคือ ที่นอน ทั้งจำเลยก็ผลิตสินค้า ประเภทที่นอนออกจำหน่ายเช่นเดียวกับโจทก์ ดังนั้น สาธารณชนย่อมหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยคือสินค้าของ โจทก์โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยงดใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "LUXKY" และขอเพิกถอนทะเบียน เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของจำเลยได้ 2.4 เป็นสินค้าต่างจำพวก ที่ไม่มีลักษณะอย่างเดียวกัน ไม่เป็นละเมิดตามมาตรา 44 3.อย่างไรก็ตาม กรณีที่จำเลยใช้กับสินค้าต่างจำพวกที่ไม่มีลักษณะอย่างเดียวกัน แม้ว่าการกระทำของ จำเลยจะไม่เป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนแต่จำเลยอาจละเมิดโดยการลวงขายได้ หากจำเลย ขายสินค้าของจำเลยโดยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์ตามมาตรา 46 วรรคสอง ประเด็นนี้มีข้อสอบเนติบัณฑิต ว่า นายปานผลิตแชมพู ใช้เครื่องหมายการค้า ปานแก้ว สินค้าของ ปานคือแชมพู นายไฝผลิตน้ำสมุนไพรกับขนมชั้น ไฝนำน้ำสมุนไพรและขนมชั้นวางใกล้กับแชมพู ลูกค้าที่ซื้อ
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แชมพูจึงคิดว่าเป็นสินค้าเจ้าของเดียวกันจึงซื้อน้ำสมุนไพรและขนมชั้นด้วยเป็นจำนวนมาก จะเห็นได้ว่าแชมพู กับน้ำสมุนไพรและขนมชั้นต่างจำพวกกันไม่เป็นละเมิดตามมาตรา 44 อย่างไรก็ตามการที่ไฝวางสินค้าใกล้กัน แม้ต่างจำพวกกันแต่ใช้เครื่องหมายการค้าเดียวกันจึงเป็นการลวงขายตามมาตรา 46 วรรคสอง (ซึ่งข้อสอบ ลักษณะนี้ออกอีก 3 ครั้ง) ข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา บริษัทโคล่าจดเครื่องหมายโค้ก กับเครื่องดื่มโคล่า นายสิงเอาขวดโค้กมาใช้ กับยาแก้ไอน้ำดำ มีผู้มาซื้อสินค้ายาแก้ไอน้ำดำโดยเข้าใจว่าเป็นสินค้าของบริษัทโค้ก วินิจฉัยว่า นายสิงไม่ ละเมิดตามมาตรา 44 เพราะสินค้าที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้คือน้ำดื่มโคล่าแต่สินค้าที่ละเมิดเป็นยา แก้ไอน้ำดำ ไม่เป็นสินค้าจำพวกเดียวกันและไม่เป็นสินค้าต่างจำพวกที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน อย่างไรก็ตาม บริษัทโค้กมีอีกสถานะคือเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าไม่จดทะเบียนด้วยในสินค้าอื่นๆที่ไม่ได้จดไว้จึงมีสิทธิ ฟ้องฐานลวงขายได้ตามมาตรา 46 วรรคสอง ข้อสอบเนติบัณฑิต นายจอมจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “ถั่วหวาน” กับสินค้าชนิดนิตยสาร ขวัญเอาคำว่า “ถั่วหวาน” มาใช้เป็นชื่อร้านว่า ถั่วหวานคาเฟ่ และนำคำว่าถั่วหวานไปติดกับภาชนะอาหาร วินิจฉัยว่า จอมมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้าคำว่าถั่วหวานกับนิตยสารตามมาตรา 44 เมื่อ นำไปใช้กับชื่อร้านหรือภาชนะต่างๆ ไม่ใช่การนำไปใช้กับสินค้าที่จดทะเบียนไว้เป็นสินค้าต่างจำพวกที่ไม่มี ลักษณะอย่างเดียวกัน จึงไม่เป็นละเมิดตามมาตรา 44 และข้อสอบบอกว่าจอมจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตอนปี 2558 ขวัญนำมาใช้ปี 2560 สาธารณชนยังไม่รู้จักเครื่องหมายการค้าถั่วหวานนี้ดีจึงไม่เกิดความ เข้าใจผิดของสาธารณชนจึงไม่ละเมิดฐานลวงขายตามมาตรา 46 วรรคสอง การละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าไม่จดทะเบียนตามมาตรา 46 วรรคสอง มาตรา 46 บัญญัติว่า “ บุคคลใดจะฟ้องคดี เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้ จดทะเบียน หรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดสิทธิดังกล่าว ไม่ได้ บทบัญญัติมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน ในอันที่ จะฟ้องคดีบุคคลอื่นซึ่งเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น ” การลวงขาย (passing off) ตามมาตรา 46 วรรคสอง หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งเอาสินค้าของตนไป ลวงขายว่าเป็นสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น หรืออาจกล่าวได้ว่า การลวงขายเป็นการทำให้ สาธารณชนคิดว่าสินค้าของจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับโจทก์ หลักกฎหมายเรื่องลวงขายมาจากแนวคิดที่ว่า บุคคลไม่มีสิทธิที่จะแสดงว่าสินค้าของตนเป็นสินค้าของ บุคคลอื่นหรือไม่มีสิทธิที่จะแสดงว่าธุรกิจของตนเป็นธุรกิจของบุคคลอื่น หลักเกณฑ์การพิจารณาว่า การกระทำเป็นการลวงขาย 1.เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีชื่อเสียงแพร่หลาย โดยลักษณะของการลวงขายที่จำเลยเอาสินค้าของตนไปลวงขายจนผู้ซื้อเข้าใจว่าเป็นสินค้าของเจ้าของ เครื่องหมายการค้า ย่อมแสดงว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์มีชื่อเสียงแพร่หลายในประเทศไทยพอสมควร แต่ ไม่ต้องถึงขั้นเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปตามมาตรา 8(10)
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 2.การลวงขายมิได้จำกัดเฉพาะสินค้าชนิดเดียวกันหรือประเภทเดียวกันเท่านั้น แต่คุ้มครองไม่จำกัด จำพวกสินค้า ฎีกาที่ 343/2503 ความหมายคำว่า "ลวงขาย" ใน พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ม. 29 วรรค 2 มิได้จำกัดเฉพาะสินค้าชนิดเดียวกันหรือประเภทเดียวกันเท่านั้น หากแต่มีความหมายกว้างครอบคลุม ถึงกรณีต่าง ๆ ซึ่งจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของผู้อื่น ซึ่งมีความหมายได้ว่าไม่ใช่เป็นการ ลวงในวัตถุเท่านั้น หากแต่เป็นการลวงในความเป็นเจ้าของด้วย ฉะนั้น เมื่อจำเลยเอาคำว่า "แฟ๊บ" (FAB) ใน ลักษณะและสีเช่นเดียว กับของโจทก์ไปใช้กับสินค้าของจำเลย ก็ย่อมเป็นการลวงขาย ผิดกฎหมายเรื่องละเมิด 3.ความเหมือน คล้าย ของเครื่องหมายการค้า ในคดีลวงขายเครื่องหมายการค้าที่จำเลยนำไปใช้ไม่จำเป็นต้องเหมือนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เพียงแค่คล้ายก็เป็นการลวงขายแล้ว 4.ข้อพิจารณาอื่นนอกจากตัวเครื่องหมายการค้า แม้จำเลยไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยตรง หาก รูปลักษณ์ภายนอกของสินค้าหรือหีบห่อบรรจุภัณฑ์คล้ายของโจทก์จนอาจทำให้ผู้ซื้อสับสนในความเป็นเจ้าของ สินค้าแล้ว ก็เป็นการลวงขายได้ ฎีกาที่ 677/2532 เครื่องหมายการค้าของโจทก์ทั้ง 3 แบบ ปรากฏอยู่ที่กระป๋องบรรจุขนมปังกรอบ กับที่กล่องบรรจุขนมปังกรอบของโจทก์ เมื่อนำกล่องบรรจุขนมปังกรอบของจำเลยมาเปรียบเทียบกับกล่อง บรรจุขนมปังกรอบของโจทก์กับนำกระป๋องบรรจุขนมปังกรอบของจำเลยมาเปรียบเทียบกับกระป๋องบรรจุขนม ปังกรอบของโจทก์ จะเห็นได้ว่ากล่องและกระป๋องดังกล่าวของจำเลยมีขนาดเท่ากับกล่องและกระป๋องดังกล่าว ของโจทก์ทั้ง 6 ด้าน รูปร่างลักษณะของกล่องและกระป๋องตลอดจนฝาก็เหมือนกัน สีและภาพต่าง ๆ ใน ตำแหน่ง เดียวกันก็เหมือนกัน ขนาดของภาพและตัวอักษรที่อยู่ในตำแหน่ง เดียวกันก็เท่ากันนอกจากนี้ยังมี ตัวอักษรที่เหมือนกันคือคำว่า"CREAMCRACKERS" และคำว่า "EXTRALIGHT" ด้วย ส่วนตัวอักษรที่ต่างกันก็ คือ ของโจทก์ใช้ คำว่า "JACOB&COS" ส่วนของจำเลยใช้คำว่า "CHITCHATCO.,LTD." ของโจทก์ใช้ คำว่า "JACOB'S"ของจำเลยใช้ คำว่า "DRAGONBRAND" สำหรับผู้ที่อ่านอักษรโรมันไม่ได้ หากได้ เห็นเครื่องหมาย การค้าของโจทก์และของจำเลยในขณะเดียวกันก็ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีอะไรแตกต่างกันบ้าง แม้ผู้ที่อ่านอักษร โรมันได้ หากไม่พิจารณาให้รอบคอบหรือได้เห็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยต่าง เวลากันก็ น่าจะไม่สามารถสังเกตเห็นข้อแตกต่างของเครื่องหมายการค้าได้ เลยเครื่องหมายการค้าที่ปรากฏที่กล่องขนม ปังกรอบและกระป๋องขนมปังกรอบของจำเลยจึงมีลักษณะคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงนับได้ว่า เป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยคือสินค้าของโจทก์ 5.กรณีที่ถือไม่ได้ว่าเป็นการลวงขาย หากจำเลยระบุที่กล่องสินค้าว่า จำเลยเป็นผู้ผลิตหรือมีป้ายชื่อที่อยู่ของจำเลยกรณีถือไม่ได้ว่าจำเลย ลวงขาย ฎีกาที่ 1422/2524 เครื่องหมายการค้าของโจทก์ขอจดทะเบียนคือ "GLUCOLIN""GLAXO" ของ จำเลยคือ "UTOPIAN" ตัวอักษรเป็นแนวเดียวกัน สีที่ใช้และกระป๋องอย่างเดียวกัน เมื่อดูทั้งหมดแล้วเกือบ
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เหมือนกัน สามารถทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดว่า เป็นสินค้าของผู้ผลิตเดียวกัน โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้ามา ก่อนมีสิทธิดีกว่าจำเลย การที่บริษัทอื่นเป็นผู้ผลิตสินค้านั้นไม่หมายความว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของเครื่องหมาย การค้า จำเลยจดทะเบียนเครื่องหมายของจำเลยและใช้เครื่องหมายนั้น ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ฎีกาที่ 3846/2546 โจทก์ได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า สำหรับสินค้าในจำพวกที่ 7 ตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ชนิดสินค้าเครื่องฉีดพ่นที่ใช้กำลังเครื่องจักรและส่วนของเครื่อง ดังกล่าวซึ่งอยู่ในจำพวกนี้ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2520 ตามทะเบียนเลขที่ 62856 ส่วนจำเลยที่ 1 ได้รับ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า สำหรับสินค้าในจำพวกที่ 6 ตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ชนิดสินค้า เครื่องสูบน้ำ เครื่องสูบฉีดน้ำ และเครื่องฉีดยาฆ่าแมลง (ที่มีมอเตอร์) เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2524 ตามทะเบียนเลขที่ 76857 โจทก์จึงอยู่ในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้าตราเพชรที่ยังไม่ได้รับการ จดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าในจำพวกที่ 6 ตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ใช้ เครื่องหมายการค้ารูปเพชรตามทะเบียนเลขที่ 76857 กับสินค้าท่อน้ำและสายยางมาตั้งแต่ปลายปี 2511 การที่จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้ารูปเพชรกับสินค้าเครื่องพ่นยาฆ่าแมลงและเครื่องสูบน้ำตรงตามรูป เครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าดังกล่าวและระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ที่ตัวสินค้าให้เห็นได้ อย่างชัดเจนโดยเฉพาะสินค้าของจำเลยที่ 1 ได้ระบุหมายเลข "76857" ซึ่งเป็นเลขทะเบียนเครื่องหมาย การค้ารูปเพชรของจำเลยที่ 1 ไว้ที่ใต้รูปเครื่องหมายการค้าเพชรติดไว้ที่ตัวสินค้าด้วย จำเลยที่ 1 มิได้เอาชื่อ บริษัทโจทก์มาติดไว้ที่ตัวสินค้าของจำเลยที่ 1 ทั้งมิได้นำเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาใช้แต่อย่างใด พฤติการณ์และลักษณะการใช้เครื่องหมายการค้ารูปเพชรของจำเลยที่ 1 กับสินค้าของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวยัง ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการลวงขายสินค้าของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นสินค้าของโจทก์อันจะเป็นการ ละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้ารูปเพชรของโจทก์ที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าเครื่องพ่นยาฆ่า แมลงที่มีมอเตอร์ โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเนื่องจากการลวงขายตามฟ้องได้ ประเด็นการเพิกถอนตามมาตรา 67กับเรื่องลวงขายมาตรา 46 วรรคสอง ออกข้อสอบคู่กันตลอด ดูตัวอย่างข้อสอบต่อไปนี้(ประเด็นแบบนี้น่าสนใจ) บริษัทเอ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าบลูด็อกที่อเมริกาปีพ.ศ. 2529 กับสินค้าวัสดุก่อสร้างและ นำเข้ามาขายในไทย บริษัทบี ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าบลูด็อกในไทยปีพ.ศ. 2558 ในสินค้าประเภท เดียวกันคือวัสดุก่อสร้าง บริษัทเอมาฟ้องเพิกถอนโดยอ้างว่ามีสิทธิดีกว่าตอนปีพ.ศ. 2562 วินิจฉัย ประเด็นเรื่องสิทธิดีกว่าตามมาตรา 67 ว่าบริษัทเอจดเครื่องหมายการค้าบลูด็อกที่อเมริกาปี พ.ศ. 2529และจำหน่ายสินค้ามาก่อนจึงเป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้าบลูด็อกมาก่อนบริษัทบีจึงมีสิทธิดีกว่าฟ้อง เพิกถอนเครื่องหมายการค้าของบริษัทบีได้ตามมาตรา 67และได้ฟ้องเพิกถอนภายใน 5 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทบีแม้ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแต่ได้นำสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าบลูด็อกมาขายใน ประเทศไทยทำให้สาธารณชนสับสนเข้าใจว่าสินค้าของบริษัทบีเป็นสินค้าของบริษัทเอ แม้ว่าบริษัทเอไม่ได้จด ทะเบียนในไทยเป็นเครื่องหมายการค้าไม่จดทะเบียนแต่การที่บริษัทบีนำสินค้าไปลวงขายว่าเป็นของบริษัทเอ จึงเป็นการลวงขายตามมาตรา 46 วรรคสอง
pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เป็นการวินิจฉัยว่าแม้ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทยแต่ก็มีสิทธิฟ้องลวงขายได้ตามมาตรา 46 วรรคสอง ข้อยกเว้นการคุ้มครองสิทธิในเครื่องหมายการค้า ตามมาตรา 47 มาตรา 47 บัญญัติว่า “การจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ไม่เป็นการขัดขวางบุคคลใดในการใช้โดย สุจริตซึ่งชื่อตัว ชื่อสกุล หรือชื่อสำนักงานการค้าของตนหรือของเจ้าของเดิมของกิจการของตนหรือไม่เป็นการ ขัดขวางบุคคลใดในการใช้คำบรรยายโดยสุจริตซึ่งลักษณะหรือคุณสมบัติแห่งสินค้าของตน” เป็นการขยายอำนาจของเจ้าของเครื่องหมายการค้าไปถึงชื่อสำนักงานทางการค้าด้วย ฎีกาที่ 542/2546 ชื่อทางการค้าและเครื่องหมายการค้าคำว่า SONY และโซนี่ของโจทก์เป็นที่ แพร่หลายรู้จักกันทั่วไป จำเลยที่ 1 ก็รู้ การที่จำเลยที่ 1 ขอจดทะเบียนคำว่าบริษัทโซนี่อิมเป็กซ์จำกัด เป็นชื่อ บริษัทจำเลยที่ 1 โดยใช้คำภาษาอังกฤษว่า SONYIMPEXCO.,LTD. โดยไม่มีส่วนสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องหรือ ได้รับอนุญาตจากโจทก์ จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์จากความมีชื่อเสียงแพร่หลายของคำว่า SONY หรือโซนี่ โดยไม่สุจริต ทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดคิดว่าจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทในเครือของโจทก์หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของชื่อนิติบุคคลคำว่า SONY และโซนี่จึงมีสิทธิเรียกให้ระงับความเสียหาย และขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้ใช้ชื่อดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 18 ประกอบด้วย มาตรา 421 และมีสิทธิขัดขวางจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8 ในการใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า SONY หรือโซนี่ ของโจทก์เป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 47 ชื่อ บริษัทจำเลยที่ 1 ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียนเป็นชื่อบริษัทเพราะอาจก่อให้เกิดการสำคัญผิดเกี่ยวกับความเป็น เจ้าของลักษณะ วัตถุที่ประสงค์ ฐานะของกิจการหรือโดยประการอื่นตามระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วน บริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท พ.ศ. 2535 ข้อ 21(5) จำเลยที่ 9 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ใน การรับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท จึงชอบที่จะปฏิเสธการรับจดทะเบียนชื่อบริษัทจำเลยที่ 1ด้วยเหตุผล ดังกล่าวแต่เมื่อรับจดทะเบียนไว้แล้ว ก็ต้องเพิกถอนชื่อออกจากทะเบียนนั้นเสีย ฎีกาที่ 2905/2552 สิทธิของโจทก์ในเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในราชอาณาจักรไว้แล้ว ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 44 เป็นสิทธิแต่ผู้เดียวเพื่อใช้เครื่องหมายนั้นสำหรับสินค้าจำพวกที่ได้จด ทะเบียนไว้เพื่อแยกแยะให้เห็นว่า สินค้าของโจทก์แตกต่างจากสินค้าของผู้อื่นเท่านั้น หาได้รวมถึงการนำ เครื่องหมายนั้นมาใช้เป็นชื่อนิติบุคคลและดวงตรานิติบุคคลด้วยไม่ จำเลยที่ 1 นำคำว่า เบนซ์, BENZ และรูป ประดิษฐ์ดาวสามแฉกในวงกลม มาใช้เป็นชื่อบริษัทและดวงตรานิติบุคคล ไม่ได้นำมาใช้กับสินค้า การกระทำดังกล่าวจึงมิได้เป็นการใช้คำและรูปรอยประดิษฐ์ของโจทก์ในฐานะที่เป็นเครื่องหมายการค้าหรือ เครื่องหมายบริการ จึงไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ในเครื่องหมายการค้าตามนัยแห่งมาตรา 44 อย่างไรก็ ตาม คำว่า เบนซ์, BENZ และรูปประดิษฐ์ดาวสามแฉกในวงกลมเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของโจทก์ที่ได้รับความ คุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 18 และ ป.อ. มาตรา 272 (1) เมื่อจำเลยที่ 1 นำชื่อและรูปรอยประดิษฐ์ของ โจทก์ไปใช้โดยไม่สุจริตทำให้โจทก์เสียหาย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 โจทก์ย่อมมี สิทธิที่จะขอสั่งห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อและรูปรอยประดิษฐ์นั้นได้ ซึ่งแม้บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมิได้ ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนแก้ไขชื่อและดวงตรานิติบุคคลของจำเลยที่ 1 แต่การห้ามมิให้ใช้ดังกล่าวก็ย่อมมีผลทำให้จำเลยที่ 1 ไม่อาจประกอบกิจการค้าจำหน่ายรถยนต์และให้บริการ
pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องยนต์ภายใต้ชื่อ "บริษัทเบนซ์แจ้งวัฒนะ จำกัด" และใช้ดวงตรานิติบุคคลที่เป็นรูปรอย ประดิษฐ์ของโจทก์ได้อีกอันเป็นการห้ามมิให้กระทำการละเมิดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อยู่ในตัวแล้ว พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นแจ้งชัดถึงเจตนาในการนำชื่อและรูปรอยประดิษฐ์อันเป็นชื่อทางการค้า และเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาใช้โดยส่อเจตนาให้ประชาชนสับสนหลงผิดว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนทาง การค้าของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิขอบังคับห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ในลักษณะที่เป็น ชื่อทางการค้าและรูปรอยประดิษฐ์ในการประกอบการค้าของโจทก์ในการประกอบธุรกิจการค้าของจำเลยที่ 1 ได้ ในส่วนอาญาคดีส่วนใหญ่จะไปศาลอาญาเพราะค่าใช้จ่ายน้อย อาจารย์จะสอนน้อยให้ดูมาตรา 108 มาตรา 109 มาตรา 110 และในป.อ. มาตรา 272 ถึง 275 นะครับ ในคำบรรยายครั้งสุดท้ายของผมจะมีมาตราสำคัญและออกข้อสอบอยู่ไปดูกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ ***จบการบรรยาย***
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา ทรัพย์สินทางปัญญา (เครื่องหมายการค้าฯ) (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์ดร. สิทธิพล ทวีชัยการ บรรยายวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 (ครั้งที่ 1) (สัปดาห์ที่ 9) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เป็นชั่วโมงแรกของอาจารย์ซึ่งรับผิดชอบอยู่ 2 ส่วนส่วนแรกก็คือในเรื่อง ของกฎหมายเครื่องหมายการค้า ซึ่งอาจารย์จะรับผิดชอบในส่วนต้น ในส่วนหลังนั้น เข้าใจว่าท่านนักศึกษา คงจะได้เรียนกับท่านอาจารย์ไมตรีไปแล้ว ส่วนของอาจารย์นั้นจะเป็นการปูพื้นให้นักศึกษาเข้าใจว่ากฎหมาย เครื่องหมายการค้านั้นเป็นอย่างไรและอาจารย์ก็จะบรรยายไปจนถึงเรื่องลักษณะของเครื่องหมายการค้า ต่างๆ โดยอาจารย์จะบรรยายในส่วนนี้ทั้งหมด 3 ครั้ง หลังจากนั้นอาจารย์จะบรรยายในส่วนของกฎหมาย ลิขสิทธิ์ต่ออีกประมาณ 3 ครั้ง ก็จะพยายามบรรยายให้ครบถ้วน หลังจากนั้นอาจารย์ธรรมนูญจะมา รับผิดชอบในส่วนที่เหลือ โดยวันนี้จะเริ่มในส่วนของกฎหมายเครื่องหมายการค้า ถ้าเรามาดูกฎหมายเครื่องหมายการค้าก็จะมีพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฉบับแรกปีพ.ศ. 2534 มีการออกฉบับที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2543 และฉบับที่ 3 ในปี 2559 ซึ่งอาจารย์คิดว่าเรื่องเครื่องหมาย การค้าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่เราคุ้นเคยมาก รองมาจากในส่วนของลิขสิทธิ์ และในเอกสารที่ผมนำเสนอ ใน PowerPoint จะเห็นว่ามียี่ห้อ ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้า ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อของเครื่องดื่มชูกำลัง ยี่ห้อใน ส่วนของตัวเครื่องดื่มธรรมดา อาหาร อาหารกระป๋อง เราจะเห็นได้ว่ามีหลายยี่ห้ออยู่ในสื่อนำเสนอ เครื่องหมายการค้า มีคำพิพากษาศาลฎีกาเยอะมาก เรามักจะคุ้นเคยกันในเรื่องของเครื่องหมายการค้า ซึ่งเครื่องหมายการค้าก็คือทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง ถ้าเรามองเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาเราก็จะ เห็นว่าทรัพย์สินทางปัญญามี 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ กลุ่มแรก คือ ทรัพย์สินทางปัญญาประเภททรัพย์สินอุตสาหกรรม ซึ่งทรัพย์สินอุตสาหกรรมจะมีทั้ง ในส่วนของตัวสิทธิบัตร ชื่อทางการค้า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ความลับทางการค้า เครื่องหมายการค้า รวมถึง เรื่องของการออกแบบวงจรรวมอยู่ด้วย เหล่านี้คือส่วนของทรัพย์สินทางปัญญาที่ใช้ในเรื่องของอุตสาหกรรม คือใช้เพื่อการค้า แม้กระทั่งเรื่องของสิทธิบัตร ซึ่งจำเป็นที่จะต้องสามารถประยุกต์ใช้ได้ในวงการ อุตสาหกรรมต่าง ๆ เครื่องหมายการค้าก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นเครื่องหมายการค้ามีหลายตัวมาก ซึ่งเราจะมา ศึกษากันว่าเครื่องหมายการค้าแตกต่างจากชื่อทางการค้าอย่างไร กลุ่มที่สอง ทรัพย์สินทางปัญญาประเภทลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียง ตรงนี้เราจะเห็นว่ามีความ แตกต่างกัน เพราะลิขสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องใช้ในทางอุตสาหกรรม หรือในเชิงพาณิชย์เท่านั้น เช่น เวลาเราแต่ง หนังสือขึ้นมาเอง หรือเวลาเราแต่งเพลงขึ้นมาเอง ถามว่าเราไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางการค้าหรือไม่ ก็ไม่ เราอาจจะแต่งขึ้นมาเพื่ออ่านเอง หรือเพื่อที่จะให้เพื่อนฝูงของเราเสพอรรถรสของงานวรรณกรรมหรือดนตรี กรรม แต่ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อการพาณิชย์หรือทำเพื่อการอุตสาหกรรม อันนี้คือเรื่องของลิขสิทธิ์ รวมทั้งใน กลุ่มนี้ก็จะมีเรื่องสิทธิข้างเคียง ซึ่งสิทธิข้างเคียงก็เป็นสิทธิข้างเคียงของงานอันมีลิขสิทธิ์ ซึ่งเราจะมีการศึกษา อย่างละเอียดตอนที่ผมมาพูดถึงลิขสิทธิ์ และสิทธิข้างเคียง
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สำหรับเรื่องของประวัติเครื่องหมายการค้า เราจะเห็นว่าเครื่องหมายการค้ามีการประกาศใช้มา ตั้งแต่ ร.ศ. 127 ในประเทศไทย แต่ว่าจริง ๆ แล้วมีการใช้เครื่องหมายการค้าตั้งแต่ยุคจีนโบราณและ จักรวรรดิโรมันในยุคกลาง ซึ่งมีการใช้เครื่องหมายการค้าอย่างแพร่หลายในยุโรปตะวันตก ใช้เพื่อเป็นเครื่อง พิสูจน์ความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินค้าเมื่อสินค้าสูญหาย หรือเป็นเครื่องพิสูจน์สินค้าเทียมเลียนแบบ ส่วนในประเทศไทยปีพ.ศ. 2450 มีการประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับเครื่องหมายการค้า ซึ่งมีการบัญญัติความผิดและบทกำหนดโทษในการปลอมและเลียน เครื่องหมายการค้าของผู้อื่นไว้ ต่อมากฎหมายฉบับนี้ถูกยกเลิกในปีพ.ศ. 2500 และมีประมวลกฎหมาย อาญาใช้บังคับแทนจนถึงปัจจุบัน กฎหมายเครื่องหมายการค้าฉบับแรกของไทย คือพระราชบัญญัติลักษณะ เครื่องหมายการค้าและยี่ห้อการค้าขาย พ.ศ. 2457 ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ต่อมาในปีพ.ศ. 2474 ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรม และศิลปกรรม ซึ่งจริง ๆ แล้วอนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมเป็นตัว กฎหมายอนุสัญญาหรือเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นการคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ แต่ว่าในปี นั้นเองด้วยประจวบเหมาะที่ประเทศไทยมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 แทนพระราชบัญญัติลักษณะเครื่องหมายการค้า ถือว่าตัวนี้เป็นพ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าที่มีความทันสมัย ในขณะนั้น ซึ่งมีเนื้อหาสาระคุ้มครองเฉพาะเครื่องหมายการค้า แต่ไม่ได้คุ้มครองเครื่องหมายอื่น กล่าวคือ ยังไม่ได้คุ้มครองเครื่องหมายบริการ หรือเครื่องหมายรับรอง และยังไม่มีการกำหนดบทบัญญัติเรื่องละเมิด สิทธิ์เครื่องหมายการค้าเป็นความผิดทางอาญาไว้ จึงทำให้ในส่วนของการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าจะต้อง อาศัยประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติความผิดเกี่ยวกับการค้าไว้จึงยังไม่สมบูรณ์แบบ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ มีการบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ใช้บังคับแทน ซึ่งนอกจากจะ คุ้มครองเครื่องหมายการค้าแล้ว ก็ยังคุ้มครองเครื่องหมายบริการ เครื่องหมายร่วม และมีเนื้อหาที่สำคัญที่ เกี่ยวข้องกับสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า และสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายบริการ และการ ละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าเป็นความผิดอาญา ซึ่งเป็นพัฒนาการจนกระทั่งประเทศไทยเป็นสมาชิก ของ WTO พอประเทศไทยเข้าเป็นภาคีขององค์การการค้าโลก ก็มีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามความตกลง ต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ในเรื่องของการค้า ที่เรียกว่า TRIPS ทำให้พอมีพันธกรณีภายใต้ TRIPS จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายเครื่องหมายการค้าและตราออกมาเป็น พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2543 เพิ่มเติมขึ้นมา ซึ่งตรงนี้ทำให้มีการเพิ่มเติมในส่วนของ เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ลักษณะของเครื่องหมายการค้าที่ต้องห้ามไม่ให้รับจดทะเบียน คุณสมบัติของผู้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า และหลักเกณฑ์การยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 ก็มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฉบับที่ 3 พ.ศ 2559 เพื่อขยายขอบเขตการให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าประเภทใหม่ ๆ ซึ่งบทบัญญัติของเครื่องหมาย การค้า พ.ศ. 2534 ในขณะนั้นยังไม่ครอบคลุม เพราะฉะนั้นจึงมีการบัญญัติขึ้นมาให้มีการครอบคลุม เพิ่มมากขึ้น และประกอบกับที่ประเทศไทยเป็นภาคีแห่งพิธีสารมาดริดที่เกี่ยวกับความตกลงเรื่องการ
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จดทะเบียนระหว่างประเทศของเครื่องหมาย ที่เรียกว่าพิธีสารมาดริด เลยจำเป็นต้องมีการขยายขอบเขต ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าเพื่อให้สอดคล้องกับพิธีสาร สิ่งนี้เป็นประวัติโดยย่อของเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายการค้ามีลักษณะหรือหน้าที่ 4 ประการ ดังนี้ ประการที่ 1 หน้าที่ในการบ่งชี้และแยกแยะความแตกต่างของสินค้า ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่มี ความสำคัญอย่างยิ่ง ยกตัวอย่าง เราไปซื้อน้ำพริกเผาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต และถ้าหากว่าน้ำพริกเผานั้นไม่มี ยี่ห้อหรือไม่มีเครื่องหมายการค้า อะไรจะเกิดขึ้น ต่อมาเราทานหมดและรู้สึกว่าน้ำพริกเผานี้อร่อย ครั้งต่อไป เราจะไปซื้อน้ำพริกเผานั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปซื้อน้ำพริกเผานั้นตรงไหน นอกจากเราจะจำตำแหน่งชั้นที่ วางขาย อันนี้เราก็จะไม่รู้เลยว่าน้ำพริกยี่ห้อชนิดนี้กับน้ำพริกชนิดอื่นต่างกันอย่างไร แต่ถ้าน้ำพริกนั้นมียี่ห้อ หรือมีเครื่องหมายการค้า เราก็จะทราบว่าน้ำพริกยี่ห้อไหนอร่อยกว่ากัน ครั้งถัดไปเราก็จะรู้ว่าควรซื้อน้ำพริก ยี่ห้อไหนหรือเราจะไปแนะนำคนอื่นอย่างไร อันนี้คือหน้าที่ในการบ่งชี้และแยกแยะความแตกต่างของสินค้า ตรงนี้เป็นเรื่องหน้าที่ประการที่หนึ่งของเครื่องหมายการค้า ประการที่ 2 หน้าที่บ่งบอกแหล่งที่มาของสินค้า อันนี้ก็ชัดเจนว่าเราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้รู้ว่า สินค้านี้มีที่มาจากไหน ก็จะคล้าย ๆ กัน ก็คือเราสามารถที่จะรู้ว่าสินค้านี้มีแหล่งที่มาจากไหน เขาก็จะระบุ ชัดเจน ประกอบเรื่องของการที่มีดีไซน์สวยงาม หรือการมีโลโก้สวยงาม หรือสินค้านี้ผลิตจากที่ไหน ยี่ห้ออะไร ประการที่ 3 หน้าที่บ่งบอกระดับคุณภาพของสินค้า บ่งบอกคุณภาพของสินค้าอย่างไร เช่น ไปซื้อ สินค้า ถ้าสินค้านั้นดีจริง เราก็จะจำยี่ห้อของสินค้านั้นได้ และเราก็จะซื้อต่อไปหรือเราก็จะแนะนำคนรู้จักให้ มาซื้อต่อไป ประการที่ 4 หน้าที่โฆษณาสินค้า เพราะว่าในส่วนของตัวเครื่องหมายการค้านั้นเป็นเรื่องการมี ดีไซน์สวยงามและประกอบกับมีคุณภาพที่ดี เราจดจำได้ ทางเจ้าของเครื่องหมายการค้าเขาก็จะสามารถ ที่จะใช้ในเรื่องของดีไซน์เครื่องหมายการค้านั้นเพื่อโฆษณาเผยแพร่ให้คนรู้จักในส่วนของสินค้านั้น ๆ ถ้าไม่มี เครื่องหมายการค้าก็ไม่รู้ว่าจะโฆษณาอย่างไร ฎีกาที่ 2041/2552 หน้าที่หลักของเครื่องหมายการค้า คือ หน้าที่บอกแหล่งที่มาของสินค้า และ หน้าที่บอกความแตกต่างระหว่างสินค้า หมายความว่า เครื่องหมายการค้าจะต้องบ่งบอกได้ว่า สินค้าภายใต้ เครื่องหมายการค้าดังกล่าวมีแหล่งกำเนิดมาจากที่ใด และสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างจาก สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าอีกเครื่องหมายหนึ่ง ฎีกาที่ 4488 - 4490/2555 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นอกจากเครื่องหมายการค้าจะทำหน้าที่ระบุตัว สินค้าว่าเป็นสินค้าของผู้ผลิตรายใดและทำหน้าที่แยกแยะความแตกต่างของสินค้าที่ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้ สินค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ถูกต้องตามที่ต้องการแล้ว เครื่องหมายการค้ายังทำหน้าที่ควบคุมและรับรอง คุณภาพของสินค้าในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายการค้าอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้เครื่องหมายการค้านั้นด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นไม่เป็นที่เชื่อมั่นของผู้บริโภคในคุณภาพของสินค้า ซึ่ง หน้าที่ของเครื่องหมายการค้าในการควบคุมและรับรองคุณภาพของสินค้านี้ปรากฏโดยนัยของมาตรา 68 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ความหมายและลักษณะของเครื่องหมายการค้า ประเด็นแรก ให้นักศึกษาเปิดดูที่คำจำกัดความในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า ซึ่งเราจะเห็น ว่าคำจำกัดความในมาตรา 4 เริ่มด้วยคำว่า เครื่องหมาย ตามตัวบทอธิบายว่า เครื่องหมาย เครื่องหมายรูป ได้แก่ ภาพถ่าย ภาพวาด ภาพประดิษฐ์ เครื่องหมายคำ ได้แก่ ชื่อ คำ ข้อความ ตัวหนังสือ ตัวเลข หรืออาจจะเป็นกลุ่มของสี เช่น แถบสีส้ม, สีเขียว หรือสีแดง หรือเสียง สิ่งเหล่านี้อย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เพราะฉะนั้นเครื่องหมายการค้าไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นโลโก้อย่าง เดียว อันนี้คือในลักษณะของตัวเครื่องหมายที่จะไปเป็นเครื่องหมายการค้า ฉะนั้นเราจะต้องเริ่มในส่วนของ ตัวเครื่องหมายก่อนว่าตัวเครื่องหมายหมายความว่าอย่างไร ประเด็นต่อไปที่อยากจะอธิบายให้เกิดความชัดเจนก็คือ ถ้าเราไปดูตัวเครื่องหมายเราก็จะเห็นรูปร่าง หรือรูปทรงของวัตถุ ตัวเครื่องหมายเป็นได้หมด ขวดของน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง รวมเป็นดีไซน์การจดทะเบียน เพราะว่ามีหลายอย่าง อย่างที่เขาบอกว่ามีอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างประกอบกัน เขาอาจจะไปเอา รูปทรงหรือรูปร่างของวัตถุรวมกับตัวภาพผลิตขึ้นมา หรือรวมกับสี เพื่อไปจดทะเบียนการค้า เราจะเห็นได้ ว่า (ภาพบนสไลด์นำเสนอ) มีสีหลากหลายสีและมีรูปทรงรวมอยู่ด้วย หรืออาจจะเป็นตัวคำที่ประดิษฐ์ขึ้นมา อาจจะมีตัวโลโก้ คือ ตัวภาพประดิษฐ์ขึ้นมา เช่น ยี่ห้อของโทรศัพท์เคลื่อนที่ อย่างไรก็ตามในกฎหมายไทย ยังไม่ให้การรับรองเรื่องของกลิ่นหรือรสชาติ ดังนั้นเราจะไม่ถือว่ากลิ่นและรสชาติเป็นเครื่องหมายตาม พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า แต่ว่าถ้าเป็นเสียงสามารถเป็นเครื่องหมายได้ เมื่อเราเข้าใจเรื่องของ เครื่องหมายการค้าแล้ว และถ้าเป็นเครื่องหมายแล้ว ถามว่า เครื่องหมายการค้าจะแตกต่างกับเครื่องหมายอย่างไร ในคำจำกัดความของมาตรา 4 พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า ให้คำจำกัดความว่า เครื่องหมาย การค้า หมายความว่า เครื่องหมายที่ใช้หรือจะใช้เป็นที่หมาย หรือเกี่ยวข้องกับสินค้าเพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้ เครื่องหมายของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นเรื่องของเครื่องหมายการค้า ประการที่ 1 เครื่องหมายการค้าจะต้องเป็นเครื่องหมาย อะไรคือเครื่องหมาย อาจารย์อธิบายแล้ว ในคำจำกัดความของเครื่องหมายตามมาตรา 4 ประการที่ 2 เครื่องหมายนั้นจะต้องใช้หรือเป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับสินค้า สรุปอย่างง่ายคือ เครื่องหมายการค้าจะต้องเป็นเครื่องหมายที่ใช้เกี่ยวข้องกับสินค้า ประการที่ 3 ต้องใช้เพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น แตกต่างจากสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น ทั้งหมดนี้ถึงจะเข้าองค์ประกอบของเครื่องหมายการค้า ถามว่า ถ้าสมมุติมีเครื่องหมายแต่ไม่ได้ใช้อย่างเครื่องหมายการค้าจะถือว่าเป็นเครื่องหมายการค้า หรือไม่? มีคำพิพากษาฎีกาที่ 1257/2536 และคำพิพากษาฎีกาที่ 547/2538 ซึ่งจะคล้ายกัน ฎีกาที่ 1257/2536 เป็นลักษณะของการที่มีการฟ้องร้องว่า บริษัทหนึ่งมีการไปละเมิด เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น ศาลฎีกามองว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสินค้าเครื่องถ่ายเอกสารและกล่องของ