The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

3611006TM-คู่มือครูวรรณคดีและวรรณกรรม-ม6[211119]

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พิสมัย สืบเลย, 2022-12-19 02:46:13

3611006TM-คู่มือครูวรรณคดีและวรรณกรรม-ม6[211119]

3611006TM-คู่มือครูวรรณคดีและวรรณกรรม-ม6[211119]

วชิ า ภาษาไทย เอกสารประกอบคมู ือครู
กลมุ สาระการเรย� นรู้ ภาษาไทย

วรรณคดแี ละวรรณกรรม ม.6

ลักษณะเดน คมู อื ครู ฉบบั น้ี สาํ หรับครู

สวนเสรมิ ด้านหนา้ การใชว ฏั จกั รการเรยี นรู 5Es : กระบวนการพฒั นาศกั ยภาพการคดิ
และการสรางองคความรู
การใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 5Es : กระบวนการพฒั นาศกั ยภาพการคิด
และการสรา้ งองค์ความรู้ ประกอบด้วย
1. กระตนุ้ ความสนใจ : Engage
รูปแบบการสอนท่ีสัมพันธ์กับกระบวนการคิดและการท�างานของสมองของผู้เรียนที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย 2. สา� รวจคน้ หา : Explore
ท้ังในประเทศไทยและต่างประเทศ คอื วัฏจักรการเรียนร ู้ 5Es ซงึ่ ผจู้ ดั ทา� คมู่ อื ครไู ด้นา� มาใชเ้ ปน็ แนวทางออกแบบ 3. อธิบายความร ู้ : Explain
กิจกรรมการเรียนการสอนในคมู่ อื ครูฉบับนตี้ ามลา� ดับข้ันตอนการเรยี นร้ ู ดังนี้ 4. ขยายความเขา้ ใจ : Expand
5. ตรวจสอบผล : Evaluate
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

• เ ป็นข้ันทีผ่ สู้ อนนำ� เขำ้ สู่ • เ ป็นขั้นท่ีผูส้ อนเปดิ • เป็นขั้นทผี่ ูส้ อนมี • เ ป็นขน้ั ทผี่ ู้สอนได้ใช้ • เ ป็นข้ันทผ่ี สู้ อนประเมนิ
บทเรียน เพื่อกระตนุ้ โอกำสใหผ้ ู้เรียนสงั เกต ปฏิสมั พันธก์ บั ผูเ้ รียน เทคนิควิธกี ำรสอน มโนทัศนข์ องผ้เู รยี น
ควำมสนใจของนักเรียน และรว่ มมอื กนั สำ� รวจ เชน่ ใหก้ ำรแนะนำ� ทีช่ ่วยพฒั นำผู้เรยี น
ดว้ ยเรื่องรำว หรือ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ปญั หำ ตั้งค�ำถำมกระตุ้นใหค้ ดิ ใหน้ �ำควำมรูท้ ่ีเกิดขึ้น โดยตรวจสอบจำก
เหตกุ ำรณท์ น่ี ำ่ สนใจ รวมถงึ วิธกี ำรศกึ ษำ เพ่อื ใหผ้ ูเ้ รียนไดค้ น้ หำ ไปคิดคน้ ตอ่ ๆ ไป ควำมคิดทีเ่ ปลีย่ นไป
ค้นคว้ำขอ้ มลู ควำมรู้ คำ� ตอบ เพอ่ื พฒั นำทกั ษะ และควำมคิดรวบยอด
• ใช้เทคนคิ วิธีกำรสอน ทีจ่ ะนำ� ไปสคู่ วำมเขำ้ ใจ กำรเรียนร้แู ละ ทเี่ กิดข้ึนใหม ่ ตรวจสอบ
และคำ� ถำมทบทวนควำมร ู้ ประเดน็ ปัญหำนน้ั ๆ • น ำ� ขอ้ มลู ควำมรูจ้ ำก กำรท�ำงำนรว่ มกนั ทกั ษะ กระบวนกำร
หรอื ประสบกำรณเ์ ดมิ กำรศกึ ษำคน้ ควำ้ เป็นกลุ่ม ระดมสมอง ปฏิบตั ิ กำรแกป้ ัญหำ
ของผูเ้ รียน เพอื่ เช่อื มโยง • ใ ห้นกั เรยี นท�ำควำม ในขน้ั ท ่ี 2 มำวเิ ครำะห ์ เพอ่ื คดิ สรำ้ งสรรค์ กำรตอบคำ� ถำมรวบยอด
ผ้เู รียนเขำ้ ส่บู ทเรียนใหม่ เข้ำใจในประเด็นหัวขอ้ แปลผล สรุปผล รว่ มกนั และกำรเคำรพควำมคดิ
ทจ่ี ะศึกษำค้นคว้ำ หรือยอมรับเหตุผล
• ชว่ ยใหน้ กั เรยี นสำมำรถ อยำ่ งถอ่ งแท้ • น ำ� เสนอผลทไ่ี ดศ้ กึ ษำ • น กั เรยี นสำมำรถน�ำ ของคนอนื่ เพอ่ื กำร
สรปุ ประเดน็ ส�ำคัญทเี่ ป็น แลว้ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ค้นคว้ำมำในรูปแบบ ควำมรู้ที่สรำ้ งขนึ้ ใหม่ สร้ำงสรรคค์ วำมรู้
หวั ขอ้ กำรเรยี นรู้ของ เพือ่ เก็บรวบรวมข้อมูล สำรสนเทศต่ำงๆ เช่น รว่ มกัน
บทเรียนได้ ควำมรู้ เขียนแผนภมู ิ แผนผัง ไปเชื่อมโยงกับ • น ักเรียนสำมำรถ
แสดงมโนทศั น์ ประสบกำรณ์เดิม ประเมินผลกำรเรียนร้ ู
• ส �ำรวจตรวจสอบ โดยน�ำขอ้ สรปุ ทีไ่ ดไ้ ป ของตนเอง เพอื่ สรปุ ผล
โดยวธิ กี ำรต่ำงๆ เช่น เขยี นควำมเรียง อธบิ ำยในเหตุกำรณ ์ ว่ำนกั เรยี นมคี วำมรู้
สัมภำษณ ์ ทดลอง เขยี นรำยงำน เปน็ ต้น ตำ่ งๆ หรอื น�ำไปปฏิบตั ิ อะไรเพม่ิ ข้ึนมำบำ้ ง
อำ่ นคน้ ควำ้ ขอ้ มลู มำกนอ้ ยเพยี งใด และ
จำกเอกสำร แหล่ง ในสถำนกำรณ์ใหม่ๆ จะน�ำควำมรู้เหลำ่ นัน้
ขอ้ มูลต่ำงๆ จนได้ ทเ่ี ก่ียวข้องกับชวี ิต ไปประยุกต์ใช้ในกำร
ข้อมูลควำมรู้ตำมที่ ประจำ� วนั ของตนเอง เรยี นร้เู รื่องอื่นๆ
ตง้ั ประเด็นศกึ ษำไว้ เพอื่ ขยำยควำมรู้ ไดอ้ ยำ่ งไร
ควำมเข้ำใจให้ • นักเรยี นจะเกดิ เจตคติ
กวำ้ งขวำงยิ่งขึน้
และเหน็ คุณคำ่ ของ
ตนเองจำกผลกำร
เรียนรทู้ เ่ี กดิ ขนึ้ ซึ่งเป็น
กำรเรียนรทู้ ่ีมคี วำมสุข
อยำ่ งแทจ้ ริง

การจดั กิจกรรมการเรียนรตู้ ามวัฏจกั รการสร้างความรู้แบบ 5Es จงึ เปน็ รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเนน้ ผู้เรียน
เป็นส�าคัญ สอดคล้องกับบันได 5 ขั้น ของ สพฐ. โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
และฝึกฝนให้ใช้กระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่มอย่างช�านาญ ก่อให้เกิดทักษะท่ีจ�าเป็นในศตวรรษที่ 21 คือ
ทักษะการท�างาน ทกั ษะชวี ิต และการเรียนรูต้ ลอดชวี ติ อย่างมคี ณุ ภาพ ตามเป้าหมายการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา
ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร (พ.ศ. 2556 - 2558) ทุกประการ

เสรมิ 2

เน้อื หาในเลม กระบวนการจัดการเรียนรูแ บบ 5Es

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล กระบวนการจัดการเรยี นร้ ู 5 ขน้ั ตอน เพื่อพฒั นาการคดิ วเิ คราะห ์
Explain Expand ชว่ ยเสริมสร้างทกั ษะการเรียนรู้

Engage Explore Evaluate สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู
Explore Explain
อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%) กระตุนความสนใจ ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

จากเสภาเร่อื งขนุ ชา งขุนแผน Engage Expand Evaluate
ตัวละครแตละตวั มีลกั ษณะนิสยั
แตกตางกนั (ยอ จากฉบับนกั เรยี น 20%) ๑ ความเปนมา สํารวจคน หา เน้�อหาชวยครเู ตรียมการสอน
๒.๔) ตวั ละคร เสภาขนุ ชา งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา งถวายฎีกา ปรากฏบคุ ลกิ ลักษณะท่ี 1. ใหน กั เรียนสืบคนขอมูลเกีย่ วกบั
• ตัวละครในเร่อื งสะทอนภาพ ชัดเจนของตัวละครทีส่ ําคัญ ดังนี้ ไตรภมู ิพระรว ง หรือเรียกวา ไตรภูมกิ ถา หรือ เตภมู ิกถา นี้ไมมีตน ฉบบั เดิมเปนหลักฐาน
ความรักอยางไรบาง ท่ีมีอยูเปนฉบับคัดลอกซ่ึงมีปรากฏในบานแผนกวา พระมหาชวยวัดกลาง (ปากน้ํา จังหวัด ความเปน มาและความสาํ คญั ของ
(แนวตอบ ความรกั ระหวางแมก บั (๑) นางวนั ทอง ซง่ึ แตเ ดมิ วนั ทองเปน เดก็ สาวไรเ ดยี งสา ไมค อ ยมโี อกาสตดั สนิ ใจ สมทุ รปราการ) จารไว ณ เดือนสี่ ปจอ จุลศักราช ๑๑๔๐ สมัยธนบุรี ฉบบั ทพ่ี ระมหาชว ยจารนี้ ไตรภูมิพระรว ง จากแหลงเรยี นรู
ลกู ของนางวนั ทองกับจมืน่ ไวยฯ ดว ยตนเอง เมื่อเขาสวู ัยผูใหญท ผี่ า นความทุกขม ามากมาย นางวนั ทองมคี วามสขุ มุ รอบคอบ รจู กั เปนภาษาไทย แตเขียนเปนตัวอักษรขอม ซึ่งกอนนับถือกันวาเปนอักขระที่ขลัง ศักดิ์สิทธ์ิ และ ตางๆ แลว บันทกึ ความรู
ความรกั ระหวา งสามีและภรรยา ยบั ยงั้ ชงั่ ใจ คดิ กอ นทาํ ดงั จะเหน็ ไดจ ากตอนทขี่ นุ แผนเขา มาหานางในหอ งนอนวนั ทองมไิ ดย นิ ยอม เปน หนงั สอื ทางศาสนา 2. ใหน กั เรยี นสืบคน พระราชประวตั ิ
ของขนุ ชางและขนุ แผนท่ีมีตอ ที่จะมีความสัมพันธฉันสามีภรรยากับขุนแผน และนางยังกลาวถึงเรื่องควรไมควรและเตือนให และพระราชกรณียกจิ สําคัญของ
ขนุ แผนกราบทูลพระพันวษาใหท รงทราบเรอ่ื งกอ น ดังความวา ตน ฉบบั ไตรภมู พิ ระรว งทถี่ อดเปน ตวั อกั ษรไทย พมิ พเ ผยแพรเ ปน ครงั้ แรก เมอื่ พ.ศ. ๒๔๕๕ พญาลไิ ทย แลว บันทกึ ความรู
สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพประทานคําอธิบายไวว า “หนังสอื เรอื่ งนเี้ ปน หนังสือเกา มาก
นางวันทอง และความจงรัก มิใชห นุมดอกอยากลุมกาํ เริบรัก เอาความผิดคดิ หักใหเหอื ดหาย มีศัพทเ กา ๆ ทไี่ มเขาใจและเปน ศัพทอนั เคยพบแตใ นศลิ าจารกึ คร้ังกรงุ สโุ ขทัยหลายศัพท นาเชือ่ อธบิ ายความรู
ภกั ดขี องราษฎรท่ีมีตอ ถา รักนองปอ งปด ใหม ิดอาย ฉันกลบั กลายแลวหมอ มจงฟาดฟน วา หนังสอื ไตรภมู ิน้ี ฉบับเดมิ จะไดแ ตง คร้งั กรุงสโุ ขทยั จริง แตค ัดลอกสืบกนั มาหลายชั้นหลายตอ 1. นักเรียนแบง กลมุ นําเสนอความรู
พระมหากษัตรยิ ) ไปเพด็ ทูลเสียใหทูลกระหมอมแจง นองจะแตง บายศรีไวเ ชิญขวญั จนวิปลาสคลาดเคล่ือนหรือบางทีจะไดมีผูดัดแปลงสํานวนและแทรกเติมขอความเขาเม่ือครั้ง
กรุงเกาบางก็อาจเปนได ถึงกระน้ันโวหารหนังสือเร่ืองน้ียังเห็นไดวาเกากวาหนังสือเรื่องใดๆ ตามหัวขอตอไปนี้
ขยายความเขาใจ ไมพ กั วอนดอกจะนอนอยูดวยกนั ไมเชนนนั้ ฉันไมเ ลยจะเคยตวั ในภาษาไทย นอกจากศลิ าจารกึ ทไ่ี ดเคยพบมา จงึ นับวาเปนหนงั สือเรื่องดีดวยอายุประการ ๑” • ประวตั ิความเปนมา
• ความสําคัญของไตรภมู พิ ระรวง
จากที่ศกึ ษาบทประพนั ธตลอด (๒) พลายงาม พลายงามเปนตนเหตุสําคัญที่ทําใหขุนชางถวายฎีกาซ่ึงสงผล ทงั้ นี้ ในคาํ นาํ หรอื บานแผนกไดบ อกเวลาแตง ไวว า “เนอื้ ความไตรภมู กิ ถานี้ มใี นกาลเมอื่ ใดไส • พระราชกรณยี กจิ สาํ คญั ของ เกร็ดแนะครู แทรกความรู้เสริม ขอ้ เสนอแนะ ข้อควรระวงั
ท้งั ตอนแลว ครูและนักเรยี นรว มกนั ใหนางวันทองถูกประหารชีวิตในที่สุด พลายงามเปนผูท่ีใชอารมณเหนือเหตุผล กระทําทุกอยาง และมีแตในประกาโพนเมื่อศักราชได ๒๓ ป ประกาเดือน ๔ เพ็งวันพฤหัสบดีวาร ผูใด ขอ้ สงั เกต และแนวทางการจัดกจิ กรรม
แสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ เพอื่ ตอบสนองความตอ งการของตนโดยไมค าํ นงึ ถงึ ความถกู ตอ งเหมาะสม ดงั เชน ตอนทพ่ี ลายงาม หากสอดรูบมิไดไสส้ิน เจาพระญาเลไทยผูเปนลูกแหงเจาพระญาเลลิไทย ผูเสวยราชสมบัติ พญาลิไทย ขยายความรเู้ พิ�มเติมจากเน้�อหา เพอ่ื ให้ครูน�าไปใช้
ดังตอ ไปนี้ ข้ึนเรือนขุนชางเพื่อบังคับพาตัวนางวันทองไป นางวันทองหามปรามและเตือนสติแตพลายงาม ในเมืองศรสี ัชนาไลยและสุกโขทัย และเจา พระญาเลลไิ ทยน้ี ธ เปนหลานเจาพระญารามราชผเู ปน • สภาพสังคมในสมยั สุโขทัย อธบิ ายเพมิ� เตมิ ใหน้ กั เรยี น
ไมย อมฟง เหตผุ ล กลับย่งิ แสดงอารมณโ กรธจนถึงกบั จะตดั ศรี ษะนางวันทองหากไมยอมไปกบั ตน สรุ ยิ วงษ และเจาพระญาเลไทยไดเสวยราชสมบตั ิในเมืองสชั ชนาไลยอยูได ๖ เขา จงึ ไดไตรภมู ”ิ 2. นกั เรียนแตล ะกลมุ ชวยกันนาํ เสนอ นักเรียนควรรู แนะนา� แหลง่ คน้ คว้าจากเว็บไซต์
• ใครเปนตนเหตุที่แทจริงท่ีทาํ ให ดงั ความวา ขอ มลู ทศ่ี กึ ษามา จากนั้นสรปุ
นางวนั ทองถกู ประหาร จากขอความน้ี ทําใหทราบวาพญาลิไทยเสวยราชยในเมืองศรีสัชนาลัยได ๖ ป จึงได ความรทู ี่ไดจ ากการฟงเพอื่ นๆ
• หากนกั เรียนเปนพลายงาม ทกุ กลมุ นําเสนอแลวบนั ทึกลงสมุด
ขนุ แผน ขุนชา ง หรือนางวันทอง ครานัน้ จึงโฉมเจา พลายงาม ฟง ความเหน็ วาแมห าไปไม ๒พระราชนพิ นธเ ร่ืองไตรภูมพิ ระรวงข้ึน @ มมุ IT
นกั เรียนแกปญหาทเี่ กิดขึ้น คิดบายเบีย่ งเลยี่ งเลยี้ วเบ้ยี วบดิ ไป เพราะรักอา ยขนุ ชางกวา บิดา ประวตั ผิ แู ตง
อยา งไร จึงวา อนจิ จาลกู มารบั แมยังกลับทัดทานเปนหนกั หนา พญาลิไทยเปน พระมหากษัตรยิ องคที่ ๕ แหงอาณาจกั รสโุ ขทัย กอนเสวยราชสมบัติดํารง
เหมือนไมมีรักใครใ นลูกยา อตุ สา หมารับแลว ยงั มิไป ตําแหนงพระมหาอุปราช ครองเมอื งศรสี ชั นาลยั อยู ๖ ป ไดพ ระนามวา พญาไทยราช และได
แตง ไตรภูมิกถาหรอื ไตรภูมิพระรว งขึน้
เสียแรงเปนลูกผูชายไมอ ายเพอื่ น จะพาแมไปเรอื นใหจงได นักเรยี นควรรู
พญาลไิ ทยครองราชย เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๙๐ มีพระนามเรียกวา พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ทรง จลุ ศักราช 1140 หรอื พ.ศ. 2326
เกร็ดแนะครู แมน มไิ ปใหง ามกต็ ามใจ จะบาปกรรมอยา งไรก็ตามที เช่ยี วชาญในพระพทุ ธศาสนา ทรงมพี ระปรีชารอบรู ทรงแตกฉานในพระไตรปฎก อรรถกถา ฎกี า ผูกาํ หนดใหใ ชจุลศกั ราช คอื
จะตดั เอาศีรษะของแมไป ทง้ิ แตตัวไวใ หอ ยนู ี่ ทรงเชี่ยวชาญทั้งโหราศาสตรและไสยศาสตร และทรงเปนพระมหากษัตริยไทยพระองคแรกท่ี พระยากาฬวรรณดศิ เม่อื ครา
ทรงพระผนวชเปนพระภิกษุ ตลอดระยะเวลาแหงการครองราชย พระองคทรงบําเพ็ญพระราช- ประชมุ กษัตริยใ นลานนาโดยได
ครเู พม่ิ เตมิ ความรใู นเรอ่ื งการเขา ถงึ แมอ ยาเจรจาใหชาที จวนแจงแสงศรีจะรบี ไป กรณยี กจิ และมีพระราชจรยิ วัตรอนั เปนประโยชนไ พศาลท้ังฝา ยอาณาจกั รและพทุ ธจักร ทรงอาศยั ยกเลกิ มหาศักราช แลว ตงั้ จลุ ศกั ราช
ขึ้นมาแทน เริม่ ภายหลังพุทธศักราช
วรรณคดีโดยใชแ นวคิดจติ วทิ ยา (๓) ขุนชาง นอกจากขุนชางจะมีรูปรางและหนาตาไมนาพึงใจแกผูพบเห็นแลว ๑๕๕ 1181 ป
สามารถอธบิ ายการกระทาํ ที่ไม จิตใจยงั โหดราย คบั แคบ ส่ิงทท่ี าํ ใหข ุนชา งมีดีอยบู างคือ ความรักเดียวใจเดยี วที่มีใหน างวนั ทอง
สมเหตุสมผลของพลายงามท่ีวา แตความรักของขุนชางเปนความรักที่เห็นแกตัว คิดเอาแตได หวังครอบครองเปนเจาของโดย
เพอ่ื ตอบสนองความตองการของ
ตนเองแลว จะไมคาํ นงึ ถงึ ความ
ถูกตองเหมาะสม ครเู นนวา เปน ๔๒

ความหลากหลายและซบั ซอนใน นักเรียนควรรู
จติ สาํ นกึ และจติ ไรส าํ นกึ ของตวั ละคร ไตรภูมิ ในทางวรรณคดี หมายถงึ
อยางพลายงาม กลายเปน แรงจูงใจใหม ีพฤติกรรมกา วรา ว ซง่ึ ทําใหเกดิ เคาโครงเร่ือง โลกทัง้ สาม คือ สวรรค มนษุ ยโลก
คือ นางวนั ทองไปอยูกับพลายงามและขนุ แผน ทําใหข ุนชา งไมพ อใจไปถวายฎีกาและ และบาดาล
พระพันวษาทรงกริว้ ตัดสนิ โทษประหารชวี ิตนางวนั ทอง
@ มมุ IT
42 คูมือครู ศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเปนมาของไตรภูมิพระรวงเพิ่มเตมิ ไดท ี่
http://www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/wtripoom.htm

คมู ือครู 155

สว นเสรมิ ดา้ นทา้ ย

แบบทดสอบว�ชา ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม 1ภาคเรย� นท่ี ¤Ðá¹¹·èÕ ä´Œ แบบทดสอบองิ มาตรฐาน โครงการบูรณาการ โครงการบรู ณาการ
ช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 6 ¤Ðá5¹¹0ÃÇÁ เนน การคดิ การเร�ยนรสู บู ันได 5 ข้ัน การเรยี นรูสูบ ันได 5 ขัน้
ชดุ ท่ี 1
● วเิ คราะหม์ าตรฐานตวั ช้วี ัด 1. ชอ่ื โครงการ วรรณคดีการละคร เปน็ ตัวอยา่ งการจดั ทา�
ช่อื นามสกลุ…………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………….. ทส่ี ัมพนั ธก์ บั แบบทดสอบ โครงการ เพ่อื เป็นแนวทาง
● วเิ คราะห์ระดบั พฤติกรรม 2. หลกั การและเหตุผล ในการน�าความรทู้ ่ีเรียน
เลขประจําตัวสอบ โรงเรียน……………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………. การคิดทีส่ มั พันธ์กบั วรรณคดกี ารละครนบั เปน ศาสตรแ ขนงหนง่ึ ทเ่ี กย่ี วขอ งกบั วรรณคดไี ทย ซง่ึ ชว ยใหก ารเรยี นวรรณคดมี คี วามนา สนใจยงิ่ ขน้ึ แตในปจ จบุ นั ไปประยุกตใ์ ช้
แบบทดสอบ
สอบวนั ท่ี เดอื น พ.ศ.…………………….. ……………………………………….. ● มีเฉลยละเอียด มสี อื่ การเรยี นตา งๆ เกดิ ขน้ึ มากมาย ทาํ ใหน กั เรยี นรจู กั และสนใจวรรณคดกี ารละครนอ ยลง ดงั นนั้ เพอื่ ไมใหว รรณคดกี ารละครไดร บั ความนยิ ม
………………………………………………… นอยลงไป นกั เรยี นจงึ ตอ งศึกษาวรรณคดีการละคร ในฐานะที่เปน ศาสตรทบี่ อกเลาและสบื ทอดวรรณคดีไทยอนั เปนมรดกของชาติ

โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด 3. วตั ถปุ ระสงคข องโครงการ
1. เพื่อใหน ักเรยี นระบุปญหาท่ีวรรณคดีการละครไดร ับความสนใจนอยลง
1ตอนท่ี 1. แบบทดสอบฉบับนม้� ที ้งั หมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·èÕ ä´Œ 2. เพอื่ ใหน ักเรยี นมกี ารวางแผนปฏบิ ตั ิการในการจดั การศึกษา เพือ่ ปองกันมิใหวรรณคดกี ารละครไดร ับความสนใจนอ ยลง
2. ใหน กั เรียนเลือกคาํ ตอบทีถ่ ูกทส่ี ดุ เพียงขอเดยี ว ¤Ðá¹¹àµÁç 3. เพ่ือสงเสริมใหนักเรียนศึกษาวรรณคดีการละคร และรวมกันแสดงบทบาทสมมติจากวรรณคดีการละครเร่ืองตางๆ เชน ไกรทอง
รามเกยี รติ์ อเิ หนา เปนตน
40 4. เพ่ือใหนกั เรียนเผยแพรความรเู ก่ียวกับวรรณคดกี ารละครโดยผา นการแสดงบทบาทสมมติ

โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 4. เปา หมาย
โครงการบูรณาการ แบบทดสอบ ผเู ขา รวมโครงการหรือนักเรียนสนใจ และเหน็ คุณคา ในการศึกษาวรรณคดกี ารละครพรอมท้ังแสดงบทบาทสมมตไิ ด
1. มะลิวัลยพนั จกิ จวง ดอกเปนพวงรวงเรณู 4. ขอใดกลาวถกู ตองท่ีสดุ เกีย่ วกบั การอา นวรรณคดี
B หอมมานาเอ็นดู ชชู นื่ จิตคิดวนิดา F 1. การอานวรรณคดีคือการอานเพ่ือใหเห็นคุณคาของ 5. ขน้ั ตอนการจดั กจิ กรรม
คําชแ้ี จง ใหน ักเรยี นแบง กลุมเทา ๆ กนั จากนั้นใหแตละกลุมรว มกนั ประชาสัมพนั ธโครงการวรรณคดีการละครในรปู แบบตา งๆ โดย
บทประพนั ธขางตนปรากฏอยใู นวรรณคดเี รือ่ งใด วรรณคดี
และใครเปน ผปู ระพนั ธ 2. การอานวรรณคดีคือการอานเพื่อใหเกิดความซาบซึ้ง ปฏบิ ัติตามข้นั ตอน ดังนี้
1. กาพยพระไชยสุริยา สุนทรภู ข้นั ที่ 1 ต้งั ประเดน็ คําถาม
2. กาพยเ หเรือ เจา ฟาธรรมธิเบศร ในรสวรรณคดี นกั เรยี นแตล ะกลมุ รว มกนั วเิ คราะหส าเหตทุ ว่ี รรณคดกี ารละครไดร บั ความนยิ มลดลง เพอ่ื กาํ หนดประเดน็ ในการศกึ ษาคน ควา
3. กาพยหอโคลง เจา ฟา ธรรมธิเบศร 3. การอานวรรณคดีคือการอานท่ีตองใชกระบวนการคิด และจัดทําขอมลู ลงในหนังสอื ทาํ มอื วรรณคดีการละคร
4. กาพยข บั ไม เจาพระยาพระคลัง (หน) ข้นั ท่ี 2 สืบคน ความรู
2. วรรณคดีในขอใดใชคําประพันธประเภทโคลงและราย วิเคราะหอยางมเี หตุผล นกั เรยี นแตละกลุมศกึ ษาขอมลู ความรเู กย่ี วกบั วรรณคดีการละคร จากแหลง ขอมูล เพ่อื รวบรวมขอมูลสาํ หรบั เผยแพรใน
B ทง้ั 2 เรอื่ ง 4. การอา นวรรณคดคี ือการอา นที่ตอ งใชสติปญญา หนงั สอื ทํามือ วรรณคดกี ารละคร
1. กากี พระอภัยมณี ข้นั ท่ี 3 สรปุ องคค วามรู
2. ลิลติ พระลอ ลิลิตยวนพาย กลั่นกรองคุณคา ทางอารมณและคณุ คา ทางความคิด นักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูลท่ีไดจากการศึกษามารวมกันคิดวิเคราะห สังเคราะหปญหาท่ีวรรณคดีการละครไดรับ
3. นริ าศนรินทร ขุนชางขุนแผน ความนยิ มลดลง และสรุปเปน องคความรู พรอ มเขียนลงในหนังสอื ทํามือดงั กลาว
4. โคลงโลกนติ ิ โคลงราชสวัสดิ์ 5. วนั นเ้ี พ่อื นเรา เพ่อื นเกา เพอื่ นใหม ขั้นที่ 4 การสือ่ สารและนาํ เสนอ
D ท่ีหา งกันไกล มาพรอ มหนากัน นักเรยี นแตล ะกลุมตรวจสอบความถูกตองของการเขียนโครงการ วรรณคดกี ารละคร จากน้นั นําเสนอขอมูลหนา ชั้นเรียน
พรอมทั้งรวมกันแสดงบทบาทสมมติเปน ตวั ละครในวรรณคดเี รื่องที่ไดคัดเลือกมา
3. บา วเศกิ เอกิ องึ ทราบถงึ บัดดล บทประพันธข างตน มีลกั ษณะคาํ ประพันธประเภทใด ขัน้ ท่ี 5 บริการสงั คมและสาธารณะ
C ในหมผู ูคน ชาวเวสาลี 1. กลอนสส่ี ุภาพ นักเรียนแตละกลุมดําเนินการนําหนังสือทํามือ วรรณคดีการละคร ท่ีทําเสร็จแลวแจกจายใหกับเพ่ือนนักเรียนหองอื่น
2. มาณวกฉันท 8 บคุ ลากรในโรงเรยี น เพอื่ เผยแพรความรูเกยี่ วกับวรรณคดกี ารละครใหแกผอู ืน่
บทประพนั ธท ยี่ กมานอ้ี ยใู นวรรณคดเี รอื่ งใด และมลี กั ษณะ 3. วชิ ชมุ มาลาฉันท 8
คําประพนั ธประเภทใด 4. กาพยสรุ างคนางค 28
1. อิลราชคาํ ฉันท มาณวกฉันท 6. ขอใดใชล กั ษณะคาํ ประพนั ธแ ตกตางจากขอ อ่นื
2. สามัคคีเภทคําฉันท วิชชมุ มาลาฉนั ท C 1. ขาวสดุ พดุ จีบจีน เจามีสนิ พ่ีมีศกั ดิ์
3. สมุทรโฆษคําฉันท วิชชุมมาลาฉนั ท 2. นวลจนั ทรเปนนวลจริง เจา งามพรง้ิ ยิง่ นวลปลา
3. ชะโดดุกกระด่ีโดด สลาดโลดยะหยอยหยอย
4. สุวรรณหงสท รงพหู อย งามชดชอยลอยหลังสินธุ

4. สามคั คีเภทคาํ ฉนั ท อนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท

ความรู ความจํา ความเขาใจ การนาํ ไปใช การวเิ คราะห การสังเคราะห การประเมินคา
A B C D E F

โครงการวัดและประเมินผล (2) โครงการวัดและประเมินผล (46)

ความรู ความจํา ความเขา ใจ การนาํ ไปใช การวิเคราะห การสงั เคราะห การประเมินคา

A B C D E F

เสริม 1

การใช้วัฏจักรการเรยี นรู้ 5Es : กระบวนการพฒั นาศักยภาพการคดิ

และการสรา้ งองคค์ วามรู้
รูปแบบการสอนท่ีสัมพันธ์กับกระบวนการคิดและการท�ำงานของสมองของผู้เรียนท่ีนิยมใช้อย่างแพร่หลาย
ท้งั ในประเทศไทยและตา่ งประเทศ คือ วัฏจกั รการเรียนรู้ 5Es ซงึ่ ผจู้ ดั ทำ� ค่มู อื ครูไดน้ ำ� มาใชเ้ ป็นแนวทางออกแบบ
กจิ กรรมการเรียนการสอนในคูม่ อื ครฉู บบั นี้ตามล�ำดบั ขั้นตอนการเรยี นรู้ ดังน้ี

กระตนุ้ ความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

• เ ป็นขัน้ ทผี่ สู้ อนนำ� เข้าสู ่ • เป็นขนั้ ที่ผูส้ อนเปิด • เปน็ ข้ันที่ผู้สอนมี • เ ป็นข้ันท่ีผสู้ อนได้ใช้ • เ ปน็ ขั้นท่ผี ู้สอนประเมนิ
บทเรยี น เพ่ือกระต้นุ โอกาสให้ผูเ้ รยี นสงั เกต ปฏสิ มั พนั ธ์กับผู้เรยี น เทคนิควิธกี ารสอน มโนทศั น์ของผ้เู รยี น
ความสนใจของนักเรียน และรว่ มมอื กนั ส�ำรวจ เช่น ให้การแนะน�ำ ทีช่ ว่ ยพัฒนาผู้เรียน
ด้วยเรื่องราว หรอื เพื่อให้เห็นปัญหา ตัง้ ค�ำถามกระตุน้ ใหค้ ิด ใหน้ ำ� ความรทู้ ่เี กิดขน้ึ โดยตรวจสอบจาก
เหตกุ ารณท์ ่นี ่าสนใจ รวมถงึ วิธีการศึกษา เพอ่ื ให้ผเู้ รียนได้คน้ หา ไปคิดค้นตอ่ ๆ ไป ความคิดทเี่ ปลี่ยนไป
ค้นควา้ ขอ้ มลู ความรู้ ค�ำตอบ เพอ่ื พัฒนาทกั ษะ และความคดิ รวบยอด
• ใ ชเ้ ทคนคิ วธิ ีการสอน ท่จี ะนำ� ไปสู่ความเขา้ ใจ • น ำ� ขอ้ มลู ความรู้จาก การเรียนรู้และ ท่เี กิดขนึ้ ใหม่ ตรวจสอบ
และคำ� ถามทบทวนความร ู้ ประเด็นปญั หานน้ั ๆ การศกึ ษาค้นควา้ การทำ� งานรว่ มกนั ทักษะ กระบวนการ
หรอื ประสบการณเ์ ดมิ เปน็ กลุ่ม ระดมสมอง ปฏิบัติ การแก้ปญั หา
ของผเู้ รียน เพ่อื เชอ่ื มโยง • ใหน้ ักเรียนท�ำความ ในขนั้ ที่ 2 มาวเิ คราะห์ เพื่อคดิ สร้างสรรค์ การตอบคำ� ถามรวบยอด
ผู้เรียนเขา้ สบู่ ทเรียนใหม่ เขา้ ใจในประเดน็ หัวขอ้ แปลผล สรุปผล ร่วมกัน และการเคารพความคดิ
ทจี่ ะศกึ ษาค้นคว้า • น กั เรียนสามารถนำ� หรือยอมรับเหตผุ ล
• ช่วยใหน้ กั เรียนสามารถ อยา่ งถ่องแท้ • น ำ� เสนอผลท่ีได้ศึกษา ของคนอนื่ เพือ่ การ
สรุปประเดน็ ส�ำคัญท่เี ป็น แลว้ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ค้นคว้ามาในรูปแบบ ความร้ทู สี่ ร้างขึน้ ใหม่ สร้างสรรคค์ วามร้ ู
หัวขอ้ การเรยี นรู้ของ เพ่ือเกบ็ รวบรวมข้อมูล สารสนเทศตา่ งๆ เชน่ ไปเชือ่ มโยงกับ ร่วมกัน
บทเรียนได้ ความรู้ เขยี นแผนภูมิ แผนผงั ประสบการณเ์ ดมิ • นักเรยี นสามารถ
แสดงมโนทศั น์ โดยน�ำข้อสรปุ ท่ไี ด้ไป ประเมินผลการเรยี นรู้
• ส �ำรวจตรวจสอบ เขยี นความเรยี ง อธิบายในเหตุการณ ์ ของตนเอง เพอ่ื สรปุ ผล
โดยวิธีการตา่ งๆ เชน่ เขียนรายงาน เปน็ ตน้ ตา่ งๆ หรือน�ำไปปฏบิ ตั ิ ว่านกั เรยี นมคี วามรู้
สมั ภาษณ์ ทดลอง ในสถานการณ์ใหมๆ่ อะไรเพิ่มขึน้ มาบ้าง
อ่านคน้ คว้าข้อมลู ทเี่ กี่ยวข้องกบั ชีวิต มากนอ้ ยเพยี งใด และ
จากเอกสาร แหล่ง ประจ�ำวนั ของตนเอง จะนำ� ความรู้เหล่านัน้
ข้อมลู ตา่ งๆ จนได้ เพอื่ ขยายความรู้ ไปประยุกตใ์ ช้ในการ
ข้อมลู ความรตู้ ามท่ี ความเข้าใจให้ เรยี นรู้เรอื่ งอืน่ ๆ
ตั้งประเด็นศึกษาไว้ กว้างขวางยิ่งขึ้น ไดอ้ ย่างไร
• น กั เรยี นจะเกิดเจตคติ

และเห็นคุณคา่ ของ
ตนเองจากผลการ
เรยี นรู้ทเ่ี กดิ ขึ้น ซ่ึงเป็น
การเรยี นรทู้ ีม่ คี วามสุข
อย่างแทจ้ รงิ

การจดั กจิ กรรมการเรียนร้ตู ามวฏั จักรการสรา้ งความรแู้ บบ 5Es จึงเป็นรปู แบบการเรียนการสอนทเี่ นน้ ผู้เรียน
เป็นส�ำคัญ สอดคล้องกับบันได 5 ข้ัน ของ สพฐ. โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
และฝึกฝนให้ใช้กระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่มอย่างช�ำนาญ ก่อให้เกิดทักษะท่ีจ�ำเป็นในศตวรรษที่ 21 คือ
ทักษะการทำ� งาน ทักษะชวี ิต และการเรียนร้ตู ลอดชีวติ อย่างมคี ุณภาพ ตามเปา้ หมายการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา
ของกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2556 - 2558) ทุกประการ

เสรมิ 2

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

ภาษาไทย˹§Ñ Ê×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇªÔ Ò¾¹é× °Ò¹

วรรณคดแี ละวรรณกรรม ม.๖

ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี ๖

กลมุ สาระการเรยี นรภู าษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ผูเ รียบเรียง
นายภาสกร เกิดออน
นางสาวระวีวรรณ อนิ ทรประพนั ธ
นางฟองจนั ทร สุขยิ่ง
นางกลั ยา สหชาติโกสยี 
นายศานติ ภักดคี าํ
นายพอพล สกุ ใส
ผูตรวจ
นางจินตนา วรี เกยี รตสิ ุนทร
นางวรวรรณ คงมานสุ รณ
นายศกั ดิ์ แวววิริยะ
บรรณาธกิ าร
นายเอกรินทร สี่มหาศาล
นางประนอม พงษเผือก

พิมพครัง้ ที่ ๑๓
สงวนลขิ สทิ ธต์ิ ามพระราชบญั ญัติ

รหัสสินคา ๓๖๑๑๐๐๔

¾ÁÔ ¾¤ ÃÑé§·Õè 11 คณะผจู ดั ทําคมู อื ครู
• ประนอม พงษเผอื ก • สมปอง ประทปี ชว ง
ÃËÑÊÊ¹Ô ¤ÒŒ 3641007 • พมิ พรรณ เพ็ญศริ ิ

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

¤Òí á¹Ð¹íÒ㹡ÒÃãªËŒ ¹Ñ§ÊÍ× àÃÂÕ ¹

หนังสือเรียน วรรณคดีและวรรณกรรมเลมน้ี เปนส่ือสําหรับใชประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาพื้นฐาน
กลมุ สาระการเรยี นรภู าษาไทย ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ ๖

เน้อื หาตรงตามสาระการเรยี นรูแ กนกลางข้ันพ้ืนฐาน อา นทําความเขาใจงาย ใหท้ังความรแู ละชว ยพฒั นาผูเ รยี น
ตามหลักสูตรและตัวช้ีวัด เน้ือหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียน
การสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอ่ืนๆ ท่ีจะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรอู ยา งมปี ระสิทธิภาพ

¨´Ñ ¡ÅØ‹Áà¹Íé× ËÒ໹š ˹Nj ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙŒ à¡Ã¹èÔ ¹íÒà¾×Íè ãËŒà¢ÒŒ 㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÞÑ à¹Íé× ËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÂÕ ¹ÃáÙŒ ¡¹¡ÅÒ§ »¡³Ô ¡Ð ໹š ¤ÇÒÁÃàŒÙ ¾ÁèÔ àµÁÔ ¨Ò¡à¹Íé× ËÒ
Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ ã¹Ë¹‹Ç·è¨Õ ÐàÃÂÕ ¹ ãˤŒ ÇÒÁÃáÙŒ ÅÐàÍÍ×é µÍ‹ ¡ÒùÒí ä»ãªÊŒ ͹à¾Í×è â´ÂÁÕá·Ã¡à»š¹ÃÐÂÐæ
ãËŒºÃÃÅØµÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳÐ
Íѹ¾§Ö »ÃÐʧ¤

๑เใ๘รนจเทอื่ห๙ชขะสกมงสรเ๑ลยีุนกมรนรปงแาาํวงเะรแสาัยทมบัคกหฉตนพ(ขใงทปุงวบมผพสใหรมวางรเลไไุนเอนทรําวนามนาเปกมเาบั.กมมิาะกถดชศปสงเี่บอเื้าเอยยตพากเไกพปคาึงจ็า.ดมนคมกดังแนมเคอรย่ีรต๒รงพนนร็จยรัวบต็ก่ืทอีกลไบขะวภวอะื่๐พเเอเารรดิดทรจอับเรรกวเสรนุนามปตัะ๓งกทิ้วรตสนงคใงอื่ขกบัยีกยนแสคนขหะยีท๔อคาํียุกนงมบั็จงรเหผพางัาํุโนเจรขรมธ”รดบอุงะกีเกรรวใ-นลตมนัอื่ะารสุนชหศเาีแย็จาเาาสพเังหบพเิรงวรภจแยกราสตสรูาปนิขมข่ื.ษอข็นงึีรอขนงาณาผดศไสนทุนนุดมะงารตขามยวบัาํน็จ.มเมเผรชแวาขชผีดัุุาธพนช๒รจยเซคตเจหาูแผปุาแนใูยือ่พาเดาํกแร๐่ึงอืวชอึงพงตานแนาตงนชะ็จทอผเ๗กสขนกรทงรรปผไทกาพสารัพงนานุ๒รกตาาดจเ่ีญนชนตงงมําุกชรบักชะไเแ็คน)ึงถเนขมดทาะกอเปเกกปิดธผไงมดวรพุงนินอซโิงหดาดาปดิไขรนอ่ืฉา็จคกีทงมดรึ่งันแภะทาาร้ึนยกงไพมนัลนแเกัพแเีรผากววนราปดาใพําขรตมบอตษนลงมนยแรเี้ชนานะแยีบังลบสีฝงนบัาสหตาบทรมเาํลงกเเางจทมพวดมาําคกวตปสฟลี่เะดลเพึงเลมกัปาาํือืนัยปรจ็ิมภมังรรงอาโานระาชยอามอะื่ทนปน“เาีเฟนหะห…ธนอกจกคิงกยงคาี่นรบมรบินลพมึงงขอขอ้ืุธเาถดรแาพทิีทเปขขังดยอมบื่นนุง้ัเรวชสใลารจรเับบันหกทีะาสมากูชศลธภะสะน่อืารเรยทม่ีพไเลิูาดารเกภภใสางาสจ๒งุดรไรงีมนัพนเานใชเภาเบืาดา่ือดขเมหรมกหหเ้ีศหยลธโซสฉาตงอ็ือ่จนุกีสทาานราดิหาัสนนเึ่งอบพงงเแานถสีโดดษนางัคหมลาเกนดัรบผตรัวทกุเกิไสมทิเรไงัลเแนัลยิษะปปาปนนดสปอืดิาํอไอาอืตพ็กแมยดใใฐนามน็จคจขงนปยมนหงตไแคัานมารพแจาําา้นึรูดเารนทงดนคานปขวในผีุบมคารเกบะเหชารสหวปษวบบันปะแูแอืัหนทรานายกามพตนุาาตเกลนกางวัพนบมสราแกแเเันบงะ็เลใากะดวี้ลรกแภยพแ๑นหยบ็ตทงอวบหลชาา็จัตกบาต๐าทภงียทษเรนขอังเวา-นกไลดวเ๐กรงงาาคขาพวนาุนนปนขาจ็น้ัิ่ือพรมงยตจงกมบัแนสิทรต้ืาํัอึน้บปงคหึงเอารสเะทผดบชาีจเแสคไพงสงลุงแพชมนาูลๆนเว.ทบจภแวเภศงัรลดียงัเนกวเทะรหบาเละาดา.ปวิมขงามมบัาวทรมงั้ครขเ๘ะ็จใไบันเไษลาขตีรอ่ืรอืหคปคนึ้งพมด๕แาชโงพานาอึ้ไไขลมํดานใกคตรปช๓ดนดทนนรรัาใบะยลนวใกรมบทิาฝะาหใกดพ-นไราเาขทิานวแนกีทาาปมรเกรจยวขนัรุนๆาสนคเยารณถม.ถกมาอนวณวนศรแางเลธนรารึงทลยีปษทจีนนงท.เผรื่ะอชัเาชาลูาวัพพมพาี่ิราํทนรนสนตาาัลมมงผีายีี้ามวนกอ ทดาขูงนยันัม้ี ไายบั มา  ปกณิ กะ
ก่ตี อน
๑๗ เพียงห“งสสวุท รรรงณพหรหงสมทินรทงรพ ูหอย àÃÍ× ¾Ãз¹èÕ §èÑ ã¹¡Ãкǹàʴ稾ÂËØ ÂÒãµ¹ÃÃÒªÑ ·¡Òҧۻō˜ Á¨ÒºØ ùѤ

งามชดชอ ยลอยหลังสินธุ
ลนิ ลาศเลื่อนเตอื นตาชม”
เตทจอพี่า ขอรน้ึ ยะใหูบเหรัวามอืทแพสสลรรมะะา เเทดงปเจ็ีน่ สลพง่ัร่ียสรจ็นุพะใชนจรือ่ ลุสรเณปจมอนยัหมพเงรเสรอืกะลพลบําาราปเะทจจทาสจน่ี อมุบงั่ยเนัสดหู พุจ็วั เรพโปปรรน ณระเดรมหือเงงกพกสลฎุร า ะเฯกทลใน่ี าหง่ั 
เรอื พระที่นง่ั สุพรรณหงส

ใหเ ปนกาแ“ไรบดยปรบอกบั ดบคกแรรารหอรยงงยแาคกยตกวยโงาลวอเมอหปงเุบนารจารียพคายกงวมงปวากเี ศรมรนาะรเ้ือารเณรภทหวยี คทําางดดสรเนกีสอางทิ ี่ยคโยรามวรแจนสกาก”มรีนบั ว เรือพระทน่ี ัง่ นารายณทรงสุบรรณ คเรนสใเวชั รนารากือมิรกมาพารรเลปูปยระทเะณนบพร่ีทสวือร๔ท่ีนะนงพรานั่งพรงมงกาะยสาาิ่งรทุหุมบเปาปี่นยขรยรนั่งอารณะนตงตณเยภลานรทนืรําทาแาี่สเทเบรยรปรบอืาือณรางระงทชรูปทขัชลร้ึสนบักงมัตใบสาานวลนุบรสทรหคหมร่ีลณนั๔ยังนพึ่งรําใัชญมรโนกัชขพี าเานกรรสลาเือะบุรลทรพรือทาี่รรพช่ีะ๓ณดร๙ระําาเแทรชพเลิใ่ีนพป่อืหะ่ังินธ ี

òหนว ยการเรียนรทู ี่ ตอน กวนอไู ปรบั ราชการกบั โจโฉ รลลพพูปาํํารพรเละดะญทอียบางี่นวานทั่งทาเศสี่ รสเครรรียมเีใาอื ลกนเงพ็กดวขลรๆน้ึ็าจําะใดพทนจเับรนี่ รราํ ชะงั่ือชันั้นอจพกวเุรลานรนอจละกมงอททชามา่ีี่นกใ๕ตเชั่งกภิใรโลนชุขอกงานงคาเเจรร สนอืเาสรับจอาดําเยงป็จหูขหพนลนึ้ ัวกัรเใระหปืจอรมด ัาดพใทชนเรอปดระงํานชัทเเสปเ่ีนนรมน ินั่งือยั เรือพระท่ีน่งั อเนกชาติภุชงค

สามกก •สาเวรรเิ อ่ืคะงรกาาสะรหาเม รวกจิียกานรณรตูแอ แกนลนะกปกวรลนะาเอมงูไนิปครณุับรคาา ชวกรราณรกคบัดโแี จลโะฉวรรณกรรม บเโรรใขุษัชนอื นบกพกเการรรลอืสะะทเาํทบปหี่่นีวน ๕เรั่งรนบั“รอื พพพลอพยญงาํรรุหะปะาหพยจทอราุทจน่ีนอืตบุธงั่นั เอรันรรตนาูปอืมนทนัเสีกชาาตําาคญิ คงนรรชผสัญาาลาครชพมาร”งาราหใชะรหรกคเอืมปฐนนนิ สใาเนรรคหอืาส๗รพงมอื ขรยั ปเึ้นะรศทรตัชยี ะนี่ก้ังรดง่ัแาษิใบลตชลัฐทสเ ลาปี่มนงัน๖ัยก

ตวั ชว้ี ดั
• ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๒, ๓, ๔, ๖

เรอื พระท่ีนั่งอนนั ตนาคราช

๑๐๘

µÇÑ ªÇéÕ ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÂÕ ¹ÃáŒÙ ¡¹¡ÅÒ§Ï µÒÁ·ËÕè Å¡Ñ ÊµÙ Ã
¡íÒ˹´ à¾è×ÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈ¡Ö ÉÒ

Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ÊÃþʏ ÒÃÐ ¨Ò¡à¹Íé× Ëҹ͡à˹Í× ¨Ò¡·ÁÕè ãÕ ¹ ¤Òí ¶ÒÁ»ÃШÒí ˹Nj Âà¾Íè× ã˹Œ ¡Ñ àÃÂÕ ¹ä´½Œ ¡ƒ ¤´Ô áÅзº·Ç¹
¾ÔÁ¾ ô ÊÕ µÅÍ´àÅÁ‹ ª‹ÇÂãˌ͋ҹ ÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ à¾è×Íà¾èÔÁ¾¹Ù áÅÐ ¤ÇÒÁÃÙŒ áÅСԨ¡ÃÃÁÊÃÒŒ §ÊÃ侏 ²Ñ ¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ à¾×èÍ
à¢ÒŒ 㨧ҋ  ¢ÂÒ¾ÃÁá´¹¤ÇÒÁÃÙ㌠ˡŒ njҧ¢ÇÒ§ÍÍ¡ä» ª‹Ç¾Ѳ¹Ò¼ÙŒàÃÂÕ ¹ã˺Œ ÃÃÅ¼Ø ÅÊÑÁÄ·¸µìÔ ÒÁµÑǪéÇÕ ´Ñ

ลมชวยรวยกล่นิ นอง หอมเร่อื ยตอ งคลองนาสา พจสพแึรงท่วก ะิสตแวนาส� า รจูพ่า่นปเพมญนจาสพแนพารล ชมลเาฤนจลพค์ะงลด งรงทา่ืนกห่นรส้วาวจ็ลศตะยาเาษไแรใ์ยบาพามพรัวหนจงวช้อมตเ์งยุรีมรอ่ืาเยมิคจจท้บยาพ่ี บปงะขมนาเวมิลต่ืนมราฟาสพเรรล็ุนนราหื่อรนน่ืมมรไไิสระา้ านนังดจแวดนรกไบพ่ื็จอไมทุคทวาวยารือผม้ชัทงบรคโีันลธถษยอศะฯจาอันยร่ยัพนริ ์อวฯเ งักา นดมกชอก้ัขงนษ ดป ารไดหไปาาื่นทนมนับ้บอัดงบาารดศ์ิเสลละ่ีรไาพงปบจพะ้ารสตุ้ลักกงว งับงสศับะเล็นุง่ัรษรอลรดศรยแมทร รใะะพเกัหบาาบิ์เพหวกกอ้ชีื่กอพรวป บยรลขรขาว้ลยน้่นงนับกาันะน็งทวนก้ึนต นับุฟดาลกาพรางพวลูาิรดังเแขงใัาบัน า้ มนลษรสิยถอววรสชผแุนถตพือาาเนั่คะานัาาจินทนพคยึงั้งแยนสกสกลวึทงท กแชาลช้ถฤผรุค็ขาาแราพออนลร่ือ่ือนิุมูกทแม้ิวลนยุนตงุงรงะนวนเทพลเธวอชเช่ศไงะแพนจ่าลา์ิะา่ทรดดพงลุม้ารล ลร้างกอืน“าับพีออง้ขัน้วพเสพาเรกนาทพมยย ตุยอไวราไลงลวขกศปู่กุธืชาอชร้อษบศศาา่ อนุ ับ ไยนับมุยงพยยาตทรรนปาแาเานมกจฟพเีมีอ้มักลู ชสเาพพผงมราไชงาล้าขทางีายวนหิว้ลชงกล่ืนซชียทอลป่ีันเงจสพารสาามวไง่ึ่งขอใารทงึย”รรเวรุใยเหาื อในุงปารหปจ้งอิยอยนแหปมฝบังบแา็นะ็มนภยฯงกาพ้่ารกมอส่ ผจมช ฟงพแ่ักเ้ คะยัยัง่ิบสจไซรนแกู้าลดศ้ารเรใดกู่ินะตอพ่ึใงกถบัหะะิ ์รแั้น้รเหบัห่รสยคไ้วรธีจพขลป้ลัตบด ไ้ใขไ่์กงูิ่ดทรงึพ้าะรเลคป่อพดค้พอใวิรถา่ีบนะยาลรหม ท้ ลริยางขแหรรย ้างาาะช้าดเพันาอะอลขานชางมยรนแ่อืยรดาะดงรศวมามุ งอื าาลสงัหงพนบว้าชรา ขงพงคชวะาลยาุตดีมรมทกสนันุนมศงสลงา ะรไาราาพอขทาาึชวา กนเตด้อลญนจรงาจนุนัสบ้อาเว้ัง้ ยาถล้ฆาคนชจง์แนทงช่าร เฟจพาวจนีกต ายผักชื่ออมวบัส“าึง้าตรรอ้บงนกียวงพาทมถต่วไาะพใง่ารุงัจบทดลอนวบวัหพดท ีใลงึ “ศ้ใ้าเาางหทีขคพมัพา�นถหายทไยรมุวพนลูยรลป่ว้เน้ขีชมฎาาถขเ่ชเแิธาษอุโนุมปยาปมีกรวทยลีมุผยาลเพน็แขา็นชายยุษปพนู่เจา ดกผวลอมภงไึ ็งนไลลไาคฟลข””บนอืรดดูกดเราณรเงแห้ร ้ ส้ันปงยับละตา็นาระุใวอห้ คาำ ถามประจาำ หน่วยการเรียนรู้
เคลือบเคลยน าเหมน็สอคงลฆา อยงมยาามย่ํา เหลียวหาเจา เปลาวงั เวง สรรพส์ าระ
เสยี งปม คี่ รลววญงเสคารมงยามปลายแลว ทเหกุ มคือืนนคเาํ่รยยี ํ่ามอคกรเํ่าอรง่าํ ครวญนาน ๑. แนวคิดและคา่ นยิ มท่ีปรากฏในเสภาเรื่องขนุ ช้างขุนแผน ตอนขนุ ชา้ งถวายฎกี า
มอยหลบั กเลพับรบาันงาดยาวลายเสพรส จนไกแ กว แวว ขนั ขาน เคฉไอเดงกลทินข้กาิมวเับรา�ดดพเสหียปารวนม ็นะขดดาเลับกบเนา�ลวยีูชเานล�าสรานน�าาตพภแเพา�พิารรลสร ะื่อรอ้วะรเะงาป รรนเจอจเาน็ ิทสจยชา้เราจะแา่าญินมา้นงผขชเา่นใุกฉอ้าหจจิดลงทาเ้ไนิขพิมกว่ีส้า พรบ้วคุดกาา่รท�ากบัห ะว็ทใเหมเน่าคกีข่ กณ สรับเียทสอ่ืมคน์ร่มุวงตัยงน้ั าดเเสพิบท ปดีหมริก�าน็สระเเเดกือส ีสเป ล็จตภยี เน็ทอพโีงาสทเเนดร่มีพจปนะสน้าาาน็ บเดต  ปแทเร ชรใ็นลใ�ามน่นี นจนเะไภ จตคงัอมมา็ดหรรงหลูษทวโงั้ตลาเนาะุ่ม่าหภกส ัน้งเบานไันตๆยทรกิาสุขงั  ตยชนถมกอคะา ยิไิฤง วงดเาตพหทกไม้ย ดรรซมา กี ร้ือา่ึงแรฬิาบัะแรตขรมใาปปก่ขับนีกมรลบัาากเะเวรเกรสฎเรข่าพียบ่อืภบัมกรณูชงเนาาตาสขรีกใเนุ์ ิพภทบนาหชราียูชรปรา้ะใขราืองนเรบับกปขขสะเ็ไานุ็นบัสดมเลแเนภท้ ยัจสผิทาเกศ้ามพนจาหอ่ ไัยรนานทรนากอื ะย้ี ท่ีเด่นชดั และมีประโยชน์ต่อการด�าเนินชวี ิตในสงั คมปจั จุบันอยา่ งไร ใหน้ กั เรียน
อ่ิมทกุ ขอ มิ่ เชวลรนามาาทนั แลว ฝนเหน็ นอ งตอ งตดิ ตา ยกตัวอย่างมาอธิบายพอสังเขป
แสนกําสรดอดโอชา 21 ๒. เสภาเรือ่ งขุนชา้ งขุนแผน ตอนขุนชา้ งถวายฎีกา ให้ความรเู้ กย่ี วกับคา่ นิยมของ
ใหแ คนแสนงาสมุดททรนงวงดง่ั วาด อม่ิ โศกาหนานองชล คนในสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ อย่างไรบา้ ง
งามพรมิ้ ยมิ้ แแตยเ ชมาพเรทาา ยถงึ เยน็ ๓. จากคา� ประพนั ธท์ ่ีว่า “เม่ือคราวตัวแม่เป็นคนกลาง ท่านกว็ างบทคืนให้บดิ า”
ชายใดในแผนดนิ จทงงึากุ จมขาํ มถแาึงครเลจยาวาเแทศกนรว าาโเดกสกมยี รลดการยาย มีความหมายวา่ อย่างไร
โคลง เรยี มทนทกุ ขแตเชา งามคาํ หวานลานใจถวลิ
มาสูส ุขคนื เข็ญ กล้าํ กลืนเข็ญเปน อาจณิ กจิ กรรมสรา้ งสรรคพ์ ัฒนาการเรียนรู้
ชายใดจากสมรเปน ไมเหมือนพที่ ่ตี รอมใจ
ถึงเย็น กิจกรรมที่ ๑ ใหน้ กั เรียนยกตวั อย่างคา� ประพันธ์ในเสภาเร่อื งขนุ ช้างขนุ แผน
จากคูวันเดยี วได หมนไหม ตอนขุนช้างถวายฎีกา ทีแ่ สดงลักษณะทก่ี �าหนดใหต้ ่อไปนม้ี าพอสังเขป
ทุกขเทา เรยี มเลย
๑. ค่านยิ มเกี่ยวกบั พฤติกรรมของสตรี
ทกุ ขป ม ปานป ๒. ค่านิยมเกยี่ วกับการมสี มั มาคารวะ
๓. ความเชื่อเรื่องกรรม
๙๒ กจิ กรรมท่ี ๒ ใหน้ ักเรยี นแบ่งกลมุ่ แล้วให้แต่ละกล่มุ เลอื กวิจารณล์ ักษณะนิสยั และ

พฤติกรรมของตวั ละคร กลุ่มละ ๑ ตัว พรอ้ มทั้งวาดรปู ประกอบ
แล้วน�าเสนอหน้าชัน้ เรยี น
กิจกรรมท่ี ๓ ใ ห้นักเรียนแบง่ กลุม่ กลุม่ ละ ๕ - ๖ คน เลือกบทประพันธ์ที่ประทับใจ
จา� นวน ๓ - ๔ บท ฝกึ อ่านทา� นองเสนาะ และขบั เสภาในเสภาเรอื่ ง
ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอนขนุ ชา้ งถวายฎกี า แลว้ นา� เสนอการอา่ นหนา้ ชน้ั เรยี น

57

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

ÊÒúÑÞ

บทนํา หนา
การอา นวรรณคดี ๑ - ๑๕

๑หนว ยการเรียนรูที่ ๑๖ - ๕๗

เสภาเรอ่ื งขนุ ชา งขนุ แผน ๕๘ - ๘๓
ตอน ขนุ ชา งถวายฎีกา ๘๔ - ๑๐๙
๑๑๐ - ๑๕๓
๒หนว ยการเรยี นรูที่
๑๕๔ - ๑๖๗
สามกก ๑๖๘ - ๑๗๑
ตอน กวนอูไปรับราชการกบั โจโฉ
๑๗๒
๓หนวยการเรียนรูที่

กาพยเ หเ รือ

๔หนว ยการเรยี นรูท่ี

สามคั คีเภทคําฉันท

๕หนวยการเรยี นรูท ี่

ไตรภูมพิ ระรวง
ตอน มนุสสภูมิ

บทเสริม
บทอาขยาน

บรรณานุกรม

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล õ

Engage Explore Explain Elaborate Evaluate

ตอนท่ี

วรรณคดีและวรรณกรรม

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage

Explore Explain Expand Evaluate

บทนา� เปา หมายการเรยี นรู

การอา่ นวรรณคดี 1. กระตุน ใหนกั เรียนรจู กั ใช
กระบวนการคดิ วเิ คราะห
อยางมเี หตผุ ล

2. เขา ใจความรูส ึกนกึ คดิ และวถิ ีชีวติ
ของบรรพบุรษุ

3. เห็นคุณคาของวรรณคดีดานตา งๆ
4. ซาบซึ้งในวรรณคดี วฒั นธรรม

ประเพณี และวถิ ีไทย เพ่อื ดํารง
รกั ษาสืบไป

กระตนุ ความสนใจ

ครูนําภาพตวั ละครเอกในวรรณคดี
เร่อื งตางๆ เชน ขุนชา ง ขุนแผน
นางวันทอง กวนอู เลาป อเิ หนา
บษุ บา เปนตน ใหนกั เรยี นดแู ลว
ตั้งคําถามกบั นกั เรยี น ดังตอไปน้ี

• นักเรยี นรจู กั ตวั ละครตัวใดบาง
• นักเรยี นคดิ วาภาพตวั ละครทคี่ รู

นํามาใหนกั เรียนดูเปน ตวั ละคร
ในวรรณคดีเรอื่ งใด มจี ุดสงั เกต
อยา งไร

การอา นวรรณคดี เปนการทาํ ความเขา ใจบทประพันธใหป รุโปรง และใชจินตภาพสรา ง

อารมณ เพอ่ื จะไดเ ขาถึงสารท่กี วีตอ งการส่ือ
การอานวรรณคดี ผูอานตองใชวิจารณญาณในการอานแลวนําไปคิด ใชสติปญญา

กลั่นกรองสกดั คุณคาทางอารมณแ ละคณุ คา ทางความคิด จนถงึ การวิจักษว รรณคดี คอื เกิด
ความเขาใจแจมแจง ตระหนักในคุณคาดานวรรณศิลปและคุณคาดานสังคม เกิดความ
หวงแหนและตองการธํารงรักษาใหเปนสมบัติของชาติตอไป การอานท่ีไดคิดคนหาเหตุผล
มาอธิบายความรูสึกของตนเองเปนการแสดงความคิดเห็นข้ันวิจารณ ซ่ึงอาจตอยอดไปถึง
การอา นวรรณคดีในระดับสงู ได

คูมอื ครู 1

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain Expand

Engage Evaluate

สํารวจคน หา (หนาพมิ พแ ละตวั อักษรในกรอบนีม้ ขี นาดเล็กกวาฉบบั นักเรยี น 20%)

1. ครสู นทนากบั นกั เรยี นถงึ ความ ๑ ความสาำ คญั ของวรรณคดี
สําคญั ของวรรณคดี อันเปน
มรดกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
นกั เรียนจบั คเู พ่อื ไปสบื คน หวั ขอ
ตอ ไปนี้ วรรณคดเี ปน็ มรดกทตี่ กทอดมาจากบรรพบรุ ษุ เปน็ มรดกทางปญั ญาของคนในชาต ิ วรรณคดี
• วรรณคดีใหความรดู านใดบาง เปน็ เสมอื นกระจกเงาสะทอ้ นภาพของสงั คมในอดตี ใหค้ นรนุ่ หลงั ไดร้ บั ร ู้ ดว้ ยวา่ กวมี กั นา� เสนอสภาพ
สังคมในสมยั ที่ตนมชี ีวิตอยดู่ ว้ ยการสอดแทรกไว้ในงานเขียนของตน ทา� ให้ผอู้ ่านไดร้ ับความรู้ดา้ น
(แนวตอบ เชน ประวตั ิศาสตร ตา่ งๆ เชน่ ดา้ นประวตั ศิ าสตร ์ สงั คมศาสตร ์ ภาษาศาสตร ์ ปรชั ญา เปน็ ตน้ นอกจากนย้ี งั มคี ตธิ รรม
เร่ืองลิลิตตะเลงพาย อนั เปน็ แนวทางในการพฒั นาความคดิ จติ ใจ และโลกทศั นข์ องผอู้ า่ น ดว้ ยการนา� ขอ้ คดิ จากวรรณคดี
สงั คมศาสตร เสภาเร่ืองขนุ ชา ง มาใช้ในชวี ติ จรงิ
ขนุ แผน รฐั ศาสตร เร่ือง กวีมักสอดแทรกแนวคิด คตสิ อนใจ และปรัชญาชวิี ิตไว้ ท�าใหผ้ อู้ า่ นไดร้ บั ความรู้เกดิ ความ
รามเกียรติ์ เปน ตน ) รู้สึกประทับใจและมีอารมณ์ร่วมไปกับกวี ดังนั้นวรรณคดีจึงมีความส�าคัญต่อชีวิตมนุษย์ ซ่ึงมี
2. นกั เรียนคดั ลอกบทประพนั ธท่ี ท้ังคุณค่าด้านเน้ือหา คุณค่าด้านวรรณศิลป์ และคุณค่าด้านสังคม นอกจากน้ีวรรณคดียังเป็น
แสดงใหเห็นความรดู านตางๆ เครื่องเชิดชูอารยธรรมของชาติในการเป็นหลักฐานทางโบราณคดี ท�าให้คนในชาติสามารถรับรู้
มา 1 ตัวอยา ง เร่ืองราวในอดีต

อธิบายความรู การอา่ นวรรณคดจี งึ เปน็ การสง่ เสรมิ ใหผ้ อู้ า่ นมสี นุ ทรยี ะทางอารมณ ์ เขา้ ใจความจรงิ ของชวี ติ

ครสู ุม นักเรียน 3 - 4 คู มานําเสนอ ๒ มากยิ่งขนึ้ และช่วยจรรโลงสงั คมอกี ด้วย
ขอมูลเกี่ยวกบั ความสําคัญของ แนวทางในการอ่านวรรณคดี
วรรณคดที ใี่ หความรูในดา นตา งๆ
หนาชนั้ เรยี น การอ่านวรรณคดีเพื่อให้ได้รับความบันเทิงใจ ได้รับอรรถรสในการอ่าน และได้รับคุณค่า
ดา้ นสาระประโยชน์และดา้ นสุนทรียภาพ มแี นวทางในการอ่าน ดังนี้
(แนวตอบ เชน เร่ืองสามกก ให ๑) เลอื กอา่ นวรรณคด ี กอ่ นอนื่ ตอ้ งทราบกอ่ นวา่ บทรอ้ ยกรอง หรอื คา� ประพนั ธ ์ หรอื กวี
ความรทู างดานการเมืองการสงคราม นพิ นธม์ หี ลายชน้ั การเลอื กอา่ นวรรณคดเี รอ่ื งทไ่ี ดร้ บั ยกยอ่ งวา่ เปน็ วรรณคดชี น้ั เยย่ี มทา� ใหส้ ามารถ
กาพยห อโคลงประพาสธารทองแดง ยึดเป็นแนวทางในการอา่ นวรรณคดเี ร่อื งอน่ื ๆ ได ้ เพราะวรรณคดีท่ีได้รับการยกยอ่ งจะมีความเป็น
ใหค วามรูเกี่ยวกับธรรมชาติ อมตะ มคี ุณค่าทางวรรณศิลป ์ และมขี อ้ คดิ ท่ีสามารถนา� มาประยกุ ต์ใช้กับชีวิตในปัจจุบันได้
นิราศภูเขาทอง ใหค วามรเู กยี่ วกบั ๒) ควรอา่ นวรรณคดใี หต้ ลอดทงั้ เรอื่ ง ท�าความเข้าใจกับเน้ือเรื่องที่อ่าน เพื่อให้รู้
สถานท่ตี างๆ เสภาเรื่องขุนชาง องคป์ ระกอบของเร่อื งและเข้าใจสารท่กี วีต้องการส่ือมายังผู้อา่ น
ขนุ แผนใหค วามรเู กี่ยวกบั ประเพณี ๓) รหู้ ลกั การพจิ ารณาคณุ คา่ ของวรรณคดี และน�าหลักน้ันมาพิจารณาวรรณคดี
วิถชี วี ิต ความเปนอยขู องคน ทอี่ ่าน เพอ่ื ใหส้ ามารถเข้าถึงความหมายและคุณคา่ ของวรรณคดเี รื่องนั้น
สมยั กอ น เปน ตน) ๔) สามารถแสดงความคดิ เหน็ วจิ ารณห์ รอื ประเมนิ คณุ คา่ วรรณคด ี เม่ืออ่าน

ขยายความเขาใจ วรรณคดีจบ ผู้อ่านควรวิจักษ์วรรณคดีเร่ืองน้ันได้ เพ่ือให้เห็นข้อดีและข้อบกพร่องของวรรณคดี
เรื่องนน้ั จึงจะได้ประโยชน์จากการอ่านวรรณคดอี ยา่ งแท้จรงิ
ใหน ักเรยี นยกตวั อยางวรรณคดี
ท่ีนกั เรยี นประทบั ใจมา 1 เรื่อง
พรอ มยกตัวอยางบทประพันธที่ชอบ 2

ประกอบ และบอกไดวาใหค วามรู
ดานใด
(แนวตอบ นักเรยี นเลอื กตอบไดหลากหลายขึ้นอยูกบั ความสนใจของนักเรยี น
เชน เรอื่ งสามกก ใหค วามรูดานการเมอื งการสงครามในสมัยกอน บทประพันธ
ทีช่ อบ คือ “เลา ปน ัน้ เปนคนมีสติปญ ญา ถา ละไวชา กจ็ ะมีกาํ ลงั มากขึน้ อปุ มา
เหมอื นลูกนกอนั ขนปก ยังไมข้นึ พรอม แมเราจะทิง้ ไวใ หอยูในรังฉะน้ี ถา ขนข้นึ
พรอมแลว ก็จะบนิ ไปทางไกลได” เปนตน)

2 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

๓ การวจิ กั ษว์ รรณคดี สํารวจคน หา

วรรณคด ี หมายถงึ หนงั สอื ทไี่ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ แตง่ ด ี มคี ณุ คา่ เปน็ บทประพนั ธท์ ปี่ ลกุ มโนคต ิ ใหน กั เรียนสืบคนขอ มูลเก่ียวกบั
ทา� ใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ความเพลดิ เพลนิ และเกดิ อารมณส์ ะเทอื นใจคลอ้ ยตามไปกบั บทประพนั ธน์ นั้ ซง่ึ คา� วา่ แนวทางการอานวรรณคดี และ
วรรณคด ี มปี รากฏในราชกฤษฎกี าการตงั้ วรรณคดสี โมสรเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๗ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ - หลักการวจิ กั ษว รรณคดี จากแหลง
พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หัว หนังสอื ท่ีจัดว่าเป็นวรรณคด ี เช่น กวนี พิ นธ์ นทิ าน ละครไทย ละครพดู เรียนรตู างๆ เชน หนังสือเกย่ี วกับ
พงศาวดาร เปน็ ต้น การศึกษาวรรณคดี บทความ
วจิ กั ษ์ หมายถงึ ที่รแู้ จง้ ท่เี ห็นแจง้ ฉลาด มสี ตปิ ัญญา เชย่ี วชาญ เวบ็ ไซตใ นอินเทอรเ นต็
วิจักษ์วรรณคดี หมายถึง การพิจารณาว่าหนังสือน้ันๆ แต่งดีอย่างไร ใช้ถ้อยค�าไพเราะ
ลึกซง้ึ กินใจหรือมคี วามงามอยา่ งไร มีคุณค่า ใหค้ วามรู้ ข้อคิด คติสอนใจ หรือชใี้ หเ้ ห็นสภาพชีวติ อธบิ ายความรู

๔ ความคดิ ความเช่อื ของคนในสงั คมอย่างไร นักเรียนอธิบายความรเู กยี่ วกบั
หลกั การวจิ ักษ์วรรณคดี แนวทางในการอานวรรณคดี โดยครู
ต้งั คําถามใหนกั เรยี นตอบ ดังน้ี
หลักการวจิ กั ษ์วรรณคดที ่สี า� คญั มดี งั นี้
๑) อ่านอย่างพินิจพิจารณา เป็นการอ่านโดยการวิเคราะห์ตั้งแต่ชื่อเร่ือง เช่น • นักเรียนมีหลกั ในการเลือกอาน
บทละครพดู เรือ่ ง “เห็นแกล่ ูก” เมอื่ อา่ นชอ่ื เรอ่ื งแลว้ มักจะคดิ ตอ่ ไปว่าใครเปน็ ผู้เหน็ แก่ลูก ประวตั ิ วรรณคดีอยางไร
ผแู้ ตง่ คา� น�า คา� นยิ ม สารบญั ไปจนถงึ เนื้อเรอ่ื งย่อ และบรรณานกุ รม ซึ่งจะทา� ใหเ้ ราเข้าใจเนอ้ื หา (แนวตอบ เลอื กอา นวรรณคดี
มลู เหตุของการแตง่ แรงบันดาลใจในการแตง่ ทไ่ี ดร บั การยกยอ งวา เปน หนงั สอื
๒) คน้ หาความหมายพนื้ ฐานของบทประพนั ธ ์ ความหมายพน้ื ฐานหรอื ความหมาย ที่แตง ดี มีคุณคา มคี วามไพเราะ
ตามตัวอักษร ผู้อ่านสามารถค้นหาได้จากข้อความที่กวีได้น�าเสนอไว้ ว่าใคร ท�าอะไร ที่ไหน งดงามทางภาษา มีขอคดิ ท่ีเปน
ผลเป็นอย่างไร โดยมีหลักการค้นหาความหมายของบทประพนั ธ์ ดงั นี้ ประโยชนน าํ ไปใชในชวี ติ ได)
๒.๑) ค้นหาความหมายตามตัวหนังสือ คือ ค�าใดท่ีไม่เข้าใจได้ทันที สามารถค้นหา
ความหมายและคา� อธบิ ายศัพท์จากพจนานกุ รมหรืออภิธานศัพท ์ เช่น • นกั เรยี นมหี ลกั ในการอา น
วรรณคดีอยางไร
สามยอดตลอดระยะระยบั วะวะวับสลับพรรณ (แนวตอบ อา นวรรณคดีใหต ลอด
ชอ่ ฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะย่ัวทฆิ มั พร เรอื่ ง ทาํ ความเขา ใจกบั เนอ้ื เรอื่ ง
บราลีพิลาสศุภจรญู นภศูลประภสั สร รอู งคประกอบของเรอ่ื ง และ
หางหงสผ์ จงพจิ ติ รงอน ดุจกวักนภาลยั เขา ใจสารทกี่ วตี องการส่อื มายงั
ผูอา น รูจ ักพิจารณากลั่นกรอง
(สามคั คีเภทค�าฉนั ท)์ คุณคาทีแ่ ทจริงของวรรณคดี
เรอ่ื งนัน้ ท้งั คุณคา ทางจติ ใจ
3 และทางสติปญ ญา)

นักเรียนควรรู

อภธิ านศพั ท หมายถงึ รายการ
ของการอธบิ ายความหมายเพม่ิ เติม
ของคาํ ศัพทเฉพาะศาสตรใ ดศาสตร
หนึง่ ซง่ึ มิไดเ ปน ทร่ี จู กั กนั โดยทว่ั ไป
เน้อื หาเปน การใหค าํ นิยาม แนวคดิ
หรือท่ีมาทเ่ี กย่ี วของกับคําหรอื วลี
น้นั ๆ อาจมีการเปรียบเทียบหรอื
ยกตัวอยา งใหมคี วามชัดเจน กระจา ง
ย่ิงขนึ้ เชน อภิธานศัพทพ ระพทุ ธ-
ศาสนา

คูมือครู 3

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%)

นักเรยี นนําเสนอความรทู ่ไี ดศ ึกษา
การวจิ ักษวรรณคดีและหลักการ
วจิ กั ษว รรณคดี โดยการยก จากบทประพันธ์ศัพท์ที่จะต้องค้นหา ได้แก่
บทประพนั ธท ่ีมคี วามหมายตรง ระยับ หมายถงึ พราวแพรว วับวาม (แสงหรือรัศม)ี
เพือ่ ประกอบการอธิบาย ชอ่ ฟา้ หมายถงึ ตวั ไมท้ ตี่ ดิ อยบู่ รเิ วณหนา้ บนั รปู เหมอื นหวั นาคชขู นึ้ เบอ้ื งบน
(แนวตอบ ตวั อยา งเชน ตระการ หมายถงึ งาม
“ขาวเศกิ เอิกองึ ทราบถงึ บัดดล กล หมายถงึ เหมือน
ในหมูผูค น ชาวเวสาลี ทิฆัมพร หมายถงึ ทอ้ งฟา้
แทบทกุ ถิ่นหมด ชนบทบรู ี นภศลู หมายถงึ ยอดปราสาทหรอื มณฑปหรอื ปรางคท์ แี่ หลมตรงขน้ึ ไปใน
อกสนั่ ขวญั หนี หวาดกลวั ทว่ั ไป” อากาศ
สามคั คเี ภทคาํ ฉนั ท : ชติ บรุ ทตั ประภสั สร หมายถงึ สเี ลอ่ื มๆ พรายๆ แสงพราวๆ เหมอื นแสงพระอาทติ ยแ์ รกขน้ึ
จากบทประพนั ธที่ยกมา คําวา บราลี หมายถงึ เครือ่ งแต่งหลงั คาเป็นยอดเล็กๆ เรยี งรายตามอกไก่
เศิก หมายถึง ศกึ เอกิ อึง หมายถึง พลิ าส หมายถงึ งามอย่างสดใส
แพรห ลายรกู ันทัว่ บดั ดล หมายถงึ ศุภ หมายถึง ความงาม
ทนั ใดนัน้ เปนตน ) จรูญ หมายถงึ รงุ่ เรือง
๒.๒) ค้นหาความหมายแฝง คือ ความหมายที่ต้องตีความ ซ่ึงผู้แต่งอาจใช้ค�าท่ีเป็น
เกรด็ แนะครู สัญลกั ษณ์ เพอื่ เสนอสารอันเป็นความคิดหลกั ของผูแ้ ต่ง เชน่

ครูแนะนาํ การอา นวรรณคดใี หไ ด นาคมี ีพิษเพย้ี ง สรุ โิ ย
คุณคา ตอ งพยายามทาํ ความเขาใจ เล้ือยบ่ท�าเดโช แช่มช้า
บทประพันธอยางลกึ ซึ้ง แนะนําให พษิ นอ้ ยหย่งิ โยโส แมลงปอ่ ง
นกั เรยี นใชจิตนาการในการเขา ถึง ชูแตห่ างเองอา้ อวดอ้างฤทธี
อารมณข องกวี เพือ่ ที่จะไดเขา ใจสาร
ท่ีกวตี องการสื่อ (โคลงโลกนิต)ิ

นักเรยี นควรรู จากบทประพันธ์ข้างต้นกล่าวถึง งูมีพิษมากเทียบเท่ากับความร้อนของดวงอาทิตย์ แต่
ท่าทางการเลื้อยกลับเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ไม่แสดงให้รู้ว่ามีพิษมาก ซ่ึงต่างจากแมลงป่องมีพิษ
ความหมายทต่ี องตีความ เปน เพียงเล็กน้อยอยู่ท่ีหาง กลับชูหางอวดพิษอันน้อยนิด ความหมายของโคลงบทน้ีพิจารณา
ความหมายทต่ี องนําความคดิ ไป ความหมายแฝงได้ว่า งู เป็นสัญลักษณ์ของผู้ท่ีเปี่ยมไปด้วยอ�านาจแต่ไม่โอ้อวดหรือแสดงตน
เกย่ี วโยงถึงสง่ิ อื่น หรือตอง ในขณะที่ แมลงป่อง เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ที่มีอ�านาจน้อยแต่ชอบแสดงฤทธ์ิเดชอวดอ้างอ�านาจ
เปรยี บเทียบ อนั นอ้ ยนิดทตี่ นมี
๒.๓) ค้นหาข้อคิดอันเป็นประโยชน์ เป็นการค้นหาข้อคิดคติเตือนใจท่ีสามารถน�าไป
ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจ�าวันได้ กวีมักสอดแทรกทัศนะ ข้อคิด คติสอนใจ
เรอื่ งตา่ งๆ ไวใ้ นเนอื้ เรอ่ื งของวรรณคด ี ผอู้ า่ นควรอา่ นอยา่ งพจิ ารณาเพอื่ คน้ หาคณุ คา่ จากวรรณคดี

4

4 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

เร่ืองท่ีอ่าน เช่น เรื่องนิราศภูเขาทอง ตอนท่ีกล่าวถึงองค์เจดีย์ที่ช�ารุดทรุดโทรมมีรอยแตกร้าว อธบิ ายความรู
ดงั ความว่า
นักเรยี นอภิปรายแลกเปล่ยี น
ท้งั องคฐ์ านรานร้าวถงึ เก้าแฉก เผยอแยกยอดสุดก็หลุดหัก ความคดิ เห็นรว มกันเก่ียวกับขอคดิ
โอ้เจดียท์ ่ีสรา้ งยังรา้ งรกั เสยี ดายนกั นกึ นา่ นา้� ตากระเดน็ คตเิ ตือนใจ ท่ีสามารถนําไปประยุกต
กระนี้หรอื ชือ่ เสียงเกียรติยศ จะมิหมดล่วงหนา้ ทนั ตาเห็น ใชใ หเกิดประโยชนในชีวิตประจําวัน
เป็นผดู้ ีมีมากแล้วยากเย็น คิดก็เป็นอนจิ จงั เสยี ทงั้ นั้น ได

(นิราศภูเขาทอง) ขยายความเขาใจ

จากค�าประพันธ์ข้างต้น กวีเปรียบรอยแตกร้าวของเจดีย์ว่าเหมือนเกียรติยศช่ือเสียงเป็น นักเรียนยกตัวอยา งบทประพันธ
สิ่งที่ไม่จีรังย่ังยืน ข้อคิดที่ส่ือสารมายังผู้อ่าน คือ ชีวิตคนเราอาจประสบกับความเปล่ียนแปลง ท่ีทําใหนักเรียนไดรับรูความรสู กึ
ซึง่ เปน็ สง่ิ ธรรมดาของโลก คนมง่ั มกี ็อาจเป็นคนจนได ้ เมอื่ สุขก็อาจทุกข์ได้ มียศได้ก็เสื่อมยศได้ และอารมณของกวีท่สี อดแทรก
มีลาภได้กเ็ สอื่ มลาภได้ ทุกสิ่งล้วนเปน็ อนิจจงั ไม่แน่นอน ในบทประพันธ
๓) รบั รอู้ ารมณข์ องบทประพนั ธ ์ พยายามพจิ ารณาเมอื่ รบั รู้ความรู้สกึ และอารมณ์ที่
กวสี อดแทรกในบทประพนั ธ ์ เชน่ นริ าศนรนิ ทร ์ กวกี ลา่ วถงึ ยามทตี่ อ้ งจากคนรกั ไดพ้ รรณนาความ (แนวตอบ กวพี รรณนาอารมณ
รสู้ กึ อาลยั รักทีม่ ตี อ่ นางผเู้ ปน็ ทร่ี ักว่า เมื่อต้องแยกจากกันราวกับได้ปลดิ หัวใจไปจากตวั หากแบ่ง โศกเศรา ระทมใจ เชน
หวั ใจออกเปน็ ๒ ซีกได ้ ซกี แรกจะเอาตดิ ตวั ไปด้วย สว่ นอีกซกี จะฝากไวก้ บั นาง ดังความว่า
“แตเชา เทาถงึ เยน็
กลํ้ากลทนเขญ็ เปนอาจิณ
ชายใดในแผน ดิน
ไมเ หมือนพี่ทีต่ รอมใจ”

กาพยเ หเ รอื : เจา ฟา ธรรมธเิ บศร)

จ�าใจจากแมเ่ ปลอื้ ง ปลิดอก อรเอย นักเรียนควรรู
เยยี ววา่ แดเดยี วยก แยกได้
สองซกี แล่งทรวงตก แตกภาค ออกแม่ นริ าศภเู ขาทอง เปน เรอ่ื งทส่ี นุ ทรภู
ภาคพ่ีไปหน่งึ ไว้ แนบเนอ้ื นวลถนอม แตง ขึน้ เมอ่ื ครั้งเดนิ ทางไปนมัสการ
เจดยี ภเู ขาทองท่จี งั หวดั พระนคร-
(นิราศนรนิ ทร)์ ศรอี ยุธยา ประมาณ พ.ศ. 2371 เปน
นิราศท่ีเนอื้ เรอ่ื งไมยาวนกั แตพรอม
๔) พจิ ารณาการใชก้ ลวธิ ใี นการแตง่ คา� ประพนั ธ ์ กลวธิ ใี นการแตง่ คา� ประพนั ธเ์ ปน็ วธิ ี ไปดวยกระบวนกลอนอนั ไพเราะ
สรา้ งความรสู้ กึ นกึ คดิ ของกว ี ชว่ ยใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจทศั นะและนยั สรปุ ของกวหี รอื เนอ้ื เรอ่ื งไดช้ ดั เจนยง่ิ และแงคิดสาํ หรบั การดํารงชวี ิต
ขน้ึ กวา่ การบอกเลา่ ดว้ ยถอ้ ยค�า และวธิ กี ารตรงไปตรงมา ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากปมปญั หาของเสภาเรอื่ ง
ขุนช้างขุนแผนที่เป็นปมความขัดแย้งเร่ืองความรักระหว่างชายสองหญิงหนึ่ง จนในท่ีสุดได้น�าไป
ส่กู ารคลีค่ ลายปมปญั หาดว้ ยการประหารชวี ิตนางวนั ทอง ซ่งึ เปน็ จุดจบท่นี ่าเศรา้ สลดใจ แต่กเ็ ป็น
กลวิธที ่ีท�าใหเ้ ร่อื งนอี้ ยใู่ นใจผ้อู า่ นมายาวนาน เพราะกวสี ร้างความรสู้ กึ คา้ งคาใจ ความไม่สมหวัง
ของตวั ละคร

5

คูมอื ครู 5

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%)

ใหนักเรียนรวมกนั แสดงความ ๕) ความงามความไพเราะของภาษา พจิ ารณาการสรรคา� และการเรยี บเรยี งคา� ใหเ้ ปน็
คิดเหน็ เก่ยี วกบั การพิจารณาคณุ คา ตามลา� ดบั อยา่ งไพเราะเหมาะสม และการใชโ้ วหารกอ่ ใหเ้ กดิ จนิ ตภาพ อารมณ์ และความรสู้ กึ เชน่
วรรณคดี กวีเลอื กใชค้ า� ท่ีมคี วามหมายวา่ งาม อย่างเหมาะสม จากบทละครพดู คา� ฉนั ท์เรือ่ ง มทั นะพาธา

• การพจิ ารณาคุณคา วรรณคดี อ้าอรุณแอรม่ ระเร่ือรจุ ี ประดุจมโนภริ มย์รตี ณ แ รกรัก
ดา นเน้อื หา ทาํ ไมตอ งคํานงึ ถึง
รปู แบบวรรณคดี แสงอรณุ วโิ รจน์นภาประจกั ษ์ แฉล้ม เฉลา และโสภ ิ นกั นะฉันใด
(แนวตอบ เพ่อื จาํ แนกไดว าจะ หญิงและชาย ณ ยามระตีอุทัย สวา่ ง ณ กลางกมล ละไม ก็ฉนั นนั้
พจิ ารณาวรรณคดเี รอื่ งนน้ั ๆ
ในลกั ษณะใด เชน อิเหนาเปน (มทั นะพาธา)
บทละครรํา บทประพนั ธจะเออ้ื
ตอ ทา ราํ เสภาเรอ่ื งขนุ ชา งขนุ แผน ๕ การพิจารณาคุณค่าวรรณคดี
เปน กลอนนทิ านเรอ่ื งมขี นาดยาว
และภาษาทใ่ี ชเ ปน ภาษาชาวบา น วรรณคดีเป็นผลงานที่สืบทอดกันมาช้านานเป็นหนังสือท่ีมีคุณค่าสมควรอ่านอย่างพินิจ
และมกี ารใชราชาศัพทดวย) พิเคราะห์ไปถึงการวิจักษ์ ซ่ึงเท่ากับเป็นการกลั่นกรองคุณค่าของวรรณคดีท่ีอ่าน มีท้ังคุณค่า
ทางดา้ นเนอ้ื หา คุณค่าทางดา้ นวรรณศิลป์ และคุณคา่ ทางด้านสงั คม โดยพจิ ารณาดังนี้
ขยายความเขา ใจ
๕.๑ คณุ ค่าดา้ นเนือ้ หา
1. นักเรียนจบั คยู กตัวอยา งวรรณคดี
หรอื วรรณกรรมทม่ี รี ปู แบบเหมาะสม การพจิ ารณาคณุ คา่ ด้านเนือ้ หามีแนวทางในการพิจารณา ดังต่อไปน้ี
กบั เน้อื เรื่อง พรอ มท้งั บอกเหตผุ ล ๑) รูปแบบ ในการศึกษาวรรณคดี นักเรียนควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบของ
(แนวตอบ ตัวอยา งเชน อเิ หนา วรรณคดีว่าจะพิจารณาวรรณคดีเร่ืองนั้นในลักษณะใด ซ่ึงรูปแบบของวรรณคดีแบ่งออกเป็น
พระราชนพิ นธใ นรัชกาลที่ 2 ร้อยแก้วและร้อยกรอง
รูปแบบเปนบทละครราํ สําหรบั ๑.๑) ร้อยแก้ว คือค�าประพันธ์ที่ไม่จ�ากัดถ้อยค�าและประโยค ไม่มีกฎเกณฑ์ทาง
การแสดงละครราํ บททใ่ี ชสาํ หรับ ฉันทลักษณ์เป็นรปู แบบตา่ งๆ ตายตวั การพิจารณาความหมายในค�าประพนั ธป์ ระเภทร้อยแก้วขน้ึ
แสดงตอ งสง ใหล ีลาการรายรํา อย่กู ับจดุ ประสงค์และเนื้อหาของเรื่อง ถา้ กวมี ีจดุ มุ่งหมายทจี่ ะบนั ทึกเรอ่ื งราวเหตุการณใ์ หค้ วามรู้
สวยงามประกอบการขบั รอ ง ท่ัวๆ ไป จะมกี ารใช้ภาษาตรงไปตรงมา เรียบงา่ ย และชัดเจน และหากกวแี ต่งเรื่องทมี่ ีเนือ้ หาลุ่ม
อยางไพเราะ เน้ือหาสามารถ ลึก แสดงความลึกซ้ึงแยบคาย เชน่ เรื่องเกีย่ วกับพระพุทธศาสนา ปรัชญา หรอื เรื่องที่เกดิ จาก
นํามาถอดทา รําได) จินตนาการ วรรณกรรมร้อยแก้วชิ้นที่เลือกใช้ถ้อยค�าได้เหมาะสมเนื้อความ แต่งได้กระชับรัดกุม
สละสลวย สอ่ื ความหมายไดช้ ดั เจน วางเหตกุ ารณใ์ นเรอ่ื งไดแ้ นบเนยี น วรรณกรรมรอ้ ยแกว้ ชน้ิ นนั้
2. ครสู ุมนกั เรยี น 2 - 3 คู มานาํ เสนอ จะมคี วามไพเราะงดงามและสะเทือนอารมณผ์ อู้ า่ นได้เป็นอยา่ งดี
หนา ชนั้ เรยี น และครูชว ยชแี้ นะ ๑.๒) ร้อยกรอง คือค�าประพันธ์ที่น�าค�ามาประกอบกันข้ึน ให้มีลักษณะรูปแบบตามท่ี
เพ่มิ เตมิ ก�าหนดไว้และมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ วรรณคดีสมาคมได้มีการบัญญัติค�าว่า ร้อยกรอง เป็น
คา� รวมเรยี กโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และรา่ ย ค�าประพันธป์ ระเภทร้อยกรองจะเนน้ จงั หวะของ

6

6 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

เสยี งซงึ่ เกดิ จากการกา� หนดจา� นวนพยางคห์ รอื คา� เปน็ วรรค บาท และบท การผกู คา� สมั ผสั คลอ้ งจอง อธิบายความรู
อยา่ งมแี บบแผน ลักษณะการบงั คับตา� แหน่งวรรณยกุ ต์ เชน่ โคลง เปน็ ตน้ และการเพิม่ สมั ผัส
คล้องจองในวรรคข้ึนอยู่กับลีลาช้ันเชิงของกวีแต่ละคน วรรณคดีเรื่องหน่ึงๆ อาจใช้ค�าประพันธ์ นกั เรยี นอธบิ ายรปู แบบของวรรณคดี
ชนดิ เดยี วเป็นหลัก เช่น เสภาเร่อื งขนุ ชา้ งขนุ แผน เร่ืองอเิ หนา แตง่ เปน็ กลอนสภุ าพ วรรณคดี ทก่ี าํ หนดจากประเภทของคาํ ประพนั ธ
บางเรอื่ งแตง่ ดว้ ยค�าประพนั ธต์ า่ งชนดิ กัน เช่น ลลิ ิตพระลอ ลลิ ติ ตะเลงพ่าย แต่งเปน็ โคลงและร่าย
เรยี กวา่ ลิลติ เรื่องมทั นะพาธาแต่งเป็นฉนั ท์และกาพย์ เรียกวา่ ค�าฉนั ท์ กาพย์เห่เรอื แต่งเป็นโคลง (แนวตอบ แบง เปน รอ ยแกว กับ
และกาพย์เพื่อให้ฝีพายได้เห่ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค กวีได้เลือกรูปแบบกาพย์ยานี รอยกรอง)
ซึ่งเหมาะสมกับเน้ือเรื่องท่ีพรรณนาธรรมชาติร่วมกับอารมณ์ความรู้สึกของกวีอันแสดงความรัก
ความอาลัยถงึ คนรกั ดงั ความวา่ • รอยกรองมีลกั ษณะอยา งไร
• รอยแกวมีลกั ษณะอยา งไร
โคลง • เหตุใดจงึ ตอ งมคี วามรูเกย่ี วกบั

รอนรอนสุรยิ โอ้ อสั ดง ฉันทลักษณ
ค่�ำแล้ว (แนวตอบ เพอ่ื ชวยใหก ารอาน
เรื่อยเร่อื ยลบั เมรลุ ง นุชพ ่ี เพียงแม่ วรรณคดีแตละเรือ่ งมอี รรถรส
คลับคล้ำยเรยี มเหลียว ไดร บั ความไพเราะซาบซงึ้ ของ
รอนรอนจติ จ�ำนง คําประพันธ และสอ่ื อารมณจาก
ทพิ ำกรจะตกต่�ำ เนอ้ื หา จงั หวะ และทวงทาํ นอง
เรอ่ื ยเรอ่ื ยเรยี มคอยแก้ว คำ� นงึ หนำ้ เจำ้ ตำตรู ในการประพันธ เชน ในเรอ่ื ง
สามัคคเี ภทคําฉันทใ ช
กาพย ์ (กาพย์เห่เรอื ) วิชชมุ มาลาฉันท ซ่ึงมีคํา
ในคณะนอย ใชกับเน้ือความ
เรื่อยเร่ือยมำรอนรอน ตื่นตระหนก โดยใชบ รรยาย
ภาพชาวเมอื งเวสาลี เม่ือรูวา
สนธยำจะใกลค้ ่ำ� มศี กึ ดังน้ี

การอ่านค�าประพันธ์เป็นจังหวะท�านองตามลักษณะค�าประพันธ์แต่ละชนิด จะช่วยให้ “ต่นื ตาหนาเผือด หมดเลือดสัน่ กาย
ผู้อ่านสามารถรับรู้อารมณ์ของกวีท่ีแทรกไว้ในบทร้อยกรองอย่างมีประสิทธิภาพ การอ่านอย่าง หลบหลหี้ นตี าย วนุ หวัน่ พรนั่ ใจ
เข้าใจซาบซง้ึ ย่อมช่วยให้ผู้อ่านและผูฟ้ ังเข้าถึงรสถ้อยคา� และรสภาพอย่างสมจริง เกิดความร้สู กึ ซกุ ครอกซอกครวั ซอนตัวแตกภัย
ประทับใจในวรรณคดไี ทย
๒) องคป์ ระกอบของเรอ่ื ง พจิ ารณาได้ดงั นี้ เขาดงพงไพร ท้ิงยา นบานตน”)
๒.๑) สาระ พิจารณาว่าสาระที่ผู้แต่งต้องการส่ือมายังผู้อ่านเป็นเรื่องอะไร เช่น
ให้ความรู้ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น หรือแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมา ควรจับสาระส�าคัญหรือ ขยายความเขาใจ
แกน่ ของเรอ่ื งให้ไดว้ ่าผแู้ ตง่ ต้องการสอื่ อะไร แกน่ เรือ่ งมลี กั ษณะแปลกใหม่ น่าสนใจเพยี งใด เช่น
เร่ืองสามก๊ก มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง และการชิงอ�านาจกันด้วยอุบายการเมือง นกั เรยี นยกตวั อยา งรปู แบบวรรณคดี
และการสงคราม เรอ่ื งทน่ี ักเรียนเคยเรียนหรอื รูจกั มา
อยางนอย 3 ตวั อยาง
7
(แนวตอบ ตัวอยา งเชน เสภาเรอื่ ง
ขนุ ชา งขุนแผนแตง เปนกลอนนิทาน
มหาเวสสนั ดรชาดกแตง เปน ราย
ลิลิตตะเลงพา ยแตง เปนโคลงและ
รา ย เรียกวา ลลิ ติ กาพยเ หเ รือ
แตง เปน กาพยและโคลงเรยี กวา
กาพยหอโคลง เปน ตน)

@ มุม IT

ศึกษาเกยี่ วกบั การวิเคราะหค ุณคา วรรณคดเี พม่ิ เตมิ
ไดท ่ี http://www.org/blogs/posts/419071

คมู อื ครู 7

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

สํารวจคน หา (ยอ จากฉบบั นักเรียน 20%)

นักเรยี นแตล ะกลุมชว ยกนั สบื คน ๒.๒) โครงเรอ่ื ง พิจารณาวิธกี ารเรยี งลา� ดับความคดิ หรอื เหตกุ ารณ์ในเรอื่ งว่าเปดิ เร่อื ง
องคป ระกอบตา งๆ ในวรรณคดีและ อย่างไร ดงั เชน่ โครงเร่อื งของเสภาเรื่องขุนช้างขนุ แผน ตอนขุนช้างถวายฎกี า คือ ผหู้ ญงิ ท่ตี อ้ ง
วรรณกรรม เลือกไปอยู่กับผู้ชายคนใดคนหนึ่ง ซึ่งคนหน่ึงตนก็รักมากอีกคนหนึ่งก็ดีต่อตนมาก กวีมีวิธีวาง
โครงเร่ืองได้ดีหรือไม่ การล�าดับความไปตามล�าดับข้ันตอนหรือไม่ มีวิธีการวางล�าดับเหตุการณ์
อธิบายความรู น่าสนใจอย่างไร และมกี ารสรา้ งปมขัดแยง้ อะไรทน่ี า� ไปสจู่ ดุ สูงสุดของเรอ่ื ง เป็นตน้
๒.๓) ฉากและบรรยากาศ พิจารณาการพรรณนาหรือบรรยายฉากของเรื่อง โดย
นักเรียนแตละกลมุ อภปิ รายสรุป บรรยากาศน้ันสร้างโดยการบรรยายฉาก ซึ่งเกิดจากการสร้างเหตุการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนในเร่ือง
เกี่ยวกับองคป ระกอบของวรรณคดี กวีต้องให้รายละเอียดเก่ียวกับสถานที่และสภาพแวดล้อม เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตาม
ตามหัวขอตอ ไปนี้ เชน่ เรอ่ื งสามกก๊ มฉี ากของเรอื่ งอยใู่ นประเทศจนี ในสมยั พระเจา้ เหย้ี นเต ้ เสภาเรอื่ งขนุ ชา้ งขนุ แผน
ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี ามฉี ากการตดั สนิ พระทยั ของสมเดจ็ พระพนั วษากเ็ กดิ ขน้ึ ในสมยั การปกครอง
• นักเรียนมหี ลกั ในการพจิ ารณา ตามระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์และบรรยากาศนา่ เกรงขาม เป็นตน้
สาระของวรรณคดีและ ๒.๔) ตัวละคร พิจารณาลักษณะนิสัยของตัวละครเป็นส่วนส�าคัญของเรื่อง โดยต้อง
วรรณกรรมแตละเรื่องอยางไร พิจารณาว่ามีบุคลิกภาพอย่างไรและมีบทบาทอย่างไร พฤติกรรมที่แสดงออกมาดีหรือไม่ เช่น
(แนวตอบ การรสู าระของเรอ่ื ง ความไม่รู้จักกาลเทศะของขุนช้างในคราวทด่ี �านา�้ เข้าไปถวายฎกี าถงึ เรือพระที่นง่ั เปน็ ตน้
และเขาใจเนอ้ื เร่อื ง ตอ งอา น ๒.๕) กลวิธีการแต่ง พิจารณาวิธีการเลือกใช้ถ้อยค�า และการน�าเสนอว่ากวีน�าเสนอ
อยา งพินจิ พิเคราะหจ ับใจความ อยา่ งไร เชน่ เสนออย่างตรงไปตรงมา เสนอโดยให้ตคี วามจากสญั ลักษณห์ รือความเปรียบ เสนอ
ใหไ ด วา กวตี อ งการสอื่ อะไร โดยใช้ภาพพจน์ให้เกดิ จนิ ตภาพ ควรพิจารณาวา่ วธิ กี ารต่างๆ เหล่าน ี้ ชวนใหน้ ่าสนใจ นา่ ตดิ ตาม
ใหผูอ า นไดร ูแ ละเขาใจเก่ยี วกบั และน่าประทับใจไดอ้ ยา่ งไร
สงิ่ ใดบาง)
๕.๒ คณุ คา่ ดา้ นวรรณศลิ ป์
• กลวิธใี นการแตง วรรณคดี
และวรรณกรรมมีความสําคญั การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ พิจารณาจากการเลือกสรรค�ามาเรียงร้อยกันให้เกิด
อยางไร ความงาม ความไพเราะ มีความหมายลึกซึ้งกินใจ ท�าให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการ ซึ่งมีแนวทาง
(แนวตอบ กลวิธีในการแตง ในการพจิ ารณา ดงั น้ี
วรรณคดีและวรรณกรรมจะ ๑) การสรรคา� คือ การทก่ี วเี ลือกใช้คา� ใหส้ อื่ ความคิด ความเข้าใจ ความรสู้ ึก อารมณไ์ ด้
ทําใหเรอื่ งมีความนา สนใจ อย่างไพเราะตรงตามทกี่ วตี ้องการ โดยพจิ ารณาการใช้คา� ต่างๆ ดงั นี้
นาตดิ ตามยงิ่ ขึ้น) ๑.๑) การเลอื กใชค้ า� ไดถ้ กู ตอ้ งตรงตามความหมายทต่ี อ้ งการ เชน่ การเลอื กใชค้ า� ไวพจน์
คือ ค�าที่เขียนต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน บางค�าจะใช้ในบทร้อยกรอง
นักเรยี นควรรู เทา่ นัน้ เช่น

วรรณศลิ ป เปน องคป ระกอบสาํ คญั 8
ทบี่ ง ชค้ี วามเปน วรรณคดี วรรณศลิ ป
เปน ทงั้ หลกั การประพนั ธห นงั สอื และ
เปน ทง้ั หลกั การประเมนิ คณุ คา ในขณะ
เดยี วกัน ผสู รา งวรรณคดีและผอู า น
วรรณคดจี งึ ตองมีความรูเ ร่ือง
วรรณศิลป

8 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain

Expand Evaluate

กระตนุ ความสนใจ

ครอู านบทประพันธทเ่ี ตรยี มมาให
นักเรียนฟง
ชมดวงพวงนางแยม้ บานแสล้มแยม้ เกสร “สายหยดุ หยุดกลนิ่ ฟุง ยามสาย
คิดความยามบังอร แย้มโอษฐ์ยม้ิ พริ้มพรายงาม สายบหยดุ เสนห หาย หางเศรา
มะลวิ ัลย์พนั จิกจวง ดอกเป็นพวงรว่ งเรณู ก่ีคนื กวี่ ันวาย วางเทวษ ราแม
ชชู ื่นจิตคดิ วนดิ า ถวิลทุกขวบคํ่าเชา หยุดไดฉันใด”
หอมมานา่ เอน็ ด ู จากนน้ั ครตู งั้ คําถาม
(กาพย์เหเ่ รือ)
• นกั เรียนทราบหรอื ไมว า
บทประพนั ธท ่ีครูยกมาขางตน
จากบทประพันธค์ า� ว่า บงั อร และ วนดิ า หมายถงึ ผหู้ ญิงและนางผเู้ ป็นที่รัก ซง่ึ จะอยู่ อยูใ นวรรณคดเี ร่อื งใด
ในแตล่ ะต�าแหน่งทสี่ อดคลอ้ งกันกับบทประพนั ธ์ (แนวตอบ ลลิ ติ ตะเลงพา ย)
๑.๒) การเลอื กใช้คา� ท่เี หมาะแก่เนอ้ื เร่ืองและฐานะของบุคคลในเรอ่ื ง เช่น

เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร ก็มาเป็น สํารวจคนหา
ททุ าสสถลุ ฉะน้ีไฉน
ใหน กั เรยี นจบั คสู บื คน และพจิ ารณา
ศึก บ ถงึ และมึงกย็ งั มิเห็น ประการใด คณุ คา ของการวจิ ารณค วามงาม ความ
จะนอ้ ยจะมากจะยากจะเยน็ ไพเราะทางดานวรรณศิลป

อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ ก็หม่นิ กู อธบิ ายความรู
ขยาดขยั้นมิทันอะไร
1. ครสู ุมนกั เรยี น 4 - 5 คู มาชวยกนั
(สามัคคเี ภทคา� ฉันท)์ อธบิ ายความรทู างดา นวรรณศิลป
จากวรรณคดีทนี่ ักเรยี นเคยอา น
จากบทประพันธ์เป็นการเลือกใช้ค�าที่เหมาะสมกับฐานะของบุคคล ในเร่ืองเป็นตอนที่
พระเจ้าอชาตศตั รแู สร้งใชค้ า� บริภาษวสั สการพราหมณ ์ เม่อื วัสสการพราหมณท์ ดั ทานเรอื่ งการศึก 2. ใหนกั เรยี นที่เหลอื ในหอ งรวมกัน
ซึ่งเป็นคา� ทกี่ ษตั รยิ ใ์ ช้กับผทู้ ่มี ีฐานะต่�ากวา่ อภปิ รายวรรณศิลปทเ่ี พอ่ื น
๑.๓) การเลือกใช้ค�าได้เหมาะแก่ลกั ษณะของค�าประพันธ ์ เชน่ นําเสนอ และบันทกึ ความรลู งสมดุ
(แนวตอบ เสฐยี รโกเศศ (พระยา
สรวมชพี หัตถประณาม ณ เบ้อื งพระบทมาลย์ อนุมานราชธน) ไดก ลาวถงึ
หลักการวจิ ารณว รรณศิลปใน
หมายโพธสิ มภาร พระองค์ หนังสือการศกึ ษาวรรณคดวี า
หลกั การวจิ ารณน ้ี คอื การพิจารณา
สมเดจ็ อคั รมหาจุฑาธปิ พระมง กษตั ริย์ ศลิ ปะของการสรางสรรคว รรณคดี
มี 6 ประการ คือ
กุฎเกลา้ พิสิฐพงศ ์ (สามัคคเี ภทคา� ฉันท)์ 1. ความนึก
2. ความสะเทอื นอารมณ
จากบทประพันธ์ มกี ารใช้ค�าที่มศี กั ดิ์ค�าสูง และค�าที่มาจากภาษาบาล ี - สันสกฤต เพ่ือ 3. การแสดงออก
ให้เกิดความขลงั ศกั ดิส์ ทิ ธ ์ิ และสอดคลอ้ งกบั ครุ ลห ุ ของลักษณะคา� ประพนั ธ์ประเภทคา� ฉนั ท์ 4. องคประกอบ
5. ทวงทาทแ่ี สดง
9 6. เทคนิค)

คูมอื ครู 9

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)

การเลือกใชค ําโดยคํานงึ ถึงเสียง ๑.๔) การเลือกค�าโดยค�านึงถงึ เสียง ดังนี้
มีหลายลักษณะทั้งคําเลยี นเสียง (๑) คา� ทเี่ ลน่ เสยี งวรรณยกุ ต์ คา� ในภาษาไทยทตี่ า่ งกนั เฉพาะเสยี งวรรณยกุ ต์ กจ็ ะ
ธรรมชาติ การเลน คํา ใหนกั เรยี น
อธิบายและยกตวั อยา งบทประพนั ธ มคี วามหมายตา่ งกนั เพอื่ สรา้ งความหลากหลายของระดบั เสยี งสงู ตา�่ ซง่ึ จะทา� ใหเ้ กดิ ความไพเราะ
ที่มกี ารเลน เสียงอยางชดั เจน 1 ด้านเสียงโดยตรงและไมเ่ สยี ความ ดงั ตวั อยา่ ง
ตวั อยาง พรอมบอกท่มี าดว ย
จะจับจองจอ่ งจอ้ งสิง่ ใดน้นั ดูส�าคัญคน่ั คน้ั อยา่ งนั ฉงน
(แนวตอบ เชน อยา่ ลามลวงลว่ งล้วงดูเลศกล คอ่ ยแคะคนค่นคน้ ใหค้ วรการ
“ทัง้ จากทีจ่ ากคลองเปน สองขอ อยา่ เคลม้ิ คล�าคล่�าคล�้าแต่ละโลภ เทยี่ วหวงหว่ งห้วงละโมบละเมอหาญ
ยงั จากกอนน้ั กข็ ึน้ ในคลองขวาง สิง่ ใดปองปอ่ งป้องเป็นประธาน อย่าด่วนดานดา่ นดา้ นแตโ่ ดยใจ
โอว า จากชา งมารวบประจวบทาง จับปลาชอนชอ่ นช้อนสองกรถือ ขา้ งละมอื ม่ือมื้อจะมั่นไฉน
ทง้ั จากบางจากไปใจระบม” เพอื่ ระแวงแวง่ แว้งพลกิ แพลงไป คร้นั จะวางว่างว้างไวด้ ูลานเลว

(นิราศพระบาท : สนุ ทรภ)ู (กลบทสุภาษติ )
จากบทประพนั ธท ่ียกมามกี าร
เลนคาํ วา “จาก” คือ บางจากทเ่ี ปน จากบทประพนั ธแ์ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสามารถของกวที เ่ี ลอื กใชค้ า� ทม่ี พี ยญั ชนะตน้
เขตพ้ืนที่ ชื่อคลองและการลา ตวั เดียวกนั และมีตัวสะกดตวั เดยี วกัน ตา่ งกันทเ่ี สยี งวรรณยุกต์
จากกัน เปน ตน)
(๒) คา� ทเ่ี ลยี นเสยี งธรรมชาติ ทา� ใหผ้ อู้ า่ นเหน็ ภาพชดั เจนและเกดิ ความรสู้ กึ คลอ้ ย
ขยายความเขาใจ ตามไปด้วย เชน่

1. นักเรียนยกตัวอยางบทประพันธ เปร้ียงเปรี้ยงดัง่ เสยี งฟ้าร้อง กึกกอ้ งทวั่ ทศทศิ า
ทีน่ ักเรยี นประทับใจ และมีคุณคา ตอ้ งอกทศกณั ฐอ์ สรุ า ตกจากรถาอลงกรณ์
ทางดา นวรรณศลิ ป 1 - 2 บท และ
บอกเหตุผลทีน่ ักเรยี นประทบั ใจ (รามเกียรต์)ิ
(แนวตอบ ตัวอยา งเชน
“ตะลงึ เหลยี วเปลยี่ วเปลา ใหเ หงาหงมิ (๓) ค�าที่เล่นเสียงสัมผัส คือ การใช้ถ้อยค�าให้มีเสียงสัมผัสคล้องจองของ
สชุ ลปร่มิ เปย มเหยาะเผาะเผาะผอย คา� ประพนั ธ์ สัมผสั มี ๒ ชนิด คือ สัมผัสในและสมั ผสั นอก สมั ผัสนอกเปน็ สมั ผสั บังคับตามลักษณะ
เหมอื นยามคาํ่ นา้ํ คางลงพรางพรอย คา� ประพันธแ์ ต่ละชนดิ เชน่ โคลงสส่ี ภุ าพ กาพย์ยานี ๑๑ กม็ สี ัมผสั ท่ีแตกตา่ งกัน สมั ผสั ในเป็น
นอ งจะลอยลมบนไปหนใด” สมั ผสั ทไี่ มบ่ งั คบั แตช่ ว่ ยทา� ใหค้ า� ประพนั ธไ์ พเราะยงิ่ ขน้ึ สมั ผสั ในม ี ๒ ลกั ษณะ คอื สมั ผสั พยญั ชนะ
และสมั ผัสสระ ดังตวั อยา่ ง
(นริ าศอิเหนา : สนุ ทรภู)
ไผ่ซอออ้ เอียดเบยี ดออด ลมลอดไล่เลยี้ วเรียวไผ่
จากบทประพันธกวีใชคําโดย ออดแอดแอดออดยอดไกว แพใบไล้น้า� ลา� คลอง
คํานึงถงึ เสยี งคือ ใชค ําเลียนเสยี ง
ธรรมชาติ ทาํ ใหผ ฟู งเห็นภาพและ (ค�าหยาด)
เกิดความรูส กึ คลอ ยตามไปดวย)
2. ใหนักเรียนเขยี นบทพรรณนา 10
รอยแกว ประมาณ 5 บรรทัด ใหม ี
คาํ เลยี นเสียงธรรมชาติ

เกรด็ แนะครู “ยงั เหลา ลดาวัลย สวุ คันธบุปผา
เผยคลีผ่ ลิคลายมา- ลยแยมพเยยี สยาย
ครชู ใ้ี หน กั เรียนเห็นวา นอกจากเสยี งวรรณยุกตแ ละเสยี งสัมผัส อรชรสลอนราย
เสยี งหนักเบาจะเปนเสียงที่ทําใหบทรอยกรองไพเราะแลว ยังเกิด กานชอลออออ น จรเกลือกประทน่ิ เกลา”
จากวิธีการอา นท่เี ขา ถึงความหมายของบทประพันธ ผูท่อี า นเปน หมผู ้งึ ภมรกราย
จะรจู กั ทอดเสียง เนนเสียงหนกั เบาดว ย เชน (ดรณุ จตุราภริ มย : ชติ บรุ ทัต)

10 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

สมั ผัสอกั ษร ไดแ้ ก ่ ออ้ - เอยี ด - ออด, ลม - ลอด - ไล ่ - เลีย้ ว, ออด - แอด - ออด, อธิบายความรู
ไล้ - ล�า
สมั ผัสสระ ได้แก ่ ซอ - อ้อ, เอียด - เบียด, เลยี้ ว - เรียว, ออด - ยอด, ใบ - ไล้, ใหน ักเรยี นอธบิ ายความสําคญั ของ
นา�้ - ล�า การใชโ วหารแตล ะประเภทในบท
ประพนั ธ
(๔) การเล่นค�าพ้องเสียงและซ�้าค�า คือ การใช้ค�าเดียวกันหรือค�าท่ีมีเสียง
เหมือนกันใช้ซ�้าหลายแห่งในบทประพันธ์หนึ่งบท ในความหมายเดียวกันหรือต่างความหมายกัน (แนวตอบ
เพือ่ ย้�านา�้ หนักความให้หนกั แนน่ เชน่ • การใชบรรยายโวหารทาํ ให

แก้มชา�้ ช้า� ใครต้อง อันแกม้ นอ้ งชา้� เพราะชม การดําเนินเรือ่ งราบร่นื
ปลาทุกทกุ ขอ์ กกรม เหมอื นทกุ ขพ์ ที่ ี่จากนาง • การใชพรรณนาโวหารทาํ ให

(กาพย์เห่เรอื ) เกดิ ความรูส ึกคลอยตาม
• การใชเ ทศนาโวหารชว ยเนน
จากบทประพันธ์กวีเล่นค�าที่เสียงพ้องกัน แต่ความหมายต่างกัน โดยเล่นค�าว่า
ปลาแก้มช�า้ ช�้า ปลาทุก ทุกข์ และซ้�าค�าว่า ชา�้ และ ทกุ ข์ จดุ มงุ หมายของกวีในการสอนและ
๒) การใชโ้ วหาร เตือนใจ
๒.๑) บรรยายโวหาร คือ การใช้ค�าอธิบายเล่าเรื่องราวรายละเอียดให้เข้าใจตาม
ลา� ดบั เหตกุ ารณว์ า่ ใคร ทา� อะไร ทไ่ี หน และอยา่ งไร เชน่ สามกก๊ ตอน กวนอไู ปรบั ราชการกบั โจโฉ • การใชสาธกโวหารชว ยเพิ่ม
โจโฉพากวนอูไปหาพระเจ้าเหี้ยนเต้เพือ่ ให้รบั เป็นทหาร ความวา่ รายละเอียดของเรื่องใหม คี วาม
ชัดเจนมากขึน้
“…ครั้นอยู่มาวันหน่ึงโจโฉจึงพากวนอูเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วทูลว่า กวนอูคนนี้มีฝีมือ
พอจะเป็นทหารได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีความยินดีจึงตั้งกวนอูเป็นนายทหาร โจโฉกับกวนอูก็ลากลับ • การใชอ ปุ มาโวหารชว ยเนน
มาบา้ นโจโฉจึงใหเ้ ชญิ กวนอกู ินโตะ๊ …” ความสําคัญโดยใชการเปรียบ
เทียบใหเ ขาใจเร่อื งอยางลกึ ซง้ึ
(สามกก๊ ) มากขึ้น)

๒.๒) พรรณนาโวหาร คือ การอธิบายความโดยการสอดแทรกอารมณ ์ ความรสู้ กึ ขยายความเขา ใจ
หรอื ใหร้ ายละเอยี ดอยา่ งลกึ ซง้ึ ของกวลี งไปในเรอ่ื งนน้ั ๆ ทา� ใหผ้ อู้ า่ นเกดิ อารมณส์ ะเทอื นใจคลอ้ ยตาม
ไปกับบทประพันธ์ ดังบทชมไม้ในกาพย์เห่เรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรที่พรรณนาดอกไม้ตามที่กวีได้ 1. นกั เรียนยกตวั อยางการใชบรรยาย
พบเหน็ แล้วชวนให้คิดถงึ นางผู้เป็นทีร่ ักท่ีเคยร้อยมาลัยดอกไมม้ าถวาย ความว่า โวหารในคาํ ประพันธร อยกรอง
คนละ 1 บท
สาวหยดุ พทุ ธชาด บานเกลอื่ นกลาดดาษดาไป (แนวตอบ
นึกน้องกรองมาลยั วางให้พขี่ า้ งทนี่ อน “จึ่งใหตีกลอง ปาวรอ งทนั ที
แจงขาวไพรี รกุ เบยี นกรีฑา
(กาพย์เห่เรอื ) เพ่ือหมูภูมี วชั ชอี าณา
ชุมนมุ บัญชา ปอ งกนั ฉันใด”
สามคั คเี ภทคาํ ฉนั ท : ชติ บรุ ทตั )

2. ครูขออาสาสมคั รมานําเสนอเปน
ตวั อยา งหนาชัน้ เรียน 2 - 3 คน

11

NET ขอสอบ ป 53

ขอ สอบโจทยถามวา ขอใดเปน บทพรรณนาความงามตา งจากพวก
1. แลพระปรศั วท ัง้ ซา ยขวา รจนาดงั วมิ านโกสีย
2. ทองฉนวนลวนแลวศิลาทอง ผนงั รองเรอื งรตั นมณนี ลิ
3. มีมุขทุกชนั้ บันแถลง ยอดแซงสลบั ไมนบั ได
4. วาแลวลออองคทรงเครื่อง รุงเรืองพรรณรายฉายฉาน
(วเิ คราะหค าํ ตอบ การพรรณนาความงามการแตง องคท รงเครอื่ งแตกตา งจากขอ อนื่ ตอบขอ 4) คมู ือครู 11

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Expand

Engage Explore Explain Evaluate

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)

1. นกั เรียนอานหนงั สือเรียนวรรณคดี ๒.๓) เทศนาโวหาร คือ กลวิธีที่ใช้โวหารในการกล่าวส่ังสอนอย่างมีเหตุผลประกอบ
และวรรณกรรม จากน้นั คัดลอก เช่น สุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่ ส่วนใหญ่จะเป็นการกล่าวส่ังสอนหญิงสาวให้ประพฤติปฏิบัติ
ขอ ความทเ่ี ปนบรรยายโวหาร ตนให้เหมาะสมท้งั ในเรื่องการแต่งกาย กริ ิยามารยาท การวางตวั การพูดจา ดังตัวอย่าง
พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร
และสาธกโวหาร มาอยา งละ ประการหน่งึ ซงึ่ จะเดินดา� เนินนาด คอ่ ยเยื้องยาตรยกย่างไปกลางสนาม
1 บท สง ครู อยา่ ไกวแขนสดุ แขนเขาหา้ มปราม เสงีย่ มงามสงวนไวแ้ ตใ่ นที
อยา่ เดนิ กรายย้ายอกยกผา้ ห่ม อย่าเสยผมกลางทางหว่างวถิ ี
2. นกั เรียนนาํ ภาพทวิ ทศั นม าคนละ อยา่ พดู เพ้อเจอ้ ไปไม่สดู้ ี เหย้าเรือนมกี ลับมาจง่ึ หารือ
1 ภาพ แลวเขยี นความเรยี งโดย
ใชโวหารชนิดใดกไ็ ดตามความ (สุภาษติ สอนหญิง)
เหมาะสม พรอมทัง้ ตงั้ ช่ือภาพ
ใหสอดคลอ งกบั เน้อื หาทเี่ ขียน

เกร็ดแนะครู ๒.๔) สาธกโวหาร คือ การยกตวั อยา่ งเรอื่ งราวมาประกอบ เพ่อื เพิ่มรายละเอยี ด หรือ
สิง่ ทน่ี า่ รนู้ ่าสนใจลงไปในขอ้ ความ ท�าใหเ้ ข้าใจชดั เจนย่งิ ข้ึน เชน่
ครูแนะนกั เรียนใหห มน่ั ฝกฝนการ
เขยี นบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร “...เตียวเล้ียวจึงว่า มหาอุปราชไม่แจ้งหรือ ในนิทานอิเยียงซ่ึงมีมาแต่ก่อนว่าเดิมอิเยียงอยู่กับ
เทศนาโวหาร และสาธกโวหาร ต๋งหางซ่ึงเป็นเจ้าเมือง ต๋งหางเล้ียงอิเยียงเป็นทหารใช้สอย ครั้นอยู่มายังมีคิเป๊กเจ้าเมืองหนึ่งนั้นยกทัพ
ในเบอ้ื งตนใหนักเรียนฝก ทต่ี นถนดั มาฆ่าตง๋ หางตาย คเิ ป๊กได้อิเยียงไปไว ้ จึงต้ังอเิ ยยี งเป็นขนุ นางท่ปี รกึ ษา อิเยยี งมีความสขุ มาเป็นชา้ นาน...”
กอน โดยวิธีบรรยายภาพในหนังสอื ที่
นกั เรียนสนใจ แลวนําไปเปรยี บเทียบ (สามกก๊ ตอน กวนอูไปรบั ราชการกบั โจโฉ)
กบั คําบรรยายในหนงั สอื ใหเพือ่ นๆ
ชวยวจิ ารณแลกเปล่ยี นกนั จากบทประพันธ์เป็นเหตุการณ์ตอนท่ีกวนอูขอสัญญาสามข้อจากโจโฉ เพ่ือแลกกับ
การเป็นทหารรับใช้โจโฉ แต่โจโฉไม่ยอมรับสัญญาข้อที่สามของกวนอูที่ขอว่า หากรู้ว่าเล่าปี่อยู่
นักเรียนควรรู ท่ไี หนจะไปหาทนั ท ี เตยี วเลี้ยวจงึ ไดย้ กนทิ านอเิ ยยี งให้ฟังว่า เมือ่ อเิ ยยี งไดน้ ายใหมค่ ือคิเปก๊ และ
คิเป๊กเล้ียงดูอิเยียงอย่างดี อิเยียงได้ตอบแทนบุญคุณคิเป๊กด้วยชีวิต หลังจากได้ฟังนิทานอิเยียง
กวนอขู อสญั ญาสามขอ จากโจโฉ โจโฉกไ็ ดใ้ หส้ ัญญาข้อทสี่ ามกบั กวนอู
สญั ญา 3 ขอ มดี งั นี้ ๒.๕) อุปมาโวหาร คือ โวหารท่ีกล่าวเปรียบเทียบสิ่งหน่ึงกับอีกสิ่งหน่ึงเพื่อให้ผู้อ่าน
เข้าใจชัดเจน เช่น เรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี เม่ือชูชกมาขอสองกุมารคือกัณหากับ
1. ขอใหไ ดเ ปน ขา รบั ใชก ษตั รยิ  ชาลี ดงั ความวา่
เหยี้ นเต
“...ปางเมือ่ ทา้ วเธอยกสองดรณุ เยาวเรศผ้ยู อดรัก ราวกะแขวะควักซ่งึ ดวงเนตรทัง้ สองขา้ งวางไว้
2. ขออยดู แู ลพสี่ ะใภท งั้ สอง ซงึ่ มอื พราหมณ…์ คดิ ไปคดิ ไปแลว้ ใจหายเหน็ นา่ นา้� ตาตกวา่ โอโ้ ออ๋ กมทั รเี อย่ จะเสวยพระทกุ ขแ์ ทบถงึ ชวี ติ
และขอนาํ เบย้ี หวดั ทเ่ี ลา ปไ ดร บั จะปลดิ ปลง ดว้ ยพระลกู รกั ทง้ั สองพระองค์นี้...”
พระราชทานมอบใหแ กพ ส่ี ะใภ
(มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑ์มทั ร)ี
3. หากกวนอรู วู า เลา ปอ ยทู ใ่ี ดจะไป
หาเลา ปโ ดยไมข อลาโจโฉกอ น 12

12 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

จากบทประพนั ธจ์ ะเหน็ การใชอ้ ปุ มาได้จากการใช้คา� วา่ ราวกะ เปรียบเทยี บลกู ทง้ั สอง อธบิ ายความรู
คือ พระกัณหากับพระชาลีเป็นดวงตา แสดงให้เห็นว่าลูกนั้นมีค่ากับพ่อแม่ราวกับดวงตาและยัง
ท�าให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานของการถูกพรากเอาลูกทั้งสองคนไปเหมือนการถูกแขวะควัก 1. ใหน ักเรียนศกึ ษาการใชภาพพจน
ดวงตา ชนิดตางๆ จากหนังสือเรียน
๓) การใช้ภาพพจน์ คือ การพลิกแพลงภาษาท่ีใช้พูดหรือเขียนที่ท�าให้ผู้อ่านเกิด หนา 13 แลวจดั กลุม กลุม ละ
จินตภาพ ได้อารมณแ์ ละความรสู้ กึ การใชโ้ วหารมหี ลายลักษณะ ดังนี้ 3 คน จบั สลากตามหวั ขอ ตอ ไปนี้
๓.๑) การใชภ้ าพพจน์อุปมา เปน็ การเปรียบเทียบวา่ สิง่ หนง่ึ เหมือนกับอกี สง่ิ หนง่ึ โดย • การใชภาพพจนอ ุปมา
ใช้คา� ว่า เสมือน ดุจ ดัง่ ราว เพียง ประหนง่ึ แสดงความหมายอยา่ งเดียวกบั คา� ว่า เหมอื น เช่น • การใชภาพพจนอปุ ลักษณ
• การใชภ าพพจนบ คุ คลวัต
นางนวลนวลนา่ รกั ไมน่ วลพกั ตรเ์ หมือนทรามสงวน
แก้วพ่นี สี้ ุดนวล ดงั่ นางฟา้ หนา้ ใยยอง 2. ใหแ ตล ะคนอธบิ ายหัวขอที่
จบั สลากไดใ หเพอ่ื นในกลมุ ฟง
(กาพยเ์ ห่เรือ) จากน้นั ใหน กั เรยี นทกุ คนสรุป
ความรลู งสมดุ
จากบทประพันธ์กวีกล่าวถึงนกนางนวลว่ามีความน่ารัก แต่ความน่ารักของนก
ก็ไมเ่ ท่าหน้านวลของนางผเู้ ปน็ ทรี่ กั นางมหี น้านวลราวกบั นางฟา้ ทีม่ ีหนา้ งามผดุ ผ่อง ขยายความเขา ใจ
๓.๒) การใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบสิ่งหน่ึงเป็นอีกสิ่งหน่ึง การเปรียบ
ลกั ษณะนไี้ มม่ คี า� ทส่ี อื่ ความหมายวา่ เหมอื นปรากฏอย ู่ แตเ่ ปน็ การเปรยี บเทยี บโดยใชค้ า� วา่ คอื เปน็ นักเรียนจับคูกนั ยกบทประพันธ
รอยแกว หรือรอ ยกรอง 3 บท โดย
พอ่ ตายคือฉัตรกั้ง หายหกั แตล ะบทท่ยี กมามกี ารใชภาพพจน
แมด่ บั ดจุ รถจักร จากดว้ ย แตกตา งกนั
ลูกตายบ่วายรกั แรงรา่�
เมยี ม่ิงตายวายม้วย มอื คลุ้มแดนไตร (แนวตอบ ตวั อยางเชน
ภาพพจนบ คุ คลวตั
(โคลงโลกนติ )ิ
“น้ําเซาะหนิ รนิ รินหลากไหล
จากบทประพันธ์กวีเปรียบพ่อเป็นฉัตร และความตายของพ่อเป็นเหมือนกับ ไมหลับเลยชว่ั ฟาดนิ สลาย
ฉัตรหกั หมายถงึ ผทู้ ่ีคุ้มครองใหค้ วามอบอุน่ มัน่ คง ปลอดภยั ไดส้ ูญสิ้นไปแลว้ สรรพสัตวพอฟนกว็ อดวาย
๓.๓) การใช้ภาพพจน์บุคคลวัต เป็นการสมมติส่ิงไม่มีชีวิตหรือสัตว์ให้มีกิริยาอาการ สลายซากเปน กากผงธุลี”
ความรสู้ ึกเหมือนมนษุ ย์ เชน่ (ลํานาํ ภกู ระดึง : อังคาร กัลยาณพงศ)

หลังคาโบสถโ์ อดครวญเม่ือจวนผ ุ ระแนงลลุ ว่ งหล่นบนพ้นื หญา้ ภาพพจนอุปมา
เสาอฐิ ปูนทรดุ เซตามเวลา พระประธานสัน่ หนา้ ระอาใจ
“ไมเ รยี กผกากพุ - ชกะสอี รณุ แสง
(แสงธรรม) ปานแกมแฉลมแดง ดรุณีณยามอาย”

13 (มัทนะพาธา : รัชกาลที่ 6)

ภาพพจนอุปลกั ษณ
“พอตายคอื ฉตั รกง้ั หายหกั

แมด บั ดุจรถจกั ร จากดวย
ลกู ตายบวายรัก แรงร่ํา
เมยี มง่ิ ตายวายมว ย มดื คลมุ แดนไตร”
(โคลงโลกนติ ิ: สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดศิ ร))

NET ขอ สอบ ป 51
ขอสอบโจทยถ ามวา ขอ ใดใชภาพพจน
1. จะแวะหาถา ทา นเหมือนเมอื่ เปนไวย ก็จะไดรับนมิ นตข ้ึนบนจวน
2. อายุยืนหมน่ื เทา เสาศิลา อยูคูฟ าดินไดดังใจปอง
3. โอเ ชนนี้สกี าไดม าเห็น จะลงเลนกลางทงุ เหมือนมงุ หมาย
4. จนดกึ ดาวพราวพรางกลางอมั พร กระเรยี นรอนรองกองเมอ่ื สองยาม
(วเิ คราะหค าํ ตอบ ขอ 2 ใชภ าพพจนอ ปุ ลกั ษณม ีคาํ วา “เทา” เปรียบอายกุ ับเสาศิลา) คมู อื ครู 13

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)

ใหน ักเรียนจับกลุม 3 - 5 คน ๔) ลีลาการประพันธ์ เป็นท่วงท�านองที่ส�าคัญในการแต่งค�าประพันธ์ให้ดีเด่นท�าให้
ศึกษาวรรณศิลปในวรรณคดี ผู้อ่านเกดิ อารมณแ์ ละความรู้สกึ ตา่ งๆ คลอ้ ยตามไปด้วย ดังนี้
และวรรณกรรมไทยเรอื่ งลลี า- ๔.๑) เสาวรจน ี เปน็ ลลี าที่ใชแ้ ตง่ ความงามจะเปน็ ความงามของมนุษย์ สถานท่ ี หรือ
การประพนั ธ โดยคดั เลอื ก ธรรมชาตกิ ็ได ้ เช่น ชมธรรมชาติ
ตัวอยา งบทประพันธเ รือ่ งใดกไ็ ด
มา 1 ตัวอยาง แลว วเิ คราะหวา กระถางแถวแก้วเกดพกิ ลุ แกม ยีส่ ุ่นแซมมะสงั ดดั ดูไสว
ตวั อยา งท่ีคดั เลอื กมาเปนลลี า สมอรัดดดั ทรงสมละไม ตะขบข่อยคดั ไวจ้ งั หวะกัน
การประพนั ธช นดิ ใด อยางไร ตะโกนาทง้ิ ก่งิ ประกับยอด แทงทวยทอดอินพรหมนมสวรรค์
บา้ งผลดิ อกออกช่อข้นึ ชูชัน แสงพระจันทร์จับแจม่ กระจา่ งตา
(แนวตอบ ตวั อยา ง พิโรธวาทงั
ดงั ตอนที่อิเหนาไมพอใจจรกามาก (เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน)
ทจ่ี ะมาแยงนางบุษบาไปครอง
จงึ ตอ วาเหนบ็ แนมจรกาและกลาว ๔.๒) นารีปราโมทย์ เป็นลลี าการประพันธท์ ี่มงุ่ ไปในท�านองเกี้ยว ประเลา้ ประโลมดว้ ย
ประชดประชันนางบษุ บา คา� หวาน เช่น บทเกยี้ วพาราสี
ดังความวา
แม้เนอ้ื เยน็ เปน็ ห้วงมหรรณพ พีข่ อพบศรสี วสั ดเ์ิ ปน็ มัจฉา
“เม่ือยม้ิ เหมอื นหลอกหยอกเหมอื นขู แม้เปน็ บวั ตัวพเ่ี ป็นภมุ รา เชยผกาโกสุมประทุมทอง
ไมควรคูเคยี งพักตรส มัครสมาน เจ้าเป็นถ�้าอ�าไพขอใหพ้ ี ่ เป็นราชสีห์สมสูเ่ ปน็ คู่สอง
ดังกากาจชาตชิ าสาธารณ จะตดิ ตามทรามสงวนนวลละออง เปน็ คู่ครองพศิ วาสทุกชาติไป
มาประมาณหมายหงสพงศพ ระยา
(พระอภัยมณี)
แมน แผนดินสิ้นชายท่พี ึงเชย
อยา มีคเู สียเลยจะดกี วา

พฤๅีพ่ วลาอสยนราอนนอ ใงจจแะทตนอทงกุกเนั ว”ล)า

ขยายความเขา ใจ ๔.๓) พโิ รธวาทัง เปน็ ลลี าที่แสดงความโกรธแคน้ ประชดประชนั เกรี้ยวกราด เช่น

1. นกั เรียนจบั คูกันยกคําประพันธท ี่มี ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ ฟังจบแค้นค่งั ดงั เพลงิ ไหม้
การใชวรรณศิลปม ากกวา 1 แหง เหมือนดินประสวิ ปลิวติดกบั เปลวไฟ ดดู เู๋ ป็นไดอ้ วี นั ทอง
โดยบอกดว ยวา มกี ารใชวรรณศิลป จะว่ารกั ขา้ งไหนไมว่ า่ ได้ น�้าใจจะประดังเข้าท้งั สอง
อยางไร ออกน่นั เขา้ นีม่ สี �ารอง ยงิ่ กวา่ ท้องทะเลอันล้า� ลกึ
(แนวตอบ ตวั อยาง เชน
ลลิ ติ ตะเลงพาย (เสภาเร่ืองขนุ ช้างขนุ แผน)

“เสรจ็ เสวยศวรรเยศอา ง ไอศรู ย สรวง ๔.๔) สัลลาปงั คพสิ ยั เป็นลีลาแห่งการครา�่ ครวญหวนไห้ ตดั พ้อ เศร้าโศก เชน่ บท
เยน็ พระยศปูนเดอื น เดนฟา คร�า่ ครวญ
เกษมสขุ สอ งสมบรู ณ บานทวปี
สวา งทกุ ขท กุ ธเรศหลา แหลง ลว นสรรเสรญิ ” 14

กวีอุปมา โดยใชค าํ วา “ปูน”
และเลนคําวา “ทุกข” กับ “ทกุ ”
กวีเลอื กสรรคําสําหรบั คําประพันธ
โดยเฉพาะ ไดแ ก ศวรรเยศ ไอศรู ย
ธเรศ)
2. ครสู ุมนักเรยี น 2 - 3 คู ออกมา
นําเสนอตวั อยางบทประพนั ธ
หนา ชั้นเรียน ครสู รุปความรูจากที่
นักเรียนนําเสนอ แลว ใหนักเรียน
บนั ทกึ ความรลู งสมดุ

14 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

Engage Explore Explain

“…โอพ้ ระชนนขี องลูกแก้ว นับวนั ลูกจะไกลแลว้ จากนิเวศนว์ งั พระมารดาอยขู่ ้างหลังจะ ขยายความเขา ใจ
ประชวรโรคาไข้ ถึงสู่สวรรคครรไลก็ที่ไหนจะได้ถวายพระเพลิงพระชนนี ลูกจะบุกป่าพนาลีไป
ไกลเนตร ลูกจะทรงบรรพชาเพศบ�าเพ็ญผล จะแผ่เพ่ิมกุศลส่งมาทุกค�่าเช้า โอ้พระปิ่นปกเกล้า 1. นักเรยี นจับคูยกตวั อยา ง
ของลูกเอ่ย อย่าเศรา้ เสียพระทยั เลยถงึ ลกู แก้ว ไดเ้ ล้ยี งลกู มาแล้วเอาแตบ่ ญุ เถิดนะทูลกระหม่อม บทประพนั ธที่แสดงคุณคา
ทูลพลางทางก็น้อมพระเศียรซบแทบพระบาทพระชนน…ี ” ดานสังคมทงั้ รปู ธรรมและ
นามธรรมอยา งละ 1 ตวั อยา ง
(มหาเวสสนั ดรชาดก ทานกณั ฑ์) (แนวตอบ
ดา นนามธรรม
๕.๓ คุณคา่ ด้านสงั คม “ท่แี พแ กชนะ ไมถ อื พระประเวณี
ขี้ฉอ ก็ไดดี ไลด า ตีมีอาญา
การพิจารณาคุณค่าทางด้านสังคม เป็นการพิจารณาว่า ผู้แต่งมีจุดประสงค์ในการจรรโลง ที่ซอื่ ถอื พระเจา วา โงเ งา เตา ปปู ลา
สังคมอย่างไร โดยพิจารณาจากแนวคิด การให้คติเตือนใจ การสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู ่ ผูเฒาเหลาเมธา วา ใบบา สาระยํา”
ค่านิยม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และจริยธรรมของคนในสังคมที่วรรณคดีได้ (กาพยพ ระไชยสุรยิ า : สุนทรภ)ู
จา� ลองภาพ โดยกวไี ด้สอดแทรกไวใ้ นบทประพันธอ์ ยา่ งแนบเนยี น เชน่ กาพยพ ระไชยสรุ ยิ าบทท่ยี กมา
วา ดวยเรอ่ื งของเหลาเสนาไมตง้ั อยู
จึงปลอบวา่ พลายงามพอ่ ทรามรัก อยา่ ฮึกฮกั วา้ วุ่นทา� หุนหนั ในความดี ชาวประชาเดอื ดรอ น
จงครวญใคร่ใหเ้ ห็นขอ้ ส�าคญั แมน่ พี้ ร่ันกลัวแตจ่ ะเกิดความ ดานรปู ธรรม
ดว้ ยเปน็ ขา้ ลกั ไปไทลกั มา เหน็ เบอื้ งหนา้ จะองึ แม่จึงห้าม “ถงึ แขวงนนทช ลมารคตลาดขวัญ
ถา้ เจ้าเหน็ เป็นสุขไม่ลกุ ลาม ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล มีพวงแพแพรพรรณเขาคา ขาย
ท้งั ของสวนลวนแตเ รอื เรยี งราย
(เสภาเรื่องขนุ ชา้ งขนุ แผน) พวกหญิงชายชุมกนั ทุกวันคืน”
(นริ าศภเู ขาทอง : สุนทรภ)ู
จากบทประพนั ธ์แสดงถงึ ลักษณะนสิ ยั ของนางวันทอง จะเห็นไดว้ า่ นางเปน็ คนทร่ี กั ลกู มาก บทประพนั ธบ ทนี้แสดงถึง
เม่ือลูกบุกข้ึนเรือนผู้อ่ืนในยามวิกาลก็วิตกว่าลูกจะได้รับอันตรายและมีความผิด แต่เมื่อลูกตัดพ้อ วถิ ชี วี ติ ความเปนอยูข องชาวบาน
ว่านางคงไม่รักลูก นางก็รูส้ กึ เสยี ใจจนยอมตามลกู ไปเพราะเห็นแก่ความสุขของลกู ทีต่ ลาดขวัญ)

ในการอา่ นวรรณคดีให้เข้าถงึ อย่างลกึ ซึ้ง เรยี กวา่ การวจิ ักษว์ รรณคด ี จะต้องอ่านอยา่ ง 2. ครสู ุมนกั เรยี น 2 - 3 คู ออกมา
พนิ จิ พเิ คราะห ์ ทา� ความเขา้ ใจใหแ้ จม่ แจง้ ทง้ั ในดา้ นเนอื้ หาและรปู แบบ สามารถวเิ คราะหว์ จิ ารณ ์ นําเสนอตวั อยา งบทประพนั ธ
คุณค่าและข้อคิด ซึ่งจะท�าให้อ่านงานประพันธ์ได้อย่างสนุกสนาน เพลิดเพลิน และได้รับ หนาชนั้ เรยี น ครูและเพื่อนๆ
รสไพเราะอย่างอิ่มเอมใจ รวมทั้งช่วยสร้างสรรค์จรรโลงชีวิต ประเทืองปัญญา ยกระดับจิตใจ รว มกันพิจารณาวา บทประพนั ธ
ปลูกจิตส�านึกท่ีดีงาม และให้ความรู้ เป็นการเพ่ิมพูนประสบการณ์ ซ่ึงการวิจักษ์คุณค่าของ น้ันมีคุณคาดานสงั คมอยา งไร
วรรณคดีจะท�าให้เกิดความภูมิใจในฐานะท่ีเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยท่ีมีมาช้านาน และ
ควรค่าแกก่ ารอนรุ กั ษ์และสืบทอดต่อไป ตรวจสอบผล

15 1. นักเรียนยกตัวอยา งบทประพันธ
ที่ใชก ารบรรยายโวหาร
แหสลดกั งฐผานลการเรียนรู
2. นกั เรยี นเขยี นความเรียงทีม่ ี
1. ตวั อยางบทประพันธท ี่ใชบ รรยายโวหาร การใชโ วหารชนดิ ตางๆ
2. การเขียนความเรียงโดยใชโ วหารชนิดตางๆ
3. บทประพนั ธท่ีมกี ารใชวรรณศลิ ป 3. นักเรียนยกบทประพนั ธท่มี ี
การใชว รรณศิลป และบอกไดว า
มีลกั ษณะการใชอ ยา งไร

4. นกั เรียนยกตัวอยา งรปู แบบ
วรรณคดที ่ีรูจกั

คูมือครู 15

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage

Explore Explain Expand Evaluate

เปา หมายการเรยี นรู (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%)

1. วิเคราะหว จิ ารณวรรณคดเี สภา
เร่อื งขุนชา งขุนแผน ตอน ขุนชาง
ถวายฎีกา
2. วเิ คราะหลกั ษณะเดนของวรรณคดี
เสภาเรอ่ื งขนุ ชา งขนุ แผน ตอน
ขนุ ชางถวายฎีกา เช่ือมโยงกบั
การเรยี นรวู ถิ ชี วี ติ ของสงั คมในอดตี
3. วิเคราะหแ ละประเมนิ คาวรรณคดี
เสภาเรอ่ื งขนุ ชา งขุนแผน ตอน
ขนุ ชางถวายฎกี า
• ดา นวรรณศลิ ป
• ดา นสงั คม
4. สงั เคราะหขอ คิดเสภาเรอ่ื งขนุ ชา ง
ขุนแผน ตอน ขุนชางถวายฎีกา
เพื่อนําไปใชใ นชวี ิตจรงิ
5. ทอ งจาํ และบอกคุณคาบทอาขยาน เสภา
เร่อื งขุนช้างขนุ แผน
ตามทีก่ าํ หนดและบทรอ ยกรองทมี่ ี เป็นวรรณคดไี ทยเรือ่ งเอก
คุณคาตามความสนใจ
ทคี่ นไทยจ�านวนมากรจู้ กั กัน และ
กระตุนความสนใจ ñหนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี ไดร้ บั ยกย่องจากวรรณคดีสโมสร

ครูชวนนักเรยี นสนทนาและ ว่าเป็นยอดของกลอนเสภา
นกั เรยี นรว มกนั ถา ยทอดประสบการณ ท่ีมคี วามไพเราะ
ของแตล ะคน โดยครใู ชคําถามเร่ิม
การสนทนา เสภาเรอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา งถวายฎกี า
• นกั เรียนมีประสบการณ ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
การดูละคร การฟง การอาน • วเิ คราะห์และวิจารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลักการ • วเิ คราะห ์ วิจารณ์ และประเมนิ คุณค่าวรรณคดแี ละวรรณกรรม
เสภาเรื่องขนุ ชางขุนแผน เสภาเรอื่ ง ขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา
วิจารณ์เบ้ืองต้น (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑)
• วเิ คราะห์ลกั ษณะเดน่ ของวรรณคดเี ชอ่ื มโยงกับการเรียนรู้ทาง
อยางไรบา ง ประวัตศิ าสตร์และวถิ ีชวี ิตของสงั คมในอดีต (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๒)
(แนวตอบ นกั เรียนสามารถ • วเิ คราะห์และประเมนิ คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์ของวรรณคดแี ละ

วรรณกรรมในฐานะท่ีเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
(ท ๕.๑ ม.๔-๖/๓)
เลาเรือ่ ง ถายทอดประสบการณ • สงั เคราะหข์ ้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพอ่ื น�าไปประยกุ ต์ใช้ใน
ที่เคยฟง เคยอาน หรือเคยดู
เสภาเรอ่ื งขนุ ชางขุนแผนได ชีวติ จริง (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๔)
อยา งเปดกวาง เพราะวรรณคดี • รวบรวมวรรณกรรมพนื้ บา้ นและอธิบายภมู ิปญั ญาทางภาษา
เรอ่ื งน้เี ปน เรอื่ งราวทไ่ี ดร บั
(ท ๕.๑ ม.๔-๖/๕)
• ทอ่ งจา� และบอกคณุ ค่าบทอาขยานตามทีก่ า� หนดและบทรอ้ ยกรองท่ีมคี ณุ ค่า
ตามความสนใจและน�าไปใช้อา้ งองิ (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๖)

ความนิยมมาก ครคู วรแนะนํา
นกั เรียนวา เร่อื งขุนชางขุนแผน
ท่นี ํามาถายทอดเปนการตูนหรือละครโทรทัศนตอ งปรบั บทตางๆ หรอื
ตัดบางตอนออก เพ่อื ใหเกิดอรรถรสมากข้นึ ดังนนั้ นักเรยี นควรศกึ ษา
เนื้อเร่อื งวรรณคดดี วย เพอื่ ใหทราบเน้ือความและไดรบั อรรถรสที่แทจริง
ของเรอ่ื งอยางลกึ ซึง้ )

16 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explore

Engage Explain Expand Evaluate

สาํ รวจคน หา

๑ คว�มเปนม� นกั เรียนแบงกลมุ เปน 3 กลุม
แตล ะกลมุ จบั สลากหวั ขอ ในการสบื คน
ขอ มลู เกยี่ วกบั วรรณคดีเสภาเรื่อง
ขุนชางขนุ แผน ตามหัวขอตอ ไปนี้
ขุนช้างขนุ แผนเปน็ เรือ่ งทเี่ กดิ ขึ้นในสมยั อยุธยา ในหนงั สือคา� ใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ ไดก้ ลา่ วถงึ • กลุมที่ 1 ความเปน มาของเรื่อง
เรอ่ื งราวทเี่ กย่ี วกบั เรอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผนไว ้ และจากขอ้ มลู นเี้ อง ทา� ใหท้ ราบวา่ ขนุ แผนรบั ราชการอยู่ และประวัติผแู ตง
ในสมัยสมเด็จพระพันวษา คือ สมเด็จพระรามาธิบดที ่ี ๒ ซ่ึงครองราชย์ระหว่าง จ.ศ. ๘๕๓ - จ.ศ. • กลมุ ท่ี 2 ลักษณะคาํ ประพนั ธ
๘๙๑ (พ.ศ. ๒๐๓๔ - พ.ศ. ๒๐๗๒) พรอ มตัวอยา ง
เนอ้ื ความคา� ใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ มเี พยี งวา่ “…พระเจา้ ศรสี ตั นาคนหตุ แหง่ ลา้ นชา้ ง ทรงปรารถนา • กลุมที่ 3 เรือ่ งยอ
จะเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา จึงได้ทรงส่งพระราชธิดามาถวายแด่สมเด็จ-พระพันวษา ฝายเจ้า
เชียงใหมไ่ ด้ทรงทราบข่าวจงึ ส่งกองทพั มาดักชิงพระราชธิดาไปในระหว่างทาง สมเด็จพระพนั วษา
ทรงทราบก็กร้ิว จะเสด็จยกทัพไปปราบ พระหมื่นศรีมหาดเล็กได้กราบบังคมทูลว่าไม่ควรยกทัพ
หลวงไป ควรให้ขุนแผนซึ่งเป็นทหารมีฝมือยกเป็นทัพหน้าไปปราบก็เพียงพอแล้ว แต่ในขณะน้ี เกร็ดแนะครู
ขุนแผนยังติดคุกอยู่ สมเด็จพระพันวษาจึงโปรดให้พ้นโทษเป็นแม่ทัพยกไปตีเชียงใหม่ ขุนแผน
กระท�าการได้ส�าเร็จ นา� พระราชธดิ ากลับคนื มาถวายได้ สมเด็จพระพันวษาจึงพระราชทานรางวลั ครูแนะนํานักเรยี นใหเ ลอื กสบื คน
ขอมลู ที่นาเชื่อถอื เชน หนงั สือทมี่ ี
มากมาย ภายหลังขุนแผนได้ถวายดาบฟาฟน สมเด็จพระพันวษาก็ทรงรับไว้เป็นพระแสงทรง ผแู ตงนา เชอ่ื ถือและไดรับการยอมรบั
ส�าหรบั พระองค” เวบ็ ไซตทแี่ สดงแหลง อางอิงขอมูลท่ี
เมื่อเทียบเรื่องขุนช้างขุนแผนที่เป็นบทเสภาฉบับปัจจุบันนี้กับเน้ือความค�าให้การชาว นา เช่ือถอื เปน ตนวา URL เว็บไซต
กรุงเก่าแล้วก็จะเห็นว่าแตกต่างกัน แต่ก็มีเค้ามูลเรื่องเดิมอยู่ ความแตกต่างและคลาดเคลื่อนน้ี เปน ac.th หรือเปนเวบ็ ไซตท่ีผูเขยี น
นบั วา่ เปน็ เรอื่ งธรรมดา เพราะเรอื่ งนเ้ี ลา่ เปน็ นทิ านสบื ตอ่ กนั มานาน ในภายหลงั เมอ่ื ไดม้ กี ารนา� มา มีความรู มชี ่อื เสียงนา เช่อื ถือ เปนตน

แต่งเปน็ บทขับเสภา ผ้แู ต่งก็คงไดแ้ ต่งเตมิ เน้อื เรอื่ งให้สนุกสนานและยาวขน้ึ
เร่ืองขุนช้างขุนแผนเกิดภายหลังท่ีมีเสภา สันนิษฐานว่าแต่เดิมเสภาคงขับเป็นนิทาน
เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระเจา้ แผน่ ดนิ การนา� เรอื่ งขนุ ชา้ งขนุ แผนมาขบั เสภานนั้ คงจะมขี น้ึ ราวๆ รชั สมยั บรู ณาการสอู าเซยี น
สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นเวลาหลงั จากเร่อื งเกิดขึ้นเปน็ ๑๐๐ ปี เดมิ เปน็ นทิ านเล่ากนั
มาก่อน จนมกี ารขบั เปน็ ท�านองล�านา� ประกอบการเล่านิทาน คอื เล่าเรอื่ งแบบเลา่ นทิ านธรรมดา ครูยกตัวอยางโครงการ
พอถึงตอนสังวาส ตัดพ้อ ชมโฉม ชมดง จงึ ขบั เสภา โดยแต่งเป็นกลอนสดๆ ขับโดยไมม่ ปี ่ีพาทย์ การจัดการเรยี นรูรว มกนั ของกลุม
ประกอบ ตอ่ มาจงึ มผี ใู้ ชก้ รบั ประกอบทา� นองขบั ภายหลงั ไดม้ ผี แู้ ตง่ บทขบั เสภาขนึ้ ในกรณที มี่ ผี ขู้ บั ประเทศอาเซยี น เพอื่ ใหนักเรียน
บางคนเสยี งดแี ต่ไม่ชา� นาญการแต่งกลอน และไดม้ กี ารแต่งเป็นกลอนนทิ านทัง้ ตอนในเวลาต่อมา เหน็ หลกั การและความสําคญั ของ
ในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ มคี นขบั เสภาครงั้ กรงุ เกา่ เหลอื มาบา้ ง แตก่ จ็ า� บทหรอื ไดบ้ ทมาเพยี งไม่ การเรยี นรูวัฒนธรรมซ่ึงกนั และกนั
จากการจดั ประชมุ วชิ าการในเชิง
กต่ี อน บูรณาการ ทมี่ หาวยิ าลยั วลยั ลักษณ
ในหวั ขอ “ไทยในบรบิ ทอาเซียน”
ทนี่ าํ เสนอเร่อื ง “มหากาพยพ ้นื บาน
สยาม-ขุนชางขุนแผน” โดยใชเ สภา
เรอ่ื งขุนชางขนุ แผนฉบับภาษาไทย
17 และวรรณกรรมแปลเรอ่ื งขุนชาง

ขุนแผนฉบับภาษาอังกฤษเปนส่อื
การเรียนรู โดยมีจดุ ประสงคเพ่ือ
การเรยี นรภู าษา ศลิ ปะ วฒั นธรรม และวรรณกรรมอาเซยี น เพอื่ สง เสรมิ
อนรุ ักษ พฒั นา และเผยแพรศ ลิ ปวัฒนธรรม วรรณคดี/วรรณกรรมไทย
ทมี่ คี ณุ คา ทางสากล ใหเ ปน ทรี่ จู กั รบั รู และซาบซง้ึ รว มกนั ในหมชู าวไทย
สถาบันการศึกษาของไทยและประเทศตา งๆ ในอาเซียน

คูม ือครู 17

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)

1. ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 นาํ เสนอ คร้ันรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการแต่งบทเสภาเร่ืองขุนช้าง
ความเปนมาของเรอื่ งและประวัติ ขุนแผนขึ้นใหม่เป็นอันมาก แต่ไม่ได้แจ้งว่าผู้ใดแต่งได้แต่สันนิษฐานตามลักษณะส�านวนกลอน
ผูแ ตง ในประเดน็ ตอไปน้ีพรอ ม พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ซง่ึ โปรดฟงั การขบั เสภาและทรงพระราชนพิ นธข์ นึ้ เองกม็ ี
ยกตัวอยา งบทประพนั ธป ระกอบ เชน่ ตอนพลายแกว้ เปน็ ชู้กับนางพมิ เป็นต้น
คําอธิบาย บทเสภาในสมัยรัชกาลท่ี ๒ นี้ได้รับยกย่องว่าแต่งดีเย่ียม ท้ังนี้เพราะกวีแต่ละคนได้แต่ง
• เหตุใดเสภาเร่ืองขุนชา งขุนแผน เฉพาะตอนที่ตนพอใจ และการท่ีไม่ได้เปิดเผยช่ือผู้แต่ง ผู้แต่งจึงมีอิสระเต็มท่ี ประชันฝีปาก
จึงไดรับการยกยอ งจาก แสดงฝมี อื กนั อยา่ งออกรส ไมว่ า่ จะเปน็ บทบาทหรอื ถอ้ ยคา� ของตวั ละคร สถานท ่ี และองคป์ ระกอบ
วรรณคดีสโมสรวาเปน “ยอด อนื่ ๆ และในสมยั นไี้ ดใ้ ชป้ พ่ี าทยเ์ ปน็ อปุ กรณใ์ นการขบั เสภา และมกี ารรา� ประกอบตามจงั หวะปพ่ี าทย ์
ของกลอนเสภา” ศลิ ปะการขบั เสภาแบบใหมน่ เ้ี รยี กวา่ “เสภารา� ” เรอ่ื งทนี่ ยิ มขบั กค็ อื ขนุ ชา้ งขนุ แผน การขบั เสภานน้ั
(แนวตอบ ขนุ ชา งขุนแผน ถอื กนั เป็นประเพณวี า่ จะมเี ฉพาะในงานมงคล เชน่ โกนจุก ข้นึ บา้ นใหม่ เป็นต้น ส่วนในราชส�านกั
เปนวรรณคดีท่เี ปน เลศิ ทงั้ ใน ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นต้นมามีธรรมเนียมขับเสภาถวายเมื่อ
ดา นเนอ้ื เรอื่ งสนกุ สนาน มี ทรงพระเครื่องใหญ ่ (ตัดผม) เป็นต้น
บรรยากาศแบบไทย นอกจากนี้ อยา่ งไรกต็ าม บทเสภาเร่อื งขุนชา้ งขุนแผนในสมยั รชั กาลท ี่ ๒ แต่งเปน็ ตอนๆ ไมต่ อ่ เนอ่ื ง
ยังสะทอ นสภาพสังคมไทย กันท้ังเร่ือง บทเสภาที่อ่านกันอยู่ในปัจจุบันนี้มิได้แต่งในสมัยรัชกาลที่ ๒ ทั้งหมด มีแต่งในสมัย
ในสมัยอยธุ ยาและสมยั รัชกาลท่ี ๓ หลายตอน เช่น ตอนพลายแก้วแต่งงานกับนางพิม เป็นต้น ลักษณะการแต่งมีความ
รัตนโกสนิ ทรต อนตน ประณีตบรรจง ใช้ถอ้ ยคา� ส�านวนไมห่ ยาบโลนเหมอื นเสภาทีข่ ับกันแบบพ้ืนบา้ น ภายหลงั ในสมยั
ไมว า จะเปน สภาพบา นเมอื ง รัชกาลท่ี ๔ มีผูแ้ ต่งเพิ่มเตมิ บางตอนและรวบรวมข้ึนใหมอ่ กี คร้ัง
การปกครอง คา นยิ ม ความเชอื่ เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผนได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็น “ยอดของกลอน
ความเปน อยู ขนบธรรมเนยี ม เสภา” และเป็นท่ียอมรับกันในหมู่นักวรรณคดีท่ัวไปว่า เป็นเลิศทั้งในด้านเน้ือเร่ืองท่ีเป็นเร่ือง
ประเพณีท่ีแสดงใหเ ห็นวถิ ีชีวติ เก่ียวกับชีวิตคนธรรมดาสามัญในสมัยโบราณตามแบบไทยๆ และกระบวนกลอน คือ นอกจาก
ชาวบา นของไทยอยา งแทจ ริง เน้ือเร่ืองจะสนุกสนาน มีบรรยากาศแบบไทยๆ พฤติกรรมตัวละครเป็นท่ีประทับใจผู้อ่านผู้ฟัง
เชน ความเชอ่ื เรอ่ื งเวรกรรม แล้ว เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผนยังสะท้อนให้ผู้อ่านเห็นภาพของสังคมไทยในสมัยอยุธยา และ
“ทกุ วนั นใ้ี ชแมจ ะผาสุก สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นอย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นสภาพบ้านเมือง การปกครอง ค่านิยม
มีแตทุกขใจเจ็บดังเหน็บหนาม ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณ ี ความคดิ และความเช่อื
ตองจาํ จนทนกรรมที่ติดตาม การอ่านเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนจึงถือเป็นการศึกษาสังคมไทย และศึกษาเก่ียวกับวิถี
จะขืนความคดิ ไปก็ใชท ”ี ชีวิตของบรรพบุรุษไทยในอดีตโดยทางอ้อม เหตุการณ์เร่ืองราวหรือพฤติกรรมของตัวละครน้ัน
หรอื ความเชอื่ เร่อื งความฝน สามารถนา� มาขบคดิ ใหเ้ ปน็ คตสิ อนใจ นา� ไปเปน็ แนวทางในการดา� เนนิ ชวี ติ ได ้ ดา้ นสา� นวนกลอนนน้ั
“ฝนวาพลัดไปในไพรเถ่ือน กล่าวได้ว่ามีลักษณะกลอนเสภาท่ีมีชีวิตชีวาอย่างย่ิง โวหารเข้มข้นสมบูรณ์ ก่อให้เกิดอารมณ์
เล่อื นเปอนไมร ูท ี่จะกลับหลัง สะเทือนใจไดเ้ ป็นเยีย่ ม บทเสภาเรอื่ งขุนชา้ งขุนแผนจึงถอื เปน็ วรรณคดอี มตะ
ลดเลีย้ วเที่ยวหลงในดงรัง
ยังมพี ยคั ฆร า ยมาราว”ี )

2. นกั เรยี นสรปุ ความรจู ากทเี่ พอื่ นนาํ
เสนอลงสมดุ บนั ทกึ

นกั เรยี นควรรู 18

เสภาเรอื่ งขุนชางขุนแผน ไดม ี
ผูปรบั ปรุงบทใชแสดงมาตง้ั แตส มยั รชั กาลที่ 5 และในปจ จุบันนีก้ ย็ งั มีการปรบั ปรงุ ตอนตางๆ
นําออกแสดงตามบทเสภาที่สมเดจ็ พระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ และ
กรมหมื่นกวีพจน สปุ รีชา ทรงตรวจสอบชําระ เม่อื พ.ศ. 2460 อีกหลายตอน

18 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

๒ ประวตั ผิ แู้ ตง่ อธิบายความรู

วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนมีกวีแต่งกันหลายคน ในปลายสมัยอยุธยาและในสมัย ใหนักเรียนกลมุ ที่ 2 ตอบคําถาม
รัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนที่ไพเราะส่วนมากแต่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เกย่ี วกับลักษณะคําประพันธทีไ่ ด
(รชั กาลท ี่ ๒) การแตง่ เสภาเรอื่ งขนุ ชา้ งขนุ แผนไมน่ ยิ มบอกนามผแู้ ตง่ มเี พยี งการสนั นษิ ฐานผแู้ ตง่ สบื คนมา
โดยพิจารณาจากส�านวนการแต่งเท่านน้ั เสภาขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา จงึ ไมท่ ราบ
• นักเรยี นเหน็ ดวยหรือไมท ี่เรอ่ื ง
๓ นามผ้แู ต่งที่แนช่ ัด ขนุ ชา งขุนแผนแตง ดวยกลอน
ลักษณะคำ�ประพนั ธ์ เสภา
(แนวตอบ เห็นดว ย เพราะเดมิ
เร่ืองเสภาขนุ ชา้ งขนุ แผนเป็นค�าประพันธ์ประเภทกลอนเสภา ๔๓ ตอน ซ่งึ มีอยู่ ๘ ตอน ท่ี เลากนั เปน นิทานพื้นบา นในแถบ
ไดร้ ับยกยอ่ งวา่ แต่งดียอดเยีย่ มจากวรรณคดีสมาคม อันมีสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ภาคกลาง ตอมากวีแตง เพอ่ื ใช
ดา� รงราชานภุ าพทรงเปน็ ประธาน โดยลงมตเิ มอื่ พ.ศ. ๒๔๗๔ และตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี าเปน็ หนง่ึ ขบั เสภา จากการฟง นทิ าน
ในแปดตอนทไ่ี ด้รบั การยกยอ่ ง บอ ยๆ ทาํ ใหเ บอื่ เมอื่ มีการ
ลกั ษณะคา� ประพนั ธก์ ลอนเสภาเปน็ กลอนสภุ าพ เสภาเปน็ กลอนขน้ั เลา่ เรอื่ งอยา่ งเลา่ นทิ าน ขับเสภาปรากฏวามผี ูน ิยมกนั
จงึ ใชค้ า� มากเพอื่ บรรจขุ อ้ ความใหช้ ดั เจนแกผ่ ฟู้ งั และมงุ่ เอาการขบั ไดไ้ พเราะเปน็ สา� คญั สมั ผสั ของ มากเพราะเนอ้ื เรื่องสนุก สาํ นวน
คา� ประพนั ธ์ คือ ค�าสุดทา้ ยของวรรคต้น ส่งสมั ผสั ไปยงั ค�าใดคา� หนงึ่ ใน ๕ คา� แรกของวรรคหลงั เสภากม็ ีลกั ษณะเหมือนอยา ง
เลา นทิ าน ถา นกั เรยี นตอบวา
๔ สัมผัสวรรคอืน่ และสัมผสั ระหว่างบทเหมือนกลอนสภุ าพ ไมเห็นดว ย ครูสอบถามวา
เรือ่ งยอ่ เพราะเหตใุ ดใหน กั เรยี นแสดง
เหตผุ ล ครูพิจารณาเหตผุ ล
ตอนทีค่ ัดมาเปน็ บทเรียนนีค้ อื ตอน ขุนช้างถวายฎีกา แตเ่ นอื้ เรื่องยอ่ ทน่ี ักเรียนจะไดอ้ า่ น และชีแ้ นะ)
ต่อไปนเ้ี ปน็ เรื่องยอ่ ของเรอื่ งขุนช้างขุนแผนท้งั หมด ทง้ั นเ้ี พือ่ ใหน้ ักเรยี นได้เขา้ ใจเรื่องราวทัง้ หมด
โดยครา่ วๆ ก่อนท่ีจะมาศึกษาวเิ คราะห์ ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า 2. นักเรยี นศกึ ษาแผนผงั ลักษณะ
คร้ังหน่ึงสมเด็จพระพันวษาเสด็จประพาสสุพรรณบุรีเพ่ือทรงล่าควายป่า ขุนไกรพ่อของ คาํ ประพนั ธก ลอนเสภา และรว มกนั
พลายแก้วมีหน้าที่ต้อนควายป่า เผอิญควายป่าแตกตื่นขวิดผู้คน ขุนไกรจึงได้รับโทษประหาร อธิบายลกั ษณะฉนั ทลกั ษณ
ฝ่ายนางทองประศรีผู้เป็นภรรยาได้พาพลายแก้วซึ่งยังเล็กอยู่หนีอาญาไปเมืองกาญจนบุรี เมื่อ จดบนั ทึกลงในสมดุ
พลายแก้ว อาย ุ ๑๕ ป ี นางทองประศรไี ดพ้ าไปบวชเรียนทว่ี ดั สม้ ใหญ ่ เมื่อเรียนรู้วชิ าอาคมจนจบ
แล้วก็ได้ไปบวชเรียนต่อท่ีวัดป่าเลไลยก์เมืองสุพรรณบุรี ต่อมาพลายแก้วได้แต่งงานกับนางพิม นักเรียนควรรู
หลังจากแต่งงานได้ ๒ วัน พลายแก้วก็ต้องยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ เม่ือได้รับชัยชนะก็ได้
นางลาวทองเปน็ ภรรยา กลอนเสภา เปน บทสําหรบั ขับรอ ง
(และบางทีกม็ รี ําดวย) ใหเหมาะเจาะ
19 กับกริ ิยาอาการและอารมณต า งๆ
เชน รกั โศก ดดุ นั เปน ตน กลอนเสภา
ทด่ี จี ะนยิ มคาํ มากบา งนอ ยบา ง เพราะ
เกี่ยวกับการเออ้ื นและจงั หวะกรับ
จังหวะรําใหกลมกลืนกันพอดี

คมู ือครู 19

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%)

ใหนักเรียนกลุมที่ 3 ชวยกันเลา ขณะที่พลายแก้วไปท�าศึกน้ัน นางพิมล้มป่วย ขรัวตาจูจึงแนะน�าให้เปล่ียนช่ือเป็นวันทอง
เร่ืองยอเสภาเรอื่ งขุนชา งขุนแผน เพื่อรักษาอาการไข้ ขุนช้างที่หลงรักนางวันทองมาโดยตลอดได้ใช้อุบายลวงว่าพลายแก้วไปทัพ
ตอน ขนุ ชางถวายฎกี า จากนน้ั เขยี น ตายเสยี แลว้ และอา้ งกฎหมายวา่ ผหู้ ญงิ มา่ ยทส่ี ามไี ปทพั ตายจะถกู รบิ เปน็ มา่ ยหลวง นางศรปี ระจนั
สรปุ ใจความสาํ คัญของเนือ้ เรอ่ื ง ผู้เป็นแม่เชื่อขุนช้างจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้างจนได้ แต่นางวันทองไม่ยอมเข้า
ตอนน้ี จาํ นวน 5 เหตุการณ โดย เรือนหอ เมือ่ พลายแก้วยกทพั กลบั กรุงศรีอยุธยาพรอ้ มนางลาวทอง พระพนั วษาได้พระราชทาน
เขียนเปน แผนผงั ความคดิ บน บรรดาศักด์ิให้พลายแก้วเป็นขุนแผนแสนสะท้าน แล้วพานางลาวทองกลับสุพรรณบุรี ขุนแผน
กระดานหนาช้ันเรยี น รู้เร่ืองการแต่งงานของนางวันทองกับขุนช้างก็โกรธ ประกอบกับนางลาวทองและนางวันทองเกิด
ววิ าทกนั ขนุ แผนจงึ พานางลาวทองไปอยกู่ าญจนบรุ ี ในทส่ี ดุ นางวนั ทองกถ็ กู นางศรปี ระจนั เฆยี่ นตี
(แนวตอบ เหตกุ ารณเริ่มตน และบงั คับจนต้องตกเป็นภรรยาขนุ ชา้ ง
จมื่นไวยฯ ไดลอบข้นึ เรอื นขนุ ชาง ต่อมาขุนแผนกับขุนช้างได้ไปฝึกราชการกับจม่ืนศรีเสาวรักษ์ทั้งสองได้คืนดีกัน กระท่ัง
พานางวันทองไปอยทู ี่บา น นางลาวทองปว่ ยขนุ แผนจงึ ฝากเวรไวก้ บั ขนุ ชา้ ง ขนุ ชา้ งกร็ บั ปากดว้ ยด ี ครนั้ เมอ่ื พระพนั วษารบั สงั่
เหตุการณท ี่ 2 ขนุ ชางจึงถวายฎกี า ถามถงึ ขนุ แผน ขนุ ชา้ งกลบั ทลู วา่ ขนุ แผนหนเี วรปนี กา� แพงวงั ไปหานางลาวทอง สมเดจ็ พระพนั วษา
เหตุการณท ี่ 3 พระพันวษารบั สง่ั ให กร้วิ จึงลงโทษใหข้ นุ แผนตระเวนด่านหา้ มเฝา้ ส่วนนางลาวทองใหเ้ อาไปไวใ้ นวงั ขุนแผนมคี วาม
อาฆาตขุนช้างมากจึงเดินทางไปสุพรรณบุรี สะเดาะดาลประตูข้ึนเรือนขุนช้าง แต่เข้าห้องผิดไป
นางวนั ทองเลือกวา เข้าห้องนางแก้วกิรยิ า ซงึ่ เปน็ ทาสในเรือนขุนชา้ งและได้นางเปน็ ภรรยา จากน้นั จงึ พานางวนั ทอง
ตองการอยูกับใคร หนีออกจากเรือนขุนช้างเข้าไปอยู่ในป่า จนกระท่ังนางวันทองใกล้คลอด ขุนแผนจึงเข้าพ่ึง
เหตกุ ารณท ่ี 4 นางวันทองกราบทลู พระพิจิตรกับนางบุษบา ขุนแผนเห็นว่าความผิดของตนจะท�าให้พระพิจิตรเดือดร้อน จึงขอร้อง
เปนกลางวา แลว แต ใหพ้ ระพิจิตรสง่ ตัวไปสคู้ ดกี บั ขนุ ชา้ ง ในทสี่ ดุ ขุนแผนกเ็ ปน็ ฝา่ ยชนะความ
พระพนั วษาจะทรง ขุนแผนคิดถึงนางลาวทองซึ่งถูกกักไว้ในวัง
ตดั สิน
เหตุการณท ี่ 5 พระพันวษากริ้วจึง
รบั ส่งั ใหประหาร
นางวนั ทอง)

จึงได้ขอร้องให้จม่ืนศรีกราบทูลขอพระราชทาน
อภยั โทษใหน้ างลาวทอง เปน็ ผลใหพ้ ระพนั วษากรวิ้
นักเรยี นควรรู รับส่ังให้ลงอาญาจ�าคุกขุนแผน ส่วนนางวันทอง
ต้องจ�าใจอยู่กับขุนช้างและได้คลอดบุตรที่บ้าน
นางแกว กิรยิ า เปน ลกู ของพระยา ขนุ ชา้ ง ใหช้ อื่ วา่ “พลายงาม” ขนุ ชา้ งรวู้ า่ ไมใ่ ชบ่ ตุ ร
สุโขทัยกบั นางเพญ็ จนั ทร พอ ของนาง ของตนจึงวางอุบายฆ่า เมื่อนางวันทองทราบเรื่อง
พามาขายฝากใหเปนทาสของขุนชาง จากผพี รายของขนุ แผน จงึ ไปชว่ ยพลายงามไดท้ นั
เพื่อนาํ เงินไปใชห น้ี ขุนชา งนึกเอ็นดู และเล่าเร่ืองทั้งหมดให้ฟัง แล้วให้พลายงามเดิน
จงึ เลยี้ งนางไวเปนเหมือนนอ งสาว ทางไปอยู่กับย่าทองประศรีท่ีกาญจนบุรี ได้เรียน
เมือ่ ขนุ แผนหาของสาํ คญั สามอยาง นางวันทองเปนตัวละครเอกในวรรณคดีตัวหนึ่ง วิชาอาคมตา่ งๆ เม่ือเตบิ ใหญข่ น้ึ จมน่ื ศรพี าเข้าไป
คอื ดาบฟาฟน กุมารทอง มา สีหมอก ทสี่ ะทอนชีวติ ของสตรีไทยสมัยกอ นไดเ ปน อยางดี ถวายตวั เป็นมหาดเลก็
ไดค รบแลว คืนหน่ึงกข็ ึ้นบานขุนชาง
เพื่อลักตวั นางวนั ทองไป แตเ ขาหอง 20
ผิดไปเขาหองนางแกว กริ ิยาและได
นางเปนภรรยา กอ นจากกนั ขนุ แผน นกั เรียนควรรู
มอบแหวนใหนางไวดูตา งหนา และ
ใหเงนิ ไปไถตัวกับขุนชาง ตลอดเวลา จมนื่ หรอื พระนาย เปน บรรดาศกั ด์ิ หวั หนา มหาดเลก็ ในกรมมหาดเลก็ ศกั ดนิ า 800 -1,000 ไร
นางเปน ภรรยาทีด่ แี ละซอื่ สตั ยต อ เทยี บไดเทา กบั บรรดาศกั ดิ์ พระ ที่มศี ักดนิ าใกลเ คียงกัน แตจมนื่ น้นั ไดรบั การยกยอ งมากกวา
ขุนแผน เนอ่ื งจากอยใู กลช ิดพระเจา แผนดิน และมกั จะมอี ายุยังนอ ย อยูใ นระหวา ง 20 - 30 ป มักเปนลกู
หลานของขนุ นางชั้นผูใหญท น่ี ํามาถวายตวั รบั ใชใ กลช ดิ พระเจา แผนดิน เพอื่ เปนชองทางเขา รับ
20 คมู ือครู ราชการตอไปในอนาคต

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

เมื่อคร้ังท่ีพระพันวษากริ้วเจ้าเมืองเชียงใหม่ ซึ่งส่งพระราชสาส์นมาท้าทายเป็นเหตุให้ อธบิ ายความรู
พลายงามมโี อกาสกราบทลู อาสาและกราบทลู ขอขนุ แผนใหไ้ ปทพั ดว้ ย ขนุ แผนจงึ พน้ โทษ ขณะรอ
ฤกษเ์ คลือ่ นทัพ นางแก้วกริ ิยากค็ ลอดบุตร นางทองประศรจี ึงใหช้ ่ือหลานวา่ “พลายชุมพล” นกั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั
ขุนแผนกับพลายงามเคลื่อนทัพไปพักท่ีเมืองพิจิตร พลายงามพบรักกับศรีมาลาลูกสาว การสรางฉากและบรรยากาศในเสภา
พระพิจิตรกับนางบุษบา ขุนแผนได้ขอศรีมาลาให้กับพลายงาม ศึกเชียงใหม่ขุนแผนและ เรอื่ งขุนชา งขนุ แผน
พลายงามได้ชัยชนะ เมอื่ กลับถงึ กรงุ ศรอี ยธุ ยาพลายงามได้รับพระราชทานความดีความชอบเปน็
จมื่นไวยวรนาถ ได้รับพระราชทานนางสร้อยฟ้าซึ่งเป็นพระธิดาของพระเจ้าเชียงใหม่เป็นภรรยา • ฉากและบรรยากาศมคี วาม
พลายงามหรือจม่ืนไวยวรนาถจึงแต่งงานกับนางสร้อยฟ้าและนางศรีมาลา ส่วนขุนแผนได้รับ เหมาะสมกบั การดําเนินเรอ่ื ง
พระราชทานบรรดาศักดเ์ิ ปน็ พระสรุ ินทรไชยมไหสุริยภกั ดิ์ ครองเมอื งกาญจนบุรี หรอื ไมอ ยา งไร
จม่ืนไวยฯ ได้ลอบข้ึนเรือนขุนช้างพานางวันทองมาอยู่ท่ีบ้าน ขุนช้างจึงถวายฎีกา ครั้น (แนวตอบ อาจเหมาะสมหรือไม
พระพนั วษารบั สงั่ ใหน้ างวนั ทองเลอื กวา่ ตอ้ งการจะอยกู่ บั ใคร นางวนั ทองกราบทลู เปน็ กลางวา่ แลว้ เหมาะสมข้ึนอยูกับเหตุผลของ
แต่พระพนั วษาจะทรงตัดสนิ พระพนั วษากริ้วจึงรบั ส่ังให้ประหารนางวันทอง นักเรียน)
เม่ือเสร็จงานปลงศพนางวนั ทองแลว้ ขนุ แผนพานางแกว้ กริ ิยาและนางลาวทองไปอยเู่ มือง
กาญจนบุรี นางทองประศรีกับพลายชุมพลอยู่กับจม่ืนไวยฯ คร้ันต่อมานางสร้อยฟ้าได้ให้เถรขวาด เกร็ดแนะครู
ทา� เสนห่ ใ์ หจ้ มนื่ ไวยฯ หลงรกั ขนุ แผนและพลายชมุ พลชว่ ยแกเ้ สนห่ ไ์ ด ้ และสามารถจบั ตวั เถรขวาดได ้
แต่นางสรอ้ ยฟา้ ไมย่ อมรับ กลับใสค่ วามวา่ นางศรีมาลาเปน็ ชกู้ บั พลายชุมพล จนต้องท�าพธิ ีลุยไฟ ครูช้ีใหนกั เรยี นเหน็ วา ยศหรือ
พสิ จู น์ความบรสิ ทุ ธ ์ิ นางสรอ้ ยฟ้าแพ้ถูกเนรเทศไปเชียงใหม่และไดค้ ลอดบตุ รตง้ั ช่ือวา่ “พลายยง” บรรดาศกั ดเิ์ ปนส่ิงที่ไมยั่งยนื แนน อน
ส่วนนางศรมี าลาคลอดบุตรเชน่ กันตงั้ ชอื่ วา่ “พลายเพชร” ฝ่ายเถรขวาดยังคงอาฆาตพลายชมุ พล แตกม็ ีความสาํ คัญตอ จติ ใจของ
จึงแปลงตัวเป็นจระเข้อาละวาด พลายชุมพลอาสาปราบจระเข้เถรขวาดได้ พระพันวษาจึง คนไทย ใหมคี วามผกู พนั ในการ
พระราชทานบรรดาศักด์เิ ป็นหลวงนายฤทธ์ิ เขารบั ราชการเพือ่ เปน เกียรติ
และศกั ดิ์ศรีของวงศตระกูลหรือ
สรรพส์ าระ ความนิยมเสภาเรื่องขนุ ชา้ งขุนแผน  “ความมหี นามตี า” ตามคา นิยม
ของสังคมไทย
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ถือเป็นมหรสพท่ีได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่ปลาย
นักเรยี นควรรู
กรงุ ศรอี ยธุ ยา ซงึ่ ในระยะแรกนน้ั ไมม่ กี ารบนั ทกึ หรอื แตง่ บทไวใ้ ช ้ หากแตอ่ าศยั การดน้ สดไปตามปฏภิ าณ
บรรดาศักด์ิ หรอื ยศ หมายถงึ
ไหวพรบิ ของผขู้ บั เปน็ สา� คญั มาจนรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช การขบั เสภา ชั้นของขนุ นาง แสดงถึงฐานะของ
ขุนนางจากชนั้ สูงลงมาตามลําดบั
จึงเริ่มถือตัวบทเป็นส�าคัญ ทั้งน้ีสันนิษฐานว่าด้วยความที่เสภาขุนช้างขุนแผนเป็นที่แพร่หลาย และมี สมเด็จเจา พระยาเปนยศสงู สดุ
(เรมิ่ มีในสมัยธนบรุ )ี
ผนู้ ยิ มขบั มากขนึ้ หากแตผ่ ขู้ บั บางคนไมส่ นั ทดั กระบวนการประพนั ธจ์ งึ จา� เปน็ ตอ้ งวา่ จา้ งผอู้ น่ื ชว่ ยแตง่ บทให้
- เจา พระยา
จนถงึ รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั การแตง่ บทเสภาจงึ ไดร้ บั ความนยิ มสงู สดุ ในลกั ษณะ - พระยาหรือ ออกญา
- พระ และ จมนื่
ท่ีพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย และเจา้ นายหลายพระองค์ได้แตง่ แปลงบทเสภาของเกา่ ใหม้ ี - หลวง
- ขนุ
ความเรียบร้อย สุภาพมากข้นึ เพ่ือใชข้ ับภายในราชสา� นัก กลายเป็น “บทเสภาหลวง” - หม่ืน
- พัน
21 - นาย

คมู ือครู 21

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Expand

Engage Explore Explain Evaluate

ขยายความเขา ใจ (ยอจากฉบบั นักเรยี น 20%)

จากผังตัวละครเสภาเรื่องขุนชาง นางเทพทอง
ขุนแผน
ขุนช้าง
• นักเรียนแสดงความคดิ เหน็
เกี่ยวกับลกั ษณะนสิ ยั ของ ผัง ัตวละคร เสภาเ ื่รอง ุขนช้างขุนเเผน ขุนศ ีร ิวชัย พลายเพชร
ตวั ละคร แลว เปรียบเทียบกับ
ลกั ษณะนิสัยของคนในสังคม นางศ ีรประ ัจน นางศรีมาลา
ปจจุบันวา เหมือนหรือตา งกัน นางส ้รอย ฟา
อยางไร
(แนวตอบ ตัวอยางเชนวาขนุ แผน
มภี รรยาหลายคน มีนิสัยเจาชู
ซ่งึ ถอื วา เปน เร่อื งปกติของผูมี
ยศศกั ด์ิหรอื ฐานะในสมยั กอน
ตา งจากสงั คมปจจุบันท่ีผคู น
ไมย อมรบั พฤตกิ รรมดังกลา ว
เปน ตน )

เกรด็ แนะครู พิม ิพลาไลย พลายยง
( ัวนทอง)
เมื่ออานวรรณคดจี บ ครูแนะให
นักเรียนทาํ ผงั ตัวละครในแตละตอน ัพนศรโยธา พลายงาม
เพือ่ เปนการทบทวนความรคู วาม (จ ื่มนไวยฯ)
เขา ใจของนกั เรยี นตอความสมั พนั ธ นางทองประศ ีร
ระหวางตวั ละครในเร่ือง ทาํ ใหเ กดิ พลายแ ้กว พลาย ุชมพล
ความเขาใจในเนอ้ื เร่อื งมากย่งิ ขึ้น ( ุขนแผน)
รวมทง้ั ครูสามารถตรวจสอบความ นางลาวทอง
เขาใจของนกั เรียนโดยประเมนิ จาก นาง ับวค ่ีล
การปฏิบัติกิจกรรมนไี้ ด นางเเก้วกิริยา

ขุนไกร

22

22 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain

Expand Evaluate

๕ เนื้อเร ่ือง กระตุนความสนใจ

เสภาเรอ่ื งขนุ ชา งขนุ แผน ครยู กบทประพนั ธท ่เี ปน บทเดน ใน
เสภาเรอ่ื งขนุ ชา งขนุ แผน เพอ่ื เชอื่ มโยง
ตอน ขนุ ชา งถวายฎกี า ความรเู ดมิ ของนกั เรยี นและตงั้ คาํ ถาม
กบั นกั เรยี น
จะกลา่ วถงึ โฉมเจา้ พลายงาม เม่อื เปน็ ความชนะขุนชา้ งน่ัน
กลบั มาอยู่บ้านสา� ราญครัน เกษมสนั ต์สองสมภริ มยย์ วน “แมรกั ลูกลกู กร็ อู ยวู ารัก
พรอ้ มญาตขิ าดอยูแ่ ต่มารดา นกึ นึกตรึกตราละหอ้ ยหวน คนอ่ืนสักหมนื่ แสนไมแมน เหมอื น
โอ้วา่ แมว่ ันทองช่างหมองนวล ไมส่ มควรเคียงคกู่ ับขุนช้าง จะกินนอนวอนวา เมตตาเตอื น
เออน่เี นือ้ เคราะหก์ รรมมานา� ผิด นา่ อายมิตรหมองใจไมห่ ายหมาง จะจากเรอื นรา งแมไ ปแตต วั ”
ฝ่ายพ่อมีบญุ เป็นขนุ นาง แตแ่ ม่ไปแนบข้างคนจัญไร
รปู รา่ งวิปรติ ผดิ กวา่ คน ทรพลอัปรียไ์ มด่ ไี ด้ หรอื
ท้งั ใจคอชั่วโฉดโหดไร ้ ชา่ งไปหลงรักใครไ่ ดเ้ ปน็ ดี “ลกู ผชู ายลายมือนั้นคอื ยศ
วันนั้นแพก้ ูเมอื่ ด�านา�้ กก็ ริว้ ซา้� จะฆา่ ให้เป็นผี เจาจงอตสาหทําสมํา่ เสมยี น
แสนแค้นดว้ ยมารดายงั ปรานี ใหไ้ ปขอชีวีขุนช้างไว้ แลว พาลกู ออกมาขา งทาเกวียน
แคน้ แมจ่ า� จะแก้ใหห้ ายแคน้ ไม่ทดแทนอ้ายขุนชา้ งบา้ งไมไ่ ด้ จะจากเจยี นใจขาดอนาถใจ”
หมายจิตคดิ จะให้มนั บรรลัย ไม่สมใจจ�าเพาะเคราะหม์ ันดี • นกั เรียนจาํ คาํ ประพันธท ยี่ กมา
อยา่ เลยจะรบั แม่กลับมา ให้อยดู่ ว้ ยบิดาเกษมศรี
พรากใหพ้ ้นคนอบุ าทว์ชาตอิ ปั รยี ์ ยง่ิ คิดก็ย่งิ มคี วามโกรธา ไดหรือไม
อัดอดึ ฮึดฮัดดว้ ยขดั ใจ เมือ่ ไรตะวนั จะลบั หลา้ • ในบทประพนั ธทคี่ รยู กมา
เขา้ ห้องหวนละหอ้ ยคอยเวลา จนสรุ ยิ าเลี้ยวลับเมรไุ กร
เงียบสตั วจ์ ตั บุ ททวบิ าท ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข บทท่ี 2 ใครกลาวกบั ใคร
นา้� คา้ งตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ สงดั เสยี งคนใครไม่พูดจา (แนวตอบ นางวันทองกลาวกับ
ได้ยนิ เสียงฆอ้ งย�า่ ประจ�าวัง ลอยลมล่องดงั ถึงเคหา พลายงาม)
คะเนนับย่า� ยามได้สามครา ดเู วลาปลอดหว่ งทักทิน
ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสวา่ ง จันทรก์ ระจา่ งทรงกลดหมดเมฆสิน้ สาํ รวจคนหา
จึงเซน่ เหล้าขา้ วปลาใหพ้ รายกิน เสกขม้ินว่านยาเข้าทาตวั
ลงยันต์ราชะเอาปะอก หยบิ ยกมงคลขนึ้ ใสห่ วั ใหน กั เรยี นสบื คน เนือ้ เรือ่ งเสภา
เปา่ มนตร์เบ้อื งบนชอุม่ มวั พรายยัว่ ยวนใจให้ไคลคลา เร่อื งขุนชา งขุนแผน ตอน ขุนชาง
จบั ดาบเคยปราบณรงคร์ บ เสร็จครบบริกรรมพระคาถา ถวายฎีกา จากแหลงเรยี นรูตา งๆ
ลงจากเรือนไปมิไดช้ ้า รบี มาถงึ บ้านขนุ ชา้ งพลนั เชน หนังสือเรยี น เวบ็ ไซตใน
อนิ เทอรเ น็ต เปนตน แลว บันทึก
ความรลู งสมดุ

23 อธิบายความรู

นักเรียนควรรู นกั เรยี นควรรู นกั เรยี นรวมกันแสดงความคดิ เหน็
การเปดเร่อื งของเสภาเรื่องขนุ ชาง
ปรานี เปนคาํ พอ งเสยี ง คือ คาํ ทอ่ี อกเสียง อดั อดึ ฮึดฮัดดวยขดั ใจ กวีเลือกใชค ําตาย ขุนแผน ตอน ขุนชางถวายฎีกา
เหมอื นกัน แตเ ขียนตางกันและมคี วามหมาย เพ่ือแสดงอารมณโ กรธ ซึ่งคําตายเมื่ออา น
ตา งกัน เชน ปรานี หมายถงึ เอ็นดดู ว ยความ แลวจะเกิดเสยี งส้ันหวนเหมือนเสียงหายใจ • เมื่อนกั เรยี นอา นเนอื้ เรอ่ื ง
สงสาร ปราณี หมายถงึ ผมู ีชวี ติ สัตว คน ของคนกําลงั โกรธท่กี ระชั้นสน้ั ในหนาแรกนี้ นักเรยี นคดิ วา
มีการเปดเรื่องอยางไร
(แนวตอบ เปด เรื่องดวยความคดิ
ของพลายงามทีอ่ ยากใหแ ม
มาอยูดว ย)

• จากการเปดเรื่องนกั เรยี นชว ย
กันอภิปรายวา พลายงามมลี กั ษณะนิสยั อยางไร
(แนวตอบ พลายงามเปน ผทู ม่ี คี วามกตญั ู เมอื่
ตวั เองประสบความสาํ เรจ็ กน็ กึ ถงึ มารดาผมู ี
พระคณุ และมนี สิ ยั ใจรอ น)

คูม อื ครู 23

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%)

1. จากบทประพนั ธในหนา 23 - 24 ให เหน็ คนนอนล้อมออ้ มเป็นวง ประตลู น่ั มน่ั คงขอบรั้วกน้ั
นักเรียนศึกษาเก่ียวกับความเช่ือที่ กองไฟสวา่ งดังกลางวนั หมายส�าคญั ตรงมาหนา้ ประตู
ปรากฏ ดังนี้ จึงรา่ ยมนตรามหาสะกด เสื่อมหมดอาถรรพณท์ ี่ฝังอยู่
• ความเช่ือเรื่องไสยศาสตร ภตู พรายนายขุนช้างวางวงิ่ พร ู คนผู้ในบ้านกซ็ านเซอะ
• ความเชอ่ื เร่อื งความฝน ท้ังชายหญิงงว่ งงมลม้ หลับ นอนทบั คว�า่ หงายกา่ ยกนั เปรอะ
• ความเชือ่ เร่อื งเวรกรรม จป่ี ลาคาไฟมนั ไหลเลอะ โงกเงอะงยุ งมไมส่ มประดี
จากนั้นครูสุมนักเรียน 3 - 4 คน ใช้พรายถอดกลอนถอนลมิ่ รอยท่ิมถอดหลุดไปจากท่ี
นําเสนอหนาชนั้ เรยี น ยา่ งเท้าก้าวไปในทันที มไิ ด้มีใครทักแต่สักคน
(แนวตอบ ความเชอื่ เร่อื ง มีแตห่ ลบั เพ้อมะเมอฝนั ท้ังไฟกองปอ้ งกนั ทกุ แหง่ หน
ไสยศาสตร ตอนทพ่ี ลายงาม ผคู้ นเงยี บส�าเนยี งเสยี งแตก่ รน มาจนถงึ เรือนเจ้าขุนช้าง
จะไปลักพาตวั นางวันทองมาอยู จุดเทยี นสะกดขา้ วสารปราย ภตู พรายโดดเรือนสะเทอื นผาง
ดวย พลายงามดฤู กษดูยาม สะเดาะดาลบานเปดิ หน้าตา่ งกาง ย่างเทา้ กา้ วขึ้นร้านดอกไม้
เซนพราย การเล้ียงผี เสกขม้ิน หอมหวนอวลอบบปุ ผาชาติ เบกิ บานก้านกลาดกงิ่ ไสว
ลงยันต ใสมงคล เปา มนตร เรณูฟรู ่อนขจรใจ ย่างเท้ากา้ วไปไม่โครมคราม
บรกิ รรมคาถา ความเชอ่ื เรอ่ื ง ขา้ ไทนอนหลับลงทบั กัน สะเดาะกลอนถอนล่นั ถงึ ชัน้ สาม
ความฝนตอนท่ีนางวนั ทองฝน ราย กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม อรา่ มแสงโคมแก้วแววจับตา
ความเชือ่ เร่อื งเวรกรรม เมือ่ ม่านมู่ลีม่ ีฉากประจา� ก้ัน อฒั จนั ทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา
พลายแกว ตอ งจากมารดาตง้ั แต ชมพลางยา่ งเยอ้ื งชา� เลืองมา เปดิ มงุ้ เห็นหนา้ แมว่ นั ทอง
เดก็ ก็เชอื่ วา เพราะเวรกรรม) นิง่ นอนอยบู่ นเตียงเคยี งขนุ ชา้ ง มนั แนบขา้ งกอดกลมประสมสอง
เจ็บใจดงั หวั ใจจะพงั พอง ขยบั จ้องดาบงา่ อยากฆา่ ฟัน
2. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรู จะใครถ่ บี ขนุ ชา้ งทก่ี ลางตวั นึกกลัวจะถกู แมว่ นั ทองนน่ั
เพมิ่ เตมิ พลางน่ังลงนอบนบอภวิ ันท์ สะอน้ื อั้นอกแค้นน�้าตาคลอ
โอแ้ ม่เจา้ ประคณุ ของลกู เอย๋ ไม่ควรเลยจะพรากจากคุณพ่อ
นักเรียนควรรู เวรกรรมน�าไปไมร่ ง้ั รอ มพิ อท่ีจะต้องพรากกจ็ ากมา
มันไปฉดุ มารดาเอามาไว้ อ้ายหัวใสขม่ เหงไมเ่ กรงหนา้
รานดอกไม เปนคําประสม คอื ทที่ า� แค้นกูจะแทนให้ทันตา ขอษมาแมแ่ ลว้ กข็ บั พราย
ราน + ดอกไม หมายถงึ ลกั ษณะ เปา่ ลงดว้ ยพระเวทวทิ ยา มารดากฟ็ ืน้ ตืน่ โดยงา่ ย
การปกเสามีไมพาดขา งบนใหต น ไม ดาบใสฝ่ ักไว้ไม่เคล่ือนคลาย วนั ทองรู้สกึ กายก็ลืมตา
ดอกไมเ ลื้อยได คําวา รา น เปน ครานนั้ จงึ โฉมเจา้ วนั ทอง ต้องมนตรม์ ัวหมองเป็นหนกั หนา
คาํ มูลที่ใชประสมกบั คําอนื่ เชน ตนื่ พลางทางชา� เลืองนยั นต์ ามา เหน็ ลูกยาน้ันยืนอย่รู มิ เตียง
รา นบวบ รา นยา รา นชาํ เปนตน สา� คัญคดิ วา่ ผู้ร้ายให้นกึ กลัว กอดผัวร้องดิ้นจนสิน้ เสยี ง

เกร็ดแนะครู 24

กอ นเรม่ิ การเรยี นการสอนวรรณคดี
ซึ่งเปนบทรอยกรอง ครูใหนกั เรยี น
อา นเนอื้ เรือ่ งเปน ทาํ นองเสนาะ
พรอ มกัน เพอ่ื ใหนกั เรียนมีอารมณ
ซาบซงึ้ กบั ความไพเราะทางวรรณศลิ ป
และนกั เรยี นสามารถตดิ ตามเนือ้ เรือ่ ง
ไปโดยตลอด

24 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิิบEาาxยยplคคaiววnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain Expand Evaluate

ซวนซบหลบลงมาหมอบเมยี ง พระหม่ืนไวยเข้าเคยี งห้ามมารดา อธิบายความรู
อะไรแมแ่ ซร่ ้องท้ังหอ้ งนอน ลูกร้อนร�าคาญใจจึงมาหา
จะรอ้ งไยใชโ่ จรผ้รู า้ ยมา สนทนาดว้ ยลูกอย่าตกใจ ใหนกั เรียนจบั คศู กึ ษาการใช
ครานัน้ วันทองผ่องโสภา คร้นั รูว้ ่าลกู ยาหากลวั ไม่ ภาพพจนอุปมาในบทประพนั ธ
ลกุ ออกมาพลันด้วยทันใด พระหมน่ื ไวยเข้ากอดเอาบาทา หนา 25 นี้ จากนัน้ ครสู ุม นักเรียน
วนั ทองประคองสอดกอดลกู รกั ซบพกั ตรร์ ้องไหไ้ ม่เงยหน้า 4 - 5 คู มานาํ เสนออธิบายความรู
เจ้ามาไยป่านน้นี ่ลี กู อา เขารักษาอยู่ทกุ แห่งตา� แหนง่ ใน พรอ มทั้งยกตวั อยา งประกอบ
ใสด่ าลบา้ นชอ่ งกองไฟรอบ พ่อช่างลอบเข้ามากระไรได้
อาจองทะนงตัวไม่กลวั ภัย น่พี อ่ ใช้ ว่าเจา้ มาเอง (แนวตอบ
ขนุ ช้างต่ืนข้นึ มเิ ปน็ การ เขาจะรกุ รานพาลข่มเหง “มาอยไู ยกับอา ยหนิ ชาติ
จะเกิดผิดแม่คิดคะนงึ เกรง ฉวยสบเพลงพลาดพล�้ามเิ ปน็ การ
มธี รุ ะสิ่งไรในใจเจ้า พ่อจงเลา่ แก่แม่แลว้ กลบั บา้ น แสนอุบาทวใ จจติ ริษยา
มิควรทา� เจา้ อยา่ ท�าใหร้ า� คาญ อยา่ หาญเหมอื นพอ่ นกั คะนองใจ ดงั ทองคาํ ทาํ เลีย่ มปากกะลา
จมนื่ ไวยสารภาพกราบบาทา ลูกมาผดิ จรงิ หาเถยี งไม่ หนา ตาดําเหมอื นมนิ หมอ มอม
รกั ตวั กลัวผดิ แต่คิดไป ก็หกั ใจเพราะรักแมว่ ันทอง เหมอื นแมลงวนั วอนเคลาทเ่ี นาชวั่
ทกุ วันน้ีลกู ชายสบายยศ พรอ้ มหมดเมยี ม่งิ กม็ ีสอง มาเกลอื กกลวั้ ปทมุ มาลยท หี่ วานหอม
มีบ่าวไพร่ใช้สอยทั้งเงินทอง พน่ี อ้ งขา้ งพ่อก็บรบิ ูรณ์ ดอกมะเดือ่ ฤๅจะเจอื ดอกพะยอม
ยงั ขาดแต่แม่คณุ ไม่แลเห็น เปน็ อยกู่ เ็ หมือนตายไปหายสูญ วานกั แมจ ะตรอมระกาํ ใจ”
ขอ้ นีท้ ที่ กุ ขย์ งั เพิ่มพนู ถ้าพรอ้ มมูลแมด่ ้วยจะส�าราญ
ลูกมาหมายวา่ จะมารับ เชญิ แม่วันทองกลบั คืนไปบา้ น บทประพนั ธท ยี่ กมานีใ้ ช
แม้นจะบงั เกิดเหตุเภทพาล ประการใดกต็ ามแตเ่ วรา ภาพพจนอ ุปมา เปรียบขนุ ชา งวา
มาอยู่ไยกับอ้ายหนิ ชาต ิ แสนอบุ าทว์ใจจิตรษิ ยา เปน แคก ะลา ไมมรี าคาคางวด
ดงั ทองคา� ทา� เลย่ี มปากกะลา หนา้ ตาด�าเหมอื นมนิ หมอ้ มอม และเปรยี บนางวนั ทองเหมอื น
เหมือนแมลงวนั วอ่ นเคลา้ ทเ่ี นา่ ชว่ั มาเกลือกกล้วั ปทมุ มาลยท์ ห่ี วานหอม ทองคาํ ไมส มควรทจ่ี ะเอามาเลยี่ ม
ดอกมะเดอ่ื จะเจอื ดอกพะยอม วา่ นกั แม่จะตรอมระก�าใจ ปากกะลา เปรยี บหนา ตาขนุ ชาง
แม่เล้ียงลูกมาถึงเจด็ ขวบ เคราะห์ประจวบจากแมห่ าเห็นไม่ หมองดําเหมอื นมนิ กน หมอ เปรยี บ
จะคดิ ถึงลกู บา้ งอย่างไร หาไม่ใจแม่ไมค่ ิดเลย ตวั ขนุ ชา งวา เหมือนแมลงวนั และ
ถ้าคิดเหน็ เอน็ ดวู า่ ลกู เตา้ แม่ทูนเกล้าไปเรอื นอยา่ เชือนเฉย ดอกมะเด่ือ เปรยี บนางวนั ทองวา
ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย เหมอื นเมอื่ ครัง้ แมเ่ คยเลีย้ งลูกมา เหมอื นดอกบวั และดอกพะยอมท่ี
ครานนั้ จึงโฉมเจ้าวันทอง เศร้าหมองดว้ ยลกู เปน็ หนกั หนา มีกลน่ิ หอม)
พอ่ พลายงามทรามสวาทของแมอ่ า แม่โศกาเกือบเจยี นจะบรรลัย
เกร็ดแนะครู
25
ครูแนะความรเู พ่ิมเตมิ เกีย่ วกบั
การใชสัญลักษณ (symbol) คือ
การเอาสิง่ ที่เปนรูปธรรมอยางใด
อยา งหนึ่งแทนสง่ิ ที่เปนนามธรรม
ทําใหเ กดิ ความเขา ใจอยา งลึกซึง้ เชน

ทองคาํ เปนสญั ลกั ษณแ ทน
ความมคี ณุ คา

กะลา เปน สญั ลกั ษณแทน
ความตํา่ ตอ ย ความไรค า
เปน ตน

คมู ือครู 25

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%)

ใหนักเรียนศกึ ษาบทประพนั ธ ใช่จะอิม่ เอิบอาบด้วยเงินทอง มิใช่ของตัวทา� มาแต่ไหน
จากหนา 26 นี้ และอธบิ ายความรู ทัง้ ผ้คู นช้างมา้ แลข้าไท ไมร่ ักใคร่เหมือนกบั พอ่ พลายงาม
ที่เก่ียวกบั ความเชือ่ และคานยิ ม ทกุ วนั นี้ใชแ่ ม่จะผาสุก มแี ต่ทุกขใ์ จเจบ็ ดังเหนบ็ หนาม
จากเสภาเรอื่ งขนุ ชา งขนุ แผน ตอ้ งจ�าจนทนกรรมที่ติดตาม จะขืนความคดิ ไปก็ใช่ที
ตอน ขุนชา งถวายฎกี า ครขู ออาสา เมอื่ พ่อเจา้ เขา้ คุกแมท่ ้องแก ่ เขาฉุดแมใ่ ชจ่ ะแกล้งแหนงหนี
สมคั รนกั เรยี น 4 - 5 คู มานาํ เสนอ ถงึ พ่อเจ้าเล่าไมร่ ูว้ ่ารา้ ยด ี เปน็ หลายปแี มม่ าอย่กู ับขุนชา้ ง
หนาชน้ั เรียน เม่ือพอ่ เจ้ากลบั มาแตเ่ ชยี งใหม ่ ไม่เพ็ดทลู ส่ิงไรแต่สกั อยา่ ง
เมือ่ คราวตวั แม่เปน็ คนกลาง ทา่ นก็วางบทคนื ให้บิดา
(แนวตอบ เจา้ เป็นถงึ หวั หมน่ื มหาดเล็ก มใิ ช่เดก็ ดอกจงฟงั ค�าแม่วา่
• ความเช่ือในเร่ืองเวรกรรม จงเรง่ กลบั ไปคดิ กบั บดิ า ฟอ้ งหากราบทลู พระทรงธรรม์
พระองค์คงจะโปรดประทานให้ จะปรากฏยศไกรเฉิดฉนั
“ทกุ วันนี้ใชแ มจ ะผาสกุ อันจะมาลกั พาไม่ว่ากัน เชน่ นน้ั ใจแม่มเิ ต็มใจ
มีแตทุกขใจเจบ็ ดงั เหนบ็ หนาม คราน้นั จึงโฉมเจ้าพลายงาม ฟังความเห็นว่าแมห่ าไปไม่
ตอ งจําจนทนกรรมท่ตี ดิ ตาม คิดบ่ายเบ่ียงเลี่ยงเลี้ยวเบ้ียวบดิ ไป เพราะรักอ้ายขุนช้างกวา่ บดิ า
จะขนื ความคดิ ไปกใ็ ชท ี” จงึ ว่าอนิจจาลูกมารบั แมย่ ังกลบั ทัดทานเปน็ หนักหนา
• คานยิ มเรอ่ื งความถกู ตอง และ เหมอื นไมม่ ีรกั ใคร่ในลูกยา อุตส่าห์มารับแล้วยังมิไป
เคารพเทิดทูนพระมหากษตั รยิ  เสยี แรงเปน็ ลูกผชู้ ายไมอ่ ายเพื่อน จะพาแมไ่ ปเรอื นใหจ้ งได ้
แมน้ มไิ ปใหง้ ามก็ตามใจ จะบาปกรรมอยา่ งไรกต็ ามที
“เจา เปน ถึงหวั หมน่ื มหาดเลก็ จะตดั เอาศีรษะของแมไ่ ป ท้ิงแต่ตวั ไว้ให้อยู่นี่
มใิ ชเดก็ ดอกจงฟง คําแมว า แมอ่ ยา่ เจรจาใหช้ า้ ท ี จวนแจ้งแสงศรีจะรบี ไป
จงเรงกลับไปคดิ กบั บดิ า ครานน้ั วันทองผอ่ งโสภา เห็นลูกยากดั ฟนั มันไส้
ฟองหากราบทูลพระทรงธรรม ถือดาบฟา้ ฟน้ื ยนื แกว่งไกว ตกใจกลัววา่ จะฆา่ ฟัน
พระองคค งจะโปรดประทานให จงึ ปลอบวา่ พลายงามพอ่ ทรามรัก อย่างฮกึ ฮกั วา้ วุ่นทา� หนุ หัน
จะปรากฏยศไกรเฉิดฉัน จงครวญใครใ่ ห้เหน็ ขอ้ ส�าคญั แมน่ ีพ้ รั่นกลวั แตจ่ ะเกดิ ความ
อันจะมาลักพาไมวากนั ด้วยเปน็ ขา้ ลักไปไทลักมา เหน็ เบอื้ งหนา้ จะอึงแมจ่ งึ ห้าม
เชน นั้นใจแมม เิ ตม็ ใจ” ถา้ เจ้าเหน็ เป็นสขุ ไมล่ ุกลาม ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล
จากบทประพนั ธน างวันทอง ว่าพลางนางลกุ ออกจากห้อง เศร้าหมองโศกานา้� ตาไหล
ใหพ ลายงามไปปรึกษาขนุ แผน พระหม่นื ไวยกพ็ ามารดาไป พอรงุ่ แจ้งแสงใสกถ็ ึงเรือน
และไปกราบทลู ขอพระราชทาน จะกล่าวถงึ เจา้ จอมหมอ่ มขุนช้าง นอนครางหลับกรนอยปู่ น่ เปอ้ื น
อนุญาตจากพระพันวษา พระองค อัศจรรยฝ์ นั แปรแชเชือน ว่าขเี้ รอื้ นขึน้ ตวั ทว่ั ท้ังนัน้
คงจะโปรดประทานใหต ามขอ หาหมอมารกั ษายาเขา้ ปรอท มันกนิ ปอดตับไตออกไหลล่ัน
ไมใชม าลกั ตวั ลักษณะน้ี
แมไมเ ตม็ ใจ) 26

นักเรยี นควรรู

ปรอท เปนธาตุกายสิทธิช์ นดิ หนง่ึ
ตามความเชอื่ ของคนบางกลุมใน
สมยั โบราณ คณุ สมบตั คิ ลา ยเหลก็ ไหล
คือ เปนของเหลวลนื่ ลอยไปไดเ อง
และชอบกินนํา้ ผง้ึ ถา ใครไมมีบุญ
ก็จะรกั ษาไมไ ดแ ละหนีหายไปเสีย
ตอมาจึงมสี าํ นวนวา ไวเปนปรอท
หรอื ไวเหมือนปรอท

26 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain

ทง้ั ไส้น้อยไสใ้ หญแ่ ลไสต้ นั Expand Evaluate
ตกใจต่ืนผวาคว้าวันทอง
ลกุ ข้ึนงกงนั ตวั สั่นรวั ฟนั ฟางกห็ ักจากปากตัว อธิบายความรู
ลืมตาเหลียวหาเจ้าวนั ทอง รอ้ งวา่ แมค่ ณุ แม่ช่วยผัว
ผ้าผ่อนล่อนแก่นไม่ตดิ กาย ใหน้ ึกกลัวปรอทจะตอดตาย จากการศึกษาความเช่อื และ
ตะโกนเรยี กในห้องวันทองเอย๋ ไม่เห็นนอ้ งห้องสว่างตะวนั สาย คา นิยมในเนอ้ื เร่ือง หนา 25 - 27
ท้ังขา้ วของมากมายกห็ ายไป เหน็ ม่านขาดเรีย่ รายประหลาดใจ ใหนกั เรียนตอบคาํ ถามในประเด็น
พลางเรียกหาข้าไทอยู่วา้ วุน่ หาขานรับเชน่ เคยสกั ค�าไม่ ตอ ไปน้ีลงสมดุ
อีมีอมี าอีสาคร ปากประตเู ปดิ ไว้ไมใ่ สก่ ลอน
บ่าวผ้หู ญงิ วิง่ ไปอยงู่ กงัน อีอนุ่ อีอิม่ อีฉมิ อสี อน • ความเช่ือใดบางที่ยังคงมอี ยูใน
ต่างคนทรดุ นงั่ บงั ประต ู นิ่งนอนไยหวามาหากู สังคมไทยปจจุบนั และมีลักษณะ
ขนุ ชา้ งเหน็ ขา้ ไมม่ าใกล ้ เห็นนายนนั้ แก้ผา้ กางขาอยู่ อยางไร
แหงนเถอ่ เปอ้ ปงั ยนื จังก้า ตกตะลงึ แลดูไม่เข้ามา (แนวตอบ ความเชอ่ื เรอ่ื งความฝน
ยายจนั งนั งกยกมือไหว้ ขัดใจลกุ ขึ้นทั้งแกผ้ ้า ที่เช่อื วาฝน รายจะกลายเปนดี
ไม่นุ่งผอ่ นน่งุ ผา้ ดูน่ากลัว ยา่ งเท้ากา้ วมาไมร่ ้ตู ัว ในความเปนจริง และความเช่ือ
สองมอื ปดิ ขาเหมอื นท่าเปรต นั่นพอ่ จะไปไหนพ่อทนู หัว เร่ืองเวรกรรม หากตอ งประสบ
ใหน้ ึกอดสูหมขู่ า้ ไท ขุนชา้ งมองดูตัวกต็ กใจ กบั ความทกุ ขย ากกจ็ ะคิดวา เปน
ยายจนั ตกใจเต็มประดา ใครมาเทศนเ์ อาผ้ากูไปไหน เพราะกรรมเกา ความเชอ่ื เหลา นี้
หยิบยื่นสง่ ไปให้ทนั ท ี ยายจันไปเอาผา้ ให้ขา้ ที ยังปรากฏในสังคมปจจบุ ัน)
ขนุ ช้างตัวสนั่ เทาบอกบา่ วไพร ่ เข้าไปฉวยผ้าเอามาคล่ี
เอง็ ไปดูให้รู้ซง่ึ แยบคาย เมินหนอี ดสไู ม่ดนู าย นกั เรียนควรรู
ขา้ ไทได้ฟังขุนชา้ งใช ้ เจ้าวันทองไปไหนอยา่ งไรหาย
ทั้งห้องนอกห้องในไมพ่ บพา พบแลว้ อย่าว่นุ วายใหเ้ ชิญมา เปรต หมายถึง สัตวพวกหน่ึงเกิด
เห็นประตรู วั้ บ้านบานเปิดกวา้ ง ต่างเทย่ี วคน้ ดน้ ไปจะเอาหน้า ในอบายภูมิ คือ แดนทุกข เปนผีเลว
เสาแรกแตกตน้ เปน็ มลทิน ท่วั เคหาแลว้ ไปค้นจนแผน่ ดิน จําพวกหน่ึงมีหลายชนิด เชื่อกันวา
บอกว่าไดค้ น้ ควา้ หาพบไม ่ ผ้คู นนอนสล้างไม่ตื่นสิ้น พวกหน่ึงมีรูปรางสูงโยงเทาตนตาล
ข้าเห็นวปิ รติ ผิดท่าทาง กินใจกลับมาหาขุนชา้ ง ผมยาวหยอกหยอย คอยาว ผอมโซ
ครานัน้ ขุนช้างฟงั บ่าวบอก แล้วเลา่ แจง้ เหตไุ ปสน้ิ ทกุ อยา่ ง มีปากเทารูเข็ม มือเทาใบตาล กินแต
คดิ คิดให้แค้นแสนเจ็บใจ ท่นี วลนางวันทองน้ันหายไป เลือดและหนองเปนอาหาร มักรอง
สองหนสามหนกน่ แตห่ นี เหงอ่ื ออกโซมลา้ นกบาลใส เสียงดังวดี้ ๆ ในตอนกลางคนื
คราวนนั้ อา้ ยขุนแผนมันแง้นชงิ ชา่ งทา� ได้ต่างตา่ งทกุ อย่างจริง
พลั้งทีลงไม่รอดนางยอดหญงิ
นีค่ ราวนีห้ นวี ิ่งไปตามใคร

27

คูม ือครู 27

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรยี น 20%)

1. ใหน ักเรยี นจับคูศ ึกษาบทประพนั ธ ไม่คิดวา่ จะเป็นเหน็ ว่าแก ่ ยงั สาระแนหลบลห้ี นไี ปไหน
ในหนา 28 - 29 เพอ่ื พิจารณา เอาเถดิ เปน็ ไรก็เปน็ ไป ไม่เอากลบั มาได้มิใช่กู
คําบาลี สันสกฤต และเขมร จะกลา่ วถึงโฉมเจา้ พลายงาม เกรงเนอ้ื ความนั่งนึกตรึกตรองอยู่
พรอ มยกตวั อยา งประกอบ อ้ายขนุ ชา้ งสารพดั เปน็ ศตั รู ถ้ามันรู้วา่ ลกั เอาแมม่ า
(แนวตอบ ตวั อยา งคําบาลี มันก็จะสอดแนมแกมเท็จ ไปกราบทูลสมเด็จพระพันวษา
สนั สกฤต และเขมร เชน ดจู ะระแวงผิดในกจิ จา มารดากจ็ ะต้องซึง่ โทษภยั
บาลี : กิจจา อัชฌาสยั ทุกข ขณะ คดิ แล้วเรียกหม่นื วเิ ศษผล เอง็ เปน็ คนเคยชอบอชั ฌาสัย
กญั ญา องค จงไปบ้านขนุ ช้างดว้ ยทันใด ไกลเ่ กลี่ยเสียอย่าให้มนั โกรธา
สันสกฤต : กรรม วิเศษ ศัตรู บอกว่าเราจบั ไข้มาหลายวนั เกรงแม่จะไม่ทันมาเห็นหน้า
รักษา ศรี ฤทยั กฤษฎกี า เมอื่ คืนน้ีซ�้ามอี ันเปน็ มา เราใชค้ นไปหาแมว่ ันทอง
เขมร : เสด็จ ตาํ หนกั กระบาล พอขณะมารดามาสง่ ทุกข์ ร้องปลุกเข้าไปถงึ ในหอ้ ง
เปนตน ) จงึ รีบมาเรว็ ไวดังใจปอง รกั ษาจนแสงทองสวา่ งฟ้า
ไมต่ ายคลายคืนฟ้ืนขน้ึ ได ้ กูขอแม่ไวพ้ อเหน็ หนา้
2. ครูสุม นักเรยี น 6 คู นาํ เสนอคาํ แตพ่ อให้เคลือ่ นคลายหลายเวลา จึงจะส่งมารดานัน้ คืนไป
ชนดิ ตา งๆ โดยกําหนดใหน กั เรียน หมนื่ วเิ ศษรบั คา� แลว้ อ�าลา รบี มาบ้านขุนชา้ งหาชา้ ไม่
2 คูต อ คํา 1 ชนดิ พรอ มอธิบาย ครนั้ ถึงแอบดอู ย่แู ตไ่ กล เห็นผคู้ นขวักไขวท่ งั้ เรือนชาน
ลักษณะของคาํ ชนดิ นัน้ ดว ย ขุนชา้ งนงั่ เยยี่ มหนา้ ต่างเรอื น ดหู นา้ เฝือ นทีโกรธอยงู่ ุน่ งา่ น
• คาํ บาลี จะดื้อเดนิ เขา้ ไปไมเ่ ป็นการ คดิ แลว้ ลงคลานเข้าประตู
• คาํ สันสกฤต ครานัน้ เจ้าจอมหม่อมขุนชา้ ง น่ังคาหนา้ ตา่ งเยี่ยมหนา้ อยู่
• คําเขมร เห็นคนคลานเขา้ มาเหลือบตาด ู น่มี าลอ้ หลอกกูฤๅอย่างไร
อะไรพอสวา่ งวางเข้ามา เดก็ หวาจบั ถองให้จงได้
นกั เรยี นควรรู ลุกขน้ึ ถกเขมรรอ้ งเกณฑ์ไป ทุดอ้ายไพรข่ ค้ี รอกหลอกผู้ดี
ครานั้นวิเศษผลคนว่องไว ยกมือขนึ้ ไหวไ้ ม่วง่ิ หนี
ถกเขมร หรือขดั เขมร หมายถึง ร้องตอบไปพลันในทันท ี คนดีดอกขา้ ไหวใ้ ช่คนพาล
นงุ ผาโจงกระเบนดงึ ชายใหส ูงรน ขึ้น ข้าพเจา้ เป็นบา่ วพระหมน่ื ไวย เปน็ ขนุ หมน่ื รบั ใชอ้ ยใู่ นบ้าน
ไปเหนอื เขา ทา่ นใชใ้ ห้กระผมมากราบกราน ขอประทานคนื น้พี ระหม่ืนไวย
เจบ็ จุกปจั จุบนั มีอันเปน็ แก้ไขก็เหน็ หาหายไม่
นกั เรยี นควรรู รอ้ งโอดโดดดิน้ เพยี งส้ินใจ จึงใชใ้ หต้ วั ขา้ มาแจ้งการ
พอพบทา่ นมารดามาสง่ ทกุ ข์ ขา้ พเจา้ รอ้ งปลกุ ไปในบ้าน
ขคี้ รอก หมายถึง ลูกของทาสท่ี จะกลับข้นึ เคหาเหน็ ชา้ นาน ท่านจงึ รบี ไปในกลางคืน
เกดิ ในบา นนายทาส เกิดมาแลว เปน พยาบาลคุณพระนายพอคลายไข ้ คณุ อย่าสงสยั ว่าไปอ่ืน
ทาสโดยกําเนิด ให้ค�ามัน่ สงั่ มาว่าย่ังยนื พอหายเจบ็ แลว้ จะคืนไมน่ อนใจ

28

28 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain

ครานนั้ ขุนชา้ งได้ฟงั ว่า Expand Evaluate
ดับโมโหโกรธาท�าวา่ ไป
การไขเ้ จ็บล้มตายไม่วายเว้น แค้นดงั เลือดตาจะหลั่งไหล อธิบายความรู
ถา้ ขดั สนส่ิงไรที่ไม่ม ี เราก็ไม่วา่ ไรสุดแต่ดี
วา่ แลว้ ปิดบานหนา้ ต่างผาง ปัจจบุ นั อันเปน็ ทง้ั กรงุ ศรี นักเรยี นจบั คูอา นบทประพนั ธ
ทอดตวั ลงกบั หมอนถอนฤทยั กม็ าเอาทีน่ อี่ ย่าเกรงใจ หนา 29 - 30 น้ี แลว ชวยกนั ถอด
เพราะกูแพ้ความจม่ืนไวย ขุนช้างเดอื ดดาลทะยานไส้ คาํ ประพันธโ ดยเร่ิมจากวรรค
พ่อลูกแม่ลกู ถูกทา� นอง ดดู ู๋เปน็ ไดเ้ จยี ววันทอง
อ้ายพ่อไปเชียงใหมม่ ีชยั มา มนั จึงเหมิ ใจท�าจองหอง “ครานนั้ สมเด็จพระพันวษา
อ้ายลูกเป็นหมนื่ ไวยทา� ไมมี ถงึ สองครง้ั แล้วเป็นแต่เช่นนี้ ทรงพระโกรธาโกลาหล
มนั จงึ ขม่ เหงไมเ่ กรงใจ ตัง้ ตัวดงั พระยาราชสหี ์
ขนุ นางนอ้ ยใหญเ่ กรงใจกัน เหน็ กนู ค้ี นผิดติดโทษทัณฑ์ ...
ตามบุญตามกรรมได้ท�ามา จะพงึ่ พาใครได้ที่ไหนนน่ั แลว ลงจากพระท่ีน่ังเขาวังใน”
ยง่ิ คิดเดือดดาลทะยานใจ ถงึ ฟอ้ งมันก็จะปดิ ให้มดิ ไป (แนวตอบ ขนุ ชา งเขียนคําฟอ ง
รา่ งฟ้องทอ่ งเทียบใหเ้ รยี บร้อย จะเฆีย่ นฆา่ หาคดิ ชีวิตไม่ พลายงามท่มี าลกั พานางวันทองไป
ลงกระดาษทบั ไว้มิได้ช้า ฉวยไดก้ ระดานชนวนมา โดยลอยคอย่ืนหนงั สือในขณะท่ี
วันนนั้ พอพระปินนรนิ ทรร์ าช ถ้อยค�าถ่ีถ้วนเปน็ หนกั หนา พระพันวษาเสดจ็ ประพาสบัว
ขนุ ช้างมาถึงซ่ึงวังใน อาบนา�้ ผลดั ผ้าแลว้ คลาไคล พระพันวษาโกรธทข่ี นุ ชางยน่ื ฟอง
จะกลา่ วถึงพระองค์ผู้ทรงเดช เสด็จประพาสบัวยงั หากลบั ไม่ ดว ยการลอยคออยใู นนํา้ แลวโผล
ฝีพายรายเลม่ มาเต็มล�า ก็คอยจ้องทใ่ี ตต้ �าหนักน�้า ขึน้ มาทาํ ใหต กใจจึงตรัสวา บนบก
พอเรอื พระท่นี งั่ ประทบั ท่ ี เสด็จคนื นเิ วศน์พอจวนคา่� ไมม ีแลว หรือ จากนน้ั ใหล งโทษ
ลอยคอชหู นังสอื ดือ้ เขา้ มา เรือประจา� แหนแหเ่ ซ็งแซม่ า ขุนชางและรบั ฟองไว)
เข้าตรงบโทนอ้นต้นกญั ญา ขนุ ชา้ งก็รลี่ งตนี ทา่
มหาดเลก็ อยู่งานพดั พลดั ตกเรอื ผดุ โผล่โงหนา้ ยึดแคมเรือ นกั เรยี นควรรู
ขุนชา้ งดึงดือ้ มอื ยึดเรือ เพ่ือนโขกลงดว้ ยกะลาว่าผเี ส้อื
สู้ตายขอถวายซงึ่ ฎกี า รอ้ งว่าเสือตัวใหญว่ า่ ยน้�ามา เสดจ็ ประพาสบวั หมายถึง เสด็จ
ครานั้นสมเด็จพระพนั วษา มิใช่เสือกระหมอ่ มฉานล้านเกศา ไปทอดพระเนตรทงุ บวั ดอกบวั ทอ่ี ยู
ทดุ อ้ายจัญไรมิใชค่ น แค้นเหลอื ปญั ญาจะทานทน ในบึงธรรมชาติ เพอื่ ทรงพกั ผอน
ใช่ทีใ่ ช่ทางวางเขา้ มา ทรงพระโกรธาโกลาหล พระอิรยิ าบถ การเสดจ็ ประพาสบวั นี้
เฮย้ ใครรบั ฟ้องของมนั ที บนบกบนฝงั ดงั ไม่มี แมพ ระเจา แผน ดนิ ในสมยั รตั นโกสนิ ทร
มหาดเล็กกร็ ับเอาฟ้องมา อ้ายช้างเปน็ บ้ากระมงั น่ี ก็เคยเสดจ็ ประพาสอยา งน้ีอยหู ลาย
ตีเสียสามสิบจงึ ปลอ่ ยไป พระองค
ต�ารวจควา้ ขุนชา้ งหาวางไม่
นักเรียนควรรู
29
ฎกี า หมายถึง คํารองทกุ ขท ่ีราษฎร
ทูลเกลา ฯ ถวายพระมหากษตั รยิ  เพือ่
ใหม พี ระราชวนิ จิ ฉยั ตดั สนิ ความใหแ ก
ราษฎร

คูมอื ครู 29

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%)

นักเรียนอธิบายการถวายฎีกาของ ลงพระราชอาญาตามวา่ ไว ้ พระจงึ ให้ต้ังกฤษฎกี า
ขนุ ชา ง โดยตอบคาํ ถามแลว บันทกึ ว่าตัง้ แตว่ นั นีส้ บื ต่อไป หนา้ ทข่ี องผใู้ ดให้รักษา
ความรลู งสมุด ถา้ ประมาทราชการไม่น�าพา ปล่อยให้ใครเขา้ มาในล้อมวง
ระวางโทษเบด็ เสรจ็ เจ็ดสถาน ถงึ ประหารชวี ติ เป็นผยุ ผง
• ผลจากการถวายฎกี าของ ตามกฤษฎีการกั ษาพระองค ์ แลว้ ลงจากพระทน่ี ง่ั เขา้ วงั ใน
ขุนชางไดเ กดิ อะไรขึน้ บา ง จะกลา่ วถึงขุนแผนแสนสนทิ เรืองฤทธ์ฦิ ๅจบพภิ พไหว
(แนวตอบ พระพนั วษากรว้ิ ขนุ ชาง อย่บู า้ นสขุ เกษมเปรมใจ สมสนทิ พิสมัยด้วยสองนาง
มากทขี่ นุ ชางไมรูจ ักกาลเทศะ ลาวทองกับเจ้าแกว้ กริ ยิ า ปรนนิบัตวิ ัตถาไม่ห่างขา้ ง
ทลู เกลา ฯ ถวายฎกี าในน้าํ เพลดิ เพลินจา� เริญใจไมเ่ ว้นวาง คืนนนั้ ในกลางซึ่งราตรี
ในขณะทพ่ี ระพนั วษาทรงประทบั นางแกว้ ลาวทองท้ังสองหลับ ขุนแผนกลบั ผวาตืน่ ฟ้ืนจากท่ี
อยบู นเรอื จึงใหร บั เรอ่ื งไว แลว พระจันทรจรแจม่ กระจ่างดี พระพายพัดมาลีตลบไป
ลงโทษโบยสามสบิ ที หลงั จากนนั้ คิดคะนงึ ถึงมิตรแต่ก่อนเกา่ นจิ จาเจ้าเหนิ หา่ งรา้ งพสิ มยั
พระองคจึงใหตั้งกฤษฎีกาวา ถึงสองคร้ังตง้ั แตพ่ รากจากพี่ไป ดังเด็ดใจจากร่างกร็ าวกนั
ตงั้ แตนี้ตอไปไมใหผใู ดเขา มา กกู ช็ ัว่ มัวรกั แต่สองนาง ละวางให้วนั ทองนอ้ งโศกศลั ย์
ใกลพ ระมหากษตั รยิ  ถา ผใู ด เมื่อตไี ด้เชยี งใหม่ก็โปรดครัน จะเพด็ ทลู คราวนน้ั กค็ ล่องใจ
ไมป ฏบิ ตั ติ ามจะมโี ทษประหาร สารพัดที่จะวา่ ไดท้ ุกอยา่ ง อ้ายขุนชา้ งไหนจะโตจ้ ะตอบได้
ชีวติ ) ไมค่ วรเลยเฉยมาไมอ่ าลัย บดั นเี้ ลา่ เจ้าไวยไปรับมา
จ�ากูจะไปสสู่ วาทนอ้ ง เจา้ วนั ทองจะคอยละหอ้ ยหา
• การยนื่ ฟองของขุนชา งเกดิ ผล คดิ พลางจดั แจงแตง่ กายา น้�าอบทาหอมฟุ้งจรงุ ใจ
อยางไรตอ การถวายฎกี า ออกจากห้องยอ่ งเดนิ ดา� เนินมา ถึงเรอื นลูกยาหาช้าไม่
ในเวลาตอมา เขา้ หอ้ งวนั ทองในทนั ใด เห็นนางหลับใหลนิ่งนิทรา
(แนวตอบ พระพนั วษาใหต ั้ง ลดตัวลงน่งั ข้างวนั ทอง เตอื นตอ้ งด้วยความเสน่หา
กฤษฎีกาหามไมใ หใครเขามา สั่นปลุกลกุ ขึน้ เถิดน้องอา พม่ี าหาแล้วอย่านอนเลย
ถึงพระองค ใหว างหนาท่รี ักษา นางวันทองตนื่ อยรู่ ู้สกึ ตวั หมายใจว่าผวั กท็ �าเฉย
พระองค ถาใครปลอยใหเ ขา มา นง่ิ ดอู ารมณ์ทชี่ มเชย จะรกั จรงิ จะเปรยเป็นจา� ใจ
ถงึ พระองคจะมโี ทษ 7 ประการ แตน่ งิ่ ดูกิริยาเป็นชา้ นาน หาว่าขานโตต้ อบอยา่ งไรไม่
จนถงึ โทษประหารชวี ิต ทงั้ รกั ทัง้ แค้นแนน่ ฤทัย ความอาลยั ปันป่วนยวนวิญญา
ดังคาํ ประพนั ธ โอเ้ จ้าแกว้ แววตาของพ่ีเอย๋ เจ้าหลับใหลกระไรเลยเป็นหนกั หนา
“วาตัง้ แตว นั นส้ี ืบตอไป ดงั นิ่มน้องหมองใจไม่นา� พา ขัดเคืองคิดว่าพท่ี อดท้ิง
หนาท่ีของผใู ดใหรักษา ความรักหนักหนว่ งทรวงสวาท พี่ไม่คลาดคลายรักแตส่ กั สิง่
ถา ประมาทราชการไมน ําพา เผอิญเป็นวปิ ริตพผ่ี ิดจริง จะนอนนง่ิ ถือโทษโกรธอยไู่ ย
ปลอยใหใครเขา มาในลอมวง
ระวางโทษเบด็ เสร็จเจด็ สถาน 30
ถึงประหารชวี ิตเปนผยุ ผง
ตามกฤษฎกี ารกั ษาพระองค
แลว ลงจากพระทน่ี ั่งเขาวงั ใน”)

เกรด็ แนะครู

ครูเช่ือมโยงความรใู นบทเรียนเรอ่ื งการถวายฎกี าในสมยั กอ นกับ
ความรทู างประวัตศิ าสตร สังคมศาสตร ซึง่ มขี อมูลความรเู ก่ียวกบั
การถวายฎีกาตอพระเจา แผนดนิ และกฎระเบียบตางๆ ทีร่ าษฎร
พึงปฏิบัติ ใหนกั เรียนเขา ใจข้นั ตอนการถวายฎกี าย่งิ ข้ึน

30 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain

ว่าพลางเอนแอบลงแนบขา้ ง Expand Evaluate
ลูบไล้พไิ รปลอบให้ชอบใจ
เจ้าวนั ทองน้องตืน่ จากท่นี อน จบู พลางชวนชิดพสิ มยั อธบิ ายความรู
หมอ่ มน้อยใจที่ไมเ่ จรจา เปน็ ไรจึงไมฟ่ นื้ ต่นื นิทรา
ชอบผิดพอ่ จงคิดคะนึงตรอง โอนอ่อนวอนไหวพ้ ไิ รวา่ จากท่ีนักเรียนศึกษาบทประพันธ
ประหนงึ่ วา่ วันทองนส้ี องใจ ใช่ตัวข้าน้จี ะงอนคอ่ นพิไร เสภาเรอื่ งขนุ ชา งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา ง
ทจี่ รงิ ใจเหน็ ไปอยเู่ รือนอื่น อันตวั น้องมลทนิ หาสน้ิ ไม่ ถวายฎีกา ใหนักเรยี นยกตัวอยางการ
ด้วยรกั ลูกรักผวั ยังพัวพัน พบไหนกเ็ ปน็ แต่เช่นนน้ั ใชว รรณศลิ ป “การถามโดยไมต อ งการ
แค้นคดิ ด้วยมิตรไม่รักเลย คงคิดคนื ที่หมอ่ มเป็นแม่นมน่ั คาํ ตอบ”Ææ (ปฏปิ จุ ฉา) พรอ มอธบิ ายการ
เสียแรงรว่ มทกุ ขย์ ากกันกลางไพร คราวนั้นก็ไปอยูเ่ พราะจา� ใจ ใชวรรณศิลปนน้ั ประกอบ
พอไดด้ ีมสี ุขลมื ทุกข์ยาก ยามมีท่ีเชยเฉยเสยี ได้
วา่ นกั ก็เคร่อื งเคอื งระคาย กินผลไม้ตา่ งข้าวทุกเพรางาย (แนวตอบ การใชป ฏิปุจฉา จาก
พีผ่ ดิ จรงิ แล้วเจา้ วนั ทอง ก็เพราะหากหมอ่ มมีซึ่งที่หมาย เนื้อเรือ่ งหนา 33 ความวา
ใชพ่ จี่ ะเพลิดเพลินชนื่ เพราะอ่ืนเชย เอ็นดูน้องอย่าให้อายเขาอีกเลย
เม่ือติดคุกทกุ ขถ์ ึงเจ้าทกุ เชา้ คา่� เหมือนลืมน้องหลงเลือนทา� เชอื นเฉย “พอทรงจบแจงพระทยั ในขอหา
ซ�า้ ขนุ ชา้ งคิดคดทา� ทดแทน เงยหน้าเถดิ จะเล่าอย่าเฝา้ แค้น ก็โกรธาเคอื งขุนหุนหนั
อาลัยเจา้ เทา่ กบั ดวงชีวติ พี่ ต้องกลนื กล้�าโศกเศรา้ น้ันเหลอื แสน มนั เค่ยี วเขญ็ ทําเปน อยางไรกนั
เกรงจะพากันผดิ เขา้ ตดิ ทบั มนั ดแู คลนวา่ พน่ี ี้ยากยับ อวี ันทองคนเดยี วไมร แู ลว”
กลบั มาหมายว่าจะไปตาม คิดจะหนีไปตามเอาเจ้ากลบั กวใี ชคาํ ถามโดยไมต องการคาํ ตอบ
หวั อกใครไดแ้ ค้นในแผ่นดนิ แตข่ ยบั อยู่จนได้ไปเชียงอินทร์ พระพันวษาทรงกรว้ิ จึงตรสั ถามโดย
คดิ อย่วู า่ จะทูลพระพนั วษา พอเจา้ ไวยเป็นความกค็ า้ งสนิ้ ไมคาดวา จะมคี นตอบ เพราะใน
จะเป็นความอกี กต็ ามแตท่ �านอง ไม่เดอื ดด้นิ เท่าพี่กบั วนั ทอง บรบิ ทนนั้ ไมม ใี ครจะตอบคาํ ถามได)
จะเป็นตายง่ายยากไมจ่ ากรกั เหน็ ชา้ กวา่ จะได้มาร่วมห้อง
ขอโทษที่พีผ่ ดิ อย่าบดิ เบอื น จึงให้ลูกรบั นอ้ งมาร่วมเรือน นกั เรยี นควรรู
พผ่ี ิดพีก่ ม็ าลุแกโ่ ทษ จะฟูมฟกั เหมอื นเมอ่ื อยู่ในกลางเถอ่ื น
ความรกั พ่ยี งั รกั ระงมใจ เจา้ เพอื่ นเสนหาจงอาลัย เพรางาย หมายถงึ เวลาเชา ม้อื เชา
ว่าพลางทางแอบเขา้ แนบอก จะคุมโกรธคมุ แคน้ ไปถึงไหน
เจา้ เนื้อทพิ ย์หยิบชนื่ อารมณช์ าย อยา่ ตัดไมตรตี รึงใหต้ รอมตาย เกร็ดแนะครู
ใจน้องมิให้หมองอารมณ์หม่อม ประคองยกของส�าคัญมั่นหมาย
ถ้าตัดรักหักใจแลว้ ไมม่ า ขอสบายสกั หน่อยอยา่ โกรธา ครูแนะนักเรยี นเกยี่ วกบั
ถึงตวั ไปใจยังนบั อยวู่ า่ ผัว ไมต่ ดั ใจให้ตรอมเสนหา บทอัศจรรยในวรรณคดไี ทยวา มี
หม่อมอย่าว่าเลยวา่ ฉนั ไมค่ ืนคดิ ความหมายพิเศษวา “บทแตง เลียบ-
นอ้ งนก้ี ลัวบาปทับเมือ่ ดับจติ เคยี งหรอื เปรียบเทยี บการสังวาส”
ซง่ึ ปกตเิ ปน เรอ่ื งตอ งหา มในการพดู จา
ของคนทว่ั ไป ถือวาไมสภุ าพและ
ไมควรเปด เผย แตก วีไทยมีศลิ ปะใน
การเขยี นบทสงั วาสโดยเปรยี บเทยี บ
เรยี กวา “บทอัศจรรย” นัยวาเปน
ศลิ ปะที่เปนเอกลกั ษณพเิ ศษของ
31 กวีนิพนธไทย เพราะเมือ่ เขียนเปน

บทอศั จรรยแ ลว ก็สามารถเขาใจได
โดยไมต อ งสอบถามอะไรกนั อกี คาํ วา
“อศั จรรย” ภายหลงั มีความหมายเลือนมาใหแ ปลวา
“สังวาส” กไ็ ด ครูชี้ใหน ักเรียนเห็นจดุ มงุ หมายของ
การศึกษาบทอศั จรรยว า เปน การศกึ ษาศิลปะการใช
ภาษาไมใชเ รื่องอนาจารไมเ หมาะสม

คมู ือครู 31

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Evaluate

Engage Explore Expand

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%)

1. จากบทประพนั ธ
“ไปเพด็ ทลู เสยี ใหท ูลกระหมอ มแจง
นองจะแตงบายศรไี วเ ชิญขวญั ” หญิงเดยี วชายครองเปน็ สองมติ ร ถา้ มปิ ลิดเสียให้เปลอื้ งไม่ตามใจ
คราวนัน้ เมอ่ื ตามไปกลางป่า หนา้ ดา� เป็นหนึง่ ทามนิ หมอ้ ไหม้
• นกั เรยี นมีความคดิ เห็นตอ ชนะความงามหน้าดงั เทยี นชัย เขาฉุดไปเหมือนลงทะเลลึก
บทประพันธข างตน อยางไร เจ้าพลายงามตามรับเอากลบั มา ทีน้ีหนา้ จะด�าเป็นน้�าหมกึ
(แนวตอบ เน้อื ความสวนนี้ ก�าเริบใจด้วยเจา้ ไวยก�าลังฮกึ จะพาแมต่ กลึกให้จ�าตาย
สะทอนใหเหน็ ธรรมเนยี ม มใิ ชห่ นมุ่ ดอกอย่ากลมุ้ กา� เรบิ รัก เอาความผดิ คดิ หกั ให้เหือดหาย
ประเพณีการทําบายศรีสขู วญั ถ้ารกั นอ้ งปอ้ งปดิ ใหม้ ดิ อาย ฉนั กลับกลายแลว้ หมอ่ มจงฟาดฟัน
เพราะคนไทยมคี วามเชอื่ เรอื่ ง ไปเพ็ดทูลเสียให้ทูลกระหม่อมแจง้ น้องจะแต่งบายศรีไวเ้ ชิญขวัญ
ขวญั วา เปน สิง่ ทไ่ี มมีตัวตน ไมพ่ กั วอนดอกจะนอนอยู่ด้วยกนั ไมเ่ ชน่ น้นั ฉันไมเ่ ลยจะเคยตวั
เชือ่ กนั วา มอี ยปู ระจําชวี ิตของ นจิ จาใจเจา้ จะใหพ้ เี่ จบ็ จิต ดังเอากรชิ แกะกรดี ในอกผวั
คนตงั้ แตเกิดมา ถา ขวญั อยูกบั เกรงผิดคดิ บาปจงึ หลาบกลวั พน่ี ีช้ ั่วเพราะหมิน่ ประมาทความ
ตวั ก็เปน สิรมิ งคล เจาของขวญั อนื่ ไกลไหนพี่จะละเล่า นเี่ จา้ ว่าดอกจะยง้ั ไวฟ้ งั หา้ ม
ก็จะเปน สุขสบาย จติ ใจมั่นคง เสียแรงมาว่าวอนจงผอ่ นตาม อยา่ หวงห้ามเสนห่ าใหช้ ้าวัน
ถา คนตกใจหรือเสียขวญั ขวัญ วา่ พลางคลึงเคล้าเขา้ แนบขา้ ง จบู พลางทางปลอบประโลมขวัญ
กอ็ อกจากรางไป ซง่ึ เรยี กวา ก่ายกอดสอดเกี่ยวพลั วนั วันทองก้นั กีดไว้ไม่ตามใจ
ขวญั หาย ขวญั หนี ขวัญบนิ พลิกผลักชกั ชวนใหช้ ่ืนชดิ เบือนบิดแบ่งรักหาร่วมไม่
เปนตน ทาํ ใหคนนน้ั ไดรบั สยดสยองพองเสยี วแสยงใจ พระพายพดั มาลยั ตลบลอย
ผลรา ยตางๆ มีอาการหว่นั วิตก ไมเ่ บกิ บานกา้ นกลดั เกสรสรอ้ ย
จงึ ตองจดั พธิ บี ายศรีสูขวญั ) แมลงภเู่ ฝ้าเคล้าไมใ้ นไพรชฏั พรมพรอ้ ยทอ้ งฟา้ นภาลยั
นา้� ฟ้าหาตอ้ งดอกไมไ้ ม่
2. บันทกึ ความคิดเห็นนนั้ ลงสมุด บนั ดาลคงคาทพิ ย์กระปรบิ กระปรอย หวิวใจแลว้ ก็หลับกบั เตยี งนอน
ใบไม้แห้งแกรง่ เกรยี บระรบุ ร่อน
ครูสุม นักเรยี น 3 คน มาแสดง อสนคี รื้นคร่ันสน่นั ก้อง พระจันทรแจ่มแจง้ กระจา่ งดวง
ความคิดเหน็ หนา ชัน้ เรียน ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง
กระเซน็ รอบขอบสระสมุทรไท จิตง่วงระงับสภู่ วงั ค์
เลื่อนเปื้อนไมร่ ูท้ ่จี ะกลับหลัง
ครั้นเวลาดึกกา� ดดั สงัดเงียบ ยงั มีพยคั ฆ์รา้ ยมาราวี
พอนางดั้นป่ามาถึงท่ี
พระพายโชยเสาวรสขจายขจร แล้วฉดุ คร่าพารไี่ ปในไพร
หวดี ผวากอดผัวสะอ้ืนไห้
เกร็ดแนะครู ดุเหว่าเร้าเสียงส�าเนยี งก้อง ประหลาดใจน้องฝนั พร่ันอุรา
วันทองน้องนอนสนทิ ทรวง
“ฝนวาพลัดไปในไพรเถ่อื น
เลื่อนเปอนไมรทู ี่จะกลับหลงั ฝันว่าพลดั ไปในไพรเถอ่ื น

ลดเล้ยี วเท่ียวหลงในดงรงั ลดเล้ยี วเทย่ี วหลงในดงรัง

ยงั มีพยคั ฆรายมาราวี” ทั้งสองมองหมอบอยรู่ มิ ทาง

ครูแนะนักเรยี นวา จากบทประพันธ โดดตะครุบคาบคน้ั ในทันที
ขางตนสะทอ นใหเ ห็นความเชอ่ื เรื่อง
ฝน ซึ่งคนไทยเชือ่ วา การฝน เปน สน้ิ ฝนั คร้นั ตืน่ ตกประหมา่
เลา่ ความบอกผัวดว้ ยกลัวภยั

ลางบอกเหตุเร่ืองราวตา งๆ หาก 32
ฝน รายตองรบี แกไ ขและเชอื่ วา
ฝน เกิดจากสาเหตุ ดงั นี้
1. ธาตุโขภะ คอื ธาตกุ าํ เริบเพราะ
เจบ็ ปวย ไมสบายตวั
2. อนภุ ูปพุ พะ คือ เพราะเคยเปนมากอน ใจผกู พันจึงนํามาคดิ และฝน
3. เทพสงั หรณ คือ เทวดาดลใจ
4. บรุ พนิมิต คือ ลางบอกเหตุลวงหนา

32 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain

ใต้เตียงเสียงหนูกก็ ุกกก Expand Evaluate
ยิ่งหวาดหวนั่ พรั่นตวั กลัวมรณา
ครานนั้ ขุนแผนแสนสนทิ อธบิ ายความรู
คร้ังนนี้ ่าจะมีอนั ตราย
พเิ คราะหด์ ูทงั้ ยามอัฐกาล 1. จากบทประพันธหนา 33 นี้ ให
มิรู้ทีจ่ ะแถลงแจง้ กิจจา นกั เรยี นวิเคราะหสาเหตุทีท่ ําให
จงึ แกล้งเพทุบายทา� นายไป แมลงมุมทุม่ อกที่รมิ ฝา สมเด็จพระพันวษาทรงกริ้ว
เพราะวิตกหมกไหม้จึงได้เป็น ดังวิญญาณน์ างจะพรากไปจากกาย (แนวตอบ
พรุ่งน้พี จ่ี ะแก้เสนียดฝนั ฟังความตามนิมิตกใ็ จหาย 1. ขุนชา งถวายฎกี าไมถูก
มิใหเ้ กดิ ราคกี ลียุค ฝนั ร้ายสาหัสตดั ต�ารา
ครนั้ วา่ รุง่ สางสว่างฟา้ กบ็ ันดาลฤกษแ์ รงเปน็ หนักหนา กาลเทศะ
จะกลา่ วถงึ พระองค์ผทู้ รงชัย กอดเมยี เมนิ หนา้ น้า� ตากระเด็น 2. คดีความเก่ียวกบั นางวนั ทอง
พรอ้ มดว้ ยพระก�านัลนักสนม ฝันอย่างน้ีมใิ ชจ่ ะเกดิ เขญ็
ประจา� ต้งั เครือ่ งอานอยู่งานพัด เน้ือเย็นอยกู่ ับผวั อย่ากลัวทุกข์ ทรงเคยตดั สนิ ไปแลว )
แสนถอ่ ยใครจะถ่อยเหมือนมันบา้ ง แลว้ ท�ามงิ่ สิ่งขวัญใหเ้ ป็นสขุ ครสู มุ นกั เรยี นมานําเสนอ
เวียนแตเ่ ป็นถอ้ ยความไมข่ ้ามคืน อยา่ เปน็ ทกุ ข์เลยเจา้ จงเบาใจ หนาช้ันเรยี น
คราวนน้ั ฟ้องกันด้วยวันทอง สุริยาแย้มเย่ียมเหลีย่ มไศล 2. ครแู ละนักเรียนรว มกันอภิปราย
ด�าริพลางทางเสด็จยาตรา เนาในพระทีน่ ัง่ บัลลงั ก์รตั น์ แสดงความคิดเหน็ วา เห็นดว ย
พระสูตรรดู กรา่ งกระจา่ งองค ์ หมอบประนมเฝา้ แหนแน่นขนดั หรือไม อยางไร
ทงั้ หนา้ หลงั เบยี ดเสยี ดเยียดยัด ทรงเคอื งขัดขุนชา้ งแตก่ ลางคืน (แนวตอบ อาจเห็นดว ยหรือไมกไ็ ด
ทอดพระเนตรมาเหน็ ขนุ ช้างเฝา้ ข้ึนอยกู ับเหตุผลของนักเรียน)
พระหมน่ื ศรีถวายพลนั ในทันใด
พอทรงจบแจ้งพระทยั ในข้อหา ทุกอย่างท่ีจะช่วั อา้ ยหัวลืน่
มนั เค่ยี วเข็ญท�าเป็นอย่างไรกัน นา�้ ยนื หยัง่ ไม่ถงึ ยังดึงมา
ราวกบั ไม่มหี ญงิ เฝ้าชงิ กัน นี่มนั ฟ้องใครอีกอา้ ยชาติขา้ นักเรยี นควรรู
รปู อ้ายชา้ งชว่ั ช้าตาแบ้งแบว ออกมาพระทน่ี ง่ั จักรพรรดิ
ใครจะเอาเปน็ ผวั เขากลัวอาย ขนุ นางกราบราบลงเปน็ ขนดั “ใตเ ตียงเสยี งหนูกก็ กุ กก
คราวนัน้ เปน็ ความกถู ามซกั หมอบอัดถัดกนั เป็นหลั่นไป แมลงมมุ ทมุ อกทีร่ ิมฝา”
วนั ทองกสู ิให้กบั ไอแ้ ผน เออใครเอาฟ้องมันไปไว้ไหน เปน การใชส ัทพจน คอื การใช
จมื่นศรีไปเอาตวั มนั มาพลัน รับไว้คลท่ี อดพระเนตรพลัน คําเลียนเสียงธรรมชาติ เชน เสียง
ฝ่ายพระหม่ืนศรีไดร้ ับสงั่ ก็โกรธาเคืองขนุ่ หุนหนั นา้ํ ไหล เสียงฟา รอ ง เสยี งลมพดั
สัง่ เวรกรมวงั ในทันใด อวี นั ทองคนเดียวไมร่ แู้ ลว้ เสียงสัตวร อง เชน หนูกก็ ุกกก
ฤๅอวี นั ทองน้ันมนั มแี ก้ว จ้งิ หรีดกระกรดี กริง่ เรไรหรง่ิ รองขรม
ไมเ่ หน็ แววท่วี ่ามันจะรกั ระงมเสยี ง

หวั หูดูเหมอื นควายทตี่ กปลัก
ตกหนกั อยกู่ ับเฒ่าศรีประจนั
ไยแลน่ มาอยู่กบั อา้ ยช้างนัน่
ทัง้ วนั ทองขนุ แผนอ้ายหม่นื ไวย นกั เรยี นควรรู

ถอยหลังออกมาไม่ชา้ ได้ เครอ่ื งอาน มหี ลายความหมาย
ตา� รวจในวิ่งตะบงึ มาถงึ พลนั
ในบรบิ ทนี้ “เครอ่ื งอาน” อาจเปน
คาํ ซอ นเพื่อเสียง ความหมายอยทู ่ี
33 คําวา “เครื่อง” เพยี งคําเดยี ว สว น
“อาน” นน้ั เดิมอาจมีความหมายตาม
รปู คาํ มากอ นคอื สง่ิ ของตา งๆ ทตี่ อ งใช
เพ่ือผูกอานบนหลังมาสําหรับขี่ (ซ่ึง
ไมไ ดม แี ตอ านแขง็ ๆ เพยี งอยางเดยี ว) จากนน้ั คนคงเอาคําวา
“เครอื่ งอาน” ไปใชก บั สงิ่ อนื่ ๆ ทตี่ อ งประกอบดว ยสงิ่ ของหลาย
สิ่งท่ีจัดเปนสํารับหรือชุด ไมวาจะเปนสํารับของกิน เคร่ืองยา
หรอื เครือ่ งรางของขลัง ฯลฯ “เคร่ืองอาน” จึงมคี วามหมายอยู
ท่คี ําวา เครือ่ ง เพยี งคําเดียว

คูม อื ครู 33

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Elaborate Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%)

จากบทประพนั ธห นา 34 น้ี เปน ข้นึ ไปบนเรือนพระหม่นื ไวย แจง้ ข้อรับส่ังไปขมขี มัน
ตอนทีน่ างวันทองเขาเฝา สมเด็จ- ขนุ ช้างฟ้องรอ้ งฎีกาพระทรงธรรม ์ ใหห้ าท้ังสามท่านน้ันเขา้ ไป
พระพนั วษาตามรบั สง่ั คราน้นั วันทองเจ้าพลายงาม ไดฟ้ ังความครา้ มครัน่ หวั่นไหว
ขนุ แผนเรียกวันทองเข้าห้องใน ไมไ่ ว้ใจจงึ เสกดว้ ยเวทมนตร์
• นักเรยี นคิดวาบทประพันธ สขี ผ้ี ึ้งสีปากกนิ หมากเวท ซ่งึ วเิ ศษสารพดั แกข้ ัดสน
สะทอนคตชิ นของสงั คมใน น้า� มนั พรายน้า� มันจนั ทน์สรรเสกปน เคยค้มุ ขงั บงั ตนแตไ่ รมา
สมยั นนั้ อยา งไร แลว้ ทา� ผงอทิ ธิเจเข้าเจิมพักตร ์ คนเหน็ คนทกั รกั ทุกหนา้
(แนวตอบ ผคู นในสังคมสมัยน้ัน เสกกระแจะจวงจนั ทนน์ ้า� มนั ทา เสรจ็ แล้วก็พาวนั ทองไป
มคี วามเช่ือเรื่องโชคลาง หากมี ครานัน้ ทองประศรีผมู้ ารดา ครั้นไดแ้ จ้งกิจจาไมน่ ่ิงได้
ลางไมด ี เชน ฝน รา ย กจ็ ะมี เดก็ เอย๋ วง่ิ ตามมาไวไว ลงบันไดงันงกตกนอกชาน
การแกเ คล็ด เสรมิ มงคล พลายชุมพลกอดก้นทองประศร ี กมู ใิ ชช่ ้างข่ดี อกลกู หลาน
ดงั บทประพันธ ลกุ ขนึ้ โขยง่ โก้งโค้งคลาน ซมซานโฮกฮากอ้าปากไป
“สขี ้ีผึง้ สปี ากกนิ หมากเวท คร้นั ถึงย้งั อยู่ประตวู ัง ผรู้ ับสงั่ เร่งรดุ ไมห่ ยดุ ได้
ขนุ แผนวันทองพระหม่ืนไวย เข้าไปเฝ้าองค์พระภมู ี
ซึง่ วิเศษสารพดั แกข ัดสน ครานัน้ พระองคผ์ ู้ทรงเดช ปนิ ปักนัคเรศเรืองศรี
เห็นสามราเขา้ มาอัญชล ี พระปรานีเหมือนลูกในอุทร
นเค้ํายมคนั ุม พขรังาบยังนตา้ํ นมแนั ตจไ ันรทมาน”ส )รรเสกปน ด้วยเดชะพระเวทวเิ ศษประสทิ ธิ ์ เผอิญคิดรกั ใครพ่ ระทยั ออ่ น
ตรสั ถามอยา่ งความราษฎร ฮ้าเฮย้ ดกู อ่ นอีวันทอง
เกรด็ แนะครู เมื่อมงึ กลบั มาแตป่ า่ ใหญ่ กสู ิให้อา้ ยแผนประสมสอง
ครั้นกูขดั ใจใหจ้ �าจอง ตัวของมงึ ไปอยู่แห่งไร
ครคู วรเนน วรรณศิลป “การถาม ท�าไมไมอ่ ยกู่ บั อา้ ยแผน แล่นไปอยู่กับอา้ ยช้างใหม่
โดยไมต องการคําตอบ” เพราะมี เดิมมึงรกั อ้ายแผนแลน่ ตามไป ครัน้ ยกให้สเิ ตน้ กลับเล่นตัว
ในขอสอบ o-net ป 50 และป 52 อยู่กบั อ้ายช้างไมอ่ ยูไ่ ด ้ เกดิ รังเกยี จเกลียดใจดว้ ยชงั หวั
โดยครูนาํ เฉลยขอสอบดงั กลาว ดยู ักใหมย่ า้ ยเกา่ เฝ้าเปลี่ยนตัว ตกว่าชว่ั แล้วมงึ ไมไ่ ยดี
มาใหนักเรียนศกึ ษาเปนแนวทาง ครานั้นวันทองได้รับส่งั ละลา้ ละลงั ประนมกม้ เกศี
การวิเคราะห หวั สยองพองพร่ันทนั ท ี ทูลคดพี ระองค์ผู้ทรงธรรม์
ขอเดชะละอองธลุ ีบาท องคห์ รริ กั ษร์ าชรังสรรค์
“ถาหนุมแนน แมน เหมอื นแตก อ นไซร เม่ือกระหม่อมฉนั มาแตอ่ ารัญ ครง้ั นน้ั โปรดประทานขนุ แผนไป
จะเกรงกลวั อะไรกับไพร”ี ครน้ั อย่มู าขุนแผนต้องจา� จอง กระหม่อมฉนั มีท้องน้ันเตบิ ใหญ่
และ อยทู่ เี่ คหาหน้าวัดตะไกร ขนุ ชา้ งไปบอกวา่ พระโองการ
“จะเกิดไหนขอใหพ บประสบกนั มีรบั สงั่ โปรดปรานประทานให ้ กระหมอ่ มฉนั ไม่ไปกห็ ักหาญ
อยาโศกศัลยแคลว คลาดเหมอื น ยือ้ ยุดฉุดครา่ ท�าสามานย ์ เพือ่ นบ้านจะชว่ ยกส็ ุดคดิ
ชาตนิ ้ี” 34

@ มุม IT

ศึกษาเกย่ี วกบั ภาพประกอบเสภา-
เร่ืองขุนชา งขุนแผนเพ่มิ เติม ไดที่
http://www.samsenwit.ac.th/
department/2550/thai/ele.pdf

34 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain

ด้วยขนุ ชา้ งอา้ งวา่ รบั ส่ังให ้ Elaborate Evaluate
จนใจจะมไิ ปกส็ ุดฤทธิ์
ครานั้นพระองค์ผูท้ รงภพ ใครจะขัดขนื ไวก้ ็กลวั ผดิ อธบิ ายความรู
มีพระสิงหนาทตวาดมา ชวี ิตอยู่ใตพ้ ระบาทา
ตกวา่ กหู าเปน็ เจ้าชีวิตไม ่ ฟงั จบกริ้วขนุ ช้างเป็นหนกั หนา ใหนกั เรียนตอบคาํ ถามในประเดน็
เป็นไมม่ อี าญาสทิ ธ์ิคิดดึงโดน อา้ ยบา้ เย่อหย่ิงอ้ายลงิ โลน ตอ ไปน้ี โดยใหเ หตผุ ลประกอบ
เลยี้ งมงึ ไม่ไดอ้ า้ ยใจร้าย มึงถือใจว่าเปน็ เจา้ ที่โรงโขน
แลว้ กลับความถามขา้ งวนั ทองพลนั เทย่ี วท�าโจรใจคะนองจองหองครนั • นกั เรยี นเหน็ ดว ยหรือไมท ี่
กช็ า้ นานได้ประมาณสิบแปดป ี ชอบแต่เฆ่ยี นสองหวายตลอดสนั พลายงามรบั ตวั นางวนั ทอง
น่ีมึงหนมี ันมาวา่ ไร เออเมอื่ มนั ฉดุ คร่าพามงึ ไป ไปอยดู วย
วนั ทองฟงั ถามให้ครา้ มครัน่ ครง้ั นี้ท�าไมมึงจงึ มาได้
ขอเดชะพระองคท์ รงศักดา ว่าใครไปรบั เอามึงมา (แนวตอบ ไมเ ห็นดว ย ครูสนทนา
คร้งั นีจ้ มืน่ ไวยน้นั ไปรบั บังคมคัลประนมก้มเกศา และรว มแสดงความคดิ เหน็ วา การไป
มิใชย่ ้อนยอกท�านอกใจ พระอาญาเปน็ พน้ ลน้ เกล้าไป รับตัวนางวันทองโดยวธิ ลี ักพาตัว
แต่มานนั้ เวลาสักสองยาม กระหม่อมฉันจึงกลบั คนื มาได้ เปนวิธที ีไ่ มส มควร แตค วรทําตามที่
ขอพระองคจ์ งทรงพระปราน ี ขนุ แผนกม็ ไิ ด้ประเวณี นางวันทองบอกกับขนุ แผนวา ถารัก
คราน้นั พระองค์ผ้ทู รงเดช ขนุ ชา้ งจงึ หาความว่าหลบหนี นางก็ใหไปเพด็ ทลู กบั พระพนั วษา
อา้ ยหม่นื ไวยทา� ใจอหงั การ ์ ชีวอี ย่ใู ต้พระบาทา จะทําใหน างไมอ ายใคร)
จะปรกึ ษาตราสินให้ไมไ่ ด ้ ฟงั เหตุขนุ่ เคอื งเป็นหนักหนา
ถา้ ฉวยเกดิ ฆา่ ฟันกนั ล้มตาย ตกวา่ บา้ นเมอื งไมม่ ีนาย NET ขอสอบ ป 51
อีวนั ทองกใู ห้อา้ ยแผนไป จึงทา� ตามนา�้ ใจเอาง่ายง่าย
ฉุดมันขึน้ ช้างอ้างถงึ กู อันตรายไพร่เมอื งก็เคืองกู ขอ สอบโจทยถามวา
ชอบตบใหส้ ลบลงกบั ที ่ อา้ ยชา้ งบงั อาจใจท�าจูล่ ู่ ขอ ใดไมใชบทเจรจา
มะพร้าวหา้ วยดั ปากใหส้ าใจ ตะคอกขู่อวี นั ทองใหต้ กใจ 1. เมอื่ ติดคกุ ทุกขถึงเจาทุกเชา คํ่า
มึงถือว่าอวี นั ทองเปน็ แมต่ วั เฆยี่ นตีเสยี ใหย้ บั ไม่นับได้
ไปรบั ไยไม่ไปในกลางวัน อา้ ยหมืน่ ไวยก็โทษถงึ ฉกรรจ์ ตอ งกลืนกลา้ํ โศกเศรานั้นเหลอื แสน
มันเหมือนววั เคยขาม้าเคยข ี่ ไมเ่ กรงกลวั เวโ้ ว้ท�าโมหันธ์ ซาํ้ ขนุ ชา งคิดคดทาํ ทดแทน
อา้ ยชา้ งมันกฟ็ อ้ งเปน็ สองนยั อา้ ยแผนพ่อนั้นกเ็ ปน็ ใจ มันดแู คลนวา พีน่ ้ยี ากยบั
เป็นราคขี อ้ ผิดมตี ดิ ตัว ถงึ บอกกูวา่ ดหี าเช่ือไม่
ถ้าอ้ายไวยอยากจะใคร่ได้แมม่ า ว่าอ้ายไวยลักแม่ใหบ้ ดิ า 2. ถงึ ตวั ไปใจยงั นบั อยวู าผัว
อัยการศาลโรงกม็ อี ย ู่ หมองมัวมลทินอยู่หนักหนา
ชวนพอ่ ฟ้องหาเอาเปน็ ไร นอ งนกี้ ลวั บาปทับเมอื่ ดบั จิต
ว่ากตู ัดสินใหไ้ มไ่ ด้ หญงิ เดียวชายครองเปน สองมติ ร
ถามปิ ลดิ เสยี ใหเ ปลอื้ งไมต ามใจ
35
3. แตน งิ่ ดูกิรยิ าเปนชานาน

หาวาขานตอบโตอ ยา งไรไม
ทัง้ รักทง้ั แคน แนน ฤทยั
ความอาลยั ปน ปว นยวนวญิ ญา

4. ดว ยขุนชางอา งวารับส่งั ให

ใครจะขดั ขนื ไวก ็กลวั ผิด
จนใจจะมิไปก็สุดฤทธิ์
ชวี ติ อยใู ตพระบาทา

(วเิ คราะหค าํ ตอบ บทเจรจา คือ
บทที่มตี ัวละครกลา วโตต อบกัน
ตอบขอ 3 เพราะเปนการพรรณนา
ลักษณะทาทางของ
ตวั ละคร โดยไมมีการกลา ว
โตต อบกัน)

คูมอื ครู 35

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%)

1. ใหนักเรียนพิจารณาเก่ียวกับ ชอบทวนด้วยลวดใหป้ วดไป ปรับไหมให้เทา่ กบั ชายชู้
การสรา งคาํ ในเสภาเรอ่ื งขุนชาง มันเกดิ เหตทุ ง้ั นก้ี เ็ พราะหญิง จึงหึงหวงชว่ งชิงยงุ่ ยงิ่ อยู่
ขุนแผน ตอน ขนุ ชางถวายฎีกา จา� จะตัดรากใหญ่ใหห้ ล่นพร ู ใหล้ ูกดอกดกอยู่แตก่ ่งิ เดียว
จากนั้นยกตัวอยา งคาํ มูล อวี ันทองตัวมนั เหมือนรากแก้ว ถ้าตดั โคนขาดแลว้ กใ็ บเหี่ยว
คําประสม และคาํ ซอนจาก ใครจะควรสูส่ มอยู่กลมเกลยี ว ใหเ้ ด็ดเด่ียวรกู้ นั แตว่ นั นี้
เนอื้ เร่อื ง อยางนอยชนดิ ละ เฮย้ อีวนั ทองว่ากระไร มงึ ตง้ั ใจปลดปลงใหต้ รงท่ี
10 คาํ แลว บนั ทกึ ลงสมุด อย่าพะวังกังขาเปน็ ราค ี เพราะมึงมีผวั สองกตู อ้ งแคน้
(แนวตอบ ถา้ รักใหม่กไ็ ปอยู่กับอ้ายชา้ ง ถา้ รกั เก่าเข้าขา้ งอ้ายขนุ แผน
1. คาํ มลู : มงึ ปา กู แลน เกดิ คดี อย่าเวยี นวนไปใหค้ นมนั หม่ินแคลน ถา้ แม้นมึงรกั ไหนให้ว่ามา
ส่งั อยู เตน คะนอง เทยี่ ว คราน้ันวนั ทองฟงั รับสั่ง ใหล้ ะลา้ ละลังเป็นหนกั หนา
2. คาํ ประสม : นอกใจ สองยาม คร้นั จะทูลกลัวพระราชอาชญา ขนุ ช้างแลดตู ายักค้ิวลน
เพอ่ื นบา น เลนตวั เปลีย่ นตัว พระหมื่นไวยใชใ้ บ้ใหแ้ มว่ า่ บยุ้ ปากตรงบิดาเปน็ หลายหน
จนใจ น้ําใจ ตกใจ สองนัย วันทองหมองจติ คิดเวียนวน เป็นจนใจนิง่ อยูไ่ มท่ ลู ไป
ตดั ราก คราน้ันพระองค์ทรงธรณนิ ทร ์ หาได้ยินวนั ทองทลู ข้นึ ไม่
3. คาํ ซอ น : จําจอง เตบิ ใหญ พระตรัสความถามซักไปทันใด มึงไม่รักใครให้ว่ามา
หักหาญ ขัดขนื หนกั หนา จะรักชูช้ งั ผัวมงึ กลวั อาย จะอย่ดู ว้ ยลูกชายกไ็ ม่ว่า
โปรดปราน ยือ้ ยดุ ขุนเคือง ตามใจกจู ะใหด้ งั วาจา แต่น้ีเบอ้ื งหน้าขาดเดด็ ไป
บานเมอื ง ฆาฟน ลมตาย) นางวันทองรบั พระราชโองการ ให้บันดาลบังจติ หาคิดไม่
อกศุ ลดลมัวใหช้ ั่วใจ ดว้ ยสิ้นในอายทุ ่ีเกิดมา
2. ครสู ุมตวั อยางใหน ักเรยี นนําเสนอ คิดคะนึงตะลงึ ตะลานอก ดังตวั ตกพระสุเมรภุ ูผา
หนาชั้นเรยี น และรวบรวมความรู ให้อุธัจอดั อ้ันตนั อรุ า เกรงผิดภายหนา้ ก็สดุ คิด
บันทึกลงสมุด จะวา่ รกั ขนุ ช้างกระไรได ้ ทจ่ี ริงใจมไิ ดร้ กั แต่สักหนดิ
รกั พอ่ ลูกห่วงดังดวงชีวติ แม้นทูลผดิ จะพิโรธไมโ่ ปรดปราน
ขยายความเขา ใจ อยา่ เลยจะทลู เปน็ กลางไว ้ ตามพระทัยท้าวจะแยกใหแ้ ตกฉาน
คิดแลว้ เท่าน้นั มิทนั นาน นางกม้ กรานแลว้ ก็ทลู ไปฉบั พลนั
ใหนกั เรยี นนําคาํ มูล คําประสม ความรกั ขุนแผนกแ็ สนรัก ดว้ ยร่วมยากมานักไมเ่ ดยี ดฉันท์
และคาํ ซอนที่ปรากฏในเสภาเรือ่ ง สู้ล�าบากบกุ ป่ามาดว้ ยกนั สารพนั อดออมถนอมใจ
ขุนชางขุนแผนมาชนิดละ 5 คาํ ขุนชา้ งแต่อยดู่ ้วยกันมา คา� หนกั หาได้ว่าใหเ้ คืองไม่
เพื่อนาํ มาเขียนเปน ความเรียง เงินทองกองไวม้ ใิ ห้ใคร ข้าไทใช้สอยเหมือนของตวั
ความยาวไมนอยกวา 10 บรรทัด จม่นื ไวยเล่ากเ็ ลือดที่ในอก กห็ ยบิ ยกรักเท่ากนั กับผวั
พรอมตงั้ ช่ือเรอ่ื ง ทูลพลางตวั นางระเร่ิมรวั ความกลัวพระอาญาเปน็ พน้ ไป

นักเรยี นควรรู 36

อธุ จั หรอื อุทธจั หมายความวา
ความประหมา ความขวยเขิน

36 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Expand

Engage Explore Explain Evaluate

ครานนั้ พระองคผ์ ู้ทรงภพ ฟงั จบแคน้ คั่งดงั เพลิงไหม้ ขยายความเขา ใจ
เหมอื นดินประสิวปลิวตดิ กับเปลวไฟ ดดู ๋เู ป็นได้อีวันทอง
จะวา่ รกั ขา้ งไหนไม่ว่าได ้ นา�้ ใจจะประดังเขา้ ทง้ั สอง 1. ใหน ักเรยี นแบงกลุมและสมาชกิ
ออกนน่ั เข้านีม่ สี �ารอง ยิง่ กว่าทอ้ งทะเลอนั ล�า้ ลกึ ในกลมุ รวมกันแสดงความคดิ เห็น
จอกแหนแพเสาสา� เภาใหญ่ จะทอดถมเทา่ ไรไม่รู้สกึ จากเหตกุ ารณต อนทีพ่ ระพนั วษา
เหมอื นมหาสมุทรสุดซึ้งซกึ น�้าลึกเหลอื จะหย่ังกระทงั่ ดนิ ใหน างวนั ทองเลอื กวา จะอยูกบั ใคร
อิฐผาหาหาบมาทุม่ ถม กจ็ ่อมจมสญู หายไปหมดส้นิ • หากนกั เรยี นเปนนางวันทอง
อีแสนถ่อยจัญไรใจทมิฬ ดงั เพชรนลิ เกดิ ข้นึ ในอาจม นกั เรยี นจะตดั สินใจอยางไร
รปู งามนามเพราะน้อยไปฤๅ ใจไมซ่ ่อื สมศกั ด์เิ ทา่ เสน้ ผม เพราะเหตุใด
แต่ใจสัตวม์ นั ยงั มที นี่ ิยม สมาคมกแ็ ต่ถึงฤดมู นั (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดง
มงึ น้ถี ่อยยิ่งกว่าถอ่ ยอีท้ายเมือง จะเอาเร่ืองไมไ่ ดส้ ักสิ่งสรรพ์ ความคิดเหน็ ไดอ ยา งเปดกวา ง
ละโมบมากตณั หาตาเปน็ มนั สักร้อยพนั ให้มงึ ไมถ่ ึงใจ และหลากหลาย อยา งไรก็ตาม
วา่ หญงิ ชว่ั ผัวยังคราวละคนเดียว หาตามตอมกันเกรยี วเหมือนมึงไม่ ครูควรแนะนํานักเรยี นวา
หนักแผน่ ดินกูจะอยไู่ ย อา้ ยไวยมงึ อย่านบั ว่ามารดา ในเรอ่ื งนางวนั ทองตอ งเผชญิ
กเู ล้ยี งมงึ ถึงใหเ้ ปน็ หัวหม่ืน คนอื่นรู้วา่ แม่ก็ขายหน้า ความกดดนั ท่ีตองตอบคําถาม
อ้ายขุนช้างขนุ แผนทง้ั สองรา กจู ะหาเมียให้อย่าอาลยั ตอหนาพระพักตรพระพนั วษา
หญิงกาลกิณอี แี พศยา มันไมน่ า่ เชยชิดพิสมยั ซึ่งทรงเปนกษัตรยิ  และในอดตี
ทรี่ ปู รวยสวยสมมถี มไป มงึ ตดั ใจเสียเถิดอคี นนี้ ยงั ไมน ยิ มใหส ตรมี ีโอกาสแสดง
เร่งเรว็ เหวยพระยายมราช ไปฟนั ฟาดเสยี ใหม้ นั เป็นผี ความคดิ เหน็ ไดม ากนัก)
อกเอาขวานผา่ อย่าปรานี อย่าให้มีโลหิตตดิ ดินกู
เอาใบตองรองไว้ใหห้ มากนิ ตกดินจะอัปรีย์กาลีอยู่ 2. ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ นําขอสรปุ
ฟันให้หญิงชายทัง้ หลายด ู สั่งเสร็จเสด็จสปู่ ราสาทชัย ของกลุม จดั แสดงบทบาทสมมติ
แสดงใหเหน็ วาหากนกั เรียนเปน
ฯลฯ นางวันทองนักเรียนจะตัดสิน
ใจอยางไร โดยยกกลอนเสภา
ประกอบในระหวา งการแสดงดวย
อยา งนอย 5 บท

เกร็ดแนะครู

ครชู วนนกั เรยี นอา นบทประพันธ
ท่ีประทับใจ โดยใหเหตผุ ลวา การอา น
ออกเสียงจะชว ยใหเขา ถึงอารมณ
ความรูสึกของเนอ้ื เรือ่ งมากย่ิงขึน้

37

คูมือครู 37

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore

Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%)

ครูสนทนากับนักเรียน แลวใช ๖ คำ�ศัพท์
คําถามกระตนุ ความสนใจ
คำ� ศพั ท์ ควำมหมำย
• นกั เรียนคิดวาบทประพนั ธ
ตอนใดในเสภาเรอื่ งขุนชา ง กระแจะ ผงเครอื่ งหอมตา่ งๆ ทผ่ี สมกนั สา� หรบั ทาหรอื เจมิ โดยปกตมิ เี ครอื่ งประสม
ขุนแผนทีม่ ีคาํ ศัพทน า สนใจ คอื ไมจ้ ันทน์ ชะมดเชียง แก่นไมห้ อม หญ้าฝรน่ั
(แนวตอบ ตอบไดหลากหลาย กฤษฎกี า พระราชโองการทก่ี า� หนดเป็นกฎหมาย
ไมม ผี ิดถูก ข้นึ อยูกับความสนใจ ใครมาเทศนเ์ อาผ้ากูไปไหน ในท่ีน้ีหมายความว่า ขุนช้างสงสัยว่าใครนิมนต์พระมาบังสุกุล ชักเอา
ของนักเรยี น) ผา้ ของตนไป
จวงจันทน์ เครือ่ งหอมทีเ่ จอื ดว้ ยไมจ้ วงและไมจ้ นั ทน์
สาํ รวจคน หา จัตบุ ท ทวบิ าท สัตวส์ ีเ่ ทา้ สัตวส์ องเทา้
จี่ เผา
1. ใหน ักเรยี นจัดกลมุ 4 กลุม จูล่ ู่ ร่ีเขา้ ไปตามทาง ถลนั เขา้ ไป โดยปริยายหมายความว่า วู่วาม
แตละกลุมคนหาและรวบรวม ฉาน ฉนั สรรพนามบรุ ษุ ที่ ๑ (จากค�าวา่ เกล้ากระหม่อมฉาน)
คาํ ศพั ทจากเสภาเรื่องขุนชาง ฎีกา ค�ารอ้ งทกุ ข์ทยี่ ่ืนถวายพระเจ้าแผน่ ดิน
ขนุ แผน ตอน ขุนชางถวายฎกี า ตกว่า ราวกบั วา่
ในหัวขอตอไปนี้ ตราสิน แจ้งความไวเ้ พอ่ื เป็นหลกั ฐาน
• คําราชาศัพท ตลอดสัน ตลอดสนั หลงั
• คําทใี่ ชกบั สามัญชน ถกเขมร การนงุ่ ผา้ หยักร้ังขึ้นไปใหพ้ น้ หัวเข่า บางทเี รียกวา่ ขดั เขมร
• คาํ ซอ น ทวนด้วยลวด การเฆี่ยนตดี ว้ ยหนงั ทมี่ ลี ักษณะเปน็ เส้นยาวๆ
• คําจากภาษาตางประเทศ ทกั ทิน อ่านวา่ ทัก-กะ-ทิน เป็นความเชื่อในตา� ราโหราศาสตรว์ า่ วนั ชว่ั รา้ ย
ทบั กระทอ่ ม ในท่ีนคี้ อื กระทอ่ มทขี่ ุนแผนอยูเ่ ม่ือครัง้ ต้องโทษ
2. ครูจับสลากเพอื่ นาํ เสนอ นา้� มนั พราย เป็นน้�ามนั ท่ีได้มาจากผตี ายโหง ซ่ึงมคี วามเช่อื วา่ เป็นส่งิ ท่ที �าให้คนรกั
หนา ชนั้ เรียน เน้อื รา่ งกาย ตัว
บโทน ในท่นี ค้ี ือ ตา� แหนง่ นายเรือ ผ้คู อยให้จงั หวะสญั ญาณใหพ้ ายชา้ พายเร็ว
นักเรียนควรรู บรกิ รรม ส�ารวมใจร่ายมนตร์หรอื เสกคาถาซ้า� ๆ เพือ่ ให้เกิดความขลงั ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ
บายศรี เคร่ืองเชิญขวัญหรือรับขวัญ ท�าด้วยใบตอง รูปคล้ายกระทงเป็นช้ันๆ
ทกั ทิน ตามความเช่อื โบราณ มขี นาดใหญเ่ ลก็ สอบกันขึ้นไปตามลา� ดบั อาจเปน็ ๓ ช้นั ๕ ชัน้ ๗ ช้นั
เปน วันราย หา มมใิ หทาํ การอนั ใด หรอื ๙ ช้ัน มเี สาปกั ตรงกลางเปน็ แกน มีเครื่องสงั เวยวางอย่ใู นบายศรี
ในวนั ทักทิน ใครทาํ การใด เชน และมไี ข่ขวญั เสียบอยบู่ นยอด
แตง งาน ขน้ึ บา นใหม จะเกิดโทษ
หรอื เหตรุ า ยซึ่งไดแก 38

- วันอาทิตย ข้นึ 1 ค่าํ แรม 1 ค่าํ
- วันจันทร ข้ึน 4 ค่าํ แรม 4 คา่ํ
- วนั อังคาร ขึ้น 5 คํ่า แรม 5 คาํ่
- วนั พุธ ขนึ้ 9 คาํ่ แรม 9 ค่ํา
- วนั พฤหัสบดี ข้นึ 6 คํ่า แรม 6 คํ่า
- วนั ศกุ ร ขึ้น 8 คา่ํ แรม 8 คํ่า
- วนั เสาร ขึน้ 9 ค่ํา แรม 9 ค่ํา

38 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

คา� ศพั ท์ ความหมาย อธิบายความรู

ปรนนบิ ัติวตั ถา คอื ปรนนบิ ตั วิ ัตถาก หมายถงึ เอาใจใส่คอยปฏบิ ัตริ ับใช้ 1. เสภาเรื่องขุนชางขุนแผน
ปรบั ไหม ให้ผู้กระท�าผิดช�าระเงินทดแทนความผิดที่ได้กระท�าแก่ผู้เสียหาย หรือ ตอน ขนุ ชา งถวายฎกี า กวใี ช
บิดามารดา หรือผู้ปกครองของผ้เู สียหาย คาํ ราชาศัพทแ ละคําทีใ่ ชกบั
ผงอิทธเิ จ คือ ผงดนิ สอ ท�าได้โดยการใชด้ ินสอพองเขียนลงบนกระดานด�า เม่ือจะ สามัญชนหลายคํา ใหน กั เรียน
เขยี นคา� ใดคา� หนง่ึ กต็ อ้ งวา่ การประสมตวั นน้ั ๆ พรอ้ มกนั ไปใหถ้ กู ตอ้ งตาม ยกตวั อยา งคาํ ศพั ทดงั กลา ว
ผเี สอื้ หลกั ไวยากรณ์ของบาล ี พอเขียนเสร็จกล็ บแล้วเก็บผงดินสอไว ้ เขยี นตวั (แนวตอบ การใชคาํ ศัพทก บั
มงึ ถอื ใจวา่ เปน็ เจ้าทโี่ รงโขน อ่ืนตอ่ ไป และลบเก็บผงดนิ สอไวอ้ กี ผงท่ีได้เรยี กวา่ ผงอิทธิเจ เป็นผงที่ พระมหากษตั ริย เชน ถวาย
น�ามาผดั หน้าสา� หรับเปน็ เสน่ห์ท�าใหค้ นรัก พระทัย ทลู พระอาญา โปรด-
โมหันธ์ ในทนี่ หี้ มายถึง ผเี สือ้ สมทุ ร ประทาน บงั คม เสดจ็ ขอเดชะ
ย่�ายาม กลอนวรรคนส้ี มเดจ็ พระพนั วษาตรสั บรภิ าษขนุ ชา้ งวา่ ขนุ ชา้ งคดิ วา่ พระองค์ พระองค ตรสั พระบาท ขอเดชะ-
รว่ มยาก ทรงเป็นเพียงพระเจ้าแผ่นดินในเรื่องโขนเร่ืองละครกระมัง จึงมิได้เกรง ละอองธลุ ีบาท ทอดพระเนตร
ร้องเกน พระราชอาญา ท�าอะไรตามอ�าเภอใจอยู่เสมอ เปน ตน และคําทีใ่ ชก ับสามัญชน
แลน่ เชน กู มงึ อายชาง อา ยจญั ไร
วัวเคยขามา้ เคยขี่ ความมดื มนด้วยความหลง อวี นั ทอง อา ยไวย อายแผน เมยี
ตกี ลองหรอื ฆ้องถ่ีๆ หลายคร้ัง เพอื่ บอกเวลาส�าหรับเปลีย่ นยาม อีแพศยา ผวั ขา ตะโกน ออี นุ
วางบท รว่ มทกุ ข์ อีอ่ิม เปน ตน )
ร้องตะโกนดังๆ
ส่งทุกข์ วิง่ 2. ใหน ักเรยี นชว ยกนั สืบคน
สะเดาะกลอน คุ้นเคยกันมาอย่างดี รู้ทีกัน เข้าใจในท�านองของกันและกัน ส�านวนนี้ ความหมายของคําศัพทเ พ่มิ เตมิ
เสด็จประพาสบัว ส่วนมากใช้กับคนทเี่ คยเปน็ สามีภรรยากนั แลว บนั ทึกความรูล งสมุด
(แนวตอบ ตวั อยา งเชน
ให้แสดงไปตามบทคือหน้าท่ีที่ก�าหนดให้ ในท่ีน้ีหมายถึง คร้ังหน่ึง • เสาแรกแตกตน เปน มลทนิ
สมเด็จพระพนั วษาทรงไดเ้ คยตัดสินใหน้ างวันทองกลบั ไปอยู่กบั ขุนแผน หมายถึง เสาเรอื นทีเ่ ปนเสาเอก
เขา้ สว้ ม • อธุ จั หมายถงึ ความฟุง ซา น
ทา� ใหก้ ลอนประตูหลดุ ออกได้ดว้ ยคาถาอาคม • แหงนเถอ หมายถึง คางอยู
ในที่นี้หมายถึง การเสด็จประพาสท้องทุ่งในฤดูน้�าหลากที่มีน้�าเตม็ เปี่ยม • วางบท หมายถงึ ใหแสดง
มดี อกบวั และพนั ธไ์ุ มใ้ นนา�้ งดงาม เปน็ ฤดเู ลน่ เรอื หรอื เลน่ ดอกสรอ้ ยสกั วา ไปตามบท
• จี่ หมายถงึ เผา เปนตน )

39 นกั เรียนควรรู

ผเี สอ้ื สมทุ ร หรอื ผเี สอื้ นาํ้ มเี รอ่ื งราว
เก่ยี วขอ งในฐานะตวั ละครสาํ คญั และ
ไมสจู ะสําคญั ในวรรณคดหี ลายเรอ่ื ง
มกี ําเนิดเปน 2 อยาง คือ เกดิ เอง
เปน เองตามชาตพิ ันธขุ องยกั ษ และ
อกี อยางหน่ึงเคยเปนเทวดา แตถูก
สาปจากเทพผมู อี าํ นาจใหเ ปน ผเี สอ้ื นา้ํ
คือรกั ษามหาสมุทรแหง ใดแหง หนึ่ง
โดยมีเงอ่ื นไขวา เม่อื ไดทําตามคําสั่ง
ของเทพผูเปน ใหญส าํ เรจ็ แลว จะพน
คาํ สาป แลวกลับไปเปนเทวดา
อยูบนสวรรคด งั เดมิ

คูมอื ครู 39

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นกั เรียน 20%)

1. ใหนักเรยี นพจิ ารณาและอธิบาย คา� ศพั ท์ ความหมาย
ลักษณะคําซอนท่ปี รากฏในเรอ่ื ง
พรอมยกตัวอยาง เสาแรกแตกต้นเป็นมลทนิ เสาแรกในทน่ี ี้คอื เสาเรือนท่เี ป็น “เสาเอก” เป็นเสาตน้ ท่ีถอื ว่า มีความ
(แนวตอบ ตัวอยางคาํ ซอนเพื่อเสียง ส�าคัญมาก ในการสร้างบ้านต้องขุดหลุมเสาแรกก่อนหลุมอ่ืน และเมื่อ
เชน โครมคราม แวมวาม ชมเชย จะยกเสาก็ต้องยกเสาแรกก่อน เสาแรกจะมีลักษณะล�าต้นตรง บริสุทธิ์
หนุ หัน เปน ตน คําซอนเพ่อื ไมก่ ่ิวคอด ไม่มีตา ไม่มดี ้วงแมลงเจาะไช เนอ้ื ไมไ้ ม่เป็นกาบหยวก ถา้
ความหมาย เชน ทอดทิ้ง เพ่ิมพนู มีลักษณะผิดปกติเกิดขึ้นท่ีเสาแรกนี้ ก็เชื่อว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ในท่ีนี้
ฆาฟน รัง้ รอ พลาดพล้งั เปนตน ) เสาแรกของบ้านขุนช้างแตกแสดงว่าคงจะมีผู้มาท�าคุณไสยอย่างใด
อยา่ งหนงึ่ ไว้
2. ใหน กั เรยี นยกตัวอยางคาํ ยมื ภาษา
ตา งประเทศที่ปรากฏในเร่อื ง แสงศรี มาจากคา� ว่า แสงสรุ ีย์ศรี หมายถึง แสงอาทิตย์
(แนวตอบ ตัวอยา งเชน หวั หมนื่ มหาดเล็ก ตา� แหนง่ ข้าราชการมหาดเลก็ ถัดจากต�าแหนง่ จางวางลงมา
คาํ เขมร เชน เชิญ ตรัส เสด็จ
โปรด ดาํ ริ กาํ นลั บนั ดาล หนิ ชาติ มกี �าเนิดต่า� เลวทราม
คาํ บาลี เชน กจิ จา ทุกข จิต แหงนเถ่อ ค้างอยู่
พยคั ฆ องค เปนตน
คําสันสกฤต เชน กฤษฎีกา อัฐกาล ยามแปด วันหนง่ึ มี ๘ ยาม ยามหนง่ึ ม ี ๓ ช่วั โมง ยามแปดคือเวลาตั้งแต่
กรรม มติ ร สมทุ ร ฤกษ ราษฎร ต ี ๔ ถึง ๖ โมงเช้า
เปนตน)
อฒั จนั ทร์ ในที่นหี้ มายถงึ ชน้ั ท่ีต้งั เคร่อื งแกว้ ซงึ่ เป็นของประดบั บา้ น
อาถรรพณ์ ของท่ีลงเลขยันต์คาถาแล้วฝังไว้ในดิน โดยวิธีใส่ก้นหลุมเสา เช่น
เสาประตูบ้าน ส�าหรับป้องกันอันตราย เมื่อจมื่นไวยจะเข้าบ้านขุนช้าง
ขยายความเขาใจ จึงร่ายมนตร์ถอนอาถรรพณ์เสียก่อน เพราะถ้าอาถรรพณ์ของขุนช้าง
ไม่เสอื่ ม เคร่ืองรางของขลังรวมทง้ั เวทมนตร์คาถาของจมน่ื ไวยจะเส่ือม
1. ใหน ักเรยี นนําคาํ ศพั ทใ นบทเรยี น ความศักดิ์สทิ ธ์ิเมอ่ื ผา่ นประตูเขา้ ไป
มาแตง กลอนสุภาพ โดยให
สอดคลองกบั เนื้อเร่อื งเสภา อธุ ัจ คือ อุทธัจ แปลวา่ ความฟุง้ ซา่ น ความประหมา่ ขวยเขนิ
เรื่องขุนชา งชุนแผน ตอน ขุนชา ง
ถวายฎกี า เชน ความรอบคอบ ๗ บทวิเคร�ะห์
การเอาใจเขามาใสใจเรา เปนตน ๗.๑ คณุ คา่ ด้านเนื้อหา
แตง จาํ นวน 2 บท
๑) รปู แบบ กลอนเสภาเรอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า กวเี ลอื กใชค้ า� ประพนั ธ์
2. ครสู มุ นักเรียน 4-5 คน มาอา น ประเภทกลอนเสภา ซึ่งมีลกั ษณะเหมือนกลอนสุภาพ กลอนเสภาอาจจะมีบางวรรคท่มี ีจา� นวนคา�
กลอนสุภาพที่นักเรียนแตง ไม่เทา่ กัน ทัง้ นขี้ ึน้ อยกู่ บั เน้อื ความหรือกระบวนกลอนและจังหวะในการขบั เสภา ซึ่งกลอนเสภาน้ี
ที่หนาช้ันเรียน เหมาะทจ่ี ะใชใ้ นการเล่าเรื่องและขบั เปน็ ทา� นองลา� นา� คือการขับเสภานนั่ เอง

40

40 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain

Expand Evaluate

๒) องคป์ ระกอบของเรอ่ื ง จ�าแนกตามหวั ข้อต่างๆ ได ้ ดงั นี้ กระตนุ ความสนใจ
๒.๑) สาระ เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา เสนอข้อคิดว่าการ
1. ครใู ชค าํ ถามทบทวนเนอ้ื เร่อื ง
ตกเป็นทาสของอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโกรธ ความหลง ย่อมท�าให้มนุษย์ เสภาเรอื่ งขุนชางขนุ แผนที่นกั เรียน
ขาดสติกระท�าสิ่งต่างๆ โดยไม่ค�านึงถึงผลท่ีตามมาว่าจะดีหรือร้ายแก่ตนหรือแก่ผู้อื่น เมื่อเกิด เคยเรยี น เพื่อใหนักเรยี นมีความ
ความพล้ังพลาดจากการตัดสนิ ใจกน็ า� ไปสู่หายนะได้ เตอื นเราให้ครองชวี ิตด้วยสติ สนใจติดตามเร่ืองราวในตอนที่
กาํ ลงั เรยี น
หลังจากท่ีพลายงามลอบขึ้นเรือนขุนช้างแล้วพามารดามาอยู่ด้วย ก็เกิดเกรงขุนช้าง • นักเรยี นเคยเรียนเสภาเร่อื ง
จะเอาผดิ วันรุ่งขึน้ จึงให้บ่าวใชไ้ ปบอกว่าตนปว่ ยอยากดหู น้าแม ่ จะขอใหแ้ มม่ าอย่ดู ้วยสักพกั แลว้ ขุนชา งขุนแผนตอนใดบา ง
จงึ จะพาไปสง่ กลบั แตข่ นุ ชา้ งโกรธถวายฎกี าตอ่ พระพนั วษาพระองคก์ ลา่ วโทษพลายงาม ทล่ี อบขน้ึ (แนวตอบ ตอนกําเนิดพลายงาม
เรือนผู้อื่นโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทรงสั่งให้นางวันทองเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามนางวันทองว่าจะ ตอนพลายงามพบพอ )
เลือกอยูก่ ับใคร นางวนั ทองตกประหม่าไมอ่ าจตดั สนิ ใจไดเ้ ลยยกเรอื่ งใหพ้ ระพันวษาตัดสินใจแทน
พระพันวษาเขา้ ใจวา่ นางวนั ทองเลือกไม่ได้เพราะหลายใจ จงึ ทรงรับสง่ั ประหารชีวติ นางวันทอง 2. ใหนักเรียนชว ยกันเลาเสภาเร่อื ง
ขนุ ชางขุนแผนตอนท่เี คยเรยี น
๒.๒) โครงเรื่อง เน้ือเรื่องเป็นเรื่องราวความรักของชายสองคนกับหญิงหนึ่งคน ชาย
คนหนึ่งเป็นคนรูปงาม มีวิชาอาคมแต่เจ้าชู้ ชายอีกคนหน่ึงเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์แต่มีฐานะ สาํ รวจคนหา
ร่�ารวย ทัง้ สองคนปรารถนาผูห้ ญิงคนเดยี วกนั จึงเกดิ การแย่งชิง เพราะความรกั ความใครจ่ ึงสร้าง
ความทุกขใ์ จให้กบั ทง้ั สามคน ปมปัญหาของเรอ่ื งน้คี ือ นางผ้นู ้ันจะตกเปน็ ของชายใด ใหนักเรยี นคนหาปมปญหาจาก
เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกาเป็นตอนท่ีส�าคัญท่ีสุดของเร่ือง โครงเรือ่ งเสภาเร่อื งขุนชางขนุ แผน
เพราะเป็นตอนคลี่คลายปมปัญหาว่านางวันทองจะตกเป็นของผู้ใด ระหว่างขุนแผนกับขุนช้าง
ตอน ขุนชา้ งถวายฎกี า เรม่ิ จากทีพ่ ลายงามอยากให้มารดามาอยูด่ ้วย จงึ ได้ลอบขนึ้ เรอื นขุนชา้ ง (แนวตอบ ปมปญหาทีส่ าํ คัญคอื
แล้วพานางวันทองไปกับตน เม่ือขุนช้างรู้ว่านางวันทองอยู่กับพลายงามก็โกรธมากไปถวายฎีกา เรื่องความรกั ท่ีมกี ารชว งชงิ ระหวาง
พระพันวษา เรื่องได้หักมุมจบลงตรงที่นางวันทองถูกประหารชีวิต นับเป็นเร่ืองน่าสลดใจและ ชายสองหญงิ หนึ่ง ปมปญ หานี้
สรา้ งความสะเทือนอารมณ์ให้แกผ่ ้อู ่านเปน็ อยา่ งยิ่ง เปน ท่มี าของพฤติกรรมตางๆ ของ
ตวั ละครเกอื บทง้ั เรอ่ื ง จนไดคล่ีคลาย
๒.๓) ฉากและบรรยากาศ ฉากท่ีปรากฏในเสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้าง ไปสคู วามเศรา คอื การตายของ
ถวายฎีกา คือ สภาพสังคมไทยในสมัยอยุธยาและรัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ ของชาวบ้าน ชาววัด และ ตัวละครเอก คอื นางวนั ทอง)
ชาววงั ซ่งึ ผแู้ ต่งได้บรรยายฉากและบรรยากาศต่างๆ ได้สมจรงิ สอดคล้องกับเน้ือเรื่อง เชน่ เรอื น
ของขนุ ชา้ งทแ่ี สดงถึงความร�่ารวย ดังบทประพันธ์ อธบิ ายความรู

ข้าไทนอนหลับลงทับกนั สะเดาะกลอนถอนลน่ั ถึงชั้นสาม 1. ใหนักเรียนจัดกลุมแลวรว มกนั
กระจกฉากหลากสลบั วับแวมวาม อรา่ มแสงโคมแก้วแววจับตา วิเคราะหปมปญหาเสภาเร่ือง
ม่านม่ลู ่มี ีฉากประจ�ากนั้ อัฒจนั ทรเ์ ครอ่ื งแกว้ ก็หนักหนา ขนุ ชา งขนุ แผน ตอน ขุนชาง
ชมพลางยา่ งเยอื้ งชา� เลอื งมา เปิดม้งุ เห็นหน้าแม่วันทอง ถวายฎีกาและการคลค่ี ลายปม

41 2. ใหนักเรยี นแตละกลุมนาํ เสนอ
เมือ่ นาํ เสนอครบทกุ กลมุ แลว
ครแู ละนักเรยี นรวมกันอภปิ ราย
สรปุ จากน้นั นกั เรียนบนั ทึกความรู
ลงสมดุ

คูมอื ครู 41

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธิบายความรู (ยอ จากฉบบั นักเรียน 20%)

จากเสภาเรอื่ งขุนชา งขนุ แผน
ตัวละครแตละตวั มลี ักษณะนิสยั
แตกตา งกัน ๒.๔) ตัวละคร เสภาขนุ ช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา ปรากฏบคุ ลิกลักษณะท่ี
ชัดเจนของตัวละครที่สา� คัญ ดงั น้ี
• ตวั ละครในเรอ่ื งสะทอนภาพ
ความรกั อยางไรบา ง (๑) นางวนั ทอง ซง่ึ แตเ่ ดมิ วนั ทองเปน็ เดก็ สาวไรเ้ ดยี งสา ไมค่ อ่ ยมโี อกาสตดั สนิ ใจ
(แนวตอบ ความรักระหวางแมกับ ดว้ ยตนเอง เมอ่ื เข้าสู่วยั ผู้ใหญ่ท่ีผ่านความทุกข์มามากมาย นางวนั ทองมีความสขุ มุ รอบคอบ รู้จัก
ลูกของนางวนั ทองกบั จมืน่ ไวยฯ ยบั ยง้ั ชง่ั ใจ คดิ กอ่ นทา� ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากตอนทขี่ นุ แผนเขา้ มาหานางในหอ้ งนอนวนั ทองมไิ ดย้ นิ ยอม
ความรกั ระหวางสามีและภรรยา ที่จะมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับขุนแผน และนางยังกล่าวถึงเรื่องควรไม่ควรและเตือนให้
ของขนุ ชางและขนุ แผนทม่ี ีตอ ขุนแผนกราบทลู พระพนั วษาให้ทรงทราบเรื่องกอ่ น ดงั ความวา่

นางวนั ทอง และความจงรัก มใิ ช่หนุ่มดอกอยา่ กลมุ้ ก�าเริบรกั เอาความผิดคิดหกั ให้เหือดหาย
ภกั ดขี องราษฎรที่มตี อ ถ้ารักนอ้ งปอ้ งปิดให้มิดอาย ฉนั กลับกลายแล้วหม่อมจงฟาดฟัน
พระมหากษตั รยิ ) ไปเพด็ ทูลเสยี ให้ทลู กระหมอ่ มแจง้ นอ้ งจะแต่งบายศรไี วเ้ ชญิ ขวัญ

ขยายความเขา ใจ ไมพ่ กั วอนดอกจะนอนอย่ดู ว้ ยกนั ไมเ่ ชน่ นน้ั ฉันไม่เลยจะเคยตวั

จากที่ศึกษาบทประพนั ธต ลอด (๒) พลายงาม พลายงามเป็นต้นเหตุส�าคัญที่ท�าให้ขุนช้างถวายฎีกาซึ่งส่งผล
ทั้งตอนแลว ครแู ละนกั เรยี นรวมกัน ให้นางวันทองถูกประหารชีวิตในท่ีสุด พลายงามเป็นผู้ท่ีใช้อารมณ์เหนือเหตุผล กระท�าทุกอย่าง
แสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของตนโดยไมค่ า� นงึ ถงึ ความถกู ตอ้ งเหมาะสม ดงั เชน่ ตอนทพี่ ลายงาม
ดังตอไปนี้ ข้ึนเรือนขุนช้างเพื่อบังคับพาตัวนางวันทองไป นางวันทองห้ามปรามและเตือนสติแต่พลายงาม
ไมย่ อมฟงั เหตผุ ล กลบั ยิง่ แสดงอารมณโ์ กรธจนถงึ กับจะตดั ศรี ษะนางวันทองหากไม่ยอมไปกับตน
• ใครเปน ตน เหตุท่ีแทจ ริงท่ที าํ ให ดังความวา่
นางวนั ทองถกู ประหาร
• หากนักเรียนเปน พลายงาม
ขุนแผน ขนุ ชา ง หรือนางวนั ทอง ครานนั้ จงึ โฉมเจ้าพลายงาม ฟังความเห็นว่าแม่หาไปไม่
นักเรียนแกปญ หาที่เกิดข้นึ คิดบา่ ยเบยี่ งเลี่ยงเลี้ยวเบีย้ วบิดไป เพราะรักอ้ายขุนช้างกว่าบดิ า
อยา งไร จึงว่าอนจิ จาลกู มารับ แมย่ ังกลบั ทัดทานเป็นหนกั หนา
เหมือนไม่มีรักใคร่ในลกู ยา อุตส่าห์มารบั แลว้ ยงั มิไป

เสยี แรงเปน็ ลูกผชู้ ายไมอ่ ายเพ่อื น จะพาแมไ่ ปเรือนใหจ้ งได้

เกรด็ แนะครู แมน้ มิไปใหง้ ามก็ตามใจ จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที
จะตัดเอาศรี ษะของแมไ่ ป ทง้ิ แต่ตัวไว้ใหอ้ ยูน่ ี่

ครเู พม่ิ เตมิ ความรใู นเรอ่ื งการเขา ถงึ แมอ่ ยา่ เจรจาให้ชา้ ที จวนแจ้งแสงศรจี ะรีบไป

วรรณคดโี ดยใชแนวคดิ จติ วิทยา (๓) ขุนช้าง นอกจากขุนช้างจะมีรูปร่างและหน้าตาไม่น่าพึงใจแก่ผู้พบเห็นแล้ว
สามารถอธบิ ายการกระทาํ ท่ีไม จิตใจยงั โหดร้าย คบั แคบ สงิ่ ทีท่ �าใหข้ นุ ช้างมีดอี ยบู่ ้างคอื ความรักเดยี วใจเดยี วท่มี ีใหน้ างวันทอง
สมเหตสุ มผลของพลายงามที่วา แต่ความรักของขุนช้างเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว คิดเอาแต่ได้ หวังครอบครองเป็นเจ้าของโดย
เพ่อื ตอบสนองความตอ งการของ
ตนเองแลว จะไมค าํ นึงถงึ ความ
ถูกตองเหมาะสม ครเู นน วา เปน 42

ความหลากหลายและซับซอนใน
จติ สาํ นกึ และจติ ไรส าํ นกึ ของตวั ละคร
อยางพลายงาม กลายเปน แรงจงู ใจใหมพี ฤตกิ รรมกาวราว ซ่ึงทาํ ใหเกิดเคา โครงเรือ่ ง
คอื นางวันทองไปอยกู บั พลายงามและขุนแผน ทาํ ใหขนุ ชา งไมพ อใจไปถวายฎกี าและ
พระพนั วษาทรงกรว้ิ ตดั สนิ โทษประหารชีวติ นางวนั ทอง

42 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Expand

Engage Explore Explain Evaluate

ไม่ค�านึงถึงความถูกต้องเหมาะสม แม้นางวันทองจะมีสามีแล้ว ขุนช้างก็ยังท�าทุกวิถีทางให้ได้ ขยายความเขาใจ
นางมาครอบครอง คร้นั ถกู แย่งนางไปขุนชา้ งกโ็ กรธแคน้ ขุนชา้ งจึงเป็นตวั ละครที่ตกเป็นทาสของ
ความรักและความโกรธแค้นตลอดเวลา สามารถสร้างความทุกข์ให้กับทุกคนท่ีเกี่ยวข้องไม่เว้น ตวั ละครในเสภาขุนชางขุนแผน
แมก้ ระทง่ั นางวนั ทองซงึ่ เปน็ หญงิ ทข่ี นุ ชา้ งรกั ความรกั และความแคน้ ของขนุ ชา้ งปรากฏใหเ้ หน็ ชดั ตอน ขนุ ชางถวายฎีกามีบทบาท
ตอนท่ีขุนช้างทราบว่านางวันทองหายไปจากเรือน ขุนช้างท้ังรักและแค้นจึงประณามนางวันทอง แตกตา งกนั ใหน กั เรยี นเลอื กตวั ละคร
ดงั ความวา่ มา 1 ตัว แลว อภิปรายวาพฤตกิ รรม
ของตัวละครน้นั ๆ สง ผลตอการ
ครานัน้ ขนุ ชา้ งฟงั บ่าวบอก เหงอื่ ออกโซมล้านกบาลใส ดําเนนิ เรื่องอยางไร
คดิ คิดให้แค้นแสนเจ็บใจ ชา่ งทา� ได้ตา่ งต่างทุกอยา่ งจรงิ
สองหนสามหนกน่ แต่หนี พล้งั ทลี งไม่รอดนางยอดหญิง (แนวตอบ ตวั อยา งเชน พลายงาม
คราวนนั้ อา้ ยขุนแผนมนั แง้นชิง นี่คราวน้ีหนีว่ิงไปตามใคร มีปมในใจท่ตี องจากแมต ั้งแตยงั เลก็
ไมค่ ดิ ว่าจะเป็นเห็นวา่ แก่ ยงั สาระแนหลบลหี้ นไี ปไหน เมอ่ื สบโอกาสจงึ คิดพานางวนั ทองมา
อยดู ว ย แตด ว ยความเกลียดชงั ขนุ -
เอาเถดิ เป็นไรก็เป็นไป ไม่เอากลบั มาได้มใิ ชก่ ู ชา งและนสิ ัยใจรอ นหุนหนั จงึ ใชวิธี
ขนึ้ บา นขนุ ชา งลกั พานางวนั ทอง
เปน เหตุใหขุนชา งถวายฎีกาตอ
พระพันวษาเพอ่ื เอานางวันทองคืน)

(๔) ขุนแผน เป็นผู้เก่งกล้าในวิชาอาคม มีความกล้าหาญและจงรักภักดีต่อ นักเรียนควรรู
พระมหากษตั รยิ ์ แตข่ นุ แผนกเ็ ปน็ ชายเจา้ ชมู้ ภี รรยาหลายคน จากตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า เหน็ ไดว้ า่
ทั้งที่นางแก้วกิริยากับนางลาวทองอยู่ด้วย ขุนแผนก็ยังลอบเข้าห้องหานางวันทอง โดยไม่ค�านึง กน เปนคําโบราณ หมายถึง
ถึงผลท่ีจะตามมาภายหลัง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าขุนแผนมักท�าอะไรตามใจตนเอง ต้งั หนา มงุ ปรากฏในวรรณคดีไทย
ดงั บทประพนั ธ์ เร่ืองอืน่ เชน มหาชาติคําหลวง ทาน-
กัณฑ ความวา “อยเู ยน็ ยงงกน
นางแกว้ ลาวทองทงั้ สองหลบั ขุนแผนกลับผวาต่ืนฟื้นจากท่ี เกอดพิจลการ” และอกี ความหมาย
พระจนั ทรจรแจ่มกระจ่างดี พระพายพัดมาลีตลบไป หนงึ่ หมายถึง ขุดโคน สวนคาํ วา
คดิ คะนงึ ถงึ มิตรแตก่ ่อนเกา่ นิจจาเจา้ เหินห่างร้างพิสมยั “กนแต” หมายถงึ เฝาแต มวั แต
ถงึ สองคร้ังตง้ั แต่พรากจากพไ่ี ป ดงั เด็ดใจจากร่างก็ราวกนั
กกู ็ชวั่ มัวรกั แตส่ องนาง ละวางใหว้ นั ทองน้องโศกศลั ย์
เมื่อตไี ด้เชยี งใหม่ก็โปรดครนั จะเพด็ ทลู คราวน้นั ก็คล่องใจ
สารพดั ทีจ่ ะวา่ ไดท้ ุกอยา่ ง อา้ ยขุนช้างไหนจะโตจ้ ะตอบได้
ไม่ควรเลยเฉยมาไม่อาลยั บัดนเี้ ล่าเจา้ ไวยไปรับมา
จา� กจู ะไปสสู่ วาทน้อง เจา้ วนั ทองจะคอยละหอ้ ยหา
คิดพลางจดั แจงแตง่ กายา นา้� อบทาหอมฟุง้ จรงุ ใจ
ออกจากหอ้ งยอ่ งเดนิ ดา� เนินมา ถึงเรือนลูกยาหาช้าไม่
เข้าหอ้ งวนั ทองในทนั ใด เหน็ นางหลบั ใหลน่งิ นทิ รา

43

คมู ือครู 43


Click to View FlipBook Version