กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)
นกั เรยี นแบง กลมุ รวมกันวิเคราะห พิพากษาคดีจนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย วันหน่ึงวัสสการพราหมณ์จึงออกอุบายยุยงบรรดา
คณุ ธรรมของตวั ละคร ตอไปนี้ พระโอรส จนในท่สี ดุ ตา่ งกข็ ดั เคอื งและไมพ่ อใจซึง่ กนั และกนั หลังจากเวลาผ่านไป ๓ ป ี วัสสการ-
พราหมณ์ประเมินสถานการณ์ว่ากษัตริย์ลิจฉวีทุกพระองค์แตกสามัคคีกันแล้ว จึงแจ้งข่าวให้
• พระเจาอชาตศตั รู พระเจา้ อชาตศัตรูยกทพั มาตีแคว้นวัชชี ซึ่งก็สามารถยึดไดอ้ ยา่ งงา่ ยดาย
• กษตั รยิ ลจิ ฉวี
• วัสสการพราหมณ ๒.๓) ตัวละคร ในเรือ่ งสามัคคเี ภทค�าฉันท ์ มตี ัวละครท่ีมบี ทบาทสา� คญั ดังนี ้
• พระโอรสของกษตั รยิ ลจิ ฉวี (๑) พระเจา้ อชาตศตั ร ู เปน็ กษตั รยิ ท์ มี่ พี ระปรชี าสามารถในการปกครองบา้ นเมอื ง
ตวั ละครแตล ะตัวในเรอ่ื งสามคั ค-ี ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ทรงมีความรอบคอบและฉลาดหลักแหลม เม่ือจะทรงแผ่พระบรม-
เภทคําฉันท มคี ุณธรรมใดหรอื ขาด เดชานุภาพยกทัพไปตีเมืองลิจฉวี กท็ รงหากลอุบายตัดทอนกา� ลังของกษัตรยิ ์ลจิ ฉวี เพ่อื มใิ ห้เสยี
คณุ ธรรมใด เลอื ดเน้อื ไพรพ่ ลเป็นจ�านวนมาก ดังบทประพันธ์
(แนวตอบ ตัวอยา งเชน พระเจา
อชาตศตั รปู กครองดวยหลกั ๏ ศึกใหญใ่ คร่จะพยายาม รบเรา้ เอาตาม
ทศพิธราชธรรม ในขณะทก่ี ษตั ริย ก�าลงั กห็ นกั นกั หนา รอกอ่ นผอ่ นหา
ลจิ ฉวีเคยอยูใ นอปรหิ านิยธรรม 7
แตต อมาขาดหลักธรรมนี้ ทําใหเ กดิ ๏ จ�าจกั หักดว้ ยปัญญา
ความแตกแยก เปน ตน )
อุบายทา� ลายมลู ความ
ขยายความเขาใจ (๒) วสั สการพราหมณ ์ มีความจงรักภกั ดีตอ่ พระเจา้ อชาตศัตรู เปน็ ผู้ท่ีมคี วาม
รักชาตบิ ้านเมืองของตนอยา่ งแรงกล้า ยอมเสยี สละทุกอย่างเพ่ือชาตบิ ้านเมือง แมจ้ ะต้องรับพระ-
ใหนักเรยี นเลือกฉนั ทท ่ีประทบั ใจ ราชอาชญาด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัส ดงั บทประพนั ธ์
พรอมอธิบายลลี าของฉันทน้นั ๆ วา
ควรใชกับเนอื้ หาแบบใด ๏ ไปเ่ ห็นกะเจ็บแสบ ชวิ แทบจะท�าลาย
มอบสัตย์สมรรถหมาย มนม่ันมิหว่นั ไหว
(แนวตอบ นักเรยี นสามารถ ผถิ วิลสะดวกใด
ยกตวั อยางไดห ลากหลายตาม ๏ หวงั แผน ณ แผ่นดิน
ความประทบั ใจ เชน บ มิเลย่ี งจะเบย่ี งเบือน
เก้ือกจิ สฤษฏ์ไป
“บงเนื้อกเ็ นอ้ื เตน
พศิ เสน สรรี ร วั (๓) กษัตริย์ลิจฉว ี เปน็ กษตั ริยท์ ี่เคยตั้งมนั่ อยใู่ นอปริหานิยธรรม ๗ อันหมายถงึ
ทวั่ รางและทั้งตวั ธรรมแห่งความเจรญิ ของหมคู่ ณะ แตภ่ ายหลงั ตา่ งกท็ รงขาดวจิ ารณญาณ เมอื่ บรรดาพระโอรสทลู
ก็ระรกิ ระริวไหว” เรอื่ งราวทว่ี สั สการพราหมณย์ แุ หยก่ ท็ รงเชอื่ มที ฐิ มิ านะจนเกนิ เหต ุ ไมย่ อมหนั หนา้ เขา้ ปรกึ ษาหารอื
บทประพันธน ใี้ ชอินทรวเิ ชยี รฉันท กนั ขาดความสามัคคปี รองดอง ดงั บทประพนั ธ์
ทีม่ ีลลี าสละสลวย นุมนวล ใชกบั
เนือ้ ความทตี่ องการใหผ ูอานเกดิ
ความรูสกึ สงสาร และเศราโศกใน
ชะตากรรมของวัสสการพราหมณ)
144
144 คูมอื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
๏ ตา่ งทรงส�าแดง ความแขงอ�านาจ อธิบายความรู
สามคั คีขาด แก่งแยง่ โดยมาน
ภูมศิ ลิจฉวี วัชชีรัฐบาล ใหนกั เรียนชวยกนั วิเคราะห
บ่ ชุมนมุ สมาน แมแ้ ตส่ กั องค์ ๚ เกย่ี วกับฉากและบรรยากาศใน
สามัคคีเภทคําฉนั ท
๒.๔) ฉากและบรรยากาศ กวีจินตนาการฉากและบรรยากาศ โดยเลือกใช้ค�าอย่าง
พถิ พี ถิ นั และเลอื กประเภทฉนั ทไ์ ดเ้ หมาะกบั เนอ้ื เรอื่ งในแตล่ ะตอน ทา� ใหก้ ารพรรณนาเหน็ ภาพของ • เหตใุ ดกวีจึงใชฉ ากและ
ฉากและบรรยากาศอนั งดงาม การบรรยายการจดั กระบวนทพั ตอ้ งมีโหรพราหมณ์นมิ ติ ดูฤกษ์ยาม บรรยากาศโดยมีแบบมาจาก
คร้นั เหน็ วา่ เหมาะแก่เวลากท็ �าพิธีตกี ลองเอาฤกษแ์ ละเตรียมทพั ดงั บทประพันธ์ ไทย ทั้งๆ ท่ีเร่ืองราวเกิดข้ึน
ในประเทศอินเดีย
๏ ทมุ่ อินทเภรเี ร่งคง คาบลาถ้วนลง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบ
มโหระทึกครึกโครม สังข์แตรแซ่โหม ไดอยา งหลากหลาย ท้งั นี้ครู
เถลงิ หลังคชาธาร ควรแนะนํานกั เรียนวา ในอดตี
๏ ดุรยิ างค์ดนตรีป่ปี ระโคม ผรู หู นังสอื ยงั ไมมาก ความรู
กระห่ึมสน่ันบรรสาน (ฉากจดั ระบวนทพั ) เกยี่ วกบั ตางประเทศยังไมแ พร
หลาย ดังน้นั การใชฉากและ
๏ ราชามาคธภบู าล บรรยากาศแบบไทยจงึ ทําให
ประเสริญสง่างามทรง ผอู านเขา ใจเรอื่ งและเขา ถงึ
อรรถรสไดดกี วา )
ขยายความเขา ใจ
จากบทประพันธ์จะเห็นภาพการเคลื่อนทัพของพระเจ้าอชาตศัตรู เป็นการเคล่ือนทัพ
ตามขนบประเพณี เหล่าทหารนักรบจะตีกลองเป่าแตรเสียงดังสน่ันหว่ันไหว ท�าให้บรรยากาศ ใหน ักเรยี นพจิ ารณาฉากและ
การเดนิ ทพั เปน็ ไปดว้ ยความฮกึ เหมิ เหน็ ภาพพระเจา้ อชาตศตั รปู ระทบั อยบู่ นหลงั ชา้ งอยา่ งสงา่ งาม บรรยากาศในเนอื้ เรื่องแลวตอบ
นา่ เกรงขาม คําถามในประเดน็ ตอ ไปน้ี
๒.๕) กลวธิ กี ารแตง่ กวเี ลอื กสรรคา� ฉนั ทท์ มี่ ลี ลี าทว่ งทา� นองมาใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั • นักเรยี นเห็นดว ยหรอื ไมทีฉ่ าก
เนอื้ เรื่องแตล่ ะตอน การดา� เนินเรอ่ื งจึงชวนใหน้ ่าติดตาม นอกจากน้กี วียงั มีศิลปะในการนา� ถอ้ ยคา� และบรรยากาศในสามคั คีเภท-
และโวหารมาประกอบ อ่านแล้วเกิดอารมณ์ความรสู้ กึ คลอ้ ยตามถ้อยคา� น�า้ เสียง จังหวะและลีลา คาํ ฉนั ทเ ปน แบบไทย แตเ นอ้ื เรอ่ื ง
บทประพนั ธจ์ นสามารถจนิ ตนาการภาพได้อย่างชดั เจน ดังบทประพันธ์ ตัวละครเปนแบบอินเดยี
(แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบ
๏ ขนุ คชข้นึ คชชินชาญ คมุ พลคชสาร ไดอยางหลากหลายตามความรู
ละตัวกา� แหงแขง็ ขัน เสียงเพรียกเรียกมนั ความเขา ใจของนักเรียน ครู
๏ เคยเศกิ เขา้ ศึกฮกึ ครนั แนะนาํ เสริมวา กวีแตง วรรณคดี
คา� รนประดจุ เดอื ดดาล จะสะทอ นวถิ ชี วี ิตและสภาพ
ความเปน อยขู องสังคมในสมยั
145 นัน้ ๆ)
• จากที่นกั เรียนไดศ ึกษาวรรณคดี
มาแลว มวี รรณคดเี รอ่ื งใดอกี บา ง
ทน่ี กั เรยี นไดศกึ ษาการจดั
กระบวนทพั
(แนวตอบ มหี ลายเรอ่ื ง เชน เร่ือง
รามเกยี รต์ิ เร่อื งลิลิตตะเลงพาย
เปนตน)
คมู ือครู 145
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนักเรยี น 20%)
ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั ๗.๒ คณุ คา่ ด้านวรรณศิลป์
วรรณศิลปใ นสามัคคีเภทคาํ ฉนั ท
๑) การสรรคา� เป็นการเลือกใชค้ า� ทสี่ ่ือความคิดและอารมณไ์ ดอ้ ยา่ งงดงาม ดังน้ี
• ลลี าของฉนั ทม คี วามสาํ คญั ๑.๑) การเลือกใช้ค�าได้ถูกต้องตรงตามความหมายท่ีต้องการ มีการใช้ค�าที่ประณีต
กับเนือ้ หาของเรอ่ื งอยางไร
(แนวตอบ ลลี าของฉันท คือ เปน็ พเิ ศษ เมอื่ กลา่ วถงึ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ ์ิ พระมหากษตั รยิ ์ คร ู อาจารย ์ จะใชค้ า� ศพั ทภ์ าษาบาลสี นั สกฤต
ทว งทํานองเสียงหนกั เบาของ ซึ่งถือวา่ เปน็ ภาษาสูงต้องแปลความทุกค�า เชน่ ในบทประณามพจน์ ท�าใหถ้ อ้ ยคา� เกดิ ความขลงั
คาํ ครุ ลหทุ แ่ี ตกตางกันในฉันท และศักดิ์สทิ ธ ์ิ ดังบทประพนั ธ์
แตล ะชนิด ลีลาของฉันทเ ม่อื ใช
กบั เน้อื ความทสี่ อดคลองกนั ๏ พร้อมเบญจางคประดิษฐส์ ฤษฎสิ ดดุ ี ทวาร
แลวจะยิ่งสง เสริมใหผ ูอา น กายจติ วจไี ตร มนุ ี
เกิดอารมณค ลอยตามและ ๏ ไหว้คุณองค์พระสคุ ตอนาวรณญาณ ปิฎก
เกดิ สุนทรียะทางอารมณไดงาย ยอดศาสดาจารย์ นกิ ร
เชน วสันตดิลกฉนั ทม ลี ลี าของ
ฉนั ทไพเราะ สละสลวย เย็นชืน่ ๏ อกี คุณสุนทรธรรมคมั ภิรวธิ ี
เหมอื นน้าํ ฝนจงึ ใชพ รรณนา พุทธพจน์ประชมุ ตรี
ความงาม บทชมตางๆ อีทสิ ัง- ๏ ทง้ั คณุ สงฆพิสุทธศาสนดิลก
ฉันทเปน ฉนั ทที่มีลีลากระชน้ั สมั พทุ ธสาวก
กระแทกกระทนั้ ใชก บั เน้อื ความ
แสดงอารมณโ กรธ เปน ตน ) ๑.๒) การเลือกใชศ้ พั ทเ์ หมาะแกเ่ นอ้ื เร่ืองและฐานะของบุคคลในเร่อื ง เชน่
ขยายความเขาใจ ๏ พระราชบุตรลจิ ฉวมิ ติ รจิตเมนิ
ณ กนั และกันเหิน
1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท่มี ีการ คณะห่างกต็ ่างถือ
ใชถ อยคําหรอื โวหารทีน่ กั เรียน ๏ ทะนงชนกตน
ประทับใจมาคนละ 1 - 2 บท ก็หาญกระเหิมฮือ พลล้นเถลงิ ลอื
(แนวตอบ อุปมาโวหาร เชน มนฮกึ บ นกึ ขาม
“เคยเศิกเขา ศกึ ฮกึ ครัน
เสียงเพรยี กเรียกมนั จากบทประพนั ธก์ วเี ลอื กใชค้ า� ไดเ้ หมาะแกเ่ นอ้ื เรอ่ื งและฐานะของบคุ คล ซง่ึ เปน็ โอรสของ
คาํ รนประดจุ เดอื ดดาล”) กษัตรยิ ล์ ิจฉวี ไดแ้ ก ่ ค�าว่า พระราชบตุ ร ชนก และใชค้ �าว่า มน หมายถงึ ใจ ใช้ในบทประพนั ธ์
2. ใหนกั เรยี นวเิ คราะหว าถอ ยคํา ๑.๓) การเลือกใช้เลือกค�าโดยค�านึงถึงเสียง กวีได้ดัดแปลงฉันท์บางชนิดให้มีความ
หรือโวหารน้ันๆ ชวยสรางอารมณ แตกตา่ งไปจากเดมิ ทา� ใหม้ คี วามไพเราะมากขน้ึ สามคั คเี ภทคา� ฉนั ทม์ กี ารใชค้ า� ทมี่ เี สยี งเสนาะ ดงั นี้
ความรสู ึกอยา งไร (๑) การใชค้ า� ทเี่ ลน่ เสยี งหนกั เบา ในบทรอ้ ยกรองประเภทฉนั ท ์ กา� หนดเสยี งหนกั
(แนวตอบ ถอ ยคําทีก่ วีเลอื กสรร เบา (คา� ครแุ ละคา� ลห)ุ ไวแ้ นน่ อนเปน็ แบบแผนทย่ี ดึ ถอื กนั ถา้ อา่ นเปน็ ทา� นองเสนาะ กจ็ ะทา� ใหร้ สู้ กึ
นาํ มาใช ประกอบกับความ ถงึ รสไพเราะของเนอ้ื ความได ้ ดังตัวอยา่ ง
สอดคลองของลีลาฉนั ทแ ลว
จะชวยใหผูอ า นเกดิ อารมณค ลอย 146
ตามไปไดง ายข้ึน ทําใหผอู าน
เขา ใจความรูสึกของตัวละครได เกร็ดแนะครู
เชน การใชค าํ ดดุ นั ในอที ิสังฉนั ทท่ี
มลี ีลากระชัน้ กระแทกเหมาะกับ ครูเพิ่มเติมความรูใ หนกั เรียนเกยี่ วกับการใชค ําศพั ทใหเหมาะสมกับระดบั บคุ คลถือเปน
เนอ้ื ความแสดงอารมณโกรธ) ลักษณะเฉพาะท่ีโดดเดนของสงั คมไทย สะทอนใหเห็นวฒั นธรรมการยกยองบคุ คลตามระดบั
“เอออเุ หมนะมึงชิชางกระไร ความอาวโุ ส ฐานันดร และศักดิ์ เชน กษตั ริย พระสงฆ ครอู าจารย พอแม ญาติผูใหญ
ททุ าสสถุลฉะนไ้ี ฉน กม็ าเปน” เปน การแสดงออกถงึ ความเคารพยกยอ ง ใหเ กยี รติ และมีสัมมาคารวะ
เปน ตน)
146 คูม ือครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
อธิบายความรู
๏ ชะรอยว่าทชิ าจารย์ ธ คดิ อา่ นกะท่านเป็น การแตงคาํ ประพนั ธป ระเภทฉันท
รหสั เหตุประเภทเหน็ ละแน่ชดั ถนัดความ ของไทยมลี กั ษณะแตกตางจากฉนั ท
มิกลา้ อาจจะบอกตาม ของอนิ เดีย โดยไดป รับปรุงเปล่ียน-
๏ และท่านมามสุ าวาท ไถลแสร้งแถลงสาร แปลงใหส อดคลองกับลกั ษณะนิยม
พจีจริงพยายาม ในคาํ ประพันธไ ทย
(๒) การเลน่ เสยี งสมั ผสั ในฉนั ทข์ องนายชติ บรุ ทตั มที งั้ สมั ผสั นอกและสมั ผสั ใน • ฉันทต ามความนยิ มของไทย
โดยเฉพาะสมั ผสั ในมที ง้ั สมั ผสั สระและสมั ผสั พยญั ชนะแพรวพราว คลา้ ยกบั ความไพเราะของกลอน เปน อยางไร และใหค วามสาํ คัญ
เชน่ กับเสียงสมั ผัสหรอื ไม อยางไร
(แนวตอบ ตามคมั ภรี ว ุตโตทัยที่
๏ เขาแสนสมเพช สงั เกตอาการ ไทยนํามาเปนตําราในการแตง
แหง่ เอกอาจารย์ ท่าทที กุ ข์ทน ฉันท ไมม กี ารบงั คบั ใชส มั ผสั แต
ภายนอกบอกแผล แน่แทท้ ุพพล เม่ือไทยรับฉันทม าใช จึงเพมิ่
เหน็ เหตุสมผล ให้พักอาศยั สมั ผัสระหวางวรรคเพอื่ ให
สมั ผัสรอ ยเรียงเกิดเสียงเสนาะ
ค�าที่สมั ผสั ในวรรค ไดแ้ ก่ แสน - สม, (สงั )เกตุ - (อา)การ, เอก - อา(จารย์), ท่า - ท ี - ตามความนิยมของคนไทย
ทกุ ข์ - ทน, นอก - บอก, แน ่ - แท,้ แท ้ - ทพุ (พล), เห็น - เหตุ ซง่ึ สามคั คีเภทคําฉันทม ีความ
(๓) การเล่นสมั ผสั ชดุ คา� และชุดเสียง เชน่ โดดเดน ดา นการใชส มั ผสั ใน
อยา งแพรวพราว ทั้งสัมผสั สระ
๏ เปรียบปานมหรรณพนที ทะนทุ ป่ี ระทังความ และสัมผสั อักษร แสดงใหเ หน็
รอ้ นกายกระหายอทุ กยาม นรหากประสบเหน็ ความสามารถของกวใี นการ
๏ เอบิ อม่ิ กระหย่ิมหทยคราว ระอผุ า่ วกผ็ อ่ นเยน็ สรรคําใหถูกตองตามครุ ลหุ
ยังอุณหมุญจนะและเปน็ สขุ ปตี ิดใี จ แลว ยังสรรคําทคี่ ลองจอง
ภยมจี ะร้อนใด เกิดเสยี งสัมผัสรอยเรียงได
๏ อนั ขา้ พระองคก์ ษณะน้ี จะเสมอเสมอื นตน อยา งเสนาะหูดว ย)
ย่ิงกว่าและหามนุษยไ์ หน ขยายความเขา ใจ
มกี ารเลน่ เสยี งสมั ผัสชุดค�า ได้แก ่ เอิบ - อ่มิ , เสมอ - เสมือน ใหนกั เรียนแสดงความคิดเหน็
• การเลือกใชคําโดยคํานงึ ถงึ เสียง
๏ โอภาสอาภรณ์อัครภัณฑ ์ คชลกั ษณ์ปลิ ันธน์ มีความสําคัญอยา งไรตอ การ
เสพวรรณคดปี ระเภทคําฉันท
กเ็ ลิศก็ลา�้ ลา� ยอง (แนวตอบ ในอดตี คนไทยเสพ
วรรณคดีผา นการฟง มากกวา
๏ แพรว้ แพร้วพรายพรายขา่ ยกรอง ก่องสกาวดาวทอง การอาน การประพันธทีเ่ ลอื ก
ทัง้ พ่สู ุพรรณสรรถกล
ใชค ําโดยคาํ นงึ ถงึ เสยี งจงึ ถือวา
147 มีความสําคัญตอ การรบั รส
วรรณคดี ซึ่งฉนั ทม ีลักษณะเดน
ที่เสยี งครุ ลหุ เมื่ออานออกเสียง
สามารถออกเสยี งตามจงั หวะ
หนกั เบาและคําสัมผัสไดด กี วาฉนั ทลกั ษณป ระเภทอื่น ซง่ึ การออกเสียง
นกั เรยี นควรรู หนกั เบาของคําครุ ลหนุ ัน้ สามารถชว ยใหผฟู งเกดิ อารมณค ลอ ยตามไดง า ย
เชน อที ิสังฉันทใ ชเ สียงครุ ลหสุ ลบั กันเหมือนเสียงลมหายใจส้นั กระชน้ั ของ
สมั ผัสสระและสมั ผัสพยญั ชนะ แมส ัมผัสพยญั ชนะหรืออักษรเมือ่ อาน คนกําลงั โกรธ จงึ นํามาใชในเนอ้ื ความแสดงอารมณโกรธเกรย้ี วได รวมท้ัง
แลว จะเกิดการสัมผัสเปนเสยี งชะงกั ไมลื่นไหลเทา การสมั ผสั สระ แตการ การใชคาํ ที่มเี สยี งสัมผสั เก่ยี วรอ ยตอ เนื่องจะชว ยทําใหบทประพันธ
เลน เสียงสัมผสั อกั ษรเปนเคร่อื งชว ยแบงจังหวะ เนนคาํ เนน นา้ํ หนกั ของ มีทาํ นองไพเราะ นาฟง ไมส ะดดุ อารมณ)
เสยี งและคาํ ไดอยางดเี ปน ลักษณะนยิ มทส่ี ําคัญของคําประพนั ธไทย
คมู ือครู 147
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)
ใหนักเรียนอธบิ ายการใชกลบท มีการเล่นสมั ผสั ชุดเสยี งคล้ายกลบท คอื โอภาส - อาภรณ ์ - อคั รภณั ฑ์, แพร้ว -
ในคาํ ประพนั ธป ระเภทฉันท แพร้ว, พราย - พราย
(๔) มกี ารซ�า้ ค�า เชน่
(แนวตอบ กลบท คือ ลักษณะบังคบั
ท่กี ําหนดเพม่ิ มากกวาฉันทลกั ษณ ๏ บางคนกมลอ่อน อรุ ะข้อนพไิ รพรรณน์
ปกติ ในรปู แบบตางๆ เพ่อื ใหเ กิด บางพวกพสิ ัยฉนั กุธเกลยี ดกเ็ สียดสี
เสยี งสมั ผสั ของคาํ หรือการเรยี งเสยี ง พเิ คราะหข์ ้างพิจารณ์ดี
ท่เี ปนระเบียบสมาํ่ เสมอ ซง่ึ มชี นั้ เชงิ ๏ บางเหล่ากเ็ ป็นกลาง ณ หทัยก็ใหข้ อง
ขน้ั สูงและมีช่ือเรียกตางๆ กัน เชน บางหมูก่ รุณม ี
กลบทกบเตน ตอ ยหอย กลบท
จตรุ งคนายก)
การซา้� คา� ว่า บาง ในบทประพันธ์ เพื่อเน้นความหมายใหม้ ีความเดน่ ชดั ได้แก ่
ค�าว่า บางคน บางพวก บางเหล่า และบางหมู่
๒) การใชโ้ วหาร สามคั คเี ภทคา� ฉนั ทม์ คี วามไพเราะงดงามอนั เกดิ จากสารทกี่ วใี ชศ้ ลิ ปะใน
การถ่ายทอดความหมายของเนอื้ หา โดยการใช้สา� นวนโวหาร และการใช้ภาพพจน์ เพือ่ ให้ผ้อู า่ น
จนิ ตนาการเห็นภาพชดั เจน เขา้ ใจและเกิดอารมณ์คลอ้ ยตาม ดงั นี้
๒.๑) บรรยายโวหาร ใชค้ า� ให้เห็นภาพชัดเจนตามลา� ดบั เหตุการณ์ รวดเรว็ ไม่เยิน่ เยอ้
เขา้ ใจง่าย เช่น
๏ ข่าวเศกิ เอกิ องึ ทราบถึงบัดดล
ในหมผู่ ู้คน ชาวเวสาลี
แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี
อกส่ันขวญั หน ี หวาดกลวั ทวั่ ไป
๏ ตื่นตาหนา้ เผือด หมดเลอื ดส่ันกาย
หลบลห้ี นตี าย วนุ่ หวัน่ พร่นั ใจ
ซกุ ครอกซอกครวั ซอ่ นตวั แตกภยั
เขา้ ดงพงไพร ท้ิงยา่ นบ้านตน
๒.๒) พรรณนาโวหาร เป็นการสรา้ งมโนภาพใหผ้ อู้ ่านเกิดภาพขึน้ ในใจ หรือมองเห็น
ภาพบรรยากาศตามที่กวีต้องการ เช่น ตอนที่กวีพรรณนาชมความงามของม้าศึกท่ีมีความโอ่อ่า
นา่ ชม
148
148 คูมอื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
อธบิ ายความรู
ใหน กั เรียนอธิบายการใชโวหาร
ตา งๆ พรอมยกตัวอยา งบทประพันธ
๏ สกี ายฝ้ายแซมแกมขน ด�าบ้างดา่ งปน ทีม่ ีการใชโวหารประกอบ และอธบิ าย
กระเลยี วเหลา่ เหลืองแดงพรรณ ตาบหน้าพรา่ วรร วาโวหารมีความสาํ คัญตอ การดําเนิน
๏ โสภาอศั วาภรณ์สรรพ ์ ขลมุ สวมกรวมสี เรื่องอยา งไร
ณเดน่ ด�ากลกาญจนม์ ณี (แนวตอบ เชน
๏ ยาบยอ้ ยห้อยพดู่ ูด ี “ลกู ขา งประดาทา รกกาลขวา งไป
สะคาดกนกแนมเกลา หมนุ เลน สนกุ ไฉน ดจุ กนั ฉะนน้ั หนอ”
๒.๓) อุปมาโวหาร เป็นการกล่าวเปรียบเทียบเพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นภาพชัดเจน บทประพนั ธนี้เปน อุปมาโวหาร
ยง่ิ ขนึ้ เปรยี บเทยี บใหเ ห็นวา กษตั ริยล ิจฉวี
กําลงั ถกู ปน ความคดิ ใหหมนุ ไปตาม
กระแสทพ่ี ระโอรสถกู ยยุ งจาก
๏ กลกะกากะหวาดขมังธนู วัสสการพราหมณ วา เหมือนลูกขา ง
บห่ อ่ นจะเห็นธวชั รปิ ู สิลา่ ถอย ท่หี มนุ ไปตามแรงเหว่ียงของเด็ก
กล หมายความวา่ เปรียบ เหมือน จากบทประพนั ธ์เป็นการเปรียบเทยี บว่า เหมือน หรอื กลา วไดว า เปน ของเลน ให
อกี าทีก่ ลัวธนขู องนายพราน คอื ยังไมเ่ หน็ ธงของข้าศกึ กก็ ลัวตายรบี ถอยทพั วัสสการพราหมณปนหัว)
๏ ดง่ั อินทโคปกะผวา มหุ ฝา่ ณ กองไฟ ขยายความเขาใจ
หิง่ ห้อยสแิ ขง่ สุริยะไหน จะมนิ า่ ชวิ าลาญ
1. ใหน กั เรยี นยกตวั อยางบทประพันธ
ทีม่ ีการใชอ ปุ มาโวหาร โดยระบุ
เปรยี บเทยี บทหารแหง่ แควน้ มคธ เหมอื นแมลงเมา่ บนิ เขา้ กองไฟ และแควน้ มคธเหมอื น ขอ สงั เกตวา เปน อปุ มาโวหารให
หิง่ หอ้ ยย่อมแขง่ แสงดวงอาทติ ย ์ อนั หมายถงึ แควน้ วชั ชมี ิได้ ชดั เจน
๏ ลกู ข่างประดาทา รกกาลขวา้ งไป (แนวตอบ ตวั อยา งเชน
“ลกู ขา งประดาทา รกกาลขวา งไป
หมุนเล่นสนกุ ไฉน ดจุ กนั ฉะนนั้ หนอ หมนุ เลน สนกุ ไฉน ดจุ กนั ฉะนนั้ หนอ”
เปรียบเทียบว่ากษัตริย์ลิจฉวีเช่ือค�าโอรสโดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองก่อน เหมือน มคี าํ วา “ดจุ ” แสดงการ
ลูกขา่ งท่ีบรรดาเดก็ ทารกขว้างหมนุ ไปตามแรงเหวยี่ ง เปรียบเทยี บ)
๓) ลลี าการประพนั ธ ์ สามัคคีเภทค�าฉันท์ในตอนท่ีตัดมามีลีลาการประพันธ์ที่เด่นชัด 2. นักเรียนแสดงความคิดเห็นตอ
ประเด็นทางสังคมในอดตี
ดังน้ี • การลงโทษในสมัยโบราณมี
๓.๑) พโิ รธวาทงั บทแสดงความโกรธเกรย้ี วของพระเจา้ อชาตศตั รทู แ่ี สรง้ โกรธวสั สการ-
ความรุนแรงหรอื ไม อยางไร
พราหมณ์อยา่ งรนุ แรง ท�าให้เกดิ ความสมจรงิ (แนวตอบ การลงโทษในสมยั กอ น
มีความรุนแรงตามความผิด
149 มีการเฆยี่ นตจี นถงึ ประหารชีวติ
ครูเสรมิ เพ่ิมเตมิ เกย่ี วกับการ
ปกครองในสมัยกอ นอยา ง
สังเขป)
• ถานักเรยี นเปนประชาชนแหงแควน วัชชีท่ีเคยอยกู นั อยาง
ปกตสิ ขุ มีความเจรญิ รุง เรอื ง ภายหลังไดร บั ความเดือดรอ น
จากการแตกความสามัคคี นกั เรยี นจะทําอยางไร
(แนวตอบ นกั เรยี นตอบไดหลากหลายขึ้นอยกู ับเหตผุ ลและ
ประสบการณข องนกั เรียน)
คมู ือครู 149
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)
นักเรียนรว มกันอภปิ รายแสดง ๏ ท้าวกท็ รงแสดงพระองค ์ ธ ปาน
ความคดิ เห็น
ประหน่งึ พระราชหทัยลุดาล พโิ รธจงึ
• การใชลลี าการประพนั ธใน
สามัคคเี ภทคาํ ฉันทส ง ผล ๏ ผนั พระกายกระทืบพระบาทและองึ
ตอการดําเนนิ เรือ่ งอยางไร
(แนวตอบ ทําใหเน้ือเรอื่ ง พระศัพทสีหนาทพึง สยองภัย
นา ตดิ ตาม ลลี าการประพนั ธ
ชวยใหเ ขาถึงอารมณค วามรูส ึก ๏ เอออุเหมน่ ะมงึ ชชิ า่ งกระไร
ของตวั ละครแตละตัวไดดี
ดังเหน็ ไดจากตอนทพี่ ระเจา - ททุ าสสถลุ ฉะน้ีไฉน กม็ าเปน็
อชาตศตั รูวางแผนแสรงพิโรธ
ตอ วา วัสสการพราหมณ ๓.๒) สลั ลาปังคพสิ ยั บทแสดงความเศร้าโศกเสยี ใจ เมื่อวัสสการพราหมณถ์ กู ทา� โทษ
สงผลใหแผนการของพระเจา- ดังบทประพนั ธ์
อชาตศตั รดู าํ เนนิ ไปได)
๏ หมญู่ าตอิ มาตยม์ ิต รสนทิ และเสนา
ขยายความเขา ใจ สังเวช ณ เหตสุ า หสล้วนสลดใจ
๏ สุดทจี่ ะกลั้นโท มนโศกอาลัย
ใหน กั เรยี นจับคูกนั ยกบทประพันธ ถ้วนหนา้ มวิ า่ ใคร ขณะเหน็ บ เวน้ คน
ทปี่ รากฏการใชลลี าการประพนั ธ
กระบวนใดกระบวนหน่งึ นอกเหนอื ๗.๓ คุณคา่ ดา้ นสงั คม
จากบทเรยี น หนา 150
๑) สะทอ้ นวฒั นธรรมของคนในสงั คม ดังนี้
(แนวตอบ ตัวอยางเชน ลลี า- ๑.๑) สะทอ้ นภาพการปกครองโดยระบอบสามคั คธี รรม และการประพฤตติ ามหลกั ธรรม
การประพันธเสาวรจนี ตอนท่ี
พระเจา อชาตศัตรูจัดกระบวนทพั ๗ ประการ (อปรหิ านยิ ธรรม) ดั่งความวา่
ทาํ ใหเ หน็ ความสงางามในการ
ทรงชา งของกษตั ริยผูนาํ ทพั ๏ ว่ากษัตรยิ ว์ ชั ชีบรรดา บดสี ีมา
ดงั ความวา เกษตรประเทศทกุ องค์ ทงั้ น้ันม่ันคง
“ราชามคธภบู าล เถลงิ หลงั คชาธาร ๏ อปริหานิยธรรมธา� รง ใช่เหตุแห่งหานิย์
ประเสริฐสงา งามทรง”) มโิ กรธมกิ รา้ วร้าวฉาน
๏ เพอ่ื ธรรมด�าเนนิ เจรญิ การณ์
เจ็ดข้อจะคัดจดั ไข
จากบทประพันธ์หลักธรรมที่ส่งผลให้เกิดความเจริญของหมู่คณะฝ่ายเดียว ไม่มีความ
เสอื่ มเลย ไดแ้ ก่
๑. เมือ่ มีภารกิจก็ประชุมปรึกษาหารอื กนั โดยไมเ่ บ่ือหนา่ ยการประชมุ
๒. เข้าประชุมพรอ้ มกนั เลิกประชมุ พร้อมกัน รว่ มกันประกอบกจิ อนั ควรกระทา�
150
150 คมู ือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand
Engage Explore Explain Evaluate
๓. ยดึ มนั่ ในจารตี ประเพณอี ันดีงาม ประพฤติดีปฏิบัตติ ามโดยไม่ดดั แปลง ขยายความเขาใจ
๔. เมอื่ ผ้ใู หญ่ใหโ้ อวาทสง่ั สอน ผูน้ อ้ ยยอมปฏิบตั ติ ามด้วยความเคารพ
๕. ไม่ท�ารา้ ยข่มเหงบตุ รและภรรยาผอู้ น่ื 1. นกั เรยี นแตล ะกลมุ นาํ เรอื่ งหลกั การ
๖. ไ ม่ลบหลู่ดูแคลนเจดียสถานที่คนเคารพสักการะและท�าพิธีบวงสรวงตาม ปกครองโดยระบอบสามัคคธี รรม
หรือการใชอปรหิ านยิ ธรรมวา
ประเพณี ยังปรากฏอยูใ นสังคมหรอื ไม
๗. ให้ความคุ้มครองปอ้ งกันพระอรหนั ต์ในแควน้ วชั ชี และยกตัวอยา งประกอบใหเหน็
เปนรูปธรรม โดยนกั เรยี นอาจ
๑.๒) สะท้อนภาพการพิพากษาคดีและการลงโทษ การลงโทษสมัยโบราณ มีการโบย ยกตัวอยางชุมชน ครอบครวั
การโกนผมประจาน และการประกาศขบั ไลต่ ามพระราชโองการ (เนรเทศ) ดังตัวอย่าง กลุม ทางสังคมที่ใชก ารปกครอง
ระบอบสามคั คธี รรม แลว นาํ เสนอ
๏ เสอ่ื มสีสะผมเผา้ สิริเปลา่ ประจานตัว หนาชน้ั เรียน
เป็นเย่ยี งประหยดั กลวั ผิมลกั จะหลาบจ�า
ปนพลนั ประกาศทา� 2. นกั เรยี นนําความรูเ กย่ี วกับ
๏ เสร็จกิจประการกลั ดจุ ราชโองการ สามัคคีธรรมมาตอบคาํ ถาม
ปัพพาชนียกรรม ในประดน็ ตอไปนี้
• เหตใุ ดเหลากษัตริยล จิ ฉวที เี่ คย
๒) สะท้อนแนวคิดของคนในสังคม สามัคคีเภทค�าฉันท์ได้สะท้อนให้เห็นสภาพ มีความสามัคครี กั ใครปรองดอง
สังคมว่า จะตอ้ งมคี วามสามัคคีจึงจะอยู่รอดได ้ เมื่อใดกต็ ามทค่ี วามเป็นปึกแผน่ ความเป็นอนั หนึง่ กนั จงึ แตกความสามัคคี
อันเดียวกันของคนในชาติถูกท�าลาย เม่ือน้ันบ้านเมืองก็จะระส�่าระสาย ขาดความเป็นเอกภาพ (แนวตอบ เพราะขาดความ
ต่างคนต่างหวาดระแวงกัน ขาดความไว้ใจกัน ท�าให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสโจมตีได้ง่าย นับว่า ไวว างใจกัน เชอื่ คําพูดท่ี
เป็นอุทาหรณ์ท่ีผู้อ่านต้องน�าไปเป็นเคร่ืองเตือนใจว่า การคบคนและการไว้วางใจบุคคลอ่ืนนั้น พระโอรสคาดเดาเอาเอง โดย
ตอ้ งใชว้ จิ ารณญาณไตรต่ รองใหร้ อบคอบ มฉิ ะนนั้ จะนา� ผลรา้ ยมาสตู่ นไดเ้ หมอื นบรรดากษตั รยิ ล์ จิ ฉวี ไมพ จิ ารณาไตรตรองใหถ ีถ่ วน
แห่งแคว้นวัชชีท่ีมิได้ทรงไตร่ตรองเหตุผลให้รอบคอบ ทรงหลงกลศัตรูรับวัสสการพราหมณ์ไว้ แลว คลางแคลงใจกนั ไมเชื่อใจ
จนเป็นเหตุใหเ้ สียแควน้ วชั ชใี นทีส่ ุด ดงั บทประพันธ์ กัน และเมอื่ เกดิ ปญหาความ
ไมเ ขาใจกัน ไมนําเรือ่ งนน้ั มา
๏ ดง่ั นั้น ณ หม่ใู ด ผ ิ บ ไรส้ มคั รมี ปรกึ ษาหารือกันดังทีเ่ คยปฏิบัติ
พรอ้ มเพรียงนพิ ัทธน์ ี รวิวาทระแวงกนั ตามหลกั อปรหิ านิยธรรม
๏ หวังเทอญมติ ้องสง สยคงประสบพลัน ผลสุดทายก็นาํ ไปสกู ารแตก
ซงึ่ สุขเกษมสันต์ หิตะกอบทวีการ ความสามคั คีกนั )
๏ ใครเล่าจะสามารถ มนอาจระรานหาญ
หักลา้ ง บ แหลกลาญ กเ็ พราะพรอ้ มเพราะเพรยี งกัน 3. ครแู ละนักเรยี นรวมกันสรุปความรู
๏ ป่วยกลา่ วอะไรฝงู นรสูงประเสริฐครัน เร่ืองความสามคั คีในสงั คม
สรรพสัตวอ์ นั เฉพาะมชี วี ีครอง
เกร็ดแนะครู
151
ครูช้ีแนะใหนกั เรียนเขาใจวา
ความสามัคคี คือ ความพรอ มเพรยี ง
กนั ทาํ หนาทีข่ องตนเองอยางเต็ม
ความสามารถ มีความเปน เอกภาพ
โดยเฉพาะเมื่อตอ งอยูรวมกนั ใน
สงั คม ความสามคั คจี ะตองเกดิ จาก
คุณธรรมของทกุ คน ตองปรกึ ษา-
หารอื กนั ยอมรบั ฟงความคิดเห็น
ของกันและกนั เพอ่ื นํามาปรับปรุง
แกไข และพัฒนาเร่ืองตา งๆ ไป
ในทางเดียวกัน
คมู อื ครู 151
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand
ตรวจสอบผล (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%)
1. นักเรียนแตละคนอธิบาย ๏ แม้มากผิกิ่งไม้ ผวิ ใครจะใคร่ลอง
ความหมายของคาํ วา “สามัคคี” มัดก�ากระน้นั ปอง พลหกั ก็เต็มทน
ตามความเขา ใจหลังจากท่ีได สละล้ ี ณ หมตู่ น
ศกึ ษาเรอ่ื งจบแลว ๏ เหลา่ ไหนผิไมตร ี บ มพิ ร้อมมเิ พรียงกนั
2. นักเรยี นยกตวั อยา งขอคดิ ทไี่ ดจ าก กจิ ใดจะขวายขวน
เรื่อง อยางนอ ยคนละ 1 ขอ นํามา
แตง เปน นทิ านสน้ั ๆ พรอมเสริม วรรณคดีมรดกเรือ่ งสามัคคเี ภทคา� ฉันท ์ นอกจากเน้อื หาของเรื่องจะใหข้ อ้ คดิ คตเิ ตอื นใจ
ภาพประกอบใหสวยงาม เหมาะสมกบั สถานการณป์ จั จบุ นั แลว้ ยงั ใหค้ ณุ คา่ ในดา้ นการใชถ้ อ้ ยคา� ไดอ้ ยา่ งไพเราะลกึ ซง้ึ การ
พรรณนาทา� ใหเ้ กดิ อารมณ ์ ความรสู้ กึ ตามเนอื้ เรอ่ื ง ลลี าของฉนั ทท์ กุ บทกม็ คี วามไพเราะในตวั เอง
3. นกั เรยี นแสดงความคดิ เห็นวา การใช้ลักษณะฉันท์สอดคล้องกับเนื้อหาทุกบท ถ้าอ่านออกเสียงท�านองเสนาะ จะเกิดเสียง
หากพระเจาอชาตศตั รแู ละเหลา ไพเราะยง่ิ ขนึ้ ทา� ใหจ้ ดจา� เนอื้ หาไดง้ า่ ยขนึ้ ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั ศพั ทภ์ าษาบาลสี นั สกฤตและยงั เปน็
กษัตรยิ ล ิจฉวีทาํ สงครามกันดว ย การอนุรกั ษ์วัฒนธรรมทางภาษาไดอ้ กี ดว้ ย นักเรียนจงึ ควรอา่ นหนงั สือเร่อื งสามคั คเี ภทค�าฉันท์
ความสามารถ ฝา ยใดจะไดร บั ฉบบั สมบรู ณ ์ เพ่อื ให้เกิดความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซ้ึงมากยง่ิ ขึน้
ชัยชนะ เพราะเหตุใด
4. ใหนักเรยี นตอบคาํ ถามประจํา
หนวยการเรยี นรู แลวรายงาน
หนา ชน้ั
เกร็ดแนะครู
ครูยกนิทานทก่ี ลา วถงึ “ไมก งิ่ เดียว
หักไดโ ดยงา ย แตไ มทงั้ กํามือหัก
ไดย าก” และแนะนํานกั เรียนวา
มวี รรณคดไี ทยหรือนิทานเรือ่ งอ่ืนๆ
อีกทม่ี ีเนือ้ หาสะทอนใหเหน็ ความ
สําคญั ของความสามัคคี แลว ให
นกั เรยี นชวยกันยกตวั อยาง
152
152 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เกรด็ แนะครู
คาำ ถามประจำาหนว่ ยการเรยี นรู้ (แนวตอบ คําถามประจาํ
หนวยการเรยี นรู
1. สามคั คี หมายความวา ความ
๑. สามคั คีเภท หมายความว่าอยา่ งไร อธบิ ายพอเข้าใจพร้อมยกตัวอยา่ งประกอบ พรอ มเพรยี ง ความเปน หนงึ่ เดยี วกนั
๒. กลอุบายและขัน้ ตอนการด�าเนนิ งานของวัสสการพราหมณท์ พ่ี บในเร่ืองเป็นอย่างไร เภท หมายถงึ การแตกแยก
๓. ร ะบขุ ้อคิดท่ีไดร้ ับจากเรื่องสามคั คเี ภทคา� ฉันท์ มา ๓ ประการ พร้อมทั้งยกตวั อย่าง การทาํ ลาย ซ่ึงมกั ใชเ ปน สวนทา ย
วธิ ีการนา� ข้อคิดไปใช้ในชวี ติ ประจ�าวัน ของสมาส สามัคคีเภท จงึ หมายถงึ
การแตกความสามัคคี การขาด
ความเปน หนง่ึ เดยี วกนั ของหมคู ณะ
2. วสั สการพราหมณอาสาเปน ไสศึก
ไปบอนทาํ ลายความสามคั คขี อง
กษตั ริยลิจฉวี โดยแกลงทลู คัดคา น
พระเจาอชาตศัตรไู มใหไปตี
เมอื งวชั ชี โดยกลาวคําประหน่งึ
ดูถกู กาํ ลังพลเมอื งมคธ พระเจา-
อชาตศัตรูทรงแสรงพโิ รธ ลงโทษ
วสั สการพราหมณอ ยา งหนกั พรอ ม
กิจกรรมสรา้ งสรรค์พฒั นาการเรยี นรู้ เนรเทศออกนอกเมือง วัสสการ-
พราหมณไ ปขอพึ่งพระบารมีของ
๑. ใ ห้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๕ คน แล้วอ่านวรรณคดีเรื่อง สามัคคีเภทค�าฉันท์ กษัตรยิ ลิจฉวี ซ่ึงก็ทรงรับมาไว
มากลุ่มละ ๑ ตอน พร้อมเขียนวิจารณ์คุณค่าและความงามของวรรณคดีว่ามี เปน พราหมณาจารยส อนพระโอรส
ความดเี ด่นอยา่ งไร วสั สการพราหมณส รา งความ
๒. ให้นักเรียนฝึกหัดอ่านออกเสียงท�านองเสนาะค�าประพันธ์ประเภทฉันท์ชนิดต่างๆ แตกแยกในหมูพระโอรสของ
กษัตรยิ ลิจฉวกี อ น พระโอรส
โดยจับคู่กับเพ่ือนและแลกเปล่ียนกนั เพ่อื ประเมนิ ความสามารถในการอ่าน จึงนําความไปทลู พระบิดาของ
๓. ใ ห้นักเรียนถอดค�าประพันธ์เร่ือง สามัคคีเภทค�าฉันท์ เป็นความเรียงประเภท ตนเอง ในท่สี ดุ กษัตริยลจิ ฉวี
จึงแตกความสามัคคีกนั
รอ้ ยแกว้ สง่ ครผู ู้สอน
พระเจาอชาตศตั รูจึงบุกเขา มา
ตีเมอื งไดอ ยา งงา ยดาย
3. ขอ คิดทีไ่ ดจากเร่ืองสามคั ค-ี
เภทคําฉนั ท 3 ประการ มดี ังน้ี
• ความสามัคคี นํามาปรบั ใชโดย
รบั ฟง ความคดิ เหน็ ของทกุ คน
รว มมือกนั ทํางานอยา งเต็ม
153 ความสามารถ ชว ยเหลือผูอน่ื
เทา ท่ที ําได เปน พลเมืองดี
• ผูนาํ ตองมีคุณธรรมในการ
แหสลดักงฐผานลการเรียนรู ปกครอง จากเร่ืองใชหลกั อปรหิ านยิ ธรรม นาํ มาปรบั ใชโ ดยตอง
ปรกึ ษาหารือกันเสมอ รบั ฟงความคดิ เห็นของทุกคน ใหเกยี รติ
1. การเลา ความเปน มาของเร่อื งและประวัตผิ แู ตง ทกุ คน แลวนาํ ความคิดท่ดี ที ่สี ดุ มาดาํ เนินการตอ
2. การเขียนเร่ืองยอ เปน ผังมโนทศั น • มีความไววางใจ แตเ ม่ือไดรับฟงเร่อื งราวใดๆ มาแลวตอ งหา
3. การยกตัวอยางคําศัพทท ี่เปน คําสมาส มลู เหตขุ องเรอ่ื งหรือรบั ฟง เรื่องอยางรอบดา น กอนตัดสนิ ใจเชือ่ )
4. การยกตัวอยา งวรรณคดไี ทยหรือนิทานทส่ี ะทอนเร่ืองความสามัคคี คูม ือครู 153
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage
Explore Explain Expand Evaluate
เปา หมายการเรยี นรู (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)
1. วิเคราะหวจิ ารณว รรณคดี เรื่อง
ไตรภมู ิพระรวง ตอน มนุสสภูมิ
ตามหลักการวิจารณเ บ้อื งตน
2. วิเคราะหล ักษณะเดนของวรรณคดี
เรื่องไตรภูมพิ ระรว งเชือ่ มโยงกบั
การเรียนรวู ถิ ีชวี ติ ของสงั คมไทย
ในอดตี
3. วิเคราะหแ ละประเมนิ คุณคา
วรรณคดเี ร่ืองไตรภูมพิ ระรว ง
ตอน มนุสสภมู ิ
• ดา นวรรณศลิ ป
• ดานสังคมและวัฒนธรรม
4. สงั เคราะหข อคดิ จากเร่อื ง
ไตรภูมพิ ระรว ง ตอน มนสุ สภูมิ
กระตนุ ความสนใจ õหน่วยการเรยี นรูท้ ี่ ไตรภมู พิ ระร่วง
ครูใหนกั เรียนดภู าพหนาหนวย ไตรภมู พิ ระรว่ ง เป็นวรรณคดีเก่าแกท่ ่แี ตง่ ขึน้
แลว ตงั้ คําถามกระตนุ ความสนใจ ต้ังแต่สมยั สุโขทยั เร่ืองราวเกีย่ วกับ
ของนกั เรยี น ตัวชี้วดั ความแปรเปล่ยี นและความไม่แนน่ อน
• นกั เรยี นเคยเห็นภาพทม่ี ี • วเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลักการ ของสงิ่ ต่างๆ ในโลกนี้
ลกั ษณะเหมือนภาพหนา
หนวยหรือไม นกั เรียนเคย วิจารณ์เบือ้ งตน้ (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑) ตอน มนสุ สภมู ิ
เหน็ ทใ่ี ด
• วเิ คราะห์ลักษณะเดน่ ของวรรณคดเี ช่ือมโยงกับการเรียนรู้ทาง สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
• ภาพที่นักเรียนเหน็ เปน
อยา งไร ประวตั ิศาสตรแ์ ละวถิ ชี ีวิตของสังคมในอดีต (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๒) • การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม
เรื่อง ไตรภมู ิพระรว่ ง ตอน มนุสสภมู ิ
• นักเรียนคิดวาภาพจติ รกรรม • วิเคราะห์และประเมินคณุ คา่ ดา้ นวรรณศิลป์ของวรรณคดีและ
จากภาพหนาหนว ยนี้สะทอน
ใหเ หน็ ความเช่ือเรื่องใดบา ง วรรณกรรมในฐานะที่เป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
(ท ๕.๑ ม.๔-๖/๓)
• สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดแี ละวรรณกรรมเพ่อื นา� ไปประยุกต์ใช้
ในชีวิตจริง (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๔)
154 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate
๑ คว�มเปน ม� สาํ รวจคนหา
ไตรภูมพิ ระร่วง หรือเรียกว่า ไตรภมู ิกถา หรือ เตภูมกิ ถา นี้ไม่มตี ้นฉบบั เดิมเปน็ หลกั ฐาน 1. ใหน ักเรียนสบื คน ขอมูลเกี่ยวกบั
ท่ีมีอยู่เป็นฉบับคัดลอกซ่ึงมีปรากฏในบานแผนกว่า พระมหาช่วยวัดกลาง (ปากน้�า จังหวัด ความเปน มาและความสาํ คัญของ
สมุทรปราการ) จารไว้ ณ เดอื นส่ี ปีจอ จุลศกั ราช ๑๑๔๐ สมยั ธนบรุ ี ฉบบั ท่พี ระมหาชว่ ยจารน้ี ไตรภมู ิพระรวง จากแหลง เรียนรู
เป็นภาษาไทย แต่เขียนเป็นตัวอักษรขอม ซึ่งก่อนนับถือกันว่าเป็นอักขระที่ขลัง ศักด์ิสิทธิ์ และ ตา งๆ แลว บนั ทึกความรู
เปน็ หนงั สอื ทางศาสนา
2. ใหนักเรียนสบื คนพระราชประวัติ
ตน้ ฉบบั ไตรภมู พิ ระรว่ งทถี่ อดเปน็ ตวั อกั ษรไทย พมิ พเ์ ผยแพรเ่ ปน็ ครง้ั แรก เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๕ และพระราชกรณยี กจิ สาํ คัญของ
สมเด็จฯ กรมพระยาดา� รงราชานุภาพประทานค�าอธบิ ายไวว้ ่า “หนงั สือเรอ่ื งน้ีเป็นหนังสือเก่ามาก พญาลไิ ทย แลว บนั ทกึ ความรู
มศี พั ทเ กา่ ๆ ท่ไี ม่เขา้ ใจและเปน็ ศัพทอ นั เคยพบแต่ในศิลาจารึกครง้ั กรงุ สโุ ขทยั หลายศัพท นา่ เช่อื
ว่าหนงั สือไตรภูมิน้ี ฉบับเดิมจะไดแ้ ต่งครง้ั กรุงสโุ ขทัยจรงิ แต่คดั ลอกสืบกนั มาหลายช้ันหลายตอ่ อธบิ ายความรู
จนวิปลาสคลาดเคล่ือนหรือบางทีจะได้มีผู้ดัดแปลงส�านวนและแทรกเติมข้อความเข้าเม่ือคร้ัง
กรุงเก่าบ้างก็อาจเป็นได้ ถึงกระน้ันโวหารหนังสือเร่ืองนี้ยังเห็นได้ว่าเก่ากว่าหนังสือเร่ืองใดๆ 1. นกั เรยี นแบงกลมุ นําเสนอความรู
ในภาษาไทย นอกจากศลิ าจารกึ ทไ่ี ด้เคยพบมา จงึ นับวา่ เปน็ หนงั สอื เรือ่ งดดี ้วยอายุประการ ๑” ตามหัวขอตอ ไปนี้
• ประวัตคิ วามเปนมา
ทง้ั นี้ ในคา� นา� หรอื บานแผนกไดบ้ อกเวลาแตง่ ไวว้ า่ “เนอ้ื ความไตรภมู กิ ถาน้ี มใี นกาลเมอื่ ใดไส้ • ความสําคัญของไตรภูมิพระรวง
และมีแต่ในประกาโพ้นเมื่อศักราชได้ ๒๓ ป ประกาเดือน ๔ เพ็งวันพฤหัสบดีวาร ผู้ใด • พระราชกรณียกิจสําคญั ของ
หากสอดรู้บมิได้ไส้สิ้น เจ้าพระญาเลไทยผู้เป็นลูกแห่งเจ้าพระญาเลลิไทย ผู้เสวยราชสมบัติ พญาลิไทย
ในเมืองศรสี ชั นาไลยและสุกโขทยั และเจา้ พระญาเลลไิ ทยน้ี ธ เปน็ หลานเจ้าพระญารามราชผเู้ ปน็ • สภาพสงั คมในสมยั สโุ ขทยั
สรุ ยิ วงษ และเจา้ พระญาเลไทยได้เสวยราชสมบัติในเมืองสัชชนาไลยอยไู่ ด้ ๖ เขา้ จงึ ไดไ้ ตรภมู ”ิ
2. นักเรยี นแตล ะกลมุ ชวยกนั นําเสนอ
จากข้อความนี้ ท�าให้ทราบว่าพญาลิไทยเสวยราชย์ในเมืองศรีสัชนาลัยได้ ๖ ปี จึงได้ ขอ มลู ทีศ่ กึ ษามา จากนนั้ สรุป
ความรูท่ไี ดจากการฟง เพือ่ นๆ
๒ พระราชนิพนธเ์ รื่องไตรภูมิพระรว่ งข้นึ ทกุ กลมุ นาํ เสนอแลว บันทกึ ลงสมดุ
ประวตั ิผูแตง่
พญาลิไทยเปน็ พระมหากษตั รยิ ์องคท์ ่ี ๕ แหง่ อาณาจกั รสโุ ขทยั ก่อนเสวยราชสมบัติดา� รง นกั เรยี นควรรู
ตา� แหน่งพระมหาอุปราช ครองเมอื งศรีสัชนาลยั อยู่ ๖ ปี ไดพ้ ระนามวา่ พญาไทยราช และได้ จุลศกั ราช 1140 หรือ พ.ศ. 2321
แตง่ ไตรภูมกิ ถาหรือไตรภมู พิ ระร่วงขน้ึ ผูก าํ หนดใหใชจ ลุ ศักราช คอื
พระยากาฬวรรณดิศ เม่อื คราว
พญาลิไทยครองราชย์ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๙๐ มพี ระนามเรยี กว่า พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ ทรง ประชุมกษัตริยในลานนาโดยได
เช่ียวชาญในพระพทุ ธศาสนา ทรงมพี ระปรชี ารอบรู้ ทรงแตกฉานในพระไตรปฎ ก อรรถกถา ฎีกา ยกเลิกมหาศักราช แลวตงั้ จุลศกั ราช
ทรงเชี่ยวชาญท้ังโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกท่ี ขน้ึ มาแทน เร่มิ ภายหลงั พุทธศกั ราช
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ พระองค์ทรงบ�าเพ็ญพระราช- 1181 ป
กรณียกจิ และมพี ระราชจริยวัตรอนั เปน็ ประโยชนไ์ พศาลทัง้ ฝา่ ยอาณาจักรและพุทธจักร ทรงอาศัย
นกั เรยี นควรรู
155
ไตรภมู ิ ในทางวรรณคดี หมายถึง
@ มมุ IT โลกทั้งสาม คอื กามภูมิ รูปภูมิ และ
อรูปภูมิ
ศึกษาเกยี่ วกบั ประวัตคิ วามเปนมาของไตรภูมพิ ระรว งเพ่ิมเตมิ ไดท ี่
http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/wtripoom.htm
คมู อื ครู 155
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand
Engage Evaluate
สาํ รวจคนหา (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%)
นกั เรียนแบงกลมุ ศึกษารปู แบบ ธรรมานุภาพปกครองประชาชนใหอ้ ยอู่ ยา่ งร่มเยน็ เปน็ สุข และการท่ีไดท้ รงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิ
และลักษณะของคาํ ประพันธเ รอื่ ง พระร่วงขึ้นเป็นวรรณคดีศาสนาเล่มแรกของไทย วรรณคดีเล่มนี้จึงมีอิทธิพลย่ิงในการเป็นเครื่อง
ไตรภูมพิ ระรวงจากแหลงเรียนรอู ่ืน มือให้พระองค์ได้ปกครองอาณาจักรอย่างมน่ั คงและสงบสขุ
เชน หอ งสมดุ อินเทอรเน็ต เปน ตน
พญาลิไทยเสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๙ สิริรวมเวลาที่ทรงครองราชสมบัติเป็นเวลา
อธบิ ายความรู ๒๙ ปี สมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพด�ารัสถึงพระองค์ไว้ว่า “ว่าโดยย่อควรเข้าใจได้ว่า
พระเจ้าขุนรามค�าแหงทรงบ�าเพ็ญจักรวรรดิวัตรแผ่พระราชอ�านาจด้วยการรบพุ่งปราบปราม
จากการศกึ ษาลักษณะคําประพันธ ราชศัตรูฉันใด พระมหาธรรมราชาลิไทยก็ทรงบ�าเพ็ญในทางท่ีจะเป็นธรรมราชาคือปกครองพระ
เรื่องไตรภูมิพระรว ง นกั เรียนรว มกัน
อภิปรายในประเดน็ ตอไปนี้ ๓ ราชอาณาจักรหมายด้วยธรรมานุภาพเปน็ ส�าคัญฉันน้ัน”
ลกั ษณะคำ�ประพันธ์
• ลกั ษณะคําประพันธจ ากเร่อื ง เน่ืองจากในบานแผนกได้บอกจุดมุ่งหมายไว้ว่า “ถามุนใส่เพื่อใด ใส่เมื่ออัตถพระอภิธรรม
มีสวนชว ยโนมนา วใจใหผ ูอาน
คลอ ยตามไดหรือไม อยางไร และใครจะเทศนาแก่พระมารดาท่าน อน่ึงจะใคร่จะจ�าเริญพระอภิธรรมโสด...” จึงเป็นการแสดง
(แนวตอบ ลกั ษณะคาํ ประพนั ธ จุดมุ่งหมายว่าแต่งเพื่อเทศนาแก่พระมารดา ผู้แต่งจึงได้เรียบเรียงเป็นร้อยแก้วโดยใช้โวหารทั้ง
ที่เปนรอยแกว ใชค ํานอ ย เปน เทศนาโวหาร พรรณนาโวหาร และบรรยายโวหาร โดยเฉพาะการพรรณนานน้ั จะใชถ้ อ้ ยคา� ทแี่ จม่ แจง้
คาํ ทไี่ มต อ งตีความหมายมาก
ใชโวหารพรรณนา และใช ๔ จนสามารถโนม้ นา้ วใจผู้อ่านให้คลอ้ ยตาม แมว้ ่าจะมีการใชภ้ าษาท่ีคอ่ นขา้ งจะเขา้ ใจยาก
โวหารอุปมาเปรยี บเทยี บใหเ หน็ เรอ่ื งยอ่
ภาพชัดเจน รวมท้ังมเี น้ือหา เนอื้ ความในไตรภมู พิ ระรว่ งไดเ้ รยี บเรยี งเปน็ ไปตามลา� ดบั ซงึ่ สามารถแบง่ ออกเปน็ ๒ ตอน
สอดคลอ งกบั ความเชอ่ื พน้ื ฐาน
ของคนในสงั คม ผอู า นจึงคลอ ย ดังน้ี
ตามเนอื้ หาของเร่ืองไดง า ย) ๑) ตอนเร่ิมเร่ือง เป็นค�าน�าโดยกล่าวถึงคาถานมัสการ เวลาแต่ง จุดมุ่งหมายใน
การแต่ง คมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนาทน่ี า� มาใช้อา้ งอิงในการแต่ง กลา่ วถงึ ชื่อพระเถระสา� คญั ท่เี ปน็ ผูใ้ ห้
ขยายความเขา ใจ ความรู้ และคุณคา่ ในการอา่ นหนังสอื เร่อื งนอี้ ีกดว้ ย
๒) ตอนเนอื้ เรอื่ ง กลา่ วถึงสิง่ มชี วี ติ แลว้ จ�าแนกภูมิทง้ั สามอันเปน็ ภูมิท่สี ัตวโลกทงั้ หลาย
ใหนกั เรียนยกตัวอยา งบทประพนั ธ เวียนว่ายตายเกิด แล้วแบ่งภมู ิออกเป็นชั้นๆ คอื กามภูมิ รูปภูมิ และอรปู ภูมิ ตอนจบกล่าวถึง
ที่นกั เรียนประทบั ใจจากเรอื่ ง การสน้ิ กัลป์ มไี ฟประลัยกลั ปล์ า้ งโลก การตง้ั โลกใหม่ และเร่ืองพระมหาจกั รพรรดิ
• วรรณศลิ ปทพี่ บชว ยใหผ ูอาน ส�าหรับตอนที่น�ามาเรียนนี้เป็นตอนที่อยู่ใน มนุสสภูมิ ซ่ึงมีการกล่าวถึงมนุษย์
เกิดจินตภาพไดอ ยางไร ส่ีแผ่นดิน
(แนวตอบ วรรณศิลปท ่พี บ
ทาํ ใหผ ูอ านเกดิ จินตภาพ เชน 156
กวีใชพรรณนาโวหาร เพื่อให
เกดิ จนิ ตภาพทา ทางของทารก นักเรยี นควรรู
ในครรภมารดา เชน “…เอาหวั
ไวเ หนือหัวเขาเม่ือนัง่ อยนู ้ัน กัลป (กปั ) คอื ชว งระยะเวลาอันยาวนานของโลก ไมส ามารถกาํ หนดเปนวนั เปน เดอื น หรือ
เลือดแลน้าํ เหลืองยอยลงเต็มตน เปน ปได พระพทุ ธเจา เองทรงอุปมาระยะเวลาของกัลปไววา “ภเู ขาหนิ ลูกหนงึ่ ยาว 1 โยชน
ยะหยดทุกเมื่อแล ดุจด่งั ลงิ เม่ือ กวาง 1 โยชน สูง 1 โยชน ไมมีชอง ไมม โี พรง ตันทบึ ทัง้ ลูก มีคนคนหนง่ึ เอาผาแควน กาสีมาปด
ฝนตก แลนงั่ กาํ มือเซาเจา อยูใ น ภเู ขาน้ัน 100 ปต อครั้ง ภูเขาน้ันยงั ราบเรียบไปเร็วกวา สว นระยะเวลา 1 กัป ยังไมสิน้ ไปเลย”
โพรงไมน้ันแล…” เปน ตน)
156 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand
Engage Explore Explain Evaluate
ไตรภูมิ แดนท่สี ตั ว์ท้งั หลายเวียนว่ายตายเกดิ ขยายความเขา ใจ
ภูมทิ ัง้ ๓ มีดงั น้ี นกั เรียนศึกษาหาขอ มูลเกี่ยวกับ
๑. กามภูมิ หมายถงึ ภูมิแห่งผทู้ ีเ่ กี่ยวข้องด้วยกาม แบ่งย่อยเปน็ ๑๑ ภูมิ ไตรภูมิ แดนทส่ี ัตวทัง้ หลายเวยี นวา ย
๒. รปู ภมู ิ หมายถงึ ทีอ่ ยู่ของพรหม บางทีเรียกว่าพรหมโลก ๑๖ ชน้ั ผ้ทู ีเ่ กดิ ในภูมินเ้ี ป็น ตายเกิด หลงั จากนนั้ ใหเ ลือกศึกษา
พรหมมรี ูป แตไ่ ม่มีเรอื่ งกามารมณเ์ ขา้ ไปปน เรียกว่า รูปพรหม หรอื รปู ภพ เกี่ยวกบั ภาพจติ รกรรมฝาผนังของวดั
๓. อรปู ภูมิ หมายถึงพรหมชน้ั สงู สดุ ผทู้ ่เี กดิ ในอรูปภมู นิ ้ี เรียกว่า อรปู พรหม คอื พรหม ท่ีนักเรยี นสนใจ โดยศึกษาเกยี่ วกบั
ไมม่ รี ูปมีแตจ่ ิต เนอ้ื หาของภาพวา ปรากฏเรือ่ งราว
อยา งไร จากน้ันใหร วมกันอภปิ ราย
ไตรภมู ิ วา ความเชอ่ื และความศรัทธา
ในพระพุทธศาสนามอี ิทธพิ ลตอชีวิต
อบายภู ิม หรือ ทุคติภู ิม กามภมู ิ ปฐมฌาน ูภมิ รปู ภูมิ อรปู ภมู ิ ประจําวันของมนษุ ยใ นดานใดและ
อยา งไร
นรกภูมิ ุทติยฌาน ูภมิ พรหมปารสิ ัชชาภมู ิ อากาสานัญจายตนภมู ิ
ติรจั ฉานภมู ิ พรหมปโุ รหติ าภมู ิ วญิ ญาณญั จายตนภูมิ (แนวตอบ ตอบไดหลากหลาย
เปรตวสิ ัยภูมิ มหาพรหมาภูมิ อากญิ จญั ญายตนภมู ิ ข้ึนอยูกบั ภาพทนี่ ักเรียนนาํ มา
อสรุ กายภมู ิ ปรติ ตาภาภูมิ เนวสญั ญานาสัญญายตนภมู ิ อภปิ ราย ครเู พิ่มเตมิ วาแนวคิด
มนสุ สภมู ิ อปั ปมาณาภาภูมิ ของไตรภูมิเกยี่ วกบั ความเช่ือเรือ่ ง
สุคติภู ิม จาตุมหาราชกิ าภมู ิ ต ิตยฌาณ ูภมิ อาภัสสราภูมิ เวรกรรม ใหค นเรง ทําความดี
ตาวติงษาภมู ิ ปรติ ตสภุ าภูมิ เพอื่ ใหห ลดุ พนจากทุกข)
ยามาภมู ิ อัปปมาณสภุ าภูมิ
ตุสติ าภมู ิ สุภกิณหาภมู ิ บรู ณาการสอู าเซยี น
นิมมานรตภี ูมิ เวหัปผลาภูมิ
ปรนิมมติ วสวตั ตีภูมิ อสัญญสี ัตตาภมู ิ ในป พ.ศ. 2524 โครงการ
อวหิ าภูมิ วรรณกรรมอาเซียนภายใต
จตุตถฌานภูมิ อตตัปปาภูมิ ัปญจสุทธาวาส การดําเนนิ งานของคณะกรรมการ
สุทสั สาภูมิ อาเซียน วา ดว ยวฒั นธรรมและ
สทุ ัสสีภมู ิ สารสนเทศ สมาคมประชาชาติ
อกนิฏฐาภูมิ เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต ไดพ ิจารณา
ใหส มาชิกแตละประเทศคดั เลือก
157 วรรณกรรมทม่ี คี ณุ คาของตนและ
จดั แปลวรรณกรรมทีค่ ัดเลอื กแลว
เปน ภาษาอังกฤษ โดยไทยได
พจิ ารณาคัดเลอื กแปล “ไตรภมู ิกถา”
สํานวนทเ่ี ชอ่ื วาพระมหาธรรมราชา-
ลไิ ทยทรงพระราชนพิ นธ และใชช อื่ วา
“ไตรภูมิกถา-ภูมิทง้ั สามอนั เปน ทีอ่ ยู
ของสตั วโลก” ครูแนะใหนกั เรยี น
สบื คน หนงั สอื เลม อ่ืนของโครงการนี้
เพ่อื นกั เรยี นจะไดรจู กั ภาษาและ
วฒั นธรรมของประเทศเพอ่ื นบาน
ผา นทางวรรณกรรม กอ นนําไปสู
ความสนใจในรายละเอียดตางๆ
เก่ียวกบั วฒั นธรรมของชาติใน
อาเซียนมากขน้ึ
คูม อื ครู 157
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain
Expand Evaluate
กระตุนความสนใจ (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%)
ครูทบทวนความรขู องนกั เรียน ๕ เนอื้ เร่ อื ง
โดยการเลาเรือ่ งยอ ใหน ักเรียนฟง
และเสริมวาไตรภมู ิพระรวงสะทอน ไตรภมู พิ ระรว ง ตอน มนสุ สภมู ิ
เร่อื งเวรกรรม
ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละน้ันโดยใหญ่แต่ละวันแล
• นกั เรียนคิดวามีวรรณคดีไทย น้อย ครงั้ ถึง ๗ วัน เป็นด่งั น�้าลา้ งเนื้อน้ันเรียกวา่ อัมพุทะ อัมพุทะนัน้ โดยใหญ่ไปทกุ วารไสร้ ครน้ั ไดถ้ ึง
เรือ่ งใดทส่ี ะทอนความเชอ่ื ๗ วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วอันเช่ือมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน คร้ันถึง ๗ วัน
ดงั กลา ว แข็งเปน็ กอ้ นด่งั ไข่ไก่ เรยี กว่าฆนะ ฆนะนัน้ คอ่ ยใหญไ่ ปทุกวัน คร้ันถงึ ๗ วนั เปน็ ตุ่มออกได้ ๕ แหง่
(แนวตอบ วรรณคดเี รื่อง ดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจหูดนั้นเป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน ๒ อัน หูดเป็นหัวนั้นอีกหนึ่ง
ขุนชางขนุ แผน ครูพยายาม แลแต่นั้นค่อยไปเบ้อื งหน้าทกุ วนั ครั้น ๗ วันเป็นฝา มือ เปน็ น้วิ มอื แต่น้นั ไปถงึ ๗ วัน ค�ารบ ๔๒ จึง
นาํ พานกั เรยี นเชอื่ มโยงไปสู เป็นขน เป็นเล็บตีน เล็บมือ เป็นเครื่องส�าหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันแล แต่รูปอันมีกลางคนไสร้ ๕๐
วรรณคดเี รือ่ ง ไตรภูมิพระรวง แต่รูปอันมีหัวได้ ๘๔ แต่รูปอันมีเบ้ืองต่�าได้ ๕๐ ผสมรูปท้ังหลายอันเกิดเป็นสัตว์อันอยู่ในท้องแม่
หรือเตภมู ิกถา) ได้ ๑๘๔ แลกุมารนนั้ นัง่ กลางทอ้ งแม่ แลเอาหลงั มาต่อหนงั ทอ้ งแม่ อาหารอนั แมก่ ินเข้าไปแตก่ อ่ นนน้ั
อยใู่ ตก้ ุมารนน้ั อาหารอนั แมก่ นิ เข้าไปใหม่น้ันอยเู่ หนอื กมุ ารน้ัน เม่อื กุมารอยูใ่ นทอ้ งแม่นนั้ ลา� บากนกั หนา
• ไตรภมู พิ ระรวงเปนวรรณคดี พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ ๘๐ ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่
ทีม่ ีความสาํ คญั ตอสงั คมไทย อันเป็นท่ีเหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ท่ีตายที่เร่ว ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายน้ันคนกันอยู่ในท้องแม่
หรอื ไม อยา งไร ตดื แลเอือนฝงู นัน้ เรมิ ตัวกุมารน้ันไสร้ ดุจดัง่ หนอนอันอยใู่ นปลาเน่า แลหนอนอันอย่ใู นลามกอาจมนัน้ แล
(แนวตอบ มีความสาํ คัญตอ อันว่าสายสะดือแห่งกุมารน้ันกลวงดั่งสายก้านบัวอันมีช่ือว่าอุบล จะงอยไส้ดือน้ันกลวงข้ึนไปเบื้องบน
ความเช่ือทางพระพุทธศาสนา ติดหลังท้องแม่แลข้าวน�้าอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน�้าชุ่มเข้าไปในไส้ดือน้ัน แลเข้าไป
ทําใหผคู นเรง ทําความดี เพอื่ ในทอ้ งกมุ ารนั้นแล สะหนอ่ ยๆ แลผูน้ อ้ ยน้นั กไ็ ดก้ นิ ทุกค่�าเชา้ ทุกวัน แม่จะพึงกนิ เข้าไปอยูเ่ หนือกระหม่อม
สะสมบุญบารมี สงั คมก็จะ ทับหัวกุมารอยู่นั้นแล แลล�าบากนักหนา แต่อาหารอันแม่กินก่อนไสร้ แลกุมารน้ันอยู่เหนืออาหารนั้น
สงบสุข) เบื้องหลงั กุมารนัน้ ต่อหลังทอ้ งแม่ แลน่งั ยองอยใู่ นท้องแม่ แลก�ามือท้งั สองคู้คอต่อหัวเขา่ ทัง้ สอง เอาหวั
ไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่น้ัน เลือดแลน้�าเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเม่ือแล ดุจด่ังลิงเมื่อฝนตก
สาํ รวจคน หา แลน่ังก�ามือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้น้ันแล ในท้องแม่น้ันร้อนนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้ม
ในหม้อนั้นไสร้ สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ด้วยอ�านาจแห่งไฟธาตุอันร้อนน้ัน
ใหนักเรียนอา นเนอ้ื เรือ่ ง ไตรภูมิ- ส่วนตัวกุมารนั้นบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารน้ันจะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตายเพ่ือ
พระรว ง ตอน มนุสสภูมิ จากแหลง ด่ังน้ันแลแต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียดตีนมือออกด่ังเรา
เรียนรอู น่ื ๆ เพม่ิ เติม เชน หนังสอื ท่านท้ังหลายน้ีสักคาบหน่ึงเลย แลกุมารน้ันเจ็บเน้ือเจ็บตนด่ังคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับแคบนักหนา
ไตรภมู พิ ระรว ง เวบ็ ไซตใ นอนิ เทอรเ นต็ แคน้ เนอื้ แคน้ ใจ แลเดอื ดเน้อื เดอื ดใจนกั หนา เหยียดตีนมอื บ่มิได้ ดง่ั ทา่ นเอาใสไ่ วใ้ นท่ีคบั ผแิ ลวา่ เมื่อแม่
เปนตน เดนิ ไปก็ดี นอนกด็ ี ฟื้นตนกด็ ี กมุ ารอยูใ่ นทอ้ งแมน่ นั้ ให้เจบ็ เพียงจะตายแลดจุ ด่งั ลูกทรายอนั พ่งึ ออกแล
อยู่ธรห้อยผิบ่มิดุจดั่งคนอันเมาเหล้า ผิบ่มิดุจดั่งลูกงูอันหมองูเอาไปเล่นน้ันแล อันอยู่ล�าบากยากใจ
อธบิ ายความรู
15๘
จากการศึกษาเนือ้ เร่ือง ไตรภูมิ-
พระรว ง ตอน มนุสสภมู ิ มาลว งหนา นกั เรียนควรรู
• นักเรียนคิดวาลักษณะของภาษา ครอก หมายถึง ลูกสัตวห ลายตัวทีเ่ กิดพรอมกันในคราวเดียว
และคาํ ประพันธเร่อื ง ไตรภูมิ-
พระรวง มีลกั ษณะอยางไร
(แนวตอบ ใชภ าษาความเรยี งมี
ขอ ความจดั แบงกลมุ คําที่
ใหจ งั หวะ ใชอ ุปมาโวหาร คอื
การใชค ําทสี่ ือ่ ภาพเพอ่ื ใหเ ห็น
การเปรียบเทยี บ ใชค ําท่ีแสดง
กิรยิ าอาการ เชน
“…แลนง่ั อยใู นทอ งแม แล
กาํ มือทงั้ สองคูค อตอหัวเขา
ทั้งสอง เอาหวั ไวเหนือหัวเขา
เม่ือนั่งอยนู ัน้ …”)
158 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
ดุจดง่ั นั้น บม่ ไิ ด้ลา� บากแต่ ๒ วาร ๓ วารและจะพ้นไดเ้ ลย อยู่ยากแล ๗ เดอื น ลางคาบ ๘ เดอื น อธิบายความรู
ลางคน ๙ เดอื น ลางคน ๑๐ เดอื น ลางคน ๑๑ เดอื น ลางคนค�ารบปหนึ่งจึงคลอดกม็ ีแล
นักเรียนรว มกันอภปิ รายแสดง
คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนแลคลอดนั้น บห่ ่อนจะได้สกั คาบ คนผูใ้ ดอย่ใู นทอ้ งแม่ ๗ เดือน ความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั สาระสาํ คัญ
แลคลอดน้ัน แม้เลี้ยงเป็นคนก็ดี บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มิทนแดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิด ของเรือ่ งท่ีแสดงใหเ หน็ การเกดิ ของ
จั้น เม่ือคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เม่ือมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเน้ือร้อนใจแลกระหนกระหาย มนุษยไปจนถงึ การคลอด
อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดน้ันเมื่อจะคลอดออก ตนกุมารน้ัน
เย็น เย็นเน้ือเย็นใจ เม่ือยังอยู่ในท้องแม่น้ัน อยู่เย็นเป็นสุขส�าราญบานใจ แลเนื้อแม่น้ันก็เย็นด้วยโสด (แนวตอบ ในอดตี ยงั ไมมคี วามรู
คนผู้อยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อถึงจักคลอดน้ันก็ดีด้วยกรรมนั้นกลายเป็นลมในท้องแม่ส่ิงหน่ึง พัดให้ ดานวทิ ยาศาสตร สาระของเร่อื ง
ตัวกุมารนั้นขึ้นหนบน ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั้น ดุจด่ังฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงใน จึงมาจากธรรมชาติทส่ี ังเกตเหน็
ขุมนรกนั้น อันลึกได้แลร้อยวานั้นเม่ือกุมารน้ันคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นน้ัน และความเช่ือหรือแนวคดิ ของคนใน
แลเจ็บเน้ือเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัว สังคม ซึ่งนักเรยี นจะเห็นวา เนื้อความ
ออกยากล�าบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันช่ือคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบ้ี บางสวนสะทอนใหเห็นความเปนจรงิ
น้ันแล คร้ันออกจากท้องแม่ไสร้ ลมอันมีในท้องผู้น้อยค่อยพัดออกก่อน ลมอันมีภายนอกน้ันจึงพัด ทใ่ี กลเ คยี งหลักวทิ ยาศาสตร เชน
เข้าน้ันนักหนา พัดเข้าถึงต้นล้ินผู้น้อยจึงอย่า ครั้นออกจากท้องแม่ แต่นั้นไปเมือหน้ากุมารนั้นจึงรู้ “...สงิ่ อาหารอันแมกินเขา ไปในทอ ง
หายใจเข้าออกแล ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันค�านึงถึงความอันล�าบากนั้น ครั้นว่า นนั้ ไหมและยอ ยลง...” แสดงใหเห็น
ออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่สวรรค์ แลค�านึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อม การเผาผลาญอาหารที่ใชพ ลงั งาน
หัวร่อก่อนแล แต่คนผู้มาอยู่ในแผ่นดินน้ีทั่วทั้งจักรวาลอันใดอันอื่นก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่ก็ดี และเกดิ ความรอนตามหลกั
เมือ่ อยูใ่ นท้องแมก่ ด็ ี เม่ือออกจากท้องแม่กด็ ี ในกาลทง้ั ๓ นั้นย่อมหลงบม่ ิไดค้ า� นึงรู้อันใดสกั ส่ิง ฝูงอนั มา วิทยาศาสตร)
เกิดเป็นพระปจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี
เมอ่ื ธ แรกมาเอาปฏิสนธิน้ันก็ดี เมอื่ ธ อยใู่ นท้องแม่นนั้ กด็ ี แลสองสง่ิ นเ้ี มอื่ อยใู่ นทอ้ งแม่น้นั บห่ ่อนจะ ขยายความเขาใจ
รู้หลงแลยังค�านึงรู้อยู่ทุกอัน เม่ือจะออกจากท้องแม่วันนั้นไสร้ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยน้ัน
ลงมาสทู่ จี่ ะออกแลคบั แคบแอน่ ยนั นกั หนาเจบ็ เนอ้ื เจบ็ ตนลา� บากนกั ดง่ั กลา่ วมาแตก่ อ่ นแลพลกิ หวั ลงบม่ ไิ ด้ นกั เรียนแบงกลุม กลมุ ละ 4 - 5 คน
รู้สกึ สักอนั บ่เริม่ ดั่งทา่ นผู้จะออกมาเปน็ พระปจ เจกโพธเิ จ้าก็ดี ผจู้ ะมาเกิดเปน็ ลกู พระพทุ ธเจา้ ก็ดี คา� นึง จดั ทาํ ภาพประกอบการเกดิ ของมนษุ ย
รูส้ ึกตนแลบม่ หิ ลงแต่สองสงิ่ น้คี อื เม่ือจะเอาปฏิสนธแิ ลอย่ใู นท้องแมน่ ั้นไดแ้ ล เมอื่ จะออกจากท้องแม่น้ัน ตงั้ แตต ง้ั ครรภไ ปจนถงึ การคลอด
ยอ่ มหลงดุจคนทั้งหลายนแ้ี ล ส่วนวา่ คนทง้ั หลายนี้ไสรย้ ่อมหลงท้ัง ๓ เมอื่ ควรอม่ิ สงสารแล ตามเนื้อเรือ่ งไตรภูมิพระรวง ตอน
มนุสสภมู ิ
15๙
เกร็ดแนะครู
จากเน้ือความทวี่ า “ผแิ ลคน
อันมาแตน รกก็ด.ี ..ก็ยอ มหวั รอ
กอนแล” ครูแนะนกั เรียนวา สะทอ น
ใหเ หน็ ความเชอ่ื เร่อื งการเวียนวา ย
ตายเกิด การเกิดใหมเพอ่ื ชดใชก รรม
และความเชอื่ เรือ่ งนรกสวรรค
นกั เรยี นควรรู นกั เรียนควรรู
ธ อานวา ทะ เปน สรรพนามบรุ ุษที่ ๓ หมายถึง ทาน เธอ ปฏสิ นธิ หมายถงึ เกิดในทอ ง
คูมอื ครู 159
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand
Engage Evaluate
สํารวจคนหา (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%)
ใหนักเรียนศึกษาไตรภูมพิ ระรว ง ๖ คำ�ศพั ท์ ควำมหมำย
ตอนอืน่ ๆ จากแหลงเรียนรู เชน
อนิ เทอรเนต็ สารานกุ รม หนังสอื คำ� ศพั ท์ ทรุ นทรุ าย กระสบั กระสา่ ย
คน ควา อา งองิ เปน ตน เพอ่ื ใหเ ขา ใจ ส่วนของกระโหลกอยู่ตรงแนวศีรษะ แต่ต�่ากว่าส่วนสูงสุดลงมาใกล้
ความเชอื่ เรอื่ งนรก สวรรค และ กระหนกระหาย หนา้ ผาก
โลกมนุษยต ามคติความเชื่อทาง กระหม่อม รูปแรกเร่ิมท่ีปฏิสนธิในครรภ์มารดาในช่วงสัปดาห์แรก ซ่ึงเปรียบได้กับ
ศาสนาของคนไทยโบราณ เอาผมคนมาผา่ ๘ ครงั้ (เทา่ กบั ๑/๒๕๖ ของเสน้ ผม) แลว้ จมุ่ ลงในนา�้ มนั งา
กลละ ที่ใสมากและสลดั ๗ ครง้ั แล้วถือไว้ นา้� มันทเี่ หลอื ตดิ อย่ทู ีป่ ลายผมนน้ั
อธบิ ายความรู ยงั มีขนาดใหญ่กวา่ กลละ
กลวง ที่วา่ ง
ใหนักเรียนอธบิ ายความรเู กยี่ วกับ คนกัน ปนกนั ระคนกัน
วิวัฒนาการทางภาษาจากไตรภมู ิ- ครอก ลูกสัตว์หลายตัวท่ีเกิดพร้อมกันคราวเดียว ลักษณนามเรียกการตกลูก
พระรวง ของสัตวค์ ราวหนึ่งๆ
คาบ หน คร้ัง
• ภาษาไทยมีวิวัฒนาการอยา งไร ฆนะ ก้อน แท่ง
(แนวตอบ ภาษามีการ จะงอยไส้ดอื ปลายสายสะดือ
เปล่ยี นแปลงอยเู สมอ และคาํ เซา เหงาหงอย
ทใ่ี ชมากอ นอาจจะเปลี่ยนแปลง ตืด พยาธิ
รูปศพั ท เปลี่ยนความหมาย เถา้ ส่ิงที่เป็นผงละเอียดของสิง่ ทีเ่ หลือจากไฟเผามอดแลว้
กวางออก แคบเขา หรอื ท่เี รว่ ปา่ ชา้ ปา่ ท่ีฝงั ศพ ทเ่ี ผาศพ
ความหมายยา ยที่ ซึง่ การ ธ ทา่ น เธอ
เปลย่ี นแปลงทางภาษาจะเกิด ธาตุ สิ่งที่ถือว่าเป็นส่วนส�าคัญท่ีคุมกันเป็นร่างของสิ่งทั้งหลาย โดยท่ัวๆ ไป
อยางคอยเปนคอยไป สามารถ เช่ือวา่ มี ๔ ธาตุ คือ ธาตดุ นิ ธาตนุ ้า� ธาตุลม ธาตไุ ฟ
สืบคนตน ตอของภาษาได บเ่ ร่ิม เป็นคา� สันธาน มคี วามหมายวา่ แมแ้ ต่
เรียกวา วิวฒั นาการทางภาษา) เบญจสาขาหดู ปมุ่ ทเ่ี ป็น ๕ กงิ่ ในท่ีนี้หมายถงึ กอ้ นเน้ือทมี่ ีป่มุ เกิด ๕ ปมุ่ คอื
หัว ๑ ปมุ่ แขน ๒ ปมุ่ ขา ๒ ปมุ่
ขยายความเขาใจ ปฏิสนธิ การถอื กา� เนดิ ในท้อง
ครสู นทนากบั นักเรียนเรือ่ งภาษา 160
ทุกภาษาที่ใชส ่อื สารกนั ในชวี ติ
ประจําวันตอ งมกี ารเปล่ยี นแปลง
ใหน ักเรยี นยกตวั อยา งคํา กลมุ คาํ
ประโยค จากคําศพั ทใ นไตรภมู ิ-
พระรวง ตอน มนสุ สภมู ิ ทใ่ี ช
แตกตา งจากปจ จบุ ัน
(แนวตอบ ตวั อยางเชน
ลางที ปจ จุบันใช บางครั้ง บางที
ผา ยหนา ผา ยหลงั ปจ จบุ นั ใช ภายหนา
ภายหลงั ลมตายหายจาก ปจ จุบนั ใช
ลมหายตายจาก หางวา วบัญชี
ปจ จบุ นั ใช บัญชีหางวาว เปน ตน)
160 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
คำ� ศพั ท์ ควำมหมำย อธบิ ายความรู
ประตลู ักษ ช่องดาลซึง่ เป็นรสู �าหรับสอดลูกดาลเข้าไปเขยี่ ดาล (กลอน) ท่ีขัด 1. นักเรียนชวยกนั รวบรวมคาํ ศพั ท
บานประตู ชอ่ งดาลเทียบได้กบั รูกุญแจ ช้ินเนอ้ื (ในครรภม์ ารดา) ท่ีไดจากเรอ่ื งเพิ่มเตมิ อธบิ าย
ผิ ถา้ หาก แมน้ ความหมายแลวบนั ทกึ ความรู
พระปจั เจกโพธเิ จ้า พระพทุ ธเจ้าทีต่ รัสร้แู ล้วมิได้ส่งั สอนเวไนยสตั ว์ เพิ่มเตมิ ลงสมุด
ลมกรรมชวาต ลมเกดิ แตก่ รรม หมายถงึ ลมท่เี กิดในเวลาทีม่ ารดาจะคลอดบตุ ร (แนวตอบ
ลามก หยาบช้า ต�า่ ทราม หยาบโลน เป็นทร่ี ังเกยี จของคนดมี ีศีลธรรม ลางคน หมายถึง บางคน
วาร วันหนง่ึ ๆ ในสปั ดาห์ วาร หมายถึง วันหนึ่งๆ
สงสาร การเวยี นว่ายตายเกิด ในสัปดาห
สะหน่อย สกั หนอ่ ย สักเลก็ น้อย เบญจ หมายถึง หา
โสด กระทงความหนึง่ แผนกส่วนหนึง่ อีกส่วนหนง่ึ อย่างหนึง่ เด่ียว เออื น หมายถึง ท่ีมีเนอ้ื บาง
ไสร้ นั้น เชน่ นัน้ อย่างน้นั ขรุขระเหมอื นผิวมะกรูด
ไส้ดือ สะดอื อาจม หมายถึง อุจจาระ
หนบน ข้างบน ที่เถา หมายถึง สิ่งท่เี ปน
หอ่ น เคย รายละเอยี ดของสิง่ ทเ่ี หลอื
หัวร่อ เปล่งเสยี งแสดงความขบขัน ดีใจ ชอบใจ หวั เราะ จากไฟเผามอดแลว เปน ตน )
หีบ หนบี
หดู โรคผิวหนงั ชนดิ หนง่ึ ขนึ้ เป็นไตแข็ง 2. ครทู าํ สลากใหน ักเรียนจบั เม่ือ
เหง ทับ นกั เรยี นจับสลากไดค าํ ใดให
อยธู่ รห้อย โคลงเคลงไปมา ทรงตัวไม่ได้ นกั เรียนอธิบายความหมาย
อรหันตาขีณาสพ พระอรหันต์ผูห้ มดกิเลสแลว้ ของศพั ทคาํ นั้น
อัมพุทะ รปู ของการกอ่ กา� เนดิ มนษุ ยใ์ นชว่ งสปั ดาหท์ ่ี ๒ ของการตง้ั ครรภ์ เปน็ ชว่ ง
ท่พี ฒั นาจากกลละ ขยายความเขา ใจ
อาจม สิ่งท่คี วรล้าง สงิ่ ทค่ี วรช�าระ
เอือน พยาธิในทอ้ งชนดิ หนง่ึ (ภาษาถิ่นใต้ เออื น แปลว่า ตดื ) นกั เรียนนาํ คําศพั ทจ ากเรอ่ื ง
แอ่นยนั คดเพราะตัวถูกกดดนั ด้วยลมกรรมชวาต ไตรภูมพิ ระรวงมาเขียนความเรยี ง
ตามจนิ ตนาการของนกั เรยี น อาจใช
ภาษาของนกั เรยี นเองหรือภาษา
ตามเนอ้ื เรื่องไตรภมู พิ ระรวง แลว
ตัง้ ชื่อเรอื่ งใหนา สนใจ
161
คมู อื ครู 161
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain
Expand Evaluate
กระตนุ ความสนใจ (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%)
ครูจดั กิจกรรมนอกสถานท่ี ๗ บทวเิ คร�ะห์
พานักเรยี นไปชมภาพจติ รกรรม
ฝาผนังเกย่ี วกบั มนสุ สภูมิในอโุ บสถ
ใกลโรงเรยี น หรือครจู ัดหาภาพ
ประกอบในไตรภมู พิ ระรวงมาให ๗.๑ คณุ ค่าด้านเน้อื หา
นักเรียนดู แลว ใหนักเรียนสนทนา
แลกเปลย่ี นความคิดเห็นกนั โดยครู ๑) รปู แบบ รูปแบบการแต่งเป็นร้อยแก้วที่มีสัมผัสคล้องจอง กวีแต่งประโยคเข้าใจง่าย
กาํ หนดจุดมงุ หมายของกจิ กรรม ผกู ความไม่ซบั ซ้อน
ดว ยการใหน ักเรยี นตอบคําถาม ๒) องคป์ ระกอบของเรอ่ื ง มดี งั นี้
๒.๑) สาระ เรอ่ื งไตรภมู พิ ระร่วง ตอน มนุสสภมู ิ คือ แสดงการเกดิ ของมนุษยท์ ้งั ชาย
• นกั เรียนจินตนาการเกย่ี วกบั หญิง ตงั้ แตแ่ รกเกิดจนถงึ คลอดน้ันเป็นไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน
มนุสสภมู ิวาเหมือนกับภาพ ๒.๒) โครงเรอื่ ง มกี ารลา� ดบั ความเปน็ ไปตามขน้ั ตอน โดยเนอื้ ความตอนกา� เนดิ มนษุ ยน์ ้ี
ที่ดหู รอื ไมอยางไร เร่ิมตัง้ แต่เม่ือแรกเกดิ เป็น กลละ หรือเซลลท์ ม่ี ขี นาดเลก็ มาก คอ่ ยเติบโตขน้ึ เป็น เบญจสาขาหดู
• เม่ือนักเรยี นดภู าพแลว ภาพนน้ั หรอื หดู หา้ กง่ิ และเจรญิ ขนึ้ จนเปน็ ตวั คนนง่ั คดุ คจู้ บั เจา่ อยใู่ นทอ้ งแมจ่ นกระทงั่ ถงึ เวลาคลอดกถ็ กู ลม
สงผลตอความคดิ ความรูส กึ ดนั ใหอ้ อกมา
ของนักเรยี นอยางไรบาง ๒.๓) กลวิธีการแตง่ เปน็ การเล่าเรือ่ งตามล�าดับโดยใชบ้ รรยายโวหารเป็นหลกั และใช้
พรรณนาโวหารในตอนท่ีต้องการให้รายละเอียด
๗.๒ คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์
สาํ รวจคน หา ไตรภูมพิ ระรว่ งไดร้ ับยกย่องเป็นวรรณคดพี ระพุทธศาสนาเลม่ แรกของไทย มีสา� นวนโวหาร
ไพเราะงดงาม พระราชนิพนธ์ในพระมหาธรรมราชาลิไทย พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถรอบรู้
นกั เรยี นศึกษาขอ มูลความรู เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเป็นอย่างดี ทรงสันทัดในภาษาบาลี สันสกฤต และภาษาไทย ทรงมี
เกีย่ วกับเร่อื งไตรภมู พิ ระรวงเพ่ิมเตมิ ความสามารถในการเลือกใช้ถ้อยค�าเหมาะสม ท้ังการออกเสียง จังหวะ พยางค์ การส่งและรับ
จากแหลงเรยี นรตู า งๆ เชน หนงั สอื สัมผัสอย่างคลอ้ งจอง ส�าเนียงค�าไพเราะใหค้ วามหมายชัดเจน ไตรภมู ิพระรว่ งจงึ นับเป็นตา� ราการ
ไตรภมู พิ ระรว ง หนงั สือสารานุกรม ใช้ภาษาไทยโบราณท่ีนักภาษาศาสตร์ในปัจจุบันน่าจะได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อจะได้ทราบวิวัฒนาการ
เวบ็ ไซตในอนิ เทอรเนต็ เปนตน
อธบิ ายความรู ของภาษาไทยได้เปน็ อย่างดีย่งิ
ไตรภมู พิ ระรว่ ง ตอน มนสุ สภมู ิ ใชภ้ าษาไดไ้ พเราะดว้ ยการเลน่ สมั ผสั คา� คลอ้ งจอง การซา�้ คา�
ครูและนักเรยี นรว มกันอภิปราย เพอ่ื เนน้ ความหมาย การยา้� ค�าเพ่ือความเข้าใจชดั เจน การเล่นอักษรและเล่นสัมผัสสระใหม้ ีจังหวะ
เกีย่ วกบั จดุ มุงหมายในการประพนั ธ กระทบไพเราะ ดงั ตวั อย่างทีย่ กมา ดงั นี้
ไตรภูมพิ ระรว ง ๑) การสรรคา� เปน็ การเลือกใช้ค�าลกั ษณะต่างๆ เพอื่ ความคดิ และความรู้สึก ได้แก่
๑.๑) การเลือกใช้ค�าได้ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ โดยเลือกใช้ค�าเพ่ือย้�า
• กวีมจี ดุ มุง หมายในการประพันธ ความให้หนักขนึ้ เปน็ จังหวะท�าใหไ้ พเราะน่าฟงั เชน่
อยางไร และเพราะเหตใุ ด
วรรณคดีเรอื่ งนี้จงึ ไดรบั ความ
นิยมและถูกกลาวถงึ อยเู สมอ
(แนวตอบ จุดมงุ หมายในการ
ประพนั ธไ ตรภูมิพระรว ง
ตอน มนุสสภมู ิ คือ “ควรอิ่ม 162
สงสารแล” ซึ่งกวีสะทอ นใหเ หน็
จดุ มุงหมายวา ควรหยดุ การ
เวียนวายตายเกิด นัน่ คือ การทาํ บุญ ทําความดีใหม าก ซ่งึ จากเรื่องกวีกลาวถึงความยากลําบาก
ของการเกิดเพ่ือใหคนทําความดี รักษาศลี ธรรมเพอ่ื ใหห ลุดพนจากวฏั สงสาร ไตรภูมิพระรวง
ไดรบั ความนิยมและถกู กลา วถึงอยเู สมอ เพราะสะทอนความเช่ือทางศาสนา ซึ่งผูกพนั กับ
วัฒนธรรมและศลี ธรรมประจาํ ใจของคนในสังคมไทย)
162 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
“...อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารน้ัน เม่ือกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นล�าบากนักหนา อธบิ ายความรู
พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ช้ืนแลเหม็นกล่ินตืดและเอือนอันได้ ๘๐ ครอก ซ่ึงอยู่ในท้องแม่
อันเปน็ ทีเ่ หมน็ แลทอี่ อกลูกออกเตา้ ทเ่ี ถา้ ทตี่ ายทีเ่ รว่ ฝูงตืดแลเอือนท้งั หลายนน้ั คนกนั อยู่ในท้องแม่ ตืด 1. นักเรียนรว มกนั อภปิ รายแสดง
แลเออื นฝูงนน้ั เริมตวั กมุ ารนนั้ ไสร้ ดุจดั่งหนอนอนั อยู่ในปลาเนา่ แลหนอนอันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล…” ความคิดเหน็ ในเร่อื งตอไปนี้
• การเลือกใชค ําโดยคาํ นึงถงึ เสียง
๑.๒) การเลือกใชค้ �าท่ีเหมาะแก่เนอ้ื เรอ่ื งและฐานะของบุคคลในเรอ่ื ง เช่น มีประโยชนตอ การเสพวรรณคดี
ในสมัยกอนอยางไร
“...คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนแลคลอดน้ัน บ่ห่อนจะได้สักคาบ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ (แนวตอบ สมัยกอนมีผูรูหนงั สอื
๗ เดอื นแลคลอดนนั้ แมเ้ ล้ียงเป็นคนก็ดี บม่ ไิ ด้กล้าแข็ง บม่ ิทนแดดทนฝนไดแ้ ล…” นอ ย วรรณคดีไทยจะแพรหลาย
ไปสปู ระชาชนสวนใหญในเมือง
ค�าว่า ท้องแม่ และ คลอด เป็นค�าท่ีเหมาะแก่เนื้อเร่ือง เพราะกล่าวถึงการตั้งท้อง หรอื อาณาจกั รไดโดยการฟง ผูรู
ของแม่ ส่วน บ่มิได้กล้าแข็ง บม่ ิทนแดดทนฝน เปน็ คา� ทเ่ี หมาะแกฐ่ านะของบุคคล เพราะในเรอื่ ง อา น ซงึ่ จดุ มุง หมายของกวีคือ
กลา่ วถึงลกู ทคี่ ลอดในเวลา ๗ เดือนหรือคลอดก่อนก�าหนดจะไมค่ อ่ ยแขง็ แรง ตอ งการใหป ระชาชนทาํ ความดี
๑.๓) การเลือกใชค้ �าให้เหมาะแกล่ ักษณะค�าประพนั ธ ์ เช่น ละเวนความชั่ว เพ่อื ใหหลุดพน
จากวฏั สงสาร การใชค าํ ท่มี ี
“ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวัน เสยี งเสนาะ ใชค ําทม่ี เี สียงชวย
แลน้อย คร้ังถงึ ๗ วัน เปน็ ดัง่ น้�าล้างเนื้อนน้ั เรยี กวา่ อัมพทุ ะ อัมพทุ ะน้นั โดยใหญ่ไปทุกวารไสร…้ ” เนนยํ้าความหมายใหหนักแนน
หรอื ใชเ สยี งใหเกดิ จนิ ตภาพ
กวเี ลอื กสรรคา� ทเี่ หมาะแกล่ กั ษณะคา� ประพนั ธไ์ ตรภมู พิ ระรว่ ง ซง่ึ การใชภ้ าษาจะแตกตา่ ง จะชวยใหผฟู ง คลอ ยตาม
จากค�าประพันธ์ทั่วไป เนื่องจากเป็นลักษณะของร้อยแก้วที่มีการเทศนาโวหาร จึงใช้ ก็ดี เป็น จุดมงุ หมายของกวไี ดง า ยข้นึ )
การเชอื่ มประโยค
๑.๔) การเลือกใชค้ �าโดยคา� นึงถึงเสยี ง ดงั นี้ 2. ครูสรปุ ความรเู พิ่มเติมใหแก
นกั เรียน แลวใหนักเรยี นจดบันทึก
(๑) การเลน่ สมั ผสั คล้องจอง เช่น ลงสมุด
“...แลน่ังยองอยู่ในท้องแม่ แลก�ามือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่า ขยายความเขาใจ
เมือ่ น่งั อย่นู ้ัน…”
นักเรยี นยกตวั อยางการเลือก
(๒) การใชค้ า� ซอ้ นเพอ่ื เนน้ ความ เชน่ เจบ็ เนอ้ื เจบ็ ตน แคน้ เนอื้ แคน้ ใจ เดอื ดเนอ้ื ใชคําโดยคํานึงถึงเสยี งในวรรณคดี
เดือดใจ ทนแดดทนฝน ออกลูกออกเต้า พึงเกลยี ดพงึ หนา่ ย กระหนกระหาย เช่น เรอ่ื งไตรภมู พิ ระรวง ตอน มนสุ สภูมิ
ในสว นทเี่ ปนการซอ นคําเพ่ือเนน
163 ความที่ยังปรากฏใชในปจ จบุ ัน
คนละ 2 ตัวอยาง พรอ มทงั้ บอก
เกรด็ แนะครู บรบิ ทที่ใช
ครเู พ่ิมเตมิ ความรูค วามเขาใจใหนักเรียน โดยใหนกั เรียนคนเนอื้ เร่ืองตอนอ่ืนๆ ของไตรภมู -ิ (แนวตอบ ตวั อยา งเชน
พระรวง เชน นรกภมู ิ อสุรกายภูมิ ชมพูทวปี เปน ตน เน้อื ความท่ีนกั เรียนคนมาแสดงใหเ ห็นการ • เดือดเนือ้ รอนใจ กลา วถงึ
ใชคําโดยคํานงึ ถึงเสียง นกั เรียนแลกเปลี่ยนความรูรว มกนั กับเพ่ือนๆ ครสู รุปความรูใหน กั เรยี น
เห็นวา การเลอื กใชค าํ โดยคํานึงถึงเสยี งเปน ลักษณะเดนของวรรณคดเี ร่ืองไตรภมู ิพระรว ง ผทู ่ีมีอาการรอ นรนกระวน
กระวายมเี รอ่ื งไมสบายใจ
• ทนแดดทนฝน กลาวถงึ ส่ิงของ
ท่มี อี ายกุ ารใชง านนาน หรอื
เปน การกลา วประชดประชนั
คนผา นชีวิตที่ยากลาํ บากมาได
เปน ตน)
คูมือครู 163
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรยี น 20%)
ใหน กั เรยี นรว มกันอภปิ ราย “...แลกุมารนั้นเจ็บเน้ือเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจ
• โวหารตางๆ ทป่ี รากฏในเร่อื ง แลเดอื ดเน้ือเดอื ดใจนกั หนา…”
มีความสําคญั ตอ เรอื่ งอยา งไร (๓) การยา้� คา� ทมี่ คี วามหมายเหมอื นกนั หรอื ใกลเ้ คยี งกนั เพอื่ ความเขา้ ใจชดั เจน
(แนวตอบ โวหารทป่ี รากฏมคี วาม เช่น
สาํ คัญตอเรอ่ื ง เชน บรรยายโวหาร
ทาํ ใหก ารเลาเรอื่ งเปนลาํ ดับข้ัน “...แลภูเขาอันชอ่ื คงั ไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล…”
เห็นเนอื้ ความเรยี งรอ ยชัดเจน “...แลผนู้ ้อยนัน้ กไ็ ดก้ นิ ทกุ ค�า่ เช้าทกุ วัน…”
เขาใจความตามลาํ ดบั เหตกุ ารณ
เม่อื กวตี องการรายละเอียดหรือ (๔) การเลน่ อกั ษร เสียงสัมผัสสระ และสมั ผัสพยญั ชนะ ใหม้ จี งั หวะไพเราะ เชน่
แทรกอารมณความรูสกึ จะใช
พรรณนาโวหาร รวมทง้ั ใช “ผริ ูปอนั จะเกิดเปน็ ชายก็ดเี ป็นหญิงก็ดี…”
อปุ มาโวหารเมอื่ ตอ งการเปรียบ “...ออกลูกออกเตา้ ทเ่ี ถ้า ทตี่ ายท่ีเร่ว…”
เทยี บใหเขาใจไดง าย ชัดเจน “…ดว้ ยบุญกมุ ารน้ันจะเป็นคนแลจงึ ให้บมิไหม้บมติ าย…”
และรวดเร็ว)
๒) การใชโ้ วหาร ดังน้ี
ขยายความเขาใจ ๒.๑) บรรยายโวหาร เปน็ การใช้ถอ้ ยค�าเลา่ เร่อื งราวตา่ งๆ ตามลา� ดับเหตกุ ารณจ์ นเห็น
ภาพชดั เจน ดังตวั อยา่ ง
นักเรียนยกตัวอยา งบรรยายโวหาร
พรรณนาโวหาร อปุ มาโวหาร จาก “...สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องน้ันไหม้และย่อยลง ด้วยอ�านาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น
วรรณคดีเร่ืองอนื่ ๆ ส่วนตัวกุมารน้ันบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารน้ันจะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตายเพื่อ
ดัง่ นัน้ แลแตก่ ุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บห่ อ่ นได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่หอ่ นไดเ้ หยียดตนี มอื ออกดัง่ เราท่าน
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ ท้งั หลายนสี้ กั คาบหน่งึ เลย…”
ยกตวั อยางไดจากวรรณคดที น่ี กั เรยี น
สบื คน มา เชน สามกก ไกลบา น ๒.๒) พรรณนาโวหาร เป็นการให้รายละเอียดในเรื่องโดยแทรกอารมณ์ความรู้สึก
โคลนติดลอ เปนตน ตัวอยา งเชน ลงไป เพ่อื สร้างมโนภาพให้ผอู้ า่ นเกิดภาพขนึ้ ในใจ มองเห็นภาพบรรยากาศตามที่กวตี ้องการ เช่น
- การใชอ ปุ มาโวหารจาก การพรรณนาลักษณะของทารกที่อยู่ในท้องแม่ ท�าให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สามารถมองภาพ
ท่านงั่ ของทารกในทอ้ งแม่ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ดงั ตวั อย่าง
เรอื่ งสามกก
“ตัวเราก็มไิ ดร กั ชีวติ อันความตาย 164
อุปมาเหมือนนอนหลบั ”
- การใชพรรณนาโวหารจาก นักเรียนควรรู
เรอื่ งสามัคคเี ภทคําฉนั ท
“สามยอดตลอดระยะระยับ ลกั ษณะของทารกทอี่ ยใู นทอ งแม ในระยะเวลาตา งๆ ปฏสิ นธิ : กลละ (ขนาด เศษ 1 สว น 256
วะวะวบั สลับพรรณ ของเสนผม) 7 วนั : อัมพุทะ (นํา้ ลา งเนื้อ) 14 วัน : เปสิ (ช้ินเน้อื ) 21 วนั : ฆนะ (กอ นเนอื้
ชอฟา ตระการกลจะหยนั แทงเนอ้ื ขนาดเทาไขไ ก) 28 วนั : เบญจสาขาหูด (มหี วั แขน 2 ขา 2) ครบ 1 เดอื น 35 วนั :
จะเยาะยั่วทิฆมั พร” มฝี า มือ นิ้วมอื ลายนว้ิ มอื 42 วัน : มีขน เลบ็ มอื เลบ็ เทา (เปน มนุษยค รบสมบรู ณ) 50 วนั :
- การใชบรรยายโวหารจาก ทอนลา งสมบูรณ 84 วนั : ทอนบนสมบรู ณ 184 วัน (6 เดือน) : เปน เดก็ สมบูรณ นง่ั กลางทองแม
เรอ่ื งราชาธริ าช
“ขณะเมอ่ื พระเจาฝรัง่ มงั ฆอ ง ให
มีพระราชกําหนดออกไปแกพระเจา
กรงุ จีนไปครงั้ นั้น ไพรพ ลท้ังสองฝา ย
และชาวบานชาวเมอื งเที่ยวไปมา”
เปนตน )
164 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand
Engage Explore Explain Evaluate
“...เบื้องหลังกุมารน้ันต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลก�ามือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่า ขยายความเขาใจ
ท้ังสอง เอาหวั ไว้เหนอื หัวเขา่ เม่ือนงั่ อยู่นนั้ เลือดแลนา�้ เหลืองยอ้ ยลงเตม็ ตนยะหยดทุกเม่อื แล…”
นักเรียนแตละกลุมนําความเชื่อ
๒.๓) อุปมาโวหาร เป็นโวหารท่ีกวีน�ามาใช้ประกอบเร่ืองโดยกล่าวเปรียบเทียบ เพื่อ และแนวคดิ ทไ่ี ดจ ากเรอ่ื งเปรยี บเทยี บ
ให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น กวีใช้โวหารน้ีสอดแทรกอยู่ในบรรยายโวหารและพรรณนาโวหาร กับวรรณคดีเร่อื งอน่ื ทนี่ ักเรียนเคย
เป็นส่วนมาก ท�าให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายที่กวีต้องการส่ือได้ง่าย ลึกซ้ึงและให้คุณค่า ศึกษา พรอ มยกตัวอยา ง จัดทาํ เปน
ด้านอารมณค์ วามรูส้ กึ ย่ิงนกั ดงั ตวั อยา่ ง รายงานสง ครูผูส อน
“...ฝูงตืดแลเออื นท้งั หลายนนั้ คนกนั อยใู่ นท้องแม่ ตืดแลเออื นฝูงนน้ั เรมิ ตัวกมุ ารนั้นไสร้ ดจุ ดัง่ (แนวตอบ เชน วรรณคดเี ร่อื งขนุ ชาง
หนอนอนั อยู่ในปลาเนา่ แลหนอนอนั อย่ใู นลามกอาจมนั้นแล อันว่าสายสะดอื แหง่ กุมารน้ันกลวงด่งั สาย ขุนแผนมีความเช่ือเรือ่ งเวรกรรม
ก้านบัวอนั มชี ่ือวา่ อุบล…”
• “โอเ วรกรรมทําไวแตไ รมา
“...แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเน้ือแค้นใจ แล พอเหน็ หนา ลกู แลว จะแคลว กนั ”
เดือดเนอื้ เดอื ดใจนกั หนา เหยยี ดตีนมอื บ่มไิ ด้ ดง่ั ทา่ นเอาใส่ไว้ในท่ีคับ ผแิ ลว่าเมือ่ แม่เดนิ ไปกด็ ี นอนก็ดี
ฟนื้ ตนกด็ ี กุมารอย่ใู นทอ้ งแม่น้ันให้เจบ็ เพียงจะตายแลดจุ ด่งั ลกู ทรายอันพึง่ ออกแล อย่ธู รห้อยผบิ ม่ ิดจุ ด่งั • “ตอ งจําจนทนกรรมทีต่ ดิ ตาม
คนอันเมาเหล้า ผิบ่มิดจุ ดงั่ ลกู งอู ันหมองูเอาไปเล่นน้ันแล…” จะฝน ความคดิ ไปก็ใชที”
เปน ตน )
๗.๓ คุณค่าดา้ นสังคม
เกรด็ แนะครู
๑) สะทอ้ นความเชอ่ื ของคนในสงั คม ดงั นี้
๑.๑) ความเช่อื ในเรอื่ งกรรม ไตรภมู ิพระรว่ ง ตอน มนสุ สภูมิ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ความเชอื่ ครชู ้ีแนะใหนกั เรยี นเห็นวา
ในเร่ืองการเวียนว่ายตายเกิดของสัตวโลกด้วยแรงบุญและแรงกรรมที่ได้กระท�าไว้ในขณะที่ยัง วรรณคดีเรอื่ งไตรภูมิพระรวงเปน
มีชีวิตอยู่ หากท�าบาปด้วยกาย วาจา ใจ ต้องไปเกิดในนรกภูมิ หากรู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จัก วรรณคดเี กา แกของไทย เนอ้ื หามี
ผิดชอบช่ัวดี รู้จักคุณพระรัตนตรัย มีมนุษยธรรมประจ�าใจก็ไปเกิดในมนุสสภูมิ และเมื่อจะเกิด ความเกีย่ วขอ งกบั พระพทุ ธศาสนา
เป็นมนุษย์ผู้ที่มาจากนรกภูมิด้วยแรงกรรมก็จะส่งผลให้เกิดความยากล�าบากทั้งต่อตนเองและ โดยตรง เปนวรรณคดที ่ีสงผลตอ
ผู้ให้ก�าเนิด ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนกระท่ังคลอด ส่วนผู้ที่มาจากมนุสสภูมิแห่งบุญก็จะส่งผลให้ แนวคิดกวไี ทย เห็นไดจากทกี่ วี
อยู่เยน็ เป็นสขุ ต้ังแต่แรกเกิด ตอนอยู่ในทอ้ งแม่ และเมอ่ื คลอดออกจากท้องแม่ ไดสอดแทรกเรือ่ งราวของไตรภมู ิ
๑.๒) ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เช่น สวรรค์และอุตรกุรุทวีป ซึ่งเป็นทวีปในอุดมคติ พระรว งไวใ นวรรณคดีทีแ่ ตง เชน
ท่มี นุษย์หลายคนอยากไปเกดิ อย่ทู ่ีนนั่ เพราะเปน็ ดนิ แดนที่เต็มไปดว้ ยความสขุ ความสบาย และ ลลิ ิตโองการแชงนํ้า มหาเวสสันดร-
ความสะดวกนานปั การ ชาดก รามเกียรติ์ กากีคาํ กลอน
ขนุ ชางขนุ แผน ดังตวั อยาง
165
- ลิลติ โองการแชง นํา้ กลาวถึง
ไฟบรรลยั กลั ปล างโลก
“นานาอเนกนาวเดมิ กัลป
จักร่าํ จกั ราพาฬเม่อื ไหม
กลาวถงึ ตระวันเจด็ อนั พลุง
น้ําแลง ไขขอดหาย”
- รามเกยี รติ์ พระราชนิพนธใ น
รชั กาลท่ี 1 กลา วถงึ ทวปี ทง้ั 4
ในไตรภมู พิ ระรว งวา
“สําแดงแผลงฤทธิฮ์ ึกฮัก
ขนุ ยักษไ ลม วนแผน ดิน
ชมพอู ุดรกาโร
อมรโคยานกี ไ็ ดสิ้น”
คูมือครู 165
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain
ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)
นักเรยี นรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ๒) สะทอ้ นแนวคดิ ของคนในสงั คม ดงั น้ี
ในประเดน็ ตอไปนี้ ๒.๑) สะท้อนการเกิดของมนุษย์เป็นทุกข์ เน้ือความตอน มนุสสภูมิ ก�าเนิดมนุษย์
ในทัศนะของกวีนั้น การเกิดของมนุษย์ในท้องมารดาก็เป็นความทุกข์อย่างหน่ึงไม่ใช่เร่ืองที่มี
• ความเช่ือและแนวคดิ ทีป่ รากฏ ความสุข ต้ังแต่แรกเกิดเป็นเพียงกลละ เจริญขึ้นเป็นตัวคนก็ต้องน่ังคุดคู้จับเจ่าอย่างเม่ือยล้า
ในเรือ่ งยังคงมีอยใู นสังคมไทย ขดในท่ีอันคับแคบและร้อนระอุ เมื่อถึงเวลาคลอดต้องถูกดันให้ผ่านออกทางช่องแคบๆ ท�าให้
ปจ จบุ นั หรือไม อยา งไร เจ็บปวดแสนสาหัส เชน่
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถ
แสดงความคิดเห็นไดอยา ง “...เมอ่ื ถงึ จกั คลอดนนั้ กด็ ดี ว้ ยกรรมนนั้ กลายเปน็ ลมในทอ้ งแมส่ ง่ิ หนงึ่ พดั ใหต้ วั กมุ ารนนั้ ขนึ้ หนบน
หลากหลายแตครูควรช้ีแนะ ใหห้ วั ลงมาสทู่ จี่ ะออกนน้ั ดจุ ดงั่ ฝงู นรกอนั ยมบาลกมุ ตนี แลหยอ่ นหวั ลงในขมุ นรกนน้ั อนั ลกึ ไดแ้ ลรอ้ ยวานน้ั
นักเรยี นวา แมวา ในปจจบุ นั เมื่อกุมารน้นั คลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบม่ ิพน้ ตน ตนเยน็ น้นั แลเจ็บเนื้อเจ็บตนนกั หนา…”
ความรูทางวทิ ยาศาสตรและ
วทิ ยาการทางการแพทยท เี่ จรญิ ๒.๒) สะทอ้ นใหเ้ หน็ สจั ธรรมของชวี ติ การเปลย่ี นแปลงของสรรพสง่ิ ทม่ี นษุ ยท์ กุ คนตอ้ ง
กา วหนาจะทาํ ใหรวู า คนเกิด พบเห็นในชีวติ ประจ�าวนั น่นั กค็ อื การเกิด แก่ เจ็บ และตาย
เตบิ โตและตายอยางไร แต
ความเช่อื ทป่ี รากฏในเร่ืองเปน การอ่านวรรณคดีท่ีถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุดน้ัน ผู้อ่านต้องพยายามท�าความ
ความเช่อื และศรัทธาที่ผกู โยง เข้าใจศิลปะการประพันธ์ให้ได้อย่างถ่องแท้ และรู้จักพิจารณาประเมินค่าวรรณกรรมนั้นๆ ว่าดี
ยดึ เหน่ยี วจติ ใจใหคนไมลืม หรอื ไม่ อย่างไร ทั้งดา้ นวรรณศิลป์ การท�าใหเ้ กดิ จนิ ตภาพ เกิดอารมณค์ ล้อยตาม และได้ความ
ท่จี ะทาํ กรรมดี ทําบุญ เพอ่ื บันเทิงอารมณ์ ได้ทราบค่านิยม คติเตือนใจ นอกจากนี้ พึงพิจารณาว่าวรรณคดีน้ันมีคุณค่า
การหลุดพนจากวฏั สงสาร ดา้ นการอา่ นออกเสียงใหไ้ ด้รสทางการฟัง จากการเลน่ คา� สมั ผสั สา� นวนโวหาร ความเปรยี บ
อนั เปน เปาหมายสงู สุดทาง
พระพุทธศาสนา) นอกจากน้ี คณุ คา่ ของวรรณคดยี งั อยทู่ สี่ ามารถจดจา� ไวส้ งั่ สอนลกู หลานใหม้ คี ตขิ อ้ คดิ
เกี่ยวกับความไม่แน่นอนของส่ิงต่างๆ โลกท้ังสามหรือไตรภูมิ ชี้ให้เห็นความเจ็บปวดทรมาน
ตรวจสอบผล จากการเวียนว่ายตายเกิด ใหเ้ ร่งท�าบญุ เพ่มิ พนู กุศลเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ วัฏสงสาร
การเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในการดา� เนนิ ชวี ติ ทงั้ ยงั เปน็ การถา่ ยทอดภมู ปิ ญั ญาทางภาษาไวเ้ ปน็ มรดก
1. นักเรียนสรปุ เน้ือหาของเรือ่ งเปน ของชาตติ ่อไปอีกด้วย
ความเรียงดว ยสํานวนของนักเรียน
บันทึกลงสมดุ
2. นักเรียนยกตวั อยางบทประพันธ
ที่สะทอนใหเ ห็นความเชื่อใน
สังคมไทย
3. นักเรียนตอบคาํ ถามประจําหนวย
การเรยี นรู แลว รายงานหนา ชน้ั เรยี น
เกรด็ แนะครู 166
ครูสรปุ ความเขา ใจเก่ียวกับ
ไตรภมู ิพระรว งวา กลา วถงึ โครงสรา ง
ของจักรวาล โดยกลาวถงึ ความสงู
ความกวางของเขาพระสุเมรุและเขาสตั ตบริภัณฑ การโคจรของพระอาทิตย พระจันทรและดาวพระเคราะห
กลมุ ดาวนักษัตรตา งๆ เวลาในแตละทวีป การสลายตวั และการเกิดใหมของจักรวาลเมอ่ื ส้ินกลั ป เปนตน ครชู ้ี
ใหนักเรยี นเห็นวิธกี ารอธบิ ายในไตรภูมิพระรว งวา ใชการยกเร่อื งราวทํานองนยิ ายประกอบเปน ตอนๆ โดยเฉพาะ
เม่ือกลาวถงึ มนุสสภมู ิ ตอนสดุ ทายกลา วถึงนิพพานและวิธปี ฏบิ ัตติ นเพือ่ บรรลุนพิ พานดว ยการกําจัดกิเลส
ตามขน้ั ตอนและวธิ ภี าวนาโลกตุ ตรฌานในระดบั ตา งๆ
166 คูม ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
คำาถามประจาำ หน่วยการเรียนรู้ เกร็ดแนะครู
๑. ไตรภูมิพระร่วง หมายความวา่ อยา่ งไร ได้แก่อะไรบ้าง อธิบายพอสงั เขป (แนวตอบ คําถามประจาํ
๒. วรรณคดีเรือ่ งไตรภมู ิพระรว่ ง เน้นใหเ้ ห็นถงึ ความเป็นอนจิ ลักษณะหรืออนจิ จงั หนว ยการเรียนรู
1. ไตรภูมิพระรวง หมายความวา
ของสิง่ ตา่ งๆ ในโลกน้อี ย่างไร
๓. วรรณคดเี รอ่ื งไตรภมู พิ ระร่วง ให้คุณค่าทางวรรณคดอี ยา่ งไร จงอธิบาย ภมู ทิ ง้ั สามอนั เปน ทอ่ี ยขู องสตั วโลก
ทั้งหลายท่ียังเวยี นวายตายเกดิ ใน
ตามหัวขอ้ ต่อไปนี้ สงั สารวฏั ไดแ ก กามภมู ิ รปู ภูมิ
๓.๑ คณุ ค่าด้านศาสนา และอรปู ภูมิ
๓.๒ คณุ ค่าด้านจรยิ ธรรม 2. เนนใหเ ห็นความไมเ ท่ียงแทของ
๓.๓ คุณค่าด้านประเพณีและวัฒนธรรม สงิ่ ตา งๆ ในโลก ทกุ คนตอ งพบเหน็
น่นั คือ การเกิดจากครรภม ารดา
กจิ กรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ ท่ยี ากลาํ บาก ไปสูความแกชรา
เจ็บปว ยและตายในที่สุด
๑. ใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งเนอื้ ความตอนทนี่ กั เรยี นประทบั ใจมากทส่ี ดุ พรอ้ มอธบิ ายเหตผุ ล 3. วรรณคดีเรือ่ งไตรภมู พิ ระรว ง
๒. ใหน้ กั เรียนยอ่ ความ เรอ่ื งไตรภูมิพระรว่ ง ตอน มนุสสภูมิ ใหคณุ คาดา นศาสนา จรยิ ธรรม
๓. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ กล่มุ ละ ๕- ๗ คน หาภาพจติ รกรรมฝาผนังท่เี กยี่ วกบั เรื่องราวใน ประเพณีและวัฒนธรรม ดงั นี้
3.1 คุณคา ดา นศาสนา สะทอน
วรรณคดเี ร่อื งไตรภูมพิ ระร่วง แล้วน�าเสนอหน้าช้นั เรียน
ใหเ ห็นความเชอื่ เรอ่ื งการ
167 เวยี นวา ยตายเกดิ ของสตั วโ ลก
ดว ยแรงบุญแรงกรรมทบ่ี ุคคล
หแสลดกั งฐผานลการเรยี นรู สรางขึน้ ถา ทํากรรมชวั่ เมือ่
ตายจะไปอยูใ นนรกภูมิ
1. การสรุปเร่อื งยอ ถา สามารถตระหนกั รบู าปบญุ
2. บันทึกความรเู ก่ยี วกับวรรณศลิ ป รูผดิ ชอบช่ัวดีจะไดไ ปอยูใน
3. รายงานเปรียบเทียบความคิดและความเช่ือเรือ่ งไตรภูมิพระรวงกบั วรรณคดีเรอ่ื งอื่น มนุสสภมู ิ ซึ่งเนือ้ ความช้ใี ห
เหน็ ถงึ แกน แทข องชวี ิต และ
มนุษยควรทาํ บญุ กศุ ลใหมาก
เพ่อื ใหห ลดุ พน จากการ
เวยี นวา ยตายเกดิ ในสงั สารวฏั
3.2 คณุ คาดา นจรยิ ธรรม ไตรภมู -ิ
พระรว งชใ้ี หเ หน็ วา ผปู กครอง
ประเทศตอ งมีคุณธรรม
ชาวเมอื งจึงจะอยอู ยา งมี
ความสุข แตถ า ผูปกครอง
ไมม คี ณุ ธรรมแลว บา นเมอื ง
กจ็ ะเกดิ อาเพศ
3.3 คุณคา ดา นประเพณีและ
วฒั นธรรม เชน พธิ ีศพ คือ
การจัดดอกไมธูปเทยี นใสม ือ
ผวู ายชนมก อ นปด ฝาโลงศพ
ขนึ้ เผาบนเมรุ เสมอื นการเดนิ
ทางของดวงวิญญาณผตู าย
ไปทีเ่ ขาพระสุเมร)ุ
คมู อื ครู 167
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage
Explore Explain Expand Evaluate
เปา หมายการเรยี นรู (ยอ จากฉบบั นักเรียน 20%)
1. วเิ คราะหค ุณคาของบทประพนั ธ บทเสรมิ
ที่อานและฟง ได
บทอาขยาน
2. บอกคุณคาของบทประพนั ธที่
ทองจําได
3. ประยุกตบทประพันธท ี่มคี ณุ คา
นําไปใชประโยชนในชีวติ ได
กระตนุ ความสนใจ การทองจําคําประพันธที่มีคุณคาจะชวยใหผูอานไดสัมผัสกับความงามของภาษาไทย
ครูขออาสาสมคั รนกั เรยี นออกมา ในมติ ทิ างดา นเสยี งและความหมายเฉพาะ คาํ ประพนั ธห รอื บทรอ ยกรองนน้ั จะมคี วามไพเราะ
อา นบทประพันธโ คลงโลกนติ ิ ใหคติสอนใจ ซึ่งเปนการสงเสริมใหผูเรียนเกิดความซาบซึ้ง เห็นความงดงามของภาษา
เห็นคุณคาของภาษาและวรรณคดีไทยที่เปนเอกลักษณและเปนสมบัติของชาติท่ีควรคา
“ถึงจนทนสกู ดั กินเกลอื แกก ารรกั ษาและสบื สานใหค งอยตู ลอดไป รวมทง้ั ยงั ชว ยกลอ มเกลาจติ ใจใหน าํ ไปสกู ารดาํ เนนิ
อยา เทีย่ วแลเนอื้ เถอื พวกพอง ชิวี ิตที่ดงี าม ทงั้ น้กี ารทอ งจาํ คาํ ประพันธยงั เปน พน้ื ฐานในการแตงคาํ ประพันธอ ีกดวย
อดอยากเยยี่ งอยางเสือ สงวนศักดิ์
โซก็เสาะใสท อ ง จับเนื้อกินเอง”
จากนน้ั ครตู ั้งคาํ ถามใหน กั เรยี น
ตอบ
• นกั เรยี นคิดวาบทประพนั ธน ี้
กลา วถึงอะไร
(แนวตอบ กลา วถงึ การพ่ึงพา
ตนเอง การหย่ิงในศกั ด์ิศร)ี
• บทประพันธน ้ตี รงกับ
พุทธพจนใ ด
(แนวตอบ
“อตฺตาหิ อตฺตโนนาโถ”
ตนแลเปนท่ีพง่ึ แหงตน)
168 คูม ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate
๑ การทอ งจําบทอาขยาน สาํ รวจคน หา
พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔ ไดน ยิ ามคาํ อาขยาน (อา-ขะ-หยฺ าน) นกั เรยี นแบงกลุม กลุม ละ 4 - 5 คน
ไววา หมายถึง บททองจาํ การเลา การสวด เรอ่ื ง และนทิ าน รวมกนั ศึกษาความรูในประเด็น
คณุ คา ของการทอ งจาํ บทอาขยาน
ในระยะแรก (พ.ศ. ๒๔๗๗ - ๒๔๗๘) การทองบทอาขยานเปนการทองจําบทรอยกรอง โดยรวบรวมบทประพันธท ่ีนกั เรียน
ท่ีไพเราะ ซ่ึงตัดตอนมาจากหนังสือวรรณคดี โดยนํามาทองประมาณ ๓ - ๔ หนา แตเมื่อมีการ เคยทอ งจํา พรอมบอกคณุ คาที่ได
ประกาศใชหลักสตู รประถมศกึ ษา พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ หลกั สูตรมัธยมศึกษา พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ รับจากการทอ งจําบทประพันธท ่ี
และหลักสูตรมธั ยมศกึ ษา พุทธศกั ราช ๒๕๒๔ จนถึงหลกั สตู รฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๓ นกั เรยี นจดจาํ ได คนละ 2 ขอ
ซึ่งในทุกหลักสูตรที่กลาวมา มิไดระบุใหชัดเจนเกี่ยวกับการใหทองบทอาขยาน อันเปนสาเหตุ แลวจดบันทึกลงสมุด
ใหการทองบทอาขยานเริ่มลดนอยลงไป จนถึงพุทธศักราช ๒๕๓๘ จึงไดมีการกําหนดใหทอง
บทอาขยานในระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย แตก็ยงั ไมแพรหลายเทาทีค่ วร อธิบายความรู
ดังนั้นตั้งแตพุทธศักราช ๒๕๔๒ เปนตนมา กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบายกําหนด นกั เรียนสงตัวแทนกลมุ นําเสนอ
ใหม กี ารทอ งบทอาขยานในสถานศกึ ษา ทง้ั นเี้ พอ่ื ใหน กั เรยี นมโี อกาสทอ งจาํ บทรอ ยกรองที่ไพเราะ คุณคาในการทองบทอาขยาน
ใหคติสอนใจ เพื่อเปนการสงเสริมใหนักเรียนเกิดความซาบซ้ึง เห็นความงดงามของภาษาและ
เห็นคุณคา ของภาษาและวรรณคดีไทยทีเ่ ปน เอกลกั ษณแ ละมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ (แนวตอบ
1. ใหคณุ คาดานอารมณ
๑.๑ วัตถปุ ระสงคใ นการอา น คาํ ประพันธท ไ่ี พเราะจากการท่ี
กวใี ชค ําไดเหมาะสมลึกซง้ึ กินใจ
การอานและการทองจําบทอาขยานมีวัตถุประสงคสําคัญ เพื่อใหนักเรียนตระหนักถึง ทําใหผ ูอา นเกดิ จินตนาการ และ
คุณคาของภาษาไทย มีความซาบซ้ึงในความไพเราะของบทรอยกรอง เกิดความภาคภูมิใจใน คลอยตามเน้ือเร่ือง
ความสามารถของกวไี ทย นอกจากนบ้ี ทอาขยานยงั เปน สอ่ื ในการถา ยทอดคณุ ธรรม คตธิ รรม และ 2. ใหค ณุ คา ดา นสงั คม บทประพนั ธ
ขอ คดิ ทส่ี าํ คญั ซง่ึ จะชว ยสง เสรมิ จติ สาํ นกึ ทางวฒั นธรรมของคนในชาตใิ นฐานะ “รากรว มวฒั นธรรม” ท่ีมีคุณคาจะประเทอื งปญ ญา
นอกจากน้ี ยังเปน พื้นฐานสาํ คัญในการแตงคําประพันธอ กี ดว ย สอดแทรกความรู คุณธรรม คตธิ รรม
3. ใหคุณคา ทางประวัติศาสตร
๑.๒ บทอาขยานที่กาํ หนดใหทองจาํ ภาษา วฒั นธรรม ประเพณี
4. ผทู องบทอาขยานมคี วามเขา ใจ
บทอาขยานทก่ี าํ หนดใหท อ งจําแยกประเภทได ดังน้ี ในชีวิต มคี วามรกั ความภาคภมู ใิ จ)
๑) บทหลัก หมายถึง บทอาขยานท่ีกระทรวงศึกษาธิการเปนผูกําหนดใหนักเรียน
นักเรยี นควรรู
ทองจํา โดยคัดเลอื กกวนี พิ นธตอนทไ่ี พเราะ ถูกตอ งตามฉนั ทลักษณม คี ุณคาทางวรรณศิลป และ
คติชวี ิต ใหน ักเรียนทกุ ชัน้ ทั่วประเทศทอ งจําทกุ ภาคเรยี น เพลงกลอ มเด็ก มลี ักษณะเปน
บทรอยกรองสั้นๆ มีสัมผัสคลองจอง
๒) บทเลือก หมายถงึ บทอาขยานทค่ี รูผูสอนแนะนําเพ�ิมเตมิ หรือเปน บทอาขยานท่ี กนั แบง ตามเนอื้ หาออกเปน 5 ประเภท
นกั เรยี นชอบ อาจเปน บทรอยกรองทแ่ี สดงภมู ิปญ ญาทอ งถิ�น เชน เพลงพ้นื บา น เพลงกลอ มเด็ก คอื 1. แสดงความรกั ความหว งใย
บทกวรี ว มสมยั ท่ีมคี ณุ คา โดยกาํ หนดใหทอ งจําภาคเรียนละ ๑ บท เปน อยางนอย 2. กลาวถึงธรรมชาติและสิ่งแวดลอม
3. กลาวถงึ นทิ านหรอื วรรณคดี
๑๖๙ 4. กลาวลอเลยี นและเสียดสีสงั คม
5. กลาวถึงคตคิ าํ สอน
คมู อื ครู 169
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate
สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%)
ใหนกั เรยี นศกึ ษาการอา นทํานอง ๒ บทอ�ขย�น ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษ�ปที ่ี ๖
เสนาะในคาํ ประพนั ธป ระเภท
ฉนั ทลกั ษณ ดงั ตอไปนี้ บทหลัก
• โคลงสสี่ ุภาพ กาพย์เห่เรอื
• กาพยยานี 11
• กลอนเสภา พระราชนพิ นธ์เจ้าฟ้าธรรมธเิ บศร
อธิบายความรู โคลง
1. นกั เรยี นจบั คูฝก อา นกาพยเหเรือ ปางเสด็จประเวศดา้ ว ชลาลยั
โดยอานใหเ พอ่ื นฟง แลว ผลัดกัน ทรงรัตนพิมานชยั กิง่ แกว้
ติชม พรง่ั พรอ้ มพวกพลไกร แหนแห่
เรือกระบวนต้นแพร้ว เพรศิ พร้ิงพายทอง
2. นักเรยี นทอ งจาํ บทประพนั ธ
กาพยเ หเรอื ในหนา 170 แลวจบั คู กาพย์ ทรงเรือตน้ งามเฉดิ ฉาย
ถอดคําประพนั ธเปน สาํ นวนภาษา พายอ่อนหยับจบั งามงอน
ของนกั เรียนเอง จากนั้นครสู มุ พระเสด็จโดยแดนชล ลว้ นรูปสตั วแ์ สนยากร
นักเรยี น 3 - 4 คู มาชวยกนั ก่ิงแก้วแพร้วพรรณราย สาครลน่ั คร่ันครื้นฟอง
เรียบเรยี งการถอดคําประพนั ธ ล่ิวลอยมาพาผนั ผยอง
หนา ช้ันเรียน นาวาแน่นเป็นขนัด รอ้ งโหเ่ หโ่ อเ้ ห่มา
เรือริ้วทิวธงสลอน เพียงพมิ านผา่ นเมฆา
3. นักเรียนจดบันทึกลงสมุด และ หลงั คาแดงแยง่ มังกร
ทองจาํ บทประพันธร ายบคุ คล เรอื ครฑุ ยุดนาคห้ิว
กับครูนอกเวลาเรยี น พลพายกรายพายทอง
สรมุขมขุ ส่ีดา้ น
ม่านกรองทองรจนา
สมรรถชยั ไกรกาบแก้ว แสงแวววบั จับสาคร
เกร็ดแนะครู เรยี บเรยี งเคียงคจู่ ร ดงั่ รอ่ นฟา้ มาแดนดิน
สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลงั สนิ ธุ์
ครแู นะนักเรียนเกีย่ วกับการอาน เพียงหงส์ทรงพรหมนิ ทร์ ลนิ ลาศเลื่อนเตือนตาชม
รวดเร็วจรงิ ยงิ่ อย่างลม
บทอาขยานวา แบง ออกเปน 2 ลกั ษณะ เรือชยั ไวว่องวง่ิ หม่ ทา้ ยเยน่ิ เดินคกู่ นั
1. อานทํานองสามัญหรอื อาน เสียงเสา้ เร้าระดม
ตามปกติ ตองออกเสยี ง /ร/
/ล/ ชัดเจน แต /ร/ ไมค วรเนน
จนเกินไปจะทาํ ใหนาขันมาก
กวานา ฟง และโดยเฉพาะคาํ
ท่รี บั สมั ผสั ตอ งเนน เสียงใหช ดั
กวา ปกติ ถามสี ัมผสั นอกตอง
ทอดเสยี งใหย าวกวา ปกติ 170
2. อา นทํานองเสนาะ ครแู นะ
ใหนกั เรียนใชเ ครือ่ งหมายบอก
จงั หวะ ไดแก เวน จังหวะใช / เอื้อนยาวกวา ปกตใิ ช // แบงคําในวรรค
ออกเปนจังหวะใชเ คร่อื งหมาย + ตัวเลข เชน 3 + 2 คอื ในวรรคนน้ั มี
5 คํา แบงเปน 2 จังหวะ จังหวะหนา 3 และจังหวะหลัง 2
170 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage Explore
บทเลอื ก อธิบายความรู
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ใหนักเรยี นทองจําบทประพนั ธ
หนา 171 และบอกคณุ คา ทไ่ี ดร ับ
ตอน ขนุ แผนขนึ้ เรือนขนุ ชา้ ง จากการทอ งจาํ บทประพนั ธน ้ี
โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ ของขุนชา้ งปลกู ไวอ้ ย่ดู าษดนื่ (แนวตอบ คณุ คาดา นสงั คมทําให
รวยรสเกสรเม่อื ค่อนคืน ชื่นช่ืนลมชายสบายใจ เขาใจวถิ ชี ีวติ ความเปน อยู ความเช่ือ
กระถางแถวแกว้ เกดพิกุลแกม ยส่ี ่นุ แซมมะสงั ดัดดูไสว คา นยิ มของคนสมยั กอ น โดยเฉพาะ
สมอรดั ดัดทรงสมละไม ตะขบข่อยคัดไว้จงั หวะกัน บา นเรือนของผมู ฐี านะ)
ตะโกนาทิง้ กิ่งประกับยอด แทงทวยทอดอินพรมนมสวรรค์
บา้ งผลิดอกออกชอ่ ขน้ึ ชชู ัน แสงพระจันทรจ์ ับแจม่ กระจ่างตา ขยายความเขาใจ
ย่ีสุ่นกหุ ลาบมะลซิ อ้ น ซ่อนชชู้ ูกลน่ิ ถวลิ หา
ล�าดวนกวนใจใหไ้ คลคลา สาวหยดุ หยุดชา้ แลว้ ยนื ชม 1. ใหน กั เรียนคดั ลอกบทประพันธ
ถัดถงึ กระถางอา่ งน้�า ปลาทองว่ายคลา่� เคล้าคลงึ สม วรรคทองท่ีนักเรยี นเห็นวาให
พ่นนา้� ดา� ลอยถอยจม นา่ ชมชักค่อู ยู่เคียงกนั คณุ คา ดานตางๆ จาํ นวน 2 ช้ิน
บ้างแหวกจอกออกช่องภเู ขาเคียง วดั เหว่ยี งแว้งหางระเหิดหนั พรอ มทั้งบอกท่ีมาของบทประพนั ธ
บ้างกินไคลไล่เคลา้ พลั วัน ถัดนั้นแอกไถละไมงอน • แสดงความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น
กระดึงพรวนล้วนสกั หลาดทบั ดาวประดับดวงเด่นดสู ลอน ตอ บทประพนั ธแ ตละช้นิ วาให
สลกั เสลาเกลาเกลย้ี งอรชร เชอื กใช้ไวซ้ อ้ นสลบั กนั คณุ คา ดานใด และใหแ งคิดกับ
เคร่ืองมา้ ดาดาษจังหวะวาง เคร่อื งช้างสารพดั จะจดั สรร นักเรยี นอยางไร
ขอครา่� ด้ามพลองทองพัน ถัดนนั้ ย่างเย้อื งชา� เลอื งมา
2. ใหนกั เรียนทกุ คนนาํ เสนอ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย วรรคทองทีช่ ่นื ชอบท่ีสดุ คนละ
1 ชิ้น พรอมบอกท่ีมาและ
ความหมายของวรรคทองน้ัน
นักเรียนเลือกบันทกึ วรรคทอง
ของเพ่อื นที่นกั เรียนสนใจจํานวน
5 ชนิ้ พรอมบอกเหตผุ ล
การท่องจ�าบทอาขยาน นอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เห็นคุณค่าและ ตรวจสอบผล
ความงามของภาษาแลว้ คา� ประพนั ธท์ ที่ อ่ งจา� นน้ั ยงั ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ หน็ ถงึ วธิ กี ารเขยี นยอ่ ความ
หรือสรุปความ การเลือกใช้ค�าให้ตรงความหมาย การหลากค�า เพราะค�าประพันธ์บทหน่ึง 1. นกั เรยี นสามารถทอ งจาํ บทอาขยาน
ล้วนเป็นงานเขียนที่ผู้แต่งหรือกวีได้คิดสรรร้อยเรียงเรื่องราวไว้อย่างงดงาม ด้วยการใช้ภาษา หลักได
อย่างสละสลวย แล้วยังช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีจิตส�านึกและเห็นคุณค่าทางวัฒนธรรมของชาติ
ในฐานะ “รากร่วมวฒั นธรรม” 2. นกั เรยี นบอกคณุ คาที่ไดร ับจาก
การทองบทอาขยาน
171
3. นกั เรยี นอา นและทอ งบทอาขยาน
ไดอยางไพเราะ
4. นักเรยี นสามารถยกวรรคทองจาก
วรรณคดไี ทยทช่ี ่นื ชอบมานาํ เสนอ
ได
แหสลดกั งฐผานลการเรยี นรู คูมือครู 171
1. การทอ งจาํ บทอาขยานหลัก
2. การบอกคณุ คา ทีไ่ ดรับจากการทอ งบทอาขยาน
3. การบอกวรรคทองจากวรรณคดีไทย
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
(ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%)
ºÃóҹءÃÁ
กุสุมา รกั ษมณ.ี (๒๕๔๙). การวิเคราะหว์ รรณคดไี ทยตามทฤษฎีวรรณคดสี นั สกฤต. พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๒.
กรงุ เทพฯ : ภาควิชาภาษาตะวนั ออก มหาวิทยาลัยศลิ ปากร.
เจตนา นาควชั ระ. (๒๕๔๒). ทฤษฎเี บอ้ื งตน้ แหง่ วรรณคด.ี พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒ (ปรบั ปรงุ ถอ้ ยคา� ). กรงุ เทพฯ : ศยาม.
ชลดา เรอื งรกั ษล์ ิขิต. (๒๕๔๖). วรรณลลติ : รวมบทความวิจัยวรรณคดแี ละคา� ประพันธไ์ ทย. กรุงเทพฯ : โครงการ
เผยแพรผ่ ลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ชานกุ ร วรรณศลิ ป์ และคณะ. (มปป). นกในวรรณคดไี ทย. กรงุ เทพฯ : ปนั ร.ู้
ชติ บรุ ทัต. (๒๕๔๙). สามัคคเี ภทคา� ฉันท.์ พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๓๗. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
ดา� รงราชานภุ าพ, สมเดจ็ ฯ กรมพระยา. (๒๕๔๔). สามกก. กรงุ เทพฯ : ศลิ ปาบรรณาคาร.
ธเนศ เวศรภ์ าดา. (๒๕๔๙). หอมโลกวรรณศลิ ป : การสรา้ งรสสุนทรยี ์แห่งวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ : ปาเจรา.
นรนติ ิ เศรษฐบตุ ร. (๒๕๔๕). สนุกกับขนุ ช้างขุนแผน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ ุรสุ ภาลาดพรา้ ว.
นิยะดา เหลา่ สุนทร. (๒๕๔๒). พินจิ วรรณการ. กรุงเทพฯ : แม่คา� ผาง.
บุญยงค์ เกศเทศ. (มปป). ประวตั ศิ าสตร์วรรณกรรม. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
บุญเหลือ เทพยสวุ รรณ. (มปป). วิเคราะห์รสวรรณคดไี ทย. กรุงเทพฯ : ศยาม.
เปลื้อง ณ นคร. (๒๕๔๑). ประวัติวรรณคดีไทย. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
ราชบัณฑติ ยสถาน. (๒๕๕๐). พจนานุกรมศพั ท์วรรณคดีไทย ภาคฉันทลักษณ์. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน.
.(๒๕๕๓). อา่ นอยา่ งไรและเขยี นอยา่ งไร ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน (แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ). กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน.
รนื่ ฤทยั สัจจพนั ธุ์ ชมัยภร แสงกระจา่ ง และอรพนิ ท์ ค�าสอน. (๒๕๔๗). พลงั การวจิ ารณ ์ : วรรณศลิ ป. กรงุ เทพฯ :
ประพันธส์ าส์น.
รุง่ ธรรม ศรีวรรธนศิลป์. (๒๕๕๐). ดอกไมใ้ นวรรณคดไี ทย. กรุงเทพฯ : วาดศิลป์.
วทิ ย์ ศวิ ะศริยานนท.์ (๒๕๔๔). วรรณคดแี ละวรรณคดีวิจารณ.์ พิมพค์ ร้งั ท่ี ๖. กรุงเทพฯ : ธรรมชาต.ิ
ววิ ัฒน์ ประชาเรืองวทิ ย์. (๒๕๔๒). สามกก ฉบับสมบูรณพ์ รอ้ มคา� วิจารณ์. กรุงเทพฯ : ซเี อด็ ยูเคชนั่ .
ศักด์ิศรี แย้มนัดดา. (๒๕๕๓). ส�านวนไทยท่ีมาจากวรรณคดี. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะ
อักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ศกึ ษาธกิ าร, กระทรวง. (๒๕๔๒). พนิ ิจวรรณกรรม. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพรา้ ว.
สถาบันภาษาไทย ส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (๒๕๔๖). แนวการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม.
กรุงเทพฯ : สถาบนั ภาษาไทย สา� นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน.
สาขาวชิ าศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.(๒๕๕๐). เอกสารการสอนชดุ วชิ า ๑๒๓๐๖ พฒั นาการวรรณคดี
ไทย. พิมพ์คร้ังท่ี ๗. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช.
สุจิตรา จงสถิตวัฒนา. (๒๕๔๙). ภาษาวรรณศิลปในวรรณคดีไทย. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่
ผลงานวชิ าการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
เสฐยี รโกเศศ (นามแฝง). (๒๕๔๖). การศึกษาวรรณคดแี งว่ รรณศลิ ป. พิมพค์ รั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ : ศยาม.
เอกรัตน์ อดุ มพร. (๒๕๕๓). เล่าเรอ่ื ง ยอดวรรณคดไี ทย ไตรภูมพิ ระร่วง. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศึกษา.
เอมอร ชติ ตะโสภณ. (๒๕๔๕). การศกึ ษาเปรยี บเทียบวฒั นธรรมไทยผ่านวรรณกรรมช้นิ เดน่ ของไทย : รายงานวิจัย.
พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๓. เชยี งใหม่ : โรงพิมพ์ม่ิงขวญั .
172
172 คมู ือครู
ภาคผนวก
เรือ่ ง ขตั ตยิ พนั ธกรณี
ตัวช้ีวัด
• วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการ
วจิ ารณเ์ บอ้ื งตน้ (ท ๕.๑ ม. ๔-๖/๑)
• วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเชื่อมโยงกับการเรียนรู้
ทางประวตั ศิ าสตร์และวิถีชีวิตของสังคมในอดีต
(ท ๕.๑ ม. ๔-๖/๒)
• วเิ คราะหแ์ ละประเมนิ คณุ คา่ ดา้ นวรรณศลิ ปข์ องวรรณคดแี ละ
วรรณกรรมในฐานะทเ่ี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
(ท ๕.๑ ม. ๔-๖/๓)
• สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือน�ำ
ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจรงิ (ท ๕.๑ ม. ๔-๖/๔)
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
• วิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินคณุ คา่ วรรณกรรม
เรอ่ื ง ขัตติยพนั ธกรณี
๑ ความเป็นมา
ขัตติยพันธกรณี หมายความว่า เหตุอันเป็นข้อผูกพันของกษัตริย์ โดยเป็นเร่ืองท่ีมีความเชื่อมโยงกับ
วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กลา่ วคอื ประเทศฝรง่ั เศสและประเทศไทย
เกิดความขัดแย้งกันในเรื่องเขตแดน กระทั่งเกิดการต่อสู้กันท�ำให้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตด้วยกันท้ัง ๒ ฝ่าย
จากเหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ทำ� ใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ทรงพระประชวรดว้ ยโรคพระหทยั ทรงเกดิ
ความทกุ ขโ์ ทมนสั เปน็ อยา่ งยง่ิ จงึ หยดุ เสวยพระโอสถและไดท้ รงพระราชนพิ นธบ์ ทโคลงและฉนั ทเ์ พอ่ื อำ� ลาพระราชวงศ์
ของพระองค์ เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ พระเจ้าน้องยาเธอในพระบาทสมเด็จ-
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ไดร้ ับพระราชทานพระราชนิพนธ์แล้ว ก็ทรงนพิ นธค์ �ำฉันท์ทลู เกลา้ ถวายตอบในทนั ที
๒ ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กบั สมเดจ็ -
พระเทพศริ นิ ทราบรมราชนิ ี มพี ระบรมราชสมภพเมอ่ื วนั ที่ ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เมอ่ื สมเดจ็ พระบรมชนกนาถเสดจ็
สวรรคต พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ขนึ้ ครองราชสมบตั ขิ ณะมพี ระชนมายเุ พยี ง ๑๕ พรรษา พระองคท์ รงศกึ ษาความเปน็ ไปของ
บา้ นเมอื งและของตา่ งประเทศ ทำ� ใหท้ รงบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี พระองคท์ รงเลกิ ทาสไดส้ ำ� เรจ็ โดยไมเ่ สยี
เลือดเน้ือ นอกจากน้ี ยงั เปน็ กวีทม่ี พี ระปรีชาสามารถในทางอกั ษรศาสตร์ ไดท้ รงพระราชนิพนธ์วรรณคดที งั้ รอ้ ยแก้ว
และรอ้ ยกรองจ�ำนวนมาก ในวาระฉลองวันพระบรมราชสมภพครบ ๑๕๐ ปี เมื่อวนั ที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖
องคก์ ารการศกึ ษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาตไิ ดป้ ระกาศยกยอ่ งใหท้ รงเปน็ บคุ คลทสี่ �ำคญั ของโลก
ผูม้ ผี ลงานดเี ดน่ สาขาการศกึ ษาวฒั นธรรมสังคมศาสตร์มานษุ ยวทิ ยาการพัฒนาสังคมและการส่ือสาร
ภาคผนวก 1
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ เป็นพระโอรสล�ำดับที่ ๕๗ ในพระบาทสมเด็จ-
พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวและเจา้ จอมมารดาชุ่ม ประสตู เิ มือ่ วันท่ี ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ เมอ่ื เจริญวัยทรงไดร้ บั
ราชการดา้ นการปกครองและดา้ นการศกึ ษา ทรงเปน็ เสนาบดกี ระทรวงมหาดไทยคนแรกของเมอื งไทยในปี พ.ศ. ๒๔๓๕
และทรงเปน็ อธกิ ารบดีกระทรวงธรรมการคนแรกในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ทรงเป็นนักปราชญ์ในการประพนั ธท์ ้ังร้อยแก้ว
และร้อยกรองเป็นจ�ำนวนมาก นอกจากน้ี ยงั ทรงมีความสามารถทางด้านประวตั ิศาสตร์ ทรงได้รบั ยกย่องเป็นบิดา
แหง่ ประวตั ศิ าสตร์และโบราณคดีของประเทศไทย และในวาระฉลองวันประสูตคิ รบ ๑๐๐ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๐๕ องคก์ าร
ศกึ ษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาตไิ ดป้ ระกาศยกยอ่ งใหท้ รงเปน็ บคุ คลดเี ดน่ ดา้ นวฒั นธรรมของโลก
๓ ลกั ษณะค�ำ ประพันธ์
ขตั ตยิ พนั ธกรณแี บง่ เปน็ ๒ สว่ น คอื สว่ นแรก พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธเ์ ปน็
โคลงสส่ี ภุ าพ ๗ บท และอนิ ทรวเิ ชยี รฉนั ท์ ๔ บท สว่ นทสี่ อง สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ
ทรงนพิ นธเ์ ปน็ อนิ ทรวเิ ชยี รฉนั ท์ จำ� นวน ๒๖ บท ซงึ่ เปน็ ฉนั ทท์ ไี่ มเ่ ครง่ ครดั ครุ ลหุ แตท่ รงใชต้ ามการออกเสยี งหนกั เบา
ของพยางคต์ ามธรรมชาตขิ องภาษาพดู ในภาษาไทย
๔ เร่ืองย่อ
ส�ำนวนพระราชนิพนธ์ ท่ีเป็นโคลงส่ีสุภาพ มีใจความว่าพระองค์ประชวรมาเป็นเวลานานเป็นท่ีหนักใจแก่
ผู้รักษาพยาบาลไม่น้อย จึงคิดจะปลดเปลื้องภาระน้ันด้วยหมายจะไปสู่ภพหน้า ให้คลายจากพระอาการโรค แต่ยัง
ทรงตระหนกั ในพระราชภาระ คอื การบรหิ ารราชการแผน่ ดินในภาวะคบั ขนั และการจะรกั ษาอำ� นาจอธิปไตยให้คงอยู่
เปรียบตะปูทต่ี รึงพระบาทมิใหเ้ สดจ็ ไปสู่ “ภพหนา้ ” และทงิ้ ใหส้ ยามประเทศเผชิญกับวิกฤตการณค์ รง้ั นไ้ี ด้
ความในส่วนท่ีเป็นอินทรวิเชียรฉันท์ ทรงมีพระราชปรารภว่าทรงหมดก�ำลังพระทัยจะทรงรักษาพระวรกาย
จากอาการประชวรกำ� เริบต่อเนอื่ ง รวมถงึ ทรงไม่เหน็ ทางจะรักษาแผ่นดินไวไ้ ด้ จงึ ทรงเปรียบพระองค์ว่ากลัวจะเปน็
เช่นพระมหากษัตริย์ ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระมหินทราธิราช และสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ที่ไม่สามารถรักษา
พระนครศรอี ยธุ ยาไวไ้ ด้
ส�ำนวนพระนิพนธ์ ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ มีใจความกล่าวถวายก�ำลัง
พระทัยว่าพระองค์และพระบรมวงศ์ทรงตระหนักในพระอาการประชวรคร้ังนี้เพียงไร ทรงถวายข้อคิดว่า ประชาชน
ทุกหมู่เหลา่ ยอ่ มเปรียบเสมือนลกู เรือใน “รัฐนาวา” ซึง่ คงจะมีแต่ความทุกข์ ว้าเหว่ อึดอดั หวาดระแวงไปทุกหนา้ ที่
ทรี่ ับผิดชอบ หากพระองค์ผ้เู ปน็ ศูนย์กลางของรฐั อันเปรียบไดก้ ับ “กะปติ นั ” ผคู้ วบคมุ “รัฐนาวา” เกิดความท้อแท้
สน้ิ หวังในการจะฟันฝ่าคล่นื ลมหรอื อปุ สรรค แต่ถา้ ผู้น�ำและลูกเรือต่างพรอ้ มใจกนั ก็ย่อมฝ่าพ้นไปได้หรอื หากจะตอ้ ง
ลม่ จมลงก็เปน็ ไปตามกรรม ไมเ่ สยี ทที ่ีทกุ คนไดใ้ ช้ความพยายามอยา่ งย่งิ ยวด
จากนน้ั จงึ ทรงปวารณาพระองคเ์ องวา่ จะทรงปฏบิ ตั ริ าชการสนองเบอ้ื งพระยคุ ลบาทตราบสน้ิ ชวี ติ ทงั้ ยงั ทรงถวาย
พระพรในตอนทา้ ยใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเรว็ และขอใหท้ รง
ส�ำเรจ็ พระราชกรณียกิจตามพระราชประสงค์ทกุ ประการ มพี ระชนมายุยง่ิ ยนื นาน
2 ภาคผนวก
๕ เน้ือเรอ่ื ง
ขตั ตยิ พนั ธกรณี พระราชนิพนธ์
เจ็บนานหนักอกผู ้ บริรกั ษ์ ปวงเฮย
คดิ ใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง
ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลนั สรา่ ง
ตูจกั สภู่ พเบ้ือง หนา้ น้ันพลันเขษม
เป็นฝีสามยอดแลว้ ยังราย สา่ นอ
ปวดเจ็บใครจกั หมาย เชอื่ ได้
ใช่เปน็ แต่ส่วนกาย เศยี รกลดั กลุ้มแฮ
ใครตอ่ เปน็ จึ่งผู้ นนั่ นนั้ เห็นจรงิ
ตะปดู อกใหญ่ตร้ึง บาทา อยเู่ ฮย
จงึ บ อาจลีลา คลอ่ งได้
เชิญผูท้ ่เี มตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ
ชกั ตะปนู ้ีให้ ส่งข้าอัญขยม
ชวี ติ มนุษยน์ ี้ เปลยี่ นแปลง จริงนอ
ทกุ ขแ์ ละสุขพลกิ แพลง มากคร้ัง
โบราณทา่ นจึงแสดง เปน็ เยยี่ ง อยา่ งนา
ชวั่ นบั เจด็ ทที ัง้ เจด็ ข้างฝ่ายดี
เป็นเด็กมสี ุขคลา้ ย ดรี ฉาน
รูส้ ขุ รู้ทุกข์หาญ ขลาดดว้ ย
ละอย่างละอย่างพาล หย่อนเพราะ เผลอแฮ
คลา้ ยกบั ผูจ้ วนมว้ ย ชีพสิน้ สตสิ ญู
ฉันไปปะเด็กหา้ หกคน
โกนเกศนุ่งขาวยล เคลบิ เคลิ้ม
ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเคร่ือง
ไปทหี่ อศพเรม้ิ รกิ เร้าเหงาใจ
กล้วยเผาเหลืองแกก่ ้�ำ เกนิ พระ ลักษณ์นา
แรกกอ็ อกอร่อยจะ ใคร่กล้�ำ
นานวันยงิ่ เครอะคระ กลนื ยาก
ทนจอ่ ซ่อมจิม้ จ�้ำ แดกสิน้ สุดใบ
ภาคผนวก 3
เจ็บนานนกึ หนา่ ยนติ ย ์ มะนะเร่อื งบำ� รุงกาย
สว่ นจติ บ มีสบาย ศริ ะกล้มุ อรุ าตรึง
แมห้ ายก็พลันยาก จะลำ� บากฤทยั พึง
ตริแต่จะถกู รึง อรุ ะรดั และอตั รา
กลวั เป็นทวิราช บ ตรปิ ้องอยธุ ยา
เสียเมืองจงึ นินทา บ ละเว้น ฤ ว่างวาย
คดิ ใดจะเกีย่ งแก ้ ก็ บ พบซงึ่ เงื่อนสาย
สบหนา้ มนุษย์อาย จึงจะอดุ แลเลยสญู ฯ
พระนพิ นธ์
ขอเดชะเบอื้ งบาท วรราชะปกศ-ี
โรตม์ขา้ ผ้มู ั่นม ี มะนะต้ังกตญั ญู
ได้รับพระราชทาน อา่ นราชนิพันธ์ดู
ทง้ั โคลงและฉันท์ต ู ขา้ จงึ ตริดำ� รติ าม
อันพระประชวรครงั้ น้ีแท้ทัง้ ไผทสยาม
เหล่าขา้ พระบาทความ วิตกพ้นจะอปุ มา
ประสาแต่อยู่ ใกล ้ ทั้งร้ใู ช่วา่ หนกั หนา
เลือดเน้ือผิเจือยา ใหห้ ายไดจ้ ะชิงถวาย
ทุกหน้าทกุ ตาดู บ พบผู้จะพึงสบาย
ปรบั ทกุ ขท์ ุรนราย กนั มิเวน้ ทวิ าวัน
ดจุ เหล่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน
นายท้ายฉงนงนั ทศิ ทางก็คลางแคลง
นายกลประจำ� จกั ร จะใช้หนักก็นึกแหนง
จะรอก็ระแวง จะไม่ทนั ธุรการ
อึดอดั ทุกหนา้ ท่ ี ทุกขท์ วีทกุ วันวาร
เหตหุ า่ งบดยี าน อันเคยไวน้ ำ�้ ใจชน
ถา้ จะวา่ บรรดากิจ กไ็ ม่ผดิ ณ นิยม
เรอื แลน่ ทะเลลม จะเปรยี บตอ่ กพ็ อกนั
ธรรมดามหาสมทุ ร มีคราวหยุดพายุผนั
มีคราวสลาตัน ตัง้ ระลอกกระฉอกฉาน
ผิวพอกำ� ลงั เรอื ก็แล่นรอดไมร่ า้ วราน
หากกรรมจะบันดาล ก็คงลม่ ทกุ ล�ำไป
4 ภาคผนวก
ชาวเรือกย็ อ่ มร ู้ ฉะน้อี ยทู่ กุ จิตใจ
แต่ลอยอยู่ตราบใด ตอ้ งจำ� แก้ด้วยแรงระดม
แกร้ อดตลอดฝงั่ จะรอดทงั้ จะช่ืนชม
เหลือแก้ก็จ�ำจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม
ผวิ ทอดธรุ ะน่งิ บว่นุ ว่ิงเยียวยาทำ�
ท่ีสดุ ก็สูญลำ� เหมือนทแ่ี กไ้ ม่หวาดไหว
ผดิ กนั แตถ่ า้ แก ้ ให้เต็มแยจ่ ึงจมไป
ใครห่อนประมาทใจ ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน
เสยี ทีกม็ ีชอื่ ไดเ้ ลื่องลอื สรรเสริญ
สงสารวา่ กรรมเกนิ กำ� ลังดอกจงึ จมสูญ
น้ีในนำ้� ใจข้า อุปมาบงั คมทลู
ทกุ วนั นี้อาดรู แต่ทีพ่ ระประชวรนาน
เปรียบตวั เหมือนอย่างม้า ทเี่ ปน็ พาหนะยาน
ผกู เคร่อื งบงั เหยี นอาน ประจ�ำหน้าพลบั พลาชัย
คอยพระประทับอาสน ์ กระหยบั บาทจะพาไคล
ตามแตพ่ ระทยั ไท ธ จะชกั ไปซ้ายขวา
ไกลใกลบ้ ได้เลอื ก จะกระเดอื กเต็มประดา
ตราบเทา่ จะถงึ วา- ระชีวิตมลายปราณ
ขอตายให้ตาหลับ ดว้ ยช่ือนบั ว่าชายชาญ
เกดิ มาประสบภาร- ธุระไดบ้ �ำเพ็ญท�ำ
ดว้ ยเดชะบญุ ญา- ภนิ ิหาระแหง่ ค�ำ
สัตยข์ ้าจงได้สัม- ฤทธดิ ังมโนหมาย
ขอจงวราพาธ บรมนาถเรง่ เคล่ือนคลาย
พระจิตพระวรกาย จงผอ่ งพน้ ทห่ี มน่ หมอง
ขอจงสำ� เรจ็ รา- ชะประสงคท์ ่ที รงปอง
ปกขา้ ฝา่ ละออง พระบาทให้สามคั คี
ขอเหตทุ ่ีขนุ่ ขดั ละวิบตั ิพระขนั ตี
จงคลายเหมือนหลายปี ละลืมเลกิ ละลายสญู
ขอจงพระชนมา- ยสุ ถาวรพูน
เพิม่ เกยี รติอนุกูล สยามรฐั พิพฒั น์ผลฯ
ภาคผนวก 5
๖ ค�ำ ศพั ท์
คำ� ศพั ท์ ความหมาย
กระเดือก กระเสือกกระสนไปดว้ ยความล�ำบาก
กลำ�้ ในท่ีน้ีหมายถงึ กิน
เครอะคระ แห้งกรัง
เงอ่ื นสาย เชอื กหรอื เส้นดา้ ยท่ผี กู กนั เปน็ ปม
ใช้หนัก ใช้ใบ หมายถงึ กางใบแลน่ เรือไปอย่างเตม็ กำ� ลัง
บดยี าน ในทีน่ ี้หมายถงึ นายหรอื เจา้ ของเรือ
วราพาธ พระอาการเจ็บปว่ ย
ส่า ในทนี่ ห้ี มายถงึ สง่ิ ท่เี ปน็ เชอื้ ท�ำให้เกดิ ฝี
เหลืองแกก่ �้ำเกินพระลักษณ์ สเี หลืองแก่ย่งิ กวา่ ผวิ ของพระลักษมณ์
อดุ ในที่น้ีหมายถงึ หลบหนา้ ไม่ออกไปพบใคร
๗ บทวิเคราะห์
๗.๑ คุณคา่ ดา้ นเนอ้ื หา
เมื่อพิจารณาจากชอ่ื เรือ่ งท่ีตั้งขึ้นภายหลังวา่ ขตั ตยิ พันธกรณี อนั หมายถงึ พนั ธะ หรือสิ่งอันเปน็ ราชกิจของ
พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์ที่สนองราชการแผ่นดิน ในท่ีนี้จะขออธิบายคุณค่าด้านเน้ือหาของกวีนิพนธ์เร่ืองน้ี
เปน็ ๒ ประเด็น คือ ราชธรรมและราชวัสดีธรรม
๑) ราชธรรม คือ ธรรมะส�ำหรับพระมหากษัตริย์ทรงยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดิน
สำ� หรบั กวนี พิ นธใ์ นส่วนทเ่ี ป็นพระราชนิพนธ์ ทรงแสดง “ราชธรรม” ทสี่ ำ� คญั ย่งิ ประการหนึ่ง โดยกล่าวถงึ ความกังวล
ของรัชกาลท่ี ๕ ที่มตี อ่ พระราชภาระในการจะรักษาอธปิ ไตยของประเทศ ดงั บทประพนั ธ์
ตะปูดอกใหญ่ตร้งึ บาทา อย่เู ฮย
จงึ บ อาจลลี า คลอ่ งได้
เชิญผู้ทเ่ี มตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ
ชกั ตะปนู ้ใี ห้ สง่ ขา้ อัญขยม
๒) ราชวสั ดธี รรม คอื หลกั ธรรมสำ� หรบั ผเู้ ปน็ ขา้ ราชการเพอ่ื เปน็ หลกั ยดึ ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี สำ� หรบั ในสว่ นที่
เปน็ พระนพิ นธส์ ามารถพจิ ารณาคณุ คา่ หรอื พระจรยิ วตั รของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ตามหลกั ราชวสั ดธี รรม
จากการทที่ รงใหก้ ำ� ลงั พระทยั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร นอกจากนี้ ยงั ทรงมศี ลิ ปะเชงิ
กวีนิพนธ์ในการเรียบเรียงยกข้ออุปมาเปรียบเทียบจนส�ำเร็จตามพระประสงค์นั้น แสดงให้เห็นว่า ทรงเป็นผู้ที่ได้รับ
การฝึกฝนศิลปศาสตรด์ แี ล้ว และเปน็ ผทู้ ำ� ประโยชน์คงท่ีทั้งต่อหน้าและลับหลังเจ้านายของตน ดงั บทประพันธ์
6 ภาคผนวก
เปรยี บตวั เหมือนอย่างมา้ ที่เป็นพาหนะยาน
ผกู เครอ่ื งบังเหียนอาน ประจ�ำหนา้ พลับพลาชัย
คอยพระประทับอาสน ์ กระหยับบาทจะพาไคล
ตามแตพ่ ระทยั ไท ธ จะชกั ไปซา้ ยขวา
๗.๒ คุณค่าด้านวรรณศิลป์
การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ในวรรณกรรมเร่อื งขตั ตยิ พนั ธกรณี จำ� เปน็ ตอ้ งพินิจพิจารณาอยา่ งละเอียด
เน่ืองจากวรรณกรรมเรื่องน้ีมีเน้ือความเน้นไปทางการบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และอาการประชวรของ
รัชกาลท่ี ๕ อนั มีคุณคา่ ทางดา้ นวรรณศลิ ป์ ซง่ึ สามารถสรปุ ได้ ดงั น้ี
๑) การใชค้ วามเปรยี บ มีปรากฏในบทประพนั ธ์ ดงั นี้
ตะปูดอกใหญ่ตร้งึ บาทา อยู่เฮย
จึง บ อาจลลี า คลอ่ งได้
โคลง ๒ บาทนี้ กวีใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์เปรียบเทียบภาระหน้าท่ีเป็น “ตะปูดอกใหญ่” ว่าเป็นสิ่งท่ี
ยดึ เหน่ยี วพระองค์ให้เปน็ ทกุ ขท์ รมานมิสามารถด�ำเนนิ ไปทางไหนได้ ซึ่งเมอ่ื พิจารณาถงึ นัยยะทางการเมอื งสมยั น้นั
กอ็ ุปมาไดก้ ับกรณพี ิพาทไทยกบั ฝรัง่ เศส และขอ้ เรยี กรอ้ งดินแดนฝั่งซา้ ยแม่น้�ำโขง ซง่ึ เป็นปญั หาหนัก และเป็นพระ
ราชภาระทพี่ ระองคย์ งั มสิ ามารถหาทางออก และไมส่ ามารถปลดเปลอ้ื งลงได้
ดจุ เหล่าพละนา- วะเหวว่ ้ากะปิตัน
นายท้ายฉงนงนั ทศิ ทางกค็ ลางแคลง
จะใชห้ นักก็นกึ แหนง
นายกลประจำ� จักร จะไม่ทันธรุ การ
ทุกข์ทวที กุ วันวาร
จะรอก็ระแวง อนั เคยไว้นำ�้ ใจชน
อึดอดั ทุกหน้าที ่
เหตหุ า่ งบดยี าน
ฉันท์ท้ัง ๓ บทน้ี มีการใช้เป็นคู่เทียบดังน้ี พละนาวะ - กะปิตัน - บดียาน และ นายท้าย - นายกล
โดยคู่เทียบแสดงนัยโดยรวมโดยใช้เรือ และผู้ปฏิบัติหน้าท่ีบนเรือ มาเปรียบกับประเทศชาติท่ีตกในภาวะวิกฤติ
กเ็ หมอื นคลืน่ ลมท่พี ร้อมจะล่มเรือได้ โดยคู่เทียบดังกลา่ วมีความหมาย ดังนี้
- พละนาวะ หรอื ลกู เรอื แทนประชาชนทั้งประเทศ
- กะปติ นั - บดยี าน แทนผนู้ ำ� ประเทศ ในทน่ี ค้ี อื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
- นายท้าย - นายกล แทนเสนาบดี ขา้ ราชการทร่ี ับสนองราชการใต้เบื้องพระยคุ ลบาท
๒) นยั ประวตั ิ หมายถงึ การทบ่ี ทประพนั ธน์ นั้ ๆ กลา่ วเทา้ ความไปถงึ เรอ่ื งราวอนั เปน็ ความรบั รโู้ ดยทว่ั ไปอาจเปน็
ตวั ละครในวรรณคดเี รอ่ื งอน่ื ทม่ี พี ฤตกิ รรมหรอื เผชญิ เหตกุ ารณค์ ลา้ ยสง่ิ ทกี่ ำ� ลงั เขยี น รวมถงึ การเทา้ ความไปถงึ เหตกุ ารณ์
จรงิ ในประวัตศิ าสตร์
ภาคผนวก 7
กวนี พิ นธบ์ ทนี้ มกี ารเทา้ ความไปถงึ พระมหากษตั รยิ ์ ๒ พระองค์ คอื “สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช” และ “สมเดจ็ -
พระเจา้ เอกทศั น”์ ดงั ความ “กลวั เปน็ ทวริ าช บ ตรปิ อ้ งอยธุ ยา” ความขอ้ นี้ เปน็ ความวติ กในพระทยั ของกวี ทเ่ี กรงวา่ พระองค์
จะไม่สามารถรักษาเอกราชของสยามไว้ได้ และเกรงจะถกู ติฉินเหมือนดังพระมหากษตั รยิ อ์ ยุธยาทง้ั ๒ พระองค์
๗.๓ คณุ ค่าด้านสงั คม
การอ่านวรรณกรรมเพื่อพิจารณาคุณค่าด้านสังคมต้องใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดลึกซ้ึง
จงึ จะเหน็ ถงึ ความสมั พนั ธก์ นั ทงั้ ทเ่ี ปน็ นามธรรมและรปู ธรรมในดา้ นตา่ งๆ ของสงั คมทม่ี ตี อ่ วรรณกรรม วรรณกรรมเรอื่ ง
ขตั ตยิ พันธกรณี ถอื เปน็ กวีนพิ นธ์ทม่ี เี น้อื ความคลา้ ยจดหมายเหตุบนั ทกึ เหตกุ ารณใ์ นประวัตศิ าสตร์ท่สี �ำคัญช่วงหน่งึ
ของสยามประเทศ ซ่งึ สามารถพจิ ารณาคณุ คา่ ดา้ นสังคมตามแนวทางได้ ดังน้ี
๑) สะทอ้ นขนบธรรมเนยี มประเพณี วรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนขนบธรรมเนียมประเพณีในเรื่องพระ-
ราชพิธีเผาศพ โดยกลา่ วถึงรชั กาลท่ี ๕ ทรงเสียพระราชหฤทัย จนทรงประชวรหนัก จงึ ทำ� ใหพ้ ระองค์ตรสั ถงึ ลักษณะ
ของพระราชพธิ พี ระศพ โดยทรงบรรยายถงึ เดก็ จ�ำนวน ๕-๖ คน โกนศรี ษะและแตง่ กายดว้ ยชดุ สขี าว เพอื่ เชญิ อาหาร
ไปยังหอศพ ดังบทประพนั ธ์
ฉันไปปะเดก็ ห้า หกคน
โกนเกศนงุ่ ขาวผล เคลบิ เคลิ้ม
ถามเขาว่าเปน็ คน เชญิ เครือ่ ง
ไปท่หี อศพเร้ิม ริกเร้าเหงาใจ
๒) สะทอ้ นคา่ นยิ มของคนในสงั คม วรรณกรรมเรอื่ งนสี้ ะทอ้ นคา่ นยิ มในเรอ่ื งการใชค้ ำ� ศพั ทภ์ าษาตะวนั ตก
คอื คำ� วา่ “กะปิตัน” ทม่ี าจากภาษาองั กฤษว่า “กปั ตัน (Captain)” ดงั บทประพันธ์
ดุจเหล่าขา้ พละนา- วะเหว่ว้ากะปติ ัน
นายทา้ ยฉงนงัน ทศิ ทางกค็ ลางแคลง
๓) สะท้อนความเช่ือของคนในสังคม วรรณกรรมเร่ืองนี้สะท้อนความเช่ือในเรื่องภพภูมิ กล่าวคือ
รัชกาลท่ี ๕ ทรงด�ำริว่าตอนน้ีพระองค์มีความทุกข์โทมนัสมาก อยากจะเสด็จสวรรคตเพ่ือแสวงหาความสุขในภพ
หน้า ดังบทประพันธ์
เจ็บนานหนักอกผ้ ู บรริ กั ษ์ ปวงเฮย
คดิ ใครล่ าลาญหัก ปลดเปล้อื ง
ความเหนอ่ื ยแหง่ สูจัก พลนั สรา่ ง
ตจู ักสภู่ พเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม
การอา่ นพจิ ารณาคณุ คา่ วรรณกรรม ผอู้ า่ นควรพจิ ารณาและวเิ คราะหจ์ ากขอ้ ความทป่ี รากฏในบทประพนั ธน์ น้ั ๆ
เพราะแตล่ ะบทประพนั ธท์ ก่ี วนี ำ� เสนอลว้ นสอดแทรกสภาพความเปน็ อยู่ วฒั นธรรม หรอื เหตกุ ารณต์ า่ งๆ ทแ่ี สดงใหเ้ หน็
ถึงภาพในยุคสมยั นน้ั ๆ ได้
8 ภาคผนวก
แบบทดสเนอบนอกงิ มาารตรคฐาดิ น
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีจุดมุงหมายเพ่ือใหผูเรียนอานออก เขียนได คิดคํานวณเปน มุงใหเกิดทักษะการเรียนรูตลอดชีวิต
เตรียมตัวเปนพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีความสามารถในการแขงขันไดในอนาคต การจัดการเรียนรูที่สอดคลองกับจุดมุงหมายดังกลาว
จึงควรใหผูเรียนฝกฝนการนําความรูไปประยุกตใชในชีวิตจริง สามารถคิดวิเคราะหและแกปญหาได ดังนั้นเพ่ือเปนการเตรียมความพรอม
ของผูเรียน ทางโครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด จึงไดจัดทําแบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด
โดยดําเนินการวิเคราะหสาระการเรียนรูท่ีสําคัญตามที่ระบุไวในมาตรฐานและตัวชี้วัดชั้นป แลวนํามากําหนดเปนระดับพฤติกรรมการคิด
เพอื่ สรางแบบทดสอบท่ีมีคุณสมบัติ ดงั น้�
1 2วดั ผลการเรยี นรู เนน ใหผูเรยี นเกดิ การคดิ ผูสอนสามารถนําแบบทดสอบน้�ไปใชเปนเครื่องมือวัด
และประเมินผล รวมท้ังเปนเครื่องบงชี้ความสําเร็จและรายงาน
ท่ีสอดคลองกบั มาตรฐาน ตามระดบั พฤติกรรมการคดิ คุณภาพของผูเรียนแตละคน เพ่ือเปนการเตรียมความพรอม
ตัวช้ีวดั ชนั้ ปท กุ ขอ ทรี่ ะบุไวในตวั ชีว้ ัด ของนักเรียนใหมีความสามารถในดานการใชภาษา ดานการ โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
คดิ คาํ นวณ และดา นเหตผุ ล สาํ หรบั รองรบั การประเมนิ ผลผเู รยี น
ในระดับประเทศ (O-NET) และระดบั นานาชาติ (PISA) ตอไป
แบบทดสอบองิ มาตรฐาน เนน การคดิ ท่ีจัดทําโดย โครงการวดั และประเมนิ ผล บรษิ ัท อักษรเจริญทศั น อจท. จํากัด ประกอบดวย
แบบทดสอบประจําภาคเรียนท่ี 1 และแบบทดสอบประจําภาคเรียนท่ี 2 ซ�ึงแตละภาคเรียนจะมีแบบทดสอบ 2 ชุด แตละชุดมีท้ัง
แบบทดสอบปรนัย และแบบทดสอบอัตนัย โดยวิเคราะหมาตรฐานตัวช้ีวัด และระดับพฤติกรรมการคิดท่ีสัมพันธกับแบบทดสอบไวอยาง
ชัดเจน เพ่อื ใหผูสอนนําไปใชเ ปนเครอื่ งมอื วดั และประเมนิ ผลผเู รียนไดอ ยา งมปี ระสทิ ธิภาพ
ตารางวเิ คราะหแ บบทดสอบ ภาคเรยี นท่ี 1
ตารางวเิ คราะหร ะดับพฤติกรรมการคิด
ตารางวเิ คราะหมาตรฐานตวั ชวี้ ัด
ชุดท่ี มาตรฐาน ตัวช้ีวัด ขอ ของแบบทดสอบทสี่ มั พันธก บั ตัวช้วี ัด พกฤราตะรกิดคับรดิ รม ขอของแบบทดสอบทส่ี มั พันธก บั รวม
ระดบั พฤตกิ รรมการคิด
-
1 1-4, 13-15, 27-30 A ความรู ความจาํ - 6
9
2 5-7, 16-18, 31-34 B ความเขา ใจ 1-2, 5, 23, 27-28 12
7
1 ท 5.1 3 8-10, 19-20, 35-38 C การนาํ ไปใช 3, 6, 8, 13-14, 19, 31-33 6
4 11-12, 21-22, 39-40
D การวเิ คราะห 7, 9-10, 15-16, 20, 25, 29-30, 35-36, 39
5 23-24 E การสงั เคราะห 11-12, 21, 24, 26, 34, 37
F การประเมินคา 4, 17-18, 22, 38, 40
6 25-26
1 1-4, 13-15, 27-30 A ความรู ความจํา - -
B ความเขาใจ 1-2, 11, 13, 27-28, 31, 35 8
2 5-8, 16-18, 31-34 C การนาํ ไปใช 5-6, 14, 16, 19, 29, 32, 36 8
D การวเิ คราะห 7-8, 9-10, 15, 17, 20-21, 23-24, 33, 37-38 13
2 ท 5.1 3 9-10, 19-21, 35-37 E การสงั เคราะห 3-4, 25-26, 34, 39-40 7
4 11-12, 22, 38-40 F การประเมนิ คา 12, 18, 22, 30 4
5 23-24
6 25-26
หมายเหตุ : มีเฉลยและคาํ อธบิ ายเชิงวเิ คราะห อยูท า ยแบบทดสอบภาคเรียนที่ 1 และภาคเรียนที่ 2
(1) โครงการวัดและประเมินผล
แบบทดสอบวช� า ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม 1ภาคเร�ยนท่ี ¤Ðá¹¹·èÕ ä´Œ
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6
ชดุ ที่ 1 ¤Ðá5¹¹0ÃÇÁ
ช่อื นามสกลุ…………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………..
เลขประจําตวั สอบ โรงเรยี น……………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………….
สอบวนั ท่ี เดอื น พ.ศ.…………………….. ………………………………………..
…………………………………………………
โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด
1ตอนท่ี 1. แบบทดสอบฉบับน้�มที ้งั หมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ
2. ใหน กั เรยี นเลอื กคําตอบที่ถูกท่สี ุดเพยี งขอ เดียว
¤Ðá¹¹àµÁç
40
โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 1. มะลวิ ลั ยพ นั จกิ จวง ดอกเปนพวงรว งเรณู 4. ขอใดกลาวถกู ตอ งทสี่ ดุ เกย่ี วกบั การอานวรรณคดี
B หอมมานา เอน็ ดู ชูชน่ื จติ คดิ วนิดา F 1. การอานวรรณคดีคือการอานเพ่ือใหเห็นคุณคาของ
บทประพนั ธข างตนปรากฏอยใู นวรรณคดเี รือ่ งใด วรรณคดี
และใครเปนผูประพันธ 2. การอานวรรณคดีคือการอานเพ่ือใหเกิดความซาบซ้ึง
1. กาพยพระไชยสุริยา สนุ ทรภู
2. กาพยเ หเ รอื เจาฟาธรรมธเิ บศร ในรสวรรณคดี
3. กาพยห อ โคลง เจาฟาธรรมธิเบศร 3. การอานวรรณคดีคือการอานที่ตองใชกระบวนการคิด
4. กาพยขบั ไม เจาพระยาพระคลัง (หน)
2. วรรณคดีในขอใดใชคําประพันธทั้งประเภทโคลงและราย วิเคราะหอ ยา งมีเหตุผล
B ท้งั 2 เรื่อง 4. การอา นวรรณคดีคือการอา นที่ตองใชส ตปิ ญ ญา
1. กากี พระอภัยมณี
2. ลิลิตพระลอ ลลิ ติ ยวนพา ย กลน่ั กรองคุณคาทางอารมณและคุณคา ทางความคิด
3. นิราศนรินทร ขนุ ชางขุนแผน
4. โคลงโลกนิติ โคลงราชสวสั ด์ิ 5. วนั น้ีเพอื่ นเรา เพ่ือนเกา เพือ่ นใหม
D ทห่ี างกนั ไกล มาพรอมหนา กนั
3. บาวเศิกเอกิ อึง ทราบถึงบัดดล บทประพันธข างตนมีลกั ษณะคําประพนั ธป ระเภทใด
C ในหมผู คู น ชาวเวสาลี 1. กลอนสส่ี ภุ าพ
2. มาณวกฉนั ท 8
บทประพนั ธท ย่ี กมานอี้ ยใู นวรรณคดเี รอ่ื งใด และมลี กั ษณะ 3. วิชชุมมาลาฉนั ท 8
คาํ ประพันธป ระเภทใด 4. กาพยสรุ างคนางค 28
1. อลิ ราชคําฉันท มาณวกฉันท 6. ขอใดใชล ักษณะคําประพนั ธแตกตา งจากขออนื่
2. สามัคคเี ภทคาํ ฉนั ท วิชชุมมาลาฉันท C 1. ขาวสดุ พดุ จีบจนี เจา มสี ินพี่มีศักด์ิ
3. สมทุ รโฆษคาํ ฉันท วิชชมุ มาลาฉันท 2. นวลจนั ทรเ ปนนวลจริง เจางามพรงิ้ ย่ิงนวลปลา
3. ชะโดดุกกระดี่โดด สลาดโลดยะหยอยหยอย
4. สุวรรณหงสท รงพหู อย งามชดชอยลอยหลงั สินธุ
4. สามัคคเี ภทคําฉันท อนิ ทรวิเชยี รฉันท
ความรู ความจํา ความเขา ใจ การนําไปใช การวเิ คราะห การสงั เคราะห การประเมินคา
A B C D E F
โครงการวัดและประเมินผล (2)
7. บทประพนั ธใ นขอ ใดไมม ี คาํ ทก่ี อ ใหเ กดิ จนิ ตภาพทางการ 13. วรรณคดใี นขอ ใดทไ่ี ดร บั การยกยอ งวา มสี าํ นวนดเี ยย่ี มทสี่ ดุ
D เคล่ือนไหว C 1. รามเกยี รต์ิ ในรชั สมัยสมเด็จพระเจา กรงุ ธนบุรี
1. มหี มีท่ีดําขลบั ข้ึนไมผับฉับไวถึง
2. กระจงกระจดิ เตี้ย ว่งิ เร่ยี เร่ียนา เอ็นดู 2. โคลงราชสวสั ดิ์ ในรชั สมยั สมเดจ็ พระนารายณม หาราช
3. กระรอกหางพัวพู โพรงไมอ ยคู ไู ลตาม 3. ววิ าหพ ระสมทุ ร ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา -
4. เลยี งผาอยูภเู ขา หนวดพรายเพราเขาแปลปลาย
เจา อยหู วั
8. คาํ ศพั ทในขอ ใดมีความหมายแตกตางจากขอ อ่ืน 4. ขุนชางขุนแผน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ-
C 1. โพยม นภา
2. พสธุ า ธาตรี เลศิ หลา นภาลัย
3. คัคนานต อัมพร
4. ทฆิ ัมพร นภาพร 14. เออนเี่ นื้อเคราะหก รรมมานําผิด
C นาอายมติ รหมองใจไมห ายหมาง
9. การอานบทละครพดู เรอื่ งเหน็ แกล ูก ควรใชหลกั การ
D วิจักษวรรณคดีตามขอใด ฝา ยพอมบี ญุ เปนขุนนาง
1. อา นอยางพนิ จิ พิจารณา แตแมไปแนบขา งคนจญั ไร
2. รบั รอู ารมณของบทประพันธ
3. พจิ ารณากลวธิ ีในการแตง คําประพนั ธ บทประพนั ธขา งตนเปนคาํ พดู ของใคร และคําท่ีขีดเสนใต โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
4. คน หาความหมายพ้ืนฐานของบทประพันธ หมายถงึ ใคร
1. ขนุ แผน ขนุ ชา ง
10. องคประกอบใดถือเปนธรรมเนียมในการแตงคําประพันธ 2. พลายงาม ขุนชาง
D ประเภทนริ าศ 3. นางวนั ทอง ขุนชาง
1. บทสดดุ ี 2. บทไหวครู 4. ขนุ ชาง ขนุ แผน
3. บทชมโฉม 4. บทคร่ําครวญ 15. ขอ ความในขอ ใดไม ปรากฏในเรื่องขนุ ชา งขนุ แผน
D ตอนขนุ ชางถวายฎกี า
11. ขอใดกลาวไม ถกู ตอง 1. ขนุ ชา งเปนชายผูมีความรักทีม่ ่นั คง
E 1. วรรณคดเี กดิ จากจนิ ตนาการของกวเี พยี งประการเดยี ว 2. พระหมื่นไวยเปนทยี่ าํ เกรงของขาศึก
2. คตธิ รรมทก่ี วถี า ยทอดไวใ นวรรณคดคี อื มมุ มองทกี่ วี 3. สมเดจ็ พระพันวษาทรงฝก ใฝในทางธรรม
ประสบพบเหน็ 4. พลายงามเปนผมู ีความเชอื่ ดานไสยศาสตร
3. พฤตกิ รรมทตี่ วั ละครในวรรณคดแี สดงออก มพี ฤตกิ รรม 16. บทประพันธในขอใดท่ีแสดงถึงลักษณะนิสัยที่มุทะลุดุดัน
เหมอื นมนุษยท่วั ไป D ของพลายงามไดชดั เจนที่สุด
4. การอานวรรณคดโี ดยวเิ คราะหเนอ้ื หาและพจิ ารณา 1. แมอยาเจรจาชาที จวนแจงแสงศรีจะรีบไป
คณุ คา ดานวรรณศลิ ปท ําใหผ อู า นเขาใจวรรณคดี 2. จะตดั เอาศีรษะของแมไ ป ทิ้งแตตวั ไวใ หอยูน ี่
มากขนึ้ 3. แมนมิไปใหง ามก็ตามใจ จะบาปกรรมอยา งไรกต็ ามที
4. เสยี แรงเปนลูกผูชายไมอายเพอื่ น
12. ขาวสดุ พุดจีบจนี เจา มีสินพีม่ ีศักด์ิ
F ทัง้ วังเขาชงั นกั แตพ่ีรักเจาคนเดียว จะพาแมไ ปเรอื นใหจงได
17. ขอ ใดมคี าํ ศพั ทแ สดงถงึ วฒั นธรรมการแตง กายในสมยั กอ น
จากบทประพนั ธขา งตน ไมได กลา วถึงเรือ่ งใด F 1. ผาผอนลอนแกน ไมต ดิ กาย
1. คานยิ มในสังคม
2. ความรักท่ียิง่ ใหญ เหน็ มานขาดเรยี่ รายประหลาดใจ
3. สถานภาพของสตรี 2. พระสูตรรูดกรา งกระจางองค
4. ศกั ดิ์ศรีและชาตติ ระกูล
ขุนนางกราบลงเปน ขนดั
3. ลกุ ข้นึ ถกเขมรรองเกนไป
ทุดอายไพรข คี้ รอกหลอกผดู ี
4. เสกกระแจะจวงจนั ทนน ้าํ มันทา
เสรจ็ แลว ก็พาวันทองไป
(3) โครงการวัดและประเมินผล
18. อัยการศาลโรงก็มอี ยู ฤๅวา กูตดั สนิ ใหไมได 24. บทประพันธในขอใดตอไปนี้สะทอนสภาพสังคมไทยที่
B ชอบทวนดว ยลวดใหป วดไป ปรบั ไหมใหเ ทา กบั ชายชู D แตกตางจากปจจุบนั
จากบทประพันธนี้เปนคํากลาวของสมเด็จพระพันวษา 1. พลางเรียกหาขาไทยอยวู า วุน ออี นุ อีอมิ่ อฉี ิมอีสอน
ทแ่ี สดงใหเหน็ ถงึ ความสาํ คญั ของส่ิงใด 2. ไดย นิ เสียงฆอ งย่าํ ประจาํ วัง ลอยลมลองดังถึงเคหา
1. ขนบประเพณี 2. จารีตประเพณี 3. พรงุ นพี้ จี่ ะแกเ สนยี ดฝน แลว ทาํ มงิ่ สง่ิ ขวญั ใหเ ปน สขุ
3. กฎมณเฑยี รบาล 4. กฎหมายบา นเมือง 4. หอมหวนอวลอบบปุ ผชาติ เบกิ บานกา นกลาดกงิ่ ไสว
19. บทประพนั ธใ นขอ ใดไม เกยี่ วขอ งกบั ความเชอื่ ของคนไทย 25. ยีส่ นุ กหุ ลาบมะลซิ อ น ซอ นชชู กู ลน่ิ ถวลิ หา
C 1. ใตเตียงเสยี งหนูกก็ กุ กก D ลาํ ดวนกวนใจใหไ คลคลา สาวหยดุ หยดุ ชา แลว ยนื ชม
2. พรุงน้พี ี่จะแกเ สนยี ดฝน บทประพนั ธข า งตน มคี วามดเี ดน ดา นวรรณศลิ ปค อื มกี ารใช
3. ยือ้ ยุดฉุดคราทาํ สามานย ภาพพจนตรงกับขอใด
4. พิเคราะหดูท้ังยามอฐั กาล 1. อปุ มา
2. บคุ คลวตั
20. ขอใดไมได กลาวถงึ ความเชอ่ื ในเรอ่ื งไสยศาสตร 3. อตพิ จน
D 1. ลงยันตร าชะเอาปะตวั 4. อปุ ลักษณ
หยิบยกมงคลขึ้นใสหัว
โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 2. เปา มนตเ บอื้ งบนชอุม มวั
พรายยัว่ ยวนใจใหไ คลคลา 26. โจนลงกลางชานรา นดอกไม
3. นํ้าคา งตกกระเซน็ เย็นเยอื กใจ B ของขนุ ชางปลกู ไวอ ยูดาษดน่ื
สงดั คนเสียงใครไมพูดจา
4. จึงเซนเหลา ขา วปลาใหพรายกิน รวยรสเกสรเมอื่ คอนคนื
เสกขมิน้ วา นยาเขาทาตวั ช่นื ช่ืนลมชายสบายใจ
21. นางวันทองมีความรูสึกชื่นชมยกยองความดีของขุนชาง บทประพันธนี้มคี ําประสมก่ีคํา
E ในเรือ่ งใดมากทส่ี ดุ 1. 1 คํา 2. 2 คํา
3. 3 คาํ 4. 4 คาํ
1. ไมเ คยขดั ใจนางวนั ทอง
2. รกั นางวนั ทองเพียงคนเดียว
3. ยกยอ งใหเ กยี รตินางวันทอง 27. “ยิ่งไดอ า นสามกกมากครั้งเขา ก็ย่งิ มีใจฝก ใฝ
4. เปน คทู กุ ขคยู ากของนางวันทอง B เปน ขา งโจโฉมากขน้ึ … จงึ ลองนกึ วา ลองเขยี นสามกก
22. จากสาระสาํ คญั ในเรือ่ งขนุ ชา งขนุ แผนตอนขนุ ชา ง แบบเลานิทานแตจะทําใจเปนฝา ยโจโฉตลอดเร่ือง”
F ถวายฎกี า แสดงแนวคิดที่สาํ คญั ในขอใด
1. ท่ีใดมีรักทน่ี ั่นมที กุ ข ผูกลาวขอ ความน้คี อื กวีทานใด
2. การใชสติพจิ ารณากอ นตัดสินใจ 1. ยาขอบ
3. ความแนนอนคอื ความไมแ นน อน 2. ม.ร.ว. คกึ ฤทธิ์ ปราโมช
4. ความรกั สามารถเอาชนะทุกสิ่งได 3. เจา พระยาธรรมศกั ด์ิมนตรี
4. สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ
23. คะเนนับยา่ํ ยามไดสามครา ดเู วลาปลอดหวงทกั ทิน 28. ขอใดไมใช เงื่อนไขท่ีกวนอูใชเปนขอแลกเปล่ียนในการ
B จากบทประพันธขางตนคําวา “ทกั ทนิ ” มีความหมายวา B ยอมไปรับราชการกับโจโฉ
อยางไร 1. ขอใหไดตาํ แหนง เสนาบดี
1. วันดี 2. วนั อันชวั่ รา ย 2. ขอใหไ ดเ ปน ขาพระเจาเหย้ี นเต
3. วนั แรม ๑ คํา่ 4. วันอนั เปนฤกษด ี 3. ขอไปหาเลา ปท นั ทเี ม่อื รวู าอยูที่ใด
4. ขอใหไ ดดูแลและคุมครองภรรยาของเลา ป
โครงการวัดและประเมินผล (4)
29. ฝายโจโฉยกทัพมาใกลถึงเมืองเสียวพาย พอเกิด 33. โจโฉใหเชิญกวนอูมากินโตะ เห็นกวนอูหมเสื้อขาด
D ลมพายุใหญพัดหนัก ธงชัยซ่ึงปกมาบนเกวียนน้ัน C โจโฉจึงเอาเสื้ออยางดีใหกวนอู กวนอูรับเอาเสื้อแลว
หักทบลง โจโฉเห็นวิปริตดังน้ันก็สั่งใหหยุดทหารต้ัง จงึ เอาเสอ้ื ใหมน ั้นใสข า งใน เอาเส้อื เกา นั้นใสข า งนอก
คายม่ันไว
ขอ ความขางตนแสดงคานยิ มความเช่ือในดานใด จากขอความขา งตน กวนอมู เี หตุผลอยางไรจึงทําเชน น้ัน
1. ดานพธิ กี รรม 1. เสยี ดายเสอื้ ใหม
2. ดา นไสยศาสตร 2. เกรงคนจะนินทา
3. ดา นลางบอกเหตุ 3. เกรงวา จะลมื เลา ป
4. ดานปรากฏการณทางธรรมชาติ 4. ไมชอบเสอื้ ของโจโฉ
30. โจโฉเห็นกวนอูมาก็มีความยินดีจึงออกไปรับกวนอู 34. คร้ันอยูมาวันหน่ึงโจโฉจึงพากวนอูไปเฝาพระเจา
D เขามา กวนอูจึงคํานับโจโฉแลววา “ตัวขาพเจาเปน B เหยี้ นเต แลว ทลู วา กวนอคู นนมี้ ฝี ม อื พอจะเปน ทหารได
เชลย ทานมไิ ดฆาเสยี แลวออกไปรับขา พเจา ถงึ นอก พระเจา เหย้ี นเตม คี วามยนิ ดจี งึ ตง้ั กวนอเู ปน นายทหาร
คา ยนัน้ คณุ หาทส่ี ดุ มไิ ด” โจโฉกับกวนอกู ็ลากลับบา น
ขอ ความขา งตน แสดงใหเ หน็ วา กวนอรู สู กึ อยา งไรตอ การ
กระทาํ ของโจโฉ ลักษณะการใชป ระโยคขางตนนีม้ ีลกั ษณะเดน อยางไร โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
1. สํานกึ ในบญุ คุณ 1. เปนขอความซับซอ น เขาใจยาก
2. ใหความเคารพอยา งจรงิ ใจ 2. เปน ขอความท่แี ฝงนัยตอ งอาศยั การตีความ
3. ไมชอบใจแตไ มกลาแสดงออก 3. เปนขอความสน้ั ๆ แตมตี วั ละครมากยากแกการจดจาํ
4. นอ ยใจดว ยคิดวาตนไมมคี วามสาํ คัญ 4. เปน ขอ ความสนั้ ๆ แตล าํ ดบั เหตกุ ารณช ดั เจน เขา ใจงา ย
31. เจา พระยาพระคลงั (หน) ไดร บั ยกยอ งวา เปน กวที ย่ี อดเยย่ี ม
C เหนอื กวที ง้ั ปวง ทา นมคี วามสามารถในการแตง คาํ ประพนั ธ 35. “แมข า พเจา รวู า เลา ปอ ยทู ใี่ ด ถงึ มาตรวา เปน ทางกนั ดาร
ทุกประเภท งานเขียนประเภทใดเปนผลงานสําคัญที่สุด D จะตอ งขามพระมหาสมทุ รแลลยุ เพลิงก็ด”ี
ของทา น
1. งานแปล ขอความขา งตนปรากฏภาพพจนในขอใดเดนชัดท่ีสดุ
2. งานสารคดี 1. อุปมา 2. อตพิ จน
3. งานนวนยิ าย 3. อุปลกั ษณ 4. สัญลกั ษณ
4. งานกวีนพิ นธ
32. วรรณคดเี ร่อื งสามกกมโี วหารดีท่ีสุดในกระบวน 36. ชื่อตัวละครในขอใดมีเสียงวรรณยุกตในพยางคแรกและ
C รอ ยแกว บทอุปมาอุปไมยลึกซึง้ คมคาย บทพรรณนา D พยางคทส่ี องตรงกันทุกคาํ
แจม ชดั ทกุ ตอน 1. วุยกก งอ กก ลวิ่ ลอ
จากขอความขางตน กลาวถึงวรรณคดีเร่ืองสามกกวามี 2. กวนอู ซุนกวน เซยี งจู
ความดเี ดน ในดานใด 3. เตียวหุย ซุนฮก โจโฉ
1. ดา นสงั คม 4. เตยี วเลีย้ ว ขงเบง แหฝอ
2. ดานเน้อื หา
3. ดา นวรรณศลิ ป 37. ธรรมดาเกดิ เปน ชายใหร ูจักที่หนกั ท่ีเบา ถาผูใดเกดิ มา
4. ดา นประวตั ิศาสตร B ไมรูจักที่หนักท่ีเบา คนทั้งปวงจะติเตียนไดวาผูน้ันหา
สติปญญาไม
ขอความนีม้ ีคาํ ยมื ภาษาบาลสี ันสกฤตกี่คาํ
1. 1 คาํ 2. 2 คํา
3. 3 คาํ 4. 4 คาํ
(5) โครงการวัดและประเมินผล
38. สาํ นวนทปี่ รากฏในวรรณคดเี รอื่ งสามกก ขอ ใดทย่ี งั ปรากฏ 40. สามกกไมไดแฝงอิทธิปาฏิหาริยเกินความสามารถ
F ใชใ นปจจุบนั F ของสามัญชน จงึ ทําใหผูอานไดเหน็ ชีวิตของตวั ละคร
1. กนิ โตะ ทง้ั หมดในลกั ษณะของคนจรงิ ๆ ความรู ความคดิ และ
2. ชุบเลย้ี ง สติปญญาท่ีไดจากการอานจึงเปนประโยชนตอการ
3. ทหารเลว ดาํ เนนิ ชวี ติ ของผอู า น
4. รอ งไหร ักกัน ขอ ความขา งตน แสดงคณุ คา ของงานวรรณกรรมในดา นใด
39. “ตวั เรามไิ ดรกั ชวี ิตอันความตายเหมอื นนอนหลับ…” เดนชดั ทสี่ ุด
D จากคาํ กลา วขางตน สรปุ ความไดตรงตามขอ ใด 1. คุณคา ดานสังคม
1. ความตายก็เหมือนกบั การนอนหลบั 2. คุณคา ดา นเนอ้ื หา
2. ความตายเปนเรอ่ื งปกตสิ ําหรับทุกคน 3. คุณคาดา นวรรณศลิ ป
3. คนนอนหลบั กบั คนตายมไิ ดม ีความแตกตางกนั 4. คุณคา ดา นการนาํ ไปประยกุ ตใช
4. ไมตอ งเสียใจกบั คนตายเพราะเหมอื นคนนอนหลบั
โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
โครงการวัดและประเมินผล (6)
2ตอนท่ี ตอบคําถามใหถ กู ตอง จาํ นวน 3 ขอ 10 คะแนน ¤Ðá¹¹·èÕ ä´Œ
¤Ðá¹¹àµÁç
10
1. การศึกษาวรรณคดีมแี นวทางการศึกษาอยา งไร (3 คะแนน) โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. วรรณคดเี ร่ืองขนุ ชางขนุ แผน ตอนขุนชา งถวายฎีกา นักเรยี นคดิ วาตวั ละครใดนาเหน็ ใจมากที่สดุ เพราะเหตใุ ด (4 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. กวนอูไดร บั ฉายาวา เทพเจาผูซื่อสตั ย นกั เรียนเห็นดวยกับคํากลา วนี้หรือไม อธิบายใหชดั เจน (3 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
(7) โครงการวัดและประเมินผล
แบบทดสอบวช� า ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม 1ภาคเร�ยนท่ี ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6
ชดุ ท่ี 2 ¤Ðá5¹0¹ÃÇÁ
ชือ่ นามสกลุ…………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………..
เลขประจําตัวสอบ โรงเรยี น……………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………….
สอบวันที่ เดอื น พ.ศ.……………………..
………………………………………………… ………………………………………..
โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด
1ตอนท่ี 1. แบบทดสอบฉบบั น้ม� ที งั้ หมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ
2. ใหน กั เรยี นเลอื กคาํ ตอบท่ีถูกทส่ี ดุ เพียงขอเดียว
¤Ðá¹¹àµÁç
40
โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 1. ครองทิพยพมิ าน บรวิ ารอมรปวง 4. “วรรณคดีท้ังรอยแกวและรอยกรองลวนเกิดจาก
B ปองธรรมะบลว ง ลอุ าํ นาจอกุศล E ประสบการณและจินตนาการของมนุษยท่ีแสดงออก
บทประพนั ธข า งตน มเี นอ้ื หาสอดคลองกับบทประพนั ธ ทางภาษาในรูปแบบตางๆ และมีพัฒนาการมาโดย
ในขอใด ลําดับตามความเจริญของมนุษยชาติ การเรียน
1. ธรรมะเทวบุตร ผูพสิ ุทธโิ สภา วรรณคดสี ง เสรมิ พฒั นาการทางความคดิ อารมณ และ
2. ปางน้ันอธรรมะ เทวบตุ รผใู จพาล คณุ ธรรมไดอ ยา งดยี ง่ิ ชว ยใหผ เู รยี นมโี ลกทศั นก วา งขนึ้
3. แตง องคก็ทรงลวน พัสตระดาํ ทุกสิ่งอัน เขา ใจตนเอง เพอื่ นมนษุ ย และสงั คมโดยสว นรวมดขี น้ึ ”
4. ครองพวกบริวาร ลวนแตพาลประดุจกนั
2. วรรณกรรมขอใดตอ ไปน้ใี ชค ําประพนั ธป ระเภทรอยกรอง ขอ ความขา งตน ไมได กลา วถงึ คณุ คา ในดา นใดของวรรณคดี
B 1. โคลนติดลอ 1. คุณคา ดานสงั คม 2. คณุ คา ดา นจริยธรรม
2. ไตรภูมพิ ระรวง 3. คุณคา ดานสติปญ ญา 4. คุณคา ดา นวรรณศลิ ป
3. พระบรมราโชวาท
4. ตาํ ราแพทยศ าสตรส งเคราะห 5. เพยี นทองงามด่ังทอง ไมเ หมอื นนอ งหม ตาดพราย
C ขอใดใชภาพพจนแ ตกตา งจากบทประพันธขา งตน
3. “การเกิดความเขาใจแจมแจงจนตระหนักในคุณคา
D ของวรรณคดเี รอื่ งหนงึ่ วา เปน งานศลิ ปะพรอ มเพยี งใด 1. นาคาหนา ดงั เปน ดเู ขมนเห็นขบขัน
2. ปลาทุกทุกขอ กกรม เหมือนทกุ ขพ ่ที ี่จากนาง
มีขอเดน ขอดอย อยางไร มีขอคิดท่ีสัมพันธกับ 3. แกมช้ําชา้ํ ใครตอง อันแกม นอ งชํา้ เพราะชม
ชวี ิตจรงิ เพียงใด” 4. งามทรงวงดัง่ วาด งามมารยาทนาดกรกราย
6. ขอ ใดใชก ลวธิ กี ารประพันธตา งจากขออ่ืน
ขอ ความขางตนถอื เปน นิยามทีต่ รงกบั ขอ ใด C 1. ลมระร้ิวปลวิ หญาคาระยาบ
1. การวิจักษวรรณคดี 2. สนละเมียดเสียดยอดขึ้นกอดฟา
2. การวิจารณวรรณคดี 3. ดอกหญา ยิ้มหวานหวานกับลานหญา
3. การวิพากษวรรณคดี 4. แกวเอียงกลบี เคลียน้าํ คา งอยางหงมิ หงมิ
4. การพจิ ารณาวรรณคดี
ความรู ความจํา ความเขา ใจ การนําไปใช การวเิ คราะห การสังเคราะห การประเมินคา
A B C D E F
โครงการวัดและประเมินผล (8)
7. บทประพนั ธใ นขอ ใดแสดงถึงวัฒนธรรมไทย 12. “ในวรรณคดี กวียอมแสดงภูมิปญญาของตนออกมา
D 1. เรือมา หนามงุ นํ้า F เราจึงสามารถมองเห็นชีวิต ความเปนอยู คานิยม
แลน เฉ่ือยฉ่าํ ลําระหง
2. คดิ อนงคอ งคเ อวอร และจริยธรรมของคนในสังคมท่ีผูประพันธจําลองไว
ผมประบาอาเอยี่ มไร ใหป ระจักษ”
3. เพราะลกู เตาเจา กรรมทําแคนขดั
จนวบิ ตั บิ านเมืองไดเคอื งเข็ญ จากขอความขา งตนคําวา “ภูมิปญญา” มีความหมาย
4. ในดนตรมี รี ักอันลกึ ซ้งึ ตรงกบั ขอ ใด
รวมหวั ใจเปน หนึง่ อยา งแนนเหนียว 1. ลกั ษณะของสงั คมท่ีเสนออยา งตรงไปตรงมา
2. การแสดงภาพของชวี ติ ที่สัมพนั ธก ับวัฒนธรรม
8. ขอ ใดสะทอ นแนวคดิ หลกั ของพระพทุ ธศาสนาชดั เจนทส่ี ดุ 3. ภาพจาํ ลองของชวี ติ และการสง เสรมิ จรยิ ธรรมของสงั คม
D 1. นรชาตวิ างวาย มลายสน้ิ ท้งั อินทรยี 4. ความรูทางดานขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีสืบทอดมา
2. อันวา ความกรณุ าปรานี จะมีใครบงั คบั ก็หาไม
3. ยามบวชบม บญุ ไป นาํ้ ตาไหลเพราะอมิ่ บญุ อยา งยาวนาน
4. ไมมีพรเทพพรมนุษย เปรยี บประดจุ ความดที ที่ าํ เอง 13. วรี กรรมใดของขนุ แผนทเี่ ชอื่ วา เปน เหตกุ ารณท เ่ี กดิ ขนึ้ จรงิ
B 1. ยกทพั ไปตพี มาแลว ชนะศึก
9. นจิ จาใจเจา จะใหพ่ีเจ็บจิต โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
D ดงั เอากรชิ แกะกรดี ในอกผัว 2. ยกทพั ไปตีลา นชางแลว ชนะศกึ
3. ยกทพั ไปตีเชยี งใหมแ ลวชนะศกึ
เกรงผดิ คิดบาปจึงหลาบกลวั 4. ยกทพั ไปตีกาญจนบุรแี ลว ชนะศกึ
พนี่ ี้ชว่ั เพราะหมิ่นประมาทความ 14. บทประพันธในขอใดบรรยายลักษณะไดตรงกับชื่อตอน
C “ขนุ ชา งถวายฎกี า” มากทสี่ ดุ
บทประพนั ธนี้มีคาํ ยืมภาษาตางประเทศก่ีคาํ 1. จะกลา วถงึ พระองคผทู รงเดช
1. 4 คาํ 2. 5 คํา
3. 6 คาํ 4. 7 คาํ เสด็จคืนนิเวศนพอจวนคํ่า
10. ขอ ใดใชกลวธิ กี ารประพนั ธโดยการเลน คํา 2. ฝพายรายเลมมาเต็มลํา
D 1. โอวา อนิจจาความรัก
เรือประจําแหนแหเซง็ แซมา
พึ่งประจักษดง่ั สายนํา้ ไหล 3. พอเรือพระที่นั่งประทบั ที่
2. ในลกั ษณน ้นั วานา ประหลาด
ขุนชา งก็ร่ลี งตนี ทา
เปนเชอ้ื ชาตนิ กั รบกล่ันกลา 4. ลอยคอชูหนงั สือดอ้ื เขามา
3. แลวสอนวา อยาไวใ จมนุษย
ผดุ โผลโ งหนา ยึดแคมเรอื
มันแสนสุดลึกลํ้าเหลือกาํ หนด 15. เมื่อขุนชางถวายฎีการองทุกข ผลของการตัดสินเปน
4. ท้ังจากทีจ่ ากคลองเปนสองขอ D อยา งไร
ยงั จากกอนัน้ ก็ข้ึนในคลองขวาง 1. ขุนชางแพความถูกปรับ
11. ขอใดกลาวถึงวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดีถกู ตอ งทีส่ ุด 2. ขุนชา งชนะความไดน างวันทองคนื
B 1. บันเทงิ คดีมุงใหเกดิ ความสาํ เรงิ อารมณเทา นัน้ 3. ขุนแผนชนะความไดนางวันทองคืน
4. พระพนั วษาส่งั ประหารชีวิตนางวนั ทอง
2. บันเทิงคดีมิไดม ุงใหค วามรหู รอื ความคดิ เห็นใดๆ 16. เหตุใดพระราชนิพนธเรื่องอิเหนาจึงมีบทบรรยายทั้งบท
3. บนั เทงิ คดีไมม สี าระในดา นปรชั ญา การเมอื ง C อาบน้ําแตงตัว บทเดินทางชมปา และบทเก้ยี วพาราสี
1. เพราะเปนบทเสภา
หรือประวตั ิศาสตร 2. เพราะเปน บทละครใน
4. บนั เทงิ คดจี ะตอ งมเี นอื้ หากระทบอารมณผ อู า นจนทาํ ให 3. เพราะเปน บทละครนอก
4. เพราะเปนบทพระราชนิพนธ
เกดิ ความสาํ เรงิ อารมณ
(9) โครงการวัดและประเมินผล
17. ขอใดไมม ี คาํ แสดงภาพพจนอ ปุ มา 21. คาํ ท่ีขดี เสนใตใ นขอใดไมมี ความหมายกลาวถงึ ขนุ ชาง
D 1. กองไฟสวางดังกลางวัน D 1. วันนัน้ แพก ูเมอ่ื ดําน้ํา
หมายสําคญั ตรงมาหนาประตู
2. จบั ใจดังหวั ใจจะพังพอง กก็ ริ้วซํ้าจะฆา ใหเ ปน ผี
ขยบั จองดาบงา อยากฆา ฟน 2. มาอยไู ยกบั อา ยหนิ ชาติ
3. ถาคิดเห็นเอ็นดูวาลูกเตา
แมท นู เกลา ไปเรอื นอยาเชือนเฉย แสนอบุ าทวใจจติ รษิ ยา
4. มคิ วรทําเจา อยาทาํ ใหราํ คาญ 3. ฝา ยพอมบี ุญเปนขนุ นาง
อยาอาจหาญเหมอื นพอ นกั คะนองใจ
แตแมไปแนบขา งคนจัญไร
18. บทประพันธในขอ ใดมีลักษณะเปนคําสั่ง 4. พรากใหพนคนอบุ าทวชาติอปั รยี
F 1. อาจองทะนงตวั ไมก ลัวภยั
นพ่ี อใชฤ ๅวา เจามาเอง ย่ิงคิดยง่ิ มคี วามโกรธา
2. ใสดาลบา นชอ งกองไฟรอบ 22. วรรณคดเี ร่ืองขนุ ชา งขุนแผน ตอนขุนชางถวายฎกี า
พอ ชางลอบเขา มากระไรได F ใหขอ คิดในเรอ่ื งใดชัดเจนทสี่ ดุ
3. มธี รุ ะสิ่งไรในใจเจา
โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ พอจงเลา แกแ มแ ลวกลบั บา น 1. การทาํ ส่ิงใดอยาวูว ามจะทําใหเกดิ ผลเสียได
4. เจา มาไยปา นนน้ี ี่ลกู อา 2. การใชอ ํานาจในทางที่ผิดยอ มทําลายชีวิตคนได
เขารักษาอยทู กุ แหง ตําแหนง ใน 3. ผหู ญงิ ไมว ายุคใดสมัยใดมกั เปนเพศทเี่ สยี เปรยี บ
4. การทาํ สิง่ ใดควรตดั สนิ ใจใหเดด็ ขาดอยางมีเหตผุ ล
19. บทประพนั ธใ นขอ ใดแสดงถงึ ความทกุ ขใ จของตวั ละครมาก 23. คํากลา วในขอใดที่ทําใหนางวนั ทองยอมไปกบั พลายงาม
F ทสี่ ุด D 1. จะตดั เอาศีรษะของแมไ ป
1. ใชจะอ่ิมเอบิ อาบดวยเงินทอง ทง้ิ แตต ัวไวใหอ ยนู ่ี
มิใชข องตัวทาํ มาแตไหน 2. เหมอื นไมมีรกั ใครในลูกยา
ทงั้ ผคู นชา งมาแลขาไท
ไมรักใครเหมอื นกบั พอพลายงาม อตุ สาหม ารบั แลวยังมิไป
2. ทุกวันนี้ใชแมจ ะผาสกุ 3. แมน มไิ ปใหง ามกต็ ามใจ
มีแตท กุ ขใจเจ็บดังเหนบ็ หนาม
ตอ งจาํ จนทนกรรมที่ตดิ ตาม จะบาปกรรมอยา งไรก็ตามที
จะขืนความคดิ ไปก็ใชท ี 4. เสียแรงเปนลกู ผูชายไมอายเพ่อื น
3. ท่ีจริงใจถงึ ไปอยูเรือนอนื่
คงคิดคนื ที่หมอมเปนแมนมั่น จะพาแมไ ปเรอื นใหจ งได
ดว ยรกั ลกู รักผวั ยังพวั พนั 24. สมเดจ็ พระพันวษาทรงกร้ิวพลายงามเพราะเหตใุ ด
คราวนนั้ ก็ไปอยูเพราะจาํ ใจ D 1. นม่ี งึ หนีมันมาฤๅวา ไร
4. แคน คดิ ดว ยมติ รไมรกั เลย
ยามมที เี่ ชยเฉยเสยี ได ฤๅวา ใครไปรบั เอามึงมา
เสียงแรงรวมทุกขย ากกนั กลางไพร 2. อีวนั ทองกูใหอายแผนไป
กินผลไมตา งขา วทกุ เพรางาย
อายชา งบงั อาจใจทาํ จลู ู
20. บทประพนั ธใ นขอ ใดมคี ําเลยี นเสียงธรรมชาติ 3. ตกวากูหาเปนเจา ชวี ติ ไม
D 1. ไดยินเสียงฆองยํ่าประจําวงั ลอยลมลอ งดงั ถงึ เคหา
มงึ ถอื ใจวาเปนเจาที่โรงโขน
2. นา้ํ คา งตกกระเซน็ เยน็ เยอื กใจ สงดั เสยี งคนใครไมพ ดู จา 4. อายหมื่นไวยทาํ ใจอหงั การ
3. มแี ตห ลบั เพอ ละเมอฝน ทง้ั ไฟกองปอ งกนั ทกุ แหง หน
4. เรณฟู รู อ นขจรใจ ยา งเทา กา วไปไมโ ครมคราม ตกวาบานเมืองไมมนี าย
25. โจนลงกลางชานรา นดอกไม ของขนุ ชา งปลกู ไวอ ยดู าษดนื่
E บทประพนั ธน คี้ วรแกไ ขเรอ่ื งเสยี งวรรณยกุ ตอ ยา งไร จงึ จะ
ทาํ ใหบ ทประพันธม คี วามไพเราะย่งิ ขนึ้
1. คาํ สุดทายของวรรคสดบั ควรเปน เสยี งสามญั
2. คําสุดทายของวรรคสดบั ควรเปน เสียงจัตวา
3. คําสุดทา ยของวรรครับควรเปน เสียงจัตวา
4. คาํ สดุ ทายของวรรครบั ควรเปน เสียงตรี
โครงการวัดและประเมินผล (10)
26. บทประพนั ธในขอใดมีคําท่ปี ระสมดวยสระประสม 32. เพราะเหตใุ ดกวนอูจงึ ตดั สินใจรบั ราชการกบั โจโฉ โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
E มากทีส่ ดุ C 1. เพอื่ เปนทหารเอกของโจโฉ
1. กระดึงพรวนลว นสกั หลาดทบั 2. เพ่อื เอาใจออกหางจากเลาป
2. ดาวประดบั ดวงเดน ดสู ลอน 3. เพอื่ ตอบแทนบุญคณุ แลว จากไป
3. สลกั เสลาเกลาเกลีย้ งอรชร 4. เพอื่ แสดงความจงรกั ภักดีตอ พระเจา เห้ยี นเต
4. เชอื กใชไ วซ อนสลับกนั 33. ในเรอื่ งสามกก เหตกุ ารณใ ดทโ่ี จโฉมนั่ ใจวา ตนไมส ามารถ
27. แผน ดนิ ทก่ี ลา วถงึ ในเรอื่ งสามกก อยใู นรชั สมยั ของกษตั รยิ D ผูกใจกวนอูได
B พระองคใ ดและราชวงศใ ด 1. กวนอปู ฏเิ สธไมยอมออกรบกบั เลา ป
1. พระเจาเลนเต ราชวงศจ น๋ิ 2. กวนอูแสดงความดีใจท่ีโจโฉมอบมาเซก็ เธาวให
2. พระเจา เลนเต ราชวงศห มิง 3. กวนอเู คารพและซอ่ื สตั ยต อ ฮหู ยนิ ทง้ั สองอยา งสจุ รติ ใจ
3. พระเจาเหีย้ นเต ราชวงศฮ น่ั 4. กวนอสู วมเสอื้ ตัวใหมที่โจโฉมอบใหไวข างใน
4. พระเจา เหย้ี นเต ราชวงศว ยุ
28. เร่อื งสามกก เปน วรรณคดที ม่ี ลี กั ษณะอยางไร และสวมเสอื้ ตวั เกาท่เี ลา ปใหไวข า งนอก
B 1. เปน เรื่องแปล
2. เปน เรือ่ งแตงขึน้ ใหม 34. โจโฉจึงใหกวนอูกับภรรยาเลาปท้ังสองน้ันอยูเรือน
3. เปน เร่ืองท่ีนาํ มาจากนิทานพนื้ บา นของจนี E เดยี วกัน หวงั จะใหก วนอคู ดิ ทํารายพสี่ ะใภ นา้ํ ใจจะได
4. เปนเรื่องทแ่ี ตงโดยนาํ เคาโครงมาจากวรรณคดีของจนี
แตกออกจากเลา ปจ ะไดเปน สิทธ์แิ กตัว
29. “ถึงมาตรวาเปน ทางกนั ดารจะตอ งขามมหาสมทุ ร
C แลลุยเพลงิ ก็ดี จะไปหาใหจงได” จากเหตกุ ารณข างตนแสดงใหเห็นวา โจโฉมจี ดุ มุงหมาย
อยางไร
ขอความขา งตน นีส้ มั พนั ธก ับตัวละครในขอใด 1. ตอ งการไดฮหู ยินเปนของตน
1. กวนอู - เลาป 2. ตอ งการใหก วนอสู วามภิ ักดิ์ตอ ตน
2. กําฮหู ยนิ - เลาป 3. ตอ งการใหก วนอูคิดไมซ ่ือตอ ฮหู ยนิ
3. เตียวเลย้ี ว - กวนอู 4. ตองการใหกวนอปู ระทุษรา ยฮหู ยินเพื่อแกแคนเลา ป
4. กวนอู - พระเจาเห้ียนเต 35. เรื่องสามกกฉบับเจาพระยาพระคลัง (หน) ไดรับยกยอง
30. ขอใดไมใช ขอ คิดท่ีไดจากวรรณคดเี รอื่ งสามกก B จากวรรณคดีสโมสรใหเ ปน ยอดของวรรณคดีประเภท
F 1. ความซอ่ื สตั ยเปน พื้นฐานของคณุ ธรรมอน่ื ๆ 1. เรื่องแปลจนี
2. การจงรกั ภักดีตอ กษัตรยิ ทแ่ี มแตชีวติ ก็สละได 2. ความเรยี งนทิ าน
3. การรกั ษาวาจาสตั ยจ ะทําใหผ ูอน่ื เชอ่ื ถือและศรัทธา 3. ความเรยี งตาํ นาน
4. ความกตัญูตอผูมีพระคุณจะมีความสุขความเจริญ 4. ความเรียงเชิงอธิบายความ
36. เพราะเหตุใดโจโฉจึงตอ งการกวนอูมาเปน ทหารของตน
ในชวี ติ C 1. กวนอูมีความซื่อสตั ย
2. กวนอมู คี วามรรู อบดา น
31. “ธรรมดาเกดิ มาเปน ชายใหร จู กั ทห่ี นกั ทเี่ บา ถา ผใู ดมไิ ด 3. กวนอูมคี วามกตญั รู คู ณุ
B รจู กั ท่ีหนักทเ่ี บา คนทัง้ ปวงกล็ ว งติเตยี นวา ผูน ั้นหาสติ 4. กวนอมู ีฝม อื กลาหาญในการสงคราม
37. ขอ ใดมคี วามหมายตรงกบั สาํ นวนไทยวา “ตดั ไฟแตต น ลม”
ปญญาไม” D 1. ลกู นกอันขนปกยังไมข ้ึนพรอม
2. จะมาตีตวั ตายกอ นไขน ้นั ไมค วร
จากขอ ความขา งตน คาํ ที่ขีดเสน ใตห มายถงึ ขอ ใด 3. อุปมาเหมือนหนง่ึ ลุยเพลงิ อนั สกุ
1. บุญคณุ 2. ภารกิจ 4. อนั ความคดิ ของอว นเสย้ี วนนั้ ถา จะทาํ การสงิ่ ใดกร็ วดเรว็
3. กาํ ลังรบ 4. อาวุโส
(11) โครงการวัดและประเมินผล
38. ขอ ใดไมเก่ยี วกบั เนอ้ื หาเร่อื งสามกก 40. จากวรรณคดีเรอ่ื งสามกก ชอื่ ตัวละครในขอ ใดมีจาํ นวน
D 1. การปกครองบานเมือง E พยางคท ่ีมเี สยี งวรรณยุกตต รงกบั รูปวรรณยุกตมากทส่ี ดุ
2. การสูรบโดยมหี ญิงสาวเปนชนวน 1. เตยี วหุย ลโิ ป
3. การแยงอาํ นาจของผปู กครองบานเมือง 2. กวนอู เตียวหุย
4. การใชก ลอุบายทางการเมืองและการสงคราม 3. เลาป เตียวเลี้ยว
39. วรรณคดีเรื่องสามกกมีประโยชนตอการบริหารบานเมือง 4. โจโฉ บิฮหู ยิน
E อยา งไร
1. การรจู ักใชค น
2. การปกครองบานเมือง
3. การใชกลยุทธและไหวพรบิ ทางการทหาร
4. การบรหิ ารบุคคลทง้ั ทางทหารและทางการเมอื ง
โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
โครงการวัดและประเมินผล (12)
2ตอนท่ี ตอบคําถามใหถกู ตอ ง จาํ นวน 3 ขอ 10 คะแนน ¤Ðá¹¹·èÕ ä´Œ
¤Ðá¹¹àµÁç
10
1. ในการศกึ ษาวรรณคดี คาํ วา “นทิ าน” และ “นิยาย” มีความเหมอื นหรอื แตกตา งกันอยา งไร อธิบายใหช ดั เจน (3 คะแนน) โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. จากวรรณคดเี รอ่ื งขนุ ชา งขนุ แผน ตอนขนุ ชา งถวายฎกี านี้ นกั เรยี นจะมกี ลวธิ ปี รบั เปลยี่ นแกไ ขเนอ้ื หาอยา งไร เพอื่ ไมใหต วั เอก
ของเร่อื งคอื นางวันทองตอ งถูกตดั สินประหารชีวติ (4 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. จากวรรณคดีเรอ่ื งสามกก ตอนกวนอูไปรบั ราชการกบั โจโฉ นักเรยี นไดขอคดิ อะไรบา ง และสามารถนําขอ คดิ ดังกลาวไปใช
ประโยชนไดอ ยางไร (3 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
(13) โครงการวัดและประเมินผล