The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

3611006TM-คู่มือครูวรรณคดีและวรรณกรรม-ม6[211119]

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พิสมัย สืบเลย, 2022-12-19 02:46:13

3611006TM-คู่มือครูวรรณคดีและวรรณกรรม-ม6[211119]

3611006TM-คู่มือครูวรรณคดีและวรรณกรรม-ม6[211119]

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)

นกั เรยี นแบง กลมุ รวมกันวิเคราะห พิพากษาคดีจนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย วันหน่ึงวัสสการพราหมณ์จึงออกอุบายยุยงบรรดา
คณุ ธรรมของตวั ละคร ตอไปนี้ พระโอรส จนในท่สี ดุ ตา่ งกข็ ดั เคอื งและไมพ่ อใจซึง่ กนั และกนั หลังจากเวลาผ่านไป ๓ ป ี วัสสการ-
พราหมณ์ประเมินสถานการณ์ว่ากษัตริย์ลิจฉวีทุกพระองค์แตกสามัคคีกันแล้ว จึงแจ้งข่าวให้
• พระเจาอชาตศตั รู พระเจา้ อชาตศัตรูยกทพั มาตีแคว้นวัชชี ซึ่งก็สามารถยึดไดอ้ ยา่ งงา่ ยดาย
• กษตั รยิ ลจิ ฉวี
• วัสสการพราหมณ ๒.๓) ตัวละคร ในเรือ่ งสามัคคเี ภทค�าฉันท ์ มตี ัวละครท่ีมบี ทบาทสา� คญั ดังนี ้
• พระโอรสของกษตั รยิ ลจิ ฉวี (๑) พระเจา้ อชาตศตั ร ู เปน็ กษตั รยิ ท์ มี่ พี ระปรชี าสามารถในการปกครองบา้ นเมอื ง
ตวั ละครแตล ะตัวในเรอ่ื งสามคั ค-ี ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ทรงมีความรอบคอบและฉลาดหลักแหลม เม่ือจะทรงแผ่พระบรม-
เภทคําฉันท มคี ุณธรรมใดหรอื ขาด เดชานุภาพยกทัพไปตีเมืองลิจฉวี กท็ รงหากลอุบายตัดทอนกา� ลังของกษัตรยิ ์ลจิ ฉวี เพ่อื มใิ ห้เสยี
คณุ ธรรมใด เลอื ดเน้อื ไพรพ่ ลเป็นจ�านวนมาก ดังบทประพันธ์
(แนวตอบ ตัวอยา งเชน พระเจา
อชาตศตั รปู กครองดวยหลกั ๏ ศึกใหญใ่ คร่จะพยายาม รบเรา้ เอาตาม
ทศพิธราชธรรม ในขณะทก่ี ษตั ริย ก�าลงั กห็ นกั นกั หนา รอกอ่ นผอ่ นหา
ลจิ ฉวีเคยอยูใ นอปรหิ านิยธรรม 7
แตต อมาขาดหลักธรรมนี้ ทําใหเ กดิ ๏ จ�าจกั หักดว้ ยปัญญา
ความแตกแยก เปน ตน )
อุบายทา� ลายมลู ความ

ขยายความเขาใจ (๒) วสั สการพราหมณ ์ มีความจงรักภกั ดีตอ่ พระเจา้ อชาตศัตรู เปน็ ผู้ท่ีมคี วาม
รักชาตบิ ้านเมืองของตนอยา่ งแรงกล้า ยอมเสยี สละทุกอย่างเพ่ือชาตบิ ้านเมือง แมจ้ ะต้องรับพระ-
ใหนักเรยี นเลือกฉนั ทท ่ีประทบั ใจ ราชอาชญาด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัส ดงั บทประพนั ธ์
พรอมอธิบายลลี าของฉันทน้นั ๆ วา
ควรใชกับเนอื้ หาแบบใด ๏ ไปเ่ ห็นกะเจ็บแสบ ชวิ แทบจะท�าลาย
มอบสัตย์สมรรถหมาย มนม่ันมิหว่นั ไหว
(แนวตอบ นักเรยี นสามารถ ผถิ วิลสะดวกใด
ยกตวั อยางไดห ลากหลายตาม ๏ หวงั แผน ณ แผ่นดิน
ความประทบั ใจ เชน บ มิเลย่ี งจะเบย่ี งเบือน
เก้ือกจิ สฤษฏ์ไป
“บงเนื้อกเ็ นอ้ื เตน
พศิ เสน สรรี ร วั (๓) กษัตริย์ลิจฉว ี เปน็ กษตั ริยท์ ี่เคยตั้งมนั่ อยใู่ นอปริหานิยธรรม ๗ อันหมายถงึ
ทวั่ รางและทั้งตวั ธรรมแห่งความเจรญิ ของหมคู่ ณะ แตภ่ ายหลงั ตา่ งกท็ รงขาดวจิ ารณญาณ เมอื่ บรรดาพระโอรสทลู
ก็ระรกิ ระริวไหว” เรอื่ งราวทว่ี สั สการพราหมณย์ แุ หยก่ ท็ รงเชอื่ มที ฐิ มิ านะจนเกนิ เหต ุ ไมย่ อมหนั หนา้ เขา้ ปรกึ ษาหารอื
บทประพันธน ใี้ ชอินทรวเิ ชยี รฉันท กนั ขาดความสามัคคปี รองดอง ดงั บทประพนั ธ์
ทีม่ ีลลี าสละสลวย นุมนวล ใชกบั
เนือ้ ความทตี่ องการใหผ ูอานเกดิ
ความรูสกึ สงสาร และเศราโศกใน
ชะตากรรมของวัสสการพราหมณ)

144

144 คูมอื ครู


กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

๏ ตา่ งทรงส�าแดง ความแขงอ�านาจ อธิบายความรู
สามคั คีขาด แก่งแยง่ โดยมาน
ภูมศิ ลิจฉวี วัชชีรัฐบาล ใหนกั เรียนชวยกนั วิเคราะห
บ่ ชุมนมุ สมาน แมแ้ ตส่ กั องค์ ๚ เกย่ี วกับฉากและบรรยากาศใน
สามัคคีเภทคําฉนั ท
๒.๔) ฉากและบรรยากาศ กวีจินตนาการฉากและบรรยากาศ โดยเลือกใช้ค�าอย่าง
พถิ พี ถิ นั และเลอื กประเภทฉนั ทไ์ ดเ้ หมาะกบั เนอ้ื เรอื่ งในแตล่ ะตอน ทา� ใหก้ ารพรรณนาเหน็ ภาพของ • เหตใุ ดกวีจึงใชฉ ากและ
ฉากและบรรยากาศอนั งดงาม การบรรยายการจดั กระบวนทพั ตอ้ งมีโหรพราหมณ์นมิ ติ ดูฤกษ์ยาม บรรยากาศโดยมีแบบมาจาก
คร้นั เหน็ วา่ เหมาะแก่เวลากท็ �าพิธีตกี ลองเอาฤกษแ์ ละเตรียมทพั ดงั บทประพันธ์ ไทย ทั้งๆ ท่ีเร่ืองราวเกิดข้ึน
ในประเทศอินเดีย
๏ ทมุ่ อินทเภรเี ร่งคง คาบลาถ้วนลง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบ
มโหระทึกครึกโครม สังข์แตรแซ่โหม ไดอยา งหลากหลาย ท้งั นี้ครู
เถลงิ หลังคชาธาร ควรแนะนํานกั เรียนวา ในอดตี
๏ ดุรยิ างค์ดนตรีป่ปี ระโคม ผรู หู นังสอื ยงั ไมมาก ความรู
กระห่ึมสน่ันบรรสาน (ฉากจดั ระบวนทพั ) เกยี่ วกบั ตางประเทศยังไมแ พร
หลาย ดังน้นั การใชฉากและ
๏ ราชามาคธภบู าล บรรยากาศแบบไทยจงึ ทําให
ประเสริญสง่างามทรง ผอู านเขา ใจเรอื่ งและเขา ถงึ
อรรถรสไดดกี วา )

ขยายความเขา ใจ
จากบทประพันธ์จะเห็นภาพการเคลื่อนทัพของพระเจ้าอชาตศัตรู เป็นการเคล่ือนทัพ
ตามขนบประเพณี เหล่าทหารนักรบจะตีกลองเป่าแตรเสียงดังสน่ันหว่ันไหว ท�าให้บรรยากาศ ใหน ักเรยี นพจิ ารณาฉากและ
การเดนิ ทพั เปน็ ไปดว้ ยความฮกึ เหมิ เหน็ ภาพพระเจา้ อชาตศตั รปู ระทบั อยบู่ นหลงั ชา้ งอยา่ งสงา่ งาม บรรยากาศในเนอื้ เรื่องแลวตอบ
นา่ เกรงขาม คําถามในประเดน็ ตอ ไปน้ี

๒.๕) กลวธิ กี ารแตง่ กวเี ลอื กสรรคา� ฉนั ทท์ มี่ ลี ลี าทว่ งทา� นองมาใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั • นักเรยี นเห็นดว ยหรอื ไมทีฉ่ าก
เนอื้ เรื่องแตล่ ะตอน การดา� เนินเรอ่ื งจึงชวนใหน้ ่าติดตาม นอกจากน้กี วียงั มีศิลปะในการนา� ถอ้ ยคา� และบรรยากาศในสามคั คีเภท-
และโวหารมาประกอบ อ่านแล้วเกิดอารมณ์ความรสู้ กึ คลอ้ ยตามถ้อยคา� น�า้ เสียง จังหวะและลีลา คาํ ฉนั ทเ ปน แบบไทย แตเ นอ้ื เรอ่ื ง
บทประพนั ธจ์ นสามารถจนิ ตนาการภาพได้อย่างชดั เจน ดังบทประพันธ์ ตัวละครเปนแบบอินเดยี
(แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบ
๏ ขนุ คชข้นึ คชชินชาญ คมุ พลคชสาร ไดอยางหลากหลายตามความรู
ละตัวกา� แหงแขง็ ขัน เสียงเพรียกเรียกมนั ความเขา ใจของนักเรียน ครู
๏ เคยเศกิ เขา้ ศึกฮกึ ครนั แนะนาํ เสริมวา กวีแตง วรรณคดี
คา� รนประดจุ เดอื ดดาล จะสะทอ นวถิ ชี วี ิตและสภาพ
ความเปน อยขู องสังคมในสมยั
145 นัน้ ๆ)

• จากที่นกั เรียนไดศ ึกษาวรรณคดี
มาแลว มวี รรณคดเี รอ่ื งใดอกี บา ง
ทน่ี กั เรยี นไดศกึ ษาการจดั
กระบวนทพั
(แนวตอบ มหี ลายเรอ่ื ง เชน เร่ือง
รามเกยี รต์ิ เร่อื งลิลิตตะเลงพาย
เปนตน)

คมู ือครู 145


กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนักเรยี น 20%)

ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั ๗.๒ คณุ คา่ ด้านวรรณศิลป์
วรรณศิลปใ นสามัคคีเภทคาํ ฉนั ท
๑) การสรรคา� เป็นการเลือกใชค้ า� ทสี่ ่ือความคิดและอารมณไ์ ดอ้ ยา่ งงดงาม ดังน้ี
• ลลี าของฉนั ทม คี วามสาํ คญั ๑.๑) การเลือกใช้ค�าได้ถูกต้องตรงตามความหมายท่ีต้องการ มีการใช้ค�าที่ประณีต
กับเนือ้ หาของเรอ่ื งอยางไร
(แนวตอบ ลลี าของฉันท คือ เปน็ พเิ ศษ เมอื่ กลา่ วถงึ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ ์ิ พระมหากษตั รยิ ์ คร ู อาจารย ์ จะใชค้ า� ศพั ทภ์ าษาบาลสี นั สกฤต
ทว งทํานองเสียงหนกั เบาของ ซึ่งถือวา่ เปน็ ภาษาสูงต้องแปลความทุกค�า เชน่ ในบทประณามพจน์ ท�าใหถ้ อ้ ยคา� เกดิ ความขลงั
คาํ ครุ ลหทุ แ่ี ตกตางกันในฉันท และศักดิ์สทิ ธ ์ิ ดังบทประพนั ธ์
แตล ะชนิด ลีลาของฉันทเ ม่อื ใช
กบั เน้อื ความทสี่ อดคลองกนั ๏ พร้อมเบญจางคประดิษฐส์ ฤษฎสิ ดดุ ี ทวาร
แลวจะยิ่งสง เสริมใหผ ูอา น กายจติ วจไี ตร มนุ ี
เกิดอารมณค ลอยตามและ ๏ ไหว้คุณองค์พระสคุ ตอนาวรณญาณ ปิฎก
เกดิ สุนทรียะทางอารมณไดงาย ยอดศาสดาจารย์ นกิ ร
เชน วสันตดิลกฉนั ทม ลี ลี าของ
ฉนั ทไพเราะ สละสลวย เย็นชืน่ ๏ อกี คุณสุนทรธรรมคมั ภิรวธิ ี
เหมอื นน้าํ ฝนจงึ ใชพ รรณนา พุทธพจน์ประชมุ ตรี
ความงาม บทชมตางๆ อีทสิ ัง- ๏ ทง้ั คณุ สงฆพิสุทธศาสนดิลก
ฉันทเปน ฉนั ทที่มีลีลากระชน้ั สมั พทุ ธสาวก
กระแทกกระทนั้ ใชก บั เน้อื ความ
แสดงอารมณโ กรธ เปน ตน ) ๑.๒) การเลือกใชศ้ พั ทเ์ หมาะแกเ่ นอ้ื เร่ืองและฐานะของบุคคลในเร่อื ง เชน่

ขยายความเขาใจ ๏ พระราชบุตรลจิ ฉวมิ ติ รจิตเมนิ
ณ กนั และกันเหิน
1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท่มี ีการ คณะห่างกต็ ่างถือ
ใชถ อยคําหรอื โวหารทีน่ กั เรียน ๏ ทะนงชนกตน
ประทับใจมาคนละ 1 - 2 บท ก็หาญกระเหิมฮือ พลล้นเถลงิ ลอื
(แนวตอบ อุปมาโวหาร เชน มนฮกึ บ นกึ ขาม
“เคยเศิกเขา ศกึ ฮกึ ครัน
เสียงเพรยี กเรียกมนั จากบทประพนั ธก์ วเี ลอื กใชค้ า� ไดเ้ หมาะแกเ่ นอ้ื เรอ่ื งและฐานะของบคุ คล ซง่ึ เปน็ โอรสของ
คาํ รนประดจุ เดอื ดดาล”) กษัตรยิ ล์ ิจฉวี ไดแ้ ก ่ ค�าว่า พระราชบตุ ร ชนก และใชค้ �าว่า มน หมายถงึ ใจ ใช้ในบทประพนั ธ์

2. ใหนกั เรยี นวเิ คราะหว าถอ ยคํา ๑.๓) การเลือกใช้เลือกค�าโดยค�านึงถึงเสียง กวีได้ดัดแปลงฉันท์บางชนิดให้มีความ
หรือโวหารน้ันๆ ชวยสรางอารมณ แตกตา่ งไปจากเดมิ ทา� ใหม้ คี วามไพเราะมากขน้ึ สามคั คเี ภทคา� ฉนั ทม์ กี ารใชค้ า� ทมี่ เี สยี งเสนาะ ดงั นี้
ความรสู ึกอยา งไร (๑) การใชค้ า� ทเี่ ลน่ เสยี งหนกั เบา ในบทรอ้ ยกรองประเภทฉนั ท ์ กา� หนดเสยี งหนกั
(แนวตอบ ถอ ยคําทีก่ วีเลอื กสรร เบา (คา� ครแุ ละคา� ลห)ุ ไวแ้ นน่ อนเปน็ แบบแผนทย่ี ดึ ถอื กนั ถา้ อา่ นเปน็ ทา� นองเสนาะ กจ็ ะทา� ใหร้ สู้ กึ
นาํ มาใช ประกอบกับความ ถงึ รสไพเราะของเนอ้ื ความได ้ ดังตัวอยา่ ง
สอดคลองของลีลาฉนั ทแ ลว
จะชวยใหผูอ า นเกดิ อารมณค ลอย 146
ตามไปไดง ายข้ึน ทําใหผอู าน
เขา ใจความรูสึกของตัวละครได เกร็ดแนะครู
เชน การใชค าํ ดดุ นั ในอที ิสังฉนั ทท่ี
มลี ีลากระชัน้ กระแทกเหมาะกับ ครูเพิ่มเติมความรูใ หนกั เรียนเกยี่ วกับการใชค ําศพั ทใหเหมาะสมกับระดบั บคุ คลถือเปน
เนอ้ื ความแสดงอารมณโกรธ) ลักษณะเฉพาะท่ีโดดเดนของสงั คมไทย สะทอนใหเห็นวฒั นธรรมการยกยองบคุ คลตามระดบั
“เอออเุ หมนะมึงชิชางกระไร ความอาวโุ ส ฐานันดร และศักดิ์ เชน กษตั ริย พระสงฆ ครอู าจารย พอแม ญาติผูใหญ
ททุ าสสถุลฉะนไ้ี ฉน กม็ าเปน” เปน การแสดงออกถงึ ความเคารพยกยอ ง ใหเ กยี รติ และมีสัมมาคารวะ
เปน ตน)

146 คูม ือครู


กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธิบายความรู

๏ ชะรอยว่าทชิ าจารย์ ธ คดิ อา่ นกะท่านเป็น การแตงคาํ ประพนั ธป ระเภทฉันท
รหสั เหตุประเภทเหน็ ละแน่ชดั ถนัดความ ของไทยมลี กั ษณะแตกตางจากฉนั ท
มิกลา้ อาจจะบอกตาม ของอนิ เดีย โดยไดป รับปรุงเปล่ียน-
๏ และท่านมามสุ าวาท ไถลแสร้งแถลงสาร แปลงใหส อดคลองกับลกั ษณะนิยม
พจีจริงพยายาม ในคาํ ประพันธไ ทย

(๒) การเลน่ เสยี งสมั ผสั ในฉนั ทข์ องนายชติ บรุ ทตั มที งั้ สมั ผสั นอกและสมั ผสั ใน • ฉันทต ามความนยิ มของไทย
โดยเฉพาะสมั ผสั ในมที ง้ั สมั ผสั สระและสมั ผสั พยญั ชนะแพรวพราว คลา้ ยกบั ความไพเราะของกลอน เปน อยางไร และใหค วามสาํ คัญ
เชน่ กับเสียงสมั ผัสหรอื ไม อยางไร
(แนวตอบ ตามคมั ภรี ว ุตโตทัยที่
๏ เขาแสนสมเพช สงั เกตอาการ ไทยนํามาเปนตําราในการแตง
แหง่ เอกอาจารย์ ท่าทที กุ ข์ทน ฉันท ไมม กี ารบงั คบั ใชส มั ผสั แต
ภายนอกบอกแผล แน่แทท้ ุพพล เม่ือไทยรับฉันทม าใช จึงเพมิ่
เหน็ เหตุสมผล ให้พักอาศยั สมั ผัสระหวางวรรคเพอื่ ให
สมั ผัสรอ ยเรียงเกิดเสียงเสนาะ
ค�าที่สมั ผสั ในวรรค ไดแ้ ก่ แสน - สม, (สงั )เกตุ - (อา)การ, เอก - อา(จารย์), ท่า - ท ี - ตามความนิยมของคนไทย
ทกุ ข์ - ทน, นอก - บอก, แน ่ - แท,้ แท ้ - ทพุ (พล), เห็น - เหตุ ซง่ึ สามคั คีเภทคําฉันทม ีความ
(๓) การเล่นสมั ผสั ชดุ คา� และชุดเสียง เชน่ โดดเดน ดา นการใชส มั ผสั ใน
อยา งแพรวพราว ทั้งสัมผสั สระ
๏ เปรียบปานมหรรณพนที ทะนทุ ป่ี ระทังความ และสัมผสั อักษร แสดงใหเ หน็
รอ้ นกายกระหายอทุ กยาม นรหากประสบเหน็ ความสามารถของกวใี นการ
๏ เอบิ อม่ิ กระหย่ิมหทยคราว ระอผุ า่ วกผ็ อ่ นเยน็ สรรคําใหถูกตองตามครุ ลหุ
ยังอุณหมุญจนะและเปน็ สขุ ปตี ิดใี จ แลว ยังสรรคําทคี่ ลองจอง
ภยมจี ะร้อนใด เกิดเสยี งสัมผัสรอยเรียงได
๏ อนั ขา้ พระองคก์ ษณะน้ี จะเสมอเสมอื นตน อยา งเสนาะหูดว ย)

ย่ิงกว่าและหามนุษยไ์ หน ขยายความเขา ใจ

มกี ารเลน่ เสยี งสมั ผัสชุดค�า ได้แก ่ เอิบ - อ่มิ , เสมอ - เสมือน ใหนกั เรียนแสดงความคิดเหน็
• การเลือกใชคําโดยคํานงึ ถงึ เสียง
๏ โอภาสอาภรณ์อัครภัณฑ ์ คชลกั ษณ์ปลิ ันธน์ มีความสําคัญอยา งไรตอ การ
เสพวรรณคดปี ระเภทคําฉันท
กเ็ ลิศก็ลา�้ ลา� ยอง (แนวตอบ ในอดตี คนไทยเสพ
วรรณคดีผา นการฟง มากกวา
๏ แพรว้ แพร้วพรายพรายขา่ ยกรอง ก่องสกาวดาวทอง การอาน การประพันธทีเ่ ลอื ก

ทัง้ พ่สู ุพรรณสรรถกล

ใชค ําโดยคาํ นงึ ถงึ เสยี งจงึ ถือวา
147 มีความสําคัญตอ การรบั รส
วรรณคดี ซึ่งฉนั ทม ีลักษณะเดน
ที่เสยี งครุ ลหุ เมื่ออานออกเสียง
สามารถออกเสยี งตามจงั หวะ
หนกั เบาและคําสัมผัสไดด กี วาฉนั ทลกั ษณป ระเภทอื่น ซง่ึ การออกเสียง
นกั เรยี นควรรู หนกั เบาของคําครุ ลหนุ ัน้ สามารถชว ยใหผฟู งเกดิ อารมณค ลอ ยตามไดง า ย
เชน อที ิสังฉันทใ ชเ สียงครุ ลหสุ ลบั กันเหมือนเสียงลมหายใจส้นั กระชน้ั ของ
สมั ผัสสระและสมั ผัสพยญั ชนะ แมส ัมผัสพยญั ชนะหรืออักษรเมือ่ อาน คนกําลงั โกรธ จงึ นํามาใชในเนอ้ื ความแสดงอารมณโกรธเกรย้ี วได รวมท้ัง
แลว จะเกิดการสัมผัสเปนเสยี งชะงกั ไมลื่นไหลเทา การสมั ผสั สระ แตการ การใชคาํ ที่มเี สยี งสัมผสั เก่ยี วรอ ยตอ เนื่องจะชว ยทําใหบทประพันธ
เลน เสียงสัมผสั อกั ษรเปนเคร่อื งชว ยแบงจังหวะ เนนคาํ เนน นา้ํ หนกั ของ มีทาํ นองไพเราะ นาฟง ไมส ะดดุ อารมณ)
เสยี งและคาํ ไดอยางดเี ปน ลักษณะนยิ มทส่ี ําคัญของคําประพนั ธไทย
คมู ือครู 147


กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)

ใหนักเรียนอธบิ ายการใชกลบท มีการเล่นสมั ผสั ชุดเสยี งคล้ายกลบท คอื โอภาส - อาภรณ ์ - อคั รภณั ฑ์, แพร้ว - 
ในคาํ ประพนั ธป ระเภทฉันท แพร้ว, พราย - พราย
(๔) มกี ารซ�า้ ค�า เชน่
(แนวตอบ กลบท คือ ลักษณะบังคบั
ท่กี ําหนดเพม่ิ มากกวาฉันทลกั ษณ ๏ บางคนกมลอ่อน อรุ ะข้อนพไิ รพรรณน์
ปกติ ในรปู แบบตางๆ เพ่อื ใหเ กิด บางพวกพสิ ัยฉนั กุธเกลยี ดกเ็ สียดสี
เสยี งสมั ผสั ของคาํ หรือการเรยี งเสยี ง พเิ คราะหข์ ้างพิจารณ์ดี
ท่เี ปนระเบียบสมาํ่ เสมอ ซง่ึ มชี นั้ เชงิ ๏ บางเหล่ากเ็ ป็นกลาง ณ หทัยก็ใหข้ อง
ขน้ั สูงและมีช่ือเรียกตางๆ กัน เชน บางหมูก่ รุณม ี
กลบทกบเตน ตอ ยหอย กลบท
จตรุ งคนายก)

  การซา้� คา� ว่า  บาง  ในบทประพันธ์  เพื่อเน้นความหมายใหม้ ีความเดน่ ชดั   ได้แก ่
ค�าว่า บางคน บางพวก บางเหล่า และบางหมู่
๒) การใชโ้ วหาร สามคั คเี ภทคา� ฉนั ทม์ คี วามไพเราะงดงามอนั เกดิ จากสารทกี่ วใี ชศ้ ลิ ปะใน
การถ่ายทอดความหมายของเนอื้ หา โดยการใช้สา� นวนโวหาร และการใช้ภาพพจน์ เพือ่ ให้ผ้อู า่ น
จนิ ตนาการเห็นภาพชดั เจน เขา้ ใจและเกิดอารมณ์คลอ้ ยตาม ดงั นี้
๒.๑) บรรยายโวหาร ใชค้ า� ให้เห็นภาพชัดเจนตามลา� ดบั เหตุการณ์ รวดเรว็  ไม่เยิน่ เยอ้  
เขา้ ใจง่าย เช่น

๏ ข่าวเศกิ เอกิ องึ ทราบถึงบัดดล
ในหมผู่ ู้คน ชาวเวสาลี
แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี
อกส่ันขวญั หน ี หวาดกลวั ทวั่ ไป
๏ ตื่นตาหนา้ เผือด หมดเลอื ดส่ันกาย
หลบลห้ี นตี าย วนุ่ หวัน่ พร่นั ใจ
ซกุ ครอกซอกครวั ซอ่ นตวั แตกภยั
เขา้ ดงพงไพร ท้ิงยา่ นบ้านตน

๒.๒) พรรณนาโวหาร เป็นการสรา้ งมโนภาพใหผ้ อู้ ่านเกิดภาพขึน้ ในใจ  หรือมองเห็น
ภาพบรรยากาศตามที่กวีต้องการ  เช่น  ตอนที่กวีพรรณนาชมความงามของม้าศึกท่ีมีความโอ่อ่า
นา่ ชม

148

148 คูมอื ครู


กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู

ใหน กั เรียนอธิบายการใชโวหาร
ตา งๆ พรอมยกตัวอยา งบทประพันธ
๏ สกี ายฝ้ายแซมแกมขน ด�าบ้างดา่ งปน ทีม่ ีการใชโวหารประกอบ และอธบิ าย
กระเลยี วเหลา่ เหลืองแดงพรรณ ตาบหน้าพรา่ วรร วาโวหารมีความสาํ คัญตอ การดําเนิน
๏ โสภาอศั วาภรณ์สรรพ ์ ขลมุ สวมกรวมสี เรื่องอยา งไร
ณเดน่ ด�ากลกาญจนม์ ณี (แนวตอบ เชน
๏ ยาบยอ้ ยห้อยพดู่ ูด ี “ลกู ขา งประดาทา รกกาลขวา งไป
สะคาดกนกแนมเกลา หมนุ เลน สนกุ ไฉน ดจุ กนั ฉะนน้ั หนอ”

๒.๓) อุปมาโวหาร เป็นการกล่าวเปรียบเทียบเพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นภาพชัดเจน บทประพนั ธนี้เปน อุปมาโวหาร
ยง่ิ ขนึ้ เปรยี บเทยี บใหเ ห็นวา กษตั ริยล ิจฉวี
กําลงั ถกู ปน ความคดิ ใหหมนุ ไปตาม
กระแสทพ่ี ระโอรสถกู ยยุ งจาก
๏ กลกะกากะหวาดขมังธนู วัสสการพราหมณ วา เหมือนลูกขา ง
บห่ อ่ นจะเห็นธวชั รปิ ู สิลา่ ถอย ท่หี มนุ ไปตามแรงเหว่ียงของเด็ก

กล หมายความวา่ เปรียบ เหมือน จากบทประพนั ธ์เป็นการเปรียบเทยี บว่า เหมือน หรอื กลา วไดว า เปน ของเลน ให
อกี าทีก่ ลัวธนขู องนายพราน คอื ยังไมเ่ หน็ ธงของข้าศกึ กก็ ลัวตายรบี ถอยทพั วัสสการพราหมณปนหัว)

๏ ดง่ั อินทโคปกะผวา มหุ ฝา่ ณ กองไฟ ขยายความเขาใจ
หิง่ ห้อยสแิ ขง่ สุริยะไหน จะมนิ า่ ชวิ าลาญ
1. ใหน กั เรยี นยกตวั อยางบทประพันธ
ทีม่ ีการใชอ ปุ มาโวหาร โดยระบุ
เปรยี บเทยี บทหารแหง่ แควน้ มคธ เหมอื นแมลงเมา่ บนิ เขา้ กองไฟ และแควน้ มคธเหมอื น ขอ สงั เกตวา เปน อปุ มาโวหารให
หิง่ หอ้ ยย่อมแขง่ แสงดวงอาทติ ย ์ อนั หมายถงึ แควน้ วชั ชมี ิได้ ชดั เจน

๏ ลกู ข่างประดาทา รกกาลขวา้ งไป (แนวตอบ ตวั อยา งเชน
“ลกู ขา งประดาทา รกกาลขวา งไป
หมุนเล่นสนกุ ไฉน ดจุ กนั ฉะนนั้ หนอ หมนุ เลน สนกุ ไฉน ดจุ กนั ฉะนนั้ หนอ”

เปรียบเทียบว่ากษัตริย์ลิจฉวีเช่ือค�าโอรสโดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองก่อน เหมือน มคี าํ วา “ดจุ ” แสดงการ
ลูกขา่ งท่ีบรรดาเดก็ ทารกขว้างหมนุ ไปตามแรงเหวยี่ ง เปรียบเทยี บ)
๓) ลลี าการประพนั ธ ์ สามัคคีเภทค�าฉันท์ในตอนท่ีตัดมามีลีลาการประพันธ์ที่เด่นชัด 2. นักเรียนแสดงความคิดเห็นตอ
ประเด็นทางสังคมในอดตี
ดังน้ี • การลงโทษในสมัยโบราณมี
๓.๑) พโิ รธวาทงั บทแสดงความโกรธเกรย้ี วของพระเจา้ อชาตศตั รทู แ่ี สรง้ โกรธวสั สการ-
ความรุนแรงหรอื ไม อยางไร
พราหมณ์อยา่ งรนุ แรง ท�าให้เกดิ ความสมจรงิ (แนวตอบ การลงโทษในสมยั กอ น

มีความรุนแรงตามความผิด
149 มีการเฆยี่ นตจี นถงึ ประหารชีวติ
ครูเสรมิ เพ่ิมเตมิ เกย่ี วกับการ
ปกครองในสมัยกอ นอยา ง
สังเขป)
• ถานักเรยี นเปนประชาชนแหงแควน วัชชีท่ีเคยอยกู นั อยาง
ปกตสิ ขุ มีความเจรญิ รุง เรอื ง ภายหลังไดร บั ความเดือดรอ น
จากการแตกความสามัคคี นกั เรยี นจะทําอยางไร
(แนวตอบ นกั เรยี นตอบไดหลากหลายขึ้นอยกู ับเหตผุ ลและ
ประสบการณข องนกั เรียน)

คมู ือครู 149


กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)

นักเรียนรว มกันอภปิ รายแสดง ๏ ท้าวกท็ รงแสดงพระองค ์ ธ ปาน
ความคดิ เห็น
ประหน่งึ พระราชหทัยลุดาล พโิ รธจงึ
• การใชลลี าการประพนั ธใน
สามัคคเี ภทคาํ ฉันทส ง ผล ๏ ผนั พระกายกระทืบพระบาทและองึ
ตอการดําเนนิ เรือ่ งอยางไร
(แนวตอบ ทําใหเน้ือเรอื่ ง พระศัพทสีหนาทพึง สยองภัย
นา ตดิ ตาม ลลี าการประพนั ธ
ชวยใหเ ขาถึงอารมณค วามรูส ึก ๏ เอออุเหมน่ ะมงึ ชชิ า่ งกระไร
ของตวั ละครแตละตัวไดดี
ดังเหน็ ไดจากตอนทพี่ ระเจา - ททุ าสสถลุ ฉะน้ีไฉน กม็ าเปน็
อชาตศตั รูวางแผนแสรงพิโรธ
ตอ วา วัสสการพราหมณ ๓.๒) สลั ลาปังคพสิ ยั บทแสดงความเศร้าโศกเสยี ใจ เมื่อวัสสการพราหมณถ์ กู ทา� โทษ
สงผลใหแผนการของพระเจา- ดังบทประพนั ธ์
อชาตศตั รดู าํ เนนิ ไปได)
๏ หมญู่ าตอิ มาตยม์ ิต รสนทิ และเสนา
ขยายความเขา ใจ สังเวช ณ เหตสุ า หสล้วนสลดใจ
๏ สุดทจี่ ะกลั้นโท มนโศกอาลัย
ใหน กั เรยี นจับคูกนั ยกบทประพันธ ถ้วนหนา้ มวิ า่ ใคร ขณะเหน็ บ เวน้ คน
ทปี่ รากฏการใชลลี าการประพนั ธ
กระบวนใดกระบวนหน่งึ นอกเหนอื ๗.๓ คุณคา่ ดา้ นสงั คม
จากบทเรยี น หนา 150
๑) สะทอ้ นวฒั นธรรมของคนในสงั คม ดังนี้
(แนวตอบ ตัวอยางเชน ลลี า- ๑.๑) สะทอ้ นภาพการปกครองโดยระบอบสามคั คธี รรม และการประพฤตติ ามหลกั ธรรม
การประพันธเสาวรจนี ตอนท่ี
พระเจา อชาตศัตรูจัดกระบวนทพั ๗ ประการ (อปรหิ านยิ ธรรม) ดั่งความวา่
ทาํ ใหเ หน็ ความสงางามในการ
ทรงชา งของกษตั ริยผูนาํ ทพั ๏ ว่ากษัตรยิ ว์ ชั ชีบรรดา บดสี ีมา
ดงั ความวา เกษตรประเทศทกุ องค์ ทงั้ น้ันม่ันคง
“ราชามคธภบู าล เถลงิ หลงั คชาธาร ๏ อปริหานิยธรรมธา� รง ใช่เหตุแห่งหานิย์
ประเสริฐสงา งามทรง”) มโิ กรธมกิ รา้ วร้าวฉาน
๏ เพอ่ื ธรรมด�าเนนิ เจรญิ การณ์
เจ็ดข้อจะคัดจดั ไข

จากบทประพันธ์หลักธรรมที่ส่งผลให้เกิดความเจริญของหมู่คณะฝ่ายเดียว ไม่มีความ
เสอื่ มเลย ไดแ้ ก่
๑. เมือ่ มีภารกิจก็ประชุมปรึกษาหารอื กนั โดยไมเ่ บ่ือหนา่ ยการประชมุ
๒. เข้าประชุมพรอ้ มกนั เลิกประชมุ พร้อมกัน รว่ มกันประกอบกจิ อนั ควรกระทา�

150

150 คมู ือครู


กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Expand

Engage Explore Explain Evaluate

๓. ยดึ มนั่ ในจารตี ประเพณอี ันดีงาม ประพฤติดีปฏิบัตติ ามโดยไม่ดดั แปลง ขยายความเขาใจ
๔. เมอื่ ผ้ใู หญ่ใหโ้ อวาทสง่ั สอน ผูน้ อ้ ยยอมปฏิบตั ติ ามด้วยความเคารพ
๕. ไม่ท�ารา้ ยข่มเหงบตุ รและภรรยาผอู้ น่ื 1. นกั เรยี นแตล ะกลมุ นาํ เรอื่ งหลกั การ
๖. ไ ม่ลบหลู่ดูแคลนเจดียสถานที่คนเคารพสักการะและท�าพิธีบวงสรวงตาม ปกครองโดยระบอบสามัคคธี รรม
หรือการใชอปรหิ านยิ ธรรมวา
ประเพณี ยังปรากฏอยูใ นสังคมหรอื ไม
๗. ให้ความคุ้มครองปอ้ งกันพระอรหนั ต์ในแควน้ วชั ชี และยกตัวอยา งประกอบใหเหน็
เปนรูปธรรม โดยนกั เรยี นอาจ
๑.๒) สะท้อนภาพการพิพากษาคดีและการลงโทษ การลงโทษสมัยโบราณ มีการโบย ยกตัวอยางชุมชน ครอบครวั
การโกนผมประจาน และการประกาศขบั ไลต่ ามพระราชโองการ (เนรเทศ) ดังตัวอย่าง กลุม ทางสังคมที่ใชก ารปกครอง
ระบอบสามคั คธี รรม แลว นาํ เสนอ
๏ เสอ่ื มสีสะผมเผา้ สิริเปลา่ ประจานตัว หนาชน้ั เรียน
เป็นเย่ยี งประหยดั กลวั ผิมลกั จะหลาบจ�า
ปนพลนั ประกาศทา� 2. นกั เรยี นนําความรูเ กย่ี วกับ
๏ เสร็จกิจประการกลั ดจุ ราชโองการ สามัคคีธรรมมาตอบคาํ ถาม
ปัพพาชนียกรรม ในประดน็ ตอไปนี้
• เหตใุ ดเหลากษัตริยล จิ ฉวที เี่ คย
๒) สะท้อนแนวคิดของคนในสังคม สามัคคีเภทค�าฉันท์ได้สะท้อนให้เห็นสภาพ มีความสามัคครี กั ใครปรองดอง
สังคมว่า จะตอ้ งมคี วามสามัคคีจึงจะอยู่รอดได ้ เมื่อใดกต็ ามทค่ี วามเป็นปึกแผน่ ความเป็นอนั หนึง่ กนั จงึ แตกความสามัคคี
อันเดียวกันของคนในชาติถูกท�าลาย เม่ือน้ันบ้านเมืองก็จะระส�่าระสาย ขาดความเป็นเอกภาพ (แนวตอบ เพราะขาดความ
ต่างคนต่างหวาดระแวงกัน ขาดความไว้ใจกัน ท�าให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสโจมตีได้ง่าย นับว่า ไวว างใจกัน เชอื่ คําพูดท่ี
เป็นอุทาหรณ์ท่ีผู้อ่านต้องน�าไปเป็นเคร่ืองเตือนใจว่า การคบคนและการไว้วางใจบุคคลอ่ืนนั้น พระโอรสคาดเดาเอาเอง โดย
ตอ้ งใชว้ จิ ารณญาณไตรต่ รองใหร้ อบคอบ มฉิ ะนนั้ จะนา� ผลรา้ ยมาสตู่ นไดเ้ หมอื นบรรดากษตั รยิ ล์ จิ ฉวี ไมพ จิ ารณาไตรตรองใหถ ีถ่ วน
แห่งแคว้นวัชชีท่ีมิได้ทรงไตร่ตรองเหตุผลให้รอบคอบ ทรงหลงกลศัตรูรับวัสสการพราหมณ์ไว้ แลว คลางแคลงใจกนั ไมเชื่อใจ
จนเป็นเหตุใหเ้ สียแควน้ วชั ชใี นทีส่ ุด ดงั บทประพันธ์ กัน และเมอื่ เกดิ ปญหาความ
ไมเ ขาใจกัน ไมนําเรือ่ งนน้ั มา
๏ ดง่ั นั้น ณ หม่ใู ด ผ ิ บ ไรส้ มคั รมี ปรกึ ษาหารือกันดังทีเ่ คยปฏิบัติ
พรอ้ มเพรียงนพิ ัทธน์ ี รวิวาทระแวงกนั ตามหลกั อปรหิ านิยธรรม
๏ หวังเทอญมติ ้องสง สยคงประสบพลัน ผลสุดทายก็นาํ ไปสกู ารแตก
ซงึ่ สุขเกษมสันต์ หิตะกอบทวีการ ความสามคั คีกนั )
๏ ใครเล่าจะสามารถ มนอาจระรานหาญ
หักลา้ ง บ แหลกลาญ กเ็ พราะพรอ้ มเพราะเพรยี งกัน 3. ครแู ละนักเรยี นรวมกันสรุปความรู
๏ ป่วยกลา่ วอะไรฝงู นรสูงประเสริฐครัน เร่ืองความสามคั คีในสงั คม
สรรพสัตวอ์ นั เฉพาะมชี วี ีครอง
เกร็ดแนะครู
151
ครูช้ีแนะใหนกั เรียนเขาใจวา
ความสามัคคี คือ ความพรอ มเพรยี ง
กนั ทาํ หนาทีข่ องตนเองอยางเต็ม
ความสามารถ มีความเปน เอกภาพ
โดยเฉพาะเมื่อตอ งอยูรวมกนั ใน
สงั คม ความสามคั คจี ะตองเกดิ จาก
คุณธรรมของทกุ คน ตองปรกึ ษา-
หารอื กนั ยอมรบั ฟงความคิดเห็น
ของกันและกนั เพอ่ื นํามาปรับปรุง
แกไข และพัฒนาเร่ืองตา งๆ ไป
ในทางเดียวกัน

คมู อื ครู 151


กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Evaluate

Engage Explore Explain Expand

ตรวจสอบผล (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%)

1. นักเรียนแตละคนอธิบาย ๏ แม้มากผิกิ่งไม้ ผวิ ใครจะใคร่ลอง
ความหมายของคาํ วา “สามัคคี” มัดก�ากระน้นั ปอง พลหกั ก็เต็มทน
ตามความเขา ใจหลังจากท่ีได สละล้ ี ณ หมตู่ น
ศกึ ษาเรอ่ื งจบแลว ๏ เหลา่ ไหนผิไมตร ี บ มพิ ร้อมมเิ พรียงกนั

2. นักเรยี นยกตวั อยา งขอคดิ ทไี่ ดจ าก กจิ ใดจะขวายขวน
เรื่อง อยางนอ ยคนละ 1 ขอ นํามา
แตง เปน นทิ านสน้ั ๆ พรอมเสริม วรรณคดีมรดกเรือ่ งสามัคคเี ภทคา� ฉันท ์ นอกจากเน้อื หาของเรื่องจะใหข้ อ้ คดิ คตเิ ตอื นใจ
ภาพประกอบใหสวยงาม เหมาะสมกบั สถานการณป์ จั จบุ นั แลว้ ยงั ใหค้ ณุ คา่ ในดา้ นการใชถ้ อ้ ยคา� ไดอ้ ยา่ งไพเราะลกึ ซง้ึ การ
พรรณนาทา� ใหเ้ กดิ อารมณ ์ ความรสู้ กึ ตามเนอื้ เรอ่ื ง ลลี าของฉนั ทท์ กุ บทกม็ คี วามไพเราะในตวั เอง
3. นกั เรยี นแสดงความคดิ เห็นวา การใช้ลักษณะฉันท์สอดคล้องกับเนื้อหาทุกบท ถ้าอ่านออกเสียงท�านองเสนาะ จะเกิดเสียง
หากพระเจาอชาตศตั รแู ละเหลา ไพเราะยง่ิ ขนึ้ ทา� ใหจ้ ดจา� เนอื้ หาไดง้ า่ ยขนึ้ ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั ศพั ทภ์ าษาบาลสี นั สกฤตและยงั เปน็
กษัตรยิ ล ิจฉวีทาํ สงครามกันดว ย การอนุรกั ษ์วัฒนธรรมทางภาษาไดอ้ กี ดว้ ย นักเรียนจงึ ควรอา่ นหนงั สือเร่อื งสามคั คเี ภทค�าฉันท์
ความสามารถ ฝา ยใดจะไดร บั ฉบบั สมบรู ณ ์ เพ่อื ให้เกิดความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซ้ึงมากยง่ิ ขึน้
ชัยชนะ เพราะเหตุใด

4. ใหนักเรยี นตอบคาํ ถามประจํา
หนวยการเรยี นรู แลวรายงาน
หนา ชน้ั

เกร็ดแนะครู

ครูยกนิทานทก่ี ลา วถงึ “ไมก งิ่ เดียว
หักไดโ ดยงา ย แตไ มทงั้ กํามือหัก
ไดย าก” และแนะนํานกั เรียนวา
มวี รรณคดไี ทยหรือนิทานเรือ่ งอ่ืนๆ
อีกทม่ี ีเนือ้ หาสะทอนใหเหน็ ความ
สําคญั ของความสามัคคี แลว ให
นกั เรยี นชวยกันยกตวั อยาง

152

152 คูมอื ครู


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain Expand Evaluate

เกรด็ แนะครู

คาำ ถามประจำาหนว่ ยการเรยี นรู้ (แนวตอบ คําถามประจาํ
หนวยการเรยี นรู
1. สามคั คี หมายความวา ความ
๑. สามคั คีเภท หมายความว่าอยา่ งไร อธบิ ายพอเข้าใจพร้อมยกตัวอยา่ งประกอบ พรอ มเพรยี ง ความเปน หนงึ่ เดยี วกนั
๒. กลอุบายและขัน้ ตอนการด�าเนนิ งานของวัสสการพราหมณท์ พ่ี บในเร่ืองเป็นอย่างไร เภท หมายถงึ การแตกแยก
๓. ร ะบขุ ้อคิดท่ีไดร้ ับจากเรื่องสามคั คเี ภทคา� ฉันท์ มา ๓ ประการ พร้อมทั้งยกตวั อย่าง การทาํ ลาย ซ่ึงมกั ใชเ ปน สวนทา ย
วธิ ีการนา� ข้อคิดไปใช้ในชวี ติ ประจ�าวัน ของสมาส สามัคคีเภท จงึ หมายถงึ

การแตกความสามัคคี การขาด
ความเปน หนง่ึ เดยี วกนั ของหมคู ณะ
2. วสั สการพราหมณอาสาเปน ไสศึก
ไปบอนทาํ ลายความสามคั คขี อง
กษตั ริยลิจฉวี โดยแกลงทลู คัดคา น
พระเจาอชาตศัตรไู มใหไปตี
เมอื งวชั ชี โดยกลาวคําประหน่งึ
ดูถกู กาํ ลังพลเมอื งมคธ พระเจา-
อชาตศัตรูทรงแสรงพโิ รธ ลงโทษ
วสั สการพราหมณอ ยา งหนกั พรอ ม
กิจกรรมสรา้ งสรรค์พฒั นาการเรยี นรู้ เนรเทศออกนอกเมือง วัสสการ-
พราหมณไ ปขอพึ่งพระบารมีของ
๑. ใ ห้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๕ คน แล้วอ่านวรรณคดีเรื่อง สามัคคีเภทค�าฉันท์ กษัตรยิ ลิจฉวี ซ่ึงก็ทรงรับมาไว
มากลุ่มละ ๑ ตอน พร้อมเขียนวิจารณ์คุณค่าและความงามของวรรณคดีว่ามี เปน พราหมณาจารยส อนพระโอรส
ความดเี ด่นอยา่ งไร วสั สการพราหมณส รา งความ
๒. ให้นักเรียนฝึกหัดอ่านออกเสียงท�านองเสนาะค�าประพันธ์ประเภทฉันท์ชนิดต่างๆ แตกแยกในหมูพระโอรสของ
กษัตรยิ ลิจฉวกี อ น พระโอรส
โดยจับคู่กับเพ่ือนและแลกเปล่ียนกนั เพ่อื ประเมนิ ความสามารถในการอ่าน จึงนําความไปทลู พระบิดาของ
๓. ใ ห้นักเรียนถอดค�าประพันธ์เร่ือง สามัคคีเภทค�าฉันท์ เป็นความเรียงประเภท ตนเอง ในท่สี ดุ กษัตริยลจิ ฉวี
จึงแตกความสามัคคีกนั
รอ้ ยแกว้ สง่ ครผู ู้สอน

พระเจาอชาตศตั รูจึงบุกเขา มา
ตีเมอื งไดอ ยา งงา ยดาย
3. ขอ คิดทีไ่ ดจากเร่ืองสามคั ค-ี
เภทคําฉนั ท 3 ประการ มดี ังน้ี
• ความสามัคคี นํามาปรบั ใชโดย
รบั ฟง ความคดิ เหน็ ของทกุ คน
รว มมือกนั ทํางานอยา งเต็ม
153 ความสามารถ ชว ยเหลือผูอน่ื

เทา ท่ที ําได เปน พลเมืองดี
• ผูนาํ ตองมีคุณธรรมในการ
แหสลดักงฐผานลการเรียนรู ปกครอง จากเร่ืองใชหลกั อปรหิ านยิ ธรรม นาํ มาปรบั ใชโ ดยตอง
ปรกึ ษาหารือกันเสมอ รบั ฟงความคดิ เห็นของทุกคน ใหเกยี รติ
1. การเลา ความเปน มาของเร่อื งและประวัตผิ แู ตง ทกุ คน แลวนาํ ความคิดท่ดี ที ่สี ดุ มาดาํ เนินการตอ
2. การเขียนเร่ืองยอ เปน ผังมโนทศั น • มีความไววางใจ แตเ ม่ือไดรับฟงเร่อื งราวใดๆ มาแลวตอ งหา
3. การยกตัวอยางคําศัพทท ี่เปน คําสมาส มลู เหตขุ องเรอ่ื งหรือรบั ฟง เรื่องอยางรอบดา น กอนตัดสนิ ใจเชือ่ )

4. การยกตัวอยา งวรรณคดไี ทยหรือนิทานทส่ี ะทอนเร่ืองความสามัคคี คูม ือครู 153


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage

Explore Explain Expand Evaluate

เปา หมายการเรยี นรู (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)

1. วิเคราะหวจิ ารณว รรณคดี เรื่อง
ไตรภมู ิพระรวง ตอน มนุสสภูมิ
ตามหลักการวิจารณเ บ้อื งตน

2. วิเคราะหล ักษณะเดนของวรรณคดี
เรื่องไตรภูมพิ ระรว งเชือ่ มโยงกบั
การเรียนรวู ถิ ีชวี ติ ของสงั คมไทย
ในอดตี

3. วิเคราะหแ ละประเมนิ คุณคา
วรรณคดเี ร่ืองไตรภูมพิ ระรว ง
ตอน มนุสสภมู ิ
• ดา นวรรณศลิ ป
• ดานสังคมและวัฒนธรรม

4. สงั เคราะหข อคดิ จากเร่อื ง
ไตรภูมพิ ระรว ง ตอน มนสุ สภูมิ

กระตนุ ความสนใจ õหน่วยการเรยี นรูท้ ี่ ไตรภมู พิ ระร่วง

ครูใหนกั เรียนดภู าพหนาหนวย ไตรภมู พิ ระรว่ ง เป็นวรรณคดีเก่าแกท่ ่แี ตง่ ขึน้
แลว ตงั้ คําถามกระตนุ ความสนใจ ต้ังแต่สมยั สุโขทยั เร่ืองราวเกีย่ วกับ
ของนกั เรยี น ตัวชี้วดั ความแปรเปล่ยี นและความไม่แนน่ อน

• นกั เรยี นเคยเห็นภาพทม่ี ี • วเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลักการ ของสงิ่ ต่างๆ ในโลกนี้
ลกั ษณะเหมือนภาพหนา
หนวยหรือไม นกั เรียนเคย วิจารณ์เบือ้ งตน้ (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑) ตอน มนสุ สภมู ิ
เหน็ ทใ่ี ด
• วเิ คราะห์ลักษณะเดน่ ของวรรณคดเี ช่ือมโยงกับการเรียนรู้ทาง สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
• ภาพที่นักเรียนเหน็ เปน
อยา งไร ประวตั ิศาสตรแ์ ละวถิ ชี ีวิตของสังคมในอดีต (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๒) • การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม
เรื่อง ไตรภมู ิพระรว่ ง ตอน มนุสสภมู ิ
• นักเรียนคิดวาภาพจติ รกรรม • วิเคราะห์และประเมินคณุ คา่ ดา้ นวรรณศิลป์ของวรรณคดีและ
จากภาพหนาหนว ยนี้สะทอน
ใหเ หน็ ความเช่ือเรื่องใดบา ง วรรณกรรมในฐานะที่เป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
(ท ๕.๑ ม.๔-๖/๓)

• สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดแี ละวรรณกรรมเพ่อื นา� ไปประยุกต์ใช้

ในชีวิตจริง (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๔)

154 คูมอื ครู


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

๑ คว�มเปน ม� สาํ รวจคนหา

ไตรภูมพิ ระร่วง หรือเรียกว่า ไตรภมู ิกถา หรือ เตภูมกิ ถา นี้ไม่มตี ้นฉบบั เดิมเปน็ หลกั ฐาน 1. ใหน ักเรียนสบื คน ขอมูลเกี่ยวกบั
ท่ีมีอยู่เป็นฉบับคัดลอกซ่ึงมีปรากฏในบานแผนกว่า พระมหาช่วยวัดกลาง (ปากน้�า จังหวัด ความเปน มาและความสาํ คัญของ
สมุทรปราการ) จารไว้ ณ เดอื นส่ี ปีจอ จุลศกั ราช ๑๑๔๐ สมยั ธนบรุ ี ฉบบั ท่พี ระมหาชว่ ยจารน้ี ไตรภมู ิพระรวง จากแหลง เรียนรู
เป็นภาษาไทย แต่เขียนเป็นตัวอักษรขอม ซึ่งก่อนนับถือกันว่าเป็นอักขระที่ขลัง ศักด์ิสิทธิ์ และ ตา งๆ แลว บนั ทึกความรู
เปน็ หนงั สอื ทางศาสนา
2. ใหนักเรียนสบื คนพระราชประวัติ
ตน้ ฉบบั ไตรภมู พิ ระรว่ งทถี่ อดเปน็ ตวั อกั ษรไทย พมิ พเ์ ผยแพรเ่ ปน็ ครง้ั แรก เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๕ และพระราชกรณยี กจิ สาํ คัญของ
สมเด็จฯ กรมพระยาดา� รงราชานุภาพประทานค�าอธบิ ายไวว้ ่า “หนงั สือเรอ่ื งน้ีเป็นหนังสือเก่ามาก พญาลไิ ทย แลว บนั ทกึ ความรู
มศี พั ทเ กา่ ๆ ท่ไี ม่เขา้ ใจและเปน็ ศัพทอ นั เคยพบแต่ในศิลาจารึกครง้ั กรงุ สโุ ขทยั หลายศัพท นา่ เช่อื
ว่าหนงั สือไตรภูมิน้ี ฉบับเดิมจะไดแ้ ต่งครง้ั กรุงสโุ ขทัยจรงิ แต่คดั ลอกสืบกนั มาหลายช้ันหลายตอ่ อธบิ ายความรู
จนวิปลาสคลาดเคล่ือนหรือบางทีจะได้มีผู้ดัดแปลงส�านวนและแทรกเติมข้อความเข้าเม่ือคร้ัง
กรุงเก่าบ้างก็อาจเป็นได้ ถึงกระน้ันโวหารหนังสือเร่ืองนี้ยังเห็นได้ว่าเก่ากว่าหนังสือเร่ืองใดๆ 1. นกั เรยี นแบงกลมุ นําเสนอความรู
ในภาษาไทย นอกจากศลิ าจารกึ ทไ่ี ด้เคยพบมา จงึ นับวา่ เปน็ หนงั สอื เรือ่ งดดี ้วยอายุประการ ๑” ตามหัวขอตอ ไปนี้
• ประวัตคิ วามเปนมา
ทง้ั นี้ ในคา� นา� หรอื บานแผนกไดบ้ อกเวลาแตง่ ไวว้ า่ “เนอ้ื ความไตรภมู กิ ถาน้ี มใี นกาลเมอื่ ใดไส้ • ความสําคัญของไตรภูมิพระรวง
และมีแต่ในประกาโพ้นเมื่อศักราชได้ ๒๓ ป ประกาเดือน ๔ เพ็งวันพฤหัสบดีวาร ผู้ใด • พระราชกรณียกิจสําคญั ของ
หากสอดรู้บมิได้ไส้สิ้น เจ้าพระญาเลไทยผู้เป็นลูกแห่งเจ้าพระญาเลลิไทย ผู้เสวยราชสมบัติ พญาลิไทย
ในเมืองศรสี ชั นาไลยและสุกโขทยั และเจา้ พระญาเลลไิ ทยน้ี ธ เปน็ หลานเจ้าพระญารามราชผเู้ ปน็ • สภาพสงั คมในสมยั สโุ ขทยั
สรุ ยิ วงษ และเจา้ พระญาเลไทยได้เสวยราชสมบัติในเมืองสัชชนาไลยอยไู่ ด้ ๖ เขา้ จงึ ไดไ้ ตรภมู ”ิ
2. นักเรยี นแตล ะกลมุ ชวยกนั นําเสนอ
จากข้อความนี้ ท�าให้ทราบว่าพญาลิไทยเสวยราชย์ในเมืองศรีสัชนาลัยได้ ๖ ปี จึงได้ ขอ มลู ทีศ่ กึ ษามา จากนนั้ สรุป
ความรูท่ไี ดจากการฟง เพือ่ นๆ
๒ พระราชนิพนธเ์ รื่องไตรภูมิพระรว่ งข้นึ ทกุ กลมุ นาํ เสนอแลว บันทกึ ลงสมดุ
ประวตั ิผูแตง่
พญาลิไทยเปน็ พระมหากษตั รยิ ์องคท์ ่ี ๕ แหง่ อาณาจกั รสโุ ขทยั ก่อนเสวยราชสมบัติดา� รง นกั เรยี นควรรู

ตา� แหน่งพระมหาอุปราช ครองเมอื งศรีสัชนาลยั อยู่ ๖ ปี ไดพ้ ระนามวา่ พญาไทยราช และได้ จุลศกั ราช 1140 หรือ พ.ศ. 2321
แตง่ ไตรภูมกิ ถาหรือไตรภมู พิ ระร่วงขน้ึ ผูก าํ หนดใหใชจ ลุ ศักราช คอื
พระยากาฬวรรณดิศ เม่อื คราว
พญาลิไทยครองราชย์ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๙๐ มพี ระนามเรยี กว่า พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ ทรง ประชุมกษัตริยในลานนาโดยได
เช่ียวชาญในพระพทุ ธศาสนา ทรงมพี ระปรชี ารอบรู้ ทรงแตกฉานในพระไตรปฎ ก อรรถกถา ฎีกา ยกเลิกมหาศักราช แลวตงั้ จุลศกั ราช
ทรงเชี่ยวชาญท้ังโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกท่ี ขน้ึ มาแทน เร่มิ ภายหลงั พุทธศกั ราช
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ พระองค์ทรงบ�าเพ็ญพระราช- 1181 ป
กรณียกจิ และมพี ระราชจริยวัตรอนั เปน็ ประโยชนไ์ พศาลทัง้ ฝา่ ยอาณาจักรและพุทธจักร ทรงอาศัย
นกั เรยี นควรรู
155
ไตรภมู ิ ในทางวรรณคดี หมายถึง
@ มมุ IT โลกทั้งสาม คอื กามภูมิ รูปภูมิ และ
อรูปภูมิ
ศึกษาเกยี่ วกบั ประวัตคิ วามเปนมาของไตรภูมพิ ระรว งเพ่ิมเตมิ ไดท ี่
http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/wtripoom.htm

คมู อื ครู 155


กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain Expand

Engage Evaluate

สาํ รวจคนหา (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%)

นกั เรียนแบงกลมุ ศึกษารปู แบบ ธรรมานุภาพปกครองประชาชนใหอ้ ยอู่ ยา่ งร่มเยน็ เปน็ สุข และการท่ีไดท้ รงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิ
และลักษณะของคาํ ประพันธเ รอื่ ง พระร่วงขึ้นเป็นวรรณคดีศาสนาเล่มแรกของไทย วรรณคดีเล่มนี้จึงมีอิทธิพลย่ิงในการเป็นเครื่อง
ไตรภูมพิ ระรวงจากแหลงเรียนรอู ่ืน มือให้พระองค์ได้ปกครองอาณาจักรอย่างมน่ั คงและสงบสขุ
เชน หอ งสมดุ อินเทอรเน็ต เปน ตน
พญาลิไทยเสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๙ สิริรวมเวลาที่ทรงครองราชสมบัติเป็นเวลา
อธบิ ายความรู ๒๙ ปี สมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพด�ารัสถึงพระองค์ไว้ว่า “ว่าโดยย่อควรเข้าใจได้ว่า
พระเจ้าขุนรามค�าแหงทรงบ�าเพ็ญจักรวรรดิวัตรแผ่พระราชอ�านาจด้วยการรบพุ่งปราบปราม
จากการศกึ ษาลักษณะคําประพันธ ราชศัตรูฉันใด พระมหาธรรมราชาลิไทยก็ทรงบ�าเพ็ญในทางท่ีจะเป็นธรรมราชาคือปกครองพระ
เรื่องไตรภูมิพระรว ง นกั เรียนรว มกัน
อภิปรายในประเดน็ ตอไปนี้ ๓ ราชอาณาจักรหมายด้วยธรรมานุภาพเปน็ ส�าคัญฉันน้ัน”
ลกั ษณะคำ�ประพันธ์
• ลกั ษณะคําประพันธจ ากเร่อื ง เน่ืองจากในบานแผนกได้บอกจุดมุ่งหมายไว้ว่า “ถามุนใส่เพื่อใด ใส่เมื่ออัตถพระอภิธรรม
มีสวนชว ยโนมนา วใจใหผ ูอาน
คลอ ยตามไดหรือไม อยางไร และใครจะเทศนาแก่พระมารดาท่าน อน่ึงจะใคร่จะจ�าเริญพระอภิธรรมโสด...” จึงเป็นการแสดง
(แนวตอบ ลกั ษณะคาํ ประพนั ธ จุดมุ่งหมายว่าแต่งเพื่อเทศนาแก่พระมารดา ผู้แต่งจึงได้เรียบเรียงเป็นร้อยแก้วโดยใช้โวหารทั้ง
ที่เปนรอยแกว ใชค ํานอ ย เปน เทศนาโวหาร พรรณนาโวหาร และบรรยายโวหาร โดยเฉพาะการพรรณนานน้ั จะใชถ้ อ้ ยคา� ทแี่ จม่ แจง้
คาํ ทไี่ มต อ งตีความหมายมาก
ใชโวหารพรรณนา และใช ๔ จนสามารถโนม้ นา้ วใจผู้อ่านให้คลอ้ ยตาม แมว้ ่าจะมีการใชภ้ าษาท่ีคอ่ นขา้ งจะเขา้ ใจยาก
โวหารอุปมาเปรยี บเทยี บใหเ หน็ เรอ่ื งยอ่
ภาพชัดเจน รวมท้ังมเี น้ือหา เนอื้ ความในไตรภมู พิ ระรว่ งไดเ้ รยี บเรยี งเปน็ ไปตามลา� ดบั ซงึ่ สามารถแบง่ ออกเปน็ ๒ ตอน
สอดคลอ งกบั ความเชอ่ื พน้ื ฐาน
ของคนในสงั คม ผอู า นจึงคลอ ย ดังน้ี
ตามเนอื้ หาของเร่ืองไดง า ย) ๑) ตอนเร่ิมเร่ือง เป็นค�าน�าโดยกล่าวถึงคาถานมัสการ เวลาแต่ง จุดมุ่งหมายใน
การแต่ง คมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนาทน่ี า� มาใช้อา้ งอิงในการแต่ง กลา่ วถงึ ชื่อพระเถระสา� คญั ท่เี ปน็ ผูใ้ ห้
ขยายความเขา ใจ ความรู้ และคุณคา่ ในการอา่ นหนังสอื เร่อื งนอี้ ีกดว้ ย
๒) ตอนเนอื้ เรอื่ ง กลา่ วถึงสิง่ มชี วี ติ แลว้ จ�าแนกภูมิทง้ั สามอันเปน็ ภูมิท่สี ัตวโลกทงั้ หลาย
ใหนกั เรียนยกตัวอยา งบทประพนั ธ เวียนว่ายตายเกิด แล้วแบ่งภมู ิออกเป็นชั้นๆ คอื กามภูมิ รูปภูมิ และอรปู ภูมิ ตอนจบกล่าวถึง
ที่นกั เรียนประทบั ใจจากเรอื่ ง การสน้ิ กัลป์ มไี ฟประลัยกลั ปล์ า้ งโลก การตง้ั โลกใหม่ และเร่ืองพระมหาจกั รพรรดิ

• วรรณศลิ ปทพี่ บชว ยใหผ ูอาน ส�าหรับตอนที่น�ามาเรียนนี้เป็นตอนที่อยู่ใน มนุสสภูมิ ซ่ึงมีการกล่าวถึงมนุษย์
เกิดจินตภาพไดอ ยางไร ส่ีแผ่นดิน
(แนวตอบ วรรณศิลปท ่พี บ
ทาํ ใหผ ูอ านเกดิ จินตภาพ เชน 156
กวีใชพรรณนาโวหาร เพื่อให
เกดิ จนิ ตภาพทา ทางของทารก นักเรยี นควรรู
ในครรภมารดา เชน “…เอาหวั
ไวเ หนือหัวเขาเม่ือนัง่ อยนู ้ัน กัลป (กปั ) คอื ชว งระยะเวลาอันยาวนานของโลก ไมส ามารถกาํ หนดเปนวนั เปน เดอื น หรือ
เลือดแลน้าํ เหลืองยอยลงเต็มตน เปน ปได พระพทุ ธเจา เองทรงอุปมาระยะเวลาของกัลปไววา “ภเู ขาหนิ ลูกหนงึ่ ยาว 1 โยชน
ยะหยดทุกเมื่อแล ดุจด่งั ลงิ เม่ือ กวาง 1 โยชน สูง 1 โยชน ไมมีชอง ไมม โี พรง ตันทบึ ทัง้ ลูก มีคนคนหนง่ึ เอาผาแควน กาสีมาปด
ฝนตก แลนงั่ กาํ มือเซาเจา อยูใ น ภเู ขาน้ัน 100 ปต อครั้ง ภูเขาน้ันยงั ราบเรียบไปเร็วกวา สว นระยะเวลา 1 กัป ยังไมสิน้ ไปเลย”
โพรงไมน้ันแล…” เปน ตน)

156 คมู ือครู


กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Expand

Engage Explore Explain Evaluate

ไตรภูมิ แดนท่สี ตั ว์ท้งั หลายเวียนว่ายตายเกดิ ขยายความเขา ใจ

ภูมทิ ัง้ ๓ มีดงั น้ี นกั เรียนศึกษาหาขอ มูลเกี่ยวกับ
๑. กามภูมิ หมายถงึ ภูมิแห่งผทู้ ีเ่ กี่ยวข้องด้วยกาม แบ่งย่อยเปน็ ๑๑ ภูมิ ไตรภูมิ แดนทส่ี ัตวทัง้ หลายเวยี นวา ย
๒. รปู ภมู ิ หมายถงึ ทีอ่ ยู่ของพรหม บางทีเรียกว่าพรหมโลก ๑๖ ชน้ั ผ้ทู ีเ่ กดิ ในภูมินเ้ี ป็น ตายเกิด หลงั จากนนั้ ใหเ ลือกศึกษา
พรหมมรี ูป แตไ่ ม่มีเรอื่ งกามารมณเ์ ขา้ ไปปน เรียกว่า รูปพรหม หรอื รปู ภพ เกี่ยวกบั ภาพจติ รกรรมฝาผนังของวดั
๓. อรปู ภูมิ หมายถึงพรหมชน้ั สงู สดุ ผทู้ ่เี กดิ ในอรูปภมู นิ ้ี เรียกว่า อรปู พรหม คอื พรหม ท่ีนักเรยี นสนใจ โดยศึกษาเกยี่ วกบั
ไมม่ รี ูปมีแตจ่ ิต เนอ้ื หาของภาพวา ปรากฏเรือ่ งราว
อยา งไร จากน้ันใหร วมกันอภปิ ราย
ไตรภมู ิ วา ความเชอ่ื และความศรัทธา
ในพระพุทธศาสนามอี ิทธพิ ลตอชีวิต
อบายภู ิม หรือ ทุคติภู ิม กามภมู ิ ปฐมฌาน ูภมิ รปู ภูมิ อรปู ภมู ิ ประจําวันของมนษุ ยใ นดานใดและ
อยา งไร
นรกภูมิ ุทติยฌาน ูภมิ พรหมปารสิ ัชชาภมู ิ อากาสานัญจายตนภมู ิ
ติรจั ฉานภมู ิ พรหมปโุ รหติ าภมู ิ วญิ ญาณญั จายตนภูมิ (แนวตอบ ตอบไดหลากหลาย
เปรตวสิ ัยภูมิ มหาพรหมาภูมิ อากญิ จญั ญายตนภมู ิ ข้ึนอยูกบั ภาพทนี่ ักเรียนนาํ มา
อสรุ กายภมู ิ ปรติ ตาภาภูมิ เนวสญั ญานาสัญญายตนภมู ิ อภปิ ราย ครเู พิ่มเตมิ วาแนวคิด
มนสุ สภมู ิ อปั ปมาณาภาภูมิ ของไตรภูมิเกยี่ วกบั ความเช่ือเรือ่ ง
สุคติภู ิม จาตุมหาราชกิ าภมู ิ ต ิตยฌาณ ูภมิ อาภัสสราภูมิ เวรกรรม ใหค นเรง ทําความดี
ตาวติงษาภมู ิ ปรติ ตสภุ าภูมิ เพอื่ ใหห ลดุ พนจากทุกข)
ยามาภมู ิ อัปปมาณสภุ าภูมิ
ตุสติ าภมู ิ สุภกิณหาภมู ิ บรู ณาการสอู าเซยี น
นิมมานรตภี ูมิ เวหัปผลาภูมิ
ปรนิมมติ วสวตั ตีภูมิ อสัญญสี ัตตาภมู ิ ในป พ.ศ. 2524 โครงการ
อวหิ าภูมิ วรรณกรรมอาเซียนภายใต
จตุตถฌานภูมิ อตตัปปาภูมิ ัปญจสุทธาวาส การดําเนนิ งานของคณะกรรมการ
สุทสั สาภูมิ อาเซียน วา ดว ยวฒั นธรรมและ
สทุ ัสสีภมู ิ สารสนเทศ สมาคมประชาชาติ
อกนิฏฐาภูมิ เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต ไดพ ิจารณา
ใหส มาชิกแตละประเทศคดั เลือก
157 วรรณกรรมทม่ี คี ณุ คาของตนและ
จดั แปลวรรณกรรมทีค่ ัดเลอื กแลว
เปน ภาษาอังกฤษ โดยไทยได
พจิ ารณาคัดเลอื กแปล “ไตรภมู ิกถา”
สํานวนทเ่ี ชอ่ื วาพระมหาธรรมราชา-
ลไิ ทยทรงพระราชนพิ นธ และใชช อื่ วา
“ไตรภูมิกถา-ภูมิทง้ั สามอนั เปน ทีอ่ ยู
ของสตั วโลก” ครูแนะใหนกั เรยี น
สบื คน หนงั สอื เลม อ่ืนของโครงการนี้
เพ่อื นกั เรยี นจะไดรจู กั ภาษาและ
วฒั นธรรมของประเทศเพอ่ื นบาน
ผา นทางวรรณกรรม กอ นนําไปสู
ความสนใจในรายละเอียดตางๆ
เก่ียวกบั วฒั นธรรมของชาติใน
อาเซียนมากขน้ึ

คูม อื ครู 157


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain

Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%)

ครูทบทวนความรขู องนกั เรียน ๕ เนอื้ เร่ อื ง
โดยการเลาเรือ่ งยอ ใหน ักเรียนฟง
และเสริมวาไตรภมู ิพระรวงสะทอน ไตรภมู พิ ระรว ง ตอน มนสุ สภมู ิ
เร่อื งเวรกรรม
ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละน้ันโดยใหญ่แต่ละวันแล
• นกั เรียนคิดวามีวรรณคดีไทย น้อย ครงั้ ถึง ๗ วัน เป็นด่งั น�้าลา้ งเนื้อน้ันเรียกวา่ อัมพุทะ อัมพุทะนัน้ โดยใหญ่ไปทกุ วารไสร้ ครน้ั ไดถ้ ึง
เรือ่ งใดทส่ี ะทอนความเชอ่ื ๗ วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วอันเช่ือมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน คร้ันถึง ๗ วัน
ดงั กลา ว แข็งเปน็ กอ้ นด่งั ไข่ไก่ เรยี กว่าฆนะ ฆนะนัน้ คอ่ ยใหญไ่ ปทุกวัน คร้ันถงึ ๗ วนั เปน็ ตุ่มออกได้ ๕ แหง่
(แนวตอบ วรรณคดเี รื่อง ดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจหูดนั้นเป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน ๒ อัน หูดเป็นหัวนั้นอีกหนึ่ง
ขุนชางขนุ แผน ครูพยายาม แลแต่นั้นค่อยไปเบ้อื งหน้าทกุ วนั ครั้น ๗ วันเป็นฝา มือ เปน็ น้วิ มอื แต่น้นั ไปถงึ ๗ วัน ค�ารบ ๔๒ จึง
นาํ พานกั เรยี นเชอื่ มโยงไปสู เป็นขน เป็นเล็บตีน เล็บมือ เป็นเครื่องส�าหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันแล แต่รูปอันมีกลางคนไสร้ ๕๐
วรรณคดเี รือ่ ง ไตรภูมิพระรวง แต่รูปอันมีหัวได้ ๘๔ แต่รูปอันมีเบ้ืองต่�าได้ ๕๐ ผสมรูปท้ังหลายอันเกิดเป็นสัตว์อันอยู่ในท้องแม่
หรือเตภมู ิกถา) ได้ ๑๘๔ แลกุมารนนั้ นัง่ กลางทอ้ งแม่ แลเอาหลงั มาต่อหนงั ทอ้ งแม่ อาหารอนั แมก่ ินเข้าไปแตก่ อ่ นนน้ั
อยใู่ ตก้ ุมารนน้ั อาหารอนั แมก่ นิ เข้าไปใหม่น้ันอยเู่ หนอื กมุ ารน้ัน เม่อื กุมารอยูใ่ นทอ้ งแม่นนั้ ลา� บากนกั หนา
• ไตรภมู พิ ระรวงเปนวรรณคดี พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ ๘๐ ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่
ทีม่ ีความสาํ คญั ตอสงั คมไทย อันเป็นท่ีเหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ท่ีตายที่เร่ว ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายน้ันคนกันอยู่ในท้องแม่
หรอื ไม อยา งไร ตดื แลเอือนฝงู นัน้ เรมิ ตัวกุมารน้ันไสร้ ดุจดัง่ หนอนอันอยใู่ นปลาเน่า แลหนอนอันอย่ใู นลามกอาจมนัน้ แล
(แนวตอบ มีความสาํ คัญตอ อันว่าสายสะดือแห่งกุมารน้ันกลวงดั่งสายก้านบัวอันมีช่ือว่าอุบล จะงอยไส้ดือน้ันกลวงข้ึนไปเบื้องบน
ความเช่ือทางพระพุทธศาสนา ติดหลังท้องแม่แลข้าวน�้าอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน�้าชุ่มเข้าไปในไส้ดือน้ัน แลเข้าไป
ทําใหผคู นเรง ทําความดี เพอื่ ในทอ้ งกมุ ารนั้นแล สะหนอ่ ยๆ แลผูน้ อ้ ยน้นั กไ็ ดก้ นิ ทุกค่�าเชา้ ทุกวัน แม่จะพึงกนิ เข้าไปอยูเ่ หนือกระหม่อม
สะสมบุญบารมี สงั คมก็จะ ทับหัวกุมารอยู่นั้นแล แลล�าบากนักหนา แต่อาหารอันแม่กินก่อนไสร้ แลกุมารน้ันอยู่เหนืออาหารนั้น
สงบสุข) เบื้องหลงั กุมารนัน้ ต่อหลังทอ้ งแม่ แลน่งั ยองอยใู่ นท้องแม่ แลก�ามือท้งั สองคู้คอต่อหัวเขา่ ทัง้ สอง เอาหวั
ไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่น้ัน เลือดแลน้�าเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเม่ือแล ดุจด่ังลิงเมื่อฝนตก
สาํ รวจคน หา แลน่ังก�ามือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้น้ันแล ในท้องแม่น้ันร้อนนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้ม
ในหม้อนั้นไสร้ สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ด้วยอ�านาจแห่งไฟธาตุอันร้อนน้ัน
ใหนักเรียนอา นเนอ้ื เรือ่ ง ไตรภูมิ- ส่วนตัวกุมารนั้นบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารน้ันจะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตายเพ่ือ
พระรว ง ตอน มนุสสภูมิ จากแหลง ด่ังน้ันแลแต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียดตีนมือออกด่ังเรา
เรียนรอู น่ื ๆ เพม่ิ เติม เชน หนังสอื ท่านท้ังหลายน้ีสักคาบหน่ึงเลย แลกุมารน้ันเจ็บเน้ือเจ็บตนด่ังคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับแคบนักหนา
ไตรภมู พิ ระรว ง เวบ็ ไซตใ นอนิ เทอรเ นต็ แคน้ เนอื้ แคน้ ใจ แลเดอื ดเน้อื เดอื ดใจนกั หนา เหยียดตีนมอื บ่มิได้ ดง่ั ทา่ นเอาใสไ่ วใ้ นท่ีคบั ผแิ ลวา่ เมื่อแม่
เปนตน เดนิ ไปก็ดี นอนกด็ ี ฟื้นตนกด็ ี กมุ ารอยูใ่ นทอ้ งแมน่ นั้ ให้เจบ็ เพียงจะตายแลดจุ ด่งั ลูกทรายอนั พ่งึ ออกแล
อยู่ธรห้อยผิบ่มิดุจดั่งคนอันเมาเหล้า ผิบ่มิดุจดั่งลูกงูอันหมองูเอาไปเล่นน้ันแล อันอยู่ล�าบากยากใจ
อธบิ ายความรู
15๘
จากการศึกษาเนือ้ เร่ือง ไตรภูมิ-
พระรว ง ตอน มนุสสภมู ิ มาลว งหนา นกั เรียนควรรู

• นักเรียนคิดวาลักษณะของภาษา ครอก หมายถึง ลูกสัตวห ลายตัวทีเ่ กิดพรอมกันในคราวเดียว
และคาํ ประพันธเร่อื ง ไตรภูมิ-
พระรวง มีลกั ษณะอยางไร
(แนวตอบ ใชภ าษาความเรยี งมี
ขอ ความจดั แบงกลมุ คําที่
ใหจ งั หวะ ใชอ ุปมาโวหาร คอื
การใชค ําทสี่ ือ่ ภาพเพอ่ื ใหเ ห็น
การเปรียบเทยี บ ใชค ําท่ีแสดง
กิรยิ าอาการ เชน
“…แลนง่ั อยใู นทอ งแม แล
กาํ มือทงั้ สองคูค อตอหัวเขา
ทั้งสอง เอาหวั ไวเหนือหัวเขา
เม่ือนั่งอยนู ัน้ …”)

158 คูมือครู


กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

ดุจดง่ั นั้น บม่ ไิ ด้ลา� บากแต่ ๒ วาร ๓ วารและจะพ้นไดเ้ ลย อยู่ยากแล ๗ เดอื น ลางคาบ ๘ เดอื น อธิบายความรู
ลางคน ๙ เดอื น ลางคน ๑๐ เดอื น ลางคน ๑๑ เดอื น ลางคนค�ารบปหนึ่งจึงคลอดกม็ ีแล
นักเรียนรว มกันอภปิ รายแสดง
คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนแลคลอดนั้น บห่ ่อนจะได้สกั คาบ คนผูใ้ ดอย่ใู นทอ้ งแม่ ๗ เดือน ความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั สาระสาํ คัญ
แลคลอดน้ัน แม้เลี้ยงเป็นคนก็ดี บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มิทนแดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิด ของเรือ่ งท่ีแสดงใหเ หน็ การเกดิ ของ
จั้น เม่ือคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เม่ือมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเน้ือร้อนใจแลกระหนกระหาย มนุษยไปจนถงึ การคลอด
อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดน้ันเมื่อจะคลอดออก ตนกุมารน้ัน
เย็น เย็นเน้ือเย็นใจ เม่ือยังอยู่ในท้องแม่น้ัน อยู่เย็นเป็นสุขส�าราญบานใจ แลเนื้อแม่น้ันก็เย็นด้วยโสด (แนวตอบ ในอดตี ยงั ไมมคี วามรู
คนผู้อยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อถึงจักคลอดน้ันก็ดีด้วยกรรมนั้นกลายเป็นลมในท้องแม่ส่ิงหน่ึง พัดให้ ดานวทิ ยาศาสตร สาระของเร่อื ง
ตัวกุมารนั้นขึ้นหนบน ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั้น ดุจด่ังฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงใน จึงมาจากธรรมชาติทส่ี ังเกตเหน็
ขุมนรกนั้น อันลึกได้แลร้อยวานั้นเม่ือกุมารน้ันคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นน้ัน และความเช่ือหรือแนวคดิ ของคนใน
แลเจ็บเน้ือเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัว สังคม ซึ่งนักเรยี นจะเห็นวา เนื้อความ
ออกยากล�าบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันช่ือคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบ้ี บางสวนสะทอนใหเห็นความเปนจรงิ
น้ันแล คร้ันออกจากท้องแม่ไสร้ ลมอันมีในท้องผู้น้อยค่อยพัดออกก่อน ลมอันมีภายนอกน้ันจึงพัด ทใ่ี กลเ คยี งหลักวทิ ยาศาสตร เชน
เข้าน้ันนักหนา พัดเข้าถึงต้นล้ินผู้น้อยจึงอย่า ครั้นออกจากท้องแม่ แต่นั้นไปเมือหน้ากุมารนั้นจึงรู้ “...สงิ่ อาหารอันแมกินเขา ไปในทอ ง
หายใจเข้าออกแล ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันค�านึงถึงความอันล�าบากนั้น ครั้นว่า นนั้ ไหมและยอ ยลง...” แสดงใหเห็น
ออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่สวรรค์ แลค�านึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อม การเผาผลาญอาหารที่ใชพ ลงั งาน
หัวร่อก่อนแล แต่คนผู้มาอยู่ในแผ่นดินน้ีทั่วทั้งจักรวาลอันใดอันอื่นก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่ก็ดี และเกดิ ความรอนตามหลกั
เมือ่ อยูใ่ นท้องแมก่ ด็ ี เม่ือออกจากท้องแม่กด็ ี ในกาลทง้ั ๓ นั้นย่อมหลงบม่ ิไดค้ า� นึงรู้อันใดสกั ส่ิง ฝูงอนั มา วิทยาศาสตร)
เกิดเป็นพระปจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี
เมอ่ื ธ แรกมาเอาปฏิสนธิน้ันก็ดี เมอื่ ธ อยใู่ นท้องแม่นนั้ กด็ ี แลสองสง่ิ นเ้ี มอื่ อยใู่ นทอ้ งแม่น้นั บห่ ่อนจะ ขยายความเขาใจ
รู้หลงแลยังค�านึงรู้อยู่ทุกอัน เม่ือจะออกจากท้องแม่วันนั้นไสร้ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยน้ัน
ลงมาสทู่ จี่ ะออกแลคบั แคบแอน่ ยนั นกั หนาเจบ็ เนอ้ื เจบ็ ตนลา� บากนกั ดง่ั กลา่ วมาแตก่ อ่ นแลพลกิ หวั ลงบม่ ไิ ด้ นกั เรียนแบงกลุม กลมุ ละ 4 - 5 คน
รู้สกึ สักอนั บ่เริม่ ดั่งทา่ นผู้จะออกมาเปน็ พระปจ เจกโพธเิ จ้าก็ดี ผจู้ ะมาเกิดเปน็ ลกู พระพทุ ธเจา้ ก็ดี คา� นึง จดั ทาํ ภาพประกอบการเกดิ ของมนษุ ย
รูส้ ึกตนแลบม่ หิ ลงแต่สองสงิ่ น้คี อื เม่ือจะเอาปฏิสนธแิ ลอย่ใู นท้องแมน่ ั้นไดแ้ ล เมอื่ จะออกจากท้องแม่น้ัน ตงั้ แตต ง้ั ครรภไ ปจนถงึ การคลอด
ยอ่ มหลงดุจคนทั้งหลายนแ้ี ล ส่วนวา่ คนทง้ั หลายนี้ไสรย้ ่อมหลงท้ัง ๓ เมอื่ ควรอม่ิ สงสารแล ตามเนื้อเรือ่ งไตรภูมิพระรวง ตอน
มนุสสภมู ิ
15๙
เกร็ดแนะครู

จากเน้ือความทวี่ า “ผแิ ลคน
อันมาแตน รกก็ด.ี ..ก็ยอ มหวั รอ
กอนแล” ครูแนะนกั เรียนวา สะทอ น
ใหเ หน็ ความเชอ่ื เร่อื งการเวียนวา ย
ตายเกิด การเกิดใหมเพอ่ื ชดใชก รรม
และความเชอื่ เรือ่ งนรกสวรรค

นกั เรยี นควรรู นกั เรียนควรรู

ธ อานวา ทะ เปน สรรพนามบรุ ุษที่ ๓ หมายถึง ทาน เธอ ปฏสิ นธิ หมายถงึ เกิดในทอ ง

คูมอื ครู 159


กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain Expand

Engage Evaluate

สํารวจคนหา (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%)

ใหนักเรียนศึกษาไตรภูมพิ ระรว ง ๖ คำ�ศพั ท์ ควำมหมำย
ตอนอืน่ ๆ จากแหลงเรียนรู เชน
อนิ เทอรเนต็ สารานกุ รม หนังสอื คำ� ศพั ท์ ทรุ นทรุ าย กระสบั กระสา่ ย
คน ควา อา งองิ เปน ตน เพอ่ื ใหเ ขา ใจ ส่วนของกระโหลกอยู่ตรงแนวศีรษะ แต่ต�่ากว่าส่วนสูงสุดลงมาใกล้
ความเชอื่ เรอื่ งนรก สวรรค และ กระหนกระหาย หนา้ ผาก
โลกมนุษยต ามคติความเชื่อทาง กระหม่อม รูปแรกเร่ิมท่ีปฏิสนธิในครรภ์มารดาในช่วงสัปดาห์แรก ซ่ึงเปรียบได้กับ
ศาสนาของคนไทยโบราณ เอาผมคนมาผา่ ๘ ครงั้ (เทา่ กบั ๑/๒๕๖ ของเสน้ ผม) แลว้ จมุ่ ลงในนา�้ มนั งา
กลละ ที่ใสมากและสลดั ๗ ครง้ั แล้วถือไว้ นา้� มันทเี่ หลอื ตดิ อย่ทู ีป่ ลายผมนน้ั
อธบิ ายความรู ยงั มีขนาดใหญ่กวา่ กลละ
กลวง ที่วา่ ง
ใหนักเรียนอธบิ ายความรเู กยี่ วกับ คนกัน ปนกนั ระคนกัน
วิวัฒนาการทางภาษาจากไตรภมู ิ- ครอก ลูกสัตว์หลายตัวท่ีเกิดพร้อมกันคราวเดียว ลักษณนามเรียกการตกลูก
พระรวง ของสัตวค์ ราวหนึ่งๆ
คาบ หน คร้ัง
• ภาษาไทยมีวิวัฒนาการอยา งไร ฆนะ ก้อน แท่ง
(แนวตอบ ภาษามีการ จะงอยไส้ดอื ปลายสายสะดือ
เปล่ยี นแปลงอยเู สมอ และคาํ เซา เหงาหงอย
ทใ่ี ชมากอ นอาจจะเปลี่ยนแปลง ตืด พยาธิ
รูปศพั ท เปลี่ยนความหมาย เถา้ ส่ิงที่เป็นผงละเอียดของสิง่ ทีเ่ หลือจากไฟเผามอดแลว้
กวางออก แคบเขา หรอื ท่เี รว่ ปา่ ชา้ ปา่ ท่ีฝงั ศพ ทเ่ี ผาศพ
ความหมายยา ยที่ ซึง่ การ ธ ทา่ น เธอ
เปลย่ี นแปลงทางภาษาจะเกิด ธาตุ สิ่งที่ถือว่าเป็นส่วนส�าคัญท่ีคุมกันเป็นร่างของสิ่งทั้งหลาย โดยท่ัวๆ ไป
อยางคอยเปนคอยไป สามารถ เช่ือวา่ มี ๔ ธาตุ คือ ธาตดุ นิ ธาตนุ ้า� ธาตุลม ธาตไุ ฟ
สืบคนตน ตอของภาษาได บเ่ ร่ิม เป็นคา� สันธาน มคี วามหมายวา่ แมแ้ ต่
เรียกวา วิวฒั นาการทางภาษา) เบญจสาขาหดู ปมุ่ ทเ่ี ป็น ๕ กงิ่ ในท่ีนี้หมายถงึ กอ้ นเน้ือทมี่ ีป่มุ เกิด ๕ ปมุ่ คอื
หัว ๑ ปมุ่ แขน ๒ ปมุ่ ขา ๒ ปมุ่
ขยายความเขาใจ ปฏิสนธิ การถอื กา� เนดิ ในท้อง

ครสู นทนากบั นักเรียนเรือ่ งภาษา 160
ทุกภาษาที่ใชส ่อื สารกนั ในชวี ติ
ประจําวันตอ งมกี ารเปล่ยี นแปลง
ใหน ักเรยี นยกตวั อยา งคํา กลมุ คาํ
ประโยค จากคําศพั ทใ นไตรภมู ิ-
พระรวง ตอน มนสุ สภมู ิ ทใ่ี ช
แตกตา งจากปจ จบุ ัน

(แนวตอบ ตวั อยางเชน
ลางที ปจ จุบันใช บางครั้ง บางที
ผา ยหนา ผา ยหลงั ปจ จบุ นั ใช ภายหนา
ภายหลงั ลมตายหายจาก ปจ จุบนั ใช
ลมหายตายจาก หางวา วบัญชี
ปจ จบุ นั ใช บัญชีหางวาว เปน ตน)

160 คมู อื ครู


กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

คำ� ศพั ท์ ควำมหมำย อธบิ ายความรู

ประตลู ักษ ช่องดาลซึง่ เป็นรสู �าหรับสอดลูกดาลเข้าไปเขยี่ ดาล (กลอน) ท่ีขัด 1. นักเรียนชวยกนั รวบรวมคาํ ศพั ท
บานประตู ชอ่ งดาลเทียบได้กบั รูกุญแจ ช้ินเนอ้ื (ในครรภม์ ารดา) ท่ีไดจากเรอ่ื งเพิ่มเตมิ อธบิ าย
ผิ ถา้ หาก แมน้ ความหมายแลวบนั ทกึ ความรู
พระปจั เจกโพธเิ จ้า พระพทุ ธเจ้าทีต่ รัสร้แู ล้วมิได้ส่งั สอนเวไนยสตั ว์ เพิ่มเตมิ ลงสมุด
ลมกรรมชวาต ลมเกดิ แตก่ รรม หมายถงึ ลมท่เี กิดในเวลาทีม่ ารดาจะคลอดบตุ ร (แนวตอบ
ลามก หยาบช้า ต�า่ ทราม หยาบโลน เป็นทร่ี ังเกยี จของคนดมี ีศีลธรรม ลางคน หมายถึง บางคน
วาร วันหนง่ึ ๆ ในสปั ดาห์ วาร หมายถึง วันหนึ่งๆ
สงสาร การเวยี นว่ายตายเกิด ในสัปดาห
สะหน่อย สกั หนอ่ ย สักเลก็ น้อย เบญจ หมายถึง หา
โสด กระทงความหนึง่ แผนกส่วนหนึง่ อีกส่วนหนง่ึ อย่างหนึง่ เด่ียว เออื น หมายถึง ท่ีมีเนอ้ื บาง
ไสร้ นั้น เชน่ นัน้ อย่างน้นั ขรุขระเหมอื นผิวมะกรูด
ไส้ดือ สะดอื อาจม หมายถึง อุจจาระ
หนบน ข้างบน ที่เถา หมายถึง สิ่งท่เี ปน
หอ่ น เคย รายละเอยี ดของสิง่ ทเ่ี หลอื
หัวร่อ เปล่งเสยี งแสดงความขบขัน ดีใจ ชอบใจ หวั เราะ จากไฟเผามอดแลว เปน ตน )
หีบ หนบี
หดู โรคผิวหนงั ชนดิ หนง่ึ ขนึ้ เป็นไตแข็ง 2. ครทู าํ สลากใหน ักเรียนจบั เม่ือ
เหง ทับ นกั เรยี นจับสลากไดค าํ ใดให
อยธู่ รห้อย โคลงเคลงไปมา ทรงตัวไม่ได้ นกั เรียนอธิบายความหมาย
อรหันตาขีณาสพ พระอรหันต์ผูห้ มดกิเลสแลว้ ของศพั ทคาํ นั้น
อัมพุทะ รปู ของการกอ่ กา� เนดิ มนษุ ยใ์ นชว่ งสปั ดาหท์ ่ี ๒ ของการตง้ั ครรภ์ เปน็ ชว่ ง
ท่พี ฒั นาจากกลละ ขยายความเขา ใจ
อาจม สิ่งท่คี วรล้าง สงิ่ ทค่ี วรช�าระ
เอือน พยาธิในทอ้ งชนดิ หนง่ึ (ภาษาถิ่นใต้ เออื น แปลว่า ตดื ) นกั เรียนนาํ คําศพั ทจ ากเรอ่ื ง
แอ่นยนั คดเพราะตัวถูกกดดนั ด้วยลมกรรมชวาต ไตรภูมพิ ระรวงมาเขียนความเรยี ง
ตามจนิ ตนาการของนกั เรยี น อาจใช
ภาษาของนกั เรยี นเองหรือภาษา
ตามเนอ้ื เรื่องไตรภมู พิ ระรวง แลว
ตัง้ ชื่อเรอื่ งใหนา สนใจ

161

คมู อื ครู 161


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain

Expand Evaluate

กระตนุ ความสนใจ (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%)

ครูจดั กิจกรรมนอกสถานท่ี ๗ บทวเิ คร�ะห์
พานักเรยี นไปชมภาพจติ รกรรม
ฝาผนังเกย่ี วกบั มนสุ สภูมิในอโุ บสถ
ใกลโรงเรยี น หรือครจู ัดหาภาพ
ประกอบในไตรภมู พิ ระรวงมาให ๗.๑ คณุ ค่าด้านเน้อื หา
นักเรียนดู แลว ใหนักเรียนสนทนา
แลกเปลย่ี นความคิดเห็นกนั โดยครู ๑) รปู แบบ รูปแบบการแต่งเป็นร้อยแก้วที่มีสัมผัสคล้องจอง กวีแต่งประโยคเข้าใจง่าย
กาํ หนดจุดมงุ หมายของกจิ กรรม ผกู ความไม่ซบั ซ้อน
ดว ยการใหน ักเรยี นตอบคําถาม ๒) องคป์ ระกอบของเรอ่ื ง มดี งั นี้
๒.๑) สาระ เรอ่ื งไตรภมู พิ ระร่วง ตอน มนุสสภมู ิ คือ แสดงการเกดิ ของมนุษยท์ ้งั ชาย
• นกั เรียนจินตนาการเกย่ี วกบั หญิง ตงั้ แตแ่ รกเกิดจนถงึ คลอดน้ันเป็นไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน
มนุสสภมู ิวาเหมือนกับภาพ ๒.๒) โครงเรอื่ ง มกี ารลา� ดบั ความเปน็ ไปตามขน้ั ตอน โดยเนอื้ ความตอนกา� เนดิ มนษุ ยน์ ้ี
ที่ดหู รอื ไมอยางไร เร่ิมตัง้ แต่เม่ือแรกเกดิ เป็น กลละ หรือเซลลท์ ม่ี ขี นาดเลก็ มาก คอ่ ยเติบโตขน้ึ เป็น เบญจสาขาหดู
• เม่ือนักเรยี นดภู าพแลว ภาพนน้ั หรอื หดู หา้ กง่ิ และเจรญิ ขนึ้ จนเปน็ ตวั คนนง่ั คดุ คจู้ บั เจา่ อยใู่ นทอ้ งแมจ่ นกระทงั่ ถงึ เวลาคลอดกถ็ กู ลม
สงผลตอความคดิ ความรูส กึ ดนั ใหอ้ อกมา
ของนักเรยี นอยางไรบาง ๒.๓) กลวิธีการแตง่ เปน็ การเล่าเรือ่ งตามล�าดับโดยใชบ้ รรยายโวหารเป็นหลกั และใช้

พรรณนาโวหารในตอนท่ีต้องการให้รายละเอียด
๗.๒ คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์
สาํ รวจคน หา ไตรภูมพิ ระรว่ งไดร้ ับยกย่องเป็นวรรณคดพี ระพุทธศาสนาเลม่ แรกของไทย มีสา� นวนโวหาร
ไพเราะงดงาม พระราชนิพนธ์ในพระมหาธรรมราชาลิไทย พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถรอบรู้
นกั เรยี นศึกษาขอ มูลความรู เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเป็นอย่างดี ทรงสันทัดในภาษาบาลี สันสกฤต และภาษาไทย ทรงมี
เกีย่ วกับเร่อื งไตรภมู พิ ระรวงเพ่ิมเตมิ ความสามารถในการเลือกใช้ถ้อยค�าเหมาะสม ท้ังการออกเสียง จังหวะ พยางค์ การส่งและรับ
จากแหลงเรยี นรตู า งๆ เชน หนงั สอื สัมผัสอย่างคลอ้ งจอง ส�าเนียงค�าไพเราะใหค้ วามหมายชัดเจน ไตรภมู ิพระรว่ งจงึ นับเป็นตา� ราการ
ไตรภมู พิ ระรว ง หนงั สือสารานุกรม ใช้ภาษาไทยโบราณท่ีนักภาษาศาสตร์ในปัจจุบันน่าจะได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อจะได้ทราบวิวัฒนาการ
เวบ็ ไซตในอนิ เทอรเนต็ เปนตน

อธบิ ายความรู ของภาษาไทยได้เปน็ อย่างดีย่งิ
ไตรภมู พิ ระรว่ ง ตอน มนสุ สภมู ิ ใชภ้ าษาไดไ้ พเราะดว้ ยการเลน่ สมั ผสั คา� คลอ้ งจอง การซา�้ คา�
ครูและนักเรยี นรว มกันอภิปราย เพอ่ื เนน้ ความหมาย การยา้� ค�าเพ่ือความเข้าใจชดั เจน การเล่นอักษรและเล่นสัมผัสสระใหม้ ีจังหวะ
เกีย่ วกบั จดุ มุงหมายในการประพนั ธ กระทบไพเราะ ดงั ตวั อย่างทีย่ กมา ดงั นี้
ไตรภูมพิ ระรว ง ๑) การสรรคา� เปน็ การเลือกใช้ค�าลกั ษณะต่างๆ เพอื่ ความคดิ และความรู้สึก ได้แก่
๑.๑) การเลือกใช้ค�าได้ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ โดยเลือกใช้ค�าเพ่ือย้�า
• กวีมจี ดุ มุง หมายในการประพันธ ความให้หนักขนึ้ เปน็ จังหวะท�าใหไ้ พเราะน่าฟงั เชน่
อยางไร และเพราะเหตใุ ด
วรรณคดีเรอื่ งนี้จงึ ไดรบั ความ
นิยมและถูกกลาวถงึ อยเู สมอ
(แนวตอบ จุดมงุ หมายในการ
ประพนั ธไ ตรภูมิพระรว ง
ตอน มนุสสภมู ิ คือ “ควรอิ่ม 162

สงสารแล” ซึ่งกวีสะทอ นใหเ หน็
จดุ มุงหมายวา ควรหยดุ การ
เวียนวายตายเกิด นัน่ คือ การทาํ บุญ ทําความดีใหม าก ซ่งึ จากเรื่องกวีกลาวถึงความยากลําบาก
ของการเกิดเพ่ือใหคนทําความดี รักษาศลี ธรรมเพอ่ื ใหห ลุดพนจากวฏั สงสาร ไตรภูมิพระรวง
ไดรบั ความนิยมและถกู กลา วถึงอยเู สมอ เพราะสะทอนความเช่ือทางศาสนา ซึ่งผูกพนั กับ
วัฒนธรรมและศลี ธรรมประจาํ ใจของคนในสังคมไทย)

162 คูมือครู


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

“...อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารน้ัน เม่ือกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นล�าบากนักหนา อธบิ ายความรู
พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ช้ืนแลเหม็นกล่ินตืดและเอือนอันได้ ๘๐ ครอก ซ่ึงอยู่ในท้องแม่
อันเปน็ ทีเ่ หมน็ แลทอี่ อกลูกออกเตา้ ทเ่ี ถา้ ทตี่ ายทีเ่ รว่ ฝูงตืดแลเอือนท้งั หลายนน้ั คนกนั อยู่ในท้องแม่ ตืด 1. นักเรียนรว มกนั อภปิ รายแสดง
แลเออื นฝูงนน้ั เริมตวั กมุ ารนนั้ ไสร้ ดุจดั่งหนอนอนั อยู่ในปลาเนา่ แลหนอนอันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล…” ความคิดเหน็ ในเร่อื งตอไปนี้
• การเลือกใชค ําโดยคาํ นึงถงึ เสียง
๑.๒) การเลือกใชค้ �าท่ีเหมาะแก่เนอ้ื เรอ่ื งและฐานะของบุคคลในเรอ่ื ง เช่น มีประโยชนตอ การเสพวรรณคดี
ในสมัยกอนอยางไร
“...คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนแลคลอดน้ัน บ่ห่อนจะได้สักคาบ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ (แนวตอบ สมัยกอนมีผูรูหนงั สอื
๗ เดอื นแลคลอดนนั้ แมเ้ ล้ียงเป็นคนก็ดี บม่ ไิ ด้กล้าแข็ง บม่ ิทนแดดทนฝนไดแ้ ล…” นอ ย วรรณคดีไทยจะแพรหลาย
ไปสปู ระชาชนสวนใหญในเมือง
ค�าว่า ท้องแม่ และ คลอด เป็นค�าท่ีเหมาะแก่เนื้อเร่ือง เพราะกล่าวถึงการตั้งท้อง หรอื อาณาจกั รไดโดยการฟง ผูรู
ของแม่ ส่วน บ่มิได้กล้าแข็ง บม่ ิทนแดดทนฝน เปน็ คา� ทเ่ี หมาะแกฐ่ านะของบุคคล เพราะในเรอื่ ง อา น ซงึ่ จดุ มุง หมายของกวีคือ
กลา่ วถึงลกู ทคี่ ลอดในเวลา ๗ เดือนหรือคลอดก่อนก�าหนดจะไมค่ อ่ ยแขง็ แรง ตอ งการใหป ระชาชนทาํ ความดี
๑.๓) การเลือกใชค้ �าให้เหมาะแกล่ ักษณะค�าประพนั ธ ์ เช่น ละเวนความชั่ว เพ่อื ใหหลุดพน
จากวฏั สงสาร การใชค าํ ท่มี ี
“ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวัน เสยี งเสนาะ ใชค ําทม่ี เี สียงชวย
แลน้อย คร้ังถงึ ๗ วัน เปน็ ดัง่ น้�าล้างเนื้อนน้ั เรยี กวา่ อัมพทุ ะ อัมพทุ ะน้นั โดยใหญ่ไปทุกวารไสร…้ ” เนนยํ้าความหมายใหหนักแนน
หรอื ใชเ สยี งใหเกดิ จนิ ตภาพ
กวเี ลอื กสรรคา� ทเี่ หมาะแกล่ กั ษณะคา� ประพนั ธไ์ ตรภมู พิ ระรว่ ง ซง่ึ การใชภ้ าษาจะแตกตา่ ง จะชวยใหผฟู ง คลอ ยตาม
จากค�าประพันธ์ทั่วไป เนื่องจากเป็นลักษณะของร้อยแก้วที่มีการเทศนาโวหาร จึงใช้ ก็ดี เป็น จุดมงุ หมายของกวไี ดง า ยข้นึ )
การเชอื่ มประโยค
๑.๔) การเลือกใชค้ �าโดยคา� นึงถึงเสยี ง ดงั นี้ 2. ครูสรปุ ความรเู พิ่มเติมใหแก
นกั เรียน แลวใหนักเรยี นจดบันทึก
(๑) การเลน่ สมั ผสั คล้องจอง เช่น ลงสมุด

“...แลน่ังยองอยู่ในท้องแม่ แลก�ามือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่า ขยายความเขาใจ
เมือ่ น่งั อย่นู ้ัน…”
นักเรยี นยกตวั อยางการเลือก
(๒) การใชค้ า� ซอ้ นเพอ่ื เนน้ ความ เชน่ เจบ็ เนอ้ื เจบ็ ตน แคน้ เนอื้ แคน้ ใจ เดอื ดเนอ้ื ใชคําโดยคํานึงถึงเสยี งในวรรณคดี
เดือดใจ ทนแดดทนฝน ออกลูกออกเต้า พึงเกลยี ดพงึ หนา่ ย กระหนกระหาย เช่น เรอ่ื งไตรภมู พิ ระรวง ตอน มนสุ สภูมิ
ในสว นทเี่ ปนการซอ นคําเพ่ือเนน
163 ความที่ยังปรากฏใชในปจ จบุ ัน
คนละ 2 ตัวอยาง พรอ มทงั้ บอก
เกรด็ แนะครู บรบิ ทที่ใช

ครเู พ่ิมเตมิ ความรูค วามเขาใจใหนักเรียน โดยใหนกั เรียนคนเนอื้ เร่ืองตอนอ่ืนๆ ของไตรภมู -ิ (แนวตอบ ตวั อยา งเชน
พระรวง เชน นรกภมู ิ อสุรกายภูมิ ชมพูทวปี เปน ตน เน้อื ความท่ีนกั เรียนคนมาแสดงใหเ ห็นการ • เดือดเนือ้ รอนใจ กลา วถงึ
ใชคําโดยคํานงึ ถึงเสียง นกั เรียนแลกเปลี่ยนความรูรว มกนั กับเพ่ือนๆ ครสู รุปความรูใหน กั เรยี น
เห็นวา การเลอื กใชค าํ โดยคํานึงถึงเสยี งเปน ลักษณะเดนของวรรณคดเี ร่ืองไตรภมู ิพระรว ง ผทู ่ีมีอาการรอ นรนกระวน
กระวายมเี รอ่ื งไมสบายใจ
• ทนแดดทนฝน กลาวถงึ ส่ิงของ
ท่มี อี ายกุ ารใชง านนาน หรอื
เปน การกลา วประชดประชนั
คนผา นชีวิตที่ยากลาํ บากมาได
เปน ตน)

คูมือครู 163


กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรยี น 20%)

ใหน กั เรยี นรว มกันอภปิ ราย “...แลกุมารนั้นเจ็บเน้ือเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจ
• โวหารตางๆ ทป่ี รากฏในเร่อื ง แลเดอื ดเน้ือเดอื ดใจนกั หนา…”

มีความสําคญั ตอ เรอื่ งอยา งไร (๓) การยา้� คา� ทมี่ คี วามหมายเหมอื นกนั หรอื ใกลเ้ คยี งกนั เพอื่ ความเขา้ ใจชดั เจน
(แนวตอบ โวหารทป่ี รากฏมคี วาม เช่น
สาํ คัญตอเรอ่ื ง เชน บรรยายโวหาร
ทาํ ใหก ารเลาเรอื่ งเปนลาํ ดับข้ัน “...แลภูเขาอันชอ่ื คงั ไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล…”
เห็นเนอื้ ความเรยี งรอ ยชัดเจน “...แลผนู้ ้อยนัน้ กไ็ ดก้ นิ ทกุ ค�า่ เช้าทกุ วัน…”
เขาใจความตามลาํ ดบั เหตกุ ารณ
เม่อื กวตี องการรายละเอียดหรือ (๔) การเลน่ อกั ษร เสียงสัมผัสสระ และสมั ผัสพยญั ชนะ ใหม้ จี งั หวะไพเราะ เชน่
แทรกอารมณความรูสกึ จะใช
พรรณนาโวหาร รวมทง้ั ใช “ผริ ูปอนั จะเกิดเปน็ ชายก็ดเี ป็นหญิงก็ดี…”
อปุ มาโวหารเมอื่ ตอ งการเปรียบ “...ออกลูกออกเตา้ ทเ่ี ถ้า ทตี่ ายท่ีเร่ว…”
เทยี บใหเขาใจไดง าย ชัดเจน “…ดว้ ยบุญกมุ ารน้ันจะเป็นคนแลจงึ ให้บมิไหม้บมติ าย…”
และรวดเร็ว)
๒) การใชโ้ วหาร ดังน้ี
ขยายความเขาใจ ๒.๑) บรรยายโวหาร เปน็ การใช้ถอ้ ยค�าเลา่ เร่อื งราวตา่ งๆ ตามลา� ดับเหตกุ ารณจ์ นเห็น
ภาพชดั เจน ดังตวั อยา่ ง
นักเรียนยกตัวอยา งบรรยายโวหาร
พรรณนาโวหาร อปุ มาโวหาร จาก “...สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องน้ันไหม้และย่อยลง ด้วยอ�านาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น
วรรณคดีเร่ืองอนื่ ๆ ส่วนตัวกุมารน้ันบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารน้ันจะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตายเพื่อ
ดัง่ นัน้ แลแตก่ ุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บห่ อ่ นได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่หอ่ นไดเ้ หยียดตนี มอื ออกดัง่ เราท่าน
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ ท้งั หลายนสี้ กั คาบหน่งึ เลย…”
ยกตวั อยางไดจากวรรณคดที น่ี กั เรยี น
สบื คน มา เชน สามกก ไกลบา น ๒.๒) พรรณนาโวหาร เป็นการให้รายละเอียดในเรื่องโดยแทรกอารมณ์ความรู้สึก
โคลนติดลอ เปนตน ตัวอยา งเชน ลงไป เพ่อื สร้างมโนภาพให้ผอู้ า่ นเกิดภาพขนึ้ ในใจ มองเห็นภาพบรรยากาศตามที่กวตี ้องการ เช่น
- การใชอ ปุ มาโวหารจาก การพรรณนาลักษณะของทารกที่อยู่ในท้องแม่ ท�าให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สามารถมองภาพ
ท่านงั่ ของทารกในทอ้ งแม่ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ดงั ตวั อย่าง
เรอื่ งสามกก
“ตัวเราก็มไิ ดร กั ชีวติ อันความตาย 164
อุปมาเหมือนนอนหลบั ”
- การใชพรรณนาโวหารจาก นักเรียนควรรู
เรอื่ งสามัคคเี ภทคําฉนั ท
“สามยอดตลอดระยะระยับ ลกั ษณะของทารกทอี่ ยใู นทอ งแม ในระยะเวลาตา งๆ ปฏสิ นธิ : กลละ (ขนาด เศษ 1 สว น 256
วะวะวบั สลับพรรณ ของเสนผม) 7 วนั : อัมพุทะ (นํา้ ลา งเนื้อ) 14 วัน : เปสิ (ช้ินเน้อื ) 21 วนั : ฆนะ (กอ นเนอื้
ชอฟา ตระการกลจะหยนั แทงเนอ้ื ขนาดเทาไขไ ก) 28 วนั : เบญจสาขาหูด (มหี วั แขน 2 ขา 2) ครบ 1 เดอื น 35 วนั :
จะเยาะยั่วทิฆมั พร” มฝี า มือ นิ้วมอื ลายนว้ิ มอื 42 วัน : มีขน เลบ็ มอื เลบ็ เทา (เปน มนุษยค รบสมบรู ณ) 50 วนั :
- การใชบรรยายโวหารจาก ทอนลา งสมบูรณ 84 วนั : ทอนบนสมบรู ณ 184 วัน (6 เดือน) : เปน เดก็ สมบูรณ นง่ั กลางทองแม
เรอ่ื งราชาธริ าช
“ขณะเมอ่ื พระเจาฝรัง่ มงั ฆอ ง ให
มีพระราชกําหนดออกไปแกพระเจา
กรงุ จีนไปครงั้ นั้น ไพรพ ลท้ังสองฝา ย
และชาวบานชาวเมอื งเที่ยวไปมา”
เปนตน )

164 คมู อื ครู


กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Expand

Engage Explore Explain Evaluate

“...เบื้องหลังกุมารน้ันต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลก�ามือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่า ขยายความเขาใจ
ท้ังสอง เอาหวั ไว้เหนอื หัวเขา่ เม่ือนงั่ อยู่นนั้ เลือดแลนา�้ เหลืองยอ้ ยลงเตม็ ตนยะหยดทุกเม่อื แล…”
นักเรียนแตละกลุมนําความเชื่อ
๒.๓) อุปมาโวหาร เป็นโวหารท่ีกวีน�ามาใช้ประกอบเร่ืองโดยกล่าวเปรียบเทียบ เพื่อ และแนวคดิ ทไ่ี ดจ ากเรอ่ื งเปรยี บเทยี บ
ให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น กวีใช้โวหารน้ีสอดแทรกอยู่ในบรรยายโวหารและพรรณนาโวหาร กับวรรณคดีเร่อื งอน่ื ทนี่ ักเรียนเคย
เป็นส่วนมาก ท�าให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายที่กวีต้องการส่ือได้ง่าย ลึกซ้ึงและให้คุณค่า ศึกษา พรอ มยกตัวอยา ง จัดทาํ เปน
ด้านอารมณค์ วามรูส้ กึ ย่ิงนกั ดงั ตวั อยา่ ง รายงานสง ครูผูส อน

“...ฝูงตืดแลเออื นท้งั หลายนนั้ คนกนั อยใู่ นท้องแม่ ตืดแลเออื นฝูงนน้ั เรมิ ตัวกมุ ารนั้นไสร้ ดจุ ดัง่ (แนวตอบ เชน วรรณคดเี ร่อื งขนุ ชาง
หนอนอนั อยู่ในปลาเนา่ แลหนอนอนั อย่ใู นลามกอาจมนั้นแล อันว่าสายสะดอื แหง่ กุมารน้ันกลวงด่งั สาย ขุนแผนมีความเช่ือเรือ่ งเวรกรรม
ก้านบัวอนั มชี ่ือวา่ อุบล…”
• “โอเ วรกรรมทําไวแตไ รมา
“...แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเน้ือแค้นใจ แล พอเหน็ หนา ลกู แลว จะแคลว กนั ”
เดือดเนอื้ เดอื ดใจนกั หนา เหยยี ดตีนมอื บ่มไิ ด้ ดง่ั ทา่ นเอาใส่ไว้ในท่ีคับ ผแิ ลว่าเมือ่ แม่เดนิ ไปกด็ ี นอนก็ดี
ฟนื้ ตนกด็ ี กุมารอย่ใู นทอ้ งแม่น้ันให้เจบ็ เพียงจะตายแลดจุ ด่งั ลกู ทรายอันพึง่ ออกแล อย่ธู รห้อยผบิ ม่ ิดจุ ด่งั • “ตอ งจําจนทนกรรมทีต่ ดิ ตาม
คนอันเมาเหล้า ผิบ่มิดจุ ดงั่ ลกู งอู ันหมองูเอาไปเล่นน้ันแล…” จะฝน ความคดิ ไปก็ใชที”
เปน ตน )
๗.๓ คุณค่าดา้ นสังคม
เกรด็ แนะครู
๑) สะทอ้ นความเชอ่ื ของคนในสงั คม ดงั นี้
๑.๑) ความเช่อื ในเรอื่ งกรรม ไตรภมู ิพระรว่ ง ตอน มนสุ สภูมิ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ความเชอื่ ครชู ้ีแนะใหนกั เรยี นเห็นวา
ในเร่ืองการเวียนว่ายตายเกิดของสัตวโลกด้วยแรงบุญและแรงกรรมที่ได้กระท�าไว้ในขณะที่ยัง วรรณคดีเรอื่ งไตรภูมิพระรวงเปน
มีชีวิตอยู่ หากท�าบาปด้วยกาย วาจา ใจ ต้องไปเกิดในนรกภูมิ หากรู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จัก วรรณคดเี กา แกของไทย เนอ้ื หามี
ผิดชอบช่ัวดี รู้จักคุณพระรัตนตรัย มีมนุษยธรรมประจ�าใจก็ไปเกิดในมนุสสภูมิ และเมื่อจะเกิด ความเกีย่ วขอ งกบั พระพทุ ธศาสนา
เป็นมนุษย์ผู้ที่มาจากนรกภูมิด้วยแรงกรรมก็จะส่งผลให้เกิดความยากล�าบากทั้งต่อตนเองและ โดยตรง เปนวรรณคดที ่ีสงผลตอ
ผู้ให้ก�าเนิด ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนกระท่ังคลอด ส่วนผู้ที่มาจากมนุสสภูมิแห่งบุญก็จะส่งผลให้ แนวคิดกวไี ทย เห็นไดจากทกี่ วี
อยู่เยน็ เป็นสขุ ต้ังแต่แรกเกิด ตอนอยู่ในทอ้ งแม่ และเมอ่ื คลอดออกจากท้องแม่ ไดสอดแทรกเรือ่ งราวของไตรภมู ิ
๑.๒) ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เช่น สวรรค์และอุตรกุรุทวีป ซึ่งเป็นทวีปในอุดมคติ พระรว งไวใ นวรรณคดีทีแ่ ตง เชน
ท่มี นุษย์หลายคนอยากไปเกดิ อย่ทู ่ีนนั่ เพราะเปน็ ดนิ แดนที่เต็มไปดว้ ยความสขุ ความสบาย และ ลลิ ิตโองการแชงนํ้า มหาเวสสันดร-
ความสะดวกนานปั การ ชาดก รามเกียรติ์ กากีคาํ กลอน
ขนุ ชางขนุ แผน ดังตวั อยาง
165
- ลิลติ โองการแชง นํา้ กลาวถึง
ไฟบรรลยั กลั ปล างโลก
“นานาอเนกนาวเดมิ กัลป
จักร่าํ จกั ราพาฬเม่อื ไหม
กลาวถงึ ตระวันเจด็ อนั พลุง
น้ําแลง ไขขอดหาย”

- รามเกยี รติ์ พระราชนิพนธใ น
รชั กาลท่ี 1 กลา วถงึ ทวปี ทง้ั 4
ในไตรภมู พิ ระรว งวา
“สําแดงแผลงฤทธิฮ์ ึกฮัก
ขนุ ยักษไ ลม วนแผน ดิน
ชมพอู ุดรกาโร
อมรโคยานกี ไ็ ดสิ้น”

คูมือครู 165


กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Expand Evaluate

Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)

นักเรยี นรว มกันแสดงความคดิ เหน็ ๒) สะทอ้ นแนวคดิ ของคนในสงั คม ดงั น้ี
ในประเดน็ ตอไปนี้ ๒.๑) สะท้อนการเกิดของมนุษย์เป็นทุกข์ เน้ือความตอน มนุสสภูมิ ก�าเนิดมนุษย์
ในทัศนะของกวีนั้น การเกิดของมนุษย์ในท้องมารดาก็เป็นความทุกข์อย่างหน่ึงไม่ใช่เร่ืองที่มี
• ความเช่ือและแนวคดิ ทีป่ รากฏ ความสุข ต้ังแต่แรกเกิดเป็นเพียงกลละ เจริญขึ้นเป็นตัวคนก็ต้องน่ังคุดคู้จับเจ่าอย่างเม่ือยล้า
ในเรือ่ งยังคงมีอยใู นสังคมไทย ขดในท่ีอันคับแคบและร้อนระอุ เมื่อถึงเวลาคลอดต้องถูกดันให้ผ่านออกทางช่องแคบๆ ท�าให้
ปจ จบุ นั หรือไม อยา งไร เจ็บปวดแสนสาหัส เชน่
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถ
แสดงความคิดเห็นไดอยา ง “...เมอ่ื ถงึ จกั คลอดนนั้ กด็ ดี ว้ ยกรรมนนั้ กลายเปน็ ลมในทอ้ งแมส่ ง่ิ หนงึ่ พดั ใหต้ วั กมุ ารนนั้ ขนึ้ หนบน
หลากหลายแตครูควรช้ีแนะ ใหห้ วั ลงมาสทู่ จี่ ะออกนน้ั ดจุ ดงั่ ฝงู นรกอนั ยมบาลกมุ ตนี แลหยอ่ นหวั ลงในขมุ นรกนน้ั อนั ลกึ ไดแ้ ลรอ้ ยวานน้ั
นักเรยี นวา แมวา ในปจจบุ นั เมื่อกุมารน้นั คลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบม่ ิพน้ ตน ตนเยน็ น้นั แลเจ็บเนื้อเจ็บตนนกั หนา…”
ความรูทางวทิ ยาศาสตรและ
วทิ ยาการทางการแพทยท เี่ จรญิ ๒.๒) สะทอ้ นใหเ้ หน็ สจั ธรรมของชวี ติ การเปลย่ี นแปลงของสรรพสง่ิ ทม่ี นษุ ยท์ กุ คนตอ้ ง
กา วหนาจะทาํ ใหรวู า คนเกิด พบเห็นในชีวติ ประจ�าวนั น่นั กค็ อื การเกิด แก่ เจ็บ และตาย
เตบิ โตและตายอยางไร แต
ความเช่อื ทป่ี รากฏในเร่ืองเปน การอ่านวรรณคดีท่ีถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุดน้ัน ผู้อ่านต้องพยายามท�าความ
ความเช่อื และศรัทธาที่ผกู โยง เข้าใจศิลปะการประพันธ์ให้ได้อย่างถ่องแท้ และรู้จักพิจารณาประเมินค่าวรรณกรรมนั้นๆ ว่าดี
ยดึ เหน่ยี วจติ ใจใหคนไมลืม หรอื ไม่ อย่างไร ทั้งดา้ นวรรณศิลป์ การท�าใหเ้ กดิ จนิ ตภาพ เกิดอารมณค์ ล้อยตาม และได้ความ
ท่จี ะทาํ กรรมดี ทําบุญ เพอ่ื บันเทิงอารมณ์ ได้ทราบค่านิยม คติเตือนใจ นอกจากนี้ พึงพิจารณาว่าวรรณคดีน้ันมีคุณค่า
การหลุดพนจากวฏั สงสาร ดา้ นการอา่ นออกเสียงใหไ้ ด้รสทางการฟัง จากการเลน่ คา� สมั ผสั สา� นวนโวหาร ความเปรยี บ
อนั เปน เปาหมายสงู สุดทาง
พระพุทธศาสนา) นอกจากน้ี คณุ คา่ ของวรรณคดยี งั อยทู่ สี่ ามารถจดจา� ไวส้ งั่ สอนลกู หลานใหม้ คี ตขิ อ้ คดิ
เกี่ยวกับความไม่แน่นอนของส่ิงต่างๆ โลกท้ังสามหรือไตรภูมิ ชี้ให้เห็นความเจ็บปวดทรมาน
ตรวจสอบผล จากการเวียนว่ายตายเกิด ใหเ้ ร่งท�าบญุ เพ่มิ พนู กุศลเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ วัฏสงสาร
การเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในการดา� เนนิ ชวี ติ ทงั้ ยงั เปน็ การถา่ ยทอดภมู ปิ ญั ญาทางภาษาไวเ้ ปน็ มรดก
1. นักเรียนสรปุ เน้ือหาของเรือ่ งเปน ของชาตติ ่อไปอีกด้วย
ความเรียงดว ยสํานวนของนักเรียน
บันทึกลงสมดุ

2. นักเรียนยกตวั อยางบทประพันธ
ที่สะทอนใหเ ห็นความเชื่อใน
สังคมไทย

3. นักเรียนตอบคาํ ถามประจําหนวย
การเรยี นรู แลว รายงานหนา ชน้ั เรยี น

เกรด็ แนะครู 166

ครูสรปุ ความเขา ใจเก่ียวกับ
ไตรภมู ิพระรว งวา กลา วถงึ โครงสรา ง
ของจักรวาล โดยกลาวถงึ ความสงู
ความกวางของเขาพระสุเมรุและเขาสตั ตบริภัณฑ การโคจรของพระอาทิตย พระจันทรและดาวพระเคราะห
กลมุ ดาวนักษัตรตา งๆ เวลาในแตละทวีป การสลายตวั และการเกิดใหมของจักรวาลเมอ่ื ส้ินกลั ป เปนตน ครชู ้ี
ใหนักเรยี นเห็นวิธกี ารอธบิ ายในไตรภูมิพระรว งวา ใชการยกเร่อื งราวทํานองนยิ ายประกอบเปน ตอนๆ โดยเฉพาะ
เม่ือกลาวถงึ มนุสสภมู ิ ตอนสดุ ทายกลา วถึงนิพพานและวิธปี ฏบิ ัตติ นเพือ่ บรรลุนพิ พานดว ยการกําจัดกิเลส
ตามขน้ั ตอนและวธิ ภี าวนาโลกตุ ตรฌานในระดบั ตา งๆ

166 คูม ือครู


กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain Expand Evaluate

คำาถามประจาำ หน่วยการเรียนรู้ เกร็ดแนะครู

๑. ไตรภูมิพระร่วง หมายความวา่ อยา่ งไร ได้แก่อะไรบ้าง อธิบายพอสงั เขป (แนวตอบ คําถามประจาํ
๒. วรรณคดีเรือ่ งไตรภมู ิพระรว่ ง เน้นใหเ้ ห็นถงึ ความเป็นอนจิ ลักษณะหรืออนจิ จงั หนว ยการเรียนรู
1. ไตรภูมิพระรวง หมายความวา
ของสิง่ ตา่ งๆ ในโลกน้อี ย่างไร
๓. วรรณคดเี รอ่ื งไตรภมู พิ ระร่วง ให้คุณค่าทางวรรณคดอี ยา่ งไร จงอธิบาย ภมู ทิ ง้ั สามอนั เปน ทอ่ี ยขู องสตั วโลก
ทั้งหลายท่ียังเวยี นวายตายเกดิ ใน
ตามหัวขอ้ ต่อไปนี้ สงั สารวฏั ไดแ ก กามภมู ิ รปู ภูมิ
๓.๑ คณุ ค่าด้านศาสนา และอรปู ภูมิ
๓.๒ คณุ ค่าด้านจรยิ ธรรม 2. เนนใหเ ห็นความไมเ ท่ียงแทของ
๓.๓ คุณค่าด้านประเพณีและวัฒนธรรม สงิ่ ตา งๆ ในโลก ทกุ คนตอ งพบเหน็
น่นั คือ การเกิดจากครรภม ารดา
กจิ กรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ ท่ยี ากลาํ บาก ไปสูความแกชรา
เจ็บปว ยและตายในที่สุด
๑. ใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งเนอื้ ความตอนทนี่ กั เรยี นประทบั ใจมากทส่ี ดุ พรอ้ มอธบิ ายเหตผุ ล 3. วรรณคดีเรือ่ งไตรภมู พิ ระรว ง
๒. ใหน้ กั เรียนยอ่ ความ เรอ่ื งไตรภูมิพระรว่ ง ตอน มนุสสภูมิ ใหคณุ คาดา นศาสนา จรยิ ธรรม
๓. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ กล่มุ ละ ๕- ๗ คน หาภาพจติ รกรรมฝาผนังท่เี กยี่ วกบั เรื่องราวใน ประเพณีและวัฒนธรรม ดงั นี้
3.1 คุณคา ดา นศาสนา สะทอน
วรรณคดเี ร่อื งไตรภูมพิ ระร่วง แล้วน�าเสนอหน้าช้นั เรียน
ใหเ ห็นความเชอื่ เรอ่ื งการ
167 เวยี นวา ยตายเกดิ ของสตั วโ ลก
ดว ยแรงบุญแรงกรรมทบ่ี ุคคล
หแสลดกั งฐผานลการเรยี นรู สรางขึน้ ถา ทํากรรมชวั่ เมือ่
ตายจะไปอยูใ นนรกภูมิ
1. การสรุปเร่อื งยอ ถา สามารถตระหนกั รบู าปบญุ
2. บันทึกความรเู ก่ยี วกับวรรณศลิ ป รูผดิ ชอบช่ัวดีจะไดไ ปอยูใน
3. รายงานเปรียบเทียบความคิดและความเช่ือเรือ่ งไตรภูมิพระรวงกบั วรรณคดีเรอ่ื งอื่น มนุสสภมู ิ ซึ่งเนือ้ ความช้ใี ห
เหน็ ถงึ แกน แทข องชวี ิต และ
มนุษยควรทาํ บญุ กศุ ลใหมาก
เพ่อื ใหห ลดุ พน จากการ
เวยี นวา ยตายเกดิ ในสงั สารวฏั
3.2 คณุ คาดา นจรยิ ธรรม ไตรภมู -ิ
พระรว งชใ้ี หเ หน็ วา ผปู กครอง
ประเทศตอ งมีคุณธรรม
ชาวเมอื งจึงจะอยอู ยา งมี
ความสุข แตถ า ผูปกครอง
ไมม คี ณุ ธรรมแลว บา นเมอื ง
กจ็ ะเกดิ อาเพศ
3.3 คุณคา ดา นประเพณีและ
วฒั นธรรม เชน พธิ ีศพ คือ
การจัดดอกไมธูปเทยี นใสม ือ
ผวู ายชนมก อ นปด ฝาโลงศพ
ขนึ้ เผาบนเมรุ เสมอื นการเดนิ
ทางของดวงวิญญาณผตู าย
ไปทีเ่ ขาพระสุเมร)ุ

คมู อื ครู 167


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Engage

Explore Explain Expand Evaluate

เปา หมายการเรยี นรู (ยอ จากฉบบั นักเรียน 20%)

1. วเิ คราะหค ุณคาของบทประพนั ธ บทเสรมิ
ที่อานและฟง ได
บทอาขยาน
2. บอกคุณคาของบทประพนั ธที่
ทองจําได

3. ประยุกตบทประพันธท ี่มคี ณุ คา
นําไปใชประโยชนในชีวติ ได

กระตนุ ความสนใจ การทองจําคําประพันธที่มีคุณคาจะชวยใหผูอานไดสัมผัสกับความงามของภาษาไทย

ครูขออาสาสมคั รนกั เรยี นออกมา ในมติ ทิ างดา นเสยี งและความหมายเฉพาะ คาํ ประพนั ธห รอื บทรอ ยกรองนน้ั จะมคี วามไพเราะ
อา นบทประพันธโ คลงโลกนติ ิ ใหคติสอนใจ ซึ่งเปนการสงเสริมใหผูเรียนเกิดความซาบซึ้ง เห็นความงดงามของภาษา
เห็นคุณคาของภาษาและวรรณคดีไทยที่เปนเอกลักษณและเปนสมบัติของชาติท่ีควรคา
“ถึงจนทนสกู ดั กินเกลอื แกก ารรกั ษาและสบื สานใหค งอยตู ลอดไป รวมทง้ั ยงั ชว ยกลอ มเกลาจติ ใจใหน าํ ไปสกู ารดาํ เนนิ
อยา เทีย่ วแลเนอื้ เถอื พวกพอง ชิวี ิตที่ดงี าม ทงั้ น้กี ารทอ งจาํ คาํ ประพันธยงั เปน พน้ื ฐานในการแตงคาํ ประพันธอ ีกดวย
อดอยากเยยี่ งอยางเสือ สงวนศักดิ์
โซก็เสาะใสท อ ง จับเนื้อกินเอง”

จากนน้ั ครตู ั้งคาํ ถามใหน กั เรยี น
ตอบ

• นกั เรยี นคิดวาบทประพนั ธน ี้
กลา วถึงอะไร
(แนวตอบ กลา วถงึ การพ่ึงพา
ตนเอง การหย่ิงในศกั ด์ิศร)ี

• บทประพันธน ้ตี รงกับ
พุทธพจนใ ด
(แนวตอบ
“อตฺตาหิ อตฺตโนนาโถ”
ตนแลเปนท่ีพง่ึ แหงตน)

168 คูม ือครู


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

๑ การทอ งจําบทอาขยาน สาํ รวจคน หา

พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔ ไดน ยิ ามคาํ อาขยาน (อา-ขะ-หยฺ าน) นกั เรยี นแบงกลุม กลุม ละ 4 - 5 คน
ไววา หมายถึง บททองจาํ การเลา การสวด เรอ่ื ง และนทิ าน รวมกนั ศึกษาความรูในประเด็น
คณุ คา ของการทอ งจาํ บทอาขยาน
ในระยะแรก (พ.ศ. ๒๔๗๗ - ๒๔๗๘) การทองบทอาขยานเปนการทองจําบทรอยกรอง โดยรวบรวมบทประพันธท ่ีนกั เรียน
ท่ีไพเราะ ซ่ึงตัดตอนมาจากหนังสือวรรณคดี โดยนํามาทองประมาณ ๓ - ๔ หนา แตเมื่อมีการ เคยทอ งจํา พรอมบอกคณุ คาที่ได
ประกาศใชหลักสตู รประถมศกึ ษา พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ หลกั สูตรมัธยมศึกษา พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ รับจากการทอ งจําบทประพันธท ่ี
และหลักสูตรมธั ยมศกึ ษา พุทธศกั ราช ๒๕๒๔ จนถึงหลกั สตู รฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๓ นกั เรยี นจดจาํ ได คนละ 2 ขอ
ซึ่งในทุกหลักสูตรที่กลาวมา มิไดระบุใหชัดเจนเกี่ยวกับการใหทองบทอาขยาน อันเปนสาเหตุ แลวจดบันทึกลงสมุด
ใหการทองบทอาขยานเริ่มลดนอยลงไป จนถึงพุทธศักราช ๒๕๓๘ จึงไดมีการกําหนดใหทอง
บทอาขยานในระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย แตก็ยงั ไมแพรหลายเทาทีค่ วร อธิบายความรู

ดังนั้นตั้งแตพุทธศักราช ๒๕๔๒ เปนตนมา กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบายกําหนด นกั เรียนสงตัวแทนกลมุ นําเสนอ
ใหม กี ารทอ งบทอาขยานในสถานศกึ ษา ทง้ั นเี้ พอ่ื ใหน กั เรยี นมโี อกาสทอ งจาํ บทรอ ยกรองที่ไพเราะ คุณคาในการทองบทอาขยาน
ใหคติสอนใจ เพื่อเปนการสงเสริมใหนักเรียนเกิดความซาบซ้ึง เห็นความงดงามของภาษาและ
เห็นคุณคา ของภาษาและวรรณคดีไทยทีเ่ ปน เอกลกั ษณแ ละมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ (แนวตอบ
1. ใหคณุ คาดานอารมณ
๑.๑ วัตถปุ ระสงคใ นการอา น คาํ ประพันธท ไ่ี พเราะจากการท่ี
กวใี ชค ําไดเหมาะสมลึกซง้ึ กินใจ
การอานและการทองจําบทอาขยานมีวัตถุประสงคสําคัญ เพื่อใหนักเรียนตระหนักถึง ทําใหผ ูอา นเกดิ จินตนาการ และ
คุณคาของภาษาไทย มีความซาบซ้ึงในความไพเราะของบทรอยกรอง เกิดความภาคภูมิใจใน คลอยตามเน้ือเร่ือง
ความสามารถของกวไี ทย นอกจากนบ้ี ทอาขยานยงั เปน สอ่ื ในการถา ยทอดคณุ ธรรม คตธิ รรม และ 2. ใหค ณุ คา ดา นสงั คม บทประพนั ธ
ขอ คดิ ทส่ี าํ คญั ซง่ึ จะชว ยสง เสรมิ จติ สาํ นกึ ทางวฒั นธรรมของคนในชาตใิ นฐานะ “รากรว มวฒั นธรรม” ท่ีมีคุณคาจะประเทอื งปญ ญา
นอกจากน้ี ยังเปน พื้นฐานสาํ คัญในการแตงคําประพันธอ กี ดว ย สอดแทรกความรู คุณธรรม คตธิ รรม
3. ใหคุณคา ทางประวัติศาสตร
๑.๒ บทอาขยานที่กาํ หนดใหทองจาํ ภาษา วฒั นธรรม ประเพณี
4. ผทู องบทอาขยานมคี วามเขา ใจ
บทอาขยานทก่ี าํ หนดใหท อ งจําแยกประเภทได ดังน้ี ในชีวิต มคี วามรกั ความภาคภมู ใิ จ)
๑) บทหลัก หมายถึง บทอาขยานท่ีกระทรวงศึกษาธิการเปนผูกําหนดใหนักเรียน
นักเรยี นควรรู
ทองจํา โดยคัดเลอื กกวนี พิ นธตอนทไ่ี พเราะ ถูกตอ งตามฉนั ทลักษณม คี ุณคาทางวรรณศิลป และ
คติชวี ิต ใหน ักเรียนทกุ ชัน้ ทั่วประเทศทอ งจําทกุ ภาคเรยี น เพลงกลอ มเด็ก มลี ักษณะเปน
บทรอยกรองสั้นๆ มีสัมผัสคลองจอง
๒) บทเลือก หมายถงึ บทอาขยานทค่ี รูผูสอนแนะนําเพ�ิมเตมิ หรือเปน บทอาขยานท่ี กนั แบง ตามเนอื้ หาออกเปน 5 ประเภท
นกั เรยี นชอบ อาจเปน บทรอยกรองทแ่ี สดงภมู ิปญ ญาทอ งถิ�น เชน เพลงพ้นื บา น เพลงกลอ มเด็ก คอื 1. แสดงความรกั ความหว งใย
บทกวรี ว มสมยั ท่ีมคี ณุ คา โดยกาํ หนดใหทอ งจําภาคเรียนละ ๑ บท เปน อยางนอย 2. กลาวถึงธรรมชาติและสิ่งแวดลอม
3. กลาวถงึ นทิ านหรอื วรรณคดี
๑๖๙ 4. กลาวลอเลยี นและเสียดสีสงั คม
5. กลาวถึงคตคิ าํ สอน

คมู อื ครู 169


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%)

ใหนกั เรยี นศกึ ษาการอา นทํานอง ๒ บทอ�ขย�น ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษ�ปที ่ี ๖
เสนาะในคาํ ประพนั ธป ระเภท
ฉนั ทลกั ษณ ดงั ตอไปนี้ บทหลัก

• โคลงสสี่ ุภาพ กาพย์เห่เรอื
• กาพยยานี 11
• กลอนเสภา พระราชนพิ นธ์เจ้าฟ้าธรรมธเิ บศร

อธิบายความรู โคลง

1. นกั เรยี นจบั คูฝก อา นกาพยเหเรือ ปางเสด็จประเวศดา้ ว ชลาลยั
โดยอานใหเ พอ่ื นฟง แลว ผลัดกัน ทรงรัตนพิมานชยั กิง่ แกว้
ติชม พรง่ั พรอ้ มพวกพลไกร แหนแห่
เรือกระบวนต้นแพร้ว เพรศิ พร้ิงพายทอง
2. นักเรยี นทอ งจาํ บทประพนั ธ
กาพยเ หเรอื ในหนา 170 แลวจบั คู กาพย์ ทรงเรือตน้ งามเฉดิ ฉาย
ถอดคําประพนั ธเปน สาํ นวนภาษา พายอ่อนหยับจบั งามงอน
ของนกั เรียนเอง จากนั้นครสู มุ พระเสด็จโดยแดนชล ลว้ นรูปสตั วแ์ สนยากร
นักเรยี น 3 - 4 คู มาชวยกนั ก่ิงแก้วแพร้วพรรณราย สาครลน่ั คร่ันครื้นฟอง
เรียบเรยี งการถอดคําประพนั ธ ล่ิวลอยมาพาผนั ผยอง
หนา ช้ันเรียน นาวาแน่นเป็นขนัด รอ้ งโหเ่ หโ่ อเ้ ห่มา
เรือริ้วทิวธงสลอน เพียงพมิ านผา่ นเมฆา
3. นักเรียนจดบันทึกลงสมุด และ หลงั คาแดงแยง่ มังกร
ทองจาํ บทประพันธร ายบคุ คล เรอื ครฑุ ยุดนาคห้ิว
กับครูนอกเวลาเรยี น พลพายกรายพายทอง

สรมุขมขุ ส่ีดา้ น
ม่านกรองทองรจนา

สมรรถชยั ไกรกาบแก้ว แสงแวววบั จับสาคร

เกร็ดแนะครู เรยี บเรยี งเคียงคจู่ ร ดงั่ รอ่ นฟา้ มาแดนดิน
สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลงั สนิ ธุ์

ครแู นะนักเรียนเกีย่ วกับการอาน เพียงหงส์ทรงพรหมนิ ทร์ ลนิ ลาศเลื่อนเตือนตาชม
รวดเร็วจรงิ ยงิ่ อย่างลม
บทอาขยานวา แบง ออกเปน 2 ลกั ษณะ เรือชยั ไวว่องวง่ิ หม่ ทา้ ยเยน่ิ เดินคกู่ นั

1. อานทํานองสามัญหรอื อาน เสียงเสา้ เร้าระดม

ตามปกติ ตองออกเสยี ง /ร/
/ล/ ชัดเจน แต /ร/ ไมค วรเนน
จนเกินไปจะทาํ ใหนาขันมาก
กวานา ฟง และโดยเฉพาะคาํ
ท่รี บั สมั ผสั ตอ งเนน เสียงใหช ดั
กวา ปกติ ถามสี ัมผสั นอกตอง
ทอดเสยี งใหย าวกวา ปกติ 170

2. อา นทํานองเสนาะ ครแู นะ
ใหนกั เรียนใชเ ครือ่ งหมายบอก
จงั หวะ ไดแก เวน จังหวะใช / เอื้อนยาวกวา ปกตใิ ช // แบงคําในวรรค
ออกเปนจังหวะใชเ คร่อื งหมาย + ตัวเลข เชน 3 + 2 คอื ในวรรคนน้ั มี
5 คํา แบงเปน 2 จังหวะ จังหวะหนา 3 และจังหวะหลัง 2

170 คมู ือครู


กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

Engage Explore

บทเลอื ก อธิบายความรู

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ใหนักเรยี นทองจําบทประพนั ธ
หนา 171 และบอกคณุ คา ทไ่ี ดร ับ
ตอน ขนุ แผนขนึ้ เรือนขนุ ชา้ ง จากการทอ งจาํ บทประพนั ธน ้ี

โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ ของขุนชา้ งปลกู ไวอ้ ย่ดู าษดนื่ (แนวตอบ คณุ คาดา นสงั คมทําให
รวยรสเกสรเม่อื ค่อนคืน ชื่นช่ืนลมชายสบายใจ เขาใจวถิ ชี ีวติ ความเปน อยู ความเช่ือ
กระถางแถวแกว้ เกดพิกุลแกม ยส่ี ่นุ แซมมะสงั ดัดดูไสว คา นยิ มของคนสมยั กอ น โดยเฉพาะ
สมอรดั ดัดทรงสมละไม ตะขบข่อยคัดไว้จงั หวะกัน บา นเรือนของผมู ฐี านะ)
ตะโกนาทิง้ กิ่งประกับยอด แทงทวยทอดอินพรมนมสวรรค์
บา้ งผลิดอกออกชอ่ ขน้ึ ชชู ัน แสงพระจันทรจ์ ับแจม่ กระจ่างตา ขยายความเขาใจ
ย่ีสุ่นกหุ ลาบมะลซิ อ้ น ซ่อนชชู้ ูกลน่ิ ถวลิ หา
ล�าดวนกวนใจใหไ้ คลคลา สาวหยดุ หยุดชา้ แลว้ ยนื ชม 1. ใหน กั เรียนคดั ลอกบทประพันธ
ถัดถงึ กระถางอา่ งน้�า ปลาทองว่ายคลา่� เคล้าคลงึ สม วรรคทองท่ีนักเรยี นเห็นวาให
พ่นนา้� ดา� ลอยถอยจม นา่ ชมชักค่อู ยู่เคียงกนั คณุ คา ดานตางๆ จาํ นวน 2 ช้ิน
บ้างแหวกจอกออกช่องภเู ขาเคียง วดั เหว่ยี งแว้งหางระเหิดหนั พรอ มทั้งบอกท่ีมาของบทประพนั ธ
บ้างกินไคลไล่เคลา้ พลั วัน ถัดนั้นแอกไถละไมงอน • แสดงความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น
กระดึงพรวนล้วนสกั หลาดทบั ดาวประดับดวงเด่นดสู ลอน ตอ บทประพนั ธแ ตละช้นิ วาให
สลกั เสลาเกลาเกลย้ี งอรชร เชอื กใช้ไวซ้ อ้ นสลบั กนั คณุ คา ดานใด และใหแ งคิดกับ
เคร่ืองมา้ ดาดาษจังหวะวาง เคร่อื งช้างสารพดั จะจดั สรร นักเรยี นอยางไร
ขอครา่� ด้ามพลองทองพัน ถัดนนั้ ย่างเย้อื งชา� เลอื งมา
2. ใหนกั เรียนทกุ คนนาํ เสนอ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย วรรคทองทีช่ ่นื ชอบท่ีสดุ คนละ
1 ชิ้น พรอมบอกท่ีมาและ
ความหมายของวรรคทองน้ัน
นักเรียนเลือกบันทกึ วรรคทอง
ของเพ่อื นที่นกั เรียนสนใจจํานวน
5 ชนิ้ พรอมบอกเหตผุ ล

การท่องจ�าบทอาขยาน นอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เห็นคุณค่าและ ตรวจสอบผล
ความงามของภาษาแลว้ คา� ประพนั ธท์ ที่ อ่ งจา� นน้ั ยงั ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ หน็ ถงึ วธิ กี ารเขยี นยอ่ ความ
หรือสรุปความ การเลือกใช้ค�าให้ตรงความหมาย การหลากค�า เพราะค�าประพันธ์บทหน่ึง 1. นกั เรยี นสามารถทอ งจาํ บทอาขยาน
ล้วนเป็นงานเขียนที่ผู้แต่งหรือกวีได้คิดสรรร้อยเรียงเรื่องราวไว้อย่างงดงาม ด้วยการใช้ภาษา หลักได
อย่างสละสลวย แล้วยังช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีจิตส�านึกและเห็นคุณค่าทางวัฒนธรรมของชาติ
ในฐานะ “รากร่วมวฒั นธรรม” 2. นกั เรยี นบอกคณุ คาที่ไดร ับจาก
การทองบทอาขยาน
171
3. นกั เรยี นอา นและทอ งบทอาขยาน
ไดอยางไพเราะ

4. นักเรยี นสามารถยกวรรคทองจาก
วรรณคดไี ทยทช่ี ่นื ชอบมานาํ เสนอ
ได

แหสลดกั งฐผานลการเรยี นรู คูมือครู 171

1. การทอ งจาํ บทอาขยานหลัก
2. การบอกคณุ คา ทีไ่ ดรับจากการทอ งบทอาขยาน
3. การบอกวรรคทองจากวรรณคดีไทย


กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%)

ºÃóҹءÃÁ

กุสุมา รกั ษมณ.ี (๒๕๔๙). การวิเคราะหว์ รรณคดไี ทยตามทฤษฎีวรรณคดสี นั สกฤต. พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๒.
กรงุ เทพฯ : ภาควิชาภาษาตะวนั ออก มหาวิทยาลัยศลิ ปากร.

เจตนา นาควชั ระ. (๒๕๔๒). ทฤษฎเี บอ้ื งตน้ แหง่ วรรณคด.ี พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒ (ปรบั ปรงุ ถอ้ ยคา� ). กรงุ เทพฯ : ศยาม.
ชลดา เรอื งรกั ษล์ ิขิต. (๒๕๔๖). วรรณลลติ : รวมบทความวิจัยวรรณคดแี ละคา� ประพันธไ์ ทย. กรุงเทพฯ : โครงการ

เผยแพรผ่ ลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ชานกุ ร วรรณศลิ ป์ และคณะ. (มปป). นกในวรรณคดไี ทย. กรงุ เทพฯ : ปนั ร.ู้
ชติ บรุ ทัต. (๒๕๔๙). สามัคคเี ภทคา� ฉันท.์ พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๓๗. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
ดา� รงราชานภุ าพ, สมเดจ็ ฯ กรมพระยา. (๒๕๔๔). สามกก. กรงุ เทพฯ : ศลิ ปาบรรณาคาร.
ธเนศ เวศรภ์ าดา. (๒๕๔๙). หอมโลกวรรณศลิ ป : การสรา้ งรสสุนทรยี ์แห่งวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ : ปาเจรา.
นรนติ ิ เศรษฐบตุ ร. (๒๕๔๕). สนุกกับขนุ ช้างขุนแผน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ ุรสุ ภาลาดพรา้ ว.
นิยะดา เหลา่ สุนทร. (๒๕๔๒). พินจิ วรรณการ. กรุงเทพฯ : แม่คา� ผาง.
บุญยงค์ เกศเทศ. (มปป). ประวตั ศิ าสตร์วรรณกรรม. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
บุญเหลือ เทพยสวุ รรณ. (มปป). วิเคราะห์รสวรรณคดไี ทย. กรุงเทพฯ : ศยาม.
เปลื้อง ณ นคร. (๒๕๔๑). ประวัติวรรณคดีไทย. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
ราชบัณฑติ ยสถาน. (๒๕๕๐). พจนานุกรมศพั ท์วรรณคดีไทย ภาคฉันทลักษณ์. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน.

.(๒๕๕๓). อา่ นอยา่ งไรและเขยี นอยา่ งไร ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน (แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ). กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน.
รนื่ ฤทยั สัจจพนั ธุ์ ชมัยภร แสงกระจา่ ง และอรพนิ ท์ ค�าสอน. (๒๕๔๗). พลงั การวจิ ารณ ์ : วรรณศลิ ป. กรงุ เทพฯ :

ประพันธส์ าส์น.
รุง่ ธรรม ศรีวรรธนศิลป์. (๒๕๕๐). ดอกไมใ้ นวรรณคดไี ทย. กรุงเทพฯ : วาดศิลป์.
วทิ ย์ ศวิ ะศริยานนท.์ (๒๕๔๔). วรรณคดแี ละวรรณคดีวิจารณ.์ พิมพค์ ร้งั ท่ี ๖. กรุงเทพฯ : ธรรมชาต.ิ
ววิ ัฒน์ ประชาเรืองวทิ ย์. (๒๕๔๒). สามกก ฉบับสมบูรณพ์ รอ้ มคา� วิจารณ์. กรุงเทพฯ : ซเี อด็ ยูเคชนั่ .
ศักด์ิศรี แย้มนัดดา. (๒๕๕๓). ส�านวนไทยท่ีมาจากวรรณคดี. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะ

อักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ศกึ ษาธกิ าร, กระทรวง. (๒๕๔๒). พนิ ิจวรรณกรรม. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพรา้ ว.
สถาบันภาษาไทย ส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (๒๕๔๖). แนวการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม.

กรุงเทพฯ : สถาบนั ภาษาไทย สา� นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน.
สาขาวชิ าศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.(๒๕๕๐). เอกสารการสอนชดุ วชิ า ๑๒๓๐๖ พฒั นาการวรรณคดี

ไทย. พิมพ์คร้ังท่ี ๗. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช.
สุจิตรา จงสถิตวัฒนา. (๒๕๔๙). ภาษาวรรณศิลปในวรรณคดีไทย. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่

ผลงานวชิ าการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
เสฐยี รโกเศศ (นามแฝง). (๒๕๔๖). การศึกษาวรรณคดแี งว่ รรณศลิ ป. พิมพค์ รั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ : ศยาม.
เอกรัตน์ อดุ มพร. (๒๕๕๓). เล่าเรอ่ื ง ยอดวรรณคดไี ทย ไตรภูมพิ ระร่วง. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศึกษา.
เอมอร ชติ ตะโสภณ. (๒๕๔๕). การศกึ ษาเปรยี บเทียบวฒั นธรรมไทยผ่านวรรณกรรมช้นิ เดน่ ของไทย : รายงานวิจัย.

พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๓. เชยี งใหม่ : โรงพิมพ์ม่ิงขวญั .
172

172 คมู ือครู


ภาคผนวก

เรือ่ ง ขตั ตยิ พนั ธกรณี

ตัวช้ีวัด
• วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการ
วจิ ารณเ์ บอ้ื งตน้ (ท ๕.๑ ม. ๔-๖/๑)
• วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเชื่อมโยงกับการเรียนรู้
ทางประวตั ศิ าสตร์และวิถีชีวิตของสังคมในอดีต
(ท ๕.๑ ม. ๔-๖/๒)
• วเิ คราะหแ์ ละประเมนิ คณุ คา่ ดา้ นวรรณศลิ ปข์ องวรรณคดแี ละ
วรรณกรรมในฐานะทเ่ี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
(ท ๕.๑ ม. ๔-๖/๓)
• สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือน�ำ
ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจรงิ (ท ๕.๑ ม. ๔-๖/๔)
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
• วิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินคณุ คา่ วรรณกรรม
เรอ่ื ง ขัตติยพนั ธกรณี

๑ ความเป็นมา

ขัตติยพันธกรณี หมายความว่า เหตุอันเป็นข้อผูกพันของกษัตริย์ โดยเป็นเร่ืองท่ีมีความเชื่อมโยงกับ
วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กลา่ วคอื ประเทศฝรง่ั เศสและประเทศไทย
เกิดความขัดแย้งกันในเรื่องเขตแดน กระทั่งเกิดการต่อสู้กันท�ำให้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตด้วยกันท้ัง ๒ ฝ่าย
จากเหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ทำ� ใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ทรงพระประชวรดว้ ยโรคพระหทยั ทรงเกดิ
ความทกุ ขโ์ ทมนสั เปน็ อยา่ งยง่ิ จงึ หยดุ เสวยพระโอสถและไดท้ รงพระราชนพิ นธบ์ ทโคลงและฉนั ทเ์ พอ่ื อำ� ลาพระราชวงศ์
ของพระองค์ เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ พระเจ้าน้องยาเธอในพระบาทสมเด็จ-
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ไดร้ ับพระราชทานพระราชนิพนธ์แล้ว ก็ทรงนพิ นธค์ �ำฉันท์ทลู เกลา้ ถวายตอบในทนั ที

๒ ประวัติผู้แต่ง

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กบั สมเดจ็ -
พระเทพศริ นิ ทราบรมราชนิ ี มพี ระบรมราชสมภพเมอ่ื วนั ที่ ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เมอ่ื สมเดจ็ พระบรมชนกนาถเสดจ็
สวรรคต พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ขนึ้ ครองราชสมบตั ขิ ณะมพี ระชนมายเุ พยี ง ๑๕ พรรษา พระองคท์ รงศกึ ษาความเปน็ ไปของ
บา้ นเมอื งและของตา่ งประเทศ ทำ� ใหท้ รงบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี พระองคท์ รงเลกิ ทาสไดส้ ำ� เรจ็ โดยไมเ่ สยี
เลือดเน้ือ นอกจากน้ี ยงั เปน็ กวีทม่ี พี ระปรีชาสามารถในทางอกั ษรศาสตร์ ไดท้ รงพระราชนิพนธ์วรรณคดที งั้ รอ้ ยแก้ว
และรอ้ ยกรองจ�ำนวนมาก ในวาระฉลองวันพระบรมราชสมภพครบ ๑๕๐ ปี เมื่อวนั ที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖
องคก์ ารการศกึ ษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาตไิ ดป้ ระกาศยกยอ่ งใหท้ รงเปน็ บคุ คลทสี่ �ำคญั ของโลก
ผูม้ ผี ลงานดเี ดน่ สาขาการศกึ ษาวฒั นธรรมสังคมศาสตร์มานษุ ยวทิ ยาการพัฒนาสังคมและการส่ือสาร

ภาคผนวก 1


สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ เป็นพระโอรสล�ำดับที่ ๕๗ ในพระบาทสมเด็จ-
พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวและเจา้ จอมมารดาชุ่ม ประสตู เิ มือ่ วันท่ี ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ เมอ่ื เจริญวัยทรงไดร้ บั
ราชการดา้ นการปกครองและดา้ นการศกึ ษา ทรงเปน็ เสนาบดกี ระทรวงมหาดไทยคนแรกของเมอื งไทยในปี พ.ศ. ๒๔๓๕
และทรงเปน็ อธกิ ารบดีกระทรวงธรรมการคนแรกในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ทรงเป็นนักปราชญ์ในการประพนั ธท์ ้ังร้อยแก้ว
และร้อยกรองเป็นจ�ำนวนมาก นอกจากน้ี ยงั ทรงมีความสามารถทางด้านประวตั ิศาสตร์ ทรงได้รบั ยกย่องเป็นบิดา
แหง่ ประวตั ศิ าสตร์และโบราณคดีของประเทศไทย และในวาระฉลองวันประสูตคิ รบ ๑๐๐ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๐๕ องคก์ าร
ศกึ ษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาตไิ ดป้ ระกาศยกยอ่ งใหท้ รงเปน็ บคุ คลดเี ดน่ ดา้ นวฒั นธรรมของโลก

๓ ลกั ษณะค�ำ ประพันธ์

ขตั ตยิ พนั ธกรณแี บง่ เปน็ ๒ สว่ น คอื สว่ นแรก พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธเ์ ปน็
โคลงสส่ี ภุ าพ ๗ บท และอนิ ทรวเิ ชยี รฉนั ท์ ๔ บท สว่ นทสี่ อง สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ
ทรงนพิ นธเ์ ปน็ อนิ ทรวเิ ชยี รฉนั ท์ จำ� นวน ๒๖ บท ซงึ่ เปน็ ฉนั ทท์ ไี่ มเ่ ครง่ ครดั ครุ ลหุ แตท่ รงใชต้ ามการออกเสยี งหนกั เบา
ของพยางคต์ ามธรรมชาตขิ องภาษาพดู ในภาษาไทย

๔ เร่ืองย่อ

ส�ำนวนพระราชนิพนธ์ ท่ีเป็นโคลงส่ีสุภาพ มีใจความว่าพระองค์ประชวรมาเป็นเวลานานเป็นท่ีหนักใจแก่
ผู้รักษาพยาบาลไม่น้อย จึงคิดจะปลดเปลื้องภาระน้ันด้วยหมายจะไปสู่ภพหน้า ให้คลายจากพระอาการโรค แต่ยัง
ทรงตระหนกั ในพระราชภาระ คอื การบรหิ ารราชการแผน่ ดินในภาวะคบั ขนั และการจะรกั ษาอำ� นาจอธิปไตยให้คงอยู่
เปรียบตะปูทต่ี รึงพระบาทมิใหเ้ สดจ็ ไปสู่ “ภพหนา้ ” และทงิ้ ใหส้ ยามประเทศเผชิญกับวิกฤตการณค์ รง้ั นไ้ี ด้
ความในส่วนท่ีเป็นอินทรวิเชียรฉันท์ ทรงมีพระราชปรารภว่าทรงหมดก�ำลังพระทัยจะทรงรักษาพระวรกาย
จากอาการประชวรกำ� เริบต่อเนอื่ ง รวมถงึ ทรงไม่เหน็ ทางจะรักษาแผ่นดินไวไ้ ด้ จงึ ทรงเปรียบพระองค์ว่ากลัวจะเปน็
เช่นพระมหากษัตริย์ ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระมหินทราธิราช และสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ที่ไม่สามารถรักษา
พระนครศรอี ยธุ ยาไวไ้ ด้
ส�ำนวนพระนิพนธ์ ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ มีใจความกล่าวถวายก�ำลัง
พระทัยว่าพระองค์และพระบรมวงศ์ทรงตระหนักในพระอาการประชวรคร้ังนี้เพียงไร ทรงถวายข้อคิดว่า ประชาชน
ทุกหมู่เหลา่ ยอ่ มเปรียบเสมือนลกู เรือใน “รัฐนาวา” ซึง่ คงจะมีแต่ความทุกข์ ว้าเหว่ อึดอดั หวาดระแวงไปทุกหนา้ ที่
ทรี่ ับผิดชอบ หากพระองค์ผ้เู ปน็ ศูนย์กลางของรฐั อันเปรียบไดก้ ับ “กะปติ นั ” ผคู้ วบคมุ “รัฐนาวา” เกิดความท้อแท้
สน้ิ หวังในการจะฟันฝ่าคล่นื ลมหรอื อปุ สรรค แต่ถา้ ผู้น�ำและลูกเรือต่างพรอ้ มใจกนั ก็ย่อมฝ่าพ้นไปได้หรอื หากจะตอ้ ง
ลม่ จมลงก็เปน็ ไปตามกรรม ไมเ่ สยี ทที ่ีทกุ คนไดใ้ ช้ความพยายามอยา่ งย่งิ ยวด
จากนน้ั จงึ ทรงปวารณาพระองคเ์ องวา่ จะทรงปฏบิ ตั ริ าชการสนองเบอ้ื งพระยคุ ลบาทตราบสน้ิ ชวี ติ ทงั้ ยงั ทรงถวาย
พระพรในตอนทา้ ยใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเรว็ และขอใหท้ รง
ส�ำเรจ็ พระราชกรณียกิจตามพระราชประสงค์ทกุ ประการ มพี ระชนมายุยง่ิ ยนื นาน

2 ภาคผนวก


๕ เน้ือเรอ่ื ง

ขตั ตยิ พนั ธกรณี พระราชนิพนธ์



เจ็บนานหนักอกผู ้ บริรกั ษ์ ปวงเฮย
คดิ ใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง
ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลนั สรา่ ง
ตูจกั สภู่ พเบ้ือง หนา้ น้ันพลันเขษม
เป็นฝีสามยอดแลว้ ยังราย สา่ นอ
ปวดเจ็บใครจกั หมาย เชอื่ ได้
ใช่เปน็ แต่ส่วนกาย เศยี รกลดั กลุ้มแฮ
ใครตอ่ เปน็ จึ่งผู้ นนั่ นนั้ เห็นจรงิ
ตะปดู อกใหญ่ตร้ึง บาทา อยเู่ ฮย
จงึ บ อาจลีลา คลอ่ งได้
เชิญผูท้ ่เี มตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ
ชกั ตะปนู ้ีให้ ส่งข้าอัญขยม
ชวี ติ มนุษยน์ ี้ เปลยี่ นแปลง จริงนอ
ทกุ ขแ์ ละสุขพลกิ แพลง มากคร้ัง
โบราณทา่ นจึงแสดง เปน็ เยยี่ ง อยา่ งนา
ชวั่ นบั เจด็ ทที ัง้ เจด็ ข้างฝ่ายดี
เป็นเด็กมสี ุขคลา้ ย ดรี ฉาน
รูส้ ขุ รู้ทุกข์หาญ ขลาดดว้ ย
ละอย่างละอย่างพาล หย่อนเพราะ เผลอแฮ
คลา้ ยกบั ผูจ้ วนมว้ ย ชีพสิน้ สตสิ ญู
ฉันไปปะเด็กหา้ หกคน
โกนเกศนุ่งขาวยล เคลบิ เคลิ้ม
ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเคร่ือง
ไปทหี่ อศพเรม้ิ รกิ เร้าเหงาใจ
กล้วยเผาเหลืองแกก่ ้�ำ เกนิ พระ ลักษณ์นา
แรกกอ็ อกอร่อยจะ ใคร่กล้�ำ
นานวันยงิ่ เครอะคระ กลนื ยาก
ทนจอ่ ซ่อมจิม้ จ�้ำ แดกสิน้ สุดใบ

ภาคผนวก 3


เจ็บนานนกึ หนา่ ยนติ ย ์ มะนะเร่อื งบำ� รุงกาย
สว่ นจติ บ มีสบาย ศริ ะกล้มุ อรุ าตรึง
แมห้ ายก็พลันยาก จะลำ� บากฤทยั พึง
ตริแต่จะถกู รึง อรุ ะรดั และอตั รา
กลวั เป็นทวิราช บ ตรปิ ้องอยธุ ยา
เสียเมืองจงึ นินทา บ ละเว้น ฤ ว่างวาย
คดิ ใดจะเกีย่ งแก ้ ก็ บ พบซงึ่ เงื่อนสาย
สบหนา้ มนุษย์อาย จึงจะอดุ แลเลยสญู ฯ

พระนพิ นธ์

ขอเดชะเบอื้ งบาท วรราชะปกศ-ี
โรตม์ขา้ ผ้มู ั่นม ี มะนะต้ังกตญั ญู
ได้รับพระราชทาน อา่ นราชนิพันธ์ดู
ทง้ั โคลงและฉันท์ต ู ขา้ จงึ ตริดำ� รติ าม
อันพระประชวรครงั้ น้ีแท้ทัง้ ไผทสยาม
เหล่าขา้ พระบาทความ วิตกพ้นจะอปุ มา
ประสาแต่อยู่ ใกล ้ ทั้งร้ใู ช่วา่ หนกั หนา
เลือดเน้ือผิเจือยา ใหห้ ายไดจ้ ะชิงถวาย
ทุกหน้าทกุ ตาดู บ พบผู้จะพึงสบาย
ปรบั ทกุ ขท์ ุรนราย กนั มิเวน้ ทวิ าวัน
ดจุ เหล่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน
นายท้ายฉงนงนั ทศิ ทางก็คลางแคลง
นายกลประจำ� จกั ร จะใช้หนักก็นึกแหนง
จะรอก็ระแวง จะไม่ทนั ธุรการ
อึดอดั ทุกหนา้ ท่ ี ทุกขท์ วีทกุ วันวาร
เหตหุ า่ งบดยี าน อันเคยไวน้ ำ�้ ใจชน
ถา้ จะวา่ บรรดากิจ กไ็ ม่ผดิ ณ นิยม
เรอื แลน่ ทะเลลม จะเปรยี บตอ่ กพ็ อกนั
ธรรมดามหาสมทุ ร มีคราวหยุดพายุผนั
มีคราวสลาตัน ตัง้ ระลอกกระฉอกฉาน
ผิวพอกำ� ลงั เรอื ก็แล่นรอดไมร่ า้ วราน
หากกรรมจะบันดาล ก็คงลม่ ทกุ ล�ำไป

4 ภาคผนวก


ชาวเรือกย็ อ่ มร ู้ ฉะน้อี ยทู่ กุ จิตใจ
แต่ลอยอยู่ตราบใด ตอ้ งจำ� แก้ด้วยแรงระดม
แกร้ อดตลอดฝงั่ จะรอดทงั้ จะช่ืนชม
เหลือแก้ก็จ�ำจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม
ผวิ ทอดธรุ ะน่งิ บว่นุ ว่ิงเยียวยาทำ�
ท่ีสดุ ก็สูญลำ� เหมือนทแ่ี กไ้ ม่หวาดไหว
ผดิ กนั แตถ่ า้ แก ้ ให้เต็มแยจ่ ึงจมไป
ใครห่อนประมาทใจ ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน
เสยี ทีกม็ ีชอื่ ไดเ้ ลื่องลอื สรรเสริญ
สงสารวา่ กรรมเกนิ กำ� ลังดอกจงึ จมสูญ
น้ีในนำ้� ใจข้า อุปมาบงั คมทลู
ทกุ วนั นี้อาดรู แต่ทีพ่ ระประชวรนาน
เปรียบตวั เหมือนอย่างม้า ทเี่ ปน็ พาหนะยาน
ผกู เคร่อื งบงั เหยี นอาน ประจ�ำหน้าพลบั พลาชัย
คอยพระประทับอาสน ์ กระหยบั บาทจะพาไคล
ตามแตพ่ ระทยั ไท ธ จะชกั ไปซ้ายขวา
ไกลใกลบ้ ได้เลอื ก จะกระเดอื กเต็มประดา
ตราบเทา่ จะถงึ วา- ระชีวิตมลายปราณ
ขอตายให้ตาหลับ ดว้ ยช่ือนบั ว่าชายชาญ
เกดิ มาประสบภาร- ธุระไดบ้ �ำเพ็ญท�ำ
ดว้ ยเดชะบญุ ญา- ภนิ ิหาระแหง่ ค�ำ
สัตยข์ ้าจงได้สัม- ฤทธดิ ังมโนหมาย
ขอจงวราพาธ บรมนาถเรง่ เคล่ือนคลาย
พระจิตพระวรกาย จงผอ่ งพน้ ทห่ี มน่ หมอง
ขอจงสำ� เรจ็ รา- ชะประสงคท์ ่ที รงปอง
ปกขา้ ฝา่ ละออง พระบาทให้สามคั คี
ขอเหตทุ ่ีขนุ่ ขดั ละวิบตั ิพระขนั ตี
จงคลายเหมือนหลายปี ละลืมเลกิ ละลายสญู
ขอจงพระชนมา- ยสุ ถาวรพูน
เพิม่ เกยี รติอนุกูล สยามรฐั พิพฒั น์ผลฯ

ภาคผนวก 5


๖ ค�ำ ศพั ท์

คำ� ศพั ท์ ความหมาย

กระเดือก กระเสือกกระสนไปดว้ ยความล�ำบาก
กลำ�้ ในท่ีน้ีหมายถงึ กิน
เครอะคระ แห้งกรัง
เงอ่ื นสาย เชอื กหรอื เส้นดา้ ยท่ผี กู กนั เปน็ ปม
ใช้หนัก ใช้ใบ หมายถงึ กางใบแลน่ เรือไปอย่างเตม็ กำ� ลัง
บดยี าน ในทีน่ ี้หมายถงึ นายหรอื เจา้ ของเรือ
วราพาธ พระอาการเจ็บปว่ ย
ส่า ในทนี่ ห้ี มายถงึ สง่ิ ท่เี ปน็ เชอื้ ท�ำให้เกดิ ฝี
เหลืองแกก่ �้ำเกินพระลักษณ์ สเี หลืองแก่ย่งิ กวา่ ผวิ ของพระลักษมณ์
อดุ ในที่น้ีหมายถงึ หลบหนา้ ไม่ออกไปพบใคร

๗ บทวิเคราะห์
๗.๑ คุณคา่ ดา้ นเนอ้ื หา

เมื่อพิจารณาจากชอ่ื เรือ่ งท่ีตั้งขึ้นภายหลังวา่ ขตั ตยิ พันธกรณี อนั หมายถงึ พนั ธะ หรือสิ่งอันเปน็ ราชกิจของ
พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์ที่สนองราชการแผ่นดิน ในท่ีนี้จะขออธิบายคุณค่าด้านเน้ือหาของกวีนิพนธ์เร่ืองน้ี
เปน็ ๒ ประเด็น คือ ราชธรรมและราชวัสดีธรรม
๑) ราชธรรม คือ ธรรมะส�ำหรับพระมหากษัตริย์ทรงยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดิน
สำ� หรบั กวนี พิ นธใ์ นส่วนทเ่ี ป็นพระราชนิพนธ์ ทรงแสดง “ราชธรรม” ทสี่ ำ� คญั ย่งิ ประการหนึ่ง โดยกล่าวถงึ ความกังวล
ของรัชกาลท่ี ๕ ที่มตี อ่ พระราชภาระในการจะรักษาอธปิ ไตยของประเทศ ดงั บทประพนั ธ์

ตะปูดอกใหญ่ตร้งึ บาทา อย่เู ฮย
จงึ บ อาจลลี า คลอ่ งได้
เชิญผู้ทเ่ี มตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ
ชกั ตะปนู ้ใี ห้ สง่ ขา้ อัญขยม

๒) ราชวสั ดธี รรม คอื หลกั ธรรมสำ� หรบั ผเู้ ปน็ ขา้ ราชการเพอ่ื เปน็ หลกั ยดึ ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี สำ� หรบั ในสว่ นที่
เปน็ พระนพิ นธส์ ามารถพจิ ารณาคณุ คา่ หรอื พระจรยิ วตั รของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ตามหลกั ราชวสั ดธี รรม
จากการทที่ รงใหก้ ำ� ลงั พระทยั เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวร นอกจากนี้ ยงั ทรงมศี ลิ ปะเชงิ
กวีนิพนธ์ในการเรียบเรียงยกข้ออุปมาเปรียบเทียบจนส�ำเร็จตามพระประสงค์นั้น แสดงให้เห็นว่า ทรงเป็นผู้ที่ได้รับ
การฝึกฝนศิลปศาสตรด์ แี ล้ว และเปน็ ผทู้ ำ� ประโยชน์คงท่ีทั้งต่อหน้าและลับหลังเจ้านายของตน ดงั บทประพันธ์

6 ภาคผนวก


เปรยี บตวั เหมือนอย่างมา้ ที่เป็นพาหนะยาน
ผกู เครอ่ื งบังเหียนอาน ประจ�ำหนา้ พลับพลาชัย
คอยพระประทับอาสน ์ กระหยับบาทจะพาไคล
ตามแตพ่ ระทยั ไท ธ จะชกั ไปซา้ ยขวา

๗.๒ คุณค่าด้านวรรณศิลป์

การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ในวรรณกรรมเร่อื งขตั ตยิ พนั ธกรณี จำ� เปน็ ตอ้ งพินิจพิจารณาอยา่ งละเอียด
เน่ืองจากวรรณกรรมเรื่องน้ีมีเน้ือความเน้นไปทางการบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และอาการประชวรของ
รัชกาลท่ี ๕ อนั มีคุณคา่ ทางดา้ นวรรณศลิ ป์ ซง่ึ สามารถสรปุ ได้ ดงั น้ี
๑) การใชค้ วามเปรยี บ มีปรากฏในบทประพนั ธ์ ดงั นี้

ตะปูดอกใหญ่ตร้งึ บาทา อยู่เฮย
จึง บ อาจลลี า คลอ่ งได้

โคลง ๒ บาทนี้ กวีใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์เปรียบเทียบภาระหน้าท่ีเป็น “ตะปูดอกใหญ่” ว่าเป็นสิ่งท่ี
ยดึ เหน่ยี วพระองค์ให้เปน็ ทกุ ขท์ รมานมิสามารถด�ำเนนิ ไปทางไหนได้ ซึ่งเมอ่ื พิจารณาถงึ นัยยะทางการเมอื งสมยั น้นั
กอ็ ุปมาไดก้ ับกรณพี ิพาทไทยกบั ฝรัง่ เศส และขอ้ เรยี กรอ้ งดินแดนฝั่งซา้ ยแม่น้�ำโขง ซง่ึ เป็นปญั หาหนัก และเป็นพระ
ราชภาระทพี่ ระองคย์ งั มสิ ามารถหาทางออก และไมส่ ามารถปลดเปลอ้ื งลงได้

ดจุ เหล่าพละนา- วะเหวว่ ้ากะปิตัน
นายท้ายฉงนงนั ทศิ ทางกค็ ลางแคลง
จะใชห้ นักก็นกึ แหนง
นายกลประจำ� จักร จะไม่ทันธรุ การ
ทุกข์ทวที กุ วันวาร
จะรอก็ระแวง อนั เคยไว้นำ�้ ใจชน

อึดอดั ทุกหน้าที ่
เหตหุ า่ งบดยี าน

ฉันท์ท้ัง ๓ บทน้ี มีการใช้เป็นคู่เทียบดังน้ี พละนาวะ - กะปิตัน - บดียาน และ นายท้าย - นายกล
โดยคู่เทียบแสดงนัยโดยรวมโดยใช้เรือ และผู้ปฏิบัติหน้าท่ีบนเรือ มาเปรียบกับประเทศชาติท่ีตกในภาวะวิกฤติ
กเ็ หมอื นคลืน่ ลมท่พี ร้อมจะล่มเรือได้ โดยคู่เทียบดังกลา่ วมีความหมาย ดังนี้
- พละนาวะ หรอื ลกู เรอื แทนประชาชนทั้งประเทศ
- กะปติ นั - บดยี าน แทนผนู้ ำ� ประเทศ ในทน่ี ค้ี อื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
- นายท้าย - นายกล แทนเสนาบดี ขา้ ราชการทร่ี ับสนองราชการใต้เบื้องพระยคุ ลบาท
๒) นยั ประวตั ิ หมายถงึ การทบ่ี ทประพนั ธน์ นั้ ๆ กลา่ วเทา้ ความไปถงึ เรอ่ื งราวอนั เปน็ ความรบั รโู้ ดยทว่ั ไปอาจเปน็
ตวั ละครในวรรณคดเี รอ่ื งอน่ื ทม่ี พี ฤตกิ รรมหรอื เผชญิ เหตกุ ารณค์ ลา้ ยสง่ิ ทกี่ ำ� ลงั เขยี น รวมถงึ การเทา้ ความไปถงึ เหตกุ ารณ์
จรงิ ในประวัตศิ าสตร์

ภาคผนวก 7


กวนี พิ นธบ์ ทนี้ มกี ารเทา้ ความไปถงึ พระมหากษตั รยิ ์ ๒ พระองค์ คอื “สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช” และ “สมเดจ็ -
พระเจา้ เอกทศั น”์ ดงั ความ “กลวั เปน็ ทวริ าช บ ตรปิ อ้ งอยธุ ยา” ความขอ้ นี้ เปน็ ความวติ กในพระทยั ของกวี ทเ่ี กรงวา่ พระองค์
จะไม่สามารถรักษาเอกราชของสยามไว้ได้ และเกรงจะถกู ติฉินเหมือนดังพระมหากษตั รยิ อ์ ยุธยาทง้ั ๒ พระองค์

๗.๓ คณุ ค่าด้านสงั คม

การอ่านวรรณกรรมเพื่อพิจารณาคุณค่าด้านสังคมต้องใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดลึกซ้ึง
จงึ จะเหน็ ถงึ ความสมั พนั ธก์ นั ทงั้ ทเ่ี ปน็ นามธรรมและรปู ธรรมในดา้ นตา่ งๆ ของสงั คมทม่ี ตี อ่ วรรณกรรม วรรณกรรมเรอื่ ง
ขตั ตยิ พันธกรณี ถอื เปน็ กวีนพิ นธ์ทม่ี เี น้อื ความคลา้ ยจดหมายเหตุบนั ทกึ เหตกุ ารณใ์ นประวัตศิ าสตร์ท่สี �ำคัญช่วงหน่งึ
ของสยามประเทศ ซ่งึ สามารถพจิ ารณาคณุ คา่ ดา้ นสังคมตามแนวทางได้ ดังน้ี
๑) สะทอ้ นขนบธรรมเนยี มประเพณี วรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนขนบธรรมเนียมประเพณีในเรื่องพระ-
ราชพิธีเผาศพ โดยกลา่ วถึงรชั กาลท่ี ๕ ทรงเสียพระราชหฤทัย จนทรงประชวรหนัก จงึ ทำ� ใหพ้ ระองค์ตรสั ถงึ ลักษณะ
ของพระราชพธิ พี ระศพ โดยทรงบรรยายถงึ เดก็ จ�ำนวน ๕-๖ คน โกนศรี ษะและแตง่ กายดว้ ยชดุ สขี าว เพอื่ เชญิ อาหาร
ไปยังหอศพ ดังบทประพนั ธ์

ฉันไปปะเดก็ ห้า หกคน
โกนเกศนงุ่ ขาวผล เคลบิ เคลิ้ม
ถามเขาว่าเปน็ คน เชญิ เครือ่ ง
ไปท่หี อศพเร้ิม ริกเร้าเหงาใจ

๒) สะทอ้ นคา่ นยิ มของคนในสงั คม วรรณกรรมเรอื่ งนสี้ ะทอ้ นคา่ นยิ มในเรอ่ื งการใชค้ ำ� ศพั ทภ์ าษาตะวนั ตก
คอื คำ� วา่ “กะปิตัน” ทม่ี าจากภาษาองั กฤษว่า “กปั ตัน (Captain)” ดงั บทประพันธ์

ดุจเหล่าขา้ พละนา- วะเหว่ว้ากะปติ ัน
นายทา้ ยฉงนงัน ทศิ ทางกค็ ลางแคลง

๓) สะท้อนความเช่ือของคนในสังคม วรรณกรรมเร่ืองนี้สะท้อนความเช่ือในเรื่องภพภูมิ กล่าวคือ
รัชกาลท่ี ๕ ทรงด�ำริว่าตอนน้ีพระองค์มีความทุกข์โทมนัสมาก อยากจะเสด็จสวรรคตเพ่ือแสวงหาความสุขในภพ
หน้า ดังบทประพันธ์

เจ็บนานหนักอกผ้ ู บรริ กั ษ์ ปวงเฮย
คดิ ใครล่ าลาญหัก ปลดเปล้อื ง
ความเหนอ่ื ยแหง่ สูจัก พลนั สรา่ ง
ตจู ักสภู่ พเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม

การอา่ นพจิ ารณาคณุ คา่ วรรณกรรม ผอู้ า่ นควรพจิ ารณาและวเิ คราะหจ์ ากขอ้ ความทป่ี รากฏในบทประพนั ธน์ น้ั ๆ
เพราะแตล่ ะบทประพนั ธท์ ก่ี วนี ำ� เสนอลว้ นสอดแทรกสภาพความเปน็ อยู่ วฒั นธรรม หรอื เหตกุ ารณต์ า่ งๆ ทแ่ี สดงใหเ้ หน็
ถึงภาพในยุคสมยั นน้ั ๆ ได้

8 ภาคผนวก


แบบทดสเนอบนอกงิ มาารตรคฐาดิ น
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีจุดมุงหมายเพ่ือใหผูเรียนอานออก เขียนได คิดคํานวณเปน มุงใหเกิดทักษะการเรียนรูตลอดชีวิต
เตรียมตัวเปนพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีความสามารถในการแขงขันไดในอนาคต การจัดการเรียนรูที่สอดคลองกับจุดมุงหมายดังกลาว
จึงควรใหผูเรียนฝกฝนการนําความรูไปประยุกตใชในชีวิตจริง สามารถคิดวิเคราะหและแกปญหาได ดังนั้นเพ่ือเปนการเตรียมความพรอม
ของผูเรียน ทางโครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด จึงไดจัดทําแบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด
โดยดําเนินการวิเคราะหสาระการเรียนรูท่ีสําคัญตามที่ระบุไวในมาตรฐานและตัวชี้วัดชั้นป แลวนํามากําหนดเปนระดับพฤติกรรมการคิด
เพอื่ สรางแบบทดสอบท่ีมีคุณสมบัติ ดงั น้�

1 2วดั ผลการเรยี นรู เนน ใหผูเรยี นเกดิ การคดิ ผูสอนสามารถนําแบบทดสอบน้�ไปใชเปนเครื่องมือวัด
และประเมินผล รวมท้ังเปนเครื่องบงชี้ความสําเร็จและรายงาน
ท่ีสอดคลองกบั มาตรฐาน ตามระดบั พฤติกรรมการคดิ คุณภาพของผูเรียนแตละคน เพ่ือเปนการเตรียมความพรอม
ตัวช้ีวดั ชนั้ ปท กุ ขอ ทรี่ ะบุไวในตวั ชีว้ ัด ของนักเรียนใหมีความสามารถในดานการใชภาษา ดานการ โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
คดิ คาํ นวณ และดา นเหตผุ ล สาํ หรบั รองรบั การประเมนิ ผลผเู รยี น
ในระดับประเทศ (O-NET) และระดบั นานาชาติ (PISA) ตอไป

แบบทดสอบองิ มาตรฐาน เนน การคดิ ท่ีจัดทําโดย โครงการวดั และประเมนิ ผล บรษิ ัท อักษรเจริญทศั น อจท. จํากัด ประกอบดวย
แบบทดสอบประจําภาคเรียนท่ี 1 และแบบทดสอบประจําภาคเรียนท่ี 2 ซ�ึงแตละภาคเรียนจะมีแบบทดสอบ 2 ชุด แตละชุดมีท้ัง
แบบทดสอบปรนัย และแบบทดสอบอัตนัย โดยวิเคราะหมาตรฐานตัวช้ีวัด และระดับพฤติกรรมการคิดท่ีสัมพันธกับแบบทดสอบไวอยาง
ชัดเจน เพ่อื ใหผูสอนนําไปใชเ ปนเครอื่ งมอื วดั และประเมนิ ผลผเู รียนไดอ ยา งมปี ระสทิ ธิภาพ

ตารางวเิ คราะหแ บบทดสอบ ภาคเรยี นท่ี 1
ตารางวเิ คราะหร ะดับพฤติกรรมการคิด
ตารางวเิ คราะหมาตรฐานตวั ชวี้ ัด

ชุดท่ี มาตรฐาน ตัวช้ีวัด ขอ ของแบบทดสอบทสี่ มั พันธก บั ตัวช้วี ัด พกฤราตะรกิดคับรดิ รม ขอของแบบทดสอบทส่ี มั พันธก บั รวม
ระดบั พฤตกิ รรมการคิด
-
1 1-4, 13-15, 27-30 A ความรู ความจาํ - 6
9
2 5-7, 16-18, 31-34 B ความเขา ใจ 1-2, 5, 23, 27-28 12
7
1 ท 5.1 3 8-10, 19-20, 35-38 C การนาํ ไปใช 3, 6, 8, 13-14, 19, 31-33 6
4 11-12, 21-22, 39-40
D การวเิ คราะห 7, 9-10, 15-16, 20, 25, 29-30, 35-36, 39

5 23-24 E การสงั เคราะห 11-12, 21, 24, 26, 34, 37
F การประเมินคา 4, 17-18, 22, 38, 40
6 25-26

1 1-4, 13-15, 27-30 A ความรู ความจํา - -
B ความเขาใจ 1-2, 11, 13, 27-28, 31, 35 8
2 5-8, 16-18, 31-34 C การนาํ ไปใช 5-6, 14, 16, 19, 29, 32, 36 8
D การวเิ คราะห 7-8, 9-10, 15, 17, 20-21, 23-24, 33, 37-38 13
2 ท 5.1 3 9-10, 19-21, 35-37 E การสงั เคราะห 3-4, 25-26, 34, 39-40 7
4 11-12, 22, 38-40 F การประเมนิ คา 12, 18, 22, 30 4

5 23-24

6 25-26

หมายเหตุ : มีเฉลยและคาํ อธบิ ายเชิงวเิ คราะห อยูท า ยแบบทดสอบภาคเรียนที่ 1 และภาคเรียนที่ 2

(1) โครงการวัดและประเมินผล


แบบทดสอบวช� า ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม 1ภาคเร�ยนท่ี ¤Ðá¹¹·èÕ ä´Œ
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6
ชดุ ที่ 1 ¤Ðá5¹¹0ÃÇÁ

ช่อื นามสกลุ…………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………..

เลขประจําตวั สอบ โรงเรยี น……………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………….

สอบวนั ท่ี เดอื น พ.ศ.…………………….. ………………………………………..
…………………………………………………

โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด

1ตอนท่ี 1. แบบทดสอบฉบับน้�มที ้งั หมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ
2. ใหน กั เรยี นเลอื กคําตอบที่ถูกท่สี ุดเพยี งขอ เดียว
¤Ðá¹¹àµÁç

40

โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 1. มะลวิ ลั ยพ นั จกิ จวง ดอกเปนพวงรว งเรณู 4. ขอใดกลาวถกู ตอ งทสี่ ดุ เกย่ี วกบั การอานวรรณคดี
B หอมมานา เอน็ ดู ชูชน่ื จติ คดิ วนิดา F 1. การอานวรรณคดีคือการอานเพ่ือใหเห็นคุณคาของ

บทประพนั ธข างตนปรากฏอยใู นวรรณคดเี รือ่ งใด วรรณคดี
และใครเปนผูประพันธ 2. การอานวรรณคดีคือการอานเพ่ือใหเกิดความซาบซ้ึง
1. กาพยพระไชยสุริยา สนุ ทรภู
2. กาพยเ หเ รอื เจาฟาธรรมธเิ บศร ในรสวรรณคดี
3. กาพยห อ โคลง เจาฟาธรรมธิเบศร 3. การอานวรรณคดีคือการอานที่ตองใชกระบวนการคิด
4. กาพยขบั ไม เจาพระยาพระคลัง (หน)
2. วรรณคดีในขอใดใชคําประพันธทั้งประเภทโคลงและราย วิเคราะหอ ยา งมีเหตุผล
B ท้งั 2 เรื่อง 4. การอา นวรรณคดีคือการอา นที่ตองใชส ตปิ ญ ญา
1. กากี พระอภัยมณี
2. ลิลิตพระลอ ลลิ ติ ยวนพา ย กลน่ั กรองคุณคาทางอารมณและคุณคา ทางความคิด
3. นิราศนรินทร ขนุ ชางขุนแผน
4. โคลงโลกนิติ โคลงราชสวสั ด์ิ 5. วนั น้ีเพอื่ นเรา เพ่ือนเกา เพือ่ นใหม
D ทห่ี างกนั ไกล มาพรอมหนา กนั

3. บาวเศิกเอกิ อึง ทราบถึงบัดดล บทประพันธข างตนมีลกั ษณะคําประพนั ธป ระเภทใด
C ในหมผู คู น ชาวเวสาลี 1. กลอนสส่ี ภุ าพ
2. มาณวกฉนั ท 8
บทประพนั ธท ย่ี กมานอี้ ยใู นวรรณคดเี รอ่ื งใด และมลี กั ษณะ 3. วิชชุมมาลาฉนั ท 8
คาํ ประพันธป ระเภทใด 4. กาพยสรุ างคนางค 28
1. อลิ ราชคําฉันท มาณวกฉันท 6. ขอใดใชล ักษณะคําประพนั ธแตกตา งจากขออนื่
2. สามัคคเี ภทคาํ ฉนั ท วิชชุมมาลาฉันท C 1. ขาวสดุ พดุ จีบจนี เจา มสี ินพี่มีศักด์ิ
3. สมทุ รโฆษคาํ ฉันท วิชชมุ มาลาฉันท 2. นวลจนั ทรเ ปนนวลจริง เจางามพรงิ้ ย่ิงนวลปลา
3. ชะโดดุกกระดี่โดด สลาดโลดยะหยอยหยอย
4. สุวรรณหงสท รงพหู อย งามชดชอยลอยหลงั สินธุ

4. สามัคคเี ภทคําฉันท อนิ ทรวิเชยี รฉันท

ความรู ความจํา ความเขา ใจ การนําไปใช การวเิ คราะห การสงั เคราะห การประเมินคา

A B C D E F

โครงการวัดและประเมินผล (2)


7. บทประพนั ธใ นขอ ใดไมม ี คาํ ทก่ี อ ใหเ กดิ จนิ ตภาพทางการ 13. วรรณคดใี นขอ ใดทไ่ี ดร บั การยกยอ งวา มสี าํ นวนดเี ยย่ี มทสี่ ดุ
D เคล่ือนไหว C 1. รามเกยี รต์ิ ในรชั สมัยสมเด็จพระเจา กรงุ ธนบุรี
1. มหี มีท่ีดําขลบั ข้ึนไมผับฉับไวถึง
2. กระจงกระจดิ เตี้ย ว่งิ เร่ยี เร่ียนา เอ็นดู 2. โคลงราชสวสั ดิ์ ในรชั สมยั สมเดจ็ พระนารายณม หาราช
3. กระรอกหางพัวพู โพรงไมอ ยคู ไู ลตาม 3. ววิ าหพ ระสมทุ ร ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา -
4. เลยี งผาอยูภเู ขา หนวดพรายเพราเขาแปลปลาย
เจา อยหู วั
8. คาํ ศพั ทในขอ ใดมีความหมายแตกตางจากขอ อ่ืน 4. ขุนชางขุนแผน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ-
C 1. โพยม นภา
2. พสธุ า ธาตรี เลศิ หลา นภาลัย
3. คัคนานต อัมพร
4. ทฆิ ัมพร นภาพร 14. เออนเี่ นื้อเคราะหก รรมมานําผิด
C นาอายมติ รหมองใจไมห ายหมาง
9. การอานบทละครพดู เรอื่ งเหน็ แกล ูก ควรใชหลกั การ
D วิจักษวรรณคดีตามขอใด ฝา ยพอมบี ญุ เปนขุนนาง
1. อา นอยางพนิ จิ พิจารณา แตแมไปแนบขา งคนจญั ไร
2. รบั รอู ารมณของบทประพันธ
3. พจิ ารณากลวธิ ีในการแตง คําประพนั ธ บทประพนั ธขา งตนเปนคาํ พดู ของใคร และคําท่ีขีดเสนใต โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
4. คน หาความหมายพ้ืนฐานของบทประพันธ หมายถงึ ใคร
1. ขนุ แผน ขนุ ชา ง
10. องคประกอบใดถือเปนธรรมเนียมในการแตงคําประพันธ 2. พลายงาม ขุนชาง
D ประเภทนริ าศ 3. นางวนั ทอง ขุนชาง
1. บทสดดุ ี 2. บทไหวครู 4. ขนุ ชาง ขนุ แผน
3. บทชมโฉม 4. บทคร่ําครวญ 15. ขอ ความในขอ ใดไม ปรากฏในเรื่องขนุ ชา งขนุ แผน
D ตอนขนุ ชางถวายฎกี า
11. ขอใดกลาวไม ถกู ตอง 1. ขนุ ชา งเปนชายผูมีความรักทีม่ ่นั คง
E 1. วรรณคดเี กดิ จากจนิ ตนาการของกวเี พยี งประการเดยี ว 2. พระหมื่นไวยเปนทยี่ าํ เกรงของขาศึก
2. คตธิ รรมทก่ี วถี า ยทอดไวใ นวรรณคดคี อื มมุ มองทกี่ วี 3. สมเดจ็ พระพันวษาทรงฝก ใฝในทางธรรม
ประสบพบเหน็ 4. พลายงามเปนผมู ีความเชอื่ ดานไสยศาสตร
3. พฤตกิ รรมทตี่ วั ละครในวรรณคดแี สดงออก มพี ฤตกิ รรม 16. บทประพันธในขอใดท่ีแสดงถึงลักษณะนิสัยที่มุทะลุดุดัน
เหมอื นมนุษยท่วั ไป D ของพลายงามไดชดั เจนที่สุด
4. การอานวรรณคดโี ดยวเิ คราะหเนอ้ื หาและพจิ ารณา 1. แมอยาเจรจาชาที จวนแจงแสงศรีจะรีบไป
คณุ คา ดานวรรณศลิ ปท ําใหผ อู า นเขาใจวรรณคดี 2. จะตดั เอาศีรษะของแมไ ป ทิ้งแตตวั ไวใ หอยูน ี่
มากขนึ้ 3. แมนมิไปใหง ามก็ตามใจ จะบาปกรรมอยา งไรกต็ ามที
4. เสยี แรงเปนลูกผูชายไมอายเพอื่ น
12. ขาวสดุ พุดจีบจนี เจา มีสินพีม่ ีศักด์ิ
F ทัง้ วังเขาชงั นกั แตพ่ีรักเจาคนเดียว จะพาแมไ ปเรอื นใหจงได
17. ขอ ใดมคี าํ ศพั ทแ สดงถงึ วฒั นธรรมการแตง กายในสมยั กอ น
จากบทประพนั ธขา งตน ไมได กลา วถึงเรือ่ งใด F 1. ผาผอนลอนแกน ไมต ดิ กาย
1. คานยิ มในสังคม
2. ความรักท่ียิง่ ใหญ เหน็ มานขาดเรยี่ รายประหลาดใจ
3. สถานภาพของสตรี 2. พระสูตรรูดกรา งกระจางองค
4. ศกั ดิ์ศรีและชาตติ ระกูล
ขุนนางกราบลงเปน ขนดั
3. ลกุ ข้นึ ถกเขมรรองเกนไป

ทุดอายไพรข คี้ รอกหลอกผดู ี
4. เสกกระแจะจวงจนั ทนน ้าํ มันทา

เสรจ็ แลว ก็พาวันทองไป

(3) โครงการวัดและประเมินผล


18. อัยการศาลโรงก็มอี ยู ฤๅวา กูตดั สนิ ใหไมได 24. บทประพันธในขอใดตอไปนี้สะทอนสภาพสังคมไทยที่
B ชอบทวนดว ยลวดใหป วดไป ปรบั ไหมใหเ ทา กบั ชายชู D แตกตางจากปจจุบนั

จากบทประพันธนี้เปนคํากลาวของสมเด็จพระพันวษา 1. พลางเรียกหาขาไทยอยวู า วุน ออี นุ อีอมิ่ อฉี ิมอีสอน
ทแ่ี สดงใหเหน็ ถงึ ความสาํ คญั ของส่ิงใด 2. ไดย นิ เสียงฆอ งย่าํ ประจาํ วัง ลอยลมลองดังถึงเคหา
1. ขนบประเพณี 2. จารีตประเพณี 3. พรงุ นพี้ จี่ ะแกเ สนยี ดฝน แลว ทาํ มงิ่ สง่ิ ขวญั ใหเ ปน สขุ
3. กฎมณเฑยี รบาล 4. กฎหมายบา นเมือง 4. หอมหวนอวลอบบปุ ผชาติ เบกิ บานกา นกลาดกงิ่ ไสว

19. บทประพนั ธใ นขอ ใดไม เกยี่ วขอ งกบั ความเชอื่ ของคนไทย 25. ยีส่ นุ กหุ ลาบมะลซิ อ น ซอ นชชู กู ลน่ิ ถวลิ หา
C 1. ใตเตียงเสยี งหนูกก็ กุ กก D ลาํ ดวนกวนใจใหไ คลคลา สาวหยดุ หยดุ ชา แลว ยนื ชม

2. พรุงน้พี ี่จะแกเ สนยี ดฝน บทประพนั ธข า งตน มคี วามดเี ดน ดา นวรรณศลิ ปค อื มกี ารใช
3. ยือ้ ยุดฉุดคราทาํ สามานย ภาพพจนตรงกับขอใด
4. พิเคราะหดูท้ังยามอฐั กาล 1. อปุ มา
2. บคุ คลวตั
20. ขอใดไมได กลาวถงึ ความเชอ่ื ในเรอ่ื งไสยศาสตร 3. อตพิ จน
D 1. ลงยันตร าชะเอาปะตวั 4. อปุ ลักษณ
หยิบยกมงคลขึ้นใสหัว
โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 2. เปา มนตเ บอื้ งบนชอุม มวั
พรายยัว่ ยวนใจใหไ คลคลา 26. โจนลงกลางชานรา นดอกไม
3. นํ้าคา งตกกระเซน็ เย็นเยอื กใจ B ของขนุ ชางปลกู ไวอ ยูดาษดน่ื
สงดั คนเสียงใครไมพูดจา
4. จึงเซนเหลา ขา วปลาใหพรายกิน รวยรสเกสรเมอื่ คอนคนื
เสกขมิน้ วา นยาเขาทาตวั ช่นื ช่ืนลมชายสบายใจ

21. นางวันทองมีความรูสึกชื่นชมยกยองความดีของขุนชาง บทประพันธนี้มคี ําประสมก่ีคํา
E ในเรือ่ งใดมากทส่ี ดุ 1. 1 คํา 2. 2 คํา
3. 3 คาํ 4. 4 คาํ
1. ไมเ คยขดั ใจนางวนั ทอง
2. รกั นางวนั ทองเพียงคนเดียว
3. ยกยอ งใหเ กยี รตินางวันทอง 27. “ยิ่งไดอ า นสามกกมากครั้งเขา ก็ย่งิ มีใจฝก ใฝ
4. เปน คทู กุ ขคยู ากของนางวันทอง B เปน ขา งโจโฉมากขน้ึ … จงึ ลองนกึ วา ลองเขยี นสามกก

22. จากสาระสาํ คญั ในเรือ่ งขนุ ชา งขนุ แผนตอนขนุ ชา ง แบบเลานิทานแตจะทําใจเปนฝา ยโจโฉตลอดเร่ือง”
F ถวายฎกี า แสดงแนวคิดที่สาํ คญั ในขอใด
1. ท่ีใดมีรักทน่ี ั่นมที กุ ข ผูกลาวขอ ความน้คี อื กวีทานใด
2. การใชสติพจิ ารณากอ นตัดสินใจ 1. ยาขอบ
3. ความแนนอนคอื ความไมแ นน อน 2. ม.ร.ว. คกึ ฤทธิ์ ปราโมช
4. ความรกั สามารถเอาชนะทุกสิ่งได 3. เจา พระยาธรรมศกั ด์ิมนตรี
4. สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ
23. คะเนนับยา่ํ ยามไดสามครา ดเู วลาปลอดหวงทกั ทิน 28. ขอใดไมใช เงื่อนไขท่ีกวนอูใชเปนขอแลกเปล่ียนในการ
B จากบทประพันธขางตนคําวา “ทกั ทนิ ” มีความหมายวา B ยอมไปรับราชการกับโจโฉ
อยางไร 1. ขอใหไดตาํ แหนง เสนาบดี
1. วันดี 2. วนั อันชวั่ รา ย 2. ขอใหไ ดเ ปน ขาพระเจาเหย้ี นเต
3. วนั แรม ๑ คํา่ 4. วันอนั เปนฤกษด ี 3. ขอไปหาเลา ปท นั ทเี ม่อื รวู าอยูที่ใด
4. ขอใหไ ดดูแลและคุมครองภรรยาของเลา ป

โครงการวัดและประเมินผล (4)


29. ฝายโจโฉยกทัพมาใกลถึงเมืองเสียวพาย พอเกิด 33. โจโฉใหเชิญกวนอูมากินโตะ เห็นกวนอูหมเสื้อขาด
D ลมพายุใหญพัดหนัก ธงชัยซ่ึงปกมาบนเกวียนน้ัน C โจโฉจึงเอาเสื้ออยางดีใหกวนอู กวนอูรับเอาเสื้อแลว

หักทบลง โจโฉเห็นวิปริตดังน้ันก็สั่งใหหยุดทหารต้ัง จงึ เอาเสอ้ื ใหมน ั้นใสข า งใน เอาเส้อื เกา นั้นใสข า งนอก
คายม่ันไว
ขอ ความขางตนแสดงคานยิ มความเช่ือในดานใด จากขอความขา งตน กวนอมู เี หตุผลอยางไรจึงทําเชน น้ัน
1. ดานพธิ กี รรม 1. เสยี ดายเสอื้ ใหม
2. ดา นไสยศาสตร 2. เกรงคนจะนินทา
3. ดา นลางบอกเหตุ 3. เกรงวา จะลมื เลา ป
4. ดานปรากฏการณทางธรรมชาติ 4. ไมชอบเสอื้ ของโจโฉ

30. โจโฉเห็นกวนอูมาก็มีความยินดีจึงออกไปรับกวนอู 34. คร้ันอยูมาวันหน่ึงโจโฉจึงพากวนอูไปเฝาพระเจา
D เขามา กวนอูจึงคํานับโจโฉแลววา “ตัวขาพเจาเปน B เหยี้ นเต แลว ทลู วา กวนอคู นนมี้ ฝี ม อื พอจะเปน ทหารได

เชลย ทานมไิ ดฆาเสยี แลวออกไปรับขา พเจา ถงึ นอก พระเจา เหย้ี นเตม คี วามยนิ ดจี งึ ตง้ั กวนอเู ปน นายทหาร
คา ยนัน้ คณุ หาทส่ี ดุ มไิ ด” โจโฉกับกวนอกู ็ลากลับบา น
ขอ ความขา งตน แสดงใหเ หน็ วา กวนอรู สู กึ อยา งไรตอ การ
กระทาํ ของโจโฉ ลักษณะการใชป ระโยคขางตนนีม้ ีลกั ษณะเดน อยางไร โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
1. สํานกึ ในบญุ คุณ 1. เปนขอความซับซอ น เขาใจยาก
2. ใหความเคารพอยา งจรงิ ใจ 2. เปน ขอความท่แี ฝงนัยตอ งอาศยั การตีความ
3. ไมชอบใจแตไ มกลาแสดงออก 3. เปนขอความสน้ั ๆ แตมตี วั ละครมากยากแกการจดจาํ
4. นอ ยใจดว ยคิดวาตนไมมคี วามสาํ คัญ 4. เปน ขอ ความสนั้ ๆ แตล าํ ดบั เหตกุ ารณช ดั เจน เขา ใจงา ย
31. เจา พระยาพระคลงั (หน) ไดร บั ยกยอ งวา เปน กวที ย่ี อดเยย่ี ม
C เหนอื กวที ง้ั ปวง ทา นมคี วามสามารถในการแตง คาํ ประพนั ธ 35. “แมข า พเจา รวู า เลา ปอ ยทู ใี่ ด ถงึ มาตรวา เปน ทางกนั ดาร
ทุกประเภท งานเขียนประเภทใดเปนผลงานสําคัญที่สุด D จะตอ งขามพระมหาสมทุ รแลลยุ เพลิงก็ด”ี
ของทา น
1. งานแปล ขอความขา งตนปรากฏภาพพจนในขอใดเดนชัดท่ีสดุ
2. งานสารคดี 1. อุปมา 2. อตพิ จน
3. งานนวนยิ าย 3. อุปลกั ษณ 4. สัญลกั ษณ
4. งานกวีนพิ นธ
32. วรรณคดเี ร่อื งสามกกมโี วหารดีท่ีสุดในกระบวน 36. ชื่อตัวละครในขอใดมีเสียงวรรณยุกตในพยางคแรกและ
C รอ ยแกว บทอุปมาอุปไมยลึกซึง้ คมคาย บทพรรณนา D พยางคทส่ี องตรงกันทุกคาํ
แจม ชดั ทกุ ตอน 1. วุยกก งอ กก ลวิ่ ลอ
จากขอความขางตน กลาวถึงวรรณคดีเร่ืองสามกกวามี 2. กวนอู ซุนกวน เซยี งจู
ความดเี ดน ในดานใด 3. เตียวหุย ซุนฮก โจโฉ
1. ดา นสงั คม 4. เตยี วเลีย้ ว ขงเบง แหฝอ
2. ดานเน้อื หา
3. ดา นวรรณศลิ ป 37. ธรรมดาเกดิ เปน ชายใหร ูจักที่หนกั ท่ีเบา ถาผูใดเกดิ มา
4. ดา นประวตั ิศาสตร B ไมรูจักที่หนักท่ีเบา คนทั้งปวงจะติเตียนไดวาผูน้ันหา

สติปญญาไม

ขอความนีม้ ีคาํ ยมื ภาษาบาลสี ันสกฤตกี่คาํ
1. 1 คาํ 2. 2 คํา
3. 3 คาํ 4. 4 คาํ

(5) โครงการวัดและประเมินผล


38. สาํ นวนทปี่ รากฏในวรรณคดเี รอื่ งสามกก ขอ ใดทย่ี งั ปรากฏ 40. สามกกไมไดแฝงอิทธิปาฏิหาริยเกินความสามารถ
F ใชใ นปจจุบนั F ของสามัญชน จงึ ทําใหผูอานไดเหน็ ชีวิตของตวั ละคร

1. กนิ โตะ ทง้ั หมดในลกั ษณะของคนจรงิ ๆ ความรู ความคดิ และ
2. ชุบเลย้ี ง สติปญญาท่ีไดจากการอานจึงเปนประโยชนตอการ
3. ทหารเลว ดาํ เนนิ ชวี ติ ของผอู า น
4. รอ งไหร ักกัน ขอ ความขา งตน แสดงคณุ คา ของงานวรรณกรรมในดา นใด
39. “ตวั เรามไิ ดรกั ชวี ิตอันความตายเหมอื นนอนหลับ…” เดนชดั ทสี่ ุด
D จากคาํ กลา วขางตน สรปุ ความไดตรงตามขอ ใด 1. คุณคา ดานสังคม
1. ความตายก็เหมือนกบั การนอนหลบั 2. คุณคา ดา นเนอ้ื หา
2. ความตายเปนเรอ่ื งปกตสิ ําหรับทุกคน 3. คุณคาดา นวรรณศลิ ป
3. คนนอนหลบั กบั คนตายมไิ ดม ีความแตกตางกนั 4. คุณคา ดา นการนาํ ไปประยกุ ตใช
4. ไมตอ งเสียใจกบั คนตายเพราะเหมอื นคนนอนหลบั

โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ

โครงการวัดและประเมินผล (6)


2ตอนท่ี ตอบคําถามใหถ กู ตอง จาํ นวน 3 ขอ 10 คะแนน ¤Ðá¹¹·èÕ ä´Œ

¤Ðá¹¹àµÁç

10

1. การศึกษาวรรณคดีมแี นวทางการศึกษาอยา งไร (3 คะแนน) โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. วรรณคดเี ร่ืองขนุ ชางขนุ แผน ตอนขุนชา งถวายฎีกา นักเรยี นคดิ วาตวั ละครใดนาเหน็ ใจมากที่สดุ เพราะเหตใุ ด (4 คะแนน)

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. กวนอูไดร บั ฉายาวา เทพเจาผูซื่อสตั ย นกั เรียนเห็นดวยกับคํากลา วนี้หรือไม อธิบายใหชดั เจน (3 คะแนน)

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

(7) โครงการวัดและประเมินผล


แบบทดสอบวช� า ภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม 1ภาคเร�ยนท่ี ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6
ชดุ ท่ี 2 ¤Ðá5¹0¹ÃÇÁ

ชือ่ นามสกลุ…………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………..

เลขประจําตัวสอบ โรงเรยี น……………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………….

สอบวันที่ เดอื น พ.ศ.……………………..
………………………………………………… ………………………………………..

โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด

1ตอนท่ี 1. แบบทดสอบฉบบั น้ม� ที งั้ หมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ
2. ใหน กั เรยี นเลอื กคาํ ตอบท่ีถูกทส่ี ดุ เพียงขอเดียว
¤Ðá¹¹àµÁç

40

โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ 1. ครองทิพยพมิ าน บรวิ ารอมรปวง 4. “วรรณคดีท้ังรอยแกวและรอยกรองลวนเกิดจาก
B ปองธรรมะบลว ง ลอุ าํ นาจอกุศล E ประสบการณและจินตนาการของมนุษยท่ีแสดงออก

บทประพนั ธข า งตน มเี นอ้ื หาสอดคลองกับบทประพนั ธ ทางภาษาในรูปแบบตางๆ และมีพัฒนาการมาโดย
ในขอใด ลําดับตามความเจริญของมนุษยชาติ การเรียน
1. ธรรมะเทวบุตร ผูพสิ ุทธโิ สภา วรรณคดสี ง เสรมิ พฒั นาการทางความคดิ อารมณ และ
2. ปางน้ันอธรรมะ เทวบตุ รผใู จพาล คณุ ธรรมไดอ ยา งดยี ง่ิ ชว ยใหผ เู รยี นมโี ลกทศั นก วา งขนึ้
3. แตง องคก็ทรงลวน พัสตระดาํ ทุกสิ่งอัน เขา ใจตนเอง เพอื่ นมนษุ ย และสงั คมโดยสว นรวมดขี น้ึ ”
4. ครองพวกบริวาร ลวนแตพาลประดุจกนั
2. วรรณกรรมขอใดตอ ไปน้ใี ชค ําประพนั ธป ระเภทรอยกรอง ขอ ความขา งตน ไมได กลา วถงึ คณุ คา ในดา นใดของวรรณคดี
B 1. โคลนติดลอ 1. คุณคา ดานสงั คม 2. คณุ คา ดา นจริยธรรม
2. ไตรภูมพิ ระรวง 3. คุณคา ดานสติปญ ญา 4. คุณคา ดา นวรรณศลิ ป
3. พระบรมราโชวาท
4. ตาํ ราแพทยศ าสตรส งเคราะห 5. เพยี นทองงามด่ังทอง ไมเ หมอื นนอ งหม ตาดพราย
C ขอใดใชภาพพจนแ ตกตา งจากบทประพันธขา งตน
3. “การเกิดความเขาใจแจมแจงจนตระหนักในคุณคา
D ของวรรณคดเี รอื่ งหนงึ่ วา เปน งานศลิ ปะพรอ มเพยี งใด 1. นาคาหนา ดงั เปน ดเู ขมนเห็นขบขัน
2. ปลาทุกทุกขอ กกรม เหมือนทกุ ขพ ่ที ี่จากนาง
มีขอเดน ขอดอย อยางไร มีขอคิดท่ีสัมพันธกับ 3. แกมช้ําชา้ํ ใครตอง อันแกม นอ งชํา้ เพราะชม
ชวี ิตจรงิ เพียงใด” 4. งามทรงวงดัง่ วาด งามมารยาทนาดกรกราย
6. ขอ ใดใชก ลวธิ กี ารประพันธตา งจากขออ่ืน
ขอ ความขางตนถอื เปน นิยามทีต่ รงกบั ขอ ใด C 1. ลมระร้ิวปลวิ หญาคาระยาบ
1. การวิจักษวรรณคดี 2. สนละเมียดเสียดยอดขึ้นกอดฟา
2. การวิจารณวรรณคดี 3. ดอกหญา ยิ้มหวานหวานกับลานหญา
3. การวิพากษวรรณคดี 4. แกวเอียงกลบี เคลียน้าํ คา งอยางหงมิ หงมิ
4. การพจิ ารณาวรรณคดี

ความรู ความจํา ความเขา ใจ การนําไปใช การวเิ คราะห การสังเคราะห การประเมินคา

A B C D E F

โครงการวัดและประเมินผล (8)


7. บทประพนั ธใ นขอ ใดแสดงถึงวัฒนธรรมไทย 12. “ในวรรณคดี กวียอมแสดงภูมิปญญาของตนออกมา
D 1. เรือมา หนามงุ นํ้า F เราจึงสามารถมองเห็นชีวิต ความเปนอยู คานิยม
แลน เฉ่ือยฉ่าํ ลําระหง
2. คดิ อนงคอ งคเ อวอร และจริยธรรมของคนในสังคมท่ีผูประพันธจําลองไว
ผมประบาอาเอยี่ มไร ใหป ระจักษ”
3. เพราะลกู เตาเจา กรรมทําแคนขดั
จนวบิ ตั บิ านเมืองไดเคอื งเข็ญ จากขอความขา งตนคําวา “ภูมิปญญา” มีความหมาย
4. ในดนตรมี รี ักอันลกึ ซ้งึ ตรงกบั ขอ ใด
รวมหวั ใจเปน หนึง่ อยา งแนนเหนียว 1. ลกั ษณะของสงั คมท่ีเสนออยา งตรงไปตรงมา
2. การแสดงภาพของชวี ติ ที่สัมพนั ธก ับวัฒนธรรม
8. ขอ ใดสะทอ นแนวคดิ หลกั ของพระพทุ ธศาสนาชดั เจนทส่ี ดุ 3. ภาพจาํ ลองของชวี ติ และการสง เสรมิ จรยิ ธรรมของสงั คม
D 1. นรชาตวิ างวาย มลายสน้ิ ท้งั อินทรยี  4. ความรูทางดานขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีสืบทอดมา
2. อันวา ความกรณุ าปรานี จะมีใครบงั คบั ก็หาไม
3. ยามบวชบม บญุ ไป นาํ้ ตาไหลเพราะอมิ่ บญุ อยา งยาวนาน
4. ไมมีพรเทพพรมนุษย เปรยี บประดจุ ความดที ที่ าํ เอง 13. วรี กรรมใดของขนุ แผนทเี่ ชอื่ วา เปน เหตกุ ารณท เ่ี กดิ ขนึ้ จรงิ
B 1. ยกทพั ไปตพี มาแลว ชนะศึก
9. นจิ จาใจเจา จะใหพ่ีเจ็บจิต โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
D ดงั เอากรชิ แกะกรดี ในอกผัว 2. ยกทพั ไปตีลา นชางแลว ชนะศกึ
3. ยกทพั ไปตีเชยี งใหมแ ลวชนะศกึ
เกรงผดิ คิดบาปจึงหลาบกลวั 4. ยกทพั ไปตีกาญจนบุรแี ลว ชนะศกึ
พนี่ ี้ชว่ั เพราะหมิ่นประมาทความ 14. บทประพันธในขอใดบรรยายลักษณะไดตรงกับชื่อตอน
C “ขนุ ชา งถวายฎกี า” มากทสี่ ดุ
บทประพนั ธนี้มีคาํ ยืมภาษาตางประเทศก่ีคาํ 1. จะกลา วถงึ พระองคผทู รงเดช
1. 4 คาํ 2. 5 คํา
3. 6 คาํ 4. 7 คาํ เสด็จคืนนิเวศนพอจวนคํ่า
10. ขอ ใดใชกลวธิ กี ารประพนั ธโดยการเลน คํา 2. ฝพายรายเลมมาเต็มลํา
D 1. โอวา อนิจจาความรัก
เรือประจําแหนแหเซง็ แซมา
พึ่งประจักษดง่ั สายนํา้ ไหล 3. พอเรือพระที่นั่งประทบั ที่
2. ในลกั ษณน ้นั วานา ประหลาด
ขุนชา งก็ร่ลี งตนี ทา
เปนเชอ้ื ชาตนิ กั รบกล่ันกลา 4. ลอยคอชูหนงั สือดอ้ื เขามา
3. แลวสอนวา อยาไวใ จมนุษย
ผดุ โผลโ งหนา ยึดแคมเรอื
มันแสนสุดลึกลํ้าเหลือกาํ หนด 15. เมื่อขุนชางถวายฎีการองทุกข ผลของการตัดสินเปน
4. ท้ังจากทีจ่ ากคลองเปนสองขอ D อยา งไร

ยงั จากกอนัน้ ก็ข้ึนในคลองขวาง 1. ขุนชางแพความถูกปรับ
11. ขอใดกลาวถึงวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดีถกู ตอ งทีส่ ุด 2. ขุนชา งชนะความไดน างวันทองคนื
B 1. บันเทงิ คดีมุงใหเกดิ ความสาํ เรงิ อารมณเทา นัน้ 3. ขุนแผนชนะความไดนางวันทองคืน
4. พระพนั วษาส่งั ประหารชีวิตนางวนั ทอง
2. บันเทิงคดีมิไดม ุงใหค วามรหู รอื ความคดิ เห็นใดๆ 16. เหตุใดพระราชนิพนธเรื่องอิเหนาจึงมีบทบรรยายทั้งบท
3. บนั เทงิ คดีไมม สี าระในดา นปรชั ญา การเมอื ง C อาบน้ําแตงตัว บทเดินทางชมปา และบทเก้ยี วพาราสี
1. เพราะเปนบทเสภา
หรือประวตั ิศาสตร 2. เพราะเปน บทละครใน
4. บนั เทงิ คดจี ะตอ งมเี นอื้ หากระทบอารมณผ อู า นจนทาํ ให 3. เพราะเปน บทละครนอก
4. เพราะเปนบทพระราชนิพนธ
เกดิ ความสาํ เรงิ อารมณ

(9) โครงการวัดและประเมินผล


17. ขอใดไมม ี คาํ แสดงภาพพจนอ ปุ มา 21. คาํ ท่ีขดี เสนใตใ นขอใดไมมี ความหมายกลาวถงึ ขนุ ชาง
D 1. กองไฟสวางดังกลางวัน D 1. วันนัน้ แพก ูเมอ่ื ดําน้ํา
หมายสําคญั ตรงมาหนาประตู
2. จบั ใจดังหวั ใจจะพังพอง กก็ ริ้วซํ้าจะฆา ใหเ ปน ผี
ขยบั จองดาบงา อยากฆา ฟน 2. มาอยไู ยกบั อา ยหนิ ชาติ
3. ถาคิดเห็นเอ็นดูวาลูกเตา
แมท นู เกลา ไปเรอื นอยาเชือนเฉย แสนอบุ าทวใจจติ รษิ ยา
4. มคิ วรทําเจา อยาทาํ ใหราํ คาญ 3. ฝา ยพอมบี ุญเปนขนุ นาง
อยาอาจหาญเหมอื นพอ นกั คะนองใจ
แตแมไปแนบขา งคนจัญไร
18. บทประพันธในขอ ใดมีลักษณะเปนคําสั่ง 4. พรากใหพนคนอบุ าทวชาติอปั รยี 
F 1. อาจองทะนงตวั ไมก ลัวภยั
นพ่ี อใชฤ ๅวา เจามาเอง ย่ิงคิดยง่ิ มคี วามโกรธา
2. ใสดาลบา นชอ งกองไฟรอบ 22. วรรณคดเี ร่ืองขนุ ชา งขุนแผน ตอนขุนชางถวายฎกี า
พอ ชางลอบเขา มากระไรได F ใหขอ คิดในเรอ่ื งใดชัดเจนทสี่ ดุ
3. มธี รุ ะสิ่งไรในใจเจา
โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ พอจงเลา แกแ มแ ลวกลบั บา น 1. การทาํ ส่ิงใดอยาวูว ามจะทําใหเกดิ ผลเสียได
4. เจา มาไยปา นนน้ี ี่ลกู อา 2. การใชอ ํานาจในทางที่ผิดยอ มทําลายชีวิตคนได
เขารักษาอยทู กุ แหง ตําแหนง ใน 3. ผหู ญงิ ไมว ายุคใดสมัยใดมกั เปนเพศทเี่ สยี เปรยี บ
4. การทาํ สิง่ ใดควรตดั สนิ ใจใหเดด็ ขาดอยางมีเหตผุ ล
19. บทประพนั ธใ นขอ ใดแสดงถงึ ความทกุ ขใ จของตวั ละครมาก 23. คํากลา วในขอใดที่ทําใหนางวนั ทองยอมไปกบั พลายงาม
F ทสี่ ุด D 1. จะตดั เอาศีรษะของแมไ ป

1. ใชจะอ่ิมเอบิ อาบดวยเงินทอง ทง้ิ แตต ัวไวใหอ ยนู ่ี
มิใชข องตัวทาํ มาแตไหน 2. เหมอื นไมมีรกั ใครในลูกยา
ทงั้ ผคู นชา งมาแลขาไท
ไมรักใครเหมอื นกบั พอพลายงาม อตุ สาหม ารบั แลวยังมิไป
2. ทุกวันนี้ใชแมจ ะผาสกุ 3. แมน มไิ ปใหง ามกต็ ามใจ
มีแตท กุ ขใจเจ็บดังเหนบ็ หนาม
ตอ งจาํ จนทนกรรมที่ตดิ ตาม จะบาปกรรมอยา งไรก็ตามที
จะขืนความคดิ ไปก็ใชท ี 4. เสียแรงเปนลกู ผูชายไมอายเพ่อื น
3. ท่ีจริงใจถงึ ไปอยูเรือนอนื่
คงคิดคนื ที่หมอมเปนแมนมั่น จะพาแมไ ปเรอื นใหจ งได
ดว ยรกั ลกู รักผวั ยังพวั พนั 24. สมเดจ็ พระพันวษาทรงกร้ิวพลายงามเพราะเหตใุ ด
คราวนนั้ ก็ไปอยูเพราะจาํ ใจ D 1. นม่ี งึ หนีมันมาฤๅวา ไร
4. แคน คดิ ดว ยมติ รไมรกั เลย
ยามมที เี่ ชยเฉยเสยี ได ฤๅวา ใครไปรบั เอามึงมา
เสียงแรงรวมทุกขย ากกนั กลางไพร 2. อีวนั ทองกูใหอายแผนไป
กินผลไมตา งขา วทกุ เพรางาย
อายชา งบงั อาจใจทาํ จลู ู
20. บทประพนั ธใ นขอ ใดมคี ําเลยี นเสียงธรรมชาติ 3. ตกวากูหาเปนเจา ชวี ติ ไม
D 1. ไดยินเสียงฆองยํ่าประจําวงั ลอยลมลอ งดงั ถงึ เคหา
มงึ ถอื ใจวาเปนเจาที่โรงโขน
2. นา้ํ คา งตกกระเซน็ เยน็ เยอื กใจ สงดั เสยี งคนใครไมพ ดู จา 4. อายหมื่นไวยทาํ ใจอหงั การ
3. มแี ตห ลบั เพอ ละเมอฝน ทง้ั ไฟกองปอ งกนั ทกุ แหง หน
4. เรณฟู รู อ นขจรใจ ยา งเทา กา วไปไมโ ครมคราม ตกวาบานเมืองไมมนี าย

25. โจนลงกลางชานรา นดอกไม ของขนุ ชา งปลกู ไวอ ยดู าษดนื่
E บทประพนั ธน คี้ วรแกไ ขเรอ่ื งเสยี งวรรณยกุ ตอ ยา งไร จงึ จะ

ทาํ ใหบ ทประพันธม คี วามไพเราะย่งิ ขนึ้
1. คาํ สุดทายของวรรคสดบั ควรเปน เสยี งสามญั
2. คําสุดทายของวรรคสดบั ควรเปน เสียงจัตวา
3. คําสุดทา ยของวรรครับควรเปน เสียงจัตวา
4. คาํ สดุ ทายของวรรครบั ควรเปน เสียงตรี

โครงการวัดและประเมินผล (10)


26. บทประพนั ธในขอใดมีคําท่ปี ระสมดวยสระประสม 32. เพราะเหตใุ ดกวนอูจงึ ตดั สินใจรบั ราชการกบั โจโฉ โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ
E มากทีส่ ดุ C 1. เพอื่ เปนทหารเอกของโจโฉ

1. กระดึงพรวนลว นสกั หลาดทบั 2. เพ่อื เอาใจออกหางจากเลาป
2. ดาวประดบั ดวงเดน ดสู ลอน 3. เพอื่ ตอบแทนบุญคณุ แลว จากไป
3. สลกั เสลาเกลาเกลีย้ งอรชร 4. เพอื่ แสดงความจงรกั ภักดีตอ พระเจา เห้ยี นเต
4. เชอื กใชไ วซ อนสลับกนั 33. ในเรอื่ งสามกก เหตกุ ารณใ ดทโ่ี จโฉมนั่ ใจวา ตนไมส ามารถ
27. แผน ดนิ ทก่ี ลา วถงึ ในเรอื่ งสามกก อยใู นรชั สมยั ของกษตั รยิ  D ผูกใจกวนอูได
B พระองคใ ดและราชวงศใ ด 1. กวนอปู ฏเิ สธไมยอมออกรบกบั เลา ป
1. พระเจาเลนเต ราชวงศจ น๋ิ 2. กวนอูแสดงความดีใจท่ีโจโฉมอบมาเซก็ เธาวให
2. พระเจา เลนเต ราชวงศห มิง 3. กวนอเู คารพและซอ่ื สตั ยต อ ฮหู ยนิ ทง้ั สองอยา งสจุ รติ ใจ
3. พระเจาเหีย้ นเต ราชวงศฮ น่ั 4. กวนอสู วมเสอื้ ตัวใหมที่โจโฉมอบใหไวข างใน
4. พระเจา เหย้ี นเต ราชวงศว ยุ
28. เร่อื งสามกก เปน วรรณคดที ม่ี ลี กั ษณะอยางไร และสวมเสอื้ ตวั เกาท่เี ลา ปใหไวข า งนอก
B 1. เปน เรื่องแปล
2. เปน เรือ่ งแตงขึน้ ใหม 34. โจโฉจึงใหกวนอูกับภรรยาเลาปท้ังสองน้ันอยูเรือน
3. เปน เร่ืองท่ีนาํ มาจากนิทานพนื้ บา นของจนี E เดยี วกัน หวงั จะใหก วนอคู ดิ ทํารายพสี่ ะใภ นา้ํ ใจจะได
4. เปนเรื่องทแ่ี ตงโดยนาํ เคาโครงมาจากวรรณคดีของจนี
แตกออกจากเลา ปจ ะไดเปน สิทธ์แิ กตัว
29. “ถึงมาตรวาเปน ทางกนั ดารจะตอ งขามมหาสมทุ ร
C แลลุยเพลงิ ก็ดี จะไปหาใหจงได” จากเหตกุ ารณข างตนแสดงใหเห็นวา โจโฉมจี ดุ มุงหมาย
อยางไร
ขอความขา งตน นีส้ มั พนั ธก ับตัวละครในขอใด 1. ตอ งการไดฮหู ยินเปนของตน
1. กวนอู - เลาป 2. ตอ งการใหก วนอสู วามภิ ักดิ์ตอ ตน
2. กําฮหู ยนิ - เลาป 3. ตอ งการใหก วนอูคิดไมซ ่ือตอ ฮหู ยนิ
3. เตียวเลย้ี ว - กวนอู 4. ตองการใหกวนอปู ระทุษรา ยฮหู ยินเพื่อแกแคนเลา ป
4. กวนอู - พระเจาเห้ียนเต 35. เรื่องสามกกฉบับเจาพระยาพระคลัง (หน) ไดรับยกยอง
30. ขอใดไมใช ขอ คิดท่ีไดจากวรรณคดเี รอื่ งสามกก B จากวรรณคดีสโมสรใหเ ปน ยอดของวรรณคดีประเภท
F 1. ความซอ่ื สตั ยเปน พื้นฐานของคณุ ธรรมอน่ื ๆ 1. เรื่องแปลจนี
2. การจงรกั ภักดีตอ กษัตรยิ  ทแ่ี มแตชีวติ ก็สละได 2. ความเรยี งนทิ าน
3. การรกั ษาวาจาสตั ยจ ะทําใหผ ูอน่ื เชอ่ื ถือและศรัทธา 3. ความเรยี งตาํ นาน
4. ความกตัญูตอผูมีพระคุณจะมีความสุขความเจริญ 4. ความเรียงเชิงอธิบายความ
36. เพราะเหตุใดโจโฉจึงตอ งการกวนอูมาเปน ทหารของตน
ในชวี ติ C 1. กวนอูมีความซื่อสตั ย
2. กวนอมู คี วามรรู อบดา น
31. “ธรรมดาเกดิ มาเปน ชายใหร จู กั ทห่ี นกั ทเี่ บา ถา ผใู ดมไิ ด 3. กวนอูมคี วามกตญั รู คู ณุ
B รจู กั ท่ีหนักทเ่ี บา คนทัง้ ปวงกล็ ว งติเตยี นวา ผูน ั้นหาสติ 4. กวนอมู ีฝม อื กลาหาญในการสงคราม
37. ขอ ใดมคี วามหมายตรงกบั สาํ นวนไทยวา “ตดั ไฟแตต น ลม”
ปญญาไม” D 1. ลกู นกอันขนปกยังไมข ้ึนพรอม
2. จะมาตีตวั ตายกอ นไขน ้นั ไมค วร
จากขอ ความขา งตน คาํ ที่ขีดเสน ใตห มายถงึ ขอ ใด 3. อุปมาเหมือนหนง่ึ ลุยเพลงิ อนั สกุ
1. บุญคณุ 2. ภารกิจ 4. อนั ความคดิ ของอว นเสย้ี วนนั้ ถา จะทาํ การสงิ่ ใดกร็ วดเรว็
3. กาํ ลังรบ 4. อาวุโส

(11) โครงการวัดและประเมินผล


38. ขอ ใดไมเก่ยี วกบั เนอ้ื หาเร่อื งสามกก 40. จากวรรณคดีเรอ่ื งสามกก ชอื่ ตัวละครในขอ ใดมีจาํ นวน
D 1. การปกครองบานเมือง E พยางคท ่ีมเี สยี งวรรณยุกตต รงกบั รูปวรรณยุกตมากทส่ี ดุ

2. การสูรบโดยมหี ญิงสาวเปนชนวน 1. เตยี วหุย ลโิ ป
3. การแยงอาํ นาจของผปู กครองบานเมือง 2. กวนอู เตียวหุย
4. การใชก ลอุบายทางการเมืองและการสงคราม 3. เลาป เตียวเลี้ยว
39. วรรณคดีเรื่องสามกกมีประโยชนตอการบริหารบานเมือง 4. โจโฉ บิฮหู ยิน
E อยา งไร
1. การรจู ักใชค น
2. การปกครองบานเมือง
3. การใชกลยุทธและไหวพรบิ ทางการทหาร
4. การบรหิ ารบุคคลทง้ั ทางทหารและทางการเมอื ง

โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ

โครงการวัดและประเมินผล (12)


2ตอนท่ี ตอบคําถามใหถกู ตอ ง จาํ นวน 3 ขอ 10 คะแนน ¤Ðá¹¹·èÕ ä´Œ

¤Ðá¹¹àµÁç

10

1. ในการศกึ ษาวรรณคดี คาํ วา “นทิ าน” และ “นิยาย” มีความเหมอื นหรอื แตกตา งกันอยา งไร อธิบายใหช ดั เจน (3 คะแนน) โครงการ ูบรณาการ แบบทดสอบ

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. จากวรรณคดเี รอ่ื งขนุ ชา งขนุ แผน ตอนขนุ ชา งถวายฎกี านี้ นกั เรยี นจะมกี ลวธิ ปี รบั เปลยี่ นแกไ ขเนอ้ื หาอยา งไร เพอื่ ไมใหต วั เอก
ของเร่อื งคอื นางวันทองตอ งถูกตดั สินประหารชีวติ (4 คะแนน)

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. จากวรรณคดีเรอ่ื งสามกก ตอนกวนอูไปรบั ราชการกบั โจโฉ นักเรยี นไดขอคดิ อะไรบา ง และสามารถนําขอ คดิ ดังกลาวไปใช
ประโยชนไดอ ยางไร (3 คะแนน)

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

(13) โครงการวัดและประเมินผล


Click to View FlipBook Version