ประวัติและผลงาน ของชาวต่างชาติในประเทศไทย เล่ม ๔ กรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช ๒๕๖๖
ประวัติและผลงาน ของชาวต่างชาติในประเทศไทย เล่ม ๔ เรียบเรียงโดย นางสาวนันทพร บรรลือสินธุ์ นางสาวรัตติกาล สร้อยทอง นางสาวปภัชกร ศรีบุญเรือง นางสาวกมลทิพย์ชัยศุภมงคลลาภ นางสาวพัชรา สุขเกษม นายเชิดพงศ์สุทธิวงษ์ กรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช ๒๕๖๖
ที่ปรึกษา นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นายสถาพร เที่ยงธรรม รองอธิบดีกรมศิลปากร นางรักชนก โคจรานนท์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายบพิตร วิทยาวิโรจน์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นางพูนทิพย์สร้อยสุวรรณ ผู้อ�ำนวยการส�ำนักบริหารกลาง นางสาวศิริรัตน์ทวีทรัพย์ ผู้อ�ำนวยการส�ำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ผู้ตรวจพิจารณาต้นฉบับ นายธีระ แก้วประจันทร์ อดีตผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอักษรศาสตร์ (ประวัติศาสตร์และจารีตประเพณี) ที่ปรึกษาศิลปกรรม นางจิตรา กาญจนะคูหะ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส ผู้อ�ำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน กองโบราณคดี บรรณาธิการ นางสาวนันทพร บรรลือสินธุ์ ผู้อ�ำนวยการกลุ่มแปลและเรียบเรียง นางสาวกมลทิพย์ชัยศุภมงคลลาภ นักอักษรศาสตร์ช�ำนาญการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง ผู้ค้นคว้าเรียบเรียง นางสาวนันทพร บรรลือสินธุ์ ผู้อ�ำนวยการกลุ่มแปลและเรียบเรียง นางสาวรัตติกาล สร้อยทอง นักอักษรศาสตร์ช�ำนาญการพิเศษ กลุ่มแปลและเรียบเรียง นางสาวปภัชกร ศรีบุญเรือง นักอักษรศาสตร์ช�ำนาญการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง นางสาวกมลทิพย์ชัยศุภมงคลลาภ นักอักษรศาสตร์ช�ำนาญการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง นางสาวพัชรา สุขเกษม นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง นายเชิดพงศ์สุทธิวงษ์ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง พิมพ์ที่ บริษัท อมรินทร์คอร์เปอเรชั่นส์จ�ำกัด (มหาชน) 376 ถนนชัยพฤกษ์(บรมราชชนนี) เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 โทรศัพท์0 2422 9000, 0 2882 1010 โทรสาร 0 2433 2742 E-mail: [email protected] Website: http://www.amarin.com ประวัติและผลงานของชาวต ่างชาติในประเทศไทย เล่ม ๔. -- กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๖๖. ๒๔๐ หน้า. ๑. ชีวประวัติ I. ชื่อเรื่อง. 920 ISBN 978-616-283-694-7 กรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๖๖ จ�ำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม ลิขสิทธิ์ของกรมศิลปากร ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติในประเทศไทย เล่ม ๔
คํานํา นับแต ่อดีตชาติไทยเรามีการติดต ่อกับชาวต ่างชาติที่เข้ามาเจริญ สัมพันธไมตรีกันอย ่างต ่อเนื่อง ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ นี้บางส่วนได้แสดงความรู้ความสามารถจนได้เข้ามา รับราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัย รัตนโกสินทร์ ประเทศไทยได้รับแรงกดดันจากลัทธิจักรวรรดินิยมของชาติ มหาอ�ำนาจในยุโรป จึงจ�ำเป็นต้องปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ในหมู ่ชาติอารยะ ในช่วงแรกของการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย ซึ่งตรงกับ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ทรงตระหนักถึง ความจ�ำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องได้รับวิทยาการสมัยใหม่จึงได้มีการส่งนักเรียน ไทยไปศึกษาองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากต่างประเทศที่มีความเจริญมากกว่า ขณะเดียวกันก็มีการว ่าจ้างชาวต ่างชาติจ�ำนวนมากมาเป็นที่ปรึกษาและเพื่อ วางรากฐานงานราชการแผ่นดินต่าง ๆ ให้ทันสมัย บรรดาชาวต่างชาติที่เข้ามารับราชการในประเทศไทยนี้ ได้สร้างผลงาน และท�ำคุณประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นอันมาก ทั้งยังเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาท ถ่ายทอดวิชาความรู้สมัยใหม่ให้แก่คนไทยรุ่นต่อ ๆ มาได้น�ำมาใช้ปฏิบัติงาน และพัฒนางานของประเทศชาติได้ด้วยตนเอง จนประเทศมีความเจริญก้าวหน้า สืบมาเป็นล�ำดับ จึงสมควรน�ำประวัติและผลงานของชาวต่างชาติเหล่านี้มาเผยแพร่ ให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนชาวไทยได้ทราบทั่วกัน อีกทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับ ผลงานของชาวต่างชาติที่ท�ำประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยนี้ยังช่วยเพิ่มเติมข้อมูล ด้านประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงพัฒนาการของประเทศ ซึ่งเป็นหลักฐานที่มีคุณค่า อย่างยิ่ง และเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษาค้นคว้าการพัฒนากิจการด้านต่าง ๆ
(ข) ของไทยที่สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยหลากหลาย มิติกรมศิลปากรได้เคยน�ำประวัติและผลงานของชาวต่างชาติบางคนที่ส�ำนัก วรรณกรรมและประวัติศาสตร์ค้นคว้าเรียบเรียงไว้มาจัดพิมพ์เผยแพร ่ไปแล้ว ในหนังสือ “ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติในประเทศไทย” เล่ม ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓ เล่ม ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ และเล่ม ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามล�ำดับ ในครั้งนี้กรมศิลปากรได้รวบรวมประวัติและผลงานของชาวต่างชาติที่ได้เรียบเรียง ขึ้นใหม่ จ�ำนวน ๖ เรื่อง น�ำมาจัดพิมพ์เผยแพร่โดยให้ชื่อเรื่องว่า “ประวัติและ ผลงานของชาวต่างชาติในประเทศไทยเล่ม ๔”โดยได้จัดเรียงเรื่องราวไปตามระยะ เวลาก่อนหลังของการเดินทางมายังประเทศไทยของชาวต่างชาติแต่ละคน ดังนี้ ๑. พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี(คอซู้เจียง) จางวางก�ำกับราชการ เมืองระนองคนแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ค้นคว้าเรียบเรียงโดย นายเชิดพงศ์สุทธิวงษ์ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง นายคอซู้เจียง เป็นชาวจีนฮกเกี้ยนอพยพมาจากประเทศจีน เริ่มต้น ท�ำการค้าและเกษตรกรรมที่เกาะปีนัง ต่อมาได้เข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน ในประเทศไทยที่เมืองพังงา แล้วย้ายมาที่เมืองระนอง จึงได้ท�ำกิจการเหมืองแร่ ดีบุกและเป็นนายอากรดีบุกเมืองระนอง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้เป็นเจ้าเมืองระนองคอซู้เจียงด�ำรงต�ำแหน่ง เจ้าเมืองระนองเรื่อยมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี นับได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในการพัฒนาเมืองระนองให้มีความเจริญรุ่งเรือง จากป่าสู่เมืองด้วยการค้า ทั้งยังเป็นต้นตระกูล ณ ระนอง มีทายาทรับราชการ สนองพระเดชพระคุณจนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยหลายคน หนึ่งในนั้นคือ พระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี(คอซิมบี้) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นบิดา แห่งยางพาราไทย
(ค) ๒. พระยาวาสุเทพ (Gustav Schau) เจ้ากรมต�ำรวจภูธรคนแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ค้นคว้าเรียบเรียงโดย นางสาวนันทพร บรรลือสินธุ์ นักอักษรศาสตร์ช�ำนาญการพิเศษ กลุ่มแปลและเรียบเรียง ร้อยเอก กุสตาฟ เชา นายทหารชาวเดนมาร์ก เข้ามารับราชการใน ประเทศไทยรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัว รัชกาลที่ ๕ ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้ากรมต�ำรวจภูธร เป็นเจ้ากรมต�ำรวจภูธรคนแรกของไทยและ เป็นชาวต่างชาติคนเดียวนับตั้งแต่สถาปนากรมต�ำรวจภูธร ได้รับพระราชทาน บรรดาศักดิ์เป็นพระยาวาสุเทพ เป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในการวางรากฐานและ จัดระเบียบแบบแผนกรมต�ำรวจภูธรให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานยุโรป และ ด�ำริให้มีการจัดตั้งโรงเรียนนายร้อยต�ำรวจภูธรขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จนพัฒนาเป็นสถาบันการศึกษาที่ส�ำคัญของประเทศคงอยู่คู่กับกิจการต�ำรวจไทย จวบจนปัจจุบัน พระยาวาสุเทพรับราชการเรื่อยมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู ่หัว รัชกาลที่ ๖ ด�ำรงต�ำแหน ่งพลตรีพระยาวาสุเทพ อธิบดีกรมต�ำรวจภูธร ๓. นายคาร์ล เบทเก (Karl Bethge) เจ้ากรมรถไฟคนแรก ในสมัย รัชกาลที่ ๕ ค้นคว้าเรียบเรียงโดย นางสาวปภัชกร ศรีบุญเรือง นักอักษรศาสตร์ช�ำนาญการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง นายคาร์ล เบทเก เป็นวิศวกรชาวเยอรมันที่มีความเชี่ยวชาญด้านการ ก่อสร้างทางรถไฟ เข้ามารับราชการในประเทศไทยต�ำแหน่งเจ้ากรมรถไฟใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นผู้มีบทบาท
(ง) ส�ำคัญในการวางรากฐานกิจการรถไฟ โดยบริหารงานในกรมรถไฟมาเป็น ระยะเวลาถึง ๑๐ ปีผลงานที่ส�ำคัญคือ การส�ำรวจและก่อสร้างทางรถไฟสาย กรุงเทพฯ – นครราชสีมา ซึ่งเป็นทางรถไฟสายแรกของประเทศไทย ๔. นายเออร์เนสต์ ยัง (Ernest Young) ครูชาวอังกฤษ ในสมัย รัชกาลที่ ๕ ค้นคว้าเรียบเรียงโดย นางสาวกมลทิพย์ชัยศุภมงคลลาภ นักอักษรศาสตร์ช�ำนาญการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง นายเออร์เนสต์ยัง เป็นครูชาวอังกฤษที่เข้ามารับราชการในประเทศไทย รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัว รัชกาลที่ ๕ มีบทบาทใน ฐานะอาจารย์ใหญ่ที่มีส่วนร่วมในการวางแนวทางการศึกษาแบบสมัยใหม่ของไทย ในโรงเรียนส�ำคัญ ๓ แห่งคือ โรงเรียนพระต�ำหนักสวนกุหลาบฝ ่ายอังกฤษ สถานศึกษาชั้นน�ำส�ำหรับเตรียมกุลบุตรเข้ารับราชการหรือศึกษาต่อในระดับสูง โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ซึ่งเป็นวิทยาลัยครูแห่งแรกของประเทศไทยและโรงเรียน แผนที่ของกรมแผนที่ซึ่งมีภารกิจในการผลิตบุคลากรในงานส�ำรวจและท�ำแผนที่ ของไทยผลงานส�ำคัญของนายเออร์เนสต์ยังคือการแต่งต�ำราเรียนวิชาภูมิศาสตร์ และคณิตศาสตร์ทั้งยังเป็นผู้มีส่วนในการสร้างบุคลากรทางการศึกษาที่มีบทบาท ส�ำคัญของประเทศไทยในเวลาต่อมา อาทิเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี(สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการและพระยาโอวาทวรกิจ(เหม ผลพันธิน) ผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงศึกษาธิการ
(จ) ๕. นายอาร์เธอร์ จอห์น อเล็กซานเดอร์ จาร์ดีน (Arthur John Alexander Jardine) อธิบดีกรมกองตระเวน ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ค้นคว้าเรียบเรียงโดย นางสาวรัตติกาล สร้อยทอง นักอักษรศาสตร์ช�ำนาญการพิเศษ กลุ่มแปลและเรียบเรียง นาย เอ. เจ. เอ. จาร์ดีน นายกองตระเวนชาวอังกฤษ เข้ามารับราชการ ในประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ต�ำแหน่งอธิบดีกรมกองตระเวน กระทรวงนครบาล รับผิดชอบด้านการตรวจตรา รักษาความสงบเรียบร้อยและการปราบปรามโจรผู้ร้าย เป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในงานกองตระเวนและน�ำหลักการบริหารอย่างประเทศตะวันตก เข้ามาปรับปรุงกรมกองตระเวนไทยให้เจริญก้าวหน้าและสร้างขวัญก�ำลังใจแก่ บุคลากรยิ่งขึ้น เช่น การปรับปรุงโครงสร้างบริหารงาน การกำ� หนดเครื่องแบบใหม่ การร่างข้อบังคับต่างๆการปรับปรุงอัตราเงินเดือนและสวัสดิการเป็นต้น ผลงาน ของเขาจึงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนากิจการต�ำรวจไทยให้เป็นมาตรฐานสากล สืบต่อมาจนปัจจุบัน ๖. ดร.ฮิวแมกคอร์มิกสมิท (Dr. Hugh McCormickSmith) ที่ปรึกษา ด้านการเพาะพันธุ์ปลา และเจ้ากรมรักษาสัตว์น�้ำคนแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ค้นคว้าเรียบเรียงโดย นางสาวพัชรา สุขเกษม นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง ดร.ฮิว แมกคอร์มิก สมิท ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงชาวอเมริกัน เข้ามา รับราชการในประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ต�ำแหน่งที่ปรึกษาด้านการเพาะพันธุ์ปลา เมื่อมีการตั้งกรมรักษา สัตว์น�้ำ สังกัดกระทรวงเกษตราธิการ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
(ฉ) เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ดร.สมิทได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมรักษาสัตว์น�้ำคนแรก เป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในการอนุรักษ์และการศึกษาเรื่องสัตว์น�้ำในประเทศไทย เช่น การพัฒนาบึงบอระเพ็ดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์พืชพรรณสัตว์น�้ำ การเก็บรวบรวม ตัวอย่างปลาในแหล่งน�้ำ และจัดพิมพ์หนังสือเรื่องปลาในประเทศไทย กรมศิลปากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเรื่อง “ประวัติและผลงานของ ชาวต่างชาติในประเทศไทยเล่ม ๔”จะอ�ำนวยประโยชน์ให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนโดยทั่วกัน (นายพนมบุตร จันทรโชติ) อธิบดีกรมศิลปากร ส�ำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ มิถุนายน ๒๕๖๖
สารบัญ ค�ำน�ำ ก พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี(คอซู้เจียง) ๑ จางวางก�ำกับราชการเมืองระนองคนแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระยาวาสุเทพ (Gustav Schau) ๕๕ เจ้ากรมต�ำรวจภูธรคนแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นายคาร์ล เบทเก (Karl Bethge) ๙๙ เจ้ากรมรถไฟคนแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นายเออร์เนสต์ยัง (Ernest Young) ๑๒๙ ครูชาวอังกฤษ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นายอาร์เธอร์จอห์น อเล็กซานเดอร์จาร์ดีน ๑๗๓ (Arthur John Alexander Jardine) อธิบดีกรมกองตระเวน ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ดอกเตอร์ฮิว แมกคอร์มิก สมิท (Dr. Hugh McCormick Smith) ๒๐๓ ที่ปรึกษาด้านการเพาะพันธุ์ปลา และเจ้ากรมรักษาสัตว์น�้ำคนแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๗
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง : 許泗漳) จางวางกำ กับราชการเมืองระนองคนแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 2 ความต้องการดีบุกของตลาดโลก และการเข้ามาของชาวจีนในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้สมัยรัชกาลที่ ๓ จากเอกสารและหลักฐานของชาวต ่างชาติและชาวไทยจ�ำนวน หลายฉบับ กล่าวถึงเรื่องราวของการท�ำแร่ดีบุกว่าปรากฏครั้งแรกใน สมัยอยุธยาช่วงรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่๒ โดยราชสำ� นักอยุธยาได้ท�ำสัญญา ทางพระราชไมตรีกับโปรตุเกส ตลอดจนมีพระบรมราชานุญาตให้ชาวโปรตุเกส สามารถตั้งห้างรับซื้อแร ่ดีบุกในพระราชอาณาจักรได้1 นอกจากนี้ยังปรากฏ หลักฐานการน�ำแร่ดีบุกมาใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ใช้ดาดหลังคาพระที่นั่ง บางองค์ในสมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือใช้ผลิตเหรียญกษาปณ์ ดีบุกยังเป็นหนึ่งในเครื่องราชบรรณาการซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งไป เจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศสอีกด้วย2 เหตุการณ์ส�ำคัญที่บันทึกถึงกระแสความต้องการดีบุกเพิ่มมากขึ้น ในตลาดโลกจนทำ� ให้เกิดการหลั่งไหลเข้ามาของชาวจีนโพ้นทะเลสู่ภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้คือ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยปีเตอร์ ดูรองต์ (Peter Durand) พ่อค้าชาวอังกฤษ ใน พ.ศ. 2353 ว่าบรรจุภัณฑ์ โลหะที่เคลือบด้วยดีบุกสามารถป้องกันการเกิดสนิมได้3 ส่งผลให้อุตสาหกรรม ผลิตบรรจุภัณฑ์ส�ำหรับอาหารมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนแหล่งผลิตดีบุก ในคอร์นวอลล์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษไม ่สามารถผลิตดีบุก ๑ กรมทรัพยากรธรณี, ธรณีวิทยาแหล่งแร่ดีบุกและแร่หายากบริเวณภาคใต้ของ ประเทศไทย (กรุงเทพฯ: กรมทรัพยากรธรณี, 2543), หน้า 1.2 กรมทรัพยากรธรณี,“ดีบุก:ธรณีวิทยาแหล่งแร่และสถานการณ์,”วารสารเศรษฐ ธรณีวิทยา 1, 6 (มิถุนายน 2542): 1. 3 พวงทิพย์เกียรติสหกุล, “กิจการเหมืองแร่ของชาวจีนในมณฑลภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๐๐ - ๒๔๗๔,” วารสารอักษรศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร 19, 1 - 2 (2540): 73.
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 3 ได้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จึงต้องมีการรับซื้อดีบุกจากภูมิภาคอื่น รวมถึงดินแดนอาณานิคมของอังกฤษในแหลมมลายู เป็นผลให้ในเวลาต่อมา มีชาวจีนฮกเกี้ยนจากเกาะปีนังจ�ำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาเป็นกรรมกรเหมืองแร่ ในบริเวณหัวเมืองภาคใต้ฝั ่งตะวันตก4 จนต่อมาชาวจีนฮกเกี้ยนหลายคนได้ เปลี่ยนแปลงฐานะทางเศรษฐกิจจากกุลีหรือกรรมกรจนกลายเป็นนายเหมือง หรือกระทั่งเจ้าเมืองในเวลาต่อมา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือบุรุษชาวจีนฮกเกี้ยนจากเมือง เจียงจิวนามว่า “คอซู้เจียง” 4 ขวัญจิต ศศิวงศาโรจน์, สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ : ฮกเกี้ยน (กรุงเทพฯ: สหธรรมิก, 2543), หน้า 6. ก้อนแร่ดีบุกบริสุทธิ์ที่ถลุงแล้ว โดยบริษัท ไทยแลนด์สเมลติ้ง แอนด์รีไฟนิ่ง จ�ำกัด (THAISARCO) ซึ่งเป็นโรงงานถลุงดีบุกเอกชนแห่งแรก ๆ ในประเทศไทย
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 4 จากบ้านเกิดออกมาเผชิญโลก คอซู้เจียง (許泗漳 : Khaw Soo Cheang5 ) ชาวจีนฮกเกี้ยน เกิด ณ บ้านแอชู ่6 อ�ำเภอเหลงเข ่7 เมืองเจียงจิว8 มณฑลฮกเกี้ยน จักรวรรดิชิง ตรงกับวันที่ ๒๕ เดือน ๑๑ ปีมะเส็ง ตามปฏิทินจันทรคติจีน9 เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลของจักรพรรดิเจียชิ่งแห่งราชวงศ์ชิง ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๔๐ 10 เมื่อเติบโตเป็นชายหนุ่ม รุ่นฉกรรจ์คอซู้เจียงเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมลับ11 5 คอซู้เจียง (Khaw Soo Cheang) เป็นชื่อในภาษาฮกเกี้ยนของนายซู้เจียง แซ ่คอ ในภาษาจีนกลางอ ่านออกเสียงว ่า สวี่สือจาง ส่วนแซ่คอ (許) เป็นการ ออกเสียงในภาษาฮกเกี้ยน ซึ่งสามารถออกเสียงว่า คอ ขอ หรือข้อ ภาษาแต้จิ๋วออกเสียง ค�ำนี้ว่า โค้ว และในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า สวี่6 ในภาษาจีนกลางอ่านว่า เสี่ย ยู่ เฉอ (Xia Yu She) 7 ในภาษาจีนกลางอ่านว่า หลงซี(Longxi) ปัจจุบันคืออ�ำเภอหลงไห่ (Longhai District : 龍海) 8 เจียงจิว (漳州 : Zhang Zhou) เป็นชื่อของเมืองจางโจวในภาษาฮกเกี้ยน อยู่ห่างจากเมืองเอ้หมึง (Amoy) หรือเซี่ยะเหมิน (Xiamen)ซึ่งเป็นเมืองท่าส�ำคัญของมณฑล ฝูเจี้ยนประมาณ ๔๐ กิโลเมตร9 Ching-hwang Yen, Ethnic Chinese Business in Asia: History, Culture and Business Enterprise (Singapore: World Scientific Publishing Company, 2013), p. 258. 10 เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช11 Lim Kwee Phaik, Life at Chakrabongse House (New South Wales: Piccadilly Print, 2011), p. 24.
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 5 ชื่อว่า“พรรคเสี่ยวเต้าหุ้ย”แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า พรรคมีดเล็ก12 มีอุดมการณ์ ในการต่อต้านการปกครองของรัฐบาลราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นชาวแมนจูและฟื้นฟู ราชวงศ์หมิงที่เป็นชาวฮั่นให้กลับมาปกครองประเทศจีน ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยกันดี ในประโยค“ต้านชิงกู้หมิง”ต่อมาสมาชิกของพรรคเสี่ยวเต้าหุ้ยได้ถูกรัฐบาลแมนจู ตามล่าและตั้งค่าหัวทั้งจับเป็นและจับตายในช่วงเวลานั้นชาวฮกเกี้ยนจ�ำนวนมาก จากเมืองเอ้หมึงซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเกิดของคอซู้เจียงไม่มากได้อพยพย้ายถิ่นฐาน เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว ่าในแผ ่นดินอื่น เช่น ปีนัง หัวเมืองมลายูและสยาม ด้วยเหตุนี้จึงท�ำให้คอซู้เจียงในวัย ๒๕ ปีต้องออกเดินทางมายังมหาสมุทรแดนใต้ หรือหนานหยาง13 โดยจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือเกาะปีนัง เพื่อหลบหนี การถูกจับกุมจากรัฐบาลแมนจูและในขณะเดียวกันก็เป็นหนทางในการแสวงหา ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า นอกจากนี้ยังมีชาติประวัติของคอซู้เจียงปรากฏในหนังสือ มหามุขมาตยานุกูลวงศ์เล่ม ๑ ของก.ศ.ร.กุหลาบ ฉบับปีร.ศ. ๑๒๔ ซึ่งว่าด้วยล�ำดับวงศ์ตระกูล ขุนนางไทยทั้งสิ้นในแผ่นดินสยาม ที่ได้กล่าวถึงประวัติไว้อย่างพิสดาร ดังนี้ 12 พรรคเสี่ยวเต้าหุ้ย หรือพรรคมีดเล็ก (The Small Sword Society : 小刀會) ก่อตั้งขึ้นในช่วงกบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว (太平天國) ช่วงปีพ.ศ. 2393 - 2407 โดยชาวจีน กวางตุ้งและชาวจีนฮกเกี้ยน เป็นสมาคมลับที่ประกอบด้วยความสัมพันธ์แบบระบบเครือญาติ และเครือข่ายของบุคคลที่มีภูมิล�ำเนาเดียวกัน สมาคมลับพรรคเสี่ยวเต้าหุ้ยนี้แตกแขนงมาจาก สมาคมซาฮะ หรือซานเหอในภาษาจีนกลาง (三合會) ซึ่งรู้จักกันในประเทศไทยว่า “อั้งยี่” จุดประสงค์ของสมาคมลับคือต่อต้านการปกครองของรัฐบาลราชวงศ์แมนจูและต่อต้านลัทธิ จักรวรรดินิยม สมาชิกส่วนใหญ่เป็นกรรมกรและพวกกุลีแบกหามตามท่าเรือ โดยมีบรรดา พ่อค้าเป็นแกนน�ำและให้การสนับสนุน13หนานหยาง (南洋) หมายถึง มหาสมุทรใต้ในบริบททางประวัติศาสตร์หมายถึง ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 6 “เดิมพะญารัตนเศรษฐี(จีนค้อเจียง) เปนจีนฮกเกี้ยน แซ่ค้ออยู่ประเทศจีน พะญารัตนเศรษฐี(ค้อเจียง) เมื่อท่าน อยู่เมืองจีนเปนคนก�ำพร้าอะนาถา หาสู้จะมีทรัพย์สินเงินทอง บริบูรณมั่งคั่งไม่ ท่านมีพี่หญิงอยู่คน 1 ร่วมบิดามารดาเดียวกัน ก็มีสามีไปอยู่ต่างบ้านไกลกันมาก เปนขนบธรรมเนียมจีนมีว่า ผู้หญิงจีนมีสามีต้องไปอยู ่บ้านสามีเหตุฉนี้พี่สาวของท ่าน จึ่งได้ไปอยู่บ้านสามีไกลกันกับบ้านท่าน ครั้นอยู่มากาลวันหนึ่งท่านจึ่งคิดว่า จะไปท�ำมาหากิน ในเมืองไทยแต่ขัดขวางด้วยเงินไม่มีจะเสียค่าโสหุ้ยเดินทางไป ให้ตลอดถึงบ้านเมืองไทย ท่านจึ่งได้ไปหาพี่สาวของท่าน ขอเงิน บ้างเล็กน้อย เพื่อจะได้น�ำไปเสียค่าโสหุ้ยที่จะไปก่อการท�ำมา หากินในเมืองไทยพี่สาวของท่านไม่ให้เงินแล้วกลับด่าว่าต่าง ๆ เพราะไม่อยากจะให้ไปยู่เมืองไทยเปนที่ห่างไกลกัน พี่สาวไม่ ให้เงินเลย ให้แต่ขนมจ้างพวงหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจึ่งลาพี่สาว กลับมาจากบ้านแล้วเดินทางมาจากบ้านพี่สาว มาถึงหนทาง สามแยกจึ่งพบปะหญิงชะราผู้หนึ่งซึ่งเปนคนคุ้นเคยชอบพอกัน หญิงชะราผู้นั้นพูจกันกับท่านว่าดั่งนี้“เหตุใดท�ำไมหน้าตา เจ้าจึ่งเศร้าหมองไปมาก?” ท่านจึ่งเล่าเรื่องความตามท่าน ปราร์ถนานั้น ให้หญิงชะราฟังตลอดจนสิ้นทุกประการฝ่ายหญิง ชะรานั้นมีความสงสาน ด้วยเปนผู้รู้จักคุ้นเคยที่ชอบพอกันมา ช้านาน หญิงชะรานั้นจึ่งออกเงินค่าโสหุ้ยให้ท่าน สำ� หรับที่จะได้ ไปให้ถึงเมืองไทยจนตลอด ในทันใดเดี๋ยวนั้นหญิงชะรา ออกอีแปะค่าโกนผมให้สอาดจะได้ไปอยู่เมืองไทย ทั้งให้อีแปะ ค่าขนมรัปทานด้วยวันนั้น เมื่อท่านโกนผมรัปทานขนมเสร็จแล้ว
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 7 ก็เดินมาสู่ที่พักอย่างเดิมบ้านบิดามารดาท่าน ๆ ไปลาญาติมิต ทั่วไปบอกว่าจะไปท�ำมาหากิน อยู่ในเมืองไทยโน้นด้วยความ ขัดขวาง ญาติ์มิตรที่สนิทห่างกันก็หามีความกรุณาไม่ให้ปัน สิ่งของเงินทองข้าวของอะไรไม่ เปนแต่ให้พรด้วยปากเท่านั้น…”14 อย ่างไรก็ตามเป็นที่น ่าสนใจว ่า ประวัติของคอซู้เจียงได้ถูกบันทึกและ ตีพิมพ์ลงในงานเขียนของ ก.ศ.ร. กุหลาบ15 เรื่อง มหามุขมาตยานุกูลวงศ์เล่ม ๑ ซึ่งเรื่องราวส ่วนใหญ ่ในงานเขียนเล ่มนี้ล้วนเป็นประวัติวงศ์ตระกูลและบัญชี 14 ก.ศ.ร. กุหลาบ, มหามุขมาตยานุกูลวงศ์ว่าด้วยล�ำดับวงศ์ตระกูลขุนนางไทย ทั้งสิ้นในแผ่นดินสยาม เล่ม ๑ - ๒ (พระนคร: สยามประเภท, ๒๔๔๘), หน้า ๓๒๖ - ๓๒๗. 15 ก.ศ.ร. กุหลาบ เป็นนามแฝงของนายกุหลาบ ตฤษณานนท์เกิดเมื่อ พ.ศ. 2377 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นบุตรนายเส็งและนางตรุษ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนาง สมัยอยุธยา ได้รับการศึกษาชั้นต้นจากส�ำนักของพระองค์เจ้ากินรีพระราชธิดาในพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากโกนจุกแล้วได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กไล่กาเวลาทรงบาตร ต่อมาบรรพชาเป็นสามเณรและศึกษาต่อในส�ำนักเรียนวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในสมัย รัชกาลที่ ๔ นายกุหลาบถวายตัวเป็นมหาดเล็ก มีโอกาสได้เรียนภาษาต่างประเทศกับสังฆราช ปาลเลอกัวซ์และอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้เรียนการแต่ง โคลง ฉันท์กาพย์กลอน และภาษาไทยชั้นสูงกับขุนสารประเสริฐ (นุช) ภาษาสันสกฤตกับ ขุนทราบาลย์(ทรัพย์)และได้ศึกษางานราชการกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก) เมื่อลาสิกขา แล้วประกอบอาชีพเสมียนรับจ้างที่ห้างฝรั่งหลายแห่งจากนั้นจึงเข้ารับราชการเป็นนายร้อยเอก ในกรมโปลิศท้องน�้ำ นายกุหลาบมีความสนใจศึกษาหาความรู้และการท�ำหนังสือ ต่อมาได้เป็น บรรณาธิการหนังสือสยามประเภท ซึ่งเป็นหนังสือออกรายเดือนรับสมาชิกเฉพาะ มีการถามตอบ ปัญหาต่าง ๆ กับผู้อ่าน ลงความรู้ใหม่ ๆ รวมทั้งบทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี เกร็ดชีวประวัติบุคคล นายกุหลาบได้เป็นบรรณาธิการหนังสือสยามออบเซอร์เวอร์อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทยอย่างไรก็ตามนักวิชาการหลายท่านตั้งข้อสังเกตว่า งานเขียนของ ก.ศ.ร. กุหลาบ มีการคัดลอกหนังสือของผู้อื่นมาปรับเปลี่ยนแก้ไขบางส่วน ให้แตกต่างจากเดิมเพื่อตีพิมพ์จนเป็นที่มาของส�ำนวน “กุ” ซึ่งมีความหมายถึงเรื่องที่เขียน ขึ้นมาโดยที่ไม่ปรากฏมูลความจริง
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 8 บุตรธิดาของขุนนางผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งล้วนสืบเชื้อสายมาจากชาว กรุงเก่าแทบทั้งสิ้น ถึงแม้ในงานเขียนฉบับนี้ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ จะกล่าวถึง ประวัติของขุนนางซึ่งมีเชื้อสายจีน แต่ชาวจีนเกือบทั้งหมดล้วนเป็นชาวจีนใน สมัยอยุธยา หรือชาวจีนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระบรมราชจักรีวงศ์เว้นแต่ ประวัติของคอซู้เจียง และคอซิมก้องบุตรชาย ซึ่งนับว ่าเป็นชาวจีนในสมัย รัตนโกสินทร์เพียงครอบครัวเดียวที่ได้รับความสนใจจาก ก.ศ.ร. กุหลาบ จนได้พิมพ์ประวัติในมหามุขมาตยานุกูลวงศ์เล่ม ๑ นี้ เริ่มต้นชีวิตในแผ่นดินใหม่ ชีวิตบนเกาะปีนังของคอซู้เจียงเริ่มต้นด้วยเพียงไม้คาน16 และร่างกาย เพียงเท่านั้นที่ได้น�ำติดตัวมาจากบ้านเกิด ณ ดินแดนแห่งนี้เขาเริ่มจากการท�ำงาน เป็นกรรมกรรับจ้างต่าง ๆ เป็นเกษตรกรปลูกพืชผักผลไม้ทั่วไป บนพื้นที่ขนาด ๒๐ ไร่เศษ17 ซึ่งได้รับการปันส่วนจากทางราชการส�ำหรับใช้ท�ำมาหากิน ตั้งอยู่ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะปีนัง มีชื่อเรียกว่าสุไหงติรัม (Sungai Tiram)18 คอซู้เจียงได้น�ำผลผลิตทางการเกษตรที่ปลูกและออกดอกผลิผล เดินไปขายที่ ตลาดในเมืองจอร์จทาวน์สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง รวมระยะทางไปกลับในแต่ละรอบ ๑๖ ภายหลังทายาทผู้สืบสกุลได้น�ำไม้คานนี้มาหุ้มทองและเก็บรักษาไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อร�ำลึกถึงความล�ำบากและความมุมานะพยายามของบรรพบุรุษ ดังที่ปรากฏในจดหมายเหตุ ประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ร.ศ. 128 ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) 17 สุวรรณีณ ระนองและคณะ,อนุสาวรีย์พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี(คอซู้เจียง) เจ้าเมืองระนอง (กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์ประดิพัทธ์, 254๖), หน้า 153. 18 ปัจจุบันคือบริเวณที่อยู่ใกล้กับสนามบินนานาชาติปีนัง
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 9 ประมาณ ๒๙ กิโลเมตร19 อีกสิ่งหนึ่งซึ่งน่าสนใจเกี่ยวกับการด�ำเนินชีวิตบน แผ่นดินใหม่ที่เกาะปีนังคือเขามิได้เข้าร่วมสโมสรตระกูลแซ่หรือกงส้อ20 ซึ่งจัดตั้ง ขึ้นส�ำหรับสงเคราะห์คนแซ่เดียวกันโดยชาวจีนที่อพยพเข้ามาก่อนหน้า แต่เขา สามารถก่อร่างสร้างตัวตลอดจนตั้งหลักฐานมั่นคงได้ด้วยก�ำลังกายและสติปัญญา จากตนเองทั้งสิ้น โดยมิได้ขอรับความสงเคราะห์จากสโมสรตระกูลแซ่อย่างชาวจีน อพยพคนอื่น ๆ21 19 สุวรรณีณ ระนองและคณะ,อนุสาวรีย์พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี(คอซู้เจียง) เจ้าเมืองระนอง, หน้า 153.20 กงส้อ(公所) เป็นคำ� ในภาษาจีนฮกเกี้ยน หมายถึงสโมสรส�ำหรับให้ความช่วยเหลือ ทั่วไปแก่ชาวจีนร่วมแซ่ เช่น ให้ค�ำแนะน�ำ ให้ที่พักและอาหารแก่ผู้อพยพมาใหม่ เมื่อผู้อพยพ พบกงสีประจ�ำแซ่ของตนแล้วจึงย้ายไปอยู่ในกงสีประจ�ำแซ่ต่อไป ส่วนค�ำว่ากงสี(公司) เป็น ค�ำในภาษาจีนภาษาฮกเกี้ยน หมายถึงบริษัท หรือสถานที่ท�ำการค้า21 Jenifer W. Cushman, Family and State : The Formation of a Sino – Thai Tin – Mining Dynasty 1797 - 1932 (Singapore: Oxford University Press, 1991), p. 9. บ้านเดิมของคอซู้เจียงในมณฑลฮกเกี้ยน ที่มา : หนังสืออนุสาวรีย์พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) เจ้าเมืองระนอง
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 10 สู่แผ่นดินสยาม ส�ำเภาแห่งการค้า เมื่อคอซู้เจียงท�ำงานรับจ้างเป็นกรรมกรและท�ำการเกษตรที่ปีนังหลายปี จนสามารถเก็บหอมรอมริบมีทรัพย์สินได้จ�ำนวนหนึ่ง จึงมุ่งหาหนทางเพื่อชีวิต ที่ดีกว ่า ต่อมาคอซู้เจียงย้ายมาอยู ่ที่เมืองตะกั่วป ่าที่บริบูรณ์ไปด้วยแร ่ดีบุก ซึ่งสร้างความเจริญให้เมืองนี้เป็นอันมาก ราว พ.ศ. 2373 ณ เมืองตะกั่วป่า คอซู้เจียงได้ประกอบอาชีพท�ำการค้าขายโดยการแลกเปลี่ยนสินค้าต่าง ๆ เช่น เครื่องนุ่งห่ม ปืน คาบศิลาดีบุก หมากรังนก มะพร้าวแห้งและพริกไทยเป็นต้น22 โดยใช้ชื่อกิจการว่า “ห้างโกหงวน” (高原) เมื่อเก็บสะสมเงินได้มากพอควร จึงย้ายมาสร้างบ้านเรือนและย้ายห้างโกหงวนมาอยู ่ที่เมืองพังงา อีกทั้งยัง ลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวที่เมืองพังงานี้ด้วย คอซู้เจียงสมรสกับสตรีนามว่า 22 National Museum Volunteers, Writing from Asia: Treasures, Myths and Traditions (Bangkok: Thai Watana Panich Press Co. Ltd., 1996) p.110. ซิทท์กิมเหลียน (ซ้าย) ภายหลังเป็นคุณหญิงด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี คอซู้เจียง (ขวา) ภายหลังเป็นพระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี จางวางก�ำกับราชการเมืองระนอง ที่มา : หนังสืออนุสาวรีย์พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) เจ้าเมืองระนอง
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 11 “ซิทท์กิมเหลียน”23 มีบุตรจ�ำนวน ๕ คน ได้แก่ คอซิมเจ่ง (許心正) คอซิมก้อง (許心廣) คอซิมจั๋ว (許心泉) คอซิมขิม (許心欽) และคอซิมเต็ก (許心德) ที่เมืองพังงา คอซู้เจียงได้รับความช ่วยเหลือด้านเงินทุนจากคหปตานี มีบรรดาศักดิ์ท่านหนึ่ง คือ ท้าวเทพสุนทร24 เมื่อกิจการการค้าเจริญรุ่งเรืองขึ้น จึงต่อเรือเพิ่มอีกหลายล�ำ เพื่อท�ำการค้าในแถบหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตก จากนั้นจึงเดินทางมาค้าขายที่เมืองระนอง และเห็นว่าเมืองระนองเป็นเมืองที่มี ทรัพยากรแร่ดีบุกมากและดำ�ริว่าหากได้มาท�ำกิจการเหมืองแร่ดีบุกที่เมืองระนอง ก็คงจะขยายกิจการได้ใหญ่โตมีทรัพย์สินเพิ่มพูนมากขึ้น ต่อมาใน พ.ศ. 2387 ขณะมีอายุ ๔๗ ปีคอซู้เจียงจึงได้เดินทางขึ้นมายังกรุงเทพฯเพื่อเข้าพบเจ้าพระยา พระคลัง ว่าที่สมุหพระกลาโหม25 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากิจการหัวเมืองฝ่ายใต้ ต่างพระเนตรพระกรรณ ขอประมูลเป็นนายอากรผูกขาดดีบุกในเขตเมืองระนอง 23 ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕๐ สมเด็จฯกรมพระยาดำ� รงราชานุภาพทรงอธิบาย ว่าภรรยาคนแรกที่คอซู้เจียงได้สมรสด้วยที่เมืองพังงานั้นเป็นชาวไทย แต่จากภาพวาดซิทท์ กิมเหลียนซึ่งเก็บรักษาไว้ณ ที่ท�ำการผลประโยชน์ของตระกูล ณ ระนอง เมืองปีนังนั้น ด้วยลักษณะการแต ่งกายและทรงผม รวมถึงชื่อในภาษาจีน จึงอาจสันนิษฐานได้ว ่า ซิทท์กิมเหลียน เป็นสตรีเชื้อสายจีน หรือย่าหยาบุตรจีนในเมืองปีนังมากกว่าจะเป็นชาวไทย พื้นเมืองพังงา24 สันนิษฐานว ่า ท้าวเทพสุนทร (ล้วน) ภริยาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร)และเป็นมารดาของข้าราชการระดับสูงหลายคนในหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตก ของไทย มีข้อมูลบางแห่งกล่าวถึงท้าวเทพสุนทรว่าเป็นบุตรสาวของกปิตันจีนชื่อโกเหล่ฮวน (辜禮歡:Kapitan CinaKohLay Huan) เศรษฐีชาวจีนฮกเกี้ยนที่เมืองปีนังซึ่งมีอ�ำนาจและ บทบาททางเศรษฐกิจและการเมืองมากเนื่องด้วยเป็นผู้ควบคุมดูแลชาวจีนในเกาะปีนังเปรียบ ได้กับต�ำแหน่งหัวหน้าต้นแซ่ของชาวจีนในไทย(อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือมรดกศิลป์ ศาลเจ้าแม่ม่าจ้อโป๋จังหวัดพังงา จัดพิมพ์โดยกองโบราณคดีกรมศิลปากร พ.ศ. 2564)25 หมายถึงเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ซึ่งว่าราชการในต�ำแหน่งเจ้าพระยา พระคลังและสมุหพระกลาโหมในสมัยรัชกาลที่ ๓ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้รับพระราชทาน บรรดาศักดิ์เป็นสมเด็จเจ้าพระยามหาประยูรวงศ์
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 12 เมืองกระเมืองตะโกครอบคลุมพื้นที่จ�ำนวน ๑๐ ตำ�บลแทนหลวงจำ� เริญวานิช26 นายอากรดีบุกคนเดิมซึ่งไม่สามารถส่งอากรดีบุกตามที่สัญญาไว้แก่ส่วนกลาง และยืนยันสัญญาว ่าเมื่อได้รับท�ำดีบุกและมีผลก�ำไรแล้วจะจัดส ่งดีบุกให้กับ ส่วนราชการที่กรุงเทพฯ ปีละ ๔๓ ภารา27 ซึ่งมากกว่านายอากรดีบุกก่อนหน้าถึง ๓ ภารา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคอซู้เจียงเป็นที่หลวงรัตนเศรษฐี28 นายอากรดีบุกเมืองระนอง พร้อมทั้ง พระราชทานสิ่งของต่างๆ29 และให้หลวงรัตนเศรษฐีนายอากรดีบุกส่งอากรดีบุก มายังกรุงเทพฯ ปีละสองครั้งในเดือน ๑๐ และเดือน ๔ รวมถึงให้หลวงรัตนเศรษฐี เข้าร ่วมพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัจจา ปีละ ๒ ครั้ง ในเทศกาลตรุษและสารท ณ พระอาราม โดยให้บ่ายหน้ามายังกรุงเทพฯ 26 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ก.ร.5 รล-กห/1 เอกสารกรมพระกลาโหม รัชกาลที่ ๕ เรื่องตั้งจีนเจียงเป็นที่หลวงรัตนเสรฐีจ.ศ. 120627ภาราเป็นมาตราชั่งน�้ำหนักประเภทหนึ่ง ๑ ภารา มีน�้ำหนัก 400 ชั่งซึ่งหากเทียบ กับมาตราชั่งตวงวัดในปัจจุบัน ๑ ชั่ง มีน�้ำหนักเท่ากับ ๖๐๐ กรัม ๑ ภาราจะมีน�้ำหนักเท่ากับ ๒๔๐ กิโลกรัม ดังนั้น 43 ภารา จึงมีน�้ำหนักเท่ากับ 10.32 ตัน28 การสะกดราชทินนามหรือชื่อยศต�ำแหน ่งในบทความนี้ยึดตามหลักการสะกด ตามประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕๐ ฉบับพิมพ์พ.ศ. ๒๔๗๔29 สิ่งของที่พระราชราชทานในคราวนั้น ได้แก่ เสื้อเข้มขาบ ๑ ตัว เสื้อมังกรสีน�้ำเงิน๑ ตัว แพรขาวห่มเพลาะ ๑ ผืน แพรขาวห่ม ๑ ผืน ผ้าปูม ๑ ผืน และผ้าเชิงปูม ๑ ผืน รวมทั้งสิ้น ๖ รายการ
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 13 เนื้อหาบางส่วนของจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เรื่องตราตั้งหลวงรัตนเศรษฐี ให้ท�ำอากรดีบุกเมืองระนอง จ.ศ. ๑๒๐๖ (พ.ศ. ๒๓๘๗)
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 14 ในเวลานั้น เมืองระนองมีราษฎรอาศัยอยู ่เพียง ๑๗ หลังคาเรือน และมีสถานะขึ้นกับเมืองชุมพร โดยมีหลวงคิรียษาคอร30 เป็นเจ้าเมือง31 ระหว ่างที่คอซู้เจียงด�ำเนินกิจการเหมืองแร ่ที่เมืองระนอง พร้อมกันนั้นยังได้ ด�ำเนินกิจการการค้าของห้างโกหงวนที่เมืองพังงา รวมถึงการค้าชายฝั่งทะเล ตะวันตกควบคู ่ไปด้วย นับเป็นวิสัยทัศน์อันยาวไกลที่ได้เตรียมการไว้ว ่าหาก วันหนึ่งกิจการเหมืองแร่นี้ขาดทุน ก็จะได้กลับไปท�ำการค้าอย่างเดิมที่เมืองพังงา เพราะการท�ำเหมืองแร่ดีบุกมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากต้องลงทุนส�ำรวจแหล่งแร่ รวมถึงการจ้างแรงงานเหมืองชาวจีน และราคาแร่ดีบุกก็เป็นเหตุให้นายเหมือง หรือเจ้าของเหมืองต้องขาดทุนอยู่เสมอ ในเวลานั้นคอซู้เจียงที่หลวงรัตนเศรษฐี ก็ยังมิได้ย้ายครอบครัวมาอยู่อาศัยที่เมืองระนอง 30 สะกดตามรูปแบบอักษรเดิมในหนังสือหนังสือเจ้าพระยาอรรคมหาเสนาฯ มาถึงพระยาชุมพรและกรมการเมืองชุมพร ณ วันพฤหัสบดีเดือนยี่แรม ๑๕ ค�่ำ จ.ศ. ๑๒๐๖31 บรรดาศักดิ์เดิมคือขุนรองปลัด ทำ� หน้าที่พระพลเมืองชุมพร ต่อมาพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู ่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเป็นเจ้าเมืองระนอง ที่บรรดาศักดิ์ชั้นหลวง ตามหนังสือเจ้าพระยาอรรคมหาเสนาฯ มาถึงพระยาชุมพรและ กรมการเมืองชุมพร ณ วันพฤหัสบดีเดือนยี่แรม ๑๕ คำ �่ จุลศักราช ๑๒๐๖ หลังจากมีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯให้ตั้งจีนคอซู้เจียงเป็นนายอากรดีบุกเมืองระนอง ที่หลวงรัตนเศรษฐี เพื่อหลวงคิรียษาคอร เจ้าเมืองระนองจะสามารถระงับเหตุได้หากมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้น รวมถึงจะได้ช่วยหลวงรัตนเศรษฐีรักษาโรงกงสีซึ่งเก็บรักษาพระราชทรัพย์ของหลวง และ ช่วยท�ำนุบ�ำรุงให้การท�ำอากรดีบุกในเมืองระนองเจริญขึ้น
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 15 หลังจากมีการผูกขาดการท�ำสัมปทานแร ่ดีบุก ในเมืองระนองมีความ ต้องการแรงงานเหมืองแร่มากขึ้น คอซู้เจียงจึงได้ชักชวนชาวจีนจากเมืองจีนให้ เข้ามาเป็นแรงงานเหมืองแร ่ในเมืองระนอง เหตุด้วยขณะนั้นเมืองระนอง มีพลเมืองน้อยจึงต้องมีการน�ำเข้าแรงงานเป็นจ�ำนวนมากซึ่งท�ำให้ในเวลาต่อมา ประชากรชาวจีนในเมืองระนองมีมากกว ่าประชากรชาวไทยเป็นอย ่างมาก เมื่อเมืองระนองมีผู้คนมากขึ้นเมืองจึงมีความเจริญขึ้นตามล�ำดับ จนได้รับการ กล่าวถึงในพระราชนิพนธ์สาส์นสมเด็จว่า “หลวงรัตนเศรษฐีได้บ�ำรุงเมืองระนอง เจริญเกินเมืองชุมพร”32 32 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์และสมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ, สาส์นสมเด็จ เล่ม ๖ (กรุงเทพฯ: องค์การค้า ของคุรุสภา, 2504), หน้า 205. การท�ำแร่ดีบุกที่เมืองระนองในระยะแรก โดยการขุดหาแร่และร่อนแร่ด้วยแรงงานชาวจีน
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 16 นายอากรดีบุก สู่เจ้าเมืองระนอง ใน พ.ศ. ๒๓๙๗ หลวงคิรียษาคอรเจ้าเมืองระนองถึงแก่กรรม ต�ำแหน่ง เจ้าเมืองระนองจึงว่างลง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนหลวงรัตนเศรษฐี(คอซู้เจียง) ขึ้นเป็น พระรัตน เศรษฐีเจ้าเมืองระนอง แทนเจ้าเมืองระนองคนก่อนที่ถึงแก่กรรมไป ในเวลานั้น เมืองระนองยังเป็นเมืองขึ้นเมืองชุมพร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชด�ำริว่าเมืองระนองเป็นเมืองที่บริบูรณ์ด้วยทรัพยากรแร่ดีบุก และเป็น เมืองชายแดน จึงมีพระราชกระแสรับสั่งแสดงถึงความห่วงใยต่อเมืองระนอง ดังปรากฏในสารตราน�ำตั้งพระรัตนเศรษฐีเจ้าเมืองระนอง ความว่า “อนึ่ง เมืองระนองอยู่ชายทะเลล่อแหลม จะไว้ใจแก่ ราชการไม่ได้ให้พระรัตนเศรษฐีจัดแจงเรือและคนสรรพไปด้วย เครื่องศัสตราวุธให้พร้อมสรรพ ลาดตระเวนรักษาปากน�้ำตาม อ่าวคุ้งแขวงเมืองระนอง จงกวดขันอย่าให้สลัดศัตรูเล็ดลอด เข้ามากระท�ำร้ายแก ่โรงกงสีและบ้านเมืองได้เป็นอันขาด แล้วคอยระวังสืบสวนข ่าวคราวราชการ ได้ข่าวราชการ มาประการใดก็ให้เร่งรีบบอกไปยังเมืองชุมพร และหัวเมือง ต ่อกันโดยเร็ว เมืองชุมพรจะได้บอกส ่งเข้าไปยังกรุงเทพ พระมหานคร...”33 33 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕๐ (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทย, 2474), หน้า 13 - 14.
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 17 พระรัตนเศรษฐีได้ย้ายบ้านเรือนและครอบครัวมาอยู่ที่เมืองระนองเมื่อราว พ.ศ. 2388 ขณะเป็นเจ้าเมืองก็ได้ทุ่มเทก�ำลังกายในการสร้างบ้านแปงเมืองและ พัฒนาจนเมืองระนองมีความเจริญขึ้นตามล�ำดับ และนับได้ว่าเป็นเมืองราชทรัพย์ คือเมืองซึ่งเป็นแหล ่งท�ำรายได้จ�ำนวนมากแก่ทางราชการ ต่อมาจึงได้รับ การยกฐานะเป็นเมืองที่มีความส�ำคัญทางเศรษฐกิจต่อแผ่นดิน34 ในขณะที่ได้รับ พระราชทานเลื่อนยศและบรรดาศักดิ์ให้เป็นเจ้าเมืองระนองคอซู้เจียงที่ พระรัตนเศรษฐีก็ยังคงเป็นนายอากรดีบุกเมืองระนองควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการ จัดการปกครองแบบที่เจ้าเมืองเป็นเจ้าภาษีนายอากรรับท�ำภาษีผลประโยชน์ด้วย จะเรียกว่า ระบบการปกครองแบบกินเมือง หรือเหมาเมือง ต่อมาในปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมืองระนอง มีความเจริญขึ้นแล้วมิใช่บ้านป่าหรือเมืองเล็กที่มีเพียง ๑๗ หลังคาเรือนอีกต่อไป ประกอบกับที่ระนองเป็นเมืองชายแดน มีอาณาเขตติดกับอาณานิคมอังกฤษ คือวิกตอเรียพอยต์หรือเกาะสอง ซึ่งเป็นแผ ่นดินที่อยู ่ใต้สุดของดินแดนพม ่า ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัวมีพระราชด�ำริว ่าควรจะให้ เมืองระนองจัดการปกครองใหม่ให้มาขึ้นต่อกรุงเทพฯ เพื่อสะดวกแก่การรักษา บ้านเมืองจึงโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระรัตนเศรษฐีเป็นพระยารัตนเศรษฐี35 34 มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์,สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้เล่ม 13 (กรุงเทพฯ: สยามเพรส แมเนจเมนท์, 2542), หน้า 6129. 35 ในคราวเดียวกันนั้นได้พระราชทานเครื่องยศแก ่พระยารัตนเศรษฐีได้แก่ หมวกจีโบด�ำจุกทองค�ำ ๑ ใบ ลูกประค�ำทองทราย ๑ สาย ถาดหมากทองค�ำ ๑ ใบ คนโททองค�ำ ๑ ใบ เสื้อมังกร ๑ ตัว เสื้อเข้มขาบ ๑ ตัว ผ้าห่มนอน ๑ ผืน ผ้าแพรสีชมพู ขลิบแถบ ๑ ผืน ผ้าแพรจินเจาขาวเพลาะ ๑ ผืน และผ้าปูมเขมร ๑ ผืน รวมทั้งสิ้น ๑๐ รายการ
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 18 เจ้าเมืองระนอง หัวเมืองจัตวาเมื่อวันที่๒๑ กรกฎาคม ๒๔๐๕36 ในระยะที่กิจการ เหมืองแร่ดีบุกก�ำลังขยายตัว ท�ำให้มีการเข้ามาของคนหลายชาติทั้งจีน ไทย และ ชาติอื่น ๆ ทั้งการเข้ามาค้าขายการรับจ้างเป็นแรงงานเหมือง เป็นผลให้มีการเก็บ ภาษีต่างๆซึ่งเรียกว่าภาษีผลประโยชน์๕ อย่างคือ ภาษีดีบุก ภาษีสินค้าเข้าเมือง (ภาษีร้อยชักสาม) อากรฝิ่น อากรสุรา และอากรบ่อนเบี้ยโดยเจ้าเมืองระนอง ส�ำหรับเรื่องการที่เจ้าเมืองรับท�ำภาษีผลประโยชน์นั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงมีความเห็น ดังปรากฏในสาส์นสมเด็จ เล่ม 6 ความว่า “การที่ผู้ว่าราชการเมืองรับผูกภาษีผลประโยชน์ครั้งนั้น จะต้องส ่งเงินหลวงเพิ่มขึ้นจากจ�ำนวนเดิมกว ่าเท ่าหนึ่ง ถ้าไม่ขวนขวายให้เกิดผลประโยชน์ในบ้านเมืองเพิ่มขึ้นให้มาก ก็จ�ำต้องฉิบหาย…”37 การแก้ไขปัญหาดังกล่าวคือ เจ้าเมืองต้องไปชักชวนให้มีผู้มาท�ำเหมือง แร่ดีบุกในเมืองของตนให้เพิ่มมากขึ้น เพราะขณะนั้นมีพ่อค้าชาวจีนจ�ำนวนมาก แสดงความสนใจที่จะมาท�ำเหมืองแร ่ดีบุกในหัวเมืองชายทะเลตะวันตก แต ่เกรงกลัวการถูกกดขี่ จึงมิกล้าเข้ามาท�ำกิจการเหมืองแร ่ แต่เมื่อเจ้าเมือง เข้าร่วมทุนด้วยก็เหมือนเป็นเครื่องยืนยันในความมั่นคงของการท�ำการค้าการ ลงทุน ดังนั้นจึงมีพ่อค้าชาวจีนจากปีนังได้เข้ามาลงทุนท�ำเหมืองแร่ในหัวเมือง ชายทะเลตะวันตกมากขึ้น 36 เพื่อน้อมร�ำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะเมืองระนองเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ในปัจจุบันจังหวัดระนองก�ำหนดให้วันที่ 21 กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันคล้ายวันสถาปนา เมืองระนอง37 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์และสมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ, สาส์นสมเด็จ เล่ม ๖, หน้า 210.
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 19 แต่กระนั้นการท�ำเหมืองแร่ที่เมืองระนองกลับต่างไปจากหัวเมืองชายทะเล ตะวันตกอื่น ๆ เช่น ตะกั่วป่า พังงา และภูเก็ต เพราะขณะนั้นพระยารัตนเศรษฐี ได้ตั้งห้างโกหงวนขึ้นที่เมืองระนองแล้ว จึงคิดกู้เงินมาเพิ่มทุนเพื่อขยายการท�ำ เหมืองแร่แต่เพียงผู้เดียวโดยมิได้ชักชวนผู้อื่นให้มาลงทุนเข้าเป็นหุ้นส่วน นอกจากน ี้ ยังได้ขอประมูลผูกภาษีเมืองหลังสวน ซึ่งในขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของชุมพร ซึ่งเป็นแหล ่งแร ่ดีบุกที่มีอาณาเขตติดต ่อกับเมืองระนองอีกแห ่งหนึ่งด้วย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองหลังสวน เป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับเมืองระนอง เมื่อมีคนเข้ามาอยู ่อาศัยในเมืองระนองมากขึ้น การท�ำดีบุกได้ผลผลิต มากขึ้น รายได้จากการจัดเก็บภาษีอากรก็มากขึ้นตามไปด้วยส่วนชาวจีนที่มารับจ้าง เป็นแรงงานก็จับจ่ายใช้สอยคล่องตัว ฝิ่นและสุราจ�ำหน่ายได้จ�ำนวนมาก รวมถึง สินค้าเข้าเมืองที่ต้องเสียภาษีเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้เมืองระนองเก็บภาษีส่งทาง ส่วนกลางเข้าท้องพระคลังได้จ�ำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย เงินที่ได้จากภาษีอากรทั้ง ๕ อย่างนี้เจ้าเมืองเป็นผู้ผูกขาดจากส่วนกลาง ท�ำให้สามารถเก็บภาษีได้มากกว่า ราคาที่ได้ท�ำการประมูลไว้จึงได้ผลก�ำไรเป็นจ�ำนวนมาก และยังท�ำให้การค้าของ ราษฎรที่มีมาแต่เดิมก็เจริญก้าวหน้าเฟื่องฟูขึ้น38 นอกจากนี้ก�ำไรจากภาษีอากร ต่าง ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย แต่พระยารัตนเศรษฐีก็มิได้มีความโลภหรือหลงใหล ในลาภยศสรรเสริญ ตั้งอยู่ในหลักสุจริตธรรม ไม่เบียดเบียนกดขี่ข่มเหงราษฎร ด้วยความสามารถ สติปัญญา ความวิริยอุตสาหะ และความเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง ในด้านการค้าและการปกครอง ท�ำให้กิจการทั้งสองด้านของพระยารัตนเศรษฐี ด�ำเนินไปด้วยดี 38 ประภัสสร บุญประเสริฐ, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย (กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง, 2530), หน้า 476.
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 20 ตามธรรมเนียมอย่างโบราณ ภารกิจท�ำนุบ�ำรุงบ้านเมืองล้วนเป็นกิจธุระ ของเจ้าเมืองทั้งสิ้น ศาลาว่าการเมืองส�ำหรับช�ำระคดีความ ศาล หรือเรือนจ�ำ คุมขังนักโทษ พระยารัตนเศรษฐีเป็นผู้รับภาระออกค ่าใช้จ ่ายในการก ่อสร้าง ทั้งหมด อีกทั้งยังได้สร้างระบบสาธารณูปโภคอื่น ๆ เช่น สร้างถนนเพื่อให้การ เดินทางมีความสะดวก ซึ่งในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะเสด็จประพาสเมืองระนอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้พระราชทานชื่อถนนจ�ำนวน ๑๐ สาย ดังปรากฏนามคล้องจองและมีความหมายสอดคล้องกับสถานที่ซึ่งถนน เส้นนั้น ๆ ตัดผ่าน ได้แก่ “ถนนท่าเมือง ถนนเรืองราษฎร์ถนนชาติเฉลิม ถนนเพิ่มผล ถนนชลระอุถนนลุวังถนนกำ�ลังทรัพย์ถนนดับคดีถนนทวีสินค้า และถนนผาดาด”39 39 ถนนท่าเมืองตัดผ่านบ้านด่านท่าเมืองซึ่งเป็นท่าเรือส�ำหรับเดินทางคมนาคมไปยัง เมืองอื่น ๆ ถนนเรืองราษฎร์ตัดผ ่านบริเวณตลาดเก ่าซึ่งเป็นแหล ่งเศรษฐกิจการค้าของ จังหวัดระนองซึ่งคลาคล�่ำไปด้วยผู้คน และมีการกล่าวถึงในพระราชหัตถเลขาของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเสด็จประพาสแหลมมลายูคราว ร.ศ. 109 ว่าเป็น ถนนใหญ่เกือบเท่าถนนสนามไชย ที่ตั้งอยู่ริมก�ำแพงพระบรมมหาราชวัง ถนนชาติเฉลิม ตัดผ่านบริเวณสะพานยูงและวัดสุวรรณคีรีวิหารพระอารามหลวงถนนเพิ่มผลเป็นทางสัญจร ไปบ่อน�้ำพุร้อนและเหมืองถนนชลระอุเป็นทางไปบ่อน�้ำร้อน ถนนลุวังตัดผ่านหน้าพระราชวัง รัตนรังสรรค์ถนนก�ำลังทรัพย์ตัดผ่านบริเวณตลาดนัด ถนนดับคดีตัดผ่านหน้าศาลยุติธรรม ส�ำหรับช�ำระคดีความ ถนนทวีสินค้าเป็นถนนที่แยกจากถนนเรืองราษฎร์บริเวณตลาดพม่า และถนนผาดาดเป็นถนนที่สร้างไปถึงบ้านหินดาดซึ่งเป็นทางโทรเลขที่สร้างขึ้นในสมัยพระยา รัตนเศรษฐี(คอซิมก้อง)
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 21 พระอุโบสถวัดสุวรรณคีรีวิหารหลังเดิม ที่มา : หนังสือประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดระนอง ถนนพระราชทานนามทั้ง ๑๐ สายนี้ได้ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหลักภายใน จังหวัดระนองสืบมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้พระยารัตนเศรษฐียังได้ท�ำนุบ�ำรุง การพระศาสนาด้วยการสร้างวัด “สุวรรณคิรีทาราม” ริมคลองหาดส้มแป้น40 ต่อมาวัดนี้ถูกน�้ำซัดทรายขึ้นมาทับถมบนวัดจนพระสงฆ์ไม่สามารถท�ำสังฆกรรม และจ�ำพรรษาได้เมื่อคอซิมก้องบุตรชายได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น พระยารัตนเศรษฐีเจ้าเมืองระนองในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงได้ริเริ่มจัดการสร้าง วัดแห่งใหม่ทดแทนวัดเดิมที่น�้ำซัดทรายท่วมขังชื่อว่า วัดสุวรรณคีรีวิหาร บริเวณ ถนนชาติเฉลิม 40 สันนิษฐานว่าปัจจุบันคือบริเวณตรงข้ามที่ท�ำการเทศบาลเมืองระนอง
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 22 อนึ่งการที่เจ้าเมืองระนองรับเป็นเจ้าภาษีฝิ่นนั้น ต้องปฏิบัติตามข้อก�ำหนด และข้อปฏิบัติที่ทางราชการสั่งการไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ภาษีที่ได้มากลับมา ท�ำประโยชน์แก่แผ่นดิน และไม่เป็นการมอมเมาผู้คนให้มาสูบฝิ่น เพราะการ ซื้อขายฝิ่นที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องซื้อฝิ่นที่มีตราแผ่นดินปิดผนึกไว้แน่นหนา อีกทั้งยังมีค ่าปรับจ�ำนวนสูงในกรณีที่ละเมิดกฎข้อห้าม เพื่อป้องกันการ ปลอมแปลงและการลักลอบค้าฝิ ่นเถื่อนซึ่งท�ำให้ราชการเสียรายได้และมี ข้อห้ามมิให้ขายฝิ่นให้คนหลายชาติดังข้อความบางส่วนที่ปรากฏในสารตราตั้ง พระยารัตนเศรษฐีเป็นเจ้าภาษีฝิ่นเมืองระนอง41 ความว่า “ให้พระยารัตนเศรษฐีตั้งโรงกงศรีซื้อขายเองตามสมควรแก่ราคา แต่ห้ามอย่าให้พระยารัตนเศรษฐีขายฝิ่นให้กับไทย มอน ลาว ขเมน ญวณ พม่า แขกทวาย พราม พุทเกษ 42 เดิ่มเป็น อันขาษทิเดิยวถ้ามิฟังมีผู้มาฟ้องร้องว่ากล่าวพิจรณาเปนสัจเอา ตัวผู้ขายฝิ่นให้ไท มอน ลาว เขมน ญวณ พม่า แขก ทวายพราม ฝรังพุทเกศเดิ่มเปนโทษตามพระราชบัญญัติหมายประกาศห้าม มาแต่ก่อน...” จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว ่าบุคคลที่สามารถซื้อฝิ ่นไปเสพได้มีเพียง ชาติเดียวคือ ชาวจีนที่เข้ามารับจ้างเป็นแรงงานเหมืองในเมืองระนองเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารต ่างชาติในสมัยหลังว ่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้มีการผูกขาดการค้าฝิ่น และจ�ำกัดการสูบฝิ่นให้แต่ เฉพาะคนจีน และทรงมีประกาศพระบรมราชโองการว่าหากมีคนไทยผู้ใดที่สูบฝิ่น 41 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ก.ร.5 รล-กห/4 เอกสารกรมพระกลาโหม รัชกาลที่ ๕ เรื่องตั้งพระยารัตนเศรษฐีเป็นเจ้าภาษีฝิ่นเมืองระนอง จ.ศ. 122242 หมายถึงชาวโปรตุเกส
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 23 ภาพพระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) แต่งกายอย่างจีน มือซ้ายถือกล้องสูบยาแดง สันนิษฐานว่าถ่ายที่ห้องภาพของหลวงอัคนีนฤมิตร (ฟรานซิสจิตร) จะต้องไว้หางเปีย และเสียภาษีรัชชูปการหรือภาษีรายหัวสามปีต่อครั้งตามแบบ คนจีน เพราะทรงถือว่าชาวไทยผู้ที่สูบฝิ่นนั้นเป็นผู้ที่ได้กระท�ำการประพฤติชั่ว จึงต้องสูญเสียสิทธิที่คนไทยมีทั้งหมดไป43 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการลงนามในสนธิ สัญญาเบาว์ริงเมื่อ พ.ศ. 2395 ที่ประกาศให้ฝิ่นเป็นสินค้าปลอดภาษีแต่จะต้อง ขายให้แก่ผู้ผูกขาดสินค้าฝิ่นซึ่งเป็นชาวจีนแต่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น 43 จี. วิลเลียม สกินเนอร์, สังคมจีนในประเทศไทย : ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2529), หน้า 121.
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 24 เนื้อหาบางส่วนของจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ เรื่องตราตั้งพระรัตนเศรษฐีเมืองระนอง จ.ศ. ๑๒๑๖ (พ.ศ. ๒๓๙๗)
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 25 เนื้อหาบางส่วนของสารตราพระราชทานนามสัญญาบัตร เลื่อนพระรัตนเศรษฐีเป็นพระยารัตนเศรษฐี จ.ศ. ๑๒๒๔ (พ.ศ. ๒๔๐๕)
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 26 ปราบอั้งยี่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดการจลาจลของชาวจีนที่มาเป็นแรงงานท�ำเหมืองในเมืองระนองซึ่งมีสัญญากับ เจ้าของเหมืองว่าปีหนึ่งจะคิดบัญชีกันหนึ่งครั้งในช่วงตรุษจีน ซึ่งชาวจีนที่ก่อกบฏนี้ ล้วนเป็นจีนที่คอซู้เจียงไปชักชวนให้มารับจ้างเป็นแรงงานในเหมืองแร ่ดีบุก โดยปกติแล้วจะมีสัญญาระหว่างแรงงานที่จะมารับจ้างในเหมืองกับเจ้าของเหมือง เรียกวิธีจ้างแบบนี้ว่า “Indenture Labour”44 มีรายละเอียด ดังนี้ 1. นายเหมืองออกค่าโดยสารให้ทั้งขามาและขากลับ 2. นายเหมืองให้ค่าแรงตามรายวันที่ท�ำงาน ถ้าท�ำงานตลอดเดือนเมื่อ คิดถัวเฉลี่ยกันจะได้ค่าจ้างประมาณ 30 - 40 เหรียญ 3. นายเหมืองเป็นผู้ให้อาหารและที่อยู่อาศัย 4. ก่อนแรงงานจะออกจากประเทศจีนมาท�ำเหมือง นายเหมืองจะให้เงิน ล่วงหน้าไว้ส�ำหรับเลี้ยงครอบครัว แล้วจึงให้แรงงานเหมืองผ่อนใช้จากค่าจ้าง 5. แรงงานที่รับจ้างท�ำงานในเหมืองต้องสัญญาว่าจะท�ำงานอยู่ถึง 3 ปี หากท�ำการหลบหนีหรือบิดพลิ้วใด ๆ จะต้องยินยอมให้ลงโทษทางอาญา โดยสาเหตุของการก่อจลาจลของแรงงานเหมืองนั้นมีข้อสันนิษฐานอยู่ ๒ ประการ คือ ข้อสันนิษฐานแรกจากพระนิพนธ์นิทานโบราณคดีเรื่องอั้งยี่ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ที่ได้ทรงพระนิพนธ์ ถึงมูลเหตุของการก่อการจลาจลไว้ว่า เมื่อถึงวันตรุษจีนแรงงานเหมืองที่เป็นอั้งยี่ กลุ่มปุนเถ้าก๋งได้ไปทวงเงินค่าจ้างต่อนายเหมืองแต่ในเวลานั้นราคาแร่ดีบุกตกต�่ำ ท�ำให้นายเหมืองไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าจ้างจึงขอผัดผ่อน ตามธรรมเนียมจีนถือว่า 44 ประภัสสร บุญประเสริฐ, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย, หน้า 472.
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 27 ในวันตรุษจีนจะต้องสะสางช�ำระหนี้สินที่คงค้างให้สิ้น ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเหตุวิวาท แรงงานเหมืองจึงได้ฆ่านายเหมืองตาย แล้วหลบหนีออกนอกเมืองระนองและ กลายเป็นเหตุการณ์ลุกลามขึ้น ดังความบางตอนจากพระนิพนธ์สาส์นสมเด็จ ความว่า “ปรากฏว่าเมื่อเดือน ๓ แรม ๑๔ ค�่ำถึงตรุษจีน พวกกรรมกรที่ เป็นอั้งยี่ปูนเถ้าก๋งพวกหนึ่ง ไปทวงเงินต่อนายเหมือง ขอให้ ช�ำระหนี้สินให้สิ้นเชิงตามประเพณีจีน นายเหมืองไม่มีเงินพอจะ ให้ขอผ่อนผัด พวกกรรมกรจะเอาเงินให้จงได้ก็เกิดทุ่มเถียง จนเลยวิวาทกันขึ้น พวกกรรมกรฆ่าพวกนายเหมืองตายชะรอย ผู้ตายจะเป็นตัวนายคนหนึ่ง พวกกรรมกรจึงตกใจเกรงว่าจะถูก จับเอาไปลงโทษ ก็พากันถือเครื่องศัสตราอาวุธหนีออกจาก เมืองระนอง หมายว่าจะเดินบกข้ามภูเขาบรรทัดไปหาที่ซ่อนตัว อยู่ที่เหมืองแร่ในแขวงเมืองหลังสวน เมื่อไปถึงด่าน พวกชาวด่าน เห็นกิริยาอาการผิดปรกติสงสัยว่าจะเป็นโจรผู้ร้าย จะเอาตัว เข้ามาให้ไต่สวนที่เมือง ก็เกิดวิวาทกันขึ้น คราวนี้ถึงยิงกันตาย ทั้งสองข้างพวกชาวด่านจับจีนได้๘ คน คุมตัวเข้ามายังเมือง ระนอง ถึงกลางทาง พวกจีนกรรมกรเป็นอันมากพากันมากลุ้ม รุมแทงฟันพวกชาวด ่าน ชิงเอาพวกจีนที่ถูกจับไปได้หมด แล้วพวกจีนกรรมกรก็เลยเป็นกบฏ รวบรวมกันประมาณ ๕๐๐ - ๖๐๐ คน ออกจากเหมืองแร่เข้ามาเที่ยวไล่ฆ่าคนและ เผาบ้านเรือนในเมืองระนอง ...” 45 45 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ, นิทานโบราณคดี (กรุงเทพฯ: เขษมบรรณกิจ, 2503), หน้า 342 - 343.
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 28 ข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่งซึ่งเป็นค�ำบอกเล ่าจากทายาทในตระกูล ณ ระนองถึงมูลเหตุของการเกิดเหตุจลาจล หรืออั้งยี่เมืองระนองใน พ.ศ. 2419 คือในอดีตชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานในเหมืองแร่นั้น ในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น เสื้อผ้า อาหาร สุรา ยาฝิ่น ล้วนให้เจ้าของเหมืองเป็นผู้รับภาระออกเงิน ไปก่อน แล้วแรงงานจึงลงบัญชีไว้กับเจ้าของเหมือง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คนงานหนีออกไป จากเหมือง และยังคงท�ำงานอยู ่ในเหมือง แต่เมื่อถึงคราวสะสางบัญชีก ่อน วันตรุษจีนตามธรรมเนียมจีน ปรากฏว่าเมื่อหักลบกลบหนี้แล้ว แรงงานเหมือง ไม่เหลือเงินค่าจ้างและยังเป็นหนี้นายเหมืองดังนั้นนายเหมืองจึงมิได้จ่ายค่าจ้างให้ แรงงานเหมืองจึงไม่พอใจจนก่อเหตุฆ่านายเหมือง แล้วรวมตัวกันปล้นฆ่าผู้คนใน เมืองระนอง เผาอาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ท�ำให้ชาวบ้านเกิดความ เกรงกลัวพากันหลบหนีไปซ่อนอยู่ในป่า ในห้วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์จลาจลนั้นพระยารัตนเศรษฐีเพิ่งเดินทาง กลับมาจากเมืองจีนหลังกราบถวายบังคมลาไปบ�ำเพ็ญกุศลที่เมืองจีนได้ไม่นาน จึงต้องบังคับบัญชาไพร่พลให้ปกป้องรักษาโรงภาษีเพื่อมิให้พวกกบฏมาปล้นเอา พระราชทรัพย์ของหลวงไปได้อีกทั้งยังได้มีใบบอกระดมไพร่พลจากเมืองใกล้เคียง ทั้งเมืองหลังสวน และเมืองชุมพรให้มาช่วยระงับเหตุเพราะราษฎรมีจ�ำนวนน้อย กว่าพวกแรงงานเหมืองที่ก่อการกบฏมาก หลังจากที่ก่อความวุ่นวายอยู่ 2 - 3 วัน แรงงานเหมืองที่ก ่อการกบฏได้รวมตัวกันเพื่อจะเข้าปล้นโรงภาษีแต่พระยา รัตนเศรษฐีได้จัดไพร่พลมาป้องกันไว้อย่างเข้มแข็งแล้วจึงไม่สามารถเข้าปล้นได้ ต่อมาแรงงานเหมืองที่เป็นกบฏจึงได้รวมตัวกันปล้นเสบียงอาหารในฉางหลวง ลักลอบเอาเรือของเจ้าเมืองและชาวบ้านไปเป็นจ�ำนวนหลายสิบล�ำ แล้วจึงหนีไป ทางเมืองตะกั่วป่าและภูเก็ต ประมาณ 300 คนเศษ ส่วนแรงงานที่เหลืออีก
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 29 300 คนเศษได้เดินทางทางบกเพื่อหนีไปทางบ้านปากทรง และพะโต๊ะ ซึ่งอยู่ใน เขตแดนของเมืองหลังสวน เมื่อพวกแรงงานกบฏหนีไปแล้วความวุ่นวายจึงได้ เริ่มสงบลง46 ต่อมาเมื่อแรงงานเหมืองกบฏเหล่านี้ได้หนีไปเมืองภูเก็ตและก่อการจลาจล ปล้นฆ่าจนเกิดเป็นเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โตซึ่งนับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งรุนแรง ที่สุดเท่าที่พวกอั้งยี่เคยกระท�ำมาในคราวนั้นหลวงพ่อแช่มวัดฉลอง47 ได้ปลุกก�ำลัง ชาวภูเก็ตลุกขึ้นต ่อสู้กับพวกกบฏพร้อมกับท�ำผ้าประเจียดแจกให้เป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวใจ ต่อมาชาวภูเก็ตจึงต่อสู้กับพวกแรงงานกบฏได้ส�ำเร็จ สืบเนื่องจาก เหตุการณ์ในครั้งนั้นเองจึงท�ำให้ชื่อเสียงของหลวงพ ่อแช ่มยังคงปรากฏจนถึง ปัจจุบัน ส่วนที่เมืองระนองหลังจากปราบปรามแรงงานจีนที่ก่อกบฏได้ส�ำเร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร เลื่อนพระยารัตนเศรษฐีเป็นพระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดีจางวางก�ำกับราชการ เมืองระนองซึ่งราชทินนามนี้มีความหมายว่าผู้ประพฤติชอบ มีความจงรักภักดีต่อ องค์พระมหากษัตริย์ขณะอายุได้ ๘๐ ปีใน พ.ศ. ๒๔๒๐ ด้วยมีความดีความชอบ ในการปราบปรามแรงงานชาวจีนที่ก่อกบฏขึ้นในเมืองระนองดังปรากฏข้อความ ในสารตราพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนยศพระยารัตนเศรษฐีเป็น พระยาด�ำรง สุจริตมหิศรภักดีความว่า 46 ศุภรัตน์เลิศพาณิชย์กุล. สมาคมลับอั้งยี่ในประเทศไทย พ.ศ. 2367 - 2453 (กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2524), หน้า 164. 47 พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี(แช่ม)อดีตเจ้าอาวาสวัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) สังฆปาโมกข์และเจ้าคณะใหญ่เมืองภูเก็ต
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 30 “ครั้งนี้เกิดจีนกบฏขึ้น ณ เมืองระนอง กรุงเทพมหานคร ก็แต่ง ข้าหลวงมีอ�ำนาจคุมทหารปืนใหญ่เล็กและเกณฑ์กองทัพหัวเมือง มาช่วยระงับปราบปราม พระยารัตนเสฐีกลับมาแต่เมืองจีน ถึงเมืองระนองทันราชการ ได้ช่วยข้าหลวงทหารปืนใหญ่เล็ก แลกองทับหัวเมืองปราบปรามท�ำโทษจีนคนชั่วราบคาบ บ้านเมืองจึงเรียบร้อยได้โดยเรว พระยารัตนเสฐีมีความชอบ ในราชการแผ่นดิน…”48 พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องยศต่าง ๆ49 และในปีเดียวกันโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดีจางวางผู้ก�ำกับราชการเมืองระนอง เป็นผู้บังคับ ราชการเมืองหลังสวน เพื่อให้การท�ำกิจการเหมืองแร ่ของเมืองระนองและ เมืองหลังสวนซึ่งมีเขตแดนติดต ่อกันเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเพื่อให้ ผลประโยชน์จากการท�ำเหมืองแร่มีความเจริญงอกงามขึ้น50 และโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนคอซิมก้อง51 บุตรชายของพระยาด�ำรงสุจริต มหิศรภักดีจางวางก�ำกับราชการเมืองระนอง และผู้บังคับราชการเมืองหลังสวน เป็นพระยารัตนเศรษฐีรับราชการเป็นเจ้าเมืองระนองแทนบิดา 48 คงรูปแบบการสะกดแบบเดิมตามสารตราเจ้าพระยาอรรคมหาเสนาฯ มาถึงพระยา รัตนเสฐีผู้ว่าราชการเมืองระนอง วันพฤหัสบดีแรม ๖ ค�่ำ เดือน ๓ จ.ศ. ๑๒๓๙ 49 เครื่องยศที่พระราชทาน ได้แก่ โต๊ะทองค�ำใหญ่ ๑ ใบ กระโถนทองค�ำ ๑ ใบ คนโททองค�ำ ๑ ใบ สัปทนปัศตูแดง ๑ คัน และเสื้อผ้าตามบรรดาศักดิ์50 หอจดหมายเหตุแห ่งชาติ. ก.ร.5 รล-กห/16 เอกสารกรมพระกลาโหม รัชกาลที่ ๕ สารตราตั้งพระยาด�ำรงค์สุจริตมหิศรภักดีจางวางเมืองระนอง มาเปนผู้บังคับ ราชการเมืองหลังสวร จ.ศ. 123951 ขณะนั้นยังด�ำรงบรรดาศักดิ์เป็นหลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 31 พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) แต่งกายอย่างจีนแกมไทย มือขวาถือกล้องสูบยาแดง
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 32 เนื้อหาบางส่วนของสารตราพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนยศพระยารัตนเศรษฐี เป็นพระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี จางวางก�ำกับราชการเมืองระนอง จ.ศ. ๑๒๓๙ (พ.ศ. ๒๔๒๐)
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 33 ในเวลาต่อมาเพื่อเป็นการระมัดระวังภัยมิให้เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นอีก จึงมีการสร้างก�ำแพงล้อมรอบจวนเจ้าเมืองระนองด้วยอิฐสอปูน มีความยาว 954 เมตร สูงประมาณ 3.50 เมตร52 มีป้อม ประตูหอรบ และบริเวณก�ำแพง มีช่องส�ำหรับยิงปืน ในช่วงเวลาปกติได้น�ำแผ่นกระเบื้องมาปิดไว้เผื่อว่าหากเกิด เหตุการณ์บุกปล้นโรงภาษีและสถานที่อื่น ๆ เช่น ฉางข้าวหลวง คลังเก็บสินค้า โรงเก็บรักษาฝิ่น โรงช้าง โรงม้า โรงต้มกลั่นสุรา ซึ่งอยู่ในเขตจวนเจ้าเมืองระนอง ขึ้นอีก จะได้กระทุ้งปืนออกมายิงพวกกบฏที่ลุกขึ้นมาปล้นพระราชทรัพย์จึงเป็น ที่มาของอีกชื่อเรียกในปัจจุบันว่า “ค่ายเจ้าเมืองระนอง” อย ่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์แรงงานก ่อการจลาจลเมืองระนอง พ.ศ. 2419 ก็มิได้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเลย และเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนก�ำแพงจวนเจ้าเมืองระนอง เป็นโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๓ ตอนพิเศษ ๕๐ ง หน้า ๙ 52 กรมศิลปากร, โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนในเขตพื้นที่ส�ำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช: ณัฐการการพิมพ์, 2563), หน้า 20.
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 34 ก�ำแพงจวนเจ้าเมืองระนองในปัจจุบัน ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน อยู่ในความดูแลของส�ำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ภาพถ่ายเก่าของซุ้มประตูทรงหอรบและก�ำแพงจวนเจ้าเมืองระนอง
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 35 หลังจากที่พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดีดำ�รงต�ำแหน่งจางวางก�ำกับราชการ เมืองระนอง และผู้บังคับการเมืองหลังสวน จึงได้จัดการแบ่งทรัพย์มรดกที่ตนได้ สร้างสมขึ้นมาจนเป็นกิจการใหญ่ในเมืองต่าง ๆ ให้แก่บุตร ได้แก่ 1. พระยารัตนเศรษฐี(คอซิมก้อง) ได้รับมอบให้ดูแลกิจการทั้งหมดที่ เมืองระนอง 2. หลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ (คอซิมขิม)53 ได้รับมอบให้ดูแลกิจการและ ห้างโกหงวนที่ปีนัง 3. พระจรูญราชโภคากร (คอซิมเต็ก) ได้รับมอบให้ดูแลกิจการทั้งหมด และห้างโกหงวนที่เมืองหลังสวน 4. คอซิมบี้ส่งไปศึกษาที่เมืองจีน เมื่อกลับจากเมืองจีนแล้วพระยา รัตนเศรษฐีผู้เป็นพี่ชายได้น�ำขึ้นถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว54 พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดีจางวางก�ำกับราชการเมืองระนอง และผู้บังคับการเมืองหลังสวน ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู ่หัวรวมถึง ๓ รัชกาล ตั้งแต ่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ต่อมาในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2425 พระยาด�ำรงสุจริต 53 ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอัษฎงคตทิศรักษา สยามประชา นุกูลกิจ เจ้าเมืองกระบุรี 54 สุวรรณีณ ระนองและคณะ,อนุสาวรีย์พระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี(คอซู้เจียง) เจ้าเมืองระนอง, หน้า 29.
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 36 มหิศรภักดีได้ถึงแก่อนิจกรรม55 ด้วยวัณโรคที่กระดูกสันหลัง สิริอายุ 86 ปี การประกอบพิธีศพจัดขึ้นตามธรรมเนียมจีนโดยการฝัง ณ บริเวณเชิงเขา ระฆังทอง56 และบุตรหลานได้ขอรับพระราชทานป้ายศิลาจารึกปักบริเวณสุสาน เพื่อเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล ป้ายศิลาจารึกดังกล ่าว มีเนื้อหาเกี่ยวกับชาติประวัติและคุณความดี ของพระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี(คอซู้เจียง) โดยเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ ที่สมุหพระกลาโหม57 ได้ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร58 เจ้ากรมพระอาลักษณ์เรียบเรียง จากข้อมูลซึ่งบุตรหลานที่เมืองระนองสอบถามจากผู้เฒ่าผู้แก่ต่อมาได้นำ� ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัว เมื่อทอดพระเนตรแล้ว มีพระราชด�ำริให้ส่งมาพระราชทานแก่บุตรหลาน ณ เมืองระนอง59 และปักไว้ บริเวณด้านหน้าสุสานตั้งแต่ปีพ.ศ. 2426 ซึ่งสันนิษฐานว่ายังมิเคยมีขุนนาง ชาวจีนที่เข้ามารับราชการในไทยผู้ใดได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณเช่นนี้ มาก่อน 55 เป็นที่น่าสังเกตว่าในเอกสารชั้นต้นสมัยรัชกาลที่๕ หลายฉบับ ได้ใช้ค�ำว่าอสัญกรรม ในเอกสารที่กล่าวถึงการศพของพระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดี(คอซู้เจียง) ซึ่งสันนิษฐานว่า อาจเป็นการให้เกียรติอย่างสูงแก่ผู้วายชนม์ เพราะค�ำว่าอสัญกรรมในอดีตนั้นใช้เฉพาะกับ ขุนนางซึ่งมีบรรดาศักดิ์ชั้นเจ้าพระยาเท่านั้น56 มีชื่อในภาษาฮกเกี้ยนว่ากิมเจ๋งซัว ซึ่งแปลว่าระฆังทอง (金鐘山)57 คือเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) บุตรชายคนโตของสมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)58 สันนิษฐานว่าคือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)59 หอจดหมายเหตุแห ่งชาติ. ก.ร.5 รล-กห/31 เอกสารกรมพระกลาโหม รัชกาลที่ ๕ หนังสือกราบบังคมทูลของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ เรื่องจารึกหน้าหลุมศภ ของพระยาด�ำรงสุจริตฯ จ.ศ. 1245
พระยาดำ รงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) 37 สุสานของพระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดีตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาระฆังทอง โดยท�ำเป็นหลุมศพตามประเพณีแบบจีน มีการแกะหินเป็นเกล็ดมีลักษณะแบบ กระดองเต ่าตามความนิยมในภูมิภาคทางใต้ของประเทศจีน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน อีกทั้งชาวจีนยังถือว่าเต่าเป็น สัตว์มงคลและสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว พื้นบริเวณสุสานกรุด้วยหินแกรนิต ทั้งหมด บริเวณทางเดินเข้าสุสานประดับตกแต ่งด้วยประติมากรรมหินเป็นคู ่ ได้แก่ เสาธงหิน แพะเสือ ม้าและขุนนางจีนทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ประติมากรรมหิน และส ่วนประกอบบางชิ้นสันนิษฐานว ่าสั่งมาจากเมืองจีน ส่วนหินแกรนิตที่ กรุพื้นสุสานและเสาธงหินสันนิษฐานว ่าเป็นหินแกรนิตที่สกัดในเมืองระนอง ซึ่งในอดีตมีแหล่งผลิตอยู่ที่บ้านหลุมถ่าน60 บริเวณสภาพของสุสานเมื่อแรกสร้าง ปรากฏหลักฐานใน“พระราชหัตถเลขา ในพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเสดจประพาสแหลมมลายูเมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๐๘, ๑๐๙, ๑๑๗, ๑๒๐ รวม ๔ คราว ฉบับ พ.ศ. ๒๔๖๘ หน้า ๑๐๑” ความว่า “วันที่ 26 เวลาเช้า ไปดูที่ฝังศพพระยาด�ำรงสุจริต ตามทางที่ ไปเปนนาเปนสวนตลอด เมื่อจวนถึงที่ฝังศพเปนสวนพระยา ระนองทั้งสองฟาก ปลูกหมากมะพร้าวมะม่วงเปนระยะท่องแถว งามนัก มะพร้าวปลูกขึ้นไปจนถึงไหล่เขา ที่น่าที่ฝังศพปลูกต้นไม้ ดอกต่างๆเมื่อเวลาอยู่เมืองระนองเวลาค�่ำ ๆ มีบุหงาส่ง ที่ฝังศพ นั้นมีป้ายศิลาสูงสักสี่ศอกเศษ จารึกเรื่องชาติประวัติของพระยา ด�ำรงสุจริตทั้งภาษาไทยและภาษาจีนเปนค�ำสรรเสริญตลอดจน บุตรหลาน ถัดเข้าไปมีเสาธงศิลาคู่หนึ่ง แพะคู่หนึ่ง เสือคู่หนึ่ง 60 สัมภาษณ์ นายโกศล ณ ระนอง, ประธานกรรมการมูลนิธิพระบุรพทิศอาทร และนางลี้ณ ระนอง, ๙ ตุลาคม ๒๕๖๕
ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติ ในประเทศไทย เล่ม ๔ 38 ม้าคู่หนึ่งขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊คู่หนึ่งแล้วก่อเขื่อนศิลาปูศิลาเปน ชั้น ๆ ขึ้นไปสามชั้น จึงถึงลานที่ฝังศพ มีพนักศิลาสลักเปน รูปสัตว์และต้นไม้เด่น ๆ ที่กุฎินั้นก็ล้วนแล้วด้วยศิลาตลอดจนถึง ที่ท�ำเปนหลังเต่า ต่อขึ้นไปเปนเนินพูนดินเปนลอน ๆ ขึ้นไป ๓ ลอนตามแบบที่ฝังศพจีน แต่แบบต้องอยู่ที่กลางแจ้ง ไม่มี ร่มไม้เลย ลงทุนท�ำถึง 600 ชั่งเศษ ที่ฝังศพมารดาและญาติ พี่น้องก็อยู่ใกล้ๆกัน แต่ต้องไว้ระยะห่างดูน่าจะเปลืองที่เต็มที”61 ทั้งนี้สุสานของพระยาด�ำรงสุจริตมหิศรภักดีล้วนแฝงไปด้วยความเชื่อ ตามประเพณีนิยมจีนเรื่องฮวงจุ้ย และคติสัญลักษณ์ตามแบบจีน ตั้งแต่ทางเดิน หินยาวเข้าไปถึงหลุมศพนั้นก็คล้ายกับเข็มขัดหยกของข้าราชการระดับสูงในสมัย โบราณของจีน ซึ่งแสดงถึงการอวยพรให้ลูกหลานผู้สืบวงศ์ตระกูลได้เป็นข้าราชการ มีบรรดาศักดิ์สูง มีชีวิตความเป็นอยู ่ที่ดีพร้อมด้วยโภคสมบัติทรัพย์สมบัติ ส่วนกระดองเต่าที่สลักจากหินนั้นสื่อถึงการมีอายุยืนยาว ประติมากรรมม้าสื่อถึง ความว่องไวและไหวพริบปฏิภาณของวัยฉกรรจ์ เสือสื่อถึงพลังอ�ำนาจด้านการ ทหาร แพะสื่อถึงความกตัญญู เพราะเมื่อลูกแพะจะดื่มน�้ำนมจากแม่ต้องคุกเข่า ลงก่อนจึงจะสามารถดื่มน�้ำนมได้62 ส่วนเสาธงหิน ๒ ต้น สูงประมาณ ๖ เมตร มีจารึกอักษรจีน ซึ่งแปลความหมายได้ว่า “ระนองมีภูเขาสลับซับซ้อนสวยงาม 61 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเสดจประพาสแหลมมลายูเมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๐๘, ๑๐๙, ๑๑๗, ๑๒๐ รวม ๔ คราว (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไท ถนนรองเมือง, 2๔๖๘), หน้า 10๑ - ๑๐๒.62 สุทธิว่องมงคลเดช, “มรดกทางสถาปัตยกรรมจีน ทางชายฝั่งทะเลตะวันตก ภาคใต้ของประเทศไทย,”วารสารหน้าจั่ว มหาวิทยาลัยศิลปากร 16, 2 (2562) : 29 - 30.