The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์กล้วย จังหวัดสุพรรณบุรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ddttgr1125, 2021-01-29 22:23:37

การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์กล้วย

การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พันธุ์กล้วย จังหวัดสุพรรณบุรี

51

โดยมีทอ่ นำ้ ท่ออาหาร (vascular bundle) จํานวนมากเปน็ ตวั เชอ่ื มระหวา่ งส่วนท้ังสอง
นนั้ เนอ้ื เยอ่ื ของลําต้นประกอบด้วยเซลพาเรนไคมาซึ่งมีแป้งบรรจุอยภู่ ายใน (starchy parenchyma)
เม่อื ผา่ ตามยาวจะเห็นจดุ เจริญเปน็ รูปสามเหลยี่ มและมใี บหุ้มช้อน ๆ กนั อยู่ ข้างล่างของจุดเจริญเปน็
แคมเบยี ม (Cambium) มีความหนาประมาณ ๓ เซนตเิ มตร ท่ีจดุ เจรญิ นม้ี ีการสรา้ งใบและลาํ ตน้ เทียม
(psuedostem) เหนอื ดิน สําหรับลําตน้ ใต้ดนิ เรียกว่า Corm และมที ่อนำ้ ท่ออาหารเป็นเซลเดยี่ ว

การกําเนดิ ดอก

Barker & Steward (๑๙๖๒); Ram et al. (๑๙๖๒); Fahn et al. (๑๙๖๓) bla: Gany
(๑๙๘๐) ได้ทําการศึกษาทางกายวภิ าคของเนื้อเย่ือจุดเจริญของกลว้ ยในช่วงการเปลยี่ นแปลงจากการ
เจรญิ ทาง ดา้ นลาํ ตน้ ใบ ไปเป็นดอก พบวา่ ชว่ งการเจริญของลําตน้ เทยี มและใบนนั้ จะมีการนนู ขึน้
เล็กน้อยทจ่ี ุด เจริญและมีการแบง่ เซลภายใน ท่บี ริเวณ Corpus ซงึ่ เนื้อเย่อื เจรญิ กาํ ลงั ทํางานอยูจ่ ะมี
ช้ันของ tunica ปกคลุมอยู่ ๑-๒ ชัน้ ซึ่งทน่ี จ่ี ะมกี ารเกดิ ใบขึ้นทีละใบ ๆ สาํ หรบั แกนกลางของเน้ือเยื่อ
เจรญิ นั้นจะอย่ลู ึก ลงไปในใจกลางของส่วนทีน่ ูนและมีหนา้ ทหี่ ลกั คือการสร้างช่อดอกซ่ึงจะเกิดขนึ้ ที่
หลังการสร้างใบ โดยที่ ใบนนั้ มกี ารเจริญอยา่ งปกตจิ ากสว่ นนอกของ tunica สว่ นจดุ กําเนิดของใบนนั้
ต่อมาจะกลายเปน็ ท่ีอยู่ ของกาบใบ

ในชว่ งที่มกี ารเปลย่ี นแปลงเป็นตาดอกน้ี จะมีการเปล่ยี นแปลงเกดิ ข้นึ ท่ีจุดเจรญิ เซลท่จี ุด
เจริญจะมลี กั ษณะอวบน้ำและมีการแบ่งเซลแบบไมโทซสิ (mitosis) ทาํ ให้มกี ารเกดิ เป็นช่อดอกโดย
บรเิ วณเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ นนั้ นูนสงู ขน้ึ เหนอื ฐานใบท่อี ย่ลู ้อมรอบและมกี ารแทงช่อดอกขึน้ เกดิ ใบประดับ
(bract) หลาย ๆ ใบทีบ่ รเิ วณทีเ่ กดิ ใบ ทฐ่ี านของใบประดบั จะบวมและขยายใหญ่แล้วเปลย่ี นเป็นดอก
ตวั เมยี และดอกตวั ผู้ต่อมา

เมือ่ มีการเกิดตาดอกแลว้ จะมีการเกดิ ลําต้นเหนือดนิ (aerial stem) เจริญขน้ึ มาในส่วน
กลางของลาํ ตน้ เทยี มเพื่อชูชอ่ ดอกข้นึ มาบนอากาศโดยแทงโผลข่ นึ้ ท่ปี ลายของลําต้นเทียม สว่ นของ ลํา
ต้นเหนือดินนี้มสี ขี าวเม่อื อยู่ภายในลําต้นเทยี ม และเมื่อโผลข่ น้ึ สัมผัสกับอากาศจะเปลี่ยนเป็นสเี ขยี ว
เม่ือผา่ ดลู กั ษณะภายในของลําตน้ เหนอื ดินนจ้ี ะเหน็ วา่ เหมือนกับลาํ ตน้ ใต้ดนิ แต่ขนาดของลําตน้ จะเลก็
และระบบท่อนำ้ ทอ่ อาหารเล็กกว่าและจะเห็นข้อ (node) ซึ่งเป็นทเ่ี กดิ ใบและพบเซลเทรขีด
(tracheids) มีความยาว ๔ – ๖ เซนติเมตร ลําต้นเหนือดนิ นม้ี ีกาบใบท่เี ปน็ ลาํ ต้นเทยี มอย่ลู อ้ มรอบเป็น
ตัวชว่ ยพยุง ไมใ่ ห้ลําตน้ เหนอื ดนิ และเครอื กล้วยล้ม สาํ หรบั ท่อน้ำท่ออาหารของลาํ ต้นเหนือดินนจี้ ะ
ติดตอ่ ระหวา่ งใบ เครือกล้วย ลําตน้ และต่อไปทร่ี ากด้วย

กาบใบและใบ

52

การเรียงของใบและกาบใบบนลําต้นแท้ใต้ดินจะเกิดเรียงกันเป็นวงกลมและช้อน ๆ กันท่ี
ส่วนโคน ส่วนด้านปลายจะไม่ซ้อนกัน ส่วนปลายนี้จะเป็นจุดกําเนิดของใบซึ่งเจริญมาจากส่วนกลาง
ของลําต้นเทียม กาบใบเรียงกันแน่นเพราะขอบของกาบใบแบนและบางไม่หนาเหมือนตรงกลางของ
กาบใบ การเรียงแบบนี้จะทําให้เกิดลําต้นเทียมแน่นและแข็งแรงซึ่งจะเป็นตัวพยุงลาํ ต้นเหนือดินและ
เครอื กล้วยให้ยนื ทรงตวั อยูไ่ ด้

การจัดเรียงของใบ (phyllotaxy) จะแตกต่างกันไปตามอายุของต้นกล้วย ถ้าหน่ออายุ
น้อย การจัดเรียงของใบเป็นแบบ ๑/๓ และเป็นแบบ ๒/๕ ๓๗ และ ๔/๙ ในต้นที่มีอายุมากขึ้นซ่งึ ผล
ของการ จัดเรียงนี้ทําให้เกดิ มุมของใบตอ่ ใบเป็นมุม ๑๒๐ - ๑๖๐ องศา และทาํ ให้การเรียงของใบเป็น
แบบหมนุ โดยหมุนวนไปทางซ้าย คือเมอ่ื หันหน้าเข้าหาต้นกลว้ ยจะเห็นการเรยี งของใบไปทางขวา

ถ้าตัดตามขวางกาบใบดจู ะเห็นว่าองค์ประกอบภายในประมาณครึ่งหน่ึงของพ้ืนที่เป็นช่อง
อากาศ (air space) ซึ่งจะต่อกันเป็นท่อยาวโดยมีเซลพาเรนไคมากั้นและมีท่อน้ำท่ออาหารซ่ึง
ประกอบด้วยท่ออาหารและถุงน้ำยาง (latex vessel) และที่ท่ออาหารนี้มีเซลสเคลอเรนไคมา
(sclerenchyma) ทอ่ นำ้ ท่ออาหารเหล่านเี้ รยี งขนานกันไปอยา่ งต่อเนอ่ื ง

ผิวด้านนอกทั้งสองข้างของกาบใบมีลักษณะเป็นเงามัน ผนังเซลของอิพิเดอมิส
(epidermis) จะหนาซึ่งประกอบด้วยเซลลูโลส ส่วนของ hypodermis นั้น ในตอนแรก มีสารพวก
Suberin มา เคลือบและต่อมากลายเป็นลิกนิน (lignin) การเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อป้องกันส่วนที่อยู่
ภายใน นอกจาก นี้ยงั พบปากใบ (stomata) บนพืน้ ผิวท้ังขา้ งบนและข้างลา่ ง โดยพบว่ามีประมาณ ๗-
๑๒ เซลต่อพื้นที่ ๑ ตารางมิลลิเมตร ส่วนปลายยอดของกาบใบจะเป็นส่วนที่อยู่ติดกับก้านใบ
(petiole) ซึ่งมีลักษณะกลมมน ส่วนทางด้านบนเป็นร่องซึ่งต่อมาจากส่วนเว้าหรือด้านในของกาบใบ
นั่นเอง ส่วนของก้านใบประกอบ ด้วยช่องอากาศ เรียงไปตามยาวเป็นท่อและมีผนังกั้นเช่นเดียวกับที่
กาบใบ ผนังด้านบน epidermis ของก้านใบจะหนาเพราะประกอบด้วยเซลลูโลส และชั้นของ
hypodermis มีสาร ignin เคลือบอยู่ ทางด้านล่างของก้านใบจะมีท่อน้ำท่ออาหาร และเป็นส่วนท่ี
รองรับนำ้ หนักของแผน่ ใบ

แผน่ ใบประกอบดว้ ยส่วนของเส้นใบซ่งึ มีลักษณะทางกายวภิ าคเหมอื นกบั กา้ นใบ สว่ นของ
แผ่นใบทั้งสองข้างมาบรรจบกันที่เส้นกลางใบที่ขอบของเส้นกลางใบทั้งสองข้างจะเห็นแถบpulvinar
band ซ่งึ มีสเี ดียวกบั เสน้ กลางใบคอื มีสีเขียวอ่อน แถบน้ีจะเห็นชดั เจนเมอ่ื ต้นกลว้ ยขาดน้ำ ปลายของ
ใบมี ลักษณะมน ฐานใบกลมหรือเปน็ สิ่งย่ืนแบบ auriculate ลักษณะฐานใบน้ีจะแตกต่างไปตามอายุ
แผ่นใบจะหนาที่บรเิ วณกลาง ๆ ใบ และมาบางที่ปลายและขอบใบ ส่วนของเส้นใบ (vein) ขนาน กัน
ไปโดยเริ่มจากเส้นกลางใบไปยังขอบ เส้นใบของกล้วยไมม่ ีการแตกแขนง ในแผ่นใบข้างหนึ่งจะมี เส้น
ใบประมาณ ๑๗,๐๐๐ เสน้

53

ปากใบ (stomata) ปรากฏอยูบ่ นแผ่นใบท้ังดา้ นบนและด้านล่าง จาํ นวนปากใบของ แผ่น
ใบด้านบนจะมีมากกว่าด้านลา่ ง โดยพบว่าแผ่นใบดา้ นบนจะมีปากใบอยู่ประมาณ ๕ ส่วน และพบ ๓
ส่วนในแผน่ ใบด้านล่าง สาํ หรบั กล้วยในประเทศไทย ไดม้ กี ารศกึ ษาในเร่ืองนเ้ี ช่นกนั พบวา่ จาํ นวนปาก
ใบของแผ่นใบด้านบนมี ๔.๗ - ๕๑.๘ เซล ต่อตารางมิลลิเมตร ส่วนแผ่นใบด้านล่างพบว่ามี ๒.๓ -
๓๒.๙ เซล ต่อตารางมิลลิเมตร โดยวัดจากส่วนกลางใบ นอกจากจํานวนปากใบจะแตกต่างกันท่ี
ด้านบนและด้าน ล่างแล้ว ยังพบว่าที่บริเวณปลายใบ กลางใบ และฐานใบ ยังมีความแตกต่างกันด้วย
โดยพบว่าทฐี่ านใบ มจี าํ นวนปากใบน้อยทส่ี ุด ซึ่งจากการศึกษากล้วยในประเทศไทยพบวา่ เซลปากใบท่ี
บริเวณปลายของ แผ่นใบด้านล่างหรือฐานใบมี ๗๗.๖ เซล ต่อตารางมิลลเิ มตร และ ๒๐๘.๒ เซล ต่อ
ตารางมิลลิเมตรที่ บริเวณปลายใบด้านบน นอกจากนี้ยังพบว่าจํานวนและขนาดของปากใบยัง
แตกต่างกันตามจํานวนชุด ของโครโมโซมอีกด้วย สําหรับขนาดของปากใบนั้นพบว่ามีขนาดประมาณ
๐.๐๓๑ – ๐.๐๓๔ ตารางมิลลเิ มตร

ลักษณะภายในของแผ่นใบจะเห็นช่องอากาศอยู่ประมาณ ๕๐% ซึ่งคล้ายกับก้านใบและ
กาบใบ และมีผนังบาง ๆ กัน ส่วนของท่อน้ำ ท่ออาหารจะพบอยู่ทางด้านที่เป็นร่อง ท่อน้ำท่ออาหาร
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อพวก fibrous tissue มาก ทางด้านบนและด้านล่างของท่อน้ำ ท่ออาหารจะมี
เซลโปรเซนไคมาและมีสารพวกซูเบอรนิ หุ้มอยู่ทางดา้ นบน และลิกนินหุ้มทางด้านล่าง จะสังเกตได้ว่า
ส่วน ที่มลี กิ นนิ นนั้ จะมเี นื้อเยอื่ อดั กนั แน่น นอกจากนี้ยังพบวา่ ใตช้ ั้นของอิพิเดอมสิ มเี ซลอยู่ ๒ ช้ัน ซ่ึง
ไม่มี คลอโรฟิล และถัดลงมาเป็นเซลพาไลเชด (palisade tissue) ที่มีลักษณะยาว และเซลทาง
ด้านล่าง เป็นเซลพาเรนไคมา ภายในเซลพาเรนไคมาประกอบด้วยคลอโรฟิล ที่ด้านนอกของเซลช้ัน
อิพิเดอมิสจะ มีคิวดิน (cutin) เคลือบอยู่หนา คิวตินนี้จะเคลือบแผ่นใบด้านบนมากกว่าแผ่นใบ
ด้านล่าง (ภาพที่ ๓)

ภาพที่ ๒.๓ แสดงการตัดตามขวางของใบกล้วย
การพฒั นาของแผ่นใบ

54

เน้อื เยอื่ เจรญิ ท่ีจะเจรญิ เปน็ แผ่นใบน้ันอยู่ใต้เสน้ ใบของสว่ นตอ่ ระหว่างใบกบั ก้านใบ ดังนั้น
จึง พบว่าแผ่นใบครึ่งหนึ่งจะมีอายุมากกว่าอีกครึ่งหนึ่งเพราะได้มีการเจริญก่อน ก่อนที่จะเห็นแผ่นใบ
ทั้ง สองข้างจะเห็นแผ่นใบนั้นม้วน (cigar leaf) อยู่โดยแผ่นด้านซ้ายม้วนรอบเส้นกลางใบและมีแผ่น
ด้าน ขวาม้วนรอบแผ่นด้านชายที่ม้วนอยู่ เมื่อใบแก่ กาบใบจะชูแผ่นใบขึ้นจากลําต้นเทียม แผ่นใบมี
ขนาดโต เต็มท่แี ละมีสีเขยี ว ดงั นน้ั เมอื่ แผ่นใบโผล่ออกมาจากลําต้นเทียมแล้วจะไม่มีการเพ่ิมขนาดขึ้น
อีก เม่ือ แผ่นใบโผลอ่ อกมาในชว่ งแรกจะยงั มว้ นแน่นอยูโ่ ดยส่วนขวามัวนทับสว่ นซ้ายซงึ่ ม้วนอยู่ภายใน
การคลี จะเริ่มที่ส่วนปลายของใบและค่อย ๆ เลื่อนมาทางโคนใบ ช่วงการคลี่ของใบพบว่าจะเกิด
ภายในเวลา ประมาณ ๔ วันในฤดูร้อน และประมาณ ๑๔ วัน ในฤดูหนาว สําหรับใบธง (spade leaf
หรือ flag leaf) พบว่าจะเกิดเมื่อต้นกล้วยมีอายุประมาณ ๖ - ๙ เดือน ต้องการเวลา ๗ – ๑๐ วันใน
การคลี่ ส่วนการ เจริญของใบพบว่ามีการยึดยาวประมาณชั่วโมงละ ๐.๒ เซนติเมตร และพบว่าการ
เจรญิ ของใบมมี ากใน ตอนกลางคนื มากกวา่ กลางวัน

ตําแหน่งของใบที่โผล่พ้นจากลาํ ตน้ เทียมมาแลว้ น้ัน ภายหลังจากใบคล่แี ลว้ ใบกล้วยบาง
ชนิดจะตัง้ (verticle) บางชนิดจะมขี นานกบั พ้นื ดนิ (horizontal) และบางชนดิ จะเอนลงจากแนว
ขนานเล็กน้อย ท้ังนี้ขนึ้ อยู่กับจาํ นวนชุดของโครโมโซม ถ้าใบดั้ง ใบจะมีขนาดเลก็ และเรียวยาว กา้ นใบ
สามารถรับนำ้ หนักทําให้ใบชูอยูไ่ ด้ ใบชนดิ นีเ้ ป็นใบของกล้วยทมี่ โี ครโมโซม ๒ ชดุ สว่ นพวกที่มีแผ่นใบ
ใหญ่ ก้านใบไมส่ ามารถรับน้ำหนักได้มากจงึ ทําใหเ้ อนลง กลว้ ยชนดิ นี้มจี ํานวนโครโมโซม ๓ – ๕ ชดุ ใบ
กล้วยปกติมีอายุ ๗๑ - ๒๘๑ วนั ถา้ อากาศร้อนอาจมีอายุสั้นลงเหลือ ๑๐๐ - ๑๕๐ วัน เมือ่ ใบแกก่ ้าน
ใบจะหกั ลง ทําใหใ้ บห้อยตดิ กบั ตน้ และตายไป ซึ่งสมควรตัดทิง้ เพราะจะเป็นแหล่งอาศยั ของโรค
สาํ หรบั ก้านใบ กาบใบจะยังคงอยู่หลงั จากที่ก้านใบและแผ่นใบตายและจะมีอายุต่อมาอีกไม่นานนักก็
จะเริ่มแห้งตาย เชน่ กนั จึงควรดึงออก

แผ่นใบเมื่อปะทะกับลมมักจะแตก ถ้าใบไม่แตกมากนักจะยังคงทําหน้าที่ได้อยู่เช่นเดียว
กับใบของปาล์ม ใบที่ฉีกจะมีสารซเู บอริน (Suberin) เป็นตัวช่วยป้องกันการคายน้ำ Taylor (๑๙๖๙)
พบว่าในใบที่ฉีกขนาด ๑๐ เซนติเมตร มีการคายน้ำน้อยและมีการสังเคราะห์แสงมากกว่าใบที่ใหญ่
และพบอกี วา่ ใบที่ฉีกมีอณุ หภูมติ ำ่ กวา่ ใบท่ีไมฉ่ ีก และลดการคายน้ำลงไปเหลอื เพียง ๑/๓ ของใบเต็ม

ความสูงและเส้นรอบวงของลําต้นเทียมจะสัมพันธ์กับการเจริญของใบ ทั้งนี้เพราะลําต้น
เทียมประกอบไปด้วยกาบใบที่ซ้อน ๆ กันอยู่ การเจริญของใบของหน่อที่ติดตั้งอยู่กับต้นแม่นั้นมักจะ
ได้ รับความกดดันจากต้นแม่ทําให้มีการเจริญช้า จึงทําให้หน่อใบแคบยังไม่มีแผ่นใบเหมือนปกติ
โดยทั่วไป หน่อใบแคบนี้ควรมีใบแคบอยู่ ๑ - ๑๑ ใบ แต่ยังไม่มีแผ่นใบ หลังจากใบแคบเกิดขึ้น ๘ -
๑๐ ใบ หน่อ จะมีความสูงประมาณ ๕๐ -๗๐ เซนติเมตร พื้นที่ใบและความกว้างของใบจะเพิ่มขึ้น

55

อย่างรวดเร็ว ชว่ ง เวลาการเจริญน้ีใชเ้ วลาประมาณ ๑๕๖ วนั ในฤดหู นาว และประมาณ ๗๒ - ๙๑ วัน
ในพืน้ ทที่ ่มี อี ากาศรอ้ น

ในขณะที่ลําต้นเทียมมีการเจริญนั้น จํานวนใบจะเพิ่มขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นการเจรญิ จะ
เปน็ ไปเร่ือย ๆ จนถึงใบที่ ๓๓ ต่อมาใบจะเรม่ิ เล็กลง หรือใบจะเรมิ่ เล็กลงในช่วง ๖ - ๘ใบกอ่ นการออก
ดอก ซึ่งช่วงนั้นการเจริญของลําต้นเทียมจะยังคงสูงขึ้น แต่เริ่มช้าลงและหยุดเจริญเมื่อแทงช่อดอก
(แทงปล)ี

รูปร่างของใบเป็นรูปไข่ที่ยาวและมีขอบขนานกัน ก้านใบมีความยาวประมาณ ๕๐
เซนติเมตรหรือยาวมากกว่า ๗๐ เซนติเมตรเล็กน้อย สําหรับแผ่นใบมีความยาวประมาณ ๑.๗ เมตร
ถึง มากกว่า ๒.๕ เมตร แผ่นใบกว้างประมาณ ๗๐ เซนติเมตร ถึง มากกว่า ๙๐ เซนติเมตร ความยาว
ต่อ ความกว้างของใบประมาณ ๒ ถึงมากกว่า ๓ เท่า ก้านใบของกล้วยบางชนิดเปิด เช่นในกล้วยป่า
และ บางชนดิ ปดิ เชน่ ในกลว้ ยตานี ทข่ี อบของก้านใบมีแผ่นบาง ๆ ในบางพันธท์ุ ่ีก้านใบเปิดเรียกว่าปีก
(wing) ปีกนีม้ กั จะมสี เี ขียว ชมพู ชมพูอมมว่ ง แผ่นใบมกั จะมสี ีเขยี ว เขยี วเข้ม เขียวอมเหลอื ง เขียวอม
แดง ส่วนใหญ่จะเห็นแผ่นใบเป็นเงาและบางครั้งมีนวลหรือไข (wax) ปลายใบเป็นรูปแบบตัด
(truncate) ฐานของแผ่นใบทั้งสองข้างไม่เท่ากัน และรูปร่างอาจต่างกัน โดยทั้งสองข้างอาจจะมน
เหมือนกนั หรือ ขา้ งหนึ่งมนอกี ข้างเรียว หรือเรียวทง้ั สองขา้ ง ดังภาพท่ี ๔

ภาพท่ี ๒.๔ แสดงรูปรา่ งของฐานใบ (จาก IPGRINIBAPICIRAD.๑๙๙๖)
ดอก
ดอกออกเป็นช่อ (inflorescence) แต่ละช่อมีใบประดับหรือเรียกว่ากาบปลี (bract) มี
รูปร่างคล้ายท้องเรือ (spath) ระหว่างกลุ่มดอก ดอกแต่ละดอกไม่มีใบประดับ การเจริญของช่อ ดอก
จะเจริญจากขวาไปซา้ ยและมีการพฒั นาสลับกันไประหวา่ ง ๒ แถว โดยหันหน้าเข้าหาแกนท่อนำ้ ท่อ
อาหารมีแนวทางการเกิดเชน่ เดียวกับการเกิดดอก ชอ่ ดอกหรือกลุ่มของดอก น้ีเรียกวา่ hand ช่อดอก
เป็นรูปแบบ cymose การเรียงของดอกเป็น ๒ ตอน (bi-seriate) ปกติจะมี ๑๒ - ๒๐ ดอกต่อ ๑ ตา

56

ดอก ดอกที่อยู่ล่างสุดเป็นช่อดอกตัวเมยี ส่วนตอนบนเป็นดอกตัวผู้และอาจจะมีหรือไม่มีดอก กระเท
ยอยรู่ ะหว่างกลางเปน็ สว่ นแบ่งของดอกตวั เมียและดอกตวั ผู้ กาบปลที ่อี ยู่ระหว่างดอกจะต้ังขึ้น ก่อนที่
ดอกจะทาํ หน้าท่ีตดิ เปน็ ผลเพยี งเลก็ น้อย บางชนดิ มีการม้วนงอขน้ึ จากปลาย บางชนิดจะไม่มีการ ม้วน
งอ เช่น กาบปลีของกล้วยตานี ปกติแล้วกาบปลีจะเปิดหรือตั้งขึ้นอยู่ประมาณ ๑ วัน ในช่วงนั้น รังไข่
ของดอกตวั เมียจะมีการพฒั นาเปน็ ผลและมีการเจริญไปเรื่อย ๆ การทก่ี าบปลีต้ังข้นึ ก็เพ่ือทจ่ี ะให้ ดอก
ตวั ผู้ชูข้ึนทําให้กา้ นยาวข้ึน การหุม้ ของกาบปลีไม่เหมือนการหมุ้ ของกาบใบคือจะหุ้มก้านไม่หมด

การติดผลขึ้นอยู่กับจํานวนของกลุม่ ดอกที่อยู่ท่ีโคนหรือด้านล่างของช่อดอกปกติมกี ารติด
ผล๕ -๑๕ หวี (hand) แต่สาํ หรบั กลว้ ยบางชนดิ อาจมีจาํ นวนมากขนึ้ ทป่ี ลายของชอ่ ดอกอาจจะยังมีจุด
เจริญอยู่หรือไม่มี ถ้าหากยังมีจุดเจริญอยู่จะเห็นดอกตัวผู้มีการเจริญต่อไป ในกล้วยหอมแกรนด์เนน
ถ้าปล่อยให้มีการเจริญของดอกตัวผู้ต่อไปโดยไม่มีการตัดจะพบว่ามีดอกตัวผู้อยู่ประมาณ ๑๕๐ -
๑๖๕ ตาดอก ในกล้วยตานีพบ ๓๕๐ ตาดอก บางพันธุ์ช่อดอกตัวผู้มีชีวิตสั้นและจะหยุดเจริญทันที
หลงั จาก การตดิ ผลในหวีสุดท้าย

การเกิดช่อดอกนั้นเกิดที่จุดเจริญซึ่งอยู่ที่ยอดของลําต้นซึ่งอยู่สูงจา กพื้นดิน๒๐-๓๕
เซนติเมตร ตา (bud) ที่จะเจริญเป็นช่อดอกนี้มีขนาด ๑ – ๒.๕ เซนติเมตร การเจริญของตาใช้เวลา
หลังจากใบสุดท้ายเกิด ๑๘ – ๒๒ วัน การแทงหรือการเจริญของลําต้นเหนือดินจะสูง ๓๐๐ - ๓๕๐
เซนติเมตร ใน กล้วยพันธุ์โปโย ซง่ึ เป็นกล้วยในกลุ่มคาเวนดิชท่ีมีต้นสูง มอี ัตราการเจริญประมาณ ๑๕
เซนติเมตร ตอ่ วัน ในบางพันธก์ุ ารเจริญอาจเร็วหรอื ช้ากวา่ น้ี

เม่อื ช่อดอกโผล่ขึ้นสู่อากาศหรือที่เรียกว่าแทงปลีได้ ๑๒ วนั ใบประดับจะร่วงหมดก้านช่อ
ดอกจะยึดยาวใช้เวลา ๑๒ วัน ในส่วนของดอกตัวเมียและดอกตัวผู้เช่นในกล้วยพันธุ์ โปโย สําหรับ
รูปร่างของเครือหรือช่อดอกที่มีการพัฒนาเป็นผลแล้วขึ้นอยู่กับ ๒ สาเหตุคือแรงดึงดูดของโลกและ
น้ำหนัก กล้วยในหมู่ Australimusa ช่อดอกทั้งหมดจะเจริญในทางตรงกันข้ามกับแรงดึงดูดของโลก
คือจะมี เครือตั้งขึ้น (negative geotropic) กล้วยในกลุ่มนี้มีก้านช่อที่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนัก
ของ เครอื กลว้ ยให้ต้ังตรงอยู่ได้ สว่ นดอกตวั ผู้ก็ยงั มีชีวติ อยู่ ซงึ่ บางท่ีทาํ ให้ชอ่ เรม่ิ โคง้ ในช่วงของดอกตัว
ผู้ ดัง เช่นในภาพที่ ๕ ส่วนกล้วยที่อยู่ในหมู่ Eumusa หรือกล้วยที่รับประทานกันอยู่นั้น เครือจะไม่
ห้อยลง ตามแรงดึงดูดของโลกแต่จะค่อนข้างขนานกับแนวพื้นดิน ซึ่งถ้าหากไม่มีแสงพอในการเจริญ
ของเครือ เครืออาจจะชูขึ้นเล็กน้อย สําหรับดอกตัวผู้ต่างกับดอกตัวเมียคือช่อดอกจะห้อยลงมาตาม
แรงดงึ ดดู ของ โลก (geotropic) ในชว่ งแรกจะพุ่งต้ังฉาก (ageotropic) กอ่ นแลว้ จึงหักลง ในบางพันธุ์
สว่ นของ ดอกตัวเมยี จะหอ้ ยลงตามแรงดึงดูดของโลกและดอกตัวผจู้ ะหักข้ึน

57

ภาพที่ ๒.๕ แสดงการชเู ครอื กล้วย (จาก IPGRI/INIBAP/CIRAD.๑๙๙๖)
การพฒั นาของดอก
ดอกแตล่ ะดอกมีจุดกําเนิดเปน็ รปู ทรงกรวยคว่าํ (dome) และมีการแบ่งเซลขยายใหญ่ข้ึน
เป็น รูปสี่เหลี่ยมและพัฒนาเป็นรูปห้าเหลี่ยมในเวลาต่อมาเพราะเกิดจากการบีบอัดของเนื้อเย่ือ
ข้างเคียง ใน ช่วงการพัฒนาแรก ๆ จึงเห็นส่วนยอดบวมขึ้นและวงของเนื้อเยื่อจะมีการเปลี่ยนแปลง
เป็นกลีบดอกซึ่ง ปกติเรียกว่า perianth แต่ในกล้วยเรียกว่า tepal หรือ กลีบรวม ซึ่งหมายถึงกลีบ
ดอกมีการพัฒนา ร่วมกับกลีบเลี้ยง ๓ กลีบ หลังจากนั้นจึงเกิดเกสรตัวผู้ (stamen) ๕ อัน และเกิด
กลีบดอกทางด้านล่าง โดยไม่ได้อยู่ติดกับ ๓ กลีบแรกแต่อย่างใด จึงเรียกว่ากลีบรวมเดี่ยว (free
tepal) ในกลว้ ยกรอสมิเซล มีเกสรตัวผู้ ๖ อัน รังไข่มี ๓ พู (carpel) โดยมีผนังกน้ั (placenta) ที่ผนัง
กั้นระหว่างช่องของรังไข่จะมี ไข่ติดอยู่ ท่ีรังไขม่ ีเนื้อเยื่อรวมกันและพัฒนาเปน็ กา้ นเกสรตัวผู้และเกสร
ตวั เมยี ซึ่งมี ๓ พู (lobe)
รูปร่างของดอกตัวผู้และดอกตัวเมียไม่สามารถแยกได้ในระยะแรก จนกว่าจุดเจริญของ
ดอกจะเจริญสูงขึ้นประมาณ ๑๕๐ เซนติเมตรจากพื้นดินและช่อดอกยาวประมาณ ๑๒ เซนติเมตร
ระยะ น้อี าจดูไดจ้ ากการพัฒนาของรงั ไข่ ในกล้วยหอมค่อม ชอ่ ดอกตอ้ งยาวกวา่ ๒๐ เซนติเมตร จงึ จะ
บอก ได้ ถ้าช่อดอกสั้นกว่านั้นไม่สามารถบอกได้ หรือจะบอกได้ก็ต่อเมื่อช่อดอกนั้นมีการเจริญ
ประมาณคร่ึง หนง่ึ ของความสูงของลําตน้
จากการตรวจสอบทางชีวเคมีในช่วงการเกิดดอกนี้อาจจะประมาณจํานวนหวีได้และ
จํานวนผลที่เกิดในระยะแรกของการพัฒนาช่อดอก แต่จํานวนจรงิ ๆ อาจจะลดลงเลก็ น้อย ขึ้นอยู่กับ
สภาพในชว่ งการเปลี่ยนแปลง ระยะเวลาทชี่ ่อดอกโผล่ขึน้ มา ๑๔ - ๓๐ วนั รังไขข่ ยายใหญ่และยาวขึ้น
จาก ๕ มิลลิเมตรเป็น ๑๙๕ มิลลิเมตร อัตราการเจริญประมาณ ๓ - ๗.๕ มิลลิเมตรต่อวัน อัตราการ
เจริญ ของดอกไดแ้ สดงดงั ตารางท่ี ๑

58

ตารางที่ ๑ แสดงอัตราการเจริญของรงั ไข่ ตัง้ แต่ก่อนแทงช่อดอกถงึ หลงั แทงช่อดอกแลว้

เวลา(วัน) ความยาว(มม.) เพม่ิ ขนึ้ วนั ละ (มม.) เส้นผ่านศูนย์กลาง เพมิ่ ขน้ึ วนั ละ (มม.)
(มม.)

-๑๔ ๕ - ๐.๕ ๐.๓

-๔ ๓๕ ๓.๐ ๓.๕ ๐.๙

๔ ๙๕ ๗.๕ ๑๒.๖ -

๓๐ ๑๙๕ ๓.๘ ๒๐.๐ ๐.๓

ท่มี า Lassoudiers (๑๙๗๗)

จํานวนของผลต่อเครือขึ้นอยู่กับสภาพของสิ่งแวดล้อมในช่วงของการพัฒนาใบที่ ๓ - ๔
ใบ สุดท้าย ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ ๑ เดือนจะมีการแทงปลีหรือแทงช่อดอกออกมา การเกิดผลดู
เหมือน ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงแรก ๆ ของการพัฒนาช่อดอก และอาจจะมีการลดจํ านวนลง ถ้า
สภาพแวดลอ้ มไม่เหมาะสม

รูปรา่ งของดอกที่เจรญิ เตม็ ทแ่ี ลว้ อาจเขยี นไดเ้ ป็นสตู รดงั น้ี

% [(๓) + (๒] + ๑), (๓) + (๓ − ๑), ̅ ̅̅[̅(̅๓̅)̅̅]
( ) หมายถงึ common membership of a whorl

[ ] หมายถงึ ติดกนั (fusion)

59

ภาพท่ี ๒.๖ ส่วนประกอบของปลีดอกตวั ผ้แู ละดอกยอ่ ย จาก IPGR/INIBAP/CIRAD, ๑๙๙๖)
กลีบดอกและกลีบเล้ียงติดกันเรียกว่า กลบี รวม (perianth หรอื tepal) วงของกลีบรวมมี

รูปร่างแบบ Zygomorphic คอื มีส่วนของข้างซ้ายและข้างขวาเท่ากัน วงของกลีบรวมน้ี แบ่งออกเป็น
๒ สว่ นใหญ่ ๆ คอื กลบี รวมใหญ่ (compound tepal) อยู่ทางด้านบนของดอก กลบี รวมใหญ่เกิดจาก
กลีบรวม ๕ กลบี ตดิ กนั เป็นแผน่ โดยแบง่ เปน็ ๒ ส่วน ส่วนใหญ่ ประกอบด้วยกลีบรวม ๓ กลีบ อย่ตู รง
กลาง จะมีกลีบรวมเล็กอยู่ข้างละกลีบ สําหรับด้านล่างของดอกเป็นที่อยู่ของกลีบรวมอิสระ ( free
tepal) กลีบรวมอิสระมีลักษณะเป็นแผ่นใสขนาดเล็กและไม่มีสี หรือมีสีม่วงเรื่อ ๆ ขนาดเล็กและสั้น
กว่ากลีบ รวมใหญ่ (ภาพที่ ๖)

วงของเกสรตัวผู้ มีเกสรตัวผู้อยู่ ๕ อนั แตม่ ี ๑ อันท่ีลดรปู แบบ (staminode) เกสรตัวผู้ท่ี
ลดรูปไปนี้อยู่ทางด้านล่าง ตรงกันกับด้านของกลีบรวมอิสระ วงของเกสรตัวผู้ประกอบด้วยเกสรตัวผู้
๒ วง ๆ ละ ๓ อัน และมี ๑ อันที่ลดรูปหายไป (ภาพที่ ๗)

ภาพท่ี ๒.๗ แสดงรูปแบบองค์ประกอบของดอก

ภาพท่ี ๒.๘ แสดงการจดั เรียงของไข่ (จาก IPGR/INIBAPICIPAD, ๑๙๙๖)

60

เกสรตัวเมียมีสีขาวหรือขาวนวล มีรังไข่อยู่ใต้วงกลีบดอก รังไข่แบ่งออกเป็น ๓ พู มีไข่
หรอื โอวุลเรยี งกนั อย่างมีระเบียบ ๒ หรอื ๔ แถว หรือกระจดั กระจายแลว้ แต่ชนดิ ดังภาพที่ ๘

ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียจะมีขนาดต่างกันคอื ดอกตัวเมียขนาดใหญ่กว่าดอกตัวผู้ เพราะ
ดอกตัวเมียมีรังไข่ที่มีการพัฒนาดีและเร็วจนมีความยาวเท่ากับความยาวของกลีบรวมใหญ่ มี ก้าน
เกสรตวั เมียและเกสรตัวเมียท่ีแขง็ แรง แตม่ กี ารลดรปู ของเกสรตัวผู้

สาํ หรับดอกตัวผู้นน้ั จะมีส่วนของรงั ไข่อยู่แต่รังไขจ่ ะฝ่อ กา้ นเกสรตวั เมยี และดอกตัวเมียจะ
มี ขนาดเล็กผอม และมีอับละอองเกสรตัวผู้ที่มีการพัฒนาดี (แต่ในดอกตัวผู้ของกล้วยหลายชนิดไม่
ค่อยมี ละอองเกสร) นอกจากนี้ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียยังมีความแตกต่างกันในทางพฤติกรรม ดอก
ตัวผู้จะ หลุดร่วงไปหลังจากดอกบานได้ ๑ วัน และมีการฟุ้งกระจายของละอองเกสรไปแล้ว แต่ดอก
ตัวเมยี จะ ไม่มกี ารหลุดแม้ว่าดอกนนั้ จะฝอ่ กต็ าม ท้ังนี้เพราะท่ฐี านของรงั ไข่ไม่มชี นั้ abscission layer
ซง่ึ ทาํ ให้ส่วนต่าง ๆ ของพชื หลดุ ไปเมื่อแก่ ปกติรังไขจ่ ะตดิ แน่นกับชั้นของกลบี รวมและช้ันของเกสรตัว
ผู้ ดังนั้นจะเห็นก้านของเกสรตัวผู้ติดอยู่ที่ปลายรังไข่จึงมักเกิดเป็นแผลหรืออาจจะติดอยู่ การคลุมถุง
จะ ทําให้ความช้นื ในถงุ สงู อาจทําให้ก้านเกสรนัน้ หลดุ ได้

ดอกตัวเมียมีต่อมนำ้ หวานที่อยู่ท่ีปลายของเกสรตัวเมีย ซึ่งอยู่ที่ปลายของรงั ไข่และมี การ
รวบรวมไว้ที่บริเวณฐานของกลีบรวมมีลักษณะเป็นเมือกหรือเจลาติน ละอองเกสรมีลักษณะเหนียว
การผสมเกสรเกดิ ข้นึ ไดใ้ นธรรมชาตโิ ดยมี ค้างคาว นก และแมลง เป็นพาหะ

การพัฒนาและการเจริญของผล

กล้วยป่าต้องการการผสมเกสรเพื่อใหม้ ีการเจริญของผล และผลที่แก่จะมีเมล็ดสีดําและมี
เนือ้ หมุ้ ล้อมรอบ มีรสหวาน เนือ้ นเ้ี จริญมาจากผนงั ของรังไข่ และผนังกัน้ รงั ไข่ (septa) ถา้ ไข่ไม่ได้ รับ
การผสมเกสรก็จะไม่มีการพัฒนา ในทางตรงข้าม กล้วยรับประทานหรือกล้วยที่ปลูกเพื่อกินผลมีการ
พัฒนาของผลแบบ vegetative parthenocarpic คอื มีการพัฒนาการเกิดเน้ือได้โดยไม่ตอ้ งมีการผสม
พันธุ์ เนื้อส่วนใหญ่เกิดจากขอบนอกของร่องของรังไข่ การขยายตัวของผนังกั้นรังไข่และแกนกลาง
และ มีการขยายไปทั่วรังไข่จนกระทั่งผลแก่ ไข่หรือโอวุลมีการหดตัวลงในระยะแรกและจะเห็นเป็น
เมล็ด สีน้ำตาลเลก็ ๆ ฝังอยู่ในเนอื้ เมือ่ ผลแก่ (ภาพท่ี ๙)

ได้มีการศึกษาการเจริญของผลกล้วยที่มีจํานวนโครโมโซม ๒ ชุด คือกล้วย Pisang Lin
พบว่า หลงั จากทด่ี อกไดร้ ับการผสม ๒ - ๔ อาทติ ย์ มีการแบง่ เซลท่เี ซลชัน้ ในของรงั ไข่ เซลมีการขยาย
ใหญข่ นึ้ และมกี ารเจรญิ ข้นึ ประมาณ ๔ อาทิตย์ แปง้ ท่ีอยใู่ นเนอื้ ทเี่ ปน็ เซลพาเรนไคมาจะลดลงเม่ือใกล้
แก่ การเจรญิ นไ้ี มเ่ ปน็ รูปแบบทแ่ี น่นอน แต่ประมาณ ๘ - ๑๒ อาทิตย์ ทัง้ รงั ไข่จะมีเน้ือเต็มไปหมด

61

กล้วยส่วนใหญ่ไม่มีเมล็ดทั้งนี้เพราะการเกิดผลกล้วยเกิดขึ้นได้ด้วยขบวนการ
parthenocarpy นอกจากนี้ยังมียีนที่เป็นหมันทางดอกตัวเมียและกล้วยส่วนใหญ่มีจํานวนโครโมโซม
๓ ชุด และมีรูปร่างของโครโมโซมเปลี่ยนแปลง กล้วยที่ปลูกเพื่อกินผลไม่ใช่ไม่มีเมล็ดเสียทั้งหมด
เพราะการเกิดเมล็ด นอกจากจะขึ้นอยู่กับสภาพของต้นแม่แล้วยังขึ้นอยู่กับจํานวนของละอองเกสรท่ี
มากพอในการผสมอีกดว้ ย สาํ หรบั กลว้ ยพันธุ์ท่ปี ลกู เพื่อการสง่ ออกนั้น จะต้องเป็นพันธุ์ที่เป็นหมัน ซึ่ง
หมายถึงจะต้องไม่มีเมล็ด มี ความเป็นหมันในดอกตัวเมียสูง ดังเช่นกล้วยในกลุ่มคาเวนดิช กล้วยใน
กล่มุ น้ไี ดม้ ีการทดลองปลูก และผสมเกสรดูเป็นพัน ๆ ครั้ง ก็ไม่พบว่าเกิดเมล็ดแต่อยา่ งใด แต่ในกล้วย
กลุ่มกรอสมิเซล แม้จะปลูก เป็นการค้าแต่พบว่าถ้าได้รับละอองเกสรที่มากพอก็สามารถติดเมล็ดได้
แม้จะเป็นจํานวนน้อย คืออาจ จะได้เมล็ดเพียง ๑ - ๒ เมล็ดต่อเครือ หรืออาจจะได้มากถงึ ๖๐ เมล็ด
ต่อเครือ ถ้าได้รับละอองเกสรมาก ดังนั้นแสดงว่ากล้วยหอมกรอสมิเซลมีดอกตัวเมียที่มิได้เป็นหมัน
สามารถผสมพันธุ์ได้ ผลที่ไม่มีเมล็ด นั้นมใิ ช่เป็นเพราะมจี ํานวนโครโมโซม ๓ ชดุ หรอื เพราะมยี นี ท่ีเป็น
หมันทางดอกตวั เมยี แตเ่ ปน็ เพราะมี ละอองเกสรไม่เพียงพอ กล้วยกรอสมเิ ซลจงึ สามารถตดิ เมล็ดได้ถ้า
นําไปปลูกในแหล่งท่ีมีละอองเกสร มากก็จะมีเมล็ดได้ กล้วยที่ปลูกเพื่อกินผลในประเทศไทยที่เห็นมี
เมล็ดมากได้แก่กลว้ ยน้ำว้า บางครง้ั จะเห็นว่ากลว้ ยน้ำว้ามเี มล็ด แต่บางครั้งก็ไม่มีเมล็ด กล้วยน้ำว้ามี
จํานวนโครโมโซม ๓ ชุด แต่มีความสามารถผสมติดได้ ถ้าหากไม่มีละอองเกสรมาผสมก็จะไม่มีเมล็ ด
กล้วยน้ำวา้ จะให้เมล็ดมาก ถ้า หากปลกู ปะปนกบั กล้วยที่มจี ํานวนโครโมโซม ๒ ชุด หรือกล้วยป่าซึ่งมี
ละอองเกสรมาก แสดงให้ เห็นว่ากล้วยน้ำว้ามีดอกตัวเมียที่ไม่เป็นหมัน จึงอาจกล่าวได้ว่าดอกตัวเมยี
ของกลว้ ยมีทง้ั เปน็ หมัน และไม่เปน็ หมัน ถ้าหากดอกนั้นไม่เปน็ หมนั ก็จะพบเมล็ดเมื่อเกดิ การผสมพันธุ์
และจะไม่พบเมล็ดถ้าไม่ ได้รับการผสมพันธุ์ เพราะผลกล้วยสามารถเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาแบบ
parthenocarpy

สรีระวิทยาของการพัฒนาเปน็ ผลโดยไม่ได้รับการผสมพันธุ์นัน้ สามารถเป็นไปได้เพราะมี
การผลิตออกซินในรังไข่ที่แก่ นอกจากนี้อาจเกิดจากสารไซโตไคนินที่อยู่ภายในรังไข่ ทําให้มีการ
พฒั นาของผลกลว้ ยท่ปี ราศจากเมลด็ (ภาพที่ ๙) ซงึ่ กจิ กรรมดงั กล่าวจะเกิดเชน่ เดียวกับการเกิดผลที่มี
เมล็ด โดยเมลด็ จะเปน็ ตัวสร้างสารดังกลา่ วและชว่ ยกระตุ้นการเจริญของผล ทําให้ผลทมี่ ีเมล็ดมีขนาด
ใหญ่กว่าผลของกล้วยชนิดเดียวกันแต่ไม่มีเมล็ด

62

ภาพที่ ๒. ๙ แสดงการพฒั นาของผลกล้วยที่ไมม่ ีเมล็ด
ผลของกล้วยเป็นแบบมเี นื้อมีหลายเมล็ด (berry) มีรูปร่างกลมยาว ทรงกระบอก มีความ
ยาวตั้งแต่ต่ำกว่า ๑๐ เซนติเมตรจนกระทั่งยาวกว่า ๓๐ เซนติเมตร ผลมีรูปร่างตรง โค้ง บางชนิดโคง้
เป็นรูปตัว S ถ้าตัดตามขวางของผลที่เต็มวัยจะพบว่าบางพันธ์ุกลม บางพันธุ์มีเหลี่ยมก็จะเห็นเป็นมมุ
ซึ่งมากน้อยแล้วแต่ชนิดพันธุ์ (ภาพที่ ๑๐) ปลายผลก็มีความแตกต่างกันกลา่ วคือ บางพันธุ์มีจุกสั้น ๆ
บาง พนั ธุ์จุกยาวและแหลม บางพนั ธม์ุ จี กุ เหมือนคอขวด บางพนั ธไุ์ ม่มีจุกและหัวมน (ภาพท่ี ๑๑) และ
ที่ ปลายผลหรือที่จุกน้ีบางที่จะเห็นมีก้านเกสรตัวเมียตดิ อยู่ บางพันธุ์กไ็ ม่มี หรือมีเฉพาะโคนของก้าน
เกสรตวั เมยี ตดิ เทา่ นน้ั (ภาพท่ี ๑๒) สําหรบั ก้านของผลหรือสว่ นที่เจริญมาจากก้านของดอกน้ันมีความ
ยาวนอ้ ยกว่า ๑๐ มม. หรอื ยาวกวา่ ๒๐ มม. แล้วแตช่ นดิ ของกลว้ ยและยีโนมของกลว้ ย

ภาพท่ี ๒.๑๐ รปู ร่างของผลกล้วยแบบต่าง ๆ(จาก IPGRI/INIBAP/CIRAD.๑๙๙๖)

63

ภาพที่ ๒.๑๑ แสดงรปู ร่างของปลายผลกล้วย
(จาก IPGRI/INIBAP/CIRAD.๑๙๙๖)

ภาพท่ี ๒.๑๒ แสดงลักษณะปลายผลท่บี างครงั้ มีกา้ นเกสรตัวเมยี ตดิ อยู่(จาก
IPGRIVINIBAP/CIRAD.๑๙๙๖)

เมล็ด
จากการศึกษาเมล็ดพันธุ์ของกล้วยตานีโดย McGahan (๑๙๖๑) พบว่าเมล็ดที่แก่แล้วมี
เซล สเครอรีด (sclereids) ประกอบอยู่ที่ชั้นนอกของ integument อยู่ ๔ ชั้น เซลเหล่านี้แข็งไม่มี
ลิกนนิ สว่ น integument ชัน้ ในมเี ซลท่ีมี cutin ท่ีหนาอีก ๒ ชน้ั สว่ นของ integument ช้นั นอกหนา
อยู่ล้อมรอบเมล็ด มีรู microplye ที่รูนี้มีเนื้อเยื่อมาปิดทําให้เกิดการอุดตันและที่ integument จะมี
เซล abscission layer อยู่ด้วย ซึ่งจะทําให้บริเวณนั้นบางลง ในขณะที่มีการพัฒนา ส่วนของรู
micropyle เองนั้นประกอบ ดว้ ยช่องเล็ก ๆ แคบ ๆ

64

สว่ นภายในเมลด็ พบเนอ้ื เยอ่ื ชั้นนเู ซลลา่ (nucelar) ทห่ี ลงเหลืออยู่ของ archeosporium
ทําให้เกิด chalazal mass ซึ่งเป็นสารคล้ายเจลาติน (gelatin) ทางด้านปลายของเมล็ด นอกจากน้ี
พบ ว่าภายในเมล็ดประกอบดว้ ยเอนโดสเปอร์ม (endosperm) ที่มีขนาดใหญ่เป็นที่สะสมอาหาร มีสี
ขาวและเมื่อแห้งจะมีลักษณะเป็นผงคล้ายแปง้ เป็นส่วนใหญแ่ ละโปรตนี พวก single protein crystal
loid และมีท่อน้ำ ท่ออาหารผ่านจากผนังกั้นไปยัง funicle และ remifying ไปยัง chalazal mass
และส่วนของ micropyle กย็ ังคงมจี ุกคอร์กอดุ อยู่ (ภาพท่ี ๑๓)

ในการงอกของเมล็ด เมล็ดงอกแบบไฮโปเจียล (hypogeal) คือชใบเลี้ยงเหนือพื้นดิน สิ่ง
แรกที่จะเห็นในช่วงการงอกคือ จะมีการผลักดันเอาของเหลวสีน้ำตาลออกมาที่รู micropyle จุก
คอร์กที่อุดรู micropyle ไว้จะหลุดออกและมีแรดิเคิล (radicle) ออกมา สําหรับใบเลี้ยงมีลักษณะ
คลา้ ยกบั หนอ่ คอื มีใบเกดิ ขึ้นคลา้ ยกับกาบใบ ใบที่ ๓ ที่เกิดจะแผค่ ลื่ออก ช่วงการเกดิ นีเ้ กิดมาจาก จุด
เจรญิ ที่อย่ใู นชน้ั ทนู ิคา (tunica) ซง่ึ เป็นเซลชนั้ เดียวและสามารถมองเหน็ ได้

ภาพที่ ๒.๑๓ กายวิภาคของเมลด็
ราก
ได้มีการศึกษาระบบและการกระจายของรากในประเทศฮอนดูรัส (Hondurus) กวาดูลูป
(Guadeloupe) ไอวอรี่โคท (Ivory Coast) และคามิรูน (Cameroon) ซึ่งแต่ละแห่งมีดินต่างชนิดกัน
พบว่า รากจะหยงั่ ลึกลงไปในดินได้มากน้อยเทา่ ใด ข้นึ อยู่กับชนิดของดินและการระบายน้ำของดนิ ดิน
ที่ แน่นเช่นดินเหนียว ซึ่งชั้นของดินแน่นและมีน้ำมากจะทําให้การเจริญของรากน้อย แต่ถ้าดินมีช่อง
อากาศมาก ดินเกาะกันอย่างหลวม ๆ จะทําให้การเจริญของรากดี การหยั่งลึกของรากจะลึกและ
รวดเร็ว ซึ่งเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงผลผลิตที่ตามมาจะดีด้วยถ้าระบบรากอยู่ในช่วงลึกประมาณ ๔๐
เซนตเิ มตร กลว้ ย จะให้ผลผลิตประมาณ ๔๖ ตนั ตอ่ ไร่ตอ่ ปี ซึ่ง Lassaudiere (๑๙๗๘) ไดช้ ีใ้ ห้เห็นถึง

65

ความสัมพันธ์ ระหว่าง น้ำหนักเครือกับปริมาณรากว่า กล้วยที่ปลูกในดินปนทราย (aluvial) ว่าจะมี
การเจริญของรากดีท่ีสุด

ปกติรากที่เจริญออกมาครั้งแรก (primary roots) ที่เกิดที่ต้นกล้ากล้วยจะมีอายุสั้นและ
จะตายไป และมีการสร้างรากอากาศ (adventitous) ขึ้นแทน สําหรับต้นที่เกิดจากหน่อ รากจะเป็น
รากอากาศตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง รากเกิดครั้งละ ๓ – ๔ เส้นในชั้นของ margin
layer ซงึ่ อยทู่ ผ่ี วิ ของลําต้นหรือหัว (corm) รากมีความหนาประมาณ ๕ - ๘ มิลลิเมตร มีลักษณะอวบ
น้ำ สีขาวถ้ารากนัน้ แขง็ แรง ต่อมารากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสนี ้ำตาล มีเซลเรียงตัวกนั อยู่อย่างหลวมๆ เส้น
ผ่านศูนย์กลางของรากจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับชุดของโครโมโซม ซึ่ง Monnet และ
Charpentier (๑๙๖๕) ได้ศึกษาพบว่าถ้ากล้วยมีจํานวนโครโมโซม ๓ ชุด (๒n = ๓๓ หรือ ๓X) ราก
จะมเี ส้นผ่าน ศนู ยก์ ลางประมาณ ๖.๒ - ๘.๕ มิลลิเมตร ถา้ มโี ครโมโซม ๒ ชุด จะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง
ประมาณ ๕.๑ - ๕.๗ มิลลิเมตร และถ้ามีจํานวนโครโมโซม ๔ ชุด (๒n = ๔๔ หรือ ๔X) จะมีเส้นผ่าน
ศนู ยก์ ลางประมาณ ๗.๔ มิลลเิ มตร

ในการปลูกกล้วยในช่วงแรก ๆ จะมีรากใหม่เกิดขึ้น ๑๔ - ๒๐ เส้น ซึ่งมีความยาว ๑๐ –
๑๕ เซนติเมตร รากเหล่านี้เกิดหลังจากปลูกประมาณ ๑๕ วัน เรียกรากเหล่านี้ว่า preformed root
ราก เหล่านี้มีจุดกําเนิดจากใจกลางของลําต้นและเริ่มเกิดตั้งแต่ก่อนปลูกและเจริญออกมาจากลําต้น
หลังจากปลูกลงดินแล้ว รากเหล่านี้จะทําหน้าที่ในช่วงแรก ๆ และหลังจากปลูก ๗๕ – ๙๐ วัน หรือ
ขณะที่มีใบ ๖ - ๑๐ ใบ จึงจะมรี ากใหมเ่ กิดข้ึน จํานวนของรากขนึ้ อยู่กบั ความแขง็ แรงของลําต้น ถา้ ลํา
ต้นแข็งแรงจะมี รากตั้งแต่ ๒๐๐ – ๓๐๐ เส้น แต่ถ้านับรวมถึงหน่อที่เกิดขึน้ ดว้ ยแล้วอาจพบว่ามรี าก
๕๐๐ - ๑๐๐๐ เสน้ ซึง่ รากเหล่าน้ีสามารถเจรญิ ออกทางด้านข้างกระจายออกไปไดถ้ ึง ๕.๒ เมตรและ
ลึกประมาณ ๗๕ เซนตเิ มตร ประมาณ ๕๐% ของรากจะพบอย่ใู ต้ดินลึก ๒๐ เซนติเมตร แต่ถ้าดินนั้น
ระบายนำ้ ดีอาจพบรากลกึ ถึง ๕๐ เซนตเิ มตร

รากของกล้วยแตกออกเป็นรากแขนงอีกมาก (lateral roots) รากเหล่านีจ้ ะมี ขนาด เล็ก
กว่ารากชุดแรก และรากเหล่านี้จะมีรากซึ่งมีขนาดเล็กและสั้น อ่อนนุ่ม เรียกว่า รากขน (root hair)
ทําหน้าที่ดูดน้ำและแร่ธาตุให้กับต้นกล้วย บางครั้งเรียกรากเหล่านี้ว่า “feeding roots” รากแขนงมี
จดุ กําเนิดจาก protoxylem ซง่ึ อยู่บรเิ วณปลายราก ห่างจากปลายรากข้นึ มาประมาณ ๑๕ เซนตเิ มตร
เม่อื ปลายรากได้รับอันตรายจะมีการแตกแขนงรากออกมาได้ การแตกรากใหม่จะหยุดลงหลังจากต้น
มีการ แทงช่อดอกหรอื แทงปลี แตร่ ากมกี ารทาํ งานตามปกติ

จากการศึกษาถึงอัตราการเจริญของรากและใบ พบว่ารากเจริญได้ดีที่อุณหภูมิกลางวัน/
กลางคืน ที่ ๒๕/๑๘ องศาเซลเซียส ส่วนใบเจริญได้ดีที่อุณหภูมิ กลางวัน/กลางคืน ที่ ๓๓/๒๖ องศา
เซลเซยี ส

66

สรุป กล้วยมีลําต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า rhizome และมีการเจริญคล้ายการเจริญแบบชิมโป
เดียล ที่ลําต้นของกล้วยมีตาอยู่ทางด้านข้าง โดยมีกาบใบหุ้มอยู่ ใจกลางของลําต้นแบ่งออกเป็น ๒
ส่วน คอื ส่วนของ Central cylinder และ cortex โดยมที อ่ น้ำทอ่ อาหารเป็นตัวเชื่อม เนือ้ เยื่อของลํา
ต้น ประกอบด้วยเซลพาเรนไคมาซึ่งบรรจดุ ้วยแป้งอยู่เตม็ ส่วนล่างเป็นจุดเจริญซึง่ เป็นจุดทีส่ ร้างดอก
และใบ ในการสรา้ งใบก่อใหเ้ กิดลําตน้ เทียมเหนือดนิ หรือคือส่วนของกาบใบที่อัดแน่น สําหรับการเกิด
ชอ่ ดอก จะมีการเปลย่ี นแปลงเซลทจี่ ดุ เจริญ โดยมกี ารแบง่ เซลแบบไมโทซิสเกิดเป็นช่อดอกแทงข้ึนมา
สู่เบื้องบน โดยส่วนที่ชูช่อดอกขึ้นมานั้นจะเปน็ ตัวพยุงลําต้นเหนือดินไม่ให้เครือกล้วยล้ม การจัดเรียง
ของกาบใบ เปน็ ลําต้นเทียมนั้นเกิดซ้อนๆ กันทีบ่ ริเวณโคนตน้ สว่ นปลายไมซ่ ้อน แตจ่ ะมีการเรียงของ
ใบ (phylotaxy) แตกต่างตามอายขุ องต้นกลว้ ย

องค์ประกอบของกาบใบกล้วยพบว่า มีช่องอากาศประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่และต่อกัน
เป็นทอ่ ยาว มีทอ่ น้ำทอ่ อาหารเรียงขนานกันอย่างต่อเน่ือง ผวิ ด้านนอกของกาบใบเป็นเงา เพราะมีสาร
ลิกนินเคลือบอยู่ นอกจากนี้ยังพบมีปากใบอยู่บนกาบใบอีกด้วย ส่วนของก้านใบมีลักษณะกลมมน
และเป็นร่องทางด้านบนทางด้านล่างของแผ่นใบจะมีท่อน้ำท่ออาหารและที่ผิวมีสารลิกนินเคลือบอยู่
เช่นกนั

แผ่นใบประกอบด้วยเส้นกลางใบและเส้นใบที่ขนานกันเป็นจํานวนมาก ปลายใบมน ฐาน
ใบ "กลมหรือมีสิ่งยื่นมา ลักษณะของรากฐานใบแดกต่างตามอายุของใบ บริเวณกลางแผ่นใบมีความ
หนา มากกว่าปลายใบและฐานใบ ปากใบปรากฏอยู่ทง้ั ด้านบนและดา้ นล่างของแผน่ ใบ โดยพบวา่ ปาก
ใบทาง ด้านบนของแผ่นใบมีประมาณ ๕ ส่วน และด้านล่างของแผ่นใบประมาณ ๓ ส่วน ลักษณะ
ภายในของแผ่นใบพบว่ามีช่องอากาศมากเช่นเดียวกับกาบใบและก้านใบ แผ่นใบมีคิวตินเคลือบทั้ง
ด้านบนและด้านล่าง การเจริญของแผ่นใบเมื่อแทงพ้นจากลําต้นเทียมจะตั้งขึ้นและเอนขนานกับ
พื้นดิน บางชนิดจะเอนลงมาจากแนวขนานเล็กน้อย การตั้งหรือเอนขึ้นอยู่กับจํานวนโครโมโซมของ
กลว้ ยด้วย กล้วยท่มี ีจาํ นวนโครโมโซมหลายชุดมักจะเอนลงมาเนอ่ื งจากมนี ้ำหนักมากขนาดของใบก็จะ
มีขนาดใหญ่ ขนึ้ และจะเจรญิ ลดขนาดลงเม่ือเจริญถงึ ใบที่ ๓๓ การเจริญหยดุ ลงเม่ือแทงช่อดอก

ช่อดอกแต่ละช่อประกอบด้วยกลุ่มดอก กลุ่มดอกแต่ละกลุ่มมีใบประดับ การเจริญของ
กลุ่มดอกจะเจริญจากทางซา้ ยไปขวาและมี ๒ แถว ส่วนบนสดุ ของช่อดอกเป็นดอกตัวเมยี ส่วนปลาย
สุดเป็นดอกตัวผู้ และมีดอกกระเทยอยู่กลาง ใบประดับจะหลุดล่วงไปเม่ือใบประดับเปิดและตั้งข้ึน
ประมาณ ๑ วนั

ผลของกล้วยมีรูปร่างได้หลายแบบแล้วแต่พันธุ์และมีปลายผลต่างกันด้วย ผลของกล้วย
บางพันธ์มุ กี ้านของเกสรตัวเมียติดอยแู่ ม้เม่ือสุก

67

เมล็ดกล้วยมีเปลือกที่แข็งจึงทําให้งอกยาก การงอกของเมล็ดเป็นแบบ hypogeal คือชู
ใบเลี้ยงเหนือพ้ืนดินและมีรากงอกลงดิน รากของกล้วยเป็น adventitious root และมีการสร้าง
lateral root ซ่งึ มี root hair เพ่ือดูดน้ำและอาหาร

สภาพท่วั ไปของกล้วย

ประเทศไทยมีการปลูกกลว้ ยกันมาช้านาน กลว้ ยที่ปลูกมีมากมายหลายชนิด พันธ์ุกล้วยท่ี
ใช้ปลูกในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณนั้น มีทั้งพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม และนำเข้ามาจากประเทศ
ใกล้เคียง กล้วยที่รู้จักกันในสมัยสุโขทัยคือ กล้วยตานี และปัจจุบันในจังหวัดสุโขทัยก็ยังมีการปลูก
กล้วยตานีมากที่สุด แต่เรากลับไม่พบกล้วยตานีในป่า ทั้งๆ ที่กล้วยตานีก็เป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง มีถ่ิน
กำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดยี จีน และพม่า ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่า กล้วยตานีน่าจะนำเขา้
มาปลกู ในประเทศไทยตงั้ แตส่ มยั สุโขทยั ตอนต้น หรอื ชว่ งการอพยพของคนไทยมาตั้งถ่ินฐานทีส่ ุโขทยั

ในสมัยอยุธยา เดอลาลูแบร์ (De La Loub`ere) อัครราชทูตชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมา
เมืองไทยในรัชสมัยสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๓๐ ได้เขียนบนั ทึกถึงส่งิ ทเ่ี ขาได้พบเห็น
ในเมืองไทยไว้ว่า ได้เห็นกล้วยงวงช้าง ซึ่งก็คือ กล้วยร้อยหวีในปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่ปลูกไว้เพื่อเป็นไม้
ประดับนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่ากันมาว่า มีการค้าขายกล้วยตีบอีกด้วย แสดงให้เห็นว่า ได้มี
การปลกู กลว้ ยทัง้ เพ่ือความสวยงาม และเพ่อื การบริโภคกนั มาช้านานแลว้

ตอ่ มาเม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๗ ในรชั กาลที่ ๕ แห่งกรงุ รัตนโกสินทร์ พระยาศรีสนุ ทรโวหาร (น้อย
อาจารยางกูร) ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางด้านภาษาไทย ได้เขียนหนังสือ พรรณพฤกษากับสัตวาภิธาน
เพื่อเป็นแบบเรียนภาษาไทยสำหรบั ใช้ในโรงเรียน กล่าวถึงชื่อของพรรณไมแ้ ละสัตว์ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่
ในเมืองไทย โดยเรียบเรียงเป็นกาพย์ฉบัง ๑๖ เพื่อให้ไพเราะและจดจำได้ง่าย ในหนังสือดังกล่าวมี
ข้อความทพี่ รรณนาถึงชือ่ กลว้ ยชนดิ ต่างๆไว้

จากกาพย์ดังกล่าว ทำให้เราได้ทราบชนิดของกล้วยมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความนิยมใน
การปลูกกล้วยในสมัยนั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาส
ประเทศตา่ งๆ หลายประเทศ จงึ ได้มกี ารนำกล้วยบางชนิดเขา้ มาปลกู ในรชั สมยั ของพระองค์

หลงั จากที่นักวิชาการชาวตะวนั ตกได้เร่มิ จำแนกชนดิ ของกลว้ ยตามลักษณะทางพนั ธุกรรม
โดยใช้จโี นมของกล้วยเป็นตัวกำหนดในการแยกชนดิ ตามวธิ ีของซิมมอนดส์ และเชบเฟิร์ด ดังได้กล่าว
แล้วข้างต้น จึงกล่าวได้ว่า กล้วยที่บริโภคกันอยู่ในปัจจุบันมีบรรพบุรุษอยู่เพียง ๒ ชนิดเท่านั้น คือ
กล้วยป่า และกล้วยตานี กล้วยที่มีกำเนิดจากกล้วยป่ามีจีโนมทางพันธุกรรมเป็น AA ส่วนกล้วยที่มี
กำเนิดจากกลว้ ยตานีมีจีโนม เปน็ BB และกล้วยลกู ผสมของท้งั ๒ ชนิด มจี ีโนมเปน็ AAB, ABB, AABB
และ ABBB นอกจากนี้ ซมิ มอนดส์ยังได้จำแนกชนิดของกลว้ ยในประเทศไทยวา่ มีอยู่ ๑๕ พันธ์ุ

68

ต่อมา นกั วิชาการไทยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับพนั ธแ์ุ ละชนดิ ของกลว้ ย คือ ใน พ.ศ.
๒๕๑๐ วัฒนา เสถียรสวัสดิ์ และปวิณ ปุณศรี ได้ทำการรวบรวมพันธุ์กล้วยที่พบในประเทศได้ ๑๒๕
สายพันธุ์ และจากการจำแนกจัดกลุ่มแล้ว พบว่ามี ๒๐ พันธุ์ หลังจากนั้นในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๓ -
๒๕๒๖ เบญจมาศ ศิลาย้อย และฉลองชัย แบบประเสริฐ แห่งภาควิชาพืชสวน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการสำรวจพันธุ์กล้วยในประเทศไทย และรวบรวมพันธุ์ไว้ที่สถานี
วิจัยปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยรวบรวมได้ทั้งหมด ๓๒๓ สายพันธุ์ แต่เมื่อจำแนกชนิดแล้ว
พบว่ามอี ยเู่ พียง ๕๓ พันธ์ุ หลังจากสน้ิ สดุ โครงการ ยังไดท้ ำการรวบรวมเร่ือยมาจนถงึ ปัจจุบนั พบว่ามี
อยู่ ๗๑ พันธุ์ รวมทั้งกล้วยป่าและกล้วยประดับ ทั้งนี้ไม่นับรวมพันธุ์กล้วยที่ได้มีการนำเข้ามาจาก
ต่างประเทศ ซึง่ มีอกี หลายพันธุ์ ปจั จบุ ันกล้วยในเมืองไทย ซ่งึ จำแนกชนิดตามจโี นม มีดังน้ี

๑. กลุ่ม AAที่พบในประเทศไทยมี กล้วยป่า สำหรับกล้วยกินได้ในกลุ่มนี้มีขนาดเล็ก รส
หวาน กลิ่นหอม รับประทานสด ได้แก่ กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหอมจันทร์ กล้วยไข่ทองร่วง
กลว้ ยไขจ่ ีน กลว้ ยน้ำนม กลว้ ยไล กล้วยสา กล้วยหอม กลว้ ยหอมจำปา กล้วยทองกาบดำ

๒. กลุ่ม AAA กล้วยกลุม่ น้ีมีจำนวน โครโมโซม ๒n = ๓๓ ผลจึงมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มแรก
รูปร่างผลเรียวยาว มีเนื้อนุ่ม รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสดเช่นกันได้แก่ กล้วยหอมทอง กล้วย
นาก กลว้ ยคร่งั กลว้ ยหอมเขยี ว กลว้ ยกงุ้ เขียว กล้วยหอมแม้ว กล้วยไข่พระตะบอง กล้วยคลองจัง

๓. กลุ่ม BB ในประเทศไทยจะมีแต่กล้วยตานี ซึ่งเป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้มีถ่ิน
กำเนิดในประเทศไทย รับประทานผลอ่อนได้ โดยนำมาใส่แกงเผด็ ทำส้มตำ ไม่นิยมรับประทานผลแก่
เพราะมีเมลด็ มาก แต่คนไทยและคนเอเชียสว่ นใหญร่ ับประทานปลีและหยวก ไม่มีกล้วยกินได้ในกล่มุ
BB ในประเทศไทย แต่พบว่ามที ีป่ ระเทศฟิลิปปนิ ส์

๔. กลุ่ม BBB กล้วยในกลุ่มนี้เกิดจากกล้วยตานี (Musa balbisiana) เนื้อไม่ค่อยนุ่ม
ประกอบดว้ ยแปง้ มาก เมือ่ สุกกย็ ังมีแป้งมากอยู่ จึงไม่ค่อยหวาน ขนาดผลใหญ่ เม่ือนำมาทำให้สุกด้วย
ความรอ้ น จะทำใหร้ สชาตดิ ขี น้ึ เน้ือเหนยี วนมุ่ เชน่ กล้วยเล็บชา้ งกุด

๕. กลุ่ม AAB กล้วยกลุ่มนี้เกิดจากการผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี เมื่อผลสุก มี
รสชาตดิ กี ว่ากลว้ ยกลมุ่ ABB ได้แก่ กล้วยนำ้ กล้วยน้ำฝาด กลว้ ยนมสวรรค์ กลว้ ยนิ้วมือนาง กล้วยไข่
โบราณ กล้วยทองเดช กล้วยศรีนวล กล้วยขม กล้วยนมสาว แต่มีกล้วยกลุ่ม AAB บางชนิดที่มีความ
คลา้ ยกับ ABB กลา่ วคอื เนือ้ จะค่อนข้างแข็ง มีแปง้ มาก เมอ่ื สกุ เน้อื ไม่น่มุ ทั้งน้ีอาจได้รับเชือ้ พันธุกรรม
ของกล้วยป่าที่ต่าง sub species กัน จึงทำให้ลักษณะต่างกัน กล้วยในกลุ่มนี้เรียกว่า plantain
subgroup ซึ่งจะต้องทำให้สุกโดยการต้ม ปิ้ง เผา เช่นเดียวกับกลุ่ม ABB ได้แก่ กล้วยกล้าย กล้วย
งาชา้ ง กลว้ ยนว้ิ จระเข้ กล้วยหนิ กลว้ ยพม่าแหกคุก

69

๖. กลมุ่ ABB กลว้ ยกล่มุ นี้เปน็ ลกู ผสมระหว่างกลว้ ยป่ากับกล้วยตานี มแี ป้งมาก ขนาดผล
ใหญ่ ไม่นิยมรับประทานสด เพราะเม่ือสกุ รสไม่หวานมาก บางคร้งั มรี สฝาด เมอื่ นำมาต้ม ป้ิง ยา่ ง และ
เชื่อม จะทำให้รสชาติดีขึ้น ได้แก่ กล้วยหักมุกเขียว กล้วยหักมุกนวล กล้วยเปลือกหนา กล้วยส้ม
กล้วยนางพญา กล้วยนมหมี กล้วยน้ำว้า สำหรับกล้วยน้ำว้าแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามสีของเนื้อ คือ
น้ำว้าแดง น้ำว้าขาว และน้ำว้าเหลือง คนไทยรับประทานกล้วยน้ำว้า ทั้งผลสด ต้ม ปิ้ง และนำมา
ประกอบอาหาร นอกจากนี้ยังมีกล้วยน้ำว้าดำ ซึ่งเปลือกมีสีครั่งปนดำ แต่เนื้อมีสีขาว รสชาติอร่อย
คลา้ ยกลว้ ยนำ้ วา้ ขาว สำหรับกลว้ ยตีบ เหมาะทีจ่ ะรับประทานผลสด เพราะเมือ่ นำไปย่าง หรอื ตม้ จะมี
รสฝาด

๗. กลุ่ม ABBB กล้วยในกลุ่มนี้เป็นลูกผสมเช่นกัน จึงมีแป้งมาก และมีอยู่พันธุ์เดียวคือ
กล้วยเทพรส หรือกล้วยทิพรส ผลมีขนาดใหญ่มาก บางทีมีดอกเพศผู้หรือปลี บางทีไม่มี ถ้าหากไม่มี
ดอกเพศผู้ จะไม่เห็นปลี และมีผลขนาดใหญ่ ถ้ามีดอกเพศผู้ ผลจะมีขนาดเล็กกว่า มีหลายหวีและ
หลายผล การมีปลีและไม่มีปลีนี้เกิดจากการกลายพันธุ์แบบกลับไปกลับมาได้ ดังนั้นจะเห็นว่า ในกอ
เดียวกันอาจมีทั้งกล้วยเทพรสมีปลี และไม่มีปลี หรือบางครั้งมี ๒ - ๓ ปลี ในสมัยโบราณเรียกกล้วย
เทพรสที่มีปลีวา่ กลว้ ยทิพรส กลว้ ยเทพรสท่ีสุกงอมจะหวาน เมือ่ นำไปตม้ มีรสฝาด

๘. กลมุ่ AABB เปน็ ลกู ผสมมเี ชือ้ พันธุกรรมของกล้วยป่ากับกล้วยตานี กล้วยในกลุ่มนี้มีอยู่
ชนิดเดียวในประเทศไทย คือ กล้วยเงิน ผลขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายกล้วยไข่ เมื่อสุกผิวสีเหลืองสดใส
เนอ้ื ผลสสี ม้ มแี ปง้ มาก รบั ประทานผลสด

นอกจากกล้วยดังท่ีได้กล่าวแล้ว ยงั มกี ล้วยป่าทเี่ กดิ ในธรรมชาตซิ ึ่งมีเมล็ดมาก ท้ังกล้วยใน
สกุล Musa acuminata และ Musa itinerans หรือท่ีเรยี กวา่ กล้วยหก หรอื กลว้ ยอ่างขาง และกลว้ ย
ปา่ ท่เี ปน็ กล้วยประดบั เช่น กล้วยบัวสสี ม้ และกล้วยบวั สีชมพู

ประวตั กิ ลว้ ย

ชาวอาหรับชื่อ Alphonse de Candolla (๑๘๘๕) เขียนหนังสือเกีย่ วกับกําเนิดของพันธ์ุ
พืชปลกู ไว้ที่ประเทศกรีก กลา่ ววา่ กลว้ ยเปน็ ผลไมข้ องชาวอนิ เดยี และพบเปน็ จํานวนมากในเอเชียตอน
ใต้ โดยมกี ารปลกู กันมากในแถบประเทศจีน อินเดยี และมีการกระจายไปยังเกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทร
แปซิฟิก และทางฝั่งตะวันตกของทวีปอาฟริกา กล้วยแต่ละพันธุ์มีชื่อเป็นภาษาท้องถิ่นของประเทศ
ดังเช่น แถบเอเชียมีชื่อเป็นภาษาจีน สันสกฤต และมาเลย์ ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชัดถึงความเก่าแก่และ แสดง
ให้เห็นว่ากล้วยเป็นพืชดั้งเดิมของเอเชียและมีการกระจายพันธุ์ไปยังที่อื่นโดยมนุษย์นอกจากนี้ ยัง
พบว่าในคาํ ภรี ข์ องพระมะหะหมดั ในหนังสอื Koran เมอ่ื ปี คศ. ๑๘๔๐ กลา่ ววา่ กลว้ ยถือเปน็ ตน้ ไม้ ๐
บนสวรรค์ (paradise tree) นอกจากนี้ Popenoe (๑๙๑๔) ซงึ่ เขียนถึงตน้ กาํ เนิดของกล้วยวา่ “กล้วย

70

เป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน ” (Reynold,
๑๙๒๙)

ถนิ่ กาํ เนดิ ของกล้วย (First Home)

กล้วยเป็นพืชที่ชอบอากาศรอ้ นชืน้ ถิ่นแรกของกล้วยอยูใ่ นแถบเอเซียตอนใต้ ซึ่งประกอบ
ด้วยทางเหนือของอินเดีย พม่า เขมร ไทย ลาว และจีนตอนใต้ และแถบหมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอ
เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวันในประเทศเหล่านี้จะพบกล้วยพื้นเมืองที่ไม่มีเมล็ดและปลูกแบบปล่อย
ปละละเลย ไมค่ ่อยมกี ารดูแล เปรียบเสมอื นพชื ปา่ มิไดม้ ีการดูแลดงั เช่นพืชปลกู ทั่ว ๆ ไป กลว้ ยทีป่ ลูก
กันแถบนี้มี อยู่หลายชนิดทั้งที่มีเมล็ดและไม่มีเมล็ด และปลูกกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปจากผลการ
เคลื่อนย้ายของ ประชากร จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เนื่องจากมีการสูญเสียผืนดินในการทํามาหากิน
ในสมัยโบราณ ทําให้เกิดการอพยพของประชากร ในเอเชียตอนใต้ไปยังหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทร
แปซิฟิก ซึ่งการ อพยพนี้ได้มีมาหลายศตวรรษ ตั้งแต่ต้นคริสต์ศักราช เป็นต้นมา ในการอพยพแต่ละ
คร้งั ไดม้ ีการนําเอา เสบยี งอาหาร ดังเช่นมีการนาํ เอาหน่อกล้วยและผลผลิตอย่างอื่นทางการเกษตรไป
ด้วย ดังนั้นในการ สํารวจในระยะแรกสุดพบว่ามีการปลูกกล้วยกันในแถบเกาะฮาวาย และหมู่เกาะ
ทางดา้ นตะวนั ออก ซึง่ หมู่เกาะเหลา่ น้ีอยูห่ ่างจากท่ี ๆ มีประชากรส่วนใหญอ่ าศัยอยถู่ งึ ๒,๐๐๐ ไมล์

จากการสํารวจในแถบหมู่เกาะโปลินีเชีย ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก Says Seemann ได้
กล่าวว่าในช่วงที่มีชาวยุโรปเดินทางไปที่เกาะตาฮิติ พบว่าเฉพาะในเกาะตาฮิติแห่งเดียวมีกล้วยอยู่ถงึ
๒๘ ชนิด และกล่าวว่ากล้วยและกล้วยกล้าย (banana and plantain) เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เกาะฟิจิ
ในชอ่ื ว่า "Vudi”

สําหรับประเทศทางตะวันออก พบเอกสารกล่าวถึงกล้วยในหนังสือเกี่ยวกับศาสนา โดย
พบ ว่ามีภาพของต้นกล้วยอยู่ในศิลปะระยะต้น ๆ ของพุทธศาสนาเป็นภาพที่ใช้กล้วยในการสักการะ
พระเจ้ากาละ สําหรับในประเทศจีน มีเอกสารของจีนโบราณได้กล่าวว่า ได้มีการเพาะปลูกกล้วยมา
นานแล้ว และจากสารานุกรม ฉบับที่ ๑๔๙ ของจีน (Great Chinese Encyclopedia) ได้บันทึกไว้
การบันทึกใน สารานุกรมฉบับนี้เป็นงานของจักรพรรดิ์กางไช (Kang Hsi ๑๖๖๒ - ๑๗๒๓) แห่งราช
วงค์แมนจู ซึ่งได้ ระดมผู้มีความสามารถชว่ ยกันทําและนําเสนอในปี ค.ศ. ๑๗๖๒ โดยพิมพ์ออกมาบน
แผ่นทองแดงและ ขณะนี้ได้เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ของประเทศอังกฤษ ในสารานุกรมนั้นได้กล่าวว่า “มี
กล้วยอยู่ ๑๒ ชนิด ปลูก อยใู่ นประเทศจีน มชี ่ือว่า ปารูกันเชยี วยาเชียวปาเชียวน้ันเชียว เทียนเชียวชี
เชียวชุงเชยี ว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหลา่ นี้สว่ นใหญป่ ลกู อยู่ในจังหวดั
กวางตุ้ง ฟูเกียง กวางไช และ ไชนาน กล้วยดังกล่าวมีความแตกต่างกัน ผลมีลักษณะคล้ายเขาแพะ
ยาวประมาณ ๗-๘ นิ้ว มีเนื้อสีขาว เหลืองอ่อน มีรสหวาน ส่วนอีกชนิดหนึ่งมีผลยาวกว่า ผลมีเหลี่ยม
เห็นชัดเจน รสไม่หวานและยังมีอีก ชนิดหนึ่ง ผลรีเป็นรูปไข่ เนื้อมีสีขาวคล้ายน้ำนม มีรสหวาน”

71

นอกจากนย้ี ังได้กลา่ วอีกว่า “พชื ในวงศ์ กล้วยนี้มอี ยเู่ กอื บทกุ ภาคของประเทศจีน แต่บางแห่งไม่มีดอก
และผล” ในประเทศอียิปต์และชีเรีย มีภาพแกะสลักกล้วยและกล้วยกล้าย แต่รูปร่างไม่ค่อยเหมือน
ของจริงมากนัก ในประเทศกรีก Pilny ได้เขียนว่าในสมัยอเล็กซานเดอร์ มีชาวกรีกเคยเดิน ทางไปยัง
ประเทศอินเดีย เมื่อประมาณ ๓๒๗ ปี ก่อนคริสต์ศักราชและกล่าวว่า ชาวกรีกมีความประทับใจ
รสชาติของกล้วยมาก

กล้วยในอาหรบั (Arab)

มีผู้เขียนหลายท่านยืนยันว่า คําว่า Musa มาจากภาษาอาหรับว่า muz ซึ่งหมายถึง ท้ัง
กลว้ ยและกล้วยกลา้ ย คํานีเ้ ขา้ ใจว่ามาจากภาษาสนั สกฤตมาก่อน และได้มีผู้อธบิ ายว่าช่ือ Musa น้ีตั้ง
โดย ลินเนียสเพื่อเป็นเกียรติกับ Antonius Musa ซึ่งเป็นแพทย์ประจําพระองค์ของ Octavius
Augustus จกั รพรรด์อิ งคแ์ รกของโรม หรือประเทศอติ าลี (ประมาณ ๒๐๐๐ ปีมาแลว้ หรือ ๑๔ - ๖๓
ปี ก่อนค ริสตศักราช) แต่เป็นชาวอาหรับและเขาได้รับผลกล้วยมาจากประเทศอินเดียและนํามาไว้ท่ี
เมืองHolyland ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศอียิปต์และเป็นเมืองที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน จนกระทั่งปี
ค.ศ. ๖๕๐ ที่พระเจ้า Mohammedun ได้รับชัยชนะจึงได้มีผู้รู้จักเมือง Holyland กันมากขึ้นเมื่อ
ประมาณปี ค.ศ. ๙๖๕ หรือใน สมัยอาหรับช่วงแรก ได้มีโคลงกลอนกล่าวถึงกล้วย แต่งโดย Masudi
เขาได้กล่าวว่า อาหารสําหรับเก่า แก่ของชาวอาหรับ มีชื่อว่า Kalaif อาหารชนิดนี้เป็นที่ชื่นชอบของ
เขามาก และเป็นอาหารท่ีรู้จักกันดีใน อาหรับ อาหารชนดิ น้ีประกอบด้วย อลั มอนด์ น้ำผ้ึง และกล้วย
ผสมกับน้ำมนั นัท

นอกจากนี้มีชาวอาหรับอีกหลายท่าน และ Garcia de Ortta ซึ่งเป็นหมอชาวปอร์ตุเกส
และเปน็ นักพฤกษศาสตร์ดว้ ย ได้กล่าววา่ กล้วย นอกจากเปน็ อาหารแล้วยังเปน็ ยาอกี ดว้ ย

ชาวอาหรบั เรียกกลว้ ยวา่ Musa และชาวอาหรับแถบไคโรดามาคัสหรือเยรูซาเล็ม เรียกว่า
Anusa หรอื Musay

กลว้ ยในอาฟรกิ า (Africa)

เนื่องจากอาฟริกามีการค้ากับประเทศอาหรับ อาหรับจึงเป็นตัวกลางในการกระจายพันธ์ุ
กลว้ ยไปยงั ยโุ รป และถกู นําไปยงั อาฟรกิ าตะวันตกตอ่ ไป

การนํากล้วยเข้าสู่ยุโรปนั้น อาจเป็นด้วยมีทูตของสเปน ชื่อว่า Peter Matyo ได้ไปพักอยู่
ที่เวนิช และอียิปต์ ในปี ค.ศ. ๑๖๐๑ ได้บันทึกไว้ว่า กล้วยกล้ายเป็นอาหารที่กินกันอยู่ประจําตั้งแต่
สมัย อเลก็ ซานเดอร์ และมกี ารเรียกกันวา่ Musa ในศตวรรษท่ี ๑๕ ต่อมาประมาณปี ค.ศ. ๑๘๓๑ ได้
มที ูต ประจํากรงุ ไคโร ชื่อ Disraeli ได้เขียนจดหมายถึงน้องสาวท่ีอยู่อังกฤษว่า ในบรรดาผลไม้ที่อร่อย

72

ๆ ทั้ง หลายที่มีอยู่ที่ไคโร จนถึงซีเรีย มีส้ม มะนาว pomegranali แต่สิ่งที่อร่อยที่สุดในโลกคือกล้วย
ซงึ่ มี คณุ ค่ามากกว่าแอปเปลิ เสยี อกี

ถ้าพูดถึงอาฟริกาตะวันออก โดยเฉพาะมาดากัสการ์ ในพื้นที่นี้พบว่ามีผลไม้คล้ายทาง
อาหรับ ซึ่งในระยะแรกไม่มี คือเผือก สาเก กล้วย แต่ประเทศในภาคพื้นนี้มีการค้ากับชาวอินเดียมา
ตั้งแต่ช่วง แรกของคริสต์ศักราช (๑๐๐๐ ปีแรก) การค้าระหว่าง Zamiziban ของอาหรับกับ
Mozambique ของ อินเดยี ตะวันออกได้มีมาก่อนการคน้ พบทวปี อเมริกา พลเมอื งของมาดากัสการ์มี
ความสัมพันธ์ทางเชื้อสายกับชาวชะวา จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยว่าพืชอาหารที่มีประโยชน์จะต้องมีการ
ลําเลียงไปสู่อาฟริกา ตะวันออก และในบรรดาพืชเหล่านี้จะต้องมีกล้วยและกล้วยกล้ายรวมอยู่ด้วย
ชาวอาฟริกาตะวันออกจึงรู้จักกล้วยกันมาหลายศตวรรษ และได้มีการนําเข้าไปยังฝั่งตะวันตกอย่าง
รวดเร็วหรือในชว่ งท่ีชาวปอรต์ ุเกสค้นพบฝัง่ กนิ ี ในปี ค.ศ. ๑๔๖๙-๑๔๗๔

ทม่ี าของคาํ ว่า Banana

Von Diedrich Westmann ซึ่งเป็นนักภาษาศาสตร์ของอาฟริกาได้กล่าวว่า คําว่า
banana นั้นมาจากรากศัพท์ของภาษาในอาฟริกาตะวันตกโดยพบว่าที่อ่าวกินีใช้คําว่า banema,
banama, benema ซึ่ง Sir Hary Johnston ได้ลองเปรียบเทียบกับภาษาอื่น ๆ ก็พบว่าไม่ค่อย
ตรงกันนัก และเขายังได้พบ อีกว่าบางแห่งในแถบฝั่งกินีใช้คําว่า bana และ banana และพบว่าชาว
ยุโรป ได้ใช้ชอ่ื นี้เช่นกนั โดย เรียกตามชาวปอรต์ ุเกส

จากการศึกษารากศัพท์คาํ ว่า banana น้ี พบว่าท่ีไลเบอเรีย มเี รยี กต่าง ๆ กันตามภูมิภาค

ดงั นี้ ตะวนั ออกของไลเบอเรีย เรียก Band

ตะวนั ตกเฉยี งใต้ของไลเบอเรีย เรียก Bana

ตะวนั ตกของไลเบอเรีย เรียก Gbana

ทางใต้กนิ ี เรียก Abana

ทางเหนอื ของกนิ ี เรียก Funana

เมอื ง Kongagi ทางเหนอื ของแกมเบยี เรียก Banane

ที่ไลเบอเรีย Sir Hary Johnson กล่าวว่ามีการใช้กล้วยกันมานาน และไม่พบกล้วยป่าใน
พน้ื ทีน่ นั้ เลย ถึงแม้วา่ พื้นที่นั้นจะมีอากาศเหมาะสมในการเจริญเติบโต ไม่พบแหล่งปลูกกล้วยท่ีสําคัญ
เชน่ พืชอื่น ในขณะเดียวกนั Garcia de Orta ซ่งึ เป็นหมอชาวปอรต์ เุ กสและได้ไปใชช้ วี ิตในบั้นปลาย ท่ี
อินเดีย เขาเป็นผู้ตั้งชื่อผลไม้ของอินเดียตะวันตก และผลไม้ในอาฟริกาที่กินี และในบรรดาชื่อผลไม้
เหล่าน้นั มีชอ่ื ของ banana อย่ดู ว้ ย (รวมทง้ั bonana และ bonano) ซ่ึงเขาไดต้ ีพิมพ์ลงหนังสือเมื่อปี
ค.ศ. ๑๕๖๓ และก่อนหน้านั้นเขาได้ไปอาฟริกา ๑ ครั้ง เมื่อประมาณปี ค.ศ. ๑๕๓๔ ดังนั้นเขาจึงพูด
ได้วา่ เขาได้ รู้จกั กลว้ ยก่อนทจ่ี ะเดนิ ทางไปถงึ ถ่ินกาํ เนดิ ของกล้วยคือประเทศอนิ เดียเสยี อีก เขาได้กล่าว

73

ว่ากล้วย เป็นผลไม้ที่มขี นาดใหญ่ มีชื่อพื้นเมืองว่า banana ซึ่งเข้าใจวา่ เป็นผลไม้ชนิดเดียวกับผลไมท้ ่ี
ชอ่ื วา่ Musa ในสมยั อเล็กซานเดรยี

ชื่อของกล้วยว่า banana ได้ถูกนําไปใช้กันอย่างแพร่หลายก็เพราะชาวปอร์ตุเกส ซึ่งเป็น
นักเดินเรอื และพ่อคา้ ทมี่ โี อกาสเดนิ ทางไปทตี่ ่าง ๆ น่ันเอง

การนาํ กลว้ ยสู่หมูเ่ กาะแคนาร่ี (Canary Islands)

ดังได้กล่าวว่าชาวปอร์ตุเกสเป็นนักเดินเรือ และเป็นพ่อค้าที่เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ดังนั้น
แม้หมู่เกาะแคนารี่ ซึ่งเป็นเกาะเลก็ ๆ อยู่ทางเหนือของกินี และอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาฟ
ริกาจะขาดการติดต่อกับแผ่นดินใหญ่ เมื่อมีการค้นพบหมู่เกาะนี้เมื่อปี ค.ศ. ๑๓๔๑ ชาวพื้นเมืองของ
เกาะนี้รู้จักพืชอาหาร คือ ข้าวบาเลย์ แต่ยังไม่รู้จักกล้วย หลังจากที่เป็นเมืองขึ้นของปอร์ตุเกสในปี
ค.ศ. ๑๔๐๒ Leopole von Buck ได้กล่าวว่า กล้วยได้ถูกนําเข้ามาหมู่เกาะนี้พร้อม ๆ กับทาสท่ี
อพยพมาจากกนิ ี

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกกล้วยหมู่เกาะนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งสําคัญมากนัก แต่ที่น่าสนใจคือ
ปัจจุบนั ท่ีหมเู่ กาะนี้ มกี ารปลกู กล้วยเป็นอาชีพทีส่ ําคัญ และทเ่ี กาะแห่งนย้ี ังเป็นประวตั ิศาสตร์ว่า เป็น
จุดเริ่มของการนํากล้วยเขา้ มาส่ซู ีกโลกใหม่ (New World)

การนํากล้วยเข้าสู่ซีกโลกใหม่ (New World) ซึ่งหมายถึงทวีปอเมริกานั้น ยังไม่ค่อย
กระจา่ งนกั แต่จาก หลกั ฐานทําให้เข้าใจไดว้ า่

๑. เกิดในช่วงก่อนโคลัมบัสพบทวีปอเมริกา ซึ่ง Alexander von Hombaldt ได้เขียน
เป็น หลักฐานไว้เมื่อปี ค.ศ. ๑๕๙๐ และค.ศ.๑๖๐๙ แต่ข้อความของเขาได้ถูกลบลา้ งด้วยหนังสือของ
Alphonse de Condola ซ่งึ เขียนลงใน Botanical Geography และ Origin of Cultivated Plants
ว่าข้อความที่เขาเขียนนั้นผิด ซึ่งต่อมาก็ได้มีอีกหลายท่านได้กล่าวไว้ และในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ Heinrich
Harmo ได้เขียนในหนังสือ Study on the remains of plants in Peruvian ซึ่งไม่มีการกล่าวถึง
กล้วยหรือกล้วยกลา้ ยเลยในอเมรกิ ายคุ แรก นอกจากน้ี Hans Stade ยังได้กล่าวว่าทางภาคตะวันออก
ของ บราซิลไมม่ ีการใช้กล้วยในช่วงปี ค.ศ. ๑๕๔๗ - ๑๕๕๕

ดังนั้นความเชื่อที่ว่ามีการนําเข้ากล้วยสู่ทวีปอเมริกาก่อนโคลัมบัสพบอเมริกาจึงยังมี
สาเหตุท่ไี ม่เพียงพอ

๒. ช่วงหลังจากทโ่ี คลัมบสั พบทวปี อเมรกิ า คอื หลงั จากโคลมั บัสไดไ้ ปเยือนประเทศ West
Indies และอเมริกากลาง ได้มีการเขียนไว้ในประวัติศาสตร์ว่า ได้มีการนําผลไม้ชนิดหน่ึงที่เรียกว่า
“Platanos” ไปยังเกาะแกรนแคนารี (Grand Canary) ในปี ค.ศ. ๑๕๑๖ โดย Predecadons สั่งให้

74

Reverend Father Friar Tomas de Bertanga เป็นผู้นําไปยังเมือง Santo Domingo หลังจากนั้น
ไดม้ ีการกระจายพนั ธไุ์ ปยังทต่ี ่าง ๆ บนเกาะน้ีและหมู่เกาะอ่นื ๆ โดยมิชชนั นารที ส่ี อนศาสนาครสิ ต์

ดงั นนั้ จึงเปน็ ท่เี ข้าใจกันว่ากล้วยเข้าสู่ซีกโลกใหม่จากหมู่เกาะแคนารี จาก Grand Canary
ไปยังเมือง Santo Domingo ในปี ค.ศ. ๑๕๑๖ และจากการศึกษาประวัติของกล้วยซึ่งมีมานานปี
ส่วน ใหญ่ได้มาจากการศึกษาจากภาพ พบว่าในชว่ งทีพ่ วกมิชชันนารี หรือที่เรยี กว่า หมอสอนศาสนา
ชดุ แรก ๆ ได้ออกไปสอนศาสนาไดม้ ีการตั้งหลักแหลง่ อยู่ในที่ใหม่ ๆ ไดม้ ีการนาํ เอาพืชที่เป็นอาหารติด
ตัวไปด้วย เพื่อเป็นอาหารของตัวเอง และเพื่อแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้าน ดังนั้น กล้วยจึงเป็นพืชที่หมอ
ศาสนานําไป ด้วยและมีการแพร่กระจายในซีกโลกใหม่ ต่อมาในเขตร้อนทวีปอเมริกากลาง ดังเช่นใน
รายงานของ ประเทศปานามาในปี ค.ศ. ๑๖๐๗ ว่า ผลไม้ที่มีความสําคัญมากที่สุดคือ Platano เป็น
ผลไมท้ ่ีมคี วาม ทนทานและรบั ประทานสดก็ได้ ตั้ม เผา ป้ิง หรอื ทําสตกู ็ได้

การปลูกกล้วยในระยะตอ่ มาคือในศตวรรษที่ ๑๙ นี้อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ได้มีการ
ปลกู กล้วยกันอย่างมากและเป็นพชื เศรษฐกิจที่ทาํ รายได้เขา้ สู่ประเทศสูง

ภาพที่ ๒.๑๓ แสดงแหล่งกาํ เนิดและการกระจายพนั ธ์ขุ องกลว้ ย
ประวตั กิ ล้วยในประเทศไทย
กล้วยถือเป็นพืชเก่าแก่ของประเทศไทยผลใช้รับประทานส่วนใบใช้ห่อของกันมาตั้งแต่
โบราณ ใบกล้วยมคี วามทนทานตอ่ ความร้อนมาก ดังนน้ั จะเห็นวา่ ขนมทีห่ อ่ ด้วยใบตองสามารถป้ิงหรือ
ต้ม หรือนึ่งได้โดยที่อาหารที่อยู่ข้างในไม่เสียหาย ในพิธีต่าง ๆ ทางศาสนาจะมีการใช้ส่วนต่าง ๆ ของ
กล้วยเพื่อ ประกอบในพิธีนั้น ๆ เช่น ผล ใบ กาบลําต้น เป็นต้น พิธีต่าง ๆ ที่ใช้กล้วย มีตั้งแต่เกิดจน
ตาย การ ใช้ใบตองน้ันส่วนใหญใ่ ช้เป็นงานฝีมอื การทําบายสี กระทง และบางครัง้ ใช้โดยไม่ต้องนํามา

75

ประดษิ ฐ์ เชน่ ใชใ้ บตองวางบนกระดังรองตวั เด็กอ่อนท่ีออกมาจากท้องแม่ใหม่ ๆ และในพิธีศพก็จะใช้
ใบตอง ประมาณ ๓ ใบวางรองศพที่จะนําไปเผาหรือฝัง เป็นต้น สําหรับกาบลําต้นนั้นใช้ในการ
แกะสลกั หรือ เรยี กว่าการแทงหยวกในพธิ ีเผาศพ สว่ นการใช้ตน้ และผลนน้ั ก็มีการใช้เช่นกันในพิธีทาง
ศาสนา พิธี ขึ้นบ้านใหม่ พิธีแต่งงานซึ่งจะมีการนําต้นกล้วยและต้นอ้อยเข้าในพิธีแห่ขันหมาก
จดุ ประสงคข์ องพิธกี ็ เพ่อื ใหค้ ู่บา่ วสาวนาํ ไปปลกู เพ่อื ใชผ้ ลนาํ ไปเลี้ยงบุตรในเวลาต่อไป

ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอยู่ในแถบอัสสัม ซึ่งเป็น
ถิน่ กาํ เนิดของกล้วยปา่ (Musa acuminata Colla) ดงั น้ีจึงพบกลว้ ยป่าอยทู่ ั่วประเทศไทย กล้วยป่าที่
พบใน ประเทศไทย มอี ยู่ ๔ sub species คอื

Musa acuminata Colla ssp. malaccensis (Ridl) Simmonds

Musa acuminata Colla ssp. microcarpa (Beccari) Simmonds

Musa acuminata Colla ssp. burmanica Simmonds

Musa acuminata Colla ssp. siamea Simmonds (Valmayor, ๒๐๐๒)

นอกจากมีกล้วยป่าที่พบแล้ว ตามประวัติกล่าวว่า พบกล้วยกินได้แถบแหลมมาลายู ซึ่ง
หมายถงึ ภาคใต้ของประเทศไทยรวมอยดู่ ว้ ย กลว้ ยกนิ ไดท้ ่พี บเปน็ กลว้ ยที่เกิดจากกล้วยป่า ซึ่งมีชุดของ
โครโมโซมเป็น AA และ AAA หรือที่เรียกว่า acuminata cultivars ซึ่งได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วย
เล็บมือนาง เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทางภาคใต้ของประเทศไทย มีกล้วยกินได้อยู่มากมาย สําหรบั
กล้วยลูกผสมระหว่างกล้วยป่าและกล้วยตานีนั้นเข้าใจว่ามีการนําเข้ามากกว่าที่จะเกิดขึ้นในประเทศ
ไทย เพราะกล้วยป่าตานีนั้น ไม่พบในประเทศไทย พบแต่เป็นพืชปลูกอยู่ทั่วไปเพื่อใช้ใบ และ
แหล่งกําเนิด ของกล้วยป่าตานี กล้วยลูกผสมระหว่างกล้วยป่าและกล้วยตานีนั้น พบมากในแถบ
ประเทศอนิ เดยี กล้วยลกู ผสมดงั กล่าวน้ัน ส่วนใหญเ่ ป็นกลว้ ยที่มโี ครโมโซม ๓ ชดุ คือ AAB และ ABB
สําหรับกล้วยที่ มีโครโมโซม ๔ ชุด นั้น พบว่ามีกําเนิดในประเทศไทยอยู่ ๑ ชนิด คืออาจเกิดขึ้น
หลังจากที่กล้วยท่ีมชี ุด ของโครโมโซม AAB และ ABB ปลูกอยู่ทั่วไปในประเทศไทยแลว้ มีการผสมกับ
กล้วยตานีเปน็ กล้วย เทพรสหรือกล้วยทพิ รส หรือกล้วยปลหาย และมีชุดโครโมโซมเป็น ABBB การที่
กล่าวว่า กล้วยนี้ กําเนิดในประเทศไทยก็เพราะชื่อของกล้วยนี้เป็นชื่อไทยและเป็นช่ือที่เรียกกันทั่วไป
ของ กล้วยชุด ABBB ในต่างประเทศเรียกว่า Tiprod, Pisang Abu Siam และกล่าวว่ากล้วยชนิดนี้มี
ถิน่ กําเนดิ แถบอนิ โดจนี

การนําเขา้ ของกลว้ ยที่มีชุดโครโมโซมเป็น BB คอื กลว้ ยตานี และ ABB หรอื AAB น้นั
ไม่มีการกล่าวไวใ้ นประวัตศิ าสตร์ แตค่ นไทยนั้นกลา่ วกันวา่ มกี ารอพยพมาต้ังถน่ิ ฐานทางจังหวดั สุโขทัย
โดยมาจากทางใต้ของประเทศจีนแถบสบิ สองปนั นา ซึ่งอย่ใู กลก้ ับตอนเหนอื ของประเทศอนิ เดยี ดังน้ัน

76

การเคลื่อนย้ายของกล้วยเหล่านี้อาจจะมีการนําเข้ามาพร้อม ๆ กัน ในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะ การ
อพยพถิ่นฐานของมนุษย์มักจะต้องนําอาหารหรือพืชที่เป็นอาหารติดตัวไปด้วย อนึ่งกล้วยเป็นพืช
อาหารที่มีประโยชน์รสชาติดีและปลูกเลี้ยงง่าย จึงทําให้มีการแพร่หลายขึ้นในประเทศไทย ทําให้
ประเทศไทยมีกล้วยมากมายหลายชนิดมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งตามประวัติศาสตร์ เขียนโดย De
LaLovbers (๑๖๙๓) เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๒๓๖ ว่า เขาได้เดินทางมาประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.
๒๕๒๐ ไดบ้ นั ทึกถึงพิธีต่าง ๆท่ีพบและได้บันทึกว่าพบกล้วยงวงชา้ งในสมัยนั้นดังนั้นจะเห็นได้ว่าคําว่า
กล้วยได้มีการใช้มานานมากแล้ว สําหรับกล้วยงวงช้างนั้น คือกล้วยร้อยหวี ในปัจจุบันนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีคํากลอนของเจ้าคุณศรี สุนทรโวหาร (น้อย อาจารยกูร) ได้แต่งไว้เมื่อประมาณ พ.ศ.
๒๔๒๗ อา้ งโดย หลวงบุเรศบํารุงการ ใน หนงั สือการทาํ ไร่กลว้ ย ดังน้ี

“กล้วยกลา้ ยมหี ลายกระบวน กลว้ ยกรันจนั นวล อกี น้ำละวา้ นำ้ ไทย

กล้วยน้ำกาบดํา ก้านใบ คลา้ ยกับน้ำไทย ผลใหญ่และยาวกวา่ กนั

กล้วยกุเรียกกล้วยสั้นผัน เพีย้ นนามจาํ นนั้ จะหนที ค่ี าํ หยาบคาย

ตนื่ เต่าต่ืนตานีกลาย กลว้ ยน้ำเชียงราย กลว้ ยส้มหากมกุ มลู มี

กล้วยนำ้ นมราชสหี ์ อีกกลว้ ยรอ้ ยหวี บายสีกเ็ รียกนามสอง

หอมเขียวกลว้ ยคอ่ มหอมทอง หอมจันนวลลออง อกี กลว้ ยทเี่ รยี กเปลือกบาง

นี่คือกลว้ ยไขค่ าํ กลาง ท่านจัดแบบวาง กลว้ ยกระกลว้ ยพระกม็ ี

กล้วยครัง่ ดจุ คร่งั ยอ้ มสี แดงจัดรจู ี ทง้ั หวีท้ังเครอื เจอื แดง

กล้วยนากเพยี งนากเปล่งแสง กลว้ ยกรามแรดแดง หนง่ึ นามว่ากรามคชสาร

กลว้ ยสีสะโตโวหาร เรียกแต่โบราณ อีกกล้วยประจําพาน

หนึง่ เลบ็ มือนางนามกร ตบี หอมขจร บา้ งเรยี กวา่ กลว้ ยกรบูร

นางเงยสงิ่ ามจํารญู กนิ ดมี มี ลู ภมิ เสรแลสมนมสวรรค์

หอมวาตานีอารัญ อุบลปนกนั กับตาละปัตรฤาษี

กล้วยแข้หนงึ่ เรียกกทั ลี กาบกม็ ักมี ขา้ งแดนละว้าปา่ ไกล

มลอิ ่องผิวออ่ งอาํ ไพ นางนวลยวลใจ กล้วยไรก่ ระเหรยี่ งเรียกนาม

พรรณกล้วยมีหลากมากตาม ประเทศเขตคาม นิคมและเขตดงดอน

เหลอื จะนามกร ลดั บทลดทอน แตท่ ่ีรูแ้ จ้งแหง่ นาม”

77

(คดั ตวั สะกดตรงตามต้นฉบบั )

จากคาํ กลอนข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีกลว้ ยป่าและกล้วยปลูกอยูห่ ลายชนิดที่รู้จักกันดีในสมัย
น้นั ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ขุนณรงคช์ วนกจิ (ชวน ณรงค์ชวนะ) ไดท้ ําการรวบรวมพันธ์กุ ลว้ ยไวห้ ลาย
ชนิด แต่ไม่ได้บ่งว่ามีพันธุ์อะไรบ้าง ผู้ที่รวบรวมพันธุ์ต่อมาคือ อาจารย์อรุณ ทรงมณี แ ห่ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รวบรวมพันธุ์ไว้ที่สถานีกสิกรรมบางกอกน้อย และต่อมาได้สูญพันธุ์ไป
อาจารย์ท่านนี้ ได้เป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องกล้วยในประเทศไทย แก่ Dr. N.W. Simmonds
(๑๙๖๖) ซึ่งกล้วยขณะ นั้นมีประมาณ ๑๕ ชนิด นอกจากอาจารย์อรุณ ทรงมณี แล้วยังมีผู้สนใจ
รวบรวมพันธุ์กล้วยไว้อีกคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร หลวงสมานวรกิจ อดีต
คณบดี คณะกสิกรรมและ สัตวบาล มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ หลวงบุเรศบํารงุ การ และอาจารย์โชติ
สวุ ตั ถิ

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ศาสตราจารย์ วัฒนา เสถียรสวัสดิ์ และศาสตราจารย์ ปวิน ปุณศรี ได้
ทําการรวบรวมพันธุ์กลว้ ยในประเทศไทย และปลูกรวบรวมไว้ที่สถานวี ิจัยปากช่อง โดยการสนับสนนุ
จากสภาวิจัยแห่งชาติการรวบรวมในครั้งนั้นได้ประมาณ ๑๒๕ สายพันธุ์รวมทั้งที่สั่งเข้าจาก
ต่างประเทศด้วย แต่แปลงรวบรวมพันธุ์นั้นเกือบจะสูญพันธุ์ ทั้งนี้เพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ในการ
ดูแลในระยะต่อมา แต่ บางส่วนของพันธุ์ที่รวบรวมไว้ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ได้นําไปปลกู ไว้ทีส่ ถานี พืชสวน อําเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทยั ดังนั้นพันธุ์กล้วยที่ปลกู ไวท้ ี่
สถานีวิจัยปากช่องเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ นั้น จึงยังคงมีเชื้อพันธุ์อยู่ท่ีสถานีวิจัยปากช่อง และสถานีพืช
สวนสวรรคโลกบ้าง

ปี พ.ศ. ๒๕๒๓-๒๕๒๖ เบญจมาศ ศิลายอ้ ย และฉลองชยั แบบประเสริฐ แหง่ ภาควิชาพืช
สวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับทุนจาก IBPGR (International Board of Plant Genetic
Resources) ซงึ่ เป็นหน่วยงานในองคก์ ารอาหารโลก (FAO) ได้เล็งเหน็ คุณค่าของการรวบรวมเช้ือพันธุ์
กล้วยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีพันธุ์กล้วยมากจึงควรทําการ
รวบรวมเชื้อ พันธุ์ไว้เพื่อไม่ให้สูญหาย และเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์ ดังนั้นการสํารวจและ
รวบรวมพันธุ์ กล้วยในประเทศไทย จึงได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจากการสํารวจและรวบรวมพันธุ์กล้วยท้ัง
กล้วยป่าและ กล้วยปลูกในประเทศไทย สามารถรวบรวมไว้ได้ ๓๒๓ สายพันธุ์และเมื่อได้ทําการ
จําแนกชนิดของกล้วย แล้วพบว่าพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมีประมาณ ๕๙ สายพันธุ์ โดยแยกตามชดุ
ของโครโมโซม ซ่งึ จะไดก้ ล่าวตอ่ ไป และแปลงรวบรวมพันธุน์ ้ี ขณะนท้ี างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้
พยายามรักษาไว้ท่สี ถานีวจิ ัยปากชอ่ ง จงั หวัดนครราชสีมา

ปัจจุบันมีผู้รวบรวมพันธุ์กล้วยอีกหลายราย หลายจังหวัดทั้งรวบรวมเป็นส่วนบุคคลและ
ของส่วนราชการ ซึ่งเป็นการดีเพราะจะได้ช่วยกันอนุรักษ์พันธุ์ไม่ให้สูญหายไป หรือการช่วยกันปลูก

78

กล้วยในสวนหลังบ้าน ๆ ละ ๒-๓ ต้นหรือ ๒-๓ พันธุ์ นอกจากจะเอาไว้รับประทานผลแล้วยังช่วยกัน
รกั ษาพันธุกรรมกล้วยไว้ด้วย

สรุป Reynold (๑๙๒๙) ได้กล่าวถึงถิ่นกําเนิดของกล้วยว่า กล้วยเป็นพืชที่ชอบอากาศ
ร้อนชื้นถิ่น แรกของกล้วยจึงอยู่แถบเอเชียตอนใต้ ซึ่งจะพบกล้วยพื้นเมืองทั้งที่มีเมล็ดและไม่มีเมล็ด
และจากผล ของการย้ายถิ่นฐานในการทํามาหากิน มีการอพยพประชากรจากเอเชียตอนใต้ไปยังหมู่
เกาะใน มหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งแต่ต้นคริสต์ศักราชเป็นต้นมา ในการอพยพแต่ละครั้งจะต้องมีการ
นําเอาเสบียงอาหารติดตัวไปด้วย ดังนั้นจึงได้มีการนําเอาหน่อกล้วยไปปลูกแถบหมู่เกาะฮาวายและ
หมู่เกาะทางด้าน ตะวันออก หมู่เกาะตาฮิติ หมู่เกาะฟิจิ ซึ่งในช่วงที่มีการสํารวจหมู่เกาะโปลีนิเซีย
พบว่าเกาะตาฮา ติมีกล้วยอยู่ถึง ๒๘ ชนิด นอกจากนี้ยังพบสารานุกรมจีนบันทึกว่ามีกล้วย ๑๒ ชนดิ
ที่ปลูกอยู่ในประเทศ จีนในระหว่าง ค.ศ. ๑๖๖๒ - ๑๗๒๖ และกล่าวว่า พบว่ามีกล้วยอยู่ในทุกภาค
ของประเทศจีน ซึ่งมีดอก บา้ งและไม่มดี อกบ้าง

ประมาณก่อนคริสต์ศักราช ๓๒๗ ปี ได้มีการนํากล้วยจากประเทศอินเดียไปยังอาหรับ
และเปน็ ที่ชื่นชอบของชาวอาหรับมากและเรียกชื่อกนั วา่ muz ซ่ึงเข้าใจวา่ มาจากภาษาสันสกฤต และ
ลินเนียสได้ตั้งชื่อว่า Musa เพื่อเป็นเกียรติกับ Antonius Musa ซึ่งเป็นแพทย์ประจําพระองค์ของ
จักรพรรดิ์กรุงโรม และเป็นผู้นํากล้วยจากอินเดียไปยังอาหรับและเนื่องจากอาหรับทําการค้ากับ
ประเทศแถบอาฟริกา ดังนั้นจากอาหรับกลว้ ยจึงได้แพรเ่ ข้าไปยังอาฟริกาตะวนั ออกและตะวันตกตาม
ลําดับ ในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงเดียวกับที่ชาวปอร์ตุเกสค้นพบฝั่งกินี คือในช่วง ค.ศ. ๑๔๖๙ - ๑๔๗๔
ชาว อาฟริกากล่าวว่า คําว่า banana น่าจะมาจากรากศัพท์ของภาษาในอาฟริกาตะวันตก คือคําว่า
banena, banana และคําว่า banana ได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายโดยชาวปอร์ตุเกสที่ส่วนใหญ่มี
อาชีพเป็น พ่อค้าและได้เดินทางไปค้าขายในอาฟริกา จึงได้มีการนําเอากล้วยจากอาฟริกาไปยังหมู่
เกาะแคนาร่ี และทนี่ ่ีเปน็ จุดสําคัญต่อมา และเขา้ ใจกนั ว่าการนํากลว้ ยเข้าสู่ทวีปอเมริกาเกิดข้ึนในช่วง
หลังจาก โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา และการปลูกกล้วยได้เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นพืช
เศรษฐกิจใน ศตวรรษที่ ๑๙

สําหรับประวัติกล้วยในประเทศไทย เข้าใจว่าประเทศไทยเป็นแหล่งกําเนิดของกล้วยป่า
และต่อมาได้มีการนําเข้ากล้วยตานี และกล้วยชนิดอื่นในช่วงที่มีการอพยพของคนไทยในการตั้ง ถ่ิน
ฐานอย่ทู จี่ งั หวดั สโุ ขทัย มีเอกสารเขยี นโดย De la Lovbere (๑๖๙๓) กลา่ ววา่ ในสมยั อยุธยาท่ี เขาได้
เดินทางมาเขาพบว่ามีกล้วยร้อยหวี ต่อมาเจ้าคุณศรีสุนทรโวหาร (๒๔๒๗) ได้กล่าวถึงกล้วย หลาย
ชนิดเป็นคํากลอน ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นมา ได้มีการรวบรวมพันธุ์กล้วยไว้บ้าง ในบางส่วน
และสูญหายไป และได้มีการรวบรวมพันธุ์อีกครั้งหนึ่งด้วยทุน เBPGRIFAO ในปี ๒๕๒๓-๒๕๒๖ และ

79

ได้มีการรวบรวมเพิ่มขึ้นอีก พันธุ์ดังกล่าวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รวบรวมพันธุ์ไว้ที่สถานีวิจัย
ปากช่อง อาํ เภอปากช่อง จังหวดั นครราชสีมา

๒.๖ บริบทพ้นื ที่การวจิ ยั

ศนู ย์การเรียนร้กู ารอนรุ ักษก์ ลว้ ยไทย (Conservation)

กล้วยและผักพื้นบ้านจัดเป็นพืชอาหารที่มีคุณค่า อยู่คู่กับคนไทยมาช้านานแล้ว มี
คุณประโยชนท์ างด้านโภชนาการ มวี ติ ามินแรธ่ าตมุ ากมาย เป็นอาหารประจำวนั ของมนุษยท์ ุกคน ท่ี
สำคัญมีสรรพคุณทางยาและบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี ตลาดมีความต้องการสูงสามารถจำหน่าย
เป็นรายได้ประจำวันให้กับครอบครัว การปลูกดูแลรักษาง่ายไม่ยุ่งยาก ปลอดภัยจากสารพิษ
ตอบสนองแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

มีความจำเป็นจะต้องส่งเสริมให้ทุกครอบครัวปลูกกล้วยและผักพื้นบ้านไว้เพื่อเป็นพืชที่
เพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือน ลดการพึ่งพาจากตลาดภายนอกซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ของคนในครอบครวั

ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้เพื่ออนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม่ให้ส่วนไปจาก
ประเทศไทย เรา เท่าที่มีในปัจจุบันส่วนมากเป็นพันธุ์ผสมเสียมากและการอนุรักษ์และรวบรวมพันธุ์
กล้วยจึงมีความสำคัญทั้งในแง่การศึกษาทางพันธุกรรมการปรับปรุงพันธุ์ในแง่การอนุรักษ์สายพันธ์ุ
ไม่ใหส้ ูญหายไปตลอดจนเพ่ือเปน็ แนวทางในการพัฒนาเป็นพชื เศรษฐกจิ สเู่ กษตรกรชมุ ชนต่อไป

ศูนย์การเรียนรู้และการอนุรักษ์พันธุ์กล้วย – ชุมชนวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัด
สพุ รรณบุรี

ภาพศนู ยก์ ารเรียนรูแ้ ละการอนรุ กั ษ์พนั ธุ์
กลว้ ย

80

สภาพทวั่ ไปจงั หวัดสพุ รรณบุรี

๖.๑ สภาพโดยท่ัวไปของจังหวัดสพุ รรณบรุ ี

ท่ีต้งั

สภาพทวั่ ไปของพื้นท่จี ังหวดั สพุ รรณบรุ ี39

เป็นจังหวัดหนึ่งในเขตภาคกลางด้านทิศตะวักตกของประเทศไทย ตั้งอยู่บนพื้นทีร่ าบล่มุ
แมน่ ำ้ ทา่ จนี หรอื แม่นำ้ สพุ รรณบุรีไหลผ่านตามแนวยาวของจังหวัดจากเหนือ จรดใต้ araba จังหวัด
สุพรรณบุรีตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๔ องศา ๔ ลิปดา ถึง ๑๕ องศา ๕ ลิปดาเหนือ และระหว่าง
เส้นแวง ๙๙ องศา ๑๗ ลิปดา ถึง ๑๐๐ องศา ๑๖ ลิปดา ตะวันออก อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปาน
กลาง ๓-๑๐ เมตร มีพนื้ ทที่ ้ังหมดประมาณ ๕,๓๕๘.๐๑ ตารางกโิ ลเมตร หรอื ประมาณ ๓.๓ ล้านไร่
คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๕.๒ ของพน้ื ท่ีภาคกลาง อย่หู า่ งจากกรุงเทพมหานครประมาณ ๑๐๗ กิโลเมตร (ตาม
ทางหลวงแผ่นดนิ หมายเลข ๓๔๐) โดยทางรถไฟประมาณ ๑๔๒ กโิ ลเมตร

มีอาณาเขตติดตอ่ กับจงั หวัดใกลเ้ คียง ดงั น้ี สำนักงานจงั หวัดสุพรรณบรุ ี ศาลากลางจงั หวัด
ถนนสุพรรณบุรี-ชัยนาท อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ๗๒๐๐๐ (จัดทำโดย กลุ่มงานข้อมูล
สารสนเทศและการส่ือสาร โทร. และโทรสาร ๐-๓๕๔๐-๘๒๐๐ และ ๐-๓๕๕๓-๕๓๗๗© Copyright
๒ ๐ ๐ ๙ All Rights Reserved.E-mail : [email protected] Website :
http://www.suphan buri.go.th)

ทศิ เหนอื ตดิ จังหวัดอุทยั ธานีและชยั นาท

ทศิ ตะวนั ออก ติดจงั หวดั สิงหบ์ รุ อี า่ งทองและพระนครศรอี ยุธยา

ทิศใต้ ติดจังหวดั นครปฐมและกาญจนบรุ ี

ทศิ ตะวันตก ติดจังหวดั กาญจนบุรแี ละอทุ ยั ธานี

มีลักษณะคล้ายคลึงกับจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลาง กล่าวคือ ฤดูร้อนได้รับอิทธิพลจากลม
มรสมุ ตะวันออกเฉียงใตจ้ ากทะเลจีนใต้พัดผา่ นเข้ามาในชว่ งเดือนกุมภาพันธ์ ถงึ กลางเดือนพฤษภาคม
ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวโดยทั่วไป ฤดูฝนลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้จากมหาสมุทรอินเดยี พัดผา่ นมา

39 [email protected] Website : http://www.suphan buri.go.th)

81

ในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม ทำให้อากาศมีความชุ่มชื้นมีฝนตกโดยทั่วไป ฤดูหนาว
ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านเข้ามาในช่วงเดือนตุลาคม ถึงกลางเดือน
กุมภาพนั ธ์ ทำใหอ้ ากาศหนาวเย็นโดยท่วั ไป อณุ หภมู ิสงู สุด ๓๙.๓ องศาเซลเซยี ส ในเดือนพฤษภาคม
อณุ หภมู ิตำ่ สุด ๑๕.๗ องศาเซลเซียส ในเดอื นธนั วาคม

การปกครองและประชากร

การปกครองจังหวัดสุพรรณบุรี แบง่ ส่วนราชการออกเป็น ๒ ส่วน คอื การบริหารราชการ
ส่วนภูมิภาคและการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การบริหารราชการส่วนภูมิภาค แบ่งเขตการ
ปกครองออกเป็น ๑๐ อำเภอ ๑๑๐ ตำบล และ ๑๐๐๗ หมบู่ า้ น โดยมีอำเภอดงั น้ี อาทิเช่น

อำเภอเมอื งสุพรรณบรุ มี พี นื้ ท่ี ๕๔๐.๙๑๗ ตารางกิโลเมตร ๑๙ ตำบล ๑๒๓ หมบู่ ้าน

การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น แบ่งการปกครองออกเป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด
เทศบาลเมือง ๒ แห่งคือ เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี และเทศบาลเมืองสองพี่น้อง เทศบาลตำบล ๔๓
แหง่ และองค์การบริหารสว่ นตำบล ๘๑ แหง่ (จากสถิตขิ องสำนักบริหารการทะเบียนกรมการปกครอง
กระทรวงมหาดไทย ณ เดือนธันวาคม ๒๕๕๙ จงั หวัดสุพรรณบรุ ี) มปี ระชากร ทง้ั สิน้ ๘๔๘,๕๖๗ คน
เป็นชาย ๔๑๐,๖๑๗ คน และหญงิ ๔๓๗,๙๕๐ คน

ทรัพยากรและแหลง่ นำ้

ดิน หากพิจารณาคณุ สมบัติของดนิ ทั้งทางกายภาพและเคมี เชน่ เนือ้ ดนิ ความลกึ ของดิน
ความสามารถในการอุ้มน้ำของดนิ ชนิดของแร่ธาตุและปริมาณแรธ่ าตุ อาหารของดิน จะพบวา่ สภาพ
ของดิน ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี เหมาะสมกับการปลูกพืช ดังน้ี การทำนาข้าว การเพาะปลูกพืชไร่
การเพาะปลูกไม้ยืนต้น ไม้ผลต่าง ๆ การปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ ทำทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ถาวรสำหรับการ
ปศสุ ัตว์

แหล่งนำ้ ประกอบด้วยแมน่ ้ำลำคลองตา่ งๆ มแี มน่ ำ้ สายใหญ่ ๆ ที่สำคญั และเป็นประโยชน์
ตอ่ ความเปน็ อยู่ และเศรษฐกจิ ของประชากร ได้แก่ แมน่ ้ำทา่ จีน หรือแม่นำ้ สุพรรณบุรี เข่ือนกระเสียว
ซึ่งเป็นสาขาที่สำคัญของแม่น้ำสุพรรณบุรี นอกนั้นเป็นแม่น้ำสายเล็กซึ่งส่วนใหญ่ จะไหลลงแม่น้ำท่า
จีนเกือบทั้งสิ้น ป่าไม้ ลักษณะป่าไม้ของจังหวัดสุพรรณบุรี เดิมเป็นป่าไม้เบญจพรรณ ได้แก่ เต็ง
มะคา่ โมง ซาก มะค่าแต้ ชิงชัน ตะเคียนทอง ยมหอม แต่สภาพปัจจบุ ันได้ถูกราษฎรบุกรุกเข้าทำกิน
ในเขต ป่าสงวนหลายแห่ง ถูกเปลี่ยนเป็นไรอ่ ้อย และใช้ทำนา เป็นต้น แร่ธาตุ จากการสำรวจของ
กรมทรัพยากรธรณี พบว่าจังหวัดสุพรรณบรุ ีมีปริมาณแร่ ไมม่ ากนกั พบแร่มีค่าบางชนิดเท่าน้ัน ได้แก่
ดีบุก พบบริเวณเขาโดดตุงกุง ทางตอนเหนือ อำเภอด่านช้าง นอกจากนี้ยังพบใยหินแกรนิต และ
หินปูน ใช้ในการก่อสร้าง บริเวณ เขาใหญ่ทางตะวันตก เขาทางตะวันออกและตะวันตกระหว่าง

82

เส้นทางอู่ทอง ถึงพนมทวนและบริเวณเขื่อนกระเสียว อำเภอด่านช้าง และยังขุดพบน้ำมันดิบใน
บริเวณตำบลสวนแตง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งปัจจุบันได้ทำการขุดเจาะแล้ว การกสิกรรม จาก
การที่พื้นท่ีจังหวัดสุพรรณบุรีส่วนใหญ่เป็นทีร่ าบลุ่ม มีการชลประทาน อย่างทั่วถึง ประกอบกับสภาพ
ดินเหมาะสมแก่การเพาะปลูก โดยเฉพาะการปลูกข้าว การเพาะปลูกพืชไร่ เช่น อ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล
มันสมั ปะหลงั ขา้ วโพดเล้ียงสตั ว์ ข้าวฟา่ ง และพืชอนื่ ปศุสตั ว์ เปน็ แหล่งเล้ยี งโค สกุ ร เป็ด ไก่ กระบือ
ซงึ่ เปน็ สัตว์เศรษฐกิจ ทสี่ ำคัญมาก โดยการเล้ียงจะกระจายอยู่ทั่วไปทุกพ้นื ท่ีของจังหวดั อุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมสว่ นใหญ่ เป็นอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งได้แก่ โรงสี นึ่ง อบ เป็นต้นแและ
อตุ สาหกรรมอาหาร ไดแ้ ก่ โรงงานผลิตน้ำตาล ผลิตภณั ฑน์ ม และแปรรปู เนื้อสัตว์ พืช ผัก ผลไม้ เป็น
ต้น โดยมีโรงงานน้ำตาลขนาดใหญ่ ๓ แห่ง คือที่อำเภออู่ทอง อำเภอสามชุก และอำเภอด่านช้าง
ทำให้มีเงินหมุนเวียนภายในจังหวัดสูง ในอนาคตอุตสาหกรรมของจังหวัดสุพรรณบุรีจะมีบทบาท
สำคัญเนื่องจากมีการตั้งโรงงานขนาดใหญ่ ประกอบกับ มีการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค
ตะวันตก ที่อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เพราะในจังหวัดสุพรรณบุรีมีอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผล
การเกษตรโดยเฉพาะแบบง่าย ๆ เช่น ผลิตหน่อไม้- กระป๋อง (หน่อไม้ฝรัง่ หน่อไม้ไผ่) ผลไม้กระป๋อง
เช่น แห้วกระป๋อง กระจับกระป๋อง ว่านหางจรเข้ และลูกตาลกระป๋อง แม้กระทั่งอุตสาหกรรมที่
เกีย่ วเนือ่ งกบั การเกษตร อยา่ งครบวงจรของจังหวัดสุพรรณบุรี คอื การผลิตยอดอ้อยตากแห้ง และซัง
ขา้ วโพดบด เพ่ือนำไปใช้เปน็ วสั ดุ อาหารสตั ว์ และใช้เพาะเห็ดฟางในต่างประเทศซ่ึงมีโรงงานผลิตอยู่
๒ แห่ง ที่อำเภอสองพี่น้อง และอำเภอหนองหญ้าไซ จากการรายงานของสำนักงานคณะกรรมการ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรากฎว่า ในปี ๒๕๔๕ P จังหวัดสุพรรณบุรี มีมูลค่ารวม
ผลติ ภัณฑ์จังหวดั GPP ตามราคาประจำปี ๓๙,๔๗๗ ล้านบาท และมูลคา่ ผลิตภัณฑเ์ ฉลี่ยต่อหัว ( Per
Capita GPP ) ๔๔,๗๐๘ บาท รายได้เฉลีย่ ต่อหัว อยู่ในลำดับที่ ๖ ของภาคตะวนั ตก และอยู่ในอันดับ
ที่ ๔๓ ของประเทศ อัตราร้อยละของสาขาการผลิตต่างๆ ในผลิตภัณฑ์จังหวัดสุพรรณบุรี ประจำปี
๒๕๔๕ P ประกอบด้วยสาขาการผลิตต่างๆ ดังนี้ ภาคเกษตรกรรม ๒๗.๓ % ซึ่งได้แก่ เกษตรกรรม
การล่าสัตว์และการป่าไม้ ๒๕.๙ % และ การประมง ๑.๔ % ส่วนนอกภาคเกษตร ๗๒.๗ % ได้แก่
การทำเหมือนแร่และย่อยหนิ ๔.๐ % การผลิตอุตสาหกรรม ๑๖.๒ % การไฟฟา้ ,ก๊าซ และการประปา
๑.๙ % การก่อสรา้ ง ๓.๒ % การขายสง่ ขายปลกี ซ่อมแซมยานยนต์ จกั รยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคล
และของใช้ในครัวเรือน ๒๒.๑ % โรงแรมและภัตตาหาร ๐.๕% การขนส่ง,สถานที่เก็บสินค้าและการ
คมนาคม ๓.๖ % ตวั กลางทางการเงิน ๓.๒ % บริการดา้ นอสังหาริมทรัพย์ การให้เชา่ และบริการทาง
ธุรกิจ ๔.๒ % การบริหารราชการแผ่นดินและการป้องกันประเทศรวมทั้งการประกันสังคมภาคบงั คบั
๓.๖ % การศึกษา ๕.๙ % การบริการด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ ๓.๔% การให้บริการ
ชุมชน สงั คมและบรหิ ารสว่ นบคุ คลอื่นๆ ๐.๘ % ลกู จา้ งในครัวเรอื นสว่ นบคุ คล ๐.๑ %

การคมนาคม ขนส่ง และการสือ่ สาร

83

ระบบการคมนาคมเป็นโครงสรา้ งขั้นพนื้ ฐานทางเศรษฐกจิ ท่สี ำคัญย่ิงอย่างหน่งึ ของจังหวัด
การคมนาคมที่สะดวกทำให้เกิดความคล่องตัวทั้งด้านการผลิตและการตลาด ก่อให้เกิดการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจและยังเป็นการยกฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น เส้นทางการคมนาคม
ภายในจงั หวัด และจังหวัดใกล้เคียงแบ่งเป็น ๒ ทางดว้ ยกัน คือ

การคมนาคมทางรถยนต์ ในปัจจุบันภายในจังหวัดสามารถติดต่อถึงกันได้ทุกอำเภอ
สภาพของทางส่วนใหญล่ าดยาง

สภาพองคป์ ระกอบท่ัวไปของศนู ย์อนุรกั ษพ์ นั ธ์กุ ล้วยสพุ รรณบรุ ี
ศูนย์วิจัยด้านการศึกษา–ชุมชนวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี มีพื้นที่เป็นราบ
ลุม่ อยู่ริ่มทางรถไฟทางตะวนั ตกของประเทศหลงั วัดป่าเลไลยกว์ รววิหาร หา่ งจากกรุงเทพมหานครเป็น
ระยะทางประมาณ ๙๗ กิโลเมตรและใกล้กับห่างจังหวัดกาญจนบุรีเป็นระยะทางประมาณ ๒๕
กิโลเมตร มพี ืน้ ท่ที ้ังหมดโดยรวม ประมาณ ๑๒ ไร่ ทอ่ี ยู่ ๘/๓ ถนนสถานีรถไฟ ตำบลรวั้ ใหญ่ อำเภอ
เมอื งสุพรรณบุรี จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี เทศบาลเมืองสพุ รรณบุรี ๗๒๐๐๐

สถานท่ปี ลกู กลว้ ย บรเิ วณพนื้ ท่ี 12 ไร่

84

ภาพถ่ายจากดา้ นบนในพนื้ ท่ศี นู ยก์ ารเรยี นรู้ รวม12 ไร่

ตราสัญลักษณ์
นักท่องเที่ยวเรียกว่า“บานาน่า สุพรรณบุรี” อยู่ใน เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี ตำบล รั่ว
ใหญ่ มีจำนวน ๑๖ ชุมชน ในเขตรับผิดชอบ ประกอบด้วยชุมชนเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี๑๖ ชุมชน
ได้แก่ ชุมชนน้เี ปน็ ชุมชนวดั ปา่ เลไลยก์ มนี างวราณี คงสงค์ เป็นประธานชมุ ชนสภาพภูมิพน้ื ที่ศนู ย์
สภาพภมู ิประเทศโดยท่ัวไปของชุมชนวดั ป่าเลไลยก์อำเภอเมืองสพุ รรณบรุ ี
ข้อมูลพ้นื ฐานของชุมชนวดั ปา่ เลไลยก์40
๑. พ้ืนที่ ๑.๖๓๗ ตารางกโิ ลเมตร จำนวนประชากรตามทะเบียนราษฎร ๒,๑๘๒ คน ๕๘๑
ครวั เรอื น จำนวนครวั เรอื นท่มี ีไฟฟา้ ใช้ ๘๑ ครัวเรอื น จำนวนครวั เรอื นท่ีมนี ้ำประปาใช้ ๕๘๑ ครัวเรอื น
๒. จำนวนประชากร ชาย ๑,๐๐๕ คน หญงิ ๑,๑๗๗ คน ผ้สู ูงอายุ ๓๑๘ คน เดก็ เล็ก
๔๒๒คน

40http://www.suphancity.go.th/chum๑๖.html๗

85

๓. อายุชุมชน ๒๑ ปี

๔. ประวัติศาสตร์ความเป็นมาชุมชน ชุมชนวัดป่าเลไลยก์ สมัยก่อนเรียกหมู่บ้านวัดป่าฯ
เรียกตามชื่อวัด ต่อมาเทศบาลเมืองสุพรรณบุรีได้กำหนดเขตชุมชน และให้มีการเลือกต้ัง
คณะกรรมการชมุ ชน เม่ือปี พ.ศ ๒๕๓๗ โดยรวมชุมชนบ้านดอนจนั ทร์ บา้ นทางรถไฟและบ้านคูเมือง
เหนือเข้ารวมด้วยกัน จัดตั้งเป็นศูนย์สาธารณชุมชน (ศ.ส.ม.ช)และจัดต้ังเป็นชุมชนวัดป่าเลไลยก์ เปิด
ทำการเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๗ ที่ทำการตั้งอยู่ด้านซ้ายของวิหารหลวงพ่อโต วัดป่าเล
ไลยก์ ต่อมาทางวัดได้ทำการปรับปรุงอาณาบริเวณวัด และทำการก่อสร้างพระวิหาร คต รอบพระ
วิหารหลวงพ่อโต จึงได้ย้ายที่ทำการชุมชนวัดป่าเลไลยก์ มาตั้งที่ใหม่ในที่ปัจจุบัน โดยได้รับความ
อนุเคราะห์จากท่านเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์พระธรรมมหาวีรานุวัฒเจ้าคณะจังหวัด ให้ใช้สถานท่ี
ก่อสร้างที่ทำการชุมชนใหม่ และได้รับเงินอุดหนุน จากเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี จำนวน ๓๐๐,๐๐๐
บาท (-เงินสามแสนบาทถ้วน) ร่วมกับคณะกรรมการ และอสม. ได้ทำการก่อสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.
๒๕๔๑ โดยมีพื้นทีต่ ดิ ตอ่ ดังนี้ ทิศเหนือติดตอ่ กับ อบต.รั้วใหญ่ ทิศใต้ ติดต่อกับ อบต. ดอนกำยาน
ทิศตะวันตะออกติดต่อกับชุมชนคูเมืองสุพรรณทิศตะวันตกติดต่อคลองวัดป่าฯ
(http://www.suphancity.go.th/chum๑๖.html๗

อาณาเขต

พื้นที่ศนู ยว์ จิ ัยดา้ นการศึกษา–ชุมชนวัดปา่ เลไลยกว์ รวิหาร จงั หวัดสุพรรณบรุ ีมีพ้ืนทมี่ ีพ้ืน
ทที่ งั้ หมดโดยรวม ประมาณ ๑๒ ไร่ ดว้ ยแบง่ เปน็ ๔ สว่ น คอื

๑. ดา้ นการเกษตร ปลกู พชื นานาชนดิ ปลูกกล้วยเป็นหลัก ๕ ไร่
๒. ดา้ นนำ้ เป็นแหล่งอาศยั ของปลานานาชนดิ จำนวน ๒ ไร่
๓. ดา้ นสถานท่ีพกั แหล่งท่องเที่ยวรา้ นค้า ๒ ไร่
๔. ดา้ นพน้ื ทแ่ี หลง่ เรยี นรขู้ องศูนยอ์ นรุ ักษพ์ ันธ์ุกล้วยสพุ รรณบรุ ี ๒ ไร่

๑.๑ ดา้ นการเกษตร ปลกู พืชนานาชนดิ ปลูกกล้วยเป็นหลัก ๕ ไร่ ประกอบด้วย

๑. ดนิ หากพจิ ารณาคณุ สมบัตขิ องดนิ ทั้งทางกายภาพและเคมีเชน่ เน้อื ดิน ความ
ลึกของดนิ ความสามารถในการอมุ้ นำ้ ของดนิ ชนดิ ของแร่ธาตแุ ละปริมาณแรธ่ าตุ อาหารของดนิ จะ
พบว่า สภาพของดิน ในเขตนี้ เหมาะสมกบั การปลูกพืชไร่ ไมผ้ ลตา่ ง ๆ

๒. แหล่งน้ำ ประกอบด้วยแม่น้ำลำคลองต่างๆ มีแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ที่สำคัญและ
เป็นประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจของประชากร ได้แก่ แม่น้ำท่าจีน หรือแม่น้ำสุพรรณบุรี
เขื่อนกระเสียวซึ่งเป็นสาขาที่สำคัญของแม่น้ำสุพรรณบุรี นอกนั้นเป็นแม่น้ำสายเล็กซึ่งส่วนใหญ่ จะ
ไหลลงแมน่ ำ้ ท่าจีนเกือบทั้งส้นิ แรธ่ าตุ จากการสำรวจของกรมทรัพยากรธรณี พบว่า มีปรมิ าณแร่ ไม่

86

มากนัก พบแร่มีค่าบางชนิดเท่านั้น จากการที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มมีการชลประทาน อย่าง
ทั่วถึง ประกอบกับสภาพดินเหมาะสมแก่การเพาะปลูก โดยเฉพาะการปลูกข้าว การเพาะปลูกพืชไร่
เช่น อ้อยเพ่อื ผลติ น้ำตาล มนั สมั ปะหลัง ขา้ วโพดเลี้ยงสตั ว์ ขา้ วฟา่ ง และพชื อน่ื ปศุสัตว์ เป็นแหล่งเลย้ี ง
โค สกุ ร เปด็ ไก่ กระบอื ซึ่งเป็นสตั วเ์ ศรษฐกิจ ทส่ี ำคญั มาก โดยการเลีย้ งจะกระจายอยู่ท่ัวไปทุกพื้นที่
ของอุตสาหกรรม อตุ สาหกรรมสว่ นใหญ่ เปน็ อุตสาหกรรมการเกษตร ซง่ึ ไดแ้ ก่ โรงสี น่งึ อบ เปน็ ต้น
แและอตุ สาหกรรมอาหาร ได้แก่ โรงงานผลติ น้ำตาล ผลติ ภัณฑ์นม และแปรรปู เนอื้ สัตว์ พืช ผัก ผลไม้
เป็นต้น ประกอบกับ มีการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคตะวันตก ที่อำเภอเมืองสุพรรณบุรี
เพราะในจังหวัด สุพรรณบุรีมีอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลการเกษตรโดยเฉพาะแบบง่าย ๆ เช่น ผลิต
หน่อไม้- กระป๋อง (หน่อไม้ฝรั่ง หน่อไม้ไผ่) ผลไม้กระป๋อง เช่น แห้วกระป๋อง กระจับกระป๋อง ว่าน
หางจรเข้ และลูกตาลกระปอ๋ ง แม้กระท่ังอตุ สาหกรรมทเี่ กีย่ วเน่อื งกบั การเกษตร อย่างครบวงจร

๓. พนั ธ์ุกลว้ ยในศนู ยอ์ นรุ ักษพ์ ันธก์ุ ล้วยน้ี ประกอบดว้ ยประมาณ ๑๖๐ สาย
พนั ธุ์ ซึ่งเป็นพันธ์ุกลว้ ยน้ำว้าที่พบในไทยและต่างประเทศ รูจ้ ักอยา่ งกวา้ งขวาง ไดแ้ ก่ กล้วยไข่ กลว้ ย
เลบ็ มือนาง กล้วยหอมจันทร์ กลว้ ยไข่ทองร่วง กลว้ ยไข่จีน กลว้ ยนำ้ นม กลว้ ยไลกล้วยสา กล้วยหอม
กล้วยหอมจำปา กลว้ ยทองกาบดำ กล้วยหอมทอง กล้วยนาก กลว้ ยครั่ง กลว้ ยหอมเขียว กลว้ ยกุ้ง
เขียว กลว้ ยหอมแมว้ กล้วยไข่พระตะบอง กล้วยคลองจัง กลว้ ยนำ้ กลว้ ยนำ้ ฝาด กลว้ ยนมสวรรค์ กล้วย
นว้ิ มอื นาง กลว้ ยไขโ่ บราณ กลว้ ยทองเดช กล้วยศรนี วล กล้วยขมกลว้ ยนมสาว กล้วยงาช้าง กล้วยน้วิ
จระเข้ กล้วยหิน กลว้ ยพมา่ แหกคุก กล้วยนำ้ วา้ กาบขาว กล้วยนำ้ วา้ คอ่ ม กล้วยน้ำวา้ แดง กลว้ ยน้ำว้า
เขยี และกลว้ ยนำ้ ว้ามะลิอ่อง กล้วยหอมทอง กลว้ ยหอมทองค่อม กลว้ ยหอมเขียว กลว้ ยหอมเขียวค่อม
กล้วยหอมวิลเลยี ม กลว้ ยหอมพจมาน กล้วยหอมกระเหรี่ยง กล้วยหอมแกรนดเ์ นน และกลว้ ยหอม
จันทน์

กล้วยหอมคาเวนดนิ และกรอสไมเคลิ (Gros Michael) กล้วยหอมเขียว กลว้ ยไข่พระ
ตะบอง กล้วยไขโ่ บราณ กลว้ ยไข่เลก็ ยโสธร กลว้ ยนาก กลว้ ยนากแดง กลว้ ยนำ้ ครั่ง กล้วยครง่ั กล้วย
กุ้งแดง กลว้ ยหิน กล้วยหกั มกุ กลว้ ยหกั มกุ สกุ . กล้วยเล็บมือนาง กลว้ ยหมาก กล้วยทองหมาก กลว้ ย
เลบ็ มอื . กลว้ ยเทพรส หรอื เรียกกนั ว่า กล้วยส้ินปลี หรือกล้วยปลีหาย . กลว้ ยนำ้ ไท กลว้ ยน้ำว้าแดง–
กล้วยนำ้ ว้าคอ่ ม– กลว้ ยนำ้ วา้ เหลือง – กล้วยน้ำว้าขาว – กลว้ ยนำ้ วา้ นวล เปน็ ต้น

ดงั รูปภาพด้านลา่ ง

87

88

๔. ชนิดของกล้วย
กลว้ ยน้ำไท
พบทางภาคกลาง ลำต้นสูงประมาณ ๒.๕ เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๕
เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกมีประดำหนา ที่โคนมีชมพูอมแดง ด้านในสีชมพูอมแดง ใบ ก้านใบ

89

ตั้งขึ้น มีร่องกว้าง ครีบมีสีชมพู เส้นใบ สีชมพูอมแดง ดอก ก้านช่อดอกมีขน ปลีรูปไข่ค่อนข้าวยาว
ปลายแหลม ดา้ นบนสมี ่วงอมแดง ด้านล่างสีซดี ผล เครือหนึ่งมีประมาณ ๕ หวี หวีหน่ึงมี ๑๒ - ๑๘ ผล
ผลมีขนาดใกล้เคียงกับกล้วยหอมจันทน์ ผลไม่โค้งงอเท่า และเมื่อสุกสีเหลืองส้มกว่า มีจุดดำเล็ก ๆ
คลา้ ยจดุ ของกล้วยไข่ กล่ินหอม เนอ้ื สสี ม้ เหลือง รสหวาน ผลใช้รบั ประทานสด

กลว้ ยตานี
พบท่วั ไป ตน้ ลำต้นสงู ๓.๕ - ๔ เมตร เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๒๐ เซนตเิ มตร ใ บ
เสน้ กลางใบสีเขียวดอก กา้ นช่อดอกสีเขยี วไม่มขี น ปลรี ูปรา่ งป้อม ปลายมน ด้านบนสีแดงอมมว่ ง มี
นวล ด้านลา่ งสีแดงเขม้ สดใส เมือ่ กาบปลีกางขน้ึ จะไม่ม้วนงอ กาบปลีแต่ละใบซ้อมกนั ลึกผล เครือหนึ่ง
มปี ระมาณ ๘ หวี หวหี น่งึ มี ๑๐ - ๑๔ ผล ผลปอ้ มขนาดใหญ่มเี หลี่ยมชดั เจน ปลายทู่ กา้ นผลยาว ผล
อ่อนมีท้งั สีเขยี วอ่อนและเขยี วเขม้ ผลสุกมสี ีเหลอื ง เน้ือมีรสหวาน เมล็ดมจี ำนวนมาก สีดำ ผนังหนา
แข็ง ใบใช้ทำงานฝมี ือ ปลใี ชป้ รุงอาหาร (เปน็ ปลที ่อี ร่อยกว่ากล้วยใด ๆ) เหงา้ ใช้ทำแกงค่วั ได้ ผลอ่อนใช้
ทำสม้ ตำ ผลแกใ่ ชน้ ำมาทำนำ้ ส้ม

กลว้ ยเล็บมือนาง

90

พบแถบภาคใต้ และภาคกลาง แถบกรงุ เทพ กลว้ ยเลบ็ มือนาง กลว้ ยเลบ็ มอื นาง บาง
ท้องถน่ิ เรยี กวา่ กลว้ ยขา้ ว กลว้ ยเลบ็ มอื กล้วยทองดอกหมาก ลำตน้ มคี วามสงู ไมเ่ กิน ๒.๕ เมตรกาบ
ลำต้นดา้ นนอก สีชมพูอมแดง เครอื หนง่ึ มี ๗-๘ หวี หวหี นงึ่ มปี ระมาณ ๑๕-๑๘ ผล ผลเรยี วเล็ก รูปโค้ง
งอ เปลือกหนา เมื่อสุกสกี ลว้ ยจะเปลย่ี นเปน็ สเี หลอื งทอง รสชาติจะคลา้ ยกลว้ ยไข่ แต่เน้ือน้อยกว่า มี
ปลูกมากแถบภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร ์ ผลใชร้ ับประทานสด หรือแปรรปู เป็นกล้วยตาก กลว้ ย
อบนำ้ ผ้ึง

กล้วยหักมุก
พบได้ทว่ั ไป ตน้ ลำตน้ สงู ๒.๕ - ๓.๕ เมตร เส้นผ่านศนู ย์กลางมากกว่า ๑๕ เซนติเมตร
กาบลำตน้ ดา้ นนอกมีประดำเล็กนอ้ ย ดา้ นในมสี ีเขียวอ่อนใบ ก้านใบมีรอ่ งค่อนขา้ งแคบ และมคี รีบ
เสน้ กลางใบสเี ขียวมีนวลทางดา้ นล่างดอก ช่อดอกไม่มีขน ปลีรปู ไขค่ ่อนข้างปอ้ ม มว้ นงอขนึ้ ด้านบน
ปา่ นมีนวลหนา ด้านลา่ งมสี ีแดงเข้มผล เครือหนึง่ มีประมาณ ๗ หวี หวีหน่ึงมี ๑๐ - ๑๖ ผล ผลใหญ่
ก้านผลยาว ปลายผลลบี ลง มเี หลย่ี มชัดเจน เปลือกหนา เมือ่ สุกสเี หลืองอมน้ำตาล มีนวลหนา เนอื้ สสี ้ม
ผลใช้แปรรูป ผลสกุ นำมาป้งิ รบั ประทานไดร้ สชาติดี หรือนำไปเชื่อม

กล้วยหิน
พบมากทางภาคใต้ ต้น ลำต้นสูง ๓ - ๔ เมตร เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ ๑๕ เซนตเิ มตร
กาบด้านนอกเขียวมีนวล ใบ กา้ นใบคอ่ นขา้ งสัน้ ร่องใบเปิด ดอกปลีรูปรา่ งค่อนข้างปอ้ มส้ันรูปรา่ ง
คล้ายดอกบัวตมู ดา้ นนอกสีแดงอมมว่ ง ดา้ นในสแี ดง เมื่อกาบเปดิ จะไมม่ ว้ นงอผล เครอื หนึ่งมี ๗ - ๑๐
หวี หวหี นึ่งมี ๑๐ - ๑๕ ผล ผลเปน็ รปู หา้ เหล่ียมเปลอื กหนา ผลเรียงกนั แนน่ เปน็ ระเบยี บ ช่องวา่ ง
ระหวา่ งหวนี อ้ ย ปลายจกุ ป้าน เม่ือสุกสเี หลืองเนื้อสีขาวอมเหลือง ผลใช้รบั ประทานสด หรอื นำไปต้ม
ปิ้ง

91

กล้วยนำ้ ว้า
พบได้ทุกภาคของไทยกลว้ ยน้ำวา้ กล้วยชนิดนจ้ี ะมีขนึ้ ท่วั ไปทกุ ภาคของประเทศไทย ด้วย
ความแพร่หลายของกล้วยพนั ธน์ุ ้จี งึ มชี อ่ื เรยี นตา่ งกนั ไปตามท้องถ่ิน อย่างเช่นทางเหนอื จะเรยี กว่า
กล้วยใต้ คนจันทบุรเี รยี กวา่ กลว้ ยมะลิออ่ ง คนอุบลเรียก กลว้ ยตานีอ่องลำตน้ ของกล้วยนำ้ วา้ จะมี
ความสงู ไมเ่ กนิ ๓.๕ เมตร กา้ นใบมีร่องค่อนข้างแคบก้านชอ่ ดอกไม่มีขน เครือหนึ่งมี ๘-๑๐ หวี หวหี น่งึ
มี ๑๓-๑๖ ผล ผลและเปลอื กหนากวา่ กล้วยไข่แต่ความยาวใกลเ้ คยี งกับกลว้ ยไข่ เนื้อกลว้ ยมสี ขี าว
แกนกลางเรยี กว่าไส้กลาง มสี ีเหลือง ขาวหรอื ชมพู ซึ่งทำให้กล้วยแบ่งเป็น กล้วยน้ำว้าเหลอื ง กล้วย
น้ำวา้ แดง กลว้ ยนำ้ ว้าขาวกลว้ ยนำ้ ว้ามีประโยชน์มาก ใช้เปน็ อาหารของเด็กอ่อน เดก็ ทารกวยั ๓ เดอื น
ทุกคนต้องผ่านการกนิ กล้วยน้ำวา้ ครดู มาแล้วท้ังสนิ้ นอกจากเป็นอาหารของทารกแลว้ ยังนิยมนำมา
บริโภคสดและทำขนมอีกดว้ ย

92

กล้วยไข่
พบได้ทกุ ภาคของประเทศ กลว้ ยไข่กลว้ ยไข่มชี ่อื เรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ ว่า กล้วยกระ ลำตน้ มี
ความสูงไม่เกนิ ๒.๕ เมตร กาบกล้วยด้านในมสี เี ขยี วอมเหลือง โคนก้านใบมีปกี สชี มพู กา้ นชอ่ ดอกมีขน
อ่อน ใบประดบั รปู ไขเ่ ครือหนึ่งมีประมาณ ๖-๗ หวี หวหี นง่ึ มีประมาณ ๑๒-๑๔ ผล ลักษณะของผล
ค่อนข้างเลก็ เวลาสกุ จะมสี ีเหลืองทอง กลว้ ยไข่ท่อี ร่อยและมีชอื่ เสียงมากทสี่ ุดกค็ ือ กล้วยไข่
กำแพงเพชร นอกจากกินเล่นแล้ว กล้วยไขย่ งั เปน็ พนั ธก์ุ ลว้ ยท่ีนำมาประกอบพธิ ีเดอื นสบิ หรือสารท
ไทยอีกดว้ ย ถา้ จะกนิ กล้วยไข่ใหอ้ รอ่ ยแล้วต้องกินควบคู่กบั กระยาสารท

กลว้ ยหอมทอง
พบทัว่ ไปกล้วยหอมทองกล้วยหอมจะมอี ยู่กลายพันธุ์ ทง้ั กลว้ ยหอมเขยี ว กล้วยหอมจนั ทน์
กล้วยหอมเขียวค่อมแตท่ ่ีนยิ มมากท่ีสุดคือกล้วยหอมทอง เพราะวา่ มีกลนิ่ หอม รสหวาน กล้วยหอม
ทองจะมีลำต้นสูงประมาณ ๓.๕ เมตร เครอื หนง่ึ จะมี ๕-๖ หวี หวีหนึ่งจะมีประมาณ ๑๐-๑๕ ผล ปลาย
ผลจะมีจุกยื่นออกมาให้เห็นได้ชัดเจน เปลือกบาง เม่อื ผลกล้วยสุก จะเปลีย่ นเป็นสเี หลอื งทอง แหล่ง

93

ปลูกส่วนใหญจ่ ะอยู่แถบภาคกลาง โดยเฉพาะจงั หวัดแถบภาคกลางโดยเฉพาะจังหวัดแถบปทมุ ธานี
และรอบ ๆ เขตปริมณฑล

๕.วธิ กี ารปลกู กล้วย
กลว้ ยเปน็ พืชท่ีปลูกง่าย เจริญเตบิ โตได้ในทุกสภาพดิน แตช่ อบดนิ รว่ น มอี นิ ทรยี ์วตั ถุ และ
ความช้นื สงู ระบายนำ้ ดี ไมช่ อบน้ำขัง หลังจากการปลกู กล้วยแลว้ จะใหผ้ ลผลิตครั้งแรกเมอื่ ปลูกได้ ๘-
๑๐ เดอื น และสามารถแตกหน่อเติบโตให้ผลผลติ ท้งั ปี
๖.การเตรยี มแปลงและหลุมปลกู
– พนื้ ท่ีใช้ปลกู หรือแปลงปลูกควรไถพรวนดิน และตากดนิ นาน ๑-๒ อาทิตย์ และกำจดั
วชั พืชกอ่ นปลกู หากปลูกเพยี งไม่กีต่ ้นใหเ้ ตรียมได้เลย
– วางแนว และขดุ หลุมปลูกในระยะ ๒×๒ เมตร หรือมากกว่า หากทร่ี ะยะถกี่ วา่ น้จี ะทำให้
ตน้ ทแี่ ตกใหมเ่ บยี ดกันแนน่ ในปที ่ี ๒ ข้นึ ไป
– ขดุ หลมุ ปลกู กวา้ ง x ยาว x ลกึ ท่ี ๕๐x๕๐x๕๐ ซม. หรือเกอื บ ๒ ไมบ้ รรทัด ดงั รูปภาพ
ดา้ นล่าง

94

95

– กลบหรอื โรยปุย๋ คอก อตั รา ๒-๓ กก./หลมุ ปยุ๋ ยูเรยี อัตรา ๕๐-๑๐๐ กรมั /หลุม พรอ้ ม

96

ปรบั ดนิ ผสมดนิ ให้สูงประมาณครึ่งหน่งึ ของหลมุ
– คลกุ ผสมดนิ กบั ปยุ๋ ให้เขา้ กัน
๗. การดแู ลรักษากลว้ ย
การให้นำ้ การปลูกลว้ ย หรอื การปลกู กล้วย จะปล่อยใหไ้ ดร้ ับนำ้ จากนำ้ ฝนบ้าง มรี ะบบบ่อ
เก็บนำ จะสบู น้ำเข้าแปลงเปน็ ระยะ โดยเฉพาะในชว่ งฤดแู ล้ง แต่ท่ีศูนยน์ ้มี ีนำ้ เพยี งพอขุดเป็นบ่อ
ล้อมรอบ พนื้ ทีป่ ลูกกลว้ ยจงึ สะดวกต่อการรดน้ำกล้วย
การใส่ปุ๋ย แบง่ เป็น ๓ ระยะ คอื
– ระยะเตรยี มหลมุ ปลกู ด้วยการรองพื้นดว้ ยป๋ยุ คอก อัตรา ๒-๓ กก./หลุม ป๋ยุ ยูเรยี อัตรา
๕๐-๑๐๐ กรัม/หลุม หรอื ประมาณ ๑-๒ กำมือ
– ปุย๋ คอก หลงั การปลูกประมาณ ๑-๓ เดือน แรก ควรใหป้ ุ๋ยคอกหรือปยุ๋ หมักบรเิ วณโคน
ต้น อตั รา ๒-๓ กก./หลมุ รว่ มกับปยุ๋ เคมสี ูตร ๑๕-๑๕-๑๕ อัตรา ๑๐๐-๒๐๐ กรมั /หลุม
– ปุย๋ เคมี ระยะหลงั ปลูกเดือนที่ ๕ และ ๗ หรอื ระยะกอ่ นออกปลี ใสป่ ุย๋ เคมีสตู ร ๑๒-๒๔-
๒๔ อตั รา ๑๐๐-๒๐๐ กรัม/หลมุ โดยการหวา่ นรอบๆกอ
๘. การเพาะขยายพันธ์ุกล้วย
๑. การเพาะเลย้ี งเนื้อเย่ือ
จะนยิ มปลูกจากเหง้าพนั ธท์ุ ข่ี ุดจากกอกลว้ ยเปน็ หลกั
๒. การแยกหนอ่ หรือเหง้าปลกู เป็นวธิ ีการดั้งเดิมทีใ่ ช้กันมาตงั้ แต่สมัยโบราณ และปจั จบุ ัน
ยังเป็นที่นิยม ซึ่งอาจหาซื้อเหง้าพันธุ์จากแปลงเกษตรกรอื่นท่ีปลูกกล้วยอยู่แล้วหรือขุดเหง้าพันธุ์จาก
แปลงตัวเองออกขยายปลูกเปน็ กอใหม่
๙. สรรพคุณกล้วย
ปลีกลว้ ย
– ชว่ ยเพม่ิ นำ้ นมแมห่ ลงั คลอดบตุ ร
– ช่วยป้องกนั โรคลำไสอ้ ักเสบ
– ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
– ปลกี ล้วยมีสารท่อี อกฤทธ์ิเป็นด่าง ชว่ ยลดกรดในกระเพาะอาหาร และช่วยปอ้ งกันโรค
แผลในกระเพาะอาหาร

97

– ปอ้ งกนั โรคท้องร่วง ทำหนา้ ทีต่ ้านเชอ้ื แบคทีเรยี ในระบบทางเดนิ อาหาร
–มสี ารตา้ นอนุมูลอิสระออกฤทธิ์ตา้ นการออกซิเดชันจากสารในกลุ่มฟีนอลิก (Phenolics)

๑๐.การนำกลว้ ยในศูนย์มาใชป้ ระโยชน์
เนื่องจากกลว้ ยมีลักษณะลำต้น และใบมาใช้ประโยชน์ในหลายด้าน ไดแ้ ก่

๑. กลว้ ยนำ้ ว้าสกุ
– กล้วยนำ้ วา้ สุก นำมารบั ประทานเปน็ ผลไม้
– กลว้ ยน้ำวา้ สุกใช้ทำเปน็ ขนม ของหวานต่างๆ อาทิ กล้วยเชอ่ื ม กล้วยบวชชี มี
ลักษณะสเี หลืองทั้งเปลอื ก และเนอ้ื มีรสหวาน เหนยี วน่มุ นำมารบั ประทานเปน็ ผลไม้ และทำขนม
หวาน แปรรูปเป็นผลติ ภณั ฑ์ตา่ งๆ เชน่ กล้วยตาก หรือ ข้ามต้มมัด เปน็ ต้น
– นำมาใช้สำหรับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ทำบญุ บา้ น พิธีเข้าพาขวัญ/
ส่ขู วญั เป็นต้น
– กลว้ ยดบิ หรือกล้วยห่าม นำมาปอกเปลอื ก และนำผลไปตากแห้ง แลว้ บดเป็นผง
กลว้ ยสำหรับใช้ประกอบอาหารหรอื ทำขนมหวาน
๒. กลว้ ยน้ำว้าดบิ
– นำมาแปรรปู เป็นกลว้ ยฉาบ ทอด และโรยนำ้ ตาลหรือน้ำเช่ือม
– ผลกล้วยนำ้ ว้าดิบนำมาปอกเปลือก ห่ันผลบางๆ แล้วนำมาตำรวมกับมะยม
๓. ลำต้นหรอื หยวกกล้วยออ่ น
– นำมาปรงุ อาการ เช่น หมกหยวกกล้วย แกงหยวกกล้วย เป็นตน้
– นำมาใชเ้ ลย้ี งสตั ว์ ที่ส่วนมากนิยมใชเ้ ลย้ี งสกุ รแตท่ น่ี ่ีนำผสมกับสารอาหารนำไป
เลย้ี งปลาท่ีเลย้ี งไว้
๔. ปลีกลว้ ย
– ปลกี ล้วย นำมาประกอบอาหาร เช่น ยำหวั ปลี แกงหวั ปลใี สป่ ลา ห่อหมกหัวปลใี ส่
ไก่ เป็นต้น
– ผลออ่ นที่ได้จากการตัดปลีกลว้ ย ใช้จิม้ นำ้ พริกหรอื รับประทานสดเป้นเครื่องเคียง
๕. ใบกล้วยหรือใบตอง

98

– นำมาห่ออาหารหรือห่อปรุงอาหาร เช่น ห่อหมกตา่ งๆ
– ใบกล้วยทเี หลือจากการตดั เครอื หรือไม่ได้ใชป้ ระโยชน์ นำมาเป็นอาหารสตั ว์ เช่น
ใชเ้ ลี้ยงสุกร และโค เป็นตน้
– ใบกลว้ ยใชท้ ำเครื่องเลน่ เด็ก
– ใบกลว้ ยใช้ทำเครือ่ งพธิ ีกรรมทางศาสนา เชน่ ใชท้ ำพานบายศรีสู่ขวญั หรอื ใชห้ อ่
กระทง เป็นตน้
– ใบกลว้ ยท่แี ห้งคาตน้ คนในชนบทนยิ มในปจั จุบันนำมาใชม้ วนยาสูบ
๖. กาบกลว้ ย
– กาบกล้วยสด นำมาฉีกแบง่ เปน็ เส้นเล็กๆ สำหรับใชแ้ ทนเชอื กรดั ของและหากนำมา
ตากแห้งแลว้ นำมาเข้าเคร่อื งอักดว้ ยความร้อน กจ็ ะเป็นภาชนะถว้ ยชาม ชว่ ยอนุรกั ษ์ธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อมเป็นตน้ ยกตวั อยา่ งของศนู ย์น้ี ดงั รูปภาพ

99

๗. กา้ นกลว้ ย
– ใชท้ ำเคร่ืองเลน่ ใหแ้ ก่เด็ก เช่น มา้ ก้านกลว้ ย
๑๑. การขยายพนั ธุ์
ในการผลติ กลว้ ยเป็นการคา้ น้ัน นยิ มทำการขยายพันธก์ุ ล้วยสำหรบั การเพาะปลูก ๓ วธิ ี
ดังน้ี
๑. การขยายพันธุ์จากหน่อ หน่อที่เกิดจากต้นแม่ที่ได้ทำการปลูกกล้วยต้นแรกไปแล้ว
ได้แก่ หน่ออ่อน หน่อใบคาบ หนอ่ แก่ หนอ่ ใบกล้า จะมวี ิธกี ารดงั น้ี
เตรยี มอุปกรณ์ขดุ ไดแ้ ก่ เสยี มหรือชะแลงหนา้ กวา้ งท่คี มสำหรับขุดตัดแยกหนอ่ จากต้นแม่
และขณะเดียวกันก็สามารถใช้งัดหน่อที่ตัดแยกจากต้นแม่แล้วนำหน่อมาตัดรากออกด้วยมีดโต้ แล้ว
กลบดินไวต้ ามเดมิ หนอ่ กลว้ ย
๒. การขยายพันธุ์ด้วยเหง้า วิธีการนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมของเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยของไทย
นัก เพราะเป็นขบวนการขยายพันธุ์ที่ค่อนข้างยุ่งยากเสียเวลานานในการเลี้ยงกล้าที่เกิดใหม่ มีวิธีการ
ดงั น้ี
ขุดเหงา้ กลว้ ยที่ตัดเครือใบแลว้ นำมาผา่ ใบลงตามยาวเปน็ ๒ หรือมากกว่า ๒ แลว้ แตข่ นาด
และความสมบูรณ์ของเหง้า และนำไปชำในวัสดุเพาะชำ จนได้ต้นกล้าขนาดพร้อมที่จะปลูกได้ จึงทำ
การย้ายปลูกได้ต่อไป
๓. การขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อ ซึ่งในการผลิตกล้วยในหลาย ๆ ประเทศ นิยม
ใช้วิธีนี้มาก เพราะในการผลิตกล้วยเพื่อส่งตลาดในครั้งละมาก ๆ จะต้องมีการวางแผนการผลิตให้
ได้ผลผลิตคุณภาพดีส่งตลาดในเวลาเดียวกันเป็นช่วง ๆ ไป เหมาะสำหรับการผลิตกล้วยเป็นการค้า
แบบแปลงใหญ่ ขอ้ ดกี ล้วยท่ขี ยายพันธ์ุดว้ ยวิธีนี้คือ กล้วยจะตกเครอื ในเวลาเดียวกัน แต่เกษตรกรต้อง
เสยี เวลาในการเพาะปลกู ยาวนานกวา่ วธิ กี ารแยกหนอ่ หนอ่ พันธุ์กล้วยสำหรับการเพาะปลูก
หน่อกล้วยทีเ่ กดิ จากตน้ กลว้ ยต้นแม่สามารถจำแนกตามรปู รา่ งและลักษณะตา่ ง ๆ ดังนี้
๑. หน่ออ่อน เป็นหน่ออายุน้อย ขนาดเล็กมีเพียงใบเกล็ดอยู่เหนือผิวดิน ซึ่งไม่นิยม
นำไปเพาะปลูกหนอ่ ชนดิ ตา่ ง ๆ

100

๒. หน่อใบดาบ เป็นหน่อที่เกิดจากตาของเหง้า ใบเลี้ยงเล็กขนาดสูงประมาณ ๗๕
เซนติเมตร มีเหง้าขนาดประมาณ ๑๕ เซนตเิ มตร เหมาะสำหรบั การแยกไปเพาะปลูก

๓. หน่อแก่ เป็นหน่อที่เจรญิ มาจากหนอ่ ใบดาบ ใบเริ่มแผ่กว้างขึน้ อายุประมาณ ๕-
๘ เดือน มีเหง้าขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๕ เซนติเมตร เหง้าของหน่อแก่อาจมีตาท่ี
สามารถเจรญิ เป็นหนอ่ ใหมไ่ ด้หลายหน่อ

๔. หน่อใบกว้าง เป็นหน่อที่เกิดจากตาของเหง้าแก่หรือเหง้าที่ไม่แข็งแรงสมบูรณ์
ลักษณะใบแผ่กว้างตัง้ แต่ยังมอี ายนุ ้อย ซ่งึ ไม่นิยมนำไปเพาะปลกู

การเลือกหนอ่ กล้วยเพือ่ การเพาะปลกู

๑. ต้องเป็นหน่อที่เหง้าใหญ่สมบูรณ์ ความสูงของหน่อไม่มากเกินไป ส่วนใหญ่อยู่
ประมาณ ๗๕ เซนตเิ มตร

๒. เป็นหน่อที่ได้จากต้นแม่สมบูรณ์ ไม่เป็นโรคตายพราย หรือมีแมลงเข้าทำลาย
โดยเฉพาะด้วงงวงเข้าทำลายมากอ่ น

๓. สว่ นเหง้าตอ้ งไม่ถูกโรคแมลงทำลาย

๔. เป็นแหลง่ พนั ธ์ุทีเ่ ช่ือถือได้ ซึ่งเกษตรกรได้มีการตรวจสอบประวตั ิของสวนแล้ว ไม่
เคยมโี รคระบาดมาก่อน

๕. กรณีเป็นหน่อที่มีวางจำหน่าย ต้องพิจารณาความสดใหม่เหง้าใหญ่ไม่บอบช้ำอีก
ด้วย

๑๒.การใส่ปุ๋ย

เนือ่ งจากกล้วยเป็นพืชทม่ี ีอายุสัน้ จงึ ทำใหม้ ีการเจรญิ เตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ หลงั จากกลว้ ย
ต้ังตัวไดแ้ ลว้ เกษตรกรควรรีบใสป่ ุย๋ ให้แก่กลว้ ย เพ่อื การเจรญิ เติบโตทางลำตน้ และการตกเครือทีม่ ี
คุณภาพ ชนดิ ปุ๋ยมดี ังนี้

๑. ปุ๋ยคอก ใส่ขณะเตรียมหลุมปลูกแล้ว อัตรา ๕ กิโลกรัม/ต้น และหลังกล้วย
เจริญเตบิ โตเตม็ ท่ีก่อนออกปลี อตั รา ๕-๑๐ กโิ ลกรมั /ตน้

๒. ปุ๋ยไนโตรเจน ที่นิยมใช้คือ โซเดียมไนเตรทหรือแอมโมเนียมซัลเฟต ใช้วิธีการ
หว่านลงดนิ ปริมาณ ๖๐ กรัม/ต้น แลว้ ใหน้ ้ำทนั ที (การใชป้ ยุ๋ แอมโมเนียมซัลเฟตบ่อย และมากเกินไป
จะทำให้ดินเปน็ กรด และเปน็ อันตรายต่อกลว้ ย)


Click to View FlipBook Version