วารสารการวิจัวิย จั การศึก ศึ ษาขั้น ขั้ พื้น พื้ ฐาน OBEC Basic Education Research Journal ปีที่ 3ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2566) ISSN 2774-0684 Vol. 3 No. 1 (January - June2023) International Standard Serial Number
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน OBEC Basic Education Research journal ผู้จัดพิมพ์ ส ำนักพัฒนำนวัตกรรมกำรจัดกำรศึกษำ ส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ที่ปรึกษาบรรณาธิการ ดร.อัมพร พินะสำ เลขำธิกำรคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน บรรณาธิการ นายฐณรินทร์ หวายฤทธิ์ธนกุล ผู้อ ำนวยกำรส ำนักพัฒนำนวัตกรรมกำรจัดกำรศึกษำ กองบรรณาธิการผู้ทรงคุณวุฒิอาวุโส คุณหญิงกษมำ วรวรรณ ณ อยุธยำ ประธำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน รองศำสตรำจำรย์ดร.สิริพันธุ์ สุวรรณมรรคำ คณะครุศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย ดร.เบญจลักษณ์ น ้ำฟ้ำ ผู้เชี่ยวชำญพิเศษ ส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ดร.มำเรียม นิลพันธุ์ คณบดีคณะศึกษำศำสตร์ มหำวิทยำลัยศิลปำกร ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธ ำรง ผู้ช่วยเลขำธิกำรคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน กองบรรณาธิการ รองศำสตรำจำรย์ ดร.ทิวัตถ์ มณีโชติ คณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏพระนคร (ข้ำรำชกำรบ ำนำญ) รองศำสตรำจำรย์ ดร.เกตุมณี มำกมี คณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏเชียงใหม่ (ข้ำรำชกำรบ ำนำญ) รองศำสตรำจำรย์ ดร.ศิริรัตน์ เพ็ชร์แสงศรี ผู้อ ำนวยกำรส ำนักงำนนำนำชำติครุศำสตร์ อุตสำหกรรมและเทคโนโลยี สถำบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้ำคุณทหำรลำดกระบัง รองศำสตรำจำรย์ ดร.จิติมำ วรรณศรี คณะศึกษำศำสตร์ มหำวิทยำลัยนเรศวร ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดร.ไพรัช สู่แสนสุข วิทยำลัยกำรฝึกหัดครู มหำวิทยำลัยรำชภัฏพระนคร (ข้ำรำชกำรบ ำนำญ) ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดร.ชวลิต เกิดทิพย์ คณะศึกษำศำสตร์มหำวิทยำลัยสงขลำนครินทร์ ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดร.สำยสุดำ เตียเจริญ คณะศึกษำศำสตร์ มหำวิทยำลัยศิลปำกร ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดร.รุ่งทิวำ จันทน์วัฒวงษ์ คณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏอุดรธำนี นำงสำวกนกวรรณ นวำวัตน์ คณะมนุษยศำสตร์และสังคมศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏเพชรบูรณ์
ดร.ศรีสมร พุ่มสะอำด คณะศึกษำศำสตร์ วิทยำลัยครูสุริยเทพ มหำวิทยำลัยรังสิต ดร.มณเฑียร ชมดอกไม้ คณะศึกษำศำสตร์ วิทยำลัยนำนำชำติเซนต์เทเรซำ ดร.อมรทิพย์ เจริญผล มหำวิทยำลัยรำชธำนี วิทยำเขตอุดรธำนี นำงสำววีณำ อัครธรรม ที่ปรึกษำส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน (ข้ำรำชกำรบ ำนำญ) นำงสำวประภำพรรณ เส็งวงศ์ ศึกษำนิเทศก์เชี่ยวชำญ (ข้ำรำชกำรบ ำนำญ) ดร.อรนุช มั่งมีสุขศิริ ผู้เชี่ยวชำญส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ดร.วรรณำ ช่องดำรำกุล ผู้เชี่ยวชำญส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน (ข้ำรำชกำรบ ำนำญ) ฝ่ายประสานงานกองบรรณาธิการและการจัดการ กลุ่มวิจัยและส่งเสริมกำรวิจัยทำงกำรศึกษำ ส ำนักพัฒนำนวัตกรรมกำรจัดกำรศึกษำ ส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน นำงสำวดุจดำว ทิพย์มำตย์ ผู้อ ำนวยกำรกลุ่มวิจัยและส่งเสริมกำรวิจัยทำงกำรศึกษำ นำงสำวกัญญำพร ไทรชมภู นักวิชำกำรศึกษำช ำนำญกำร นำงสำวสุวรรณำ กลิ่นนำค นักวิชำกำรศึกษำช ำนำญกำร นำงสำวสุนิศำ หวังพระธรรม นักวิชำกำรศึกษำช ำนำญกำร นายจักรกฤษ ภัสสรประทีป นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเผยแพร่บทควำมวิจัยทำงกำรศึกษำในระดับกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนของครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ สังกัดส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน และหน่วยงำนภำยนอก 2. เพื่อเป็นสื่อกลำงในกำรน ำเสนอองค์ควำมรู้ที่ได้จำกกำรศึกษำในระดับกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ก าหนดการเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ (มกรำคม – มิถุนำยน และ กรกฎำคม – ธันวำคม) ข้อมูลการติดต่อ บรรณำธิกำรวำรสำรกำรวิจัยกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ส ำนักพัฒนำนวัตกรรมกำรจัดกำรศึกษำ ส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ถนนรำชด ำเนินนอก เขตดุสิต กรุงเทพมหำนคร 10300 โทรศัพท์ 02- 2885882-3 E-mail : [email protected] ............................................................................................................................. ............................................ *บทควำมทุกเรื่องได้รับกำรพิจำรณำ (Peer Review) จำกผู้ทรงคุณวุฒิ **บทควำมหรือข้อคิดเห็นใดๆ ในวำรสำร ถือเป็นควำมคิดเห็นของผู้เขียน กองบรรณำธิกำรไม่จ ำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป *** กองบรรณำธิกำรไม่สงวนสิทธิ์ในกำรคัดลอกบทควำมเพื่อกำรศึกษำแต่ให้อ้ำงอิงแหล่งที่มำให้ครบถ้วนสมบูรณ์
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) บทบรรณาธิการ วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ ่งมั ่นที ่จะเป็นแหล ่งเผยแพร ่บทความวิจัยทางการศึกษา ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของครูและบุคลากรทางการศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน และหน่วยงานภายนอกที่มีคุณภาพ ซึ่งบทความที่น าเสนอได้รวบรวมมาจากข้อค้นพบในการวิจัย โดยครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ ส าหรับวารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานปีที่ 3 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 ฉบับนี้ น าเสนอบทความวิจัยในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐาน จ านวน 12 เรื่อง ซึ่งเป็นการวิจัยด้านการประเมินโครงการและการพัฒนารูปแบบการบริหารระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียน พัฒนาการจัดการเรียนรู้ และการพัฒนาครู กองบรรณาธิการวารสารหวังเป็นอย่างยิ่งว่า วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ที ่ได้พิจารณาและให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงบทความวิจัยให้ถูกต้อง ตามหลักวิชาการ และคณะจัดท าวารสารทุกท ่าน ที ่ร ่วมจัดท าวารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับนี้ ส าเร็จอย่างดียิ่ง นายฐณรินทร์ หวายฤทธิ์ธนกุล บรรณาธิการ มิถุนายน 2566 ก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2565) สารบัญ หน้า บทบรรณาธิการ ก บทความวิจัย 1. การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนวัดท่าควาย จังหวัดพัทลุง 1 ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 จุฬารัตน์ พรหมมณี Project Evaluation on Student Care and Support System in Wat Tha Kwai School Phatthalung Province, under Phatthalung Primary Educational Service Area Office 2 Jularat Prommanee 2. การประเมินความต้องการจ าเป็นในการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐาน 22 ของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดชาธร บงค์บุตร - อัญชลี แก้วกัญญา A Needs Assessment to Development of a Research-based Local Science Learning Curriculum of Enrichment Program of Science, Mathematics, Technology and Environment (SMTE) in the Northeast Region Dechathon Bongboot - Aunchalee Kaewkanya 3. ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง ความเข้มข้นของสารละลาย 40 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จังหวัดปทุมธานี ธนาพร ผ่องแผ้ว The Effects of Problem-Based Learning on Solution of Concentration to Develop Learning Achievement and Problem Solving Abilities of Mattayomsuksa 4 Students in Pathum Thani Province Thanaporn Pongpaew ข
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 4. ผลการจัดกิจกรรมการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้อาชีพของนักเรียนกลุ่มเสี่ยง 54 โรงเรียนมัธยมภูฮังพัฒนวิทย์ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ธนัฐ มาตชรา The Results of Activities Promoting Vocational Learning Skills for at-risk Students at Phuhang Pattanawit Mattayom School under the Office of Secondary Educational Service Area Kalasin Tanat Matchara 5. การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น (QSCCS) 74 ร่วมกับการเขียนแผนผังมโนทัศน์เรื่อง สารละลาย ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ธารารัตน์ ดวงจันทร์ The study of science achievement on "Solution matter" by using 5-step ladder-based learning management (QSCCS) with conceptual mapping for the 8th grade students Thararat Duangchan 6 6. ผลการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 91 เ เรื่อง ไฟฟ้าเคมี : เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ปฏิพัทธ์ หมี่นกล้า Effects of Education for Grade 11 Students on Electrochemistry : Electrolytic Cell Patipat Hmiuenkla 7. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ 107 ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รุสมีนีย์ ฤทธิเดช The Development of Learning Achievement on Introduction to Data Analytics using Computer-Assisted Instruction for Students in Mathayomsuksa 6. Rusmeenee Ritthidej ค
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2565) 8. ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคทีจีทีร่วมกับผังกราฟิกที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ 121 ทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 วรรณิสา ชัยวัน - นิเวศน์ ค ารัตน์ The Effects of Cooperative Learning by TGT Technique with Graphic Organizer on Learning Achievement and Attitude toward Mathematic of Prathomsuksa 5 Students Wannisa Chaiwan - Nives Kamrat 9. การศึกษาความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครู 138 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 วสุพงษ์ อิวาง The Study of Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) of In-service Teachers in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 Wasupong Iwang 10. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน 153 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วงศธร อึ้งธีรกุล Developing Learning Achievement on Esterification Reaction Through Stem Education for Grade 12 Students Wongsatron Auengthirakun 11. การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 172 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) สุทธิลักษณ์ กันธิพันธ์ The development of video materials for learning English vocabulary of grade 3 Ban San Khong (Chiang Rai Charoonrat) School Suthiluck Kanthipan ง
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 12. การพัฒนารูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเอง 188 จังหวัดระยอง 5 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 หทัยชนก วงศ์กาฬสินธุ์ – ณัฐนันท์ หาญกิจ – นพดล แสนผูก Development of Administration Framework for Student Care System In Nikomsangtonangrayong 5 School Under Rayong Education Service Area Office 1 Hathaichanok Wongkalasin - Natthanan Hankit - Noppadon Sandphok จ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 1 การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย จังหวัดพัทลุง ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 Project Evaluation on Student Care and Support System in Wat Tha Kwai School, Phatthalung Province, under Phatthalung Primary Educational Service Area Office 2 จุฬารัตน์ พรหมมณี* Jularat Prommanee บทคัดย่อ การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินโครงการระบบ ดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย จังหวัดพัทลุง สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พัทลุง เขต 2 ในภาพรวมและจ าแนกรายด้าน 4 ด้าน ได้แก่ (1) การประเมินบริบท หรือสภาวะแวดล้อม (Context) (2) การประเมินปัจจัยหรือทรัพยากร (Input) (3) การประเมินกระบวนการ (Process) และ (4) การประเมินผลผลิต (Product) และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการด าเนิน โครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย โดยใช้การรูปแบบการประเมินแบบซิป (CIPP Model) กลุ่มเป้าหมายเป็นข้าราชการครู โรงเรียนวัดท่าควาย ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 12 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 70 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบประเมินโครงการระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียน จ านวน 40 ข้อ มีความเชื่อมั่นเท่ากับ .86 และ 2) แบบสอบถามความพึงพอใจ จ านวน 20 ข้อ มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการประเมินโครงการสรุปได้ดังนี้ 1. ผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย ในภาพรวม พบว่า ผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ( X = 4.07, S.D. = 0.72) เมื่อพิจารณาผลการประเมินจ าแนกรายด้าน 4 ด้าน พบว่า 1.1 การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม พบว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ( X = 4.08 , S.D. = 0.74) 1.2 การประเมินปัจจัยหรือทรัพยากร พบว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ( X = 4.10, S.D. = 0.70) 1.3 การประเมินกระบวนการ พบว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ( X = 4.13 , S.D. = 0.67) 1.4 การประเมินผลผลิต พบว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ( X = 3.96 , S.D. = 0.76) *ผู้อ านวยการโรงเรียน, โรงเรียนวัดท่าควาย, ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 School director, Wat Tha Kwai School, Phatthalung Primary Educational Service Area Office 2
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 2 2. ผลประเมินความพึงพอใจของความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการด าเนินโครงการระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก( X = 4.24, S.D. = 0.78) ค าส าคัญ: การประเมินโครงการ/ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน Abstract The evaluation of the Student Care and Support System assistance project aimed to 1) evaluate the student care and support system project in Wat Tha Kwai School, Phatthalung Province, under Phatthalung Primary Educational Service Area Office 2 in overall and classified into 4 aspects, namely: (1) context or environment evaluation (Context) (2) factors or resources evaluation (Input) (3) process evaluation (Process) and (4) production evaluation (Product) and 2) evaluate students’ satisfaction on the process of the assistance and the student care system project in Wat Tha Kwai School by using CIPP model. The target group were 12 teachers in Wat Tha Kwai School, in the first semester of the academic year 2020, selected by Purposive Sampling. The sample group were 70 students in Wat Tha Kwai School, in the first semester of the academic year 2020, selected by Simple Random Sampling. Data were collected by 1) an evaluation of the student care and support system project, 40 items the reliability of 0.86 and 2) an assessment of satisfaction, 20 items the reliability of 0.95. The statistics used in data analysis, including percentage and standard deviation. The project evaluations were as follows. 1. the result of the evaluation of the assistance and the student care system project in Wat Tha Khwai School were at a high level in overall ( X = 4.07, S.D. = 0.72) and each aspect ranked were as follows: 1.1 context or environment evaluation (Context) were at a high level. ( X = 4.08, S.D. = 0.74) 1.2factors or resources evaluation (Input) were at a high level. ( X = 4.10, S.D. = 0.70) 1.3 process evaluation (Process) were at a high level. ( X = 4.13 , S.D. = 0.67) 1.4 production evaluation (Product) were at a high level. ( X = 3.96 , S.D. = 0.76)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 3 2. evaluate students’ satisfaction on the process of the assistance and the student care system project in Wat Tha Kwai School were at a high level. ( X = 4.24, S.D. = 0.78) Keywords: Project Evaluation/ Student Care and Support System บทน า พระราชบัญญัติการศึกษา ได้ก าหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สอดคล้องและตอบสนองเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545 ที่ว่าความมุ่งหมายและหลักการจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการด ารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ในหมวดที่ 1 มาตรา 6 และในหมวดที่ 4 มาตรา 22 แนวทาง การจัดการศึกษายังได้ให้ความส าคัญแก่ผู้เรียนทุกคน โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนส าคัญที่สุด กระบวนการการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ และการจัดการศึกษาต้องเน้นความส าคัญ ทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการ เรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ, 2545: 45) สอดคล้องกับนโยบายส าคัญของส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือการให้ สถานศึกษาทุกแห่งมีระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่เข้มแข็งและด าเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิด ความยั่งยืนในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมของ นักเรียนได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านการสื่อสาร เทคโนโลยี ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการระบาด ของสารเสพติด ปัญหาครอบครัว ปัญหาการแข่งขันทุกรูปแบบ ก่อให้เกิดความทุกข์ ความวิตกกังวล ความเครียด ซึ่งล้วนแต่เป็นผลเสียต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของทุกคน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ และการด าเนินชีวิตของนักเรียนที่ต้องเผชิญปัญหาในสภาพสังคมปัจจุบัน เด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบัน จ านวนไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาและสภาพแวดล้อมที่ไม่สร้างสรรค์ในสังคม ท าให้มีพฤติกรรม แตกต่างกันไปจากเด็กและเยาวชนในอดีต แม้ว่าผู้ปกครอง ครู อาจารย์ และคนท างานด้านเด็กจะใช้ความรัก ความปรารถนาดีอย่างมากมายเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจพิทักษ์ ปกป้อง และคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้ปลอดภัย หรือมีพฤติกรรมตามที่สังคมคาดหวังได้ จากการประมวลสถิติข้อมูลสถานการณ์เด็กและเยาวชนของ หน่วยงานต่าง ๆ พบว่า เด็กและเยาวชนทั้งที่เป็นนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอื่น ๆ ส่วนหนึ่งมักมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ อาทิ ตกเป็นทาสของเกมคอมพิวเตอร์จนถึงขั้นหมกมุ่น และเรียนรู้ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจากเกมจนน าไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ตนเองและสังคม นิยมประลองความเร็ว มีพฤติกรรมการใช้รถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมาย ใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา และข้อขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท เข้าถึงสารเสพติดได้ง่าย ขาดหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ไม่เห็นความส าคัญของ หลักศาสนา ค่านิยมความเป็นไทย ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวค่อนข้างเปราะบาง ติดเพื่อน ติดสื่อ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 4 และให้ความสัมพันธ์กับวัตถุมากกว่าความมีคุณธรรมน ้าใจ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2559: 19) ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการร่วมมือกับกรมสุขภาพจิต จึงได้ก าหนดแนวทางในระบบการช่วยเหลือ นักเรียนในโรงเรียนไว้ 5 องค์ประกอบดังนี้ 1) การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 2) การคัดกรองนักเรียน 3) การส่งเสริมนักเรียน 4) การป้องกันและแก้ไขปัญหา และ 5) การส่งต่อนักเรียน (กรมสุขภาพจิต, 2544: 55) รวมทั้งส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 เป็นเขตพื้นที่การศึกษาหนึ่งที่ได้รับนโยบาย ให้ด าเนินงานตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว ให้มีโครงการระบบช่วยเหลือนักเรียน เพื่อให้ได้รับข้อมูลนักเรียน ที่เป็นปัจจุบัน ครูเข้าใจและรับรู้ปัญหาของนักเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในขณะที่อยู่ในโรงเรียน ห รือนอกโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมตามความถนัดของนักเรียนแต่ละบุคคล และการช่วยเหลือนักเรียนได้ทันถ่วงทีในกรณีที่พบเห็นนักเรียนประสบปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าว ดังนั้น โรงเรียนวัดท่าควายเป็นโรงเรียนหนึ่งที่สังกัดส านักงานเขตพื้นในการศึกษาประถมศึกษา พัทลุง เขต 2 ได้รับนโยบายดังกล่าว และช่วยเหลือนักเรียนตลอดมา ท าให้พบเห็นปัญหา และความสามารถ ของนักเรียนที่แตกต่างกัน จึงมีระบบการช่วยนักเรียนแต่ละบุคคลแตกต่างกัน โดยโรงเรียนมีการวิเคราะห์ สภาพปัญหา และน าผลการด าเนินงานมาปรับปรุงและพัฒนาในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับระบบการดูแล ช่วยเหลือนักเรียน การเสริมสร้างทักษะชีวิตและการคุ้มครองนักเรียน จึงมีการวิเคราะห์ถึงสภาพปัญหา ศักยภาพของสถานศึกษาและบริบทของชุมชน โดยการวางแผนการจัดโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ของระบบ การดูแลช่วยเหลือนักเรียน รวมทั้งก าหนดโครงสร้างบริหารงานและแต่งตั้งคณะกรรมการด าเนินงาน ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยมีคณะท างานอย่างเป็นระบบ มีการด าเนินงานตามนโยบายของ กระทรวงศึกษาธิการ ส านักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พัทลุง เขต 2 ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกชนและหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน สร้างความตระหนักให้คณะครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกคน ให้เห็นคุณค่า และความจ าเป็นของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อน ามาวิเคราะห์สภาพปัญหาและประเมินผลส าเร็จ ในการช่วยเหลือนักเรียน และวางเป้าหมายในการด าเนินงานต่อไป วางแผนและด าเนินงานตามระบบที่วางไว้ การจัดเก็บข้อมูลรายบุคคลที่เป็นปัจจุบัน และการช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายกรณี ทั้งนี้การด าเนินโครงการระบบช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนวัดท่าควาย ได้ท าการประเมินโครงการ ไปพร้อม ๆ กับการด าเนินโครงการตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งได้ใช้แบบจ าลอง CIPP Model (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2556: 36) ในการประเมิน โดยมี 4 ด้าน ได้แก่ 1) การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม ได้แก่ ด้านนโยบาย ด้านหลักการและเหตุผล ด้านความต้องการจ าเป็น ด้านวัตถุประสงค์ ด้านเป้าหมาย ด้านความสอดคล้อง 2) การประเมินปัจจัยน าเข้าหรือทรัพยากร ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านวัสดุอุปกรณ์/เครื่องมือ ด้านงบประมาณ ด้านวิธีการ/กลวิธี และด้านอาคารสถานที่ 3) การประเมินกระบวนการ ได้แก่ ด้านการวางแผน ด้านการด าเนินงานตามแผน ด้านการก ากับติดตาม และด้านกิจกรรมการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 ประการ 4) การประเมินผลผลิต ได้แก่ ด้านผลการด าเนินโครงการ ด้านคุณภาพของนักเรียน และด้านความพึงพอใจ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 5 ของนักเรียน โดยได้ด าเนินการก่อนเริ่มโครงการ เพื่อให้สามารถด าเนินงานได้ครอบคลุม และบรรลุวัตถุประสงค์ ของโครงการ ท าให้โครงการระบบการช่วยเหลือนักเรียน ด าเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการด าเนินโครงการ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย ในภาพรวมและจ าแนก รายด้าน 4 ด้าน ได้แก่ (1) การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (2) การประเมินปัจจัยหรือทรัพยากร (3) การประเมินกระบวนการ และ (4) การประเมินผลผลิต 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการด าเนินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย วิธีด าเนินการวิจัย การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย จังหวัดพัทลุง สังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 มีวิธีการประเมินโครงการ ดังนี้ 1. ใช้วิธีการประเมินเชิงระบบโดยใช้รูปแบบการประเมินแบบซิป (CIPP Model) ด าเนินการประเมินตาม ช่วงระยะเวลา ได้แก่ การประเมินบริบทสภาวะแวดล้อมก่อนเริ่มด าเนินโครงการ จากนั้นจึงประเมินปัจจัยน าเข้า และเมื่อด าเนินงานโครงการไปได้ 1 ภาคเรียน จึงประเมินกระบวนการ และประเมินผลผลิตเมื่อสิ้นปีการศึกษา 2. ใช้แบบประเมินโครงการเป็นเครื่องมือในการประเมิน โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เป็น กลุ่มเป้าหมายซึ่งปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการทีมประสานและทีมท าเป็นผู้ประเมิน 3. การประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ให้นักเรียน ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประเมินโดยการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจ ประชากร กลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 1. ประชากร ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนวัดท่าควาย ในปีการศึกษา 2563 จ านวน 18 คน และนักเรียน จ านวน 122 คน รวมทั้งสิ้น 140 คน 2. กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการ ทีมประสาน และทีมท าของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จ านวน 13 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนวัดท่าควาย ในปีการศึกษา 2563 ระดับอนุบาล 2 -3 และระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 –3 ระดับละ 15 คน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 –3 และระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 – 6 ระดับละ 20 คน รวมทั้งสิ้น 70 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 6 เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ มีจ านวน 2 ฉบับ ดังนี้ 1. แบบประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย โดยใช้รูปแบบการประเมิน แบบซิป (CIPP Model) จ านวน 4 ด้าน ได้แก่ 1) การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context) 2) การประเมินปัจจัยน าเข้า (Input) 3) การประเมินกระบวนการ (Process) 4) การประเมินผลผลิต (Product) จ านวน 40 ข้อ 2. แบบสอบถามความพึงพอใจแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 20 ข้อ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือทั้ง 2 รายการ ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีล าดับขั้นตอนรายละเอียด ดังนี้ 1. การสร้างแบบประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และการหาประสิทธิภาพ ด าเนินการดังนี้ 1.1 ศึกษาวิธีการประเมินโครงการจากเอกสารหรือต ารา และงานวิจัยที่เกี่ยวกับการประเมิน โครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 1.2 ศึกษาวิธีสร้างแบบประเมินและก าหนดรูปแบบของแบบประเมินจากเอกสาร ต ารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (บุญชม ศรีสะอาด และคนอื่น ๆ, 2552: 105-106) โดยก าหนดเป็นแบบประเมิน แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีเกณฑ์ดังนี้ 5 หมายถึง ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 แปลความหมายว่า พึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 แปลความหมายว่า พึงพอใจมาก 3 หมายถึง ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 แปลความหมายว่า พึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 แปลความหมายว่า พึงพอใจน้อย 1 หมายถึง ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 แปลความหมายว่า พึงพอใจน้อยที่สุด 1.3 สร้างแบบประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามกรอบการประเมิน โดยใช้รูปแบบการประเมินแบบซิป (CIPP Model) จ านวน 4 ด้าน ดังนี้ 1.3.1 การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context) เกี่ยวกับนโยบายหลักการและเหตุผล ความต้องการจ าเป็น วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และความสอดคล้อง จ านวน 10 ข้อ 1.3.2 การประเมินปัจจัยน าเข้า (Input) เกี่ยวกับบุคลากร วัสดุอุปกรณ์/เครื่องมือ งบประมาณ วิธีการ/กลวิธี อาคารสถานที่ จ านวน 10 ข้อ 1.3.3 การประเมินกระบวนการ (Process) เกี่ยวกับการวางแผน การด าเนินการตามแผน การก ากับติดตาม การประเมิน/ปรับปรุง และกิจกรรมการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 ประการ จ านวน 10 ข้อ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 7 1.3.4 การประเมินผลผลิต (Product) เกี่ยวกับผลการด าเนินงาน/โครงการคุณภาพ ของนักเรียน จ านวน 10 ข้อ 1.4 จัดท าแบบประเมินความสอดคล้องของแบบประเมิน โดยก าหนดเกณฑ์ 1.5ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเชิงเนื้อหาของแบบประเมินโดยเสนอผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 5 คน เพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างรายการประเมินกับลักษณะเฉพาะกลุ่มพฤติกรรมที่ต้องการประเมิน โดยใช้ IOC (Index of Item objective congruency) ผล IOC อยู่ระดับ 0.855 1.6 น าแบบประเมินโครงการใช้กับคณะครูซึ่งปฏิบัติหน้าที่ทีมประสานและทีมท าของ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนบ้านควนยวน โรงเรียนวัดแตระ (ปาลานุเคระห์) และโรงเรียน บ้านเกาะทองสม ในต้นภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จ านวนโรงเรียนละ 10 คน รวม 30 คน (โรงเรียนบ้านควนยวน โรงเรียนวัดแตระ (ปาลานุเคระห์) และโรงเรียนบ้านเกาะทองสม เป็นโรงเรียน ในเครือข่ายมิตรภาพเขาชัยสน มีการด าเนินการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและมีบริบทใกล้เคียงกับ โรงเรียนวัดท่าควาย) 1.7 น าแบบประเมินโครงการจากการทดลองใช้มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ ด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach) ปรากฏว่าแบบประเมิน โครงการมีค่าความเชื่อมั่น 0.855 1.8 พิมพ์แบบประเมินโครงการ เพื่อน าไปใช้เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างนักเรียนต่อไป 2. แบบสอบถามความพึงพอใจ การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจและการหาประสิทธิภาพ โดยสร้างตามวิธีการสร้าง แบบสอบถาม (บุญชม ศรีสะอาด และคนอื่น ๆ, 2552: 105-106) ซึ่งมีวิธีการดังนี้ 2.1 ศึกษาเอกสาร ต ารา และงานวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาและการวัดความพึงพอใจ 2.2ศึกษาวิธีสร้างแบบสอบถามและก าหนดรูปแบบสอบถามจากเอกสาร ต ารา และงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง (บุญชม ศรีสะอาด และคนอื่น ๆ, 2552: 105-106) 2.3 สร้างแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 20 ข้อ โดยมีรายการสอบถามเกี่ยวกับการด าเนินงานของครูที่ปรึกษาในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งประกอบด้วย องค์ประกอบ 5 ด้าน คือ การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การคัดกรองนักเรียน การส่งเสริมนักเรียน การป้องกันและแก้ไขปัญหา และการส่งต่อ โดยใช้มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ คือ พึงพอใจมากที่สุด พึงพอใจมาก พึงพอใจปานกลาง พึงพอใจน้อย และพึงพอใจน้อยที่สุด 2.4 จัดท าแบบตรวจสอบความสอดคล้องของแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยก าหนดเกณฑ์ 2.5 ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบสอบถาม โดยเสนอผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 5คน เพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างรายการสอบถามกับลักษณะเฉพาะกลุ่มพฤติกรรมที่ต้องการสอบถาม โดยหาค่า IOC (Index of Item objective congruency)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 8 2.6 น าข้อมูลจากการประเมินความสอดคล้องมาวิเคราะห์หาดัชนีความสอดคล้องเป็นรายข้อ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องรายข้อตั้งแต่ 0.67 ถึง 1 2.7 น าแบบสอบถามความพึงพอใจไปทดลองใช้กับนักเรียนโรงเรียนบ้านควนยวน โรงเรียน วัดแตระ (ปาลานุเคระห์) และโรงเรียนบ้านเกาะทองสม ซึ่งเป็นโรงเรียนในเครือข่ายมิตรภาพเขาชัยสน มีการด าเนินการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และมีบริบทต่าง ๆ ใกล้เคียงกับโรงเรียนวัดท่าควาย ในต้นภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 50 คน ประกอบด้วยนักเรียนโรงเรียนบ้านควนยวน จ านวน 20 คน นักเรียนโรงเรียนวัดแตระ (ปาลานุเคระห์) จ านวน 20 คน และนักเรียนโรงเรียนบ้านเกาะทองสม จ านวน 10 คน 2.8 น าแบบสอบถามความพึงพอใจจากการทดลองใช้มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ ด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach) ปรากฏว่ามีค่าความเชื่อมั่น 0.946 2.9 จัดท าแบบสอบถามความพึงพอใจฉบับสมบูรณ์ เพื่อน าไปใช้เก็บข้อมูลต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวมรวมข้อมูลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ด าเนินการดังนี้ 1. ประชุมคณะกรรมการทีมประสานและทีมท า โรงเรียนวัดท่าควาย ในระหว่างวันที่ 22-24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เพื่อพิจารณาโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน และให้คณะกรรมการ ทีมประสานและทีมท าประเมินโครงการ ด้านที่ 1 การประเมินบริบทสภาวะแวดล้อม และด้านที่ 2 ประเมินปัจจัยน าเข้า ผู้ประเมินครูและบุคลากรทางการศึกษา จ านวน 13 คน 2. ประชุมคณะกรรมการทีมประสานและทีมท า ในระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน พ.ศ. 2563 เพื่อนิเทศติดตามการเนินงานโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และให้คณะกรรมการทีมประสาน และทีมท าประเมินโครงการด้านที่ 3 การประเมินกระบวนการ ผู้ประเมินครูและบุคลากรทางการศึกษา จ านวน 13 คน 3. ประชุมคณะกรรมการทีมประสานและทีมท า ในระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เพื่อให้คณะกรรมการทีมประสานและทีมท าประเมินโครงการ ด้านที่ 4 การประเมินผลผลิต ผู้ประเมิน ครูและบุคลากรทางการศึกษา จ านวน 13 คน 4. นัดพบนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 70 คน ชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับการตอบ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และให้นักเรียนตอบ แบบสอบถามความพึงพอใจ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 9 การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์การประเมินโครงการ โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน , S.D. และเปรียบเทียบกับ เกณฑ์เฉลี่ย ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 แปลความหมายว่า พึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 แปลความหมายว่า พึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 แปลความหมายว่า พึงพอใจปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 แปลความหมายว่า พึงพอใจน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 แปลความหมายว่า พึงพอใจน้อยที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน 1.1 หาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบประเมินโครงการ และแบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นรายข้อ (Index of Item Objective Congruency; IOC) โดยใช้สูตรการค านวณดังนี้ (กองวิจัย ทางการศึกษา, 2545: 65) N R IOC= เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามกับจุดประสงค์ R แทน คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ R แทน ผลรวมของคะแนนผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน N แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญ 1.2 การวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินโครงการ และแบบสอบถามความพึงพอใจ ทั้งฉบับ โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ( - Coefficient) ตามวิธีของ Cronbach โดยใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์ส าเร็จรูป (สาคร แสงผึ้ง, 2552: CD-ROM) 2. การวิเคราะห์ผลการประเมินโครงการ 2.1 ผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ตามความคิดเห็นของ ครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนวัดท่าควาย ใน 4 ด้าน คือ ด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม ด้านปัจจัยหรือทรัพยากร ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต โดยค านวณหาค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) รายด้านและรายรวม 2.2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการดำเนินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย ตามความคิดเห็นของนักเรียน โดยคำนวณหาค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) รายด้านและรายรวม
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 10 ผลการวิจัย ตอนที่ 1 ผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน คณะกรรมการทีมประสาน และทีมท าคือครูและบุคลากรางการศึกษา จ านวน 13 คน แสดงดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่1 ผลการประเมินโครงการด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (n = 13) ที่ รายการ X S.D. แปลผล 1 โครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีความสอดคล้อง กับนโยบายของต้นสังกัด 4.08 0.86 มาก 2 หลักการและเหตุผลสอดคล้องกับสภาพปัญหา การดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4.00 0.82 มาก 3 วัตถุประสงค์มีความชัดเจนในการส่งเสริมพัฒนา ป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน 4.00 0.71 มาก 4 โครงการสอดคล้องกับความต้องการจ าเป็น ในสภาพปัจจุบันและปัญหาของโรงเรียน 4.08 0.76 มาก 5 มีความสอดคล้องกันเป็นอย่างดีในด้านนโยบาย วัตถุประสงค์และของโครงการ 4.15 0.80 มาก 6 ก าหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ได้อย่างเหมาะสม 4.23 0.73 มาก 7 เป็นโครงการที่ส่งเสริมพัฒนานักเรียนอย่าง รอบด้าน ให้รู้เท่ากันการเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับตัวอยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุข 3.92 0.64 มาก 8 การด าเนินโครงการมีแนวความเป็นไปได้สูง ที่จะประสบผลส าเร็จ 4.00 0.71 มาก 9 เป็นโครงการที่ด าเนินการบนพื้นฐานการมีส่วนร่วม ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเรียน 4.31 0.75 มาก 10 บรรยากาศและสภาพแวดล้อมมีความเหมาะสม ในการด าเนินงานโครงการ 4.08 0.64 มาก รวมเฉลี่ย 4.08 0.74 มาก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 11 จากตารางที่ 1 แสดงว่าผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านบริบทหรือสภาวะ แวดล้อม โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มาก ( X = 4.08 , S.D.= 0.74) ส าหรับผลการประเมิน รายข้อปรากฏว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก จ านวน 10 ข้อ ผลการประเมินรายข้อที่มีความเหมาะสม สูงสุดคือ ข้อ 9 เป็นโครงการที่ด าเนินการบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเรียน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.31 , S.D.= 0.75) รองลงมาคือข้อ 6 ก าหนดเป้าหมาย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพได้อย่างเหมาะสม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.23 , S.D.= 0.73) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมน้อยสุดคือ ข้อ 7 เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการส่งเสริมพัฒนานักเรียนรอบด้าน ให้รู้เท่ากันการเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 3.92, S.D.= 0.64) และทุกรายการผ่านเกณฑ์การประเมินที่ก าหนด ตารางที่2 ผลการประเมินโครงการด้านปัจจัยหรือทรัพยากร (n = 13) ที่ รายการ X S.D. แปลผล 1 จ านวนบุคลากรที่ร่วมด าเนินการโครงการเพียงพอ และมีความรู้ความสามารถเหมาะสม 4.00 0.91 มาก 2 บุคลากรมีความตระหนักในความส าคัญของระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียนคณะกรรมการด าเนินโครงการ 4.23 0.73 มาก 3 คณะกรรมการด าเนินโครงการประกอบด้วยทีมน า ทีมประสานและทีมท า 3.77 0.60 มาก 4 งบประมาณในการด าเนินโครงการมีความเหมาะสมและเพียงพอ 4.15 0.69 มาก 5 มีวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือที่พร้อมและเพียงพอ ในการด าเนินโครงการ 3.85 0.69 มาก 6 วิธีการ/กิจกรรมตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีความเหมาะสม 4.00 0.71 มาก 7 คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุน 4.38 0.65 มาก 8 มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่มีความพร้อมในการด าเนินโครงการ 4.31 0.75 มาก 9 อาคารสถานที่ ยานพาหนะ และสิ่งอ านวยความสะดวกต่าง ๆ มีความพร้อม 4.23 0.60 มาก 10 มีหน่วยงานภายนอกและบุคลากรที่เชี่ยวชาญ พร้อมที่จะ ประสานงานและให้ความร่วมมือ 4.08 0.64 มาก รวมเฉลี่ย 4.10 0.70 มาก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 12 จากตารางที่ 2 แสดงว่าผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านปัจจัย หรือทรัพยากร โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.10 , S.D. = 0.70)ส าหรับผลการประเมิน รายข้อปรากฏว่า ผลการประเมินอยู่ในระดับมาก จ านวน 10 ข้อ ผลการประเมินรายข้อที่มีความเหมาะสม สูงสุดคือ ข้อ 7 คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครองและชุมชนพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.38 , S.D.= 0.65) รองลงมาคือข้อ 8 มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารที่มีความพร้อมในการด าเนินโครงการ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.31, S.D.= 0.75) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมน้อยสุดคือ คือ ข้อ 3 คณะกรรมการด าเนินโครงการประกอบด้วยทีมน า ทีมประสานและทีมท า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 3.77 , S.D.= 0.60) และทุกรายการ ผ่านเกณฑ์การประเมินที่ก าหนด ตารางที่ 3 ผลการประเมินโครงการด้านกระบวนการ (n = 13) ที่ รายการ X S.D. แปลผล 1 มีแผนการด าเนินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ที่เหมาะสม 3.85 0.69 มาก 2 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการด าเนินงานอย่างเหมาะสม ตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4.23 0.60 มาก 3 มีการด าเนินงานเป็นไปตามแผนที่ก าหนดไว้อย่างครบถ้วน 4.08 0.76 มาก 4 มีการนิเทศติดตามผลการด าเนินงานอย่างเหมาะสม 4.31 0.75 มาก 5 มีการประเมินผลเป็นระยะ ๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไข การด าเนินงานให้เหมาะสม 4.31 0.63 มาก 6 ครูที่ปรึกษามีข้อมูลนักเรียนอย่างครบถ้วนและถูกต้อง 3.92 0.64 มาก 7 ครูที่ปรึกษาด าเนินการคัดกรองและจัดกลุ่มนักเรียนได้ ตามเกณฑ์ที่โรงเรียนก าหนด 4.38 0.65 มาก 8 ครูที่ปรึกษาจัดกิจกรรมส่งเสริมนักเรียน อย่างหลากหลาย และเหมาะสม 4.15 0.55 มาก 9 ครูที่ปรึกษาจัดกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนได้ อย่างเหมาะสม 3.92 0.64 มาก 10 ครูที่ปรึกษาด าเนินการส่งต่อนักเรียนที่มีปัญหา ยากที่จะแก้ไขได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 4.15 0.80 มาก รวมเฉลี่ย 4.13 0.67 มาก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 13 จากตารางที่ 3 แสดงว่าผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ด้านกระบวนการ โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.13 , S.D. = 0.67) ส าหรับผลการประเมินรายข้อ ปรากฏว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก จ านวน 10 ข้อ ผลการประเมินรายข้อที่มีความเหมาะสมสูงสุดคือ ข้อ 7 ครูที่ปรึกษาด าเนินการคัดกรองและจัดกลุ่มนักเรียนได้ตามเกณฑ์ที่โรงเรียนก าหนด มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมาก ( X = 4.38 , S.D.= 0.65) รองลงมาคือข้อ 4 มีการนิเทศติดตามผลการด าเนินงาน อย่างเหมาะสม และ 5 มีการประเมินผลเป็นระยะ ๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไขการด าเนินงานให้เหมาะสม มีความเหมาะสมเท่ากัน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.31 , S.D.= 0.75 , 0.63) ส่วนข้อที่มี ความเหมาะสมน้อยสุดคือ ข้อ 1 มีแผนการด าเนินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่เหมาะสม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 3.85, S.D.= 0.69) และทุกรายการผ่านเกณฑ์การประเมินที่ก าหนด ตารางที่4 ผลการประเมินโครงการด้านผลผลิต (n = 13) ที่ รายการ X S.D. แปลผล 1 ผลการดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ 3.62 0.96 มาก 2 ผลการดำเนินโครงการบรรลุเป้าหมายเชิงปริมาณ 4.00 0.58 มาก 3 ผลการดำเนินโครงการบรรลุเป้าหมายเชิงคุณภาพ 3.77 0.73 มาก 4 ผู้ปกครองและชุมชนมีความพึงพอใจในการดำเนินงาน 4.00 0.71 มาก 5 คณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ มีความภาคภูมิใจ ในความสำเร็จของโครงการ 4.23 0.73 มาก 6 นักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหามีจำนวนลดลงอย่างชัดเจน 4.15 0.80 มาก 7 นักเรียนปลอดจากยาเสพติดและอบายมุข 3.85 0.69 มาก 8 นักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามความคาดหวังของโรงเรียน 3.85 0.80 มาก 9 นักเรียนมีพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญาตามวัย และศักยภาพ 4.15 0.80 มาก 10 นักเรียนสามารถปรับตัวและดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ได้อย่างมีความสุข 4.00 0.82 มาก รวมเฉลี่ย 3.96 0.76 มาก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 14 จากตารางที่ 4 แสดงว่าผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านผลผลิต โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 3.96, S.D. = 0.76) ส าหรับผลการประเมินรายข้อ ปรากฏว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก จ านวน 10 ข้อ ผลการประเมินรายข้อที่มีความเหมาะสมสูงสุดคือ ข้อ 5 คณะท างานต่าง ๆ ภาคภูมิใจที่งานประสบผลส าเร็จ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.23, S.D.= 0.73) รองลงมาคือข้อ 6 นักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหามีจ านวนลดลงอย่างชัดเจน และ ข้อ 9 นักเรียน มีพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญาตามวัยและศักยภาพ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.15 , S.D.= 0.80) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมน้อยสุดคือ คือ ข้อ 1 ผลการด าเนินโครงการบรรลุ ตามวัตถุประสงค์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 3.62 , S.D.= 0.96) และทุกรายการผ่านเกณฑ์ การประเมินที่ก าหนด ตารางที่ 5 ผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในภาพรวม ที่ ด้าน X S.D. แปลผล 1 การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม 4.08 0.74 มาก 2 การประเมินปัจจัยหรือทรัพยากร 4.10 0.70 มาก 3 การประเมินกระบวนการ 4.13 0.67 มาก 4 การประเมินผลผลิต 3.96 0.76 มาก รวมเฉลี่ย 4.07 0.72 มาก จากตารางที่ 5 แสดงว่าผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.07 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.72 สำหรับผลการประเมินรายด้านปรากฏว่า ผลการประเมินอยู่ในระดับมากทั้ง 4 ด้าน โดยลำดับจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาค่าเฉลี่ยต่ำ คือ การประเมิน กระบวนการ ( X = 4.13 , S.D. = 0.67) การประเมินปัจจัยหรือทรัพยากร ( X = 4.10 , S.D. = 0.70) การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม ( X = 4.08 , S.D. = 0.74) และ การประเมินผลผลิต ( X = 3.96, S.D. = 0.76)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 15 ตอนที่ 2 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนแสดงดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 6ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการดำเนินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ที่ รายการ X S.D. แปลผล 1 กิจกรรมการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 1.1 นักเรียนมีความพึงพอใจเรียนรู้และเข้าใจตนเองด้านการเรียน 4.17 0.80 พึงพอใจมาก 1.2 นักเรียนมีความพึงพอใจที่รู้จักตนเองด้านสุขภาพ 4.50 0.78 พึงพอใจมาก 1.3 นักเรียนมีความพึงพอใจที่เข้าใจตนเองด้านความสามารถอื่น ๆ 4.16 0.91 พึงพอใจมาก 1.4 นักเรียนมีความพึงพอใจที่รู้จักตนเองด้านจิตใจและอารมณ์ 4.03 0.56 พึงพอใจมาก รวมเฉลี่ย 4.21 0.76 พึงพอใจมาก 2 กิจกรรมการคัดกรองนักเรียน 2.1 นักเรียนยอมรับในผลการคัดกรองนักเรียน 4.26 0.91 พึงพอใจมาก 2.2 นักเรียนมีความพึงพอใจผลการคัดกรองไม่ว่าจะอยู่กลุ่มใด 4.59 0.75 พึงพอใจมากที่สุด 2.3 นักเรียนพอใจวิธีการคัดกรองนักเรียน 4.17 0.82 พึงพอใจมาก 2.4 การจัดกลุ่มนักเรียนช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาหรือป้องกันแก้ไข ปัญหาของนักเรียน 3.96 0.58 พึงพอใจมาก รวมเฉลี่ย 4.24 0.76 พึงพอใจมาก 3 กิจกรรมการส่งเสริมนักเรียน 3.1 กิจกรรมโฮมรูมช่วยส่งเสริมพัฒนานักเรียนได้ 4.41 0.84 พึงพอใจมาก 3.2 นักเรียนพอใจที่ได้รับการส่งเสริมด้านตนตรี กีฬา ศิลปะ และอื่น ๆ 4.06 0.66 พึงพอใจมาก 3.3 กิจกรรมเสริมหลักสูตรช่วยส่งเสริมพัฒนานักเรียนได้ 4.23 0.75 พึงพอใจมาก 3.4 กิจกรรมซ่อมเสริมช่วยส่งเสริมพัฒนานักเรียนได้ 4.30 0.77 พึงพอใจมาก รวมเฉลี่ย 4.25 0.75 พึงพอใจมาก 4 กิจกรรมการป้องกันและการแก้ไขปัญหา 4.1 นักเรียนมีความพึงพอใจที่ได้รับการปรึกษาจากครูเมื่อมีปัญหา 4.16 0.97 พึงพอใจมาก 4.2 นักเรียนมีความพึงพอใจกิจกรรมที่เน้นการห่างไกลยาเสพติด 4.41 0.84 พึงพอใจมาก 4.3 นักเรียนมีความพึงพอใจในกิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน 4.09 0.99 พึงพอใจมาก 4.4 นักเรียนมีความพึงพอใจครูที่ปรึกษาที่ดูแลเอาใจใส่ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียน 4.39 0.89 พึงพอใจมาก รวมเฉลี่ย 4.26 0.92 พึงพอใจมาก 5 กิจกรรมการส่งต่อนักเรียน 5.1 นักเรียนมีความพึงพอใจในการส่งต่อเมื่อเกิดปัญหามีความยากในการแก้ไข 4.09 0.79 พึงพอใจมาก 5.2 การส่งต่อช่วยแก้ปัญหาที่ยากแก้ไขของนักเรียนได้ 4.41 0.79 พึงพอใจมาก 5.3 นักเรียนยอมรับได้หากส่งต่อนักเรียนไปพบผู้เชี่ยวชาญ 4.10 0.76 พึงพอใจมาก 5.4 นักเรียนยอมรับได้หากส่งต่อนักเรียนไปพบครูแนะแนว 4.41 0.50 พึงพอใจมาก รวมเฉลี่ย 4.25 0.71 พึงพอใจมาก รวมด้านความพึงพอใจของนักเรียน 4.24 0.78 พึงพอใจมาก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 16 จากตารางที่ 6 แสดงว่าผลประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการด าเนินโครงการระบบ ดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย ตามความคิดเห็นของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ความพึงพอใจมาก ( X = 4.24 , S.D. = 0.78) เมื่อพิจารณาผลการประเมินความพึงพอใจ จ าแนก 5 กิจกรรม พบว่า ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนทุกกิจกรรมอยู่ในระดับความพึงพอใจมาก โดยเรียงล าดับ จากค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาค่าเฉลี่ยต ่าสุด ได้แก่ กิจกรรมการป้องกันและการแก้ไขปัญหา อยู่ในระดับ ความพึงพอใจมาก ( = 4.26, S.D.= 0.92) กิจกรรมการส่งเสริมนักเรียน และกิจกรรมการส่งต่อนักเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก ( = 4.25, S.D.= 0.75, 0.71) กิจกรรมการคัดกรอง นักเรียน อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก ( = 4.24, S.D.=0.76) และกิจกรรมการรู้จักนักเรียน เป็นรายบุคคล อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก ( = 4.21, S.D.= 0.76) ตามล าดับ สรุปผล การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย จังหวัดพัทลุง สังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 สรุปผลได้ ดังนี้ 1. ผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ตามความคิดเห็นของครูและบุคลากร ทางการศึกษา โรงเรียนวัดท่าควาย โดยประเมิน 4 ด้าน คือ ด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม ด้านปัจจัย หรือทรัพยากร ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.07, S.D. = 0.72) ผ่านการประเมินทุกรายการ ผ่านเกณฑ์การประเมินที่ก าหนด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า 1.1 ด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ส าหรับ ผลการประเมินรายข้อปรากฏว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ผลการประเมินรายข้อที่มีความเหมาะสม สูงสุดคือ ข้อ 9 เป็นโครงการที่ด าเนินการบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเรียน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือข้อ 6 ก าหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพได้ อย่างเหมาะสม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมน้อยสุดคือ ข้อ 7 เป็นโครงการ ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมพัฒนานักเรียนรอบด้านให้รู้เท่ากันการเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุข มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และทุกรายการผ่านเกณฑ์การประเมินที่ก าหนด 1.2 ด้านปัจจัยหรือทรัพยากร โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ส าหรับผลการประเมิน รายข้อปรากฏว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ผลการประเมินรายข้อที่มีความเหมาะสมสูงสุดคือ ข้อ 7 คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครองและชุมชนพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุน มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือข้อ 8 มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีความพร้อม ในการด าเนินโครงการ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมน้อยสุดคือ คือ ข้อ 3 คณะกรรมการด าเนินโครงการประกอบด้วยทีมน า ทีมประสาน และทีมท า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และทุกรายการผ่านเกณฑ์การประเมินที่ก าหนด
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 17 1.3 ด้านกระบวนการ โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ส าหรับผลการประเมิน รายข้อปรากฏว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ผลการประเมินรายข้อที่มีความเหมาะสมสูงสุดคือ ข้อ 7 ครูที่ปรึกษาด าเนินการคัดกรองและจัดกลุ่มนักเรียนได้ตามเกณฑ์ที่โรงเรียนก าหนด มีความเหมาะสมอยู่ใน ระดับมาก รองลงมาคือข้อ 4 มีการนิเทศติดตามผลการด าเนินงานอย่างเหมาะสมและ 5 มีการประเมินผล เป็นระยะ ๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไขการด าเนินงานให้เหมาะสม มีความเหมาะสมเท่ากัน มีความเหมาะสมอยู่ใน ระดับมาก ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมน้อยสุดคือ คือ ข้อ 1 มีแผนการด าเนินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียนที่เหมาะสม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และทุกรายการผ่านเกณฑ์การประเมินที่ก าหนด 1.4 ด้านผลผลิต โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ส าหรับผลการประเมินรายข้อ ปรากฏว่าผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ผลการประเมินรายข้อที่มีความเหมาะสมสูงสุดคือ ข้อ 5 คณะท างานต่าง ๆ ภาคภูมิใจที่งานประสบผลส าเร็จ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือข้อ 6 นักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหามีจ านวนลดลงอย่างชัดเจน และ ข้อ 9 นักเรียนมีพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญาตามวัยและศักยภาพ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ส่วนข้อที่มีความเหมาะสม น้อยสุดคือ คือ ข้อ 1 ผลการด าเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และทุกรายการผ่านเกณฑ์การประเมินที่ก าหนด 2. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการด าเนินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย ตามความคิดเห็นของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับความพึงพอใจมาก เมื่อพิจารณาผลการประเมินความพึงพอใจ จ าแนก 5 กิจกรรม พบว่า ผลการประเมินความพึงพอใจของ นักเรียนทุกกิจกรรมอยู่ในระดับความพึงพอใจมาก โดยเรียงล าดับ จากค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาค่าเฉลี่ยต ่าสุด ได้แก่ กิจกรรมการป้องกันและการแก้ไขปัญหา อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก กิจกรรมการส่งเสริมนักเรียน และกิจกรรมการส่งต่อนักเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก กิจกรรมการคัดกรองนักเรียน อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก และกิจกรรมการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก อภิปรายผล 1. ผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนวัดท่าควาย ในภาพรวมพบว่า ผลการประเมินอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาผลการประเมินจ าแนกรายด้าน 4 ด้าน คือ การประเมินบริบท หรือสภาวะแวดล้อม การประเมินปัจจัยหรือทรัพยากร การประเมินกระบวนการ และการประเมินผลผลิต พบว่า ผลการประเมินอยู่ในระดับมากทุกด้าน เนื่องจากการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ครั้งนี้ด าเนินการตามรูปแบบการประเมินแบบซิป (CIPP Model) ทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ผลการประเมิน จึงมีความเชื่อมั่นและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของที่ก าหนด กล่าวคือการประเมินโครงการด าเนินตาม ขั้นตอนกระบวนการ 9 ขั้น เริ่มจากการศึกษาวิเคราะห์โครงการที่มุ่งประเมิน ระบุหลักการ และเหตุผล ของการประเมิน ก าหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และรูปแบบการประเมิน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 18 การออกแบบการประเมิน พัฒนาเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุป รายงานผลการประเมิน (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2557: 6-7) ในด้านผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียนที่พบว่าผลการประเมินในภาพรวมอยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่าการด าเนินงานโครงการระบบ ดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนวัดท่าควายมีประสิทธิภาพ เนื่องจากความส าเร็จในการดูแลช่วยเหลือ นักเรียนจากความร่วมมือร่วมใจของนักเรียน ครูทุกฝ่าย และการสนับสนุนอย่างดียิ่งของผู้ปกครอง อีกทั้ง หากมีจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาประจ าโรงเรียน เพื่อร่วมกันดูแลช่วยเหลือนักเรียน ก็จะท าให้ระบบการดูแล ช่วยเหลือนักเรียนมีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น (กรมสุขภาพจิต, 2544: 39) ความส าเร็จ ของงานต้องอาศัยการมีส่วนร่วม ทั้งการร่วมใจ ร่วมคิด ร่วมท าของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร โรงเรียนในทุกระดับ ผู้ปกครองหรือชุมชน (กรมสามัญศึกษา, 2544: 3) ผลการประเมินโครงการครั้งนี้ สอดคล้องกับ ผลการวิจัยหรือผลการประเมินของ สฤษดิ์ วิวาสุขุ. (2564: 296-310) ได้แก่ 1) การประเมิน บริบทหรือสภาพแวดล้อม พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.08 , S.D. = 0.74) โดยมีความสอดคล้อง กับนโยบายของส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 มีความสอดคล้องกับนโยบาย กระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยเฉพาะเรื่องการเตรียมคนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ค านึงถึง พหุปัญญาของผู้เรียนเป็นรายบุคคลที่มีหลากหลายตามศักยภาพของผู้เรียน (กระทรวงศึกษาธิการ. 2563: 28) สอดคล้องกับงานวิจัยของ ปิยะวุฒิ ศรีชนะ (2559) พบว่า ผลการประเมินปัจจัยน าเข้าอยู่ในระดับมาก ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ จิราภรณ์ หมานพัฒน์ (2563) ด้านปัจจัยน าเข้า โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยบุคลากรของโรงเรียนมีเพียงพอและเหมาะสมกับจ านวนนักเรียนที่จะช่วยเหลือตามระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียน 5 ขั้นตอน และมีขั้นตอนการด าเนินงาน ดังนี้ มีการประชุมคณะกรรมการด าเนินโครงการประกอบด้วย ทีมน า ทีมประสาน และทีมท า ในการวางแผนการท างาน บรรจุโครงการในแผนปฏิบัติงานประจ าปี และจ านวนเงินที่จะด าเนินโครงการตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3) การประเมินกระบวนการ พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.13, S.D. = 0.67) โดยมีความสอดคล้องกับนโยบายของส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 มีความสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยเฉพาะเรื่องการเตรียมคนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ค านึงถึงพหุปัญญาของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ที่มีหลากหลายตามศักยภาพของผู้เรียน ซึ่งโรงเรียนวัดท่าควายมีกระบวนการในการด าเนินงาน โดยมีการประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องในการด าเนินโครงการระบบช่วยเหลือนักเรียน มีขั้นตอนดังนี้ กิจกรรมที่ 1 ประชุมมอบหมายงาน โดยมีขั้นตอนการด าเนินเงินงาน คือ 1) จัดประชุมครูเพื่อวางแผนโครงการช่วยเหลือ นักเรียน 2) แต่งตั้งคณะท างาน กิจกรรมที่ 2 การด าเนินงาน มีขั้นตอนการด าเนินงาน คือ 1) ด าเนินการ เยี่ยมบ้านนักเรียน 2) ด าเนินการกิจกรรมโฮมรูม 3) ด าเนินการประเมินพฤติกรรมเด็ก โดยใช้แบบประเมิน พฤติกรรม (SDQ) 4) การด าเนินการคัดครองนักเรียนทุกคนเสมอภาค 5) มอบเสื้อรักษ์วัฒนธรรมไทย 6) การแนะแนวการศึกษาต่อ 7) รับการแนะแนวการศึกษาต่อจากหน่วยงานอื่น กิจกรรมที่ 3 การสรุป และรายงานผล มีขั้นตอนการด าเนินงาน คือ ประเมินผล/รายงานผล
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 19 4) ประเมินผลผลิต พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 3.96 , S.D. = 0.76) โดยมีความสอดคล้อง กับนโยบายของส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 มีความสอดคล้องกับนโยบาย กระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยเฉพาะเรื่องการเตรียมคนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ค านึงถึง พหุปัญญาของผู้เรียนเป็นรายบุคคลที่มีหลากหลายตามศักยภาพของผู้เรียน 2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการด าเนินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียน วัดท่าควาย พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ย 4.24 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.78 แสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อโครงการระบบช่วยเหลือนักเรียน ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผู้วิจัย มีการวิเคราะห์เนื้อหา และจัดแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อย ๆ ออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ กิจกรรมการรู้จัก นักเรียนเป็นรายบุคคล กิจกรรมการคัดกรองนักเรียน กิจกรรมการส่งเสริมนักเรียน กิจกรรมการป้องกัน และการแก้ไขปัญหา และกิจกรรมการส่งต่อนักเรียน โดยกิจกรรมทั้งหมดนี้ตอบสนองต่อความต้องการ ของนักเรียน และสามารถเข้าถึงตัวนักเรียนเป็นรายบุคคลได้อย่างทั่วถึง ท าให้ทราบปัญหาและความต้องการ ของนักเรียน สอดคล้องกับทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ (Maslow, 1987: 69-80) ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า “มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อความต้องการได้รับการตอบสนองหรือความพึงพอใจ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ความต้องการสิ่งอื่น ๆ ก็จะเกิดขึ้นมาอีก ความต้องการของคนเราอาจซ ้าซ้อนกัน ความต้องการหนึ่งอาจยังไม่ทันหมดไป ความต้องการอีกอย่างหนึ่งอาจเกิดขึ้นได้” สอดคล้องกับงานวิจัย ของ จุติกรณ์ นิสสัย (2558) พบว่า สภาพที่เป็นจริงในปัจจุบันของการด าเนินงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง ซึ่งต้องหาทางแก้ไขตามล าดับ ดังนี้ ด้านการส่งต่อนักเรียน ด้านการคัดกรองนักเรียน ด้านการพัฒนา นักเรียน ด้านการแก้ไขปัญหานักเรียน ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการป้องกันนักเรียน และด้านการส่งเสริมนักเรียน ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะส าหรับการน าผลการประเมินไปใช้ 1. ผลการประเมินด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context) สามารถน าไปใช้ประโยชน์ ในการตัดสินใจของผู้บริหารหรือผู้รับผิดชอบโครงการในการริเริ่มจัดท าโครงการ เป็นโครงการที่ส่งเสริม พัฒนานักเรียนอย่างรอบด้านให้รู้เท่ากันการเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข 2. ผลการประเมินด้านปัจจัยหรือทรัพยากร (Input) สามารถน าไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ ของผู้บริหารหรือผู้รับผิดชอบโครงการเกี่ยวกับการวางแผนด าเนินโครงการ คณะกรรมการด าเนินโครงการ ประกอบด้วยทีมน า ทีมประสาน และทีมท า 3. ผลการประเมินด้านกระบวนการ (Process) สามารถน าไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจของ ผู้บริหารหรือผู้รับผิดชอบโครงการเพื่อตัดสินใจปรับปรุงกิจกรรมและวิธีด าเนินโครงการ มีแผนการด าเนิน โครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่เหมาะสม
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 20 4. ผลการประเมินด้านผลผลิต (Product) สามารถน าไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ ของผู้บริหารหรือผู้รับผิดชอบโครงการเพื่อตัดสินคุณค่าและอนาคตของโครงการว่าจะด าเนินงานต่อไป หรือยุติโครงการ หรือเปลี่ยนจากโครงการเป็นงานประจ าต่อไป ผลการด าเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ ข้อเสนอแนะส าหรับการการประเมินครั้งต่อไป 1. ควรให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการประเมิน เช่น คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อให้ได้สารสนเทศเกี่ยวกับผลกระทบ (Impact) และผลลัพธ์ (Outcome) จากการด าเนินโครงการมากยิ่งขึ้น 2. ควรใช้วิธีการและเครื่องมือในการประเมินอย่างหลากหลายเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่เป็น รูปธรรมมากยิ่งขึ้น เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การรับฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองจากการประชุม ผู้ปกครองระดับชั้นเรียน เป็นต้น เอกสารอ้างอิง กรมสามัญศึกษา. (2544). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2545. กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. (2544). คู่มือส่งเสริมสุขภาพจิตนักเรียนระดับมัธยมศึกษาส าหรับครู. องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. (2544). สุขภาพจิตไทย พ.ศ .2543-2544. องค์การรับส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์. กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 (ฉบับที่ 2) และที่แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2545. บริษัทสยามสปอรต์ ซินดิเค จ ากัด. กระทรวงศึกษาธิการ. (2563). ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563. กระทรวงศึกษาธิการ. กองวิจัยทางการศึกษา. (2545). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. จุติกรณ์ นิสสัย. (2558). การศึกษาการด าเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านหนองปรือ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยบูรพา. บุญชม ศรีสะอาด และคณะ. (2552). พื้นฐานการวิจัยการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 5). ประสานการพิมพ์. ปิยะวุฒิ ศรีชนะ. (2559). การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนโพนงามพิทยาคาร จังหวัดยโสธร สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28. รายงานการวิจัย โรงเรียนโพนงามพิทยาคาร.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 21 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. (2545, 19 ธันวาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 119 ตอนที่ 123 ก. หน้า 45. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2556). เทคนิคการประเมินโครงการ (พิมพ์ครั้งที่ 2). บริษัทเฮ้าส์ออฟเคอร์มิสท์. สฤษดิ์ วิวาสุขุ (2564). การประเมินโครงการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียน จอมพระประชาสรรค์ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 33. วารสารมหาจุฬา นาครทรรศน์. 8(8), 296-310. สาคร แสงผึ้ง. (2550). การวิเคราะห์ข้อสอบแบบเลือกตอบโดยวิธีB-Index และการวิเคราะห์ข้อสอบ แบบคะแนนไม่ใช 0-1 ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์. http://www.nitesonline.net/sakorn/page11.htm ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2559). การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด. Maslow, Abraham H. (1987). Motivation and Personality. Harper Row Publisher.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 22 การประเมินความต้องการจ าเป็นในการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐาน ของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ A Needs Assessment to Development of a Research-based Local Science Learning Curriculum of Enrichment Program of Science, Mathematics, Technology and Environment (SMTE) in the Northeast Region เดชาธร บงค์บุตร Dechathon Bongboot อัญชลี แก้วกัญญา Aunchalee Kaewkanya บทคัดย่อ บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตร วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 2) ศึกษาความต้องการจ าเป็นของการพัฒนาหลักสูตร วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการวิจัยเชิงส ารวจ กลุ่มตัวอย่างได้จากการเลือกแบบเจาะจง คือ โรงเรียนโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ านวน 9 โรงเรียน ๆ ละ 6 คน ประกอบด้วย ผู้อ านวยการโรงเรียน 1 คน รองผู้อ านวยการโรงเรียน 1 คน ครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1 คน คณะกรรมการสถานศึกษา 1 คน เครือข่าย ผู้ปกครอง 1 คน และนักเรียนที่ก าลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 1 คน โดยมีผู้ให้ข้อมูลรวมทั้งสิ้น 54 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และจัดล าดับความต้องการจ าเป็นโดยใช้สูตร PNImodified ครูดร., โรงเรียนบึงกาฬ, ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบึงกาฬ Teacher Dr., Bungkan School, The Secondary Educational Service Area Office Bungkan ครูช านาญการ, โรงเรียนบ้านโคกกลาง, ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ Professional Level Teacher, Bankhokklang School, Bung Kan Primary Educational Service Area Office
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 23 ผลการวิจัยพบว ่า 1) สภาพปัจจุบันและสภาพที ่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความต้องการจ าเป็นของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ด้านที่ต้องการจ าเป็นสูงสุดคือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรและเนื้อหารายวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น (PNImodified = 0.210) รองลงมาคือด้านการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน (PNImodified = 0.048) ด้านการวัด และประเมินผลการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน (PNImodified = 0.048) ด้านการน าความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์ (PNImodified = 0.042) ด้านการใช้สื ่อ การจัดสภาพแวดล้อม และแหล ่งเรียนรู้ที ่เอื้อต ่อการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน (PNImodified = 0.029) และด้านความสามารถในการสร้างนวัตกรรมวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาท้องถิ่น (PNImodified = 0.021) ตามล าดับ ค าส าคัญ : การประเมินความต้องการจ าเป็น/ การพัฒนาหลักสูตร/ โครงการห้องเรียนพิเศษ Abstract The purposes of this research were 1) to examine the current and the desirable state of the development of a research-based local science learning curriculum of enrichment program of Science, Mathematics, Technology, and Environment (SMTE) in the northeast region. 2) to examine the needs assessment of to development of a research-based local science learning curriculum of enrichment program of Science, Mathematics, Technology, and Environment (SMTE) in the northeast region. This study used a survey research methodology. The samples were selected by using purposive sampling consisted 9 schools of Science, Mathematics, Technology, and Environment Special Classroom Projects In the Northeast. There are 6 respondent in each school comprised 1 school director, 1 deputy school director, 1 teacher in the science and technology learning group, 1 school committee, 1 parent network. 1 student studying in grades 4-6, with a total of 54. Current and desirable states questionnaires were used as a tool to collect data. Frequency, percentage, mean/average, standard deviation, and PNImodified were used to analyze the collected data.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 24 The results of the research were as follows: 1) the current and closeable state of the development of local science curriculum development by using research as the basis of the science, mathematics, technology, and environment special classroom project; Overall, was at a high level. 2) The needs assessment of development a research-based local science learning curriculum found out the most needed aspect was the development of the local science curriculum and course content (PNImodified = 0.210). The second priority needs index was research-based learning (PNImodified = 0.048), Measurement and evaluation of learning outcomes in local science learning management using research-based (PNImodified = 0.048), Knowledge and skill utilization (PNImodified = 0.042), The use of media, setting up an environment and learning resources conducive tothe management of local science learning using research-based (PNImodified = 0.029), and The ability to create science innovation for local development (PNImodified = 0.021). Keywords: The Needs Assessment/ Development of Learning Curriculum/ The special classroom project บทน า โครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ เป็นโครงการในความร่วมมือระหว่าง ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ส านักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ส านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห ่งชาติ (สวทช.) และสถาบันส ่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เพื ่อเป็นการขยายฐานการพัฒนาและส ่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของประเทศ โดยโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องใช้หลักสูตรการสอนพิเศษที่ท าให้นักเรียนได้รับการพัฒนา และส ่งเสริมกิจกรรมทางวิชาการ เช ่น การเข้าค ่ายวิทยาศาสตร์ ศึกษาดูงานหรือทัศนศึกษา การได้รับ การฝึกงานกับนักวิจัยในมหาวิทยาลัย หรือในหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และได้รับการส่งเสริมการท า โครงงานวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมทั้งได้รับการส ่งเสริม สนับสนุนให้ไปน าเสนอผลงาน ทางวิชาการในระดับจังหวัดระดับภาค และระดับประเทศ ซึ่งในการบริหารโครงการได้มีการแบ่งออกเป็นภูมิภาค และแต่ละภูมิภาคร่วมกันพัฒนานักเรียนของตน ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายในการบริหารจัดการ ซึ่งตามแนวทางนี้โครงการ ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและตอนล่าง รวมทั้งสิ้นจ านวน 60 โรงเรียน ซึ่งแต ่ละเครือข ่ายได้วางแนวทางก าหนดกิจกรรมระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 4-6 เพื ่อศักยภาพ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 25 ให้นักเรียนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น สนับสนุน เพิ ่มพูนความรู้และประสบการณ์การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์เป็นไปอย ่างมีคุณภาพ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2560: ออนไลน์) ซึ ่งการด าเนินโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ ได้เริ ่มด าเนินการคัดเลือก รุ ่นที ่ 1 ปีการศึกษา 2550 จ านวน 95 โรงเรียน รุ่นที่ 2 ด าเนินการคัดเลือกในปีการศึกษา 2553 จ านวน 100 โรงเรียน และในปี 2560 มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ จ านวน 220 โรง ทั่วประเทศ ซึ่งหลักสูตรส าหรับนักเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มีความครอบคลุมหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการใช้รายวิชาเพิ่มเติมจัดให้มีความหลากหลายสอดคล้องกับศักยภาพ ความถนัด และความสนใจของนักเรียนเป็นรายบุคคล เปิดโอกาสให้นักเรียนสามารถเลือกเรียนรายวิชาเพิ ่มเติมจาก สถาบันอุดมศึกษา ศูนย์วิจัยและสถานประกอบการภายนอกและจากโรงเรียนอื ่นทั้งในและต ่างประเทศ (ณฐกรณ์ด าชะอม, 2560: 137) จากรายงานวิจัยของ จินรีย์ตอทองหลาง และจุไรรัตน์สุดรุ่ง (2558: 17) ได้ศึกษาสภาพและปัญหา การใช้หลักสูตรห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในโรงเรียนโยธินบูรณะ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์โรงเรียนโยธินบูรณะ ในรายวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่เป็นจุดเน้นตาม ข้อก าหนดปรัชญาห้องเรียนพิเศษและมาตรฐานสากล มีนักเรียนจ านวนร้อยละ 21.21 มีผลการเรียนรายวิชา อยู่ในระดับ 1-2.5 แสดงให้เห็นว่าโครงการห้องเรียนพิเศษยังไม่ประสบผลส าเร็จเท่าที่ควร อาจมีสาเหตุมาจาก ปัจจัยหลายประการ หนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ห้องเรียนพิเศษ คือ ปัญหาด้านหลักสูตร แต่ในการศึกษา ปัจจุบันยังไม่ปรากฏรายงานสภาพและปัญหาการใช้หลักสูตรโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ในโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และปรัชญาวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลงไป จากอดีตถือว่า วิทยาศาสตร์เป็น “องค์ความรู้” จุดมุ ่งหมายเพื ่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ให้เข้าใจข้อเท็จจริง กฎ หลักการและทฤษฎีเท่านั้น แต่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ถือว่า วิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการ เสาะหาความรู้ที่ไม่อยู่นิ่ง ใช้เป็นเครื่องหมายอธิบายเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลง แนวคิดนี้ส ่งผลให้มีการเปลี ่ยนแปลงเป้าหมายการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ มาเน้นการใช้วิธีการ ที่ผู้เรียนเป็นผู้เสาะแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง และเกิดการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะของสังคมในศตวรรษที่ 21 เพื ่อให้นักเรียนสามารถอยู ่ในสังคมได้อย ่างมีความสุข รู้เท ่าทัน และแข ่งขันกับนานาชาติได้อย ่างมี ประสิทธิภาพ ดังนั้นการสร้างและพัฒนาหลักสูตรความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ จึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่ง ต ่อผู้เรียนในยุคแห ่งการเปลี ่ยนแปลง (พูนสุข อุดม และคณะ, 2561: 249-251) ซึ ่งผู้เรียนจ าเป็นต้องน า การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เชื่อมโยงความรู้ในท้องถิ่น (ชลีรัตน์พะยอมแย้ม, 2548: 2) สอดคล้องกับแนวคิด ของ ปิยวรรณ ศิริสวัสดิ์ (2559: 45) กล่าวว่า วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นเป็นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สากลผ่านมิติ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 26 ของสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ซึ่งผู้เรียนจะได้เรียนรู้จะได้เชื่อมโยงโลกธรรมชาติกับวัตถุและจิตใจเกี่ยวกับ วิถีชีวิตของชุมชน ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ท้องถิ ่นของยุคการศึกษาศตวรรษที ่ 21 รวมถึงสนับสนุนแนวคิด ของการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และสอดคล้องกับหลักการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นในความส าคัญ กับกระบวนการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้มีเทคนิคการสอนหนึ่งที่ส าคัญ คือ เทคนิคการจัด การเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน (research – based learning) เป็นเทคนิคหนึ ่งในการสอนเชิงสร้างสรรค์ ถือเป็นหัวใจส าคัญของการส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง (พวงผกา ปวีณบ าเพ็ญ, 2560: 62) ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐานในกลุ่มโรงเรียนโครงการ ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากเหตุผลที ่ได้กล ่าวมาแล้วข้างต้น พบว ่า ยังไม ่ปรากฏการศึกษาและโรงเรียนในกลุ ่มเครือข ่าย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งยังไม่ทราบสภาพและปัญหาการใช้หลักสูตรที่จะน าไปสู่การพัฒนาหลักสูตรให้ดีขึ้น และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันนั้น ผู้วิจัยจึงจ าเป็นที่จะต้องศึกษาและประเมินความต้องการ จ าเป็นในการพัฒนาหลักสูตร โดยสอดคล้องกับแนวคิดของ วรรณิศา พิมพร (2561: 3) กล่าวว่า การที่จะทราบ ถึงความต้องการของบุคลากรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สามารถท าได้จากการประเมินความต้องการ จ าเป็น (Needs Assessment) ซึ ่งเป็นกระบวนการประเมินเพื ่อระบุความแตกต ่างของสภาพที ่คาดหวังกับ สภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน และบ่งชี้ปัญหาที่หน่วยงานหรือบุคคลต้องการ น าไปสู่การเปลี่ยนแปลงต้องการ ให้เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ ในการวิจัยนี้จึงมุ่งที่จะประเมินความความต้องการจ าเป็นในการพัฒนาหลักสูตร วิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นต่อไป วัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื ่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที ่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อศึกษาความต้องการจ าเป็นของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 27 แนวคิด ทฤษฏีและกรอบแนวคิดการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เกี่ยวกับการศึกษาความต้องการจ าเป็นหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปรับใช้จากแนวคิดของ โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย (2562, ออนไลน์); ณฐกรณ์ด าชะอม (2560, 137); จินรีย์ตอทองหลาง และจุไรรัตน์สุดรุ่ง (2558, 17); ปิยวรรณ ศิริสวัสดิ์ (2559, 45); (พวงผกา ปวีณบ าเพ็ญ, 2560: 62) และวรรณิศา พิมพร (2561: 3) ผู้วิจัยจึงสรุปกรอบแนวคิดของการวิจัย ดังภาพที่ 1 กรอบแนวคิดของการวิจัย ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนา หลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ฯ การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจ าเป็นในการพัฒนา หลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัย เป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และ สิ่งแวดล้อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยตัวแปรที่ใช้ศึกษาดังนี้ 1) หลักสูตรและเนื้อหารายวิชาเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น 2) การเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน 3) ความสามารถในการสร้างนวัตกรรม วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาท้องถิ่น 4) การน าความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์ 5) การใช้สื่อ การจัดสภาพแวดล้อมและแหล่ง เรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน 6) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้การจัด การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน ตามแนวคิดของ พิจิตรา ทีสุกะ (2556: 5); พวงผกา ปวีณบำเพ็ญ, 2560: 62-66) และ สุดคะนึง ณ ระนอง (2562: 19) วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น ตามแนวคิดของ ชลีรัตน์ พะยอมแย้ม (2548: 2) และปิยวรรณ ศิริสวัสดิ์ (2559: 45) โครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ฯ ตามแนวคิดของ โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย (2562, ออนไลน์); ณฐกรณ์ด าชะอม (2560, 137); จินรีย์ตอทองหลางและจุไรรัตน์สุดรุ่ง (2558, 17)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 28 วิธีด าเนินการวิจัย งานวิจัยมีวิธีด าเนินการวิจัยดังต่อไปนี้ ประชากรและผู้ให้ข้อมูลในการวิจัย ประชากรในการวิจัยคือ โรงเรียนโครงการพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจ านวน 60 โรง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โรงเรียนโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจ าปีการศึกษา 2563 จากการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) จ านวน 9 โรงเรียน โดยก าหนด ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 6 คน ประกอบด้วย ผู้อ านวยการโรงเรียน 1 คน รองผู้อ านวยการโรงเรียน 1 คน ครูผู้สอน ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1 คน คณะกรรมการสถานศึกษา 1 คน เครือข่ายผู้ปกครอง 1 คน และนักเรียนที่ก าลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 1 คน โดยมีผู้ให้ข้อมูลรวมทั้งสิ้น 54 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนา หลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน แบ่งเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 สถานภาพทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ (Check List) และเติมข้อความ จ านวน 4 ข้อ ตอนที่ 2 สภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน เป็นมาตราส ่วน ประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ จ านวน 30ข้อ และตอนที่ 3 ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมค าถามปลายเปิด จ านวน 1 ข้อ การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ศึกษาเอกสาร แนวคิด และทฤษฎี ที ่เกี ่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน 2) ก าหนดกรอบแนวคิดการวิจัย เพื่อน าไปก าหนดนิยามเชิงปฏิบัติของตัวแปร และสร้างข้อค าถามที่ใช้ในการถามทั้ง 3 ตอน ให้ชัดเจนและครอบคลุม กับกรอบแนวคิดในการวิจัย 3) ตรวจสอบเครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) โดยผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 ท่าน พิจารณาค่าความสอดคล้อง (Item-Objective Congruence: IOC) โดยมีค่า IOC 0.67-1.00 4) ปรับปรุงเครื่องมือตามข้อเสนอแนะผู้เชี ่ยวชาญ 5) น าแบบสอบถามไปใช้โดยท าหนังสือ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ติดต่อกับอาสาสมัครที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการผ่านทางช่องทาง อีเมล์ เพื่อไม่ให้ข้อมูลของอาสาสมัครรั่วไหลและเป็นช่องทางติดต่อในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป หลังจากนั้น ส่งหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการตอบแบบสอบถาม พร้อมส่งแบบสอบถามถึงโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย ่าง ทางไปรษณีย์ พร้อมทั้งแนบซองติดแสตมป์ เพื ่อให้ตอบแบบสอบถามกลับคืนมาทางไปรษณีย์ จ านวน แบบสอบถามทั้งหมด 35 ข้อ หลังจากอาสาสมัครพิจารณาตัดสินใจ 10-15 วัน ด าเนินการตอบแบบสอบถาม ส่งกลับถึงผู้วิจัยทางไปรษณีย์ ภายใน 7 วัน ผู้วิจัยได้น าแบบสอบถามที่สมบูรณ์มาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ ก าหนดเพื่อท าการวิเคราะห์ตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 29 ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อศึกษาความต้องการจ าเป็นของ การพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานผู้ตอบแบบสอบถาม โดยแจกแจงความถี ่ (f) และการหาค่าร้อยละ ตอนที่ 2 วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจ าเป็น โดยการหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และค่าดัชนีความต้องการจ าเป็น (PNImodified) ตอนที่ 3 วิเคราะห์ข้อคิดเห็น เพิ่มเติมโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ผลการวิจัย 1. สภาพปัจจุบัน สภาพที ่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐานของ โครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที ่พึงประสงค์จากแบบสอบถาม สามารถน ามาวิเคราะห์ ความต้องการจ าเป็น ได้ผลดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และล าดับความต้องการจ าเป็นในการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ในท้องถิ่นโครงการห้องเรียนพิเศษฯ โดยรวม (n=54) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และ ล าดับความต้องการจ าเป็นในการพัฒนา หลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โครงการห้องเรียนพิเศษฯ สภาพที่ปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ PNImodified ล าดับ ความ ต้องการ จ าเป็น ค่าเฉลี่ย SD แปลผล ค่าเฉลี่ย SD แปลผล 1. ด้านหลักสูตรและเนื้อหารายวิชา เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น 1) หลักสูตรที่เข้าศึกษามีเนื้อหาเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น 4.22 0.66 มาก 3.24 0.95 ปานกลาง 0.302 2 2) หลักสูตรมีความเหมาะสมตรงกับความ ต้องการของผู้เกี่ยวข้องกับโครงการห้องเรียน พิเศษฯ 4.28 0.66 มาก 3.02 1.21 ปานกลาง 0.417 1
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 30 ตารางที่ 1 สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และล าดับความต้องการจ าเป็นในการพัฒนาหลักสูตรฯ (ต่อ) (n=54) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และ ล าดับความต้องการจ าเป็นในการพัฒนา หลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โครงการห้องเรียนพิเศษฯ สภาพที่ปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ PNImodified ล าดับ ความ ต้องการ จ าเป็น ค่าเฉลี่ย SD แปลผล ค่าเฉลี่ย SD แปลผล 3) การจัดท าโครงสร้างหลักสูตร วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น 4.35 0.55 มาก 3.50 0.93 ปาน กลาง 0.243 3 4) หลักสูตรวิทยาศาสตร์มีการบูรณาการ กับความรู้หรือองค์ความรู้ในท้องถิ่นที่ทันสมัย และน่าสนใจ 4.20 0.76 มาก 3.81 0.93 มาก 0.102 4 5) รายวิชาในหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ในท้องถิ่นส่งเสริมให้เกิดทักษะและน าไปใช้ ในชีวิตประจ าวัน 4.30 0.66 มาก 4.07 0.75 มาก 0.057 5 รวม 4.27 0.66 มาก 3.53 0.95 มาก 0.210 1 2. ด้านการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน 1) ครูใช้การตั้งค าถาม กระตุ้นนักเรียน เพื่อให้คิดและหาค าตอบอย่างกระตือรือร้น 4.13 0.73 มาก 4.06 0.86 มาก 0.017 5 2) ครูจัดกิจกรรมเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนได้ คิดและลงมือปฏิบัติรูปแบบ Project-Based Learning; PBL 4.26 0.62 มาก 3.94 0.88 มาก 0.081 1 3) ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนทดลองหรือ ฝึกปฏิบัติ และค้นคว้าหาค าตอบอย่างสร้างสรรค์ น าไปสู่การสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม 4.22 0.72 มาก 3.93 0.89 มาก 0.074 2 4) ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้นักเรียน ได้คิดอย่างมีวิจารณญาณ ตัดสินใจและ แก้ปัญหา โดยการใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning; PBL) 3.96 0.85 มาก 3.81 1.01 มาก 0.039 3 5) ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียน วิเคราะห์ และเลือกใช้สื่อ สารสนเทศจาก แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ 4.09 0.90 มาก 3.94 0.90 มาก 0.038 4 รวม 4.13 0.76 มาก 3.94 0.91 มาก 0.048 2
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 31 ตารางที่ 1 สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และล าดับความต้องการจ าเป็นในการพัฒนาหลักสูตรฯ (ต่อ) (n = 54) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และ ล าดับความต้องการจ าเป็นในการพัฒนา หลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โครงการห้องเรียนพิเศษฯ สภาพที่ปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ PNImodified ล าดับ ความ ต้องการ จ าเป็น ค่าเฉลี่ย SD แปลผล ค่าเฉลี่ย SD แปลผล 3. ด้านความสามารถในการสร้างนวัตกรรม วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาท้องถิ่น 1) ความหมายและแนวคิดของนวัตกรรม 3.57 1.02 มาก 3.72 0.86 มาก 0.040 1 2) การจัดท าโครงการเพื่อออกแบบและ พัฒนานวัตกรรม 3.98 0.76 มาก 3.98 0.71 มาก 0.000 5 3) ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ นวัตกรรม 4.24 0.64 มาก 4.39 0.68 มาก 0.034 3 4) การพัฒนานวัตกรรมมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ทางธุรกิจ 4.09 0.87 มาก 4.24 0.67 มาก 0.035 2 5) การท างานอย่างสร้างสรรค์ร่วมกับผู้อื่น 4.26 0.68 มาก 4.28 0.63 มาก 0.005 4 รวม 4.03 0.79 มาก 4.12 0.71 มาก 0.021 5 4. ด้านการน าความรู้และทักษะไปใช้ ประโยชน์ 1) ความรู้และทักษะด้านสตรีมศึกษา (STEAM) 4.33 0.67 มาก 4.33 0.91 มาก 0.000 5 2) ความรู้และทักษะด้านศิลปะและการ ออกแบบ 4.44 0.74 มาก 4.37 0.68 มาก 0.016 4 3) ความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยี การออกแบบ 4.48 0.61 มาก 4.35 0.89 มาก 0.030 2 4) ความรู้และทักษะด้านการเป็น ผู้ประกอบการ 4.48 0.67 มาก 4.26 0.50 มาก 0.052 1 5) ความรู้และทักษะด้านการสืบสาน ทางวัฒนธรรม 4.52 0.61 มาก ที่สุด 4.02 0.66 มาก 0.124 3 รวม 4.45 0.66 มาก 4.27 0.73 มาก 0.042 3
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 32 ตารางที่ 1 สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และล าดับความต้องการจ าเป็นในการพัฒนาหลักสูตรฯ (ต่อ) (n=54) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และ ลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนา หลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โครงการห้องเรียนพิเศษฯ สภาพที่ปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ PNImodified ล าดับ ความ ต้องการ จ าเป็น ค่าเฉลี่ย SD แปลผล ค่าเฉลี่ย SD แปลผล 5. ด้านการใช้สื่อ การจัดสภาพแวดล้อม และแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัด การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่น โดยใช้วิจัยเป็นฐาน 1) ครูใช้สื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี ในการจัดการเรียนรู้ 4.11 0.74 มาก 4.06 0.71 มาก 0.012 5 2) ครูแนะนำแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ในการสืบค้นข้อมูลแก่นักเรียน 3.96 0.82 มาก 4.09 0.62 มาก 0.032 3 3) ครูใช้แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนและ แหล่งเรียนรู้จากชุมชนมาใช้เป็นแนวทาง ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่น โดยใช้วิจัยเป็นฐาน 4.04 0.80 มาก 4.24 0.73 มาก 0.047 2 4) สถานศึกษาสนับสนุนสิ่งอำนวย ความความสะดวก เช่นอุปกรณ์หรือ เครื่องมือสำหรับใช้ตรวจวัดนวัตกรรม วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาท้องถิ่น ให้พร้อม ใช้และปลอดภัยอยู่เสมอ 3.93 0.80 มาก 4.15 0.79 มาก 0.053 1 5) สถานศึกษาส่งเสริมและสนับสนุนให้ นักเรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจาก อินเทอร์เน็ต 3.96 0.78 มาก 4.04 0.85 มาก 0.020 4 รวม 4 0.79 มาก 4.12 0.74 มาก 0.029 4 6. ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่น โดยใช้วิจัยเป็นฐาน 1) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สอดคล้องจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.13 0.70 มาก 4.39 0.74 มาก 0.059 3
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 33 ตารางที่ 1 สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และล าดับความต้องการจ าเป็นในการพัฒนาหลักสูตรฯ (ต่อ) (n=54) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และ ล าดับความต้องการจ าเป็นในการพัฒนา หลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โครงการห้องเรียนพิเศษฯ สภาพที่ปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ PNImodified ล าดับ ความ ต้องการ จ าเป็น ค่าเฉลี่ย SD แปลผล ค่าเฉลี่ย SD แปลผล 2) การประเมินผลการเรียนรู้ไปพร้อม กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มี การปฏิบัติจริง 4.04 0.75 มาก 4.31 0.77 มาก 0.063 2 3) เปิดโอกาสให้นักเรียนและเพื่อนได้ ประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ 4.06 0.83 มาก 4.07 0.95 มาก 0.002 5 4) เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและชุมชน มีส่วนร่วมในการประเมินการเรียนรู้ 4.09 0.76 มาก 4.37 0.68 มาก 0.064 1 5) ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมีการประเมิน การเรียนรู้จากกระบวนการและผลงาน ที่ผู้เรียนสร้างขึ้น 4.13 0.70 มาก 4.37 0.73 มาก 0.055 4 รวม 4.09 0.75 มาก 4.30 0.77 มาก 0.048 2 ภาพรวม 4.16 0.74 มาก 4.04 0.80 มาก 0.066 จากตารางที่ 1 แสดงผลการศึกษาได้ว่า ล าดับความต้องการจ าเป็นสูงสุด 3 ล าดับแรก คือ ด้านหลักสูตร และเนื้อหารายวิชาเกี ่ยวกับวิทยาศาสตร์ในท้องถิ ่น ด้านการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน และด้านการวัด และประเมินผลการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ตามล าดับ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 สภาพปัจจุบันการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน พบว่า ในภาพรวมสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.16, S.D. = 0.74) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านที่มี ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการน าความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.45, S.D. = 0.66) รองลงมาคือ ด้านหลักสูตรและเนื้อหารายวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.27, S.D. = 0.66) และด้านการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน (ค่าเฉลี่ย = 4.13, S.D. = 0.76) ตามล าดับ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 34 1.2 สภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.04, S.D. = 0.80) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการวัด และประเมินผลการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน (ค่าเฉลี่ย = 4.30, S.D. = 0.77) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ด้านการน าความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.27, S.D. = 0.73) และด้านความสามารถในการสร้างนวัตกรรมวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาท้องถิ่น อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.12, S.D. = 0.71) ตามล าดับ 2. ความต้องการจ าเป็นของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน พบว่า ความต้องการจ าเป็นด้านที่มีความต้องการจ าเป็นสูงสุดคือ ด้านหลักสูตรและเนื้อหารายวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ในท้องถิ่น (PNImodified=0.210) รองลงมาคือ ด้านการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน และด้านการวัดและประเมินผล การเรียนรู้การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน (PNImodified=0.048) ซึ่งมีค่าความต้องการ จ าเป็นเท่ากัน ด้านการน าความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์(PNImodified=0.042) ด้านการใช้สื่อ การจัดสภาพแวดล้อม และแหล ่งเรียนรู้ที ่เอื้อต ่อการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน (PNImodified=0.029) และด้านความสามารถในการสร้างนวัตกรรมวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาท้องถิ่น (PNImodified=0.021) ตามล าดับ สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยในครั้งนี้พบว่า 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งด้านการน าความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์ เป็นด้านที ่มีค ่าเฉลี ่ยสูงสุด ส่วนด้านการใช้สื่อ การจัดสภาพแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่น โดยใช้ วิจัยเป็นฐาน เป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยต ่าสุด หากพิจารณาสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต ่าสุด คือ ด้านหลักสูตรและเนื้อหารายวิชาเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น และ 2) ความต้องการจ าเป็นของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัย เป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ด้านหลักสูตรและเนื้อหารายวิชาเกี ่ยวกับวิทยาศาสตร์ในท้องถิ ่น มีความต้องการจ าเป็นสูงสุด ดังนั้น โครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงจ าเป็น อย่างยิ่งที่ต้องด าเนินการพัฒนาหลักสูตรทางวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐานเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ของโลกในยุคปัจจุบัน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 35 อภิปรายผลการวิจัย 1) จากการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ด้านการนำความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์ เป็นด้านของสภาพปัจจุบัน ที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดอยู่ในระดับมาก แสดงให้ว่า โครงการห้องเรียนพิเศษฯ ได้จัดทำหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียน สร้างสรรค์ผลงานเชิงนวัตกรรมในรูปแบบโครงงานวิทยาศาสตร์ หรือสิ่งประดิษฐ์ โดยผู้เรียนจะได้รับความรู้ และทักษะในด้านต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ เช่น ทักษะความรู้ด้านสตรีมศึกษา (STEAM) ด้านศิลปะ และการออกแบบ ด้านเทคโนโลยีการออกแบบ ด้านการเป็นผู้ประกอบการ และด้านการสืบสานทางวัฒนธรรม สอดคล้องกับแนวคิดของ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ (2564, ออนไลน์) ที่กล่าวว่า โครงการห้องเรียนพิเศษ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการ ในความร่วมมือของหน่วยงาน สสวท. สพฐ. สกอ. และ สวทช. เพื่อเป็นการขยายฐานการพัฒนาและส่งเสริม ผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ โดยโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะต้องใช้ หลักสูตรการสอนพิเศษที่ทำให้นักเรียนได้รับการพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมทางวิชาการ โดยเฉพาะการส่งเสริม ให้ผู้เรียนได้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ เพื่อให้เกิด การพัฒนาด้านความรู้ ความสามารถ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและ สิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงไทยแลนด์ 4.0 และสอดคล้องกับ แนวคิดของ Howard County Public School System (2015: 317-327) ที่กล่าวว่า หลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มุ่งพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของผู้เรียนให้เกิดความชำนาญ และมีส่วนร่วมกับการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์เพื่อเกิดการเรียนรู้และนำแนวคิด ทักษะและกระบวนการต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมไปประยุกต์ใช้ให้ครอบคลุมต่อการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ที่พบได้ทั่วสังคมโลก ดังนั้นด้านการนำความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์ในหลักสูตรโครงการห้องเรียนพิเศษ วิทยาศาสตร์ฯ ทุกแห่งทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงมีการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรได้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของโครงการในสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่ได้ดีอย่างมาก ส่วนด้านการใช้สื่อ การจัดสภาพแวดล้อม และแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่น โดยใช้วิจัยเป็นฐาน มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดของ สภาพปัจจุบันที่มีการใช้หลักสูตรวิทยาศาสตร์ท้องถิ่น แต่ภาพรวมเฉพาะด้านการใช้สื่อ สภาพแวดล้อมฯ ที่เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ซึ่งสอดคล้อง กับผลการวิจัยของ ณภัทร จารึกฐิติและดวกงมล บางชวด (2561: 250-252) ได้ศึกษาการใช้หลักสูตร “โครงการ ห้องเรียนพิเศษ (GIFTED)” ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ซึ่งมีบริบท การบริหารตามวัตถุประสงค์ของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (STEM) เช่นเดียวกัน โดยมีผลการวิจัย พบว่า ด้านการจัดบริการวัสดุหลักสูตร และสื่อการจัดการเรียนรู้ ด้านการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้ใช้หลักสูตร และด้านการพัฒนาและใช้สื่อการจัดการเรียนรู้ ซึ่งภาพรวมการปฏิบัติอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากโรงเรียนมีการจัดหาเอกสารหลักสูตร ตำรา และเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรโครงการห้องเรียนพิเศษฯ อย่างเพียงพอ ครบถ้วน พร้อมสำหรับบริการแก่ครู และโรงเรียนจัดบริหารด้านระบบ Internet ภายในโรงเรียน เพื่อใช้สำหรับการจัด
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 36 การเรียนการสอนของครูผ่านเทคโนโลยีออนไลน์ และนักเรียนในการสืบค้นข้อมูล โรงเรียนมีการจัดสิ่งอำนวย ความสะดวกทางกายภาพในด้านต่าง ๆ เช่น อาคารสถานที่ ห้องปฏิบัติการ ห้องบริการสื่อ ศูนย์วิชาการ ห้องสมุด เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในหลักสูตรโครงการห้องเรียนพิเศษฯ และครูมีการใช้สื่อ อุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น Interactive board, Project, Visualizer เป็นต้น เพื่อประกอบการจัดการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนในโครงการห้องเรียนพิเศษฯ ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวัดและประเมินผล การเรียนรู้การจัด การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ซึ่งเป็นการประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้หลักสูตร โครงการห้องเรียนพิเศษฯ เพื่อการวางแผนในการพัฒนาผู้เรียนให้มีผลการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ (ณภัทร จารึกฐิติ และ ดวงกลม บางชวด, 2561: 252; เกษราภรณ์ถินนงค์และจิระพร ชะโน, 2564: 217) และยังเป็น การประเมินโครงการเพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนา ชี้แนะแนวทางของการดำเนินการให้ตรงกับเป้าหมาย ที่วางไว้ (รุ้งลาวัณย์จันทรัตนา และคณะ, 2561: 205) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านหลักสูตร และเนื้อหารายวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น แต่ภาพรวมของด้านนี้ยังมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่าสภาพที่พึงประสงค์ด้านหลักสูตรและเนื้อหารายวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นอาจยัง มีสาระหรือเนื้อหาในหลักสูตรของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือค่อนข้างน้อย จึงทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับโครงการพิเศษฯ นี้ได้รับรู้และให้ข้อมูล ไปทิศทางที่ต่ำกว่าด้านอื่น ๆ 2) ความต้องการจำเป็นต่อการพัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โดยใช้วิจัยเป็นฐาน ของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ด้านหลักสูตรและเนื้อหารายวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น มีความต้องการจำเป็นสูงสุด ทั้งนี้เนื่องจาก ในยุคปัจจุบันการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมาย ของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มาเน้นการใช้วิธีการที่ผู้เรียนเป็นผู้เสาะแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง และเกิดการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะของสังคมในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้นักเรียนสามารถอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุข รู้เท่าทัน และแข่งขันกับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งสิ่งที่ส่งผลให้ผู้เรียน มีการเปลี่ยนแปลงต่อการเรียนรู้อย่างมากคือ สังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ที่ผู้เรียนจะได้ต้องเรียนรู้ และเชื่อมโยงความรู้ระหว่างโลกธรรมชาติกับวัตถุและจิตใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชุมชนแต่ละท้องถิ่น จึงทำให้ผู้เรียนโครงการห้องเรียนพิเศษฯ มีความจำเป็นและต้องการได้รับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น ของตนเอง เพื่อสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ (Coll and Taylor, 2011: 77-782; ปิยวรรณ ศิริสวัสดิ์, 2559: 45 และพูนสุข อุดม และคณะ 2561: 249-251)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 37 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1. ด้านหลักสูตรและเนื้อหา ควรปรับให้เนื้อหาเหมาะสมกับความต้องการของผู้เกี่ยวข้อง และท้องถิ่น 2. ด้านการจัดการเรียนรู้ ควรจัดกิจกรรมเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนได้คิด ลงมือปฏิบัติ และค้นคว้า หาคำตอบอย่างสร้างสรรค์ นำไปสู่การสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมรูปแบบ Project-Based Learning; PBL 3. ด้านความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย และแนวคิดของนวัตกรรมให้กับผู้เรียน เพื่อเป็นการพัฒนานวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจ 4. ด้านการนำความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์ ควรมีความร่วมมือจากแหล่งเรียนรู้เชิงอุสาหกรรม และการพาณิชย์ให้นักเรียนได้ใช้ความรู้และทักษะในการฝึกประสบการณ์และผลิตนวัตกรรมร่วมกับ หน่วยภาครัฐและเอกชน 5. ด้านการใช้สื่อ การจัดสภาพแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ ควรจัดหา อุปกรณ์หรือเครื่องมือสำหรับใช้ตรวจวัดนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ให้เพียงพอต่อการใช้งาน 6. ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ควรเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วม ในการประเมินการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการยกร่างหลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้วิจัยเป็นฐานของโครงการ ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยระเบียบ วิธีวิจัยแบบวิจัยและพัฒนา (R&D) 2. ควรศึกษาโมเดลสมการของปัจจัยเชิงสาเหตุของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่น โดยใช้วิจัยเป็นฐานต่อประสิทธิผลการบริหารโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 38 เอกสารอ้างอิง เกษราภรณ์ถินจ านง และ จิระพร ชะโน. การประเมินโครงการหลักสูตรห้องเรียนพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนบัวขาว หลักสูตรปรับปรุงปีการศึกษา 2554. วารสารวิชาการธรรมทรรศน์, 21(3), 214-224. จินรีย์ตอทองหลาง และ จุไรรัตน์สุดรุ่ง. (2558). การศึกษาสภาพและปัญหาการใช้หลักสูตรห้องเรียนพิเศษ วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในโรงเรียนโยธินบูรณะ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 1. วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษา, 10(4), 14-26. ชลีรัตน์พะยอมแย้ม. (2548). วิทยาศาสตร์ท้องถิ่นการเรียนรู้ควบคู่การวิจัยความจริงในธรรมชาติใกล้ๆ ตัว. วารสารรูสมิแล, 26(2), 1-3. ณฐกรณ์ด าชะอม. (2560). การบริหารจัดการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม. [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยศิลปากร. ณภัทรจารึกฐิติและดวงกมล บางชวด. (2561). การศึกษาการใช้หลักสูตร “โครงการห้องเรียนพิเศษ (GIFTED)” ของโรงเรียนในสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1. Journal of Education, 13(4), 244–254. https://so01.tci-thaijo.org/index.php OJED/article/view/204615 ปิยวรรณ ศิริสวัสดิ์. (2559). การพัฒนาหลักสูตรเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ภูมิปัญญาการย้อมผ้า ด้วยสีธรรมชาติที่เน้นแหล่งเรียนรู้ในชุมชนเป็นฐาน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6. [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. พูนสุข อุดม, สมจิตร อุดม, สุวิทย์คงภักดี และ นรเศษฐ์ศรีแก้วกุล. (2561). การสร้างและพัฒนาหลักสูตร ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ (แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ระดับอนุบาลศึกษาไปจนถึงระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อบ่มเพาะผู้เรียนให้มีความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์). วารสารวิจัยมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย, 10(2), 246-262. พวงผกา ปวีณบ าเพ็ญ. (2560). การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน. ศึกษาศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 1(2), 62-71. รุ้งลาวัลย์จันทรัตนา, ศิริชัย นามบุรีและ อัสมาอ์โต๊ะยอ. (2561). การประเมินโครงการจัดตั้งห้องเรียนพิเศษ โปรแกรมวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา, 13(2), 203-215.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 39 วรรณิศา พิมพร. (2561). การประเมินความต้องการจ าเป็นในการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการด าเนินการ ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. (2564). รมช.ศธ. เยี่ยมชมโครงการ ห้องเรียนพิเศษ SMTE มุ่งปั้นเด็กไทยให้เป็นนักคิด นักวิจัยและนักประดิษฐ์ ณ โรงเรียนสุรนารีวิทยา. https://www.ipst.ac.th/news/17126/20211123_smte. html 25 มีนาคม 2565. ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2560). ประกาศรายชื่อโรงเรียนโครงการห้องเรียนพิเศษ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม. https://esmte.in.th/เกี่ยวกับเรา/ 12 มิถุนายน 2566. Coll, R.K., Taylor, N. (2012). An International Perspective on Science Curriculum Development and Implementation. In: Fraser, B., Tobin, K., McRobbie, C. (eds) Second International Handbook of Science Education. Springer International Handbooks of Education, vol 24. Springer, Dordrecht. https://doi.org/10.1007/978-1-4020-9041-7_51 Howard County Public School System. (2015). Feasibility Study An Annual Review of Long-Term Capital Planning and Redistricting Options. Maryland: Officeof school Planning.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 40 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง ความเข้มข้นของสารละลาย เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จังหวัดปทุมธานี The Effects of Problem-Based Learning on Solution of Concentration to Develop Learning Achievement and Problem Solving Abilities of Mattayomsuksa 4 Students in Pathum Thani Province ธนาพร ผ่องแผ้ว* Thanaporn Pongpaew บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่องความเข้มข้น ของสารละลาย (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง ความเข้มข้นของ สารละลาย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จังหวัดปทุมธานีโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และ (3) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จังหวัดปทุมธานีโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กลุ ่มตัวอย ่างที ่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 4 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (มัธยมวัดหัตถสารเกษตร) ในพระราชูปถัมภ์ฯ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จ านวน 26 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง ความเข้มข้นของสารละลาย แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก ่อนเรียนและหลังเรียน แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาก ่อนเรียนและหลังเรียน และใช้การทดสอบค่าที เป็นสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล จากการศึกษาพบว่า (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมีความสอดคล้องเชิงเนื้อหา เป็นไปตามเกณฑ์ (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่อง ความเข้มข้นของสารละลาย ของนักเรียน ที ่จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานหลังเรียนสูงกว ่าก ่อนเรียนอย ่างมีนัยส าคัญทางสถิติที ่ระดับ .05 และ (3) ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนที ่จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค าส าคัญ: การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน/ความสามารถในการแก้ปัญหา/ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน/ ความเข้มข้นของสารละลาย *ครู, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์(มัธยมวัดหัตถสารเกษตร) ในพระราชูปถัมภ์ฯ,ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี Teacher, Dipangkornwittayapat (Mattayomwathatasankaset) Under Royal Patronage School, The Secondary Educational Service Area Office Patum Thani
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 41 Abstract The purposes of this research were: (1) to develop Problem-Based Learning lesson plan on solution Concentration (2) to compare the pre-post learning achievement on solution Concentration with the use of Problem-Based Learning and; (3) to compare the pre-post problem solving abilities of Matthayomsuksa 4 Students in Pathum Thani Province. The research sample consisted of 26 Matthayomsuksa 4 students obtained by cluster sampling. The employed research instruments were lesson plans in the topic of Concentration with the use of Problem-Based Learning, pre-post learning achievement test, pre-post problem solving abilities test. The statistical procedure for data analysis was dependent t-test. The study indicated that; (1) the Problem-Based Learning lesson plan was consistent in terms of content validity criteria; (2) the post-learning achievement it the topic of Concentration with the use of Problem-Based Learning was significantly higher than pre-learning counterpart at the .05 level of statistical significance; and (3) post-learning problem solving abilities score with the use of Problem-Based Learning was significantly higher than pre-learning counterpart at the .05 level of statistical significance. Keywords: Problem-Based Learning/ problem solving abilities/ learning achievement/ Concentration บทน า ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราก าลังคนของบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ในช่วงศตวรรษที่ 20 มีแนวโน้มลดลง และนักเรียนที่จบการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย มีความสนใจในการศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ลดลง จากการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างประชากรไทยที่มีอัตราการเกิดลดลงและการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ จ านวน นักศึกษาระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อพิจารณาช่วงปี พ.ศ. 2559 – 2563 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยร้อยละ 1.19 ต่อปี หากเปรียบเทียบ ปี พ.ศ. 2555 กับปี พ.ศ. 2563 มีจ านวนนักศึกษาลดลง คิดเป็นร้อยละ 22 และคิดเป็นสัดส่วนบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์เมื่อเปรียบเทียบกับด้านสังคมศาสตร์เท่ากับร้อยละ 70 ต่อ 30 (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, 2565: 42-45) อีกทั้งผลการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 42 และคณิตศาสตร์ของนักเรียนมีแนวโน้มลดลงด้วย จากผลการประเมินสมรรถนะผู้เรียนตามมาตรฐานสากล (PISA) 2018 ผู้เรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยด้านวิทยาศาสตร์426 คะแนน และด้านคณิตศาสตร์419 คะแนน ต ่ากว ่าค ่าเฉลี ่ยของประเทศสมาชิก OECD ที ่มีคะแนนเฉลี ่ยด้านวิทยาศาสตร์ 489 คะแนน และ ด้านคณิตศาสตร์ 489 คะแนน ตามล าดับ และผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รายวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มีผลการทดสอบเฉลี่ยระดับประเทศต ่ากว่าร้อยละ 50 ทั้งสองรายวิชา ทุกปีการศึกษา (ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2564: 19-33) ปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้น สะท้อน ให้เห็นถึงปัญหาในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในโรงเรียน ซึ่งอาจท าให้นักเรียนขาดแรง บันดาลใจในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ อีกทั้งขาดการเชื ่อมโยงระหว ่างความรู้กับ ชีวิตประจ าวันและการประกอบอาชีพในอนาคตด้วย (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2557: 1) จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียน ทุกคนมีความสามารถเรียนรู้พัฒนาตนเองได้ โดยถือว่าผู้เรียนมีความส าคัญที่สุด จึงท าให้เกิดการปฏิรูป การศึกษาโดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ โดยในกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองตาม ธรรมชาติและเต็มศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546: 37) นอกจากนี้แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ซึ่งมีเจตนารมณ์มุ่งพัฒนาชีวิตให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมในการด ารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข สิ่งเหล่านี้ถือเป้าหมาย หลักของภาครัฐ ที ่ต้องการให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย ่างสมบูรณ์พร้อมทั้งความรู้และคุณธรรม ซึ ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของการจัดการศึกษา คือ ผู้เรียนเป็นคนเก ่ง คนดี และมีความสุข ยึดมั ่นใน คุณธรรมน าความรู้สู่สังคมไทย ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์จึงมีความจ าเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปจากการสอนเนื้อหาความรู้เพียงอย่างเดียวแต่เป็นการสอนโดยให้ ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งน ากระบวนการท างานเป็นทีม การเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียน มีส่วนร่วม การส่งเสริมสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม เข้ามามีส่วนในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งการน า ความรู้ในชีวิตประจ าวันเข้ามาสอดแทรกในชั้นเรียนอีกด้วย จากประสบการณ์การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนใน เรื่อง ความเข้มข้นของสารละลายต ่ากว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 (เกณฑ์โรงเรียน) เป็นจ านวนร้อยละ 60 ของนักเรียนทั้งหมด และเมื ่อพิจารณาถึงผลการประเมินผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รายวิชาวิทยาศาสตร์ พบว่า มีคะแนนต ่ากว่าร้อยละ 50 (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2564) จากข้อมูลดังกล ่าวแสดงให้เห็นว ่า การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ควรมีการปรับปรุงพัฒนา การจัดการเรียนรู้ที่ส ่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ให้มากยิ ่งขึ้น ส ่วนสาเหตุของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ที่ต ่าลงนั้น ส ่วนหนึ ่งเกิดจากนักเรียนไม่มี แรงจูงใจในการเรียน เนื้อหาวิชาห่างไกลจากชีวิตประจ าวันมากเกินไป และไม่สามารถน าไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจ าวันได้ รวมทั้งระดับความยากของเนื้อหา และลักษณะข้อสอบที่เน้นการจ ามากกว่าการเข้าใจ