วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 143 องค์ประกอบ ค าอธิบาย ความรู้เนื้อหาผนวกเทคโนโลยี (TCK) ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีและ เนื้อหารวมถึงความรู้ในการเลือกและใช้เทคโนโลยี ให้เหมาะสมกับเนื้อหานั้น ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเทคโนโลยี (TPK) ความรู้ในการเลือกและใช้เทคโนโลยีในการเรียน การสอน การจัดการชั้นเรียน การสร้างแผน การจัดการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ ของผู้เรียน ความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีและวิธีการสอน ในเนื้อหาเฉพาะ การบูรณาการเทคโนโลยี การส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาและกระบวนการ เรียนรู้ของผู้เรียน ตาราง 2 แบบสอบถามความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 ข้อค าถาม องค์ประกอบที่ 1 ความรู้เทคโนโลยี (TK) TK1: ฉันมีความความสนใจศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ TK2: ฉันมีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยี TK3: ฉันมีความรู้เกี ่ยวกับการใช้ Microsoft office ได้แก ่ Microsoft word Microsoft Excel Power Point TK4: ฉันมีความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลผ่านระบบ Internet เช่น Facebook Line E-mail TK5: ฉันมีความรู้และทักษะเกี ่ยวกับการใช้สื ่อเทคโนโลยีเช ่น E-BOOK E-Learning YouTube แอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับการศึกษา องค์ประกอบที่ 2 ความรู้ศาสตร์การสอน (PK) PK1: ฉันมีความรู้ในจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ PK2: ฉันมีความรู้ในการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้และใช้เทคนิคการสอนที่หลากหลาย เพื่อรองรับ ความแตกต่างของผู้เรียน PK3: ฉันมีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ที่หลากหลาย PK4: ฉันมีความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการชั้นเรียน PK5: ฉันมีความรู้ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 144 ข้อค าถาม องค์ประกอบที่ 3 ความรู้เนื้อหา (CK) CK1: ฉันมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาอย่างชัดเจน เช่น เข้าใจหลักการ ทฤษฎี และธรรมชาติวิชา CK2: ฉันมีความรู้ในหลักการและอธิบายเนื้อหาให้เข้าใจได้ง่าย CK3: ฉันมีการพัฒนาตนเองด้านความรู้ในเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง CK4: ฉันมีความแม่นย าในเนื้อหาวิชา CK5: ฉันเชื่อมโยงเนื้อหาที่สอนไปสู่เนื้อหาอื่นที่สัมพันธ์กันได้ องค์ประกอบที่ 4 ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเนื้อหา (PCK) PCK1: ฉันใช้เทคนิคการสอนได้เหมาะสมกับธรรมชาติของเนื้อหาที่จะสอน PCK2: ฉันมีความรู้ในการบูรณาการเทคนิควิธีการสอนที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความสนใจของผู้เรียน ในการเรียนรู้ได้ PCK3: ฉันใช้เทคนิคการวัดผลประเมินผลการเรียนได้เหมาะสมกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ในการเรียน องค์ประกอบที่ 5 ความรู้เนื้อหาผนวกเทคโนโลยี (TCK) TCK1: ฉันมีความรู้ในการใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม TCK2: ฉันสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมการสอนเนื้อหาในบทเรียน TCK3: ฉันใช้สื่อเทคโนโลยีได้สอดคล้องเหมาะสมกับเนื้อหา องค์ประกอบที่ 6 ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเทคโนโลยี (TPK) TPK1: ฉันใช้เทคโนโลยีได้เหมาะสมกับกิจกรรมในการจัดการเรียนรู้ TPK2: ฉันใช้เทคโนโลยีในการผลิตสื่อ/นวัตกรรมเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน TPK3: ฉันใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เรียน องค์ประกอบที่ 7 ความรู้เนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี (TPACK) TPACK1: ฉันสามารถสอนโดยการบูรณาการวิธีการสอนร ่วมกับความรู้ในเนื้อหาและเทคโนโลยีได้ อย่างเหมาะสม TPACK2: ฉันเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการสอนและสิ่งที่ได้เรียนรู้ TPACK3: ฉันสามารถเป็นผู้น าในการให้ความช ่วยเหลือ และให้ความร ่วมมือผู้อื ่นส าหรับการใช้วิธี การสอนร่วมกับเนื้อหาและเทคโนโลยีทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนได้ ระดับคุณภาพปรับปรุงจาก Chai et al. (2011) และ Erdoğmuş et al. (2020) 4.51 – 5.00 ระดับคุณภาพมากที่สุด 4.01 – 4.50 ระดับคุณภาพมาก 3.51 – 4.00 ระดับคุณภาพปานกลาง 3.01 – 3.50 ระดับคุณภาพน้อย น้อยกว่าหรือเท่ากับ 3.00 ระดับคุณภาพน้อยที่สุด
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 145 ผลการวิจัย 1. ผลส ารวจความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 ตาราง 3 ผลส ารวจความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 ประเด็น ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ระดับ องค์ประกอบที่ 1 ความรู้เทคโนโลยี (TK) 3.801 .615 ปานกลาง องค์ประกอบที่ 2 ความรู้ศาสตร์การสอน (PK) 3.750 .532 ปานกลาง องค์ประกอบที่ 3 ความรู้เนื้อหา (CK) 3.878 .518 ปานกลาง องค์ประกอบที่ 4 ความรู้ศาสตร์การสอนผนวก เนื้อหา (PCK) 3.859 .564 ปานกลาง องค์ประกอบที่ 5 ความรู้เนื้อหาผนวกเทคโนโลยี (TCK) 3.830 .610 ปานกลาง องค์ประกอบที่ 6 ความรู้ศาสตร์การสอนผนวก เทคโนโลยี (TPK) 3.807 .610 ปานกลาง องค์ประกอบที ่ 7 ความรู้เนื้อหาผนวกวิธีสอน และเทคโนโลยี (TPACK) 3.725 .580 ปานกลาง ผลรวมทั้งหมด (Total TPACK) 3.807 .576 ปานกลาง ผลส ารวจความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 พบว ่า ภาพรวมอยู ่ในระดับปานกลาง ค ่าเฉลี ่ยเท ่ากับ 3.807 องค์ประกอบความรู้ในเนื้อหา (CK) มีค่าเฉลี่ยมากสุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.878 ความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีสอน และเทคโนโลยี (TPACK) มีค่าเฉลี่ยน้อยสุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.725
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 146 2. ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามเพศ รายวิชาที่สอน อายุ ระดับชั้นที่สอน และขนาดโรงเรียน ผู้วิจัยศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ประกอบด้วย เพศ รายวิชาที่สอน อายุ ระดับชั้นที่สอน และขนาดโรงเรียน ตาราง 4 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามเพศ ประเด็นการ เปรียบเทียบ เพศชาย เพศหญิง t P N Mean S.D. N Mean S.D. TPACK 53 3.736 .461 232 3.824 .494 -1.187 .236 จากตาราง 4 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 จ าแนกตามเพศ พบว ่า ครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที ่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 จ าแนกตามเพศมีความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีไม่แตกต่างกัน ตาราง 5 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามรายวิชาที่สอน แหล่งของ ความ แปรปรวน Sum of Squares df Mean Square F Sig. ระหว่างกลุ่ม 2.351 9 .261 1.098 .365 ภายในกลุ่ม 65.452 275 .238 รวม 67.803 284 จากตาราง 5 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามรายวิชาที ่สอน พบว่า ครูสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามรายวิชาที่สอน มีความรู้เนื้อหาผนวก วิธีการสอนและเทคโนโลยีไม่แตกต่างกัน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 147 ตาราง 6 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามช่วงอายุ แหล่งของ ความ แปรปรวน Sum of Squares df Mean Square F Sig. ระหว่างกลุ่ม 1.748 3 .582 2.476 .062 ภายในกลุ่ม 66.057 281 .235 รวม 67.803 284 จากตาราง 6 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามช่วงอายุ พบว่า ครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามช่วงอายุ มีความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีไม่แตกต่างกัน ตาราง 7 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามระดับชั้นที่สอน แหล่งของ ความ แปรปรวน Sum of Squares df Mean Square F Sig. ระหว่างกลุ่ม 1.607 4 .402 1.699 .150 ภายในกลุ่ม 66.196 280 .236 รวม 67.803 284 จากตาราง 7 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามระดับชั้นที่สอน พบว่า ครูสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามระดับชั้นที่สอน มีความรู้เนื้อหา ผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีไม่แตกต่างกัน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 148 ตาราง 8 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามขนาดโรงเรียน แหล่งของ ความ แปรปรวน Sum of Squares df Mean Square F Sig. ระหว่างกลุ่ม 3.987 3 1.329 5.852 .001 ภายในกลุ่ม 63.816 281 .227 รวม 67.803 284 จากตาราง 8 ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามขนาดโรงเรียน พบว่า ครูสังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามขนาดโรงเรียน มีความรู้เนื้อหาผนวก วิธีการสอนและเทคโนโลยีแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตาราง 9 การทดสอบความแตกต่างค ่าเฉลี ่ยเป็นรายคู่ของขนาดโรงเรียนที่มีผลต ่อความรู้เนื้อหาผนวก วิธีการสอนและเทคโนโลยี (I) ขนาด (J) ขนาด Mean Difference (I-J) Std. Error Sig. 95% Confidence Interval Lower Bound Upper Bound ขนาดเล็ก ขนาดกลาง -.10180 .08139 .212 -.2620 .0584 ขนาดใหญ่ -.49637* .16029 .002 -.8119 -.1809 ขนาดใหญ่พิเศษ -.27470* .08786 .002 -.4476 -.1018 ขนาดกลาง ขนาดเล็ก .10180 .08139 .212 -.0584 .2620 ขนาดใหญ่ -.39457* .14907 .009 -.6880 -.1011 ขนาดใหญ่พิเศษ -.17290* .06518 .008 -.3012 -.0446 ขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก .49637* .16029 .002 .1809 .8119 ขนาดกลาง .39457* .14907 .009 .1011 .6880 ขนาดใหญ่พิเศษ .22167 .15270 .148 -.0789 .5223 ขนาดใหญ่ พิเศษ ขนาดเล็ก .27470* .08786 .002 .1018 .4476 ขนาดกลาง .17290* .06518 .008 .0446 .3012
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 149 (I) ขนาด (J) ขนาด Mean Difference (I-J) Std. Error Sig. 95% Confidence Interval Lower Bound Upper Bound ขนาดใหญ่ -.22167 .15270 .148 -.5223 .0789 *The mean difference is significant at the 0.05 level. ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามขนาดโรงเรียน เมื่อเปรียบเทียบรายคู่พบว่า ครูในโรงเรียนขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษมีความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีสูงกว่าครู ในโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า 1. ความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.807 องค์ประกอบความรู้ ในเนื้อหา (CK) มีค่าเฉลี่ย 3.878 มากที่สุด องค์ประกอบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี (TPACK) มีค่าเฉลี่ย 3.725 น้อยที่สุด 2. เปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครู จ าแนกตามเพศ รายวิชาที่สอน อายุ ระดับชั้นที่สอนไม่แตกต่างกัน แต่ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยี จ าแนกตามขนาดโรงเรียน พบว ่า แตกต ่างกันอย ่างมีนัยส าคัญทางสถิติที ่ระดับ .05 ครูในโรงเรียนขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษมีความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีสูงกว่าครู ในโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก อภิปรายผลการวิจัย 1. ผลส ารวจความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 พบว ่า ภาพรวมอยู ่ในระดับปานกลาง ค ่าเฉลี ่ยเท ่ากับ 3.807 องค์ประกอบความรู้ในเนื้อหา (CK) ค่าเฉลี่ย 3.878 มากที่สุด แสดงว่าครูมีความรู้ความเข้าใจเกี ่ยวกับ เนื้อหาอย่างชัดเจน เช่น เข้าใจหลักการ ทฤษฎี และธรรมชาติวิชา มีความรู้ในหลักการและอธิบายเนื้อหา ให้เข้าใจได้ง ่าย มีการพัฒนาตนเองด้านความรู้ในเนื้อหาอย ่างต ่อเนื ่อง มีความแม ่นย าในเนื้อหาวิชา และสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาที่สอนไปสู่เนื้อหาอื่นที่สัมพันธ์กันได้ ส่วนองค์ประกอบความรู้ในเนื้อหาผนวก วิธีสอนและเทคโนโลยี (TPACK) มีค่าเฉลี่ย 3.725 น้อยที่สุด แสดงว่า ครูต้องได้รับการพัฒนาการสอน โดยการบูรณาการวิธีการสอนร่วมกับความรู้ในเนื้อหาและเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม เลือกใช้เทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการสอนและสิ่งที่ได้เรียนรู้ ต้องได้รับการส่งเสริมความเป็นผู้น าในการให้ความช่วยเหลือ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 150 และให้ความร่วมมือผู้อื่นส าหรับการใช้วิธีการสอนร่วมกับเนื้อหาและเทคโนโลยีทั้งภายในและภายนอก โรงเรียน นอกจากนี้พบว่า จุดเด่นของครูคือ ครูมีความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลผ่านระบบ Internet เช่น Facebook Line E-mail ส่วนจุดที่ควรพัฒนาอย่างเร่งด่วนคือ ครูขาดการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม ของผู้เรียน และครูขาดความรู้ด้านการวิจัยเพื ่อพัฒนาผู้เรียน สอดคล้องกับ ลือชา ลดาชาติ (2565) ที่ระบุว่า ครูมีองค์ประกอบความรู้ในเนื้อหา (CK) สูงเนื่องจากหลักสูตรการผลิตครูวิทยาศาสตร์มักอยู่ใน รูปแบบการบรรยายความรู้ขั้นสูงในระดับมหาลัย แต่ขาดการความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่นักการศึกษายังไม่คุ้นเคย ควรพัฒนาครูให้รู้ว่าตนเองจะสอนเนื้อหานั้นให้ผู้เรียน เข้าใจได้อย่างไร 2. ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามเพศ รายวิชาที่สอน อายุ ระดับชั้นที ่สอน ไม ่แตกต ่างกัน สอดคล้องกับ Friedrichsen and Dana (2005) ที ่ระบุว ่า เนื้อหาวิชาไม ่ใช ่ปัจจัยหลัก ที่ส่งผลต่อความเชื่อ และความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียน แต่ผลการเปรียบเทียบ ความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี จ าแนกตามขนาดโรงเรียน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที ่ระดับ .05 ครูในโรงเรียนขนาดใหญ ่ และขนาดใหญ ่พิเศษมีความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีสูงกว่าครูในโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก เนื่องจากครูในโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก มักประสบปัญหาครูไม่ครบชั้นและไม่ครบสาระวิชาตามหลักสูตรปัจจุบัน นอกจากนี้ยังขาดแคลนเทคโนโลยี เพื่อการศึกษา ส่งผลให้ความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีมีน้อยกว่าครูในโรงเรียนขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษ สอดคล้องกับ กัญภร เอี่ยมพญา และคณะ (2565) ที่ระบุว่า ปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็ก คือ จ านวนครูไม่ครบชั้นและไม่ครบสาระวิชาตามหลักสูตรปัจจุบัน ครูระดับประถมศึกษา โรงเรียนแต่ละแห่ง ได้รับการจัดสรรงบประมาณค ่าใช้จ ่ายในการจัดการศึกษาจากรัฐบาล โดยคิดเป็นรายหัวนักเรียน ซึ ่งการจัดสรรงบประมาณในลักษณะดังกล ่าว ส ่งผลให้โรงเรียนขนาดเล็กที ่มีจ านวนนักเรียนน้อย อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ ส่งผลให้โรงเรียนขนาดเล็กขาดทั้งอุปกรณ์ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ท าให้ประสิทธิภาพ ในการเรียนการสอนลดลง นอกจากโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีครูที่สอนไม่ตรงวิชาเอก ส่งผลต่อความรู้เนื้อหา ผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีต ่า สอดคล้องกับ Paidican & Arredondo (2022) ที่ระบุว่า ความรู้เนื้อหา ผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีของครูมีความเจาะจงกับเนื้อหาที่สอนทั้งในระดับวิชาและธรรมชาติของ วิชาที่เป็นลักษณะเฉพาะ (Paidican & Arredondo, 2022)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 151 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะทั่วไป 1. ควรมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ส าหรับครูสังกัด ส านักงานเขตพื้นที ่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 โดยการสอดแทรกความรู้ ทักษะการสอน ในระดับลึกและกว้างกว่าที่ปรากฎในหลักสูตร และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาการสอนตามกรอบ แนวคิดความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี 2. ครูในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลางควรได้รับการพัฒนาความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรม ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษาเชิงคุณภาพ เพื ่อค้นหาแนวทางปฏิบัติที ่ชัดเจนในการพัฒนาความรู้ในเนื้อหาผนวก วิธีการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ของครู เอกสารอ้างอิง กัญภร เอี่ยมพญา, นิวัตต์ น้อยมณี, พรทิพย์ อ้นเกษม, ดาวประกาย ระโส, และ อภิชาติ อนุกูลเวช. (2565). โรงเรียนขนาดเล็ก: ปัญหาที่ต้องตัดสินใจ. The Journal of Sirindhornparithat, 23(1), 316-329. จุฬารัตน์ ธรรมประทีป. (2559). การพัฒนาความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยีในการสอน วิทยาศาสตร์. Journal of Research and Curriculum Development, 6(2), 1-13. ลือชา ลดาชาติ. (2565). ความรู้เนื้อหาผสานวิธีสอนส าหรับการสอนวิทยาศาสตร์. ส านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ส านักงานคณะกรรมการการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2561). ยุทธศาสตร์ขาติ พ.ศ. 2561-2580. ส านักงานคณะกรรมการการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. Baran, E., Chuang, H. H., & Thompson, A. (2011). TPACK: An emerging research and development tool for teacher educators. Turkish Online Journal of Educational TechnologyTOJET, 10(4), 370-377. Chai, C. S., Koh, J. H. L., Tsai, C. C., & Tan, L. L. W. (2011). Modeling primary school pre-service teachers’ Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) for meaningful learning with information and communication technology (ICT). Computers & Education, 57(1), 1184-1193. Erdogmuş, C., Çoban, E., Korkmaz, O., & Ozden, M. Y. (2020). Technological formation scale for teachers (TFS): Development and validation. Participatory Educational Research, 8(2), 260-279.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 152 Friedrichsen, P. M., & Dana, T. M. (2003). Using a card-sorting task to elicit and clarify scienceteaching orientations. Journal of Science Teacher Education, 14(4), 291-309. Hosseini, Z. (2015). Development of technological pedagogical content knowledge through constructionist activities. Procedia-Social and Behavioral Sciences, 182, 98-103. Koehler, M., & Mishra, P. (2009). What is technological pedagogical content knowledge (TPACK). Contemporary issues in technology and teacher education, 9(1), 60-70. Koh, J. H. L., Chai, C. S., & Tsai, C. C. (2014). Demographic factors, TPACK constructs, and teachers' perceptions of constructivist-oriented TPACK. Journal of Educational Technology & Society, 17(1), 185-196. Paidican, M. A., & Arredondo, P. A. (2022). The Technological-Pedagogical Knowledge for In-Service Teachers in Primary Education: A Systematic Literature Review. Contemporary educational technology, 14(3). Schmidt, D. A., Baran, E., Thompson, A. D., Mishra, P., Koehler, M. J., & Shin, T. S. (2009). Technological pedagogical content knowledge (TPACK) the development and validation of an assessment instrument for preservice teachers. Journal of research on Technology in Education, 42(2), 123-149. Shulman, L. S. (1986). Those who understand: Knowledge growth in teaching. Educational researcher, 15(2), 4-14.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 153 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 Developing Learning Achievement on Esterification Reaction Through Stem Education for Grade 12 Students *วงศธร อึ้งธีรกุล Wongsatron Auengthirakun บทคัดย่อ การวิจัยเรื ่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื ่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ด้วยการจัด การเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษามีวัตถุประสงค์เพื ่อ เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ก ่อนและหลังได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจ ต ่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื ่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน กลุ ่มตัวอย ่างที ่ใช้ ในการวิจัย ได้แก ่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 โรงเรียนทุ ่งฟ้าวิทยาคม จ านวน 20 คน ซึ ่งได้มาโดย การเลือกแบบเจาะจง ด าเนินการวิจัยแบบกึ่งทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ การเรียนรู้เรื ่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา และแบบสอบถาม ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าอ านาจจ าแนก ค่าความตรงเชิงเนื้อหา ค่าความยากของของแบบทดสอบ และค ่า t-test ผลการวิจัยพบว ่า ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ด้วยสะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทุ ่งฟ้าวิทยาคมสูงกว ่าก ่อนเรียนอย ่างมีนัยส าคัญทางสถิติที ่ .05 และความคิดเห็นของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม ที่มีต่อการเรียนด้วยชุดสะเต็มศึกษา ในภาพรวมมีคะแนนรวม 3.79 อยู่ในระดับมาก ค าส าคัญ: สะเต็มศึกษา/ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน *นักศึกษาปริญญาครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเคมี, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, มหาลัยราชภัฏก าแพงเพชร Graduate of Education Student, Program in Chemistry , Faculty of Science and Technology Bachelor, Kamphaeng Phet Rajabhat University
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 154 Abstract This research aims to developing learning achievement on esterification reaction with STEM education management. The purposes of the research were to 1) compare the achievement scores before and after receiving the learning management on the topic of Integrated STEM Education on the esterification reaction and 2) to study the satisfaction with STEM integrated learning management on the topic of the esterification reaction. The sample were 20 grade 12 students of Thungfahwittayakom School. They were purposive sampling.The method of conducting this research is quasi-experimental research. The instruments Consisted of a learning achievement test on esterification reactions ,a learning management plan using STEM education, a questionnaire on students' opinions towards learning by using STEM. The research results showed that the learning achievement by STEM education of grade 12 students at Thungfahwittayakom School was significantly higher than before at the .05 level. The student’s opinions toward studying with STEM education were at the highest level with 3.79. The statistics used to find were the IOC value, the discriminant power value. Content validity Difficulty of the test and t-test Keywords: STEM Education / learning Achievements บทน า กรอบแนวคิดตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห ่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที ่แก้ไขเพิ ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 22 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผูู้เรียนมีความส าคัญที่สุดกระบวนการ จัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ และมาตรา 24 ระบุว่า การจัด กระบวนการเรียนรู้จะต้องฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความรู้มาใช้เพื ่อป้องกันและแก้ไขปัญหา (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2553: 2) ซึ่งสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห ่งชาติ พ.ศ. 2560–2579 กล่าวไว้ว่าสภาวการณ์และบริบทแวดล้อม ที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาการศึกษาของประเทศ ทั้งด้านความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลแบบก้าวกระโดด ที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ภูมิภาค และโลก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ไปสูู่สังคมสูงวัย และทักษะของประชากรในศตวรรษที ่ 21 ที่ทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับความท้าทายและมุ่ง พัฒนาประเทศไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมยุค 4.0 จึงมีความจ าเป็นที ่ประเทศไทยต้องปฏิรูป การศึกษา เพื ่อให้การศึกษาเป็นกลไกหลักในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของทุนมนุษย์ (ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560: 58)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 155 ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงมีบทบาทส าคัญยิ่งในสังคมปัจจุบันและโลกอนาคต และเป็นวัฒนธรรมของ โลกสมัยใหม่ ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรูู้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 4) เพราะวิทยาศาสตร์ช่วยให้ มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจ าวันและอาชีพที่เกี่ยวข้องได้อย่างเป็นระบบ ตัดสินใจเลือกใช้ข้อมูลที ่หลากหลาย และมีประจักษ์พยานเป็นรูปธรรมที ่สามารถตรวจสอบได้ อีกทั้ง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีการเจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการด ารงชีวิตของ มนุษย์ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งในด้านการศึกษาที่ประเทศไทย ของเราจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก จึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่ง ที่ครูจะต้องจัดกระบวนการเรียนรูู้ให้ผูู้เรียนได้รับความรูู้อย่างเต็มศักยภาพ และเต็มความสามารถของแต่ละ บุคคล (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห ่งชาติ, 2553: 4) ตลอดจนหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก าหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้น การเชื่อมโยงด้านเนื้อหาความรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการท ากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 3) ดังนั้น แนวโน้มการจัดการศึกษาจึงจ าเป็นต้องบูรณาการทั้งด้านศาสตร์ต่าง ๆ และบูรณาการ การเรียนในห้องเรียนกับชีวิตจริง ท าให้การเรียนนั้นมีความหมายต ่อผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนจะเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของการเรียน และสามารถน าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวันได้ เป็นการเตรียมผู้เรียนในการเรียน ต่อไปในชั้นสูงขึ้น เกิดการเพิ่มโอกาสการท างานในอนาคต การเพิ่มมูลค่า และการสร้างความแข็งแกร่ง ให้กับประเทศด้านเศรษฐกิจได้(พรทิพย์ ศิริภัทราชัย, 2556: 53) ถึงแม้ว่าวิชาเคมีจะมีความส าคัญมาก แต่กลับพบปัญหาการให้ความสนใจในการเรียนรายวิชาเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก อยู่ในระดับต ่า ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต ่าตามมาด้วย โดยอิงจากการสอบเก็บคะแนน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เนื่องจากธรรมชาติของวิชาเคมี มีลักษณะ ที ่เป็นความรู้และกระบวนการเชิงวิเคราะห์ ซึ ่งมีโครงสร้างเนื้อหาที ่เป็นนามธรรม มีการสืบค้นความรู้ และด้วยเนื้อหาที่มีจ านวนมาก ท าให้ยากต่อการจ าและท าความเข้าใจ (พัชรีร่มพยอม วิชัยดิษฐ์, 2558: 31) ซึ่งอาจส่งผลให้นักเรียนขาดความสนใจ และความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ มองว่าวิชาเคมีเป็นเรื่องยาก และตั้งอคติต ่อรายวิชา ซึ ่งเป็นเหตุให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู ่ในระดับต ่าและไม ่สามารถ น าความรู้ไปประยุกต์ใช้ต่อไปได้ ในการพัฒนานักเรียนให้เกิดทักษะการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ชิ้นงานในศตวรรษที่ 21 สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องการพัฒนาคุณภาพของการศึกษาไทย โดยการด าเนินการ โครงการสะเต็มศึกษา (STEM Education) ซึ ่งสะเต็มศึกษาจะสามารถช ่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม รวมถึงการสื่อสารและความร่วมมือได้เป็นอย่างดี และสะเต็มศึกษา เป็นการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 156 วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) (สิรินภา กิจเกื้อกูล, 2558: 67) โดยมีจุดเด่นและธรรมชาติตลอดจนวิธีการสอนของแต่ละวิชามาผสมผสานกัน เพื่อให้นักเรียนน าความรู้ มาใช้ในการแก้ปัญหาค้นคว้าความคิดสร้างสรรค์และการสร้างชิ้นงาน โดยมีกระบวนการการออกแบบ เชิงวิศวกรรม ประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ขั้นตอน คือ การระบุปัญหา การค้นหาแนวคิดที ่เกี ่ยวข้อง การวางแผนและพัฒนา การทดสอบและประเมินผล และการน าเสนอผลลัพธ์ (สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2558: 4) จากการศึกษาพบว่า วิธีการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เป็นการสอนให้เกิดการเรียนรู้ที่เน้น นักเรียนเป็นส าคัญ ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดให้แก่ผู้เรียนอย่างเป็นระบบ โดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือท า ด้วยตัวเอง ท าให้ได้รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง จากหลักการและ เหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ท าให้ผู้วิจัยเล็งเห็นว่าวิธีการสอนแบบปกติในห้องเรียน พบว่านักเรียนขาดทักษะ การวิเคราะห์ และความรู้พื้นฐานในเรื ่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ผู้วิจัยจึงสนใจที ่จะศึกษาการจัด การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน เพื่อพัฒนานักเรียนในเรื่องทักษะ การวิเคราะห์ และปูความรู้พื้นฐาน เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันใหม่ และสะเต็มศึกษายังสามารถบูรณาการ ทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและการออกแบบเชิงวิศวกรรม ส ่งเสริมทักษะการเรียนรู้ และการสร้างสรรค์ชิ้นงาน ในด้านทักษะการแก้ปัญหา ทักษะความคิดสร้างสรรค์และทักษะการสื่อสาร และความร่วมมือได้เป็นอย ่างดี ซึ ่งเป็นคุณลักษณะที ่ส าคัญของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 โดยเชื ่อว่าการจัด การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาให้กับนักเรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้มากกว่าการรับรู้หรือจดจ า อีกทั้งนักเรียนสามารถน าความรู้ไปเชื่อมโยงกับชีวิตประจ าวัน พัฒนาตนเอง สังคมและประเทศชาติต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิยาคม จังหวัดตาก 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิยาคม จังหวัดตาก สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน มีความรู้ ความเข้าใจวิชาเคมีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน มีความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน อยู่ในระดับมาก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 157 ขอบเขตของการศึกษา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความพึงพอใจ เนื้อหาในการศึกษา การศึกษาในครั้งนี้ ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องปฏิกิริยา เอสเทอริฟิเคชัน และความพึงพอใจของนักเรียนที ่มีต ่อการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาในการจัด การเรียนการสอน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการสังเคราะห์เอสเทอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยวิเคราะห์ข้อมูล และน าเสนอผลการศึกษาในประเด็นดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน 2. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาในการจัด การเรียนการสอน ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ได้แนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องปฏิกิริยา เอสเทอริฟิเคชัน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2. นักเรียนได้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีการด าเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้การวิจัยแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest Posttest Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประกอบด้วย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ความพึงพอใจ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 158 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษาวิชาเคมี เรื ่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1.2แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันเป็นแบบทดสอบ แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ 1.3แบบวัดความพึงพอใจที่มีการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ชนิดมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ 1.4 ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน วิธีการสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยด าเนินการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือตามล าดับดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ การสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษาวิชาเคมี เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามล าดับขั้นตอนดังนี้ 1.1ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมของโรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม เกี่ยวกับค าอธิบาย รายวิชา สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิชัน กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาเคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เพื่อให้ทราบแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน 1.3 ก าหนดโครงสร้างและเนื้อหาที่จะน าไปสร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม สะเต็มศึกษา เรื ่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 โดยมีองค์ประกอบของแผนการจัด การเรียนรู้ที่ส าคัญ โดยมีทั้งหมด 1 แผนจัดการเรียนรู้ จ านวน 15 ชั่วโมง จะจัดการเรียนการสอนสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง ทั้งหมด 5 สัปดาห์โดยออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยา เอสเทอริฟิเคชัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามโครงสร้าง วัตถุประสงค์ และเนื้อหาที่ก าหนดไว้ 1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ให้สัมพันธ์กับเนื้อหา และเวลาตามที่ออกแบบไว้ 1.5 น าเสนอแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ที่สร้างขึ้นต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการเขียนแผน ความสัมพันธ์ระหว่าง จุดประสงค์กับเนื้อหา กิจกรรม สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผล 1.6 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน มาปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 159 1.7 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ที่แก้ไขแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่านพิจารณา และประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้องของ รายละเอียดต่าง ๆ ในแต่ละองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ 1.8 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน มาปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี ่ยวชาญ โดยน าค าแนะน าจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุง จากนั้นน า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมอีกครั้ง เพื่อประเมินความเหมาะส มของ แผนการจัดการเรียนรู้ 1.9 จัดพิมพ์ฉบับสมบูรณ์ แล้วน าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 20 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน การสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื ่องปฏิกิริยา เอสเทอร์ริฟิเคชัน ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามล าดับขั้นตอนดังนี้ 2.1ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แล้วก าหนดรูปแบบที ่ใช้วัดเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื ่องเอสเทอริฟิเคชัน เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก 2.2ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมของโรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคมเกี่ยวกับค าอธิบาย รายวิชา สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ เรื ่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน กลุ ่มสาระวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี วิชาเคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 จากนั้นน าผลการเรียนรู้มาวิเคราะห์เป็นจุดประสงค์ การเรียนรู้และท าผังข้อสอบ โดยก าหนดจ านวนข้อสอบในผังข้อสอบเป็นปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ 2.3 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่านช่วยพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหา โดยพิจารณาความสอดคล้อง ระหว ่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ จากนั้นเลือกข้อสอบที ่มีค ่า IOC มากกว ่าหรือเท ่ากับ 0.50 มาจัดท าเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน 2.4 ทดลองเก็บข้อมูล โดยทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ภาคเรียนที ่ 1 ปีการศึกษา 2565 ที ่ไม ่ใช ่กลุ ่มเป้าหมาย จ านวน 20 คน เพื ่อน าผลการทดลองมาประเมินคุณภาพของ แบบทดสอบ 2.5 วิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบ และหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ทั้งฉบับ 2.6 น าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน ทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 20 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 160 3.แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา การสร้างและหาคุณภาพ ของแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้าง ตามล าดับขั้นตอนดังนี้ 3.1 ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ แล้วมาก าหนดเป็นนิยามศัพท์ 3.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ แล้วก าหนดรูปแบบที ่ใช้วัดเป็นแบบวัด ความพึงพอใจที ่มีต ่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เป็นแบบมาตรส ่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ 3.3 สร้างข้อค าถามให้สอดคล้องนิยามศัพท์ โดยสร้างให้มีจ านวนข้อมากกว่า 15 ข้อ 3.4 น าแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษาที่สร้างขึ้น ไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่านช่วยพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหาโดยพิจารณาความสอดคล้องระหว ่าง ข้อสอบกับนิยามศัพท์ จากนั้นเลือกข้อสอบที ่มีค่า IOC มากกว่าหรือเท่ากับ 0.50 มาจัดท าเป็นแบบวัด ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา 3.5 ทดลองเก็บข้อมูล โดยทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ภาคเรียนที ่ 1 ปีการศึกษา 2565 ที ่ไม ่ใช ่กลุ ่มเป้าหมายจ านวน 20 คน เพื ่อน าผลการทดลองมาประเมินคุณภาพของ แบบวัดความพึงพอใจ 3.6 วิเคราะห์คุณภาพของแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม สะเต็มศึกษาโดยการหาค่าความเชื่อมั่น 3.7 น าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน ทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 20 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 4. ชุดกิจกรรมเกมประกอบการสอนเรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน 4.1 ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ดังนี้ 1.ศึกษาเนื้อหาเรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ที่ใช้ในการวิจัยประกอบไปด้วยความเข้มข้นของ สารละลาย การเตรียมสารละลาย และสมบัติบางประการของสารละลาย และผู้วิจัยเชื่อมโยงเนื้อหาเรื่อง เอสเทอร์ควบคู่ไปกับการด าเนินกิจกรรมสะเต็มศึกษาวิชาเคมี เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน เพื่อให้นักเรียน สามารถใช้ความรู้เรื ่องเคมีอินทรีย์ในเนื้อหาเรื ่องเอสเทอร์ และสามารถสังเคราะห์เอสเทอร์ กลิ่นที่นักเรียนสนใจได้ 2. ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เอสเทอร์ และการเกิดปฏิกิริยา เอสเทอริฟิเคชัน ซึ ่งเป็นปฏิกิริยาหลักในการสร้างสรรค์ชิ้นงานเพื ่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม สะเต็มศึกษาวิชาเคมีเรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน จากนั้นท าการทดลองโดยแบ่งเป็น 1 ขั้นตอนดังนี้
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 161 ตอนที่ 1 ค านวณปริมาณสารที่จ าเป็นต้องใช้ในการสังเคราะห์น ้าหอม 1. เขียนชื่อกลิ่นที่จะท าการสังเคราะห์ 2. เขียนปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันของน ้าหอมของกลิ่นที่จะท าการสังเคราะห์ 3. กรดคาร์บอกซิลิกที่ใช้ในกิจกรรมนี้มีโครงสร้างโมเลกุลค่อนข้างใหญ่และมีมวลโมเลกุล มากเมื ่อเปรียบเทียบกับแอลกอฮอล์ดังนั้นจึงได้ก าหนดให้ใช้กรดคาร์บอกซิลิก 0.5 กรัม และสัดส่วนโมลของกรดคาร์บอกซิลิก : แอลกอฮอล์เท่ากับ 1 mol : 10 mol 4. ค านวณปริมาณสารที่จ าเป็นต้องใช้ (ตัวอย่างการค านวณการสังเคราะห์ เมทิวซาลิซิเลต) การสังเคราะห์ เมทิวซาลิซิเลต สมการ วิธีการค านวณ กรดซาลิซิลิก (C7H6O3 ) : มวลโมเลกุล = 138.121 g/mol กรดซาลิซิลิก 0.5 กรัม = 0.5 g ÷ 138.121 g/mol = 3.6 x 10-3 mol เมทานอล (CH3OH) : ใช้โมล 10 เท่าของกรดซาลิซิลิก ดังนั้นใช้3.6 x 10-2 mol ซึ่งมวลโมเลกุล = 32.04 g/mol ความหนาแน่น 0.792 g / mL ดังนั้นใช้เมทานอล = 3.6 x 10-2 mol x 32.01 g/mol 0.792 g/mL = 1.46 mL (หรือ 1.50 mL โดยประมาณ) จากตัวอย ่างในการทดลองนี้แอลกอฮอล์ส ่วนหนึ ่งจะท าหน้าที ่เป็นสารตั้งต้นของปฏิกิริยา และแอลกอฮอล์ส่วนที่เหลือท าหน้าที่เป็นตัวท าละลายหรือตัวกลางของปฏิกิริยา ซึ่งแอลกอฮอล์ที่เหลือจาก การท าปฏิกิริยาจะมีผลรบกวนกลิ่นของเอสเทอร์น้อยมาก 5. ศึกษาหนังสือเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา จากการศึกษาพบว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษาเป็นแนวทางการจัดการศึกษาให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้และสามารถบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ไปใช้ในการเชื่อมโยงและแก้ปัญหาในชีวิตจริงพร้อมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 162 4.2ด าเนินการสร้างกิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ซึ่งมีรายละเอียของ กิจกรรมดังนี้ 1. ครูเชื่อมโยงสถานการณ์ตัวอย่างดังต่อไปนี้ นักเรียนเป็นนักเคมีในสังกัดบริษัทน ้าหอมแห่งหนึ่ง โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 25 – 40 ปีและบริษัทได้เปิดกิจการมานาน 15 ปี แต่ในช่วง 2-3 ปีหลังพบว่า ประสบภาวะ การขาดทุนเนื ่องจากบุคคลในช่วงอายุดังกล่าวไม ่นิยมใช้น ้าหอมเหมือนในอดีต ดังนั้นทางบริษัทจึงจัด ประชุมและได้ข้อสรุปว่าจะผลิตน ้าหอมส าหรับวัยรุ่นอายุ 13 – 18 ปีโดยทางบริษัทต้องการให้นักเรียนไป ส ารวจกลิ่นน ้าหอมที่กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบและให้นักเรียนคิดค้นสูตรการสังเคราะห์น ้าหอมที่มีกลิ่นดังกล่าว โดยใช้อุปกรณ์และสารเคมีที ่มีในห้องปฏิบัติการเท ่านั้น นอกจากนี้นักเรียนต้องออกแบบโปสเตอร์ และสโลแกนขายน ้าหอมด้วย โดยนักเรียนต้องท าภารกิจทุกอย ่างให้เสร็จภายในเวลาที ่ก าหนด และให้วางแผนการด าเนินงานก่อนเริ่มท ากิจกรรม 2. นักเรียนศึกษาใบความรู้คือ การเกิดเอสเทอร์ และการสังเคราะห์น ้าหอม และน าความรู้ จากใบความรู้ที่ได้มาค านวณปริมาณสารที่ใช้ในการสังเคราะห์น ้าหอมกลิ่นที่สนใจ ลงในตารางพร้อมทั้ง แสดงรายละเอียดวิธีการค านวณ 3. นักเรียนจะได้แก้ไขปรับปรุงและพัฒนาน ้าหอมสังเคราะห์ครั้งต่อไป โดยมีเงื่อนไข ที่ท้าทายความสามารถมากขึ้น ซึ่งต้องใช้ความรู้จากการเกิดเอสเทอร์เพื่อให้ได้กลิ่นตามที่ต้องการ พร้อมทั้ง เรียนรู้เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ได้แก่ การเตรียมสารเพื่อท าการสังเคราะห์น ้าหอมกลิ่นที่นักเรียน ต้องการ 4. เมื ่อสิ้นสุดกิจกรรมการเรียนรู้ข้างต้น นักเรียนต้องร ่วมกันออกแบบวิธีการน าเสนอผล จากการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์โดยจ าลองสถานการณ์ที่เกี่ยวกับการออกแบบโปสเตอร์และสโลแกน ในการขายน ้าหอมอีกด้วย ขั้นตอนการด าเนินการวิจัย การด าเนินการทดลองเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยด าเนินการทดลองตามล าดับขั้นตอนดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ ผู้วิจัยด าเนินการจัดนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม จ านวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจ านวน 20 คน เป็นกลุ ่มเป้าหมาย จัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา และเนื้อหาที่ใช้ในการทดลองคือ เนื้อหาวิชาเคมี เอสเทอร์:ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2.การด าเนินการด าเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ถึงเดือนตุลาคม 2565
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 163 3. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ผู้วิจัยท าการทดสอบก ่อนเรียนกับนักเรียนกลุ ่มเป้าหมายด้วยแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเอสเทอร์ : ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ โดยที่คะแนนเฉลี่ยหลังหลังเรียนของนักเรียนจะสูงกว่าก่อนเรียน 3.2 ด าเนินการทดลองสอน โดยผู้วิจัยท าการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา โดยใช้เวลา 15 ชั่วโมง 3.3 เมื ่อสิ้นสุดการทดลองสอน ผู้วิจัยท าการทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเอสเทอร์ : ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ และแบบวัดความพึงพอใจที ่มีต ่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรม สะเต็มศึกษา เป็นแบบสอบถามชนิดมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ 3.4 น าคะแนนที่ได้จากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง เอสเทอร์: ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน และแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา มาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ที่ก าหนด แล้วน ามาวิเคราะห์ต่อไป พบว่าความพอใจของนักเรียนอยู่ในระดับ พอใจที่มาก การจัดกระท าข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ศึกษาประสิทธิภาพของกิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน โดยค านวณจาก ร้อยละของนักเรียนที่ท าแบบวัดแนวคิดเรื่องสารละลายหลังเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสะเต็มศึกษา ซึ่งก าหนด เกณฑ์ว่า จ านวนนักเรียนร้อยละ 70 มีคะแนนแนวคิด เรื่อง การเกิดเอสเทอร์หรือปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ไม่ต ่ากว่าร้อยละ 50 โดยค านวนหาค่าร้อยละของจ านวนนักเรียน 2. วิเคราะห์คะแนนแนวคิดเรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เรียนรู้ด้วยกิจกรรมสะเต็มศึกษาเรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ซึ่งใช้คะแนนจากแบบทดแนวคิดก่อนเรียน และหลังเรียน โดยใช้วิธีการทางสถิติแบบ T-test for dependent samples การทดสอบสมมติฐานภายใน กลุ่มทดลองดังนี้ 3. ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา ผู้วิจัยวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา โดยใช้ค ่าเฉลี ่ย และส ่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วเทียบกับเกณฑ์ ที่ก าหนด โดยก าหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายของค่าเฉลี่ยดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด: 102-103) คะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง พึงพอใจมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง พึงพอใจน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 164 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 1.1 การหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเอสเทอร์: ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน 1.1.1 การหาความตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตรดัชนีค่าความสอดคล้อง IOC (บุญชม ศรีสะอาด: 96) 1.1.2 การหาค่าอ านาจจ าแนก (Discrimination) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ได้แก ่ แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยใช้สูตรของ Brennan B – Index (สมนึก ภัททิยธนี: 214) และแบบอัตนัย ชนิดเขียนอธิบาย (สมนึก ภัททิยธนี: 214) 1.1.3 การหาค่าความยากของของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้แก่ แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก แบบอัตนัย ชนิดเขียนอธิบาย (กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์, 2556) และการหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ทั้งฉบับ โดยใช้สูตร Lovett (บุญชม ศรีสะอาด: 96) 1.2 การหาคุณภาพของแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา การหาความตรงเชิงเนื้อหาของแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ สะเต็มศึกษา โดยใช้สูตรดัชนีค่าความสอดคล้อง IOC (บุญชม ศรีสะอาด: 96) 2. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ 2.1 ค่าร้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด: 96) 2.2 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) โดยใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด: 96) 2.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด: 106) 3. สถิติที ่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ใช้ t-test (Dependent Samples) โดยค านวณค ่า t จากสูตร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ: 104)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 165 ผลการวิจัย ตอนที่ 1เพื่อเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบสะเต็มศึกษา เรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบผลคะแนนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัด การเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน เลขที่ของนักเรียน คะแนนก่อนเรียน (20 คะแนน) คะแนนหลังเรียน (20 คะแนน) 1 5 14 2 4 15 3 4 15 4 3 14 5 4 13 6 4 15 7 4 14 8 6 16 9 5 14 10 4 15 11 3 12 12 6 13 13 5 14 14 6 14 15 5 16 16 3 15 17 2 13 18 19 20 3 4 3 14 14 13 ค่าเฉลี่ย (̅) 4 14.143 ค่า S.D. 1.14 3.03
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 166 จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องปฏิกิริยา เอสเทอริฟิเคชัน มีค่าเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 4 และหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 14.14 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของก่อนเรียนเท่ากับ 1.14 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของหลังเรียนเท่ากับ 3.03 จึงสามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาสูงกว่าก่อนเรียน และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน ตารางที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลจากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื ่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ก ่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา โดยใช้วิธี t – Test: Paired Two Sample for Means คะแนนทดสอบ n mean S.D. t df sig. ก่อนเรียน 20 4.00 1.41 36.18 19 0.00* หลังเรียน 20 14.14 1.39 *ที่ระดับนัยส าคัญ .05 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องปฏิกิริยา เอสเทอริฟิเคชัน มีค่าเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 4 และหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา มีค่าเฉลี่ย เท ่ากับ 14.14 เมื ่อน าคะแนนมาเปรียบเทียบพบว ่าค ่า t-Stat (36.18) มากกว ่าค ่า t-Critical One-tail (1.70) และค่า P พบว่า ค่า P(T<=t) one-tail มีค่า .00 ซึ่งน้อยกว่าค่าระดับความเชื่อมั่นที่ตั้งไว้คือ .05 จึงสามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบสะเต็มศึกษาสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับนัยส าคัญทางสถิติ .05 ตอนที ่ 2 การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต ่อการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา โดยใช้แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ตารางที่ 3 การหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบสะเต็มศึกษา ข้อที่ การจัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ค่าทางสถิติ ̅ S.D. ระดับความพึงพอใจ 1 เนื้อหาเหมาะสมกับพื้นฐานและความต้องการ ของผู้เรียน 3.96 0.64 มาก 2 เนื้อหาเหมาะสมกับเวลาในการจัดการเรียนรู้ 3.96 0.51 มาก 3 เนื้อหาสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้ 4.11 0.63 มาก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 167 ข้อที่ การจัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ค่าทางสถิติ ̅ S.D. ระดับความพึงพอใจ 4 ผู้สอนสามารถอธิบายโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และมีการใช้น ้าเสียงสูง ต ่า ในการสอน 3.32 0.55 ปานกลาง 5 ผู้สอนมีการเตรียมตัวล่วงหน้า 4.00 0.00 มาก 6 ผู้สอนสามารถตอบข้อซักถามของผู้เรียนได้ 3.96 0.58 มาก 7 ผู้สอนมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมต่อการจัดการเรียนรู้ 4.00 0.00 มาก 8 ผู้สอนใช้กิจกรรมในการน าเข้าสู่บทเรียน และประกอบการจัดการเรียนรู้ 4.00 0.38 มาก 9 กิจกรรมในการจัดการเรียนรู้เหมาะสมและ ช่วยท าให้เข้าใจง่ายขึ้น 3.50 0.58 มาก 10 กิจกรรมในการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหา รายวิชาและระยะเวลาในการจัดการเรียนการสอน 4.18 0.48 มาก 11 มีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา 3.36 0.49 ปานกลาง 12 มีการเปิดเผยคะแนนและน าเสนอแนะแนวทาง ของค าตอบ 3.07 0.26 ปานกลาง 13 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีความชัดเจน และยุติธรรม 4.29 0.46 มาก 14 บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมต่อการเรียนรู้ 3.79 0.42 มาก 15 ใช้สื่อที่หลากหลายในการจัดการเรียนรู้ เช่น พาวเวอร์พอยต์ วีดิทัศน์ การทดลอง เป็นต้น 3.32 0.48 ปานกลาง รวม 3.79 0.43 มาก จากตารางที ่ 3 ระดับความพึงพอใจของนักเรียนต ่อการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ในเรื่องปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจในด้านเนื้อหารายวิชาอยู่ในระดับมาก ในด้านผู้สอนมีความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ยกเว้น การใช้ภาษาและน ้าเสียงในการสอนที่อยู่ในระดับ ปานกลาง ในด้านการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมประกอบการเรียนรู้ มีความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ในด้านการวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้มีความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ยกเว้นด้านความชัดเจน และความยุติธรรมอยู่ในระดับมาก และในด้านปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนรู้มีความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมาก ด้านบรรยากาศในการเรียนรู้อยู่ในระดับปานกลาง ด้านการใช้สื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับปานกลาง และในภาพรวมความพึงพอใจของผู้เรียนอยู่ที่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.79
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 168 อภิปรายผล จากการศึกษาในครั้งนี้มีจุดมุ ่งหมายเพื ่อเปรียบเทียบการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสะเต็มศึกษา ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม จากผลการศึกษาค้นคว้าผู้วิจัยอภิปรายผลตามล าดับดังนี้ 1.เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื ่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน หลังเรียน ระหว ่างนักเรียนที ่ได้รับจากการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา จากการศึกษาพบว ่า ผลการวิเคราะห์ข้อมูล มีคะแนนเฉลี ่ยของคะแนนสอบหลังเรียน มีความแตกต ่างกันอย ่างมีนัยส าคัญทางสถิติที ่ระดับ .05 ซึ ่งหมายความว ่า หลังการทดลองนักเรียนกลุ ่มทดลองที ่จัดการเรียนการสอนแบบสะเต็มศึกษา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน สูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้อาจเนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียน สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองโดยผ่านการท ากิจกรรมและการสร้างสรรค์ชิ้นงาน และประกอบกับการบูรณาการ สาระวิชาต ่างๆเข้าด้วยกัน ได้แก่ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ซึ ่งการจัด การเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษานั้น ช่วยให้นักเรียนมีความรู้และทักษะที่จ าเป็นต่อการด าเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 ที่ไม่ได้เรียนรู้เพียงเนื้อหาสาระ หรือเพื่อเรียนรู้ที่จะสอบวัดความรู้เพียงอย่างเดียว แต่การจัดการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 นั้น ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้จากโจทย์ปัญหาในชีวิตจริงที ่ต้องเรียนแบบลงมือปฏิบัติ และตระหนักถึงการเป็นพลเมืองที ่ดีของสังคม สอดคล้องกับที ่ศาสตราจารย์นายแพทย์ วิจารณ์พานิช (2558) ซึ ่งได้กล ่าวถึงทักษะเพื ่อการด ารงชีวิตในศตวรรษ ที ่ 21 ไว้ว ่า “สาระวิชาก็มีความส าคัญแต ่ไม่ เพียงพอส าหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์ โดยครูช ่วยแนะน าและช ่วยออกแบบ กิจกรรมที ่ช ่วยให้นักเรียนแต ่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าการเรียนรู้ของตนเองได้ โดยสาระ วิชาหลัก (Core Subjects) ประกอบด้วย ภาษาแม่ และภาษาส าคัญของโลกรวมไปถึงศิลปะ คณิตศาสตร์ การปกครองและหน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ โดยวิชาแกนหลักนี้ จะน ามาสู่การก าหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์ส าคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) โดยการส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาวิชาแกนหลักและสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปในทุกวิชาแกนหลัก และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ภาณุพงศ์โคนชัยภูมิ (2560: บทคัดย่อ) ศึกษา การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาเรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถด้านการคิดเชิงระบบผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง ของนักเรียนที่สอนโดยวิธีการสะเต็มศึกษา ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 สอดคล้องกับงานวิจัยของ พลศักดิ์ แสงพรมศรี, ประสาท เนืองเฉลิม, ปิยะเนตร จันทร์ถิระติกุล (2558) ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงและเจตคติ ต่อการเรียนเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษากับแบบปกติ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 169 ผลการวิจัยพบว ่า นักเรียนที ่ได้รับการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง และเจตคติต่อการเรียนเคมีสูงกว่าการเรียนรู้แบบปกติ 2. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต ่อวิธีการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็ม นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมาก การเน้นวิธีการท างานแบบกลุ่ม และก่อให้เกิดทักษะการแก้ปัญหา และนักเรียนสามารถเชื่อมโยงสาระวิชาต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาได้อีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับน ้าลิน เทียมแก้ว (2560) ด้านบุคลากรผู้ให้บริการ เนื่องมาจาก ผู้ใช้บริการนั้นก็คือนักเรียนมีความพึงพอใจต่อบุคลากรนั้น ก็คือครูที ่มีความรู้ความสามารถในการค าแนะน า และช ่วยเหลือ และมีบุคลิกภาพ กิริยามารยาท และการสื่อสารที่เหมาะสม ทั้งนี้จากการจัดการเรียนแบบสะเต็มศึกษาเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ผ ่านชิ้นงาน กระบวนการกลุ ่ม และยังบูรณาการกับกลุ่มสาระวิชาต ่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื ่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่กว้างมากขึ้น ซึ่งการจัดการเรียนรู้ในแบบเดิม ๆ มักจะสอน ในเนื้อหาสาระรายวิชาใดวิชาหนึ่งเท่านั้น โดยส่วนมากจะเน้นการสอนเชิงบรรยาย ท าให้การจัดการเรียนรู้ แบบสะเต็มศึกษามีความโดดเด่น มีความน่าสนใจมากขึ้น อีกทั้งยังมีความเหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 ที ่สอดคล้องกับงานวิจัยของ ถนอมขวัญ วิบูลย์ธนสาร และปิยรัตน์ดรบัณฑิต (2562) การศึกษาพัฒนาการของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่อง พันธะเคมี พบว่านักเรียนมีค่าคะแนนพัฒนาการทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมในศตวรรษที่21 ด้านความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมเพิ ่มขึ้นเฉลี ่ยเท ่ากับ ร้อยละ 12.19 เนื ่องมาจากการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษา เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการบูรณาการความรู้ผ่านการออกแบบด้วยกระบวนการเชิงวิศวกรรม โดยให้ นักเรียนร่วมกันสร้างสรรค์ชิ้นงาน และแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ในศตวรรษที่ 21 ด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และด้านการร่วมมือการท างานและการสื่อสาร ให้กับนักเรียน การจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาท าให้นักเรียนมีพัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์สูงขึ้น เนื่องจากนักเรียนสามารถออกแบบและสร้างชิ้นงานได้อย่างสร้างสรรค์เพื่อใช้แก้ปัญหา ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1. นักเรียนบางคนยังไม่เข้าใจเนื้อหาที่ครูผู้สอนท าการสอน จึงต้องพัฒนาวิธีการสอนในรูปแบบใหม่ๆ ให้นักเรียนเข้าใจ 2. นักเรียนบางคนไม่เข้าใจว่าสารไหนคือแอลกอฮอล์ หรือสารไหนคือกรดควรอธิบายให้นักเรียนได้ เข้าใจมากขึ้นกว่านี้
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 170 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีสารเคมีให้เพียงพอต่อการทดลองของนักเรียนทั้งชั้นเรียน 2. ควรมีการวัดพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนในหลายๆด้าน เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา หรือความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น 3. ควรพัฒนาชุดสะเต็มศึกษาเพื่อน าไปปรับใช้ในระดับชั้นเรียนอื่น ๆ ได้ เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551.ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย. กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์. (2563). การพัฒนาแบบทดสอบอัตนัยประยุกต์วัดความสามารถในการแก้โจทย์ ปัญหาฟิสิกส์ ตามแนวคิดการแก้ปัญหาเชิงตรรกะของเฮลเลอร์และเฮลเลอร์ เรื ่อง ไฟฟ้าสถิต ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษา. ชาญชัย ค าสะอาด. (2553). การใช้เทคนิค POE เพื่อเพิ่มความเข้าใจเรื่องไฟฟ้าและแม่เหล็กไฟฟ้า. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาคเหนือ, 3(3): 9-15. ถนอมขวัญ วิบูลย์ธนสาร และ ปิยรัตน์ ดรบัณฑิต. (2562). การพัฒนาชุดกิจกรรมตามแนวสะเต็มศึกษา เรื่องพันธะเคมีเพื่อส่งเสริมทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย. [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. น ้าลิน เทียมแก้ว. (2560). ความพึงพอใจต่อการใช้บริการสํานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประจําปีการศึกษา 2560. ส านักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 7). สุวีริยาสาส์น. พัชรี ร่มพยอม วิชัยดิษฐ. (2558). ผลของการจัดการเรียนรู้แบบ 5E ร่วมกับเทคนิค KWHL ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและอภิปัญญาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยทักษิณ. พรทิพย์ ศิริภัทราชัย. (2556). Stem Education กับการพัฒนาในศตวรรษที่ 21. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 33(2), 49-56. พลศักดิ์แสงพรมศรี ,ประสาท เนืองเฉลิม, และ ปิยะเนตร จันทร์ถิระติกุล. (2558). การเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงและเจตคติต่อการเรียนเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษากับแบบปกติ. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 9(ฉบับพิเศษ), 410-411.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 171 ภาณุพงศ์โคนชัยภูมิ. (2560). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่องการสังเคราะห์ ด้วยแสงชั้นมัธยมศึกษาปีที่5เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถด้านการคิดเชิงระบบ. [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวิจัยเพื่อการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 5). สุวีริยาสาส์น. วิจารณ์ พานิช. (2556). ทักษะแห่งอนาคตใหม่: การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21 (พิมพ์ครั้งที่ 2). มูลนิธิสยามกัมมาจล. ศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติ. (2557). คู่มือเครือข่ายสะเต็มศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 1). สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กระทรวงศึกษาธิการ. สมนึก ภัททิยธนี. (2544). การวัดผลการศึกษา. ประสานการพิมพ์. สิรินภา กิจเกื้อกูล. (2558). สะเต็มศึกษา (STEM EDUCATION). วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2553). แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ การคิดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมระดับมัธยมศึกษา. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560).แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560 -2579. พริกหวานกราฟฟิค. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2558). คู่มืออบรมครูสะเต็มศึกษา. สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กระทรวงศึกษาธิการ. Anderson, L. W., & Krathwohl, D. R. (2001). A taxonomy for learning, teaching, and assessing: A revision of Bloom’s taxonomy of educational objectives. New York: Addison Wesley Longman.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 172 การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) The development of video materials for learning English vocabulary of grade 3 Ban San Khong (Chiang Rai Charoonrat) School สุทธิลักษณ์ กันธิพันธ์* Suthiluck Kanthipan บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื ่อ 1) พัฒนาสื ่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย 2) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านก่อนและหลังใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ 3) ศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียน ที่มีต่อการใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 37 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยคือสื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบแบบ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของสื ่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3/1 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ทั้ง 3 เรื่อง มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81/90, 83/87.5, 82/90.5 นั่นคือสูงกว่าเกณฑ์80/80 แสดงว่านวัตกรรมสามารถน าไปใช้ได้ 2) ผลสัมฤทธิ์การจ าค าศัพท์ก ่อนเรียนและหลังเรียนการใช้สื ่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3/1 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที ่มีต ่อการใช้สื ่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ในภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก มีค ่าเฉลี ่ย ( X =4.24,S.D. = 0.49) ข้อที ่นักเรียนมีความพึงพอใจอยู ่ในระดับมากที ่สุด *ครู, โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์), ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 Teacher, Ban San Khong School (Chiang Rai Jaroonrat), Chiang Rai Primary Educational Service Area Office 1
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 173 คือ ครูมีการเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือในการสอน มีค่าเฉลี่ย ( X = 4.71,S.D. = 0.46) รองลงมา คือ ครูมีเทคนิคการสอนที่ตื่นเต้น น่าสนใจ ( X = 4.58,S.D. = 0.72)และกิจกรรมการเรียนรู้ในชั่วโมงสนุกน่าสนใจ นักเรียนต้องการให้ครูปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่อยู่เสมอ( X = 4.56,S.D. = 0.50) ค าส าคัญ: สื่อวีดีทัศน์/ ทักษะการเรียนรู้/ ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ Abstract The objectives of this research were 1 ) to develop video materials for teaching English vocabulary of grade 3 students at Ban San Khong School (Chiang Rai Jaroonrat), Chiang Rai Province; 3 ) for the student's satisfaction with the use of video teaching. of grade 5 students at Ban San Khong School (Chiang Rai Jaroon Rat), Chiang Rai Province. The sample group used in this research were 3 7 students in grade 3/1 at Ban San Khong School (Chiang Rai Jaroonrat) using a purposive random sampling method. The instrument used was accompanying video media. teaching english vocabulary A pre-learning and postlearning achievement test and a questionnaire to measure satisfaction towards the use of video media for teaching English vocabulary. were analyzed for percentage, mean ( X ) and standard deviation ( S.D. ) as follows: The results showed that 1 ) Efficiency of instructional video media to develop English vocabulary skills of grade 3 students at Ban San Khong School (Chiang Rai Jaroonrat), Chiang Rai Province, both lessons were effective at 81/90. , 83/87.5, 82/90.5 that is above the threshold 80/80 shows that innovation can be applied. 2) Achievement in pre-learning and post-learning vocabulary using video media to develop English vocabulary learning skills of grade 3 students at Ban San Khong School (Chiang Rai Jaroonrat). After learning was higher than before learning at statistical significance at .05. 3) The student's satisfaction towards the use of video instruction to develop English vocabulary skills of grade 3 students at Ban San KhongSchool. (Chiang Rai Jaroonrat) Overall, the students were satisfied at a high level with an average ( X =4.24, S.D. = 0.49) and teaching tools had average values ( X = 4.71, S.D. = 0.46) followed by teachers with exciting and interesting teaching techniques ( X = 4.58,S.D. = 0.72) and learning activities
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 174 in fun and interesting hours. Students always want teachers to improve learning activities with unconventional methods ( X = 4.56,S.D. = 0.50) Keywords: video media/ learning skills/ English vocabulary บทน า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และฉบับที่ 3 พ.ศ. 2553 ระบุไว้ในมาตรา 22 และ 24 ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ ในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว ่าผู้เรียนมีความส าคัญที ่สุด กระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มศักยภาพ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ส านักนายกรัฐมนตรี, 2545: 13) อีกทั้งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ก าหนดให้มีตัวชี้วัดที่ใช้สมรรถนะที่ส าคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์เป็นเป้าหมายหลัก ของการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียนมีความส าคัญที่สุด การจัดการเรียนรู้ต้องค านึงถึง ความแตกต ่างระหว ่างบุคคล และให้ความส าคัญทั้งความรู้และคุณธรรม ผู้สอนต้องพยายามคัดสรร กระบวนการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับศักยภาพและบริบทของผู้เรียน การก าหนด บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน การใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และการออกแบบการวัดผลและประเมินผล เพื ่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน และน าไปสู ่การพัฒนาสมรรถนะส าคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ต่อไป (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552: 3) ส าหรับการเรียนภาษาอังกฤษ ทักษะที่จ าเป็นและส าคัญส าหรับคนไทยในยุคการสื่อสารผ่านข้อมูล ข่าวสารนี้คือ ทักษะการอ่าน เพราะการอ่านเป็นทักษะที่จ าเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาหาความรู้ และพัฒนา ชีวิต ผู้เรียนจ าเป็นจะต้องใช้ทักษะการอ่านในการติดต่อสื่อสาร และการแสวงหาความรู้ จากแหล่งต่าง ๆ โดย Burton (Burton, 1997: 143) นักปรัชญาชาวอังกฤษ ได้กล่าวถึงความส าคัญของการอ่านว่า การอ่าน ท าให้คนเป็นคนโดยสมบูรณ์ และประเวศ วะสี (ประเวศ วะสี, 2560: 41) ได้กล่าวถึงการอ่านว่า การที่คนไทย อ่านน้อยคือ ต้นตอวิกฤติของบ้านเมือง ดังนั้น จึงจ าเป็นอย ่างยิ ่งที ่จะต้องปลูกฝังนิสัยการอ่านให้กับ เยาวชนไทย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ตลอดชีวิต นอกจากนั้น กระทรวงศึกษาธิการฯ ยังมี นโยบายเกี่ยวกับการจัดส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษไว้ในหลักสูตรฯ เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล ที่ใช้ในการสื่อสารอย่างกว้างขวาง โดยพบว่าข้อมูลข่าวสารจากสื่อประเภทต่าง ๆ ในปัจจุบันมากกว่าร้อยละ 90 ใช้ภาษาอังกฤษ (กรรณิการ์ ผิวอ่อนดี, 2545: 156) ดังนั้น ผู้มีความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษย่อมมี โอกาสในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วแม่นย า จะเห็นได้ว่า การอ่านภาษาอังกฤษ จึงมีบทบาทส าคัญอย่างยิ่งต่อนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ต้องอ่านหนังสือเรียน ต ารา หรือวารสารภาษาอังกฤษ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 175 เราจะเห็นได้ว่า การอ่านภาษาอังกฤษมีประโยชน์ต่อการศึกษาและการด ารงชีวิต เนื่องจากความรู้ ข่าวสารและข้อมูลที่ส าคัญจ านวนมากในหนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ และเอกสารต่าง ๆ ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย ่างยิ ่งในอินเตอร์เน็ต ที ่ภาษาอังกฤษถูกก าหนดให้เป็นภาษาหลัก (Candlin, 1987: 448) เพราะเหตุนี้ทักษะการอ่านจึงเป็นทักษะที่จ าเป็นและควรส่งเสริมส าหรับผู้เรียนที่เรียนภาษาอังกฤษในฐานะ เป็นภาษาต่างประเทศอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะอ่านเพื่อใช้ในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ เช่น การอ่านต าราเรียน การอ่านบทความวิชาการ การอ่านงานวิจัย หรืออ่านเพื่อความจ าเป็นในการด าเนินชีวิต เช่น อ่านป้ายประกาศ อ่านฉลากยา อ่านค าชี้แจงในการใช้เครื่องอุปโภคบริโภค และอ่านเพื่อความบันเทิงแล้ว ยังช่วยเสริมสร้าง ความคิดสร้างสรรค์ ประสบการณ์ และก ่อให้เกิดความเพลิดเพลิน ดังนั้น ครูผู้สอนจึงจ าเป็นต้องจัด การเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษมากขึ้น แม้ว่าการอ่านจะเป็นทักษะที่ส าคัญมากก็ตาม แต่ในความเป็นจริงพบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่มีปัญหา ในการอ่านภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ จากการศึกษาปัญหาการเรียนการสอน อ่านภาษาอังกฤษในประเทศไทยพบว่า ผู้เรียนฝึกทักษะการอ่านมาเป็นเวลา 6-12 ปี แต่ปรากฏว่าผู้ส าเร็จ การศึกษาในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่มัธยมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา ผู้เรียนไม่สามารถอ่านเรื่องจากหนังสือ หรือเอกสารอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากต าราเรียนที่ใช้ในห้องเรียนของตน (ส าอางค์หิรัญบูรณะ และคณะ, 2547: 9) นอกจากนี้ สภาพการเรียนการสอนในปัจจุบัน นักเรียนระดับประถมศึกษามีความสามารถ ในการอ่านไม่ถึงระดับถ่ายโอน ระดับสื่อสาร และระดับวิเคราะห์วิจารณ์ (วีณา สังข์ทองจีน, 2559: 18) ที ่ศึกษาวิเคราะห์เกี ่ยวกับความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาเขตกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาสรุปได้ว ่า ความสามารถของนักเรียนอยู ่ในระดับที ่ต้องปรับปรุง เมื ่อพิจารณาถึงสาเหตุ ในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาไม่ประสบความส าเร็จเท่าที่ควร อาจจะเป็น เพราะสภาพการเรียนการสอนให้ห้องเรียนยังเป็นแบบดั้งเดิม นอกจากนั้น จากผลคะแนนการสอบ วิชาภาษาอังกฤษอ่าน-เขียนของนักเรียนในปี พ.ศ. 2564 พบว่า นักเรียนโรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญ ราษฎร์) ที่ผู้วิจัยสอนอยู่นั้น มีปัญหาในด้านของทักษะการอ่านภาษาอังกฤษมาก กล่าวคือ ไม่สามารถเข้าใจศัพท์ และข้อความในบริบทที่ไม่เคยชิน ท าให้ไม่สามารถสรุปและบอกรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องที่อ่านได้ โดยมี ระดับคะแนนเฉลี ่ยของความสามารถในการอ ่านอยู ่ในเกณฑ์พอใช้(เกรด 1-2.5) ถึงร้อยละ 50.12 (โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์), 2564: 89) วีดิทัศน์เป็นสื ่อการศึกษาประเภทหนึ่ง ที ่เรานิยมน ามาใช้ในการเรียนการสอน เพราะวีดิทัศน์ สามารถสื่อสารไปยังคนกลุ่มใหญ่ได้และสามารถจัดเก็บเป็นข้อมูลหรือไฟล์ระบบดิจิทัลได้การเรียนรู้จาก วีดิทัศน์ผู้เรียนจะได้ยินทั้งเสียงและเห็นทั้งภาพ ซึ่งท าให้ผู้เรียนสามารถสร้างประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมได้ เป็นอย่างดี และเสียงก็สามารถท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อีกทางหนึ่งด้วย (พงศ์ศักดิ์ บัวจะมะ, 2563: 3) และการพัฒนาของวีดิทัศน์ก็มีมากขึ้น ปัจจุบันวีดิทัศน์สามารถส่งขึ้นไปเป็นไฟล์ออนไลน์อยู่บนระบบ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 176 อินเทอร์เน็ตได้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียน โดยมีการน าความรู้ต่าง ๆ มาอยู่ในรูปแบบของ วีดิทัศน์เพื่อการเรียนรู้ ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์และความสะดวกต่อผู้เรียนสามารถเรียนจากวีดิทัศน์ตอนใด หรือช่วงเวลาใดก็ได้ จึงเกิดความสะดวกและช่วยลดปัญหาด้านระยะเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้ หรือการสืบค้น ข้อมูลที ่หลากหลายและช ่วยส ่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองอีกทางหนึ ่ง วีดิทัศน์จึงเป็นสื ่อการสอนที ่มี ประสิทธิภาพ สามารถใช้ในการเรียนการสอน โดยเป็นทั้งสื่อหลักและสื่อเสริมของการเรียนการสอนได้ เพื ่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้(สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ, 2540: 13) อีกทั้งการด าเนินการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและการจัดการศึกษาแผนใหม่ ได้มีการน าเอาเทคโนโลยีทางการศึกษาเข้ามาช่วยให้ การสอนมีประสิทธิภาพและบรรลุจุดมุ ่งหมายทางการศึกษาเปลี ่ยนแปลงบทบาทของครูจากผู้สอนให้เป็น ผู้แนะแนวทางและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสพูดและท ามากขึ้น สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่น ามาใช้จะช่วยให้นักเรียน เข้าใจเนื้อหาต ่าง ๆ ในกระบวนการสอนนั้น อุปกรณ์และสื ่อการสอนเป็นองค์ประกอบที ่ส าคัญ และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที ่สามารถเสนอข้อมูลที ่จ าเป็นต ่อการเรียนรู้ได้ ทุกแบบทุกระดับ ทั้งในลักษณะของตัวอักษร ภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง ภาพจ าลอง แม้กระทั่งภาพยนตร์ หรือวีดิทัศน์ ท าให้กระบวนการเรียนรู้มีชีวิตชีวาน ่าสนใจ ชวนให้ติดตาม อีกทั้งได้ก้าวหน้าไปสู ่หัวใจ ของการเรียนรู้ที ่ไม ่มีขีดจ ากัดเฉพาะแต่ในห้องเรียน หรือเฉพาะแต ่ที ่มีในต าราที ่ก าหนดไว้ สื ่อวิดิทัศน์ จึงเป็นสื่อที่สร้างความน่าสนใจให้กับเนื้อหาได้เป็นอย่างดี(กิดานันท์ มลิทอง, 2563: 181) จากเหตุผลและความส าคัญที ่กล ่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจที ่จะพัฒนาสื ่อวีดิทัศน์ประกอบ การสอนค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ขึ้น โดยมีการน าสื่อวีดิทัศน์อัพโหลดลงฐานข้อมูล ออนไลน์ช่อง YouTube “ครูคนต้นน ้า” ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อพัฒนาความสามารถ การเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษและเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ การเรียนให้สูงขึ้นต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียน บ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านก่อนและหลังใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 177 สมมติฐานการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนที่จัดการเรียนรู้ด้วยใช้สื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอบหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน 2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนอยู่ในระดับมาก ขอบเขตการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงราย จรูญราษฎร์) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 รวมทั้งสิ้น 37 คน ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้น าเนื้อหามาจากหนังสือเรียน Smile รายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ดังนี้ เรื่องที่ 1 ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ food & drink เรื่องที่ 2 ค าศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับขนมหวาน DESSERT เรื่องที่ 3 ค าศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ กิจกรรมในเวลาว่าง Free Time ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรต้น ได้แก่ สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ตัวแปรตาม ได้แก่ ประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอน, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจของนักเรียน ประโยชน์ของการวิจัย 1. ได้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ครูสามารถน าไปใช้ใน การแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอน 2. ได้พัฒนาการจัดการเรียนการสอนที ่ท าให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของในวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนดีขึ้น 3. เป็นแนวทางการพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนวิชาอื่น 4. ครูและผู้ที่สนใจสามารถน าผลสัมฤทธิ์ไปวางแผนในการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อปรับปรุง และพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 178 ตัวแปรต้น สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่องที่ 1 ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ food & drink เรื่องที่ 2 ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับขนมหวาน DESSERT เรื่องที่ 3ค าศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ กิจกรรมในเวลาว่าง Free Time กรอบแนวคิดการวิจัย ภาพที่ 1 แสดงกรอบแนวคิดการวิจัย วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้การวิจัยแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest Posttest Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย มีดังนี้ 1. สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน 3. แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. สื่อวีดีทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น มีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 1.1ศึกษาหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Smile วิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) ในบทที ่ 5 yummy food และบทที่ 6 playtime 1.2 ก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับค าอธิบายรายวิชาและจุดประสงค์ การเรียนรู้ในหลักสูตรและเนื้อหา 1.3 ศึกษาการสร้างสื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนโดยใช้แพลตฟอร์ม Canva 1.4 สร้างสื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ 1.5 น าสื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนอัพโหลดสื่อสังคมออนไลน์ช่อง YouTube ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน ความพึงพอใจของนักเรียน ประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 179 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน การสร้างแบบวัดแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน ซึ่งแบบทดสอบที่สร้างขึ้นมาใช้ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านก่อนและหลังใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยได้ก าหนดโครงสร้างของ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการวัดทางด้านความสามารถในการจ าค าศัพท์ ภาษาอังกฤษ 30 ค า โดยมีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 2.1 ศึกษาเอกสาร แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน 2.2 ก าหนดโครงสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการ วัดทางด้านการจ าศัพท์ 2.3 สร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนตามโครงสร้างที่ก าหนด ตามวัตถุประสงค์ ที่ต้องการวัดได้ครอบคลุมตามโครงสร้างเนื้อหาที่ก าหนด 2.4 น าแบบทดสอบที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ จ านวน 3 ท่าน พิจารณา ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ เพื่อน าคะแนนที่ได้ไป ค านวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง เพื่อประเมินคุณภาพของแบบทดสอบและน ามาปรับปรุงแก้ไข 2.5 น าแบบทดสอบที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาตรวจสอบ ความถูกต้องแล้วน ามาวิเคราะห์หาค ่าดัชนีความสอดคล้อง โดยน าแบบทดสอบท าการตรวจสอบจาก ผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญโดยใช้เกณฑ์พิจารณาความเห็นตรงกันของ ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน 2.6 น าผลการตรวจสอบของผู้เชี ่ยวชาญแต ่ละท ่าน ค านวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว ่างข้อค าถามกับวัตถุประสงค์ (IOC: Index of Item Objective Congruence) และแก้ไขปรับปรุง ข้อค าถาม ตามค าแนะน าของผู้เชี ่ยวชาญให้มีความตรงตามเนื้อหารวมถึงการใช้ภาษา มีค ่าค ่าดัชนี ความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 2.7 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านที ่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้ (Try Out) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 แล้วน ามาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม โดยวิธีค านวณหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของครอนบาคได้ค่าความเชื่อมั่น 0.98 2.8จัดท าเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ฉบับสมบูรณ์เพื่อที่จะน าไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3. แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการใช้สื่อวีดีทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ 3.1 ศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนเพื่อเป็น แนวทางในการสร้างแบบสอบถาม 3.2 สร้างแบบสอบถามให้ตรงกับเนื้อหา ตรวจสอบแก้ไข ปรับปรุงให้ถูกต้องเหมาะสม 3.3 น าแบบสอบถามที่ได้รับการแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน 3.4 น าผลการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่าน ค านวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 180 ระหว่างข้อค าถามกับวัตถุประสงค์ (IOC: Index of Item Objective Congruence) และแก้ไขปรับปรุง ข้อค าถาม ตามค าแนะน าของผู้เชี ่ยวชาญให้มีความตรงตามเนื้อหารวมถึงการใช้ภาษา มีค ่าค ่าดัชนี ความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 3.5 น าแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้ (Try Out) กับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 30คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ในการแล้วน ามาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม โดยวิธีค านวณหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของครอนบาคได้ค่าความเชื่อมั่น 0.99 3.6 จัดท าเครื่องมือฉบับสมบูรณ์ไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยได้ด าเนินการดังนี้ 1. ผู้วิจัยได้น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านมาทดสอบกันนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3/1 ในรายวิชาภาษาอังกฤษ ในแต่ละบทประกอบด้วย เรื่องที่ 1 food & drink เรื่องที่ 2 Dessert เรื่องที่ 3 Free Time 2. ผู้วิจัยได้น าสื ่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษที ่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ในแต่ละบทเรียน 3. ผู้วิจัยได้น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านมาทดสอบกันนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3/1 ในรายวิชาภาษาอังกฤษ ในแต่ละบทประกอบด้วย เรื่องที่ 1 food & drink เรื่องที่ 2 Dessert เรื่องที่ 3 Free Time อีกรอบ ใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ 4. ผู้วิจัยด าเนินการตรวจคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านทั้งฉบับก่อนและหลัง ใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ แล้วน าข้อมูลมาวิเคราะห์เปรียบเทียบทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐาน และสรุปผลการวิจัย 5. ผู้วิจัยให้นักเรียนท าแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการใช้สื่อวีดิทัศน์ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ 6. ผู้วิจัยได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาจ านวน 36 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 โดยแบบสอบถาม ทุกฉบับมีความสมบูรณ์ผู้วิจัยจึงได้น าไปด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) หลังจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อวีดีทัศน์ประกอบ การสอน ดังนี้ 1. สูตรการหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมโดยใช้เกณฑ์ 80/80 โดยใช้สูตรหาประสิทธิภาพ E1/E2 2. ค่าเฉลี่ย (Mean : ̅)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 181 3. หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 4. สถิติเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนใช้สถิติ t-test (dependent Sample ผลการวิจัย การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ผลการศึกษา การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ประกอบการเรียนรู้ ค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) จ านวน 37 คน ผู้วิจัยได้น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ค าศัพท์ ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ตารางที่ 1 ประสิทธิภาพของสื่อวีดีทัศน์ประกอบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) จ านวน 37 คน จ านวน 3 เรื่อง เรื่องที่ 1 food & drink เรื่องที่ 2 Dessert เรื่องที่ 3 Free Time ระหว่างเรียน หลังเรียน ระหว่างเรียน หลังเรียน ระหว่างเรียน หลังเรียน รวม 162 180 166 175 164 181 เฉลี่ย 4.50 4.50 4.15 4.38 4.10 4.53 ร้อยละ 81.00 90.00 83.00 87.50 82.00 90.50 / 81/90 83/87.5 82/90.5 จากตารางที่ 1 พบว่า ประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ทั้ง 3 เรื่อง มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81/90, 83/87.5, 82/90.5 นั่นคือสูงกว่าเกณฑ์80/80 แสดงว่านวัตกรรมสามารถน าไปใช้ได้
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 182 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การจ าค าศัพท์ก่อนเรียนและหลังเรียนการใช้สื่อวีดิทัศน์ ประกอบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ตารางที่ 2 แสดงผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การจ าค าศัพท์ก่อนเรียนและหลังเรียนการใช้ สื่อวีดีทัศน์ประกอบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) การทดสอบ n ̅ S.D. t Sig ก่อนเรียน 37 5.20 1.81 31.41 .000 หลังเรียน 37 17.55 2.19 *P < .05 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อวีดีทัศน์ประกอบการสอน เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้สื่อวีดีทัศน์ประกอบการสอนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง(เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ตารางที่ 3 แสดงผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้สื ่อวีดีทัศน์ประกอบการสอน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ข้อความ n = 37 X S.D. แปลผล 1. นักเรียนมีความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน 4.49 0.79 มาก 2. นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม 4.16 0.64 มาก 3. สื่อวีดิทัศน์สนุกน่าสนใจ 4.56 0.50 มาก 4. นักเรียนเห็นคุณค่าประโยชน์ของสื่อวีดิทัศน์ 3.84 0.85 มาก 5. นักเรียนสามารถสรุปเนื้อหาที่เรียนได้ 4.42 0.72 มาก 6. นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง 3.71 0.46 มาก 7. เวลาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสม 4.29 0.46 มาก 8. การจัดกิจกรรมมีสื่อประกอบเนื้อหาที่สอน 3.84 0.37 มาก 9. ใบงานมีความชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้ 4.42 0.78 มาก 10. ครูเพิ่มเติมความรู้จากการปฏิบัติกิจกรรมได้อย่างชัดเจน 3.82 0.49 มาก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 183 11. ครูมีเทคนิคการสอนที่ตื่นเต้น น่าสนใจ 4.58 0.72 มากที่สุด 12. ครูมีการเตรียมอุปกรณ์ และเครื่องมือในการสอน 4.71 0.46 มากที่สุด 13. ครูใช้ภาษาได้ถูกต้องและชัดเจน 4.42 0.72 มาก 14. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ซักถามเมื่อไม่เข้าใจ 3.84 0.85 มาก 15. นักเรียนต้องการให้ครูปรับปรุงการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่อยู่เสมอ 4.56 0.50 มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.24 0.49 มาก จากตารางที ่ 3 นักเรียนมีความพึงพอใจต ่อการใช้สื ่อวีดิทัศน์ประกอบการสอน ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ในภาพรวม พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย ( X =4.24,S.D. = 0.49) ข้อที่นักเรียนมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด คือ ครูมีการเตรียมอุปกรณ์ และเครื่องมือในการสอน มีค่าเฉลี่ย ( X = 4.71,S.D. = 0.46) รองลงมาคือ ครูมีเทคนิคการสอนที ่ตื ่นเต้น น ่าสนใจ ( X = 4.58,S.D. = 0.72) และกิจกรรมการเรียนรู้ ในชั่วโมงสนุกน่าสนใจ นักเรียนต้องการให้ครูปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่ อยู่เสมอ ( X = 4.56,S.D. = 0.50)ตามล าดับ สรุปผลการวิจัย จากการวิจัย เรื่อง การพัฒนาสื่อวีดีทัศน์ประกอบการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ทั้ง 3 เรื่อง มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81/90, 83/87.5, 82/90.5 นั่นคือสูงกว่าเกณฑ์80/80 แสดงว่านวัตกรรมสามารถ น าไปใช้ได้ 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การจ าค าศัพท์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่3โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย พบว่าคะแนนการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้สื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงรายในภาพรวม พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก ข้อที่นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ครูมีการเตรียมอุปกรณ์ และเครื่องมือ ในการสอน รองลงมาคือ ครูมีเทคนิคการสอนที่ตื่นเต้น น่าสนใจ และกิจกรรมการเรียนรู้ในชั่วโมงสนุกน่าสนใจ นักเรียนต้องการให้ครูปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่อยู่เสมอ ตามล าดับ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 184 อภิปรายผล การวิจัยเรื ่อง การพัฒนาสื ่อวีดิทัศน์ประกอบการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) ผู้วิจัยขออภิปรายดังนี้ ผลการวิจัยพบว ่า ประสิทธิภาพของสื ่อวีดีทัศน์ประกอบการสอนเพื ่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 5 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) ทั้ง 3 เรื่อง มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81/90, 83/87.5, 82/90.5 นั่นคือเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 แสดงว่า นวัตกรรมสามารถน าไปใช้ได้โดยการจัดการเรียนรู้เป็นการเรียนรู้ที ่เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง มีภาพ เสียง ลักษณะอักษรที่น่าสนใจ ทั้งยังสามารถสแกนผ่านคิวอาร์โค้ด เพื่อเล่นเกมและท าแบบทดสอบ ซึ ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที ่ทุกเวลา ซึ ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิริ เจริญวงศ์ (2564: 218) ได้ท างานวิจัยเรื่องการพัฒนาสื่อวีดิทัศน์และผลของการใช้สื ่อต่อความรู้ ความมั่นใจและความพึงพอใจ เพื ่อการเตรียมนักศึกษาพยาบาลในการฝึกประสบการณ์เด็กและวัยเรียนรู้ พบว ่า คุณภาพสื ่อวีดิทัศน์ อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า สื่อวิดิทัศน์มีเนื้อหาต่าง ๆ มีความเหมาะสม เนื้อหาในบทเรียน มีความน่าสนใจ ทั้งในด้านการใช้สีและอักษร และเสียงดนตรีที่ใช้ประกอบมีความไพเราะ และสอดคล้องกับ งานวิจัยของ อดิศักดิ์ โคตรชุม (2562: 67) ได้ท างานวิจัยเรื่อง การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ เพื่อประกอบการเรียนรู้ รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง การจัดและตกแต่งสวนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า 1) สื ่อวีดิทัศน์ ประกอบการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื ่อง การจัดและตกแต ่งสวน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จ านวน 8 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 เรียนรู้การปลูกพืชทั่วไป ชุดที่ 2 พืชพลังงานแห่งชีวิต ชุดที่ 3 พืชสวยงามลดโลกร้อน ชุดที่ 4 มาปลูกพืชผักกันเถอะ ชุดที่ 5 ตกแต่งสวนสวยด้วยพืชผัก ชุดที่ 6 บรรยากาศบ้านน่าอยู่ ชุดที่ 7 การจัดตกแต่งภายในบ้าน ชุดที่ 8 การดูแลรักษาเครื่องเรือนเครื่องใช้ในบ้าน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.71/84.51 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนด การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การจ าค าศัพท์ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย พบว่า คะแนนการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้สื ่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนเพื ่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ .05 ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ผู้วิจัยตั้งไว้ แสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนสามารถใช้สื่อวีดิทัศน์ ประกอบการสอน ส าหรับจ าค าศัพท์ได้ ซึ ่งเป็นการถ ่ายโยงเนื้อหาความรู้ โดยการเรียนรู้ด้วยตนเอง และเกิดการเรียนรู้จากเนื้อหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ ทั้งนี้เนื ่องจากการเสนอเนื้อหาดังกล ่าว เป็นการเสนอโดยตรงไปยังผู้เรียนผ ่านทางจอภาพหรือแป้นพิมพ์ ซึ ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส ่วนร่วม โดยลักษณะการน าเสนอประกอบด้วยตัวหนังสือ ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว สีและเสียงเป็นการดึงดูด ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการแสดงผลการเรียนให้ทราบทันทีด้วยข้อมูลย้อยกลับแก่ผู้เรียน และยังมีการจัดล าดับวิธีการสอนหรือกิจกรรมต่าง ๆ เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน การเรียนในลักษณะนี้
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 185 ผู้เรียนจะต้องโต้ตอบหรือตอบค าถามเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ด้วยการพิมพ์และกดค าตอบ การตอบ ค าถามจะถูกประเมินโดยคอมพิวเตอร์ และจะเสนอขั้นตอนหรือระดับในการเรียนขั้นต่อ ๆ ไป กระบวนการ เหล่านี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของการใช้สื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอน ซึ่งเป็นลักษณะส าคัญของสื่อวีดิทัศน์ ประกอบการสอน ซึ่งสอดคล้องกับ อดิศักดิ์ โคตรชุม (2562: 67) ได้ท างานวิจัยเรื่อง การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ เพื่อประกอบการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง การจัดและตกแต่งสวนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื ่อง การจัดและตกแต่งสวน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สื่อวิดิทัศน์แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยหลังใช้สื ่อ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเฉลี ่ยสูงกว ่าก ่อนเรียน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ทรงสุดา น ้าจันทร์ (2563: 24) ได้ท างานวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการใช้วีดิทัศน์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณจ านวนเต็มส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนบ้านเขาหลาง จังหวัดชุมพร ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาชุมพร เขต 2 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การคูณจ านวนเต็ม ที่สอนโดยใช้วีดิทัศน์ช่วยสอนส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนบ้านเขาหลาง จังหวัดชุมพร ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 หลังเรียนเฉลี่ยรวมร้อยละ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้สื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฏร์) จังหวัดเชียงราย ในภาพรวม พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก ข้อที่นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุดคือ ครูมีการเตรียมอุปกรณ์ และเครื่องมือ ในการสอน รองลงมาคือ ครูมีเทคนิคการสอนที่ตื่นเต้น น่าสนใจ และกิจกรรมการเรียนรู้ในชั่วโมงสนุก น่าสนใจ นักเรียนต้องการให้ครูปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่อยู่เสมอ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะการเรียนใช้สื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอนตอบสนองความสนใจของผู้เรียน ด้วยกระบวนการ เรียนรู้ที่มีชีวิตชีวาน่าสนใจ ชวนให้ติดตาม อีกทั้งได้ก้าวหน้าไปสู่หัวใจของการเรียนรู้ที่ไม่มีขีดจ ากัดเฉพาะ แต่ในห้องเรียน หรือเฉพาะแต่ที่มีในต าราที่ก าหนดไว้ สื่อวิดิทัศน์จึงเป็นสื่อที่สร้างความน่าสนใจให้กับเนื้อหา ได้เป็นอย ่างดี สอดคล้องกับงานวิจัยของ อดิศักดิ์ โคตรชุม (2562: 67) ได้ท างานวิจัยเรื่อง การพัฒนา สื ่อวีดิทัศน์ เพื ่อประกอบการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยีเรื่อง การจัดและตกแต ่งสวน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียน โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ เพื่อประกอบการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยีเรื่อง การจัดและตกแต่งสวน โดยรวมอยู ่ในระดับมาก (x̅= 3.71) และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ทรงสุดา น ้าจันทร์ (2563: 24) ได้ท างานวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการใช้วีดิทัศน์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การคูณจ านวนเต็มส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนบ้านเขาหลาง จังหวัดชุมพร ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาชุมพร เขต 2 ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ชุมชนบ้านเขาหลาง จังหวัดชุมพร ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 ต่อการสอน โดยใช้วีดิทัศน์ช่วยสอนเรื่อง การคูณจ านวนเต็ม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 186 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน าผลการศึกษาไปใช้ 1. ผู้สอนควรมีการเผยแพร่สื่อการสอนในช่องทางที่หลากหลาย เช่น Line facebook เป็นต้น 2. ควรให้ผู้เรียนได้ศึกษาหลายๆครั้งเพื่อให้เกิดการจ าที่คงทนยิ่งขึ้น 3. ผู้เรียนควรเตรียมอินเตอร์เน็ตให้พร้อมก่อนเรียน เนื่องจากผู้เรียนต้องใช้อินเตอร์เน็ตในการสแกน คิวอาร์โค้ดเพื่อท าแบบทดสอบและเล่นเกม ข้อเสนอแนะการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการวิจัยขยายเนื้อหาในการสร้างสื่อวีดีทัศน์ประกอบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ค าศัพท์ภาษาอังกฤษเรื่องอื่น ๆ ต่อไป 2. ควรมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ เช่น ทักษะการฟัง การอ่าน การสนทนา เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. คุรุสภาลาดพร้าว กระทรวงศึกษาธิการ. (2563). สาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนภาษาต่างประเทศ. ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. กระทรวงศึกษาธิการ กรมวิชาการ. (2544). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว). กิดานันท์ มลิทอง. (2563). เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม (พิมพ์ครั้งที่ 2). ภาควิชาโสตทัศนศึกษา คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทรงสุดา น ้าจันทร์. (2563). การศึกษาผลการใช้วีดิทัศน์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การคูณจํานวนเต็ม สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนบ้านเขาหลาง จังหวัดชุมพร สํานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2. โรงเรียนชุมชนบ้านเขาหลาง จังหวัดชุมพร. พงศ์ศักดิ์ บัวจะมะ (2555). การพัฒนาวีดิทัศน์บนอินเทอร์เน็ตเพื่อส่งเสริมความมีจิตสาธารณะของ นักศึกษาปริญญาตรี สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาสัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี. [วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต] มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ. (2540). คอมพิวเตอร์กับการศึกษา. บุ๊คพอยท์. ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ส านักนายกรัฐมนตรี. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. ส านักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ ส านักนายกรัฐมนตรี.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 187 ศิริ เจริญวงศ์. (2564). การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์และผลของการใช้สื่อต่อความรู้ ความมั่นใจ และความพึงพอใจ เพื่อการเตรียมนักศึกษาพยาบาลในการฝึกประสบการณ์เด็กและวัยรุ่น. วารสารวิจัยสุขภาพและ การพยาบาล, 37 (1), 128-229. อดิศักดิ์ โคตรชุม. (2562).การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ เพื่อประกอบการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง การจัดและตกแต่งสวนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารโครงงานวิทยาการคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีสารสนเทศ, 5(2), 67-87.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 188 การพัฒนารูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเอง จังหวัดระยอง 5 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต1 Development of Administration Framework for Student Care System in Nikomsangtonangrayong 5 School Under Rayong Education Service Area Office 1 หทัยชนก วงศ์กาฬสินธุ์* Hathaichanok Wongkalasin ณัฐนันท์ หาญกิจ** Natthanan Hankit นพดล แสนผูก*** Noppadon Sandphok บทคัดย่อ การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเอง จังหวัดระยอง 5 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต1 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาสภาพ ปัญหาและแนวทางการด าเนินงานระบบดูแลช ่วยเหลือนักเรียน 2. เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียน 3. เพื่อศึกษาผลจากการน ารูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนไปใช้ การด าเนินการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสานแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ศึกษาสภาพและปัญหา และแนวทางการด าเนินงานของระบบดูแลช ่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง 5 โดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้แก่ ผู้บริหาร 2 คน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 31 คน และผู้ปกครอง 120 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง และเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้บริหารสถานศึกษา 2 คน และข้าราชการครู 5 คน ผู้ปกครอง 24 คน โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นที่ 2 ก าหนดองค์ประกอบของรูปแบบโดยน าผลการการสังเคราะห์ แนวคิดทฤษฎี การสังเคราะห์แนวคิด เครื่องมือ และงานวิจัยที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือ * รองผู้อ านวยการโรงเรียน ดร., โรงเรียนนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง5,ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต1 Deputy Director Dr., Nikomsangtonangrayong 5 School , Rayong Education Service Area Office 1 ** ครู, โรงเรียนนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง 5, ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 Teacher, Nikomsangtonangrayong 5 School , Rayong Education Service Area Office 1 ***ผู้อ านวยการโรงเรียน, โรงเรียนนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง 5, ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 School director, Nikomsangtonangrayong 5 School , Rayong Education Service Area Office 1
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 189 นักเรียน มาก าหนดองค์ประกอบของรูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเอง จังหวัดระยอง 5 วิพากษ์ตรวจสอบรูปแบบโดยการสนทนากลุ่มเพื่อประเมินรูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง 5 โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี ่ยวชาญจ านวน 8 คน ขั้นที่ 3 การประเมินผลจากการน ารูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนไปใช้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้แบบประเมิน และสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง ผลการวิจัย พบว่า 1.การศึกษาสภาพและปัญหาและแนวทางการด าเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน พบว่า โรงเรียน ขาดการวางแผนอย ่างเป็นระบบในการจัดท าระบบดูแลช ่วยเหลือนักเรียน บุคลากรขาดความตระหนักถึง ความส าคัญของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และขาดการมีส่วนร่วมในการวางแผนการด าเนินงานของระบบ ดูแลช ่วยเหลือนักเรียน การจัดเก็บข้อมูลของนักเรียนไม ่เป็นระบบ ท าให้ข้อมูลไม ่เพียงพอในการคัดกรอง และผู้ปกครองขาดการมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล ครูยังขาดความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรมส่งเสริมนักเรียน ให้มีประสิทธิภาพ กิจกรรมในการส่งเสริมนักเรียนยังไม่ชัดเจน ขาดการประสานงานสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกับผู้ปกครอง ครูขาดทักษะในการให้ค าปรึกษาเบื้องต้นกับนักเรียน และยังขาด การด าเนินการอย่างต่อเนื่อง และผู้ปกครองขาดการมีส่วนร่วมในการป้องกันช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาของ นักเรียน กระบวนการส่งต่อยังขาดการปประสานงานที่ดีทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน ขาดหลักฐานข้อมูล การส่งต่อที่ชัดเจน ขาดการนิเทศ ก ากับ ตรวจสอบติดตามอย่างจริงจังจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 2. รูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง5ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1) การบริหารจัดการ (Management) 2) การบริหารจัดการการรู้จักผู้เรียนรายบุคคล/ การคัดกรองนักเรียน (Individual) 3) การสร้างเครือข่าย (Network) ในการป้องกันแก้ไขปัญหา และและส ่งต่อ 4) การพัฒนาและส่งเสริมนักเรียน (Development) 3. ผลของการใช้รูปแบบพบว่า รูปแบบมีความเหมาะสมต่อบริบทของโรงเรียน มีความชัดเจนเอื้อต่อ การท างานของครูและส่งเสริมคุณภาพของนักเรียน ค าส าคัญ: รูปแบบการบริหาร/ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 190 Abstract The research in topic of the development of administration framework for student care system in Nikomsangtonangrayong 5 School under Rayong Education Service Area Office 1 aimed to 1.Study situation, problems, and administration framework for student care system 2. Create administration framework for student care system 3.Evaluate administration framework for student care system 4.Study the result from using administration framework for student care system. The research was based on mixed method and divided into 3 steps. Step 1, study situation and problems in administration framework for student care by using questionnaire. The informant group consisted of 2 administrators, 31 public teachers and academics, and 120 parents selected by purposive sampling. Moreover, data was collected by focus group, the informants consisted of 2 administrators, 5 public teachers and 24 parents selected by purposive sampling and data was analyzed by content analysis. Step 2, set framework components by integrating result from theory synthesis with the synthesis of concept, tools, and relevant research on administration framework for student care system in order to set framework components of administration framework for student care system for students from Nikomsangtonangrayong 5 School. The framework was reviewed by a focus group of 8 academics and experts in order to evaluate the administration framework for student care system for students from Nikomsangtonangrayong 5 School. Step 3, evaluate the result from using administration framework for student care system. Data was analyzed by evaluation form and seminar with administrators, teachers, and parents. Result showed; 1 .The study of situation, problems, and administration framework for student care system revealed that the school lacked systematic planning in building student care system, staffs disregarded student care system and abstain from planning student care system, student data was unorganized causing insufficient screening data. Also parents abstain from giving information, teachers lacked understanding in organizing activities enhancing student productivity, student activity was ambiguous, collaboration for understanding in student care system was missing. Teachers lacked skill and continuous action in basic counselling students.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 191 Transfer lacked suitable internal and external cooperation, transferring information was unclear, there was no audit, monitor, and follow up from relevant bodies. 2. The administration framework for student care system in Nikomsangtonangrayong 5 School consisted of 4 components 1 . Management 2. Individual students knowing/student screening 3. Network in problem prevention and transfer 4. Student development and support. 3. The result from using administration framework revealed that the framework was suitable for school context and clear for teacher and support for student quality. Keyword: Administration Framework/ Student Care System บทน า จากสถานการณ์ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี ท าให้เด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบเป็นอย ่างมาก ระบบดูแลช ่วยเหลือนักเรียนเป็นระบบที ่จัดขึ้น เพื่อการพัฒนานักเรียนให้นักเรียนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีวิถีชีวิตที ่เป็นสุขตามที ่สังคมมุ ่งหวังไว้โดยผ ่านกระบวนการทางการศึกษานั้น นอกจากจะด าเนินการด้วยการส่งเสริมสนับสนุนนักเรียนแล้ว การป้องกันและการช่วยเหลือแก้ปัญหาต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อผู้คนในเชิงบวกแล้วในเชิงลบก็มีปรากฏเช่นกัน เป็นต้นว่า ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการระบาด ของสารเสพติด ปัญหาการแข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ ปัญหาครอบครัว ซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ ความวิตกกังวล ความเครียด มีการปรับตัวที ่ไม ่เหมาะสมหรืออื ่น ๆ ที ่เป็นผลเสียต ่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของทุกคน ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น การดูแลช่วยเหลือนักเรียนจ าเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากครูทุกคน โดยต้องมีกระบวนการ ท างานที่เป็นระบบ มีหลักฐานการปฏิบัติงานที่มีเทคนิควิธีการหรือการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการดูแลช่วยเหลือ นักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน และสังคม อันจะสร้างสังคมที่ดีน่าอยู่ ปลูกฝังเยาวชนของชาติให้เป็นคนดีของสังคม ที่ยั่งยืน (นัฏพันธ์, 2565: 321-335) ด้วยสภาพและปัญหาเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนดังได้กล่าวถึงข้างต้น ส านักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน จึงเห็นความส าคัญของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากความร่วมมือของ กรมสุขภาพจิตและกรมสามัญศึกษาในอดีต จะเป็นเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่จะช่วยให้โรงเรียนและส านักงาน เขตพื้นที ่การศึกษาได้ใช้เป็นกลไกในการดูแลช ่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21 และเป็นธรรมกับ เด็กและเยาวชนทุกคน (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2559: 4)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 192 การดูแลช ่วยเหลือนักเรียน และระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน คือ การส ่งเสริมพัฒนา ป้องกันและ แก้ไขปัญหา เพื ่อให้นักเรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ มีคุณลักษณะที ่พึงประสงค์ มีภูมิคุ้มกันทางจิตใจ ที่เข้มแข็ง คุณภาพชีวิตที่ดี มีทักษะการด ารงชีวิต และรอดพ้นจากวิกฤติทั้งปวง ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นกระบวนการด าเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีขั้นตอนชัดเจน พร้อมทั้งมีวิธีการและเครื่องมือที่มีมาตรฐาน คุณภาพ และมีหลักฐานการท างานที่ตรวจสอบได้ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2546: 43) การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง 5 เป็นกระบวนการ ที่ด าเนินการโดยครูภายในโรงเรียนโดยตรง ซึ่งในบางครั้งเป็นการด าเนินงานที่ไม่เป็นไปตามระบบเนื่องจากครู ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการด าเนินการ อีกทั้งการจัดเก็บข้อมูลจากการคัดกรองนักเรียนยังคงไม่มีล าดับขั้นตอน ที ่ชัดเจน เกิดการตกหล ่นของข้อมูล ขาดการติดตามตรวจสอบในการด าเนินการระบบดูแลช ่วยเหลือนักเรียน ท าให้นักเรียนไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่ บทความวิจัยนี้จึงเป็นการพัฒนารูปแบบการบริหารระบบดูแลช ่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนนิคม สร้างตนเองจังหวัดระยอง 5 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 เพื่อเป็นการบริหาร ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบ ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพของนักเรียนอย่างยั่งยืน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาและแนวทางการด าเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2. เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3. เพื่อศึกษาผลจากการน ารูปแบบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนไปใช้ วิธีด าเนินการวิจัย งานวิจัยนี้วิจัยแบบผสมผสาน (Mixed-Methods Research) มีการด าเนินการ 3 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที ่ 1 ศึกษาสภาพและปัญหาและแนวทางการด าเนินงานของระบบดูแลช ่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง 5 โดยด าเนินการ 2 ขั้นตอนดังนี้ 1. เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหารจ านวน 2 คน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จ านวน 31 คน ผู้ปกครอง 120 คน รวมทั้งสิ้น 153 คน โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื ่องมือที ่ใช้คือ แบบสอบถามเกี ่ยวกับสภาพปัญหา และแนวทางการด าเนินงานของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียน นิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง 5 แบ่งแบบสอบถามออกเป็น 4 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 สอบถามเกี่ยวกับ สถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับสภาพปัญหาการด าเนินงานของระบบดูแล