The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2566) : วารสารการวิจัยขั้นพื้นฐาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by avelinox101, 2023-06-26 05:27:44

ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2566) : วารสารการวิจัยขั้นพื้นฐาน

ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2566) : วารสารการวิจัยขั้นพื้นฐาน

วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 93 นักเรียนมัธยมศึกษาปีที ่ 6 มีเนื้อหาในแต ่ละหัวข้อยากต ่อการท าความเข้าใจของนักเรียนและยากต่อ ครูผู้สอนที่จะท าให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องนี้ การเรียนในโรงเรียนที่มีนักเรียนในแต่ละห้องมีจ านวนมาก ประกอบกับการเรียนแบบบรรยายเพียงกลุ่มเนื้อหาอย่างเดียว ท าให้นักเรียนไม่สนใจ ไม่มีความกระตือรือร้น และเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ไม่เห็นภาพ และไม่ได้ลงมือปฏิบัติการทดลอง และ Acar and Tathan รายงานว ่าการทดลองแบบดั้งเดิมในต ารา ปฏิบัติตามขั้นตอนทีละขั้นจนเสร็จ การทดลอง ท าให้ไม่เกิดการตราสัญลักษณ์ เนื้อหา และการท าความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงที ่เกิดขึ้น ในการทดลอง ส่งผลสืบเนื่องให้นักเรียนเกิดความเข้าใจที่ผิดหรือคลาดเคลื่อนในเรื่องไฟฟ้าเคมีมากขึ้น ซึ ่งปัญหาเหล ่านี้ ท าให้ความเข้าใจในเนื้อหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค ่อนข้างต ่า จึงจ าเป็นต้องมี การส ่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ ่านประสบการณ์ตรง เน้นให้นักเรียนไปฏิบัติ ได้ท าการทดลอง และเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื ่อสืบเสาะหาความรู้ และสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง (สิรินภา กิจเกื้อกูล, 2558: 13 ) ในการพัฒนานักเรียนให้เกิดทักษะการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ชิ้นงานในศตวรรษที่ 21 สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องการพัฒนาคุณภาพของการศึกษาไทย โดยการด าเนินการ โครงการสะเต็มศึกษา (STEM Education) ซึ ่งสะเต็มศึกษาจะสามารถช ่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมรวมถึงการสื่อสารและความร่วมมือได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสะเต็มศึกษา มีแนวคิดมาจากทฤษฎีคอนสตรัคชันนิสซึม (Constructionism) เป็นการเรียนรู้ที ่เกิดจากการสร้างพลัง ความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน หากนักเรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและน าความคิดของตนเองไป สร้างสรรค์ชิ้นงาน โดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะท าให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน (ทวีป แซ ่ฉิน, 2556: 11) และสะเต็มศึกษาเป็นการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) (สิรินภา กิจเกื้อกูล, 2558: 18) โดยมีจุดเด ่นและธรรมชาติตลอดจนวิธีการสอนของ แต ่ละวิชามาผสมผสานกัน เพื ่อให้นักเรียนน าความรู้มาใช้ในการแก้ปัญหา ค้นคว้าความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างชิ้นงาน โดยมีกระบวนการการออกแบบเชิงวิศวกรรม ประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ขั้นตอน คือ การระบุปัญหา การค้นหาแนวคิดที ่เกี ่ยวข้อง การวางแผนและพัฒนา การทดสอบและประเมินผล และการน าเสนอผลลัพธ์ (สถาบันส ่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2558: 2) สิ ่งส าคัญคือ ในขณะที่นักเรียนท ากิจกรรม นักเรียนมีความสนใจและกระตือรือร้นต่อการเรียนรู้และการท ากิจกรรม สามารถพัฒนาความรู้ความเข้าใจ ฝึกทักษะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี นักเรียนมีโอกาส น าความรู้มาออกแบบวิธีการหรือกระบวนการ เพื ่อตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาที ่เกี ่ยวข้อง กับชีวิตประจ าวัน เพื ่อให้ได้เทคโนโลยีซึ ่งเป็นผลผลิตจากกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมถึง สามารถพัฒนากระบวนการหรือพัฒนาสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการด าเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ ในอนาคตได้อย่างแท้จริง (ศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติ, 2557: 7)


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 94 จากเหตุผลที ่กล ่าวมา ผู้วิจัยจึงมีแนวทางที ่จะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 5 เพื่อให้นักเรียนสามารถบูรณาการทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและการออกแบบเชิงวิศวกรรม ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ชิ้นงานในด้านทักษะการแก้ปัญหา ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการสื่อสาร และความร่วมมือได้เป็นอย่างดีอีกทั้งนักเรียนสามารถน าความรู้ไปเชื่อมโยงกับชีวิตประจ าวัน พัฒนาตนเอง สังคม และประเทศชาติต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์มีความรู้ ความเข้าใจวิชาเคมีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์มีความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้าอยู่ในระดับมาก ขอบเขตการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนทุ ่งฟ้าพิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 15 คน ซึ ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ขอบเขตด้านเนื้อหา การศึกษาในครั้งนี้ ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมี : เซลล์อิเล็กโทรไลต์ และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตัวแปรต้น การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมี : เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ความพึงพอใจทางการเรียนวิชาเคมี ตัวแปรควบคุม นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง,ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล,แบบทดสอบ


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 95 ประโยชน์ที่ได้รับ 1. พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ 2. ช่วยกระตุ้นความสนใจในการเรียนเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ให้กับนักเรียน 3. ได้ฝึกทักษะกระบวนการแก้ไขปัญหาให้กับนักเรียน 4. เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มในครั้งต่อไป กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีการด าเนินการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื ่องมือที ่ใช้ในการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื ่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ประกอบด้วย 1.แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษาวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ 3.แบบวัดความพึงพอใจที่มีการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ชนิดมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ 4. ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ วิธีการสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยด าเนินการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือตามล าดับดังนี้ 1. การสร้างและหาคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ การสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษาวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามล าดับขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมของโรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม เกี่ยวกับค าอธิบาย รายวิชา สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาเคมีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องไฟฟ้าเคมี:เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ความพึงพอใจ


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 96 1.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เพื่อให้ทราบแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ 1.3 ก าหนดโครงสร้างและเนื้อหาที่จะน าไปสร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม สะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมีองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ส าคัญ ได้แก่ 1) ชื่อแผนการจัดการเรียนรู้ 2) มาตรฐานการเรียนรู้3) ผลการเรียนรู้4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 5) สาระการเรียนรู้6) สาระส าคัญ 7) คุณลักษณะอันพึงประสงค์8) การวัดและประเมินผล9) กิจกรรมการเรียนรู้ และ 10) สื ่อและแหล ่งการเรียนรู้โดยออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามโครงสร้าง วัตถุประสงค์ และเนื้อหาที่ก าหนดไว้ 1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื ่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ให้สัมพันธ์กับเนื้อหา และเวลาตามที่ออกแบบไว้ 1.5 น าเสนอแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ที่สร้างขึ้นต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการเขียนแผน ความสัมพันธ์ระหว่าง จุดประสงค์กับเนื้อหา กิจกรรม สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผล 1.6 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื ่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ มาปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา 1.7 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ที่แก้ไขแล้ว ไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่านพิจารณา และประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้องของรายละเอียดต่างๆ ในแต่ละองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ 1.8 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์มาปรับปรุง ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี ่ยวชาญ โดยน าค าแนะน าจากผู้เชี ่ยวชาญมาปรับปรุง จากนั้นน าแผนการจัด การเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมอีกครั้ง เพื่อประเมินความเหมาะสมของแผนการจัด การเรียนรู้ 1.9 จัดพิมพ์ฉบับสมบูรณ์ แล้วน าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 15 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ การสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ 2.1 ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แล้วก าหนดรูปแบบที่ใช้วัดเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 97 2.2 ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมของโรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคมเกี่ยวกับค าอธิบาย รายวิชา สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาเคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากนั้นน าผลการเรียนรู้มาวิเคราะห์เป็นจุดประสงค์การเรียนรู้และท าผังข้อสอบ โดยก าหนดจ านวนข้อสอบในผังข้อสอบเป็นปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ และอัตนัย 2.3 สร้างข้อสอบให้สอดคล้องตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยสร้างให้มีจ านวนข้อมากกว่า ที่ก าหนดไว้ในผังข้อสอบ 2.4 ตรวจสอบความเหมาะสมขั้นต้นด้วยตนเอง 2.5 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ที่สร้างขึ้น ไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ช่วยพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหา โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่าง ข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้จากนั้นเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC มากกว่าหรือเท่ากับ 0.50 มาจัดท าเป็น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ 2.6 ทดลองเก็บข้อมูล โดยทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายจ านวน 15 คน เพื่อน าผลการทดลองมาประเมินคุณภาพของแบบทดสอบ 2.7 วิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบ 2.8 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ทั้งฉบับ 2.9 น าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน ทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 15 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 3. แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ผู้วิจัยได้ด าเนินการ สร้างตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจแล้ว มาก าหนดเป็นนิยามศัพท์ 3.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ แล้วก าหนดรูปแบบที ่ใช้วัดเป็นแบบวัด ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ 3.3 สร้างข้อค าถามให้สอดคล้องนิยามศัพท์ โดยสร้างให้มีจ านวนข้อมากกว่า 10 ข้อ 3.4 ตรวจสอบความเหมาะสมขั้นต้นด้วยตนเอง 3.5 น าแบบวัดความพึงพอใจที ่มีต ่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ช่วยพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหาโดยพิจารณาความสอดคล้อง ระหว่างข้อสอบกับนิยามศัพท์ จากนั้นเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC มากกว่าหรือเท ่ากับ 0.50 มาจัดท าเป็น แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 98 3.6 ทดลองเก็บข้อมูล โดยทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 5 ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที ่ไม ่ใช ่กลุ ่มเป้าหมายจ านวน 15 คน เพื ่อน าผลการทดลองมาประเมินคุณภาพของ แบบวัดความพึงพอใจ 3.7 วิเคราะห์คุณภาพของแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม สะเต็มศึกษาโดยการหาค่าความเชื่อมั่น 3.8 น าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน ทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 15 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 4. ชุดกิจกรรมเกมประกอบการสอนเรื่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ 4.1 ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ดังนี้ 4.1.1 ศึกษาผลการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560 ของกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม สาระเคมี คือ เข้าใจหลักการอิเล็กโทรลิซิส และเซลล์อิเล็กโทรไลต์ รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตประจ าวัน และการแก้ปัญหาทางเคมี 4.1.2 ศึกษาเนื้อหาเรื ่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ เนื้อหาที ่ใช้ในการวิจัยประกอบไปด้วย กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส และผู้วิจัยเชื ่อมโยงเนื้อหาเรื ่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ควบคู ่ไปกับการด าเนิน กิจกรรมสะเต็มศึกษาวิชาเคมี เรื ่อง การแยกน ้าด้วยไฟฟ้าเพื ่อให้นักเรียนสามารถใช้ความรู้เรื ่องเคมี ในเนื้อหาเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์และสามารถสร้างเครื่องแยกน ้าด้วยไฟฟ้า 4.1.3 ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส และเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ซึ ่งเป็นเรื ่องหลักในการสร้างสรรค์ชิ้นงานเพื ่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมสะเต็ม ศึกษาวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ขั้นตอนการด าเนินการวิจัย การด าเนินการทดลองเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยด าเนินการทดลองตามล าดับขั้นตอนดังนี้ 1 ขั้นเตรียมการ 1.1 ติดต่อขอรับหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏก าแพงเพชร น าหนังสือ ราชการไปติดต่อขออนุญาต และขอความร่วมมือจากผู้บริหารโรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม อ าเภอบ้านตาก จังหวัดตาก เพื่อขออนุญาตในการด าเนินการวิจัย 1.2 ผู้วิจัยด าเนินการจัดนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม จ านวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจ านวน 15 คน เป็นกลุ่มเป้าหมายโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 99 และเนื้อหาที ่ใช้ในการทดลองคือ เนื้อหาวิชาเคมี เซลล์อิเล็กโทรไลต์: กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. การด าเนินการ ด าเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยเริ ่มตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2565 ถึงเดือนมกราคม 2566 3. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ผู้วิจัยท าการทดสอบก ่อนเรียนกับนักเรียนกล ุ ่มเป้าหมายด้วยแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื ่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ 3.2 ด าเนินการทดลองสอน โดยผู้วิจัยท าการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา โดยใช้เวลา 9 ชั่วโมง 3.3 เมื่อสิ้นสุดการทดลองสอน ผู้วิจัยท าการทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ และแบบอัตนัย และแบบวัดความพึงพอใจที ่มีต ่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมสะเต็มศึกษา เป็นแบบสอบถามชนิดมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ 3.4 น าคะแนนที่ได้จากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์และแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษามาตรวจ ให้คะแนนตามเกณฑ์ที่ก าหนด แล้วน ามาวิเคราะห์ต่อไป การจัดกระท าข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ศึกษาประสิทธิภาพของกิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ โดยค านวณ จากร้อยละของนักเรียนที่ท าแบบวัดแนวคิดเรื่องสารละลายหลังเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสะเต็มศึกษา ซึ่งก าหนด เกณฑ์ว ่า จ านวนนักเรียนร้อยละ 70 มีคะแนนแนวคิด เรื ่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ไม ่ต ่ากว ่าร้อยละ 50 โดยค านวนหาร้อยละของจ านวนนักเรียน 2. วิเคราะห์คะแนนแนวคิดเรื ่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลายที่เรียนรู้ด้วยกิจกรรมสะเต็มศึกษาเรื่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ซึ่งใช้คะแนนจากแบบทดสอบ แนวคิดก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้วิธีการทางสถิติแบบ T-test for dependent samples การทดสอบ สมมติฐานภายในกลุ่มทดลอง 3. ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา ผู้วิจัยวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา โดยใช้ค ่าเฉลี ่ย และส ่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วเทียบกับเกณฑ์ ที่ก าหนด โดยก าหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายของค่าเฉลี่ยดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด: 102-103)


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 100 คะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง พึงพอใจมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง พึงพอใจน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด ผลการวิจัย ตอนที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียน ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 5 เรื่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ โดยใช้แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบผลคะแนนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลัง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ นักเรียนคนที่ คะแนนก่อนเรียน Pre-test (10 คะแนน) คะแนนหลังเรียน Post-test (10 คะแนน) 1 3 7 2 0 9 3 1 8 4 4 8 5 7 8 6 5 8 7 3 7 8 6 7 9 1 7 10 0 6 11 5 7 12 6 7 13 2 10 14 4 8 15 1 8 ค่าเฉลี่ย (̅) 3.20 7.67


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 101 ตารางที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลจากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี การจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์โดยใช้ วิธี t – Test : Paired Two Sample for Means จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ มีค่าเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 3.20 และหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็ม มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 7.67 เมื่อน าคะแนนมาเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบ หลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 5 เรื ่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์โดยใช้แบบวัดความพึงพอใจที ่มีต ่อการจัด การเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า ตารางที่ 3 การหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัด การเรียนรู้แบบสะเต็ม ข้อที่ การจัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ค่าทางสถิติ ̅ S.D. ระดับความพึงพอใจ 1 เนื้อหาเหมาะสมกับพื้นฐานและความต้องการ ของผู้เรียน 4.80 0.41 มากที่สุด 2 เนื้อหาเหมาะสมกับเวลาในการจัดการเรียนรู้ 4.60 0.51 มากที่สุด 3 เนื้อหาสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้ 4.53 0.52 มากที่สุด 4 ผู้สอนสามารถอธิบายโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และมีการใช้น ้าเสียงสูง ต ่า ในการสอน 4.80 0.41 มากที่สุด 5 ผู้สอนมีการเตรียมตัวล่วงหน้า 4.47 0.41 มาก 6 ผู้สอนสามารถตอบข้อซักถามของผู้เรียนได้ 4.13 0.35 มาก 7 ผู้สอนมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมต่อการจัด การเรียนรู้ 4.00 0.00 มาก S.D. 3.20 2.31 7.67 0.98 0.0000 t * การทดสอบ ก่อนเรยีน หลงัเรยีน 4.47 2.61 6.62 D Sig.(1-tailed) D S..D.


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 102 ข้อที่ การจัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ค่าทางสถิติ ̅ S.D. ระดับความพึงพอใจ 8 ผู้สอนใช้กิจกรรมในการน าเข้าสู่บทเรียน และประกอบการจัดการเรียนรู้ 4.60 0.51 มากที่สุด 9 กิจกรรมในการจัดการเรียนรู้เหมาะสมและช่วยท า ให้เข้าใจง่ายขึ้น 4.60 0.51 มากที่สุด 10 กิจกรรมในการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหา รายวิชา และระยะเวลาในการจัดการเรียนการสอน 4.73 0.46 มากที่สุด 11 มีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา 3.36 0.49 มากที่สุด 12 มีการเปิดเผยคะแนนและน าเสนอแนะแนวทาง ของค าตอบ 3.07 0.26 มาก 13 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีความชัดเจน และยุติธรรม 4.29 0.46 มาก 14 บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมต่อการเรียนรู้ 3.79 0.42 มากที่สุด 15 ใช้สื่อที่หลากหลายในการจัดการเรียนรู้ เช่น พาวเวอร์พอยต์ วีดีทัศน์ การทดลอง เป็นต้น 3.32 0.48 มากที่สุด รวม 4.56 0.12 มากที่สุด จากตารางที่ 6 ระดับความพึงพอใจของนักเรียน ต่อการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจส่วนใหญ่อยู่ใน ระดับมากที่สุด ยกเว้น ผู้สอนมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ผู้สอนสามารถตอบข้อซักถามของผู้เรียนได้ ผู้สอน มีบุคลิกภาพที่เหมาะสมต่อการจัดการเรียนรู้มีการเปิดเผยคะแนนและน าเสนอแนะแนวทางของค าตอบ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีความชัดเจน และยุติธรรมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจ ของผู้เรียนอยู่ที่ 4.56 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 0.12 จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล แสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนมีระดับความพึงพอใจเฉลี่ยทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด อภิปรายผล ผู้วิจัยได้อภิปรายผลการศึกษาค้นคว้าตามขั้นตอนดังนี้ ตอนที่ 1 อภิปรายผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า จากผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้าหลังเรียนและก่อนเรียน


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 103 แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สอดคล้องกับงานวิจัยของ วธัญญู พิชญภูสิทธิ (2563: 87) ที่ได้ศึกษาวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และมีคะแนนสูงกว่าร้อยละ 75 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับงานวิจัยผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษามีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความสามารถในการแก้ไขปัญหา และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความสามารถในการแก้ปัญหา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ประภาณี ราญมีชัย (2561: 112) การเปรียบเทียบผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในรูปแบบสะเต็มศึกษา เรื่อง ไฟฟ้าเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอน ในรูปแบบสะเต็มศึกษามีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนตามปกติ สอดคล้อง กับงานวิจัยของ เกรียงศักดิ์ วิเชียรสร้าง (2560 :67) ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา ที ่มีต ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ความสามารถในการแก้ปัญหา และความพึงพอใจต ่อการจัด การเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยวิชาเคมีหลังการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรศักดิ์ บุญธิมา, ศักดินา ภรณ์นันท์ (2018: 63) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนา ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้าเคมี โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สะเต็มศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยวิชาเคมีหลังการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และมีคะแนนพัฒนาการทางการเรียนวิชาเคมีเฉลี่ยร้อยละ 4.67สอดคล้องกับงานวิจัยของ วิสาขะ เยือกเย็น (2561: 78) ผลการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 เรื ่อง ไฟฟ้าเคมีพบว ่านักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว ่าก ่อนเรียนมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 สอดคล้องกับงานวิจัย สุพัตรา อิ่นค า (2561: 89) การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือรายวิชาเคมี4 (ว30224) เรื่อง ไฟฟ้าเคมี ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว ่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี 4 ว30224 เรื ่อง ไฟฟ้าเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ตอนที่ 2 อภิปรายผลความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า จากผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า อยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 104 ของ สุพัตรา อิ่นค า (2561: 90) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการสอน แบบร ่วมมือรายวิชาเคมี4 (ว30224) เรื ่อง ไฟฟ้าเคมี ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว ่า เจตคต ต่อการเรียนวิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือวิชาเคมี 4 ว30224 เรื่อง ไฟฟ้าเคมี สูงกว่าก่อนเรียน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ วิสาขะ เยือกเย็น (2561: 79) ผลการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง ไฟฟ้าเคมีพบว่า นักเรียนมีความ พึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในครั้งนี้อยู่ในระดับมากที่สุด สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรศักดิ์ บุญธิมา, ศักดินา ภรณ์นันท์ (2018: 65)การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้าเคมี โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ แบบโครงงานเป็นฐานส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พบว่า จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุดได้สอดคล้อง กับงานวิจัยของ เกรียงศักดิ์ วิเชียรสร้าง (2560: 68) ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา ที ่มีต ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ความสามารถในการแก้ปัญหา และความพึงพอใจต ่อการจัด การเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุดสอดคล้องกับงานวิจัยของ นัสรินทร์ บือซา (2555:59) ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษามีต ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความสามารถ ในการแก้ไขปัญหาและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า นักเรียน มีความพึงพอใจต ่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา (STEM Education) อยู ่ในระดับมาก และได้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ วธัญญู พิชญภูสิทธิ (2563: 88) การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาเคมี เรื่อง อัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมี ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก จากการอภิปรายผลการวิจัยข้างต้น สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบสะเต็มเรื่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พัฒนากระบวนการแก้ไขปัญหาของนักเรียน และพัฒนาการท างาน ร่วมกันแบบกลุ่มได้เนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นส าคัญและน าเหตุการณ์ในชีวิตประจ าวันเข้ามามีส่วนร่วมในชั้นเรียน ท าให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการเรียน สามารถน าสิ่งที่เรียนหรือความรู้ที่ได้ไปประยุกใช้ในชีวิตประจ าวันได้ นอกจากนี้ยังเป็นการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตนเอง เน้นการท างานเป็นกลุ่ม และท าให้ผู้เรียนสามารถแก้ไข ปัญหาได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการอื่น ๆ ได้


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 105 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1. นักเรียนบางคนยังไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนเท่าที่ควร ท าให้เป็นปัญหาในการท ากิจกรรม ครูควรมีการแนะน าแหล่งเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนน าไปทบทวนความรู้ 2. นักเรียนแต่ละคนมีความชอบกิจกรรมที่แตกต่างกัน ท าให้อาจเป็นปัญหาต่อการประเมิน ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งถัดไป 1. ควรจัดกิจกรรมสะเต็มให้ครอบคลุมเนื้อหามากขึ้น เนื่องจากมีเวลาจ ากัด และควรมี กิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงความรู้เดิมของผู้เรียน 2. ควรมีการวัดพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคน ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา หรือความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น 3. ควรมีการส ารวจกิจกรรมที่นักเรียนแต่ละคนชอบปฏิบัติ เพื่อสร้างกิจกรรมที่เหมาะสม กับผู้เรียนและให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เอกสารอ้างอิง เกรียงศักดิ์ วิเชียรสร้าง. (2560). ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาเคมี ความสามารถในการแก้ปัญหา และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. นัสรินทร์ บือซา. (2555). ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษามีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชีววิทยา ความสามารถในการแก้ไขปัญหาและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. ประภาณี ราญมีชัย. (2561). การเปรียบเทียบผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบสะเต็มศึกษา เรื่อง ไฟฟ้าเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัย ราชภัฏมหาสารคาม. ทวีป แซ่ฉิน. (2556). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี Constructionism เพื่อพัฒนาทักษะ การเขียนโปรแกรมด้วยโปรแกรม App Inventor ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยนเรศวร. วิสาขะ เยือกเย็น. (2561). ผลการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่องไฟฟ้าเคมี. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 106 วธัญญู พิชญภูสิทธิ. (2563). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยนเรศวร. ศักดิ์ศรี สุภาษร. (2555). บทบาทของเมนทอลโมเดลในการเรียนรู้วิชาเคมีในระดับโมเลกุล. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 35(2), 1-7. สิรินภา กิจเกื้อกูล. (2558). สะเต็มศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยนเรศวร, 17(2), 201-207. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2558). คู่มืออบรมครูสะเต็มศึกษา.สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีการทรวงศึกษาธิการ. สะเต็มศึกษาแห่งชาติ. (2557). เครือข่ายสะเต็มศึกษา.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. สุพัตรา อิ่นค า. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือรายวิชาเคมี4 (ว30224) เรื่อง ไฟฟ้าเคมี ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่6(งานวิจัยในชั้นเรียน). โรงเรียนปู่ด้วงศึกษาลัย. สุรศักดิ์ บุญธิมา, ศักดินา ภรณ์นันท์. (2018). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้าเคมีโดยใช้ กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. โรงเรียนจุฬาภรณ ราชวิทยาลัย


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 107 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 The Development of Learning Achievement on Introduction to Data Analytics using Computer-Assisted Instruction for Students in Mathayomsuksa 6. รุสมีนีย์ ฤทธิเดช* Rusmeenee Ritthidej บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้1) เพื ่อสร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที ่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน ประชากร ที่ใช้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล จ านวนทั้งหมด 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น จ านวน 5 หน่วย 3) คู่มือการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 4) แผนการจัดการเรียนรู้ จ านวน 11 แผน / 21 ชั่วโมง ผลการวิจัยพบว ่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 มีประสิทธิภาพสูงกว ่าเกณฑ์ 82.33/82.11 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ที ่เรียนโดยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 30.21 แสดงว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 ค าส าคัญ: บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน/ การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น *ครูช านาญการ, โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ, สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล Professional Level Teacher, Maikanprachau-tid school , The Secondary Educational Service Area Office Songkhla satum


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 108 ABSTRACT The purposes of the research were 1) to create and investigate the efficiency of computer- assisted instruction for introduction to data analytics in order to attain the criteria of 80/80, 2) to compare the learning achievement before and after using computer-assisted instruction for students in Mathayomsuksa 6.The population of the study was Mathayomsuksa 6 of Maikanprachau-tid school in the second semester of the academic year 2021. The research instruments wear: 1) learning achievement test, 2) computerassisted instruction, 3)Instruction manual of computer-assisted instruction, and 4) 21 hours of lesson plans. The results of the research showed that 1) the efficiency of computer-assisted instruction for introduction to data analytics was obtained at 82.33/82.11, higher than a predetermined threshold, 2) The learning achievement of students in Mathayomsuksa 6 was higher than before using computer-assisted instruction for introduction to data analytics 30.21 percent. The learning achievement after instruction was higher than before at the statistically significant level of 0.05. Keyword : Computer-Assisted Instruction/ Introduction to Data Analytics บทนำ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 22 ที่กล่าวว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและ เต็มศักยภาพ” ดังนั้นสถานศึกษาต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด จัดกิจกรรม ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ฝึกการปฏิบัติให้คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ซึ่งคณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้คนเป็นผู้มีเหตุผล ใฝ่รู้ พัฒนาความคิดและเกิดทักษะในการคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ตลอดจนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร์ ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผลเป็นระบบ มีแบบแผนสามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือ สถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือ ในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ของชาติให้มีคุณภาพ และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 109 จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560:1) แต่สภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ ปัจจุบันการเรียนการสอนรายวิชาคณิตศาสตร์ ยังไม่มีประสิทธิภาพ ดังจะเห็นได้จากข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ ในรายวิชาคณิตศาสตร์6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 – 2562 ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 55.06, 63.57 และ 77.00 ตามลำดับ ชี้ให้เห็นว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในระดับต่ำกว่า เป้าหมายของโรงเรียน ผู้วิจัยจึงได้วิเคราะห์หาจุดเร่งด่วนที่ต้องพัฒนาพบว่า คือเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น เมื่อได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาพบว่า ครูยังคงใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย โดยไม่คำนึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ทำให้นักเรียนที่เรียนรู้ได้เร็วสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย ส่วนนักเรียนที่เรียนรู้ช้าหรือฟังบรรยายไม่ทัน หรือไม่เข้าใจเนื้อหาที่บรรยายก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน นักเรียนที่ขาดเรียนบ่อบประสบปัญหาเรียนไม่ทันเพื่อน เมื่อต้องเรียนเรื่องใหม่จะยิ่ง ประสบปัญหามากขึ้น เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเดิมที่เป็นพื้นฐาน ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ต่ำลงและจะมีเจตคติที่ไม่ดีต่อการเรียนคณิตศาสตร์ในที่สุด สอดคล้องกับที่ ฑิฆัมภรณ์ บำรุงเขต และอุบลรัตน์ ศิริสุขโภคา (2559: 395) ได้กล่าวถึง วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีลักษณะเชิงนามธรรม ครูผู้สอนมักเน้นแต่เนื้อหาและใช้วิธีการสอนที่ไม่หลากหลาย และมักทำให้ครูผู้สอนประสบปัญหาในการจัด การเรียนรู้ ที่ไม่สามารถช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่กำหนดไว้ได้ และปัญหาด้านผู้เรียน ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์เนื่องจากนักเรียนคิดว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่น่าเบื่อ ยากต่อการทำความเข้าใจ จึงทำให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ผ่านมาไม่น่าพอใจ ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ของครูผู้สอนในปัจจุบันนั้นจึงไม่สามารถสอนแบบบรรยายเพียงอย่างเดียวโดยไม่ใช้สื่อการเรียนประกอบได้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง ที่ช่วยให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เห็นภาพ สื่อความหมายได้ ชัดเจน อีกทั้งยังสร้างความแปลกใหม่เร้าความสนใจแก่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในการเรียนการสอน และกำลังมี การพัฒนาให้มีประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอนอย่างมาก ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2541: 11) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการนำคอมพิวเตอร์เข้าไปใช้ในการศึกษาในลักษณะของการนำเสนอการเรียน การสอนทางคอมพิวเตอร์ โดยที่คอมพิวเตอร์จะนำเสนอบทเรียนแทนผู้สอนและผู้เรียนสามารถเรียนได้ ด้วยตนเอง การนำสื่อประสมเข้ามาช่วยในการนำเสนอเนื้อหาบนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หากคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนได้รับการออกแบบมาดี ถูกต้องตามหลักการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแล้วสามารถที่จะจูงใจ ผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนและสนุกสนานไปกับการเรียน และดังที่ นุสรา เดชจิตต์ (2556: 98) ได้กล่าวไว้ว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนช่วยเพิ่มแรงจูงใจและทำให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน ช่วยตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนได้ด้วยตนเอง จึงทำให้ผู้เรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง (2555: 93) ได้แบ่งประเภทของ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้เป็น 7 ประเภท ดังนี้ การนำเสนอเนื้อหา การฝึกฝนหรือแบบฝึกหัด การสร้างสถานการณ์จำลอง เกมการศึกษา การค้นพบ การแก้ปัญหา และการทดสอบ จากเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงเลือกพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนรูปแบบการนำเสนอเนื้อหา เนื่องจากเป็นการเรียงเนื้อหาสาระการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้นักเรียนศึกษาตามลำดับเนื้อหาสาระที่วางไว้


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 110 จากง่ายไปหายาก และช่วยกระตุ้นความสนใจในการเรียน นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ผู้วิจัย จึงพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่6 ที่มีเนื้อหาและกิจกรรมสอดคล้องกับตัวชี้วัด ตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดในหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื ่อสร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน วิธีดำเนินการวิจัย การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงทดลอง (Experimental Research) ผู้วิจัยได้กำหนด วิธีการศึกษาค้นคว้าเป็นลำดับขั้นตอน ดังต่อไปนี้ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา ทั้งหมดจำนวน 16 คน แบบแผนของการศึกษา การศึกษาครั้งนี้ใช้รูปแบบ One Group Pretest Posttest Design ซึ่งมีลักษณะการศึกษาตามตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แสดงแบบแผนการศึกษาแบบ One Group Pretest Posttest Design กลุ่ม ทดสอบก่อนเรียน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ทดสอบหลังเรียน กลุ่มทดลอง 1 T 1 X 2 T ส าหรับการศึกษาครั้งนี้ ก าหนดให้ 1 T หมายถึงการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก ่อนใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1 X หมายถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2 T หมายถึงการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 111 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ มีจ านวน 4 ประเภท ดังนี้ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (ComputerAssisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จ านวน 5 หน่วย 3) คู่มือการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 4) แผนการจัดการเรียนรู้ จ านวน 11 แผน / 21 ชั่วโมง การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างและหาคุณภาพเครื ่องมือทั้ง 4 รายการ ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าและ เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อน าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ผลตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่ได้ก าหนดไว้ มีล าดับ ขั้นตอนและรายละเอียด ดังนี้ 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แบบปรนัย4ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 1) ศึกษาเอกสารเกี ่ยวกับการวัดผลและประเมินผล และทฤษฎีที ่เกี ่ยวข้องกับการสร้าง แบบทดสอบและออกแบบทดสอบเป็นปรนัยเลือกตอบ (Multiple Choice) 4ตัวเลือก โดยให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแต่ละหน่วยและตัวชี้วัดที่ก าหนดไว้ในกลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ จ านวน 40 ข้อ 3) น าแบบทดสอบเสนอผู้เชี ่ยวชาญจ านวน 3 คน เพื ่อตรวจสอบความเที ่ยงตรงเนื้อหา หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามกับจุดประสงค์ โดยผลการวิเคราะห์ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง ของข้อสอบเท่ากับ 0.67 - 1.00 ทุกข้อ แสดงว่าข้อสอบแต่ละข้อมีค่า IOC ใช้ได้ทุกข้อ และปรับปรุงแก้ไข แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญก่อนน าไปทดลองใช้ 4) น าข้อสอบที่ปรับแก้ 40 ข้อไป Try Out กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนไม้แก่น ประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 10 คน น าผลมาวิเคราะห์ หาค่าความยากง่ายและอ านาจจ าแนก พบว่าข้อสอบมีความยากง่าย ตั้งแต่ 0.40 - 0.90 และมีค่าอ านาจ จ าแนก ตั้งแต่ 0.20-1.00จากนั้นคัดเลือกข้อสอบไว้ 30 ข้อ ที่มีความยากง่ายตั้งแต่ 0.40-0.60และมีค่าอ านาจ จ าแนกตั้งแต่ 0.40 ขึ้นไป เพื่อน าไป Try Out หาค่าความเชื่อมั่น


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 112 5) น าข้อสอบที่เลือกไว้ 30 ข้อ ไป Try Out กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจะนะชนูปถัมภ์ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 30 คน น าผลมาวิเคราะห์ความเชื ่อมั ่น พบว่า ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.74 2. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 1) วิเคราะห์หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ศึกษาเอกสาร ต าราและทฤษฎีที่เกี ่ยวข้อง ในการจัดท า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ก าหนดลักษณะของบทเรียน เนื้อหามีจ านวน 5 หน่วย มีแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ มีแบบทดสอบประจ าหน ่วยแบบปรนัย 4ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ/หน่วย โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและสามารถเข้าใช้งานได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบออนไลน์ แบบออฟไลน์ ใช้กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์พกพา แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ 2) น าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอนเสนอผู้เชี ่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบด้านเนื้อหาจ านวน 3 คน และด้านออกแบบจ านวน 3 คน พร้อมประเมินคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผลการประเมินด้านเนื้อหา พบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 มีค ่าเฉลี ่ยคุณภาพเท่ากับ 4.52 ส ่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐานเท ่ากับ 0.54 แสดงว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ด้านเนื้อหามีความเหมาะสมมากที่สุด ผลการประเมินด้านออกแบบ พบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ยคุณภาพเท่ากับ 4.53 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.40 แสดงว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีความเหมาะสมมากที่สุด 3) น าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่แก้ไขปรับปรุงไปทดลองใช้และหาประสิทธิภาพ ดังนี้ 3.1) Try out 1:1 กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 3 คน ในการทดลองครั้งนี้ด าเนินการในชั่วโมงสอนซ่อมเสริม ระหว่าง วันที่ 1ธันวาคม 2563 -17ธันวาคม 2563 จากการทดลองใช้ข้อบกพร่องที่พบคือ แอพพลิเคชั่นที่รองรับการ ใช้งานบทเรียนคอมพิเตอร์ช่วยสอน ไม่สามารถดาวน์โหลดได้ในระบบ IOS และการพิมพ์ข้อความผิดพลาด บางส ่วน ผู้วิจัยได้น าข้อบกพร ่องดังกล ่าว มาปรับปรุงแก้ไขเพื ่อให้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลให้มีความถูกต้องและสมบูรณ์เพื่อน าไปใช้ต่อไป 3.2) Try out 1:10 กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 โรงเรียนไม้แก ่นประชาอุทิศ จังหวัด สงขลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 9 คน (ไม่ซ ้ากับนักเรียนที่ Try out แบบ 1:1) ในการทดลอง ครั้งนี้ด าเนินการในชั่วโมงสอนซ่อมเสริม ระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2563 - 6 มกราคม 2564 จากการทดลองใช้ พบข้อบกพร ่องบางส ่วนจึงปรับปรุงแก้ไขบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอนเรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 113 ให้มีความถูกต้องและสมบูรณ์เพื ่อน าไปใช้ทดลองภาคสนามต ่อไปและจากการทดลองหาประสิทธิภาพ ปรากฏว่า ได้ค่าประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เท่ากับ 81.33/80.37 3.3) Try out ภาคสนาม กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 โรงเรียนจะนะชนูปถัมภ์ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 30 คน ในการทดลองครั้งนี้ด าเนินการในชั่วโมง สอนซ่อมเสริม ระหว่างวันที่ 11 มกราคม 2564 - 5 กุมภาพันธ์ 2564 จากการทดลองใช้พบว่าบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.33/82.11 3. คู ่มือการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1) วิเคราะห์บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก าหนดเนื้อหาและขอบข่ายในคู่มือ คู่มือประกอบด้วย คุณสมบัติพื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่รองรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ขั้นตอนการใช้ ขั้นตอนการติดตั้งในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์พกพา และในโทรศัพท์ วิธีการใช้งานบทเรียนตั้งแต่ ขั้นเริ่มต้น ขั้นตอนต่าง ๆ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จนถึงการออกจากบทเรียน 2) จัดท าคู ่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน แล้วน าคู ่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน ตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ พร้อมทั้งน าคู่มือการใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ และประเมินคุณภาพของ คู ่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน พบว ่า คุณภาพของคู่มือการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ มีค ่าเฉลี ่ยคุณภาพเท ่ากับ 4.48 ส ่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐานเท ่ากับ 0.58 แสดงว ่าคู ่มือการใช้งานบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีความเหมาะสมมาก 3) น าคู ่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน ไปประกอบร ่วมกับการทดลองใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และแผนการจัด การเรียนรู้ กับกลุ่ม 1:1, กลุ่ม 1:10 และกลุ่มภาคสนามตามล าดับ เพื่อหาข้อบกพร่องปรับปรุงและพัฒนาคู่มือ การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ให้เหมาะสมกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น 4. แผนการจัดการเรียนรู้ 1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื ่อก าหนดกรอบหรือ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิเคราะห์สาระ/มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 2) ศึกษาและวิเคราะห์ค าอธิบายวิชาคณิตศาสตร์ 6 (ค 33106) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 114 3) ศึกษาเอกสาร ต าราและทฤษฎีเกี่ยวกับการออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน 4) จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วน าแผนการจัดการเรียนรู้ไปให้ผู้เชี ่ยวชาญจ านวน 3 คน ตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ พร้อมทั้งน าแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ของผู้เชี่ยวชาญ และประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่าแผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย คุณภาพเท่ากับ 4.50 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 แสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมมาก 5) น าแผนการจัดการเรียนรู้ไปประกอบร ่วมกับการทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที ่ 6 กับกลุ ่ม 1:1, กลุ ่ม 1:10 และกลุ ่มภาคสนามตามล าดับ เพื ่อหาข้อบกพร ่องปรับปรุงและพัฒนา แผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสาระมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง การเก็บรวบรวมข้อมูล 1) ทดสอบก ่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จ านวน 16 คน และเก็บรวบรวมคะแนนผลการทดสอบของนักเรียนไว้ 2) ด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ร่วมกับคู่มือการใช้งานบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนและบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามแผนการจัดการเรียนรู้11แผน ใช้เวลา 21 คาบ แผนปฐมนิเทศ 1 แผน ใช้เวลา 1 คาบ และแผนการจัดการเรียนรู้ 10 แผนใช้เวลา 20 คาบ เมื่อนักเรียนเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นจบแต่ละหน่วย ให้นักเรียนท าแบบทดสอบประจ าหน่วยและ เก็บรวบรวมคะแนนผลการทดสอบของนักเรียนไว้ 3) ทดสอบหลังเรียน หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ร ่วมกับคู ่มือการใช้งานบทเรียน และบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ครบทุกแผนการจัดการเรียนรู้ ทดสอบโดยใช้แบบทดสอบฉบับเดียวกันกับที ่ใช้ในการทดสอบก ่อนเรียน และเก็บรวบรวมคะแนน 4) น าผลที่ได้จากข้อ 1) – 3) มาวิเคราะห์ทางสถิติตามวัตถุประสงค์ การวิเคราะห์ข้อมูล 1) วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการหาร้อยละ ค ่าเฉลี ่ยของคะแนนจากการท าแบบทดสอบประจ าหน ่วย และร้อยละค ่าเฉลี ่ยของคะแนนจากการท า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 115 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าร้อยละ ผลการวิจัย ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอนและวัตถุประสงค์ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปรากฏผลดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer Assisted-Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 กลุ่มทดลองภาคสนาม นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จ านวน 30 คน คะแนน จ านวน นักเรียน คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ร้อยละ แบบทดสอบประจ าหน่วยใน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 30 50 41.17 1.02 82.33 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียน 30 30 24.63 1.67 82.11 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยของคะแนนจากการท าแบบทดสอบประจ าหน่วยในบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คิดเป็นร้อยละ 82.33 และคะแนนเฉลี่ยของคะแนน จากการท าแบบทดสอบหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 82.11 แสดงว ่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.33/82.11 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปรากฏผลดังตารางที่ 3


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 116 ตารางที่ 3 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น กลุ่มประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จ านวน 16 คน แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ จ านวน นักเรียน คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบน มาตรฐาน ร้อยละ t p ก่อนเรียน 16 30 15.88 1.86 52.92 18.29 0.00** หลังเรียน 16 30 24.94 2.26 83.13 **นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที ่ 3 พบว ่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ที ่เรียนโดยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนร้อยละ 30.21 แสดงว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปผลการวิจัย จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 สามารถสรุปผลตามวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 โดยประสิทธิภาพ ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เกณฑ์ 1 2 ( / ) E E 80/80 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.33/82.11 ผลการศึกษาพบว ่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน เหมาะแก่การน าไปใช้ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ 2) เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ที ่เรียนโดยใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผลการศึกษาพบว ่า นักเรียนมีความก้าวหน้าเพิ ่มขึ้นหลังจากการน า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ไปใช้ โดยมีคะแนนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 82.13 และมีคะแนนก ่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 52.92 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.21 แสดงว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 117 อภิปรายผลการวิจัย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถน าสู่การอภิปรายผลได้ดังนี้คือ 1) คะแนนเฉลี ่ยของคะแนนจากการท าแบบทดสอบประจ าหน ่วย คิดเป็นร้อยละ 82.33 และคะแนนเฉลี ่ยของคะแนนจากการแบบทดสอบหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 82.11 แสดงว ่าบทเรียน คอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.33/82.11 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นสื ่อหรือนวัตกรรมการเรียนการสอนที ่ใช้ในการจัด การเรียนรู้ที ่ดี เนื ่องจากผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการทฤษฎีและงานวิจัยเกี ่ยวกับหลักการสร้างบทเรียน คอมพิวเตอร์ช ่วยสอน และการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอนก ่อนที ่จะใช้จริงกับ กลุ่มประชากร และได้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพ สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 มาใช้ในการจัดการเรียนรู้กับนักเรียน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ชี้ให้เห็นว ่าผู้วิจัยได้เข้าใจหลักการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอนที ่ดี และกระบวนการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นารี ผามั่น (2560: บทคัดย ่อ) ได้กล ่าวถึง การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื ่องการวัดส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 4 ผลการวิจัยพบว ่า การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการวัดส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 86.15/87.11 เป็นไปตามเกณฑ์ 1 2 E E/ เท ่ากับ 85/85 ที ่ตั้งไว้ และผลการทดสอบก ่อนเรียนและหลังเรียนของ กลุ่มตัวอย่างที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 30.21เป็นผลสืบเนื่องมาจาก ประเด็นส าคัญ ดังนี้ 2.1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นนั้น เป็นสื ่อหรือนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการ ทฤษฎี และงานวิจัยเกี่ยวกับหลักการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีขั้นตอนการสร้างที่ถูกต้องดังที่ วันวลิต เผ่าเผด็จการ (2561: 76) ได้กล่าวถึง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการหาพื้นที่ของนักเรียน


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 118 ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นจึงเหมาะสมที่จะน าไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนต่อไป รูปสี่เหลี่ยม ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความเหมาะสม ที่จะน าไปใช้พัฒนาการเรียนของ นักเรียน ส ่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นจึงเหมาะสมที ่จะน าไปใช้ในการจัดการเรียน การสอนต่อไป 2.2) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ที่ใช้ร่วมกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ท าให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 25.83 เนื่องจากผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการ ทฤษฎี และงานวิจัยเกี่ยวกับ การจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อน ามาใช้ประกอบในการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (ComputerAssisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ดังที่ สุวิทย์ มูลค า และคณะ (2549: 58) ได้กล่าวถึงแผนการจัดการเรียนรู้เป็นแผนการเตรียมการสอน หรือก าหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้า อย ่างเป็นระบบและจัดท าไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต ่าง ๆ มาก าหนดกิจกรรม การเรียนการสอน เพื ่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ ่งหมายที ่ก าหนดไว้ และผู้วิจัยได้ศึกษาองค์ประกอบของ แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อน าองค์ความรู้มาจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ให้มีความสมบูรณ์ ถูกต้องตามหลัก วิชาการ ดังที ่ ทิศนา แขมมณี (2548: 16) ได้กล ่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ 1) สาระส าคัญ 2) จุดประสงค์การเรียนรู้ 3) กิจกรรมการเรียนการสอน 4) สื ่อ/อุปกรณ์ 5) การวัด และประเมินผล และ 6) บันทึกหลังสอน ผู้วิจัยได้น าเสนอแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน คุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ท าให้ผู้วิจัยมีแผนจัดการเรียนรู้ที่ดี เหมาะสม ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยมีระดับคุณภาพในระดับมาก ที่น าไปใช้กับกลุ่มประชากรดังที่ปรากฎ 2.3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (ComputerAssisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบทดสอบ ที่ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการ ทฤษฎี และงานวิจัยเกี่ยวกับหลักการสร้างแบบทดสอบ มีขั้นตอนการสร้างที่ถูกต้อง ออกแบบทดสอบโดยให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ส่งผลให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนร้อยละ 25.83 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นุสรา เดชจิตต์ (2556 : 151) ได้วิจัย เรื่องผลการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบแก้ปัญหา เรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 119 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะจากการศึกษา ผลการศึกษาพบว ่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ท าให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงและมีประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอน ดังนั้นควรน าเอาวิธีการนี้ไปใช้พัฒนาในการเรียนรู้ ของนักเรียนระดับชั้นอื่น ๆ และเผยแพร่ต่อผู้ร่วมวิชาชีพ 2. ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนานวัตกรรมครั้งต่อไป ควรมีการออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับเนื้อหาเรื่องอื่นๆ ในวิชาคณิตศาสตร์ หรือในรายวิชาอื่น ๆ และครั้งต่อไปควรมีเสียงบรรยายของครูประกอบบทเรียนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560). โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจ ากัด. เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง. (2555). การพัฒนาสื่อนวัตกรรมทางการศึกษา. บริษัทบุ๊คส์ จ ากัด. ฑิฆัมภรณ์ บ ารุงเขต และอุบลรัตน์ ศิริสุขโภคา. (2559). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวัด ความยาว เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยยึดรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย. การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 8 (หน้า 395). มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2541). คอมพิวเตอร์ช่วยสอน. ภาควิชาโสตทัศนศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี. (2548). ศาสตร์การสอน. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นารี ผามั่น. (2560). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการวัดส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 12(1), 128-137. นุสรา เดชจิตต์. (2556). ผลของการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบแก้ปัญหา เรื่องการคูณ ที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์และความคงทนในการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยศิลปากร.


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 120 ประภาพรรณ เส็งวงศ์. (2553). การพัฒนาการเรียนรู้ด้วยวิธีการวิจัยในชั้นเรียน. ห้างหุ้นส่วนจ ากัดภาพพิมพ์. วันวลิต เผ่าเผด็จการ. (2561). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. [วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยบูรพา. สุวิทย์ มูลค า. (2549). การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการคิด(พิมพ์ครั้งที่ 2). ห้างหุ้นส่วนจ ากัดภาพพิมพ์.


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 121 ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่มีตอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 The Effects of Cooperative Learning by TGT Technique with Graphic Organizer on Learning Achievement and Attitude toward Mathematic of Prathomsuksa 5 Students วรรณิสา ชัยวัน* Wannisa Chaiwan นิเวศน คำรัตน** Nives Kamrat บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 กอนและหลัง ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีที รวมกับผังกราฟก 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 หลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกกับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม 3) ศึกษาเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรู แบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ประชากรที่ใชในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ในกลุมโรงเรียนบานไรกลุมที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จำนวน หองเรียนทั้งหมด 13 หองเรียน จำนวนนักเรียน 163 คน ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2565 กลุมตัวอยาง ที่ใชในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนวัดผาทั่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จำนวน 1 หองเรียน จำนวน 16 คน ไดมาโดยวิธีการสุมแบบกลุม โดยใช หองเรียนเปนหนวยในการสุม เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ไดแก 1) แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวย เทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม 3) แบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก คาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน ผลการวิจัยพบวา *นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค Student in Master of Education Degree, Curriculum and Instruction, Nakhon Sawan Rajabhat University. **ผูชวยศาสตราจารย ดร., คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค Assistant Professor Dr., Faculty of Education, Nakhon Sawan Rajabhat University.


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 122 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม อยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3) เจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร อยูในเกณฑระดับมาก คำสำคัญ: การเรียนรูแบบรวมมือ/ เทคนิคทีจีที/ ผังกราฟก/ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน/ เจตคติตอการเรียน ABSTRACT The purpose of this research were 1) to compare the learning achievement of Prathomsuksa 5 students before and after learning by cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer in mathematics subject, 2) to compare the mathematics learning achievement of Prathomsuksa 5 students after learning by cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer with the criteria of 70 percent of the total score and 3) to study after learning mathematics of students in Prathomsuksa 5 students after learning by cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer. The population used in this research was Prathomsuksa 5 students in School Group Banrai 2 in the office of Uthaithani Primary Education Service Area 2. It consists of 13 classrooms and 163 students. The first semester of 2022 academic year.The sample consisted of 16 Prathomsuksa 5 students of Watphatung School in the office of Uthaithani Primary Education Service Area 2. The sample of this study was collected through Cluster Random Sampling. The research instruments included 1 ) the 6 lesson plans according to cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer. 2) Mathematics learning achievement test on conic section. 3) attitude questionnaire related to cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer. Statistics used for data analysis were mean, standard deviation, and Wilcoxon Signed Rank Test. The research findings were as follows: 1) post-test score of mathematics subject achievement of the students who taught by using TGT technique with Graphic Organizer was higher than that of pre-test score at the .05 level of significance. 2) Learning Achievement by using TGT technique with Graphic Organizer which was higher than the criteria of 70 percent of the total score at the .05 level of significance. 3) Attitude towards the cooperative learning by TGT Technique with Graphic Organizer in mathematics subject was at the good level. Keywords: Cooperative Learning/TGT Technique/ Graphic Organizer/Learning Achievement/ Attitude towards learning


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 123 บทนำ คณิตศาสตรมีบทบาทสำคัญยิ่งตอความสำเร็จในการเรียนรูในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร ชวยใหมนุษยมีความคิดริเริ่มสรางสรรค คิดอยางมีเหตุผล เปนระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะหปญหา หรือสถานการณไดอยางรอบคอบและถี่ถวน ชวยใหคาดการณ วางแผน ตัดสินใจ แกปญหาไดอยางถูกตอง เหมาะสม และสามารถนำไปใชในชีวิตจริงไดอยางมีประสิทธิภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560: 1) หลักสูตร กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จึงกำหนดเปาหมายและจุดเนนหลายประการที่ผูสอนควรตระหนักและทำความเขาใจ เพื่อใหการจัดการเรียนรู สัมฤทธิ์ผลตามที่กำหนดไวในหลักสูตร ผูสอนควรศึกษาเพิ่มเติมในเรื่อง การจัด การเรียนรูในศตวรรษที่21 ตองมีการเปลี่ยนแปลงใหเขากับสภาพแวดลอม บริบททางสังคมและเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงไป ผูสอนตองออกแบบการเรียนรูที่เนนผูเรียนเปนสำคัญโดยใหผูเรียนไดเรียนจากสถานการณ ในชีวิตจริงและเปนผูสรางองคความรูดวยตนเองโดยมีผูสอนเปนผูจุดประกายความสนใจใฝรูและสรางบรรยากาศ ใหเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกัน (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560: 60-61) ถึงแมวาคณิตศาสตรจะเปนวิชาที่สำคัญมาก แตการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตรในปจจุบัน ยังคงไมประสบผลสำเร็จเทาที่ควร ดังจะเห็นไดจากผลทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ปการศึกษา 2560-2562 พบวา มีคะแนนรายวิชา คณิตศาสตร เฉลี่ยรอยละอยูในระดับต่ำกวารอยละ 50 ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย 37.12, 37.50 และ 32.90 ตามลำดับ (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแหงชาติ. 2560 - 2562) ซึ่งสอดคลองกับผลการสอบ ทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) วิชาคณิตศาสตรของกลุมโรงเรียนบานไรกลุม 2 มีคะแนนเฉลี่ย 33.99, 33.38 และ 31.10 ตามลำดับ จะเห็นวาผลคะแนนเฉลี่ยมีแนวโนมที่ลดลง (กลุมการวัดและประเมินผล การศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2, 2563) และพิจารณาจำแนกตามรายสาระ มาตรฐานการเรียนรู พบวา สาระที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกวารอยละ 50 ไดแก สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ ค 1.1 เขาใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวนและการใชจำนวนในชีวิตจริง เรื่อง ทศนิยม จากปญหา ดังกลาว สะทอนใหเห็นวานักเรียนมีปญหาในการเรียนวิชาคณิตศาสตรเนื่องมาจากความเบื่อหนายในการ เรียนรูเพราะการจัดการเรียนการสอนในวิชาคณิตศาสตร ที่มีลักษณะเปนนามธรรม ประกอบไปดวย ทฤษฎีบท กฎ สูตร นิยามมากมาย อีกทั้งการจัดการเรียนรูคณิตศาสตรในชั้นเรียนมุงใหผูเรียนไดรับเฉพาะ เนื้อหา โดยการอธิบายของครูครูยกตัวอยางและแสดงวิธีทำ แสดงขั้นตอนในการหาคำตอบ แลวใหผูเรียน ลงมือกระทำตามขั้นตอนดังกลาว จึงทำใหผูเรียนไมเกิดความคิดรวบยอดในการเรียนวิชาคณิตศาสตรและมี เจตคติที่ไมดีตอวิชาคณิตศาสตรอีกดวย (อัมพร มาคนอง, 2553: 3) การจัดการเรียนรูแบบรวมมือ (Cooperative learning) เปนการจัดการเรียนการสอนที่เนนใหผูเรียน ไดรวมมือ และชวยเหลือกันรวมกันคิดแกปญหา ทำใหผูเรียนไดลงมือกระทำ คนหาความรูดวยตนเอง จนเกิดความรูความเขาใจ จากลักษณะดังกลาวมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญญาของ Piaget


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 124 เพราะผูเรียนไดมีปฏิสัมพันธกับสิ่งแวดลอมรอบ ๆ ตัว จะทำใหเกิดความคิดตาง ๆ ที่เปนรูปธรรม และมีการพัฒนาตอไปเรื่อย ๆ จนสามารถคิดสิ่งที่เปนนามธรรมได (ชัยวัฒนสุทธิรัตน, 2561: 183 - 185) ในการเรียนรูโดยแบงผูเรียนออกเปนกลุมเล็ก ๆ ประกอบดวยสมาชิกที่มีความสามารถแตกตางกัน ทำงานรวมกันเพื่อเปาหมายกลุม สมาชิกมีความรับผิดชอบรวมกันทั้งในสวนตนและสวนรวม มีการฝก และใชทักษะการทำงานกลุมรวมกัน ผลงานของกลุมขึ้นอยูกับผลงานของสมาชิกแตละบุคคลในกลุม และสมาชิกตางไดรับความสำเร็จรวมกัน (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 183) การเรียนรูแบบรวมมือนั้น มีหลายเทคนิค เชน การเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีที เปนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให ผูเรียนไดรวมกลุม เพื่อทำงานรวมกันและชวยเหลือซึ่งกันและกัน สมาชิกในแตละทีมจะประกอบดวย สมาชิกที่มีความสามารถแตกตางกันมารวมกลุมแขงขันกันในเกมเชิงวิชาการ จะชวยสงเสริมใหผูเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีเจตคติที่ดีตอการเรียน มีความวิตกกังวลในการเรียนนอยลง และทำให ผูเรียนมีความคงทนในการเรียนรู (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 212-217) ดังจะเห็นไดจากงานวิจัยของ ปรียาพรรณ พระชัย (2560) ไดทำการวิจัยเกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรเรื่อง การคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 3 โดยใชการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคทีจีทีรวมกับแบบฝกทักษะ พบวา นักเรียนที่เรียนดวยการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคทีจีทีรวมกับแบบฝกทักษะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ ภูวภัทร อ่ำองอาจ (2561) ไดทำการวิจัยเกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร เรื่อง การบวกและการลบ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียน โดยใชการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 อยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากรูปแบบการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีแลว ผูวิจัยไดสนใจที่นำเทคนิค ผังกราฟกมาประกอบการจัดการเรียนรูรวมกับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีซึ่งผังกราฟก เปนแผนผังทางความคิด ประกอบไปดวยความคิดหรือขอมูลสำคัญ ๆ ที่เชื่อมโยงกันในรูปแบบตาง ๆ ซึ่งทำใหเห็นโครงสรางของความรูหรือเนื้อหาสาระนั้น ๆ ซึ่งเปนเทคนิคที่ผูเรียนสามารถนำไปใชใน การเรียนรูเนื้อหาสาระตาง ๆ จำนวนมาก เพื่อชวยใหผูเรียนเกิดความเขาใจในเนื้อหาสาระนั้นไดงายขึ้น เร็วขึ้น และจดจำไดนาน สอดคลองกับทฤษฎีการเรียนรูอยางมีความหมายของ Ausubel and Robinson ที่กลาววา การเรียนรูที่กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลง ควรเปนการเรียนรูอยางมีความหมายที่ผูเรียนสามารถนำ การเรียนรูใหมเขาไปเชื่อมโยงกับความรูเดิมได จะทำใหการเรียนรูสิ่งนั้นมีความหมาย (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 260) ผังกราฟกชวยใหเกิดทักษะการคิด เกิดความคงทนในการเรียนรูและยังชวยพัฒนาสมอง ทั้งซีกซายและซีกขวาของนักเรียน (พิมพันธ เดชะคุปต, 2552: 171) ชวยใหผูเรียนไดเชื่อมโยงความรูใหม กับความรูเดิมและสรางความหมาย ความเขาใจในเนื้อหาสาระหรือขอมูลที่เรียนรู และจัดระเบียบขอมูล ชวยใหงายแกการจดจำ (ทิศนา แขมมณี, 2561: 234) ดังจะเห็นไดจากงานวิจัยของ วันเพ็ญ รังคพุทธมาน (2557) ไดวิจัยเกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง โจทยปญหาคณิตศาสตร การบวก


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 125 การลบเศษสวน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 โดยใชแนวคิดของโพยลารวมกับการใชเทคนิค ผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวากอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู อยางมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และ กีรกานตคำขาว (2559) ไดวิจัยเกี่ยวกับผลการเรียนรู เรื่อง สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 โดยใชชุดกิจกรรมการเรียนรูโดยใชกระบวนการแกปญหาโพลยา และผังกราฟกมีผลการเรียนรูทั้งดานความรูและทักษะกระบวนการหลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 จากเหตุผลในขางตนผูวิจัยจึงมีความสนใจที่จะนําการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟก มาทดลองใชกับการจัดการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร ในระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 5 เรื่อง ทศนิยม เพื่อมุงหวังที่จะสงเสริมใหประสิทธิภาพของการเรียนการสอนคณิตศาสตรดีขึ้น อันจะสงผลไปยังผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียน และเพื่อที่จะเปนแนวทางในการปรับปรุง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตรใหมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น วัตถุประสงคของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 กอนและหลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 หลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกกับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม 3. เพื่อศึกษาเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับ การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอนเรียน 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 126 วิธีดำเนินการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ เปนวิจัยเชิงทดลองเบื้องตน (Pre – experimental design) โดยแผนการวิจัย แบบกลุมทดลองกลุมเดียว ทดสอบกอนและหลังเรียน (พิชิต ฤทธิ์จรูญ. 2559: 123) ดังแสดงไวในแผนภาพ การวิจัยในภาพที่ 1 ภาพที่ 1 แสดงแบบแผนการวิจัย ที่มา : พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2559: 123) เมื่อ O1 หมายถึง การวัดผลกอนการทดลอง X หมายถึง การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก O2 หมายถึง การวัดผลหลังการทดลอง ประชากรและกลุมตัวอยาง ประชากรที่ใชในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ในกลุมโรงเรียนบานไรกลุมที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จำนวนหองเรียนทั้งหมด 13 หองเรียน จำนวนนักเรียน 163 คน ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2565 กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนวัดผาทั่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จำนวน 1 หองเรียน จำนวน 16 คน ไดมาโดยวิธีการสุมแบบกลุม (Cluster Random Sampling) โดยใชหองเรียนเปนหนวยในการสุม เครื่องมือที่ใชในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก วิชาคณิตศาสตรเรื่อง ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 จำนวน 6 แผน ใชเวลาทั้งหมด 12 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปที่ 5 จำนวน 1 ฉบับ เปนแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ขอ 3. แบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 เปนแบบสอบถามมาตราสวนประมาณคา (Rating Scale) 5 ระดับ คือ เห็นดวยอยางยิ่ง เห็นดวย ไมแนใจ ไมเห็นดวย ไมเห็นดวยอยางยิ่ง ซึ่งประกอบดวยองคประกอบ 3 ดาน คือ ดานความรู ดานความรูสึก และดานพฤติกรรม จำนวน 24 ขอ O1 X O2


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 127 การสรางและหาคุณภาพของเครื่องมือ 1. แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก 1.1 ขั้นตอนการสรางแผนการจัดการเรียนรู การสรางแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกเรื่อง ทศนิยม กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตรชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ผูวิจัยไดดําเนินการสรางตามขั้นตอน ดังนี้ 1.1.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ แนวทางการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจี ทีรวมกับผังกราฟก จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ 1.1.2 ศึกษาหลักสูตรสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด ตลอดจน สาระการเรียนรูสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 เรื่อง ทศนิยม และกำหนดชั่วโมงใหเหมาะสมกับ เนื้อหา 1.1.3 นําสาระการเรียนรูมาแบงเนื้อหายอย และกําหนดเวลาเรียนที่เหมาะสมกับเนื้อหา 1.1.4 ออกแบบกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก วิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม 1.1.5 นำแผนการจัดกรรมการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่ผูวิจัย สรางขึ้นเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธเพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมของสาระสำคัญ สาระการเรียนรู กิจกรรมการเรียนรู และขั้นตอนของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิค ทีจีทีรวมกับผังกราฟกและแกไขปรับปรุงตามขอเสนอแนะของอาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ 1.2 หาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู ผูวิจัยดำเนินการหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกตามขั้นตอนดังนี้ 1. สรางแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก เพื่อใหผูเชี่ยวชาญประเมิน 2. นำแผนการจัดการเรียนรูที่สรางขึ้นเสนอตอผูเชี่ยวชาญจำนวน 3 ทาน 3. นำคะแนนผลการประเมินความคิดเห็นของผูเชี่ยวชาญมาหาคาเฉลี่ย (ݔ (̅และ สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 4. นำแผนการจัดการเรียนรูจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ที่ปรับปรุงแลวนำเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธเพื่อตรวจสอบแกไข และปรับปรุงอีกครั้งหนึ่งแลว จัดพิมพเปนฉบับสมบูรณ จำนวน 6 แผน เพื่อนำไปใชกับกลุมตัวอยาง


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 128 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร 2.1 การสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรมีขั้นตอนดังนี้ 2.1.1. ศึกษาหลักการวัดผล วิธีการวัดผล วิธีการสรางแบบทดสอบ เทคนิคการเขียน การวิเคราะหขอสอบการวัดและประเมินผลทางการเรียนรูคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม กลุมสาระการเรียนรู คณิตศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง 2560) 2.2.2 ศึกษาตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม กลุมสาระการ เรียนรูคณิตศาสตรเพื่อสรางตารางวิเคราะหขอสอบที่มีความสอดคลองกับพฤติกรรมการเรียนรู 2.2.3. สรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง ทศนิยม โดยเขียน แบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ใหสอดคลองกับตารางวิเคราะหเนื้อหาและจุดประสงคการเรียนรูและ เขียนจำนวนขอสอบใหมากกวาจำนวนแบบทดสอบที่ตองการเปนจำนวน 45 ขอ ทั้งนี้หลังจากที่นําไปทดลอง ใชและวิเคราะหหาคุณภาพของแบบทดสอบรายขอหาความตรงเชิงเนื้อหา คาความยากงาย คาอำนาจจำแนก แลวนั้นจะตัดขอที่มีคุณภาพไมเขาเกณฑออกจนเหลือจำนวนแบบทดสอบที่ตองการใชจริงจำนวน 30 ขอ 2.2 การหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ผูวิจัยไดดำเนินการหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ตามขั้นตอนดังนี้ 2.2.1. สรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร แลวนำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่สรางขึ้นเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ เพื่อพิจารณา ความถูกตอง ความเหมาะสม ภาษาที่ใช ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหา จุดประสงคการเรียนรู และความครอบคลุมของคำถาม แลวนำมาปรับปรุงแกไขตามขอเสนอแนะ โดยผูเชี่ยวชาญมีขอเสนอแนะ ใหตัดขอสอบที่มีการวัดพฤติกรรมซ้ำ 2.2.2. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ไดปรับปรุงแลวเสนอให ผูเชี่ยวชาญประเมินความตรงของเนื้อหาเพื่อพิจารณาความสอดคลองระหวางแบบทดสอบกับจุดประสงค การเรียนรู ถาคาดัชนีความสอดคลองมีคาตั้งแต 0.50 ขึ้นไป แสดงวาขอสอบนั้นมีความตรงเชิงเนื้อหา ซึ่งแบบทดสอบแตละขอมีความสอดคลองอยูระหวาง 0.67 – 1.00 2.2.3. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีความตรงเชิงเนื้อหาไปทดลองใช (Try Out) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไมใชกลุมตัวอยาง ที่ผานการเรียน เรื่อง ทศนิยม มาแลว นำคะแนนของนักเรียนมาวิเคราะหเพื่อหาคาความยากงาย และคาอำนาจ แบบทดสอบรายขอ โดยเลือกใช แบบทดสอบที่มีคาความยากงาย (P) ที่อยูระหวาง 0.20 - 0.80 และมีคาอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต 0.20 ขึ้นไป โดยแบบทดสอบมีคาความยาก (P) อยูระหวาง 0.23 – 0.77 คาอำนาจจำแนก (r) อยูระหวาง 0.23 – 0.62


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 129 2.2.4. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่คัดเลือกไว จำนวน 30 ขอ ไปทดลองใช กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไมใชกลุมตัวอยางเดิม แลวนำคะแนนนักเรียนมาวิเคราะหหาคาความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา คณิตศาสตร โดยใชสูตรคูเดอร-ริชารดสันสูตร คาความเชื่อมั่น ที่ยอมรับคือตั้งแต 0.70 ขึ้นไป โดยแบบทดสอบมีคาความเชื่อมั่นเทากับ 0.80 2.2.5. นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแลวนำเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธเพื่อตรวจสอบ แกไขและปรับปรุงอีกครั้งหนึ่ง แลวจัดพิมพเปนฉบับสมบูรณ และนำไปใชกับกลุมตัวอยาง 3. แบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร 3.1การสรางแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร 3.1.1. ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับแบบวัดเจตคติตอการเรียน วิชาคณิตศาสตร และการสรางแบบวัดเจตคติ 3.1.2. ศึกษาองคประกอบของเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยไดแบงองคประกอบของเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรเปน 3 ดาน ดังนี้ 1. ดานความรู คือ การเพิ่มพูนความรูคณิตศาสตร 2. ดานความรูสึก คือ ความพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร 3. ดานพฤติกรรม คือ ความตั้งใจและความกระตือรือรนในการเรียน 3.1.3. วิเคราะหขอคำถามในแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรซึ่งเปน ขอคำถามที่เปนไปในทางบวก และขอคำถามที่เปนไปทางลบ 3.1.4. สรางแบบวัดเจคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร ใหครอบคลุมองคประกอบของ เจตคติทั้ง 3 ดาน ซึ่งในแตละดาน เปนขอความทางบวก 4 ขอ และขอความทางลบ 4 ขอ นั่นคือ ดานความรู 8 ขอ ดานความรูสึก 8 ขอ และดานพฤติกรรม 8 ขอ รวมทั้งหมด 24 ขอ 3.2การหาคุณภาพของแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรมีขั้นตอนดังนี้ 3.2.1. นำแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ผูวิจัยสรางขึ้นเสนอตอผูเชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ทานเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสราง โดยการประเมินความสอดคลองระหวางขอคำถามกับ องคประกอบของแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร 3.2.2. นำคะแนนของผูเชี่ยวชาญมาคำนวณหาคาดัชนีความสอดคลอง (Index of Consistency: IOC) เพื่อหาความตรงเชิงเนื้อหาเปนรายขอ ซึ่งคาดัชนีความสอดคลองที่ยอมรับไดคือ 0.50 3.2.3. นำแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ปรับปรุงแกไขแลว จำนวน 24 ขอ ไปทดลองใชกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไมใชกลุมตัวอยางแลวหาคาอำนาจจำแนกของแบบวัดเจตคติ ตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร โดยใช t-test สูตรที่ใชในการคำนวณ คือ t- test for independent Samples เพื่อหาคาอำนาจจำแนกของแตละขอ (สมบูรณสุริยวงศ, 2555: 295-297)


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 130 3.2.4. นำแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ปรับปรุงแกไขแลว จำนวน 24 ขอ ไปทดลองใชกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไมใชกลุมตัวอยาง เพื่อหาความเชื่อมั่น โดยใชสัมประสิทธิ์แอลฟา (α-coefficient) ของครอนบาค (Cronbach method)คาความเชื่อมั่นที่ยอมรับคือตั้งแต 0.70 ขึ้นไป 3.2.5. จัดพิมพแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรฉบับสัมบูรณเพื่อนำไปใช วัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ซึ่งเปนกลุมตัวอยาง การเก็บรวบรวมขอมูล 1. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ทดสอบกอนเรียนกับกลุมตัวอยาง แลวบันทึกผลไวเปนคะแนนกอนเรียนสำหรับการวิเคราะหขอมูล 2. ดำเนินการทดลองผูวิจัยเปนผูดำเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิค ทีจีทีรวมกับผังกราฟก ในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2565 จำนวน 12 ชั่วโมง 3. หลังสิ้นสุดการทดลอง ใหนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ซึ่งเปนกลุมตัวอยาง ทำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียน เรื่อง ทศนิยมซึ่งเปนฉบับเดียวกับที่ใชทดสอบ กอนเรียน แลวบันทึกผลการสอนไวเปนคะแนนหลังเรียน 4. ใหนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ซึ่งเปนกลุมตัวอยาง ตอบแบบวัดเจตคติตอการเรียน วิชาคณิตศาสตร 5. นำคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกอนเรียนและหลังเรียน และแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ไดนำไปวิเคราะหหาคาสถิติเพื่อสรุปผลตอไป การวิเคราะหขอมูล 1. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 กอนและหลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกโดยใชการทดสอบอันดับ ที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก กับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนน เต็มโดยใชการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล 1. สถิติที่ใชในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือการวิจัย 1. การหาคาดัชนีความสอดคลอง (IOC) 2. การหาคาความยากงาย (p) 3. การหาคาอำนาจจําแนก (r) 4. การหาความเชื่อมั่น (Reliability)


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 131 2. สถิติพื้นฐาน 1. คาเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) 2. สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3. สถิติที่ใชในการทดสอบสมมติฐาน การทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน ผลการวิจัย 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกอนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกอนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก การทดสอบ n Xഥ S.D. T ା T ି T กอนเรียน 16 7.25 3.57 136 0 0* หลังเรียน 16 22.13 2.63 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( T(.଴ହ,ଵ଺) = 29) จากตารางที่ 1 พบวา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีคะแนนเฉลี่ยกอนเรียนเทากับ 7.25 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเทากับ 22.13 เมื่อทำการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน พบวา คาทีที่ไดจากการคำนวณ มีคาเทากับ 0 ซึ่งนอยกวาคาทีที่ไดจากการเปดตาราง ซึ่งมีคาเทากับ 29 แสดงวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกกับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม ดังตารางที่ 2


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 132 ตารางที่2 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกกับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม การทดสอบ n คะแนนเต็ม เกณฑรอยละ 70 Xഥ S.D. T ା T ି T หลังเรียน 16 30 21 22.13 2.63 133 3 3* *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( T(.଴ହ,ଵ଺) = 29) จากตารางที่ 2 พบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ ดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเฉลี่ยไดเทากับ 22.13 คะแนนคิดเปน รอยละ 76.04 ของคะแนนเต็ม ซึ่งสูงกวาเกณฑที่ตั้งไวคือ รอยละ 70 จากการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมาย กำกับของวิลคอกสัน พบวา คาทีที่ไดจากการคำนวณมีคาเทากับ 2 นอยกวาคาทีที่ไดจากการเปดตารางที่ ซึ่งมีคาเทากับ 29 แสดงวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิค ทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม อยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลการศึกษาเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับ การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 แสดงผลการศึกษาเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ดานที่ รายการ Xഥ S.D. แปลผล 1 ดานความรู คือ การเพิ่มพูนความรูคณิตศาสตร 4.37 0.67 มาก 2 ดานความรูสึก คือ ความพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร 4.30 0.72 มาก 3 ดานพฤติกรรม คือ ความตั้งใจและความกระตือรือรน ในการเรียน 4.33 0.67 มาก รวม 4.33 0.69 มาก จากตารางที่ 3 พบวา เจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ดานที่ 1 ดานความรู คือ การเพิ่มพูนความรูคณิตศาสตร (xത =4.37, S.D. = 0.67) มีเจตคติในระดับมาก ดานที่ 2 ดานความรูสึก คือ ความพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร (xത =4.30, S.D. = 0.72) มีเจตคติในระดับมาก ดานที่ 3 ดานพฤติกรรม คือ ความตั้งใจและความกระตือรือรนในการเรียน (xത =4.33, S.D. = 0.67) มีเจตคติ ในระดับมาก และเฉลี่ยรวมทั้ง 3 ดาน (xത =4.33, S.D. = 0.69) มีเจตคติในระดับมาก


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 133 สรุปผลการวิจัย จากผลการวิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่มีตอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 สามารถ สรุปผลไดดังนี้ 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.6 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็มอยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรอยูในเกณฑระดับมาก อภิปรายผล การวิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่มีตอผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ผูวิจัยอภิปราย ผลการวิจัย ดังนี้ 1. ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ ดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกวากอนเรียน อาจเนื่องมาจาก การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีขั้นตอนการจัดการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นจัดทีม ขั้นที่ 2 ขั้นการเสนอเนื้อหาขั้นที่ 3 ขั้นกิจกรรมกลุมยอย รวมกับผังกราฟก ขั้นที่ 4 ขั้นการแขงขัน และขั้นที่ 5 ขั้นการยอมรับความสำเร็จของทีม ซึ่งเปนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ใหผูเรียนได รวมกลุมเพื่อทำงานรวมกันและชวยเหลือซึ่งกันและกัน (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 212) ทีมเปนสวนสำคัญ ในการจัดการเรียนรู จุดเนนในทีม คือ ทำใหดีที่สุดเพื่อทีม ชวยเหลือเพื่อนรวมทีมใหมากที่สุด (สมศักดิ์ ภูวิภาดาวรรธน, 2544: 4-18) ทุกคนในกลุมตองเขาใจเนื้อหา ไมมีใครเรียนหรือศึกษาเนื้อหาจบเพียงคนเดียว และรวมกันสรุปเนื้อหาโดยใชผังกราฟกเปนแผนผังทางความคิด แสดงใหเห็นถึงการจัดลำดับกระบวนการ คิดของผูเรียน (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 260) เกิดความเขาใจและจดจำไดงาย (ทิศนาแขมมณี, 2561: 388) จึงทำใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น สงเสริมใหผูเรียนมีความรับผิดชอบในการเรียนรูของตนเองและ ของเพื่อนรวมกลุม ซึ่งสอดคลองกับงานวิจัยหลายเรื่องเกี่ยวกับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีที รวมกับผังกราฟก เชน นิรมล บุญวาส (2557) ไดศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร โดยใช การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 พบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุม


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 134 ดวยเกม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และสอดคลองกับงานวิจัยของ นันทปภัสร อ่ำบริสุทธิ์ (2562) ไดศึกษาผลการใชกิจกรรม การเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง เซต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ตามวิธีการจัดการเรียนการสอน แบบรวมมือแบบเทคนิค TGT พบวาผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง เซต กอนและหลังเรียนตามวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบรวมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 พบวาหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ ดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร หลังเรียนสูงกวาเกณฑ รอยละ 70 ของคะแนนเต็มทั้งนี้อาจเปนเพราะการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟก เปนการจัดกิจกรรมการเรียนรูเปนการจัดกิจกรรมการเรียนรูที่ใหผูเรียนไดทำงานเปนกลุม ทุกคนมีสวนรวมในการทำกิจกรรมรวมกัน กลาวคือ การสรุปความรูที่ไดเรียนเปนผังกราฟก ซึ่งผังกราฟก เปนแผนผังความคิด แสดงใหเห็นถึงการจัดลำดับกระบวนการคิด ทำใหเขาใจสิ่งที่เรียนไดชัดเจนยิ่งขึ้น การทำใบงาน โดยทุกคนในกลุมจะตองเขาใจเนื้อหา และทำใบงานใหผานเกณฑทุกคน จากนั้นเปนการแขงขัน ในเกมเชิงวิชาการ โดยสมาชิกในทีมจะตองแยกกันไปแขงขันในแตละโตะแขงขัน เพื่อคะแนนของทีม และความสำเร็จของทีม จึงทำใหผูเรียนเกิดความกระตือรือรนในการทำงาน โดยสมาชิกในทีมจะตองนำ คะแนนการแขงขันของตนเองมารวมกันเปนคะแนนรวมของทีม ทีมที่ไดคะแนนรวมสูงสุดจะไดรับรางวัล ทำใหผูเรียนมีความตั้งใจมุงมั่น กระตือรือรนที่จะเรียนรู เพื่อใหกลุมของตนเองประสบความสำเร็จ จึงทำให ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร หลังเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็มซึ่งสอดคลองกับ งานวิจัยของ นิรมล บุญวาส (2557) ไดศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร โดยใชการจัดการเรียนรู แบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 พบวา นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรผานเกณฑคะแนนรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม อยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และ ภูวภัทร อ่ำองอาจ (2561) ไดศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร และทักษะการคิดคำนวณ เรื่อง การบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียน ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียนหลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง การบวกและการลบ สูงกวาเกณฑรอยละ 70 อยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวย เทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร อยูในเกณฑระดับมาก อาจเนื่องมาจาก การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก เปนการจัดกิจกรรมการเรียนรูที่ใหผูเรียน ทำงานเปนกลุม การชวยเหลือกันในทีม การทำใบงานรวมกัน การสรุปความรูเปนผังกราฟก การสนับสนุน


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 135 ใหกำลังใจเพื่อนรวมทีมใหประสบความสำเร็จ ทำใหผูเรียนมีความเอาใจใสรับผิดชอบตัวเองและสมาชิกในทีม และผูเรียนมีความตื่นเตนสนุกสนานกับการเรียนรู ซึ่งสถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (2555: 189) ไดกลาวไววา เจตคติตอวิชาคณิตศาสตรเปนความรูสึกของนักเรียนที่มีตอวิชาคณิตศาสตร ที่สงผลใหผูเรียนแสดงพฤติกรรม ที่จะตอบสนองตอวิชาคณิตศาสตรในลักษณะของความชอบหรือไมชอบ พอใจหรือไมพอใจ เห็นคุณคาหรือไมเห็นคุณคา รวมทั้งความพรอมหรือไมพรอม ที่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร นอกจากนี้ยังสอดคลองกับงานวิจัย นิรมล บุญวาส (2557) ไดทำการวิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรู แบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกมที่มีตอผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติตอ วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 พบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่6 ที่ไดรับการจัด การเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกม มีเจตคติตอวิชาคณิตศาสตรอยูในระดับดีมาก ขอเสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยมีขอเสนอแนะ ดังนี้ ขอเสนอแนะทั่วไป 1. การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ครูผูสอนควรเตรียม ความพรอม และวางแผนอยางรอบคอบ เพื่อใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนการจัดการเรียนรูอยางครบ ทุกขั้นตอน และควบคุมระยะเวลาในการทำกิจกรรม 2. ในแตละทีมอาจจะมีนักเรียนบางคนที่ไมใหความรวมมือในขั้นกิจกรรมกลุมยอยครูผูสอน ควรใหคำแนะนำแกนักเรียน เพื่อใหนักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการทำกิจกรรมรวมกันในทีม 3. ครูควรกระตุนใหนักเรียนกลาแสดงออก และแสดงความคิดเห็นออกมาแมวาจะเปน ความคิดเห็นที่แตกตางกันหรือไมถูกตอง เพื่อนำไปสูการอภิปรายและการสรุปที่ถูกตอง ขอเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอไป 1. ควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกไปใชกับ เนื้อหาอื่นในรายวิชาคณิตศาสตร เพื่อศึกษาวาวิธีการสอนในรูปแบบนี้เหมาะสมหรือไมเหมาะสมกับเนื้อหาใด 2. ควรมีการศึกษาการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่มีตอ ตัวแปรอื่น ๆ เชน ความสามารถในการแกปญหา ความสามารถในการคิดวิเคราะห เปนตน


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 136 เอกสารอางอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลางกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย จำกัด. กีรกานต คำขาว. (2559). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรูโดยใชกระบวนการแกปญหาของโพลยา และผังกราฟกเพื่อสงเสริมผลการเรียนรูของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2. [วิทยานิพนธ ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม. ชัยวัฒนสุทธิรัตน. (2561). 80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรูที่เนนผูเรียนเปนสำคัญ (พิมพครั้งที่ 8). พีบาลานซดีไซนแอนปริ้นติ้ง. ทิศนา แขมมณี. (2561). ศาสตรการสอน : องคความรูเพื่อการจัดกระบวนการเรียนรูที่มีประสิทธิภาพ (พิมพครั้งที่ 22). สำนักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. นันทปภัสร อ่ำบริสุทธิ์. (2562). ผลการใชกิจกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง เซต ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ตามวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบรวมมือแบบเทคนิค TGT. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยรามคำแหง. นิรมล บุญวาส. (2558). ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกมที่มีตอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติตอวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 6. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค. ปรียาพรรณ พระชัย. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษาการแกโจทยปญหา โดยใชการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT รวมกับแบบฝกทักษะ เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปที่ 3. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2559). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา (พิมพครั้งที่ 10). เฮา ออฟ เคอร มิสท. พิมพันธ เดชะคุปต. (2552). สอนวิทยาศาสตรเพื่อความเขาใจดวยกระบวนการออกแบบยอนกลับ. พัฒนาคุณภาพวิชาการ. ภูวภัทร อ่ำองอาจ. (2561). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรและทักษะการคิดคำนวณ เรื่อง การบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1-2 และคละชั้นเรียนที่ไดรับ การจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. วัญเพ็ญ รังคพุทธมานะ. (2557). การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใชแนวคิดของโพลยารวมกับการใชเทคนิค ผังกราฟกเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏสมเด็จเจาพระยา.


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 137 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแหงชาติ (องคการมหาชน). (2560). ผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รายวิชาคณิตศาสตร. http://www.newonetresult.niets.or.th/AnnouncementWeb/PDF/Summary ONETP6_2560.pdf. __________. (2561). ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รายวิชาคณิตศาสตร. http://www.newonetresult.niets.or.th/AnnouncementWeb/PDF/SummaryONET P6_2561.pdf. __________. (2562). ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รายวิชาคณิตศาสตร. http://www.newonetresult.niets. or.th/AnnouncementWeb/PDF/SummaryONET P6_2561.pdf. สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี(สสวท.). (2555). การวัดผลประเมินผลคณิตศาสตร. ซีเอ็ดยูเคชั่น. สมบูรย สุริยวงศ. (2555). วิจัยและสถิติทางการศึกษา (พิมพครั้งที่ 5). ศูนยสงเสริมวิชาการ. สมศักดิ์ ภูวิภาดาวรรธน. (2544). การยึดผูเรียนเปนศูนยกลางและการประเมินสภาพจริง. เชียงใหมโรงพิมพแสงศิลป. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2. (2563). รายงานผลทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ขั้นพื้นฐาน (O – NET) ชั้นประถมศึกษาปที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ปการศึกษา 2562. กลุมนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุทัยธานี เขต 2. อัมพร มาคนอง. (2553). ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร: การพัฒนาเพื่อพัฒนาการ. โรงพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 138 การศึกษาความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครู สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 The Study of Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) of In-service Teachers in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 วสุพงษ์ อิวาง* Wasupong Iwang บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื ่อส ารวจและเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามเพศ รายวิชาที่สอน อายุ ระดับชั้นที่สอน และขนาดโรงเรียน ประชากร ได้แก่ ครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 968 คน กลุ ่มตัวอย ่าง ได้แก่ ครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที ่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 285 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นชนิดมาตราส่วนประมาณค่า แบ่งเป็น 5 ระดับ จ านวน 27 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1. ความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.807 องค์ประกอบความรู้ในเนื้อหา (CK) มีค่าเฉลี่ย 3.878 มากที่สุด องค์ประกอบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีสอน และเทคโนโลยี (TPACK) มีค ่าเฉลี ่ย 3.725 น้อยที ่สุด 2. เปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยี ส าหรับครู จ าแนกตามเพศ รายวิชาที ่สอน อายุ ระดับชั้นที ่สอนไม ่แตกต ่างกัน แต่ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี จ าแนกตามขนาดโรงเรียน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ครูในโรงเรียนขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษมีความรู้ เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีสูงกว่าครูในโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก ค าส าคัญ : ความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี/ ครูประจ าการ *ศึกษานิเทศก์ช านาญการ, ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 Professional Level Supervisor, Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 139 Abstract This research aimed to explore and compare the technological pedagogical content knowledge (TPACK) in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 with different gender, subjects, age, levels, and school size. Populations include 968 in-service teachers in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 during the second semester of the academic year 2022. The sample consisted of 285 in-service teachers in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 during the second semester of the academic year 2022 by simple random sampling. The 27 rating-scale of 5 levels questionnaires were used for data collection. Statistics used for analyzing the data were mean, standard deviation, and t-test, and one-way ANOVA. The findings revealed that 1. Technological pedagogical content knowledge of teachers in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 is a medium level, with an average of 3.807. Content knowledge is the highest level, with an average of 3.878 and technological pedagogical content knowledge is the lowest level, with an average of 3 .725. A comparison of technological pedagogical content knowledge (TPACK) of teachers with different gender, subjects, age, and levels were not significantly, but school size was significantly different at .05 level. In-service teachers in large and extra-large size schools are more technological pedagogical content knowledge than in-service teachers in medium and small schools. Keywords: Technological Pedagogical Content Knowledge/ In-service teacher บทน า ยุทธศาสตร์ชาติให้ความส าคัญกับการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพของประชากรไทยทุกช่วงวัย ให้เป็นคนดีเก่ง และมีคุณภาพ พร้อมส าหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยมีแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ที่ปรากฏในแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ สรุปประเด็นส าคัญคือ การปรับเปลี ่ยนระบบการเรียนรู้ส าหรับศตวรรษที ่ 21 ต้องพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกระดับการศึกษา มีการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับเนื้อหา และวิธีการสอน โดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุนทฤษฎีการเรียนรู้แบบใหม่ในการพัฒนาเนื้อหาและทักษะแบบใหม่ เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ควรมีคุณลักษณะที่มีชีวิต มีพลวัต มีปฏิสัมพันธ์การเชื่อมต่อ และมีส่วนร่วม (ส านักงานคณะกรรมการการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2561) การผสมผสาน


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 140 เทคโนโลยีเข้ากับเนื้อหาและวิธีการสอนที่ปรากฏในยุทธศาสตร์ชาติ สอดคล้องกับกรอบแนวคิดความรู้ ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี หรือ Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) ความรู้เทคโนโลยี (TK) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการเรียนการสอน ความรู้เนื้อหา (CK) หมายถึง ความรู้ในเนื้อหาที ่สอนธรรมชาติของเนื้อหา และความสัมพันธ์กับเนื้อหาอื ่น ๆ ความรู้ ศาสตร์การสอน (PK) หมายถึง ความรู้ในวิธีการสอน กระบวนการจัดการเรียนรู้ การจัดการชั้นเรียน การสร้างแผนจัดการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเนื้อหา (PCK) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้วิธีการสอน การจัดการชั้นเรียน การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ การประเมินผล การเรียนรู้ของผู้เรียนให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่สอน ความรู้เนื้อหาผนวกเทคโนโลยี (TCK) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีและเนื้อหา รวมถึงความรู้ในการเลือกและใช้เทคโนโลยี ให้เหมาะสมกับเนื้อหานั้น ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเทคโนโลยี (TPK) หมายถึง ความรู้ในการเลือก และใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน การจัดการชั้นเรียน การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ การประเมินผล การเรียนรู้ของผู้เรียน และความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) หมายถึง ความรู้ในการใช้ เทคโนโลยีและวิธีการสอนในเนื้อหาเฉพาะ การบูรณาการเทคโนโลยี การส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหา และกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน (Koehler & Mishra, 2009) แนวคิดความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีถูกพัฒนามาจากกรอบแนวคิด ความรู้ ผนวกวิธีการสอน หรือ Pedagogical Content Knowledge หรือ PCK ของ Lee S. Shulman (1986) ซึ่งเป็นการพยายามที่จะอธิบายหรือตอบค าถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดดังกล่าวได้รับการยอมรับและน ามาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาวิจัยกัน อย ่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดย PCK เป็นกรอบแนวคิดที ่อ้างถึงการบูรณาการความรู้ความสามารถ ใน 2 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านเนื้อหา (Content knowledge) และด้านการสอนหรือศาสตร์การสอน (Pedagogy) เป็นองค์ประกอบที่ส าคัญที่ควรมีเพื่อการปฏิบัติงานสอนในเนื้อหาวิชาเฉพาะหรือหมายความว่า ในการสอนแต่ละวิชาหรือแม้แต่การสอนแต่ละเรื่อง ก็มีความส าคัญเฉพาะที่แตกต่างกัน (Shulman, 1986) ตัวอย่างเช่น ครูที่สอนวิทยาศาสตร์จะต้องมีความรู้ในเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ และมีความรู้ว่าวิธีการสอน ใดบ้างที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิทยาศาสตร์ที่ตนเองสอน ในท านองเดียวกัน ครูที่สอนคณิตศาสตร์จะต้อง มีความรู้ในเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ และมีความรู้ว ่าวิธีการสอนใดที ่สอดคล้องกับเนื้อหาคณิตศาสตร์ ซึ ่งการปฏิบัติการสอนของครูวิทยาศาสตร์และครูคณิตศาสตร์อาจมีความแตกต ่างกันตามเนื้อหาวิชา ที่ตนสอน (จุฬารัตน์ ธรรมประทีป, 2559) งานวิจัยที ่ผ ่านมาเกี ่ยวกับความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีได้ให้ข้อเสนอแนะ ที่ส าคัญหลายประการเกี่ยวกับการผลิตครู โดยความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ควรเป็น ส ่วนส าคัญใน “มาตราฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพครู” ซึ ่งเป็นเรื ่องที่ท้าทายการผลิตครู (ลือชา ลดาชาติ, 2565) นักวิจัยและนักการศึกษาได้มีการสร้างเครื่องมือเพื่อใช้วัดระดับความรู้ในเนื้อหา


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 141 ผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีของนักศึกษาครูเพื ่อน าไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการผลิตและพัฒนา นักศึกษาครูจ านวนมาก (Baran et al., 2011) แต ่ยังขาดข้อมูลความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีของครูประจ าการ และยังขาดการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจส ารวจและศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีของครูประจ าการ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการพัฒนาครู วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อส ารวจความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 2. เพื ่อเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามเพศ รายวิชาที่สอน อายุ ระดับชั้นที ่สอน และขนาดโรงเรียน กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีด าเนินการวิจัย 1. ประชากรที ่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก ่ ครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที ่การศึกษาประถมศึกษา เชียงใหม่ เขต 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 968 คน 2. กลุ ่มตัวอย ่างที ่ใช้ในงานวิจัย ผู้วิจัยใช้วิธีสุ ่มอย ่างง ่าย (Simple random sampling) ได้แก่ ครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที ่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 285 คน ข้อมูลส่วนบุคคล 1. เพศ 2. รายวิชาที่สอน 3. อายุ 4. ระดับชั้นที่สอน 5. ขนาดโรงเรียน องค์ประกอบความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) 1. ความรู้เทคโนโลยี (TK) 2.ความรู้เนื้อหา (CK) 3.ความรู้ศาสตร์การสอน (PK) 4.ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเนื้อหา (PCK) 5. ความรู้เนื้อหาผนวกเทคโนโลยี (TCK) 6. ความรู้ศาสตร์การสอนสอนผนวกเทคโนโลยี (TPK) 7. ความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม


วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 142 3. ศึกษาองค์ประกอบแนวคิดความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีสร้าง โดยเชื่อมโยงกับ องค์ประกอบของความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ของ Lee S. Shulman (1986) และKoehler & Mishra (2009) ดังตาราง 1 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 เป็นแบบสอบถามแสดงความคิด ชนิดมาตราส่วนประมาณค ่า (Rating scale) แบ ่งเป็น 5 ระดับ จ านวน 27 ข้อ ปรับปรุงข้อค าถามจาก ง าน วิ จั ย ข อง Chai et al. (2011), Erdoğmuş et al. (2020) , Hosseini (2015), Koh et al. (2014) และ Schmidt et al. (2009) ความเที่ยงตรงของเนื้อหา วิเคราะห์ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) จากผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 5 คน และเลือกข้อค าถามที่มีค่า IOC มากกว่า 0.5 ค่าความเชื่อมั่นวิเคราะห์โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาค (Alpha Coefficient) ได้ 0.95 ข้อค าถามแสดงดังตาราง 2 5. ด าเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม รูปแบบออนไลน์ จ านวน 285 คน สถิติที ่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และการวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA) ตาราง 1 องค์ประกอบของความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) องค์ประกอบ ค าอธิบาย ความรู้เทคโนโลยี(TK) ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการเรียนการสอน เช่น ดิจิทัลเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ตโปรแกรม ส าเร็จรูป เพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูลและ การสื่อสาร ความรู้เนื้อหา (CK) ความรู้ในเนื้อหาที ่สอนธรรมชาติของเนื้อหา และความสัมพันธ์กับเนื้อหาอื่น ๆ ความรู้ศาสตร์การสอน (PK) ความรู้ในวิธีการสอน กระบวนการจัดการเรียนรู้ การจัดการชั้นเรียน การสร้างแผนจัดการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเนื้อหา (PCK) ความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้วิธีการสอน การจัด การชั้นเรียน การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ การประเมินผล การเรียนรู้ของผู้เรียนให้เหมาะสม กับเนื้อหาที่สอน


Click to View FlipBook Version