วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 93 นักเรียนมัธยมศึกษาปีที ่ 6 มีเนื้อหาในแต ่ละหัวข้อยากต ่อการท าความเข้าใจของนักเรียนและยากต่อ ครูผู้สอนที่จะท าให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องนี้ การเรียนในโรงเรียนที่มีนักเรียนในแต่ละห้องมีจ านวนมาก ประกอบกับการเรียนแบบบรรยายเพียงกลุ่มเนื้อหาอย่างเดียว ท าให้นักเรียนไม่สนใจ ไม่มีความกระตือรือร้น และเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ไม่เห็นภาพ และไม่ได้ลงมือปฏิบัติการทดลอง และ Acar and Tathan รายงานว ่าการทดลองแบบดั้งเดิมในต ารา ปฏิบัติตามขั้นตอนทีละขั้นจนเสร็จ การทดลอง ท าให้ไม่เกิดการตราสัญลักษณ์ เนื้อหา และการท าความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงที ่เกิดขึ้น ในการทดลอง ส่งผลสืบเนื่องให้นักเรียนเกิดความเข้าใจที่ผิดหรือคลาดเคลื่อนในเรื่องไฟฟ้าเคมีมากขึ้น ซึ ่งปัญหาเหล ่านี้ ท าให้ความเข้าใจในเนื้อหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค ่อนข้างต ่า จึงจ าเป็นต้องมี การส ่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ ่านประสบการณ์ตรง เน้นให้นักเรียนไปฏิบัติ ได้ท าการทดลอง และเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื ่อสืบเสาะหาความรู้ และสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง (สิรินภา กิจเกื้อกูล, 2558: 13 ) ในการพัฒนานักเรียนให้เกิดทักษะการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ชิ้นงานในศตวรรษที่ 21 สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องการพัฒนาคุณภาพของการศึกษาไทย โดยการด าเนินการ โครงการสะเต็มศึกษา (STEM Education) ซึ ่งสะเต็มศึกษาจะสามารถช ่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมรวมถึงการสื่อสารและความร่วมมือได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสะเต็มศึกษา มีแนวคิดมาจากทฤษฎีคอนสตรัคชันนิสซึม (Constructionism) เป็นการเรียนรู้ที ่เกิดจากการสร้างพลัง ความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน หากนักเรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและน าความคิดของตนเองไป สร้างสรรค์ชิ้นงาน โดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะท าให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน (ทวีป แซ ่ฉิน, 2556: 11) และสะเต็มศึกษาเป็นการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) (สิรินภา กิจเกื้อกูล, 2558: 18) โดยมีจุดเด ่นและธรรมชาติตลอดจนวิธีการสอนของ แต ่ละวิชามาผสมผสานกัน เพื ่อให้นักเรียนน าความรู้มาใช้ในการแก้ปัญหา ค้นคว้าความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างชิ้นงาน โดยมีกระบวนการการออกแบบเชิงวิศวกรรม ประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ขั้นตอน คือ การระบุปัญหา การค้นหาแนวคิดที ่เกี ่ยวข้อง การวางแผนและพัฒนา การทดสอบและประเมินผล และการน าเสนอผลลัพธ์ (สถาบันส ่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2558: 2) สิ ่งส าคัญคือ ในขณะที่นักเรียนท ากิจกรรม นักเรียนมีความสนใจและกระตือรือร้นต่อการเรียนรู้และการท ากิจกรรม สามารถพัฒนาความรู้ความเข้าใจ ฝึกทักษะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี นักเรียนมีโอกาส น าความรู้มาออกแบบวิธีการหรือกระบวนการ เพื ่อตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาที ่เกี ่ยวข้อง กับชีวิตประจ าวัน เพื ่อให้ได้เทคโนโลยีซึ ่งเป็นผลผลิตจากกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมถึง สามารถพัฒนากระบวนการหรือพัฒนาสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการด าเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ ในอนาคตได้อย่างแท้จริง (ศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติ, 2557: 7)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 94 จากเหตุผลที ่กล ่าวมา ผู้วิจัยจึงมีแนวทางที ่จะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 5 เพื่อให้นักเรียนสามารถบูรณาการทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและการออกแบบเชิงวิศวกรรม ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ชิ้นงานในด้านทักษะการแก้ปัญหา ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการสื่อสาร และความร่วมมือได้เป็นอย่างดีอีกทั้งนักเรียนสามารถน าความรู้ไปเชื่อมโยงกับชีวิตประจ าวัน พัฒนาตนเอง สังคม และประเทศชาติต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์มีความรู้ ความเข้าใจวิชาเคมีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์มีความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้าอยู่ในระดับมาก ขอบเขตการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนทุ ่งฟ้าพิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 15 คน ซึ ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ขอบเขตด้านเนื้อหา การศึกษาในครั้งนี้ ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมี : เซลล์อิเล็กโทรไลต์ และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตัวแปรต้น การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมี : เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ความพึงพอใจทางการเรียนวิชาเคมี ตัวแปรควบคุม นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง,ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล,แบบทดสอบ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 95 ประโยชน์ที่ได้รับ 1. พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ 2. ช่วยกระตุ้นความสนใจในการเรียนเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ให้กับนักเรียน 3. ได้ฝึกทักษะกระบวนการแก้ไขปัญหาให้กับนักเรียน 4. เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มในครั้งต่อไป กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีการด าเนินการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื ่องมือที ่ใช้ในการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื ่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ประกอบด้วย 1.แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษาวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ 3.แบบวัดความพึงพอใจที่มีการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ชนิดมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ 4. ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ วิธีการสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยด าเนินการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือตามล าดับดังนี้ 1. การสร้างและหาคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ การสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษาวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามล าดับขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมของโรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม เกี่ยวกับค าอธิบาย รายวิชา สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาเคมีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เรื่องไฟฟ้าเคมี:เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ความพึงพอใจ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 96 1.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เพื่อให้ทราบแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ 1.3 ก าหนดโครงสร้างและเนื้อหาที่จะน าไปสร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม สะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมีองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ส าคัญ ได้แก่ 1) ชื่อแผนการจัดการเรียนรู้ 2) มาตรฐานการเรียนรู้3) ผลการเรียนรู้4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 5) สาระการเรียนรู้6) สาระส าคัญ 7) คุณลักษณะอันพึงประสงค์8) การวัดและประเมินผล9) กิจกรรมการเรียนรู้ และ 10) สื ่อและแหล ่งการเรียนรู้โดยออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามโครงสร้าง วัตถุประสงค์ และเนื้อหาที่ก าหนดไว้ 1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื ่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ให้สัมพันธ์กับเนื้อหา และเวลาตามที่ออกแบบไว้ 1.5 น าเสนอแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ที่สร้างขึ้นต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการเขียนแผน ความสัมพันธ์ระหว่าง จุดประสงค์กับเนื้อหา กิจกรรม สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผล 1.6 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื ่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ มาปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา 1.7 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ที่แก้ไขแล้ว ไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่านพิจารณา และประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้องของรายละเอียดต่างๆ ในแต่ละองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ 1.8 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์มาปรับปรุง ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี ่ยวชาญ โดยน าค าแนะน าจากผู้เชี ่ยวชาญมาปรับปรุง จากนั้นน าแผนการจัด การเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมอีกครั้ง เพื่อประเมินความเหมาะสมของแผนการจัด การเรียนรู้ 1.9 จัดพิมพ์ฉบับสมบูรณ์ แล้วน าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 15 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ การสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ 2.1 ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แล้วก าหนดรูปแบบที่ใช้วัดเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 97 2.2 ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมของโรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคมเกี่ยวกับค าอธิบาย รายวิชา สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาเคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากนั้นน าผลการเรียนรู้มาวิเคราะห์เป็นจุดประสงค์การเรียนรู้และท าผังข้อสอบ โดยก าหนดจ านวนข้อสอบในผังข้อสอบเป็นปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ และอัตนัย 2.3 สร้างข้อสอบให้สอดคล้องตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยสร้างให้มีจ านวนข้อมากกว่า ที่ก าหนดไว้ในผังข้อสอบ 2.4 ตรวจสอบความเหมาะสมขั้นต้นด้วยตนเอง 2.5 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ที่สร้างขึ้น ไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ช่วยพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหา โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่าง ข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้จากนั้นเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC มากกว่าหรือเท่ากับ 0.50 มาจัดท าเป็น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ 2.6 ทดลองเก็บข้อมูล โดยทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายจ านวน 15 คน เพื่อน าผลการทดลองมาประเมินคุณภาพของแบบทดสอบ 2.7 วิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบ 2.8 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ทั้งฉบับ 2.9 น าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน ทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 15 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 3. แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ผู้วิจัยได้ด าเนินการ สร้างตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจแล้ว มาก าหนดเป็นนิยามศัพท์ 3.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ แล้วก าหนดรูปแบบที ่ใช้วัดเป็นแบบวัด ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา เป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ 3.3 สร้างข้อค าถามให้สอดคล้องนิยามศัพท์ โดยสร้างให้มีจ านวนข้อมากกว่า 10 ข้อ 3.4 ตรวจสอบความเหมาะสมขั้นต้นด้วยตนเอง 3.5 น าแบบวัดความพึงพอใจที ่มีต ่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา ที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ช่วยพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหาโดยพิจารณาความสอดคล้อง ระหว่างข้อสอบกับนิยามศัพท์ จากนั้นเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC มากกว่าหรือเท ่ากับ 0.50 มาจัดท าเป็น แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 98 3.6 ทดลองเก็บข้อมูล โดยทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 5 ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที ่ไม ่ใช ่กลุ ่มเป้าหมายจ านวน 15 คน เพื ่อน าผลการทดลองมาประเมินคุณภาพของ แบบวัดความพึงพอใจ 3.7 วิเคราะห์คุณภาพของแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม สะเต็มศึกษาโดยการหาค่าความเชื่อมั่น 3.8 น าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน ทุ่งฟ้าวิทยาคม จังหวัดตาก จ านวน 15 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 4. ชุดกิจกรรมเกมประกอบการสอนเรื่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ 4.1 ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ดังนี้ 4.1.1 ศึกษาผลการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560 ของกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม สาระเคมี คือ เข้าใจหลักการอิเล็กโทรลิซิส และเซลล์อิเล็กโทรไลต์ รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตประจ าวัน และการแก้ปัญหาทางเคมี 4.1.2 ศึกษาเนื้อหาเรื ่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ เนื้อหาที ่ใช้ในการวิจัยประกอบไปด้วย กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส และผู้วิจัยเชื ่อมโยงเนื้อหาเรื ่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ควบคู ่ไปกับการด าเนิน กิจกรรมสะเต็มศึกษาวิชาเคมี เรื ่อง การแยกน ้าด้วยไฟฟ้าเพื ่อให้นักเรียนสามารถใช้ความรู้เรื ่องเคมี ในเนื้อหาเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์และสามารถสร้างเครื่องแยกน ้าด้วยไฟฟ้า 4.1.3 ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส และเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ซึ ่งเป็นเรื ่องหลักในการสร้างสรรค์ชิ้นงานเพื ่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมสะเต็ม ศึกษาวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ขั้นตอนการด าเนินการวิจัย การด าเนินการทดลองเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยด าเนินการทดลองตามล าดับขั้นตอนดังนี้ 1 ขั้นเตรียมการ 1.1 ติดต่อขอรับหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏก าแพงเพชร น าหนังสือ ราชการไปติดต่อขออนุญาต และขอความร่วมมือจากผู้บริหารโรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม อ าเภอบ้านตาก จังหวัดตาก เพื่อขออนุญาตในการด าเนินการวิจัย 1.2 ผู้วิจัยด าเนินการจัดนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม จ านวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจ านวน 15 คน เป็นกลุ่มเป้าหมายโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 99 และเนื้อหาที ่ใช้ในการทดลองคือ เนื้อหาวิชาเคมี เซลล์อิเล็กโทรไลต์: กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. การด าเนินการ ด าเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยเริ ่มตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2565 ถึงเดือนมกราคม 2566 3. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ผู้วิจัยท าการทดสอบก ่อนเรียนกับนักเรียนกล ุ ่มเป้าหมายด้วยแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื ่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ 3.2 ด าเนินการทดลองสอน โดยผู้วิจัยท าการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษา โดยใช้เวลา 9 ชั่วโมง 3.3 เมื่อสิ้นสุดการทดลองสอน ผู้วิจัยท าการทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ และแบบอัตนัย และแบบวัดความพึงพอใจที ่มีต ่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมสะเต็มศึกษา เป็นแบบสอบถามชนิดมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ 3.4 น าคะแนนที่ได้จากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์และแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมสะเต็มศึกษามาตรวจ ให้คะแนนตามเกณฑ์ที่ก าหนด แล้วน ามาวิเคราะห์ต่อไป การจัดกระท าข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ศึกษาประสิทธิภาพของกิจกรรมสะเต็มศึกษา เรื่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ โดยค านวณ จากร้อยละของนักเรียนที่ท าแบบวัดแนวคิดเรื่องสารละลายหลังเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสะเต็มศึกษา ซึ่งก าหนด เกณฑ์ว ่า จ านวนนักเรียนร้อยละ 70 มีคะแนนแนวคิด เรื ่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ไม ่ต ่ากว ่าร้อยละ 50 โดยค านวนหาร้อยละของจ านวนนักเรียน 2. วิเคราะห์คะแนนแนวคิดเรื ่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลายที่เรียนรู้ด้วยกิจกรรมสะเต็มศึกษาเรื่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ซึ่งใช้คะแนนจากแบบทดสอบ แนวคิดก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้วิธีการทางสถิติแบบ T-test for dependent samples การทดสอบ สมมติฐานภายในกลุ่มทดลอง 3. ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา ผู้วิจัยวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สะเต็มศึกษา โดยใช้ค ่าเฉลี ่ย และส ่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วเทียบกับเกณฑ์ ที่ก าหนด โดยก าหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายของค่าเฉลี่ยดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด: 102-103)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 100 คะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง พึงพอใจมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง พึงพอใจน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด ผลการวิจัย ตอนที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียน ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 5 เรื่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ โดยใช้แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบผลคะแนนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลัง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ นักเรียนคนที่ คะแนนก่อนเรียน Pre-test (10 คะแนน) คะแนนหลังเรียน Post-test (10 คะแนน) 1 3 7 2 0 9 3 1 8 4 4 8 5 7 8 6 5 8 7 3 7 8 6 7 9 1 7 10 0 6 11 5 7 12 6 7 13 2 10 14 4 8 15 1 8 ค่าเฉลี่ย (̅) 3.20 7.67
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 101 ตารางที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลจากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี การจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์โดยใช้ วิธี t – Test : Paired Two Sample for Means จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ มีค่าเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 3.20 และหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็ม มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 7.67 เมื่อน าคะแนนมาเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบ หลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 5 เรื ่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์โดยใช้แบบวัดความพึงพอใจที ่มีต ่อการจัด การเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า ตารางที่ 3 การหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัด การเรียนรู้แบบสะเต็ม ข้อที่ การจัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ค่าทางสถิติ ̅ S.D. ระดับความพึงพอใจ 1 เนื้อหาเหมาะสมกับพื้นฐานและความต้องการ ของผู้เรียน 4.80 0.41 มากที่สุด 2 เนื้อหาเหมาะสมกับเวลาในการจัดการเรียนรู้ 4.60 0.51 มากที่สุด 3 เนื้อหาสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้ 4.53 0.52 มากที่สุด 4 ผู้สอนสามารถอธิบายโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และมีการใช้น ้าเสียงสูง ต ่า ในการสอน 4.80 0.41 มากที่สุด 5 ผู้สอนมีการเตรียมตัวล่วงหน้า 4.47 0.41 มาก 6 ผู้สอนสามารถตอบข้อซักถามของผู้เรียนได้ 4.13 0.35 มาก 7 ผู้สอนมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมต่อการจัด การเรียนรู้ 4.00 0.00 มาก S.D. 3.20 2.31 7.67 0.98 0.0000 t * การทดสอบ ก่อนเรยีน หลงัเรยีน 4.47 2.61 6.62 D Sig.(1-tailed) D S..D.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 102 ข้อที่ การจัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ค่าทางสถิติ ̅ S.D. ระดับความพึงพอใจ 8 ผู้สอนใช้กิจกรรมในการน าเข้าสู่บทเรียน และประกอบการจัดการเรียนรู้ 4.60 0.51 มากที่สุด 9 กิจกรรมในการจัดการเรียนรู้เหมาะสมและช่วยท า ให้เข้าใจง่ายขึ้น 4.60 0.51 มากที่สุด 10 กิจกรรมในการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหา รายวิชา และระยะเวลาในการจัดการเรียนการสอน 4.73 0.46 มากที่สุด 11 มีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา 3.36 0.49 มากที่สุด 12 มีการเปิดเผยคะแนนและน าเสนอแนะแนวทาง ของค าตอบ 3.07 0.26 มาก 13 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีความชัดเจน และยุติธรรม 4.29 0.46 มาก 14 บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมต่อการเรียนรู้ 3.79 0.42 มากที่สุด 15 ใช้สื่อที่หลากหลายในการจัดการเรียนรู้ เช่น พาวเวอร์พอยต์ วีดีทัศน์ การทดลอง เป็นต้น 3.32 0.48 มากที่สุด รวม 4.56 0.12 มากที่สุด จากตารางที่ 6 ระดับความพึงพอใจของนักเรียน ต่อการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ไฟฟ้าเคมี: เซลล์อิเล็กโทรไลต์ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจส่วนใหญ่อยู่ใน ระดับมากที่สุด ยกเว้น ผู้สอนมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ผู้สอนสามารถตอบข้อซักถามของผู้เรียนได้ ผู้สอน มีบุคลิกภาพที่เหมาะสมต่อการจัดการเรียนรู้มีการเปิดเผยคะแนนและน าเสนอแนะแนวทางของค าตอบ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีความชัดเจน และยุติธรรมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจ ของผู้เรียนอยู่ที่ 4.56 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 0.12 จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล แสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนมีระดับความพึงพอใจเฉลี่ยทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด อภิปรายผล ผู้วิจัยได้อภิปรายผลการศึกษาค้นคว้าตามขั้นตอนดังนี้ ตอนที่ 1 อภิปรายผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า จากผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้าหลังเรียนและก่อนเรียน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 103 แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สอดคล้องกับงานวิจัยของ วธัญญู พิชญภูสิทธิ (2563: 87) ที่ได้ศึกษาวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และมีคะแนนสูงกว่าร้อยละ 75 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับงานวิจัยผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษามีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความสามารถในการแก้ไขปัญหา และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความสามารถในการแก้ปัญหา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ประภาณี ราญมีชัย (2561: 112) การเปรียบเทียบผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในรูปแบบสะเต็มศึกษา เรื่อง ไฟฟ้าเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอน ในรูปแบบสะเต็มศึกษามีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนตามปกติ สอดคล้อง กับงานวิจัยของ เกรียงศักดิ์ วิเชียรสร้าง (2560 :67) ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา ที ่มีต ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ความสามารถในการแก้ปัญหา และความพึงพอใจต ่อการจัด การเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยวิชาเคมีหลังการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรศักดิ์ บุญธิมา, ศักดินา ภรณ์นันท์ (2018: 63) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนา ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้าเคมี โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สะเต็มศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยวิชาเคมีหลังการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และมีคะแนนพัฒนาการทางการเรียนวิชาเคมีเฉลี่ยร้อยละ 4.67สอดคล้องกับงานวิจัยของ วิสาขะ เยือกเย็น (2561: 78) ผลการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 เรื ่อง ไฟฟ้าเคมีพบว ่านักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว ่าก ่อนเรียนมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 สอดคล้องกับงานวิจัย สุพัตรา อิ่นค า (2561: 89) การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือรายวิชาเคมี4 (ว30224) เรื่อง ไฟฟ้าเคมี ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว ่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี 4 ว30224 เรื ่อง ไฟฟ้าเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ตอนที่ 2 อภิปรายผลความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า จากผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มเรื่องการแยกน ้าด้วยไฟฟ้า อยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 104 ของ สุพัตรา อิ่นค า (2561: 90) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการสอน แบบร ่วมมือรายวิชาเคมี4 (ว30224) เรื ่อง ไฟฟ้าเคมี ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว ่า เจตคต ต่อการเรียนวิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือวิชาเคมี 4 ว30224 เรื่อง ไฟฟ้าเคมี สูงกว่าก่อนเรียน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ วิสาขะ เยือกเย็น (2561: 79) ผลการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง ไฟฟ้าเคมีพบว่า นักเรียนมีความ พึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในครั้งนี้อยู่ในระดับมากที่สุด สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรศักดิ์ บุญธิมา, ศักดินา ภรณ์นันท์ (2018: 65)การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้าเคมี โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ แบบโครงงานเป็นฐานส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พบว่า จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุดได้สอดคล้อง กับงานวิจัยของ เกรียงศักดิ์ วิเชียรสร้าง (2560: 68) ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา ที ่มีต ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ความสามารถในการแก้ปัญหา และความพึงพอใจต ่อการจัด การเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุดสอดคล้องกับงานวิจัยของ นัสรินทร์ บือซา (2555:59) ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษามีต ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความสามารถ ในการแก้ไขปัญหาและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า นักเรียน มีความพึงพอใจต ่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา (STEM Education) อยู ่ในระดับมาก และได้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ วธัญญู พิชญภูสิทธิ (2563: 88) การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาเคมี เรื่อง อัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมี ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก จากการอภิปรายผลการวิจัยข้างต้น สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบสะเต็มเรื่อง เซลล์อิเล็กโทรไลต์ สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พัฒนากระบวนการแก้ไขปัญหาของนักเรียน และพัฒนาการท างาน ร่วมกันแบบกลุ่มได้เนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นส าคัญและน าเหตุการณ์ในชีวิตประจ าวันเข้ามามีส่วนร่วมในชั้นเรียน ท าให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการเรียน สามารถน าสิ่งที่เรียนหรือความรู้ที่ได้ไปประยุกใช้ในชีวิตประจ าวันได้ นอกจากนี้ยังเป็นการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตนเอง เน้นการท างานเป็นกลุ่ม และท าให้ผู้เรียนสามารถแก้ไข ปัญหาได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการอื่น ๆ ได้
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 105 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1. นักเรียนบางคนยังไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนเท่าที่ควร ท าให้เป็นปัญหาในการท ากิจกรรม ครูควรมีการแนะน าแหล่งเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนน าไปทบทวนความรู้ 2. นักเรียนแต่ละคนมีความชอบกิจกรรมที่แตกต่างกัน ท าให้อาจเป็นปัญหาต่อการประเมิน ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งถัดไป 1. ควรจัดกิจกรรมสะเต็มให้ครอบคลุมเนื้อหามากขึ้น เนื่องจากมีเวลาจ ากัด และควรมี กิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงความรู้เดิมของผู้เรียน 2. ควรมีการวัดพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคน ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา หรือความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น 3. ควรมีการส ารวจกิจกรรมที่นักเรียนแต่ละคนชอบปฏิบัติ เพื่อสร้างกิจกรรมที่เหมาะสม กับผู้เรียนและให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เอกสารอ้างอิง เกรียงศักดิ์ วิเชียรสร้าง. (2560). ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาเคมี ความสามารถในการแก้ปัญหา และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. นัสรินทร์ บือซา. (2555). ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษามีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชีววิทยา ความสามารถในการแก้ไขปัญหาและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. ประภาณี ราญมีชัย. (2561). การเปรียบเทียบผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบสะเต็มศึกษา เรื่อง ไฟฟ้าเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัย ราชภัฏมหาสารคาม. ทวีป แซ่ฉิน. (2556). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี Constructionism เพื่อพัฒนาทักษะ การเขียนโปรแกรมด้วยโปรแกรม App Inventor ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยนเรศวร. วิสาขะ เยือกเย็น. (2561). ผลการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่องไฟฟ้าเคมี. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 106 วธัญญู พิชญภูสิทธิ. (2563). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยนเรศวร. ศักดิ์ศรี สุภาษร. (2555). บทบาทของเมนทอลโมเดลในการเรียนรู้วิชาเคมีในระดับโมเลกุล. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 35(2), 1-7. สิรินภา กิจเกื้อกูล. (2558). สะเต็มศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยนเรศวร, 17(2), 201-207. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2558). คู่มืออบรมครูสะเต็มศึกษา.สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีการทรวงศึกษาธิการ. สะเต็มศึกษาแห่งชาติ. (2557). เครือข่ายสะเต็มศึกษา.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. สุพัตรา อิ่นค า. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือรายวิชาเคมี4 (ว30224) เรื่อง ไฟฟ้าเคมี ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่6(งานวิจัยในชั้นเรียน). โรงเรียนปู่ด้วงศึกษาลัย. สุรศักดิ์ บุญธิมา, ศักดินา ภรณ์นันท์. (2018). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องไฟฟ้าเคมีโดยใช้ กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. โรงเรียนจุฬาภรณ ราชวิทยาลัย
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 107 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 The Development of Learning Achievement on Introduction to Data Analytics using Computer-Assisted Instruction for Students in Mathayomsuksa 6. รุสมีนีย์ ฤทธิเดช* Rusmeenee Ritthidej บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้1) เพื ่อสร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที ่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน ประชากร ที่ใช้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล จ านวนทั้งหมด 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น จ านวน 5 หน่วย 3) คู่มือการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 4) แผนการจัดการเรียนรู้ จ านวน 11 แผน / 21 ชั่วโมง ผลการวิจัยพบว ่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 มีประสิทธิภาพสูงกว ่าเกณฑ์ 82.33/82.11 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ที ่เรียนโดยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 30.21 แสดงว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 ค าส าคัญ: บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน/ การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น *ครูช านาญการ, โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ, สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล Professional Level Teacher, Maikanprachau-tid school , The Secondary Educational Service Area Office Songkhla satum
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 108 ABSTRACT The purposes of the research were 1) to create and investigate the efficiency of computer- assisted instruction for introduction to data analytics in order to attain the criteria of 80/80, 2) to compare the learning achievement before and after using computer-assisted instruction for students in Mathayomsuksa 6.The population of the study was Mathayomsuksa 6 of Maikanprachau-tid school in the second semester of the academic year 2021. The research instruments wear: 1) learning achievement test, 2) computerassisted instruction, 3)Instruction manual of computer-assisted instruction, and 4) 21 hours of lesson plans. The results of the research showed that 1) the efficiency of computer-assisted instruction for introduction to data analytics was obtained at 82.33/82.11, higher than a predetermined threshold, 2) The learning achievement of students in Mathayomsuksa 6 was higher than before using computer-assisted instruction for introduction to data analytics 30.21 percent. The learning achievement after instruction was higher than before at the statistically significant level of 0.05. Keyword : Computer-Assisted Instruction/ Introduction to Data Analytics บทนำ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 22 ที่กล่าวว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและ เต็มศักยภาพ” ดังนั้นสถานศึกษาต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด จัดกิจกรรม ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ฝึกการปฏิบัติให้คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ซึ่งคณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้คนเป็นผู้มีเหตุผล ใฝ่รู้ พัฒนาความคิดและเกิดทักษะในการคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ตลอดจนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร์ ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผลเป็นระบบ มีแบบแผนสามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือ สถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือ ในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ของชาติให้มีคุณภาพ และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 109 จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560:1) แต่สภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ ปัจจุบันการเรียนการสอนรายวิชาคณิตศาสตร์ ยังไม่มีประสิทธิภาพ ดังจะเห็นได้จากข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ ในรายวิชาคณิตศาสตร์6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 – 2562 ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 55.06, 63.57 และ 77.00 ตามลำดับ ชี้ให้เห็นว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในระดับต่ำกว่า เป้าหมายของโรงเรียน ผู้วิจัยจึงได้วิเคราะห์หาจุดเร่งด่วนที่ต้องพัฒนาพบว่า คือเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น เมื่อได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาพบว่า ครูยังคงใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย โดยไม่คำนึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ทำให้นักเรียนที่เรียนรู้ได้เร็วสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย ส่วนนักเรียนที่เรียนรู้ช้าหรือฟังบรรยายไม่ทัน หรือไม่เข้าใจเนื้อหาที่บรรยายก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน นักเรียนที่ขาดเรียนบ่อบประสบปัญหาเรียนไม่ทันเพื่อน เมื่อต้องเรียนเรื่องใหม่จะยิ่ง ประสบปัญหามากขึ้น เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเดิมที่เป็นพื้นฐาน ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ต่ำลงและจะมีเจตคติที่ไม่ดีต่อการเรียนคณิตศาสตร์ในที่สุด สอดคล้องกับที่ ฑิฆัมภรณ์ บำรุงเขต และอุบลรัตน์ ศิริสุขโภคา (2559: 395) ได้กล่าวถึง วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีลักษณะเชิงนามธรรม ครูผู้สอนมักเน้นแต่เนื้อหาและใช้วิธีการสอนที่ไม่หลากหลาย และมักทำให้ครูผู้สอนประสบปัญหาในการจัด การเรียนรู้ ที่ไม่สามารถช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่กำหนดไว้ได้ และปัญหาด้านผู้เรียน ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์เนื่องจากนักเรียนคิดว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่น่าเบื่อ ยากต่อการทำความเข้าใจ จึงทำให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ผ่านมาไม่น่าพอใจ ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ของครูผู้สอนในปัจจุบันนั้นจึงไม่สามารถสอนแบบบรรยายเพียงอย่างเดียวโดยไม่ใช้สื่อการเรียนประกอบได้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง ที่ช่วยให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เห็นภาพ สื่อความหมายได้ ชัดเจน อีกทั้งยังสร้างความแปลกใหม่เร้าความสนใจแก่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในการเรียนการสอน และกำลังมี การพัฒนาให้มีประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอนอย่างมาก ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2541: 11) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการนำคอมพิวเตอร์เข้าไปใช้ในการศึกษาในลักษณะของการนำเสนอการเรียน การสอนทางคอมพิวเตอร์ โดยที่คอมพิวเตอร์จะนำเสนอบทเรียนแทนผู้สอนและผู้เรียนสามารถเรียนได้ ด้วยตนเอง การนำสื่อประสมเข้ามาช่วยในการนำเสนอเนื้อหาบนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หากคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนได้รับการออกแบบมาดี ถูกต้องตามหลักการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแล้วสามารถที่จะจูงใจ ผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนและสนุกสนานไปกับการเรียน และดังที่ นุสรา เดชจิตต์ (2556: 98) ได้กล่าวไว้ว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนช่วยเพิ่มแรงจูงใจและทำให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน ช่วยตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนได้ด้วยตนเอง จึงทำให้ผู้เรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง (2555: 93) ได้แบ่งประเภทของ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้เป็น 7 ประเภท ดังนี้ การนำเสนอเนื้อหา การฝึกฝนหรือแบบฝึกหัด การสร้างสถานการณ์จำลอง เกมการศึกษา การค้นพบ การแก้ปัญหา และการทดสอบ จากเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงเลือกพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนรูปแบบการนำเสนอเนื้อหา เนื่องจากเป็นการเรียงเนื้อหาสาระการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้นักเรียนศึกษาตามลำดับเนื้อหาสาระที่วางไว้
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 110 จากง่ายไปหายาก และช่วยกระตุ้นความสนใจในการเรียน นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ผู้วิจัย จึงพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่6 ที่มีเนื้อหาและกิจกรรมสอดคล้องกับตัวชี้วัด ตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดในหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื ่อสร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน วิธีดำเนินการวิจัย การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงทดลอง (Experimental Research) ผู้วิจัยได้กำหนด วิธีการศึกษาค้นคว้าเป็นลำดับขั้นตอน ดังต่อไปนี้ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา ทั้งหมดจำนวน 16 คน แบบแผนของการศึกษา การศึกษาครั้งนี้ใช้รูปแบบ One Group Pretest Posttest Design ซึ่งมีลักษณะการศึกษาตามตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แสดงแบบแผนการศึกษาแบบ One Group Pretest Posttest Design กลุ่ม ทดสอบก่อนเรียน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ทดสอบหลังเรียน กลุ่มทดลอง 1 T 1 X 2 T ส าหรับการศึกษาครั้งนี้ ก าหนดให้ 1 T หมายถึงการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก ่อนใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1 X หมายถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2 T หมายถึงการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 111 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ มีจ านวน 4 ประเภท ดังนี้ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (ComputerAssisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จ านวน 5 หน่วย 3) คู่มือการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 4) แผนการจัดการเรียนรู้ จ านวน 11 แผน / 21 ชั่วโมง การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างและหาคุณภาพเครื ่องมือทั้ง 4 รายการ ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าและ เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อน าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ผลตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่ได้ก าหนดไว้ มีล าดับ ขั้นตอนและรายละเอียด ดังนี้ 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แบบปรนัย4ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 1) ศึกษาเอกสารเกี ่ยวกับการวัดผลและประเมินผล และทฤษฎีที ่เกี ่ยวข้องกับการสร้าง แบบทดสอบและออกแบบทดสอบเป็นปรนัยเลือกตอบ (Multiple Choice) 4ตัวเลือก โดยให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแต่ละหน่วยและตัวชี้วัดที่ก าหนดไว้ในกลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ จ านวน 40 ข้อ 3) น าแบบทดสอบเสนอผู้เชี ่ยวชาญจ านวน 3 คน เพื ่อตรวจสอบความเที ่ยงตรงเนื้อหา หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามกับจุดประสงค์ โดยผลการวิเคราะห์ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง ของข้อสอบเท่ากับ 0.67 - 1.00 ทุกข้อ แสดงว่าข้อสอบแต่ละข้อมีค่า IOC ใช้ได้ทุกข้อ และปรับปรุงแก้ไข แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญก่อนน าไปทดลองใช้ 4) น าข้อสอบที่ปรับแก้ 40 ข้อไป Try Out กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนไม้แก่น ประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 10 คน น าผลมาวิเคราะห์ หาค่าความยากง่ายและอ านาจจ าแนก พบว่าข้อสอบมีความยากง่าย ตั้งแต่ 0.40 - 0.90 และมีค่าอ านาจ จ าแนก ตั้งแต่ 0.20-1.00จากนั้นคัดเลือกข้อสอบไว้ 30 ข้อ ที่มีความยากง่ายตั้งแต่ 0.40-0.60และมีค่าอ านาจ จ าแนกตั้งแต่ 0.40 ขึ้นไป เพื่อน าไป Try Out หาค่าความเชื่อมั่น
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 112 5) น าข้อสอบที่เลือกไว้ 30 ข้อ ไป Try Out กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจะนะชนูปถัมภ์ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 30 คน น าผลมาวิเคราะห์ความเชื ่อมั ่น พบว่า ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.74 2. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 1) วิเคราะห์หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ศึกษาเอกสาร ต าราและทฤษฎีที่เกี ่ยวข้อง ในการจัดท า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ก าหนดลักษณะของบทเรียน เนื้อหามีจ านวน 5 หน่วย มีแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ มีแบบทดสอบประจ าหน ่วยแบบปรนัย 4ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ/หน่วย โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและสามารถเข้าใช้งานได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบออนไลน์ แบบออฟไลน์ ใช้กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์พกพา แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ 2) น าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอนเสนอผู้เชี ่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบด้านเนื้อหาจ านวน 3 คน และด้านออกแบบจ านวน 3 คน พร้อมประเมินคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผลการประเมินด้านเนื้อหา พบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 มีค ่าเฉลี ่ยคุณภาพเท่ากับ 4.52 ส ่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐานเท ่ากับ 0.54 แสดงว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ด้านเนื้อหามีความเหมาะสมมากที่สุด ผลการประเมินด้านออกแบบ พบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ยคุณภาพเท่ากับ 4.53 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.40 แสดงว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีความเหมาะสมมากที่สุด 3) น าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่แก้ไขปรับปรุงไปทดลองใช้และหาประสิทธิภาพ ดังนี้ 3.1) Try out 1:1 กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนไม้แก่นประชาอุทิศ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 3 คน ในการทดลองครั้งนี้ด าเนินการในชั่วโมงสอนซ่อมเสริม ระหว่าง วันที่ 1ธันวาคม 2563 -17ธันวาคม 2563 จากการทดลองใช้ข้อบกพร่องที่พบคือ แอพพลิเคชั่นที่รองรับการ ใช้งานบทเรียนคอมพิเตอร์ช่วยสอน ไม่สามารถดาวน์โหลดได้ในระบบ IOS และการพิมพ์ข้อความผิดพลาด บางส ่วน ผู้วิจัยได้น าข้อบกพร ่องดังกล ่าว มาปรับปรุงแก้ไขเพื ่อให้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลให้มีความถูกต้องและสมบูรณ์เพื่อน าไปใช้ต่อไป 3.2) Try out 1:10 กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 โรงเรียนไม้แก ่นประชาอุทิศ จังหวัด สงขลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 9 คน (ไม่ซ ้ากับนักเรียนที่ Try out แบบ 1:1) ในการทดลอง ครั้งนี้ด าเนินการในชั่วโมงสอนซ่อมเสริม ระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2563 - 6 มกราคม 2564 จากการทดลองใช้ พบข้อบกพร ่องบางส ่วนจึงปรับปรุงแก้ไขบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอนเรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 113 ให้มีความถูกต้องและสมบูรณ์เพื ่อน าไปใช้ทดลองภาคสนามต ่อไปและจากการทดลองหาประสิทธิภาพ ปรากฏว่า ได้ค่าประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เท่ากับ 81.33/80.37 3.3) Try out ภาคสนาม กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 โรงเรียนจะนะชนูปถัมภ์ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 30 คน ในการทดลองครั้งนี้ด าเนินการในชั่วโมง สอนซ่อมเสริม ระหว่างวันที่ 11 มกราคม 2564 - 5 กุมภาพันธ์ 2564 จากการทดลองใช้พบว่าบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.33/82.11 3. คู ่มือการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1) วิเคราะห์บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก าหนดเนื้อหาและขอบข่ายในคู่มือ คู่มือประกอบด้วย คุณสมบัติพื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่รองรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ขั้นตอนการใช้ ขั้นตอนการติดตั้งในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์พกพา และในโทรศัพท์ วิธีการใช้งานบทเรียนตั้งแต่ ขั้นเริ่มต้น ขั้นตอนต่าง ๆ ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จนถึงการออกจากบทเรียน 2) จัดท าคู ่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน แล้วน าคู ่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน ตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ พร้อมทั้งน าคู่มือการใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ และประเมินคุณภาพของ คู ่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน พบว ่า คุณภาพของคู่มือการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ มีค ่าเฉลี ่ยคุณภาพเท ่ากับ 4.48 ส ่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐานเท ่ากับ 0.58 แสดงว ่าคู ่มือการใช้งานบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีความเหมาะสมมาก 3) น าคู ่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน ไปประกอบร ่วมกับการทดลองใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และแผนการจัด การเรียนรู้ กับกลุ่ม 1:1, กลุ่ม 1:10 และกลุ่มภาคสนามตามล าดับ เพื่อหาข้อบกพร่องปรับปรุงและพัฒนาคู่มือ การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ให้เหมาะสมกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น 4. แผนการจัดการเรียนรู้ 1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื ่อก าหนดกรอบหรือ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิเคราะห์สาระ/มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 2) ศึกษาและวิเคราะห์ค าอธิบายวิชาคณิตศาสตร์ 6 (ค 33106) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 114 3) ศึกษาเอกสาร ต าราและทฤษฎีเกี่ยวกับการออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน 4) จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วน าแผนการจัดการเรียนรู้ไปให้ผู้เชี ่ยวชาญจ านวน 3 คน ตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ พร้อมทั้งน าแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ของผู้เชี่ยวชาญ และประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่าแผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย คุณภาพเท่ากับ 4.50 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 แสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมมาก 5) น าแผนการจัดการเรียนรู้ไปประกอบร ่วมกับการทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที ่ 6 กับกลุ ่ม 1:1, กลุ ่ม 1:10 และกลุ ่มภาคสนามตามล าดับ เพื ่อหาข้อบกพร ่องปรับปรุงและพัฒนา แผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสาระมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง การเก็บรวบรวมข้อมูล 1) ทดสอบก ่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จ านวน 16 คน และเก็บรวบรวมคะแนนผลการทดสอบของนักเรียนไว้ 2) ด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ร่วมกับคู่มือการใช้งานบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนและบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามแผนการจัดการเรียนรู้11แผน ใช้เวลา 21 คาบ แผนปฐมนิเทศ 1 แผน ใช้เวลา 1 คาบ และแผนการจัดการเรียนรู้ 10 แผนใช้เวลา 20 คาบ เมื่อนักเรียนเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นจบแต่ละหน่วย ให้นักเรียนท าแบบทดสอบประจ าหน่วยและ เก็บรวบรวมคะแนนผลการทดสอบของนักเรียนไว้ 3) ทดสอบหลังเรียน หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ร ่วมกับคู ่มือการใช้งานบทเรียน และบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ครบทุกแผนการจัดการเรียนรู้ ทดสอบโดยใช้แบบทดสอบฉบับเดียวกันกับที ่ใช้ในการทดสอบก ่อนเรียน และเก็บรวบรวมคะแนน 4) น าผลที่ได้จากข้อ 1) – 3) มาวิเคราะห์ทางสถิติตามวัตถุประสงค์ การวิเคราะห์ข้อมูล 1) วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการหาร้อยละ ค ่าเฉลี ่ยของคะแนนจากการท าแบบทดสอบประจ าหน ่วย และร้อยละค ่าเฉลี ่ยของคะแนนจากการท า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 115 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าร้อยละ ผลการวิจัย ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอนและวัตถุประสงค์ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปรากฏผลดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer Assisted-Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 กลุ่มทดลองภาคสนาม นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จ านวน 30 คน คะแนน จ านวน นักเรียน คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ร้อยละ แบบทดสอบประจ าหน่วยใน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 30 50 41.17 1.02 82.33 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียน 30 30 24.63 1.67 82.11 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยของคะแนนจากการท าแบบทดสอบประจ าหน่วยในบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คิดเป็นร้อยละ 82.33 และคะแนนเฉลี่ยของคะแนน จากการท าแบบทดสอบหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 82.11 แสดงว ่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.33/82.11 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปรากฏผลดังตารางที่ 3
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 116 ตารางที่ 3 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น กลุ่มประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จ านวน 16 คน แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ จ านวน นักเรียน คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบน มาตรฐาน ร้อยละ t p ก่อนเรียน 16 30 15.88 1.86 52.92 18.29 0.00** หลังเรียน 16 30 24.94 2.26 83.13 **นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที ่ 3 พบว ่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ที ่เรียนโดยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนร้อยละ 30.21 แสดงว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปผลการวิจัย จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 สามารถสรุปผลตามวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 โดยประสิทธิภาพ ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เกณฑ์ 1 2 ( / ) E E 80/80 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.33/82.11 ผลการศึกษาพบว ่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน เหมาะแก่การน าไปใช้ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ 2) เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6 ที ่เรียนโดยใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผลการศึกษาพบว ่า นักเรียนมีความก้าวหน้าเพิ ่มขึ้นหลังจากการน า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ไปใช้ โดยมีคะแนนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 82.13 และมีคะแนนก ่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 52.92 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.21 แสดงว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 117 อภิปรายผลการวิจัย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถน าสู่การอภิปรายผลได้ดังนี้คือ 1) คะแนนเฉลี ่ยของคะแนนจากการท าแบบทดสอบประจ าหน ่วย คิดเป็นร้อยละ 82.33 และคะแนนเฉลี ่ยของคะแนนจากการแบบทดสอบหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 82.11 แสดงว ่าบทเรียน คอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.33/82.11 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นสื ่อหรือนวัตกรรมการเรียนการสอนที ่ใช้ในการจัด การเรียนรู้ที ่ดี เนื ่องจากผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการทฤษฎีและงานวิจัยเกี ่ยวกับหลักการสร้างบทเรียน คอมพิวเตอร์ช ่วยสอน และการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอนก ่อนที ่จะใช้จริงกับ กลุ่มประชากร และได้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพ สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 มาใช้ในการจัดการเรียนรู้กับนักเรียน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ชี้ให้เห็นว ่าผู้วิจัยได้เข้าใจหลักการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอนที ่ดี และกระบวนการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นารี ผามั่น (2560: บทคัดย ่อ) ได้กล ่าวถึง การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื ่องการวัดส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 4 ผลการวิจัยพบว ่า การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการวัดส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 86.15/87.11 เป็นไปตามเกณฑ์ 1 2 E E/ เท ่ากับ 85/85 ที ่ตั้งไว้ และผลการทดสอบก ่อนเรียนและหลังเรียนของ กลุ่มตัวอย่างที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล เบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 30.21เป็นผลสืบเนื่องมาจาก ประเด็นส าคัญ ดังนี้ 2.1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นนั้น เป็นสื ่อหรือนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการ ทฤษฎี และงานวิจัยเกี่ยวกับหลักการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีขั้นตอนการสร้างที่ถูกต้องดังที่ วันวลิต เผ่าเผด็จการ (2561: 76) ได้กล่าวถึง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการหาพื้นที่ของนักเรียน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 118 ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นจึงเหมาะสมที่จะน าไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนต่อไป รูปสี่เหลี่ยม ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความเหมาะสม ที่จะน าไปใช้พัฒนาการเรียนของ นักเรียน ส ่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นจึงเหมาะสมที ่จะน าไปใช้ในการจัดการเรียน การสอนต่อไป 2.2) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ที่ใช้ร่วมกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ท าให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ร้อยละ 25.83 เนื่องจากผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการ ทฤษฎี และงานวิจัยเกี่ยวกับ การจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อน ามาใช้ประกอบในการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (ComputerAssisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ดังที่ สุวิทย์ มูลค า และคณะ (2549: 58) ได้กล่าวถึงแผนการจัดการเรียนรู้เป็นแผนการเตรียมการสอน หรือก าหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้า อย ่างเป็นระบบและจัดท าไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต ่าง ๆ มาก าหนดกิจกรรม การเรียนการสอน เพื ่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ ่งหมายที ่ก าหนดไว้ และผู้วิจัยได้ศึกษาองค์ประกอบของ แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อน าองค์ความรู้มาจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ให้มีความสมบูรณ์ ถูกต้องตามหลัก วิชาการ ดังที ่ ทิศนา แขมมณี (2548: 16) ได้กล ่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ 1) สาระส าคัญ 2) จุดประสงค์การเรียนรู้ 3) กิจกรรมการเรียนการสอน 4) สื ่อ/อุปกรณ์ 5) การวัด และประเมินผล และ 6) บันทึกหลังสอน ผู้วิจัยได้น าเสนอแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน คุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ท าให้ผู้วิจัยมีแผนจัดการเรียนรู้ที่ดี เหมาะสม ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยมีระดับคุณภาพในระดับมาก ที่น าไปใช้กับกลุ่มประชากรดังที่ปรากฎ 2.3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (ComputerAssisted Instruction) เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบทดสอบ ที่ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการ ทฤษฎี และงานวิจัยเกี่ยวกับหลักการสร้างแบบทดสอบ มีขั้นตอนการสร้างที่ถูกต้อง ออกแบบทดสอบโดยให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ส่งผลให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนร้อยละ 25.83 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นุสรา เดชจิตต์ (2556 : 151) ได้วิจัย เรื่องผลการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบแก้ปัญหา เรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 119 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะจากการศึกษา ผลการศึกษาพบว ่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช ่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) เรื ่องการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ท าให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงและมีประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอน ดังนั้นควรน าเอาวิธีการนี้ไปใช้พัฒนาในการเรียนรู้ ของนักเรียนระดับชั้นอื่น ๆ และเผยแพร่ต่อผู้ร่วมวิชาชีพ 2. ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนานวัตกรรมครั้งต่อไป ควรมีการออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับเนื้อหาเรื่องอื่นๆ ในวิชาคณิตศาสตร์ หรือในรายวิชาอื่น ๆ และครั้งต่อไปควรมีเสียงบรรยายของครูประกอบบทเรียนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560). โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจ ากัด. เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง. (2555). การพัฒนาสื่อนวัตกรรมทางการศึกษา. บริษัทบุ๊คส์ จ ากัด. ฑิฆัมภรณ์ บ ารุงเขต และอุบลรัตน์ ศิริสุขโภคา. (2559). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการวัด ความยาว เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยยึดรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย. การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 8 (หน้า 395). มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2541). คอมพิวเตอร์ช่วยสอน. ภาควิชาโสตทัศนศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี. (2548). ศาสตร์การสอน. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นารี ผามั่น. (2560). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการวัดส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 12(1), 128-137. นุสรา เดชจิตต์. (2556). ผลของการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบแก้ปัญหา เรื่องการคูณ ที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์และความคงทนในการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 120 ประภาพรรณ เส็งวงศ์. (2553). การพัฒนาการเรียนรู้ด้วยวิธีการวิจัยในชั้นเรียน. ห้างหุ้นส่วนจ ากัดภาพพิมพ์. วันวลิต เผ่าเผด็จการ. (2561). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. [วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยบูรพา. สุวิทย์ มูลค า. (2549). การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการคิด(พิมพ์ครั้งที่ 2). ห้างหุ้นส่วนจ ากัดภาพพิมพ์.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 121 ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่มีตอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 The Effects of Cooperative Learning by TGT Technique with Graphic Organizer on Learning Achievement and Attitude toward Mathematic of Prathomsuksa 5 Students วรรณิสา ชัยวัน* Wannisa Chaiwan นิเวศน คำรัตน** Nives Kamrat บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 กอนและหลัง ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีที รวมกับผังกราฟก 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 หลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกกับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม 3) ศึกษาเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรู แบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ประชากรที่ใชในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ในกลุมโรงเรียนบานไรกลุมที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จำนวน หองเรียนทั้งหมด 13 หองเรียน จำนวนนักเรียน 163 คน ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2565 กลุมตัวอยาง ที่ใชในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนวัดผาทั่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จำนวน 1 หองเรียน จำนวน 16 คน ไดมาโดยวิธีการสุมแบบกลุม โดยใช หองเรียนเปนหนวยในการสุม เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ไดแก 1) แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวย เทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม 3) แบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก คาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน ผลการวิจัยพบวา *นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค Student in Master of Education Degree, Curriculum and Instruction, Nakhon Sawan Rajabhat University. **ผูชวยศาสตราจารย ดร., คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค Assistant Professor Dr., Faculty of Education, Nakhon Sawan Rajabhat University.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 122 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม อยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3) เจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร อยูในเกณฑระดับมาก คำสำคัญ: การเรียนรูแบบรวมมือ/ เทคนิคทีจีที/ ผังกราฟก/ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน/ เจตคติตอการเรียน ABSTRACT The purpose of this research were 1) to compare the learning achievement of Prathomsuksa 5 students before and after learning by cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer in mathematics subject, 2) to compare the mathematics learning achievement of Prathomsuksa 5 students after learning by cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer with the criteria of 70 percent of the total score and 3) to study after learning mathematics of students in Prathomsuksa 5 students after learning by cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer. The population used in this research was Prathomsuksa 5 students in School Group Banrai 2 in the office of Uthaithani Primary Education Service Area 2. It consists of 13 classrooms and 163 students. The first semester of 2022 academic year.The sample consisted of 16 Prathomsuksa 5 students of Watphatung School in the office of Uthaithani Primary Education Service Area 2. The sample of this study was collected through Cluster Random Sampling. The research instruments included 1 ) the 6 lesson plans according to cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer. 2) Mathematics learning achievement test on conic section. 3) attitude questionnaire related to cooperative learning by TGT technique with Graphic Organizer. Statistics used for data analysis were mean, standard deviation, and Wilcoxon Signed Rank Test. The research findings were as follows: 1) post-test score of mathematics subject achievement of the students who taught by using TGT technique with Graphic Organizer was higher than that of pre-test score at the .05 level of significance. 2) Learning Achievement by using TGT technique with Graphic Organizer which was higher than the criteria of 70 percent of the total score at the .05 level of significance. 3) Attitude towards the cooperative learning by TGT Technique with Graphic Organizer in mathematics subject was at the good level. Keywords: Cooperative Learning/TGT Technique/ Graphic Organizer/Learning Achievement/ Attitude towards learning
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 123 บทนำ คณิตศาสตรมีบทบาทสำคัญยิ่งตอความสำเร็จในการเรียนรูในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร ชวยใหมนุษยมีความคิดริเริ่มสรางสรรค คิดอยางมีเหตุผล เปนระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะหปญหา หรือสถานการณไดอยางรอบคอบและถี่ถวน ชวยใหคาดการณ วางแผน ตัดสินใจ แกปญหาไดอยางถูกตอง เหมาะสม และสามารถนำไปใชในชีวิตจริงไดอยางมีประสิทธิภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560: 1) หลักสูตร กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จึงกำหนดเปาหมายและจุดเนนหลายประการที่ผูสอนควรตระหนักและทำความเขาใจ เพื่อใหการจัดการเรียนรู สัมฤทธิ์ผลตามที่กำหนดไวในหลักสูตร ผูสอนควรศึกษาเพิ่มเติมในเรื่อง การจัด การเรียนรูในศตวรรษที่21 ตองมีการเปลี่ยนแปลงใหเขากับสภาพแวดลอม บริบททางสังคมและเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงไป ผูสอนตองออกแบบการเรียนรูที่เนนผูเรียนเปนสำคัญโดยใหผูเรียนไดเรียนจากสถานการณ ในชีวิตจริงและเปนผูสรางองคความรูดวยตนเองโดยมีผูสอนเปนผูจุดประกายความสนใจใฝรูและสรางบรรยากาศ ใหเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกัน (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560: 60-61) ถึงแมวาคณิตศาสตรจะเปนวิชาที่สำคัญมาก แตการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตรในปจจุบัน ยังคงไมประสบผลสำเร็จเทาที่ควร ดังจะเห็นไดจากผลทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ปการศึกษา 2560-2562 พบวา มีคะแนนรายวิชา คณิตศาสตร เฉลี่ยรอยละอยูในระดับต่ำกวารอยละ 50 ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย 37.12, 37.50 และ 32.90 ตามลำดับ (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแหงชาติ. 2560 - 2562) ซึ่งสอดคลองกับผลการสอบ ทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) วิชาคณิตศาสตรของกลุมโรงเรียนบานไรกลุม 2 มีคะแนนเฉลี่ย 33.99, 33.38 และ 31.10 ตามลำดับ จะเห็นวาผลคะแนนเฉลี่ยมีแนวโนมที่ลดลง (กลุมการวัดและประเมินผล การศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2, 2563) และพิจารณาจำแนกตามรายสาระ มาตรฐานการเรียนรู พบวา สาระที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกวารอยละ 50 ไดแก สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ ค 1.1 เขาใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวนและการใชจำนวนในชีวิตจริง เรื่อง ทศนิยม จากปญหา ดังกลาว สะทอนใหเห็นวานักเรียนมีปญหาในการเรียนวิชาคณิตศาสตรเนื่องมาจากความเบื่อหนายในการ เรียนรูเพราะการจัดการเรียนการสอนในวิชาคณิตศาสตร ที่มีลักษณะเปนนามธรรม ประกอบไปดวย ทฤษฎีบท กฎ สูตร นิยามมากมาย อีกทั้งการจัดการเรียนรูคณิตศาสตรในชั้นเรียนมุงใหผูเรียนไดรับเฉพาะ เนื้อหา โดยการอธิบายของครูครูยกตัวอยางและแสดงวิธีทำ แสดงขั้นตอนในการหาคำตอบ แลวใหผูเรียน ลงมือกระทำตามขั้นตอนดังกลาว จึงทำใหผูเรียนไมเกิดความคิดรวบยอดในการเรียนวิชาคณิตศาสตรและมี เจตคติที่ไมดีตอวิชาคณิตศาสตรอีกดวย (อัมพร มาคนอง, 2553: 3) การจัดการเรียนรูแบบรวมมือ (Cooperative learning) เปนการจัดการเรียนการสอนที่เนนใหผูเรียน ไดรวมมือ และชวยเหลือกันรวมกันคิดแกปญหา ทำใหผูเรียนไดลงมือกระทำ คนหาความรูดวยตนเอง จนเกิดความรูความเขาใจ จากลักษณะดังกลาวมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญญาของ Piaget
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 124 เพราะผูเรียนไดมีปฏิสัมพันธกับสิ่งแวดลอมรอบ ๆ ตัว จะทำใหเกิดความคิดตาง ๆ ที่เปนรูปธรรม และมีการพัฒนาตอไปเรื่อย ๆ จนสามารถคิดสิ่งที่เปนนามธรรมได (ชัยวัฒนสุทธิรัตน, 2561: 183 - 185) ในการเรียนรูโดยแบงผูเรียนออกเปนกลุมเล็ก ๆ ประกอบดวยสมาชิกที่มีความสามารถแตกตางกัน ทำงานรวมกันเพื่อเปาหมายกลุม สมาชิกมีความรับผิดชอบรวมกันทั้งในสวนตนและสวนรวม มีการฝก และใชทักษะการทำงานกลุมรวมกัน ผลงานของกลุมขึ้นอยูกับผลงานของสมาชิกแตละบุคคลในกลุม และสมาชิกตางไดรับความสำเร็จรวมกัน (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 183) การเรียนรูแบบรวมมือนั้น มีหลายเทคนิค เชน การเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีที เปนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให ผูเรียนไดรวมกลุม เพื่อทำงานรวมกันและชวยเหลือซึ่งกันและกัน สมาชิกในแตละทีมจะประกอบดวย สมาชิกที่มีความสามารถแตกตางกันมารวมกลุมแขงขันกันในเกมเชิงวิชาการ จะชวยสงเสริมใหผูเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีเจตคติที่ดีตอการเรียน มีความวิตกกังวลในการเรียนนอยลง และทำให ผูเรียนมีความคงทนในการเรียนรู (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 212-217) ดังจะเห็นไดจากงานวิจัยของ ปรียาพรรณ พระชัย (2560) ไดทำการวิจัยเกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรเรื่อง การคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 3 โดยใชการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคทีจีทีรวมกับแบบฝกทักษะ พบวา นักเรียนที่เรียนดวยการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคทีจีทีรวมกับแบบฝกทักษะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ ภูวภัทร อ่ำองอาจ (2561) ไดทำการวิจัยเกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร เรื่อง การบวกและการลบ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียน โดยใชการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 อยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากรูปแบบการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีแลว ผูวิจัยไดสนใจที่นำเทคนิค ผังกราฟกมาประกอบการจัดการเรียนรูรวมกับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีซึ่งผังกราฟก เปนแผนผังทางความคิด ประกอบไปดวยความคิดหรือขอมูลสำคัญ ๆ ที่เชื่อมโยงกันในรูปแบบตาง ๆ ซึ่งทำใหเห็นโครงสรางของความรูหรือเนื้อหาสาระนั้น ๆ ซึ่งเปนเทคนิคที่ผูเรียนสามารถนำไปใชใน การเรียนรูเนื้อหาสาระตาง ๆ จำนวนมาก เพื่อชวยใหผูเรียนเกิดความเขาใจในเนื้อหาสาระนั้นไดงายขึ้น เร็วขึ้น และจดจำไดนาน สอดคลองกับทฤษฎีการเรียนรูอยางมีความหมายของ Ausubel and Robinson ที่กลาววา การเรียนรูที่กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลง ควรเปนการเรียนรูอยางมีความหมายที่ผูเรียนสามารถนำ การเรียนรูใหมเขาไปเชื่อมโยงกับความรูเดิมได จะทำใหการเรียนรูสิ่งนั้นมีความหมาย (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 260) ผังกราฟกชวยใหเกิดทักษะการคิด เกิดความคงทนในการเรียนรูและยังชวยพัฒนาสมอง ทั้งซีกซายและซีกขวาของนักเรียน (พิมพันธ เดชะคุปต, 2552: 171) ชวยใหผูเรียนไดเชื่อมโยงความรูใหม กับความรูเดิมและสรางความหมาย ความเขาใจในเนื้อหาสาระหรือขอมูลที่เรียนรู และจัดระเบียบขอมูล ชวยใหงายแกการจดจำ (ทิศนา แขมมณี, 2561: 234) ดังจะเห็นไดจากงานวิจัยของ วันเพ็ญ รังคพุทธมาน (2557) ไดวิจัยเกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง โจทยปญหาคณิตศาสตร การบวก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 125 การลบเศษสวน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 โดยใชแนวคิดของโพยลารวมกับการใชเทคนิค ผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวากอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู อยางมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และ กีรกานตคำขาว (2559) ไดวิจัยเกี่ยวกับผลการเรียนรู เรื่อง สมการกำลังสองตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 โดยใชชุดกิจกรรมการเรียนรูโดยใชกระบวนการแกปญหาโพลยา และผังกราฟกมีผลการเรียนรูทั้งดานความรูและทักษะกระบวนการหลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 จากเหตุผลในขางตนผูวิจัยจึงมีความสนใจที่จะนําการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟก มาทดลองใชกับการจัดการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร ในระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 5 เรื่อง ทศนิยม เพื่อมุงหวังที่จะสงเสริมใหประสิทธิภาพของการเรียนการสอนคณิตศาสตรดีขึ้น อันจะสงผลไปยังผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียน และเพื่อที่จะเปนแนวทางในการปรับปรุง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตรใหมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น วัตถุประสงคของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 กอนและหลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 หลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกกับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม 3. เพื่อศึกษาเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับ การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอนเรียน 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 126 วิธีดำเนินการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ เปนวิจัยเชิงทดลองเบื้องตน (Pre – experimental design) โดยแผนการวิจัย แบบกลุมทดลองกลุมเดียว ทดสอบกอนและหลังเรียน (พิชิต ฤทธิ์จรูญ. 2559: 123) ดังแสดงไวในแผนภาพ การวิจัยในภาพที่ 1 ภาพที่ 1 แสดงแบบแผนการวิจัย ที่มา : พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2559: 123) เมื่อ O1 หมายถึง การวัดผลกอนการทดลอง X หมายถึง การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก O2 หมายถึง การวัดผลหลังการทดลอง ประชากรและกลุมตัวอยาง ประชากรที่ใชในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ในกลุมโรงเรียนบานไรกลุมที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จำนวนหองเรียนทั้งหมด 13 หองเรียน จำนวนนักเรียน 163 คน ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2565 กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนวัดผาทั่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จำนวน 1 หองเรียน จำนวน 16 คน ไดมาโดยวิธีการสุมแบบกลุม (Cluster Random Sampling) โดยใชหองเรียนเปนหนวยในการสุม เครื่องมือที่ใชในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก วิชาคณิตศาสตรเรื่อง ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 จำนวน 6 แผน ใชเวลาทั้งหมด 12 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปที่ 5 จำนวน 1 ฉบับ เปนแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ขอ 3. แบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 เปนแบบสอบถามมาตราสวนประมาณคา (Rating Scale) 5 ระดับ คือ เห็นดวยอยางยิ่ง เห็นดวย ไมแนใจ ไมเห็นดวย ไมเห็นดวยอยางยิ่ง ซึ่งประกอบดวยองคประกอบ 3 ดาน คือ ดานความรู ดานความรูสึก และดานพฤติกรรม จำนวน 24 ขอ O1 X O2
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 127 การสรางและหาคุณภาพของเครื่องมือ 1. แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก 1.1 ขั้นตอนการสรางแผนการจัดการเรียนรู การสรางแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกเรื่อง ทศนิยม กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตรชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ผูวิจัยไดดําเนินการสรางตามขั้นตอน ดังนี้ 1.1.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ แนวทางการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจี ทีรวมกับผังกราฟก จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ 1.1.2 ศึกษาหลักสูตรสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด ตลอดจน สาระการเรียนรูสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 เรื่อง ทศนิยม และกำหนดชั่วโมงใหเหมาะสมกับ เนื้อหา 1.1.3 นําสาระการเรียนรูมาแบงเนื้อหายอย และกําหนดเวลาเรียนที่เหมาะสมกับเนื้อหา 1.1.4 ออกแบบกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก วิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม 1.1.5 นำแผนการจัดกรรมการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่ผูวิจัย สรางขึ้นเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธเพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมของสาระสำคัญ สาระการเรียนรู กิจกรรมการเรียนรู และขั้นตอนของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิค ทีจีทีรวมกับผังกราฟกและแกไขปรับปรุงตามขอเสนอแนะของอาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ 1.2 หาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู ผูวิจัยดำเนินการหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกตามขั้นตอนดังนี้ 1. สรางแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก เพื่อใหผูเชี่ยวชาญประเมิน 2. นำแผนการจัดการเรียนรูที่สรางขึ้นเสนอตอผูเชี่ยวชาญจำนวน 3 ทาน 3. นำคะแนนผลการประเมินความคิดเห็นของผูเชี่ยวชาญมาหาคาเฉลี่ย (ݔ (̅และ สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 4. นำแผนการจัดการเรียนรูจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ที่ปรับปรุงแลวนำเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธเพื่อตรวจสอบแกไข และปรับปรุงอีกครั้งหนึ่งแลว จัดพิมพเปนฉบับสมบูรณ จำนวน 6 แผน เพื่อนำไปใชกับกลุมตัวอยาง
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 128 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร 2.1 การสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรมีขั้นตอนดังนี้ 2.1.1. ศึกษาหลักการวัดผล วิธีการวัดผล วิธีการสรางแบบทดสอบ เทคนิคการเขียน การวิเคราะหขอสอบการวัดและประเมินผลทางการเรียนรูคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม กลุมสาระการเรียนรู คณิตศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง 2560) 2.2.2 ศึกษาตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม กลุมสาระการ เรียนรูคณิตศาสตรเพื่อสรางตารางวิเคราะหขอสอบที่มีความสอดคลองกับพฤติกรรมการเรียนรู 2.2.3. สรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง ทศนิยม โดยเขียน แบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ใหสอดคลองกับตารางวิเคราะหเนื้อหาและจุดประสงคการเรียนรูและ เขียนจำนวนขอสอบใหมากกวาจำนวนแบบทดสอบที่ตองการเปนจำนวน 45 ขอ ทั้งนี้หลังจากที่นําไปทดลอง ใชและวิเคราะหหาคุณภาพของแบบทดสอบรายขอหาความตรงเชิงเนื้อหา คาความยากงาย คาอำนาจจำแนก แลวนั้นจะตัดขอที่มีคุณภาพไมเขาเกณฑออกจนเหลือจำนวนแบบทดสอบที่ตองการใชจริงจำนวน 30 ขอ 2.2 การหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ผูวิจัยไดดำเนินการหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ตามขั้นตอนดังนี้ 2.2.1. สรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร แลวนำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่สรางขึ้นเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ เพื่อพิจารณา ความถูกตอง ความเหมาะสม ภาษาที่ใช ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหา จุดประสงคการเรียนรู และความครอบคลุมของคำถาม แลวนำมาปรับปรุงแกไขตามขอเสนอแนะ โดยผูเชี่ยวชาญมีขอเสนอแนะ ใหตัดขอสอบที่มีการวัดพฤติกรรมซ้ำ 2.2.2. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ไดปรับปรุงแลวเสนอให ผูเชี่ยวชาญประเมินความตรงของเนื้อหาเพื่อพิจารณาความสอดคลองระหวางแบบทดสอบกับจุดประสงค การเรียนรู ถาคาดัชนีความสอดคลองมีคาตั้งแต 0.50 ขึ้นไป แสดงวาขอสอบนั้นมีความตรงเชิงเนื้อหา ซึ่งแบบทดสอบแตละขอมีความสอดคลองอยูระหวาง 0.67 – 1.00 2.2.3. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีความตรงเชิงเนื้อหาไปทดลองใช (Try Out) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไมใชกลุมตัวอยาง ที่ผานการเรียน เรื่อง ทศนิยม มาแลว นำคะแนนของนักเรียนมาวิเคราะหเพื่อหาคาความยากงาย และคาอำนาจ แบบทดสอบรายขอ โดยเลือกใช แบบทดสอบที่มีคาความยากงาย (P) ที่อยูระหวาง 0.20 - 0.80 และมีคาอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต 0.20 ขึ้นไป โดยแบบทดสอบมีคาความยาก (P) อยูระหวาง 0.23 – 0.77 คาอำนาจจำแนก (r) อยูระหวาง 0.23 – 0.62
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 129 2.2.4. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่คัดเลือกไว จำนวน 30 ขอ ไปทดลองใช กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไมใชกลุมตัวอยางเดิม แลวนำคะแนนนักเรียนมาวิเคราะหหาคาความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา คณิตศาสตร โดยใชสูตรคูเดอร-ริชารดสันสูตร คาความเชื่อมั่น ที่ยอมรับคือตั้งแต 0.70 ขึ้นไป โดยแบบทดสอบมีคาความเชื่อมั่นเทากับ 0.80 2.2.5. นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแลวนำเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธเพื่อตรวจสอบ แกไขและปรับปรุงอีกครั้งหนึ่ง แลวจัดพิมพเปนฉบับสมบูรณ และนำไปใชกับกลุมตัวอยาง 3. แบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร 3.1การสรางแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร 3.1.1. ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับแบบวัดเจตคติตอการเรียน วิชาคณิตศาสตร และการสรางแบบวัดเจตคติ 3.1.2. ศึกษาองคประกอบของเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยไดแบงองคประกอบของเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรเปน 3 ดาน ดังนี้ 1. ดานความรู คือ การเพิ่มพูนความรูคณิตศาสตร 2. ดานความรูสึก คือ ความพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร 3. ดานพฤติกรรม คือ ความตั้งใจและความกระตือรือรนในการเรียน 3.1.3. วิเคราะหขอคำถามในแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรซึ่งเปน ขอคำถามที่เปนไปในทางบวก และขอคำถามที่เปนไปทางลบ 3.1.4. สรางแบบวัดเจคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร ใหครอบคลุมองคประกอบของ เจตคติทั้ง 3 ดาน ซึ่งในแตละดาน เปนขอความทางบวก 4 ขอ และขอความทางลบ 4 ขอ นั่นคือ ดานความรู 8 ขอ ดานความรูสึก 8 ขอ และดานพฤติกรรม 8 ขอ รวมทั้งหมด 24 ขอ 3.2การหาคุณภาพของแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรมีขั้นตอนดังนี้ 3.2.1. นำแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ผูวิจัยสรางขึ้นเสนอตอผูเชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ทานเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสราง โดยการประเมินความสอดคลองระหวางขอคำถามกับ องคประกอบของแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร 3.2.2. นำคะแนนของผูเชี่ยวชาญมาคำนวณหาคาดัชนีความสอดคลอง (Index of Consistency: IOC) เพื่อหาความตรงเชิงเนื้อหาเปนรายขอ ซึ่งคาดัชนีความสอดคลองที่ยอมรับไดคือ 0.50 3.2.3. นำแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ปรับปรุงแกไขแลว จำนวน 24 ขอ ไปทดลองใชกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไมใชกลุมตัวอยางแลวหาคาอำนาจจำแนกของแบบวัดเจตคติ ตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร โดยใช t-test สูตรที่ใชในการคำนวณ คือ t- test for independent Samples เพื่อหาคาอำนาจจำแนกของแตละขอ (สมบูรณสุริยวงศ, 2555: 295-297)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 130 3.2.4. นำแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ปรับปรุงแกไขแลว จำนวน 24 ขอ ไปทดลองใชกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไมใชกลุมตัวอยาง เพื่อหาความเชื่อมั่น โดยใชสัมประสิทธิ์แอลฟา (α-coefficient) ของครอนบาค (Cronbach method)คาความเชื่อมั่นที่ยอมรับคือตั้งแต 0.70 ขึ้นไป 3.2.5. จัดพิมพแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรฉบับสัมบูรณเพื่อนำไปใช วัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ซึ่งเปนกลุมตัวอยาง การเก็บรวบรวมขอมูล 1. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง ทศนิยม ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ทดสอบกอนเรียนกับกลุมตัวอยาง แลวบันทึกผลไวเปนคะแนนกอนเรียนสำหรับการวิเคราะหขอมูล 2. ดำเนินการทดลองผูวิจัยเปนผูดำเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิค ทีจีทีรวมกับผังกราฟก ในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2565 จำนวน 12 ชั่วโมง 3. หลังสิ้นสุดการทดลอง ใหนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ซึ่งเปนกลุมตัวอยาง ทำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียน เรื่อง ทศนิยมซึ่งเปนฉบับเดียวกับที่ใชทดสอบ กอนเรียน แลวบันทึกผลการสอนไวเปนคะแนนหลังเรียน 4. ใหนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ซึ่งเปนกลุมตัวอยาง ตอบแบบวัดเจตคติตอการเรียน วิชาคณิตศาสตร 5. นำคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกอนเรียนและหลังเรียน และแบบวัดเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่ไดนำไปวิเคราะหหาคาสถิติเพื่อสรุปผลตอไป การวิเคราะหขอมูล 1. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 กอนและหลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกโดยใชการทดสอบอันดับ ที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก กับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนน เต็มโดยใชการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล 1. สถิติที่ใชในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือการวิจัย 1. การหาคาดัชนีความสอดคลอง (IOC) 2. การหาคาความยากงาย (p) 3. การหาคาอำนาจจําแนก (r) 4. การหาความเชื่อมั่น (Reliability)
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 131 2. สถิติพื้นฐาน 1. คาเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) 2. สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3. สถิติที่ใชในการทดสอบสมมติฐาน การทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน ผลการวิจัย 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกอนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกอนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก การทดสอบ n Xഥ S.D. T ା T ି T กอนเรียน 16 7.25 3.57 136 0 0* หลังเรียน 16 22.13 2.63 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( T(.ହ,ଵ) = 29) จากตารางที่ 1 พบวา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีคะแนนเฉลี่ยกอนเรียนเทากับ 7.25 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเทากับ 22.13 เมื่อทำการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกสัน พบวา คาทีที่ไดจากการคำนวณ มีคาเทากับ 0 ซึ่งนอยกวาคาทีที่ไดจากการเปดตาราง ซึ่งมีคาเทากับ 29 แสดงวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกกับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม ดังตารางที่ 2
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 132 ตารางที่2 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกกับเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม การทดสอบ n คะแนนเต็ม เกณฑรอยละ 70 Xഥ S.D. T ା T ି T หลังเรียน 16 30 21 22.13 2.63 133 3 3* *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( T(.ହ,ଵ) = 29) จากตารางที่ 2 พบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ ดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเฉลี่ยไดเทากับ 22.13 คะแนนคิดเปน รอยละ 76.04 ของคะแนนเต็ม ซึ่งสูงกวาเกณฑที่ตั้งไวคือ รอยละ 70 จากการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมาย กำกับของวิลคอกสัน พบวา คาทีที่ไดจากการคำนวณมีคาเทากับ 2 นอยกวาคาทีที่ไดจากการเปดตารางที่ ซึ่งมีคาเทากับ 29 แสดงวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิค ทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม อยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลการศึกษาเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับ การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 แสดงผลการศึกษาเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ดานที่ รายการ Xഥ S.D. แปลผล 1 ดานความรู คือ การเพิ่มพูนความรูคณิตศาสตร 4.37 0.67 มาก 2 ดานความรูสึก คือ ความพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร 4.30 0.72 มาก 3 ดานพฤติกรรม คือ ความตั้งใจและความกระตือรือรน ในการเรียน 4.33 0.67 มาก รวม 4.33 0.69 มาก จากตารางที่ 3 พบวา เจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ดานที่ 1 ดานความรู คือ การเพิ่มพูนความรูคณิตศาสตร (xത =4.37, S.D. = 0.67) มีเจตคติในระดับมาก ดานที่ 2 ดานความรูสึก คือ ความพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร (xത =4.30, S.D. = 0.72) มีเจตคติในระดับมาก ดานที่ 3 ดานพฤติกรรม คือ ความตั้งใจและความกระตือรือรนในการเรียน (xത =4.33, S.D. = 0.67) มีเจตคติ ในระดับมาก และเฉลี่ยรวมทั้ง 3 ดาน (xത =4.33, S.D. = 0.69) มีเจตคติในระดับมาก
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 133 สรุปผลการวิจัย จากผลการวิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่มีตอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 สามารถ สรุปผลไดดังนี้ 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.6 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็มอยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟกมีเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรอยูในเกณฑระดับมาก อภิปรายผล การวิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่มีตอผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ผูวิจัยอภิปราย ผลการวิจัย ดังนี้ 1. ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ ดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกวากอนเรียน อาจเนื่องมาจาก การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีขั้นตอนการจัดการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นจัดทีม ขั้นที่ 2 ขั้นการเสนอเนื้อหาขั้นที่ 3 ขั้นกิจกรรมกลุมยอย รวมกับผังกราฟก ขั้นที่ 4 ขั้นการแขงขัน และขั้นที่ 5 ขั้นการยอมรับความสำเร็จของทีม ซึ่งเปนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ใหผูเรียนได รวมกลุมเพื่อทำงานรวมกันและชวยเหลือซึ่งกันและกัน (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 212) ทีมเปนสวนสำคัญ ในการจัดการเรียนรู จุดเนนในทีม คือ ทำใหดีที่สุดเพื่อทีม ชวยเหลือเพื่อนรวมทีมใหมากที่สุด (สมศักดิ์ ภูวิภาดาวรรธน, 2544: 4-18) ทุกคนในกลุมตองเขาใจเนื้อหา ไมมีใครเรียนหรือศึกษาเนื้อหาจบเพียงคนเดียว และรวมกันสรุปเนื้อหาโดยใชผังกราฟกเปนแผนผังทางความคิด แสดงใหเห็นถึงการจัดลำดับกระบวนการ คิดของผูเรียน (ชัยวัฒน สุทธิรัตน, 2561: 260) เกิดความเขาใจและจดจำไดงาย (ทิศนาแขมมณี, 2561: 388) จึงทำใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น สงเสริมใหผูเรียนมีความรับผิดชอบในการเรียนรูของตนเองและ ของเพื่อนรวมกลุม ซึ่งสอดคลองกับงานวิจัยหลายเรื่องเกี่ยวกับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีที รวมกับผังกราฟก เชน นิรมล บุญวาส (2557) ไดศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร โดยใช การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 พบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุม
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 134 ดวยเกม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และสอดคลองกับงานวิจัยของ นันทปภัสร อ่ำบริสุทธิ์ (2562) ไดศึกษาผลการใชกิจกรรม การเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง เซต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ตามวิธีการจัดการเรียนการสอน แบบรวมมือแบบเทคนิค TGT พบวาผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง เซต กอนและหลังเรียนตามวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบรวมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 พบวาหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ ดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร หลังเรียนสูงกวาเกณฑ รอยละ 70 ของคะแนนเต็มทั้งนี้อาจเปนเพราะการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับ ผังกราฟก เปนการจัดกิจกรรมการเรียนรูเปนการจัดกิจกรรมการเรียนรูที่ใหผูเรียนไดทำงานเปนกลุม ทุกคนมีสวนรวมในการทำกิจกรรมรวมกัน กลาวคือ การสรุปความรูที่ไดเรียนเปนผังกราฟก ซึ่งผังกราฟก เปนแผนผังความคิด แสดงใหเห็นถึงการจัดลำดับกระบวนการคิด ทำใหเขาใจสิ่งที่เรียนไดชัดเจนยิ่งขึ้น การทำใบงาน โดยทุกคนในกลุมจะตองเขาใจเนื้อหา และทำใบงานใหผานเกณฑทุกคน จากนั้นเปนการแขงขัน ในเกมเชิงวิชาการ โดยสมาชิกในทีมจะตองแยกกันไปแขงขันในแตละโตะแขงขัน เพื่อคะแนนของทีม และความสำเร็จของทีม จึงทำใหผูเรียนเกิดความกระตือรือรนในการทำงาน โดยสมาชิกในทีมจะตองนำ คะแนนการแขงขันของตนเองมารวมกันเปนคะแนนรวมของทีม ทีมที่ไดคะแนนรวมสูงสุดจะไดรับรางวัล ทำใหผูเรียนมีความตั้งใจมุงมั่น กระตือรือรนที่จะเรียนรู เพื่อใหกลุมของตนเองประสบความสำเร็จ จึงทำให ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร หลังเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 ของคะแนนเต็มซึ่งสอดคลองกับ งานวิจัยของ นิรมล บุญวาส (2557) ไดศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร โดยใชการจัดการเรียนรู แบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 พบวา นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรผานเกณฑคะแนนรอยละ 70 ของคะแนนเต็ม อยางมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และ ภูวภัทร อ่ำองอาจ (2561) ไดศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร และทักษะการคิดคำนวณ เรื่อง การบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียน ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1-2 แบบคละชั้นเรียนหลังไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง การบวกและการลบ สูงกวาเกณฑรอยละ 70 อยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวย เทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก มีเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร อยูในเกณฑระดับมาก อาจเนื่องมาจาก การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก เปนการจัดกิจกรรมการเรียนรูที่ใหผูเรียน ทำงานเปนกลุม การชวยเหลือกันในทีม การทำใบงานรวมกัน การสรุปความรูเปนผังกราฟก การสนับสนุน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 135 ใหกำลังใจเพื่อนรวมทีมใหประสบความสำเร็จ ทำใหผูเรียนมีความเอาใจใสรับผิดชอบตัวเองและสมาชิกในทีม และผูเรียนมีความตื่นเตนสนุกสนานกับการเรียนรู ซึ่งสถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (2555: 189) ไดกลาวไววา เจตคติตอวิชาคณิตศาสตรเปนความรูสึกของนักเรียนที่มีตอวิชาคณิตศาสตร ที่สงผลใหผูเรียนแสดงพฤติกรรม ที่จะตอบสนองตอวิชาคณิตศาสตรในลักษณะของความชอบหรือไมชอบ พอใจหรือไมพอใจ เห็นคุณคาหรือไมเห็นคุณคา รวมทั้งความพรอมหรือไมพรอม ที่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร นอกจากนี้ยังสอดคลองกับงานวิจัย นิรมล บุญวาส (2557) ไดทำการวิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรู แบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกมที่มีตอผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติตอ วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 พบวา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่6 ที่ไดรับการจัด การเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกม มีเจตคติตอวิชาคณิตศาสตรอยูในระดับดีมาก ขอเสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยมีขอเสนอแนะ ดังนี้ ขอเสนอแนะทั่วไป 1. การจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟก ครูผูสอนควรเตรียม ความพรอม และวางแผนอยางรอบคอบ เพื่อใหนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนการจัดการเรียนรูอยางครบ ทุกขั้นตอน และควบคุมระยะเวลาในการทำกิจกรรม 2. ในแตละทีมอาจจะมีนักเรียนบางคนที่ไมใหความรวมมือในขั้นกิจกรรมกลุมยอยครูผูสอน ควรใหคำแนะนำแกนักเรียน เพื่อใหนักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการทำกิจกรรมรวมกันในทีม 3. ครูควรกระตุนใหนักเรียนกลาแสดงออก และแสดงความคิดเห็นออกมาแมวาจะเปน ความคิดเห็นที่แตกตางกันหรือไมถูกตอง เพื่อนำไปสูการอภิปรายและการสรุปที่ถูกตอง ขอเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอไป 1. ควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกไปใชกับ เนื้อหาอื่นในรายวิชาคณิตศาสตร เพื่อศึกษาวาวิธีการสอนในรูปแบบนี้เหมาะสมหรือไมเหมาะสมกับเนื้อหาใด 2. ควรมีการศึกษาการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยเทคนิคทีจีทีรวมกับผังกราฟกที่มีตอ ตัวแปรอื่น ๆ เชน ความสามารถในการแกปญหา ความสามารถในการคิดวิเคราะห เปนตน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 136 เอกสารอางอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลางกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย จำกัด. กีรกานต คำขาว. (2559). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรูโดยใชกระบวนการแกปญหาของโพลยา และผังกราฟกเพื่อสงเสริมผลการเรียนรูของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2. [วิทยานิพนธ ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม. ชัยวัฒนสุทธิรัตน. (2561). 80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรูที่เนนผูเรียนเปนสำคัญ (พิมพครั้งที่ 8). พีบาลานซดีไซนแอนปริ้นติ้ง. ทิศนา แขมมณี. (2561). ศาสตรการสอน : องคความรูเพื่อการจัดกระบวนการเรียนรูที่มีประสิทธิภาพ (พิมพครั้งที่ 22). สำนักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. นันทปภัสร อ่ำบริสุทธิ์. (2562). ผลการใชกิจกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง เซต ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ตามวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบรวมมือแบบเทคนิค TGT. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยรามคำแหง. นิรมล บุญวาส. (2558). ผลการจัดการเรียนรูแบบรวมมือดวยวิธีการแขงขันระหวางกลุมดวยเกมที่มีตอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติตอวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 6. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค. ปรียาพรรณ พระชัย. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษาการแกโจทยปญหา โดยใชการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT รวมกับแบบฝกทักษะ เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปที่ 3. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2559). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา (พิมพครั้งที่ 10). เฮา ออฟ เคอร มิสท. พิมพันธ เดชะคุปต. (2552). สอนวิทยาศาสตรเพื่อความเขาใจดวยกระบวนการออกแบบยอนกลับ. พัฒนาคุณภาพวิชาการ. ภูวภัทร อ่ำองอาจ. (2561). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรและทักษะการคิดคำนวณ เรื่อง การบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1-2 และคละชั้นเรียนที่ไดรับ การจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. วัญเพ็ญ รังคพุทธมานะ. (2557). การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใชแนวคิดของโพลยารวมกับการใชเทคนิค ผังกราฟกเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5. [วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏสมเด็จเจาพระยา.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 137 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแหงชาติ (องคการมหาชน). (2560). ผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รายวิชาคณิตศาสตร. http://www.newonetresult.niets.or.th/AnnouncementWeb/PDF/Summary ONETP6_2560.pdf. __________. (2561). ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รายวิชาคณิตศาสตร. http://www.newonetresult.niets.or.th/AnnouncementWeb/PDF/SummaryONET P6_2561.pdf. __________. (2562). ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รายวิชาคณิตศาสตร. http://www.newonetresult.niets. or.th/AnnouncementWeb/PDF/SummaryONET P6_2561.pdf. สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี(สสวท.). (2555). การวัดผลประเมินผลคณิตศาสตร. ซีเอ็ดยูเคชั่น. สมบูรย สุริยวงศ. (2555). วิจัยและสถิติทางการศึกษา (พิมพครั้งที่ 5). ศูนยสงเสริมวิชาการ. สมศักดิ์ ภูวิภาดาวรรธน. (2544). การยึดผูเรียนเปนศูนยกลางและการประเมินสภาพจริง. เชียงใหมโรงพิมพแสงศิลป. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2. (2563). รายงานผลทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ขั้นพื้นฐาน (O – NET) ชั้นประถมศึกษาปที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ปการศึกษา 2562. กลุมนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุทัยธานี เขต 2. อัมพร มาคนอง. (2553). ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร: การพัฒนาเพื่อพัฒนาการ. โรงพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 138 การศึกษาความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครู สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 The Study of Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) of In-service Teachers in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 วสุพงษ์ อิวาง* Wasupong Iwang บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื ่อส ารวจและเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามเพศ รายวิชาที่สอน อายุ ระดับชั้นที่สอน และขนาดโรงเรียน ประชากร ได้แก่ ครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 968 คน กลุ ่มตัวอย ่าง ได้แก่ ครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที ่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 285 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นชนิดมาตราส่วนประมาณค่า แบ่งเป็น 5 ระดับ จ านวน 27 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1. ความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.807 องค์ประกอบความรู้ในเนื้อหา (CK) มีค่าเฉลี่ย 3.878 มากที่สุด องค์ประกอบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีสอน และเทคโนโลยี (TPACK) มีค ่าเฉลี ่ย 3.725 น้อยที ่สุด 2. เปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยี ส าหรับครู จ าแนกตามเพศ รายวิชาที ่สอน อายุ ระดับชั้นที ่สอนไม ่แตกต ่างกัน แต่ผลการเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี จ าแนกตามขนาดโรงเรียน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ครูในโรงเรียนขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษมีความรู้ เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีสูงกว่าครูในโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก ค าส าคัญ : ความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี/ ครูประจ าการ *ศึกษานิเทศก์ช านาญการ, ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 Professional Level Supervisor, Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 139 Abstract This research aimed to explore and compare the technological pedagogical content knowledge (TPACK) in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 with different gender, subjects, age, levels, and school size. Populations include 968 in-service teachers in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 during the second semester of the academic year 2022. The sample consisted of 285 in-service teachers in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 during the second semester of the academic year 2022 by simple random sampling. The 27 rating-scale of 5 levels questionnaires were used for data collection. Statistics used for analyzing the data were mean, standard deviation, and t-test, and one-way ANOVA. The findings revealed that 1. Technological pedagogical content knowledge of teachers in Chiang Mai Primary Educational Service Area Office 4 is a medium level, with an average of 3.807. Content knowledge is the highest level, with an average of 3.878 and technological pedagogical content knowledge is the lowest level, with an average of 3 .725. A comparison of technological pedagogical content knowledge (TPACK) of teachers with different gender, subjects, age, and levels were not significantly, but school size was significantly different at .05 level. In-service teachers in large and extra-large size schools are more technological pedagogical content knowledge than in-service teachers in medium and small schools. Keywords: Technological Pedagogical Content Knowledge/ In-service teacher บทน า ยุทธศาสตร์ชาติให้ความส าคัญกับการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพของประชากรไทยทุกช่วงวัย ให้เป็นคนดีเก่ง และมีคุณภาพ พร้อมส าหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยมีแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ที่ปรากฏในแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ สรุปประเด็นส าคัญคือ การปรับเปลี ่ยนระบบการเรียนรู้ส าหรับศตวรรษที ่ 21 ต้องพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกระดับการศึกษา มีการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับเนื้อหา และวิธีการสอน โดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุนทฤษฎีการเรียนรู้แบบใหม่ในการพัฒนาเนื้อหาและทักษะแบบใหม่ เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ควรมีคุณลักษณะที่มีชีวิต มีพลวัต มีปฏิสัมพันธ์การเชื่อมต่อ และมีส่วนร่วม (ส านักงานคณะกรรมการการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2561) การผสมผสาน
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 140 เทคโนโลยีเข้ากับเนื้อหาและวิธีการสอนที่ปรากฏในยุทธศาสตร์ชาติ สอดคล้องกับกรอบแนวคิดความรู้ ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี หรือ Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) ความรู้เทคโนโลยี (TK) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการเรียนการสอน ความรู้เนื้อหา (CK) หมายถึง ความรู้ในเนื้อหาที ่สอนธรรมชาติของเนื้อหา และความสัมพันธ์กับเนื้อหาอื ่น ๆ ความรู้ ศาสตร์การสอน (PK) หมายถึง ความรู้ในวิธีการสอน กระบวนการจัดการเรียนรู้ การจัดการชั้นเรียน การสร้างแผนจัดการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเนื้อหา (PCK) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้วิธีการสอน การจัดการชั้นเรียน การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ การประเมินผล การเรียนรู้ของผู้เรียนให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่สอน ความรู้เนื้อหาผนวกเทคโนโลยี (TCK) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีและเนื้อหา รวมถึงความรู้ในการเลือกและใช้เทคโนโลยี ให้เหมาะสมกับเนื้อหานั้น ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเทคโนโลยี (TPK) หมายถึง ความรู้ในการเลือก และใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน การจัดการชั้นเรียน การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ การประเมินผล การเรียนรู้ของผู้เรียน และความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) หมายถึง ความรู้ในการใช้ เทคโนโลยีและวิธีการสอนในเนื้อหาเฉพาะ การบูรณาการเทคโนโลยี การส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหา และกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน (Koehler & Mishra, 2009) แนวคิดความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีถูกพัฒนามาจากกรอบแนวคิด ความรู้ ผนวกวิธีการสอน หรือ Pedagogical Content Knowledge หรือ PCK ของ Lee S. Shulman (1986) ซึ่งเป็นการพยายามที่จะอธิบายหรือตอบค าถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดดังกล่าวได้รับการยอมรับและน ามาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาวิจัยกัน อย ่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดย PCK เป็นกรอบแนวคิดที ่อ้างถึงการบูรณาการความรู้ความสามารถ ใน 2 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านเนื้อหา (Content knowledge) และด้านการสอนหรือศาสตร์การสอน (Pedagogy) เป็นองค์ประกอบที่ส าคัญที่ควรมีเพื่อการปฏิบัติงานสอนในเนื้อหาวิชาเฉพาะหรือหมายความว่า ในการสอนแต่ละวิชาหรือแม้แต่การสอนแต่ละเรื่อง ก็มีความส าคัญเฉพาะที่แตกต่างกัน (Shulman, 1986) ตัวอย่างเช่น ครูที่สอนวิทยาศาสตร์จะต้องมีความรู้ในเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ และมีความรู้ว่าวิธีการสอน ใดบ้างที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิทยาศาสตร์ที่ตนเองสอน ในท านองเดียวกัน ครูที่สอนคณิตศาสตร์จะต้อง มีความรู้ในเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ และมีความรู้ว ่าวิธีการสอนใดที ่สอดคล้องกับเนื้อหาคณิตศาสตร์ ซึ ่งการปฏิบัติการสอนของครูวิทยาศาสตร์และครูคณิตศาสตร์อาจมีความแตกต ่างกันตามเนื้อหาวิชา ที่ตนสอน (จุฬารัตน์ ธรรมประทีป, 2559) งานวิจัยที ่ผ ่านมาเกี ่ยวกับความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีได้ให้ข้อเสนอแนะ ที่ส าคัญหลายประการเกี่ยวกับการผลิตครู โดยความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ควรเป็น ส ่วนส าคัญใน “มาตราฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพครู” ซึ ่งเป็นเรื ่องที่ท้าทายการผลิตครู (ลือชา ลดาชาติ, 2565) นักวิจัยและนักการศึกษาได้มีการสร้างเครื่องมือเพื่อใช้วัดระดับความรู้ในเนื้อหา
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 141 ผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีของนักศึกษาครูเพื ่อน าไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการผลิตและพัฒนา นักศึกษาครูจ านวนมาก (Baran et al., 2011) แต ่ยังขาดข้อมูลความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีของครูประจ าการ และยังขาดการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจส ารวจและศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอน และเทคโนโลยีของครูประจ าการ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการพัฒนาครู วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อส ารวจความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 2. เพื ่อเปรียบเทียบความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 จ าแนกตามเพศ รายวิชาที่สอน อายุ ระดับชั้นที ่สอน และขนาดโรงเรียน กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีด าเนินการวิจัย 1. ประชากรที ่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก ่ ครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที ่การศึกษาประถมศึกษา เชียงใหม่ เขต 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 968 คน 2. กลุ ่มตัวอย ่างที ่ใช้ในงานวิจัย ผู้วิจัยใช้วิธีสุ ่มอย ่างง ่าย (Simple random sampling) ได้แก่ ครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที ่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม ่ เขต 4 ภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 285 คน ข้อมูลส่วนบุคคล 1. เพศ 2. รายวิชาที่สอน 3. อายุ 4. ระดับชั้นที่สอน 5. ขนาดโรงเรียน องค์ประกอบความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) 1. ความรู้เทคโนโลยี (TK) 2.ความรู้เนื้อหา (CK) 3.ความรู้ศาสตร์การสอน (PK) 4.ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเนื้อหา (PCK) 5. ความรู้เนื้อหาผนวกเทคโนโลยี (TCK) 6. ความรู้ศาสตร์การสอนสอนผนวกเทคโนโลยี (TPK) 7. ความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2566) 142 3. ศึกษาองค์ประกอบแนวคิดความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยีสร้าง โดยเชื่อมโยงกับ องค์ประกอบของความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ของ Lee S. Shulman (1986) และKoehler & Mishra (2009) ดังตาราง 1 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความรู้เนื้อหาผนวกวิธีการสอนและเทคโนโลยี ส าหรับครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 เป็นแบบสอบถามแสดงความคิด ชนิดมาตราส่วนประมาณค ่า (Rating scale) แบ ่งเป็น 5 ระดับ จ านวน 27 ข้อ ปรับปรุงข้อค าถามจาก ง าน วิ จั ย ข อง Chai et al. (2011), Erdoğmuş et al. (2020) , Hosseini (2015), Koh et al. (2014) และ Schmidt et al. (2009) ความเที่ยงตรงของเนื้อหา วิเคราะห์ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) จากผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 5 คน และเลือกข้อค าถามที่มีค่า IOC มากกว่า 0.5 ค่าความเชื่อมั่นวิเคราะห์โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาค (Alpha Coefficient) ได้ 0.95 ข้อค าถามแสดงดังตาราง 2 5. ด าเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม รูปแบบออนไลน์ จ านวน 285 คน สถิติที ่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และการวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA) ตาราง 1 องค์ประกอบของความรู้เนื้อหาผนวกการสอนและเทคโนโลยี (TPACK) องค์ประกอบ ค าอธิบาย ความรู้เทคโนโลยี(TK) ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการเรียนการสอน เช่น ดิจิทัลเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ตโปรแกรม ส าเร็จรูป เพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูลและ การสื่อสาร ความรู้เนื้อหา (CK) ความรู้ในเนื้อหาที ่สอนธรรมชาติของเนื้อหา และความสัมพันธ์กับเนื้อหาอื่น ๆ ความรู้ศาสตร์การสอน (PK) ความรู้ในวิธีการสอน กระบวนการจัดการเรียนรู้ การจัดการชั้นเรียน การสร้างแผนจัดการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ความรู้ศาสตร์การสอนผนวกเนื้อหา (PCK) ความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้วิธีการสอน การจัด การชั้นเรียน การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ การประเมินผล การเรียนรู้ของผู้เรียนให้เหมาะสม กับเนื้อหาที่สอน