The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อสร้างสำนึกความเป็นไทย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aeffeesocial, 2021-06-28 10:10:31

แนวการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อสร้างสำนึกความเป็นไทย

แนวการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อสร้างสำนึกความเป็นไทย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

๔๔

๖.๒ ผลท่ีประเทศไทยไดร้ บั จากการสง่ ทหารเข้ารว่ มสงครามโลกคร้ังท่ี ๑ กับฝา่ ย
สมั พนั ธมติ รโดยเขียนเป็นแผนผังความคดิ ประกอบการสรุป

ผงั ความคดิ เร่ือง ผลทป่ี ระเทศไทยไดร้ บั จากการเขา้ ร่วมสงครามโลกครงั้ ที่ ๑ กับฝา่ ยสมั พันธมติ ร

ไดร้ บั เชิญเข้าเป็นสมาชกิ เป็นการเผยแพร่ ได้ยกเลิกสนธสิ ญั ญาไม่
ช่ือเสยี งและเกยี รติคณุ เสมอภาคทันทกี บั
ประเภทริเร่มิ ขององค์การ ของประเทศ
สันนิบาตชาติ เยอรมันและออสเตรยี –
ฮงั การี

มกี ารจดั ทหารแบบยโุ รป ผลทป่ี ระเทศไทยได้รบั จาก ได้แกไ้ ขสนธสิ ญั ญา
ววิ ัฒนาการมาจน การเขา้ ร่วมสงครามโลก เสมอภาคกบั นานา
กลายเปน็ กองทพั อากาศ ประเทศในเวลาต่อมา
ครัง้ ท่ี ๑ กับฝา่ ย
สัมพนั ธมติ ร ได้รบั เกียรติเข้ารว่ มทา
สนธสิ ัญญาแวรซ์ าย
เปลยี่ นธงชาติจากธง
ช้างเผือกมาเป็นธง

ไตรรงค์

๗. ครูสุ่มถามนักเรียนว่าหากนักเรียนเป็นผู้ตัดสินใจในการประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้ง
ท่ี ๑ นักเรียนจะเลอื กฝ่ายสัมพนั ธมิตร หรือมหาอานาจกลาง เพราะเหตุผลใด

๘. ครูแจกใบความรู้ท่ี ๑ เรอื่ ง ประเทศไทยกับสงครามโลกครัง้ ที่ ๑ ใหน้ ักเรียนกลุ่มเดิมคนละ
๑ ชุด และใบกิจกรรมท่ี ๒ เรื่อง พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ
เหตกุ ารณส์ งครามโลกคร้ังท่ี ๑ ให้กลุ่มละ๑ ชดุ โดยให้นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มรว่ มกันปฏิบัติตามคาช้ีแจง

แนแนวกวการาจรดัจดักการาเรรเยีรียนนรปู้รู้ประรวะัตวตัศิ ิศาสาสตตร์เรพเ์ พอื่ อ่ืสสร้ารงา้ สงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิ ตทไิยทย

๔๕

๙.ตัวแทนกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมในใบกิจกรรมที่ ๒ โดยครูเขียนคาตอบเป็น
ตารางลาดับเหตุการณ์ลงบนกระดานดา ดังกรณตี ัวอย่าง

วนั เดือน ปี เหตกุ ารณ์
๒๘ กรกฎาคม ๒๔๕๗ สงครามโลกคร้งั ที่ ๑ เกดิ ขึน้ ในทวีปยโุ รป ประเทศไทยวางตวั เปน็ กลาง

๖ เมษายน ๒๔๖๐ สหรัฐอเมริกาประกาศเขา้ รว่ มสงครามกบั ฝา่ ยสมั พันธมติ ร
๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงประกาศสงครามกับ
เยอรมนแี ละออสเตรยี ฮังการี
๑๙มิถนุ ายน ๒๔๖๑
ทหารไทยจานวน ๑,๒๕๐ นายออกเดนิ ทางจากท่าราชวรดิฐ และไปต่อ
๓๐ กรกฎาคม ๒๔๖๑ เรอื เอ็มไพรข์ องฝรั่งเศส ที่เกาะสีชงั เพือ่ เดนิ ทางไปยังประเทศฝรัง่ เศส
๕ สงิ หาคม ๒๔๖๑ ถึง ทหารไทยเดินทางถงึ เมืองมาร์แซย์ประเทศฝรงั่ เศส
๒๐ มนี าคม ๒๔๖๒
๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๔๖๑ ทหารไทยต้องไปเรยี นร้วู ธิ กี ารรบสมยั ใหม่ อาทกิ ารใช้อาวุธการยงิ การทิง้
๑ กรกฎาคม ๒๔๖๒ ระเบิดการส่ือสารการใชว้ ทิ ยุโทรเลข

๒๑ กันยายน ๒๔๖๒ เยอรมนี ประกาศยอมแพส้ งครามและยอมลงนามในสัญญาสงบศกึ

ทหารไทยไดถ้ ูกส่งไปปฏบิ ตั ิหนา้ ท่โี ดยทาหนา้ ทลี่ าเลยี งส่งกาลงั ให้แก่
กองทพั ฝา่ ยพันธมิตรในคราวเคลื่อนทัพยึดดนิ แดนของเยอรมันทางฝั่ง
ซ้ายแม่น้าไรน์

กองทหารอาสาร่นุ สุดทา้ ยของไทยเดินทางกลบั ถงึ กรุงเทพมหานคร

ไทยประกาศยกเลกิ สนธิสญั ญาไมเ่ สมอภาคกับเยอรมนีและออสเตรีย-
ฮงั การี

๑๐. ครูสุ่มถามนักเรียนว่าจากตารางลาดับเห ตุการณ์ นักเรียนคิดว่าเพระเหตุใด
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงตัดสินพระทัยเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทันทีเมื่อ
สงครามโลกครั้งที่ ๑ เกิดขึ้น แต่พระองค์ทรงประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรหลังจากสงครามโลก
ครั้งท่ี ๑ ผ่านไปแล้วประมาณ ๓ ปี จากข้อมูลดงั กล่าวแสดงถึงพระอัจฉรยิ ภาพของพระบาทสมเดจ็ พระ
มงกุฎเกล้าเจา้ อยูห่ ัวในดา้ นใดบา้ ง

๑๑. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัวในการตัดสินพระทัยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งท่ี ๑ กับฝ่ายสัมพันธมิตร เช่น การมองการณ์
ปัจจุบัน และการณ์ไกล ดังจากที่พระองค์ทรงประเมินสถานการณ์เหตุการณ์ก่อนว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่าย
ชนะ หรือแพ้สงคราม ความสามารถในการวางแผน การตัดสินพระทัยอย่างความรอบคอบ อาศัย
ข้อมูลรอบด้าน รวมทั้งต้องการให้ประเทศไทยได้รบั การยอมรับจากชาติมหาอานาจ เป็นต้นพร้อมทั้งย้า
นกั เรียนให้นักเรยี นว่าในชีวติ จริงนักเรียนจะต้องมีการตดั สินใจอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก่อนตัดสินใจในการ

แแนนววกการารจจัดัดกการารเรเรยี ียนนรรปู้ ู้ปรระวะวตั ตั ศิ ิศาสาสตตรร์เพเ์ พ่ืออ่ืสสรรา้ ง้างสสานำนึกึกคคววามามเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ ปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๔๖

กระทาสิ่งต่าง ๆ จะต้องคิดอย่างรอบคอบ โดยอาศัยข้อมูลพ้ืนฐาน มีการวางแผน ซึ่งจะทาให้โอกาสท่ี
นกั เรียนจะตดั สนิ ใจผิดพลาดมนี อ้ ย

๑๒. จัดกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ ๔ คน แจกใบกิจกรรมท่ี ๓ เรื่อง ข้อคิดที่ได้จากการศึกษา
เหตุการณ์ประเทศไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๑ ให้กลุม่ ละ ๑ ชดุ พรอ้ มใหน้ ักเรียนปฏิบัติตามคาชี้แจงใน
ใบกจิ กรรม

๑๓. ตัวแทนนักเรียนนาเสนอข้อมูลการปฏิบัติกิจกรรมใบกิจกรรมที่ ๓ พร้อมเปิดโอกาสให้
นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเห็นเพ่มิ เตมิ

๑๔. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปความเกี่ยวกับอานาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทย ซ่ึงมีผลมา
จากบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ทหาร และประชาชน (บรรพบุรุษ) ท่ีได้ร่วมกันสร้างความมั่นคงและ
ความเจริญร่งุ เรอื งของไทยจากเหตุการณป์ ระเทศไทยกบั สงครามโลกคร้ังที่ ๑

๑๐.๓ ขั้นสรปุ
นักเรียนและครูร่วมกันสรุปสาเหตุที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งกอง

ทหารอาสาเข้าร่วมสงครามโลกคร้ังที่ ๑ และผลท่ีเกิดข้ึนท่ีมีต่อความมั่นคง และความเจริญรงุ่ เรืองของ
ไทยในปัจจุบัน รวมท้ังชี้ประเด็นให้นักเรียนตระหนักถึงความเป็นเอกราชของชาติไทย รวมท้ังสานึกใน
พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันกษัตริย์ และบรรพบุรุษท่ีได้ร่วมกันเสียสละเพื่อความเป็นเอกราชของ
ประเทศชาติ
๑๑. สอ่ื และแหล่งเรียนรู้

๑๑.๑ วดี ทิ ัศน์ เรอ่ื ง ปีกแหง่ เกยี รติยศ
๑๑.๒ ใบความร้ทู ่ี ๑ เรื่อง ประเทศไทยกบั เหตุการณ์สงครามโลกคร้งั ท่ี ๑
๑๑.๓ ใบกจิ กรรมท่ี ๑ เรือ่ ง ประเทศไทยกับสงครามโลกครงั้ ท่ี ๑
๑๑.๔ ใบกิจกรรมที่ ๒ เรื่อง พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกับ
เหตุการณส์ งครามโลกคร้ังที่ ๑
๑๑.๔ ใบกิจกรรมที่ ๓ เรื่อง ข้อคิดท่ีได้จากการศึกษาเหตุการณ์ประเทศไทยกับสงครามโลกครั้ง
ที่ ๑
๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ : แบ่งกลุ่มนกั เรียนจดั นิทรรศการทเ่ี ก่ยี วกับ
๑) พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒) สงครามโลกคร้งั ที่ ๑
๓) ความเปน็ มาของธงชาติไทย

แนแนวกวการาจรดัจัดกการาเรรเยีรยีนนรปู้ร้ปูระรวะัตวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพเ์ พื่ออ่ืสสรา้รงา้ สงสานำนกึ กึคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิ ตทไิยทย

๔๗

ใบความรู้ที่ ๑ เรื่อง ไทยกับเหตุการณ์สงครามโลกครงั้ ท่ี ๑

สงครามโลกคร้ังท่ีหน่ึง (World War I หรือ First World War) เป็นสงครามใหญ่ที่มี
ศูนยก์ ลางในยโุ รประหวา่ งวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ถงึ ๑๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ระหวา่ ง
ประเทศสมาชิกจากกลุ่มชาติพันธมิตรในยุโรป ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มไตรพันธมิตร (Triple Alliance) ได้แก่
เยอรมนี ออสเตรีย- ฮังการี ต่อมาพัฒนาเป็นกลุ่มมหาอานาจกลาง และกลุ่มไตรภาคี (Triple
Entente) ได้แก่ อังกฤษ ฝร่ังเศส และรัสเซีย ต่อมาพัฒนาเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร (Allies) สงคราม
เกิดข้ึนในวันท่ี ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ เม่ือออสเตรีย – ฮังการี ประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
หลังมกุฎราชกุมารของออสเตรียและพระชายาถูกปลงพระชนม์ สาหรับประเทศไทยประกาศเป็นกลาง
จนกระทั่งวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกาศ
สงครามกบั ฝ่ายเยอรมนี ออสเตรยี – ฮงั การี และโปรดเกล้าฯ ให้คัดเลือกชายฉกรรจ์เพือ่ ส่งไปเป็นทหาร
เข้าร่วมรบในสมรภูมิยุโรปคณะทหารอาสาของไทย๑.๒๕๐ นาย ประกอบด้วยกองบินทหารบกอยู่ใน
บงั คับบัญชาของพ.ต. หลวงทยานพิฆาต (ทิพย์ เกตุทัต) และกองทหารบกรถยนต์อยู่ในบังคับบัญชาของ
ร.อ. หลวงรามฤทธิรงค์ (ตอ๋ ย หสั ดิเสวี)

วันท่ี ๑๙ มิถุนายน ๒๔๖๑ ทหารไทยออกเดินทางจากท่าราชวรดิฐ โดยเรือศรีสมุทร และ
เรือกล้าทะเล เพอ่ื ไปต่อเรือเอ็มไพร์ของประเทศฝรัง่ เศสทเ่ี กาะสีชังและเดินทางถึงเมืองมารแ์ ซย์ ประเทศ
ฝรั่งเศสเมื่อวันท่ี ๓๐ กรกฎาคม ๒๔๖๑ ทหารไทยต้องไปเรียนรวู้ ิธีการบสมยั ใหม่อาทิการใชอ้ าวุธการยิง
การท้ิงระเบิดการส่ือสารการใชว้ ิทยุโทรเลขโดยเริ่มเรยี นตั้งแต่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ถึง ๒๐ มีนาคม
พ.ศ. ๒๔๖๒ จึงสาเร็จการศึกษาแต่ไม่ทันรว่ มรบในสงครามเพราะสงครามโลกได้ยุติลงเสียก่อนเม่ือ ๑๑
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๑ รัชกาลท่ี ๖ ได้โปรดให้คัดเลือกทหารไปฝึกและหาความรู้เพ่ิมเติมในวิชาการ
บินและช่างเครื่องยนต์ หลังการฝึกสาเร็จแล้ว ทหารไทยถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ โดยทาหน้าที่ลาเลียงส่ง
กาลังให้แก่กองทัพฝ่ายพันธมิตรในคราวเคลื่อนทัพยึดดินแดนของเยอรมันทางฝ่ังซ้ายแม่น้าไรน์ผลงาน
ของทหารอาสายุติลงเมื่อ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ กองทหารอาสารุ่นสุดท้ายของไทยเดินทางกลับถึง
กรุงเทพฯ เมื่อ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๒ ทหารไทยเสียชีวิตไป ๒๐ นาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกล้าเจ้าอยู่หัวไดโ้ ปรดให้สร้าง “อนุสาวรีย์ทหารอาสา”ไว้ ณ บริเวณทิศเหนือของสนามหลวง และสรา้ ง
วงเวียน ๒๒ กรกฎาคม เป็นที่ระลกึ สาหรบั การประกาศสงครามเข้าเปน็ ฝ่ายสมั พนั ธมิตร
ปรบั ปรุงจาก ที่มา.........................................

แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเรเรยี ียนนรรปู้ ปู้ รระะววตั ตั ศิ ิศาาสสตตรร์เพเ์ พื่ออ่ื สสรรา้ า้งงสสาำนนกึ กึ คคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเ็นปม็นามขาอขงอชงาชตาไิตทไิ ยทย

๔๘
ใบกจิ กรรมที่ ๑ เร่อื ง ประเทศไทยกับสงครามโลกครงั้ ที่ ๑
ช่อื – สกลุ ........................................................ชนั้ .................. เลขท่ี .......
คาชี้แจง
หลงั จากนกั เรยี นดูวดี ิทัศน์ เรื่อง ปกี แห่งเกียรตยิ ศ และเอกสารเร่ือง ประกาศกระแสร์พระบรม
ราชการวา่ ดว้ ยการสงครามซึ่งมตี อ่ ประเทศเยอรมนีและออสเตรยี -ฮังการี ใหน้ ักเรียนตอ่ คาถามตอ่ ไปน้ี
โดยเขียนเปน็ กราฟกิ ไดต้ ามความเหมาะสม
๑. เพราะเหตุใดพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยูห่ วั จึงทรงสง่ ทหารเข้ารว่ มกบั ฝา่ ย
สมั พนั ธมติ ร ในสงครามโลกครั้งท่ี ๑
๒. ผลท่ีประเทศไทยไดร้ ับจากการสง่ ทหารเข้าร่วมสงครามโลกครัง้ ท่ี ๑ กับฝ่ายสมั พนั ธมิตรมี
อะไรบ้าง

“ประกาศกระแสรพ์ ระบรมราชโองการ
วา่ ดว้ ยการสงครามซ่ึงมตี ่อประเทศเยอรมนีและออสเตรยี ฮงั การี”

แนแนวกวการาจรัดจัดกการาเรรเยีรยีนนรปู้รปู้ระรวะัตวตัศิ ศิาสาสตตร์เรพ์เพ่อื ื่อสสร้ารง้าสงสานำนึกึกคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิยทย

๔๙

แแนนววกกาารรจจดั ัดกกาารรเรเรียยี นนรรปู้ ู้ปรระะววตั ัตศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพือ่ อื่ สสรร้า้างงสสาำนนกึ กึ คคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเ็นปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิตทิไยทย

๕๐

แนแนวกวการาจรัดจดักการาเรรเยีรยีนนรปู้รู้ประรวะตัวตัศิ ศิาสาสตตร์เรพ์เพอื่ อื่สสร้ารงา้ สงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๕๑

ท่มี า ราชกจิ จานุเบกษา, ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐
ฉบับสมบูรณ์ดาวนโ์ หลดได้จากเวบ็ ไซต์ของราชกจิ จานุเบกษา

แแนนววกกาารรจจดั ัดกกาารรเรเรยี ียนนรรปู้ ้ปู รระะววัตตั ศิ ศิ าาสสตตรร์เพเ์ พ่ือื่อสสรรา้ ้างงสสาำนนึกกึ คคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเ็นปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๕๒

ใบกจิ กรรมท่ี ๒ เรือ่ ง พระอัจฉรยิ ภาพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
กบั เหตกุ ารณส์ งครามโลกครงั้ ที่ ๑

กลุ่มท่ี ............... ๑……………………………..... .................... เลขท.่ี .........
สมาชกิ ประกอบดว้ ย ๒. …………………………………………… เลขท่ี ........
๓. …………………………………………… เลขท่ี ........
๔. …………………………………………… เลขที่ ........

คาชแ้ี จง ใหส้ มาชิกในกลุ่มร่วมกนั ศึกษาใบความรู้ท่ี ๑ เร่อื ง พระอจั ฉรยิ ภาพของพระบาทสมเดจ็ พระ
มงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัวกบั เหตุการณส์ งครามโลกคร้งั ที่ ๑ แล้วสรปุ สาระสาคญั เปน็ เส้นเวลา (Timeline)

แนแนวกวการาจรัดจัดกการาเรรเียรยีนนรปู้รู้ประรวะตัวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพเ์ พือ่ ่ือสสร้ารงา้ สงสานำนกึ ึกคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทไิยทย

๕๓

ใบกิจกรรมที่ ๓ เรือ่ ง ข้อคิดที่ไดจ้ ากการศกึ ษาเหตกุ ารณป์ ระเทศไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๑

กล่มุ ท่ี ............... ๑……………………………..... .................... เลขท่ี..........
สมาชกิ ประกอบด้วย ๒. …………………………………………… เลขท่ี ........
๓. …………………………………………… เลขที่ ........
๔. …………………………………………… เลขที่ ........

คาช้แี จง ให้สมาชกิ ในกล่มุ ร่วมกันวิเคราะหค์ าถามตอ่ ไปน้ี
๑. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวส่งทหารเข้าร่วมสงครามโลกคร้ังที่ ๑ กับฝ่าย

สมั พนั ธมิตร นกั เรยี นคดิ วา่
๑.๑ มีผลต่อความมั่นคง (ความเป็นเอกราช) ของไทยหรือไม่อย่างไร พร้อมให้เหตุผล

ประกอบ (วดั ความร้)ู
๑.๒ มีผลต่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และสังคมของไทยหรือไม่อย่างไร พร้อมให้

เหตผุ ลประกอบ (วดั ความร้)ู
๒. เมื่อนักเรียนได้ศึกษาเหตุการณ์ประเทศไทยกับสงครามโลกคร้ังที่ ๑ นักเรียนได้ข้อคิด

อะไรบ้างในประเดน็ ตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี โดยเขยี นเปน็ กราฟิกไดต้ ามความเหมาะสม
๒.๑ บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริยก์ บั การสร้างความม่ันคง (ความเปน็ เอกราช) และ

ความเจรญิ รงุ่ เรืองของชาตไิ ทย (วัดเจตคติ)
๒.๒ บทบาทของทหารไทยและประชาชนกับการสร้างความมั่นคง (ความเป็นเอกราช)

ของชาติไทย (วัดเจตคติ)
๒.๓ ความภาคภูมิใจในฐานะท่นี ักเรยี นเป็นคนไทย (วัดเจตคต)ิ

แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเรเรียยี นนรรปู้ ู้ปรระะววัตตั ศิ ิศาาสสตตรร์เพ์เพอื่ ื่อสสรร้า้างงสสาำนนึกึกคคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๕๔

แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ : รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ :
ด้านธารงไว้ซงึ่ ความเปน็ ชาติไทย และเคารพเทดิ ทูนสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์

(ครปู ระเมิน)

คาชแ้ี จง
๑. ครูอ่านคาตอบในใบกิจกรรมที่ ๒ ข้อที่ ๒.๑ บทบาทของสถาบันกษัตริย์ท่ีมีต่อการสร้าง

ความมั่นคง (ความเป็นเอกราช) และความเจริญรุ่งเรืองของชาติไทย เพ่ือนามาประเมินคุณลักษณะอัน

พึงประสงค์ของนักเรียน ด้าน เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ในประเด็น แสดงความสานึกใน

พระมหากรณุ าธิคณุ ของพระมหากษตั รยิ ์

๒. ครูอ่านคาตอบในใบกิจกรรมที่ ๓ ข้อท่ี ๒.๓ เพื่อนามาประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ของนักเรยี น ดา้ น ธารงไว้ซึ่งความเป็นชาติไทย ในประเดน็ หวงแหน ปกปอ้ ง ยกยอ่ งความเป็นชาตไิ ทย

ประเดน็ การประเมิน ผลการประเมิน

หวงแหน ปกป้อง ยกยอ่ ง ผ่าน ไม่ผ่าน
ความเป็นชาติไทย
แสดงข้อความท่ีแสดงให้เหน็ ถึง ไม่แสดงขอ้ ความทแี่ สดงใหเ้ ห็น
แสดงความสานกึ ในพระมหา
กรณุ าธคิ ุณของ การหวงแหน ปกป้อง ยกย่อง ถึงการหวงแหน ปกป้อง ยกย่อง
พระมหากษัตริย์
ความเป็นชาตไิ ทย ความเปน็ ชาติไทย

แสดงข้อความที่แสดงให้เหน็ ถึง ไม่แสดงข้อความทแี่ สดงให้เห็น

ความสาคัญของสถาบนั ถงึ ความสาคัญของสถาบนั

พระมหากษัตรยิ ท์ ีม่ ตี ่อการสร้าง พระมหากษัตริยท์ ีม่ ีต่อการสรา้ ง

ความมัน่ คง (ความเป็นเอกราช) ความมน่ั คง (เอกราช) และความ

และความเจริญรุ่งเรอื งของชาติ เจรญิ ร่งุ เรอื งของชาติไทย

ไทย

เกณฑ์การประเมิน
ผา่ น เม่อื ผลการประเมนิ อยู่ในระดับผ่านท้งั ๒ ประเดน็ การประเมนิ
ไมผ่ ่าน เมอ่ื ผลการประเมิน อย่ใู นระดับผ่านเพียงด้านใดด้านหน่งึ ดา้ นเดยี ว

แนแนวกวการาจรดัจัดกการาเรรเยีรยีนนรปู้รปู้ระรวะัตวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพ์เพอื่ อื่สสรา้รง้าสงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิ ตทิไยทย

๕๕

แบบสารวจรายการพฤตกิ รรมของนกั เรียนเพื่อประเมนิ ด้านมวี ินัย
(ครูประเมิน)

คาชแี้ จง ใหท้ าเครื่องหมาย / ลงในชอ่ งพฤติกรรมทตี่ รงกับพฤติกรรมนักเรียนในขณะจัดกจิ กรรมการ
เรยี นรู้

๑. เมอ่ื ถงึ ชัว่ โมงเรียนเข้าเรียนตามเวลา
๒. ไม่นางานวชิ าอ่ืนมาทาขณะจดั กิจกรรมการเรียนรู้
๓. ไม่นามอื ถือออกมาใชใ้ นขณะจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
๔. ไมน่ ัง่ พดู คุยเสียงดังเป็นท่ีรบกวนผู้อืน่

เลขท่ี ช่อื – สกุล พฤติกรรม รวมคะแนน

ข้อ ๑ ข้อ ๒ ขอ้ ๓ ขอ้ ๔













เกณฑป์ ระเมินระดบั คุณภาพ
( ) ๔ คะแนน ระดบั คณุ ภาพดมี าก
( ) ๓ คะแนน ระดับคุณภาพดี
( ) ๒ คะแนน ระดบั คณุ ภาพพอใช้
( ) ๑ คะแนน ระดบั คณุ ภาพตอ้ งปรับปรุง
( ) ๐ คะแนน ระดบั คุณภาพต้องปรับปรุงอยา่ งยงิ่

แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเรเรียียนนรรปู้ ู้ปรระะววตั ัตศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพ่อื อ่ื สสรรา้ ้างงสสาำนนึกกึ คคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทไิ ยทย

๕๖

แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั งิ านกลุ่ม เพ่ือประเมินกระบวนการกลุ่ม

(ครู : ประเมนิ )
กลมุ่ ที่ ............ นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ............./.........
สมาชิกประกอบด้วย

๑. ............................................................ เลขที่ ..............ประธานกลุ่ม

๒. ........................................................... เลขที่ ..............
๓. ............................................................ เลขท่ี ..............

๔. ........................................................... เลขท่ี .............
คาช้ีแจง

ครสู ังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ัตงิ านของสมาชกิ ในแตล่ ะกลมุ่ โดยศึกษาประเด็นการประเมิน

และคาอธิบายระดับคุณภาพพฤติกรรมการปฏิบตั ิงานกลุ่ม พรอ้ มประเมนิ ผล

ประเด็นการ คาอธิบายระดบั คุณภาพ ปรบั ปรงุ (๑) ผลการ
ประเมนิ ดมี าก (๔) ดี (๓) พอใช้ (๒) ประเมิน
สมาชกิ ในกลมุ่ ต่าง (คะแนน)
คนตา่ งทา
ความร่วมมือ สมาชิกในกลมุ่ สมาชิกในกลุม่ สมาชิกในกลุ่ม
ในการ ทกุ คนให้ความ ๓/๔ใหค้ วาม ๑/๒ใหค้ วาม
ทางาน รว่ มมอื ใน รว่ มมอื ใน ร่วมมือใน
การทางาน การทางาน การทางาน

รวมคะแนน

เกณฑ์ประเมินระดบั คณุ ภาพ
( ) ๔ คะแนน ระดับคุณภาพดีมาก
( ) ๓ คะแนน ระดับคุณภาพดี
( ) ๒ คะแนน ระดบั คณุ ภาพพอใช้
( ) ๑ คะแนน ระดบั คณุ ภาพตอ้ งปรับปรุง

แนแนวกวการาจรดัจดักการาเรรเยีรียนนรปู้ร้ปูระรวะัตวตัศิ ิศาสาสตตร์เรพ์เพอื่ ่อืสสรา้รงา้ สงสานำนกึ กึคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปม็นามขาอขงอชงาชตาไิ ตทไิยทย

๕๗
ข้อมูลเพ่ิมเติมในภาคผนวกของแผน

๑. สาเหตุของสงครามโลกคร้ังที่ ๑ เหตุการณ์สาคัญในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และผลท่ีเกิดขึ้น
จากเหตกุ ารณส์ งครามโลกครัง้ ท่ี ๑

๒. สาเหตุที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งทหารอาสาเข้าร่วมสงครามโลก
ครั้งท่ี ๑ เหตุการณ์สาคัญของทหารไทยท่ีเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ ผลที่ประเทศไทยได้ทาง
การเมอื ง เศรษฐกิจ และสังคม

๓. สาเหตุที่ไทยทาสนธิสัญญาบาวริงกับอังกฤษ พ.ศ. ๒๓๙๘ สาระสาคัญและ โดยเฉพาะที่
ทาให้ไทยเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต แผล รายชื่อประเทศอ่ืนท่ีทาสนธิสัญญากับไทยทานองเดียวกับ
สนธิสัญญาบาวรงิ

๔. ความเป็นมาของธงไตรรงค์
๕. อนสุ าวรยี ์ทหารอาสา

แแนนววกกาารรจจดั ัดกกาารรเรเรยี ียนนรรปู้ ปู้ รระะววตั ตั ศิ ศิ าาสสตตรร์เพเ์ พอื่ ่ือสสรรา้ า้งงสสาำนนกึ ึกคคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๕๘

ตวั อยา่ งแผน ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๔-๖
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๓ รหสั วชิ า ...................
กลุ่มสาระสารการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม จานวน ๔ ชั่วโมง
จานวน ๔ ช่ัวโมง
รายวิชาประวตั ศิ าสตร์

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๑ เรือ่ ง การวางรากฐานประชาธปิ ไตย

หนว่ ยย่อยที่ ๑ เร่ือ งการวางรากฐานประชาธิปไตย

๑. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ช้วี ดั
มาตรฐานการเรยี นรู้

ส ๔.๓ เขา้ ใจความเป็นมาของชาตไิ ทย วัฒนธรรม ภมู ิปญั ญาไทย มีความรกั ความภูมิใจและ
ธารงความเป็นไทย

ตัวชว้ี ัด
ม. ๔-๖/๑ วิเคราะห์ประเด็นสาคัญของประวตั ิศาสตรไ์ ทย
ม ๔-๖/๒ วเิ คราะห์ความสาคัญของสถาบันพระมหากษัตริยต์ ่อชาติไทย

๒. สาระสาคัญ
ก่อนการเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เปน็ ระบอบประชาธิปไตย

ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระราชดาริและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ในช่วงของการปฏิรูปประเทศ
(รัชกาลท่ี ๕-๗) ช่วยวางรากฐานและส่งเสริมประชาธิปไตยในไทย โดยเฉพาะการพัฒนาสิทธิ เสรีภาพ
และความเสมอภาค
๓. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

๓.๑ วิเคราะห์การปฏิรูปประเทศในสมยั รัชกาลที่ ๕ รัชกาลท่ี ๖ และรชั กาลที่ ๗ ได้
๓.๒ วิเคราะห์การพฒั นาสทิ ธิ เสรีภาพและความเสมอภาคในสมัยรชั กาลที่ ๕ ได้
๓.๓ วเิ คราะหแ์ นวคดิ พระราชทานรัฐธรรมนูญในรชั กาลท่ี ๕ รชั กาลที่ ๖ และรชั กาลที่ ๗ ได้
๓.๔ วเิ คราะหก์ ารฝึกฝนเพื่อส่งเสริมการเรยี นร้ปู ระชาธิปไตยในสมัยรชั กาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ ได้
๓.๕ วเิ คราะหก์ ารพระราชทานรฐั ธรรมนญู ของรชั กาลท่ี ๗ ได้
๓.๖ ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของสถาบนั พระมหากษัตริย์ในการวางรากฐานระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตย
๔. สาระการเรยี นรู้

๔.๑ การการปฏริ ปู ประเทศในสมยั รัชกาลท่ี ๕ รัชกาลท่ี ๖ และรชั กาลท่ี ๗
๔.๒ การพฒั นาสิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคในสมัยรชั กาลท่ี ๕
๔.๓ แนวคิดพระราชทานรฐั ธรรมนูญของรัชกาลที่ ๕ รัชกาลท่ี ๖ และรัชกาลที่ ๗
๔.๔ การฝึกฝนเพ่ือส่งเสริมการเรียนรปู้ ระชาธปิ ไตยในสมยั รชั กาลท่ี ๖
๔.๕ การพระราชทานรฐั ธรรมนูญของรัชกาลท่ี ๗

แนแนวกวการาจรดัจัดกการาเรรเยีรียนนรปู้ร้ปูระรวะัตวตัศิ ิศาสาสตตร์เรพเ์ พอ่ื อื่สสรา้รงา้ สงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิยทย

๕๙

๕. ทกั ษะ/กระบวนการ

๕.๑ กระบวนการกลุ่ม

๕.๒ ทักษะการเขยี น

๕.๓ ทกั ษะการแกป้ ัญหา

๖. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ : ค่านยิ มหลกั ของคนไทย ๑๒ ประการ (คสช.)

๖.๑ มีความรกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ (คสช. : มคี วามรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย)์

๖.๒ ซื่อสตั ย์ สจุ รติ (คสช. : ซ่ือสัตย์ เสยี สละอดทนมอี ุดมการณ์ในการสงิ่ ทีด่ งี ามเพื่อส่วนรวม)

๖.๓ ใฝเ่ รียนรู้ (คสช. : ใฝห่ าความรู้ หมั่นศึกษาเลา่ เรยี น)

๖.๔ มุ่งมั่นในการทางาน (คสช. : มีสติ รูต้ วั ร้คู ิด รูท้ า รู้ปฏบิ ัต)ิ

๖.๕ รกั ความเปน็ ไทย (คสช. : รักษาวฒั นธรรมประเพณีอนั งดงาม)

๗. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น

๗.๑ ความสามารถในการสื่อสาร

๗.๒ ความสามารถในการคดิ

๗.๓ ความสามารถในการแก้ปญั หา

๗.๔ ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต

๗.๕ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

๘. หลกั ฐานการเรียนรู้

๘.๑ ชิน้ งาน

๑. การพาดหวั ข่าวและนาเสนอข่าวในหนังสือพิมพเ์ กยี่ วกบั การวางรากฐานประชาธิปไตย

๒. การบนั ทึกผลการเรยี นรู้

๓. การบันทึกองค์ความรู้ในกระดาษเสริมสร้างปัญญา

๔. เสน้ เวลาแสดงการวางรากฐานพัฒนาประชาธปิ ไตย

๙. การวดั และประเมินผล

เปา้ หมาย วิธวี ัด เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ

ด้านความรู้

๑. วเิ คราะห์การปฏริ ปู ประเทศในสมยั ประเมินชนิ้ งาน แบบประเมินช้ินงาน (ประเมินตามสภาพ

รัชกาลท่ี ๕ รชั กาลท่ี ๖ และรชั กาล จรงิ )

ที่ ๗ ได้

๒. วเิ คราะห์การพัฒนาสิทธิ เสรีภาพ

และความเสมอ ภาคในสมยั รัชกาลที่

๕ ได้

๓. วิเคราะหแ์ นวคดิ พระราชทาน

แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเรเรียยี นนรรปู้ ปู้ รระะววตั ัตศิ ิศาาสสตตรร์เพเ์ พื่ออ่ื สสรร้า้างงสสาำนนกึ ึกคคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิ ยทย

๖๐

เปา้ หมาย วธิ ีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมิน

รัฐธรรมนญู รัชกาลท่ี ๕ รชั กาลที่

๖ และรัชกาลท่ี ๗ ได้

๔. วิเคราะหก์ ารฝึกฝนเพ่ือสง่ เสริมการ

เรยี นรปู้ ระชาธปิ ไตยในสมยั รัชกาล

ท่ี ๖ และรชั กาลที่ ๗ ได้

๕. วิเคราะห์การพระราชทาน

รัฐธรรมนูญในสมยั รชั กาลที่ ๗ ได้

๖. เรียงลาดับเหตกุ ารณ์การวางรากฐาน

ประชาธิปไตยได้

ด้านความรู้

๗. ตระหนักถึงความสาคัญของ

พระมหากษตั ริยใ์ นการสง่ เสรมิ

การปกครองแบบประชาธิปไตย

ด้านทักษะกระบวนการ

๑. กระบวนการกลมุ่ สงั เกต แบบสังเกต ระดับคุณภาพ ๒

ผา่ นเกณฑ์

๒. ทกั ษะการเขียน ประเมนิ ชิน้ งาน แบบประเมินชนิ้ งาน (ประเมนิ ตามสภาพ

จรงิ )

๓. ทกั ษะการแก้ปัญหา คาถามRCA แบบประเมนิ (ประเมนิ ตามสภาพ

การตอบคาถาม RCA จริง)

ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

ความรกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ สังเกต แบบสงั เกต ระดับคุณภาพ ๒

มวี ินัย ใฝ่เรียนรมู้ ุ่งมั่นในการทางาน คุณลักษณะ คณุ ลกั ษณะอนั พึง ผ่านเกณฑ์

และรักความเปน็ ไทย อันพึงประสงค์ ประสงค์

ด้านสมรรถนะทส่ี าคญั ของผู้เรยี น

๑. ความสามารถในการส่ือสาร ประเมิน แบบประเมนิ ระดบั คุณภาพ ๒

๒. ความสามารถในการคดิ สมรรถนะท่ี สมรรถนะ ผ่านเกณฑ์

๓. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ สาคญั ของ ที่สาคญั ของผู้เรียน

ผูเ้ รียน

แนแนวกวการาจรัดจัดกการาเรรเยีรยีนนรปู้รู้ประรวะตัวตัศิ ิศาสาสตตร์เรพเ์ พ่อื ือ่สสร้ารง้าสงสานำนกึ ึกคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๖๑

๑๐. กิจกรรมการเรียนรู้ (ระบุวธิ สี อน/เทคนคิ การสอน)
ช่วั โมงท่ี ๑

ขั้นนาเขา้ สู่บทเรียน
๑. นาเข้าสู่บทเรียน ครูใหน้ กั เรียนฟงั เพลง “กษัตรยิ แ์ ห่งประชาธปิ ไตย” (ของแอ็ด คาราบาว)
๒. นักเรียนร่วมกันวิเคราะหเ์ น้อื เพลง ดงั นี้
- มีพระมหากษตั รยิ ์พระองค์ใดท่เี ก่ียวข้องกบั การปกครองแบบประชาธิปไตยของไทย
- มพี ระมหากษัตริย์ในราชวงศจ์ กั รพี ระองค์อ่นื ๆ อีกหรือไม่ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั การการ

วางรากฐานประชาธิปไตย
ขัน้ สอน
๑. ครูชี้แจงวิธีการจัดการเรียนรู้ภายในช่ัวโมงน้ี โดยใช้สถานการณ์จาลองเป็นการทางานของ

สานักข่าวในการเสนอข่าว มีตัวแสดง ได้แก่ หัวหน้าห้องเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษ าธิการ
นักเรียนเปน็ ผ้สู ือ่ ขา่ วและนกั ข่าวประจาหนังสือพิมพ์รายวนั ดังนี้

๑.๑ แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม ๕ กลุ่ม คละความสามารถ สมมุติให้เป็นสานักงานของ
หนงั สอื พิมพ์รายวนั แล้วใหน้ ักเรียนช่วยกนั ตั้งชือ่ หนังสอื พิมพ์ของกลุ่มตน

๑.๒ กาหนดบทบาทของนักเรียนท่ีเป็นหวั หน้าห้องให้เปน็ รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงศึกษาธกิ าร
และกาหนดตัวแทนของนักเรียนแต่ละกลุ่มให้ทาหน้าท่ีเป็นผู้สื่อข่าวของสานักข่าว ส่วนที่เหลือให้เป็น
ผู้ส่อื ขา่ วประจาสานกั งาน

๒. ครูนาหนังสือพิมพห์ น้าแรกของหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน เพื่อให้นักเรียนดูวิธีการหรอื เทคนิค
การพาดหัวขา่ ว หรือการเสนอข่าวในหน้าแรกของหนงั สือพมิ พ์ โดยครใู ห้แนวคิดเก่ียวกบั การพาดหัวข่าว
และการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ประกอบ โดยเฉพาะการตอบคาถามข้อเท็จจริง ใคร ทาอะไร เที่ไหน
เมือ่ ไร อยา่ งไร และทาไม

๓. เม่ือนักเรียนได้ศึกษาวิธีการแล้ว ครูมอบอุปกรณ์การทากิจกรรมให้แก่นักเรียน เช่น
กระดาษขนาดเท่าหนังสอื พมิ พ์ ปากกา เป็นต้น และเร่ิมทางาน

๔. รัฐมนตรีแถลงข่าวอย่างสรุปเร่ือง แนวคิดพระราชทานรัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ ๕ รัชกาล
ที่ ๖ และรชั กาลที่ ๗ ผูส้ อ่ื ข่าวรับเอกสารประกอบการแถลงขา่ ว

๕. ผสู้ ื่อขา่ ว (นกั เรยี น) กลบั ไปยงั สานักงานของตนเอง
๖. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันเขียนข่าวเก่ียวกับแนวคิดพระราชทานรัฐธรรมนูญของรชั กาลที่
๕ รชั กาลท่ี ๖ และรชั กาลที่ ๗ พร้อมพาดหัวขา่ วเพื่อนาเสนอในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์
๗. เมื่อนักเรียนทาพาดหัวข่าวและเขียนข่าวเสร็จแล้ว ให้นักเรียนนาเสนอโดยนามาจัดป้าย
นิเทศ แล้วใหต้ ัวแทนของนกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ อา่ นประโยคพาดหวั ข่าวและสรุปข่าว

แแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเรเรียียนนรรปู้ ้ปู รระะววตั ัตศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพ่ืออ่ื สสรรา้ า้งงสสาำนนึกกึ คคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิ ยทย

๖๒

ขนั้ สรปุ
๑. นกั เรยี นสรปุ เป็นรายบุคคล โดยครูแจกกระดาษเสริมสร้างปัญญา (กระดาษเปล่า) เพ่ือให้

นักเรียนตอบคาถามสะท้อนคิด
คาถามสะท้อนคดิ (RCA) :
๑. ครูใช้คาถาม (R = สะทอ้ น คือ ปัจจุบัน) : ระหว่างที่นกั เรยี นทากิจกรรมนักเรียนมี

ความรสู้ กึ เก่ียวกบั สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์อยา่ งไรบา้ ง
๒. ครูใช้คาถาม (C = เชื่อมโยง คือ อดีต) : นักเรียนเคยรู้เร่ืองบทบาทพระมหากษัตริย์

ทม่ี ตี ่อการส่งเสรมิ ประชาธปิ ไตยมาก่อนหรอื ไม่
๓. ครูใช้คาถาม (A = การปรับใช้ คือ อนาคต) : สิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้จะสร้างความ

จงรักภกั ดตี ่อพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร
(ตอบตามความคิดเห็นของนักเรียนและอยู่ในดลุ ยพินิจของครูผูส้ อน)

๒. หลังจากตอบคาถามเสร็จแล้ว นกั เรยี นนากระดาษสรา้ งสรรค์ปัญญามาติดบอรด์ หน้าชนั้ เรยี น
๓. จากนั้นนักเรียนและครูร่วมกันสรุปเป็นองค์ความรู้ นักเรียนบันทึกข้อสรุปลงสมุด
รายละเอียดดงั นี้
“รัชกาลที่ ๕ รัชกาลท่ี ๖ และรัชกาลที่ ๗ ทรงปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยทาให้ประเทศไทย
เปิดรับแนวคิดใหม่จากโลกตะวันตกมากขึ้น แนวคิดตะวันตกมีความสาคัญที่จะทาให้ไทยเปล่ียนแปลง
ทางการเมืองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ก่อนหน้านี้
การปฏิรูปด้านต่างๆ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในดา้ นต่างๆ ชว่ ยวางรากฐานประชาธิปไตย”
๔. ครูมอบหมายให้นักเรยี นไปสบื คน้ ในเรื่องตอ่ ไปนี้ มาก่อนลว่ งหนา้

- การการปฏริ ูปประเทศในสมยั รัชกาลท่ี ๕ รัชกาลท่ี ๖ และรัชกาลที่ ๗
- การพัฒนาสทิ ธิ เสรภี าพและความเสมอภาคในสมยั รชั กาลท่ี ๕
- แนวคิดพระราชทานรัฐธรรมนญู รชั กาลท่ี ๕ รชั กาลที่ ๖ และรชั กาลที่ ๗
- การฝกึ ฝนเพ่ือสง่ เสริมการเรียนรู้ประชาธปิ ไตยในสมยั รชั กาลท่ี ๖
- การพระราชทานรัฐธรรมนูญในสมัยรัชกาลที่ ๗

ช่ัวโมงท่ี ๒
๑. ครใู หน้ ักเรยี นนาผลงานท่ีได้สืบค้นมาในชว่ั โมงท่ีแล้วไปติดบอรด์ หนา้ ชน้ั เรียน จากนั้นครู

แนะนาวิธีการเรียนแบบจ๊ิกซอว์ (Jigsaw)
๒. นกั เรยี นกล่มุ เดิม กาหนดหมายเลขประจาตวั ๑-๕ ตามลาดับ เรยี กกลุ่มน้วี า่ กล่มุ บ้าน แลว้

ใหน้ กั เรยี นท่ีมหี มายเลขเดียวกันมารวมกนั เป็น กลุม่ ใหม่ เรียกกลุ่มน้วี า่ กลมุ่ ผู้เช่ียวชาญ

แนแนวกวการาจรดัจดักการาเรรเียรยีนนรปู้รู้ประรวะตัวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพเ์ พอื่ ่อืสสร้ารงา้ สงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปม็นามขาอขงอชงาชตาไิ ตทิไยทย

๖๓

๓. นักเรียนกลุ่มผู้เชย่ี วชาญแตล่ ะหมายเลขรว่ มกนั ศึกษาความรู้ในหัวขอ้ ต่อไปน้ี
- หมายเลข ๑ ศึกษาความรูเ้ รื่องการการปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลท่ี ๕ รชั กาลท่ี ๖ และ

รชั กาลท่ี ๗
- หมายเลข ๒ ศึกษาความรู้เรอ่ื งการพัฒนาสิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคในสมัยรัชกาล

ที่ ๕
- หมายเลข ๓ ศึกษาความรู้เร่ืองแนวคิดพระราชทานรัฐธรรมนูญรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖

และรัชกาลท่ี ๗
- หมายเลข ๔ ศึกษาความรู้เร่ือง การฝึกฝนเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ประชาธิปไตยในสมัย

รัชกาลท่ี ๖
- หมายเลข ๕ ศึกษาความรเู้ รื่อง การพระราชทานรฐั ธรรมนญู ของรชั กาลท่ี ๗

โดยครแู จกบันทึกผลการเรยี นรใู้ หก้ ับนกั เรยี นทุกคน
หมายเหตุ : เอกสารท่ีแจกให้นักเรียนศึกษา ครูผู้สอนอาจจัดทาเป็นใบความรู้ เอกสารประกอบ
การเรียนหรือหนงั สอื เล่มเลก็ ก็ได้ เพ่ือเร้าความสนใจของนกั เรยี น

๔. นกั เรียนกลุ่มผู้เชย่ี วชาญนาความรู้ทไ่ี ด้ไปศึกษาจากกลุ่มอ่นื ๆ มาไปเปรียบเทียบกับความรู้ท่ี
นักเรียนได้ไปสืบค้นมาท่ีครูให้ติดบอร์ดหน้าห้องเรียน ให้นักเรียนบันทึกเฉพาะส่วนท่ีมีองค์ความรู้ที่
แตกตา่ งกนั

๕. หลังจากน้ันนักเรยี นกลุม่ ผู้เช่ยี วชาญกลบั เข้าส่กู ลมุ่ บา้ น เพื่อนาความรทู้ ่ีไดจ้ ากการศึกษามา
เลา่ ใหเ้ พือ่ นฟังในชัว่ โมงตอ่ ไป

ช่ัวโมงที่ ๓
๑. ครทู บทวนการเรียนแบบจ๊กิ ซอว์ในชวั่ โมงท่ีผา่ นมา เพ่ือทบทวนความรู้เดมิ ให้กับนักเรยี นได้

ปฏิบตั ิกจิ กรรมต่อไป
๒. นักเรียนกล่มุ ผเู้ ชี่ยวชาญกลับเขา้ ส่กู ลุม่ บ้าน นาความรู้ทไี่ ดจ้ ากการศึกษามาเลา่ ให้เพ่ือนฟัง

ผลัดกันซักถามข้อสงสยั และผลดั กันอธิบายจนทกุ คนมีความเข้าใจชดั เจน หลงั จากนนั้ นักเรยี นบันทึกลง
ในบันทึกผลการเรียนรู้ให้ครบทกุ เรอ่ื ง

๓. ครแู จกกระดาษเสรมิ สรา้ งปญั ญา (กระดาษเปลา่ ) ใหก้ ลุม่ ละ ๑ แผน่ เพื่อให้แต่ละกลมุ่
ระดมความคดิ เป็นองค์ความรู้บนั ทกึ ลงในกระดาษเสริมสรา้ งปัญญา

๔. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ สง่ ตัวแทนออกมานาเสนอข้อสรุปทหี่ นา้ ชั้นเรียน โดยครแู ละเพ่ือน
นกั เรยี นเป็นผู้ตรวจสอบความถกู ต้องและให้ข้อเสนอแนะ

๕. นกั เรยี นนาผลงานของกลุม่ ไปติดบอร์ดหนา้ ชั้นเรยี น และครูชมเชยนกั เรียนทมี่ ีความตงั้ ใจใน
การศึกษาหาความรู้

แแนนววกกาารรจจดั ัดกกาารรเรเรยี ียนนรรปู้ ปู้ รระะววตั ตั ศิ ศิ าาสสตตรร์เพเ์ พื่อือ่ สสรร้าา้งงสสาำนนึกึกคคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเ็นปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิตทิไยทย

๖๔

๖. นักเรียนสรปุ เปน็ รายบุคคล โดยครแู จกกระดาษเสริมสร้างปญั ญา (กระดาษเปลา่ ) เพื่อให้
นักเรยี นตอบคาถามสะท้อนคิด

คาถามสะท้อนคิด (RCA) :
๑. ครูใชค้ าถาม (R = สะท้อน คือ ปัจจุบัน) : ระหว่างท่ีนักเรียนทากจิ กรรมนกั เรยี นมี

ความร้สู ึกเก่ียวกับการวางรากฐานประชาธปิ ไตยอยา่ งไรบา้ ง
๒. ครใู ชค้ าถาม (C = เช่ือมโยง คือ อดีต) : นกั เรียนเคยรูเ้ ร่ืองการวางรากฐาน

ประชาธปิ ไตยมาก่อนหรือไม่
๓. ครูใช้คาถาม (A = การปรับใช้ คือ อนาคต) : ส่งิ ทนี่ ักเรียนไดเ้ รียนร้จู ะสรา้ งความ

จงรักภกั ดีต่อพระมหากษตั ริย์ได้อย่างไร
(ตอบตามความคิดเห็นของนักเรยี นและอยู่ในดลุ ยพินิจของครผู ูส้ อน)

๗. หลังจากตอบคาถามเสร็จแล้ว นาเรียนนากระดาษสร้างสรรค์ปัญญามาตดิ บอร์ดหน้าชัน้ เรียน
๘. จากนน้ั นกั เรียนและครรู ว่ มกันสรุปเป็นองค์ความรนู้ กั เรียนบันทึกข้อสรุปลงสมุด
รายละเอยี ดดังนี้
“การเปล่ียนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของ
ประเทศเป็นสถาบันท่ีถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไป วันท่ี ๑๐ ธันวาคมพ.ศ. ๒๔๗๕
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร
เปลี่ยนระบอบการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรอื ราชาธิปไตยเป็นระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในส่วนเก่ียวกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์
ดารงอยใู่ นฐานะอันเปน็ ที่เคารพสกั การะผู้ใดจะละเมิดมิได้”
๙. ครมู อบหมายให้นักเรยี นไปสืบค้นเร่ืองราวเก่ียวกบั การพระราชทานรัฐธรรมนญู ฉบับแรก
(๒๗ มถิ ุนายน ๒๔๗๕) และรัฐธรรมนญู ฉบบั ถาวร (๑๐ ธนั วาคม ๒๔๗๕) ลงในกระดาษเสริมสร้าง
ปญั ญา (กระดาษเปล่า) มาส่งครใู นชวั่ โมงต่อไป

ชวั่ โมงท่ี ๔
๑. นักเรยี นผลงานท่ีได้ไปสบื คน้ จากชัว่ โมงท่แี ลว้ ไปติดบอร์ดหนา้ ชน้ั เรยี น เพอื่ ใหเ้ พอ่ื นใน

หอ้ งเรยี นได้ศกึ ษาแลกเปล่ียนเรียนร้ซู งึ่ กนั และกัน
๒. ครูแจกภาพต่อ (Jigsaw) พฒั นาการประชาธปิ ไตยของไทย พรอ้ มอุปกรณใ์ นการปฏิบัติ

กิจกรรมให้นักเรยี นกลมุ่ ละ ๑ ชดุ
๓. นักเรียนกลุ่มเดมิ ช่วยกันต่อภาพ เสรจ็ แล้วครูตรวจสอบความถูกต้องกอ่ นท่ีนกั เรยี นจะทา

กาวภาพเพื่อต่อภาพ
๔. ครูแจกกระดาษเสริมสร้างปญั ญา (กระดาษเปลา่ ) ให้กลุ่มละ ๑ แผ่น เพอ่ื ใหแ้ ต่ละกลุ่ม

ระดมความคิดเป็นองค์ความรู้บนั ทกึ คาอธิบายของรูปภาพลงในกระดาษเสรมิ สร้างปัญญา

แนแนวกวการาจรดัจัดกการาเรรเยีรยีนนรปู้ร้ปูระรวะตัวตัศิ ิศาสาสตตร์เรพ์เพ่ืออ่ืสสรา้รง้าสงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปม็นามขาอขงอชงาชตาไิ ตทิไยทย

๖๕

๕. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนออกมานาเสนอข้อสรุปทหี่ นา้ ช้ันเรียน โดยครแู ละเพื่อน
นกั เรยี นเป็นผตู้ รวจสอบความถูกต้องและให้ข้อเสนอแนะ

๖. นกั เรยี นนาผลงานของกลุ่มไปตดิ บอร์ดหนา้ ชั้นเรียน และครชู มเชยนกั เรียนท่ีมีความต้ังใจใน
การศกึ ษาหาความรู้

๗. นักเรียนสรปุ เป็นรายบคุ คล โดยครูแจกกระดาษเสริมสร้างปญั ญา (กระดาษเปลา่ ) เพ่ือให้
นกั เรยี นตอบคาถามสะท้อนคิด

คาถามสะท้อนคิด (RCA) :
๑. ครใู ชค้ าถาม (R = สะท้อน คอื ปจั จบุ นั ) : เม่ือนกั เรยี นเหน็ รูปภาพดงั กล่าว
นักเรยี นรู้สึกอย่างไร
๒. ครใู ชค้ าถาม (C = เชือ่ มโยง คอื อดตี ) : นกั เรียนเคยเห็นเรื่องราวในรปู ภาพเหล่าน้ี
มาก่อนหรอื ไม่
๓. ครูใชค้ าถาม (A = การปรับใช้ คือ อนาคต) : นักเรยี นสามารถทาให้ประเทศมีการ
เปล่ียนแปลงที่ดีข้นึ ไดอ้ ย่างไร
(ตอบตามความคิดเห็นของนักเรียนและอยู่ในดลุ ยพินจิ ของครผู ู้สอน)
๘. หลังจากตอบคาถามเสร็จแล้ว นาเรียนนากระดาษสร้างสรรค์ปัญญามาติดบอร์ดหน้าช้ันเรียน
๙. จากน้นั นักเรยี นและครูรว่ มกันสรปุ เป็นองคค์ วามรู้ นกั เรยี นบนั ทกึ ข้อสรปุ ลงสมดุ
รายละเอียดดังนี้
“วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทาน
รัฐธรรมนูญฉบับถาวรและทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็น
นายกรัฐมนตรคี นแรกของประเทศไทย”
๑๐. ครูให้นักเรียนทาเส้นเวลเพื่อสรุปการวางรากฐาประชาธิปไตยของไทย กาหนดส่งใน
ชว่ั โมงตอ่ ไป
๑๑. นักเรยี นประเมนิ ตนเองตามค่านิยมหลักของคนไทย ๑๒ ประการของของ คสช. และระบุ
วา่ นกั เรยี นกสามารถนาค่านยิ มใดไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมประชาธปิ ไตยได้
๑๑. สอื่ การเรยี นรู้
๑๑.๑ เพลง กษัตริย์แห่งประชาธิปไตยของแอ็ด คาราบาว
๑๑.๒ เอกสารประกอบการแถลงขา่ ว เรอ่ื ง ความเป็นมาของชาตไิ ทยและรากเหงา้ ของความเป็นไทย
๑๑.๓ ใบความรู้ เรอื่ ง แนวคิดพระราชทานรัฐธรรมนูญของรัชกาลท่ี ๕ รชั กาลท่ี ๖ และรัชกาลที่ ๗
๑๑.๔ ใบความรู้ เรือ่ ง การพัฒนาสิทธิ เสรภี าพและความเสมอภาคในสมัยรัชกาลที่ ๕
๑๑.๕ ใบความรู้ เร่ือง การการปฏริ ูปประเทศในสมัยรชั กาลที่ ๕ รชั กาลที่ ๖ และรัชกาลท่ี ๗
๑๑.๖ ใบความรู้ เรอ่ื ง การฝึกฝนเพ่ือสง่ เสริมการเรียนรู้ประชาธิปไตยในสมัยรชั กาลท่ี ๖
๑๑.๗ ใบความรู้ เรือ่ ง การพระราชทานรัฐธรรมนญู ของรชั กาลที่ ๗
๑๑.๘ รปู ภาพการวางรากฐานประชาธปิ ไตย

แแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเรเรียียนนรรปู้ ูป้ รระะววัตัตศิ ิศาาสสตตรร์เพ์เพ่อื ่อื สสรรา้ า้งงสสาำนนกึ ึกคคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๖๖

๑๑.๙ บันทกึ ผลการเรยี นรู้
๑๑.๑๐ กระดาษเสริมสร้างปัญญา (กระดาษเปลา่ )
๑๑.๑๑ อปุ กรณ์ตา่ งๆ

- หนังสอื พมิ พ์
- กระดาษเทาขาว - ปากกาเคมี - กาว
๑๒. บันทกึ หลงั สอน
๑๒.๑ ด้านความรู้
.......................................................................................................................... ..........................................
............................................................................................................................. .......................................
๑๒.๒ ด้านทักษะ/กระบวนการ
................................................................................................................................................... .................
................................................................................................................. ...................................................
๑๒.๓ ดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
............................................................................................................................. .......................................
................................................................................................................................... .................................
๑๒.๔ ดา้ นสมรรถนะที่สาคญั ของผูเ้ รียน
....................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................

เอกสารประกอบการสอน

เพลง “กษัตรยิ ์แห่งประชาธิปไตย” ของแอ็ด คาราบาว

แนแนวกวการาจรัดจดักการาเรรเียรียนนรปู้รปู้ระรวะตัวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพเ์ พือ่ ื่อสสร้ารงา้ สงสานำนกึ ึกคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทไิยทย

๖๗

เอกสารประกอบการแถลงข่าว เร่ือง ความเปน็ มาของชาตไิ ทยและรากเหงา้ ของความเปน็ ไทย

ในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการล่าอาณานิคมของชาติ
มหาอานาจตะวันตกพระมหากษัตริย์พระองค์ต่างๆ ทรงมีบทบาทสาคัญในการนาพาประเทศให้รอดพ้น
จากภัยคุกคามมาได้ ทาให้ไม่ตกเป็นอาณานิคม เช่น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโอนอ่อนตามความต้องการของชาติตะวันตกด้วยการยอม
เปิดการค้าเสรีกับชาติตะวันตก จึงมีการทาสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ เช่น ในสมัย
รัชกาลท่ี ๓ โปรดให้ทาสนธิสัญญาเบอร์นี (พ.ศ. ๒๓๖๙) และสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. ๒๓๗๕) รัชกาลที่ ๔
โปรดให้ทาสัญญาสัญญาเบาว์ริง (พ.ศ. ๒๓๙๘) และสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. ๒๓๙๙) และเพื่อให้ชาติ
ตะวันตกถ่วงดุลอานาจกันเอง รัชกาลที่ ๔ โปรดให้ทาสนธิสัญญาทานองเดียวกันกับชาติตะวันตกอ่ืนๆ
ดว้ ย เช่น ฝรั่งเศส (พ.ศ. ๒๓๙๙) พระราชกรณยี กจิ เหล่าน้แี สดงถึงความรู้ความเป็นไปของโลกและการมี
วิสัยทัศน์ของพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ดี การทาสนธิสัญญาดังกล่าวทาให้ในระยะยาวไทยต้อง
เสียเปรียบ ได้แก่ การขาดอิสระในการกาหนดอัตราภาษศี ุลกากร เพราะในสนธิสัญญากาหนดไวต้ ายตัว
แล้ว และการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่คนในบังคับของประเทศคู่สัญญา อย่างไรก็ดี การเปิดเสรี
ทางเศรษฐกิจทาให้ระบบเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไปเป็นการผลิตเพ่ือส่งออกแทนเพื่อการยังชีพ การเติบโต
ทางเศรษฐกจิ เปิดโอกาสให้ชายชาวจีนจานวนมากอพยพเข้ามาทางานในไทย คนจีนสว่ นหนึง่ แต่งงานกับ
คนท้องถ่ินและอาศัยอยู่ ต่อมากลายเป็นบรรพบุรุษของคนไทยในปัจจุบัน สาหรับการเสียเปรียบที่
เกิดขึ้นจากการทาสนธิสัญญากับชาติตะวันตกนี้เป็นแรงผลักสาคัญประการหนึ่งให้มีการปฏิรูปประเทศ
ใหท้ นั สมยั อยา่ งขนาดใหญ่ในรัชกาลตอ่ มาคือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยในทุกด้าน
เพ่ือให้ไทยเป็นที่ยอมรับของชาติตะวนั ตกและปอ้ งกันไม่ให้ชาตติ ะวนั ตกใช้เป็นขอ้ อ้างในการคุกคามไทย
ได้ เช่น กฎหมายและการศาล การศึกษา การบริหารราชการและการปกครองประเทศ การทหาร
การแพทย์และการสาธารณสุข และวัฒนธรรมต่างๆ เช่น การแต่งกาย สาหรับด้านการบริหารราชการ
และปกครองประเทศมีข้ึนท้ังในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นเพื่อกระชับอานาจการ
ปกครอง ทาให้อานาจการปกค รองรวมศูนย์อยู่ส่วนกลางที่พระมหากษัตริย์เป็นระบอบ
สมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ และเปลีย่ นไทยจากรัฐจารีตเปน็ รัฐชาติสมยั ใหมแ่ บบราชอาณาจกั ร การนาระบบ
เทศาภบิ าลมาใช้ในช่วงเวลานี้น่เี องท่ีทาใหด้ ินแดนประเทศราชผูกผนวกเขา้ มาเปน็ ส่วนหนึ่งของไทย เช่น
ล้านนา (ภาคเหนือ) ล้านช้าง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) และหัวเมืองมลายู (ภาคใต้) ซ่ึงเป็นการรวม
ผู้คนท่ีแตกต่างทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นที่มาหน่ึงของความหลากหลายและ
แตกตา่ งของชาติพนั ธ์แุ ละวฒั นธรรมในสงั คมไทย

ขณะเดียวกันรัชกาลที่ ๕ ทรงนาประเทศไทยเข้าสู่เวทีโลก เพอ่ื แสดงออกถงึ ความเป็นประเทศ
เอกราชของไทย และได้รับกายอมรับจากนานาชาติ การรับไทยเข้าเป็นสมาชิกเท่ากับเป็นการรับรอง
อธิปไตยของไทยนั่นเอง เช่น การเป็นสมาชิกสหภาพไปรษณีย์สากล การส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม

แแนนววกกาารรจจดั ัดกกาารรเรเรยี ยี นนรรปู้ ปู้ รระะววตั ตั ศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพ่อื ่อื สสรรา้ า้งงสสาำนนกึ กึ คคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๖๘

เกี่ยวกับกฎหมายสงครามที่กรุงเฮก (พ.ศ. ๒๔๕๐) การเสด็จฯ ไปเยอื นอาณานคิ มของชาติตะวันตก เช่น
สิงคโปร์ ชวา อินเดีย และเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในยุโรป (พ.ศ. ๒๔๔๐) การเข้ากับฝ่าย
สัมพันธมิตรด้วยการประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอานาจกลางในสงครามโลกครั้งท่ี ๑ (พ.ศ. ๒๔๕๗-
๒๕๖๑) และส่งทหารไปรบในยุโรปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นการนาพา
ประเทศไทยเข้าสู่เวทีโลกอย่างเท่าเทียมกบั ชาติตะวันตก ผลท่ีไดป้ ระการหน่ึงคอื การยกเลิกสนธิสญั ญาที่
ไทยเสียเปรยี บกบั เยอมณีและออสเตรีย-ฮังการี

อย่างไรก็ดี การเปิดประเทศและการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยทาให้ประเทศไทยเปิดรับ
แนวคิดใหม่จากโลกตะวันตกผ่านทางการศึกษาแบบตะวันตก ส่ือหนังสือพิมพ์ และมิชชันนารีอเมริกัน
แนวคิดตะวันตกสาคัญที่จะทาให้ไทยเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็คือ ประชาธิปไตย ในท่ีสุด ชนชั้นนา
ใหม่ท้ังพลเรอื นและทหารท่ีเป็นผลผลิตของการศึกษาตามแบบตะวนั ตกในนามคณะราษฎรได้ยึดอานาจ
เปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็น
ประชาธิปไตย การประนีประนอมกบั คณะราษฎรของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทาให้ไม่เกิด
การต่อสู้นองเลือด ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นการวางรากฐานการปกครองระบอบ
ประชาธปิ ไตย การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทย จึงเริ่มต้น
ตง้ั แตน่ ้นั เปน็ ต้นมา

แต่ไม่กี่ปีหลังจากน้ัน ระหว่างที่จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. ๒๔๘๑-
๒๔๘๓) ไทยต้องเผชิญกับสงครามครง้ั ใหญ่อีกคร้ังหนึ่ง คือ สงครามโลกครั้งท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๘๘)
ไทยต้องเผชิญกับสงครามโดยตรงจากการบุกของญีป่ ุ่นในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ รัฐบาลจอมพล ป.
เลือกร่วมมือกับญ่ีปุ่นและประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ในวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.
๒๔๘๕ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อรักษาเอกราชของชาติขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่อยู่ในประเทศและ
ต่างประเทศเลือกท่ีจะต่อสู้เพื่อเอกราช จึงมีการจัดต้ังขบวนการเสรีไทย ขึ้นท้ังในไทยและต่างประเทศ
ให้แก่สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ด้วยการร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร สมาชิกของขบวนการเสรีไทยจาก
การนอกประเทศส่งเข้ามาปฏิบัติการในไทย ขณะที่ขบวนการเสรีไทยภายในประเทศพยายามติดต่อ
ร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรเพ่ือปฏิบัติการต่อต้านญ่ีปุ่น การเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทยแสดงดัง
การเสียสละของคนไทย ซ่ึงส่วนใหญ่ยังเป็นคนหนุ่มคนสาวคือนักศึกษาและข้าราชการ การเคลื่อนไหว
ของขบวนการเสรีไทยนี้เองมีส่วนทาให้ไทยไม่ตกเป็นประเทศผู้แพ้สงครามจา กรวามมือกับญ่ีปุ่นและ
ประกาศสงครามกบั อังกฤษและสหรฐั อเมริกา

ทม่ี า : พ.อ.รศ.ดร.ศรศกั ร ชูสวัสด์.ิ “ความเป็นมาของไทยและรากเหง้าของความเปน็ ไทย”
กองวิชาประวตั ิศาสตร์ ส่วนการศึกษาโรงเรียนนายร้อยพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั (๑๕ ก.ค. ๒๕๕๗)

แนแนวกวการาจรดัจดักการาเรรเียรียนนรปู้รปู้ระรวะตัวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพเ์ พอื่ ื่อสสรา้รง้าสงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๖๙

ใบความรู้ เรอ่ื ง แนวคดิ พระราชทานรัฐธรรมนญู รชั กาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ และรชั กาลท่ี ๗

แนวคิดในเร่ืองประเทศไทยสมควรจะมีรัฐธรรมนูญเพ่ือใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครอง
ประเทศตามแบบอารยประเทศ เริ่มข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๗ (ร.ศ. ๑๐๓) ในเม่ือเจ้านายและข้าราชการ ณ
กรุงลอนดอนและกรุงปารีส ได้ร่วมลงช่ือในหนังสือถวายความคิดเห็นเก่ียวกับการจัดเปล่ียนแปลง
ราชการแผ่นดินแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั มใี จความสาคัญว่า ในขณะนน้ั ระบอบการ
ปกครองของไทย (สมบูรณาญาสทิ ธิราชย)์ เปน็ ระบอบที่ลา้ หลงั มาก อารยประเทศเลกิ ใช้กันแล้ว ถ้าหาก
ไทยยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองตามแบบอย่างอารยประเทศ ประเทศตะวันตก อาจใช้
เป็นขอ้ อ้างในการเข้ายดึ ครองประเทศไทย ประเทศไทยอาจตกเปน็ เมอื งขน้ึ ของประเทศตะวนั ตกได้

คณะบุคคลดังกล่าวเสนอให้ใช้รัฐธรรมนูญ (เรยี กวันในสมัยนัน้ ว่า “คอนสตติ วิ ช่นั ”) และเสนอ
ระบอบการปกครองโดยเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “คอนสติติวช่ันแนล โมนากี” หรือที่นิยมเรียกกันใน
ปจั จบุ ันว่า “ระบอบการปกครองแบบรฐั ธรรมนญู ซึ่งเปน็ พระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข”

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว พระองค์ทรง
เห็นว่า ในเวลาน้ันประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ยังด้อยการศึกษา ไม่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตย ไม่
สามารถปกครองตนเองได้ ควรจะวางรากฐานการปกครองแบบประชาธิปไตยด้วยการปฏิรูปการ
ปกครองและพัฒนาการทางด้านต่างๆ ตามแบบสมัยใหม่อย่างเป็นข้ันตอนเสียก่อน เมื่อราษฎรมีความ
พรอ้ มแลว้ จงึ จะพระราชทานรัฐธรรมนญู

พระองค์ทรงคาดหวังว่าเม่ือส้ินรัชกาลของพระองค์แล้ว ราษฎรไทยคงจะพร้อมรับการ
ปกครองแบบประชาธิปไตย น่ันคือประชาธิปไตยของไทยน่าจะเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ถึงกับมีพระ
ราชดารัสไว้วา่

“...ฉันจะให้ลูกวชิราวุธมอบของขวัญให้แก่พลเมืองในทันทีสู่ราชบัลลังก์ ในขณะสืบตาแหน่ง
พระมหากษตั ริย์ กล่าวคือฉันจะใหเ้ ขาให้ปาลิเมนต์และคอนสติตวิ ชัน่ ...”

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุนให้พระราชโอรสคือพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะยังทรงดารงตาแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารและ
กาลังทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ ทรงศึกษาวิชาการปกครองและเรื่องรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการ
เตรียมความพร้อมสาหรับพระราชโอรสที่จะก้าวข้ึนสู่พระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญใน
อนาคต

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ แต่
ประสบความล้มเหลว กลุ่มกบฏถูกจับกุมท้ังหมดและถูกลงโทษจาคุกคนละหลายปี ผู้นากบฏมี
จุดมุ่งหมายท่ีจะล้มเลิกระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเปล่ียนมาเป็นระบอบการ
ปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมขุ ของประเทศ แนวความคิดของกลุ่มกบฏสร้าง

แแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเรเรยี ียนนรรปู้ ปู้ รระะววัตตั ศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพื่อื่อสสรร้า้างงสสาำนนึกึกคคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเ็นปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทไิ ยทย

๗๐

ความกงั วลแก่พระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัวอย่างมาก พระองค์ทรงเห็นว่าเป็นความคิดที่ก้าวไกลเกินไป
และเปน็ การทาลายประเพณีและวัฒนธรรมของชา×วไ×ท ย ถงึ กบั มพี ระราชปรารภกับเจ้าพระยมราชวา่
“...ฉันมีความวิตกและไม่สบายใจอย่างย่ิง เพราะรสู้ ึกว่าเมืองเรากาลังจะเดนิ เรว็ เต็มท่ี ยงั มทิ ัน
Ùจüะćเดöนิ ÖแĆÜขüúง็ กĒจ็ÖะŠóวø่งิ ąเสïยีćแìลÿว้ ö..đ.é”ĘÝóøąđךćĂ÷ĎŠĀĆüĂ÷ŠćÜöćÖ óøąĂÜÙŤìøÜđĀĘîüŠćđðŨîÙüćöÙĉéìęĊÖšćüĕÖúđÖĉîĕð
ĒúąđðŨîÖćพøรìะĞćบúาćท÷ðสมøąเดđó็จèพรĊĒะúมąงüกçĆ ุฎîเกíลøø้าöเจ×้าĂอÜยßู่หćัวüมĕìีพ÷ระëรċÜาÖชĆïดöาóĊ ริวøą่าøชćาßวðไøทćยøยõังÖดĆï้อđยÝกćš óารøศąึก÷ษöาøćไßมü่เćŠขา้ ใจ
เรื่องประช“า.ธ..ÞิปĆîไตöยÙĊ üแćมö้กüêĉระÖทĒ่ัúงใąหĕö้เลŠÿือïกćต÷้ังĔÝกĂา÷นćŠันÜผ÷ู้ใęĉÜหđญóø่บć้าąนøšĎÿกċÖ็ยüังŠćไđมö่รČĂู้ไÜมđ่øใจćÖจĞćะúเกĆÜิดÝąผđลéดĉîีอđøยĘü่าđงêไĘöรìดĊę ั÷งมĆÜöีพĉìรĆîะ
Ýราąชđéหîĉ ตั Ēถ×เลÜĘ ÖขĘÝาąถüึงสęÜĉ đมÿเĊ÷ดĒ็จúพüš ร..ะ.”เจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ความตอนหนึ่งกลา่ วไว้
ว่า óøąïćìÿöđéĘÝóøąöÜÖčãđÖúšćđÝšćĂ÷ŠĎĀĆüöĊóøąøćßéĞćøĉüŠć ßćüĕì÷÷ĆÜéšĂ÷ÖćøýċÖþć ĕöŠđךćĔÝ
đøČęĂÜðøąß“ć.í..ĉðฉันĕêได÷เ้ คĒยöรšÖาøพąึงìมęĆÜาĔมĀาšđกúแČĂลÖ้วêĚĆÜวÖ่าĞเćมîือ่ ĆîไñรคšĎĔĀวรâจŠïดั šćใหî้เมÖือĘ÷งĆÜไĕทöยŠøมšĎĕöีปŠĔาÝรÝ์ลąเิ มđÖนĉéตñ์ขúึ้นéไĊดĂ้÷ถŠć้าÜฉĕันøจéะĆÜดöันĊóเอøąา
øตćาßมĀลĆêัทëธđิไúม×่เćหëลċÜียÿöวดđéูทĘÝาóงøกąาđรÝšćฉîันšĂคÜง÷จćะđíปĂระđÝกšćาôศŜćเÖสøียö๕ĀúปüีมÜóาĉแþลè้วčēúแÖตð่มøีปąัญßćหîาćสëาคÙัญüćอöยêู่อĂยî่าĀงîหęċÜนÖ่ึงúซŠć่ึงüจĕะüš
êóüĀจพหเลćŠ ะćúøลรือöšทĂอ้ĆïับกúöมาêตผกĆìĂอćาู้ปา÷đยเíÿสรกĎŠĀĉู่หĕĊ÷ีเยö“คøชรĕไ.ŠđČรĂอื ่.นöมĀ.อìทÞŠÙ่นคúงĆîęĊÝ่ีจĞćาั้นĊ÷ตąĕะîนสüนéĔใċÜึงéาßชšđเéดÙอเĎìšĂ้อรĎĕูไ÷งĞćöามć็จกøîนÜŠĕ่ไไĞć็ยéดÖดćาóังšÝ้จ้ćÙคทเċÜđøเพúöลČĂือารÞČĂือćÙคไาปöĆîÖกîนะćไñผÙĕไแมÖìทĎšĒู้แÜม่ไĒìÝทย÷ด้แúąเđîน้ จรøตšüð×ขาćร่เøลüĂอโēิงด鹊ćจือÜงđย÷ÖêตังกöทìัĆüวćกęČĂเđýเั่วęĆüจรĂอĕไĕđ้าøรÜงปðÿนÙมìทĊ÷่üาก((ĞาćไĕøทากÖĦมöÝร่ีฝาć่ใŠĔĆéศรø่ชðาßĔุขปðย่จŠÝŘöĀาเกÖาĞććšđทภđเคöÙĒóพศิบรČøĂúćาาอĂาÜšüąะภĕลงÜÙคìตêิบĒปîน÷นîêารĀöหลเđŠะöอĂĊðöมตจĊðงÜŠĎćู่า้อŦâĢ๑øตมöงŤúĀาคีคĊÙàซĉđบćวอüöċęÜึ่งÿาćลยßชîมöĞćเĂอêซซเÙđïบสÿŤ×่ึง่ียĆâđยเเ÷ċĚîมúลปĂใĔĕสŠî่นจÝ็นé÷อทÖìกšคŠĎĂëนĆï่ีับยĊę÷่ัน÷šćอังĆÜĀหแŠćÞแĒยîนÜรĆîลúู่ทĀกĆÜังÝไĕÿุสกแîมöąČĂือแหċęÜ่เéŠđหĀóพàห่งĆî็นกĘċîęĉÜöิม่งđÝĂไาวüóพปรą่าŠććŤ)์)
ÝกąารìเĞćลÖือćกøกđาßนŠîนัîผĚĆî้ใู ÿหĞćญđø่บĘÝ้าĕนéš ซđóึ่งตø่าćลąงĒไöปšĒกêวŠđ่าúนČĂ้ันÖทÖาøไøดöง้ ่าÖยćกøวýา่č×นć้นัõĉïกć็ยúังðทøาเąหÝมĞćือêนĞćïเลúน่ ลàะęċÜคđðรŨîตลÙกęĆî.Ē..ø”ÖĒĀŠÜÖćø
ÙøĀđÖครอหúĆåัฐćüนัวüวČĂíธøćาĆÜังมøÖđรöéมดúีพøรñóĊēพีโĂČöรมÛฆšĎðøรÖะîนþษĂš้อÖมÖâĎญูèณöมóÙพหćĞ ĒĒแแøîćøาราÖÖกกĂĔąใะกĆîĀหŠððŠ่ปป่ïÜบษñšđê้เøøรรćาšĎĔัตĀหąąะîĀะìทรĘî็นßßชชđâยิÿสéĂดććาาท์öมïŠßßĊđชÜีชเĀหรđเÖšćîîนนéดงĘîî็นĘ÷ĕìไทĘเÝ็จðปปÜงĆÜĊÝęóีจ่พàćาìÖก็นąะċÜęöøมรĂŠĞ่อćปøêรąะÖกĕîนĆïับรęćĞđเðĆïับÝจะúÖกøรĕøรšć้ามÜĆïับąöะąะĂอĕขุøĀรหŠĕðïบ÷ยไąéะüวÖมĂอĎŠู่ĀหïบšÝćŠ่าü่ใïบĆัüวĂÜøงชอćŠ ÖกìîทนĉÜïแ่บîćาÝÙĚĊøรี้คÖบกîĆĚøรĆÜงÜüวćบาìðปđเøรøÖกรđสćĞÖกÝจÝðปøรĕาÙąคะšćÖéÜงกธđøเรîüวÙÜšøาครĂอŠ่าć把ćÜŠรø่งรงÜðป÷øìณรĂอแĒéĆÖดัøรĊęÜòงรบïĔüĔąะใใśćฐัĀĀหบหïćŠßช÷šÖîö้กมดéćาđćìîĆĚาŠßชัĆ่งÜÙøครกÖîนýýČĂÖศือลúàซćÖċĘ÷ึก่าŠćõøęċึ่ÜงรþĆÜษวüöมąĉะïìćาïĊีคÙบทìćĞćĒแĂวüอúđรøÖกĀาćïบงÜêðŠ่ปมööเđÖšĂกหĀøรรøČĂćาÜąะ็นĘîู้ĎšนîîøรÙßชวü้šðอĂปđĂćาú่าŠćย÷Öกß÷ชคÙîŠ ÙคîđนอวĂüúàøรĂอรøาćąęĊĂ÷อย÷÷จยÝÙÜöงืŠćดČéา่จÝøĒแÿÜงเđะąêïบวìüทĂคÙúลúïบüĆęว่ัîลúÖาćëðถปĂ้อšĂ.พóÜċ.ึงøร÷.ย÷ร”øąะđเŠĎìตêะąóพßชčาÖรćøćęČĂา่ือมาöćĒíธđเชßผêñตĉðĀปิ ทìู้ทøšĎìรĕŠไÜĊ÷êตยีาć่ีĕไęĊĕนมðîööม÷ย่Š
ĂĆîöóĊ øąöพĀรćะÖบþาĆêทøĉ÷สŤìมøเดÜ็đจðพîŨ รðะøปąกöเč×กĕลö้าŠĔเßจĒŠ้าอïยïู่หÿัวćíกć่อøèนเøสåĆ ด็จข้ึนครองราชย์พระองค์ทรงสาเร็จการศึกษา
วิชาทหารจóาøกąปïรćะìเทÿöศđอéังĘÝกóฤøษąแðลÖะđฝÖรúัง่ šćเศđÝสšćĂจ÷ึงทŠĎĀรĆüงคÖŠุ้นĂîเคđยÿกéับĘÝ×ระċĚîบÙอøบĂÜกøาćรßป÷กŤóคøรąอĂงÜแÙบŤìบøปÜรÿะĞćชđøาĘÝธÖปิ ćไตøýยċÖแþละć
ĒÖĂóüอพกแĉß÷ïćยบาøรøćรŠćąา่ะïบìïÜบงĂอĂอöมĀøรÜง÷ย×ĊขีĉĀÙิหคćŠć่าĚîĆ้นัŤøĔ์ใćาÜงîนÝêøตรøรÖðćกปĂอĆßัชÖćาîøนรÖกøðรąะćาïบđøเúลìทøąรìทýĉĀหิศđìĊęี่Ēแćาħ๖ýøรïบĂðปïบÙคĆÜøรêตČĂือÖąะąะùđเÝจìทüวþĆéัดĆîันýศĒêตêตúนîĚĆั้ÜงÖกąÙคอĂđเòðปèกÖณøŨî็นจÝĆęÜąะาćĂอđïบýกÖ÷ยčÙุคÿนîŠć่าÙคÜ้ีทงĚĊìÝéดúลรøċÜĊีñผงÜìóพมöĎšู้öมøøรีพĊóĊÙีคÜąะÙรøüวĂอะščąîćาÜงรøöมđÙคÙาćøร์Ťมöชß÷Ďšู้ ีĊพóÙดคéÖารøüĞวćĆïระøąćาøิทĉìบมöïą่ีจĊęÝสÿรïøะมąöćาĂพóøรรøïถëาćรøÖēโทะìąćßชรøĞาćøïบาćหĀðชćßานîÖ÷ยทì้šÙาćĔใาćîทìนøนîĂÖี่ĊęทกìรøÜćาัฐćาĆåĒøรงÜธíïðปดéรøïÖร้กšøาćมöนÙîðคนîøรตêøĂอąูญĎâ่ŠาćÜßงงÜแĒðปๆėćกÖíøร่ปŠðชßĉðąะ่รŠวüøđเĕìทะêąย÷ชýศß÷เđหĀาêćĒตชลßúúćานืîČöอĂมą
ìทęĊöี่มćา : สานÿĞćักîงĆาÖนÜćคîณÙะèกąรÖรøมøกöาÖรćกøาÖรćศøึกýษċÖาþขćั้น×พĆĚîื้นóฐČĚîาåนć.î(.๒(๕ģ๔Ħ๓ĥ)Ĥ. )ห. นĀังîสĆÜืÿอČĂเรđียøĊ÷นîรøาćย÷วüิชĉßาćพó้ืนČĚîฐåาćนî ชß้ัĚĆîน
öมĆíธั ÷ยöมýศÖċกึ þษćาðìŘ ęĊ ĥ-ħ đúöŠ Ģ ðøąüĆêýĉ ćÿêøĕŤ ì÷. ÖøčÜđìóĄ : ÿÖÿÙ.úćéóøšćü. (Āîšć ĪĦ-Ģġħ)

ปที ่ี ๔-๖ เลม่ ๑ ประวัติศาสตรไ์ ทย. กรุงเทพฯ : สกสค.ลาดพรา้ ว. (หน้า ๙๕-๑๐๖)

แนแนวกวการาจรดัจดักการาเรรเยีรยีนนรปู้รปู้ระรวะัตวัตศิ ิศาสาสตตร์เรพเ์ พ่ือ่อืสสร้ารง้าสงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิ ตทไิยทย

๗๑

ใบความรู้ เร่อื ง การพัฒนาสิทธิ เสรภี าพและความเสมอภาคในสมยั รัชกาลที่ ๕

รัชกาลท่ี ๕ ทรงสง่ เสริมใหป้ ระชาชนไดร้ ับสทิ ธิ เสรีภาพและความเสมอภาค ดังน้ี
๑. ทรงยกเลิกประเพณีท่ีล้าสมัย เช่น เดิมข้าราชการ ขุนนางเวลาเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์จะต้องหมอบ
คลานและก้มหน้าตลอดเวลามิให้มองพระพักตร์พระเจ้าอยู่หัวเป็นอันขาด พระองค์มีพระราชประสงค์ลดความเป็น
สมมตุ ิเทพของพระองค์ลง และสร้างความเสมอภาคมากขึน้ ด้วยการประกาศยกเลกิ ประเพณีดงั กล่าว ทรงวางระเบียบ
การแต่งกายเขา้ เฝ้าเสียใหม่ ขณะเข้าเฝ้าให้ใช้การยนื เฝ้าและถวายคานับแทนการหมอบกราบท่ีใช้กนั มาแตเ่ ดิม ทรงให้
เหตผุ ลเมอื่ ทรงประกาศยกเลกิ ใน พ.ศ. ๒๔๑๖ ดังนี้

“...ก็ในประเทศสยามน้ี ธรรมเนียมบ้านเมืองที่เป็นการกดขี่แก่กันอันไม่ต้องด้วยยุติธรรมนั้นก็ยังมีอยู่อีก
หลายอย่างหลายประการ จะต้องคิดลดหยอ่ นผ่อนเปลย่ี นบ้าง แต่การทจ่ี ะผลดั เปลี่ยนธรรมเนยี มใหแ้ ล้วไปในครง้ั เดียว
คราวเดียวนั้นไม่ได้ จะต้องคดิ เปลย่ี นแปลงไปตามเวลาทคี่ วรแก่กาลที่จะเปล่ียนแปลงได้ บา้ นเมืองจึง่ จะได้มคี วามเจริญ
สมบรู ณย์ ิ่งขน้ึ ไป แลธรรมเนียมท่ีหมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามน้เี หน็ ว่าเปน็ การกดขแ่ี กก่ ันแข็งแรงนกั ...ไม่ทรง
เหน็ ว่ามีประโยชน์แก่บ้านเมืองแต่สิง่ หน่ึงสง่ิ ใดเลย...”

๒. ทรงยกเลกิ ระบบไพร่ ซึง่ เปน็ ระบบท่ีทางราชการเกณฑป์ ระชาชนไปทางานใหแ้ กข่ ุนนางและทางราชการ
โดยไม่ได้รับคาจ้างหรือผลประโยชน์ตอบแทน ทาให้ขาดอิสระในการประกอบอาชีพบางครั้งยังถูกกดข่ีข่มเหงจากมูล
นายอกี ด้วย เป็นเหตใุ ห้เกิดการแบ่งชนช้ันในสังคมไทย ราษฎรไทยไมไ่ ด้รบั ความเสมอภาคและความยุตธิ รรมเท่าท่ีควร
พระองคจ์ งึ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลกิ แบบคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๘ จงึ ยกเลกิ โดยเดด็ ขาด

๓. ทรงเลิกทาส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าการมีทาสทาให้ประเทศชาติล้าหลัง
เป็นสังคมที่มนุษย์ยังไร้ศักด์ิศรี ขาดความเสมอภาค อิสรภาพ และเสรีภาพท้ังอารยประเทศต่างๆ ก็ได้ยกเลิกทาสใน
ประเทศของตน จึงมรี พราชดาริยกเลกิ ทาสแบบค่อยเปน็ ค่อยไป ซง่ึ เริ่มขึ้นเม่อื พ.ศ. ๒๔๑๗ การเลกิ ทาสดาเนินไปอย่าง
เป็นขน้ั ตอนใช้เวลายาวนานถึง ๓๑ ปี จงึ สาเร็จเรยี บร้อยทวั่ ประเทศโดยไมข่ ัดแยง้ ถึงข้ันทาสงครามกนเองเหมือนดงั เช่น
ที่เกดิ ขึ้นในประเทศสหรฐั อเมรกิ าใน พ.ศ. ๒๔๔๘ จงึ ตราพระราชบัญญัติทาส เป็นกฎหมายท่หี ้ามมใิ ห้ซอ้ื ขายเอาคนมา
เป็นทาสโดยเดด็ ขาด

การยกเลิกระบบไพรแ่ ละทาสดังกล่าว นับเป็นการปฏิวัตสิ ังคมไทยครั้งยิ่งใหญ่ทาให้ชาวไทยได้รับอิสรภาพ
เสรีภาพและความเสมอภาค ซึ่งเป็นรากฐานในการพัฒนาสังคมไทยให้ก้าวหน้าไปสู่สังคมที่มีการปกครอง แบบ
ประชาธิปไตยในเวลาตอ่ มา

๔. พัฒนาการด้านการศกึ ษา การจัดการศึกษาตามแบบแผนใหมโ่ ดยทางราชการเปน็ ผู้ดาเนินการเรมิ่ ข้ึนใน
สมัยรัชกาลท่ี ๕ โดยพระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นที่กรมทหารมหาดเล็ก ในพระบรมมหาราชวัง
เมือง พ.ศ. ๒๔๑๔ เพือ่ สอนบุตรหลานของเจ้านางและขนุ นาง โดยสอนวิชาภาษาไทย เลข และวิธที าราชการ พร้อมทั้ง
จ้างชาวตะวันตกมาสอนภาษาอังกฤษด้วย ต่อมาได้เปิดโรงเรียนสาหรับลูกหลานของราษฎรท่ัวไปเป็นครั้งแรก เม่ือ
พ.ศ. ๒๔๒๗ ท่ีวัดมหรรณพาราม และทางราชการได้จดั หลักสูตรและแต่งแบบเรียน รวมทั้งจัดต้ังหนว่ ยงานรับผดิ ชอบ
การจัดการศึกษาของชาติ คือตั้งกระทรวงธรรมการใน พ.ศ. ๒๔๓๕ และต่อมาได้จัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ข้ึนเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๔๕ ทาให้การเรยี นการสอนเขา้ สู่แบบผสมสากลมากยิง่ ขึ้น
ทมี่ า : สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน. (๒๕๔๓). หนังสอื เรียน รายวชิ าพน้ื ฐาน ช้ันมธั ยมศกึ ษา

ปที ่ี ๔-๖ เล่ม ๑ ประวัติศาสตร์ไทย. กรงุ เทพฯ : สกสค.ลาดพร้าว. (หน้า ๘๒-๘๔)

แแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเรเรยี ยี นนรรปู้ ปู้ รระะววัตตั ศิ ศิ าาสสตตรร์เพเ์ พ่ือ่ือสสรร้า้างงสสาำนนึกกึ คคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเ็นปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิ ยทย

๗๒

ใบความรู้ เรอ่ื ง การปฏริ ูปการปกครองในสมัยรัชกาลท่ี ๕ รัชกาลท่ี ๖ และรัชกาลท่ี ๗

การบริหารและปกครองประเทศแบบสมัยใหม่ ปรากฏเห็นเด่นชัดเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ ๕
ในเวลาน้ันเจ้านายและขุนนางแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คอื กลุ่มรุ่นใหมก่ ับกลุ่มรุ่นเก่า กลุ่มรุ่นใหม่เป็นกลุ่ม
ที่มีอายุน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับรัชกาลท่ี ๕ ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตกเรียกว่ากลุ่ม “สยาม
หนุ่ม” กลุ่มน้ีมีความคิดก้าวหน้าต้องการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารและการปกครองประเทศตามแบบ
ตะวันตก สว่ นกลุม่ ท่ี ๒ เปน็ กลุ่มบุคคลที่มีอายุมากเปน็ คนรุ่นเก่า มีความคดิ แบบอนรุ ักษ์นยิ มไมต่ ้องการ
เปล่ียนแปลงอะไรท่ีรวดเร็วเกินไป บางครั้งไม่อยากเปล่ียนแปลงเพราะมีสาเหตุมาจากกลัวว่าตนเองจะ
เสียผลประโยชน์หรอื กระทบกระเทอื นตอ่ ฐานะของตน

ระยะแรกมีพระราชดาริในการหาบุคคลผู้มคี วามรู้ความสามารถมาช่วยงานและแบ่งเบาภาระ
ของพระองค์ โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ัดต้งั คณะบุคคลเพ่ือทาหนา้ ทีช่ ่วยเหลือพระองคใ์ นการบริหารประเทศตาม
แบบอย่างอารยประเทศ ดังมีพระราชดารัสในคราวเปิดการประชุมรัฐมนตรีสภา ความตอนหนึ่งแสดง
พระราชประสงค์ในการจัดตั้งสภาท่ปี รกึ ษาราชการแผ่นดินและสภาองคมนตรีไว้ดงั นี้

“...ต้ังแต่ปีแรกๆ ในราชสมบัติเราน้ัน เราได้มีความคิดเห็นว่า ถ้าจะได้มีผู้ประกอบด้วยสติแล
ปัญญาประชุมกันอยู่ในอัตราบ้าง สาหรบั ท่ีจะได้ช่วยกนั แก้ไขกฎหมายเก่าที่ใช้ไม่ได้แล้ว แลสาหรบั ท่ีจะ
ได้คดิ ทากฎหมายใหม.่ ..”

สภาที่โปรดเกลา้ ฯ จัดต้ังมี ๒ สภา คอื
๑. สภาท่ีปรึกษาราชการแผ่นดิน “เคาน์ซิล ออฟ เสตต” (Council of State) ในตอนแรก
ทรงตั้งสมาชิกสภา จานวน ๑๒ คนต่อมาทรงตั้งเพ่ิมรวม ๑๕ คน ประกอบด้วยขุนนางและเช้ือพระวงศ์
ชั้นผู้ใหญ่ มหี น้าทีถ่ วายคาปรึกษาและความคิดเห็น ตลอดจนพจิ ารณาประกาศใช้กฎหมายตา่ งๆ ผลงาน
สาคัญของสภาท่ีปรึกษาราชการแผ่นดินได้แก่ การถวายความเห็นเรื่องการเลิกทาสและการจัดเก็บภาษี
อากร เปน็ ตน้
๒. สภาองคมนตรี “พรีวี เคาน์ซิล” (Privy Council) สมาชิก จานวน ๔๙ คน เป็นสภาส่วน
พระองค์ มีหน้าที่ถวายคาปรึกษาในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้ยังทาหน้าท่ีปฏิบัติราชการตามพระราช
ประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว
ทรงยึดหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาสามารถท้วงติง หรือ
คดั คา้ นในสง่ิ ท่ีไมถ่ ูกต้อง ดังปรากฏในพระราชปรารภตอนหนง่ึ ว่า
“...ยอมให้มีอานาจท่ีจะยุดหน่วง ขัดขวางพระเจ้าแผ่นดินได้ คือ การใดๆ ท่ีพระเจ้าแผ่นดิน
ทรงพระราชดาริห์ เป็นการไม่ต้องดว้ ยยุติธรรม ราษฎรจะไดค้ วามเดือดร้อน มแี ต่จะเร่งเอาเงนิ แก่ราษฎร
ทั้งแผ่นดิน เป็นต้น จนถึงการใดๆ เลกๆ น้อยๆ จนถึงพระราชบัญญัติ พิกัดอากรขนอนตลาดเป็นที่สุด
...”
การปฏิบัติหน้าท่ีของสมาชิกท้ัง ๒ สภา ไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะเกรงกลัวพระราชอานาจและ
ยังติดธรรมเนียมมาแต่โบราณที่ผู้น้อยไม่กล้าออกความเห็นโต้แย้งผู้ใหญ่ บางคนไม่กล้าริเริ่มหรือ

แนแนวกวการาจรัดจัดกการาเรรเียรยีนนรปู้รปู้ระรวะตัวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพ์เพ่อื อ่ืสสร้ารงา้ สงสานำนึกึกคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปม็นามขาอขงอชงาชตาไิ ตทิไยทย

๗๓

เปลี่ยนแปลงไปสู่แบบใหม่เพราะกลัวตนเองจะเสียผลประโยชน์ จึงทาให้สภาทั้งสองลดบทบาทลงไป
×Ú
เรอื่ ยๆ ในทส่ี ดุ ไมม่ กี ารประชมุ สภาอีก
ในสมยั รัชกาลที่ ๕ พระองค์โปรดฯ ให้ปฏิรูปงานบริหารราชการส่วนกลาง เม่ือ พ.ศ. ๒๔๓๑

โđดðยúจĊę÷ดั îตĒ้งั ðกúรÜมĕเðพÿ่ิมŠĎĒขï้ึนïจาĔกĀเöดŠđิมóซøงึ่ ćอąยÖู่ ú๖ĆüกêรîมđĂเÜพÝ่ิมąใđหÿมĊ÷่อñกี úð๖øกąรē÷มßรîวŤมÝเċÜปìน็ ĞćĔ๑Ā๒šÿõกรćมìĆĚÜตÿ่อĂมÜาúใéนïพì.ïศ.ćì๒ú๔Ü๓ĕ๕ð
จđøึงĂęČ เ÷ปėล่ียĔîนìแĊÿę ปčéลĕöงอöŠ าÖĊ นćøาðจøแąลßะöč หÿนõ้าćĂทĊÖี่ของกรมต่างๆ เสียใหม่เรียกช่ือว่า กระทรวง ซ่ึงมีท้ังหมด ๑๒
กระทรวง ĔîÿöĆ÷øĆßÖćúìĊę Ħ óøąĂÜÙŤēðøéĄ ĔĀšðäĉøĎðÜćîïøĉĀćøøćßÖćøÿŠüîÖúćÜ đöęČĂ ó.ý. ģĥĤĢ
ēé÷ÝĆéêĚÜĆ Öกøาöรđปóรĉęöับ×ปċĚîÝรุงćกÖาđéรĉöปàกÜċę คĂร÷อĎŠ ħงในÖสøöมัยđóรัชęöĉ กĔĀาöลĂŠทÖĊี่ ๖ħกÖาøรöปกøüคöรđอðงŨîส่วĢนģกÖลøาöง มêีกĂŠ öารćจĔîัดตó้ัง.กýร. ะģทĥรĤวĦง
ใกเĔĢÝปหĀรċÜģ็นะมöđðทก่ÖŠๆėรรøúเąวะđĊę÷พóงìทîพิ่มĉęöøÖรĒüาเวđćตêณÜðงøิมĉศöðúิชึแกĒøยÜลษĆïúĂ์ เะąาĞðćปธเđîøลปðิกčÜี่ยćลúาÖนÝี่รยęĊ÷ćĒชøนîยื่อúðแุĒบกąÖปðเรĀÙลละúิกøîทงÜĂกšกćÖรÜรìวรøĔะงะąęĊî×ทโทìÿยĂรรøöธÜววüาĆ÷ÖงธงÜนøøทิกìĆßöคา่ีมĊęöÖรêรีĊอĂćบเŠćปúย÷าÜìู่็นĎŠเđลėดéĊęกิħมĉเöรđปÿะเ็ÖนđทĊช÷ßćต่นรŠĔîø้นĀวðกงกÖöÖคารøŠđÙมระøąøปนĊท÷ìĂรารÖøÜัคบวüÿßมปงÜŠęČüĂทìรîเüุปงหĀÖŠćกลาúćาี่ยรÖøćรนเđÜøบรøชąือรČöĂื่อìิหĊÖกกÖøาćรรรøüøะะรąÝÜททาìĆéรชàรêøวกċęวÜüĚĆÜงาöงÖÜธรมĊöìรøใุรรąčøĆĚนÜมธìíĀสากćø่วöธาíüนรéรøÜ
ภÖøูมąิภìาøคüทÜ่ีสóาćคèัญĉßไ÷ดŤ ้แđðกú่ กĊę÷าîรßรČęĂวÖมøมąณìฑøüลÜหē÷ลíาćยíมĉÖณćøฑđลðเŨîขÖ้าøดą้วìยøกüันÜÙเปö็นîć“Ùภöาđคð”úęĊแ÷ตî่ลßะČęĂภÖøาąคìมøีอüุปÜรíาøชøเöปÖ็นćผøู้
บđðญั ŨîชÖาøกąาìรภøüาคÜýขċÖน้ึ þตงćตí่อĉÖพćøระ÷มčïหđาúกĉÖษÖตั øรąยิ ìเ์ พøü่ือÜสîนÙอøงïพćระúบđรðมŨîรêาโšîชÖบćาøยðขøอĆïงðพรøčะÜÖอćงคøï์ไดø้อĉĀยćา่ øงøคćรßบÖถćว้ øนĔîÿŠüî
õĎöĉõćÙìĊęÿกĞćาÙรĆâปĕรéับšĒปÖรŠ ุงÖกćาøรøปüöกöคèรอæงúในĀสúมć÷ัยöรัชèกæาúลđท×่ีšć๗éšüก÷่อÖนĆîเสđðดŨ็îจข“ึ้นõคćรÙอ”งรĒาêชŠúยą์พõรćะÙอöงĊĂคčð์ทøรćงßสđาðเŨîร็จñĎš
ปกทปððÖïาารĆâćøกÖงะรąøคÙßดชศßýรøć้าาćึċกÖอĂÖนธíษงþćÜิปĉðตปøðาć่ไาĕÖõรøตวêüงććะąิĉชๆยß÷ÙøเđแĒาćทìð×ชลทúìศĚċîøý่วะąหĀĆïยตêêกÖาćเÜาðćาćหêรøมöรøøลจŠĂÝบแčïÜĒือóาćÖบรïøพกÖøิหćĉĀบïąรปðøาćอĂะöðรøรøย÷อĀปðÖะą่าŠงććรøเÙđคงÜทÖìะąøรø์ใþเđศýĂันชĆทßìĆêอĂÜกกÖศýøĔัĆงาÜาćแĒî÷ĉ กรÖลúบïđŤÿบฤóทùìบïöรษ่ีĂČęþĊęตêิĆห÷๖ħÿแĒะąøาîลวúüĆรคßÙĂันĆîะปąืÖอČĂÜตฝêòรćóกจะÖÝรúøøัเ่ัดเĆงęĆđéÜìąปทðเđตêïęĊศ็นศýŨî้ัĨงĆĚÜøสอÿĂคÙกöย÷ÖณèาøจÝ่าŠćŠĂรćึงะงċąÜÜบēîทดéบìïßรđีĊรุïคčøÙÿพิหóงÜćคÙéราøค÷ÙลĘะรúÝąุ้นךčîรอผ×ñĂĂเางđู้ĚċมšĎîÜöคÜชÙคÙีคĊÙÙóยก์ท÷ŤìวüøøกาÖรøาĂćąรับงĆÜïมöĂÜสมöรøรøøÜ่วีพĊóะู้ÙćคšĎąÙนรบøßŤĕวïüกะéą÷าบćลïบĂšïมŤóöากÖร÷øสÿงøมาćŠöćแาąćรÜรøøมลöĂÙาปðćะาโćÜøēกÖชรสÙßøïคบถÙ่วëïŤìëรนทìøาćüšøอยภĂ÷าîĞÜćงหใĔÿĀูÜมนîแĒĞćนิภîกÖบđï้าาšćøาćบคทïìĘÝรø่ีĊę
ใìนćสÜมéัยšćîรัชêกŠćาÜลėทß่ี Šü๗÷ปđĀรúะČĂเทóศøไąทĂยÜเÙพŤĔ่ิงîผÖ่าćนøสïงøคĉĀรćาøมðโลøกąคđìรýงั้ ทÖี่ ć๑øï(พø.ĉĀศć. ø๒ø๔ćß๕Ö๗ć-ø๒ÿ๔Šü๖î๑Ö)úćเศÜรĒษúฐąกÿิจŠüโîลõกĎöกĉõาćลÙัง
อĔîยÿู่ในöภĆ÷าøวĆßะÖตćกúตìา่ęĊ Ĩอยð่างøรąนุđìแýรงĕìร÷าđยóไĉęÜดñ้หŠćลîกั ÿจÜาÙกøกćาöรēสú่งÖสÙินøคĆĚÜ้าìเĊęกĢษ(ตóร.ไýป.ขģาĥยตĦา่ Ĩง-ปģรĥะħเทĢศ)มđีอýยøนู่þ้อåยÖมĉÝาēúกÖไÖมĞćพ่ úอĆÜ
กพนเđîÖĂóปðับĆ÷าïĞรćøน็îŨหะĀĔĎŠąรøîกÖปðนาîćรõøย÷กÖ่วŠüะąćจÝเย÷đทìกÖü่าŠงćÜąลรúøายć÷วêü้านšćîงÜเđโÖēหĀจÝพดóéêล้าúšćยา÷ććęĞอĂาćณèเđĂยย÷ฉ÷Þ÷ชิĉßแู่หĒĀŠĎพóćŠย÷หĀัวĆüาćÜแ์ŤĒทì่งŠÜะøąลúมöîčรรøøะąาćงÜาćĒคÙรมöøย÷øวมüöีพóĊจÜÝมöนî่ารøŠćøเđายะąć÷ปðćคบÙïเđ÷็นŨîกÖมöรøĕหĀ่ียęĊ÷éมöแĒนวîüĀšรøลúก่ÖวาćŠüúะąัโยบē÷ĆïĆÖชßรøงÜกÝÖïวบüาćาććมöนîćารÖøก÷ยÖแĒบÖïรúลøหĀćรøะąéด่งŠÜøิหĉĀทìÙคเđÿดาéćรøŠ่ćาŠÜรียøĊ÷วüใĔÿรชßøงวüÜĉîาทćì้šจÝเÙđชßห่าŠćชĀßćšกย÷Öาน่ŠîćđาทìćรÖøรเøรøđาćþรøแวĒüงÜอืêČĂมลดéöúเøđ้ากะšćÖขą×ĕนîเรð้าøđćš งÜะไนąîĕ×ินĉปîðทìลี้ĊĚúćเสđÿร÷øงดÜéังวĆÜดéüêือČĂกÖงÜ้วšüćŠนดัîคÙéĆย÷Üขกม×öðÖวü้ารนšćิธøîĉíøระąøีĊ÷ąยาćาทćìคđčïบุÙชìßรøมöเđกýวúลÖüกÖงาöกิĉÜÖćับĆïกรÖøหĊĂĀกลÖú÷นîพóราøćŠĎîว่ŠüะโรąēøหยšĂ÷Āทะìąรø÷มบöรïøาćöวüาćชßเđงćÜทปðìกÖพÖó็นสîŨÿาćาćมตรĕøêöณèöหĀ้นเîšđดŠóิชéĉßรø็จยือČĂĂĘ÷Ý์Ť

ทì่ีมęĊöาć : สานÿักĞćîงาĆÖนÜćคîณÙะèกąรÖรมøøกöาÖรกćøาÖรศćøึกýษċÖาþขć้ัน×พĚĆîื้นóฐČĚîาåนć.î(.๒(๕ģ๔Ħ๓ĥ)Ĥ. )ห. นĀังîสĆÜือÿเČĂรđียøนĊ÷îราøยć÷วüิชĉßาćพó้ืนČĚîฐåาćนî ชßั้นĆĚî
มöธัĆí÷ยöมýศċÖึกþษćาðìŘ Ċę ĥ-ħ đúŠö Ģ ðøąüĆêĉýćÿêøŤĕì÷. ÖøÜč đìóĄ : ÿÖÿÙ.úćéóøšćü. (Āîćš ĩħ-ĪĤ)

ปีที่ ๔-๖ เลม่ ๑ ประวัติศาสตร์ไทย. กรงุ เทพฯ : สกสค.ลาดพรา้ ว. (หน้า ๘๖-๙๓)

แแนนววกกาารรจจัดดั กกาารรเรเรียยี นนรรปู้ ปู้ รระะววัตัตศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพื่อ่ือสสรรา้ ้างงสสาำนนกึ ึกคคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเ็นปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิตทไิ ยทย

๗๔

ใบความรู้ เร่อื ง การฝกึ ฝนเพ่อื สง่ เสริมการเรยี นร้ปู ระชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ ๖

ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นวัฒ นธรรมการปกครองชาวตะวั นตกพ้ืนฐาน
ความคิดและต่อสู้กับระบอบเผด็จการมานานจนต้องยอมสูญเสียชีวิตไปมากมายกว่าจะได้รับการ
ปกครองแบบประชาธิปไตย แต่สาหรับชาวไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะชาวไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับ
ระบอบผู้มีอานาจสั่งการโดยราษฎรปฏิบัติตามคาสั่งของผู้มีอานาจปกครองอย่างเคร่งครดั โดยไม่โต้แย้ง
ซ่ึงขัดกับหลักการประชาธิปไตย ดังนั้นแนวพระราชดาริของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงมีพระบรมรา
โชบายฝึกฝนเจ้านาย ขุนนาง ตลอดจนประชาชนชาวไทยให้เรียนรู้วิธีการปกครองแบบประชาธิปไตย
ตามข้ันตอนเสยี กอ่ นทจี่ ะพระราชทานรัฐธรรมนญู ให้นับวา่ เป็นสงิ่ ที่ถูกต้อง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระทัยที่จะฝึกฝนข้าราชการ ขุนนางและ
เจา้ นายใหเ้ รียนรกู้ ารปกครองแบบประชาธิปไตยตั้งแต่ครั้งดารงตาแหน่งมกฎุ ราชกุมาร ครน้ั เม่อื พระองค์
เสด็จข้ันครองราชย์แล้วใน พ.ศ. ๒๔๖๑ โปรดเกล้าฯ ให้มีการทดลองบริหารเมือง โดยมีนามสมมติว่า
“ดุสติ ธานี”

ดุสิตธานีจึงเป็นนครจาลองท่ีมีประชาชนตั้งบ้านเรือนประกอบอาชีพหรือทาธุรกิจ มีอาคาร
บ้านเรือน ถนนหนทาง สถานท่ีราชการ วัดวาอาราม ฯลฯ ดุสิตธานี มีคณะผู้บริหารซ่ึงมาจากการ
เลือกต้ังตามระบอบประชาธิปไตย โดยโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ สมมติเป็นผู้บริหาร
ดุสิตธานี โดยต้ังเป็นพรรคการเมือง มีการโฆษณาหาเสียงตามแบบการเลือกตั้งทั่วไป พรรคที่รับการ
เลือกต้ังมากที่สุด เป็นผู้จัดตั้งคณะผู้บริหารเรียกช่ือว่า “คณะนคราภิบาล” และมีสมาชิกสภาซึ่งได้รับ
เลือกตั้งจากประชาชน เรียกว่า “เชษฐบุรุษ” บริหารไปตามธรรมนูญการปกครองของนครและตาม
ความตอ้ งการของประชาชน

แนวพระราชดาริของรชั กาลท่ี ๖ ปรากฏในหลักฐานในการมีพระราชดารัสในวโรกาสเสด็จไป
เป็นประธานเปิดศาลารัฐมณฑลดุสิต เม่ือวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ ความตอนหนึ่งของพระราช
ดารัสมีดังน้ี

“...วิธีการดาเนินการในธานีเล็กๆ ของเราเป็นเช่นไร ก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้ประเทศสยามได้ทา
เช่นเดียวกัน แต่จะให้เป็นการสาเร็จรวดเร็วทันใจดังธานีเล็กน้ีก็ยังทาไปทีเดียวยังไม่ได้ โดยมีอุปสรรค
บางอยา่ ง

เพราะฉะน้นั ข้าพเจ้าขอให้ขา้ ราชการทั้งหลาย ตลอดจนทวยนาคร จงตัง้ ใจกระทากิจการของ
คนตามหน้าท่ี ให้เหมาะสมกับธานี ซ่ึงได้จัดตั้งข้ึนน้ี ในไม่ช้าจะได้แลเห็นผลของประเทศสยาม ว่าจะ
เจรญิ ไปไดเ้ พียงไร...”

ต่อมาดุสิตธานีได้โตขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่มีที่จะสร้างบ้านเรือน พอดีกับเวลาที่จะสร้าง
พระราชฐานใหม่ที่วังพญาไทจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองท้ังเมืองไปต้ังท่ีบริเวณวังพญาไท เม่ือเดือน
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ ในจานวนบ้านเล็กๆ นั้น มีศาลาว่าการมณฑลดุสิตธานีและมีนาคาศาลา ซึ่งมี
ความหมายว่า ศาลาของประชาชน เท่ากับว่าเป็นท่ีต้ังสภาจังหวัด รัชกาลที่ ๖ ทรงเป็นนาคาแห่งดุสิต

แนแนวกวการาจรดัจัดกการาเรรเียรยีนนรปู้รปู้ระรวะัตวัตศิ ิศาสาสตตร์เรพเ์ พื่อ่อืสสรา้รง้าสงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิ ตทไิยทย

ØÒ
๗๕
ธíาćนîีผĊñู้หĎšĀนîึ่งċęÜ ทìรøงÜใĔชß้นšîาćมöแĒฝòงÜวü่าŠć นîาćย÷รøาćมö ณè กÖรøุงčÜเđทìพó ทìรøงÜเđปð็นŨîทìนîาćย÷แĒลúะąทìรøงÜเđปð็นŨîมöรøรøคÙนîาćย÷กÖวüัดĆéพóรøะąบïรøมö
ธíาćตêุč เđปð็นŨîพóรøะąรøาćชßมöุนčîีĊ เđจÝ้าšćอĂาćวüาćสÿวüัดĆéธíรøรøมöธíิปĉðไĕตêย÷ แĒลúะąทìรøงÜแĒสÿดéงÜพóรøะąธíรøรøมöเđทìศýนîาćจÝรøิงĉÜๆė ดé้วšüย÷ นîอĂกÖจÝาćกÖนîี้ ĊĚ
ทìรøงÜใĔหĀ้คÙš าĞćปðรøกึċÖษþาćเđกÖยี่ę÷Ċ วüกÖบัĆïกÖรøณèีพĊóพิĉóาćทìเđรøื่อČĂę งÜทì่ีดęéĊ นิĉî

กÖาćรøทìี่พęĊóรøะąบïาćทìสÿมöเđดé็จĘÝพóรøะąมöงÜกÖุฎčãเđกÖลú้าšćเđจÝ้าšćอĂย÷ู่หŠĎĀัวĆü ทìรøงÜเđปð็นŨîนîักĆÖปðรøะąชßาćธíิปĉðไĕตêย÷นî้ันĚĆî เđพóรøาćะąพóรøะąอĂงÜคÙ์Ť
ทìรøงÜผñ่าŠćนîกÖาćรøศýึกċÖษþาćมöาćจÝาćกÖปðรøะąเđทìศýแĒมö่บŠïทìปðรøะąชßาćธíิปĉðไĕตêย÷ คÙือČĂปðรøะąเđทìศýอĂังĆÜกÖฤùษþ แĒลúะąเđมö่ือęČĂทìรøงÜจÝบïกÖาćรøศýึกċÖษþาć
พóรøะąอĂงÜคÙ์ŤกÖ็ĘทìรøงÜเđดéินĉîทìาćงÜรøอĂบïโēลúกÖ ผñ่าŠćนîสÿหĀรøัฐĆåอĂเđมöรøิกĉÖาć แĒลúะąญâ่ีปęĊðุ่นčśîกÖลúับĆïสÿู่ŠĎปðรøะąเđทìศýไĕทìย÷ จÝนîนîับĆïเđปð็นŨî
พóรøะąมöหĀาćกÖษþตัĆêรøยิĉ÷์ไĕŤ ทìย÷พóรøะąอĂงÜคÙแ์ĒŤ รøกÖ ทìี่ทęìĊ รøงÜเđดéินĉîทìาćงÜรøอĂบïโēลúกÖ กÖอ่ĂŠ นîเđสÿดé็จĘÝข×ึ้นîċĚ เđสÿวüย÷รøาćชßสÿมöบïัตêĆ ิĉ
ทì่ีมęĊöาć : สานÿักĞćîงาĆÖนÜćคîณÙะèกąรÖรมøøกöาÖรกćøาÖรศćøึกýษċÖาþขćั้น×พĆĚî้ืนóฐĚČîาåนć.î(.๒(๕ģ๔Ħ๓ĥ)Ĥ. )ห. นĀังîสĆÜือÿเČĂรđียøนĊ÷îราøยć÷วüิชĉßาćพó้ืนČĚîฐåาćนî ชßั้นĚĆî
มöัธíĆ ÷ยöมýศċÖกึ þษćาðŘìĊę ĥ-ħ đúöŠ Ģ ðøąüêĆ ĉýćÿêøĕŤ ì÷. ÖøÜč đìóĄ : ÿÖÿÙ.úćéóøćš ü. (Āîćš ĪĪ-Ģġġ)

ปที ี่ ๔-๖ เล่ม ๑ ประวัตศิ าสตรไ์ ทย. กรงุ เทพฯ : สกสค.ลาดพร้าว. (หน้า ๙๙-๑๐๐)

แĒแนîนวüวกÖกาćารรøจจÝัดดัéĆ กกÖาาćรรøเรเđรøียีย÷Ċนนîรรøปู้ ู้ปĎðš รรøะะวąวัตüตั Ćêศิ ศิ ĉýาาสćสÿตตêรรø์เพเ์đŤพóื่อ่อืęČĂสสÿรรøา้ ้าćšงงÜสÿสาćĞำนîนึกċÖึกคคÙวüวาćามมöเปđเðปน็ Ũîน็ ไทไĕทìยย÷:::ÙคüวคćาวöมาđเมðปเîŨ็นปöมน็ ćาม×ขาĂอขÜงอßชงćาชêตาĉĕิไตìทิไ÷ยทย

๗๖

ใบความรู้ เรือ่ ง การพระราชทานรัฐธรรมนญู ในสมัยรัชกาลท่ี ๗
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนเสด็จข้ึนครองราชย์พระองค์ทรงสาเร็จการศึกษา
วชิ าทหารจากประเทศอังกฤษและฝร่งั เศส จึงทรงคุ้นเคยกับระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตยและ
การบริหารประเทศแบบตะวนั ตกเป็นอย่างดี นอกจากนี้ทรงมีพระราชดาริท่ีจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ
แกป่ ระชาชนอยา่ งมขี ้ันตอน
ใน พ.ศ. ๒๔๖๙ ทรงปรึกษาพระยากัลยาณไมตรี (ดร.ฟรานซิส บ.ี แชร)์ ว่าถงึ เวลาเหมาะสมท่ี
จะเปล่ียนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภาและควรมีรัฐธรรมนูญใน
รปู ใด
พระยากัลยาณไมตรีกราบบังคมทูลถวายความเห็นว่า ประเทศไทยยังไม่ควรใช้รูปแบบการ
ปกครองแบบรัฐสภา เนื่องจากประชาชนยังด้อยการศึกษา ไม่รู้เร่ืองการเมือง ไม่เข้าใจวิธีการเลือกต้ัง
ผู้แทนราษฎรระดับประเทศ นักการเมืองอาจฉวยโอกาสนาเอาระบอบเผด็จการเข้ามาแทนท่ี ควรจะรอ
ให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาเสียก่อน พระยากัลยาณไมตรีถวายความเห็นว่า ระหว่างที่รออยู่นี้
ควรใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่อไปก่อน แต่ขอให้พระองค์ทรงตั้งนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบใน
การบริหารราชการแผ่นดินโดยตรงแทนพระองค์ เพ่ือช่วยดูแลให้รัฐมนตรีปฏิบัติราชการให้ถูกต้องตาม
นโยบาย
สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ไม่เห็นด้วยกับรูปแบบบริหารประเทศแบบมี
นายกรัฐมนตรี เพราะเป็นรปู แบบของการมีรัฐสภา แตค่ วรใช้รูปแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปก่อนและ
มุ่งพัฒนาระบบราชการให้เข้มแข็งเพื่อให้ประเทศเจริญก้าวหน้าเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วยกับแนวคิดของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ พระองค์จึงมีพระบรมรา
โชบายสนับสนนุ ให้ประชาชนในท้องถ่ินไดฝ้ ึกฝนการปกครองตนเอง เพื่อให้เข้าใจแนวทางประชาธิปไตย
ขัน้ พ้นื ฐานเสียกอ่ น
อย่างไรก็ตาม รัชกาลท่ี ๗ ก็ยังทรงตั้งพระทัยที่จะหาโอกาสพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่
ประชาชนเม่ือถึงเวลาอันเหมาะสม ดังจะเห็นได้จากเมื่อคร้ังพระองค์เสด็จไปรักษาพระเนตรที่
โรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ มีผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาขอพระราชทาน
วโรกาสกราบบังคมทูลสัมภาษณ์พระองค์เรื่องแนวพระราชดาริพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชน
ชาวไทย พระองค์พระราชทานสัมภาษณ์ว่าพระองค์มีพระราชดาริที่จะเปล่ียนแปลงระบอบการปกครอง
ของประเทศไทยเป็นระบอบประชาธิปไตยจริง ด้วยการปูพื้นฐานให้ประชาชนชาวไทยรู้จักปกครอง
ตนเองในระดับท้องถ่ินเสยี กอ่ น หากประชาชนเรยี นรกู้ ารปกครองแบบน้ดี แี ล้ว พระองค์จะพระราชทาน
รัฐธรรมนญู ให้
เม่ือเสด็จกลับจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ทรงมอบหมายให้นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ อดีต
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา ขณะน้ันดารงตาแหน่งท่ีปรึกษากระทรวงการต่างประเทศไทย
ร่วมกับพระยาศรีวิสาลวาจา พจิ ารณาร่างรัฐธรรมนูญถวายต่อพระองคพ์ ร้อมกบั ทรงกาชับว่า
“...ฉันมีความประสงค์จะให้รัฐธรรมนูญแก่ราษฎรโดยเร็วท่ีสุด และต้องให้เห็นทันในวันท่ี ๖
เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึง่ เปน็ วนั ครบรอบมหาจกั ร.ี ..”

แนแนวกวการาจรัดจัดกการาเรรเยีรยีนนรปู้รูป้ระรวะัตวตัศิ ิศาสาสตตร์เรพเ์ พอ่ื ือ่สสรา้รงา้ สงสานำนกึ ึกคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปมน็ ามขาอขงอชงาชตาิไตทไิยทย

Ø๗Ô๗



êตŠĂ่อöมćาĔใîนđเéดČĂือîนöมĊîีนćาÙคöม óพ.ýศ. ģ๒ĥ๔Ĩ๗Ħ๕ ìทĚĆÜั้งÿสĂอÜงìทŠć่าîนĕไéดšø้รŠć่าÜงøรĆåัฐíธøรøรöมîนĎâูญđเÿสøรĘÝ็จĒแúลšü้วÝจċÜึงîนĞćาĕไðปëถüวćา÷ย
óพøรąะïบćาìทÿสöมđเéดĘÝ็จóพøรąะđเÝจš้ćาĂอ÷ยŠĎู่ĀหĆัüว øรŠ่ćาÜงøรĆัฐåธíรøรøมöนîูĎญâÞฉïบĆัïบîนĊĚี้öมĊีÙคüวćาöม÷ยćาüวđเóพĊี÷ยÜง Ħ๕ Āหîนšć้า öมĊีÿสćาøรąะÖกĞćาĀหîนéด
ÙคüวćาöมÿสĆัöมóพĆัîนíธŤø์รąะĀหüวŠ่ćาÜงĂอĞćาîนćาÝจïบøรĉิĀหćาøรÖกĆับïĂอĞćานîćาจÝนîิĉตêิĉïบĆัâญâญĆัêตĉิ êตúลĂอéดÝจîนÖกĞćาĀหîนéดüวĉิíธĊีÖกćาøรđเลúืČอĂกÖตêั้ĚĆงÜ
ÿสöมćาßชĉÖิกÿสõภćาñผšĎĒู้แìทîนøรćาþษãฎøรēโéด÷ยĔใĀหšö้มĊÿีสöมćาßชĉÖิก ģ๒ ðปøรąะđเõภìท ÿสöมćาßชĉÖิกðปøรąะđเõภìทìทĊęี่ Ģ๑ öมćาÝจćาÖกøรćาþษãฎøรđเúลČĂือÖกêตĚĆÜ้ังÖกĆïับ
ÿสöมćาßชĉÖกิ ðปøรąะđเõภìทìทĊę่ี ģ๒ óพøรąะöมĀหćาÖกþษêĆัตøร÷ĉยิ Ťìท์ øรÜงĒแêตÜŠ่งêตÜĚĆงั้

óพøรąะïบćาìทÿสöมđเéดĘÝ็จóพøรąะðปÖกđเÖกúลš้ćาđเÝจš้ćาĂอ÷ยŠĎู่ĀหĆัüวìทøรÜงîนĞćาøรŠ่ćาÜงøรĆåัฐíธøรøรöมîนĎูâญÞฉïบĆïับéดĆÜังÖกúลŠć่าüวöมĂอïบĀหöมćา÷ยĔใĀหš้
ĂอõภĉøิรĆåัฐöมîนêตøรĊÿีสõภćาĒแúลąะóพøรąะïบøรöมüวÜงýศćาîนčüุวÜงýศŤï์บćาÜงóพøรąะĂอÜงÙคŤó์พĉÝิจćาøรèณćาüวŠć่าöมĊÙีคüวćาöมđเĀหöมćาąะÿสöมĀหøรČืĂอĕไöม่ŠðปøรąะกÖาćรøใĔดé
ÙคèณąะñผĎšóู้พĉÝิจćาøรèณćาđเÙคšć้าēโÙคøรÜงøรĆåัฐíธøรøรöมîนĎâูญéดĆÜังÖกúลŠć่าüวóพĉÝิจćาøรèณćาĒแúลšü้วĕไöมŠđ่เĀหĘî็นéดšü้ว÷ย ĕไéดš้ÖกøรćาบïïบĆัÜงคÙöมทìูĎลúถëวüาćย÷คÙวüาćมöเđหĀ็นĘî
üวŠć่า÷ยĆÜังĕไöมŠë่ถċÜึงđเüวúลćาĂอĆîันđเĀหöมćาąะÿสöมìทĊęÝ่ีจąะóพøรąะøรćาßชìทćาîนøรĆåัฐíธøรøรöมîนĎâูญĒแÖกŠð่ปøรąะßชćาßชîน đเóพøรćาąะðปøรąะßชćาßชîน÷ยĆÜังĕไöมŠđ่เ×ขšć้าĔใÝจĔใîน
øรąะïบĂอïบðปøรąะßชćาíธðĉปิ ĕไêต÷ยéดĊóีพĂอ đเÖกøรÜงüวŠć่าđเöมČęĂ่ือóพøรąะøรćาßชìทćาîนøรĆåัฐíธøรøรöมîนĎâูญĒแúลšü้วÝจąะđเÖกĉéิดÙคüวćาöมđเÿสĊ÷ียĀหćา÷ยĒแÖกŠð่ปøรąะđเìทýศßชćาêตĉิ
Ĕใîนõภćา÷ยĀหúลĆÜงั

óพøรąะïบćาìทÿสöมđเéดĘÝ็จóพøรąะđเÝจšć้าĂอ÷ยŠĎĀู่หĆüัวìทøรÜงĕไéดšø้รĆïับÖกćาøรëถüวćา÷ยÙคüวćาöมđเĀหĘî็นÝจćาÖกÙคèณąะïบčÙุคÙคúลßชĚĆîั้นÿสĎูÜง ÿสŠ่üวîนĔใĀหâญŠ่ĕไöม่Š
đเĀหĘî็นéดšü้ว÷ยÖกĆïับÖกćาøรóพøรąะøรćาßชìทćาîนøรĆåัฐíธøรøรöมîนĎâูญĒแÖกŠð่ปøรąะßชćาßชîน ìทĞćาĔใĀหšó้พøรąะĂอÜงÙคŤđ์เÖกĉéิดúลĆÜังđเúลóพøรąะìทĆ÷ัยìทĚĆÜ้ังėๆ ìทĊęóี่พøรąะĂอÜงÙคŤ์
ìทøรÜงêตĆĚÜั้งóพøรąะìทĆ÷ัยĂอ÷ยćŠา่ ÜงĒแîนüŠ่วĒแîนŠê่ตĆÜĚ้ังĒแêตĒŠ่แøรÖกđเÿสéดÝĘจ็ đเÿสüว÷ยøรćาßช÷ยŤü์วŠć่าÝจąะóพøรąะøรćาßชìทćาîนøรĆåฐั íธøรøรöมîนĎâูญĒแÖกŠð่ปøรąะßชćาßชîนēโéด÷ยđเøรĘü็ว
ìทĊęÿ่ีสčéุด ìทøรÜงøรĚĆÜ้ังøรĂอĕไüวšÖ้กŠĂ่อîน ÝจîนÖกøรąะìทĆęÜั่งđเÖกĉéิดđเĀหêตčÖุกćาøรèณŤÙ์คèณąะøรćาþษãฎøรđเ×ขšć้า÷ยċéดึ ĂอĞćาîนćาÝจđเóพČęĂื่อđเðปúลĊę÷ี่ยîนĒแðปúลÜงðปÖกÙคøรĂอÜง đเöมęČĂ่ือ
üวĆîนั ìทęĊ่ี ģ๒ĥ๔ öมëĉถิ čîุนćา÷ยîน óพ.ýศ. ģ๒ĥ๔Ĩ๗Ħ๕

đเöมęČĂื่อóพøรąะïบćาìทÿสöมđเéดĘÝ็จóพøรąะðปÖกđเÖกúลš้ćาđเÝจš้ćาĂอ÷ยĎŠู่ĀหĆัüวìทøรÜงìทøรćาïบ×ขŠ่ćาüวÖกćารø÷ยċึéดĂอĞćาîนćาÝจĔในîóพรøąะนîÙครøแĒลú้šวü
óพøรąะĂอÜงÙคŤìท์ øรÜงđเßชâĉิญđเÝจšć้าîนćา÷ยßชîĆĚั้นÿสÜĎูงĒแúลąะĒแöมìŠ่ทóĆพั îนćา÷ยÖกĂอÜง àซċęÜง่ึ êตćาöมđเÿสéดĘÝจ็ öมćา÷ยĆÜังóพøรąะøรćาßชüวÜĆงั ĕไÖกúลÖกĆÜงั üวúลđเ×ขšćา้ øรŠü่วöมðปøรąะßชčöุม
ðปøรċÖึกþษćาĀหćาøรČĂือüวŠć่าÝจąะéดĞćาđเîนĉîินÖกćาøรĂอ÷ยŠć่าÜงĕไøรÖกĆîันêตŠĂ่อĕไðป ìทĊęðีป่ øรąะßชčöุมđเÿสîนĂอÙคüวćาöมđเĀหĘî็นêตŠć่าÜงėๆ ÖกĆîันĕไðป ïบćาÜงìทŠć่าîนđเÿสîนĂอĔใĀหšĔ้ใßชš้
ÖกĞćาúลĆÜังìทĀหćาøรĔใîนêตŠć่าÜงÝจĆÜังĀหüวĆéัด÷ยċéึดĂอĞćาîนćาÝจÙคČîืน ïบćาÜงìทŠć่าîนđเÿสîนĂอĔใĀหšÿ้สöมđเéดĘ็ÝจóพøรąะđเÝจš้ćาĂอ÷ยŠĎู่ĀหัĆüวđเสÿดéĘ็ÝจĀหîนĊีĕไðป÷ยĆัÜงðปøรąะđเทìศý
đเóพČęĂื่อîนïบšć้าîน ĔใîนìทĊęÿ่ีสčéุดÿสöมđเéดĘÝ็จóพøรąะđเÝจšć้าĂอ÷ยŠĎĀู่หĆüัวìทøรÜงêตĆéัดÿสĉîินóพøรąะìทĆ÷ัย÷ยĂอöมøรĆïับ×ขšĂ้อđเÿสîนĂอ×ขĂอÜงÙคèณąะøรćาþษãฎøร đเóพื่ČęĂอเđหĀ็ĘนîแĒกÖ่Š
ÙคüวćาöมÿสÜงïบÿสč×ขุ ĒแúลąะÙคüวćาöมđเøรĊ÷ยี ïบøรšĂ้อ÷ย×ขĂอÜงðปøรąะđเìทýศ

óพøรąะïบćาìทÿสöมđเéดĘÝ็จóพøรąะðปÖกđเÖกúลšć้าđเÝจšć้าĂอ÷ยŠĎĀู่หĆüัว đเÿสéดĘÝ็จîนĉüิวĆêัตĉëิถċÜึงóพøรąะîนÙคøรēโéด÷ย×ขïบüวîนøรëถĕไôฟóพøรąะìทęĊî่ีนĆęÜั่งóพĉđิเýศþษ
đเöมČęĂื่อêตĂอîนéดċÖึก×ขĂอÜงÙคČîืนüวĆîันìทęĊ่ี ģ๒Ħ๕ öมĉëิถčîุนćา÷ยîน ĔใîนêตĂอîนÿสćา÷ย×ขĂอÜงüวĆîันìทĊęี่ ģ๒ħ๖ öมĉëิถčîุนćา÷ยîน Ùคèณąะøรćาþษãฎøรĕไéดšÿ้สŠÜ่งñผĎšĒู้แìทîนđเ×ขšć้า
đเòฝŜć้า èณ üวĆÜังýศčēุโ×ขìทĆ÷ัย óพøรš้ĂอöมÖกĆัïบìทĎูúลđเÖกúลš้ćาĄฯ ถëüวćาย÷øรŠ่ćางÜรøัĆฐåธíรøรøมöนîูĎญâชßั่ęĆวüคÙøรćาวü วüัĆนîรøุ่čŠงÜข×้ึĚċนîคÙืČอĂวüัĆนîทìี่ęĊ ģ๒Ĩ๗ öมĉëิถčîุนćา÷ยîน
óพøรąะïบćาìทÿสöมđเéดĘÝ็จóพøรąะđเÝจš้ćาĂอ÷ยĎŠู่ĀหĆัüวìทøรÜงúลÜงóพøรąะðปøรöมćาõภĉิĕไíธ÷ยĔใîนøรĆัåฐíธøรøรöมนîูĎâญÞฉïบĆัïบßชĆę่ัüวÙคøรćาüวóพøรąะøรćาßชìทćาîนĒแÖกŠ่
ðปøรąะßชćาßชîนßชćาüวĕไìท÷ยëถČĂือđเðปŨî็นøรĆåัฐíธøรøรöมîนĎâูญÞฉïบĆïับĒแøรÖก×ขĂอÜงðปøรąะđเìทýศĕไìท÷ย đเøรีĊ÷ยÖกßชČę่ือĂüวŠ่าć “óพøรąะøรćาßชïบĆâัญâญĆêัตĉíิธøรøรöมîนĎâูญ
ÖกćาøรðปÖกÙคøรĂอÜงĒแñผîŠ่นéดĉîนิ ÿส÷ยćาöมßชĆęüวั่ Ùคøรćาüว óพìčทุ íธýศĆÖักøรćาßช ģ๒ĥ๔Ĩ๗Ħ๕”

êตŠĂ่อöมćาĔใîนüวĆîันìทęĊ่ี Ģ๑ġ๐ íธĆîันüวćาÙคöม óพ.ýศ. ģ๒ĥ๔Ĩ๗Ħ๕ óพøรąะïบćาìทÿสöมđเéดĘ็ÝจóพøรąะđเÝจš้ćาĂอ÷ยŠĎู่ĀหĆัüวóพøรąะøรćาßชìทćาîน
øรĆåัฐíธøรøรöมîนĎâูญÞฉïบĆïับëถćาüวøรĒแúลąะìทøรÜงēโðปøรéดđเÖกúลšć้าĄฯ ĒแêตŠÜ่งêตĆĚÜ้ังÙคèณąะøรĆåัฐöมîนêตøรĊี ēโéด÷ยöมĊีóพรøąะย÷าćมöโēนîปðกÖรøณè์Ťนîิĉตêิĉธíาćดéาć เđปð็Ũนî
îนćา÷ยÖกøรĆåฐั öมîนêตøรĊÙคี îนĒแøรÖก×ขĂอÜงðปøรąะđเìทýศĕไìท÷ย
ìทęĊöี่มćา : สาÿนĞćักîงĆÖานÜćคîณÙะèกąรÖรøมøกöาÖรćกøาÖรćศøึกýษċÖาþขć้ัน×พĚĆîื้นóฐĚČîาåนć.î(.๒(๕ģ๔Ħ๓ĥĤ).)ห. ĀนัîงสĆÜÿือČĂเรđียøĊ÷นîรøาćย÷วüิชĉßาćพóื้นČĚîฐåาćนî ชßĚĆî้ัน
öมíĆัธ÷ยöมýศÖċ ึกþษćาðìŘ Ċę ĥ-ħ đúŠö Ģ ðøąüĆêýĉ ćÿêøŤĕì÷. ÖøčÜđìóĄ : ÿÖÿÙ.úćéóøšćü. (Āîšć ĪĦ-Ģġħ)

ปที ี่ ๔-๖ เล่ม ๑ ประวัติศาสตรไ์ ทย. กรุงเทพฯ : สกสค.ลาดพรา้ ว. (หน้า ๙๕-๑๐๖)

แĒแนîนวüวกÖกาćารøรจÝจัดéĆัดกÖกาćารøรเรđเøรยี ÷Ċยี นîนรøรปู้ šðĎู้ปรøระąะววüตั ตัêĆ ศิ ิศýĉ าาćสสÿตêตรøร์เพđŤเ์ พóื่อČęĂือ่ สÿสรøรา้ šćา้งÜงสÿสาćĞ ำนîนกึ Öċ กึ คÙควüวาćามöมเđปเðปน็ îŨ ็นไĕทไìทย÷ย:: :ÙคüวคćาวöมาđเมðปเŨîน็ปöม็นćาม×ขาĂอขÜงอßชงćาชêตาĕĉ ิไìตทไิ÷ยทย

๗๘

บันทกึ ผลการเรียนรู้
ชอื่ ____________________________________ชน้ั ____________เลขท่ี ________

สรุปความร้เู รอ่ื ง แนวคดิ พระราชทานรัฐธรรมนูญรชั กาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗
................................................................................................................................................ ...................
............................................................................................................... ....................................................
............................................................................................................................. ......................................
...................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ......................................
............................................................................................................................. ......................................
สรุปความรูเ้ รอ่ื ง การพฒั นาสิทธิ เสรภี าพและความเสมอภาคสมยั รัชกาลท่ี ๕
............................................................................................................................. ......................................
.................................................................................. .................................................................................
............................................................................................................................. ......................................
....................................................................................................................................... ............................
สรุปความรเู้ รอ่ื ง การปฏิรูปการปกครองสมยั รัชกาลท่ี ๕ รชั กาลที่ ๖ และรัชกาลท่ี ๗
.................................................................................................................................................... ...............
................................................................................................................... ................................................
............................................................................................................................. ......................................
...................................................................................................................................................................
สรุปความรู้เรอื่ ง การฝึกฝนเพ่ือส่งเสรมิ การเรยี นรู้ประชาธปิ ไตยสมยั รชั กาลที่ ๖
...................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ......................................
............................................................................................................................. ......................................
...................................................................................................................................................................
สรปุ ความรู้เรื่อง การพระราชทานรัฐธรรมนูญสมยั รัชกาลที่ ๗
.................................................................................................................. ..................................................
............................................................................................................................. .....................................
...................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ......................................

(เฉลยตามความคดิ เหน็ ของนักเรียน แต่อยู่ในดลุ ยพินจิ ของครผู ูส้ อน)

แนแนวกวการาจรัดจัดกการาเรรเียรียนนรปู้รู้ประรวะตัวตัศิ ศิาสาสตตร์เรพ์เพื่อื่อสสร้ารง้าสงสานำนกึ ึกคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิยทย

๗๙
ภาพตอ่ สาหรบั กจิ กรรมจ๊ิกซอว์เรื่อง การวางรากฐานประชาธิปไตย

แแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเรเรยี ยี นนรรปู้ ู้ปรระะววัตตั ศิ ิศาาสสตตรร์เพเ์ พื่อื่อสสรรา้ ้างงสสาำนนึกกึ คคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปม็นามขาอขงอชงาชตาไิตทไิ ยทย

๘๐

เฉลย การเรยี งลาดบั รปู ภาพ การวางรากฐานประชาธปิ ไตย

การปฏริ ปู การศึกษา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้มีการ

ปฏิรูปการศึกษา นาการจัดการศกึ ษาในระบบโรงเรียนตามแบบ

ต ะ วั น ต ก ม า ใช้ เริ่ ม จ า ก ก า ร ต้ั ง โ ร ง เรี ย น ห ล ว ง ใน

พระบรมมหาราชวังคอื โรงเรียนพระตาหนกั สวนกุหลาบ ต่อมา

ในพ.ศ. ๒๔๒๗ ทรงไดจ้ ัดตงั้ โรงเรียนสาหรบั ราษฎรแห่งแรก คือ

รปู ท่ี ๑ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม กรุงเทพฯ

(ห้องเรียนในสมัยแรกปฏริ ปู

การศกึ ษา)

ดุสิตธานี เป็นเมืองจาลองรปู แบบประชาธปิ ไตย

พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดให้สร้างข้นึ

เมื่อ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๑

ดสุ ติ ธานี มขี นาดพน้ื ที่ ๑ ใน ๒๐ เทา่ ของเมืองจรงิ

ประกอบดว้ ย พระราชวงั ศาลารฐั บาล วัดวาอาราม สถานที่

ราชการ โรงทหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดรา้ นค้า ธนาคาร

โรงละคร ประมาณเกือบสองรอ้ ยหลงั เพื่อเป็นแบบทดลองของ

รปู ท่ี ๒ การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยโปรดใหม้ ีธรรมนูญการ

(ดุสติ ธาน)ี ปกครอง มีพรรคการเมอื ง ๒ พรรค การเลือกตงั้ นคราภบิ าล

หรอื นายกเทศมนตรี และมีสภาการเมอื งแบบประชาธิปไตย

พระราชทานรฐั ธรรมนูญ

พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลท่ี ๗)

วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า

เจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับ

ถาวรเพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชน

ชาวไทย

ก่อนหน้าน้ี วันท่ี ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการ

รปู ที่ ๓ ประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญช่ัวคราวเรยี กวา่ พระราชบญั ญัติธรรมนูญ

(รัชกาลท่ี ๗ พระราชทาน การปกครองแผ่นดนิ สยามชว่ั คราว

รฐั ธรรมนูญ)

แนแนวกวการาจรดัจดักการาเรรเียรียนนรปู้รปู้ระรวะตัวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพ์เพอื่ ่อืสสร้ารง้าสงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปม็นามขาอขงอชงาชตาไิ ตทิไยทย

รปู ที่ ๔ ๘๑
(อนสุ าวรียป์ ระชาธปิ ไตย)
อนุสาวรีย์ประชาธปิ ไตย
เป็นอนสุ าวรยี ์ทตี่ ัง้ อยกู่ ่ึงกลางวงเวียนระหว่างถนนราช
ดาเนินกลางกบั ถนนดนิ สอ เขตพระนคร กรุงเทพฯ สรา้ งข้นึ
เปน็ ทีร่ ะลกึ ถงึ เหตุการณเ์ ปล่ยี นแปลงการปกครองจากระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์เปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย โดยมี
พระมหากษัตริยเ์ ปน็ ประมุข การก่อสรา้ งอนุสาวรยี ์
ประชาธปิ ไตย
เริ่มข้นึ ในวนั ที่ ๒๔ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และทาพธิ เี ปดิ เม่ือ
วันท่ี ๒๔ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ในสมยั จอมพลแปลก พิบลู
สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี

แแนนววกกาารรจจัดดั กกาารรเรเรียียนนรรปู้ ู้ปรระะววตั ัตศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพ่ือ่ือสสรร้าา้งงสสาำนนึกกึ คคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเ็นปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทิไยทย

๘๒

การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)

แบบประเมิน ๑. การพาดหัวขา่ วหนังสอื พมิ พก์ ารวางรากฐานประชาธปิ ไตย
๒. การบนั ทึกผลการเรยี นรู้
๓. การปฏิบตั กิ จิ กรรมในกระดาษเสริมสร้างปัญญา
๔. การสรุปการวางรากฐานพัฒนาประชาธิปไตยดว้ ยเสน้ เวลา
คาอธิบายระดับคณุ ภาพ / ระดับคะแนน
รายการประเมนิ ดมี าก (๔) ดี (๓) พอใช้ (๒) ปรบั ปรุง (๑)

๑. การวิเคราะห์ วิเคราะห์ วเิ คราะห์พัฒนาการ วเิ คราะห์พฒั นาการ วิเคราะห์
พฒั นาการของไทย พัฒนาการของ ของไทยสมัย ของไทยสมยั พฒั นาการของ
สมัยประชาธิปไตย ไทยสมยั ประชาธปิ ไตยใน ประชาธิปไตยใน ไทยสมยั
ในด้านต่างๆ ประชาธิปไตยใน ดา้ นต่างๆไดถ้ กู ต้อง ดา้ นตา่ งๆได้ถกู ตอ้ ง ประชาธปิ ไตยใน
ด้านตา่ งๆได้ ชัดเจน ๓ ดา้ น ชัดเจน ๒ ดา้ น ด้านตา่ งๆได้
๒. การวิเคราะห์ปัจจยั ถกู ตอ้ ง ชดั เจน ถูกต้อง ชัดเจน ๑
ท่สี ่งผลต่อความ ทงั้ ๔ ดา้ น ด้าน
มัน่ คงและความ วิเคราะหป์ ัจจยั ที่
เจริญรุง่ เรอื งของ ส่งผลต่อความ วิเคราะหป์ จั จัยที่ วิเคราะหป์ ัจจยั ที่ วเิ คราะหป์ จั จยั ท่ี
ไทยสมยั ม่ันคงและความ ส่งผลต่อความม่ันคง สง่ ผลตอ่ ความมั่นคง สง่ ผลต่อความ
ประชาธปิ ไตย เจรญิ รงุ่ เรอื งของ และความ และความ ม่ันคงและความ
ไทยสมยั เจรญิ ร่งุ เรืองของ เจริญรงุ่ เรอื งของ เจริญร่งุ เรอื งของ
๓. การวิเคราะห์ ประชาธิปไตย ไทยสมยั ไทยสมยั ไทยสมยั
บทบาทของ ไดถ้ กู ตอ้ ง ชัดเจน ประชาธปิ ไตย ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย
พระมหากษตั ริย์ ๔-๕ ประเด็น ไดถ้ กู ตอ้ ง ชัดเจน ได้ถูกต้อง ชดั เจน ได้ถกู ต้อง ชดั เจน
ไทยสมยั ประชา-ธปิ วิเคราะหบ์ ทบาท ๓ ประเด็น ๒ ประเด็น ๑ ประเดน็
ไตย ของ
พระมหากษตั รยิ ์ วิเคราะหบ์ ทบาท วเิ คราะหบ์ ทบาท วิเคราะหบ์ ทบาท
ไทย สมยั ของพระมหากษัตรยิ ์ ของพระมหากษัตรยิ ์ ของ
ประชาธปิ ไตย ไทย สมยั ไทย สมยั พระมหากษตั ริย์
ในการสร้างสรรค์ ประชาธปิ ไตย ประชาธิปไตย ไทย สมยั
ความเจรญิ และ ในการสร้างสรรค์ ในการสร้างสรรค์ ประชาธปิ ไตย
ความมนั่ คงของ ความเจรญิ และ ความเจรญิ และ ในการสร้างสรรค์
ชาติได้ถูกต้อง ความม่นั คงของชาติ ความมัน่ คงของชาติ ความเจรญิ และ
ละเอียด ชัดเจน ได้ถกู ต้อง ชัดเจน ได้ถกู ตอ้ ง ชดั เจน ความมนั่ คงของ
เปน็ สว่ นใหญ่ เป็นบางสว่ น ชาตไิ ด้ถกู ตอ้ ง
แต่ไมช่ ดั เจน

เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ
๑๑ - ๑๒ ดีมาก
๙ - ๑๐ ดี
๖-๘ พอใช้
ตา่ กว่า๖ ปรับปรุง

แนแนวกวการาจรดัจดักการาเรรเียรียนนรปู้ร้ปูระรวะัตวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพเ์ พ่อื อ่ืสสร้ารง้าสงสานำนกึ ึกคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปม็นามขาอขงอชงาชตาไิ ตทไิยทย

๘๓

แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

คาช้แี จง : ให้ ผูส้ อน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด 
ลงใน

ชอ่ งวา่ งท่ตี รงกับระดับคะแนน

ลาดับท่ี รายการประเมนิ ระดับคะแนน
๔๓๒๑

๑ นาเสนอเน้ือหาในผลงานได้ถูกต้อง
๒ การลาดับข้นั ตอนของเนื้อเรอื่ ง
๓ การนาเสนอมีความน่าสนใจ
๔ การมสี ว่ นรว่ มของสมาชิกในกลุ่ม
๕ การตรงต่อเวลา

รวม

ลงชื่อ...................................................ผ้ปู ระเมิน
............../.................../................

เกณฑก์ ารให้คะแนน

ผลงานหรือพฤติกรรมสมบรู ณ์ชดั เจน ให้ ๔ คะแนน

ผลงานหรือพฤตกิ รรมมขี ้อบกพร่องบางสว่ น ให้ ๓ คะแนน

ผลงานหรอื พฤตกิ รรมมีข้อบกพร่องเปน็ สว่ นใหญ่ ให้ ๒ คะแนน

ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ ๑ คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ

ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
๑๘ – ๒๐ ดมี าก
๑๔ – ๑๗ ดี
๑๐ – ๑๓ พอใช้
ต่ากว่า ๑๐ ปรับปรุง

แแนนววกกาารรจจัดดั กกาารรเรเรียยี นนรรปู้ ูป้ รระะววัตัตศิ ศิ าาสสตตรร์เพเ์ พื่ออ่ื สสรรา้ ้างงสสาำนนกึ ึกคคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิ ยทย

๘๔

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม

คาช้ีแจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด 
ลงในช่องวา่ งทต่ี รงกับระดับคะแนน

ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน
๔๓๒๑

๑ การแบ่งหนา้ ที่กนั อยา่ งเหมาะสม
๒ ความรว่ มมอื กันทางาน
๓ การแสดงความคดิ เห็น
๔ การรับฟงั ความคดิ เห็น
๕ ความมนี ้าใจช่วยเหลือกัน

รวม

ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../................

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ ๔ คะแนน
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่าเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ให้ ๒ คะแนน
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครง้ั ให้ ๑ คะแนน

ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบางครงั้
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง

เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
๑๘ – ๒๐ ดีมาก
๑๔ – ๑๗ ดี
๑๐ – ๑๓ พอใช้
ต่ากว่า ๑๐ ปรับปรุง

แนแนวกวการาจรดัจดักการาเรรเยีรียนนรปู้ร้ปูระรวะัตวัตศิ ิศาสาสตตร์เรพเ์ พอื่ ่ือสสรา้รง้าสงสานำนึกึกคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปม็นามขาอขงอชงาชตาไิ ตทิไยทย

๘๕

แบบประเมนิ ตนเองตามคา่ นิยมหลักของคนไทย ๑๒ ประการ
ชอ่ื _______________________________________________________ชัน้ ___________
เลขท่ี ____
คาชี้แจง : นักเรยี นประเมินตนเองในระหว่างเรยี น แล้วขดี  ลงในชอ่ งคา่ นยิ มทีน่ าไปใช้ และบอก
เหตผุ ล
ว่าไปใช้อย่างไร
ค่านยิ มท่ี
ขอ้ ท่ี คา่ นยิ มหลกั ของคนไทย นาไปใช้ () นาไปใชอ้ ย่างไร

๑ มีความรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์
๒ ซอ่ื สตั ย์ เสยี สละ อดทน มีอุดมการณ์
ในสงิ่ ทด่ี ีงามเพื่อส่วนรวม
๓ กตัญญตู ่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอู าจารย์
๔ ใฝ่หาความรู้ หมัน่ ศึกษาเลา่ เรียน
ท้ังทางตรงและทางอ้อม
๕ รกั ษาวฒั นธรรม ประเพณไี ทยอนั งดงาม
๖ มีศลี ธรรม รกั ษาความสัตย์ หวังดีต่อผอู้ ืน่ เผอ่ื แผ่
และแบ่งปนั
๗ เขา้ ใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย
อนั มีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ ทถี่ ูกต้อง
๘ มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย เคารพผใู้ หญ่
๙ มสี ติ รตู้ ัว รู้คดิ ร้ทู า รูป้ ฏบิ ตั ิตามพระราชดารสั
ของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หวั
๑๐ ร้จู กั ดารงตนอยู่โดยใช้หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ
พอเพียงตามพระราชดารสั ของพระบาทสมเดจ็
พระเจ้าอยู่หวั
๑๑ มคี วามเข้มแข็งทง้ั ร่างกายและจติ ใจ
ไม่ยอมแพ้ต่ออานาจฝ่ายต่าหรอื กิเลส มคี วาม
ละอายเกรงกลวั ต่อบาปตามหลักศาสนา
๑๒ คานงึ ถงึ ประโยชน์ของสว่ นรวมและของชาติ
มากกวา่ ผลประโยชน์ของตนเอง

แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเรเรียียนนรรปู้ ้ปู รระะววัตัตศิ ศิ าาสสตตรร์เพเ์ พื่อ่ือสสรร้า้างงสสาำนนึกกึ คคววาามมเปเปน็ น็ ไไททยย: :ควคาวมาเมปเน็ปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิ ยทย

๘๖

แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของนกั เรยี น (นักเรยี นประเมินตนเอง)

คาช้ีแจงนักเรยี นประเมนิ ตนเอง นักเรยี นมีความคิดเหน็ หรอื ทัศนคติอย่างไรให้ตอบในช่องท่ตี รงกับ

ความคิดเหน็ หรือทัศนคติของนกั เรยี นมากที่สุด คือ

ถา้ นักเรียนไมเ่ ห็นดว้ ยอยา่ งยิ่งกบั ข้อความ ใหใ้ ส่เคร่ืองหมาย  ทช่ี ่อง ๑

ถ้านักเรียนไมเ่ หน็ ด้วยกบั ข้อความ ให้ใสเ่ คร่ืองหมาย  ที่ชอ่ ง ๒

ถ้านักเรียนไม่มีขอ้ คดิ เหน็ ข้อความ ให้ใส่เครือ่ งหมาย  ทีช่ อ่ ง ๓

ถา้ นักเรียนเหน็ ดว้ ยขอ้ ความ ให้ใส่เครอื่ งหมาย  ท่ชี ่อง ๔

ถ้านักเรยี นเหน็ ดว้ ยอย่างยิ่งกับข้อความ ใหใ้ ส่เครอื่ งหมาย  ท่ีชอ่ ง ๕

ขอ้ ท่ี รายการประเมนิ ๑ ระดบั คะแนน ๕
สมรรถนะท่ี ๑ ความสามารถในการสอ่ื สาร ๒๓๔

๑ ข้าพเจ้าคดิ ว่าการพูดอธบิ ายเรอ่ื งราวต่างๆใหผ้ ู้อ่ืนได้เข้าใจ
เป็นเรอื่ งที่ง่าย

๒ ข้าพเจ้าคิดวา่ การใช้กาลังแก้ปัญหาความขดั แย้งไดผ้ ลดกี วา่
การเจรจาตอ่ รอง

๓ ข้าพเจ้าคดิ ว่าความขัดแย้งทางความคดิ เป็นเร่ืองปัญหา
เล็กน้อยของสงั คม

๔ ขา้ พเจ้าคิดวา่ การศึกษาค้นคว้าทางอนิ เทอร์เน็ตสะดวกและ
รวดเรว็ ทนั ใจ

๕ ข้าพเจ้าคดิ ว่าการยนื ตรงเป็นการแสดงความเคารพ เมอื่ ครู
เดนิ ผ่าน

๖ ขา้ พเจา้ คดิ ว่าการมอบของท่ีระลึกหรอื บัตรอวยพรแด่
ผปู้ กครอง ในวนั สาคญั เป็นการระลึกถงึ ผ้มู ีพระคณุ ท่ีเกยี่ วข้อง

สมรรถนะท่ี ๒ ความสามารถในการคิด
๗ ข้าพเจา้ คิดวา่ การมองเหตุการณเ์ พ่ือเช่อื มโยงไปยังเหตุการณ์
อื่นๆ เป็นเรื่องที่ทุกคนควรกระทา
๘ ข้าพเจ้าคิดว่าการฟงั ข่าวที่มีการเสนอความร้เู ก่ยี วกบั ใน
มมุ มองทแ่ี ตกต่างทาให้เกิดการเรยี นรู้
๙ ขา้ พเจา้ คิดว่าคาติชมของเพ่ือนทาให้มีความกระตือรือร้นที่
จะปรับปรุงผลงานของตน
๑๐ ข้าพเจา้ คิดว่าการใชเ้ หตุผลในการตัดสินเพื่อแก้ปัญหาและไป
ให้ถงึ เป้าหมายเปน็ ส่ิงทท่ี ุกคนตอ้ งปฏิบัติ
๑๑ ขา้ พเจา้ คดิ วา่ การตดั สนิ ใจโดยมขี ้อสรปุ ท่ีมฐี านมาจากข้อมูล
ทน่ี ่าเชอ่ื ถือเป็นการตัดสนิ ใจที่เหมาะสมกับผู้มคี วามคดิ

แนแนวกวการาจรัดจัดกการาเรรเยีรยีนนรปู้รู้ประรวะัตวตัศิ ิศาสาสตตร์เรพเ์ พ่อื ื่อสสรา้รงา้ สงสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ ็นไทไทยย: ค:วคาวมาเปม็นเปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิยทย

๘๗

ขอ้ ที่ รายการประเมิน ๑ ระดบั คะแนน ๕
๑๒ ขา้ พเจ้าคิดว่าการสรา้ งข้อโตแ้ ย้งท่ดี สี มเหตุสมผลก่อให้เกิด ๒๓๔

การปรับปรุงและพัฒนาคน
สมรรถนะท่ี ๓ ความสามารถในการแกป้ ัญหา
๑๓ ขา้ พเจา้ คิดว่าปัญหาย่อมเกิดขึ้นกบั ตนเองและบุคคลใกล้ตัว
๑๔ ขา้ พเจา้ คดิ วา่ แนวโน้มของปญั หาอาจเกิดข้นึ ในทุกสถานการณ์
๑๕ ข้าพเจา้ คดิ ว่าการวางแผนในการแกป้ ัญหาเปน็ สง่ิ ทีด่ ี
๑๖ ขา้ พเจ้าคดิ ว่าการแก้ปัญหาตามแผนท่ีวางไว้เป็นสง่ิ ที่น่า

ภาคภูมิใจ
๑๗ ข้าพเจ้าคดิ วา่ การนาขอ้ ค้นพบทไี่ ด้จากการแกป้ ัญหาไป

ประยกุ ตใ์ ช้ในสถานการณอ์ ื่นๆ ทาให้เกิดความภาคภูมิใจ
๑๘ ข้าพเจา้ คิดว่าผลท่เี กดิ จากการแก้ปญั หายอมรับได้เสมอ
สมรรถนะที่ ๔ ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
๑๙ ข้าพเจ้ารู้สกึ วา่ งานที่ไมเ่ คยทาเปน็ งานทที่ ้าทายความสามารถ
๒๐ ขา้ พเจา้ รู้สึกมคี วามกระตอื รือร้นท่ีจะได้เรียนรูส้ ิ่งใหม่ๆ
๒๑ ขา้ พเจ้ารู้สึกมคี วามสุขทีไ่ ดช้ ว่ ยเหลอื เพ่ือน ครู ครอบครัว

และผอู้ นื่ เมื่อมีโอกาส
๒๒ ข้าพเจ้ารูส้ กึ มีความอดทนต่อการพูดส่อเสยี ดของผ้อู ื่น
๒๓ ข้าพเจา้ รสู้ ึกปลมื้ ใจท่เี ด็กไทยไปไกลถงึ เวทีโลก
๒๔ ขา้ พเจา้ รสู้ ึกภมู ิใจท่คี วบคมุ อารมณ์ตนเองได้
สมรรถนะท่ี ๕ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
๒๕ ขา้ พเจ้าคิดวา่ เทคโนโลยมี ีประโยชน์ต่อการเรยี นรู้
๒๖ ขา้ พเจา้ รสู้ กึ ชอบที่ครใู ช้เทคโนโลยีในการจดั การเรียนการสอน
๒๗ ขา้ พเจา้ รสู้ กึ เขา้ ใจบทเรยี นได้ดีข้นึ เม่ือครใู ชเ้ ทคโนโลยีใน

การจัดการเรียนการสอน
๒๘ ข้าพเจา้ คิดวา่ เทคโนโลยีมปี ระโยชนใ์ นการติดตอ่ สื่อสาร
๒๙ ขา้ พเจ้าคดิ วา่ การใช้คอมพิวเตอร์ / อนิ เทอร์เนต็ มีประโยชน์

ตอ่ การสบื คน้ รวบรวมความรู้ ให้เป็นประโยชน์ตอ่ ตนเองและ
ชุมชน
๓๐ ข้าพเจา้ คดิ ว่าเทคโนโลยมี ีบทบาทสาคญั ในการพัฒนา
เศรษฐกิจและสงั คม

ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมิน
............../.................../................

แแนนววกกาารรจจัดดั กกาารรเรเรียียนนรรปู้ ูป้ รระะววัตตั ศิ ิศาาสสตตรร์เพเ์ พื่อ่อื สสรรา้ า้งงสสาำนนึกึกคคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเ็นปม็นามขาอขงอชงาชตาไิตทิไยทย

๘๘

เกณฑ์การให้คะแนนคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์

พฤติกรรมบง่ ชี้ ไมผ่ ่าน (๐) ผา่ น (๑) ดี (๒) ดีเย่ียม (๓)

๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

๑. มคี วามสามัคคี ปฏบิ ตั ิตนตามสิทธิ ปฏบิ ตั ติ นตามสทิ ธิ ปฏบิ ตั ติ นตามสิทธิ

ปรองดอง และหนา้ ที่ของ และหน้าทข่ี อง และหนา้ ที่ของ

นักเรยี น ให้ความ นักเรียนให้ความ นักเรยี นใหค้ วาม

รว่ มมือ ร่วมใจใน รว่ มมอื ร่วมใจใน รว่ มมือ รว่ มใจใน

การทากิจกรรมกบั การทากจิ กรรมกับ การทากิจกรรมกับ

สมาชกิ ใน สมาชกิ ใน สมาชิกใน

โรงเรียน โรงเรียนและ โรงเรยี นชมุ ชน

ชมุ ชน และสังคม

๒. ปฏิบตั ิตนตาม ไมเ่ ข้ารว่ ม ปฏบิ ตั ิตนตาม ปฏบิ ัตติ นตาม ปฏบิ ัติตนตาม

หลักของศาสนา กิจกรรมทาง หลักของศาสนา หลกั ของศาสนา หลกั ของศาสนา

ทต่ี นนบั ถือ ศาสนาทต่ี นนับถือ ตามโอกาส อยา่ งสม่าเสมอ อยา่ งสม่าเสมอ

เปน็ แบบอยา่ งที่ดี

๓. แสดงออกซงึ่ ไมเ่ ขา้ รว่ ม เข้าร่วมกิจกรรมท่ี เข้าร่วมกจิ กรรม เข้ารว่ มกิจกรรม

ความจงรักภักดี กิจกรรมทเ่ี กยี่ วกับ เก่ียวกับสถาบนั และมีสว่ นรว่ มใน และมสี ่วนรว่ มใน

ตอ่ สถาบัน สถาบัน พระมหากษัตริย์ การจัดกิจกรรมท่ี การจัดกิจกรรมที่

พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ ตามท่ีโรงเรยี น เก่ยี วกับสถาบนั เกยี่ วกับสถาบนั

และชมุ ชนจดั ขนึ้ พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตรยิ ์

ตามท่โี รงเรยี น ตามท่ีโรงเรยี น

และชุมชนจดั ขนึ้ และชมุ ชนจดั ขน้ึ

ชนื่ ชมในพระราช

กรณยี กจิ พระ

ปรีชาสามารถของ

พระมหากษัตรยิ ์

และพระราชวงศ์

๒. ซ่อื สัตยส์ จุ ริต

๑. ไม่ถือเอา นาสิง่ ของของคน ไม่นาส่งิ ของและ ไมน่ าส่งิ ของและ ไมน่ าส่ิงของและ

ส่ิงของหรือผลงาน อ่ืนมาเปน็ ของ ผลงานของผู้อ่นื มา ผลงานของผู้อน่ื มา ผลงานของผู้อ่นื มา

ของผู้อ่ืนมาเป็น ตนเอง เปน็ ของตนเอง เป็นของตนเอง เปน็ ของตนเอง

ของตนเอง ปฏบิ ัติตนตอ่ ผู้อน่ื ปฏิบตั ิตนตอ่ ผู้อ่นื ปฏบิ ตั ิตนตอ่ ผูอ้ นื่

แนแนวกวการาจรดัจัดกการาเรรเยีรยีนนรปู้รู้ประรวะัตวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพเ์ พ่อื ือ่สสรา้รงา้ สงสานำนึกึกคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิ ตทไิยทย

๘๙

พฤติกรรมบง่ ช้ี ไม่ผา่ น (๐) ผ่าน (๑) ดี (๒) ดีเยี่ยม (๓)
๒. ปฏิบัติตนตอ่ ด้วยความซ่ือตรง
ผู้อนื่ ดว้ ยความ ด้วยความซอ่ื ตรง ดว้ ยความซือ่ ตรง
ซ่อื ตรง ไม่หาประโยชน์ ไม่หาประโยชน์
๓. ไม่หาประโยชน์ ในทางท่ีไม่ถูกต้อง ในทางที่ไม่ถูกต้อง
ในทางท่ีไม่
ถกู ต้อง และเป็นแบบอยา่ ง
๓. ใฝเ่ รียนรู้ ท่ดี ดี ้านความ
๑. ตง้ั ใจเรยี น ไม่ตั้งใจเรียน ซอ่ื สัตย์
๒. เอาใจใสแ่ ละมี
ความเพียร เข้าเรียนตรงเวลา เข้าเรยี นตรงเวลา เขา้ เรยี นตรงเวลา
พยายามใน ตงั้ ใจเรียน เอาใจ ต้งั ใจเรยี น เอาใจ ต้ังใจเรียน เอาใจ
การเรียนรู้ ใส่ และมคี วาม ใส่ และมีความ ใส่ และมคี วาม
๓. สนใจเขา้ ร่วม เพยี รพยายามใน เพียรพยายาม ใน เพยี รพยายาม ใน
กจิ กรรมการ การเรยี นรู้ มีสว่ น การเรียนรู้ มีสว่ น การเรียนรู้ มีสว่ น
เรียนร้ตู า่ งๆ ร่วมในการเรียนรู้ รว่ ม รว่ ม
และเขา้ รว่ ม กจิ กรรมการ ในการเรียนรู้ และ
๔. มงุ่ มน่ั ในการทางาน กิจกรรมการ เรียนรู้ตา่ งๆ ท้งั เข้าร่วมกจิ กรรม
๑. เอาใจใสต่ ่อการ ไม่ตง้ั ใจปฏบิ ตั ิ เรยี นรู้ต่างๆ ภายในและ การเรยี นร้ตู า่ งๆ
ปฏบิ ตั ิหน้าที่ หนา้ ท่ีการงาน บางคร้ัง ภายนอกโรงเรยี น ทงั้ ภายในและ
ที่ได้รบั มอบหมาย บอ่ ยครัง้ ภายนอกโรงเรยี น
๒. ตง้ั ใจและ เป็นประจาและ
รับผิดชอบใน เปน็ แบบอย่างทดี่ ี
การทางานให้
สาเร็จ ต้งั ใจและ ตง้ั ใจและ ตง้ั ใจและ
๓. ปรับปรุงและ รับผดิ ชอบในการ รับผิดชอบในการ รบั ผดิ ชอบในการ
พัฒนาการทางาน ปฏิบัติหนา้ ทท่ี ี่ ปฏิบัตหิ น้าทท่ี ่ี ปฏบิ ัติหนา้ ที่ที่
ดว้ ยตนเอง ได้รบั มอบหมาย ได้รบั มอบหมาย ไดร้ บั มอบหมาย
ให้สาเรจ็ มกี าร ให้สาเรจ็ มีการ ให้สาเร็จ มีการ
ปรบั ปรงุ และ ปรับปรุงและ ปรบั ปรงุ และ
พัฒนาการทางาน พฒั นาการทางาน พฒั นาการทางาน
ใหด้ ขี นึ้ ให้ดีข้นึ ดว้ ยตนเอง ให้ดีข้ึนดว้ ยตนเอง
และเป็นแบบอย่าง
ท่ดี ี

แแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเรเรียียนนรรปู้ ู้ปรระะววัตตั ศิ ศิ าาสสตตรร์เพเ์ พ่ือ่อื สสรร้าา้งงสสาำนนึกึกคคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปม็นามขาอขงอชงาชตาิไตทไิ ยทย

๙๐

พฤติกรรมบ่งชี้ ไม่ผา่ น (๐) ผา่ น (๑) ดี (๒) ดเี ยี่ยม (๓)
๕. รกั ความเป็นไทย
๑. แต่งกายและมี ไม่มสี มั มาคารวะ ปฏบิ ัตติ นเป็นผู้มี ปฏิบตั ติ นเปน็ ผู้มี ปฏบิ ัตติ นเป็นผมู้ ี

มารยาทงดงาม ตอ่ ผใู้ หญ่ มารยาทแบบไทย มารยาทแบบไทย มารยาทแบบไทย
แบบไทย
มสี ัมมาภารวะ มสี ัมมาคารวะ มสี มั มาคารวะ มีสัมมาคารวะ
กตัญญูกตเวที
ตอ่ ผมู้ ีพระคุณ กตัญญูกตเวทีตอ่ ผู้ กตญั ญูกตเวที กตัญญูกตเวทีตอ่ ผู้มี

๓. ชกั ชวน แนะนา มพี ระคุณ และ ต่อผมู้ ีพระคุณ พระคณุ แตง่ กาย
ให้ผูอ้ ืน่ ปฏิบตั ติ าม
ขนบธรรมเนียม แต่งกายแบบไทย แตง่ กายแบบไทย แบบไทย ดว้ ยความ
ประเพณี ศิลปะ
และวฒั นธรรม เข้าร่วมหรือมีสว่ น ดว้ ยความ ภาคภมู ใิ จ เข้ารว่ ม
ไทย
ร่วมในกจิ กรรมท่ี ภาคภูมใิ จ เขา้ ร่วม และมีสว่ นร่วมใน

เกย่ี วขอ้ งกบั และมสี ่วนร่วมใน การจัดกิจกรรมท่ี

ประเพณี ศิลปะ การจดั กจิ กรรมที่ เกี่ยวขอ้ งกบั

และวัฒนธรรม เกีย่ วข้องกบั ประเพณี ศลิ ปะและ

ไทย ประเพณี ศลิ ปะ วัฒนธรรมไทย

และวฒั นธรรม ชักชวน แนะนาผอู้ ื่น

ไทย และเป็นผนู้ าหรอื

แกนนาในการ

ปฏิบัติตามนบธรรม

เนยี มประเพณี

ศิลปะและ

วัฒนธรรมไทย

แนแนวกวการาจรัดจัดกการาเรรเียรยีนนรปู้ร้ปูระรวะัตวตัศิ ศิาสาสตตร์เรพ์เพอ่ื อื่สสรา้รง้าสงสานำนกึ ึกคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย: ค:วคาวมาเปมน็เปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิ ตทไิยทย

๙๑

แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์

คาช้แี จง : ผู้สอน สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขีด  ลงใน

ชอ่ งวา่ งท่ตี รงกบั ระดับคะแนน

คณุ ลกั ษณะ รายการประเมิน ระดับคะแนน
อนั พงึ ประสงค์ดา้ น ๐๑๒๓

๑. รกั ชาติ ศาสน์ ๑.๑ มีความสามัคคี ปรองดอง

กษตั ริย์ ๑.๒ ปฏบิ ัติตนตามหลักของศาสนาท่ีตนนบั ถือ

๑.๓ แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบัน

พระมหากษัตริย์

๒. ซื่อสตั ย์สุจริต ๒.๑ ไม่ถือเอาส่งิ ของหรือผลงานของผู้อ่นื มาเป็น

ของตนเอง

๒.๒ ปฏบิ ัตติ นต่อผอู้ น่ื ด้วยความซือ่ ตรง

๒.๓ ไม่หาประโยชนใ์ นทางท่ีไมถ่ ูกต้อง

๓. ใฝเ่ รียนรู้ ๓.๑ ตั้งใจเรียน

๓.๒ เอาใจใส่และมีความเพยี รพยายามใน

การเรยี นรู้

๓.๓ สนใจเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรยี นรู้ต่างๆ

๔. มุ่งมนั่ ในการทางาน ๔.๑ เอาใจใสต่ ่อการการปฏบิ ัตหิ นา้ ทท่ี ี่ไดร้ บั

มอบหมาย

๔.๒ ตงั้ ใจและรับผดิ ชอบในการทางานใหส้ าเรจ็

๔.๓ ปรับปรุงและพัฒนาการทางานด้วยตนเอง

๕. รกั ความเป็นไทย ๕.๑ แต่งกายและมีมารยาทงดงามแบบไทย

มีสัมมาคารวะ กตญั ญูกตเวทตี อ่ ผู้มีพระคุณ

๕.๒ ร่วมกิจกรรมทีเ่ กย่ี วข้องกบั ประเพณี ศิลปะ

และวฒั นธรรมไทย

๕.๓ ชกั ชวน แนะนาให้ผู้อื่นปฏิบตั ติ าม

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศลิ ปะ

และวฒั นธรรมไทย

ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมนิ
............../.................../................

แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเรเรียียนนรรปู้ ปู้ รระะววัตัตศิ ิศาาสสตตรร์เพ์เพ่ืออ่ื สสรรา้ ้างงสสาำนนึกกึ คคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย: :ควคาวมาเมปเน็ปมน็ ามขาอขงอชงาชตาไิตทไิ ยทย

๙๒

สัญลักษณค์ วามเป็นไทย

เกรนิ่ นำ : ทำไมจงึ ต้องเรยี นเร่ืองน้ี
สัญลักษณ์ หมายถึงเครื่องหมาย (symbol) ที่ใช้แทนความหมายและแนวคิดของสิ่งหน่ึง

โดยใช้วัตถุ อักษร ภาพและสีต่าง ๆ ให้สามารถส่ือถึงสงิ่ ใดสิ่งหน่ึงให้เข้าใจตรงกัน อันนับเป็นการสร้าง
ความรู้ร่วมกันในสังคม ในทางปรัชญามักนิยามว่า ทุกสิ่งทุกอย่างท้ังในธรรมชาติ รวมท้ังสิ่งที่มนุษย์
สร้างข้ึนสามารถแทนด้วยสัญลักษณ์ได้ทั้งส้ิน ด้วยการใช้แสง เสียง ท่าทาง สายตา เป็นสัญลักษณ์
เพ่ิมขน้ึ จากวัตถุทางกายภาพ แต่ทั้งน้ยี ่อมขน้ึ กบั ประสบการณ์ในการรับรู้ของแต่ละสังคม

เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย ซ่งึ เราจะพบเห็นกันเสมอ
ในชีวิตประจาวัน โดยเฉพาะสัญลักษณ์สากลท่ีทุกชาติทุกภาษา สื่อความหมายตรงกัน เช่น สัญลักษณ์
ทางคณิตศาสตร์ ( =, >, <, +, -, ×, ÷) สัญลักษณ์ในแผนท่ีแสดงแม่น้า ภูเขา ที่สูง ที่ต่า ขอบเขต
ทางรัฐศาสตร์ สัญลักษณ์ในปฏิทินแสดงวันหยุดราชการ วันสาคัญทางศาสนา แต่ละสัญลักษณ์จะมี
เป้าหมายหรอื วัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ เช่น เครื่องหมายจราจร เป็นสญั ลกั ษณท์ ีก่ าหนดขน้ึ เพ่ือให้ปฏิบัติตาม
หากละเมิดจะมีความผิดทางกฎหมาย เครื่องหมายการค้า หรือโลโก (logo) หรือแบรนด์ (brand) ซ่ึง
เป็นตราสินค้า หรือย่ีห้อ (trademark) ท่ีต้องการให้ผู้บริโภคจดจา หรือได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
ทเี่ กีย่ วข้องกบั ทรัพย์สินทางปัญญา สัญลักษณด์ ังกล่าวน้ีไมจ่ าเปน็ ต้องสืบค้นความเปน็ มา หรอื ภูมปิ ัญญา
ในการสร้างสัญลักษณ์ขึ้น เรียกว่าจดจารูปลักษณ์ได้ รู้และเข้าใจความหมายในสัญลักษณ์ได้ ก็ใช้ได้
ถกู ตอ้ ง

แต่สาหรับสัญลักษณ์ทีมีความสาคัญ ท่ีสามารถที่ไปเชื่อมโยงสร้างจิตสานึกในความเป็น
ชาติไทยน้ัน จะให้แค่รู้จัก จดจาได้ หรือแค่แปลความหมายได้คงไม่กระตุ้นจิตสานึก ความรักชาติ และ
ความภาคภูมิใจในชาติได้หากไม่เกิดความสานึก จะหวังให้เห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ก่อนเห็น
แกต่ นเองญาติมติ รและพวกพ้อง หรอื กลมุ่ ผลประโยชนร์ ว่ ม “จะได้หรอื ”

สัญลักษณ์ท่ีเก่ียวข้องกับจิตสานึกความเป็นไทยมีอยู่มาก ซึ่งอาจอยู่ในองค์ประกอบของ
ศิลปกรรม และวัตถุต่างๆ สัญลักษณ์ท่ีได้ยอมรับในสากล คือ ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์
ของชาติไทย ส่วนเพลงสรรเสริญพระบารมี พระบรมราชานุสาวรีย์ ธงชัยพระครุฑพ่าห์ท่ีพระบรมมหาราชวัง
นับเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระบรมฉายาลักษณ์
และพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์
ในรัชกาลปัจจบุ ันถอื เปน็ สญั ลักษณ์ที่ใครจะลว่ งละเมิดไม่ได้

แนแวนกวากราจรัดจกดั ากราเรรเยี รนียรนปู้ รร้ปู ะรวะัตวศิตั าศิ สาตสรต์เพร์เ่อืพสอ่ื รส้ารง้าสงาสนำกึนคกึ วคาวมาเมปเน็ปไน็ ทไยทย: :สัญสญั ลักลษกั ณษณค์ ว์คาวมาเมปเน็ปไน็ ทไยทย

๙๓

สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา เช่น ธงฉัพพรรณรังสี หรือธง ๖ สี เป็นสัญลักษณ์ของ
พุทธศาสนาสากล ซ่ึงรัฐที่นับถือพุทธศาสนาต่างเข้าใจในความหมายดังกล่าวเป็นอย่างดี ส่วนธงธรรมจักร
เปน็ สัญลกั ษณ์ของพระพุทธศาสนาท่ีนิยมใช้ในประเทศไทย

สัญลักษณ์อ่ืน ๆ ท่ีเช่ือมโยงให้เห็นถึงสิ่งพัฒนาการของชาติไทย และวีรกรรมของ
บรรพบุรุษไทย เช่น อนุสรณ์สถาน อนุสาวรีย์ สัญลักษณ์ท่ีแสดงถึงเหตุการณ์สาคัญของชาติ เช่น
หมุดคณะราษฎรที่ฝังอยู่บนพื้นถนนในลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นเคร่ืองหมายแทนเหตุการณ์การ
เปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวนั ท่ี ๒๔ มิถนุ ายน ๒๔๗๕ เป็นตน้

อันทจ่ี ริงสิ่งที่นาเสนอดังกล่าวนีล้ ้วนเป็นรูปธรรมที่เห็นได้ จบั ต้องได้ จึงน่าจะเป็นความชัดเจน
ที่นักเรียนทุกระดับสามารถเช่ือมโยงความเป็นไทยได้โดยง่าย อาจด้วยเหตุดังกล่าวหลกั สูตรสังคมศึกษา
ในการศึกษาขั้นพ้ืนฐานจึงกาหนดให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ รู้จักสัญลักษณ์ความเป็นไทย สิ่งท่ี
ครคู วรคานงึ คือ สานกึ ความเป็นไทย ใช่เรอื่ งทีส่ รา้ งได้ง่าย หรือโดยฉบั พลนั แตไ่ ม่ใชว่ า่ จะไม่สามารถทา
ได้ และเห็นว่าหากครผู ู้สอนได้จัดกิจกรรมการเรียนรเู้ พ่ือ ๑) เข้าใจรากเหง้าความเป็นมาของสงิ่ นั้น ๒)
เข้าใจถึงเหตุผลและความจาเป็นที่ผู้นาของชาติหรือพระมหากษัตริย์ไทยและบรรพบุรุษไทยได้คิด
สร้างสรรค์ได้พยายามอย่างเต็มที่ เพ่ือแก้ปัญหาและพัฒนาภายใต้บริบทของสภาพแวดล้อมและ
เทคโนโลยีขณะนั้น ๓) เข้าใจในบทบาทของสัญลักษณ์น้ันในเชิงวัฒนธรรมท่ีสะท้อนความเป็นไทยท่ีมี
เกียรติและศักดิ์ศรีทัดเทียมกับอารยประเทศ ๔) สร้างจิตสานึก และแนวทางปฏิบัติตนต่อสัญลักษณ์น้ัน
ในฐานะของคนไทยและพลเมือง พลโลก ๕) เหน็ แนวทางการคงไว้ซึ่งสัญลักษณ์ทั้งในเชิงอุดมคติ คอื รกั
และภาคภมู ใิ จในความเปน็ ไทยดว้ ยการธารงและรักษาไวส้ บื ต่อไป

อย่างไรก็ตามสัญลักษณ์บางอย่างมีลักษณะเป็นนำมธรรม คือ จะจับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้
เช่น ความเอื้อเฟ้ือเผ่ือแผ่ ความกตัญญูกตเวทีต่อญาติ ผู้ใหญ่ และผู้มีพระคุณ การแสดงความเคารพตอ่
ผู้อาวุโสกว่าหรอื ในสถานที่ที่ควรเคารพ ความนอบน้อมถ่อมตน ที่ยังคงปรากฏอยู่น้ันวิถีชีวติ ของคนไทย
เช่นเมื่อเราเห็นเด็กวัยรุ่นจูงมือผู้เฒ่า (ท่ีไม่รู้จัก) หรือคนตาบอดเดินข้ามถนน เราจะรู้สึกซาบซ้ึง และ
ตระหนักว่า คุณธรรมและจรยิ ธรรมในสงั คมไทยยังคงอยู่ หรือในทางตรงข้าม เมื่อมองเห็นวัยรุ่นแตง่ ตวั
ท่ีเรียกว่า นุ่งน้อยห่มน้อยในบริเวณพุทธศาสนสถาน หรือการได้ฟังเพลงไทยที่ออกเสียงภาษาไทยไม่
ถูกต้อง เราก็เกิดความรู้สึกว่า"วฒั นธรรมไทยกาลงั เสือ่ มสลายลงหรือ" ลักษณะที่เป็นนามธรรมดังกลา่ ว
นี้อาจนับเป็นสัญลักษณ์ท่ีเช่ือมโยงถึงความเป็นไทยได้ หากครูผู้สอนสามารถนาไปเป็นสื่อเชื่อมโยงถึง
ความหมายและแนวคิดในส่ิงที่มีคุณค่า คือ ความเป็นไทยได้ก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์ความเป็นไทยได้
ทั้งส้นิ

อน่ึง ในปัจจุบันคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้กาหนดสัญลักษณ์ประจาชาติไทย
(nation Identity) ขึ้น พื่อประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย ซ่ึงรัฐบาลได้ให้
ความเหน็ ชอบ เมอื่ วันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๔

แนแนวกวการาจรัดจดักการาเรรเียรยีนนรปู้รู้ประรวะตัวัตศิ ศิาสาสตตร์เรพเ์ พือ่ ือ่สสร้ารง้างสสานำนึกกึคควาวมามเปเปน็ น็ไทไทยย::สสญั ัญลลกั ักษษณณค์ ค์วาวมามเปเป็น็นไทไทยย


Click to View FlipBook Version