กลุมบุคคล และระดับโรงเรียน เปนการเรียนรูจากการปฏบิ ัติจรงิ ตามหลกั การเรียนรูจาก การกระทํา
(learning by doing)
1.1.3 นกั วจิ ัยหรือนักวิชาการ สามารถศกึ ษาเรียนรูรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบตั ิการ
แบบมสี วนรวมทใ่ี ชในการวจิ ัยคร้งั นมี้ ีการวพิ ากษวิจารณเพอ่ื ปรบั ปรุงหรอื พัฒนารูปแบบการ วิจัยใหมี
ความเหมาะสมย่งิ ขึ้น
1.2 ในการนําไปใช
1.2.1 บุคลากรในโรงเรียนบานบึงฉิม และผูเกี่ยวของ สามารถนําผลการวิจัยไป ศึกษา
ทบทวนและดาํ เนินการพฒั นาโรงเรียนไดอยางตอเนอื่ ง ทั้งดานวิชาการ หรือดานอ่ืนๆ เพราะลักษณะ
ที่ดีประการหนึ่งของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีสวนรวมคือสงเสริมใหมีการพัฒนา ท่ีตอเนื่องและ
ย่งั ยนื
1.2.2 นักวิจัยหรือนักวิชาการ สามารถศึกษารูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมี
สวนรวม ที่ใชหลักการบูรณาการเปนตัวสอดแทรกเพ่ือการพัฒนา ไปประยุกตใชเพ่ือออกแบบ
งานวิจยั ของตนเอง หรอื นําเอาหลักการใหมอื่นๆ มาเปนตวั สอดแทรกเพอ่ื การพฒั นาได
1.2.3 บคุ ลากรหรอื ผูมีสวนเกยี่ วของกับโรงเรียนขนาดเล็กแหงอ่ืน สามารถศึกษา เรียนรู
จากประสบการณการทําวิจัยของโรงเรียนบานบึงบอน เพ่ือนําไปประยุกตใชปรับใชหรือ เลือกใชให
เหมาะสมกับบริบทของโรงเรยี นของตนเองได
วธิ ีการวิจัย
การวจิ ัยครัง้ นี้เป็นการวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมีส่วนร่วม ทมี่ ีรูปแบบเน้นความเปน็ ศาสตร์
เชงิ วิพากษ์ (critical science) นาํ เสนอผลการวิจยั อิงกับแนวคิดเชิงวิพากษ์ (critical approach)
แสดงหลักฐานประกอบ ทงั้ ข้อมูล สถติ ิ ภาพถ่าย เอกสาร หรือรวมถงึ สิ่งอนื่ ๆ ท่ีได้รว่ มกันคดิ
ร่วมกนั ปฏบิ ัติ รว่ มกนั สังเกตผล และร่วมกนั สะท้อนผลการเปลยี่ นแปลง ทง้ั ท่ีสาํ เรจ็ และไมส่ ําเร็จ
และการเรียนรูท้ ่ีเกิดขึน้ ทงั้ ในระดบั บุคคล ระดบั กลุ่มบุคคล และระดับโรงเรยี น โดยยึดถอื หลัก 7
ประการตามทีก่ ําหนดไว้ในบทท่ี 2 ดังน้ี
1. ดาํ เนนิ การวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วมสองวงจร วงจรละ 1 ภาคเรยี น โดยมี
ขั้นตอนการวจิ ัย 10 ขนั้ ตอน ยดึ ถือหลักการ 10 ประการ จรรยาบรรณ 10 ประการ และบทบาท
ของนกั วจิ ยั 10 ประการ ตามท่ีกลา่ วในบทท่ี 2 โดยเฉพาะจรรยาบรรณเกีย่ วกบั การแสดงใหท้ ราบ
ถึงธรรมชาตขิ องกระบวนการวจิ ยั แตเ่ ริม่ แรก รวมทั้งข้อเสนอแนะ และผลประโยชนใ์ ห้แกผ่ ู้รว่ ม
วิจัยทราบ และจรรยาบรรณผ้รู ่วมการวจิ ัยตา่ งมอี ิทธพิ ลตอ่ การทาํ งาน แตผ่ ูท้ ไี่ ม่ประสงคม์ ีส่วนร่วม
ต้องได้รบั การยอมรบั และเคารพในสิทธิส่วนบุคคล เพราะเป็นจรรยาบรรณท่ีเกยี่ วข้องกับสทิ ธิสว่ น
บุคคล
การวจิ ยั เชิงปฏบิ ัติการและการวิจยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมีส่วนรว่ ม 47
2. ยดึ ถอื รปู แบบการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการแบบมสี ่วนรว่ มที่เน้นความเป็นศาสตรเ์ ชิงวิพากษ์
การนําเสนอผลการวิจยั อิงกบั แนวคิดเชิงวพิ ากษ์ แสดงหลักฐานประกอบ ทง้ั ข้อมูล สถติ ิ ภาพถ่าย
เอกสาร หรืออื่นๆ ถงึ ส่ิงท่ีไดร้ ว่ มกนั คดิ รว่ มกนั ปฏบิ ัติ ร่วมกันสงั เกตผล และร่วมกนั สะท้อนผล
การเปลี่ยนแปลง ทั้งท่ีสําเรจ็ และไมส่ าํ เร็จ และผลการเรียนรูท้ ่ีเกิดข้นึ ทั้งในระดับบคุ คล ระดับกลมุ่
ผรู้ ่วมวิจัย และระดับองคก์ าร
3. ใหค้ วามสําคญั กบั กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี ท่จี ะตอ้ งทบทวนขึ้นมาอย่างมจี ุดมงุ่ หมาย
อยา่ งมคี วามหมาย และอย่างมีประโยชน์ทีจ่ ะทาํ ให้ผ้วู ิจัยมีความไวเชิงทฤษฎีต่อการนําไปใช้อธบิ าย
ปรากฏการณห์ รอื การใหค้ ําแนะนําตอ่ ผูร้ ่วมวจิ ยั ในลักษณะท่ไี มใ่ ช่เปน็ การยดั เยยี ด ไมใ่ ห้เปน็ ตวั ชนี้ ํา
หรือไม่ใหม้ อี ทิ ธิพลต่อการนําไปปฏบิ ตั ิของผู้ร่วมวิจัย แต่จะตอ้ งคํานงึ ถงึ การเปน็ ทางเลือก การ
เป็นตวั เสริม
4. การสร้างทัศนคตทิ ี่ดใี ห้เกดิ ขน้ึ กบั ผู้ร่วมวิจัยและผู้เก่ยี วขอ้ งว่า ทฤษฎกี ับการปฏบิ ัติ
เป็นสิง่ ทไี่ ปด้วยกันได้ ไมไ่ ดเ้ ป็นเสน้ ขนานทไ่ี ม่มวี นั บรรจบกนั สร้างกรอบแนวคิดใหผ้ ูร้ ว่ มวิจัยและ
ผเู้ กีย่ วข้องไดเ้ ข้าใจและตระหนกั ถึงความสมั พันธเ์ ชงิ บวกในลกั ษณะสามเส้าระหว่าง “การวจิ ัย”
“ทฤษฎี” และ “การปฏิบัติ” หรอื “นักวิจัย” “นักทฤษฎ”ี และ “นกั ปฏบิ ตั ิ”
5. แสดงบทบาทการส่งเสริมสนับสนุนการเสริมพลังทางวิชาการ ( academic
empowerment) แกผ่ ู้ร่วมวจิ ยั โดยหากมีการตดั สนิ ใจร่วมกันจากผู้ร่วมวิจัย ว่ามีความประสงค์ท่ีจะ
ศึกษาหาความรู้ความเข้าใจ หรือเพ่ิมพูนโลกทัศน์ เพิ่มเติม เช่น การศึกษาดูงานของบุคคลหรือ
หน่วยงานท่ีทําประสบผลสําเร็จ การจัดอบรมสัมมนา การเชิญวิทยากร เป็นต้น ผู้วิจัยจะทําหน้าท่ี
ส่งเสรมิ สนบั สนนุ และอํานวยความสะดวกในการจดั กจิ กรรมต่าง ๆ เหลา่ นั้นใหแ้ ก่ผรู้ ่วมวิจยั ดว้ ย
6. ผวู้ จิ ยั เน้นบทบาทการเปน็ ผู้มสี ว่ นร่วมและเป็นผ้สู ง่ เสรมิ สนับสนนุ และอาํ นวยความสะดวก
ใหม้ กี ารปฏิบัติตามแผนเชิงปฏิบัติการที่กําหนดไว้ โดยมุ่งให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนดตาม
หลกั การ “มุง่ การเปลี่ยนแปลง และมงุ่ ใหเ้ กิดการกระทําเพื่อบรรลุผล” พยายามไม่ให้ความช่วยเหลือ
ใดๆ ท่ไี ด้อยา่ งงา่ ยๆ หรอื สาํ เร็จรปู เกนิ ไป
7. ใหม้ กี ารบนั ทึกผลการดาํ เนินงานท้ังของผูว้ จิ ยั และผู้ร่วมวิจยั โดยคาํ นึงถึงหลกั การบันทึก
1) การเปลยี่ นแปลงในกจิ กรรมและการปฏิบตั ิ
2) การเปลย่ี นแปลงในคําอธิบายถึงส่ิงทป่ี ฏบิ ตั ิ
3) การเปล่ียนแปลงในความสัมพันธท์ างสงั คมและรูปแบบองคก์ าร และ
4) การพฒั นาตนเอง
จากการร่วมในการวิจัย และจัดให้มีการพบปะสนทนาแลกเปล่ียนความคิดเห็นกันเป็น
ระยะ ๆ ตามหลักการรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้ร่วมวิจัยทุกคน การวิเคราะห์วิพากษ์และประเมินตนเอง
ตลอดจนเกิดกระบวนการเรียนรู้รว่ มกันอยา่ งเป็นระบบการกําหนดหัวข้อเกี่ยวกับการดําเนินการวิจัย
การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารและการวจิ ยั เชิงปฏิบตั กิ ารแบบมสี ว่ นร่วม 48
นอกจากจะยึดถอื หลัก 7 ประการดงั กล่าวข้างต้นแล้ว ผู้วิจัยได้ใช้กรอบความคิดแสดงขั้นตอนในการ
ดําเนินการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Freeman (1998) ซึ่งมี 7 ขั้นตอน ได้แก่ขั้นตอน what-why-
where-who-how-when และ so what มาใช้ด้วย ดังน้ี ขั้นตอนท่ี 1 อะไร (what)? การกําหนด
เปาู หมายของการแสวงหาความรู้ หรือการระบปุ ัญหาวิจัย ขน้ั ตอนท่ี 2 ทําไม (why)? การระบุเหตุผล
ความจําเป็น และความสําคัญหรือความเป็นมาของปัญหา ข้ันตอนท่ี 3 ท่ีไหน (where)? การระบุ
สถานท่ี หรือ พื้นที่ที่จะดําเนินการวิจัย ข้ันตอนที่ 4 ใคร (who)? การระบุตัวผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย
และ บทบาทของผู้ท่ีมีส่วนร่วมข้ันตอนท่ี 5 อย่างไร (how)? ข้ันตอนประเภทของข้อมูลท่ีต้องการ
วธิ กี ารรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล ขน้ั ตอนท่ี 6 เมอ่ื ไร (when)? การกําหนดช่วงเวลาการดําเนินงาน
วิจัย ข้ันตอนที่ 7 แล้วอะไร (so what) ? การระบุเหตุผลท่ีผลการวิจัยมีความสําคัญ การกําหนดตัว
บุคคลที่ ผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ บุคคลท่ีมีความคิดเห็นแตกต่างจากนักวิจัย การจัดกิจกรรม
แลกเปลี่ยนประสบการณ์และขยายผลการวิจัย โดยกล่าวถึงวิธีดําเนินการวิจัยในหัวข้อต่าง ๆ
ตามลาํ ดบั
วิธีดําเนินการวิจัยครั้งน้ี ประกอบด้วย สถานที่หรือพ้ืนท่ีท่ีดําเนินการวิจัย ผู้ร่วมวิจัยและ
บทบาทของผรู้ ่วมวจิ ยั ข้นั ตอนการวจิ ัย เคร่ืองมือที่ใช้ในการวจิ ัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์
ขอ้ มลู และการเขียนรายงานผลการวิจยั ตามรายละเอยี ดดังน้ี
1. สถานท่หี รือพื้นท่ที ดี่ ําเนนิ การวจิ ยั การวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั ิการแบบมีส่วนร่วมเรื่อง “การพัฒนา
งานวิชาการด้วยหลักการบูรณาการในโรงเรียนขนาดเล็ก: การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม” น้ี
เป็นการวิจัยในระดับโรงเรียน (school wide) ที่ดําเนินการโรงเรียนเปูาหมายโดยการเลือกแบบ
เจาะจง (purposive sampling) ตามคุณลักษณะ 3 ประการคือ ประการที่หนึ่ง เป็นโรงเรียนขนาด
เล็กที่ไม่ได้มาตรฐานด้านผู้เรียนและไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานการประเมินภายนอกของ สมศ.
ประการที่สอง เป็นโรงเรียนท่ีมีความประสงค์เข้าร่วมพัฒนางานวิชาการด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
แบบมสี ว่ นร่วม โดยผู้วจิ ัยได้สัมภาษณ์ผูบ้ ริหาร และรว่ มประชมุ กบั คณะครู คณะกรรมการสถานศึกษา
และตวั แทนชมุ ชน ในโรงเรียนเพ่ือสอบถามความประสงคใ์ นการร่วมวิจัยในคร้งั น้ี และประการสุดท้าย
เปน็ โรงเรียนท่ีมคี วามเป็นไปไดท้ ่ผี ู้วจิ ัยจะสามารถเข้าไปปฏิบัติงานภาคสนามเป็นช่วง ๆ ในระยะเวลา
ตดิ ต่อกนั ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ระหวา่ งวันที่ 1 ตลุ าคม 2550 – 30 กนั ยายน 2551 (คาบเก่ียว
ระหว่างภาคปลายปีการศึกษา 2550 และภาคต้นปีการศึกษา 2551) โดยพิจารณาในด้านการ
คมนาคม ความปลอดภัย การประสานงานติดต่อท่ีรวดเร็ว และการเข้าไปเก็บข้อมูลในการสังเกต
การสัมภาษณ์ และการบันทกึ ภาพ/เสียงในกิจกรรมที่ดําเนินการ ผลจากการเลือกสถานท่ีดําเนินการ
วิจยั คอื โรงเรียนบ้านบึงฉมิ หมู่ที่ 4บ้านบงึ ฉิม ตําบลบงึ เนยี ม อาํ เภอเมอื งขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแกน่
การวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติการและการวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมีส่วนรว่ ม 49
2. ผรู้ ่วมวจิ ยั และบทบาทของผ้รู ว่ มวจิ ยั
2.1 ผู้ร่วมวิจัย เนื่องจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ จัดทําขึ้นในระดับ
โรงเรียน (schoolwide) ผู้วิจัยได้กําหนดผู้ร่วมวิจัย (research participant) โดยยึดเกณฑ์ในการ
คัดเลือกผมู้ ีสว่ นรว่ มในการวจิ ยั คอื
1) เปน็ บคุ คล กลุม่ บคุ คลและหน่วยงานทีเ่ ก่ียวขอ้ งท้ังในโรงเรียน และนอกโรงเรียนใน
การดําเนินการส่งเสริมสนบั สนุนและร่วมปฏิบตั งิ านกับโรงเรียนบ้านบงึ ฉิม และ
2) สมัครใจเข้าร่วมงานวิจัย รวมทง้ั สิน้ จาํ นวน 66 คน จาํ แนกได้ดงั นี้
2.1.1 บคุ ลากรในโรงเรยี น ประกอบด้วย คณะกรรมการโรงเรยี น จํานวน 9 คน
และผู้บรหิ ารโรงเรยี นและครู จาํ นวน 4 คน รวม 13 คน
2.1.2 บุคลากรภายนอกโรงเรยี น ประกอบดว้ ย ผู้ปกครองนักเรียน 49 คน
ผู้ใหญ่บ้านและกาํ นนั ตาํ บลบงึ ฉมิ จํานวน 1 คน นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตําบลบงึ ฉมิ จํานวน 1 คน
ศึกษานิเทศก์ และนกั วเิ คราะห์นโยบายและแผน ชํานาญการพเิ ศษ จาํ นวน 2 คน รวม 53 ราย
2.2 บทบาทของผรู้ ่วมวิจัย โดยผวู้ จิ ยั กบั ผรู้ ่วมวิจยั มบี ทบาทในลักษณะเปน็ ความรว่ มมือ
รวมพลัง (collaboration) มีสถานะที่เท่าเทยี มกนั ในการร่วมกันคดิ รว่ มกันปฏบิ ัติ รว่ มกันสงั เกตผล
และรว่ มกันสะทอ้ นผลทั้ง 2 วงจร 10 ขนั้ ตอน
3. ข้ันตอนการวจิ ยั
ในการดําเนินการวิจัยคร้ังนี้ มี 2 วงจร 10 ขั้นตอนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 (คาบเก่ียว
ระหว่างภาคปลายปีการศึกษา 2550 และภาคต้นปีการศึกษา 2551) โดยแต่ละขั้นตอนมี
การดาํ เนินการ ดังนี้
ขนั้ ตอนท่ี 1 การเตรยี มการ (preparation) จดั ประชมุ เชงิ ปฏิบัตกิ ารในวันพฤหัสบดที ี่
25 ตุลาคม 2550 เวลา 09.00-14.00 น. ณ โรงเรียนบ้านบึงฉิม มีจุดมุ่งหมายเพ่ือการนํากรอบ
ความคิดของการวิจัย เสนอแนะและช้ีถึงประโยชน์ที่ผู้ร่วมวิจัยจะได้รับ และยอมรับสิทธิของผู้ท่ีไม่
ประสงค์ทจ่ี ะรว่ มวจิ ยั ร่วมท้ังสร้างความตระหนักในการวิจัยและการปฏิบัติงานควบคู่กันไปทั้งในตัว
บุคคล กลุ่มบุคคล และโรงเรียน โดยผู้วิจัยเป็นผู้ช้ีแจงต่อผู้ร่วมวิจัย และดําเนินการในข้ันตอนน้ี 4
ข้ันตอนคือ ขั้นตอนการสร้างมิตรภาพและแลกเปล่ียนเรียนรู้ ข้ันตอนการสร้างความตระหนักและ
ความเข้าใจร่วมกัน ขั้นตอนการสร้างแผนท่ีการทํางาน (road map) เพื่อการวิจัย และข้ันตอนการ
ประเมินและสรุปผล โดยผวู้ ิจัยและผู้ร่วมวิจัยได้ดําเนินการวางแผนร่วมกันในการเตรียมบุคลากรเข้า
รว่ มประชมุ ทรัพยากร เครือข่าย และอ่ืน ๆ ท่ีจะใช้ประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการและใช้ในการ
วิจัย จากน้ันได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม” โดยมีการ
อภปิ ราย บรรยาย และซักถามแนวทางการวิจัยเพื่อให้เกิดความกระจ่างร่วมกัน และได้ร่วมกันจัดทํา
แผนท่ีการทํางาน (road map) ตลอดระยะเวลาของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ระหว่างวันท่ี
การวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการและการวิจยั เชิงปฏิบตั กิ ารแบบมีส่วนรว่ ม 50
1 ตลุ าคม 2550 – 30 กนั ยายน 2551 แบ่งออกเป็นสองช่วงๆละ 1 ภาคการศึกษา คือภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2550 และภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 และจัดทําเป็นเอกสารมอบให้ผู้ร่วมวิจัย
ทกุ คน
ขัน้ ตอนท่ี 2 การวางแผน (planning) จดั การประชุมเชิงปฏิบัติในวันที่ 12, 17, 21 ธันวาคม
2550 ระหว่างเวลา 10.00 – 13.00 น. ณ โรงเรียนบ้านบึงฉิม มีจุดมุ่งหมายเพ่ือการศึกษาวิเคราะห์
ให้ทราบถงึ สภาพทเ่ี คยเปน็ มา สภาพปจั จบุ ัน สภาพที่คาดหวัง สภาพปัญหาอุปสรรคงานวิชาการของ
โรงเรยี นที่เปน็ ภาพรวม การประเมินเพอื่ กําหนดประเด็นปัญหาท่ีต้องการปรับปรุง แก้ไข หรือพัฒนา
และการจัดทําแผนปฏิบัติการ (action plan) สําหรับข้ันตอนนี้มีการดําเนินการ 5 ข้ันตอนคือ
ขนั้ ตอนวเิ คราะหส์ ภาพท่เี คยเปน็ มา ปัจจบุ นั และสภาพทคี่ าดหวังขนั้ ตอนกําหนดปัญหา และทําความ
เขา้ ใจปญั หา ขน้ั ตอนประเมนิ ประเด็นปญั หาที่ตอ้ งการแกไ้ ขขน้ั ตอนการวางแผนปฏบิ ตั ิการ/โครงการ/
กิจกรรม และข้ันตอนการประเมินและสรุปผล โดยผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัย ได้ร่วมกันเตรียมเอกสารท่ี
เกี่ยวข้องกับโรงเรียนต้ังแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเตรียมบุคคล รูปแบบ/โครงร่างการวางแผน/
โครงการ/กิจกรรม แนวการจดั กลุ่มทํางานการแบ่งงานแบ่งหน้าที่ การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์และสื่อ
ประกอบการประชุม รวมทั้งปากกา สมุดบันทึกอนุทินที่จะแจกผู้ร่วมวิจัย การจัดเตรียมสถานที่
อาหารวา่ ง อาหารกลางวันและอน่ื ๆ จากน้ันได้มีจดั การประชมุ เชิงปฏบิ ตั กิ ารในวันเวลาท่ีกําหนดไว้ใน
ขั้นตอนนี้ข้างต้น โดยเร่ิมจากการเล่าประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านบึงฉิมและโรงเรียนบ้านบึงฉิม
โดยผูม้ ีอาวโุ สของหมู่บ้านและประธานกรรมการสถานศึกษา ผู้ร่วมวิจัยร่วมกันอภิปราย แสดงความ
คดิ เห็นจนเป็นที่พอใจ ผู้วิจยั จงึ ไดน้ ําผลการศึกษาวเิ คราะหก์ รอบแนวคดิ เชิงทฤษฎีเก่ียวกับการพัฒนา
งานวิชาการและปัญหาของงานวิชาการจากบทที่ 2 เสนอผู้ร่วมวิจัยได้รับทราบ ทั้งที่เป็นเอกสาร
(documents) และการนําเสนอรายงาน (oral presentation) ต่อจากผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยร่วมกัน
ประเมนิ เพือ่ รบั ผดิ ชอบประเด็นปัญหาละ 1 ทีม ตามที่ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยร่วมกันกําหนดข้ึนโดยได้
ดําเนินการแบ่งทีมเจ้าภาพเป็นทีมงานโครงการในตอนท้ายของข้ันตอนน้ี ต่อจากน้ันได้ร่วมกัน
อภิปรายแนวการใช้หลักการบูรณาการเพื่อการพัฒนางานวิชาการ โดยให้ผู้ร่วมวิจัยได้แสดงความ
คิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างเต็มที่ และผู้วิจัยนําเสนอกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีการใช้ “หลักการ
บูรณาการเพื่อการพัฒนางานวชิ าการ” (จากบทท่ี 2) นําเสนอผูร้ ว่ มวจิ ัยได้รับทราบ ท้ังทเี่ ปน็ เอกสาร
(documents) และการนําเสนอรายงาน (oral presentation) แล้วให้แต่ละทีม ร่วมกันอภิปราย
เพ่ือนําไปปรับหรือประยุกต์ใช้กับแนวคิดของแต่ละทีมตามความเหมาะสม มีการสรุปผลลงใน
แผ่นกระดาษ และแตล่ ะทมี รว่ มกันจดั ทําแผนปฏิบัติการในประเด็นปัญหาท่ีได้รับการเลือกไว้โดยเน้น
การใชห้ ลักการบูรณาการเพอื่ การพัฒนาหรือแก้ไขปัญหา โดยมีการกําหนดสภาพปัจจุบันของปัญหา
สภาพที่คาดหวงั ให้เกดิ ขน้ึ แนวทางการดําเนินงานเชิงบูรณาการเพื่อการแก้ปัญหากําหนดการดําเนิน
กิจกรรมตามชว่ งเวลาต่าง ๆ ทรัพยากรที่จะใช้ เครื่องมือที่ใช้วัดผลการเปล่ียนแปลง แบบบันทึกการ
การวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารและการวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ว่ นร่วม 51
เปลี่ยนแปลง และอ่ืนๆสําหรับภาคเรียนท่ี 1 หรือการวิจัยวงจรท่ี 1 เสร็จแล้วมีการนําเสนอร่วมกัน
วพิ ากษ์ ปรับปรุงแก้ไข และผู้วิจัยนาํ มารวบรวม จดั ทําเป็นเอกสารมอบให้ผู้ร่วมวิจัยทุกคนเพื่อใช้เป็น
แนวทางการปฏบิ ตั ติ ่อไป
สําหรับการแบ่งทีมงานโครงการ ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัย ได้มีความเห็นและกําหนดทีมงาน
โครงการออกเป็น 3 ทีม คือ ทีมผักบุ้ง (ชั้นอนุบาล – ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1) ทีมต้นหอม (ชั้น
ประ ถมศึกษาปีที่ 2 -3) และทีมผักคะ น้า (ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 -6) นอ กจากนี้ยัง มี
การกาํ หนดทมี แกนนําอกี 1 ทมี โดยผ้วู ิจยั และผู้ร่วมวจิ ยั คัดเลือกมาจากตัวแทนทั้ง 3 ทีม รวม 16 คน
ข้ันตอนท่ี 3 การปฏิบัติ (acting) โดยแต่ละทีมท่ีรับผิดชอบหรือเป็นเจ้าภาพ นําแผนปฏิบัติการ/
โครงการ/กิจกรรมท่จี ดั ทําขึ้นไปปฏิบัติ ในระหว่างเดือนธันวาคม 2550 – กรกฎาคม 2551 โดยการ
ดําเนนิ การในข้นั ตอนน้ีมี 3 ขนั้ ตอน คือ ขั้นตอนกําหนดแนวทางปฏิบัติ ข้ันตอนปฏิบัติกิจกรรม และ
ข้ันตอนการประเมินและสรุปผล โดยแต่ละทีมได้วางแผนกําหนดแนวปฏิบัติตามแผนท่ีจัดทําขึ้นใน
ขน้ั ตอนที่ 2 และไดร้ ่วมกนั ปฏบิ ตั ิ โดยมีทมี แกนนาํ ประสานงานการดาํ เนินงาน และใหผ้ รู้ ว่ มวจิ ยั แตล่ ะ
คนบันทกึ อนทุ ินส่วนตวั (personal journal) เปน็ รายสัปดาห์ ใน 4 ประเดน็ ดังนี้ 1) การเปล่ียนแปลง
ในกิจกรรมและการปฏิบัติ 2) การเปล่ียนแปลงในคําอธิบายถึงสิ่งท่ีปฏิบัติ 3) การเปล่ียนแปลงใน
ความสัมพันธ์ทางสังคมและรูปแบบองค์การของกลุ่ม และ 4) การพัฒนาตนเองหรือสิ่งท่ีเกิดการ
เรียนรูจ้ ากการร่วมในการวจิ ยั จากนน้ั ทีมแกนนําสังเกตผลการดําเนินโครงการตามท่ีผู้วิจัยและผู้ร่วม
วิจัยกาํ หนดและมอบหมาย เพอ่ื การประเมินผลการปฏิบัตใิ น
ข้ันตอนที่ 3 น้ี ให้ทราบจุดเด่น จุดบกพร่อง และข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข มีการ
พบปะเสวนาเพื่อประเมินผลความก้าวหน้าผลการดําเนินงาน (formative evaluation) และการ
ปรับปรุงแก้ไข เดือนละคร้ัง ในแต่ละคร้ังนําเอาบันทึกอนุทินส่วนตัวมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกัน
และกัน มีการบนั ทึกผลการประเมนิ ผลความกา้ วหน้าและปรบั ปรงุ แกไ้ ขในแต่ละครั้งด้วย
ขัน้ ตอนที่ 4 การสงั เกตผล (observing) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการในวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์
2551 เวลา10.00 – 13.00 น. โดยมีจุดม่งุ หมายเพื่อประเมินผลที่เกิดข้ึน (summative evaluation)
ท้งั ผลที่คาดหวังและท่ไี ม่คาดหวัง และการตีความปรากฏการณ์ต่าง ๆ จากการดําเนินงานโครงการ/
กิจกรรมหรือกระบวนการปฏิบัติงานว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงใดได้องค์ความรู้ใหม่ ทฤษฎีใหม่
หรือเกดิ การเรียนรใู้ หมอ่ ะไรบ้างเกี่ยวกับการพัฒนางานวิชาการสําหรับขั้นตอนท่ี 4 การสังเกตผล มี
ขนั้ การปฏบิ ัติ 3 ข้นั ตอนคือ ขน้ั ตอนการกาํ หนดรูปแบบและวธิ กี าร ข้นั ตอนการนําเสนอรายงาน และ
ขน้ั ตอนการประเมนิ และสรุปผล โดยการวางแผนเพ่ือการสังเกตผลในข้ันตอนนี้ ทีมผู้วิจัยมอบหมาย
ให้ทีมแกนนําเป็นทีมดําเนินการตามกรอบและทางท่ีผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยกําหนด ซ่ึงทีมแกนนําเป็น
ตัวแทน จํานวน 9 คนแบ่งเป็น 3 ทีมคือ ทีมที่ 1 ทีมที่ 2 และทีมท่ี 3 ซ่ึงแต่ละทีมจะมีตัวแทนจาก
สถานศึกษา ผู้ปกครอง/ชุมชน และสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาฯ ดําเนินการสังเกตผล ซึ่งในการ
การวิจยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารและการวจิ ยั เชิงปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม 52
ปฏบิ ตั ิ (acting) ทีมแกนนาํ แต่ละทีมดําเนนิ กจิ กรรมการสงั เกตผลตามทไี่ ดว้ างแผนไว้ และตามท่ีผู้วิจัย
และผู้รว่ มวจิ ยั มอบหมาย เพ่ือร่วมกนั ประเมินผลที่เกิดขน้ึ (summative evaluation)
ข้ันตอนที่ 5 การสะท้อนผล (reflecting) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการในวันพุธท่ี 14 มีนาคม
2551 เวลา 10.00 – 13.00 น. โดยมีจุดหมายเพ่ือสรุปผลการดําเนินงานที่ผ่านมาทั้งหมด ผลการ
เรียนรู้ท่ีเกิดข้ึน และข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข สําหรับข้ันตอนที่ 5 การสะท้อนผล
(reflecting) มีการดําเนินการ 3 ข้ันตอนคือ ข้ันตอนการสังเคราะห์ความรู้ ขั้นตอนการนําเสนอ
รายงาน และขัน้ ตอนการประเมินและสรุปผล โดยทีมแกนนําสรุปรายงานผลการสังเกตผล เสนอเพื่อ
ขอความเห็น และความพึงพอใจจากผู้ร่วมวิจัย จากนั้นผู้วิจัยนํามาสังเคราะห์เขียนเป็นสรุปผลการ
ดําเนนิ งานที่ผ่านมาโดยภาพรวม สิ่งท่ีทําสําเร็จ ไม่สําเร็จ ส่ิงที่ควรปรับปรุงแก้ไข/ข้อเสนอแนะ และ
การเรียนรทู้ ่ีเกดิ ขนึ้ จากนนั้ จัดทาํ เป็นเอกสาร
ขนั้ ตอนที่ 6 การวางแผนใหม่ (re- planning) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันอังคารที่ 8
กรกฎาคม 2551 เวลา 10.00 – 13.00 น. มีจุดมุ่งหมายเพ่ือถอดบทเรียน ศึกษาทบทวนผลการ
ดําเนินงานและจัดทําแผนปฏิบัติงานใหม่ ซ่ึงข้ันตอนน้ี มีการดําเนินการ 5 ข้ันตอนคือ ข้ันตอน
วิเคราะหส์ ภาพที่เคยเปน็ มา ปัจจุบัน และสภาพท่ีคาดหวัง ขั้นตอนกําหนดปัญหาและทําความเข้าใจ
ปัญหา ขนั้ ตอนประเมินประเด็นปัญหาท่ีต้องการแก้ไข ข้ันตอนการจัดทําแผนปฏิบัติการ/โครงการ/
กจิ กรรมใหม่ และขน้ั ตอนการประเมินและสรุปผล โดยผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยได้ร่วมกันทบทวนผลการ
ปฏบิ ตั ิงานท้ังหมดทีผ่ า่ นมา และร่วมกนั วางแผนใหม่ในกิจกรรมของโครงการท่ียังไม่ประสบผลสําเร็จ
ตามเปูาหมายที่กําหนดไว้ จากนั้นก็นําสู่การปฏิบัติ โดยผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยทั้งหมดดําเนินกิจกรรม
ตามท่วี างแผนใหมไ่ ว้ เชน่ ร่วมกันวเิ คราะห์ วิพากษ์ ผลการดําเนนิ งานท้งั กรณรี ายประเด็นปัญหาและ
โดยภาพรวม และรว่ มกันกาํ หนดประเด็นปัญหาเพ่ือการปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาในภาคเรียนท่ีสอง
โดยเป็นประเด็นปัญหาที่ต้องการดําเนินงานต่อเนื่องและแต่ละทีมร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติการใน
ประเด็นปัญหาท่ีเลือก เน้นการใช้หลักการบูรณาการเพ่ือปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนา โดยให้มีการ
กําหนดสภาพปัจจุบันของปัญหา สภาพทค่ี าดหวงั ให้เกิดข้ึน แนวทางการดาํ เนินงานเชิงบูรณาการเพื่อ
การแก้ปัญหา กําหนดการดําเนินกิจกรรมตามช่วงเวลาต่าง ๆ ทรัพยากรท่ีจะใช้ และอ่ืน ๆ สําหรับ
ภาคเรยี นทสี่ อง เสร็จแล้ว มีการนําเสนอเพ่ือร่วมกันวิพากษ์ ปรับปรุงแก้ไข แล้วผู้วิจัยนํามารวบรวม
จัดทําเปน็ เอกสารมอบใหผ้ ูร้ ว่ มวิจยั ทกุ ราย
ข้ันตอนที่ 7 การปฏิบตั ใิ หม่ (re-acting) โดยแตล่ ะทีมโครงการนาํ แผนปฏิบัติการใหม่ที่จัดทํา
ขนึ้ ไปปฏบิ ัติ ในระหวา่ งเดอื นกรกฎาคม 2551 – กนั ยายน 2551 โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือนําแผนปฏิบัติ
การใหม่ที่จัดทําขึ้นไปปฏิบัติให้บรรลุผล ซ่ึงในข้ันตอนท่ี 7 การปฏิบัติใหม่ (re-acting) มีการ
ดําเนินการ 3 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนกําหนดแนวทางปฏิบัติ ขั้นตอนปฏิบัติกิจกรรม และข้ันตอนการ
การวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารและการวิจยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมีส่วนรว่ ม 53
ประเมินและสรุปผล โดยได้ปฏิบัติตามแผนที่จัดทําขึ้นในข้ันตอนท่ี 6 และมีการดําเนินงาน
เช่นเดยี วกับข้นั ตอนท่ี 3
ข้ันตอนท่ี 8 การสงั เกตผลใหม่ (re-observing) จดั ประชมุ เชิงปฏบิ ัติการในวันที่ 29 สิงหาคม
2551 เวลา 10.00 – 13.00 น. เพือ่ ประเมนิ ผลที่เกิดขน้ึ (summative evaluation) ท้ังผลที่คาดหวัง
และทไี่ มค่ าดหวงั และการตีความปรากฏการณ์ต่างๆ จากกิจกรรมหรือกระบวนการปฏิบัติงานว่า ได้
องค์ความรู้ใหม่ ทฤษฎีใหม่ หรือเกิดการเรียนรู้ใหม่อะไรบ้างเกี่ยวกับพัฒนางานวิชาการโดยใช้หลัก
การบูรณาการ สาํ หรบั ขัน้ ตอนน้มี ีการดําเนินการ 3 ขัน้ ตอนคอื ขนั้ ตอนการกําหนดรูปแบบและวิธีการ
ขน้ั ตอนการนาํ เสนอรายงาน และขน้ั ตอนการประเมินและสรุปผล โดยแต่ทีมงานโครงการจัดประชุม
ปรกึ ษาหารือแนวปฏิบัติเกยี่ วกบั การจัดกจิ กรรมการสงั เกตผลใหม่ และ
มอบใหท้ ีมแกนนาํ จาํ นวน 9 คน ดาํ เนนิ การสงั เกตผลตามแนวทางเช่นเดยี วกบั ขั้นตอนที่ 4 การสังเกต
ผล ได้แก่ ร่วมกันประเมินผลท่ีเกิดข้ึน (summative evaluation) ทั้งผลที่คาดหวังและที่ไม่คาดหวัง
และรว่ มกันตีความปรากฏการณ์ต่าง ๆ จากกิจกรรมหรือกระบวนการปฏบิ ัติงานว่า ได้องค์ความรู้ใหม่
ทฤษฎใี หม่ หรอื เกดิ การเรียนรใู้ หมอ่ ะไรบา้ งเกีย่ วกับพัฒนางานวชิ าการโดยใช้หลกั การบรู ณาการ
ขั้นตอนท่ี 9 การสะท้อนผลใหม่ ( re- reflecting) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการในวันศุกร์ที่ 12
กันยายน 2551 เวลา 10.00 น. โดยมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือสรุปผลการดําเนินงานท่ีผ่านมาท้ังหมด
การเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึน และข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข แล้วผู้วิจัยนํามาสังเคราะห์เขียนเป็น
สรปุ ผลการดําเนนิ งานท่ผี า่ นมาโดยรวม การเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึน และข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข
แลว้ จดั ทําเป็นเอกสาร สําหรบั ขนั้ ตอนนี้ มกี ารดาํ เนนิ การ 3 ข้นั ตอนคอื ข้นั ตอนการสังเคราะห์ความรู้
ข้ันตอนการนําเสนอรายงาน และข้ันตอนการประเมินและสรุปผล โดยการร่วมกันสรุปผลการ
ดาํ เนนิ งานทผี่ า่ นมาทงั้ หมด การเรียนรูท้ เ่ี กิดข้นึ และขอ้ เสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข โดยทีมแกน
นําเป็นผู้นําเสนอ สิ่งท่ีทําสําเร็จ ไม่สําเร็จ ส่ิงที่ควรปรับปรุงแก้ไข และการเรียนรู้ที่เกิดข้ึน ทราบ
จดุ เด่น จุดบกพรอ่ ง และข้อเสนอแนะเพ่ือการปรบั ปรงุ แก้ไข
ข้ันตอนที่ 10 การสรุปผล (conclusion) มีสองระยะ คือ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ 1 วันใน
วันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2551 เวลา 10.00 – 13.00 น. เพื่อถอดบทเรียน (After Action Review :
AAR) ศึกษาทบทวนผลการดําเนินงานในข้ันตอนท่ี 6-9 และระยะท่ี 2 จัดประชุมเชิงวิชาการ
“การประชุมเชิงวิชาการ: นวัตกรรมการพัฒนางานวิชาการในโรงเรียนขนาดเล็ก” 1 วัน ในวันที่ 26
กนั ยายน 2551 เวลา 09.00 – 15.30 น. โดยมจี ุดมุง่ หมายเพื่อสรุปผลการวิจัยในข้ันตอนที่ 1-9 และ
หาข้อสรุปในประเด็นเก่ียวกับการเปล่ียนแปลง การเรียนรู้จากการปฏิบัติ และองค์ความรู้จากการ
ปฏิบตั ิ โดยมกี จิ กรรมดาํ เนินการในขั้นตอนนี้ คือ การประชุมเชิงวิชาการ การจัดนิทรรศการ การฉาย
วีดิทัศน์ การแสดงของนักเรียนและผู้ปกครอง/ชุมชน การจําหน่ายผลผลิตของนักเรียนและชุมชน
และการตรวจสขุ ภาพ
การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและการวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม 54
การดําเนินงานวิจัย 2 วงจร 10 ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยกําหนดให้มีกิจกรรมการ
เตรียมการ การวางแผน การปฏิบตั ิ การสงั เกต การสะทอ้ นผล และการสรุปผล เพ่ือให้การดําเนินการ
วจิ ัยเปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย ถกู ต้อง และเป็นระบบ เช่นเดียวกับขั้นตอนการวจิ ัยท่ี
ผ่านมา ดังนั้น ขนั้ ตอนการวิจยั และแนวปฏบิ ตั ใิ นการวจิ ยั แต่ละข้ันตอน
เครอ่ื งมอื
ในการวิจัยครัง้ น้ี ใชร้ ปู แบบการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการแบบมสี ่วนร่วมที่ วิโรจน์ สารรัตนะ (2550)
พัฒนาขึ้น เป็นรูปแบบที่เน้นความเป็นศาสตร์เชิงวิพากษ์ (critical science) ที่มีลักษณะเป็นการ
พรรณนาหรือบรรยายเชิงวิพากษ์ (critical description) ท่ีจะก่อให้ “เกิดองค์ความรู้” จากบุคคล
และผู้เก่ียวข้องในหน่วยงาน เพ่ือการพัฒนางานวิชาการโดยใช้หลักการบูรณาการเป็นตัวสอดแทรก
ในลกั ษณะเปน็ การพัฒนาองคค์ วามรู้ฐานรากจากการกระทํา (grounded knowledge from doing)
และเป็นการวิจัยที่จะก่อให้ “บุคคล” เกิดการเรียนรู้ข้ึน ท้ังในระดับบุคคล ระดับกลุ่มบุคคล และ
ระดับโรงเรียน เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ตามหลักการเรียนรู้จากการกระทํา (learning by
doing) ดังนั้นผู้วิจัยได้กําหนดเครื่องมือเพ่ือใช้ในการวิจัยตามกรอบแนวคิดของ Mills (2007) ซ่ึง
จาํ แนกเปน็ สามกลุม่ ดงั นี้
1. แบบสังเกต (observation form) มี 1 ฉบับ (เครื่องมือการวิจัยฉบับท่ี 1) โดยเป็นแบบ
สังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation) ท่ีใช้สังเกตเกี่ยวกับดําเนินงานวิชาการที่เคย
เป็นมา สภาพปัจจุบัน และปัญหาของงานวิชาการ มี 2 ตอน คือ ตอนท่ี 1 การสังเกตและตรวจสอบ
เอกสารท่ัวไป และตอนที่ 2 การสังเกตและการตรวจสอบเอกสารงานวิชาการที่เก่ียวกับสภาพการ
ดาํ เนนิ งานวชิ าการที่เคยเป็นมา สภาพปัจจุบัน และปัญหางานวิชาการ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มคือกลุ่ม
การพัฒนาหลักสตู ร กลมุ่ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ กลุ่มการวัดและประเมินผล กลุ่มการพัฒนา
สื่อและนวัตกรรมการเรยี นรู้ และกลมุ่ สง่ เสริมละพฒั นาการประกันคณุ ภาพงานวชิ าการ
2. แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (indepth interview) และแบบสัมภาษณ์กลุ่ม (focus group
interview) มี 5 ฉบบั คอื แบบสัมภาษณ์เชงิ ลึก(เครอื่ งมอื การวิจยั ฉบบั ที่ 2 และ 3) แบบสมั ภาษณ์
บคุ ลากรในโรงเรียน (เครื่องมือการวิจัยฉบับที่ 6) และแบบสัมภาษณ์กลุ่ม (เครื่องมือการวิจัยฉบับท่ี
10 และ 11) ซงึ่ แบบสัมภาษณ์ทั้ง 5 ฉบับเป็นแบบสัมภาษณ์แบบปลายเปิดใน 2 ประเด็นท่ีสําคัญคือ
1) สภาพทเ่ี คยเปน็ มา สภาพปัจจุบัน สภาพปัญหา สภาพท่ีคาดหวัง ทางเลือกเพื่อการแก้ปัญหาหรือ
บรรลสุ ภาพทค่ี าดหวงั ในการพฒั นางานวชิ าการของโรงเรยี นขนาดเล็ก ประเมินเลือกได้ทางเลือกเพ่ือ
การปฏิบัติ และ 2) การนําทางเลือกท่ีประเมินได้ไปปฏิบัติ โดยใช้หลักการบูรณาการมาเป็นตัว
สอดแทรก มีปรากฏการณ์การปฏิบัติกันอย่างไร ได้ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงเพียงใดตัวบุคคล
กลุ่มบคุ คลและโรงเรียนเกดิ การเปลยี่ นแปลงอะไร และการวิจยั ได้ก่อใหเ้ กิดองค์ความร้อู ะไร
การวิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารและการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม 55
3. แบบตรวจสอบหรอื บนั ทึก (examining/records) ได้แก่
3.1 บนั ทึกอนุทนิ (journal)
3.2 แผนท่ี (maps)
3.3 เครือ่ งบันทึกเสยี งและบนั ทกึ ภาพ (audiotapes and videotapes)
3.4 หลักฐานส่งิ ของ (artifacts)
3.5 บนั ทกึ ภาคสนาม (fieldnotes)
3.6 แบบสาํ รวจ (เครอ่ื งมือการวจิ ยั ฉบบั ท่ี 4) เป็นแบบสํารวจขอ้ มูลเบือ้ งตน้ ของโรงเรียน
บ้านบงึ ฉมิ ทผ่ี ู้วจิ ยั พฒั นาขนึ้ ตามกรอบและคาํ ถามของการวจิ ัย
3.7 แบบบนั ทึกการประชมุ (เครื่องมอื การวจิ ัยฉบบั ท่ี 5) เป็นแบบบนั ทกึ การประชมุ ที่ใช้
แบบฟอรม์ ตามระเบียบสํานกั นายกรฐั มนตรี ว่าดว้ ยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526
3.8 แบบติดตามประเมินโครงการ ระหว่างดาํ เนินการ (เคร่อื งมือการวจิ ยั ฉบบั ที่ 7) เปน็
แบบติดตามประเมินโครงการ ที่ปรับใช้ตามแบบติดตามประเมินโครงการของสํานักงานเขตพื้นท่ี
การศกึ ษาขอนแกน่ เขต 1
3.9 แบบประเมินโครงการ (เครื่องมอื การวจิ ยั ฉบบั ท่ี 8) ทปี่ รบั ใช้ตามแบบประเมิน
โครงการของสาํ นกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาขอนแก่น เขต 1
3.10 แบบประเมนิ มาตรฐานการศึกษาข้ันพื้นฐาน (เครือ่ งมอื การวิจัยฉบบั ท่ี 9) ท่ปี รบั ใช้
ตามแบบประเมินมาตรฐานการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน เพ่ือการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา
ของสาํ นกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาขอนแก่น เขต 1
สําหรับการตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมือ เป็นการตรวจสอบเชงิ โครงสรา้ งและเนอ้ื หา
(Content Validity)ของเคร่ืองมือในการวิจัยทั้ง 3 กลุ่ม คือ แบบสังเกต (observation form) แบบ
สัมภาษณ์เชิงลึก (indepth interview) แบบสัมภาษณ์กลุ่ม (focus group interview) และแบบ
ตรวจสอบหรือบันทึก (examining/records) โดยผู้วิจัยนําไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบ จากนั้นนํามา
ปรับปรุงแก้ไขตามคําแนะนําของผู้เช่ียวชาญ และนํากลับไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบอีกคร้ังก่อน
นําไปใช้จริง ซ่ึงผู้เชี่ยวชาญมีท้ังหมด 5 คน ประกอบด้วย นายสุริยนต์ วะสมบัติ ผู้อํานวยการ
สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาขอนแก่น เขต 1, ดร.ทวีศิลป์ สารแสน รองผู้อํานวยการสํานักงานเขต
พ้ืนทกี่ ารศึกษาขอนแกน่ เขต 1, ดร. แสงสรุ ีย์ ดวงคําน้อยศกึ ษานิเทศก์ สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ขอนแก่น เขต 1, ดร. สมหวัง บุญสิทธ์ิ ศึกษานิเทศก์ สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาขอนแก่น เขต 1
และ ดร.สมั ฤทธ์ิ กางเพ็ง ผ้อู ํานวยการโรงเรียนบ้านหนองกุงครุ ุราษฎร์รงั สรรค์
การวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารและการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม 56
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยต่างมีบทบาทหน้าที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในส่วนที่เก่ียวข้องกับ
ตนเองโดยเร่ิมจากการปฏิบัติภาคสนามในโรงเรียนและหมู่บ้าน ในปีงบประมาณ 2551 ในช่วง
ระหวา่ ง 1 ตลุ าคม 2550 ถงึ 30 กันยายน 2551 (แบ่งออกเปน็ สองภาคเรยี น) โดยแบง่ เวลาในการ
ปฏิบตั ิงานตามตารางกาํ หนดวนั และเดอื น เพือ่ ใหเ้ ห็นสภาพข้อเทจ็ จรงิ ท้งั ในสว่ นท่ีเหน็ ชัดเจนและ
แฝงเรน้ จากขน้ั ตอนการวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ มท้ัง 10 ขัน้ ตอน โดยใช้เครอ่ื งมือที่
หลากหลายดังกลา่ วในหวั ขอ้ ที่ 4
การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากเคร่ืองมือที่เลือกใช้ในการวิจัย ท่ีได้จากการจัดกิจกรรมต่างๆ ทั้ง 10 ข้ันตอน
จะนํามาวิเคราะหร์ ว่ มกนั เป็นระยะ ๆ โดยประยุกตใ์ ชแ้ นวคิดของ อมรา พงศาพชิ ญ์ (2526) ดงั นี้
1. จัดทําขอ้ มูลให้เปน็ หมวดหมตู่ า่ งๆ โดยพจิ ารณาถึงวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั เป็น
หลักในการแบ่งปรากฏการณ์และหาความถข่ี องปรากฏการณท์ ี่เกิดข้นึ โดยแบง่ ออกเปน็ 6
สถานการณ์ คือ
1.1 การกระทํา (acts) คือ การใช้ชีวิตประจําวัน การกระทําหรือพฤติกรรมต่างๆของ
บคุ ลากรทใี่ ช้ในการวจิ ัย
1.2 กิจกรรม (activities) คือ การกระทํา หรือพฤติกรรมที่เป็นกระบวนการที่มีขั้นตอน
และมีลกั ษณะต่อเนือ่ ง
1.3 ความหมาย (meaning) คือ คําอธิบายของบุคคลเก่ียวกับการกระทําหรือกิจกรรม
เพอ่ื ทราบโลกทศั น์ ความเชือ่ ทัศนคติของชุมชน
1.4 ความสัมพันธ์ (relationship) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในชุมชนที่เกี่ยวข้อง
จะได้ทราบความสัมพันธ์ ความขดั แยง้ ความเกยี่ วโยงของบคุ ลากร
1.5 การมีสว่ นรว่ มในกิจกรรม (participation) คือ การปรับตวั บคุ คล การใหค้ วามร่วมมือ
และยอมเป็นส่วนของโครงสร้างกิจกรรมการบรหิ าร พร้อมจะเป็นพวกเดียวกัน จะทราบความขัดแย้ง
และราบรืน่ ไดช้ ัดเจน
1.6 สภาพสังคม (setting) คอื ภาพรวมทุกแง่มุมท่ีสามารถบันทึกจากภาคสนามเกี่ยวกับ
กจิ กรรมใน 10 ขน้ั ตอนของการวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมีส่วนรว่ ม
2. จัดแบ่งข้อมลู จากบนั ทกึ ภาคสนามของผู้วจิ ยั ในส่วนทเี่ ปน็ ข้อความพรรณนา
เหตุการณเ์ กยี่ วกับกิจกรรมใน 10 ข้ันตอนของการวิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ว่ นร่วม
การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม 57
3. การวิเคราะห์ข้อมลู ทาํ ใหเ้ ปน็ สภาพปัจจุบนั จากขอ้ ความพรรณนาเหตกุ ารณ์เกี่ยวกบั
กจิ กรรมใน 10 ข้ันตอนของการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วม โดยนํารายงานการวิเคราะห์ข้อมูล
ของแต่ละวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่วิเคราะห์แล้ว ไปให้บุคลากรท่ีเก่ียวข้องได้รับทราบช่วยยืนยัน
ตรวจแก้ไขผลการวิเคราะห์ และคําแนะนําเพ่ือปรับปรุงรายงานให้ถูกต้องสมบูรณ์มากข้ึนการ
ตรวจสอบข้อมูลจะใช้บุคลากรหลายคนในเหตุการณ์ของกิจกรรม ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีเป็นเชิง
ปริมาณ ผู้วิจัยก็ใช้ค่าสถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย เพ่ือให้เป็นข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบกับ
เปาู หมาย หรือแสดงใหเ้ หน็ การเปล่ียนแปลงท่ีเกดิ ขึน้
การเขยี นรายงานผลการวจิ ยั
เขียนและนําเสนอรายงานการวิจัยในรูปแบบอิงแนวคิดเชิงวิพากษ์ (critical approach)
แสดงหลักฐานประกอบ ทั้งข้อมูล สถิติ ภาพถ่าย เอกสาร หรืออ่ืนๆ ถึงสิ่งที่ได้ร่วมกันคิด ร่วมกัน
ปฏิบตั ิ รว่ มกนั สงั เกตผล และร่วมกันสะท้อนผล ว่าไดผ้ ลเปน็ อยา่ งไร ทั้งท่ีสําเร็จและไม่สําเร็จเกิดการ
เรยี นรู้ หรือมีทฤษฎีใหม่หรือองค์ความรู้ใหม่อะไรข้ึนมาบ้างจากการปฏิบัติ ท้ังในระดับบุคคล ระดับ
กลมุ่ บคุ คล และระดบั โรงเรียน มีข้อเสนอแนะอะไรและอย่างไรสําหรับบุคคลอ่ืนหรือหน่วยงานอื่นที่
ตอ้ งการจะพฒั นาหรือแก้ปญั หางานน้นั ๆ ดังน้ัน การนําเสนอผลการวิจัยมีลักษณะเป็นการพรรณนา
หรือบรรยายเชงิ วิพากษ์ (critical description) จากการปฏบิ ตั ิจรงิ ทั้ง 2 วงจร 10ข้ันตอน โดยในช่วง
แรกของแต่ละข้ันตอนจะนําเสนอเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในลักษณะการเล่าเรื่อง (story telling) ตาม
ความเป็นจริงและเป็นกลาง (factual and neutral manner) การเปล่ียนแปลง (change) จากการ
ปฏิบตั ิจรงิ การเรียนรจู้ ากการปฏบิ ัติ (learning by doing) และองคค์ วามรู้จากการปฏบิ ตั ิจริง
ผลการวจิ ยั
1. สภาพทเ่ี คยเปน็ มา สภาพปจั จุบัน สภาพปัญหา สภาพท่คี าดหวงั ทางเลือกเพอื่
แก้ปัญหาหรือบรรลุสภาพที่คาดหวังการพฒั นางานวชิ าการ
1.1 สภาพงานวิชาการของโรงเรียนท่ีเคยเปน็ มา โรงเรียนบา้ นบงึ ฉิมก่อตงั้ มาเมือ่ ปี พ.ศ.
2480 สภาพของโรงเรยี นด้านบรหิ ารจัดการท่วั ไปได้รบั งบประมาณสนันสนุนจากรัฐบาล และมีชุมชน
เข้ามาชว่ ยเหลืออย่างตอ่ เนอ่ื ง สว่ นงานวิชาการ ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนให้ความสําคัญในด้าน
การเรียนการสอน เป็นประเด็นหลักรองลงมา คือ การพัฒนาส่ือการเรียนรู้การวัดและประเมินผล
และการพัฒนาหลกั สูตรตามลาํ ดับ ในช่วงปี พ.ศ. 2546 โรงเรียนเริ่มมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบมาก
ย่ิงขึ้น เพราะมีระบบการประกันคุณภาพภายในและคุณภาพภายนอกเข้ามาในระบบโรงเรียน
ส่วนสภาพปญั หาด้านวชิ าการท่ีผ่านมาไม่ว่าจะเปน็ ปัญหาดา้ นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เด็กขาดทักษะ
การคิดวิเคราะหส์ ังเคราะห์ ครูขาดทกั ษะการจดั การเรยี นการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ การพัฒนา
การวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ ารและการวิจัยเชิงปฏิบตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม 58
หลักสตู รสถานศกึ ษามกี ารพัฒนาน้อย หรือปัญหาครูมีภารกิจอื่นไม่ได้สอนอย่างเต็มที่ ปัญหาเหล่าน้ี
ล้วนเป็นปัญหาภายในท่ีมีสาเหตุจากครูไม่ครบช้ัน โรงเรียนจัดโครงสร้างบทบาทหน้าท่ีของครู หรือ
เครอื ข่ายทเ่ี กย่ี วข้องไมช่ ดั เจนเกดิ ความสับสนในการปฏิบัติงานไม่มีการกระจาย ภาระงานท้ังหมดจึง
ตกอยู่ทผี่ ูบ้ รหิ ารโรงเรียนเพยี งคนเดยี ว
1.2 สภาพปจั จุบนั งานวชิ าการของโรงเรยี น ในปี พ.ศ. 2550 โรงเรยี นบ้านบึงฉมิ
เปดิ สอนต้งั แต่ระดับช้นั อนบุ าลถงึ ระดับช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรยี นรวมท้ังส้นิ 49 คน เปน็
ผู้บริหารโรงเรียน 1 คน ครูผ้สู อน 3 คน ครูพีเ่ ล้ยี ง 1 คน และนกั การภารโรง 1 คน บุคลากรมี
วุฒิปรญิ ญาโท 1 คน และปรญิ ญาตรี 3 คน มชี ่วั โมงสอนคนละ 25 ชวั่ โมง/สปั ดาห์ (สอนประจาํ ชน้ั )
และไดร้ ับการพฒั นาเฉลีย่ ปีละ 3 ครง้ั /ป/ี คน ผูบ้ รหิ ารโรงเรยี นและครทู ้งั หมดไม่ได้พกั ในหมบู่ ้าน
แตค่ รพู ี่เลี้ยงและนกั การภารโรงไดพ้ ักอยู่ในหมูบ่ า้ น สภาพงานวิชาการปจั จบุ ันของโรงเรยี น
โรงเรียนดาํ เนนิ การจดั ด้านการเรียนการสอน เป็นประเด็นหลกั รองลงมา คอื การพฒั นาสอื่ การ
เรียนรู้ การวัดและประเมินผล การพฒั นาหลกั สตู ร และการประกันคุณภาพภายในและภายนอก
โรงเรยี นตามลาํ ดบั
1.3 สภาพปัญหาในปจั จบุ นั โรงเรียนบ้านบงึ ฉิมมีปญั หาท่ีสาํ คญั หลายประการ
ได้แก่ ปัญหานักเรยี นมผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นตาํ่ โดยเฉพาะในรายวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
และภาษาอังกฤษ ปัญหาด้านการพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษามนี ้อย การเรียนการสอนไม่สามารถ
ทาํ ไดอ้ ยา่ งเต็มท่ีเพราะครไู ม่ครบชั้น และครผู ูส้ อนจบการศกึ ษาไมต่ รงตามรายวิชาเอก วสั ดุอุปกรณ์
และสอ่ื การเรียนการสอนทจ่ี ะมาช่วยแก้ปญั หาครไู มค่ รบช้ัน มไี มเ่ พยี งพอโดยเฉพาะส่อื ด้านเทคโนโลยี
และปญั หาโรงเรียนไมผ่ า่ นการประเมินจากสาํ นักงานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา
(สมศ.) ซงึ่ สง่ ผลต่อคุณภาพโรงเรียน ครู และนักเรยี น ท้งั นส้ี ืบเน่ืองมาจากปัญหาสาํ คัญสองประการ
คือ ปญั หาครูผูส้ อนไมค่ รบชัน้ และงบประมาณอดุ หนุนจากรฐั มีจํากดั แตโ่ รงเรยี นมจี ดุ เด่นคือ
ชมุ ชนให้การสนบั สนุนโรงเรียนมาโดยตลอด
1.4 สภาพทค่ี าดหวัง โรงเรียนบ้านบึงฉิม มุ่งหวังผ่านการประเมินมาตรฐานการศึกษาขั้น
พน้ื ฐานอิงสถานศกึ ษาในมาตรฐานท่ี 12, 14 และ 15 มีคา่ ระดบั “ดี” หรือ ระดับ“3” ขึ้นไป
1.5 การประเมินทางเลือกเพ่ือแก้ปัญหาหรือบรรลุสภาพท่ีคาดหวัง ในการประเมิน
ทางเลือกในการแก้ปัญหาและพัฒนางาน โดยกําหนดพัฒนาโรงเรียนให้ได้มาตรฐานการศึกษาข้ัน
พ้นื ฐาน ในมาตรฐานที่โรงเรยี นได้รบั การประเมินตา่ํ กว่ามาตรฐานหรือต้องการพัฒนามาตรฐานให้สูง
ยิ่งข้ึน
การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการและการวิจยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม 59
การประเมินทางเลือกเพ่อื แก้ปัญหาหรือบรรลุสภาพทค่ี าดหวัง ผู้วจิ ัยและผู้รว่ มวิจัยได้ร่วมกัน
กาํ หนดหลักเกณฑ์การพจิ ารณาทางเลือกฯ ดงั น้ี 1) ปญั หามผี ลกระทบต่อโรงเรียนหรือไม่ 2) ปัญหามี
ความยากง่ายแค่ไหนในการแก้ไข 3) โรงเรียนมีความพร้อมในการแก้ไขมากน้อยเพียงใด 4) ได้รับ
ความร่วมมือในการแก้ปัญหาจากส่วนไหนบ้าง 5) ปัญหานั้นสอดคล้องกับนโยบายของหน่วยงาน
บังคับบญั ชาหรือไม่ 6) เป็นปัญหาท่ีบคุ คล กลุ่ม และโรงเรียนต้องการแกไ้ ขและพฒั นามากทีส่ ุด
หลังจากใช้เกณฑ์ในการพิจารณา ปรากฏกว่าทําให้ได้มาตรฐานในการแก้ปัญหาและพัฒนา
งานวิชาการ 3 มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 12 สถานศึกษามีการจัดองค์กร
โครงสร้าง ระบบบริหารและพฒั นาองค์กรอย่างเป็นระบบครบวงจร มาตรฐานท่ี 14 สถานศึกษามีการ
จัดหลักสูตรและกระบวนการเรยี นร้ทู ่เี นน้ ผเู้ รียนเป็นสําคัญ และมาตรฐานท่ี 15 สถานศึกษามีการจัด
กจิ กรรมสง่ เสรมิ คุณภาพผเู้ รยี นอยา่ งหลากหลาย โดยโรงเรียนไดจ้ ัดทาํ เปน็ แผนปฏิบัติการงานวิชาการ
จาํ นวน 3 โครงการเพอื่ แก้ไขมาตรฐานการศึกษาข้ันพนื้ ฐานและพฒั นางานวชิ าการ คอื
1) โครงการพัฒนาการจัดองค์กร โครงสร้างการบริหารและจดั งานวชิ าการและพัฒนาองค์กร
อย่างเปน็ ระบบครบวงจร
2) โครงการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและสาระหลักสูตรท้องถ่ินและการจัดกระบวนการ
เรียนรทู้ ีเ่ น้นผู้เรยี นเป็นสําคญั และ
3) โครงการจัดกจิ กรรมสง่ เสริมคุณภาพผเู้ รียนอยา่ งหลากหลาย
2. การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และองคค์ วามรู้จากการปฏิบตั จิ รงิ
2.1 การเปลีย่ นแปลงจากการปฏิบัติจริง จาํ แนกเป็นสองลักษณะ คอื การเปลี่ยนแปลง
ตามทค่ี าดหวงั และการเปล่ียนแปลงที่ไม่คาดหวงั ดังนี้
1) การเปล่ยี นแปลงตามท่คี าดหวงั
ผลจากการประชุมเชงิ ปฏิบัตกิ าร ในประเดน็ สภาพทีค่ าดหวังของโรงเรียนบา้ น
บงึ ฉิม คือ การมงุ่ หวงั ที่ผา่ นการประเมินมาตรฐานการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานในมาตรฐานท่ี 12, 14 และ 15
องิ สถานศึกษามคี ่าระดับ “ดี” หรือ ระดับ “3 ” ขึ้นไป และทีมผู้วิจัยได้ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติการ
งานวิชาการร่วมกัน จํานวน 3 โครงการเพ่ือแก้ไขและพัฒนามาตรฐานการศึกษาข้ันพื้นฐานและ
พัฒนางานวิชาการ คือ 1) โครงการพัฒนาการจัดองค์กร โครงสร้างการบริหารและจัดงานวิชาการ
และพัฒนาองค์กรอย่างเป็นระบบครบวงจร 2) โครงการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและสาระ
หลักสูตรท้องถ่ินและการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ 3) โครงการจัดกิจกรรม
ส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนอย่างหลากหลายซึ่งนําเสนอผลการดําเนินงานท่ีคาดหวัง โดยภาพรวม
โครงการ/กิจกรรมที่บรรลุผลที่คาดหวัง จากการดําเนินโครงการ จํานวน 3 โครงการ 17 กิจกรรม
พบว่า โดยภาพรวมสาํ เรจ็ ท้งั 3 โครงการ และมกี จิ กรรมทสี่ าํ เรจ็ 16 กิจกรรม ดังนี้
การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิการและการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม 60
โครงการที่ 1 โครงการพัฒนาการจัดองค์กรโครงสร้างการบริหารและจัดการงานวิชาการ
และพัฒนาองค์กรอย่างเป็นระบบครบวงจร โดยบรรลุผลสําเร็จ 5 ตัวชี้วัด 5 กิจกรรม คือ กิจกรรม
การประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําโครงสร้างฯ การเย่ียมบ้านนักเรียน การศึกษาดูงานผ้าปุาการศึกษา
และจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และสื่อการสอนโปรแกรมสําเร็จรูป จากสภาพเดิมก่อนการดําเนินงาน
โครงการฯน้ี หรอื มาตรฐานท่ี 12 โรงเรยี นมฐี านขอ้ มูลเดิมในมาตรฐานน้ีอยู่ระดับ 2.60 หรือ “พอใช้”
และทมี ผู้วจิ ัยต้งั เปาู หมายหรอื สภาพทีค่ าดหวังไว้ที่คา่ ระดับ 3.00 หรือ “ดี” ขึ้นไป ผลการดําเนินงาน
เมอ่ื ประเมนิ แล้วสามารถดําเนนิ การได้อยู่ท่คี ่าระดับ 3.20
โครงการท่ี 2 โครงการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้น
ผู้เรียนเป็นสําคัญ มี 7 ตัวช้ีวัด 5 กิจกรรม บรรลุผลสําเร็จ 6 ตัวชี้วัด 4 กิจกรรม ได้แก่ การประชุม
ปฏบิ ัตกิ ารจัดทําหลกั สูตรทอ้ งถิน่ การศึกษาดงู าน กิจกรรมพ่อครูแม่ครู และการนิเทศการสอน แต่ใน
ภาพรวมของโครงการฯมีผลการดําเนินการอยู่ในระดับ 3.00 หรือ “ดี” ซึ่งเป็นไปตามเปูาหมายหรือ
สภาพทค่ี าดหวังที่ต้ังไวท้ ร่ี ะดับ 3.00 หรือ “ดี” ขึ้นไป จากโรงเรียนมีข้อมูลฐานเดิมในมาตรฐานที่ 14
อยู่ระดบั 2.65 หรือ “พอใช้”
โครงการท่ี 3 โครงการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนอย่างหลากหลายด้วยหลักการ
บูรณาการ บรรลุผลสาํ เร็จ 7 ตัวชวี้ ดั 7 กิจกรรม ได้แก่ การประชุมเชิงปฏิบัติการเพ่ือการวางแผนจัด
กิจกรรม การดูแลช่วยเหลือนักเรียน กิจกรรมทางวิชาการ กิจกรรมค่านิยมที่ดีงาม กิจกรรมสืบสาน
ประเพณีและภูมิปัญญาไทย กิจกรรมกฬี า ดนตรี ศิลปะ และกิจกรรมส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
จากสภาพเดิมก่อนดําเนินงานมาตรฐานท่ี 15 โรงเรียนมีฐานข้อมูลเดิมในมาตรฐานนี้อยู่ระดับ 2.90
หรอื “ดี” และทีมผู้วิจัยตง้ั เปาู หมายหรอื สภาพท่ีคาดหวังไว้ที่ค่าระดับ 3.00 หรือ “ดี” ข้ึนไป ผลการ
ดาํ เนนิ งานเมื่อประเมินแล้วสามารถดาํ เนนิ การไดอ้ ยทู่ ่คี ่าระดบั 3.28
จากการดําเนินงานทั้ง 3 โครงการ โดยภาพรวมผ่านสภาพท่ีคาดหวังหรือเปูาหมายของ
โรงเรียน คือ ผ่านการประเมินมาตรฐานการศึกษาข้ันพ้ืนฐานในมาตรฐานที่ 12,14 และ15 อิง
สถานศึกษามคี ่าระดบั “ดี” หรอื ระดบั “3 ” ขึน้ ไป โดยภาพรวมโครงการ/กิจกรรมประสบผลสําเร็จ
ตามที่คาดหวังไว้ แต่เม่ือพิจารณารายกิจกรรมพบว่า มีกิจกรรมที่ไม่สําเร็จ 1 กิจกรรม คือ การจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้ มคี ่าระดบั “2” หรอื “พอใช้” ของโครงการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการ
จัดกระบวนการเรียนร้ทู ีเ่ น้นผ้เู รยี นเป็นสําคญั นี้
2) การเปลย่ี นแปลงทไ่ี มค่ าดหวัง
การเปลีย่ นแปลงทีไ่ ม่คาดหวังหลังจากการวิจัยคร้ังน้ี เกิดข้ึนใน 3 ระดับ คือ ระดับบุคคล
ระดับกลมุ่ บุคคล และระดับโรงเรยี น ดังน้ี
การวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั ิการและการวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม 61
2.1) ระดบั บุคคล ประกอบดว้ ย นกั เรียน ครู ผ้อู าํ นวยการโรงเรียนและผู้ปกครอง
นักเรียน
นักเรยี น พบว่า นกั เรียนมพี ฤตกิ รรมดีขนึ้ ได้แก่ การไม่ใช้จ่ายฟมุ เฟือย เชอ่ื
ฟังพ่อแม่ นอนตื่นไม่สาย เชื่อฟังผู้ใหญ่และมีระเบียบวินัยเพิ่มขึ้น ต้ังใจเรียนสนใจค้นคว้า มีความ
อดทนอดกลั้นในการเรียน เรียนรู้ได้อย่างมีความสุขไม่ขาดเรียน รู้จักการคิดวิเคราะห์คิดสังเคราะห์
และใช้คอมพิวเตอร์ในเรียนรูเ้ พม่ิ มากยง่ิ ขน้ึ และสนใจใชแ้ หล่งเรียนรู้ต่างๆ ในโรงเรียน เช่น ห้องสมุด
ห้องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในปีการศึกษา 2551 ดังผลการทดสอบ O-
NET ปีการศกึ ษา 2551 ชนั้ ป.6 วิชาภาษาไทยมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 43.93 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับจังหวัด
(42.54%) และระดบั ประเทศ (42.02) ส่วนวิชาคณติ ศาสตร์และวิทยาศาสตร์ยังมีค่าตํ่ากว่าค่าคะแนน
เฉล่ยี ระดบั จงั หวดั และระดับประเทศ (43.75%)
ครู พบวา่ ครูศกึ ษาแผนการจดั เรยี นรแู้ บบบรู ณาการคละช้นั และสอนตาม
แผนการรู้จดั การเรยี นรแู้ บบบรู ณาการท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญเพ่ิมข้ึน และใช้สื่อ/ใช้เทคโนโลยีในการ
จดั การเรียนการสอนและมีรูปแบบการจดั การเรียนรูท้ ี่หลากหลาย สามารถทํางานรวมกับผู้อ่ืนได้อย่าง
มคี วามสขุ ดงั จะเห็นได้จากการที่ครผู สู้ อนจํานวน 3 คน ไม่ยื่นคําร้องขอย้าย 1 คน ซึ่งแต่เดิมทุกปีครู
จะยน่ื คําร้องขอย้ายทุกคน
ผู้บริหารโรงเรยี น พบวา่ มคี วามร้แู ละเข้าใจทกั ษะการบริหารงานวชิ าการ
รู้เทคนิควิธกี ารสง่ เสรมิ ให้ผเู้ ก่ียวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของโรงเรยี น ทัง้ จากภายใน
และนอกโรงเรียนมากย่ิงข้ึน และดําเนินงานบริหารจัดการงานวิชาการอย่างเป็นระบบครบวงจร
โดยศึกษา บทบาทและหนา้ ท่ีของตนเองด้วยความเข้าใจและนําสูก่ ารปฏิบตั ิ
ผ้ปู กครองนกั เรียน พบว่า ผู้ปกครองมีทัศนคติเปล่ยี นไปจากเดิมมีทัศนคติ
คดิ ว่า การจัดการศึกษาเป็นของโรงเรยี น เปลีย่ นเปน็ การจัดการศึกษาต้องอาศัยท้ังทางโรงเรียน บ้าน
และชุมชน นอกจากน้ีมีพฤตกิ รรมเอาใจใส่ดแู ลบุตร/หลานของตนเองในการศกึ ษามากขึ้นและเข้ามามี
บทบาทในการจัดการเรียนรู้การพัฒนาโรงเรียนมากกว่าเดิม เพราะเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของ
ตนเอง
2.2) ระดับกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย คณะกรรมการสถานศึกษาคณะครู คณะผู้ปกครอง
นกั เรียน
คณะกรรมการสถานศึกษา พบวา่ รจู้ กั บทบาทหนา้ ท่ขี องตนเองชัดเจน เขา้ ไปมสี ว่ น
รว่ มในการจัดการศึกษาของโรงเรียน เป็นหัวแรงใหญ่ในการระดมทรัพยากรมาบริหารจัดการศึกษา
เข้ามาช่วยเหลือ สนับสนุน ปัจจัยการบริหารในโรงเรียนมีความพร้อมในการจัดการเรียนรู้ เข้ามามี
บทบาทในการมีส่วนร่วมและกําหนดทิศทางการจัดการศึกษาของโรงเรียนมากขึ้น ทํางานใกล้ชิด
การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและการวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ว่ นร่วม 62
โรงเรียนมากยิ่งขึ้น ประสานข้อมูล/ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนผู้ปกครองและชุมชน และติดตาม
การทํางานของโรงเรยี นที่กําหนดไว้ในแผนปฏบิ ตั ิการประจําปีอยา่ งสมํ่าเสมอและตอ่ เนอ่ื ง
คณะครู พบวา่ กลา้ แสดงความคิดเห็น ทาํ งานรว่ มกบั ผู้อืน่ ได้อยา่ งมคี วามสุข
สามารถประสานการทํางานเป็นทีมรู้เข้าใจบทบาทและหน้าท่ีของตนเอง ช่วยเหลือเพ่ือนร่วมวิชาชีพ
ในการพฒั นาตนเอง และผเู้ รียน การทาํ งานมที ศิ ทางและเปูาหมายทีช่ ดั เจน
คณะผปู้ กครองนักเรียน พบว่า รู้จกั การรวมกล่มุ ประสานการทํางานระหว่างกลุ่ม
แลกเปลี่ยนข้อมูลทางการศึกษาและรว่ มกันวเิ คราะห์ปัญหาและหาหนทางแกไ้ ขร่วมกนั ได้
2.3) ระดับโรงเรยี น พบว่า โรงเรียนมหี ลักสตู รทอ้ งถิ่น มีคูม่ อื การปฏบิ ตั งิ านตามบทบาท
หน้าท่ีของผู้ท่ีเกี่ยวข้องโรงเรียนการทํางานเป็นระบบครบวงจรตั้งแต่การมีวิสัยทัศน์ มีแผนกลยุทธ์
แผน ปฏิบตั กิ าร โครงการ/กจิ กรรม การตดิ ตาม กาํ กับ การประเมนิ ผลและการรายงานผล ผู้บริหารมี
การนเิ ทศการสอนเพ่ิมขน้ึ ชุมชนให้การสนับสนุนเงินสดเพ่ือใช้จ่าย ในการจัดการศึกษาของโรงเรียน
เพ่ิมมากเป็น 5 เท่าจากปกติที่เคยได้ปีละ 30,000 -35,000 บาท เป็น 160,231 บาท ผู้ปกครองส่ง
บุตรหลานเข้าเรียนเพ่ิมข้ึน ดังสถิติจํานวนนักเรียนเพ่ิมขึ้นจากเดิมในปีการศึกษา 2550 มีจํานวน
ท้ังสิ้น 49 คน ปีการศึกษา 2551 มีจํานวนท้ังหมด 51 คน เพิ่มขึ้น 2 คน และปีการศึกษา 2552 มี
จาํ นวนทง้ั หมด 55 คน เพม่ิ ขึน้ 3 คน
2.2 การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ในระดับบุคคล ระดับกลุ่มบุคคลและระดับโรงเรียน
ปรากฏดังนี้
1) ระดับบคุ คล ประกอบด้วย ผวู้ ิจัย ผูป้ กครอง ผูน้ ํา ท้องถิ่น ครู ผู้บรหิ ารโรงเรยี น
และเจ้าหนา้ ท่ี สํานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาขอนแก่น เขต 1 เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ดงั นี้
ผวู้ จิ ัย พบวา่ ผวู้ ิจยั รวู้ ิธกี ารสร้างมติ รภาพกับผู้รว่ มวจิ ัยและเรยี นรู้การสร้าง
แรงจูงใจให้เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยที่มีความแตกต่างกัน รู้การเช่ือมโยงภาพ
ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตและปัจจุบันที่เชื่อมโยงไปสู่ภาพความคาดหวังท่ีมีความเกี่ยวเน่ืองสัมพันธ์
กันของงานวชิ าการ รูก้ ารออกแบบการวางแผนด้วยหลักการบูรณาการจากสภาพที่เป็นจริงบนสภาพ
บริบท และความรู้สึกนึกคิดของผู้ร่วมวิจัยท่ีมีความคิดเห็นและประสบการณ์ที่แตกต่างกันและรู้วิธี
ปฏิบัตใิ นการนาํ หลักการสกู่ ารปฏิบตั โิ ดยการกระตนุ้ ให้ผูร้ ว่ มวจิ ัยแสดงองค์ความรู้เดิมที่ผู้ร่วมวิจัยมีอยู่
ออกมา และผู้ร่วมวิจัยแสดงความคิดเห็นในเชิงทฤษฎีหรือหลักการร่วมกันได้ข้อสรุปร่วมกันเป็นข้ัน
ดังน้ี ข้นั ท่ี 1 เล่าเรอ่ื ง (story telling) ในประเด็น/หัวข้อหลักในเรื่องที่ต้องการศึกษา/พัฒนา ข้ันที่ 2
นําเสนอหลักการ ในประเด็น/หัวข้อหลักในเรื่องที่ต้องการศึกษา/พัฒนาในขั้นที่ 1 ขั้นท่ี 3 อภิปราย
และประมวลจัดกลุ่มคําพูดหรือการอภิปราย โดยการสังเคราะห์ ขั้นที่ 4 ร่วมกันกําหนดหรือสร้าง
ขอ้ ตกลงในการปฏบิ ตั ิรว่ มกัน
การวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและการวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม 63
ผู้ปกครอง พบวา่ ผ้ปู กครองรวู้ ธิ กี ารดูแลบุตร/หลานในการศึกษาเลา่ เรียนเพม่ิ ข้นึ
และรูว้ ธิ กี ารช่วยเหลอื กลมุ่ บุคคล หรอื โรงเรยี นได้ถูกต้องและเหมาะสมตามบทบาทหนา้ ท่ี
ผูน้ าํ ท้องถน่ิ พบวา่ ผูน้ าํ ท้องถิ่นรถู้ ึงแนวทางในการร่วมพัฒนาการศกึ ษารู้และ
ประยุกตก์ ารนาํ ไปใชใ้ นงานอ่นื ของชุมชน/ทอ้ งถน่ิ
ครู พบว่า ครรู ู้วิธปี ฏบิ ัตใิ นการร่วมมือกบั บุคคล/หน่วยงานชว่ ยสนับสนุนการเรยี น
การสอน และร้ถู งึ ความรูส้ กึ ของพ่อแม่ท่หี ว่ งใยและความรักทมี่ ีต่อลูก
ผู้บรหิ ารโรงเรียน พบวา่ ผูบ้ ริหารโรงเรยี น ร้กู ระบวนการบริหารและจัดการงาน
วชิ าการอย่างเป็นระบบครบวงจร
ศึกษานเิ ทศก์และนกั วิเคราะห์นโยบายและแผน สํานักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษา
ขอนแก่น เขต 1 ร้วู ิธีการประสานงาน ส่งเสริม สนับสนุน และช่วยเหลืองานวิชาการของโรงเรียนใน
รูปแบบของการทํางานรว่ มกนั ตามหลักการบรู ณาการ
2) ระดับกลมุ่ บคุ คล พบวา่ กลุ่มบุคคลทร่ี ว่ มวจิ ยั (1) รู้วธิ ีการติดตอ่ ส่อื สารประสานงาน
และร่วมปฏิบัติกิจกรรม (2) รู้วิธีการสร้างเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล
(3) รู้วิธีการแกป้ ัญหาอปุ สรรคในการพัฒนางานวิชาการให้ดําเนินไปตามแผนปฏิบัติการ (4) รู้ปัญหา
อุปสรรคท่ีโรงเรียนกําลังเผชิญอยู่ (5) รู้กระบวนการวางแผนท่ีเกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้ร่วมวิจัย
ซ่งึ จะทาํ ใหผ้ ู้รว่ มวจิ ยั มีความรู้ ความสามารถและเจตคติท่ดี ตี อ่ การวจิ ยั และการปฏบิ ัตงิ านควบคู่กันไป
(6) รู้วิธีการปฏบิ ตั งิ านตามแผนปฏบิ ัตกิ ารเพื่อพฒั นางานวิชาการของโรงเรียนเพ่ิมข้ึน นอกเหนือจาก
การเข้าร่วมงานปกติทโ่ี รงเรียนเชิญเข้าร่วม (7) รู้วิธีการยกย่องเพ่ือนร่วมกลุ่ม หรือต่างกลุ่ม ในขณะ
ปฏิบัติงาน (8) รู้วิธีการบันทึกข้อมูลขณะปฏิบัติงาน (9) รู้วิธีทักษะในการทํางานร่วมกันตาม
แผนปฏิบัติการ โครงการ/กิจกรรม (10) รู้วิธีการแลกเปล่ียนความคิดเห็นในการปฏิบัติงานร่วมกัน
อย่างสร้างสรรค์ (11) รูจ้ กั การเสียสละและมีความสามคั คีในกลุ่มและกล่มุ อ่นื ๆ เพ่ิมขึ้น (12) รู้วิธีการ
ประสานความร่วมมือระหวา่ งผู้วิจยั กับผู้รว่ มวิจยั หรอื ระหว่างผูร้ ่วมวิจัยด้วยกันเอง (13) รู้วิธีการเก็บ
รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและตรวจสอบความตรงของข้อมูล (14) รู้วิธีการนําข้อมูล
สารสนเทศมาใช้ในการกํากับ ติดตามความก้าวหน้าของโครงการ การประเมินผลโครงการ และ
นําเสนอข้อมูลสารสนเทศ อย่างมีเหตุผล และน่าเชื่อถือ (15) รู้วิธีการทบทวนการปฏิบัติงาน เพ่ือ
นํามาปฏิบัติงานใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมสามารถขจัดปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ให้ลด
นอ้ ยลง (16) รู้วิธีการนําเสนอรายงานผลการวจิ ยั ต่อทีป่ ระชุมทมี ผู้วิจยั (17) รแู้ นวทางในการอภิปราย
แสดงความคดิ เหน็ เพม่ิ เตมิ จากการการสงั เกตผลใหม่ (18) รแู้ นวทางการสรุปผลการวิจัย หรือรายงาน
ผลการปฏิบัติงานวิชาการอย่างเป็นระบบ และ (19) รู้และมีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนใน
การให้ความรว่ มมอื กบั โรงเรียนในการพัฒนาผู้เรียน
การวิจัยเชงิ ปฏิบัติการและการวิจยั เชิงปฏิบตั กิ ารแบบมีสว่ นรว่ ม 64
3) ระดับโรงเรียน พบว่า บุคลากรในโรงเรียน (1) รู้วิธีการบูรณาการแผนงาน/โครงการ/กิ
จรรมงานวิชาการให้เชื่อมโยงกับงานด้านอ่ืนๆ ของโรงเรียน (2) รู้แนวทางการกระจายอํานาจงาน
วิชาการ (3) รูว้ ธิ ีการสร้างบรรยากาศในการพัฒนางานวิชาการ และการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในโรงเรียน
(4) รู้เกี่ยวกับการสื่อสาร และการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง
ชุมชน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (5) รู้วิธีการจัดทํารายงานผลการดําเนินงานแผนงาน/โครงการ/
กิจกรรม (6) รกู้ ารเปลีย่ นวิธีคิดหรอื วิธที าํ งานใหม่ให้เป็นการทํางานที่เป็นระบบครบวงจรมากข้ึน (7)
รู้และมีความเข้าใจในการวางแผน/โครงการ/กิจกรรม และการทบทวนเพ่ือการวางแผนใหม่ เพ่ือให้
บรรลเุ ปาู หมายทต่ี ้ังเอาไว้ และ (8) รปู้ ัจจยั หรือสงิ่ ที่ทําใหโ้ ครงการ/กจิ กรรมประสบผลสําเร็จ ซึ่งมีท้ัง
สภาพแวดล้อมเหมาะสมท้ังภายในโรงเรียนและชุมชนต่างให้การสนับสนุน สถานการณ์เป็นตัวเร่งท่ี
โรงเรยี นตอ้ งดําเนนิ การ แนวทางการปฏิบัติโครงการ/กิจกรรมมีความเหมาะสมกับสภาพบริบทและ
กลุ่มเปูาหมายมสี ่วนร่วมทุกขั้นตอนผู้ปกครอง/ชุมชน/หน่วยงานให้ความร่วมมืออย่างดีย่ิง เหมาะสม
กับยคุ สมยั ท่ีสถานศึกษาต้องมีมาตรฐานการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยต่างให้เกียรติและ
ยกย่องให้กําลังใจกันอย่างสมํ่าเสมอ ดําเนินการพัฒนางานวิชาการด้วยหลักการ บูรณาการในห้วง
เวลาทเี่ หมาะสมกับนโยบายของรัฐ และปัญหาของโรงเรียน กลุ่มเปูาหมายร่วมกันดําเนินการพัฒนา
วิชาการด้วยหลักการบูรณาการในทุกขั้นตอนของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และการใช้
กระบวนการการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 2 วงจร 10 ข้ันตอนที่เหมาะสมกับบริบทของ
โรงเรียน ของทางราชการนั่นคอื ใชใ้ นปีงบประมาณ และกลมุ่ เปาู หมายได้ทราบและเห็นกระบวนการ
ดําเนินวิจยั อยา่ งต่อเน่ืองทกุ ขั้นตอน
2.3 องคค์ วามรู้จากการปฏบิ ัตจิ รงิ
องคค์ วามรู้เกิดจากการปฏบิ ัติทีเ่ ปน็ แนวคิดทีมฟตุ บอลจากการปฏิบตั ิใน 2 วงจร 10
ข้นั ตอน ดงั นี้
1) องค์ความรู้จากการปฏิบัติทเ่ี ก่ียวกบั การบูรณาการ ซึง่ จากการใช้หลักการ
“บรู ณาการ ” เปน็ ตัวสอดแทรกเพือ่ พัฒนางานวชิ าการ โดยการวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนรว่ ม
โดยเฉพาะผลการปฏิบตั งิ านในข้ันตอนท่ี 2 และ 3 ของวงจรท่ี 1 ได้องค์ความรู้จากการปฏบิ ตั ิ
เกย่ี วข้องกับการบรู ณาการ 3 กรณดี งั น้ี คือ
1.1) องค์ความร้เู ก่ยี วกบั การจัดโครงสร้างการบรหิ ารและจัดการงานวชิ าการ
ตามหลักการบูรณาการแนวทีมฟุตบอลเชิงรุก โดยผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัย ศึกษาจากแนวคิดของวิโรจน์
สารรัตนะ ที่ผู้วิจัยได้ศึกษาไว้ในบทท่ี 2 และได้นําเสนอต่อที่ประชุมผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยในวันที่ 25
ตลุ าคม 2550 ณ อาคารอเนกประสงค์โรงเรียนบ้านบึงฉิม ซึ่งเป็นโครงสร้างแนวราบท่ีมีการกําหนด
เปาู หมายสภาพทีค่ าดหวงั ไว้อย่างชัดเจน และเน้นการบริหารจัดการเพ่ือบรรลุเปูาหมายนั้นในเชิงรุก
ในลักษณะการบูรณาการสรรพกําลังจากทุกฝุายตามบทบาทหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในลักษณะเชิงอุปมา
การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารและการวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม 65
เสมือนทีมฟุตบอล ท่ีมีลักษณะเป็นเป็นกลุ่มปฏิบัติงานภายในภาคสนามเชิงรุก ประกอบด้วย
1) กองหนา้ คือ ทีมงานโครงการ ได้แก่ ครูผู้สอนประจําช้ัน/รายวิชา ผู้ปกครองนักเรียนในช้ันนั้น ๆ
ตัวแทนชุมชน และตัวแทนสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาขอนแก่น เขต 1 2) กองกลาง คือ บุคคลท่ี
ทมี งานเปน็ ผูค้ ัดเลอื กทาํ หนา้ ทเี่ ปน็ ทีมแกนนาํ ในการประสานงาน เช่ือมโยงและปฏิบัติงานเพ่ือพัฒนา
งานวิชาการตามที่ได้รับมอบหมาย และ 3) กองหลัง คือ หัวหน้ากลุ่มสาระ/หัวหน้างานวิชาการของ
โรงเรียนทําหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุน และร่วมปฏิบัติงานกับทีมแกนนํา/ทีมงานโครงการ และ
4) ผู้รักษาประตู คือ ผู้บริหารโรงเรียน ทําหน้าท่ีบริหารจัดการทีมฟุตบอลตามนโยบายของ
คณะกรรมการสถานศึกษา และหน่วยงานต้นสังกัด นอกจากนี้ยังมีผู้ส่งเสริมสนับสนุนภายนอก
โรงเรียนประกอบด้วย สาํ นักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา ชุมชน ผู้ปกครอง และชมรมศิษย์เก่าเพ่ือร่วมกัน
ปฏิบัติงานสู่เปูาหมายเดียวกันคือ โรงเรียนผ่านการประเมินคุณภาพภายในท่ีอิงสถานศึกษาตาม
มาตรฐานการศึกษาข้ันพน้ื ฐานที่ 12, 14 และ 15 มีระดับคุณภาพ ระดับ “ด”ี หรอื “3” ข้นึ ไป
1.2) องค์ความรู้เกี่ยวกับหลักการเพ่ือการบูรณาการที่มีประสิทธิผล 9 ประการ ดังนี้ คือ
การสร้างมิตรภาพและความเข้าใจร่วมกัน การกําหนดเปูาหมายชัดเจน ความมีศรัทธาผู้นํา การยึด
โครงสร้างบทบาทและหน้าที่ในแนวราบ การสร้างประโยชน์ร่วมกัน การมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน การมี
ทมี งานทีห่ ลากหลาย การมีทนุ หรือศักยภาพเดิมกอ่ นพัฒนา และความเสยี สละ
1.3) องค์ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมสนับสนุนและประสานตามบทบาทหน้าท่ีของทุกฝุายที่
เกีย่ วข้องท่จี ะช่วยให้การบูรณาการเป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผล ดงั นี้
1.3.1) กลมุ่ ส่งเสรมิ และสนับสนนุ นอกสถานศกึ ษา ประกอบด้วยสาํ นกั งานเขตพืน้ ที่
การศกึ ษาขอนแก่น เขต 1 ชมุ ชน/ทอ้ งถ่ิน ผู้ปกครอง และชมรมศิษย์เก่า ครู และผู้ปกครองโรงเรียน
บา้ นบงึ ฉมิ
1.3.1.1) สาํ นกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาขอนแก่น เขต 1 มีบทบาทและหน้าที่
(1) ส่งเสรมิ สนับสนุนการพฒั นางานวิชาการของโรงเรยี นอย่างใกล้ชิด หรือตามคําร้องขอ (2) ให้การ
นเิ ทศงานวิชาการอยา่ งน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และ (3) งานอื่นๆ ตามทีโ่ รงเรยี นขอความร่วมมอื
1.3.1.2) ชุมชน/ทอ้ งถ่นิ มีบทบาทและหน้าท่ี (1) สนับสนุนงบประมาณ/
ทรพั ยากรอน่ื ๆ และ 2) ร่วมเป็นเครอื ข่าย
1.3.1.3) ผปู้ กครอง มีบทบาทและหนา้ ท่ี (1) สง่ เสริมสนับสนนุ การเรยี นรขู้ อง
บตุ ร/หลานหรอื ผูท้ ี่อยใู่ นปกครอง (2) เปน็ พอ่ ครแู มค่ รชู ่วยเหลือครูผู้สอนและ (3) งานอ่ืนๆที่เก่ียวกับ
การเรยี นร้ทู ี่โรงเรียนขอความร่วมมอื
การวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารและการวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม 66
1.3.1.4) ชมรมศษิ ย์เก่า ครู และผู้ปกครองโรงเรยี นบ้านบึงฉิม มีบทบาทและ
หน้าท่ี (1) ให้ความร่วมมือแก่โรงเรียนในอันที่จะส่งเสริมการจัดการศึกษาศีลธรรม วัฒนธรรม และ
สวัสดิการต่างๆ (2) แลกเปล่ียนความรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์ในการแก้ปัญหา การพัฒนา
งานวิชาการ และ (3) ร่วมมอื กบั รฐั บาล องค์กร สมาคม หรือคณะบุคคลในอันที่จะส่งเสริมให้นักเรียน
เยาวชนมีความรู้ ความประพฤติ สุขภาพอนามัยดี และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อนั มพี ระมหากษตั ริย์เปน็ ประมขุ เพอื่ เป็นพลเมืองดขี องชาติ
1.3.2) กลมุ่ ปฏบิ ัตงิ านในสถานศึกษา ประกอบด้วย คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้อํานวยการ
โรงเรียน หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้/หัวหน้างาน ครู (ทีมงานประจํา) ลูกจ้าง และ คณะกรรมการ
เครอื ขา่ ยผู้ปกครอง (ทมี โครงการ/ทีมแกนนํา) มบี ทบาทหน้าที่ดงั นี้
1.3.2.1) คณะกรรมการสถานศึกษา มีบทบาทและหน้าที่ 1) กําหนดนโยบาย และ
แผนพัฒนา 2) ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจําปีการศึกษา 3) ให้ความเห็นในการจัดทํา
สาระหลักสูตรให้สอดคล้องเหมาะสมหรือตามความต้องการของท้องถ่ิน 4) กํากับ และติดตามการ
ดาํ เนนิ งานของแผนปฏบิ ตั กิ ารและแผนพัฒนาของโรงเรียน 5) ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กทุกคนใน
เขตบรกิ ารไดร้ ับการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐานอย่างทัว่ ถงึ มีคุณภาพและไดม้ าตรฐาน 6) ส่งเสริมให้มีการพิทักษ์
สิทธิเด็ก ดูแลเด็กพิการ เด็กด้อยโอกาสและเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษให้ได้รับการพัฒนาเต็มตาม
ศกั ยภาพ 7) เสนอแนวทางและมีส่วนรว่ มในการบริหารจดั การดา้ นวชิ าการ ด้านงบประมาณ ด้านการ
บริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไป 8) ส่งเสริมให้มีการระดมทรัพยากรเพ่ือการศึกษา
ตลอดจนวิทยากรภายนอกและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพ่ือเสริมสร้างพัฒนาการของนักเรียนทุกด้าน
9) เสริมสรา้ งความสมั พันธ์ระหวา่ งโรงเรียนกับชุมชน ตลอดจนประสานงานกับองค์กรท้ังภาครัฐและ
เอกชน เพ่ือให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น
10) ให้ความเห็นชอบรายงานผลการดําเนินงานประจําปีของโรงเรียนก่อนเสนอต่อสาธารณชน
11) แต่งต้ังท่ีปรึกษา และหรือคณะอนุกรรมการเพ่ือการดําเนินงานตามระเบียบน้ีตามที่เห็นสมควร
และ 12) ปฏิบตั ิงานอนื่ ตามที่ไดร้ ับมอบหมายจากหนว่ ยงานต้นสังกดั ของโรงเรยี น
1.3.2.2) ผู้บริหารโรงเรียน มีบทบาทและหนา้ ที่ (1) กําหนดนโยบาย และแผนการ
ปฏิบัติการของโรงเรียน (2) ส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรทุกฝุายให้มีความรู้ ความสามารถ
(3) ปรับปรุงพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนให้ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน (4) เสริมสร้างขวัญ
และสวสั ดกิ ารของบุคลากร และ (5) นเิ ทศ ติดตาม และประเมนิ ผลการปฏิบัติงาน และรายงานผลต่อ
สาธารณชน
การวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการและการวจิ ยั เชิงปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม 67
1.3.2.3) หวั หน้าสาย/หวั หน้างาน มีบทบาทและหน้าที่ 1) ปฏิบัตงิ านสนอง
ยุทธศาสตร์ของโรงเรียน 2) ส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานในกลุ่มสาระ/งาน 3) กําหนด
มอบหมายให้บุคลากรรับผิดชอบงานในกลุ่มสาระ/งาน 4) ร่วมมือกับบุคลากรในกลุ่มสาระ/งาน
ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอย่างสร้างสรรค์ 5) ส่งเสริมให้กําลังใจแก่บุคลากรในกลุ่มสาระฯ/งาน
6) นเิ ทศติดตามประเมนิ และพัฒนางานกลุ่มสาระฯ/งานอย่างต่อเนื่อง 7) ประสานงานกับกลุ่มงาน/
กลุม่ สาระฯ/งานอ่นื ภายในโรงเรียน และร่วมมือกันดําเนินงานของโรงเรียน 8) เผยแพร่ชื่อเสียงและ
เกียรติคุณของโรงเรียน 9) ปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ดําเนินงานที่เก่ียวกับคณะกรรมการบริหาร
หลักสูตรและงานวิชาการ ได้แก่ บทบาทและหน้าที่ (1) วางแผนการดาํ เนินงานวิชาการ กําหนดสาระ
รายละเอียดของหลักสูตรระดับโรงเรียน และแนวทางการจัดสัดส่วนสาระการเรียนรู้และกิจกรรม
พฒั นานักเรยี นของสถานศึกษาใหส้ อดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน สภาพเศรษฐกิจ สังคม
ศิลปะ วัฒนธรรม และภมู ิปญั ญาของทอ้ งถิน่ (2) จดั ทาํ คู่มือการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการของ
สถานศึกษา นิเทศ กํากับ ติดตาม ให้คําปรึกษาเก่ียวกับพัฒนาหลักสูตร การจัดกระบวนการเรียนรู้
การวัดและประเมนิ ผล และการแนะแนวให้สอดคลอ้ งและเป็นไปตามมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้น
พนื้ ฐาน (3) สง่ เสริมและสนบั สนุนการพฒั นาบคุ ลากรเกีย่ วกบั การพัฒนาหลกั สูตรการจัดกระบวนการ
เรยี นรู้ การวัดและประเมินผล และการแนะแนวให้เป็นไปตามจุดหมายและแนวทางการดําเนินการ
ของหลักสูตร (4) ประสานความร่วมมือจากบุคคล หน่วยงาน องค์การต่างๆ และชุมชนให้การใช้
หลกั สูตรเป็นไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพและมีคณุ ภาพ (5) ประชาสมั พนั ธห์ ลักสตู รและการใช้หลักสูตรแก่
ผ้เู รยี น ผู้ปกครอง ชุมชน และผู้ที่เกี่ยวข้องและนําข้อมูลปูอนกลับจากฝุายต่างๆมาพิจารณาเพื่อการ
ปรับปรงุ และพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา (6) ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยเก่ียวกับการพัฒนา
หลักสตู รและกระบวนการเรยี นรู้ (7) ตดิ ตามผลการเรียนของผู้เรยี นรายบคุ คล ระดับชั้น ระดับช่วงช้ัน
และระดบั กลุ่มวิชาในแต่ละปีการศึกษา เพื่อปรับปรุง แก้ไขและพัฒนาการดําเนินงานด้านต่างๆของ
สถานศกึ ษา (8) ตรวจสอบทบทวน ประเมนิ มาตรฐานการปฏิบัติงานของครู และการบริหารหลักสูตร
ระดับสถานศึกษาในรอบปีที่ผ่านมาแล้วใช้ผลการประเมินเพื่อวางแผนพัฒนาการปฏิบัติงานของครู
และการบริหารหลักสูตรในปีการศึกษาต่อไป และ (9) รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการบริหาร
หลักสูตรของสถานศึกษา โดยเน้นผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนต่อคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น
พื้นฐาน คณะกรรมการบริหารหลักสูตรระดับเหนือสถานศึกษา สาธารณชนและผู้เกี่ยวข้อง 10)
ปฏิบัติหน้าท่ีของครูผู้สอน ท่ีมีบทบาทและหน้าที่ (1) ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของ
ราชการ รักษาจรรยาบรรณมารยาทและวินัย และตามระเบยี บประเพณี (2) ปฏิบัติตามนโยบาย และ
แนวปฏิบตั ิท่รี ะบุไวใ้ นจุดเน้น และยุทธศาสตรข์ องโรงเรียนให้บงั เกิดผล (3) ประพฤตปิ ฏิบตั ติ น ให้เป็น
แบบอย่างที่ดีของนักเรียน (4) พัฒนาตนท้ังด้านความรู้ เทคนิคการสอน เพ่ือพัฒนาผู้เรียน (5) อุทิศ
เวลาในการอบรม สั่งสอน ดูแลติดตาม พฤติกรรมของนักเรียนอย่างต่อเน่ืองและสมํ่าเสมอ (6) ให้
การวิจยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารและการวจิ ัยเชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วม 68
ความรักความเมตตาต่อผู้เรียน เสมือนกับบุตรหลานของตน (7) เสริมสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
และผูเ้ รยี น ร่วมมอื กับบคุ ลากรอืน่ ในการปฏบิ ตั ิงานในหน้าทอ่ี ยา่ งสม่าํ เสมอ และ (8) ให้ความร่วมมือ
ในกจิ กรรมต่างๆของโรงเรยี นอย่างสรา้ งสรรคด์ ว้ ยความเตม็ ใจ เตม็ เวลา และเตม็ ความสามารถ
1.3.2.4) ทมี แกนนาํ บทบาทหน้าที่ มบี ทบาทหนา้ ท่ี 1) ประสาน เช่อื มโยง หรอื
บูรณาการแนวคิดและปฏบิ ัติเพอื่ ให้การดําเนนิ การเปน็ ไปตามกรอบการวจิ ัยและการปฏิบัติงานเพื่อให้
บรรลเุ ปูาหมายหรือสภาพท่ีคาดหวังของโรงเรียน 2) บูรณาการการพัฒนางานวิชาการของกลุ่มกลุ่ม
ผักบุ้ง กล่มุ ต้นหอม และกลมุ่ ผักคะนา้ และ 3) งานอื่นๆ ทีท่ มี ผูว้ ิจยั มอบหมาย
1.3.2.5) ทีมงานโครงงาน หรือทีมโครงการ มีบทบาทและหน้าที่ 1) ร่วมสนับสนุน
กิจกรรมของสถานศึกษาโดยผ่านความเห็นชอบจากผู้บริหารสถานศึกษา 2) ร่วมสร้างสายใยเช่ือม
สัมพันธ์อันดีระหว่างครูแลผู้ปกครอง 3) สนับสนุนการพัฒนาการเรียนการสอนของสถานศึกษา
4) ให้ข้อคิดเห็น และเสนอแนะต่อสถานศึกษาในเร่ืองต่างๆที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนและ
สถานศึกษา 5) จัดการประชมุ กรรมการและผ้ปู กครองในหอ้ งเรยี นตามความเหมาะสมอย่างน้อยปีละ
2 คร้ัง 6) จัดทําเนียบผู้เรียนและผู้ปกครองโดยละเอียด และส่งมอบสําเนาให้เลขานุการกรรมการ
เครือข่ายผู้ปกครองในระดับชั้นเรียนและระดับโรงเรียน 7) กรรมการเครือข่ายผู้ปกครองในระดับ
โรงเรียนจะตอ้ งรวบรวมข้อมูลและกิจกรรมของแต่ละช้ันนําเสนอโรงเรียนเพ่ือดําเนินการต่อไป และ
8) ให้คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครองระดับโรงเรียนจัดประชุมใหญ่คณะกรรมการเครือข่าย
ผู้ปกครองทุกระดับ ตามความเหมาะสมอย่างน้อยปีละ 2 คร้ัง และ 9)ปฏิบัติงานในฐานะลูกจ้าง
สําหรับผู้ที่เป็นลูกจ้าง ที่มีบทบาทและหน้าท่ี (1) ปฏิบัติตามระเบียบกฎข้อบังคับของโรงเรียนโดย
เครง่ ครัด (2) ปฏิบัติหน้าท่ีด้วยความรับผิดชอบตามภาระหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมาย (3) มีความสุภาพ
อ่อนนอ้ มต่อครู ผ้รู ว่ มงานและบุคคลภายนอก และ (4) มีความสามคั คี
1.4) องค์ความรจู้ ากการปฏบิ ัติเกย่ี วกบั การวจิ ัยเชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม
จากองค์ความร้จู ากการปฏิบตั ทิ ี่ไดท้ ้ังในกรณที ี่เก่ยี วกับ “การบรู ณาการ”เปน็ ตัว
สอดแทรก และในกรณีที่เก่ียวกับ “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม” นั้น มีองค์ประกอบท่ี
สําคัญดังน้ี คือ 1) โครงสร้างการบริหารและจัดการงานวิชาการตามหลักการบูรณาการแนวทีม
ฟุตบอลใช้รูปแบบการบูรณาการแบบทีมฟุตบอลเชิงรุก 2) ใช้หลักการบูรณาการ 9 ประการ
3) การกําหนดบทบาทหน้าท่ีของผู้เก่ียวข้องกับการบูรณาการ 4) คํานึงถึง 10 หลักการ 10
จรรยาบรรณและ 10 บทบาท ประการของผ้วู ิจยั ในการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วม เป็นพ้ืนฐาน
และ 5) มีขนั้ ตอนย่อยการดาํ เนนิ งานในการปฏิบตั จิ รงิ ในครง้ั นี้ ได้องคค์ วามรูเ้ กี่ยวกับ “ข้ันตอนย่อย”
ดําเนินงานในขั้นตอนท่ี 1-9 ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมมีดังนี้ ข้ันตอนท่ี 1 การเตรียมการ ประกอบด้วย
ขนั้ ตอนย่อยการสรา้ งมติ รภาพและแลกเปลีย่ นเรียนรู้ การสรา้ งความตระหนักและความเข้าใจร่วมกัน
การสร้างแผนที่การทํางานเพ่ือการวิจัย และการประเมินและสรุป ข้ันตอนท่ี 2 การวางแผน
การวจิ ัยเชิงปฏบิ ัติการและการวิจัยเชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมีส่วนร่วม 69
ประกอบด้วยข้ันตอนย่อยการวเิ คราะห์สภาพที่เคยเปน็ มาสภาพปัจจุบันและสภาพปัญหา การกําหนด
ปัญหาและทําความเขา้ ใจปัญหา การประเมนิ ประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไขหรือพัฒนา การวางแผน
ปฏิบัติการ/โครงการ/กิจกรรม และการประเมินและสรุป ขั้นตอนท่ี 3 การปฏิบัติ ประกอบด้วย
ขนั้ ตอนย่อยการกําหนดแนวปฏิบัติ การปฏิบัติกิจกรรม และการประเมินและสรุป ข้ันตอนที่ 4 การ
สังเกต ประกอบด้วยข้ันตอนย่อย การกําหนดรูปแบบและวิธีการ การนําเสนอรายงาน และการ
ประเมินและสรุป ขั้นตอนที่ 5 การสะท้อนผล ประกอบด้วยขั้นตอนย่อยการสังเคราะห์ความรู้การ
นาํ เสนอรายงาน และการประเมินและสรุป ขั้นตอนที่ 6 การวางแผนใหม่ ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย
การนําเสนอรายงาน การวิเคราะห์และวิพากษ์ การประเมินปัญหาที่ต้องการแก้ไขหรือพัฒนา การ
จดั ทาํ แผนปฏบิ ตั ิใหม่ และการประเมนิ และสรุป ขั้นตอนที่ 7 การปฏิบัตใิ หม่ประกอบดว้ ยขั้นตอนย่อย
การกาํ หนดแนวปฏบิ ตั ิ การปฏิบัติกิจกรรม และการประเมินและสรุปข้ันตอนท่ี 8 การสังเกตผลใหม่
ประกอบด้วยขั้นตอนยอ่ ยการกาํ หนดรปู แบบและวิธกี าร การสังเกตและเสนอรายงานผล และข้ันตอน
การประเมนิ และสรปุ และข้นั ตอนท่ี 9 การสะทอ้ นผลประกอบดว้ ยข้ันตอนย่อยการสังเคราะห์ความรู้
การนําเสนอรายงาน และการประเมินและสรุปส่วนขั้นตอนท่ี 10 น้ันเป็นการสรุปผลโครงการจึงไม่
จําเปน็ ทตี่ อ้ งมขี ้นั ตอนย่อย
อภิปรายผล
การอภิปรายผลการวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยอภิปรายในประเด็นจากคําถามการวิจัย และประเด็น
อื่นๆ ท่ีพบจากการวิจัย รวม 4 ประเด็น ประกอบด้วย 1) สภาพท่ีเคยเป็นมา สภาพปัจจุบันสภาพ
ปัญหา สภาพท่ีคาดหวัง ทางเลือกเพ่ือแก้ปัญหาในการปฏิบัติ 2) สภาพการเปลี่ยนแปลงจากการ
ปฏบิ ตั จิ รงิ 3) การเรียนรู้ จากการปฏิบัติจริง และ 4) องค์ความรู้ท่ีเกิดจากการปฏิบัติจริงตามลําดับ
ดงั น้ี
1. สภาพทเ่ี คยเป็นมา สภาพปัจจุบัน สภาพปัญหา สภาพท่ีคาดหวัง ทางเลือกเพื่อแก้ปัญหา
ในการปฏบิ ตั ิสภาพงานวิชาการของโรงเรียนท่ีเคยเป็นมา (ก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. 2550) โรงเรียน
บ้านบึงฉิม ก่อต้ังมาเม่ือปี พ.ศ. 2480 สภาพของโรงเรียนด้านบริหารจัดการทั่วไปได้รับ
งบประมาณสนนั สนนุ จากรฐั บาล และมีชุมชนเข้ามาช่วยเหลืออย่างต่อเน่ือง ซ่ึงจะเห็นได้ว่าโรงเรียน
ไดจ้ ดั ตง้ั ข้ึนโดยคําเรยี กร้องของประชาชนในสมัยนั้น โดยในระยะเรมิ่ แรกประชาชนต้องใช้จ่ายเงินเพ่ือ
สร้างอาคารเรยี น จัดซอื้ วสั ดุอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนก่อน จากน้ันรัฐก็จะให้การสนับสนุน
ซ่ึงเห็นได้ว่า เป็นการเข้าร่วมกัน หรือบูรณาการกันมาตั้งแต่เริ่มแรก ท้ังในด้านทรัพย์สิน อาคาร
สถานที่ ซึ่งเปน็ วัฒนธรรมทีส่ บื ทอดต่อมาที่ประชาชนมีหน้าท่ีต้องบริจาคช่วยโรงเรียนแต่ประชาชนก็
เต็มใจ ส่วนงานวิชาการผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนให้ความสําคัญในด้านการเรียนการสอน เป็น
ประเด็นหลักสอดคล้องกบั งานวิจยั ของ ชาลี สะตะ (2549), พิธาน พื้นทอง (2548), อภินันท์ นาเลาห์
การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัติการและการวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม 70
(2545) รองลงมา คือ การพฒั นาหลกั สูตร การพัฒนาสื่อการเรียนรู้การวัดและประเมินผลตามลําดับ
และในช่วงปี พ.ศ. 2546 โรงเรียนเริ่มมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น เพราะมีระบบการ
ประกนั คุณภาพภายในและคุณภาพภายนอกเข้ามาในระบบโรงเรียนส่วนสภาพปัญหาด้านวิชาการท่ี
ผา่ นมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาดา้ นผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เดก็ ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ ครู
ขาดทักษะการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษามีการ
พัฒนาน้อย หรือปัญหาครูมีภารกิจอื่นไม่ได้สอนอย่างเต็มที่ปัญหาเหล่าน้ีล้วนเป็นปัญหาภายในที่มี
สาเหตมุ าจากครูไม่ครบชั้น สอดคล้องกับงานวิจัยของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
(2549) สว่ นโรงเรียนจดั โครงสร้างบทบาทหน้าทีข่ องครหู รือเครือข่ายท่ีเก่ียวข้องไม่ชัดเจน สอดคล้อง
กับกรอบแนวคิดของวิโรจน์ สารตั นะ (2551) ที่ให้กรอบแนวคิดเกี่ยวกับโรงเรียนท่ีมีประสิทธิผลต้อง
อาศัยเปาู หมายท่ีชัดเจนและทา้ ทาย ซึ่งส่งผลให้ครูเกิดความสับสนในการปฏิบัติงานไม่มีการกระจาย
งาน จึงทาํ ให้ภาระงานตกอยกู่ ับผ้บู รหิ ารเพยี งคนเดยี ว
สภาพปัจจุบันงานวิชาการของโรงเรียน ปัจจุบัน (ปีงบประมาณ 2550) โรงเรียนบ้านบึงฉิม
เปิดสอนตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนรวมทั้งส้ิน 49 คน
มีบุคลากรเป็นผู้บริหาร 1 คน ครูผู้สอน 3 คน ครูพ่ีเล้ียง 1 คน และนักการภารโรง 1 คน มีวุฒิ
ปรญิ ญาโท 1 คน และปรญิ ญาตรี 3 คน มชี วั่ โมงสอน 25 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ (สอนประจําชั้น) และได้รับ
การพัฒนาเฉลี่ยปีละ 3 คร้ัง/ปี/คน ผู้บริหารและครูท้ังหมดไม่ได้พักในหมู่บ้าน จะมีก็เฉพาะแต่ครูพี่
เลี้ยงและนักการภารโรงเท่าน้ันที่พักอยู่ในหมู่บ้าน ซ่ึงสภาพดังกล่าว แสดงให้เห็นสภาพการจัดการ
เรียนการสอนแบบคละชนั้ โดยโรงเรียนบา้ นบงึ ฉิม มีผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนครบตามเกณฑ์ท่ี
รัฐกําหนดแต่ไม่ครบทุกชั้นเรียน จึงต้องจัดการเรียนแบบมีคละชั้นประกอบด้วย ห้องเรียนระดับช้ัน
อนุบาลและช้ันประถมศึกษาปี่ที่ 1 ห้องเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี่ท่ี 2-3 และห้องเรียนระดับช้ัน
ประถมศึกษาปี่ท่ี 4-6 ซ่งึ สอดคล้องและคล้ายกับสภาพการจัดชั้นเรียนของโรงเรียนขนาดเล็กอื่นๆ ท่ี
กระจายอย่ทู ว่ั ประเทศ
สภาพงานวิชาการปัจจุบันของโรงเรียน มีการดําเนินการจัดด้านการเรียนการสอนเป็น
ประเด็นหลัก รองลงมา คือ การพัฒนาสอ่ื การเรียนรู้ การวดั และประเมินผล การพฒั นาหลักสูตร และ
การประกันคณุ ภาพภายในและภายนอกโรงเรียนตามลาํ ดับ ครมู คี วามสามารถและความเข้าใจในการ
จดั การเรยี นร้ใู นสภาพครูไมค่ รบช้นั เรยี นเพ่ิมขนึ้ กวา่ เดิม ท้ังนี้ สืบเน่ืองมาจากโรงเรียนมีข้อมูลผลการ
ดําเนินงานจากการประเมินตนเอง (SAR) และการประเมินคุณภาพภายนอกของสํานักงานรับรอง
มาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ซึ่งจากการสังเกตของผวู้ ิจัยจะเห็น
วา่ ครูผสู้ อนทกุ คนจะดําเนนิ การจดั จดั การเรยี นการสอนเป็นหลัก ไม่ค่อยพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
เพราะใช้หลกั สตู รจากส่วนกลางบ้างหรือถ้าเป็นหลกั สูตรท่ีโรงเรียนจัดทํา ก็เป็นการจัดทําร่วมกับกลุ่ม
โรงเรียน หรือศนู ยป์ ระสานงานซ่งึ สภาพดงั กลา่ ว แสดงให้เหน็ วา่ โรงเรยี นสามารถพัฒนาคุณภาพงาน
การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการและการวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม 71
วิชาการใหท้ าํ สาํ เรจ็ ได้ และไมส่ ําเรจ็ ได้ไปพร้อมๆ กัน เชน่ รายวิชาภาษาไทยก็สามารถทําให้สําเร็จได้
แต่ขณะเดียวกันในการพัฒนารายวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ก็ไม่สารถทําให้มีคุณภาพได้
เช่นเดียวกับรายวิชาไทย ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้สังเกตพบว่า ในแต่ละวันครูผู้สอนทุกคนจะจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้รายวิชาภาษาไทยเป็นหลัก และตามด้วยวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ประกอบกับ
โรงเรียนไมม่ คี รูที่จบวิชาเอกคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จึงอาจเป็นสาเหตุที่ส่งผลทําให้ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนออกมาเชน่ นี้
สภาพปัญหา โรงเรยี นบ้านบงึ ฉมิ มีปญั หาหลายประการทส่ี าํ คัญ ไดแ้ ก่ ปัญหาดา้ นการพัฒนา
หลักสูตรสอดคล้องกับงานวิจัยของ จิราพร รังคะราช (2548), นภดล นพเคราะห์ (2546) ด้านการ
เรียนการสอนไม่สามารถทําได้อย่างเต็มที่เพราะครูไม่ครบช้ันและสอนไม่ตรงตามเอกวิชาด้านวัสดุ
อุปกรณ์และสือ่ การเรียนการสอนท่จี ะมาช่วยแกป้ ัญหาครูไม่ครบช้ันก็มีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะส่ือด้าน
เทคโนโลยี และปัญหาโรงเรียนไม่ผ่านการประเมินจากสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน
คุณภาพการศึกษา (สมศ.) สอดคล้องกับงานวิจัยของ ชาลี สะตะ (2549), และ อภินันท์ นาเลาห์
(2545) ซ่งึ สง่ ผลตอ่ คุณภาพโรงเรียน ครู และนักเรียน ท้ังน้ีสืบเนื่องมาจากปัญหาสําคัญสองประการ
คอื ปญั หาครูผ้สู อนไม่ครบชน้ั และงบประมาณอุดหนนุ จากรฐั มีจํากดั
สภาพท่ีคาดหวัง โรงเรียนบ้านบึงฉิม มุ่งหวังที่จะผ่านการประเมินมาตรฐานการศึกษาข้ัน
พ้ืนฐานอิงสถานศึกษาในมาตรฐานท่ี 12,14 และ 15 มีค่าระดับ “ดี” หรือ ระดับ“3” ข้ึนไป ท้ังนี้
เน่ืองจาก ผวู้ จิ ัยและผรู้ ่วมวิจัย มุ่งหวังให้โรงเรยี นบา้ นบงึ ฉิม เปน็ โรงเรยี นท่ผี า่ นการประเมินมาตรฐาน
การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานที่เป็นการประเมนิ คุณภาพภายใน เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจากสํานักงาน
รับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศกึ ษา (สมศ.)
การประเมินทางเลือกเพ่ือแก้ปัญหา โดยการประเมินทางเลือกในการแก้ปัญหาและพัฒนา
งาน วิชาการ โดยกําหนดพฒั นาโรงเรียนใหไ้ ด้มาตรฐานการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ในมาตรฐานที่โรงเรียน
ไดร้ บั การประเมินต่ํากว่ามาตรฐาน และต้องการพฒั นางานวชิ าการควบคกู่ นั ไป โดยประเมินทางเลือก
จากหลักเกณฑ์การพจิ ารณาดังนี้ 1) ปัญหามีผลกระทบต่อโรงเรียนหรือไม่ 2) ปัญหามีความยากง่าย
แค่ไหนในการแก้ไข 3) โรงเรียนมีความพร้อมในการแก้ไขมากน้อยเพียงใด 4) ได้รับความร่วมมือใน
การแกป้ ญั หาจากส่วนไหนบา้ ง 5) ปัญหานัน้ สอดคล้องกับนโยบายของหน่วยงานบังคับบัญชาหรือไม่
6) เป็นปัญหาท่บี คุ คล กลมุ่ บคุ คล และโรงเรียนต้องการแก้ไขและพัฒนามากท่ีสุด ทําให้ได้มาตรฐาน
ในการแก้ปัญหาและพัฒนางานวิชาการ 3 มาตรฐานการศึกษาข้ันพื้นฐาน คือ 1) มาตรฐานท่ี 12
สถานศึกษามีการจัดองค์กร โครงสร้าง ระบบบริหารและพัฒนาองค์กรอย่างเป็นระบบครบวงจร 2)
มาตรฐานท่ี 14 สถานศึกษามีการจดั หลักสตู รและกระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ และ 3)
มาตรฐานที่ 15 สถานศึกษามกี ารจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนอย่างหลากหลาย โดยจัดทําเป็น
แผนปฏิบัติการงานวิชาการ จํานวน 3 โครงการเพื่อแก้ไขมาตรฐานการศึกษาข้ันพ้ืนฐานและพัฒนา
การวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั ิการและการวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม 72
งานวิชาการ คือ 1) โครงการการพัฒนาการจัดองค์กร โครงสร้างการบริหารและจัดงานวิชาการและ
พัฒนาองค์กรอย่างเป็นระบบครบวงจร 2) โครงการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและสาระหลักสูตร
ท้องถิ่นและการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ และ 3) โครงการจัดกิจกรรมส่งเสริม
คณุ ภาพผ้เู รียนอยา่ งหลากหลาย นั้นมเี หตุผลสําคัญ คอื ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัย มุ่งหวังให้โรงเรียนมีการ
พัฒนางานวิชาการในโรงเรยี นท่มี ปี ระสทิ ธิผล ตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีตัวกระตุ้นคือ
การบรู ณาการ เพ่อื ทําใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลงและการเรยี นรู้ในระดับบุคคล กลุ่มบุคคล และโรงเรียน
ซึ่งสอดคล้องกบั แนวคิดของ Bartol et al. (1998) ท่ใี หท้ ศั นะไว้วา่ การเปลย่ี นแปลงในองค์การหนึ่ง ๆ
อาจเปลยี่ นแปลงได้ทีโ่ ครงสรา้ ง (structure) เทคโนโลยี (technology) คน (people) และวัฒนธรรม
(culture) โดยการเปลีย่ นแปลงน้นั ต้องอาศยั ตวั การในการเปลยี่ นแปลง (change agent)
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการนําทางเลือกไปปฏิบัติ ท่ีมีการใช้หลักการบูรณาการเป็นตัว
สอดแทรก และใชร้ ะเบียบวิธีวิจัยเป็นปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม หลังจากที่โรงเรียนดําเนินโครงการ/
กิจกรรมการพัฒนางานวิชาการด้วยหลักการบูรณาการแล้ว ทําให้โรงเรียนมีการพัฒนามาตรฐาน
การศึกษาข้ันพื้นฐาน มาตรฐานที่ 12, 14 และ 15 ผ่านการประเมินอิงสถานศึกษาโดยมีค่าระดับ
3.20, ค่าระดับ 3.00 และค่าระดับ 3.28 ตามลําดับ น้ัน อาจเนื่องจาก มีการปฏิบัติงานด้วย 3 พลัง
เสริมการบูรณาการเพ่ือพัฒนางานวิชาการด้วยหลักการบูรณาการในโรงเรียนบ้านบึงฉิม โดยใช้
กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมท่ีมีองค์ประกอบที่สําคัญดังน้ี คือ 1) โครงสร้างการ
บริหารและจัดการงานวิชาการตามหลักการบูรณาการแนวทีมฟุตบอลใช้รูปแบบการบูรณาการแบบ
ทีมฟุตบอลเชิงรุก 2) ใช้หลักการบูรณาการ 9 ประการ 3) การกําหนดบทบาทหน้าท่ีของผู้เกี่ยวข้อง
กับการบูรณาการ 4) การคํานึงถึง 10 หลักการ 10 จรรยาบรรณและ 10 บทบาท ของผู้วิจัยในการ
วจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ ารแบบมีส่วนรว่ ม เป็นพืน้ ฐาน และ 5) มีขั้นตอนย่อยการดําเนินงานในแต่ละขั้นตอน
9 ขัน้ ตอน
2. สภาพการเปลยี่ นแปลงจากการปฏบิ ตั ิจริง จากการท่โี รงเรียนผา่ นการประเมินมาตรฐาน
การศึกษาข้ันพ้ืนฐานในมาตรฐานท่ี 12, 14 และ 15 อิงสถานศึกษามีค่าระดับ “ดี” หรือ ระดับ“3”
ขึ้นไป แต่มีกิจกรรมที่ไม่บรรลุผลตามท่ีคาดหวังคือ การจัดกิจกรรมการเรียนของโครงการพัฒนา
หลักสูตรสถานศึกษาและการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ นั้น อาจเนื่องจาก
ครผู ู้สอนทง้ั โรงเรยี นไมไ่ ดจ้ ัดทําแผนการจดั การเรยี นรใู้ นหลกั สูตรสถานศกึ ษาและหลักสตู รทอ้ งถ่ิน:
การปลูกผัก ทผ่ี ูว้ จิ ยั และผ้รู ว่ มวจิ ัยร่วมกันพฒั นาขึน้ ซง่ึ แสดงใหเ้ ห็นว่า โดยความเป็นจรงิ ในทางปฏิบัติ
แล้ว ผบู้ ริหารและครผู ้สู อนยังใหค้ วามสําคญั กบั การจดั ทําแผนการเรยี นรู้ในระดบั น้อย จึงส่งผลให้การ
จัดการเรียนรู้ในรายวิชาต่างๆขาดทิศทางและเปูาหมายท่ีชัดเจน ถึงแม้นว่า ครูผู้สอนจะใช้แผนการ
จัดการเรียนรู้ที่รัฐจัดส่งให้เพ่ือใช้ประกอบในการจัดการเรียนการสอน แต่แผนการจัดการเรียนรู้
สําเร็จรูปนั้น ครูผู้สอนขาดการพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพบริบท วัฒนธรรมและบรรยากาศการ
การวิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารและการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม 73
เรียนรู้ของโรงเรียน จึงอาจเป็นปัจจัยหน่ึงที่ส่งผลต่อคุณภาพของนักเรียนที่ทําให้ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนตํ่า ซ่ึงสอดคล้องกับผลงานวิจัยของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2549)
ทพ่ี บวา่ โรงเรียนขนาดเล็กส่วนใหญ่นักเรียนมีคุณภาพค่อนข้างต่ําเม่ือเทียบกับสถานศึกษาขนาดอ่ืน
แต่อยา่ งไรก็ตามโรงเรียนก็พยายามทจี่ ะพัฒนาแผนการจดั การเรยี นรู้ และนําแผนการจัดการเรียนรู้ไป
ปฏบิ ตั ิ ดังเหน็ ไดจ้ ากการที่ นายเกตพุ งษ์ ภูวเกตานนท์ ที่เป็นครูผู้สอนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6
นําไปประยุกต์ใช้ในการจัดทําแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แผนการเรยี นรทู้ ่ี 3 เรือ่ ง ภมู ปิ ัญญาท้องถนิ่ จนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนอย่างได้ผล ซึ่งรายละเอียดได้กล่าวไว้ในวงจรท่ี 2 ข้ันตอนที่ 6-9 แล้ว นอกจากนี้นายเกตุพงษ์
ภวู เกตานนท์ ยงั นาํ ผลการจัดการเรยี นรนู้ ี้ นําไปเสนอขอเลอื่ นวทิ ยฐานะเป็นครูชาํ นาญการพเิ ศษดว้ ย
กรณีการเปลยี่ นแปลงในระดับบุคคล ทง้ั ทีน่ กั เรียนมีพฤตกิ รรมดขี น้ึ ไม่ใช้จ่ายฟุมเฟือยเช่ือฟัง
พอ่ แม่ นอนตืน่ ไม่สาย เชอ่ื ฟังผ้ใู หญ่และมีระเบียบวินัยเพิ่มข้ึน ต้ังใจเรียนสนใจค้นคว้า มีความอดทน
อดกลน้ั ในการเรียน เรยี นรู้ได้อยา่ งมคี วามสุขไม่ขาดเรียน รู้จักการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ และใช้
คอมพวิ เตอร์ในการเรียนรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น และสนใจใช้แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในโรงเรียน ด้านผลสัมฤทธิ์
ทางการศึกษาในปีการศึกษา 2551 ดังผลการทดสอบ O-NET ปีการศึกษา 2551 ช้ัน ป.6 รายวิชา
ภาษาไทย มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 43.93 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับจังหวัด(42.54%) และระดับประเทศ
(42.02%) สว่ นรายวิชาคณิตศาสตร์ มีคา่ เฉลย่ี รอ้ ยละ 32.57 และรายวิชาวิทยาศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยร้อย
ละ 42.50 ยังมีค่าตํ่ากว่าค่าคะแนนเฉลี่ยระดับจังหวัดและระดับประเทศคือค่าเฉลี่ยร้อยละ 43.59
และ ค่าเฉลี่ยร้อยละ 51.18 ตามลําดับ การเปล่ียนแปลงด้านครูท่ีมีและใช้แผนการจัดเรียนรู้แบบ
บูรณาการท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญซ่ึงเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีรัฐจัดส่งมาให้เพ่ิมขึ้นและใช้ส่ือ/ใช้
เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนและมีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย สามารถทํางาน
รวมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ในส่วนผู้บริหารโรงเรียนมีความรู้และเข้าใจทักษะการบริหารงาน
วิชาการ รเู้ ทคนคิ วิธกี ารส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ ก่ียวขอ้ งเข้ามามีสว่ นรว่ มในการจัดการศึกษาของโรงเรียนท้ังจาก
ภายในและนอกโรงเรียนมากยิ่งขึ้น และดําเนินงานบริหารจัดการงานวิชาการอย่างเป็นระบบครบ
วงจร ดา้ นผู้ปกครองนักเรียน มีทัศนคติเปล่ียนไปที่ต้องร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน บ้าน และชุมชน
นอกจากนี้มพี ฤติกรรมเอาใจใสด่ ูแลบุตร/หลานของตนเองในการศึกษามากขน้ึ และเข้ามามีบทบาทใน
การจัดการเรียนรู้การพัฒนาโรงเรียนมากกว่าเดิมในส่วนการเปลี่ยนแปลงระดับกลุ่มบุคคล ท้ั ง
คณะกรรมการสถานศึกษา รูจ้ ักบทบาทหนา้ ที่ของตนเองชัดเจน เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
ของโรงเรียน ด้านคณะครูท่ีกล้าแสดงความคิดเห็น ทํางานร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข สามารถ
ประสานการทํางานเป็นทีมรู้เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตนเอง ช่วยเหลือเพื่อนร่วมวิชาชีพในการ
พัฒนาตนเอง และผู้เรียน การทํางานมีทิศทางและเปูาหมายท่ีชัดเจน ด้านคณะผู้ปกครองนักเรียน
รู้จักการรวมกลุ่ม ประสานการทํางานระหว่างกลุ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการศึกษา และร่วมกัน
การวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ ารและการวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วม 74
วเิ คราะหป์ ญั หาและหาหนทางแกไ้ ขรว่ มกนั ไดแ้ ละเกิดการเปลย่ี นแปลงระดับโรงเรียน โดยมีหลักสูตร
ทอ้ งถ่นิ มคี ู่มอื การปฏิบัติงานตามบทบาทหนา้ ที่ของผู้ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั โรงเรียนการทํางานเป็นระบบครบ
วงจร ชุมชนให้การสนับสนุนเงินสดเพื่อใช้จ่ายในการจัดการศึกษาของโรงเรียนเพ่ิมมากข้ึน และ
โรงเรยี นมีการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีมาตรฐานที่ 12,14 และ 15 อยู่ในระดับ “ดี”
หรือ “3” ซ่ึงสูงข้ึนตามเปูาหมายหรือความคาดหวังของการดําเนินงานพัฒนางานวิชาการด้วยหลัก
การบูรณาการ ซึ่งเกิดการเปล่ียนแปลงในทิศทางที่ดีเช่นน้ี ผู้วิจัยเห็นว่า สืบเนื่องมาจากมีการบูรณา
การองค์ประกอบท้งั ที่เปน็ นามธรรมและรปู ธรรมทเี่ ปน็ ตัวเชื่อมโยง หรือผสมผสาน หรือเป็นตัวบูรณา
การ 9 องค์ประกอบ คือ 1) การสร้างมิตรภาพและความเข้าใจร่วมกัน 2) กําหนดเปูาหมายชัดเจน
3) ศรัทธาผู้นาํ 4) ยึดโครงสร้างบทบาทและหนา้ ทใี่ นแนวราบ ไม่ใช่แนวต้ัง 5) สร้างประโยชน์ร่วมกัน
6) การมสี ่วนร่วมทกุ ข้ันตอน 7) การมที ีมงานทห่ี ลากหลาย 8) มีทนุ หรอื ศกั ยภาพเดิมก่อนพัฒนา และ
9) มีความเสียสละซึ่งสอดคล้องกับที่ นงลักษณ์ วิรัชชัย และสุวิมล ว่องวาณิช (2544) ได้สรุป แนว
ทางการเปล่ียนแปลงท้ังโรงเรียนโดยมีเปูาหมายให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามมาตรฐานท่ีกําหนดไว้ใน
โครงการ Comprehensive School Reform Demonstration (CSRD) ที่เป็นโครงการท่ีมี
การบูรณาการองคป์ ระกอบรวม 9 องค์ประกอบ คอื 1) ยทุ ธวิธีองิ วิจัย ทุกกลยุทธ์และวิธีการที่ใช้เป็น
นวตั กรรมที่มีงานวจิ ัยสนบั สนนุ 2) การออกแบบมีการออกแบบให้มกี ารทํางานทกุ อยา่ งร่วมกันอย่างมี
ประสิทธิภาพ 3) การพัฒนาทางวิชาชีพมีการพัฒนาบุคลากรเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง 4) การกําหนด
เปูาหมายที่วัดได้ 5) การสนับสนุนภายในโรงเรียน 6) การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน
7) ความช่วยเหลือสนับสนุนทางเทคนิคจากภายนอก 8) ยุทธวิธีการประเมิน มีการประเมินการ
ดาํ เนินงานทกุ รปู แบบ และการประสานทรัพยากร 9) มกี ารระดมทรัพยากรจากทกุ แหลง่ มาใช้
3. การเรยี นรจู้ ากการปฏิบตั จิ ริง
จากผลการวจิ ยั ทพ่ี บวา่ บคุ คล ประกอบด้วย ผวู้ จิ ยั ผปู้ กครอง ผนู้ าํ ทอ้ งถนิ่ ครู
ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น ศกึ ษานิเทศก์ และนกั วิเคราะห์นโยบายและแผน ของสํานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษา
ขอนแกน่ เขต 1 กลุม่ บุคคลหมายถึงกลมุ่ บคุ คลท่ีรว่ มวิจยั และโรงเรียนหมายถึงบคุ ลากรในโรงเรียน
เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงหลายประการนั้น อาจสืบเน่ืองมาจากการที่ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัย
ได้รับการพฒั นาท้ังความรู้ และประสบการณ์ที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน/ชุมชน สอดคล้องกับ
ศักยภาพบุคคล กลุ่มบุคคล และโรงเรียน ประกอบกับฐานะของผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยต่างมีความเท่า
เทียมกนั ในการวิจยั จงึ ทาํ ใหเ้ กิดการเรียนรรู้ ่วมกันอยา่ งเปน็ ระบบทั้งการคิด การปฏิบัติการสังเกตผล
และการสะท้อนผล จึงทําให้เกิดแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม เพื่อเปูาหมายของการพัฒนาคือ
โรงเรียนบ้านบึงฉิมผ่านการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานที่อิง
สถานศกึ ษา ซึ่งจะส่งผลใหน้ กั เรียนได้รบั ประโยชน์ และมคี ุณภาพอันเป็นผลจากการพัฒนาผู้วิจัยและ
ผู้ร่วมวิจัย ให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Heron (1996), Ubben et al. (2001)
การวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติการและการวิจยั เชิงปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม 75
ท่ีกลา่ วถึง การพัฒนาครูตอ้ งให้ความสาํ คญั และคํานึงถึง แผนงานหรือโครงการท่ีจะเกิดขึ้นกับผู้เรียน
(results-driven education) การมุ่งให้ครูคิดอย่างเป็นระบบ (system thinking) และการเรียนรู้ใน
ตัวครเู กดิ จากการเปน็ ผู้กระทาํ (active)
4. องค์ความรู้จากการปฏบิ ตั จิ รงิ
จากผลการวิจยั ท่พี บว่า องค์ความรจู้ ากการปฏบิ ตั ิที่ไดท้ งั้ ในกรณที เ่ี ก่ียวกบั
“การบูรณาการ” เป็นตัวสอดแทรก และในกรณีที่เกี่ยวกับ “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม”
นั้น มีองค์ประกอบที่สําคัญดังน้ี คือ 1) โครงสร้างการบริหารและจัดการงานวิชาการตามหลักการ
บูรณาการแนวทีมฟตุ บอลใช้รปู แบบการบรู ณาการแบบทีมฟุตบอลเชงิ รุก 2) ใช้หลกั การบูรณาการ 9
ประการ 3) การกําหนดบทบาทหน้าท่ีของผู้เก่ียวข้องกับการบูรณาการ 4) คํานึงถึง 10 หลักการ 10
จรรยาบรรณ และ 10 บทบาทของผู้วจิ ัยในการวิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม เป็นพื้นฐาน และ 5)
มีข้ันตอนย่อยการดําเนินงานในแต่ละข้ันตอน ทําให้ได้กรอบแนวคิดเพ่ือการปฏิบัติ 3 พลังเสริม
การบรู ณาการเพ่อื พฒั นางานวิชาการด้วยหลักการบูรณาการในโรงเรียนบ้านบึงฉิม : องค์ความรู้ที่ได้
จากการวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วม” ดังแสดงในรายละเอยี ดหน้าตอ่ ไปน้ซี ึ่งองค์ความรู้
ทีไ่ ด้จากการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ท่ีเป็นกรอบแนวคิดและนําไปสู่การปฏิบัตินี้ทําให้การ
พัฒนางานวิชาการด้วยหลักการบูรณาการของโรงเรียนขนาดเล็กบรรลุเปูาหมาย คือ จากการ
ดาํ เนนิ งานท้ัง 3 โครงการ โดยภาพรวมผ่านสภาพทค่ี าดหวัง หรือเปาู หมายของโรงเรียน คือ ผ่านการ
ประเมนิ มาตรฐานการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานในมาตรฐานท่ี 12, 14 และ 15 อิงสถานศึกษามีค่าระดับ “ดี”
หรอื ระดับ “3” ขนึ้ ไป เป็นเพราะวา่ มีการใช้ 3 พลังเสริมการบูรณาการ ที่ประกอบด้วย 1) พลังการ
ปฏิบัติตาม 10 หลักการ 10 จรรยาบรรณ และ 10 บทบาทของผู้วิจัย และเสริมด้วยขั้นตอนการ
ปฏบิ ัติงานในขนั้ ตอนที่ 1 – 9 2) พลังการส่งเสริมสนับสนุนและประสานตามบทบาทหน้าท่ีของกลุ่ม
ส่งเสริม และสนบั สนุนนอกสถานศึกษา ได้แก่ สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาขอนแก่น เขต 1 ชุมชน/
ท้องถนิ่ ผปู้ กครอง และชมรมศิษย์เก่า ผู้ปกครอง และครูโรงเรียนบ้านบึงฉิม และ 3) พลังการยึดถือ
หลักการ 9 ประการ คือ (1) สร้างมิตรภาพและความเข้าใจร่วมกัน (2) กําหนดเปูาหมาย ชัดเจน
(3) ศรัทธาผู้นํา (4) ยึดโครงสร้างบทบาท หน้าท่ีในแนวราบ ไม่ใช่แนวตั้ง (5) สร้างประโยชน์ร่วมกัน
(6) การมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน (7) การมีทีมงานท่ี หลากหลาย (8) มีทุนของการพัฒนาหรือศักยภาพ
เดิมก่อนพัฒนา และ (9) มีความเสียสละ สําหรับการนํากรอบแนวคิดท้ัง 3 พลังไปปฏิบัติ จะต้อง
ดําเนินการบูรณาการแบบทีมฟุตบอลภายในโรงเรียนเน้นการปฏิบัติเชิงรุกเพื่อบรรลุเปูาหมายที่
คาดหวงั โดยการจดั โครงสร้างแนวราบที่มีการกําหนดเปูาหมายสภาพที่คาดหวังไว้อย่างชัดเจน และ
เน้นการบริหารจัดการ เพ่ือบรรลุเปูาหมายน้ันในเชิงรุกในลักษณะการบูรณาการสรรพกําลังจากทุก
ฝุายตามบทบาทหน้าที่ ที่เก่ียวข้องในลักษณะเชิงอุปมาเสมือนทีมฟุตบอล ที่มีลักษณะเป็นกลุ่ม
ปฏิบัติงานภายในภาคสนามเชิงรุก ได้แก่ กองหน้า ได้แก่ ทีมงานโครงการ ประกอบด้วย ครูผู้สอน
การวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการและการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วม 76
ประจําช้ัน/รายวิชา ผู้ปกครอง นักเรียนในชั้นนั้นๆตัวแทนชุมชน และตัวแทนสํานักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาขอนแก่น เขต 1 กองกลาง ประกอบด้วย บุคคลท่ีทีมงานเป็นผู้คัดเลือกทําหน้าท่ีเป็นทีม
แกนนํา ในการประสานงาน เชื่อมโยง และปฏิบัติงานเพื่อพัฒนางานวิชาการตามที่ได้รับมอบหมาย
กองหลัง ประกอบด้วยหวั หน้ากลุ่มสาระ/หวั หน้างานวชิ าการของโรงเรียนทําหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุน
และรว่ มปฏิบัตงิ านกบั ทีมแกนนาํ /ทีมงานโครงการ และผรู้ กั ษาประตู คือ ผู้บริหารโรงเรียน ทําหน้าที่
บริหารจัดการทีมฟุตบอลตามนโยบายของคณะกรรมการสถานศึกษา และหน่วยงานต้นสังกัด
นอกจากนย้ี ังมผี สู้ ่งเสริมสนับสนุนภายนอกโรงเรยี นประกอบด้วย สํานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษา ชุมชน
ผู้ปกครอง และชมรมศิษย์เก่า เป็นต้น ซ่ึงกรอบแนวคิดและแนวปฏิบัตินี้ สอดคล้องกับแนวคิด ของ
วิโรจน์ สารรัตนะ (2550) ท่ีเสนอในการนํากรอบแนวคิดการเป็น “ทีมฟุตบอล” มาใช้เป็นกรอบ
โครงสร้างการทํางาน เนือ่ งจากทีมฟุตบอล ตวั ผู้เล่นทุกคนต่างจะช่วยเสริมซง่ึ กันและกันรุกไปข้างหน้า
เพือ่ การบรรลุเปูาหมายของการไดป้ ระตจู ากฝาุ ยตรงข้าม ซ่ึงก็จะทําให้การบริหารหรือการทํางานเชิง
บูรณาการเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับแนวคิดในการบูรณาการของ เกษม จันทร์
แก้ว (2547) ทไ่ี ด้กล่าวถงึ ลกั ษณะการบูรณาการ ทีส่ ามารถบูรณาการภายในระบบย่อย ภายในพ้ืนท่ี
หรือระหว่างระบบย่อยหรือระหว่างพ้ืนทีไ่ ด้ ซึ่งกค็ ือ การบรู ณาการระหว่างทีมงานประจํา ทีมแกนนํา
และทีมงานโครงการภายในโรงเรยี นเนน้ การปฏบิ ตั เิ ชิงรุกเพอื่ บรรลุเปูาหมายทค่ี าดหวงั นน่ั เอง
ขอ้ เสนอแนะ
จากการพัฒนางานวิชาการด้วยหลักการบูรณาการในโรงเรียนบ้านบึงฉิม โดยใช้
กระบวนการวิจยั เชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีส่วนรว่ ม ผู้วจิ ยั มีข้อเสนอแนะ ดังนี้
1. ข้อเสนอแนะจากผลการวจิ ัย
1.1 จากผลการวิจยั ท่ีพบวา่ แมก้ ารพัฒนางานวชิ าการจะประสบผลสาํ เรจ็ ตามที่
คาดหวงั เกอื บทุกประการตามที่คาดหวังแต่ยังมกี ารจัดกิจกรรมการเรยี นที่ยังไม่ประสบผลสําเร็จทั้งใน
วงจรแรกและวงจรท่ีสอง โรงเรยี นบา้ นบงึ ฉิมควรหาทางปรับปรุงแกไ้ ขต่อไปอยา่ งตอ่ เนือ่ งและจรงิ จัง
1.2 จากผลการวิจัยพบวา่ โรงเรียนบา้ นบงึ ฉมิ ยังมปี ัญหาอ่นื อกี หลายด้าน ซง่ึ
จําเป็นต้องได้รับการพัฒนาด้วยหลักการบริหารอ่ืนๆ ดังน้ัน โรงเรียนควรใช้หลักการบริหารอื่นที่
เหมาะสมมาใชเ้ สริมหรือเพิ่มเติมหลักการบูรณาการด้วย เช่น หลักการเสริมพลัง (empowerment)
หลกั การตรวจสอบได้ (accountability) เปน็ ตน้
1.3 นอกจากพฒั นางานวชิ าการ โรงเรยี นบ้านบงึ ฉมิ จะตอ้ งใหค้ วามสําคญั กบั
การพฒั นางานด้านอ่ืนๆ ควบคไู่ ปพรอ้ มกัน ตามหลักการบรหิ ารแบบองคร์ วม (holistic approach)
การวิจัยเชงิ ปฏิบัติการและการวิจยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม 77
ไม่พัฒนาแบบแยกส่วน เพราะทุกส่วนต่างส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพซ่ึงกันและกัน เช่น กรณี
กิจกรรมการจดั การเรยี นรทู้ ผี่ ลการวิจัยพบว่ายังไมป่ ระสบผลสําเร็จนน้ั อาจมีสาเหตุจากปัจจัยอื่นท่ียัง
ไม่ไดร้ ับการพฒั นา
1.4 จากผลการวิจัยพบว่า บุคคลในระดบั ต่าง ๆ เกดิ การเรียนรู้ขึ้นจากผลการ
ดําเนินการวิจัย ดังน้ัน การพัฒนางานใด ๆ ในโรงเรียนโดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมี
ส่วนร่วม โรงเรียนจะต้องคํานึงถึงผลที่เกิดข้ึนต่อการพัฒนาวิชาชีพ หรือความก้าวหน้าทางวิชาการ
ของครไู ปด้วย โดยอาจจัดให้มีโครงการพฒั นางานตา่ ง ๆ ในโรงเรียนหลายโครงการ แตล่ ะโครงการมี
ผรู้ บั ผดิ ชอบ มบี คุ คลอนื่ ๆ เป็นผู้รว่ มการวจิ ยั และสลับเปลย่ี นกันไปในรูปแบบนี้ จะทําให้เกิดโครงการ
รอ้ ยรัดหลายโครงการที่ครเู ป็นนักวจิ ยั เจา้ ของโครงการ และสามารถนําไปเป็นผลงานทางวิชาการเพ่ือ
ความกา้ วหน้าในวชิ าชพี ได้ดว้ ย
1.5 จากการใช้หลกั การของการวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมีสว่ นรว่ มในโรงเรียน
บ้านบึงฉิม พบว่า สง่ ผลตอ่ ความสาํ เรจ็ แทบทุกประการตามทคี่ าดหวงั นอกจากน้นั ยงั ก่อให้เกิดผลการ
เปล่ียนแปลงในทางที่ดีขึ้นท้ังในระดับบุคคล กลุ่มบุคคล และระดับโรงเรียน รวมท้ังก่อให้เกิดการ
เรยี นร้แู ละองคค์ วามรจู้ ากการปฏิบตั ิ โดยเฉพาะหลักการท่ีให้ “ความเป็นประชาธิปไตย” กับผู้มีส่วน
ร่วมทุกฝุาย ดังนั้น โรงเรียนบ้านบึงฉิม ต้องตระหนักถึงศักยภาพ ท่ีมีอยู่ในตัวครูบุคลากร
คณะกรรมการสถานศึกษา และชุมชน ว่าสามารถจะกระตุ้นออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการ
บรหิ ารงานใด ๆ ในโรงเรียนได้โดยหลักความเป็นประชาธิปไตยในการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วน
รว่ ม ในขณะเดียวกันก็ต้องม่งุ พัฒนาตนเองใหไ้ ด้รับองคค์ วามรู้ใหมจ่ ากภายนอก เพอื่ บูรณาการเข้ากับ
ศักยภาพของตัวเองให้เกิดประสทิ ธิภาพสงู สดุ
1.6 จากผลการใชก้ ระบวนการวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วมเพ่อื พฒั นางาน
วิชาการด้วยหลักการบูรณาการในโรงเรียนบ้านบึงฉิมได้มุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ 3 ประการท่ีสําคัญ คือ
1) เพื่อการเปล่ียนแปลง 2) เพ่ือการเรียนรู้ท้ังระดับบุคคล กลุ่มบุคคล และโรงเรียน และ 3)
เพื่อก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่จากการบูรณาการของภาคท่ีเป็นประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติและภาคท่ี
เป็นทฤษฎีของผู้วิจัย พบว่า ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังที่ดี แต่อาจเพิ่มให้ความสําคัญกับการเรียนรู้ท่ี
เกิดขึ้น “ระหว่างกลุ่ม” และ “ระดับชุมชน” ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยด้วย และนอกจากน้ัน
จะต้องคํานึงถึง “เปูาหมายสุดท้าย” ของการพัฒนางานใดๆในโรงเรียนว่าจะต้องมุ่งให้เกิดผลการ
เปลีย่ นแปลงในทางทดี่ ใี หเ้ กิดขน้ึ กบั นักเรยี นเป็นสําคัญ
1.7 จากผลการวจิ ัย พบว่า ความสําเรจ็ ในการพฒั นางานวิชาการโดยหลักการ
บูรณาการ จากการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในคร้ังน้ี เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของ
บุคลากรภายนอกโรงเรียนเป็นสําคัญด้วย ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครองผู้นํา
การวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการและการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม 78
ชุมชน และชุมชน โรงเรียนบ้านบึงฉิมจะต้องรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ให้เข้ามามี
ส่วนรว่ มในการพัฒนาโรงเรยี นอยา่ งต่อเน่ือง และอย่างยง่ั ยนื
1.8 จากการดาํ เนินการวจิ ยั พบว่า เหตผุ ลหลักทท่ี ุกฝุายเข้ามามสี ว่ นรว่ มในการ
พัฒนางานวิชาการในโรงเรียน โดยเฉพาะผู้ปกครองและผนู้ าํ ชมุ ชน คือ ตอ้ งการให้โรงเรยี นสามารถ
พัฒนา “บุตรหลาน” ของพวกเขาได้อย่างเต็มศักยภาพ ดังน้ันโรงเรียนบ้านบงึ ฉมิ จะต้องตระหนัก
อยเู่ สมอวา่ “บตุ รหลาน” ของบคุ คลในชมุ ชนจะตอ้ งเป็นเปูาหมายหลักของการพัฒนาอยู่เสมอ จึงจะ
ไดร้ ับความรว่ มมือร่วมใจจากบุคคลเหลา่ นั้นอยา่ งเต็มกําลัง
1.9 จากผลการวจิ ัยพบวา่ การใช้หลักการบรู ณาการเพื่อพัฒนางานวิชาการใน
โรงเรียนบา้ นบึงฉิม เกิดจากการเสริมพลงั ทสี่ ําคญั 3 ประการ คือ 1) พลังจากการสนับสนุนจากบุคคล
กลมุ่ บคุ คล หรือหน่วยงานภายนอกโรงเรียนตามบทบาทหนา้ ที่ของแตล่ ะฝาุ ย 2) พลงั จากการยึดถือใน
หลักการ 9 ประการ คือ การสร้างมิตรภาพและความเข้าใจร่วมกัน การกําหนดเ ปูาหมายชัดเจน
ความมศี รัทธาผู้นํา การยึดโครงสรา้ ง บทบาทและหนา้ ทใี่ นแนวราบ การสร้างประโยชน์ร่วมกัน การมี
ส่วนร่วมทุกข้ันตอน การมีทีมงานท่ีหลากหลาย การมีทุนหรือศักยภาพเดิมก่อนพัฒนา และความ
เสียสละ และ 3) พลังจากการยดึ ถือหลักการ จรรยาบรรณ และบทบาทพ้ืนฐานของผู้วิจัย รวมท้ังการ
รว่ มกันคิดพัฒนาขั้นตอนการทํางานในแต่ละขั้นตอนของวงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
น้ัน โรงเรยี นบ้านบึงฉิมจะต้องให้ความสําคัญกับการนําเอาพลังท้ัง 3 ประการน้ีมาใช้เพื่อการพัฒนา
งานในโรงเรยี นใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลสงู สุดอยู่เสมอและพยายามพัฒนาพลังเสริมใหม่ๆ
ใหเ้ กิดข้นึ ด้วย
2. ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย
จากการประชมุ เชิงวชิ าการในข้นั ตอนที่ 10 ผ้วู จิ ยั และผู้รว่ มวิจัยมคี วามคิดเหน็
รว่ มกันเพ่อื การพฒั นางานวชิ าการอยา่ งตอ่ เนือ่ ง จึงไดข้ ้อสรปุ ในเชิงนโยบายเพื่อการพฒั นางาน
โรงเรยี นขนาดเล็ก ดังนี้
2.1 โรงเรียนขนาดเล็กควรกาํ หนดนโยบายการวิจัยเพ่ือพฒั นางานเป็นนโยบาย
หลักของโรงเรียนในทุกปีการศกึ ษา
2.2 หนว่ ยงานต้นสงั กัดของโรงเรยี นขนาดเลก็ เริ่มต้งั แตส่ าํ นักงานเขตพน้ื ที่
การศึกษาและสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ควรมีนโยบายในการพัฒนาผู้บริหาร
โรงเรียนหรือครูผู้สอนโรงเรียนขนาดเล็กเป็นการเฉพาะ
2.3 เพ่อื ให้การพฒั นางานวชิ าการ หรอื งานอน่ื ๆ ของโรงเรยี นขนาดเล็กอยา่ ง
ตอ่ เนื่องควรพจิ ารณาหรือกาํ หนดแนวทางในการพจิ ารณาการย้าย การบรรจผุ ู้บริหารหรอื ครผู ู้สอน
การวิจยั เชงิ ปฏิบัติการและการวจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ ารแบบมีส่วนรว่ ม 79
เป็นการเฉพาะ เช่น บรรจุผู้บริหารโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกใหม่ให้บรรจุและแต่งต้ังให้ปฏิบัติ
หน้าท่ีในโรงเรียนขนาดเล็กก่อน โดยผ่านการอบรมหลักสูตรเฉพาะผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กหรือ
การกําหนดระยะเวลาในการดาํ รงตําแหนง่ ของผบู้ รหิ ารโรงเรียนขนาดเลก็ เปน็ การเฉพาะ
3. ข้อเสนอแนะในการนําผลการวิจยั ไปใช้
แม้ผลการการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัติการแบบมสี ่วนรว่ ม จะเปน็ การวิจัยในบรบิ ทเฉพาะ
(specific context) ทอ่ี าจมีข้อจํากดั ในการนาํ ไปใชอ้ ้างองิ ได้ แต่จากทศั นะของ Coghlan and
Brannick (2007) และ James, Milenkiewicz, and Bucknam (2008) ท่กี ล่าวว่า “สามารถจะ
นําเอาประเด็นข้อคิด หรือเหตุการณ์สําคัญที่เกิดข้ึนเป็นข้อเสนอแนะสําหรับการนําไปใช้ใน
สถานการณ์อื่น ๆ ไดด้ ว้ ย โดยเฉพาะสถานที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือท่ีกําลังมุ่งให้เกิดการเปล่ียน
ปลงในลักษณะเดียวกัน” ดังนั้น จากผลการวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะสําหรับการนํา
ผลการวิจยั ในครงั้ นไ้ี ปใช้ในโรงเรียนแห่งอ่ืน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่มีลักษณะท่ีคล้ายคลึงกัน
ดงั นี้
3.1 การใชก้ ารวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วมเพื่อพัฒนางานใด ๆ ในโรงเรยี น
ควรศึกษาหลักการ จรรยาบรรณ และบทบาทของผวู้ ิจยั ใหเ้ ขา้ ใจ และนําไปใชอ้ ย่างเชื่อมน่ั ใน
หลักการมสี ว่ นร่วมวา่ จะสง่ ผลดีต่อการพฒั นาไดม้ ากกว่า
3.2 ปจั จัยจงู ใจทีจ่ ะทําให้ผู้ปกครอง ชุมชนเข้ามามสี ่วนร่วมในกระบวนการพฒั นา
ของโรงเรยี นทพี่ บไดจ้ ากการวิจัยครั้งน้ี คอื ความสัมพันธภาพทดี่ ตี อ่ กันในเชิงกลั ยาณมิตร และ
ความมุ่งมัน่ ทีจ่ ะทาํ ทุกสง่ิ ทกุ อยา่ งทแี่ สดงให้พวกเขาเหน็ วา่ โรงเรียนกําลังทําส่ิงต่างๆ เพื่อพัฒนา
“บุตรหลาน” ของพวกเขา
3.3 กําหนดจุดมุ่งหมายในการวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วมไปใช้เป็น
กระบวนการพฒั นางานโรงเรยี น วา่ นอกจากจะมุ่งให้เกดิ การเปล่ียนแปลงไปในทางทด่ี ีข้ึนแล้ว จะต้อง
มุ่งเพอื่ ให้เกดิ การเรยี นรู้ และเกดิ องคค์ วามรใู้ หมๆ่ ขน้ึ ดว้ ย ทั้งในระดบั บคุ คล ระดบั กลุม่ และระดบั
โรงเรยี น รวมทง้ั ระดบั ชมุ ชน
3.4 ควรคํานงึ ถงึ หลกั การอ่ืน หรอื นวัตกรรมอนื่ ๆ มาใชเ้ ปน็ ตัวสอดแทรก
(intervention) เพ่ือการพัฒนา หรือการเปล่ียนแปลงใดๆ ในโรงเรียนด้วย นอกจากหลักการ
บูรณาการท่ีนาํ มาใช้ในการวิจัยนี้
3.5 การพัฒนางานวชิ าการในโรงเรียน จะต้องตระหนกั ถึงข้อเท็จจริงว่า
กล่มุ เปาู หมายในการพฒั นาคือ “นักเรียน” นัน้ จะสับเปล่ียนหมุนกนั มาทุกปีการศกึ ษา ร่นุ เกา่ จบไปรุ่น
ใหม่จะรับเข้ามา โรงเรยี นควรตอ้ งดาํ เนินการพฒั นาตามวงจรวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมต่อไป
อกี แมจ้ ะไมม่ ผี ู้วิจยั จากภายนอก
การวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารและการวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ว่ นร่วม 80
4. ข้อเสนอแนะในการทาํ วิจัยคร้งั ตอ่ ไป
4.1 โรงเรยี นบา้ นบงึ ฉิม ควรกําหนดใหค้ รใู นโรงเรียนทําวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ าร
แบบมีส่วนร่วมในเรอ่ื งใดเร่อื งหนึง่ คนละ 1 เร่อื งไม่จํากัดเฉพาะงานวิชาการ โดยสลับกันเปน็
ผู้วิจัยและผู้รว่ มวิจัย พรอ้ มอาจจะแสวงหาแหล่งทุนสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกได้ เชน่ คุรุสภา
เพื่อการพัฒนาวชิ าชีพครู เปน็ ต้น
4.2 โรงเรียนบ้านบึงฉมิ ควรสง่ เสรมิ ใหค้ รูในโรงเรียนทาํ วิจัยในรปู แบบอ่ืนที่
สง่ ผลต่อการพัฒนา หรอื การเปล่ียนแปลงในรูปแบบอนื่ ด้วย เชน่ การวจิ ยั และพัฒนา (research
and development) ควบคู่ไปกับการวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีส่วนรว่ ม เพื่อใหค้ รูในโรงเรียนเกดิ
ความเขา้ ใจ และสามารถปฏิบตั ไิ ดจ้ ริงกับรูปแบบการวจิ ยั หลายรูปแบบมากข้นึ ซ่ึงจะสง่ ผลใหเ้ กดิ
การพฒั นาวิชาชพี ของตัวครเู อง และเกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเกดิ ขนึ้ ในโรงเรียนอยา่ งต่อเน่อื ง
และย่งั ยืน
4.3 โรงเรียนบา้ นบงึ ฉิม ควรนาํ หลักการเพอ่ื การบูรณาการ 9 ประการไปจัดทํา
กรอบเพอื่ การวิจัยและพฒั นา (research and development) งานวิชาการในมาตรฐานการศกึ ษา
ข้ันพ้ืนฐานอ่ืนๆ หรอื งานดา้ นอ่นื ๆ ของโรงเรยี น
การวจิ ัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารและการวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วม 81
ตวั อย่างงานวิจยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม
ตัวอย่างท่ี 2 การพัฒนากิจกรรมการเรยี นรูใ้ นโรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมศรีจันทร์วทิ ยา :
ช่อื เรอ่ื ง การวิจัยเชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม
DEVELOPING LEARNING ACTIVITIES IN SRIJANWITTAYA
ชื่อผ้วู จิ ยั GENERAL BUDDHIST SCRIPTURE SCHOOL :
A PARTICIPATORY ACTION RESEARCH.
ปที ่ีวิจัย พระจักรพล สริ ิธโร (ปอู งศริ )ิ
ดุษฎีนพิ นธ์นเี้ ป็นส่วนหน่งึ ของการศกึ ษาตามหลกั สตู รศึกษาศาสตรดุษฎบี ัณฑิต
สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช
วทิ ยาลยั
พ.ศ. 2559
บทคัดยอ
การวจิ ยั คร้ังนี้มวี ัตถุประสงคเ์ พ่อื พัฒนากจิ กรรมการเรยี นรใู้ นโรงเรียนศรีจันทร์วิทยา จังหวัด
เลย โดยมุ่งศึกษาสภาพท่ีเคยเป็นมา สภาพปัจจุบัน สภาพปัญหา สภาพที่คาดหวังทางเลือก
เพ่ือแก้ปัญหา การนําทางเลือกท่ีเลือกสรรสู่การปฏิบัติ และผลท่ีเกิดข้ึน ท้ังกรณีการเปล่ียนแปลงที่
คาดหวังและไม่คาดหวัง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติท้ังระดับบุคคล ระดับกลุ่ม และระดับ
องคก์ าร รวมทัง้ ความรูใ้ หม่ทเ่ี กดิ ขึน้ จากกระบวนการวางแผน การปฏบิ ตั ิ การสงั เกต และการสะท้อน
ผล สองวงจรของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ท่ีมีผู้ร่วมวิจัยหลัก คือ ผู้บริหารครูผู้สอน
และกรรมการสถานศึกษา จํานวน 17 ท่าน มีผู้วิจัยร่วมอ่ืนๆ ในลักษณะเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เช่น
ครูธรุ การ นักการภารโรง ผนู้ าํ ชุมชน และผูแ้ ทนศษิ ยเ์ ก่า จํานวน 5 ทา่ น
ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนศรีจันทร์วิทยา มีวัสดุ อุปกรณ์ ที่จา เป็นไม่เพียงพอสา หรับการ
พฒั นากจิ กรรมการเรียนรู้ และไม่มีส่ือการสอนที่ทันสมัย ครูไม่ค่อยได้รับการพัฒนาการจัดกิจกรรม
พัฒนาการเรียนรู้สา หรับศตวรรษที่ 21 ทา ให้นักเรียนไม่สนใจเรียน ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนยังไม่
ผา่ นการประเมินคุณภาพการศึกษาในรอบสาม จงึ ได้ดา เนนิ โครงการเพือ่ แก้ปญั หา 4 โครงการ คือ
1) โครงการส่งเสริมและพัฒนาครูผู้สอน 2) โครงการจัดสภาพแวดล้อมแหล่งเรียนรู้ 3)
โครงการสร้างพลังร่วมเพื่อพัฒนาโรงเรียน และ 4) โครงการเพ่ิมศักยภาพการบริหารจัดการองค์กร
ตามแนวการใช้โรงเรียนเป็นฐาน ซึ่งมีผลทา ให้โรงเรียนศรีจันทร์วิทยาผ่านการประเมินคุณภาพ
การศกึ ษาและผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนอยู่ในระดับดีขึ้นนอกจากน้ันยังพบว่า ผู้วิจัยและผู้
การวิจยั เชิงปฏิบตั กิ ารและการวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม 82
ร่วมวจิ ัยเกิดการเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ัติหลายประการทัง้ ในดา้ นความรแู้ ละประสบการณ์ต่างๆ และเกิด
ความรู้ใหม่จากการปฏิบัติ 3 ลักษณะคือ 1) ความรู้ใหม่จากการปฏิบัติตามหลักการเชิงปฏิบัติการ
แบบมีสว่ นรว่ มในบรบิ ทเฉพาะโรงเรยี นศรีจันทร์วิทยา 2) ความรู้ใหม่ท่ีเกิดจากการใช้หลักการเรียนรู้
แบบมีสว่ นรว่ ม 5 ขน้ั ตอน และ 3) ความรู้ใหมท่ เี่ กิดจากการถอดบทเรียน คือ SRIJAN MODEL
คาํ สาํ คญั : การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ การวิจยั เชงิ ปฏิบตั ิการแบบมีสว่ นร่วม โรงเรียนพระปริยัติ
ธรรมศรีจนั ทร์วิทยา
บทนาํ
1.1 ความเปน็ มาและความสาํ คัญของปญั หา
สังคมปัจจุบันเป็นสังคมโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ซึ่งในประเทศไทยได้มีการ
พัฒนาประเทศมาอย่างตอ่ เนอ่ื งทัง้ ทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และด้านอื่นๆอีก
มากมาย เม่ือโลกเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ การเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้านเกิดข้ึนอย่างรุนแรง
รวดเร็ว และกว้างขวาง ผลของการเปลี่ยนแปลงทา ให้เกิดกระแสสําคัญๆ ท่ีเข้าสู่ความเป็นสากล
รวมทงั้ การจดั การศกึ ษา ขณะเดยี วกนั กอ็ าจกอ่ ใหเ้ กิดปัญหาตา่ งๆ หลายประการ เช่น ความสับสนใน
ขอ้ สนเทศ การรับกระแสวัฒนธรรมโดยขาดการกลนั่ กรองและการย้ังคดิ จนกระทั่งวัฒนธรรมดงั้ เดมิ ที่
ดีงาม เอกลักษณ์ไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่นไม่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เท่าท่ีควร ในขณะที่สังคมโลก
ต้องการด้านคุณภาพและมีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ต่างไปจากเดิม ดังนั้น ระบบการศึกษาจึงเป็น
กลไกสาํ คัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพท่ีย่ังยืนและสามารถรักษาเอกลักษณ์ไทยไว้ได้
และการบริหารจัดการด้านการศึกษาก็เป็นส่ิงที่สําคัญอย่างยิ่งท่ีจะเป็นตัวขับเคลื่อนองค์การทางการ
ศึกษาให้เกิดการพัฒนาและส่งผลให้คนในองค์การเป็นบุคคลที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ ซึ่งการ
บริหารจัดการท่ีดีนั้นจะต้องมีการกระจายอํานาจให้ทุกฝุาย มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ
ซึ่งสอดคล้องกบั รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พุทธศักราช 2545 ซ่ึงให้มีการจัดระบบ
โครงสร้างและกระบวนการจัดการศึกษาของไทยให้มีความหลากหลายทั้งในด้านนโยบายและทาง
ปฏิบัติให้มีการกระจายอํานาจไปสู่เขตพ้ืนท่ีการศึกษาและสถานศึกษากําหนดให้กระทรวงกระจาย
อํานาจการบรหิ ารและการจัดการศึกษาท้ังด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการ
บริหารท่ัวไป ไปยังคณะกรรมการและสา นักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา และสถานศึกษาในเขตพ้ืนที่
การศึกษาโดยตรง (กระทรวงศึกษาธิการ , 2542 แกไ้ ขฉบับที่ 2, 2545,หนา้ 36)
การวิจัยเชิงปฏิบตั กิ ารและการวจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วม 83
ก า ร ป ฏิ รู ป ก า ร ศึ ก ษ า ใ น ปั จ จุ บั น ไ ด้ มุ่ ง ป ร ะ โ ย ช น์ แ ก่ ผู้ เ รี ย น โ ด ย อ ยู่ บ น พ้ื น ฐ า น แ ห่ ง
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พุทธศักราช
2545 หมวด 1 มาตรา 6 เร่ืองการจดั การศึกษาตอ้ งเปน็ ไปเพอื่ พฒั นาคนไทยให้เปน็ มนษุ ย์ทส่ี มบูรณ์
ท้ังร่างกาย จติ ใจ สตปิ ญั ญา ความรู้และคณุ ธรรม มจี ริยธรรมในการดา รงชวี ติ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน
อย่างมีความสุขและในหมวด 4 มาตรา 23และมาตรา 24 การจัดการศึกษาท้ังการศึกษานอกระบบ
และการศกึ ษาตามอธั ยาศัยตอ้ งเน้นความสาํ คัญทง้ั ความรู้ คณุ ธรรมกระบวนการเรียนรู้และบูรณาการ
ตามความเหมาะสมของแตล่ ะระดับการศึกษา โดยใหส้ ถานศึกษาและหนว่ ยงานท่ีเกี่ยวข้องดําเนินการ
จดั การเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ดา้ นตา่ งๆอย่างได้สัดส่วนสมดลุ กัน รวมท้ังการปลูกฝัง
คุณธรรมค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ไว้ในทุกวิชาโดยในมาตรา 26 ยังได้ระบุให้
สถานศึกษาจัดประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียนความประพฤติ การสังเกต
พฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบ ควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนการสอนตาม
ความเหมาะสมของแต่ละระดับในมาตรา 27 กําหนดให้คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานกําหนด
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพื่อความเป็นไทยเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การดํารงชีวิต
การประกอบอาชีพตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อให้สถานศึกษาข้ันพื้นฐานมีหน้าท่ีจัดทํา สาระของ
หลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหน่ึง ในส่วนที่เก่ียวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคมภูมิปัญญา
ท้องถ่ิน คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
(กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2546) ในปัจจุบันมีการปรับหลักสูตรให้มีความเหมาะสมกับสภาพสังคมมาก
ยิ่งข้ึน ความจําเป็นในการปรับเปลี่ยนจุดเน้นในการพัฒนาคุณภาพในสังคมไทยให้มีคุณธรรม และมี
ความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อมท้ังด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และศีลธรรม สามารถ
ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อนําไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง แนวการพัฒนาคนดังกล่าว
มุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมท้ังสมรรถนะ ทักษะและ
ความรู้พ้ืนฐานที่จําเป็นในการดํารงชีวิตอันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน (สภาพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , 2549) ซ่ึงแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของ
กระทรวงศกึ ษาธิการใน การพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งส่งเสริมผู้เรียน
มีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์สร้างสรรค์มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถ
ทํางานรว่ มกับผู้อ่นื และสามารถอยรู่ ว่ มกับผอู้ ืน่ ในโลกไดอ้ ยา่ งมีความสขุ หลกั สูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 จึงได้กําหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสําคัญของผู้เรียน
คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดท่ีชัดเจนเพื่อเป็นทิศทางในการจัดทํา
หลักสูตร การเรียนการสอนในแต่ละดับของแต่ละโรงเรียนในสถานศึกษาและจัดการเรียนการสอน
เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้ และ
ทักษะท่ีจําเป็นสา หรับการดํารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลงและแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา
การวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารและการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม 84
ตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และจุดมุ่งหมายสําคัญประการหน่ึงท่ีต้องการให้เกิดกับผู้เรียนคือ
ผเู้ รียนมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมทพ่ี ึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม
หลักธรรมของพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาท่ีตนนบั ถือ และนอกจากนี้จะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้มี
คุณลักษณะที่พึงปร ะสงค์ เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกั บผู้อ่ืนใน สังคมไ ด้อย่างมีความสุข
(กระทรวงศึกษาธิการ , 2551) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) ได้ให้
ความสําคัญของการศึกษาโดยสรุปรวมเป็นประเด็นที่สําคัญ ได้แก่ ประชาชนได้เรียนฟรี 12 ปี
(ป.1-ม.6) ตามมาตรา 49 2) รัฐต้องพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาในทุกระดับและ
ทุกรูปแบบ และ รฐั ตอ้ งส่งเสรมิ และสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ ชมุ ชนองค์การทางศาสนา
และเอกชนจัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ตามมาตรา 803) รัฐต้องส่งเสริมการประดิษฐ์หรือ
การค้นคิดเพ่ือให้เกิดความรู้ใหม่ รักษาและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทย รวมทั้งให้
ความคุ้มครองทรัพยส์ ินทางปญั ญาตามมาตรา 86 (สํานักงานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา, 2551)
นอกจากน้ีในยุคปัจจุบันเป็นยุคท่ีโลกมีความเจริญก้าวหน้าอย่ารวดเร็ว อันสืบเน่ืองมาจาก
การใชเ้ ทคโนโลยีเพอ่ื เช่ือมโยงข้อมูลต่างๆของทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน กระแสการปรับเปลี่ยน
ทางสังคมท่ีเกดิ ขนึ้ ในศตวรรษท่ี 21 ส่งผลต่อวิถีการดา รงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ครูจึงต้องมีความ
ตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพ่ือเตรียมความพร้อมให้ นักเรียนมีทักษะสําหรับการ
ออกไปดํารงชีวิตในโลกในศตวรรษท่ี 21 ที่เปล่ียนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยทักษะแห่ง
ศตวรรษท่ี 21 ท่ีสําคัญที่สุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ส่งผลให้มีการเปล่ียนแปลงการ
จัดการเรียนรู้เพอื่ ใหเ้ ด็กในศตวรรษที่ 21 นี้ มคี วามรู้ ความสามารถ และทักษะจําเป็น ซ่ึงเป็นผลจาก
การปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ
ทเ่ี ปน็ ปจั จัยสนบั สนนุ ทีจ่ ะทําใหเ้ กิดการเรียนรูด้ ังกลา่ ว โดยใช้การเรียนแบบ Project Base Learning
ของนักเรียนจากการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากทุกสถานที่และทุกเวลาสามารถใช้ชีวิตท่ีมี
จุดมุ่งหมาย ไม่มีพฤติกรรมเส่ียง รู้จักใช้ข้อมูลข่าวสารอย่างรู้เท่าทัน โดยมีครูคอยให้คําแนะนํา
สง่ เสรมิ วิจารณ์ พานิช (2555) กล่าวถึง ทักษะเพ่ือการดํารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 ไว้ว่าการเรียนรู้ใน
ศตวรรษท่ี 21 ต้อง กา้ วขา้ มสาระวชิ า ไปสกู่ ารเรียนรู้ทักษะเพ่ือการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 (21st
Century Skills) ท่ีครูสอนไม่ได้นักเรียนต้องเรียนเองหรือพูดใหม่ว่าครูต้องไม่สอนแต่ต้องออกแบบ
การเรียนรู้และอํานวยความสะดวก (facilitate) ในการเรียนรู้ให้นักเรียนรู้จากการเรียนแบบ
ลงมอื ทําแล้วการเรยี นรู้กจ็ ะเกดิ จากภายในใจและสมองของตนเอง การเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า Project
Base Learning
แนวคิดของบิลล์เกตส์ ( Bill Gate) เก่ยี วกบั การนาเทคโนโลยมี าใช้ในการศึกษา 1) การเรียน
ไม่ได้มีเฉพาะในห้องเรียน ในโลกยุคปัจจุบัน คนสามารถท่ีจะเรียนได้จากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย
โดยเฉพาะทางด่วนข้อมูล ( Information Superhighway) ซึ่งกําลังจะมีบทบาท และมีความสําคัญ
การวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นร่วม 85
อย่างย่ิงต่อการจัดการศึกษาของมนุษย์ 2) ผู้เรียนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล บิลล์เกตส์ ได้อ้าง
ทฤษฎีอาจารย์วชิ าการศกึ ษาที่ว่า เดก็ แต่ละคนมคี วามแตกต่างกนั จงึ จาํ เปน็ จะต้อง
จัดการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะเด็กแต่ละคนมี
ความรูค้ วามเขา้ ใจ ประสบการณ์ และการมองโลกแตกต่างกันออกไป 3) การเรียนที่ตอบสนองความ
ต้องการรายคน การศึกษาที่สอนเด็กจํานวนมาก โดยรูปแบบที่จัดเป็นรายช้ันเรียน ในปัจจุบันไม่
สามารถท่ีจะตอบสนองความต้องการของเด็กเป็นรายคนได้ แต่ด้วยอํานาจ และประสิทธิภาพของ
เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ การเรยี นตามความต้องการของแต่ละคน ซ่งึ เป็นความฝนั ของนักการศึกษามา
นานแล้วนัน้ สามารถจะเปน็ จรงิ ได้โดยมีครูคอยให้การดูแลช่วยเหลือ และแนะนา 4) การเรียนโดยใช้
ส่ือประสม ในอนาคตห้องเรียนทุกห้องจะมีส่ือประสมจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เด็กสามารถเลือก
เรียนเร่ืองต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ 5) บทบาทของทางด่วนข้อมูล กับการสอนของครู ด้วยระบบ
เครือข่ายทางด่วนข้อมูล จะทําให้ได้ครูท่ีสอนเก่ง จากท่ีต่าง ๆ มากมายมาเป็นต้นแบบและสิ่งที่ครู
สอนนัน้ แทนที่จะใช้กบั เด็กเพียงกลุ่มเดยี ว กส็ ามารถสรา้ ง Web Site ของตนข้ึนมาเพอ่ื เผยแผ่ จะช่วย
ในการปฏวิ ัติการเรยี นการสอนได้มาก 6) บทบาทของครูจะเปลี่ยนไป ครูจะมหี ลายบทบาทหน้าท่ี เช่น
ทําหน้าทีเ่ หมอื นกับครูฝึกของนกั ศกึ ษาคอยช่วยเหลือให้คา แนะนําเปน็ เพื่อนของผู้เรียน เป็นทางออก
ท่ีสร้างสรรค์ใหก้ บั เดก็ และเป็นสะพานการสอ่ื สารทเี่ ชื่อมโยงระหว่างเด็กกับโลก ซึ่งอันน้ีก็คือบทบาท
ท่ีย่ิงใหญ่ของครู 7) ความสัมพันธ์ระหว่าง นักเรียน ครู และผู้ปกครองจะใช้ระบบทางด่วน
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ช่วยเช่ือมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง นักเรียน ครู และผู้ปกครอง เช่น การส่ง
E-mail จากครูไปถึงผู้ปกครองปัจจัยสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ เป็นการสร้างความ
พรอ้ มของเครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ต่าง ๆ ใหม้ ีสรรถนะและจํานวนเพียงพอต่อการใช้งานของผู้เรียน รวมถึง
การอํานวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยีได้ตลอดเวลา จะเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการ
ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพ่ือการเรียนรู้ สิ่งที่ควรเป็นปัจจัยเพ่ิมเติม คือ 1) ครูสร้างโอกาสในการใช้
เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ปัจจัยท่ีจะผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้มค่า คือ การที่ครูออกแบบ
กระบวนการเรยี นรใู้ หเ้ อื้อตอ่ การทา กิจกรรมประกอบการเรียนรู้ เป็นกิจกรรมท่ีต้องใช้กระบวนการ
แสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งจากการสังเกตในสถานการณ์จริง การทดลอง การค้นคว้า
จากส่ือสิ่งพมิ พ์ และจากสื่อ Electronic เช่น จาก Web Sites เป็นกิจกรรมท่ีต้องมีการทา โครงงาน
อิสระสนองความสนใจ เป็นกิจกรรมที่ต้องฝึกปฏิบัติจาก Software สําเร็จรูป เป็นกิจกรรมที่ต้องมี
การบันทึก วิเคราะห์ข้อมูล และการนา เสนอรายงานด้วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 2) ครู และผู้เรียน
จดั ทําระบบแหล่งข้อมลู สารสนเทศเพือ่ การเรยี นรู้ ปัจจยั ด้านแหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ ( Information
Sources) เปน็ ตัวเสริมทส่ี าํ คัญที่ช่วยเพม่ิ คณุ ค่าของระบบเทคโนโลยีเพอ่ื การเรยี นการสอน ครู และ
ผู้เรียนควรช่วยกันแสวงหาแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่มีเนื้อหาสาระตรงกับหลักสูตร หรือสนองความ
สนใจของผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างย่ิงการรวบรวมแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่เป็น Software ชื่อของ
การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการและการวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม 86
Web Sites รวมถึงการลงทุนจัดซื้อ Software จากแหล่งจําหน่าย การจ้างให้ผู้เช่ียวชาญจัดทําหรือ
จัดทํา พัฒนาข้ึนมาเองโดยครู และนักเรียน 3) สถานศึกษาจัดศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
โรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรมศรจี นั ทร์วทิ ยา ไดด้ าํ เนนิ การเปิดการเรียนการสอนทั้งแผนกธรรม คอื นักธรรม
ช้นั ตรี-โท-เอก แผนกบาลี ชัน้ ประโยค 1-2, ประโยค ป.ธ.3 ตามมตขิ องมหาเถรสมาคมและดําเนินการ
ตามระเบยี บกระทรวงศึกษาธกิ ารว่าดว้ ยโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ. 2535 โดย
มพี ระภทั รธรรมสุธี (พระมหาสพุ ัฒน์ สวุ ฑฺฒโน) เปน็ ผูอ้ ํานวยการ เปดิ ทําการสอนในระดบั มธั ยมศกึ ษา
ตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.1-6) โปรแกรมวิทย์ –คณิต ผู้สําเร็จการศึกษาจะได้รับ
ประกาศนียบัตรท้ังแผนกธรรม-บาลี และใบรับรองผลการเรียน (รบ.) พร้อมใบประกาศนียบัตรจาก
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เพ่ือใช้เปน็ หลกั ฐานในการสมัครงานหรือศกึ ษาตอ่ ในระดบั สงู ขึ้นไปได้
โรงเรียนพระปริยัติธรรมศรีจันทร์วิทยา ดําเนินการจัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตาม
หลักการ จดุ หมาย และโครงสรา้ งของหลกั สูตรมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2533) และหลกั สตู รมธั ยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) โดย
มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ท้ังด้านสติปัญญา ร่างกายจิตใจและ
สงั คม ผูเ้ รยี นมีความร้แู ละทักษะพ้นื ฐาน มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์มีวิจารณญาณ
มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ และมวี สิ ยั ทัศน์ เปน็ บุคคลแห่งการเรียนรู้ มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึง
ประสงค์ มีสุนทรียภาพ รู้จักตนเอง พ่ึงตนเองได้ และบุคลิกภาพดี มีสุขนิสัยสุขภาพกายและ
สุขภาพจิตที่ดี ปลอดจากส่ิงเสพย์ติดให้โทษ มีทักษะในการจัดการและการทํางานรักกานทํางาน
มเี จตคตทิ ด่ี ตี ่ออาชพี สจุ รติ และทาํ งานร่วมกับผู้อ่ืนได้ เป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัว ชุมชนและสังคม
สามารถดํารงชีวิตในสงั คมอยา่ งมคี วามสุข และปฏิบัติตามวิถีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็น
ประมุข มีจิตสํานึกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม อนุ รักษ์ภูมิปัญญาไทยศิลปวัฒนธรรมไทย
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม
แนวคิดการพฒั นาเทคโนโลยีแบบมสี ว่ นรว่ ม กล่าวถึงกลยุทธ์ที่เน้นในเรื่องการช่วยเร้าให้เกิด
การพัฒนาทางเทคโนโลยที ่ีม่งุ ชกั นา ให้การพัฒนาและการดัดแปลงเทคโนโลยีเกิดข้ึนในหมู่ประชาชน
เองโดยอาศัยกระบวนการจัดระเบียบชุมชน (อาจเป็นเมืองหรือชนบท) บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า
เทคโนโลยีจะต้องมีวิวัฒนาการอันเน่ืองมาจากการทดลองและตัดสินใจด้วยตัวของประชาชนเองว่า
เทคโนโลยีชนิดใดที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริงแนวคิดของการ
พัฒนาเทคโนโยลีแบบมีส่วนร่วม มีจุดมุ่งหมายที่จะยกระดับจิตสํานึกแห่งการวิเคราะห์วิจารณ์ของ
ชุมชนต่อเทคนิควิทยาการใด ๆ ที่ดํารงอยู่ ว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับพวกเขาหรือไม่ มีพลัง
ความสามารถท่ีจะพฒั นาหรือคดิ คน้ ดัดแปลงเทคโนโลยไี ดด้ ว้ ยตวั เองอย่างไร
การวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารและการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นร่วม 87
โดยอาศัยกระบวนการทดลอง 4 ประการดังน้ี คือ 1) พยายามดัดแปลงเทคโนโลยีท่ีมีอยู่
ซ่ึงไม่ค่อยเหมาะสมสอดคล้อง ให้กลายเป็นสิ่งท่ีเหมาะสมใช้การได้จริง (หรือทํา ให้กะทัดรัดลง )
2) พิทักษ์เทคโนโลยีด้ังเดิมของท้องถิ่น คิดค้นและปรับปรุงให้ก้าวหน้าย่ิงขึ้น 3) ทดสอบเทคโนโลยี
ที่ไดช้ อื่ วา่ มคี วามเหมาะสมสา หรบั ท่ีอ่ืน ๆ มาแล้ว ทั้งนี้จะได้วัดคุณประโยชน์ว่ามีความเหมาะสมกับ
ชุมชนหรือไม่ 4) ใช้การประชุมถกเถียงความรู้ทางด้านเทคนิค ให้การขยายความคิด และเพิ่มพูน
จิตสํานกึ แห่งการวเิ คราะห์วจิ ารณ์
การพัฒนาเทคโนโลยีแบบมีส่วนร่วม จะทําให้ชุมชนพ่ึงตนเองได้มากข้ึน ลดการพึ่งพาจาก
ภายนอกลง ก่อให้เกดิ ความรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ทีจ่ ะพัฒนาและดัดแปลง ให้เกิดเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมข้ึน
โดยอาจขจัดแบบท่ีไม่เข้าท่าท้ังหลายให้หมดไป ซึ่งแบบที่ไม่เข้าท่าน้ัน บางคร้ังก็อาจเป็นเทคโนโลยี
ดงั้ เดิมของชุมชนเองหรือทีน่ าํ เข้ามาจากท่ีอื่น สําหรับกระบวนการพัฒนาเทคโนโลยีแบบมีส่วนร่วมนี้
ประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ 6 ข้ันตอน คือ 1) ข้ันตอนการแจกแจงช้ีปัญหาและวิเคราะห์ปัญหา
2) ขั้นตอนการรวบรวมแนวการแก้ปัญหาที่ชุมชนรับรู้หรือคิดได้ท้ังหมดมาจัดวางเปรียบเทียบและ
แนะนาเทคโนโลยีอื่นๆ ท่ีพอเป็นไปได้สาหรับการแก้ปัญหามาให้ลองเปรียบเทียบดูด้วย แม้อาจจะ
ไม่ใช่เทคโนโลยที ่มี าจากประสบการณข์ องชุมชนเองก็ตาม 3) ขั้นตอนการกระตุ้นให้เกิดการทดลองใน
แนวการแกป้ ญั หาทีช่ มุ ชนเลอื กสรรเอง 4) ขน้ั ตอนการอํานวยความสะดวกให้กับกระบวนการทดลอง
5) ขั้นตอนทําการประเมินผล 6) ข้ันตอนวางแผนใหม่สําหรับการนําเทคโนโลยีไปใช้งานจริง ๆ
(โดยเร่ิมจากข้นั ตอนที่ 2 มาตามลาํ ดบั แต่ถ้าการทดลองปรากฏผลออกมาว่าเทคโนโลยีประเภทนั้นๆ
ใชก้ ารไมไ่ ด้ กใ็ ห้กลับไปเริม่ ต้นใหมท่ ี่ข้ันตอนท่ี 1 หรอื 2 แลว้ แตก่ รณ)ี
การพัฒนาเทคโนโลยีแบบมีส่วนร่วมน้ัน นักพัฒนา (อาจหมายถึง ครู พัฒนากร หรืออ่ืนๆ)
จะตอ้ งตระหนักถึงความจําเป็นท่ีจะต้องผนวกตัวเองเข้าเป็นส่วนหน่ึงของชุมชนท่ีตนเองทํางานด้วย
อยา่ งเต็มท่ี เพ่ือทําความคนุ้ เคย จนมีฐานะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมชน จะต้องคอยดูดซับกับชุมชน
ไมว่ ่าจะเป็นวฒั นธรรม ลกั ษณะนสิ ยั ความต้องการ ความใฝุ ฝันทะเยอทะยานตลอดจนปัญหาต่าง ๆ
ของชุมชน และรวบรวมข้อมูลต่างๆ ท่ีจะเก่ยี วพันโดยตรงกบั งานทจ่ี ะตอ้ งทาํ ใหก้ บั ชมุ ชนน้ัน
จากเหตผุ ลดงั กล่าวข้างต้นโรงเรียนพระปริยัติธรรมศรีจันทร์วิทยายังขาดขบวนการเรียนรู้ท่ี
ทันสมัยไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการเรียนรู้จึงทา ให้นักเรียนไม่สนใจที่จะเรียนและครูยังขาดสื่อ
การเรียนรเู้ ชน่ คอมพวิ เตอร์ โปรเจคเตอร์ ทัง้ หมดสามารถสรุปได้ว่า ส่ิงสําคัญต่อการจัดการเรียนการ
สอนในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ บุคลากร กระบวนการทา งาน และเทคโนโลยีซ่ึงระเบียบวิธีวิจัยเชิง
ปฏิบัติการแบบมสี ่วนร่วม สามารถแก้ไขปัญหาดังกลา่ วได้ตรงจุด เนื่องจากเน้นการมีส่วนร่วมของทุก
ภาคสว่ น และเน้นการพัฒนาคนโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ดังน้ันจึงทา ให้บุคลากรเมื่อได้ผ่านการ
รว่ มดา เนินการวจิ ัยด้วยระเบยี บวธิ ีวิจยั น้ีแลว้ การแก้ไขปญั หากจิ กรรมการเรียนรนู้ ัน้ จําเป็นต้องได้รับ
ความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากครูและผู้บริหารทุกคนในโรงเรียน จึงจะเกิดผลสําเร็จ และเป็น
การวจิ ยั เชิงปฏิบัติการและการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนรว่ ม 88
วิธีการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน สอนให้ทุกคนในองค์การคิดเป็น ทําเป็น สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วย
ตวั เอง โดยไมจ่ ําเปน็ ต้องรบั คา สั่งจากผู้บรหิ ารแตเ่ พียงฝุายเดยี ว (บริหารแบบบนลงล่าง) เนื่องจากทุก
คนไดป้ ระสบการณก์ ารเรยี นรจู้ ากการมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ อีกทั้งระเบียบวิธีวิจัยดังกล่าวยัง
ส่งเสรมิ การสร้างจติ สํานึกของทุกคนในองคก์ ารในการร่วมรบั ผิดชอบการแก้ไขปัญหา และท่ีสําคัญคือ
ผ้วู จิ ัยตอ้ งการให้เกิดการเปลีย่ นแปลง เกดิ ประสบการณ์การเรยี นรแู้ ละองค์ความรู้ใหม่ ท้ังในระดับตัว
บุคคล กลมุ่ บุคคล และองค์การ ตามวัตถุประสงค์ของระเบยี บวิธีวิจยั ดังกล่าวอีกดว้ ย
ในการแก้ปัญหาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียนศรีจันทร์วิทยาในสภาพปัจจุบัน
ขาดขบวนการเรียนรู้ท่ีทันสมัยไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการเรียนรู้จึงทา ให้นักเรียนไม่สนใจที่จะ
เรียนและครยู งั ขาดสือ่ การเรยี นรเู้ ช่นคอมพวิ เตอร์ โปรเจคเตอร์ และครูไม่มีเทคนิคใหม่ๆ ในการปลุก
เร้าทํา ให้เด็กนักเรียนสนใจยังให้รูปแบบการเรียนรู้แบบเดิมๆ ท่ีมีมาตั้งแต่ก่อสร้างโรงเรียน คือ
Chalk and Talk ด้ังน้ันผู้วิจัยจึงได้ทํางานวิจัยน้ีขึ้นเพ่ือท่ีจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของครูและ
ทํา ให้นักเรยี นไดส้ นใจมากขึน้ ดว้ ยเหตุผลและความจา เป็นดังกล่าว การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้จึง
เป็นพื้นฐานท่ีสําคัญในการศึกษาท่ีส่งผลต่อความสําเร็จในการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่าง
แท้จริง เพอ่ื กําหนดรูปแบบการพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้ การพฒั นาครูผู้สอน รวมถึงการประเมินผล
กิจกรรมการเรียนรู้ ดังน้ันผู้วิจัยสนใจศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียนศรี
จันทร์วิทยา: การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพ่ือร่วมกันพัฒนาศักยภาพของครู และส่งเสริม
การเรียนรู้ของนักเรียนให้มีทักษะเพื่อการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 และส่งผลต่อ การพัฒนา
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นได้อยา่ งแทจ้ ริง
คําถามการวิจยั
ผลการดาํ เนนิ งานข้นั ตอนต่างๆ ของการวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนร่วมท่ีกําหนดเปน็
อย่างไร ?
การดาํ เนินงานน้นั กอ่ ให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงการเรียนรู้ และความรู้ใหม่ อะไรบา้ ง ?
วัตถปุ ระสงคของการวจิ ยั
เพื่อพฒั นากจิ กรรมการเรียนร้ใู นโรงเรยี นศรจี ันทร์วิทยา จังหวัดเลย โดยมงุ่ ศกึ ษาสภาพท่ี
เคยเป็นมา สภาพปจั จุบนั สภาพปญั หา สภาพทค่ี าดหวงั ทางเลือกเพ่อื แกป้ ัญหา การนําทางเลอื กที่
เลือกสรรส่กู ารปฏบิ ตั ิ และผลที่เกดิ ขนึ้ ทงั้ กรณกี ารเปลยี่ นแปลงท่ีคาดหวังและไม่คาดหวัง การเรียนรู้
ท่ีเกิดขึ้นจากการปฏิบัติท้ังระดับบุคคล ระดับกลุ่ม และระดับองค์การ รวมทั้งความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
จากกระบวนการวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล สอง วงจรของการวิจัยเชิง
ปฏบิ ตั ิการแบบมสี ่วนร่วม
การวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารและการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม 89
ขอบเขตของการวจิ ยั
งานวจิ ยั ครง้ั นีไ้ ดก้ าํ หนดขอบเขตการวิจัยไว้ ดงั ต่อไปน้ี
1. งานวิจัยครง้ั นเ้ี ปน็ การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัติการแบบมสี ่วนรว่ มในโรงเรียนศรีจันทร์วิทยา
โดยมีผู้ร่วมวิจยั คอื ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา กรรมการสถานศกึ ษา ผู้นาํ ชุมชน ครผู ู้สอนจํานวน 22 คน
และนกั วจิ ัย
2. ระยะเวลาในการวิจัยเชิงปฏิบตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม 2 วงจรของกิจกรรมการวางแผน
การนําแผนไปปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล ภายในปี การศกึ ษา 2558 ระหว่างวนั ท่ี 16
พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ถงึ วนั ที่ 31 มนี าคม พ.ศ.2559
3. สถานท่ที ี่ใช้ในการทําการวิจยั ในคร้ังนี้ คือ โรงเรยี นพระปริยัตธิ รรมศรีจนั ทร์วทิ ยา
ตําบลกุดปุอง อําเภอเมอื ง จังหวัดเลย
กรอบแนวคิด
การวิจยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม (Participatory action research: PAR) ตาม
กรอบแนวคดิ ของ วโิ รจน์ สารรตั นะ (2553) เปน็ กรอบแนวคิดหลักและเสริมด้วยแนวคดิ ของ
นักวชิ าการอื่น เชน่ ตามแนวคิดของ Mills (2007) Coghlan and Brannick (2007) James,
Millenkiewicz and Bruckhano (2008) ซ่ึงสามารถแสดงกรอบวจิ ยั ดงั ภาพท่ี 1
ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวิจยั
การวิจัยเชิงปฏิบัตกิ ารและการวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม 90
วิธีดําเนินการวจิ ยั
การวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วมครงั้ นี้ ดําเนนิ การวิจัยสองวงจรๆ ละ 1 ภาคเรยี น
เปน็ กระบวนการท่เี กดิ ขน้ึ อย่างตอ่ เนอื่ งเปน็ พลวตั (dynamic process) ในลักษณะวงจรของเกลียว
ปฏิสมั พนั ธ์ ประกอบดว้ ยกจิ กรรมการวางแผนการนาํ แผนไปปฏบิ ัติ การสังเกต และการสะทอ้ น
ผล โดยมีขน้ั ตอนการวจิ ยั 10 ขน้ั ตอน ดังต่อไปน้ี
ขน้ั ตอนท่ี 1 การเตรยี มการ (Preparation) แบง่ ออกเปน็ 3 ระยะ คือ ระยะท่ี 1 การสรา้ ง
ความเปน็ กนั เองกับผู้รว่ มวจิ ัย มกี ิจกรรมท่ีดาํ เนนิ การคือ การจัดประชุมพบปะพดู คุยและแสดงความ
คิดเห็น ระยะท่ี 2 การให้ความรเู้ บอ้ื งต้นสําหรบั การวจิ ัย ประกอบด้วย 2 กิจกรรม คือ 1) การเปิดตัว
โครงการวิจัยและนําเสนอกรอบแนวคิดการวิจัย 2) การเตรียมความพร้อมเบ้ืองต้นให้กับผู้ร่วมวิจัย
และระยะที่ 3 การปล่อยให้ผู้ร่วมวิจัยร่วมกันคิด ร่วมกันวางแผน ประกอบด้วย 2 กิจกรรม คือ 1)
กิจกรรมรว่ มคดิ และวางแผนจากความรู้ส่วนบุคคลทีม และ 2) จัดทาํ ปฏทิ นิ การดํา เนนิ งาน
ขน้ั ตอนท่ี 2 การวางแผน (Planning) ประกอบดว้ ย 2 กจิ กรรม คอื 1) การวิเคราะห์กิจกรรม
การเรยี นรู้ทต่ี ้องการพฒั นาหรือตอ้ งการเปล่ยี นแปลง และ 2) การจัดทํา แผนปฏิบัตกิ าร
ขั้นตอนท่ี 3 การปฏบิ ตั กิ าร (Acting) ประกอบดว้ ย 3 กจิ กรรม คือ 1) จัดทําเคร่ืองมือในการ
วจิ ยั 2) การประเมนิ การพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรขู้ องโรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมศรีจนั ทร์วทิ ยา ก่อนนํา
แผนปฏิบัตกิ ารลงสู่การปฏบิ ัติ และ 3) การนํา แผนปฏิบัติการลงสู่การปฏิบตั ิ
ขั้นตอนท่ี 4 การสงั เกตผล (Observing) ประกอบด้วย 3 ข้ันตอนคือ 1) ขั้นตอนการกําหนด
รูปแบบและ วธิ ีการสงั เกตผล 2) ขนั้ ตอนการสังเกตและเสนอรายงานผล 3) ข้ันตอนการประเมินและ
สรุปผล
ขน้ั ตอนท่ี 5 การสะทอ้ นผล (Reflecting) ประกอบด้วย 1 ข้นั ตอน คอื การสะท้อนผลการ
ปฏบิ ัติงานโครงการหลงั การปฏิบตั ิแล้วเสร็จ
ข้ันตอนที่ 6 การวางแผนใหม่ (Replanning) ประกอบด้วย กิจกรรมคือ 1) การศึกษา
วิเคราะห์สภาพปัจจบุ นั ของการพฒั นางาน และ 2) การจัดทาํ แผนปฏบิ ัติการใหม่
ขั้นตอนท่ี 7 การปฏิบัตใิ หม่ (Re-acting) ประกอบด้วย กิจกรรมคือ 1) การสร้างขวัญกําลัง
ใจก่อนการปฏิบัตใิ หม่ เพ่ือสร้างแรงกระตุน้ และสรา้ งขวญั กาํ ลังใจใหผ้ ูร้ ว่ มวจิ ัยเกดิ ความกระหาย
และฮกึ เหมิ ในกาลลงมอื ปฏบิ ตั ิ
ข้ันตอนท่ี 8 การสังเกตผลใหม่ (Reobserving) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นตอนการ
กําหนดรูปแบบและวิธีการสังเกตผล 2) ขั้นตอนการสังเกตและเสนอรายงานผล ซ่ึงแบ่งออกเป็น
2 ส่วน (1) ส่วนรายละเอียดของโครงการ (2) ส่วนรายละเอียดแผนพัฒนาบุคลากรรายบุคคล
3) ขนั้ ตอนการประเมินและสรุปผล เพ่ือร่วมกันสรุปผลการสังเกตผลและขอมติเห็นชอบและความพึง
พอใจ ของแต่ละโครงการ
การวิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารและการวิจยั เชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม 91
ข้นั ตอนท่ี 9 การสะท้อนผลใหม่ (Rereflecting) ประกอบดว้ ย 2 ขน้ั ตอนย่อยดงั น้ี
1) การสะท้อนผลการปฏบิ ตั งิ านโครงการหลังการปฏบิ ตั แิ ลว้ เสร็จ 2) การสะทอ้ นผลการพัฒนา
กิจกรรมการเรยี นร้ใู นโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรมศรีจนั ทร์วทิ ยาหลังนํา แผนปฏิบัติการลงสกู่ าร
ปฏบิ ตั แิ ลว้ เสรจ็
ขั้นตอนที่ 10 การสรปุ ผล (Conclusion) ประกอบด้วย 1 กจิ กรรมคือ การถอดบทเรียน
(lesson distilled) เพ่อื รว่ มกันทบทวนหรอื สรปุ ประสบการณ์การทํา งานท่ีผ่านมาในแง่มุ่มต่างๆโดย
การศึกษาทบทวนผลการดํา เนินงานในข้ันตอนท่ี 1 ถึง 9 รวมทั้งเพื่อหาข้อสรุปในประเด็นเก่ียวกับ
การเปล่ยี นแปลงจากการปฏบิ ตั จิ ริงการเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ัตจิ รงิ และความรใู้ หม่จากปฏิบตั ิจริง
พนื้ ทดี่ าํ เนินการวจิ ัยและผรู้ ่วมวจิ ัย
พนื้ ทใี่ นการดํา เนนิ การวิจยั ครั้งนคี้ อื โรงเรียนพระปรยิ ัติธรรมศรจี ันทร์วทิ ยา ตาํ บล
กุดปอุ ง อําเภอเมอื ง จังหวดั เลย วจิ ยั ในระดับโรงเรยี น ที่ไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง ตาม
คณุ ลกั ษณะ 3 ประการคือ (1) เปน็ โรงเรยี นท่ีจัดกิจกรรมการเรียนรู้การเรียนการสอนที่ยงั
ไม่ทันสมยั ในยุคการศึกษาศตวรรษท่ี 21 (2) เปน็ โรงเรยี นท่มี คี วามประสงคเ์ ขา้ รว่ มการพฒั นา
กิจกรรมการเรยี นรดู้ ว้ ยการ วจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วมโดยผู้อํา นวยการและคณะกรรมการ
สถานศกึ ษา (3) เปน็ โรงเรยี นที่ผู้วจิ ัยทํา งานอยจู่ ึงมีความสะดวกและความเป็นไปได้ต่อการท่ี
จะเขา้ ไปเก็บข้อมลู ในการสงั เกต การสัมภาษณแ์ ละการบนั ทึกภาพหรอื เสียงในกจิ กรรมที่ดําเนนิ
การสามารถเขา้ ไปปฏิบตั ิงานภาคสนามได้ตลอดระยะเวลาทจ่ี ะทําการวิจยั โดยผ้วู ิจยั ได้กาํ หนด
ผรู้ ่วมวิจัย เป็นบคุ ลากรเฉพาะภายในโรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรมศรีจนั ทรว์ ิทยา คอื ผอู้ าํ นวยการ
โรงเรยี น ครปู ฏิบตั ิการสอน พนักงานราชการครูธุรการ นกั การภารโรง และคณะกรรมการสถาน
ศึกษา จํานวนรวมทงั้ สิ้น 20 รูป/คน ผู้นาํ ชุมชน/ผแู้ ทนศิษยเ์ ก่า 2 คน
เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั
ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กําหนดเครื่องมือเพ่ือใช้ในการวิจัยตามกรอบแนวคิดของ Mills
(2007) ซึ่งจําแนกเป็นกลุ่มดังน้ี 1) แบบสังเกต (Observation form) มี1 ฉบับคือเครื่องมือการวิจัย
ฉบับท่ี 4 แบบรายงานความก้าวหน้าของโครงการ 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview)
และเป็นแบบสัมภาษณ์กลุ่ม (Focus group interview) มี 1 ฉบับเคร่ืองมือการวิจัยฉบับที่ 2 แบบ
สัมภาษณ์ 3) แบบตรวจสอบหรือบันทึก (Examining/records) เช่น บันทึกอนุทิน (Journal) แผนท่ี
(maps) เครื่องบันทึกเสียงและบันทึกภาพ (Audiotapes and videotapes) หลักฐานสิ่งของ
(Artifacts) บนั ทึกภาคสนาม (Field notes) เครอื่ งมอื การวิจยั ฉบับท่ี 1 แบบบันทกึ การประชมุ เคร่อื ง
การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัติการและการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม 92
มือการวิจัย ฉบับที่ 3 แบบประเมินกิจกรรมการเรียนรู้แบบรายงานความก้าวหน้าของโครงการ
เคร่อื งมอื กาวจิ ัยฉบับที่ 5 แบบประเมนิ โครงการเคร่อื งมือการวจิ ยั ฉบบั ที่ 6 แผนพัฒนาบุคลากร
รายบุคคล (Individual development plan)
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
ผวู้ จิ ัยและผรู้ ว่ มวิจัยเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในส่วนทเี่ ก่ยี วขอ้ งจากการปฏิบัตภิ าคสนามใน
โรงเรยี น ปกี ารศกึ ษา 2558 ระหว่างวันท่ี 6 มถิ ุนายน 2558 ถึง 31 มีนาคม 2559 โดยแบ่งเวลาการ
ปฏิบัติงานตามตารางกําหนดวนั และเดอื นสะท้อนสภาพที่เท็จจริงท้ังในส่วนที่เห็นชัดเจนและแฝงเร้น
โดยใชเ้ คร่อื งมอื ท่ีหลากหลายดงั ท่กี ลา่ วมาแล้ว
การวิเคราะห์ข้อมลู
ข้อมูลจากเคร่ืองมือท่ีบันทึกได้จากการจัดกิจกรรมภาคสนามต่างๆ ใน 10 ข้ันตอนของ
การวิจยั เชงิ ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วม จะถูกเขียนรายงานการวิเคราะห์ ซึ่งจะส่งให้บุคคลที่เก่ียวข้อง
ได้รับทราบเพอ่ื ชว่ ยยืนยนั ตรวจแกไ้ ขและใหค้ ําแนะนํา เพ่ือปรับปรงุ รายงานให้ถูกต้องสมบูรณ์มากขึ้น
การตรวจสอบข้อมูลจะใช้บุคลากรหลายคนในเหตุการณ์ของกิจกรรม ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีเป็น
เชิงปริมาณผู้วิจัยก็ใช้ค่าสถิติพ้ืนฐานหรือค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยเพื่อเป็นข้อมูลเพ่ือเปรียบเทียบกับ
เปาู หมายหรอื แสดงใหเ้ หน็ การเปลีย่ นที่เกดิ ขึ้น
ผลการวิจยั
ผลจากการดาํ เนินการวจิ ัย สามารถสรุปและอภปิ รายผล โดยจําแนกตามวัตถปุ ระสงคท์ ่ีตง้ั
ไว้ 2 ขอ้ ดงั นี้
ขอ้ ที่ 1 ศึกษาสภาพที่เคยเปน็ มา สภาพปัจจบุ ัน สภาพปญั หา สภาพท่ีคาดหวงั ทางเลอื ก
เพ่ือแก้ปญั หา การนําทางเลือกทีเ่ ลือกสรรสแู่ ผนปฏบิ ัตกิ ารในการพฒั นากิจกรรมการเรยี นรู้
สภาพท่ีเคยเป็นมา สภาพปัจจุบัน สภาพปัญหา สภาพท่ีคาดหวัง โรงเรียนพระปริยัติธรรม
ศรีจันทร์วิทยาดํา เนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนก
สามัญศกึ ษา พ.ศ. 2535 จํานวนครทู ้งั หมด 18 รูป/คน เป็นครูพิเศษ 1 คน สอนวิชาตรงเอก 15 รูป/
คน ครทู ส่ี อนตรงความถนัด 2 รูป/คน ในปัจจุบันการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ของครูท่ีทํา การสอน
ยังไม่ทันสมัยจากสาเหตุ 1) ด้านวัสดุอุปกรณ์ท่ีจํา เป็นสําหรับการเรียนการสอน มีไม่เพียงพอ
ไม่สมบูรณ์ ไม่ทันสมัย(เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ดีด และเคร่ืองคํานวณ) ไม่มีสื่อการเรียน
การสอนสํา หรับครู เช่น คอมพิวเตอร์ และโปรเจคเตอร์ หรือ วิชัวไลเซอร์(visualizer) เคร่ืองขยาย
เสยี งในหอ้ งเรียน และสนใจในการเรยี น 3) ด้านนักเรียน ผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบที่สาม
การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารและการวิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมีสว่ นรว่ ม 93
โดยสาํ นักงานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา (สมศ.) แม้จะพบว่ามาตรฐานท่ี 1 – 4
มีผลการประเมินคุณภาพเป็นท่ีพึงพอใจ คือ มาตรฐานท่ี 1 ผู้เรียนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี
มาตรฐานที่ 2 ผู้เรียนมคี ุณธรรมจริยธรรมและคา่ นยิ มท่พี งึ ประสงค์ มาตรฐานที่ 3 ผู้เรียนมีมีความใฝุรู้
และเรยี นรูอ้ ยา่ งตอ่ เนื่อง มาตรฐานท่ี 4 ผูเ้ รียนคดิ เปน็ ทําเปน็ แต่ในมาตรฐานท่ี 5 คอื ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของผเู้ รยี น มผี ลการประเมินคณุ ภาพอยู่ในระดับ “ปรบั ปรงุ ” ดงั นัน้ ผวู้ จิ ยั คาดหวงั ทีเ่ กดิ
การเปลยี่ นแปลงท้งั จากตวั ครแู ละนักเรยี นดว้ ยการพัฒนากิจกรรมการเรยี นรู้ใหม้ ปี ระสิทธิภาพย่ิงขึ้น
อันจะส่งผลต่อผ่านการประเมินคุณภาพการศึกษาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนอยู่ใน
ระดับดีขึ้นต่อไปเครื่องคอมพิวเตอร์สํา หรับใช้งานในห้องพักครูห้อง sound lab ใช้งานไม่ได้ ไม่มี
อินเทอร์เน็ตให้นักเรียน นักศึกษา ได้สืบค้นข้อมูล 2) ด้านครูผู้สอน ครูไม่มีสวัสดิการทําให้ขาดขวัญ
และกําลังใจในการทํา งาน และครูไม่ได้รับการพัฒนาวิชาชีพอย่างสม่ําเสมอ ทํา ให้การพัฒนา
กจิ กรรมการเรียนรขู้ องครไู มท่ ันสมัย ไม่เป็นทด่ี ึงดดู ให้นกั เรียนให้
ทางเลือกเพอื่ แก้ปญั หา และการเลือกทางเลือกเพื่อกําหนดเป็นแผนปฏิบัติการในการพัฒนา
กิจกรรมการเรียนรู้ จากผลการวิเคราะห์ทางเลือกที่หลากหลายโดยการนํา เอามาตรฐานท่ีไม่ผ่าน
เกณฑ์การประเมนิ คณุ ภาพภายนอกจาก สมศ. มาเป็นตัวตงั้ แลว้ รว่ มกันคัดเลือกทางเลือกท่ีเหมาะสม
กับการแก้ปัญหา ทํา ให้ได้แผนปฏิบัติการ 4 โครงการ คือ 1) โครงการส่งเสริมและพัฒนาครูผู้สอน
มงุ่ จดั อบรมและพัฒนาครูให้มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับรูปแบบและวิธีการจัดการเรียนการสอนท่ี
เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ จนสามารถนําความรู้ท่ีได้ไปใช้ในในช้ันเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการ
พัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีช่วยสอน 2) โครงการจัดทํา
หลักสูตรสถานศึกษา โดยให้ผู้เก่ียวข้องทุกฝุายมีส่วนร่วมผลิต จัดหาส่ือการเรียนการสอน
จัดสภาพแวดลอ้ ม และแหล่งเรยี นรทู้ ่ีเอ้ือตอ่ การเรียนรู้ 3) โครงการสร้างพลังร่วมเพ่ือพัฒนาโรงเรียน
โดยจัดโครงสรา้ งการบริหารงานของสถานศึกษาอย่างเป็นระบบครบวงจร จัดหางบประมาณเพ่ิมเติม
เพื่อให้บรรลเุ ปาู หมายของการศกึ ษา 4) โครงการเพมิ่ ศักยภาพการบรหิ ารตามแนวทางการใช้โรงเรียน
เปน็ ฐาน โดยมีกจิ กรรมย่อยคือการพัฒนาระบบบริหารจดั การ การศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน ซง่ึ ต้องส่งเสริมให้
เกิดความร่วมมอื จากหลายๆ จากทัง้ ภาครฐั และประชาสังคมรอบสถานศึกษา สอดคล้องกับความเห็น
ของเสนาะติเยาว์ (2543) และของ อภิสิทธ์ิ บุญยา (2553) ท่ีเห็นว่า ปัญหาการพัฒนาผู้เรียนต้อง
ไดร้ ับความร่วมมือจากหลายๆ ฝุายจงึ จงึ จะเกิดสมั ฤทธิ์ผลและควรเนน้ ผเู้ รียนเปน็ สําคัญ ควรแก้ไขโดย
การอบรมพฒั นาครใู ห้มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอนและร่วมมือกับทุกฝุายที่
เก่ยี วข้อง
ข้อที่ 2 ศกึ ษาการเปลี่ยนแปลงที่คาดหวังและไม่คาดหวัง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นท้ังระดับบุคคล
ระดบั กลุม่ และระดบั องคก์ าร รวมทัง้ ความรใู้ หมท่ เี่ กิดขึ้นจากการปฏิบัติ
การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารและการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นร่วม 94
การเปล่ียนแปลงท่ีคาดหวัง จากความคาดหวังที่จะให้การดํา เนินการพัฒนาทั้งด้านการ
บรหิ ารและการพฒั นาครูผสู้ อนช่วยทํา ให้ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรม
ศรีจันทร์วิทยาดีขึ้นและสามารถผ่านเกณฑ์การประเมินคุณภาพตามเกณฑ์การประเมินคุณภาพนั้น
หลังจากท่ีได้นํา โครงการลงสู่การปฏิบัติแล้ว พบว่า บรรลุความคาดหวังที่ตั้งไว้คือผลสัมฤทธิ์การ
เรียนรู้ของนักเรียนดีขึ้น ประเมนิ โดยทีมประเมินโครงการซ่ึงใช้แบบประเมินการดําเนินงานท่ีกําหนด
ระดับคุณภาพไว้ 5 ระดับ ได้แก่ ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรุง และต้องปรับปรุงเร่งด่วน ผลการ
ประเมินพบว่ามีความสอดคล้องกับผลการประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษา คือ ได้คะแนน
80.00 ระดับคุณภาพดี และผลการสอบ O-NET ได้ 10.89 อยู่ในระดับดี ซ่ึงสาเหตุท่ีทุกโครงการ
บรรลคุ วามคาดหวังนั้น เป็นผลจากการจัดกระทํา ร่วมกันระหว่างผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย ที่และการมีส่วน
ร่วมของทุกฝุายท้ังในชมุ ชนและนอกชมุ ชน มกี ารศกึ ษาและวเิ คราะห์ข้อมลู อย่างเป็นระบบ และมีการ
ใช้ทรพั ยากรทางการบริหารที่มีอยู่อยา่ งจํา กัดให้เกดิ ประสทิ ธิผลอยา่ งสงู สดุ ท้งั ในด้าน คน เงนิ วสั ดุ
อปุ กรณ์ และการบริหารจดั การ
การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดหวัง มีดังน้ี 1) กลุ่มครู ก่อนดํา เนินการวิจัย แม้ครูทุกคนจะมี
ปฏิสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน แต่ในการสอนน้ันครูต่างคนต่างทํา หน้าท่ีของตน และไม่ค่อยมีเวลา
ปรกึ ษาหารือกนั เมือ่ หลังดํา เนินการวิจยั พบวา่ ครูมกี ารปรึกษาหารอื กันเกย่ี วกับการจัดกิจกรรมการ
เรยี นการสอนมากข้นึ สังเกตได้จากการร่วมประชุมในระดับโรงเรียนเพ่ือวางแผนในการจัดการเรียน
การสอน มกี ารร่วมมอื กนั ในการเตรียมการสอนเตรียมอุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอนทุกครั้งก่อน
ทํา การสอน หรือมีการประสานงานกันในก ารจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น
สําคญั ในทุกรายวชิ า เป็นตน้ 2) กลุ่มคณะกรรมการสถานศึกษา ก่อนดําเนินการวิจัย สมาชิกบางท่าน
ไมค่ ่อยให้ความสาํ คัญต่อบทบาทหนา้ ที่ของตนเองและสมาชกิ ในกลมุ่ มากนัก สงั เกตไดจ้ ากจาํ นวน
คนที่เขา้ ร่วมประชมุ ในแตล่ ะคร้งั และการมีส่วนร่วมในการแสดงความคดิ เห็นมกั จะใหโ้ รงเรียนเป็นคน
ดําเนินการแทน เพราะคิดว่าครูมีความรู้ความสามารถอยู่แล้ว หลังจากดําเนินการวิจัยแล้ว พบว่า
สมาชิกในกล่มุ ให้ความสําคัญตอ่ บทบาทหนา้ ท่ีของตนเองและสมาชิกในกลุ่มมากขนึ้ มีการร่วมประชุม
ปรึกษาหารือในการดําเนินงานต่างๆ ของโรงเรียนทุกคร้ัง 3) ระดับองค์การ คือ โรงเรียนพระปริยัติ
ธรรมศรีจันทร์วทิ ยา กอ่ นดาํ เนินการวจิ ยั แมว้ า่ โรงเรยี นจะมีความพยายามในการพัฒนาระบบบริการ
จัดการและการจัดการเรียนการสอนมาตลอด แต่ยังไม่ประสบผลสําเร็จเท่าที่ควร จึงเป็นส่ิงท่ีต้อง
ศึกษาวิเคราะห์ถึงประเด็นปัญหาและสาเหตุเหล่านั้น เม่ือหลังดํา เนินการวิจัยพบว่า โรงเรียนมีการ
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน สังเกตได้
จากผลงานต่างๆ ที่โรงเรียน ครูและนักเรียนได้รับในระดับกลุ่มโรงเรียน เป็นต้นซึ่งผลการ
เปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดหวังท้ังในกลุ่มครูกลุ่มคณะกรรมการสถานศึกษา และโรงเรียนในทางท่ีดีข้ึน
ดังกล่าว จากทัศนะของผู้วิจัยเห็นว่าผลการวิจัยทํา ให้การเรียนรู้ของผู้เรียน มีพฤติกรรมที่
การวิจัยเชงิ ปฏิบตั ิการและการวิจยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ว่ นร่วม 95
เปลยี่ นแปลงดีขึ้น คือผู้เรียนน้ันสนใจท่ีจะเรียนรู้เพิ่มข้ึน และครูได้พัฒนาสื่อการสอนใหม่ๆ มีการใช้
คอมพิวเตอร์ สื่อมัลตมิ ีเดีย จึงทํา ใหผ้ ูเ้ รยี นกระตือรอื รน้ ในการเรยี นรู้
การเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ัติ (Learning by doing)
ระดับบุคคล: กรณีผู้วิจัย เกิดการเรียนรู้ดังนี้ (1) เรียนรู้ถึงรูปแบบการให้ความรู้ความเข้าใจ
แกผ่ ู้ร่วมวจิ ัยในเชงิ วชิ าการ ว่าจะตอ้ งมีการปรับเน้ือหา และวิธีการในการนํา เสนอให้ง่ายและมีความ
น่าสนใจหรือเร้าใจมากย่ิงขึ้นอย่างไร จึงจะทําให้ผู้ร่วมวิจัยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในสิ่งท่ีผู้วิจัยนําเสนอ
เพราะผู้ร่วมวิจัยมาจากหลากหลายกลุ่ม และระดับการศึกษา (2) เรียนรู้ถึงเทคนิคการสร้าง
สัมพันธภาพกับกลุ่มผู้ร่วมวิจัย ว่าควรนํา เอากิจกรรมต่างๆ เข้ามาช่วย เพ่ือช่วยสร้างบรรยากาศใน
การทํางาน (3) การท่ีจะนําเสนอแนวคิดเชิงเทคนิคต่างๆ น้ัน หากต้องการให้ผู้ร่วมวิจัยเรียนรู้ได้ง่าย
จําได้แมน่ ยาํ และปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว ผู้วิจัยจะต้องมีเทคนิคและวิธีการนํา เสนอท่ีหลากหลาย เช่น
การแจกเอกสารประกอบคําบรรยาย การนํา เสนอด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ผ่านเคร่ืองฉาย
โปรเจคเตอร์ และการบรรยายประกอบการสาธติ รวมท้งั การให้ผ้รู ว่ มวิจัยไดฝ้ ึกปฏิบัติจริง เป็นต้น (4)
เรียนรู้ว่าขั้นตอนการปฏิบัติมีความคาบเก่ียวกับข้ันตอนการสังเกตผล จึงสามารถดํา เนินการไป
พร้อมๆ กันได้ และได้เรียนรู้ถึงวิธีการที่จะให้ผู้ร่วมวิจัยเข้ามามีส่วนร่วมในการทํางานอย่าง
พร้อมเพรียง ผวู้ ิจัยจะต้องเป็นผู้ท่ีเป่ียมไปด้วยมนุษยสัมพันธ์ และเข้าถึงผู้ร่วมวิจัยทุกคน (5) ในการ
ทํางานกับชุมชนจะต้องศึกษาและเข้าถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และความเช่ือของคนในชุมชน
ด้วย จึงจะทํา ให้การดํา เนินการวิจัยนั้นเป็นไปอย่างราบร่ืน มีข้อขัดแย้งน้อยที่สุดหรืออาจไม่มีข้อ
ขัดแย้งเกดิ ข้นึ เลยกไ็ ด้ ครแู ละกรรมการสถานศึกษา เกิดการเรียนรู้ในลักษณะท่ีคล้ายคลึงกันในกรณี
ดังน้ี (1) เรียนรู้ถึงวิธีการสร้างมิตรภาพ และการสร้างเครือข่ายในการทํางานโดย สังเกตได้จาก
พฤติกรรมในขณะทาํ งานร่วมกัน เชน่ การรว่ มมือและชว่ ยเหลอื ซึง่ กันและกนั เปน็ อย่างดี และมีการดํา
เนนิ งานในลักษณะของเครือข่าย เช่น เครือข่ายครูและผู้ปกครอง เครือข่ายการนิเทศติดตามผลการ
จัดการเรียนการสอน เปน็ ต้น (2) เรยี นร้ถู งึ กระบวนการวิจยั เชงิ ปฏบิ ัติการแบบมสี ว่ นร่วม และเล็งเห็น
ถงึ ความสาํ คญั และประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจยั ในครงั้ น้ี โดยสงั เกตได้จากความสนใจและการร่วม
แสดงความคิดเห็นของผู้ร่วมวิจัยภายหลังจากการนํา เสนอกรอบแนวคิดเสร็จสิ้นลง (3) เรียนรู้ถึง
แนวคิดเชิงเทคนิคตา่ งๆ ท่ผี ู้วิจยั ได้นํา เสนอ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการระดมสมอง เทคนิคการวางแผน
ปฏบิ ัติงาน เทคนิคการเขียนโครงการ เทคนิคการประเมินโครงการเทคนิคการถอดบทเรียน เป็นต้น
โดยสังเกตได้จากพฤติกรรมในขณะทํา งาน เช่น ความสามารถในการจัดกิจกรรมการระดมสมอง
การวางแผน การเขยี นโครงการ การประเมนิ โครงการ และการรว่ มถอดบทเรยี นเป็นต้น (4) เรียนรู้ถึง
การนําความรู้ใหม่ที่ได้ ไปเสริมหรือบูรณาการ เข้ากับความรู้เดิมจนเกิดความรู้ใหม่ขึ้นมา เช่น
ความสามารถในการวิเคราะห์สภาพงานออกเป็นรายดา้ น และความสามารถในการนํา หลักการเรียนรู้
แบบมีสว่ นรว่ มมาเปน็ แนวคิดในการวางแผนปฏิบตั ิงาน เป็นต้น
การวิจยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารและการวจิ ัยเชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วม 96