The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jaruneesbms, 2021-09-24 16:25:44

ilovepdf_merged

ilovepdf_merged

ระดบั กลมุ่ ประกอบดว้ ย กลุ่มครู และกลุ่มกรรมการสถานศกึ ษา เกิดการเรยี นรจู้ ากการ
ปฏิบตั จิ ําแนกไดเ้ ป็น 2 ลักษณะ ดงั นี้ (1) การเรยี นร้ทู ีเ่ กิดข้ึนในลักษณะเดียวกนั ได้แก่ การเรยี น
รู้เกี่ยวกับส่งิ ตา่ งๆ ที่ผูว้ ิจยั ได้นํา เสนอ ไมว่ ่าจะเปน็ หลกั การ แนวคิด และทฤษฎีทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั การ
วิจัยเชงิ ปฏบิ ัติการแบบมสี ว่ นร่วม การพัฒนาการจัดการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอนท่ี
เน้นผู้เรียนเป็นสาํ คญั เทคนคิ และวธิ กี ารตา่ งๆ ท่จี าํ เปน็ ในการทํา งาน และหลักการเรยี นรู้แบบมี
สว่ นร่วม เปน็ ต้น นอกจากนั้นยังเกดิ การเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการสร้างมิตรภาพ และสร้างเครือข่ายการ
ทาํ งานรวมทงั้ เรียนรถู้ งึ วธิ ีการต่างๆ ทจ่ี ะนํามาแก้ไขปญั หาหรือพัฒนางานทเี่ กิดจากการคิด การลงมือ
ปฏิบตั ิ และร่วมกันสะท้อนผลถึงสิง่ ต่างๆ ทีไ่ ด้กระทาํ ไปนน้ั ดว้ ยกลุม่ ของพวกเขาเอง (2) การเรียนรู้ที่
เกดิ ขนึ้ ในลกั ษณะเฉพาะกลุม่ เช่น กล่มุ ครู เรียนรู้เก่ียวกับการพัฒนา การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้น
ผู้เรียนเป็นสําคัญ สังเกตได้จากครูมีทักษะในการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ
การเขียนแผนการสอนตามท่ีได้รับจากการฝึกอบรม และสามารถปฏิบัติการสอนได้ดีข้ึนกว่าเดิม ซ่ึง
สังเกตได้จากความพึงพอใจและผลการเรียนของผู้เรียน กลุ่มกรรมการสถานศึกษา เกิดการเรียนรู้
เกี่ยวบทบาทและหน้าท่ีของตนเองมากย่ิงข้ึน สังเกตได้จากมีการจัดประชุมบ่อยครั้งขึ้นร่วมกัน
วางแผน และระดมทรพั ยากรเพ่อื บริหารจัดการโรงเรยี นให้มีประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ

ระดบั องค์การ โรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรมศรจี ันทรว์ ิทยาเกดิ การเรียนรู้เกี่ยวกบั การแกป้ ญั หา
และพัฒนางานด้วยกระบวนการทีเ่ ป็นระบบ จากการใช้กระบวนการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการแบบมสี ว่ นรว่ ม
ทํา ใหอ้ งค์กรได้รับการพฒั นาหลายๆ ด้านเปน็ ศนู ย์กลางแหง่ การเรยี นรู้ในยุคการศึกษาศตวรรษที่ 21
ท่ีทันสมยั

จากผลการเรยี นร้ทู ีเ่ กิดขึ้น ท้ังระดับบุคคล ระดับกลุ่ม และระดับองค์การดังกล่าว ในทัศนะ
ของผู้วิจัยเห็นว่า มีผลมาจากกลุ่มมีการสอนคนของตนเองให้มีกระบวนการคิดวิเคราะห์เพื่อช่วยให้
เขา้ ใจในสรรพส่ิง ขณะเดียวกนั ทุกคนก็ชว่ ยองค์การ จากความผิดพลาดและความสําเร็จ ซ่ึงเป็นผลให้
ทกุ คนตระหนักในการเปล่ียนแปลงและปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ความรู้เป็นเคร่ืองมือนํา
ไปสคู่ วามสําเรจ็ ควบคูไ่ ปกบั การใช้เทคโนโลยีทท่ี ันสมยั

องค์ความรู้ใหม่ที่เกิดจากการวิจัย คือ กระบวนการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียน
ปริยัติธรรมศรีจันทร์วิทยา ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ถือเป็นความรู้ใหม่ที่
เกิดจากการที่ได้นํา เอาแผนปฏิบัติการ (Action plan) ซึ่งประกอบด้วย 4 โครงการอันถือเป็นตัว
สอดแทรกหลัก (Main intervention) และการใช้หลักการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory
learning approach) ซ่ึงถือเป็นตัวสอดแทรกเสริม (additional intervention) เป็นตัวช่วย
ขับเคลื่อนแนวคิดในการลงมือปฏิบัติเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยได้ร่วมกันตั้งชื่อว่า
“SRIJAN model” เป็นรูปแบบของกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในบริบทเฉพาะ
ของโรงเรียนปรยิ ัตธิ รรมศรีจันทร์วิทยา โดยมีรายละเอียดการปฏิบัติตามข้ันตอนท้ัง 10 ขั้นตอนที่ได้

การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและการวจิ ยั เชิงปฏิบตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม 97

กล่าวไว้ในหัวข้อ ข้ันตอนการวิจัย “SRIJAN model” น้ีจึงเป็นองค์ความรู้ท่ีเกิดจากการนํา
กรอบแนวคดิ การวิจัยทีผ่ วู้ จิ ัยได้แลกเปลยี่ นเรียนรกู้ บั ผู้ร่วมวิจัยในภาคสนาม โดยร่วมกันศึกษาเรียนรู้
หาข้อมูล วิเคราะห์ถึงปัญหา และแก้ไขปัญหาที่กํา ลังประสบอยู่ จนสามารถวางแผน กําหนดการ
ดําเนินงานหรือโครงการ พร้อมท้ังร่วมกันการปฏิบัติตามแผนเพ่ือแก้ไขปัญหาที่กําลังประสบได้อย่าง
เปน็ ระบบ

ขอ้ เสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะจากผลการวิจยั เพื่อการปฏิบัติ
1.1 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรมศรจี นั ทรว์ ทิ ยา

บรรลุผลตามความคาดหวัง คือ มีผลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้ของนักเรียนดีขึ้น (ผลการประเมินคุณภาพ
ภายในของสถานศกึ ษา คือ ได้คะแนน 80.00 ระดับคุณภาพดีและผลการสอบ O-NET ได้ 10.89 อยู่
ในระดับดี) แต่ยังไม่ได้รับการประเมินคุณภาพการศึกษาจากภายนอก ดังนั้นทุกคนท่ีเป็นผู้มีส่วน
เก่ียวขอ้ งควรรว่ มมือกันดํา เนินการพฒั นาการจัดการเรยี นการสอนของโรงเรยี นตอ่ ไป

1.2 การพัฒนางานใดๆ ในโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรมศรจี ันทร์วิทยา ด้วย
กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม จะต้องคํานึงถึงผลท่ีเกิดขึ้นต่อการพัฒนาตนเอง
พฒั นางาน และพัฒนาวิชาชีพของบุคคลที่เข้าร่วมการวิจัยด้วยเพ่ือส่งเสริมความก้าวหน้าด้านหน้าที่
การงานและด้านวชิ าชพี ของบคุ คลเหลา่ น้นั ให้สูงข้ึน โดยทุกข้ันตอนการวิจัยจะต้องให้ทุกคนได้มีส่วน
ร่วมอยา่ งเท่าเทยี มกัน และเปดิ โอกาสในการแสดงความคิดเห็นมากที่สุด รวมท้ังได้มีการลงมือปฏิบัติ
จริงในทุกกิจกรรม ซึ่งทํา ให้ทุกคนเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และยังเกิดการเรียนรู้ที่เป็นลักษณะ
เฉพาะตวั ขน้ึ อนั จะนาํ ไปสู่การพัฒนางานและพัฒนาตนเองไดใ้ นทีส่ ุด

1.3 ความสําเร็จของการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม
ศรีจันทร์วิทยา ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจ ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝุาย ดังนั้น
โรงเรยี นควรรักษาไวซ้ ง่ึ สมั พนั ธภาพและความร่วมมอื ร่วมใจนเ้ี อาไวใ้ ห้ย่ังยืนต่อไป

1.4 เหตผุ ลหลกั ทผี่ ู้มสี ว่ นเกยี่ วข้องทุกฝุายไดม้ สี ่วนร่วมในการพัฒนากจิ กรรมการ
เรยี นรขู้ องโรงเรยี น คอื ตอ้ งการใหโ้ รงเรียนสามารถจัดการศึกษาเพือ่ พฒั นาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนให้
ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ การประกันคุณภาพการศึกษา ดังน้ัน โรงเรียนพระปริยัติธรรมศรีจันทร์วิทยา
ควรตระหนักอยู่เสมอว่า “เด็กนักเรียน” ทุกคนในโรงเรียนแห่งน้ีคือเปูาหมายหลักของการจัด
การศึกษาท่ีจะต้องดูแลและพัฒนานักเรียนให้มีความพร้อมของการศึกษาในระดับสูงข้ึนได้ตาม
เปาู หมายท่ตี อ้ งการ

การวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารและการวิจยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม 98

2. ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย
2.1 สํา นักงานพระพุทธศาสนาและมหาเถรสมาคมควรใหส้ นับสนนุ การจดั การ

ศกึ ษาหลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพในสาขาวชิ าทเี่ กีย่ วขอ้ งกับคอมพิวเตอร์ โปรแกรม ที่สอดคล้อง
ตอ่ ความตอ้ งการของตลาดแรงงานในประชาคมอาเซยี น

2.2 โรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรมศรจี ันทร์วทิ ยามคี วามจาํ เป็นในการพฒั นาการจดั การ
เรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 ดงั นน้ั ควรกําหนดนโยบายการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนเป็นนโยบาย
หลักของโรงเรยี นในทุกปกี ารศกึ ษา

3. ข้อเสนอแนะในการทําวจิ ัยครัง้ ต่อไป
3.1 โรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรมศรจี ันทร์วิทยา ควรทํา วิจัยเกีย่ วกบั รูปแบบการจัดการ

เรียนรู้โดยใช้โครงการเป็นฐาน เพ่ือเป็นโมเดลในแต่ละระดับชั้น ในแต่ละรายวิชา และผู้บริหาร
โรงเรียนควรให้การสนบั สนุนท้ังในดา้ นการจดั อบรม ให้ความรู้เพม่ิ เตมิ เกยี่ วกับการทาํ วจิ ัย และให้ทนุ
สนับสนนุ หรือจัดหาแหล่งทนุ จากภายนอกใหด้ ว้ ย

3.2 โรงเรียนพระปริยตั ิธรรมศรีจันทรว์ ิทยา ควรส่งเสริมใหค้ รูทํา วิจัยในช้ันเรียน
เพอ่ื พฒั นาการจัดการศกึ ษาในโรงเรยี นตนเอง หรืออาจนาํ เอาการเรียนรตู้ ่างๆ ทไ่ี ด้จากการวจิ ยั
ในครัง้ นี้ไปพัฒนาต่อยอดเป็นการวิจัยในรปู แบบอ่นื ๆ ท่ีมคี วามเหมาะสมสอดคล้องกบั บรบิ ทของ
โรงเรยี นปรยิ ัตธิ รรมศรจี ันทร์วิทยา

3.3 ในการวจิ ยั คร้ังนี้ได้มีการประเมินเขา้ มาเก่ียวขอ้ ง คอื การประเมนิ การดํา เนนิ
งานตามเกณฑ์มาตรฐานการประเมินคุณภาพภายนอกโดย สมศ. และเกณฑ์การประเมินคุณภาพ
ภายในสถานศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรมศรีจันทร์วิทยา ดังนั้น ในการวิจัยครั้งต่อไป อาจใช้
รปู แบบการวิจัยเชิงประเมิน (evaluation research) เพ่ือประเมินสภาพการพัฒนาการจัดการเรียน
การสอนของโรงเรยี นได้

การวิจยั เชงิ ปฏิบตั ิการและการวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมีสว่ นรว่ ม 99

บรรณานกุ รม

ชอบ เขม็ กลัด และโกวทิ ย์ พวงงาม. (2547). การวจิ ัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีสว่ นรว่ มเชิงประยกุ ต.์
กรงุ เทพฯ : เสมาธรรม.

ทวศี ักดิ์ นพเกสร. (2541). การปฏริ ปู การศึกษา : การเรยี นรู้แบบมีสว่ นรว่ ม. กรุงเทพฯ :
สถาบนั ราชภัฏธนบรุ .ี

นติ ยา เงินประเสริฐศรี. (2544). การวจิ ยั เชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม. วารสารสงั คมศาสตร์และ
มนุษยศาสตร์. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์

ปญั ญา เลิศไกร. (2549). ครอบครัวและชมุ ชนกบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ นครศรีธรรมราช :
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครศรธี รรมราช.

ปารชิ าติ วลัยเสถียร และคณะ. (2543). กระบวนการและเทคนคิ การทาํ งานของนกั พฒั นา. กรงุ เทพฯ
:สํานักงานกองทุนสนบั สนุนการวิจัย.

ผอ่ งพรรณ ตรัยมงคลกูล และสุภาพ ฉัตรากรณ์. (2549). การออกแบบการวจิ ยั . พมิ พ์คร้งั ท่ี 5.
กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พิมพม์ หาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์

พระจักรพล สริ ิธโร (ปูองศริ )ิ . (2559). การพฒั นากิจกรรมการเรียนรู้ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม
ศรีจันทร์วทิ ยา : การวิจัยเชิงปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วม. ดุษฎีนพิ นธศ์ ึกษาศาสตรดุษฎี
บัณฑติ , สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา ,บณั ฑิตวทิ ยาลัย, มหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราช
วิทยาลยั .

พันธท์ ิพย์ รามสูต (2540). การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการอย่างมสี ่วนรว่ ม. กรงุ เทพฯ : สถาบนั พัฒนาการ
สาธารณสุขอาเซียน มหาวิทยาลยั มหิดล.

ยาใจ พงษบ์ ริบรู ณ.์ (2537). การวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ าร (Action Research). วารสารศกึ ษาศาสตร.์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

วโิ รจน์ สารรตั นะ. (2556). การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา : แนวคดิ และกรณีศึกษา. พิมพค์ ร้ังที่ 3.
กรุงเทพฯ : ทพิ ยวสิ ทุ ธ์.ิ

วรี ะยทุ ธ ชาตะกาญจน์. (2557). การวิจัยเพอื่ พัฒนาการบริหารการศึกษา. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ :
สาํ นกั พิมพจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .

ศริ กิ ุล นามศิร.ิ (2552). การพัฒนางานวิชาการดวยหลกั การบรู ณาการในโรงเรยี นขนาดเล็ก : การวจิ ยั
เชิงปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี วนรวม. วทิ ยานิพนธศึกษาศาสตรดุษฎบี ัณฑติ , สาขาวิชาการ
บริหารการศึกษา, บณั ฑติ วทิ ยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแกน.

สมโภชน์ อเนกสุข. (2548). การวจิ ัยปฏิบัติการแบบมสี ว่ นรว่ ม. วารสารวิจัยและวัดผลการศกึ ษา,
มหาวิทยาลยั บรู พา.

การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารและการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม 100

สิทธิณัฐ ประพุทธนิติสาร. (2546). การวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมีสว่ นรว่ ม : แนวคดิ และแนวปฏบิ ตั ิ.
กรงุ เทพฯ : สาํ นักงานกองทนุ สนบั สนุนการวิจยั .

สุภางค์ จันทวานชิ . (2527). วธิ กี ารวิจยั เชงิ คุณภาพ. พมิ พ์คร้ังที่ 12. กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พ์แหง่
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

องอาจ นยั พัฒน์. (2549). วธิ ีวทิ ยาการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพทางพฤตกิ รรมศาสตร์ และ
สงั คมศาสตร.์ พมิ พ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นสว่ นจํากัด สามลดา.

อทุ ยั ดลุ เกษม. (2545). สังคมศาสตร์เพอ่ื การพฒั นาแนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยและพฒั นา.
พระนครศรีอยุธยา : เที่ยงวฒั นา.

Coghlan, D. & Brannick, T. (2001). Doing Action Research in Your Own Organization.
London: Sage.

Corey, S.M. (1953). Action Research and Improved School Practices. New York:
Columbia Teachers Colledge. u ar (2005) Methods in Behavioral Research. 9th ed.
Creswell, J.W. (2002). Educational Research Planning, Conduction, and Evaluating

Quantitative and Qualitative Research. New Jersey: Merrill Prentice Hall.
Kemmis, S. & McTagart, R. (1988). The Action Research Planer. 3rd ed. Victoria:

Deakin University.
.(2000). Participatory action Research. In Denzin, N.K. & Lincoln, Y.S. (eds.),
Handbook of qualitative research. (2nd ed., pp. 567-605). California : Sage.
Stringer, E. (1999), Action Research. 2nd ed. California: Sage. Stufflebeam, D.L.
(2001, Spring). Evaluation Models. New Directions for Evaluation, 89:7-99.

การวิจัยเชงิ ปฏิบัติการและการวจิ ัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ว่ นร่วม 101

ภาคผนวก

การวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารและการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม 102

การแกป้ ัญหา
และการ
ตดั สินใจ

ผนู้ าการ
เปลย่ี นแปลง

การเรยี นรู้
และความรู้

ใหม่

โดย นางสาวจารณุ ี สอนใ

วิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ าร
(Action Research)

ใจ รหัสประจาตวั 6430140432000

ความหมายวิจัย

เคมมสิ และ วิโรจน์ สา
แมคทากกาท 1988 2556

การทํางานทเ่ี ปน็ การสะท้อนผล การมสี ่วนรว่
การปฏิบตั ิงานของตนเอง ตอ่ การเปลีย่ นแปลง
ที่เปน็ วงจรแบบขดลวด
(Spiral of self-reflecting) ในทางบวก กา
ในการตดั สนิ ใจ เชื่อ
อยู่กอ่ นกับสารสนเ

การเรียนรจู้ ากป
การตงั้ คําถาม และ

คาํ ตอบอย่างเ

ยเชงิ ปฏิบัติการ

ารรัตนะ วีระยทุ ธ ชาตะกาญจน์
6 2557

วมสง่ ผล เปน็ การศกึ ษา รวบรวม
งทางการศกึ ษา หรือการแสวงหาข้อเทจ็ จริงโดยใช้
ารมอี าํ นาจ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อให้
อมโยงความรทู้ ีม่ ี
เทศทไี่ ดร้ ับใหม่ ไดม้ าซึ่งข้อสรปุ อนั จะนาํ ไปสู่
ประสบการณ์ การแกป้ ญั หา สามารถดําเนินการ
ะการแสวงหา ไดห้ ลายๆ คร้ัง จนผลการปฏบิ ตั งิ าน
เป็นระบบ
น้ันบรรลวุ ตั ถุประสงค์

ความเช่อื พ้นื ฐานของก

01 วิธีกา
จะม

แกไ้ ขปัญหาของผปู้ ฏิบตั ิงาน
ท่ีดําเนินการเอง

03 วิเคร
การ

การพัฒนาความสามารถของบคุ คลโดยการฝึกห
เป็นรากฐานของการพัฒนาการปฏบิ ัติงาน

การวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ าร

ารแกป้ ัญหาท่ีได้มาจากการศึกษาค้นคว้า
มีประสิทธิภาพใช้ประกอบการตดั สนิ ใจ

02

ราะหป์ ัญหา การคน้ หา แนวทางแก้ไขปัญหา
รทดสอบและการประเมนิ ผลวิธกี ารแก้ปญั หา

หัด 04

ลักษณะของการวจิ ยั เชงิ

2.เนน้ การปฏบิ ัติการ
(Action Orientation) การวจิ ัยชนดิ นี้ใช้
การปฏบิ ัติเป็นสิง่ ทาํ ใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลง

4.ใช้วงจรการปฏิบตั ิการ
(The Action Research Spiral)
ตามแนวคิดของเคมมิส และแมคทากกาท

งปฏบิ ัติการทางการศกึ ษา

1.การวิจยั แบบมสี ่วนรว่ มและมกี ารรว่ มมอื
(Participation and Collaboration)

ใช้การทํางานเปน็ กล่มุ

3. ใช้วิเคราะหว์ ิจารณ์
(Critical Function) การปฏิบัติอย่างลึกซึ้ง

จากสิ่งท่ีสังเกตจะนําไปส่กู ารตดั สนิ ใจท่ี
สมเหตสุ มผลเพื่อการปรบั แผนการปฏิบตั กิ าร

ลักษณะสาคัญของการวจิ ัยเชงิ
องอาจ นยั พัฒน์

1.ปัญหาทางดา้ นการปฏบิ ตั ิงาน 4. เสนอผลการวจิ
(practical problem) เรยี บง่าย

2. มีจุดมงุ่ หมายหลกั เพอ่ื การทํา 5. เน้นการมสี ่วนร
ความเขา้ ใจ (understanding) กระบวนการวจิ ยั
อยา่ งลมุ่ ลกึ และ กระจ่างชัด ดําเนินงานวิจยั เชงิ
ภายใต้กระบวนการใคร่ครวญ ในทกุ ข้นั ตอน

3. มุ่งเนน้ การตีความหมาย 6. ผ่อนคลายความ
เหตกุ ารณ์ หรือสภาวการณ์ของ เกีย่ วกบั ระเบยี บว
ปญั หา ศกึ ษาวิจัยการดําเ

งปฏิบัตกิ ารไวเ้ ปน็ 8 ประการ
(2548 : 335)

จยั ในรูปแบบ 7. ไม่เนน้ การสรปุ อ้างอิงผลการ
ศกึ ษาวิจยั ขา้ มไปยังบรบิ ทอน่ื
รว่ มใน
การ 8. สรา้ งดลุ ยภาพและความเสมอภาค
งปฏบิ ัติการ ระหว่างทัศนะของบคุ คลภายในและ
บุคคลภายนอกบคุ คลภายใน เป็น
มเข้มงวด ผูป้ ฏิบัติงานตามหนา้ ทีป่ กติและเปน็
วิธกี าร นกั วิจัยปฏบิ ตั ิการบุคคลภายนอก
เนนิ งานวิจัย มีบทบาทเป็นผ้เู ชยี่ วชาญ ผู้ให้
คาํ ปรึกษาทางวชิ าการและเปน็
นักวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารเชน่ เดียวกับ
บุคคลภายใน

ความแตกตา่ งระหว่างการวิจัยเชิงว

ประเดน็ พิจารณา การวจิ ัยเชิงวชิ าการ
โอกาสใน เป็นโครงการวจิ ยั วทิ ยานิพนธ์
การทาวจิ ยั รายงานท่ไี ดร้ บั เงินทุนสนับสนนุ
การทาํ วิจยั ตามความสนใจของ
บทบาทของผวู้ จิ ยั นกั วจิ ยั หรอื แหลง่ ทุน
มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งทั้งหมดในการดาํ เน
บางส่วนหรอื ท้งั หมดและอาจมคี ว
เรอ่ื ง ที่ทําวจิ ัยหรอื ไม่กไ็ ด้

จดุ มงุ่ หมาย เพอ่ื พฒั นาทฤษฎีทางการศกึ ษาแล
การปฏิบตั ิตอบสนองความต้องกา
วิชาการ

วชิ าการและการวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ าร

การวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ าร
เกิดจากความสนใจของนกั วจิ ัย บางคร้ังอาจ
เปน็ โครงการศึกษาวิจยั ที่ได้รบั การสนบั สนุน

นนิ งาน จากแหลง่ ทุน มกี ารควบคมุ ดาํ เนินงานวิจยั
วามรใู้ น และมีความรู้ ในเรือ่ งน้นั เปน็ อยา่ งดี

ละ นาํ ผลทไี่ ดไ้ ปใช้ในการตัดสนิ ใจ เก่ยี วกบั
ารทาง การปฏบิ ัตงิ านในวิชาชพี บางครงั้ อาจ

ตอบสนองเง่ือนไขทางวิชาการ

ความแตกต่างระหวา่ งการวจิ ัยเชงิ ว

ประเดน็ พจิ ารณา การวจิ ยั เชิงวิชาการ

แบบแผนการวจิ ยั การวิจยั มีการจดั กระทาํ ตัวแปรแล
ตวั แปรนั้นจนสน้ิ สดุ การทดลอง

เน้นการควบคุมสภาวการณต์ ่าง ๆ

เพ่อื ปอ้ งกนั ความลาํ เอยี ง

เคร่ืองมือและ จะต้องเหมาะสมและสอดคล้อง ก

วธิ ีการเก็บรวบรวม ตัวแปรท่ศี ึกษา

ขอ้ มลู

การเลอื กตวั อยา่ ง อิงทฤษฎีความนา่ จะเปน็

จากประชากร

วชิ าการและการวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการ

การวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการ

ละใช้ มกี ารจัดกระทาํ ตวั แปร แต่ในระหว่างการทดลอง
นน้ั สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และตอ้ งพยายาม

ๆ ไม่รบกวนสภาวการณ์ปกตทิ ่เี ปน็ อยจู่ ริงในสนาม
การวิจัย

กบั ใชเ้ คร่ืองมอื เชน่ เดยี วกับการวจิ ยั เชิงวิชาการ
แต่สามารถ เปลี่ยนแปลงได้ในขณะดาํ เนินการเกบ็
รวบรวมขอ้ มูล
คํานงึ ถึงจุดมงุ่ หมายและความสะดวก
กลุ่มตวั อย่างอาจจะเป็น ตวั แทนของประชากร หรอื
อาจมี กลุม่ ตัวอยา่ งเพยี งกลุ่มเดยี วหรือหนว่ ยเดยี ว

ความแตกต่างระหวา่ งการวิจยั เชิง

ประเดน็ พจิ ารณา การวิจัยเชงิ วชิ าการ

การกาหนดตัวอยา่ ง ใช้วธิ กี ารส่มุ หนว่ ยตวั อยา่ ง
เข้ากลุม่ ศกึ ษาวิจยั เข้ากลุม่ ทีศ่ กึ ษาวิจยั

การรวบรวมขอ้ มูล จะต้องใชเ้ ครอื่ งมอื ท่มี ีความตรงแล
ความเทย่ี งรวมทั้งปราศจากคา่ นยิ
ความลําเอียงใด ๆ แอบแฝง

การวิเคราะหข์ ้อมูล ใชว้ ธิ ีการทางสถติ ิทีเ่ หมาะสมโดยป
จะใช้สถติ เิ ชิงอนุมานหนว่ ยที่ใชใ้ น
วิเคราะห์มักเป็นกลุ่มหรอื บางครั้งอ
เป็นกลุ่มย่อย

งวิชาการและการวิจยั เชิงปฏบิ ตั ิการ

การวิจัยเชงิ ปฏิบัติการ

ไมจ่ ําเป็นตอ้ งใช้วธิ กี ารสุ่มหนว่ ย ตัวอย่างเขา้ กลุ่ม
ท่ศี กึ ษาวิจัย

ละ ควรใชว้ ธิ กี ารที่มคี วามไว้วางใจและเช่อื ถอื ได้ และ
ยมหรือ ให้ตระหนกั ต่อความลําเอยี งจากแหลง่ ต่าง ๆ

ปกติ ใชก้ ารวเิ คราะหเ์ นอื้ หา วธิ กี ารทาง สถติ ิงา่ ย ๆ หรือ
นการ หลายวิธี รวมกัน หนว่ ยที่ใช้ในการวิเคราะห์
อาจ อาจเป็นกลุ่ม รายบุคคล หรือ กลุ่มย่อย

จุดมุ่งหมายของการ

1.ปรบั ปรุงประสทิ ธภิ าพ และประสิทธผิ ลของ
การปฏิบัติงานประจาํ ใหด้ ีข้นึ

2. โดยนาํ เอางานทปี่ ฏบิ ัตอิ ยู่ มาวิเคราะห์
สภาพปญั หาอนั เปน็ เหตุให้งานนัน้ ไม่
ประสบผลสาํ เรจ็ เท่าท่ีควร

รวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร

3. ใชแ้ นวคิดทางทฤษฎแี ละประสบการณ์จากการ
ปฏิบตั งิ านทผ่ี า่ นมา

4.เสาะหาข้อมูลและวิธีการท่ีคาดวา่ จะ
แกป้ ัญหาดังกล่าวได้

4.สะท้อนวิธีการดงั กล่าวไปทดลองใช้กับกลุ่ม
ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ปญั หานน้ั ๆ

กระบวนการดาเนนิ งานวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ

2. ลงมือปฏบิ ัติการ
ตามแผน (action)

12

1.การวางแผนเพือ่ ไปสกู่ าร
เปลีย่ นแปลงทด่ี ขี ้นึ (planning)

การตามแนวคดิ ของ Kemmis & McTaggart

4. สะทอ้ นกลับ (reflection)
ปรบั ปรุงแผนการปฏบิ ัติงาน

(re-planning)

34

3. สังเกตการณ์
(observation)

วงจรของการวิจยั เชิงปฏิบตั กิ าร
ตามแนวคดิ ของ Kemmis & McTaggart

สะท้อนผลการปฏบิ ตั ิ
Reflection

การปฏิบัติและสังเกต
Act & Observe

สะท้อนผลการปฏิบัติ
Reflection

การปฏบิ ัตแิ ละสงั เกต
Act & Observe

วงจรแบบขดลวด
(Spiral of self-reflecting)

วางแผน
Plan

ปรบั ปรุงแผน
Replan

โดยดําเนินการ เช่น นต้ี อ่ ไปเรอ่ื ย ๆ

กระบวนการดาเนนิ งานวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั

กระบวนการดาํ เนินงานวจิ ัย
เชงิ ปฏบิ ตั ิการ แบง่ ออกเปน็
3 ขน้ั ตอนหลัก ได้แก่
1) การพินจิ พิเคราะห์ (มอง)
2) การคิดวิเคราะห์ (คดิ )
3) การปฏิบตั กิ าร (ปฏิบัต)ิ

ตกิ ารตามแนวคดิ ของ Stringer (1999)

กระบวนการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารตามแน

แบ่งกระบวนการ วจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเปน็ ขน้ั ตอน
คือ การทาํ ความเขา้ ใจ บริบทของปัญหาทตี่ อ้ งก
และการกาํ หนดจดุ มุ่งหมายการปฏิบตั ิการ
มขี ้นั ตอนหลกั 4 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่
1) การวินิจฉัย (diagnosing)
2) การวางแผนปฏิบตั กิ าร (planning)
3) การลงมือปฏบิ ัติการ (taking action)
4) การประเมนิ ผลการปฏิบัตกิ าร (evaluation

นวคดิ ของ Coghlan & Brannick (2001)

นเบ้อื งตน้
การแก้ไข

action)

ขนั้ ตอนของการวิจ

1. การจําแนกหรอื 2.เลอื กปัญหา
พิจารณาปัญหา ควรแก่การศึก

4. บันทึกเหตุการณอ์ ยา่ ง 5. วเิ คราะห์
ละเอียดในแตล่ ะข้ันตอน ความสมั พันธ
ของการวิจัย ทั้งส่วนท่ี ตา่ งๆ ของข้อ
เป็นความก้าวหน้าและท่ี รวบรวมไว้
เป็นอปุ สรรคตามวงจร
ของการปฏบิ ตั ิการทง้ั
4 ขน้ั ตอน

จยั เชิงปฏิบตั กิ าร

าสาํ คัญ 3. เลือกเครือ่ งมอื ดาํ เนนิ การวจิ ัย
กษาวจิ ยั ทจ่ี ะชว่ ยใหไ้ ดค้ าํ ตอบของปัญหา
ตามสมมตฐิ าน ที่ต้งั ไว้
ธ์ในด้าน
อมลู ทไ่ี ด้ 6. ตรวจสอบข้อมูลที่กลุ่มวิจยั ได้
ร่วมกนั พจิ ารณาไว้แล้วอีกครั้ง
หนง่ึ เพื่อสรปุ หาคําตอบที่เป็น
สาเหตุ วธิ กี ารแกป้ ญั หา และ
ผลที่ได้รับ ตามวัตถุประสงคข์ อง
การวจิ ยั

การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ขอ
ลกั ษณะการดาเนนิ การ

1. บนั ทกึ ผลของ 2. บนั ทึก

การเปล่ียนแปลงกจิ กรรม การเปลยี่ นแ

และการฝกึ ปฏิบัติ ภาษาและกา

หนว่ ยงานแล

ทเี่ กี่ยวขอ้ งก

ทตี่ อ้ งกา

องการวจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ าร
รเป็นบันไดเวียน (spiral)

กผลของ 3. บนั ทกึ ผลของการ 4. บนั ทกึ ผลของ
แปลงการใช้ เปลีย่ นแปลง การพฒั นาการท่เี ปน็
ารสือ่ สารใน สมั พันธภาพทาง ข้อค้นพบที่สําคัญ
ละกับบุคคล สังคมและ
กบั ปญั หา ของการวจิ ัย
ารแก้ไข การจดั ระบบองคก์ ร
ทชี่ ว่ ยลดอุปสรรคต่อ

การฝึกปฏบิ ตั ิ

การวิเคราะหข์ อ้ มลู ของการว

ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล ข อ ง ก า ร วิ จั
เชิงปฏิบัติการจะใช้วิธีการของการ วิจั
เชิงคุณภาพหรือการแจกแจงข้อค้นพบที่สําคัญ
เชิงอธิบายความ ซึ่งจะนําไปสู่การสรุปเป็น
ผลงานวิจัย และแสดงให้เห็นแนวทางหรื
รูปแบบการปฏิบัติ ท่ีมีประสิทธิภาพ เพื่อกา
แกไ้ ขปญั หาของส่งิ ท่ศี ึกษาน้นั

วจิ ัยเชิงปฏบิ ัตกิ าร






าร

ตามทศั นของ Carr and Kemmis ระ

แบบเทคนิค แบบปฏ
(Practical
(Technical Action
Research) Resear

ผ้วู ิจัยทําตัวเป็นผูเ้ ชย่ี วชาญจาก ผูว้ ิจัยมีสว่ นร่ว
ภายนอก ท่ีนําแนวคิด นาํ แผนงาน ไม่นําเอา แนวคดิ
หรือนําโครงการ ที่ตนเองคดิ หรอื
จัดทาํ ข้นึ ไปใหผ้ รู้ ่วมวจิ ยั เป็นผู้ปฏบิ ัติ โครงการของตน
ตามแบบแรก แต
ปฏิบตั ิแบบบนลงลา่ ง เปน็ ท่ีปรกึ ษา เป
ยึดผ้บู รหิ ารเปน็ ศูนย์กลาง ตงั้ ประเด็น และกํากับ
คิด ปฏิบตั สิ งั เกตผล
แบบเทคนิค+แบ

ะดับของการวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ าร 3 ระดับ

ฏบิ ตั ิ แบบอิสระ
Action (Enhancipatory Action
rch)
Research)

วมมากขึน้ ผ้วู จิ ัยมสี ว่ นร่วมในการวจิ ัยกับผู้รว่ มวจิ ยั
แผนงาน หรอื เปน็ ประชาธิปไตยสงู ในลักษณะเปน็
นไปใหป้ ฏบิ ตั ิ ความร่วมมอื กนั ทัง้ ผ้วู จิ ยั และผรู้ ่วมวจิ ยั
ตจ่ ะทาํ หน้าที่ ตา่ งมสี ถานะเทา่ เทยี มกันในการร่วมกัน
ปน็ ผู้กระตุ้น คดิ ปฏิบตั ิ สังเกตผล และสะท้อนผล
บใหม้ ีการรว่ มกัน
และสะท้อนผล หรอื การวจิ ยั เชิงปฏิบตั กิ าร
บบมีส่วนร่วม แบบมสี ่วนรว่ ม (Participatory Action

Research) PAR

Technical Action Research

ปฏบิ ัติแบบบนลงลา่ ง (Top-Down)

• กอ่ ให้เกิดสภาพการเลยี้ งไม่โต
• ขาดความคิดสร้างสรรค์
• ขาดการกระตอื รอื รน้
• ขาดความจริงจังในการปฏิบตั ิงาน
• ขาดความยั่งยนื

Participatory Action Research

ปฏิบตั แิ บบล่างขึ้นบน (Bottom-Up)

• ผถู้ ูกวิจยั เปน็ ผูก้ ระทํา ผูร้ ว่ มกระทาํ
• มีส่วนรว่ มทกุ ขน้ั ตอน เป็นทั้งผ้ตู ัดสินใจ

ผปู้ ฏบิ ตั ิ และผ้ไู ดร้ บั ผลจากการปฏบิ ัติ
• ต้องมีการปฏิบตั ิเพือ่ กอ่ ให้เกดิ

การเปลย่ี นแปลงท่ียัง่ ยนื

วงจรการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแ

04 การวางแผ

การมขี ้อมูล (Shared P
ย้อนกลับร่วม
การตดิ ตาม
(Shared Reflecting/
Feedback) (Shared Ob
Monito
03 Evaluat

แบบมสี ่วนร่วม 4 ขน้ั ตอน

วิโรจน์ สารรัตนะ, 2556

ผนรว่ ม 01

Planning) การนําแผน
สู่การปฏบิ ัตริ ว่ ม
มผลรว่ ม (Shared Acting
Implementing)
bserving/
oring 02
ting)

วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัยเชิง
(Participatory Action

เพือ่ ให้บคุ คลทอ่ี ยู่ในองคก์ รหรือ เพอื่ การพฒั นาองค
ชมุ ชนแต่ละแห่งเข้ามาร่วมศกึ ษา ใหด้ ีขนึ้ โดยการสรา้
ปญั หา ค้นควา้ หาขอ้ มูลและ ใหก้ ับบคุ คลแต่ละค
สาเหตุของปัญหา รวมทงั้ หรอื ชมุ ชน ใหม้ ีควา
การแสวงหาแนวทางใน ในการแก้ปัญหา แล
การพฒั นาองคก์ รหรือชุมชน การพัฒนาแบบยัง่ ย
ของตนท่ีเหมาะสมกับบรบิ ท นักวจิ ัยและนกั พัฒน
ร่วมกบั นกั วจิ ัยและนกั พัฒนา

งปฏิบัติการแบบมสี ่วนร่วม
n Research: PAR)

ค์กรหรอื ชมุ ชน เพือ่ ใหม้ ีการขับเคลอื่ นสมาชิก
างพลังอาํ นาจ ในองค์กรหรือชุมชน ใหเ้ ปน็ ผู้ทมี่ ี
คนในองคก์ ร ความรับผิดชอบร่วมกนั
ามสามารถ เกิดการเรียนรู้ และแก้ไขปัญหา
ละก่อใหเ้ กิด ไปพรอ้ มกนั
ยืน หลังจากที่
นาออกไปแล้ว

หลกั การสาคัญของการวจิ ัยเช

2.ใหค้ วามร้ทู ่เี หมาะสม
แก่ชมุ ชนนาํ ไปใชอ้ ยา่ งเหมาะส

1.ปรับปรุงความสามารถ 3.สน
และพัฒนาศกั ยภาพของ ให
ชมุ ชน มาใช้ประโยชน์

ชิงปฏบิ ตั ิการแบบมีสว่ นรว่ ม

สม 4.การปลดปลอ่ ยแนวความคิด

นใจปริทัศน์ของชมุ ชน
ห้เหน็ คําถามทต่ี รงกับ

ประเด็นปัญหา

นักวจิ ยั เพอื่ ก
ภายใน
นกั วิจัย นกั พฒั นา จากการศึก
แบบมีส่วน
ผู้คนทอี่ ยู่กับปญั หา เ ป็ น ก า ร ว
ในชุมชน ประสบการ
ในชมุ ชนท่รี
แนวคดิ ทีเ่ ป
กับการปฏบิ

การวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม เกดิ จากการ

แนวคิดและแนวปฏิบตั ิ
การวจิ ัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ว่ นร่วม

กษาแนวคิดของนักการศึกษาเกยี่ วกับการวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ าร
นร่วม สรุปได้ว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
วิ จั ย ที่ เ กิ ด จ า ก ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม กั น ใ น ก า ร แ ล ก เ ป ล่ี ย น
รณ์ของนกั วิจัย นักพฒั นา นักวิจัยภายใน ร่วมกับผู้คนที่อยู่
รแู้ ละเข้าใจสภาพปัญหาเป็นอย่างดี ร่วมกันโดยผสมผสาน
ป็นระบบใหไ้ ดผ้ ล โดยอาศัยการเรยี นรู้ เชื่อมโยงองค์ความรู้
บตั ิ เพือ่ รว่ มกันพฒั นาและแกไ้ ขปัญหาอยา่ งยงั่ ยืน

รมีส่วนรว่ มกนั ในการแลกเปล่ยี นประสบการณ์


Click to View FlipBook Version