แผนการสอน/การจัดการเรยี นรู้แบบมงุ่ เน้นสมรรถนะอาชพี และ
บูรณาการตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
รหัส 20105-2008 วชิ า เครื่องเสยี ง
หลักสตู ร ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ(ปวช.) พ.ศ.2562
ประเภทวิชา/หมวดวิชา ชา่ งอุตสาหกรรม
สาขาวิชา ชา่ งอิเลก็ ทรอนกิ ส์
สาขางาน อเิ ล็กทรอนกิ ส์อตุ สาหกรรม
จดั ทาโดย
นายปรชี า มะโนมัย
ครูประจาแผนกวชิ า ชา่ งอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564
ฝ่ายวิชาการ วทิ ยาลัยการอาชพี สวา่ งแดนดนิ
อาชีวศึกษาจังหวัดสกลนคร
สงั กัดสานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา
แบบคาขออนุมตั ใิ ชแ้ ผนการสอน/การจดั การเรยี นรู้แบบมุ่งเน้นสมรรถนะอาชพี
และบูรณาการตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
รหัสวิชา 20105-2008 วชิ า เคร่อื งเสียง
ผจู้ ัดทา
ลงช่ือ..............................................
(นายปรชี า มะโนมยั )
ตาแหนง่ ครู
ผ้ตู รวจสอบแผนการจดั การเรยี นรู้
ลงชื่อ.............................................. ลงชือ่ ..............................................
(นายสาโรช กลา่ มอญ) (นายคุมดวง พรมอนิ ทร)์
หวั หน้างานพัฒนาหลกั สตู รฯ
หัวหน้าแผนกวิชาช่างอิเล็กทรอนกิ ส์
ความเห็นรองผู้อานวยการฝา่ ยวิชาการ
..........................................................................................
ลงช่อื ..............................................
(นายทินกร พรหมอนิ ทร์)
รองผู้อานวยการฝา่ ยวิชาการ
ความเหน็ ผู้อานวยการวทิ ยาลัยการอาชีพสว่างแดนดิน
อนมุ ัติ ไม่อนมุ ตั ิ เพราะ....................................
ลงชอ่ื ..............................................
(นางวรรณภา พ่วงกุล)
ผ้อู านวยการวิทยาลยั การอาชีพสว่างแดนดนิ
คานา
แผนการสอนวชิ าเคร่ืองเสยี ง รหสั 20105-2008 จดั ทาขึ้นเพ่อื เป็นแนวทางในการเรียนการ
สอนหลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี (ปวช.)พุทธศักราช2562 ประกอบด้วยขนั้ ตอนและวิธีการสอน
เนอ้ื หาสาระ กิจกรรม คาถาม ใบงาน ที่ครอบคลุมจุดประสงค์ และคาอธบิ ายรายวิชา และแผนการ
เรียนร้บู รู ณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ไม่เคร่งครัดรปู แบบของการเขียนหน่วย /แผนการเรียนรู้
สามารถปรบั ได้ตามธรรมชาติของวชิ า ตามบรบิ ทของวิทยาลัย แตค่ งหวั ข้อสาคัญไว้ ได้แก่
(1) ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวงั (2) สาระการเรียนรู้ (3) กิจกรรมการเรยี นรู้ (4) ส่ือ /
แหลง่ การเรียนรู้ (5) การวดั และประเมินผล ท้งั น้ผี ใู้ ช้ตอ้ งทาความเข้าใจความหมายหลักปรชั ญา
ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ใน 3 หลักการ คือ ความพอประมาณ ความมเี หตุมีผล และการสร้างภมู คิ ุ้มกัน
ในตัวท่ีดี โดยใช้ ๒ เงอื่ นไข คือ คุณธรรมและความรู้ ในการสร้างความพอเพียงใหเ้ กิดขึ้นใน 4 มิติ
ไดแ้ ก่ ด้านวตั ถุหรอื เศรษฐกจิ สงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม และวฒั นธรรม(จริยธรรม)
ลงช่ือ………………..
(นายปรชี า มะโนมัย)
สารบญั 1
3
เรื่อง 4
หน้า 5
คานา 6
ลักษณะรายวชิ า 7
วิเคราะหช์ ื่อเร่ือง 8
วเิ คราะห์หนว่ ยการเรียรู้ 9
รายละเอียดหัวข้อการเรยี นร้ขู องแตล่ ะหน่วย 11
รายละเอียดหวั ข้อเรื่อง 12
รายการวเิ คราะห์ เนื้อหาวชิ า จดุ ประสงคร์ ายวชิ า มาตรฐานรายวชิ า 37
ตารางวิเคราะห์ระดับพุทธพสิ ัย ทกั ษะพิสยั จติ พสิ ยั 38
ตารางวเิ คราะห์ระดับพทุ ธพิสัย ทักษะพิสัย จิตพิสัย เวลาเรยี น 40
กาหนดการเรียนรู้ 42
แผนการเรียนรู้ 45
ใบช่วยสอน
ใบความรู้
ใบงาน
ใบปฏิบัติงาน
ใบมอบหมายงาน
1
ลักษณะรายวิชา
ท-ป-น(1-3-2)
รหสั วชิ า20105-2008 ชอ่ื วิชาเครื่องเสียง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72)
หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ประเภทวิชา ชา่ งอุตสาหกรรม
สาขาวิชาชา่ งอิเล็กทรอนกิ ส์ สาขางานอิเลก็ ทรอนกิ ส์
จดุ ประสงค์รายวิชา เพ่ือให้
1. เข้าใจการทางานของวงจรภาคต่าง ๆ ในเครื่องขยายเสียง
2. มีทักษะเกย่ี วกับการประกอบวงจรเคร่ืองขยายเสยี งแบตา่ ง ๆ
3. มที ักษะในการใช้เครอ่ื งมือวัด และทดสอบคณุ สมบัตขิ องเครื่องขยายเสียง
4. มีกจิ นสิ ัยในการทางานด้วยความประณีต รอบคอบและปลอดภัย
สมรรถนะรายวิชา
1. แสดงความร้เู ก่ียวกบั การใช้งานเคร่อื งมือ
2. ประกอบ ทดสอบ ปรับแตง่ และใช้งานวงจรเครอื่ งเสียง
คาอธิบายรายวชิ า
ศกึ ษาและปฏิบัติเกี่ยวกับสัญญาณเสียง บล็อกไดอะแกรมของเครื่องขยายเสียง วงจรขยายเสียงคลาส A,
AB, B, C และ D วงจรเพาเวอร์ซัพพลาย วงจรขยายแรงดันไฟฟ้าและวงจรกลับเฟสวงจรขยายกาลังแบบ OT,
OTL OCL และวงจรขยายแบบไดเร็กคัปปลิง วงจรลิมิตเตอร์ วงจรป้อนกลับโทนคอนโทรล ปรีแอมปลิฟายเออร์
มิกเซอร์ วงจรเครื่องขยายเสียงแบบโมโน สเตอริโอ วงจรครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค วงจรป้องกันลาโพง อุปกรณ์
ประกอบเครื่องขยายเสียง ลาโพง ไมโครโฟนสายสัญญาณ แมตชิงแบบ Balance และแบบ Unbalance ปลั๊ก
แจ๊ค การประกอบ ทดสอบและปรับแต่งวงจรเครอื่ งขยายเสียง การใช้เครื่องมือวัดและทดสอบคุณสมบัตขิ องวงจร
และอุปกรณ์เคร่ืองเสียง หลักการบันทึกเสียงบนแถบเทปและ CD เพือ่ หาคุณลักษณะการตอบสนองความถี่ กาลัง
วัตตค์ ่าอิมพีแดนซแ์ ละคา่ อืน่ ๆ การตอ่ เครอ่ื งขยายเสียงกับระบบอื่น ๆ
2
ลักษณะรายวชิ า
ท-ป-น(1-3-2)
รหัสวิชา20105-2008 ชื่อวิชาเคร่อื งเสียง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72)
หลักสูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ประเภทวิชา ชา่ งอตุ สาหกรรม
สาขาวชิ าช่างอิเลก็ ทรอนิกส์ สาขางานอเิ ลก็ ทรอนิกส์
คาอธิบายรายวชิ า (ปรับปรุง)
คาอธิบายรายวิชา
ศึกษาและปฏิบัติเก่ียวกับสัญญาณเสียง บล็อกไดอะแกรมของเครื่องขยายเสียง วงจรขยายเสียงคลาส A,
AB, B, C ,D, G,H และวงจรเพาเวอร์ซัพพลาย วงจรขยายแรงดันไฟฟ้าและวงจรกลับเฟสวงจรขยายกาลังแบบ
OT, OTL OCL และวงจรขยายแบบไดเร็กคัปปลิง วงจรลิมิตเตอร์ วงจรป้อนกลับโทนคอนโทรล ปรีแอมปลิฟาย
เออร์ มิกเซอร์ วงจรเคร่ืองขยายเสียงแบบโมโน สเตอรโิ อ วงจรครอสโอเวอรเ์ น็ทเวิรค์ วงจรป้องกนั ลาโพง อปุ กรณ์
ประกอบเคร่ืองขยายเสียง ลาโพง ไมโครโฟนสายสัญญาณ แมตชิงแบบ Balance และแบบ Unbalance ปล๊ัก
แจ๊ค การประกอบ ทดสอบและปรับแต่งวงจรเครอ่ื งขยายเสียง การใชเ้ คร่ืองมือวดั และทดสอบคุณสมบัตขิ องวงจร
และอุปกรณ์เครื่องเสียง หลักการบันทึกเสียงบนแถบเทปและ CD เพ่ือหาคุณลักษณะการตอบสนองความถี่ กาลัง
วัตต์คา่ อิมพแี ดนซ์และค่าอ่ืน ๆ การตอ่ เครื่องขยายเสยี งกับระบบอน่ื ๆ
3
วิเคราะห์ชื่อเรือ่ ง
ท-ป-น(1-3-2)
รหสั วชิ า20105-2008 ช่ือวิชาเคร่อื งเสยี ง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72
หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ ประเภทวิชา ช่างอตุ สาหกรรม
สาขาวิชาชา่ งอเิ ล็กทรอนิกส์ สาขางานอเิ ลก็ ทรอนิกส์
การวิเคราะหห์ ัวขอ้ เรอื่ ง แบบแผนภูมิ
1. บทท่ี 1 คล่ืนเสียงและเคร่ืองเสียง
2. บทที่ 2 อปุ กรณ์ในระบบเสียง
3. การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง
เครื่องสียง 4. การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง
(20105-2008) 5. การเช่ือมต่อสัญญาณ
6.วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง
7.ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง
8.อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสียง
9.การประกอบเคร่ืองขยายเสียง
10.การทดสอบคณุ สมบตั เิ ครื่องขยายเสียง
4
วเิ คราะห์หน่วยการเรียนรู้
ท-ป-น(1-3-2)
รหัสวิชา20105-2008 ช่อื วิชาเครื่องเสยี ง หน่วยกิต2 (ชั่วโมง) 72
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทวิชา ช่างอตุ สาหกรรม
สาขาวชิ าชา่ งอิเลก็ ทรอนกิ ส์ สาขางานอิเล็กทรอนกิ ส์
หวั ข้อหลัก(Main Element) / แหลง่ ข้อมูล
หนว่ ยการเรยี นรู้ ( Learning Unit) ABCDE
1.คลน่ื เสยี งและเครื่องเสียง // //
2.อุปกรณ์ในระบบเสยี ง // //
3.การจัดไบอสั สาหรบั วงจรขยายเสียง // //
4.การจัดวงจรขยายสญั ญาณเสียง // //
5.การเชอื่ มต่อสัญญาณ /////
6.วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง /////
7.ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง /////
8.อุปกรณป์ ระกอบในระบบเสียง /////
9.การประกอบเครอ่ื งขยายเสียง /////
10.การทดสอบคุณสมบตั เิ ครื่องขยายเสียง /////
แหล่งข้อมูล (Sources) A : หลักสตู รรายวชิ า (Course Description)
B : ตาราและเอกสาร (Literatures)
C : ประสบการณ์ (Experiences)
D : ผเู้ ชีย่ วชาญ (Experts)
E : อ่ืนๆ (Other)
5
การวิเคราะห์หวั ขอ้ การเรียนรู้ของแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้
ท-ป-น(1-3-2)
รหัสวิชา20105-2008 ชื่อวิชาเครอื่ งเสยี ง หน่วยกิต2 (ชั่วโมง) 72
หลักสูตรประกาศนยี บตั รวิชาชพี ประเภทวิชา ช่างอตุ สาหกรรม
สาขาวิชาช่างอิเล็กทรอนกิ ส์ สาขางานอิเล็กทรอนิกส์
หน่วยที่ ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ สมรรถนะ
1
2 คลืน่ เสียงและเคร่ืองเสยี ง -แสดงความรู้เกยี่ วกับคล่นื เสียงและเคร่ืองเสียงได้
3
4 อปุ กรณ์ในระบบเสียง -แสดงความรเู้ กย่ี วกับอุปกรณ์ในระบบเสียงได้
5 การจดั ไบอัสสาหรบั วงจรขยายเสยี งการจัด -จัดไบอสั แบบต่างๆให้กับวงจรขยายเสียงได้
6
วงจรขยายสญั ญาณเสียง -เขยี นจดุ การทางานและคุณสมบตั ขิ องวงจรขยาย
7
8 คลาสเอ,บ,ี เอบี,ซีได้
9 การเชอื่ มต่อสญั ญาณ -เชอ่ื มต่อสัญญาณด้วยอิมพีแดนซ์ได้
10
วงจรขยายกาลังของเครือ่ งขยายเสียง -ตอ่ วงจรขยายเสยี งแบบคอมพลเี มนตารชี นดิ
OTL,OCL ได้
ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสยี ง -ต่อวงจรมกิ เซอรเ์ บื้องต้นแบบ 2 อนิ พตุ ได้
อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสยี ง -แยกแยะชนดิ และการทางานของอุปกรณ์ในระบบ
เสียงได้
การประกอบเคร่ืองขยายเสียง -ประกอบและทดสอบเคร่ืองขยายเสยี งได้
การทดสอบคณุ สมบตั เิ คร่ืองขยายเสยี ง -วัดคา่ กาลงั วัตต์เอาต์พุตได้
6
รายละเอียดหวั ขอ้ เรื่อง
ท-ป-น(1-3-2)
รหสั วชิ า20105-2008 ชอ่ื วิชาเครอ่ื งเสยี ง หน่วยกิต2 (ชั่วโมง) 72
หลกั สตู รประกาศนียบตั รวชิ าชีพ ประเภทวิชา ชา่ งอตุ สาหกรรม
สาขาวชิ าชา่ งอิเลก็ ทรอนิกส์ สาขางานอิเล็กทรอนกิ ส์
หัวข้อหลัก (Main Element) / หวั ข้อย่อย (Element)
หนว่ ยการเรยี นรู้ ( Learning Unit)
1.คลื่นเสยี งและเคร่ืองเสียง 1.1คล่นื เสยี ง
1.2คุณสมบัติและสว่ นประกอบของคลน่ื เสียง
2.อุปกรณ์ในระบบเสียง 2.1จูนเนอร์,เคร่ืองเลน่ เทป
3.การจดั ไบอัสสาหรบั วงจรขยายเสยี ง ,cd,poweramp,equalizer
3.1วงจรเบสรว่ ม,วงจรคอลเลคเตอรร์ ว่ ม,วงจร
4.การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง อิมเิ ตอร์ร่วม
4.1วงจรขยายคลาสเอ,วงจรขยายคลาสบี,วงจรขยาย
5.การเชื่อมต่อสัญญาณ คลาสเอบี
5.1การเช่ือมต่อสญั ญาณโดยตรง,การเชอื่ มต่อ
สญั ญาณด้วยอาร์ซี,การเช่อื มต่อสัญญาณดว้ ย
6.วงจรขยายกาลังของเครื่องขยายเสียง อิมพีแดนซ์และหม้อแปลง
6.1วงจรขยายเสยี งแบบพชุ พูล,วงจรขยายเสยี งแบบ
7.ภาคการทางานของเครื่องขยายเสียง คอมพลเี มนตารี่,OTL,OCL
8.อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสยี ง 7.1ภาคต่างๆของเคร่อื งขยายเสียง
8.1ไมโครโฟน,สายสญั ญาณ,ลาโพง,สายลาโพง,ปลกั๊
9.การประกอบเคร่ืองขยายเสียง และแจ้ค,ครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค
9.1เทคนิคการบัดกรี,การอ่านค่าอุปกรณ์,การประกอบ
10.การทดสอบคุณสมบตั ิเครื่องขยายเสียง และทดสอบเคร่ืองขยายเสยี ง
10.ค่าความต้านทานของเครื่องขยายเสียง,คา่ กาลัง
วัตตเ์ อาท์พทุ ของเครอื่ งขยายเสยี ง
ตารางวิเคราะห์หลักสตู ร
รหัสวชิ า 20105-2008 ชอ่ื วิชา เครอ่ื งเสยี ง
จานวนหนว่ ยกิต 3 หนว่ ยกิต จานวนช่วั โมงต่อสปั ดาห์ 4 ชัว่ โมง รวม 72 ช่วั โมงตอ่ ภาคเรียน
ช้ัน ปวช.2 สาขาวิชา/กลุ่มวชิ า/ ชา่ งอิเลก็ ทรอนิกส์ ห้อง 3
พฤตกิ รรมการเรียนรู้ ดา้ นพทุ ธพิ ิสยั
ช่ือหน่วยการสอน ความรู้ (5)
ความเ ้ขาใจ (5)
/การเรยี นรู้ นาไปใ ้ช (5)
ิวเคราะ ์ห (5)
ัสงเคราะห์ (5)
ประเ ิมนค่า (5)
ด้านทักษะ ิพสัย (5)
ด้าน ิจต ิพ ัสย (5)
รวม (40)
ลาดับความสาคัญ
จานวน ่ัชวโมง
1.คล่ืนเสียงและเครื่องเสียง 21- - - -24 6 4 4
2.อปุ กรณ์ในระบบเสียง 212- - -24 8 1 4
3.การจดั ไบอัสสาหรับวงจรขยาย 1122- -24 7 2 12
เสียง
4.การจัดวงจรขยายสัญญาณเสียง 1 1 2 - - - 2 4 7 3 4
5.การเชือ่ มต่อสญั ญาณ 111- - -24 6 5 8
6.วงจรขยายกาลังของเคร่ืองขยาย 1 1 1 - - - 2 4 6 6 8
เสยี ง
7.ภาคการทางานของเคร่ืองขยาย 1 1 3 4 4 - 2 4 5 7 8
เสียง
8.อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสียง 1 1 3 4 4 - 2 4 5 8 8
9.การประกอบเคร่อื งขยายเสียง 1 1 3 4 4 - 2 4 5 9 8
10.การทดสอบคุณสมบัติเครื่อง 1 1 3 3 4 - 2 4 5 10 8
ขยายเสียง
รวมคะแนน 20 18 8 15 16 0 36 40 100 72
ลาดบั ความสาคญั 23576 14
ตารางวิเคราะห์สมรรถนะรายวชิ าโดยบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
ทางสายกลาง
3หว่ ง 2 เงือ่ นไข
ความรู้ คุณธรรม
ช่ือหน่วยการสอน/
สมรรถนะรายวชิ า พอประมาณ(5)
มีเห ุตผล(5)
มีภูมิคุ้มกัน(5)
รอบ ู้ร(5)
รอบคอบ(5)
ระมัดระ ัวง(5)
ื่ซอ ัสตย์ ุสจริต(5)
ขยันอดทน(5)
มีส ิต ัปญญา(5)
แ ่บง ัปน(5)
รวม(50)
ลา ัดบความสาคัญ
1.คล่ืนเสยี งและเครื่องเสยี ง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 4
2.อปุ กรณ์ในระบบเสียง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 5 35 3
3.การจัดไบอสั สาหรบั วงจรขยายเสียง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 5
4.การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 6
5.การเชื่อมต่อสญั ญาณ 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 7
6.วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสยี ง 2 3 3 4 4 3 4 4 4 4 34 8
7.ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง 2 4 3 3 4 5 4 4 4 4 37 1
8.อุปกรณป์ ระกอบในระบบเสยี ง 2 3 3 3 4 5 4 4 4 4 36 2
9.การประกอบเครื่องขยายเสียง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 9
10.การทดสอบคณุ สมบัติเคร่ืองขยายเสียง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 10
รวม 20 30 30 31 40 34 40 40 40 41
ลาดับความสาคญั 10 9 8 7 2 6 3 4 5 1
7
รายการวิเคราะห์ เนื้อหาวิชา จดุ ประสงค์รายวิชา มาตรฐานรายวชิ า
ท-ป-น(1-3-2)
รหสั วชิ า20105-2008 ชอ่ื วิชาเครื่องเสียง หน่วยกิต2 (ชั่วโมง) 72
หลักสตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ประเภทวิชา ช่างอตุ สาหกรรม
สาขาวชิ าช่างอเิ ลก็ ทรอนิกส์ สาขางานอิเล็กทรอนกิ ส์
หวั ข้อ เน้ือหาวิชา จดุ ประสงค์ มาตรฐานรายวชิ า/
หลัก/ รายวชิ า สมรรถนะรายวิชา
หนว่ ยการ
เรยี นรู้ 1 2345612 345 6
1 1.คลื่นเสียงและเคร่ืองเสียง ../ ... .. .... ... .... /. ../ ../ ... ... ...
2 2.อุปกรณ์ในระบบเสียง
3 3.การจดั ไบอัสสาหรบั วงจรขยายเสยี ง ./. /.. /. .... ... .... .. ../ ... ... ... ...
4 4.การจัดวงจรขยายสัญญาณเสยี ง
5 5.การเช่ือมต่อสัญญาณ ... ./. /. .... ... .... /. ./. /.. ... ... ...
6 6.วงจรขยายกาลังของเครื่องขยายเสียง
7 7.ภาคการทางานของเครื่องขยายเสียง /.. ./. ./ .... ... .... ./ ... /.. ... ... ...
8 8.อปุ กรณป์ ระกอบในระบบเสยี ง
9 9.การประกอบเครื่องขยายเสียง /.. .... ... .... ... .... ... ... .... ... ... ...
10 10.การทดสอบคณุ สมบัตเิ คร่ืองขยายเสยี ง
./. .... ... .... ... .... ... ./. .... ... ... .
/ ./. ... ... ./. ./.
./. ../ /. .... ... .... /. /.. ../ ... ...
.... ... /. .... ... .... ./ / ... ./ /
../ / ./ ../ ./ ./ ./ ./ / ./ / /
8
ตารางวิเคราะห์ระดบั พุทธิพสิ ัย ทักษะพิสัย จติ พิสัย
ท-ป-น(1-3-2)
รหสั วิชา20105-2008 ชอ่ื วิชาเคร่ืองเสยี ง หน่วยกิต2 (ชั่วโมง) 72
หลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทวิชา ช่างอตุ สาหกรรม
สาขาวิชาชา่ งอเิ ล็กทรอนิกส์
วเิ คราะห์ระดับพฤตกิ รรมที่พึงประสงคร์ ายวชิ า
1)พุทธพิ ิสัย 3 ระดบั
2)ทักษะพสิ ัย 3 ระดับ
3)จติ พิสัย 5 ระดับ
4)นอ้ มนาหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาปฏิบัติ
9
ตารางวเิ คราะหร์ ะดบั พุทธิพสิ ยั ทกั ษะพสิ ัย จติ พสิ ัย เวลาเรียน
ท-ป-น(1-3-2)
รหสั วชิ า20105-2008 ช่ือวิชาเคร่ืองเสียง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72
หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี ประเภทวิชา ชา่ งอตุ สาหกรรม
สาขาวิชาช่างอเิ ลก็ ทรอนิกส์
ระดบั พฤติกรรมทีพ่ ึงประสงค์
หนว่ ยท่ี ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ พทุ ธพิ สิ ยั ทกั ษะพิสยั จติ พิสัย เวลา
1 (ชม.)
1 2 3 456 1 2 3 4 5 1 2 3 4 5
4
1.คลน่ื เสยี งและเคร่อื งเสียง / / / /// ///// 4
2.อปุ กรณ์ในระบบเสียง / / / /// /////
3.การจดั ไบอัสสาหรบั วงจรขยาย ///// 12
เสียง / / / /// ///// 4
4.การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง / / / /// ///// 8
5.การเชื่อมต่อสญั ญาณ / / / /// /////
6.วงจรขยายกาลงั ของเครอื่ งขยาย / / /// ///// 8
เสียง / / / /// /////
7.ภาคการทางานของเครอ่ื งขยาย / / / /// ///// 8
เสียง / / / /// ///// 8
8.อปุ กรณป์ ระกอบในระบบเสยี ง / / / /// ///// 8
9.การประกอบเครือ่ งขยายเสียง / / / /// ///// 8
10.การทดสอบคุณสมบัติเครอ่ื ง / / / /// /////
ขยายเสียง
พทุ ธิพิสยั ทกั ษะพิสัย จติ พสิ ัย
1 = ความรู้ 1 = เลียนแบบ 1 = รบั รู้
2 = ความเขา้ ใจ 2 = ทาไดต้ ามแบบ 2 = ตอบสนอง
3 = การนาไปใช้ 3 = ทาไดถ้ ูกต้อง 3 = เห็นคุณคา่
4 = การวเิ คราะห์ แม่นยา 4 = จัดระบบคณุ คา่
5 = การสงั เคราะห์ 4 = ทาได้ต่อเนือ่ ง 5 = พฒั นาเปน็ ลักษณะ
6 = การประเมินค่า ประสานกัน นสิ ยั
5 = ทาไดอ้ ย่าง
เปน็ ธรรมชาติ
น้อมนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาปฏบิ ัติ
10
การวเิ คราะหเ์ วลาที่ใช้ในการจัดการเรยี นรขู้ องแต่ละหวั ข้อการเรยี นรู้
ท-ป-น(1-3-2)
รหสั วชิ า20105-2008 ชือ่ วิชาเครอ่ื งเสยี ง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72
หลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี ประเภทวิชา ชา่ งอุตสาหกรรม
สาขาวิชาช่างอิเลก็ ทรอนิกส์
หน่วยที่ ช่ือหน่วยการเรียนรู้ สัปดาหท์ ี่ ชว่ั โมงที่
1
2 1.คลน่ื เสยี งและเคร่ืองเสยี ง 14
3
4 2.อุปกรณ์ในระบบเสียง 24
5
6 3.การจัดไบอัสสาหรับวงจรขยายเสยี ง 3-5 12
7
8 4.การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสยี ง 64
9
10 5.การเชอ่ื มต่อสัญญาณ 7-8 8
6.วงจรขยายกาลังของเคร่ืองขยายเสียง 9-10 8
7.ภาคการทางานของเครื่องขยายเสียง 11-12 8
8.อปุ กรณป์ ระกอบในระบบเสยี ง 13-14 8
9.การประกอบเคร่ืองขยายเสียง 15-16 8
10.การทดสอบคณุ สมบัติเคร่ืองขยายเสียง 17-18 8
รวม 18 72
11
แผนการจดั การเรยี นรู้
รหัสวิชา 20105-2008 ช่ือวิชา เครือ่ งเสียง
ชอื่ หน่วย คล่นื เสียงและเคร่ืองเสียง
เรอ่ื ง คล่ืนเสียงและเครอ่ื งเสียง จานวนชัว่ โมงสอน (4)
หวั ข้อเรือ่ ง
1. คลื่นเสียง
2. คณุ สมบตั แิ ละส่วนประกอบของคลืน่ เสยี ง
3. หแู ละการได้ยิน
4. หน่วยวดั ความดงั
5. เคร่ืองเสยี งชนดิ ไฮ-ไฟ
6. ส่วนประกอบของเครือ่ งเสยี งชนิดไฮ – ไฟ
7. ความผิดเพี้ยนท่ีมผี ลต่อเครื่องเสียงชนิดไฮ – ไฟ
สาระสาคญั
คลืน่ เสยี งเปน็ คลน่ื ชนดิ หนงึ่ ทกี่ าเนิดไดจ้ ากการส่นั ของอากาศและมีความถอ่ี ยู่ในชว่ ง 20เฮริ ตซ์ -20 กโิ ลเฮิรตซ์ ซึ่งเปน็ ชว่ ง
ความถี่ทหี่ ูมนุษยเ์ ราสามารถได้ยนิ ได้ ซง่ึ จะไดก้ ลา่ วถึงนิยามของเสียง คณุ สมบตั แิ ละส่วนประกอบของเสยี ง หูกับการไดย้ นิ รวมไปถึง
หนว่ ยวัดความดังทีน่ ยิ มใชใ้ นปัจจบุ ัน ในสว่ นท่สี องเรื่องเครื่องเสยี งชนิดไฮ-ไฟน้ันจะกลา่ วถึงนิยามของคาว่าไฮ-ไฟ ส่วนประกอบที่ทาให้
เครอื่ งเสยี งเปน็ ชนดิ ไฮ-ไฟ ความผดิ เพ้ยี นทม่ี ผี ลตอ่ เคร่ืองเสยี งไฮ-ไฟ
สมรรถนะอาชีพประจาหนว่ ย
- แสดงความร้เู กย่ี วกบั คลนื่ เสยี งและเคร่อื งเสียง
จดุ ประสงค์การสอน/การเรียนรู้
จุดประสงคท์ ั่วไป / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพียง
1. เพือ่ ใหม้ ีความรเู้ กี่ยวกบั การเกิดเครอ่ื งเสียง (ด้านความรู้)
2. เพื่อใหม้ ีทักษะในการจาแนกโครงสร้างของหูและการไดย้ นิ (ดา้ นทกั ษะ)
3. เพ่อื ให้มีเจตคติท่ดี ีในการจาแนกองค์ประกอบของระบบไฟฟ้า (ด้านจติ พสิ ัย)
4. เพื่อสรปุ แหล่งกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลับ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณา
การเศรษฐกจิ พอเพยี ง)
จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. อธิบายการเกดิ คลื่นเสยี งได้ (ด้านความร)ู้
2. บอกคุณสมบตั ิและสว่ นประกอบของเครื่องเสียงได้ (ด้านความร)ู้
3. จาแนกโครงสรา้ งของหแู ละการไดย้ นิ ได้ (ดา้ นทกั ษะ)
4. คานวณหน่วยวัดและความดังได้ (ดา้ นทักษะ)
5. เขียนความแตกต่างระหว่างเคร่ืองเสยี งทวั่ ไปได้ (ด้านทักษะ)
12
6. แยกแยะสว่ นประกอบของเครื่องเสียงชนดิ ไฮ-ไฟได้ (ดา้ นทักษะ)
7. ชีใ้ ห้เห็นถงึ ความผิดเพ้ียนท่ีมผี ลต่อเคร่ืองเสียงชนิดไฮ-ไฟได้ (ด้านจิตพสิ ยั )
8. สรปุ คล่ืนเสยี งและเครื่องเสยี ง ได้อยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม (ดา้ นด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการ
เศรษฐกิจพอเพียง)
เน้อื หาสาระการสอน/การเรยี นรู้
• ดา้ นความรู(้ ทฤษฎี)
1.1 คลื่นเสียง
คลืน่ เสียงเปน็ คลืน่ ชนดิ หนึ่งท่ีกาเนดิ ขน้ึ ได้จากการส่นั ของอากาศโดยรอบและมีความถ่ีตาจึงถูกเรียกว่า
ความถ่เี สยี ง (Audio Frequency) อยใู่ นช่วงความถีป่ ระมาณ 20 Hz – 20 KHz เปน็ ช่วงความถท่ี ่ีมนุษย์อยา่ งเรา ๆ
สามารถรับฟังและไดย้ ินได้ คลืน่ เสียงน้นั เดินทางไปได้ไม่ไกลเนอื่ งจากคลนื่ เสยี งนน่ั เกดิ การจางหายหรอื ถูกดูดกลนื ได้
ง่าย คล่ืนเสียงเกดิ ขน้ึ ไดจ้ ากแหล่งกาเนิดเสยี งตา่ ง ๆ หลายชนิดแตกต่างกัน เม่ือคล่ืนเสียงมาจากแหล่งกาเนิดที่ตา่ งกัน
คลื่นเสยี งและความถ่ขี องเสียงที่ได้ก็จะแตกตา่ งกันไปดว้ ย แตย่ ังคงเป็นคล่นื รูปไซน์เหมอื นกัน การเดนิ ทางของเสียงไป
ในตัวกลางตา่ ง ๆอัตราเร็วในการเดนิ ทางของเสยี งข้ึนอยูก่ ับคุณสมบตั ติ ัวกลางทเ่ี สียงเคลอื่ นท่ผี า่ น ไดแ้ ก่ ความ
หนาแนน่ ความยดื หยุ่น เป็นตน้ โดยปกติเสียงเดินทางในของแข็งไดด้ ีที่สุด รองลงมาคือของเหลวและก๊าซ นอกจากน้ี
อัตราเรว็ เสยี งยังข้ึนอยู่กบั อุณหภูมขิ องตัวกลางทีเ่ สยี งเคล่ือนท่ีผา่ น โดยพบวา่ เม่ืออุณหภูมิสงู ขึน้ อัตราเรว็ เสยี งจะมีค่า
มากขนึ้ สาหรับตวั กลางที่เป็นอากาศ ในขณะท่ีเสยี งเคล่ือนท่จี ะมีการถา่ ยทอดพลงั งานไปให้กับวัตถุท่เี สียงตกกระทบ
โดยอตั ราการถ่ายทอดพลงั งานของเสียงต่อพืน้ ทที่ ตี่ ้ังฉากกับทศิ การเคลอ่ื นทข่ี องเสยี ง เรียกวา่ ความเข้มเสยี ง
(Intensity) หรืออาจกล่าวได้ว่า ความเข้มเสยี ง หมายถงึ กาลงั ของเสียงจากแหล่งกาเนดิ ที่ตกกระทบบนพ้ืนท่ี 1 ตาราง
หนว่ ยในแนวตั้งฉากที่พจิ ารณา เนือ่ งจากเสียงแผ่ออกทกุ ทิศทางเหมือนกนั คือ ลกั ษณะของคล่ืนเสยี งจะเป็นรปู คลน่ื
ไซน์ (Sine Wave) เหมือนกนั กล่าวคือจะมสี ว่ นของสญั ญาณแรงสดุ (Maximum Signal)และส่วนของสัญญาณทเ่ี บา
สดุ (Minimum Signal)และจะมกี ารเปลีย่ นแปลงเพิ่มหรอื ลดเปน็ ไปตามลาดบั สลับกนั ไปมา
คล่ืนเสยี งเปน็ คล่ืนตามยาวเกดิ จากการสั่นของวัตถุ ความถ่ีของเสียงจะมีคา่ เท่ากบั ความถ่ีของแหล่งกาเนิด
และในขณะทีม่ ีการสน่ั โมเลกลุ ของตัวกลางจะมีการถา่ ยทอดพลงั งานทาให้เกดิ ความดนั อากาศท่ีเปลย่ี นแปลงไปตาม
ตาแหน่ง ทาให้เกิดเปน็ ชว่ งอดั และชว่ งขยายโดยทีช่ ว่ งอัดคือบริเวณท่ีอนภุ าคของตัวกลางอัดเข้าหากัน บริเวณน้ีมีจะมี
ความดนั สงู สดุ โดยเทยี บกับความดนั ทต่ี าแหน่งสมดลุ ของอนุภาค โดยการขจัดของอนภุ าคน้อยท่สี ดุ สว่ นช่วงขยายคือ
บริเวณท่ีอนภุ าคตัวกลางแยกหา่ งจากกัน บรเิ วณนี้มีความดันตา่ สดุ โดยเทยี บกับความดันที่ตาแหนง่ สมดุลของอนุภาค
การขจัดของอนุภาคมากทส่ี ุด อตั ราเร็วเสยี งข้ึนอยู่กับคุณสมบัติตวั กลางที่เสยี งเคล่อื นทผี่ ่าน ไดแ้ ก่ ความหนาแนน่
ความยืดหยุน่ เปน็ ต้น โดยปกตเิ สยี งเดินทางในของแขง็ ได้ดีทีส่ ดุ รองลงมาคือของเหลวและก๊าซ
13
แผนการจัดการเรยี นรู้
รหัสวชิ า 20105-2008 ชือ่ วิชา เคร่ืองเสียง
ชอื่ หน่วย คลนื่ เสยี งและเคร่ืองเสียง
เรื่อง คลนื่ เสยี งและเคร่ืองเสียง จานวนชั่วโมงสอน (4)
4. สอ่ื การเรียนรู้
4.1 ใบความรู้
4.2 ใบงาน
4.3 ของจริง
5. กระบวนการจัดการเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนของนกั ศึกษา
กจิ กรรมการสอนครู
- เตรยี มเอกสาร สมุดบันทกึ หนงั สอื เรียน
ขั้นเตรียม
- เตรยี มเอกสารประกอบการสอน ส่ือการสอน การวดั และ - ฟังคาอธบิ ายรายวิชา แนวทางการเรียน
ประเมินผล เป้าหมาย คุณลักษณะที่พึงประสงค์
-แนะนาเขา้ ส่บู ทเรียน แนวทางการเรยี น เปา้ หมาย และ
คุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์
ขั้นสาธติ
- จดั เตรยี มเครื่องมือท่ีเกีย่ วข้องในงานอุตสาหกรรม ส่อื การสอน - เตรยี มเคร่ืองมือ อุปกรณต์ ามใบงาน
เอกสารตา่ งๆ
- อธบิ ายวธิ กี ารใชง้ าน - ฟงั การอธบิ ายการใชง้ าน และการทาใบงาน
-เปิดโอกาสใหน้ กั ศกึ ษาได้ซกั ถาม - ซกั ถามข้อสงสัย
- เช็คเคร่อื งมือให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ - ดูการสาธิตการใช้เครื่องมือวัดแบบตา่ งๆ
- สาธติ วธิ กี ารใช้เครือ่ งมือ
- ใหน้ กั ศกึ ษาแบ่งกลุ่มทาการวดั และทดลอง
ขน้ั ฝึกปฏบิ ตั ิ
-อธิบายข้นั ตอนการทาใบงาน
-สังเกตการณฝ์ ึกปฏิบัตงิ าน
-สอบ ถามปัญหาท่เี กดิ จากการปฏบิ ตั งิ าน
14
แผนการจดั การเรยี นรู้
รหสั วิชา 20105-2008 ชอื่ วิชา เคร่ืองเสียง
ชื่อหน่วย คล่นื เสียงและเครอื่ งเสยี ง
เร่อื ง คลื่นเสียงและเครอื่ งเสียง จานวนชว่ั โมงสอน (4)
5. กระบวนการจดั การเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรียนของนักศกึ ษา
กิจกรรมการสอนครู - ซกั ถามขอ้ สงสัย
ขน้ั ตรวจสอบผลงาน - ทาแบบทดสอบ
- ส่งใบงาน - สง่ ใบงาน
-ให้นักศกึ ษาเข้าทาแบบทดสอบ - ปรับปรงุ ผลงาน
-ตรวจแบบทดสอบ
- ฟังปัญหาที่เกิดระหวา่ งการทางาน
ข้ันสรปุ ผล - ผลการประเมนิ
- ปัญหาทีเ่ กิดจากการทาใบงาน - เตรียมขอ้ มูลในงานต่อไป
- ผลการวัดและประเมินผล
- ขอ้ เสนอแนะในครั้งต่อไป
15
แผนการจัดการเรียนรู้
รหสั วชิ า 20105-2008 ช่อื วิชา เครอื่ งเสียง
ช่ือหน่วย คล่นื เสียงและเครื่องเสียง
เร่อื ง คล่นื เสยี งและเครือ่ งเสียง จานวนชัว่ โมงสอน (4)
6. กระบวนการวดั ผลและประเมนิ ผล
6.1 แบบฝึกหัด
6.2 แบบทดสอบ
6 .3 การรายงานหนา้ ช้ันเรียน
6.4 ทฤษฎีผา่ นเกณฑ์ไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 60 ปฏบิ ตั ไิ ม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80
7.แหล่งการเรยี นรู้
7.1 คาอธิบายรายวิชา
7.2 ประสบการณค์ รผู ู้สอน
7.3 เอกสาร ตารา
8. บันทกึ หลงั การเรียนรู้
8.1 วัตถุประสงค์( มีผผู้ ่านกี่คน)
8.2 สาเหตุและปัญหา( ผู้ไม่ผา่ นกคี่ น)
8.3 ขอ้ เสนอแนะและแก้ไข ( การทาวจิ ัยในช้นั เรยี น)
แผนการจดั การเรียนรู้ 16
ช่ือวชิ า เครือ่ งเสียง
ชือ่ หนว่ ย อุปกรณ์ในระบบเสียง บทที่ 2
สอนสัปดาหท์ ี่ 2
คาบรวม 8
ช่อื เรอ่ื ง อปุ กรณใ์ นระบบเสียง จานวนคาบ 4
หวั ข้อเรือ่ ง
1. จนู เนอร์
2. เคร่อื งเลน่ เทป
3 เครอื่ งเล่นคอมแพ็กดสิ ก์
4 .เครอ่ื งขยายเสียง
5. กราฟฟิกอีควอไลเซอร์
6. เพาเวอร์แอมป์
สาระสาคญั
อปุ กรณ์ต่าง ๆ ในระบบเสียงแบง่ ออกเปน็ ภาคการทางานได้ 3 ภาค ไดแ้ ก่ ภาคกาเนดิ สญั ญาณเสียง เป็น
ส่วนที่กาเนิดสัญญาณเสียงเพื่อป้อนให้กับเคร่ืองขยายเสียง เช่น จูนเนอร์เคร่ืองเล่นแผ่นเสียง เคร่ืองเล่นเทป
เคร่ืองเล่นซีดี ไมโครโฟน เป็นต้น ภาคแต่งเสียงและขยายเสียง เป็นภาคการทางานที่ทาหน้าท่ีปรับแต่งเสียงให้
ไพเราะเหมาะสมกับการฟัง อุปกรณ์ที่ใช้เช่น ปรีแอมป์ โทรคอนโทรล อีควอไลเซอร์ เพาเวอร์แอมป์ เป็นต้น และ
ภาคเปลี่ยนสญั ญาณไฟฟ้าใหเ้ ปน็ สัญญาณเสยี ง อปุ กรณ์ทใ่ี ช้กค็ อื ลาโพง
สมรรถนะอาชพี ประจาหนว่ ย
- แสดงความรู้เก่ยี วกับอุปกรณใ์ นระบบเสยี ง
จุดประสงคก์ ารสอน/การเรียนรู้
จดุ ประสงคท์ ่วั ไป / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. เพอ่ื ใหม้ คี วามรเู้ กยี่ วกับความหมายของคาว่าจูนเนอร์ (ดา้ นความรู้)
2. เพื่อให้มีทกั ษะในการแยกแยะลักษณะการทางานของเครอื่ งเลน่ คอมแพ็กดิสก์ (ดา้ นทักษะ)
3. เพอื่ ให้มเี จตคติที่ดีในการช้แี จงชนดิ ของเพาเวอร์แอมป์ (ดา้ นจิตพิสัย)
4. เพ่ือสรุป อุปกรณ์ในระบบเสียง ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณา
การเศรษฐกิจพอเพียง)
จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพียง
1. อธบิ ายความหมายของคาวา่ จูนเนอร์ได้ (ดา้ นความร)ู้
2. บอกลกั ษณะและหนา้ ทข่ี องเครื่องเลน่ เทปได้ (ด้านความรู้)
17
3. แยกแยะลกั ษณะการทางานของเครื่องเล่นคอมแพ็กดิสก์ได้ (ด้านทักษะ)
4. จาแนกหน้าที่และความสาคญั ของเครอื่ งขยายเสยี งได้ (ดา้ นทกั ษะ)
5. จัดลาดบั หน้าที่ของกราฟฟิกอคี วอไลเซอร์ได้ (ด้านทักษะ)
6. ช้แี จงชนดิ ของเพาเวอร์แอมปไ์ ด้ (ด้านจติ พสิ ัย)
7. สรุป อุปกรณ์ในระบบเสียง ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง)
เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้
• ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี
เคร่ืองขยายเสียง (Amplifier) มีรูปแบบการใช้งานท่ีหลากหลายทั้งใช้งานในบ้าน ในรถยนต์ในห้อง
ประชุม โรงภาพยนตร์ หรือระบบเคร่ืองเสียงกลางแจ้ง ซ่ึงแต่ละระบบท่ีกล่าวมาน้ันก็จะมีการออกแบบวงจรที่
แตกต่างกันแต่ทกุ แบบนั้นจะมีสง่ิ ทเ่ี หมือนกันคือต้องการขยายสญั ญาณเสยี งให้เกิดความดังตามทต่ี ้องการโดยไม่ให้
เกิดสัญญาณรบกวน (Noise) จะต้องตอบสนองความถ่ีที่หูมนุษย์สามารถรับฟังได้อยู่ที่ความถี่ 20 Hz ถึง 20 kHz
ได้อย่างดีเย่ียมและต้องมีเปอร์เซ็นต์ความผิดเพ้ียนต่า เพราะฉะน้ัน ระบบเสียงท่ีสมบูรณ์แบบจะประกอบด้วย
ส่วนประกอบท่ีจะต้องปรุงแต่งสัญญาณเสียงใหไ้ ด้คุณภาพครอบคลมุ ย่านความถเ่ี สียงและปราศจากความผิดเพ้ียน
ซ่งึ สามารถแบง่ เป็นภาค
การทางานได้ดังนี้
1. ภาคกาเนดิ เสียง ประกอบด้วย
1.1 จูนเนอร์
1.2 เครอื่ งเลน่ แผน่ เสยี ง
1.3 เครอ่ื งเล่นเทป
1.4 เครื่องเล่นคอมแพก็ ดสิ ก์
1.5 ไมโครโฟน
1.6 เครื่องเลน่ วซี ดี แี ละดวี ีดี
1.7 เคร่อื งเล่นวีดิทศั น์
1.8 โทรทัศน์
2. ภาคการปรับแตง่ เสียงและขยายเสียง ประกอบด้วย
2.1 เครอ่ื งขยายปรี-โทน
2.2 กราฟฟกิ อคี วอไลเซอร์
2.3 เพาเวอร์แอมป์
3. ภาคเปลยี่ นสัญญาณไฟฟ้าเปน็ สัญญาณเสียงหรอื ลาโพงในการเชอ่ื มต่ออุปกรณ์และภาคการทางานต่าง ๆ ไม่ว่า
จะเปน็ ภาคกาเนิดเสยี งภาคการปรบั แตง่ และขยายเสียง รวมไปถึงภาคเปลี่ยนสัญญาณเสยี งเปน็ สญั ญาณไฟฟ้าการ
18
เชื่อมต่อแต่ละภาคน้ันจะแสดงให้เห็นในรปู ท่ี 2.1 ซ่งึ ในบทนจ้ี ะกลา่ วถงึ จนู เนอร์, เครอื่ งเล่นเทป, เครอ่ื งเลน่
คอมแพ็กดิสก์, เครื่องขยายปรี-โทน, กราฟฟิกอคี วอไลเซอรแ์ ละเพาเวอรแ์ อมป์
2.1 จนู เนอร์
จูนเนอร์คือเคร่ืองรับวิทยุ AM, FM, FM สเตอริโอมัลติเพล็กซ์ท่ีไม่มีภาคขยายเสียงในตัว ในส่วนของ
เครื่องรับวิทยุ AM จะมีย่านความถ่ีที่สามารถรับคล่ืนวิทยุได้อยู่ท่ี 540 -1600 kHz คล่ืนวิทยุแบบ AM น้ันจะเป็น
การผสมระหว่างสัญญาณเสียงกับคลื่นวิทยุทางด้านความแรงหรือความสูง(Amplitude Modulation) ใน
เคร่ืองรับวิทยุส่วนท่ีรับคล่ืนวิทยุระบบ AM เข้ามาเรียก คอนเวอร์เตอร์โดยคอนเวอร์เตอร์น้ันจะเป็นตัวที่เลือกรับ
สัญญาณวิทยุเพียงสถานีเดียวแล้วแปลงสัญญาณที่ได้ให้เป็นความถี่ IF หรือค่าความถี่ปานกลาง (Intermediate
Frequency) ของวทิ ยุ ในระบบ AM นั้นค่าIF จะอยูท่ ี่ 455 kHz จากนั้นความถ่ี IF จะถูกขยายแลว้ ส่งไปเข้าภาคดี
เทคเตอรเ์ พื่อแยกสัญญาณเสียงออกจากคล่ืนพาหะแล้วส่งสัญญาณเสยี งที่ได้ออกท่ีเอาท์พุตจากรปู ท่ี 2.2 เอาต์พุต
ที่ได้จะไปอยู่ที่ S1-1 และ S1-2 เสียงท่ีได้จะเป็น Mono และไม่มีการขยาย ส่วนของเคร่ืองรับวิทยุ FM จะมีย่าน
ความถ่ีที่สามารถรับคลื่นวิทยุได้อยู่ท่ี 88-108 MHz คลื่นวิทยุแบบ FM นั้นจะเป็นการผสมระหว่างสัญญาณเสียง
กับคล่ืนวิทยุทางด้านความถ่ี (Frequency Modulation) ในเครื่องรับวิทยุส่วนท่ีรับคลื่นวิทยุระบบ FM เข้ามา
เรียกว่า ฟร้อนเอนด์ โดยฟร้อนเอนด์น้ันจะเป็นตัวท่ีเลือกรับสัญญาณวิทยุเพียงสถานีเดียวแล้วแปลงสัญญาณที่ได้
ให้เป็นความถี่ IF หรือค่าความถ่ีปานกลางของวิทยุในระบบ FM นั้นค่า IF จะอย่ทู ี่ 10.7 MHz จากน้ันความถี่ IF
จะถูกขยายแล้วส่งไปเข้าภาคดีเทคเตอร์เพื่อแยกสัญญาณเสียงออกจากคลื่นพาหะภาคดีเทคเตอร์ของระบบ FM
จะเป็นแบบเรโซดีเทคเตอร์หรือแบบเฟสล็อคลูปดีเทคเตอร์ (PLL Detector) เม่ือดีเทคสัญญาณแล้วจะส่ง
สัญญาณเสียงท่ีได้ออกที่เอาต์พุตจากรูปท่ี 2.2 เอาต์พุตที่ได้จะไปอยู่ท่ี S1-1 และ S1-2 เสียงท่ีได้จะเป็น Stereo
แยกข้างซ้ายและข้างขวาชัดเจนโดยไม่มีการขยายสัญญาณเสียงเลย จะเห็นได้ว่าทั้งระบบ AM และระบบFM น้ัน
จะไม่มีภาคขยายสัญญาณเสียง จูนเนอร์ในปัจจุบันมี 2 แบบคือ แบบหน้าปัดหมุนคล่ืนเป็นชนิดเข็มบอกความถี่
ของสถานีการเปล่ยี นสถานจี ะต้องใชม้ ือหมนุ ปมุ่ หรือลกู บิดเปลย่ี นความถี่และแบบทส่ี องคอื แบบดจิ ิตอลจะมีตวั เลข
บนหน้าปัดบอกช่องความถี่ท่ีรบั ฟังอยู่ แบบนี้จะพิเศษกว่าแบบแรกตรงท่ีการเปลย่ี นแปลงทุกอย่างใชก้ ารกดปุม่ ไม่
วา่ จะเปลี่ยนชอ่ งสถานีหรือการเปล่ียนการรับวิทยุ AM หรือ FM และยังสามารถจดจาช่องสถานีได้ 5-10 ช่องหรือ
มากกวา่ นัน้ อีกท้งั ยังคน้ หาสถานีแบบอตั โนมัติอกี ดว้ ย
2.2 เคร่ืองเล่นเทป
เครอ่ื งเล่นเทปจะมกี ารทางานสองลกั ษณะคือ ทาหน้าท่เี ป็นเครอื่ งเล่นเทปโดยจะเปลย่ี นสัญญาณเสยี งที่
ถูกเก็บไว้ในรปู แม่เหล็กถาวรในตลับเทปออกมาเป็นสัญญาณเสียงในรูปสัญญาณไฟฟ้าและทาหน้าท่ีบันทึกเทปหรือ
ถ่ายข้อมูลจากเทปม้วนหน่ึงไปยังอีกม้วนหน่ึง โดยการบันทึกน้ันสามารถเลอื กแหล่งกาเนิดเสียงต่าง ๆ ที่จะบันทึก
ได้ เช่น จากจูนเนอร์ เคร่ืองเล่นเทปเคร่ืองอื่นเคร่ืองเล่นคอมแพ็กดิสก์ เป็นต้น โดยเคร่ืองบันทึกเทปจะทาการ
เปล่ียนสัญญาณเสียงท่ีเข้ามาให้อยู่ในรูปของสัญญาณแม่เหล็กถาวร เครื่องเล่นเทปที่ใช้ในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 แบบ
คือ แบบเทปคาสเซ็ท (Casette Tape) และแบโอเพ่นรีล (Open Reel Tape) โดยเทปแบบโอเพ่นรีลน้ันจะมี
คุณภาพดีกว่าเทปคาสเซ็ทเพราะการเคลื่อนทขี่ องเทปโอเพ่นรีลจะเคล่ือนที่เร็วกวา่ เทปคาสเซท็ จงึ ทาใหเ้ ก็บ
สัญญาณเสียงความถ่ีสูงได้ดีกว่าเทปคาสเซ็ท เทปแบบโอเพ่นรีลน้ันนิยมใช้ในการบันทึกและการเล่นในงานที่
19
ต้องการคุณภาพของเสียงมาก ๆ เช่น ในห้องบันทึกเพลง ห้องทารายการวิทยุ หรือการทารายการแสดงต่าง ๆ ที่
ต้องการคุณภาพเสียงส่วนเทปคาสเซ็ทจะใช้กับงานทั่วไป ความเร็วในการเคล่ือนท่ีย่ิงเร็วย่ิงตอบสนองความถี่ได้
กว้างและคณุ ภาพเสยี งจะดีความเร็วของเทปโอเพ่นรีลจะมคี วามเร็วอยู่ 3 ระดับคอื 19 ซม./วินาที, 9.5 ซม./วินาที
, 4.8 ซม./วินาที สว่ นเทปคาสเซท็ น้ันจะมีความเร็วเพียงระดบั เดยี วคอื 4.8 ซม./วินาที
ส่วนประกอบที่สาคัญของเทปมีอยู่ 2 อย่างคือ ส่วนท่ีเป็นฐานที่มีไว้รองรับสารเฟอร์โรแมกเนติกจะเป็น
สารจาพวกโพลีเอสเตอร์ (Polyester) มีคุณสมบัติเหนียวและยืดหยุ่นได้ดี ส่วนท่ีสองจะเป็นเนื้อสารเฟอร์โรแมก
เนติกท่ีใช้ฉาบบนเทปผลติ จากวัสดุหลายชนิด เชน่ มิตัล, โครเมียมไดอ๊อกไซด์,เฟอรร์ ิคออกไซด์, เฟอริคโครม ฯลฯ
ชนดิ ของเน้ือเทปท่แี บ่งตามมาตรฐานของ IEC (International Electronic Commission)
ชนิด 1 Premium Grade Ferric Oxide (Fe2O3) เทปชนิดพรเี มยี ม เกรดเฟอร์ริคออกไซด์หรอื เรียกอีก
อย่างหน่ึงว่าโลว์นอยส์ไฮเอาท์พุต (Low Noise Hi Output) แปลว่ามีเสียงรบกวนต่าสัญญาณที่ออกเอาต์พุตมี
ความแรง เทปนเ้ี ป็นเทปทเี่ ห็นกนั ทว่ั ไป ราคาถกู ตอบสนองต่อความถ่ตี ่าแต่ไม่ตอบสนองความถี่สูง
ชนิด ที่ 2 Chromium Dioxide (CrO2) เทปชนิดโครเมียมไดออกไซด์เปน็ เทปท่ีตอบสนองได้ดีกับ
ความถ่ีสูงเทปชนิดน้ีสามารถบันทึกสัญญาณเสียงเพลงได้เป็นอย่างดีและสามารถรักษาความเป็นแม่เหล็กไว้ได้ดีจึง
มีความทนทานเล่นได้หลายคร้ังโดยคุณภาพเสียงไม่ลดลงมากนัก ข้อเสียของเทปชนิดนี้คือหัวเทปจะสึกมาก และ
เสยี งแหลมจะออกมากหากเครอื่ งเลน่ ไมม่ ีอคี วอไลเซอรห์ รอื ระบบดอลบไี้ ม่ควรใช้
ชนิดที่ 3 Ferric Chrome (FeCr) เป็นชนิดเฟอร์ริคโครมเป็นเทปท่ีผสมระหว่างเฟอร์ริคออกไซด์กับ
โครเมียมไดออกไซด์โดยฉาบสองชั้น ช้ันล่างฉาบด้วยเฟอร์ริคออกไซด์ทาให้ตอบสนองความถี่เสียงต่าและเสียง
กลาง ชั้นบนฉาบด้วยโครเมียมไดออกไซด์เพ่ือการตอบสนองความถี่สูงเทปชนิดน้ีจะให้เสียงที่นิ่มนวล ชัดเจนมาก
และสัญญาณรบกวนต่า ข้อเสียอยู่ที่ขบวนการในการผลิตยุ่งยาก ราคาแพง ต้องมีวงจรชดเชยให้สารแม่เหล็กเกิด
ประโยชน์มากท่ีสุด ปัจจุบนั ไม่นิยมใชแ้ ลว้
ชนิดที่ 4 Metal Particle Tape (Metal) ใช้สารแม่เหล็กที่เป็นผงเหล็กบริสุทธ์ิฉาบบนเทปทาให้รักษา
ความเป็นแม่เหล็กไว้ได้ดีท่ีสุดคือรับสัญญาณได้แรงที่สุดมีเพดานของสัญญาณเสียงที่สูงที่สุดโดยเฉพาะความถ่ีสูง
สามารถเก็บรายละเอียดของสัญญาณเสียงได้ดีที่สุดในบรรดาเทปที่กล่าวมาใช้ได้ดีกับสัญญาณท่ีมีความช่วงกว้าง
ความดัง (Dynamic Range) มาก เช่น สัญญาณจากแผ่นเสียงที่มีท้ังเสียงดังมากและเสียงค่อยมาก ๆ เสียงจาก
เคร่ืองเล่นคอมแพ็กดิสก์หรือเลเซอร์ดิสก์ไม่นิยมใช้กับการบันทึกเสียงที่มีช่วงความดังแคบๆเสียงรบกวนมาก ๆ
สญั ญาณทไี่ ม่มีความถ่สี งู เช่น สัญญาณจากวทิ ยหุ รอื โทรทศั น์และเครื่องเลน่ เทปทไี่ ม่มีคุณภาพ
เคร่ืองเล่นเทปท่ัวไปการบันทึกเสียงลงในตลับจะบันทึกเป็นสัญญาณอนาล็อก (Analog Recording) จะ
ให้สัญญาณเสียงท่ีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควรและมีสัญญาณรบกวนแทรก เข้ามามากมาย ปัจจุบันจึงมีเครื่อง
บันทึกเสียงในระบบดิจิตอล (Digital Recording) เรยี กว่า แดต(DAT) ย่อมาจากคาว่าดิจิตอลออดิโอเทป (Digital
Audio Tape) โดยการบันทึกและเล่นเป็นระบบดิจิตอลทาให้สัญญาณเสียงที่ออกมามีคุณภาพมีความสมบูรณ์ข้ึน
ลดความผิดเพ้ียนลงได้มาก ลดสัญญาณเสียงรบกวนและตอบสนองความถี่เสียงได้ดีครอบคลุมย่านความถ่ีเสียง
ทั้งหมดนิยมนาไปบันทึกเสียงต้นฉบับเพื่อนาไปบันทึกเสียงลงในแผ่นคอมแพ็กดิสก์ ในตลับเทปคาสเซ็ทน้ันจะมี
ความยาวในการเลน่ ท่ีไม่เท่ากันโดยที่ตลับเทปจะมีสัญลักษณ์บอกเช่น C60 (A60), C90 (A90), C120(A120) โดย
20
ความหมายน้ันให้สังเกตที่ตัวเลขถ้าเป็น C60 แสดงว่าเทปม้วนนี้มีเวลาในการบันทึกหรือเล่นได้ 60 นาทีหรือ 30
นาทตี อ่ 1 หน้าและ C120 แสดงว่าเทปมว้ นนี้มเี วลาในการบันทึกหรอื เล่นได้ 120 นาทหี รือ 60 นาทตี ่อ 1 หนา้
2.3 เคร่ืองเลน่ คอมแพ็กดสิ ก์
เครื่องเล่นคอมแพ็กดิสก์ (Compack Disc Player) หรือเคร่ืองเล่นซีดี (CD Player) เคร่ืองเล่นคอมแพ็กดิสก์ถูก
สร้างข้ึนมาเน่ืองจากข้อด้อยของการบันทึกเสียงลงแผ่นเสียงแบบอนาล็อกนั้นมีขีดจากัดในการบันทึกด้วยการกัด
รอ่ งแผ่นเสยี งตามสญั ญาณ รอ่ งของแผ่นเสียงนั้นเปน็ ร่องที่แคบหากเกิดมีฝนุ่ ลงไปอดุ ตนั ร่องเสยี งหรอื ร่องแผน่ เสียง
ลึกเกินไปจะทาให้คุณภาพของเสียงลดลง ส่วนการบันทึกเสียงลงแผ่นเสียงนั้นจะแปลงสัญญาณเสียงที่เป็น
อนาล็อกให้เป็นสัญญาณดจิ ติ อล กลา่ วคือสัญญาณจะถกู จดั ให้อยู่ในรูปรหัสเลขฐานสองคือ “0” และ “1” จากนั้น
จะทาการบันทึกลงแผ่นคอมแพก็ ดสิ ก์ในลกั ษณะหลุมเล็ก ๆ การบันทึกสญั ญาณเสียงในรปู สัญญาณดิจิตอลนที้ าให้
การผิดเพี้ยนของสัญญาณลดลงขั้นตอนการบันทึกแสดงอยู่ในรูปท่ี 2.4 เม่ือบันทึกเสร็จแล้วนั้นข้ันตอนต่อไปคือ
การเลน่ แผน่ เสียงการเลน่ ของแผ่นคอมแพก็ ดสิ ก์น้ันจะอาศัยแสงเลเซอรจ์ ากหวั อา่ นแผน่
คอมแพ็กดิสกส์ ัมผัสรอ่ งรหสั ดจิ ติ อลบนแผน่ วีซีดแี ล้วสะทอ้ นกลับมาทโ่ี ฟโต้ไดโอด (Photo Diode)
จากน้ันตัวเคร่ืองจะรับสัญญาณแสงสะท้อนกลับนาไปแปลงเป็นสัญญาณเสียงโดยไม่มีการสัมผัสหลุมเล็ก ๆ
บนแผ่นคอมแพ็กดิสก์เลยทาให้ที่แผ่นคอมแพ็กดิสก์น้ันไม่เกิดรอยขีดข่วนเลย หากบนแผ่นคอมแพ็กดิสก์ไม่มีรอย
ขีดข่วนที่ลึกเกินไปหรือแผ่นไม่สกปรกจนเกินไปก็จะไม่มีผลต่อการเล่นของคอมแพ็กดิสก์เลย ขนาดของแผ่นคอม
แพ็กดิสก์นั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงแค่ 12 ซม.เวลาในการเล่นคอมแพ็กดิสก์นั้นใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
จงึ ท ำให้แผ่นคอมแพ็กดิสก์มาแทนท่ีแผ่นเสียงลองเพลย์ ตารางท่ี 2.1 จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างแผ่นคอม
แพก็ ดิสกแ์ ละแผน่ เสียงลองเพลย์
ในปัจจุบันเครื่องเล่นคอมแพ็กดิสก์ได้ถูกพัฒนาข้ึนให้สามารถเล่นได้หลายระบบ เช่นเครื่องเล่นวีซีดี
(Video Compact Disc Player) และดีวีดี (Digital Video Disc Player) ทั้งสองระบบเป็นแผ่นคอมแพ็กดิสก์ท่ี
สามารถเล่นได้ทั้งสัญญาณภาพและสญั ญาณเสยี ง
2.4 เคร่อื งขยายเสยี ง
เคร่ืองขยายเสียงเป็นอุปกรณ์ช่วยเพิ่มขยายเสียงให้มีระดับความดังเสียงมากขึ้นพร้อมกับเพ่ิมคุณภาพ
ของเสียงให้ตอบสนองความต้องการของผู้ฟัง โดยเสียงท่ีทาการขยายจะต้องมีความชัดเจนและไพเราะไม่มีความ
ผดิ เพ้ียน ครอบคลมุ ย่านความถีเ่ สียง สามารถปรบั แต่งเสียงได้ตามต้องการ สัญญาณเสยี งท่ีถูกขยายออกมาจากแต่
ละอินพตุ ทีป่ ้อนเขา้ ไปต้องถูกขยายใหม้ รี ะดับความดงั ใกล้เคียงกัน ส่วนประกอบของเคร่อื งขยายเสียงมีดังนี้
2.4.1 วงจรอินพุต มักจะเป็นข้ัวต่อ RCA ซ็อกเก็ต (ตัวเมีย) โดยแยกแต่ละอินพุตเฉพาะไม่ใช้ร่วมกัน ช่ืออินพุต
หนา้ ทีแ่ ละความเหมาะสมในการต่อใชง้ านพอสรุปได้ดังน้ี
2.4.1.1 ชอ่ งวิดโี อ (Video) ไวต้ ่อกบั เครอ่ื งเลน่ วิดีโอเพื่อเพม่ิ ความดังของสญั ญาณเสียงให้มากขนึ้
2.4.1.2 ชอ่ งคอมแพก็ ดสิ ก์ (Compacdisc) ไวต้ ่อกับเครอ่ื งเล่นคอมแพ็กดสิ ก์(CD)
2.4.1.3 ช่องจนู เนอร์ (Tuner) ไว้ต่อกับเครอ่ื งรบั วิทยุ AM, FM, FM สเตอรโิ อมัลติเพล็กทีไ่ ม่มภี าคขยาย
2.4.1.4 ช่องเทป (Tape) ไวต้ ่อกบั เครอ่ื งเลน่ เทปไมว่ ่าจะเป็นเทปคาสเซท็ หรือเทปโอเพนรลี
2.4.1.5 ช่องโฟโน (Phono) เป็นช่องต่ออินพุตที่ไม่เจาะจงใช้ต่อสาหรับอินพุตท่ีมีระดับสัญญาณต่า ๆ จาก
21
ไมโครโฟนหรอื เครื่องเล่นแผน่ เสียง
2.4.1.6 ช่องอ๊อก (Aux) หรือเรียกอีกชื่อหนึง่ วา่ อ๊อกซิลาลี่ (Auxilary) เป็นชอ่ งต่ออินพุตท่ไี มเ่ จาะจงใช้เช่นเดียวกัน
ต่อส ำหรบั อินพตุ ท่ีมีระดบั สัญญาณที่มคี วามแรงอยแู่ ล้วและตอ้ งการขยายสัญญาณเพ่ิมอกี ไมม่ ากนัก เช่น เคร่ือง
ขยายเครอ่ื งอนื่ , เทปหรือวิทยุที่มภี าคการขยายในตวั
ขั้วต่อต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาท้ังหมดนั้นต่อมาท่ีสวิตช์เลือก (Selecter) เพื่อเลือกอินพุตท่ีต้องการส่งต่อไป
เข้าวงจรปรแี อมป์สวทิ ช์เลอื กน้จี ะอยูท่ ห่ี นา้ ปัดของเครื่องขยายเสยี งปรี-โทน
2.4.2 วงจรปรีแอมป์ รับสัญญาณต่อจากวงจรอินพุตโดยผ่านสวิตช์เลือกโดยเลือกเพียงอินพุตเดียวแล้วท ำการ
ขยายโดยไม่ให้เกิดความผิดเพ้ียนคุณสมบัติของวงจรปรีแอมป์คือสัญญาณท่ีถูกขยายด้วยวงจรปรีแอมป์ระดับ
สญั ญาณที่ออกจากวงจรปรีแอมป์จะมีระดับความแรงใกล้เคียงกันและไม่มีความผดิ เพี้ยน ดังน้ันที่อินพตุ ทุกช่องไม่
ว่าระดับความแรงของสัญญาณจะมีระดับความแรงที่ต่างกันหากสัญญาณที่เข้ามามีความแรงน้อยก็จะขยาย
สัญญาณใหม้ คี วามแรงของสัญญาณมากขึ้น หากอนิ พุตใดมีระดับสัญญาณแรงกจ็ ะถูกขยายดว้ ยอัตราการขยายท่ี
ต่าซึ่งอัตราการขยายของปรีแอมป์จะแตกต่างกันข้ึนอยู่กับแต่ละอินพุตและการออกแบบปรีแอมป์เมื่อสัญญาณถูก
ขยายด้วยปรแี อมปแ์ ล้วจากนน้ั จะถกู สง่ ต่อใหว้ งจรโวลลมุ่ ลาวดเ์ นสและบาลานซ์ตอ่ ไป
2.4.3 วงจรโวลลมุ่ ลาวด์เนสและบาลานซ์ ในเคร่ืองขยายเสียงปรีโทนแบบสเตอริโอหน้าทีข่ องส่วนต่าง ๆ ในวงจร
มดี งั นี้
2.4.3.1 วงจรโวลล่มุ เป็นวงจรเร่งหรือลดความแรงของสัญญาณทีส่ ง่ มาจากวงจรโทนคอนโทรล
2.4.3.2 วงจรลาวด์เนส เป็นวงจรช่วยยกระดับสัญญาณเสียงทุ้มและเสียงแหลมให้ดังออกเอาต์พุตแรงมากขึ้นใน
ขณะที่เราปรับปุ่มโวลลุม่ ระดับต่าๆ เสียงทุ้มและเสียงแหลมท่ีออกมาก็จะน้อยทาให้ขาดความไพเราะปุ่มลาวดเ์ นส
จะช่วยยกระดับสัญญาณเสียงทุ้มและเสียงแหลมให้มากข้ึนโดยปุ่มลาวด์เนสมักจะอยู่ท่ีหน้าปัดของเคร่ืองขยาย
เสยี ง
2.4.3.3 วงจรบาลานซ์ วงจรบาลานซ์เป็นวงจรท่ีเข้ามาช่วยในการปรับความสมดุลย์ของความดังเสียงที่จะออก
เอาต์พุตให้สมดุลกนั หรือให้ดงั ออกลาโพงมคี วามแรงเท่ากนั ท้ังสองขา้ งท้งั ดา้ นซ้าย (L) แลว้ ดา้ นขวา (R)
2.4.4 วงจรโทนคอนโทรล (Tone Control) เป็นวงจรท่ีรับสัญญาณมาจากวงจรวงจรโวลลุ่ม ลาวด์เนสและบา
ลานซ์วงจรโทนคอนโทรลจะทาหน้าที่เพ่ิมหรือลดความดังของความถี่เสียงต่า (เสียงทุ้ม) ความถ่ีเสียงสูง (เสียง
แหลม) และความถ่เี สียงกลางในระดับตา่ ง ๆ ตามความตอ้ งการของผู้ใชง้ านปมุ่ ปรับมกั จะมี 3 ปุ่มดังน้ี
2.4.4.1 ปมุ่ ปรับเสียงทุ้มหรือเบส (BASS) ทาหน้าทีเ่ พ่ิมหรือลดความแรงของสญั ญาณเสียงความถี่ต่า (เสียงทุ้ม) ให้
ส่งออกเอาตพ์ ตุ มากหรอื น้อย
2.4.4.2 ปุ่มปรับเสียงกลางหรือมิด (MID) ทาหน้าที่เพิ่มหรือลดความแรงของสัญญาณเสียงความถ่ีกลางให้ส่งออก
เอาต์พตุ มากหรอื น้อย
2.4.4.1 ปุ่มปรับเสียงแหลมหรือทริบเบิ้ล (TREBLE) ทาหน้าที่เพ่ิมหรือลดความแรงของสัญญาณเสียงความถี่สูง
(เสียงแหลม) ให้ส่งออกเอาตพ์ ุตมากหรอื นอ้ ย
2.5 กราฟฟกิ อคี วอไลเซอร์
กราฟฟิกอีควอไลเซอร์ (Graphic Equalizer) เป็นส่วนช่วยปรับแต่งความถี่เสียงเสียงมีหน้าคล้ายส่วน
22
ของโทนคอนโทรลแตกต่างกันตรงทีโทนคอนโทรลนั้นจะเป็น การปรับย่านความถี่เสียงทุ้มเสียงกลางและเสียง
แหลมแบบไม่ละเอยี ด แตใ่ นกราฟฟิกอีควอไลเซอร์จะมีรายละเอยี ดในการปรับแต่งความถี่เสียงทม่ี ากกว่าด้วยการ
แบ่งซอยย่านความถ่ีเสียงท่ีต้องการปรับออกเป็นช่วงเท่า ๆ กัน อย่างน้อย 5 ย่านถึง 21 ย่านในการแบ่งความถ่ี
เสียงที่จะปรับจะต้องแบ่งจากความถี่ต่า ไปหาความถี่สูงโดยเรียงตามลาดับโดยการเพิ่มจานวนความถ่ีนั้นจะ
เพ่ิมข้ึนทีละ 0.5 เทา่ , 1 เท่า, 2 เทา่ , 3 เทา่ หรือ 4 เท่า เป็นตน้ ตามจานวนย่านความถีเ่ สยี งท่ตี ้องการ การปรบั แต่ง
ในแต่ละช่วงความถ่ีถูกเรียกว่า ออฟเตฟ (Octave) เช่นความถ่ีต่าสุดที่ 100 Hz ความถี่แต่ละช่วงเพิ่มข้ึน 4 เท่า
ดังน้ันยา่ นความถ่ีถดั ไปจะเปน็ ดงั น้ี 400 Hz
ก าร ป รับ แ ต่ งเพิ่ ม ห รื อ ล ด ค ว า ม ถ่ี เสี ย งแ ต่ ล ะ ย่ าน ป รั บ ด้ ว ย ตั ว ต้ าน ท าน ป รับ ค่ าได้
(Potentionmeter)หรือพ็อต (Pot) แบบสไลด์เล่ือนข้ึนลง ซึ่งอาจปรับเพ่ิมหรือลดความดังของความถี่เสียงแต่ละ
ย่านได้ถึง ± 10dB หรือมากกว่า การปรับเพ่ิมความดังของความถ่ีเสียงให้มากกว่าปกติเรียกว่าการบูสต์ (Boost)
ส่วนการปรับลดความดังของความถี่เสียงให้น้อยกว่าปกติ เรียกว่าการคัต (Cut)ในการปรับปุ่มพ็อตสไลด์ของ
กราฟฟิกอีควอไลเซอร์ที่ด้านหน้าเคร่ืองท่ีเรียงลาดับกันข้ึน ๆ ลง เหมือนรูปกราฟ จึงเรียกอุปกรณ์นี้ว่า กราฟฟิก
อีควอไลเซอร์
2.6 เพาเวอรแ์ อมป์
เพาเวอร์แอมป์ (Power Amp) หรือจะเรียกเต็มก็ได้ว่าเพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ (Power Amplifier) คือ
ภาคขยายกาลังภาคสุดท้ายก่อนท่ีจะส่งสัญญาณเสียงไปท่ีลาโพง หน้าที่ของเพาเวอร์แอมป์จะทาหน้าท่ีขยาย
สัญญาณเสียงให้มีกาลังแรงมากขึ้นท่ีละขั้นไปจนถึงระดับเสียงที่ดังท่ีสุดโดยไม่ให้เสี ยงที่ทาการขยายเกิดความ
ผิดเพ้ียนหากเกิดความผิดเพี้ยนก็จะต้องให้ความผิดเพี้ยนน้ันอยู่ระหว่าง 0.5 - 0.003% การแบ่งประเภทของ
เคร่อื งขยายเสียงนั้นจะแบ่งตามอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่ขยายเสยี งแบ่งออกเป็น 4 ชนดิ คือ ชนดิ ใช้ทรานซิสเตอร์, ชนิด
ใช้มอสเฟต, ชนิดใชว้ งจรรวมและชนิดใช้หลอดสุญญากาศ
2.6.1 ชนดิ ใชท้ รานซิสเตอร์ เป็นเครื่องขยายที่นิยมใช้งานกันมาก เพราะทรานซิสเตอร์กาลัง (Power Transister)
ท่ีผลิตข้ึนมาในปัจจุบันมีมากมายหลายเบอร์ทาให้การออกแบบวงจรขยายกาลังด้วยทรานซิสเตอร์เป็นไปอย่าง
กว้างขวาง สามารถกาหนดอัตราการขยายได้ตามต้องการ มีความผิดเพี้ยนต่า ปัญหาการซ่อมแซมไม่ยุ่งยาก
อะไหลห่ าได้งา่ ย คุณภาพของเสียงดี ขอ้ ดีของเครื่องขยายกาลังโดยใช้ทรานซิสเตอร์คือ จัดคลาสการขยายได้กว้าง
เพ่ิมกาลังการขยายได้งา่ ยราคาของตัวเครือ่ งถูกและหาซ้ือได้ง่าย
2.6.2 ชนิดมอสเฟต เปน็ เคร่อื งขยายอีกชนิดหน่ึงท่ีถูกพัฒนาข้ึนมาใช้งาน ด้วยคุณสมบัติทดี่ ีกวา่ ทรานซิสเตอร์ เช่น
ค่าความต้านทานทางด้านอินพุตสูงมากทาให้สัญญาณรบกวนมีผลต่อการขยายน้อยลง ต่อขยายสัญญาณแบบ
หลายภาคได้ดีกว่าทรานซิสเตอร์ อัตราการขยายสูงสัญญาณรบกวนต่า อีกท้ังเรื่องของอุณหภูมิมีผลน้อยต่อการ
ขยายของเฟต เพียงแต่ว่ามอสเฟตกาลัง(Power Mosfet) มีเบอร์ที่ถูกผลิตขึ้นมาใช้งานไม่มากนักเท่า
ทรานซิสเตอร์กาลังแต่ด้วยคุณสมบัติท่ีดีกว่าของทรานซิสเตอร์กาลังทาให้เครื่องขยายกาลังแบบมอสเฟตเป็นที่
นิยมโดยพฒั นาไปใชใ้ นระบบเครอื่ งขยายกาลังเสียงในรถยนต์
2.6.3 ชนิดใช้วงจรรวมหรือ IC เป็นเครื่องขยายกาลังอีกชนดิ หนึ่งท่ีถูกพัฒนาข้ึนโดยการนาเอาทรานซิสเตอร์กาลัง
หรือมอสเฟตกาลังมาสรา้ งรวมกนั ไว้ในวงจรรวม (IC) จึงเรยี กเครือ่ งขยายชนิดนี้วา่ เครื่องขยายกาลัง IC (IC Power
23
Amplifier) ข้อดีของเครื่องขยายกาลัง IC อยู่ท่ีใช้อุปกรณ์ในการต่อขยายกา ลงั นอ้ ย ซอ่ มแซมง่าย คณุภาพเสยี ง
ทีข่ ยายออกมาดีขึ้นลดความผิดเพี้ยนของสัญญาณให้ต่าลง ข้อเสียของเคร่ืองขยายกาลัง IC อยู่ตรงที่หาก IC ท่ีใช้
ขยายกาลังชารุดเราต้องนาเบอร์เดิมมาเปลี่ยนไม่สามารถหาเบอร์อ่ืนมาเปล่ียนแทนกันได้ทาให้หาอะไหล่ยากและ
การสรา้ งเครื่องขยายกาลัง IC ใหม้ กี าลังขยายเสยี งสงู ๆ ทาได้ยาก
2.6.4 ชนิดใช้หลอดสุญญากาศ เป็นเครื่องเสียงที่มีใช้งานรุ่นแรกก่อนท่ีจะมีทรานซิสเตอร์เม่ือทรานซิสเตอร์เข้ามา
แทนที่หลอดสุญญากาศ เน่ืองจากทรานซิสเตอร์มีขนาดที่เล็กกว่าทางานได้รวดเร็วกว่าและไม่ต้องใช้แรงดันไฟสูง
จึงทาให้ในช่วงหนึ่งเครื่องขยายกาลังชนิดใช้หลอดสุญญากาศก็ได้หายไป แต่ในปัจจุบันเครื่องขยายเสียงชนิดใช้
หลอดสุญญากาศได้กลับมารับนิยมอีกครั้งเพราะคณุ สมบตั ทิ ่ีดหี ลายประการจงึ มกี ารกลบั มาพฒั นาเครือ่ งข
ยายชนดิ ใชห้ ลอดสญุ ญากาศนีอ้ กี เครือ่ งขยายชนิดใช้หลอดสุญญากาศน่ีเป็นเคร่ืองขยายคุณภาพดีมากชนิด
หนง่ึ มีความทนทาน อตั ราการขยายกาลังสงู ๆ ได้ดีการดูแลรกั ษาไม่ย่งุ ยาก ซ่อมแซมแก้ไขงา่ ย และดว้ ยเทคโนโลยี
ทท่ี ันสมยั ช่วยให้เครอ่ื งขยายกาลังชนดิ น้ีมีคุณภาพและประสทิ ธภิ าพของเสยี งท่ีขยายออกมาดีมาก
• ด้านทักษะ(ปฏบิ ตั )ิ
1. แบบประเมนิ หลังการเรียนบทที่ 2
2. ใบงานที่ 2
• ดา้ นคณุ ธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง
(จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรมขอ้ ท่ี 7)
1. สรปุ อุปกรณ์ในระบบเสยี ง ไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเหมาะสม
24
กจิ กรรมการเรยี นการสอนหรอื การเรยี นรู้
ข้นั ตอนการสอนหรอื กิจกรรมของครู ข้ันตอนการเรยี นรูห้ รือกิจกรรมของนกั เรยี น
1. ข้ันนาเขา้ สบู่ ทเรียน ( 15 นาที ) 1. ขน้ั นาเข้าส่บู ทเรยี น ( 15 นาที )
1. ผู้สอนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของหน่วยที่ 2 1. ผู้เรียนทาความเข้าใจเก่ียวกับจุดประสงค์การ
เรอ่ื ง อปุ กรณใ์ นระบบเสยี ง เรยี นของหน่วยเรยี นท่ี 2 เร่ือง อปุ กรณใ์ นระบบเสยี ง
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนอธิบายความหมายของจูน 2. ผเู้ รียนอธิบายความหมายของจูนเนอร์ พรอ้ มให้
เนอร์พรอ้ มใหเ้ หตุผลประกอบ เหตผุ ลประกอบ
2. ขั้นใหค้ วามรู้ ( 120 นาที ) 2. ขนั้ ใหค้ วามรู้ ( 120 นาที )
1. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเอกสารประกอบการ 1. ผู้เรียนศึกษาเอกสารประกอบการสอน วิชา
สอน วิชา เคร่ืองเสียง หน่วยท่ี 2 เรื่อง อุปกรณ์ใน วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ หน่วยท่ี 2 เร่ือง อุปกรณ์ใน
ระบบเสียง หนา้ ท่ี 23-36 ระบบเสียง หน้าท่ี 23-36 พรอ้ มทาความเข้าใจ
2. ผู้สอนเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนถามปัญหา และ 2. ผเู้ รียนถามปัญหา และข้อสงสัยจากเนื้อหา โดย
ขอ้ สงสยั จากเนอ้ื หา ครูเป็นสังเกต
3. ขั้นประยกุ ตใ์ ช้ (60 นาที ) 3. ข้ันประยุกต์ใช้( 60 นาที )
1. ผู้สอนให้ผู้เรยี นทาแบบประเมินหลังการเรียน 1. ผเู้ รียนทาแบบประเมนิ หลังการเรยี นบทท่ี 2
บทที่ 2 2. ผ้เู รียนทาใบงานที่ 2 หน้า 229-233
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนทาใบงานท่ี 2 หน้าท่ี 229- 3. ผูเ้ รยี นสืบค้นข้อมลู จากอนิ เทอรเ์ นต็
233
3. ผู้สอนให้ผู้เรียนสบื ค้นข้อมลู จากอนิ เทอรเ์ นต็
25
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรอื การเรียนรู้
ขัน้ ตอนการสอนหรือกิจกรรมของครู ขั้นตอนการเรียนรู้หรอื กิจกรรมของนกั เรียน
4. ขนั้ สรุปและประเมนิ ผล ( 45 นาที ) 4. ข้ันสรุปและประเมนิ ผล( 45 นาที )
1. ผ้สู อนและผู้เรยี นร่วมกันสรุปเน้ือหาที่ไดเ้ รียนให้ 1. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกนั สรุปเนอื้ หาทไี่ ด้เรยี นให้
มคี วามเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั มีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกัน
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียน 2. ผู้เรียนศึกษาเพม่ิ เติมนอกหอ้ งเรียน ดว้ ยเอกสาร
ด้วยเอกสารประกอบการสอนทีจ่ ัดทาข้นึ ประกอบการสอนทจี่ ดั ทาข้นึ
(บรรลจุ ุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-7) (บรรลุจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมขอ้ ท่ี 1-7)
(รวม 240 นาที หรอื 4 คาบเรียน)
26
งานที่มอบหมายหรอื กจิ กรรมการวัดผลและประเมินผล
ก่อนเรยี น
1. จัดเตรียมเอกสาร ส่ือการเรยี นการสอนบทที่2
2. ทาความเข้าใจเกีย่ วกบั จดุ ประสงคก์ ารเรียนของบทที่ 2 และให้ความร่วมมอื ในการทากิจกรรมใน บท
ท่ี 2
ขณะเรียน
1. ทาแบบประเมนิ หลงั การเรียนบทท่ี 2
2. รว่ มกนั สรปุ “อปุ กรณ์ในระบบเสยี ง”
หลงั เรยี น
1. ทาใบงานที่ 2
ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสาเรจ็ ของผู้เรยี น
แบบประเมนิ หลังการเรยี นบทที่ 2
ใบงานท่ี 2
สือ่ การเรียนการสอน/การเรียนรู้
สือ่ ส่งิ พมิ พ์
1. เอกสารประกอบการสอนวิชา เครื่องเสียง(ใช้ประกอบการเรียนการสอนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี
1-7)
2. แบบประเมนิ หลงั การเรยี นบทท่ี 2 ขั้นประยุกตใ์ ช้ ขอ้ 1
สือ่ โสตทัศน์ (ถา้ มี)
1. เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
2. PowerPoint เร่อื ง อปุ กรณ์ในระบบเสียง
สอ่ื ของจรงิ
1. อุปกรณ์ในระบบเสียง (ใชป้ ระกอบการเรยี นการสอนจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมข้อท่ี 1-7)
27
แหลง่ การเรียนรู้
ในสถานศกึ ษา
1. ห้องสมุดวิทยาลยั เทคนิคสมุทรสาคร
2. หอ้ งปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ศกึ ษาหาข้อมูลทางอนิ เทอร์เนต็
นอกสถานศกึ ษา
ผ้ปู ระกอบการ สถานประกอบการ ในท้องถิ่นจังหวดั สมุทรสาคร
การบูรณาการ/ความสมั พนั ธก์ บั วิชาอืน่
1. บรู ณาการกับวชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
2. บรู ณาการกบั วิชาไฟฟ้าอิเลก็ ทรอนิกส์
3. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟา้ เบ้ืองต้น
การประเมนิ ผลการเรยี นรู้
หลักการประเมนิ ผลการเรียนรู้
กอ่ นเรียน
1. ความรคู้ วามเข้าใจกอ่ นการเรยี นการสอน
ขณะเรียน
1. ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนรู้บทท่ี 2
2. สงั เกตการทางาน
หลังเรยี น
1. ตรวจใบงานที่ 2
28
ผลงาน/ช้ินงาน/ผลสาเรจ็ ของผูเ้ รยี น
ตรวจแบบประเมนิ หลังการเรยี นบทท่ี 2
สมรรถนะท่พี ึงประสงค์
ผู้เรียนสรา้ งความเข้าใจเกีย่ วกับอุปกรณใ์ นระบบเสียง
1. วิเคราะหแ์ ละตีความหมาย
2. ตงั้ คาถาม
3. อภิปรายแสดงความคิดเหน็ ระดมสมอง
4. การประยุกตค์ วามร้สู ู่งานอาชีพ
สมรรถนะการปฏบิ ตั ิงานอาชีพ
1. ดาเนนิ เกยี่ วกบั อุปกรณ์ในระบบเสยี ง
สมรรถนะการขยายผล
ความสอดคล้อง
จากการเรียน เรอ่ื ง อุปกรณใ์ นระบบเสยี ง ทาใหผ้ เู้ รียนมคี วามรเู้ กยี่ วกบั จนู เนอร์ เครื่องเลน่ เทป
เครื่องเล่นคอมแพ็กดสิ ก์ เคร่อื งขยายเสยี ง กราฟฟกิ อคี วอไลเซอร์ เพาเวอร์แอมป์
29
รายละเอียดการประเมนิ ผลการเรียนรู้
จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม ข้อท่ี 1 อธิบายความหมายของคาวา่ จูนเนอร์ได้
1. วิธีการประเมนิ : ทดสอบ
2. เคร่ืองมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : อธิบายความหมายของคาวา่ จูนเนอรไ์ ด้ จะได้ 1 คะแนน
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อที่ 2 บอกลักษณะและหนา้ ทขี่ องเคร่ืองเล่นเทปได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ทดสอบ
2. เครอื่ งมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การใหค้ ะแนน : บอกลกั ษณะและหน้าทขี่ องเครอ่ื งเล่นเทปได้ จะได้ 2 คะแนน
จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ข้อท่ี 3 แยกแยะลักษณะการทางานของเคร่ืองเล่นคอมแพ็กดสิ ก์ได้
1. วิธีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การใหค้ ะแนน : แยกแยะลกั ษณะการทางานของเครอ่ื งเล่นคอมแพก็ ดิสก์ได้ จะได้ 1
คะแนน
จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อท่ี 4 จาแนกหนา้ ท่ีและความสาคัญของเครื่องขยายเสยี งได้
1. วิธีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครอ่ื งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : จาแนกหน้าท่ีและความสาคญั ของเครื่องขยายเสยี งได้ จะได้ 1
คะแนน
จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ขอ้ ท่ี 5 จดั ลาดบั หนา้ ทีข่ องกราฟฟิกอีควอไลเซอร์ได้
1. วิธีการประเมิน : ตรวจผลงาน
2. เครอ่ื งมือ : แบบประเมินกระบวนการทางานกลุ่ม
3. เกณฑ์การใหค้ ะแนน : จัดลาดับหนา้ ทข่ี องกราฟฟิกอีควอไลเซอร์ได้ จะได้ 2 คะแนน
30
จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม ข้อท่ี 6 ช้แี จงชนิดของเพาเวอร์แอมป์ได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ทดสอบ
2. เครอ่ื งมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : ชแี้ จงชนิดของเพาเวอร์แอมป์ได้ จะได้ 2 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ข้อท่ี 7 สรุป อปุ กรณ์ในระบบเสียง ไดอ้ ยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม
1. วธิ ีการประเมนิ : ทดสอบ
2. เครอ่ื งมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : สรุป อุปกรณ์ในระบบเสยี ง ได้อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม จะได้ 2
คะแนน
31
แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 2
ตอนท่ี 1 จงเตมิ คาในชอ่ งว่างใหถ้ กู ตอ้ ง
1. ภาคปรบั แต่งสัญญาณเสียงและขยายเสยี งประกอบไปดว้ ย...................................................
2. ....................................................คือเคร่อื งรบั วทิ ยุ AM, FM, FM สเตอริโอมัลติเพลก็ ซ์
3. ความถ่ี IF ของ FM คือ.............................และความถี่ IF ของ AM คือ..................................
4. เทปคอื วสั ดทุ ฉ่ี าบดว้ ยสาร......................................................... บนฐานที่เปน็ พลาสติก
5. ................................................เปน็ อุปกรณ์ที่รับแสงเลเซอรท์ ีส่ ะทอ้ นจากแผน่ CD กลบั มายงั
เครื่องเล่น CD
6. วงจรขยายเสยี งปรี-โทนประกอบไปด้วยส่วนประกอบ...............ส่วนคือ.................................
...............................................................................................................................................
7. วงจรบาลานซ์เปน็ วงจรท่ีช่วย................................................................ใหม้ คี วามสมดลุ กนั
8. .................................มีหน้าที่เหมือนวงจรโทนคอนโทรลแต่.................................................
9. ...........................................................เปน็ เคร่อื งขยายกาลงั ท่ีมอี ินพตุ อมิ พีแดนซ์สงู
10. ...................................................................ใช้ในการขยายกาลงั ระดับปานกลางและไม่ต้อง
ใช้อปุ กรณ์หลายตวั ในการประกอบข้นึ เป็นวงจรขยายเสยี ง
32
ตอนที่ 2 กากบาทลงหนา้ คาตอบทถี่ กู ตอ้ งท่ีสดุ เพยี งขอ้ เดยี ว
1. จูนเนอรท์ ใ่ี ช้ประกอบในระบบเสยี งน้นั จะไมม่ ีการรับสถานยี ่านใด?
ก. SW ข. AM
ค. FM ง. FM STEREO
2. สญั ญาณที่สง่ ออกมาจากภาคฟร้อนเอนดจ์ ะเปน็ สัญญาณอะไร?
ก. IF ข. AF ค. RF ง. AC
3. แผ่นซีดีมีรัศมียาวเท่าไหร่?
ก. 12 ซม. ข. 10 ซม. ค. 6 ซม ง. 4 ซม.
4. เหตผุ ลใดทไี่ ม่ใชข่ อ้ ดขี องเทปโอเพ่นรลี ที่ดกี วา่ เทปคาสเซท็ ?
ก. เกบ็ สญั ญาณเสียงไดแ้ รงมากกว่า ข. เก็บสัญญาณความถส่ี งู ไดส้ ูงกวา่
ค. บนั ทกึ เพลงและทารายการวิทยุ ง. ใชไ้ ด้กับงานท่วั ๆ ไป
5. ความเร็วในการเคลื่อนทข่ี องเทปคสั เซท็ ข้อไหนถูกตอ้ ง?
ก. 2.4 ซม./วนิ าที ข. 4.8 ซม./วินาที
ค. 9.5 ซม./วนิ าที ง. 24 ซม./วนิ าที
6. ข้อไหนไม่ใช่วสั ดจุ าพวกสารเฟอรโ์ รแมกเนตกิ ?
ก. ฟอสเฟอร์ ข. โคบอลท์ ค. เฟอร์ไรท์ ง. แอลนิโก
7. ขอ้ ใดไม่ใชค่ ณุ สมบตั ิของเครอื่ งเลน่ คอมแพ็กดิสก์?
ก. สญั ญาณเกบ็ ไวใ้ นรปู สัญญาณดิจติ อล
ข. สัญญาณถกู บนั ทกึ ลงบนแผน่ เป็นหลมุ เล็ก ๆ
ค. รหัสทีใ่ ช้เปน็ เลขฐานสอง
ง. ขณะเล่นหัวอ่านจะสัมผัสกับแผน่ คอมแพก็ ดสิ ก?์
8. ขอ้ ใดไม่ใชส่ ่วนประกอบของภาคปรี-โทน แอมป์
ก. โวลล่มุ ข. ไดเวอร์ ค. ลาวด์เนส ง. โทนคอนโทรล
9. ปุ่มปรับเสียงทุ้ม เสียงกลางและเสียงแหลมจะอยู่ส่วนไหนของวงจร?
ก. โวลลุ่ม ข. ปรี แอมป์ ค. ลาวดเ์ นส ง. โทนคอนโทรล
10. ยา่ นการปรบั เสยี งของกราฟฟิกอคี วอไลเซอรอ์ ย่างน้อยมีก่ยี ่าน?
ก. 5 ข. 6 ค. 7 ง. 7
11. เคร่อื งขยายเสียงทีน่ ยิ มใชม้ ากท่ีสุดคือเครื่องขยายเสยี งแบบใด?
ก. ทรานซิสเตอร์ ข. มอสเฟต ค. ไอซี ง. โทนคอนโทรล
12. เครอ่ื งขยายเสยี งที่ให้ประสทิ ธภิ าพของวงจรขยายสูงทส่ี ดุ คือเครื่องขยายเสียงแบบใด?
ก. ทรานซสิ เตอร์ ข. มอสเฟต
ค. ไอซี ง. โทนคอนโทรล
33
13. การปรบั ความดังของความถ่เี สียงให้เพ่มิ มากขึน้ เรยี กวา่ อะไร?
ก. ไฮเออร์ ข. เพาเวอร์ ค. คตั ง. บสู ต์
14. การบันทึกข้อมูลลงในระบบเสียงดิจติ อลรหสั ทบ่ี ันทึกลงจะเป็นเลขฐานใด?
ก. 2 ข. 8 ค. 10 ง. 16
15. การแบ่งความถเ่ี สยี งออกเป็นล ำดบั ของกราฟฟิกอีควอไลเซอรน์ ้นั แตล่ ะช่วงความถี่
เรียกวา่ อะไร
ก. กราฟฟกิ ข. บูสต์ ค. อ๊อกเตฟ ง. คตั
ตอนที่ 3 จากโจทย์จงอธบิ ายใหไ้ ด้ความหมายทีส่ มบูรณ์
1. จงอธบิ ายถึงความแตกต่างระหว่างเทปคาสเซท็ และเทปแบบโอเพ่นเรยี ลมาพอสงั เขป?
2. สารแม่เหล็กทีใ่ ช้เคลือบบนเนื้อเทปตามมาตรฐานของ IEC มีกีช่ นิดอะไรบ้าง?
3. เครอื่ งเล่นเทปที่เรยี กวา่ แดตคอื อะไร แตกตา่ งจากเคร่ืองเลน่ เทปทั่วไปอย่างไร?
4. C90 และ C60 ท่ีเขียนอยู่บนกลอ่ งเทปมีความหมายวา่ อะไร?
5. จงอธบิ ายถึงความแตกต่างระหว่างแผน่ ซดี แี ละแผ่นเสยี งลองเพลย์มาพอสังเขป?
6. จงอธิบายความแตกต่างระหวา่ งคลนื่ วทิ ยุ AM และคลืน่ วทิ ยุ FM?
7. จงให้ความหมายของคาวา่ จูนเนอร์มาพอสงั เขป?
8. เครอื่ งขยายปรี-โทนแบง่ การทางานออกเป็นก่ีสว่ น อะไรบ้าง จงอธิบายมาพอสังเขป?
9. หนา้ ทีข่ องกราฟฟิกอีควอไลเซอรค์ ืออะไร
10. เคร่ืองขยายกาลงั หรือเพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์น้นั มีกีช่ นดิ อะไรบ้าง จงอธบิ ายพอสงั เขป?
แบบประเมนิ ผลการนาเสนอผลงาน 34
ช่ือกลุม่ ……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................
ขอ้ คดิ เหน็
รายช่ือสมาชิก
1……………………………………เลขท…ี่ …. 2……………………………………เลขที่…….
3……………………………………เลขท…่ี …. 4……………………………………เลขที่…….
ที่ รายการประเมิน คะแนน
32 1
1 เนอ้ื หาสาระครอบคลมุ ชดั เจน (ความรูเ้ กย่ี วกบั เนอื้ หา ความถกู ต้อง
ปฏภิ าณในการตอบ และการแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหน้า)
2 รูปแบบการนาเสนอ
3 การมีส่วนรว่ มของสมาชิกในกลมุ่
4 บคุ ลิกลักษณะ กิรยิ า ท่าทางในการพูด น้าเสียง ซึ่งทาให้ผู้ฟังมีความ
สนใจ
รวม
ผ้ปู ระเมนิ …………………………………………………
เกณฑ์การให้คะแนน
1. เน้ือหาสาระครอบคลุมชัดเจนถกู ต้อง
3 คะแนน = มสี าระสาคัญครบถ้วนถูกต้อง ตรงตามจดุ ประสงค์
2 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ครบถ้วน แตต่ รงตามจุดประสงค์
1 คะแนน = สาระสาคญั ไมถ่ กู ต้อง ไม่ตรงตามจดุ ประสงค์
2. รปู แบบการนาเสนอ
3 คะแนน = มีรูปแบบการนาเสนอทีเ่ หมาะสม มกี ารใช้เทคนิคทีแ่ ปลกใหม่ ใชส้ อื่ และเทคโนโลยี
ประกอบการ นาเสนอที่นา่ สนใจ นาวัสดใุ นท้องถ่นิ มาประยกุ ตใ์ ช้อยา่ งคุ้มคา่ และประหยดั
2 คะแนน = มเี ทคนิคการนาเสนอทแี่ ปลกใหม่ ใช้สอ่ื และเทคโนโลยปี ระกอบการนาเสนอทีน่ ่าสน ใจ
แต่ขาด การประยกุ ต์ใช้ วสั ดุในทอ้ งถิน่
1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไมเ่ หมาะสม และไม่น่าสนใจ
3. การมีสว่ นรว่ มของสมาชกิ ในกลมุ่
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
2 คะแนน = สมาชิกสว่ นใหญ่มีบทบาทและมีสว่ นร่วมกิจกรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชิกส่วนน้อยมีบทบาทและมีสว่ นร่วมกิจกรรมกลุ่ม
4. ความสนใจของผ้ฟู งั
3 คะแนน = ผฟู้ งั มากกวา่ รอ้ ยละ 90 สนใจ และให้ความรว่ มมือ
2 คะแนน = ผู้ฟงั ร้อยละ 70-90 สนใจ และให้ความรว่ มมือ
1 คะแนน = ผูฟ้ งั นอ้ ยกว่าร้อยละ 70 สนใจ และให้ความร่วมมือ
แบบประเมินกระบวนการทางาน 35
ชอ่ื กลุ่ม……………………………………………ชั้น………………………หอ้ ง...........................
รายชอื่ สมาชกิ 2……………………………………เลขท่ี…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท…่ี ….
3……………………………………เลขท…ี่ ….
ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเหน็
1 การกาหนดเป้าหมายรว่ มกนั 321
2 การแบง่ หน้าท่รี บั ผดิ ชอบและการเตรยี มความพรอ้ ม
3 การปฏบิ ัตหิ นา้ ทท่ี ่ไี ดร้ บั มอบหมาย
4 การประเมินผลและปรบั ปรุงงาน
รวม
ผูป้ ระเมนิ …………………………………………………
วนั ที่…………เดือน……………………..พ.ศ…………...
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
1. การกาหนดเปา้ หมายรว่ มกนั
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีสว่ นร่วมในการกาหนดเปา้ หมายการทางานอยา่ งชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีส่วนรว่ มในการกาหนดเปา้ หมายในการทางาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมสี ว่ นร่วมในการกาหนดเปา้ หมายในการทางาน
2. การมอบหมายหนา้ ที่รับผดิ ชอบและการเตรยี มความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานได้ทั่วถงึ และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจัดเตรียมสถานที่ สอ่ื /
อุปกรณ์ไว้อย่างพรอ้ มเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ วั่ ถึง แต่ไม่ตรงตามความสามารถ และมสี อ่ื / อปุ กรณไ์ ว้อยา่ งพร้อมเพรียง แต่ขาด
การจดั เตรยี มสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทัว่ ถึงและมีสอื่ / อุปกรณไ์ ม่เพยี งพอ
3. การปฏิบตั ิหน้าทที่ ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
3 คะแนน = ทางานได้สาเรจ็ ตามเปา้ หมาย และตามเวลาทีก่ าหนด
2 คะแนน = ทางานไดส้ าเรจ็ ตามเป้าหมาย แต่ชา้ กว่าเวลาท่ีกาหนด
1 คะแนน = ทางานไม่สาเร็จตามเปา้ หมาย
4. การประเมนิ ผลและปรับปรงุ งาน
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนรว่ มปรึกษาหารอื ติดตาม ตรวจสอบ และปรบั ปรุงงานเปน็ ระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีสว่ นรว่ มปรึกษาหารือ แตไ่ ม่ปรับปรงุ งาน
1 คะแนน = สมาชิกบางสว่ นไม่มีส่วนร่วมปรกึ ษาหารือ และปรับปรงุ งาน
36
บันทึกหลังการสอน
บทท่ี 2 อปุ กรณใ์ นระบบเสียง
ผลการใช้แผนการสอน
1. เนื้อหาสอดคลอ้ งกับจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
2. กจิ กรรมการสอนเหมาะสมกับเน้อื หาและเวลาทีก่ าหนด
3. สือ่ การสอนเหมาะสมดี
ผลการเรียนของนกั เรียน
1. นักศึกษาส่วนใหญ่มีความเข้าใจในบทเรียน อภิปรายตอบคาถามในกลุ่ม และร่วมกันปฏิบัติงานท่ีได้รับ
มอบหมาย
2. นกั ศกึ ษากระตือรือรน้ และรบั ผิดชอบในการทางานกลุ่มเพื่อใหง้ านสาเร็จทนั เวลาที่กาหนด
ผลการสอนของครู
1. สอนเน้อื หาได้ครบตามหลักสูตร
2. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเนอื้ หาการสอนทาให้ผูส้ อนสอนได้อยา่ งมั่นใจ
3. สอนทันตามเวลาที่กาหนด
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฏี
แผนการจดั การเรียนรู้ บทท่ี 3
ชื่อวชิ า เครื่องเสียง สอนสปั ดาห์ที่ 3-5
ช่ือหน่วย การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง คาบรวม 20
ชื่อเร่ือง การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง จานวนคาบ 4
หวั ข้อเรื่อง
1 .วงจรคอมมอนเบส
2 .วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์
3 .วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์
4 .การจดั ไบอสั แบบคงท่ี
5 .การจดั ไบอสั แบบช่วย
6. การจดั ไบอสั แบบกระแสป้อนกลบั
7. การจดั ไบอสั แบบผสม
8 .การทางานของอุปกรณ์ในวงจรขยายแบบทรานซิสเตอร์
9. ชนิดและโครงสร้างของเฟต
10. การจดั วงจรร่วมของเฟต
11. การจดั วงจรไบอสั ใหเ้ จเฟต
12 .การจดั วงจรไบอสั ใหม้ อสเฟต
13. เพาเวอร์มอสเฟต
สาระสาคญั
วงจรขยายเสียงมีอุปกรณ์ท่ีเป็ นหัวใจในการทางาน ไดแ้ ก่ ทรานซิสเตอร์ เฟต หรือมอสเฟตอุปกรณ์
ขยายสัญญาณดงั กล่าวจะทาการขยายสัญญาณไดจ้ ะตอ้ งไดร้ ับการจดั ไบอสั อย่างเหมาะสมเท่าน้นั จึงจะทาให้
วงจรขยายเสียงทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย
- จดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง
คาศัพท์
จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้
จุดประสงค์ทว่ั ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. เพ่ือใหม้ ีความรู้เกี่ยวกบั หลกั การทางานของวงจรคอมมอนแบบต่าง ๆ ของทรานซิสเตอร์(ด้านความรู้)
2. เพ่ือใหม้ ีทกั ษะในการต่อวงจรคอมมอนอิมิตเตอร์ (ด้านทักษะ)
3. เพ่ือใหม้ ีเจตคติที่ดีในการช้ีใหเ้ ห็นถึงโครงสร้างของเพาเวอร์มอสเฟต (ด้านจิตพิสัย)
4. เพ่อื สรุปการจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม (ด้านคุณธรรม
จริ ยธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง)
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. อธิบายหลกั การทางานของวงจรคอมมอนแบบตา่ ง ๆ ของทรานซิสเตอร์ได้ (ด้านความรู้)
2. บอกวงคอมมอนคอลเลคเตอร์ได้ (ด้านความรู้)
3. ต่อวงจรคอมมอนอิมิตเตอร์ได้ (ด้านทักษะ)
4. จดั ไบอสั แบบตา่ ง ๆ ของเฟตได้ (ด้านทักษะ)
5. จาแนกอุปกรณ์ในวงจรขยายแบบทรานซิสเตอร์ได(้ ด้านทักษะ)
6. แยกแยะชนิดและโครงสร้างของเฟตได้ (ด้านทักษะ)
7. จดั วงจรร่วมของเฟตได้ (ด้านทักษะ)
8. จดั วงจรไบอสั ใหเ้ จเฟตได้ (ด้านทักษะ)
9. จดั วงจรไบอสั ใหม้ อสเฟตได้ (ด้านทักษะ)
10. ช้ีใหเ้ ห็นถึงโครงสร้างของเพาเวอร์มอสเฟตได้ (ด้านจิตพิสัย)
11. สรุปการจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณา
การเศรษฐกิจพอเพียง)
เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้
• ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี
การขยายสัญญาณของวงจรขยายเสียงต่าง ๆ อุปกรณ์ท่ีสาคญั ในการทางาน คือทรานซิสเตอร์ โดยปกติ
ทรานซิสเตอร์มี 3 ขา คือ ขาเบส (B) ขาอิมิตเตอร์ (E) และขาคอลเลคเตอร์ (C)ในการจดั วงจรการท ำางาน
จะตอ้ งมีการจดั ขาร่วมหรือขาคอมมอน (Common) ข้ึน ในวงจรคอมมอนมี 2 ขา เพอื่ ใหข้ าป้อนสญั ญาณเขา้ หรือ
ขาอินพุต (Input) และขาสัญญาณออกหรือขาเอาตพ์ ุต(Output) การจดั วงจรร่วมของทรานซิสเตอร์จดั เป็ นวงจร
พ้นื ฐานได้ 3 แบบ คือ
1. วงจรเบสร่วมหรือคอมมอนเบส (Common Base)
2. วงจรคอลเลคเตอร์ร่วมหรือคอมมอนคอลเลคเตอร์ (Common Collector) หรือเรียกวา่
วงจรอิมิตเตอร์ฟอลโลเวอร์ (Emitter Follower)
3. วงจรอิมิตเตอร์ร่วมหรือคอมมอนอิมิตเตอร์ (Common Emitter)
3.1 วงจรเบสร่วม (Common Base)
วงจรเบสร่วมจะเอาขา B เป็ นขาร่วมระหวา่ งอินพุตกบั เอาตพ์ ุต โดยขาอินพุตจะถูกป้อนเขา้ ท่ีขา E และ
ขาเอาต์พุตจะถูกส่งออกที่ขา C ในการป้อนสัญญาณอินพุตที่ขา E จะทาให้กระแสอิมิตเตอร์ (IE) ไหล
เปล่ียนแปลงตามสัญญาณท่ีป้อนเขา้ มาเป็ นผลให้กระแสคอลเล็คเตอร์ (IC) ไหลเปล่ียนแปลงตามไปดว้ ย การ
ป้อนสัญญาณอินพุตเข้ามาจะทาให้แรงดันอินพุต (Ei) เปลี่ยนแปลงไปทาให้ระดับแรงดันเอาต์พุต (EO)
เปลี่ยนแปลงตามไปดว้ ย ผลของสภาวะการเปลี่ยนแปลงดงั กล่าวจะทาใหเ้ กิดการขยายสัญญาณข้ึนในรูปที่ 3.1
กาหนดคา่ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี
Ii = กระแสอินพุต (Input Current)
IC = กระแสเอาตพ์ ตุ (Output Current)
Ei = แรงดนั อินพุต (Input Voltage)
EO = แรงดนั เอาตพ์ ุต (Output Voltage)
Zi = อินพตุ อิมพแี ดนซ์ (Input Impedance)
ZO = เอาตพ์ ตุ อิมพแี ดนซ์ (Output Impedance)
คุณสมบตั ิของวงจรเบสร่วม
1. มีอินพุตอิมพแี ดนซ์ (Zi) ต่ามากประมาณ 30-150 Ω เพราะขา E ของทรานซิสเตอร์ไดร้ ับการจ่ายไฟตรงหรือ
จ่ายไบอสั ตรง (Forward Bias) ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP จะจ่ายไฟบวกให้ขา E ทรานซิสเตอร์ชนิด NPN จะ
จา่ ยไฟลบให้ขา E เทียบกบั กราวดท์ าใหเ้ กิดกระแส IE ไหลมากซ่ึงการที่กระแส IE ไหลมากแสดงวา่ Zi ต่า2. มี
เอาต์พุตอิมพีแดนซ์ (ZO) สูงประมาณ 300kΩ - 1MΩ เพราะขา C ของทรานซิสเตอร์ได้รับการจ่ายไฟกลับ
หรือไบอสั กลบั (Reverse Bias) ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP จะจ่ายไฟลบให้ขา Cทรานซิสเตอร์ชนิด NPN จะ
จา่ ยไฟบวกใหข้ า C เทียบกบั กราวด์ ทาใหเ้ กิดกระแส IC ไหลนอ้ ย ซ่ึงการท่ีกระแส IC ไหลนอ้ ยแสดงวา่ ZO สูง
3. เฟส (Phase) เฟสของสัญญาณอินพุตจะเหมือนกบั เฟสของสัญญาณเอาตพ์ ุตคือถา้ ป้อนสัญญาณอินพุตเป็ น
บวก สัญญาณท่ีไดท้ างเอาต์พุตก็จะเป็ นบวก ถา้ ป้อนสัญญาณอินพุตเป็ นลบสัญญาณเอาต์พุตก็จะเป็ นลบดว้ ย
เรียกสญั ญาณดงั กล่าววา่ อินเฟส (Inphase)
4. อตั ราการขยายกระแสหรือเคอรเรนท์ เกน (CURRENT GAIN) ใชส้ัญญาณแอลฟา (α)คือ อตั ราส่วนระหวา่ ง
กระแสเอาตพ์ ตุ (IO) กบั กระแสอินพตุ (II)
ถา้ ให้ IE = 1 V, IC = 0.95 V , IB = 0.05 V
จะได้ α = IC / IE = 0.95 V / 1 V = 0.95 เทา่
ค่า α มีคา่ นอ้ ยกวา่ 1 แสดงวา่ ไมข่ ยายกระแส เพราะวา่ IC ไหลนอ้ ยกวา่ IE
5. อตั ราแรงดนั หรือโวลท์เตจ เกน (Voltage Gain) ใช้สัญลักษณ์ Vg หรือเรียกว่า โวลต์เตจแอมปลิไฟเออร์
(Voltage Amplifier) ใชส้ ญั ลกั ษณ์ Av คือค่าอตั ราส่วนระหวา่ งแรงดนั เอาตพ์ ุต (EO)กบั แรงดนั อินพตุ (EI)
ค่า VG ของวงจรเบสร่วมจะมีค่าสูงประมาณ 300-1000 เท่า แสดงว่ามีการขยายแรงดนั เพราะเอาต์พุต
อิมพีแดนซ์ (ZO) มีค่าสูงท ำาให้แรงดนั ตกคร่อมสูง ส่วนอินพุตอิมพีแดนซ์ (Zi) มีค่าต่าทาให้แรงดนั ตกคร่อม
นอ้ ย
6. อัตราขยายกลังหรือเพาเวอร์ เกน (Power gain) ใช้สัญลักษณ์ PG เป็ นอัตราขยายที่เกิดจากผลคูณของ
อตั ราขยายกระแส (α) กบั อตั ราขยายแรงดนั (VG)
ค่า Pg ของวงจรเบสร่วม จะมีค่าประมาณ 20-30 dB เพราะมีผลมาจากอตั ราขยายแรงดนั และอตั ราขยาย
กระแส ซ่ึงถา้ มีค่ามากหรือนอ้ ยกจ็ ะมีผลต่ออตั ราขยายกาลงั ตามไปดว้ ย
จากรูปท่ี 3.3 เป็ นวงจรขยายสัญญาณที่ใช้งานจริงชนิดเบสร่วมโดยใช้แบตเตอรี่ (VCC) ชุดเดียวมี R1
และ R2 ต่อเป็ นวงจรแบ่งแรงดนั (Voltage Divider) R1 เป็ นตวั จ่ายไบอสั ตรงไฟบวกให้กบั ขา B ของ Q1, R2
เป็นตวั จากดั กระแสในวงจรแบง่ แรงดนั R1 ตอ่ ลงกราวด์ ทาใหข้ า E ของ Q1 ไดร้ ับศกั ยไ์ ฟฟ้าลบสูงสุดเมื่อเทียบ
กบั ขา C ของ Q1 ซ่ึงไดร้ ับศกั ยไ์ ฟฟ้าบวกสูงสุด R1 เป็ นตวั รับสัญญาณอินพุตที่ป้อนเขา้ มาตกคร่อม R3 เพื่อ
ส่งไปขยายสัญญาณท่ี Q1, R4 เป็ นโหลดท่ีจะรับสัญญาณท่ีถูกขยายแลว้ จาก Q1 มาตกคร่อม R4 เพื่อส่งสญั ญาณ
ต่อออกเอาตพ์ ตุ
การนาวงจรเบสร่วมไปใชง้ าน มกั จะนาไปใชเ้ ป็ นวงจรกาเนิดความถี่ (Oscillator) วงจรขยายแรงดนั
(Voltage Amplifier) วงจรแมทชิ่ง (Matching) วงจรแมทชิ่งเป็ นวงจรปรับอิมพีแดนซ์(Z) ของวงจร 2 วงจรที่ไม่
เท่ากนั ให้เทา่ กนั เพื่อจะทาใหส้ ญั ญาณสามารถส่งผา่ นไดส้ ูงสุดและการสูญเสียสญั ญาณระหวา่ งการส่งผา่ นนอ้ ย
ที่สุด
3.2 วงจรคอลเลคเตอร์ร่วม (Common Collector)
วงจรคอลเลคเตอร์ร่วมเรียกอีกอยา่ งวา่ อิมิตเตอร์ฟอลโลวเวอร์ (Emitter Follower) จะเป็ นวงจรท่ีเอาขา
C เป็ นขาร่วมระหวา่ งอินพุตกบั เอาตพ์ ุต โดยขาอินพุตถูกป้อนเขา้ มาที่ขา B และขาเอาตพ์ ุตถูกส่งออกท่ีขา E ใน
การป้อนสัญญาณอินพุตที่ขา B จะทาใหก้ ระแสเบส (IB) ไหลเปลี่ยนแปลงตามสัญญาณท่ีป้อนเขา้ มา เป็ นผลให้
กระแสอิมิตเตอร์ (IE) ไหลเปลี่ยนแปลงตามไปดว้ ยจากผลของการป้อนสัญญาณเขา้ อินพุตระดบั แรงดนั อินพุต
(Ei) เปล่ียนแปลง ทาใหร้ ะดบั แรงดนั เอาตพ์ ุต (EO) เปลี่ยนแปลงตามไปดว้ ย ผลของการเปล่ียนแปลงท้งั แรงดนั
และกระแสทาใหเ้ กิดการขยายสัญญาณข้ึน
คุณสมบตั ิของวงจรคอลเลคเตอร์ร่วม
1. มีอินพุตอิมพีแดนซ์ (Zi) สูงประมาณ 100KΩ - 500KΩ เพราะขา B จะไดร้ ับไบอสั กลบั เม่ือเทียบกบั ขา C
(ขา B ตามการจ่ายไบอสั ท่ีถูกตอ้ ง จะตอ้ งไดร้ ับไบอสั ตรงที่เทียบขา E แต่เม่ือเทียบกบั ขา C จะเป็ นไบอสั กลบั )
สารก่ึงตวั นาที่ขา B แคบกระแสท่ีตอ้ งการนอ้ ย ทาใหค้ วาม
ตา้ นทานท่ีจะมาจดั เป็นวงจรไบอสั ตอ้ งใชค้ า่ มาก จากเหตุที่กล่าวมาจึงทาใหอ้ ินพุตอิมพีแดนซ์
(Zi) สูง
2. มีเอาตพ์ ุตอิมพีแดนซ์ (ZO) ต่าประมาณ 100Ω - 1000Ω เพราะขา E จะไดร้ ับไบอสั ตรงเม่ือเทียบกบั ขา C จะ
มีกระแส IE ไหลผา่ นสูง ทาใหเ้ อาตพ์ ตุ อิมพแี ดนซ์ (ZO) ต่า
3. เฟสของสัญญาณอินพุตจะเหมือนกบั เฟสของสัญญาณเอาตพ์ ุตคือสัญญาณที่ป้อนเขา้ เป็ นบวก สัญญาณป้อน
ออกกเ็ ป็นบวกดว้ ย และสญั ญาณป้อนเขา้ เป็นลบสญั ญาณเป็นออกกเ็ ป็นลบดว้ ย เรียกวา่ อินเฟส (Inphase)
4. อตั ราการขยายกระแส (Current gain) ใชส้ ัญลกั ษณ์แกรมม่า ( ) เป็ นอตั ราขยายกระแสระหวา่ งกระแสเอาตพ์ ุต
คือ IE กบั กระแสอินพตุ คือ IB= IO / II = IE / IB
จากรูปท่ี 3.2 จะทราบวา่ กระแส IE = 100% กระแส IE = 2-5% เมื่อนามาคานวณเป็ นอตั ราขยายกระแสจะมี
ค่าประมาณ 20-50 เทา่ คือมีการขยายกระแสออกเอาตพ์ ตุ เพราะ IE ไหลมากกวา่ IB
5. อตั ราขยายแรงดนั (Voltage gain) ใช้สัญลกั ษณ์ Vg หรือ Av คืออตั ราส่วนระหวา่ งแรงดนั เอาตพ์ ุต (EO) กบั
แรงดนั อินพตุ (EI)
VG = EO / EI = IERL / IBRB
ค่า Vg ของวงจรคอลเลคเตอร์ร่วมจะมีค่าน้อยกว่า 1 คือไม่เกิดการขยายแรงดนั เพราะอิมพีแดนซ์ทางเอาต์พุต
(ZO) ต่าทาให้ศกั ยไ์ ฟฟ้าตกคร่อมต่าและอินพุตอิมพีแดนซ์ (Zi) สูงทาให้ศกั ยไ์ ฟฟ้าตกคร่อมสูง เมื่อนามาหาค่า
VG โดยนาแรงดนั เอาตพ์ ตุ ที่มีคา่ นอ้ ยต้งั หารดว้ ยแรงดนั อินพุตท่ีมีคา่ มาก คา่ ที่ไดจ้ ึงมีคา่ นอ้ ยกวา่ 1
6. อตั ราขยายกาลงั (Power Gain) ใช้สัญลกั ษณ์ PG คืออตั ราขยายที่เกิดจากผลคูณของอตั ราขยายกระแส ( ) กบั
อตั ราขยายแรงดนั (VG)
PG = × VG
ค่า Pg ของวงจรคอลเลคเตอร์ร่วมจะมีค่าประมาณ 15-30 dB ค่า PG และจะเปลี่ยนแปลงตามค่าการเปลี่ยนแปลง
ของอตั ราขยายกระแสและอตั ราขยายแรงดนั
จากรูปท่ี 3.5 เป็ นวงจรขยายสัญญาณที่ใชง้ านจริงชนิดคอลเลคเตอร์ร่วม ใชแ้ หล่งจ่ายVCC ชุดเดียวสัญญาณ
อินพุตถูกป้อนเขา้ ท่ีขา B ของ Q1 และสัญญาณเอาต์พุตถูกส่งออกท่ีขา Eของ Q1 โดยท่ีขา C ไม่ไดเ้ ป็ นท้งั ขา
ป้อนสัญญาณเขา้ และรับสัญญาณออกจึงเป็ นขาร่วม R1, R2 จดั วงจรเป็ นวงจรแรงดนั (Voltage Divider) จ่าย
ไบอสั ใหก้ บั ขา B ของ Q1, R1 จะเป็นตวั จา่ ยไบอสั ให้
ขา B R1 เป็นตวั จากดั กระแสที่จะไหลผา่ น R2 เพอ่ื ควบคุมแรงดนั ที่จะตกคร่อม R2 ใหพ้ อเหมาะ R3เป็นโหลดท่ี
รับสญั ญาณท่ีขยายจาก Q1 แลว้ ส่งมาตกคร่อม R3 เพือ่ ส่งต่อสญั ญาณน้นั ออกเอาตพ์ ุต
การนาวงจรคอลเล็คเตอร์ร่วมไปใชง้ าน นาไปใช้เป็ นวงจรแมทช่ิง วงจรบฟั เฟอร์ (Buffer)วงจรบฟั เฟอร์
คือวงจรที่ใชเ้ ชื่อมตอ่ ระหวา่ งวงจร 2 วงจร ท่ีตอ้ งทางานร่วมกนั แตไ่ ม่ตอ้ งการใหเ้ กิดการรบกวนกนั เช่น ใชเ้ ป็ น
ตวั ข้นั กลางระหวา่ งวงจรกาเนิดความถ่ี (OSC) ท่ีตอ้ งการความถ่ีแน่นอนกบั วงจรมิกเซอร์ (Mix) โดยวงจรกาเนิด
ความถี่สามารถที่จะส่งความถ่ีผา่ นวงจรบฟั เฟอร์ไปยงั วงจรมิกเซอร์ได้ แต่วงจรมิกเซอร์ไม่สามารถส่งสัญญาณ
ซ่ึงอาจจะประกอบดว้ ยความถ่ีหลาย ๆ ความถี่ยอ้ นกลบั มาเขา้ วงจรกาเนิดความถี่ได้
3.3 วงจรอิมิตเตอร์ร่วม (Common Emiter)
วงจรอิมิตเตอร์ร่วมเป็ นวงจรที่เอาขา E ของทรานซิสเตอร์ เป็ นขาร่วมระหวา่ งอินพุตกบั เอาตพ์ ุต ขา B
เป็ นขาอินพุตของวงจร ขา C เป็ นขาเอาตพ์ ุตของวงจร เมื่อป้อนสัญญาณเขา้ ท่ีขา Bกบั ขา E ทาให้เกิดแรงดนั Ei
เปลี่ยนแปลงมีผลทาให้กระแส Ii เปลี่ยนแปลงไปดว้ ย สัญญาณจะถูกทรานซิสเตอร์ขยายส่งออกเอาต์พุต ขา C
กบั ขา E ไดแ้ รงดนั EO เปล่ียนแปลงและมีผลทาให้กระแสIO เปล่ียนแปลงตามไปดว้ ยอตั ราการเปล่ียนแปลงน้ี
คืออตั ราการขยายสญั ญาณนนั่ เอง
คุณสมบัตขิ องวงจรอมิ ติ เตอร์ร่วม
1. มีอินพุตอิมพีแดนซ์ (Zi) ต่าประมาณ 500 Ω -1500 Ω เพราะขา B จะได้รับไบอสั ตรงเมื่อเทียบกับขา E
ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP จะตอ้ งจ่ายไฟลบให้ขา B ทรานซิสเตอร์ชนิด NPN ตอ้ งจ่ายไฟบวกให้ขา B ทาให้
ความตา้ นทานภายในรอยตอ่ ระหวา่ งขา B กบั ขา E ต่าลง
2. มีเอาต์พุตอิมพีแดนซ์ (ZO) สู งประมาณ 50KΩ เพราะขา C จะได้รับไบอัสกลับเม่ือเทียบกับขา E
ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP ตอ้ งจ่ายไฟลบให้ขา C ทรานซิสเตอร์ชนิด NPN ตอ้ งจ่ายไฟบวกให้ขา C ทาให้ความ
ตา้ นทานภายในรอยตอ่ ระหวา่ งขา C กบั ขา E สูงข้ึน
3. สัญญาณอินพุตจะมีเฟสต่างจากสัญญาณเอาตพ์ ุต 180 องศา คือ เม่ือสัญญาณอินพุตป้อนเขา้ มาเป็ นบวก จะมี
สัญญาณออกเอาต์พุตเป็ นลบ และเม่ือสัญญาณอินพุตป้อนเขา้ มาเป็ นลบจะมีสัญญาณออกเอาต์พุตเป็ นบวก
สญั ญาณชนิดน้ีเรียกวา่ เอาตอ์ อฟเฟส (Out Of Phase)
4. อตั ราขยายกระแส (Current Gain) ใชส้ ัญลกั ษณ์เบตา้ (β) เป็ นอตั ราขยายกระแสระหวา่ งกระแสเอาต์พุต คือ
IC กบั กระแสอินพุต IB
β = IO / II = IC / IB
5. อตั ราขยายแรงดนั (Voltage Gain) ใช้สัญลกั ษณ์ VG หรือ AV เป็ นอตั ราส่วนระหว่างแรงดนั เอาต์พุต (EO)
กบั แรงดนั อินพตุ (Ei )
VG = EO / Ei = ICRL / IBRB
ค่า VG ของวงจรอิมิตเตอร์ร่วมจะมีค่าประมาณ 250-300 เท่า มีการขยายแรงดนั ออกเอาตพ์ ุตเพราะว่า ZO มีค่า
สูงทาให้ศกั ยต์ กคร่อม EO สูง และ Zi มีค่าต่าทาให้ศกั ยต์ กคร่อม Ei ต่า เม่ือนามาคานวณจากสมการ VG จะได้
ค่าออกมาสูง
6. อตั ราขยายกาลงั (Power Gain) ใชส้ ญั ลกั ษณ์ PG คืออตั ราขยายท่ีเกิดจากผลคูณของอตั ราขยายกระแส (β) กบั
อตั ราขยายแรงดนั (VG)
PG
= β x VG
ค่า PG ของวงจรอิมิตเตอร์ร่วมจะมีค่าประมาณ 40 dB ที่วงจรอิมิตเตอร์ร่วมมีอตั ราขยายกาลงั สูงเพราะมีท้งั
อตั ราขยายกระแส และอตั ราขยายแรงดนั เม่ือนามาคานวณเป็น PG จึงมีค่าสูงกวา่ วงจรร่วมอ่ืน ๆ
3.4 การจัดไบอสั แบบคงท่ี (FIXED BIAS)
ไบอสั คงท่ี คือ การจ่ายไบอสั ให้ขา B ของทรานซิสเตอร์คงที่ตลอดเวลา โดยไม่มีการเปล่ียนแปลง โดยที่
ความตา้ นทานคงที่ค่าหน่ึงรับแรงดนั จากแหล่งจา่ ยมาป้อนเขา้ ที่ขา B ของทรานซิสเตอร์
จากรูปท่ี 3.9 เป็ นวงจรไบอสั คงที่ มีหลกั การทางานดังน้ี ความตา้ นทาน RB เป็ นความตา้ นทานกาหนด
กระแส IB ไหล โดยมีแรงดนั VBE จ่ายไบอสั ตรงให้ขา B เทียบกบั ขา E เม่ือ IBไหลจะทาให้ IC ไหลด้วย
ทรานซิสเตอร์เมื่อนากระแสจะเกิดความร้อน ทาใหค้ วามตา้ นทานระหวา่ งรอยต่อขา C และขา E ลดลง กระแส
IC จะไหลมากข้ึน ซ่ึงถ้ายงั คงจ่าย VBE เท่าเดิมกระแส IB จะไหล มากข้ึนหมายถึงไบอสั ท่ีจ่ายให้ขา B ของ
ทรานซิสเตอร์มากเกินไป RB ถูกกาหนดใหไ้ บอสั ขา B คงท่ี ทาใหไ้ บอสั ถูกจ่ายเขา้ ขา B ของทรานซิสเตอร์มาก
ข้ึนตลอดเวลากระแส IC ก็จะไหลมากข้ึนตลอดเวลา ทรานซิสเตอร์จะร้อนมากข้ึนจนทรานซิสเตอร์ชอร์ตชารุด
เสียหาย ขอ้ ดีของวงจรไบอสั คงที่คือใช้อุปกรณ์น้อย ขอ้ เสียของวงจรไบอสั คงท่ี คือ ไม่คงที่ต่ออุณหภูมิ ไม่
สามารถนาไปใชง้ านแบบต่อเนื่องได้
3.5 การจัดไบอสั ช่วย (SELF BIAS)
ไบอสั ช่วยคือ การจ่ายไบอสั ใหข้ า B ของทรานซิสเตอร์แบบปรับเปล่ียนค่าได้ โดยใชค้ ่าความตา้ นทานคงที่
ค่าหน่ึง ขาหน่ึงต่อรับแรงดันจากขา C ของทรานซิสเตอร์ อีกขาหน่ึงของความต้านทานต่อเข้าขา B ของ
ทรานซิสเตอร์
ในรูปที่ 3.10 เป็ นวงจรไบอสั ช่วย มีหลกั การทางานดงั น้ี RB เป็ นความตา้ นทานกาหนดกระแส IB ไหล
ขาบนของ RB ต่อรับแรงดนั จากขา C ของทรานซิสเตอร์ ขาล่างของ RB ต่อเขา้ ขา Bของทรานซิสเตอร์ เกิด
แรงดนั VBE จ่ายเป็ นแรงดันไบอสั เม่ือกระแส IB ไหลก็จะทาให้เกิดความร้อนข้ึน ค่าความตา้ นทานในตวั
ทรานซิสเตอร์ลดลงทาใหก้ ระแส IC ไหลมากข้ึน เม่ือความตา้ นทานของตวั ทรานซิสเตอร์ลดลง จุด VC ก็จะมี
แรงดนั ลดลงดว้ ย แรงดนั ท่ีถูกจ่ายมาใหข้ า B ก็ลดลง แรงดนั VBE จะลดลงทาให้ IB ไหลนอ้ ยลง ทรานซิสเตอร์
ก็ทางานลดลงจนเขา้ สู่ภาวะปกติ ขอ้ ดีของวงจรไบอสั ช่วย คือ มีความคงที่ต่ออุณหภูมิ และสัญญาณท่ีถูกขยาย
ออกเอาตพ์ ุตมีความผิดเพ้ียนต่า ขอ้ เสียของวงจรไบอสั ช่วย คือ มีอตั ราขยายต่าเพราะสัญญาณท่ีส่งออกเอาตพ์ ุต
มีบางส่วนถูกป้อนกลบั มาอินพตุ
3.6 การจัดไบอสั แบบกระแสป้อนกลบั (Current Feedback Bias)
ไบอสั กระแสป้อนกลบั หรือไบอสั ปรับให้คงท่ี (Stabilize Bias) คือ การจา่ ยแรงดนั ไบอสั ท่ีB ของทรานซิสเตอร์
เป็นแบบไบอสั คงท่ี โดยถูกจดั เป็ นวงจรแบง่ แรงดนั การปรับใหค้ งท่ีโดยใส่ความตา้ นทานท่ีขา E ที่เรียกวา่ ความ
ต้านทานสเตบิไลซ์ (Stabilize Resistor) เป็ นตวั ช่วยปรับการจ่ายไบอัสให้ขา B ของทรานซิสเตอร์ให้จ่าย
พอเหมาะกบั ที่ทรานซิสเตอร์ตอ้ งการ
จากรูปที่ 3.11 เป็นวงจรไบอสั กระแสป้อนกลบั สามารถอธิบายหลกั การทางานไดด้ งั น้ี RARB ถูก
จดั วงจรเป็ นวงจรแบ่งแรงดนั (Voltage Divider) RA เป็ นตวั จากดั กระแสท่ีไหลผา่ นไป RB มากหรือน้อย RB
เป็ นตวั จ่ายไบอสั ตรงให้ขา B ของทรานซิสเตอร์ได้แรงดนั ที่ขา B คือ VB RE เป็ นความตา้ นทานสเตบิไลซ์ท่ี
ช่วยปรับแรงดนั VBE ที่จ่ายให้ทรานซิสเตอร์พอเหมาะกบั ที่ทรานซิสเตอร์ตอ้ งการCB เป็ นตวั จากดั สัญญาณที่
ถูกออกมาที่ขา E ทิ้งกราวดเ์ พื่อทาใหแ้ รงดนั VE ที่ขา E ของทรานซิสเตอร์มีเฉพาะแรงดนั ไฟ DC เทา่ น้นั
เมือจ่ายแรงดัน VBE ให้วงจรถูกต้อง จะทาให้เกิดกระแส IB ไหล กระแส IC ก็ไหลตามไปด้วย
ทรานซิสเตอร์จะเกิดความร้อนข้ึน รอยต่อ CE ของทรานซิสเตอร์จะลดค่าความตา้ นทานลง กระแสIC จะไหล
มากข้ึน มีกระแสไหลผ่าน RE มากข้ึนคือ VE มีศักย์มากข้ึนทรานซิสเตอร์ NPN ที่ VE มีบวกมากข้ึน
ทรานซิสเตอร์ PNP ที่ VE มีศกั ยล์ บมากข้ึน ส่วนที่ขา B หรือแรงดนั VB จะมีแรงดนั คงที่เพราะRA RB ถูกจดั
ไบอสั แบบไบอสั คงท่ี จากผลดงั กล่าวทาใหแ้ รงดนั VB VE หกั ลา้ งกนั เหลือเป็ นแรงดนั VBE ซ่ึงแรงดนั VBE จะ
ลดลง ทาให้กระแส IB ไหลลดลง ทรานซิสเตอร์ทางานน้อยลง กระแส IC ไหล น้อยลง ทรานซิสเตอร์ทางาน
เขา้ สู่ภาวะปกติ ขอ้ ดีของวงจรไบอสั กระแสป้อนกลบั คือ มีความคงที่ต่ออุณหภูมิดีมาก RE ที่เพ่ิมข้ึนทาให้
กระแส IC ไหลคงท่ี ถึงแมว้ า่ RA RB เปลี่ยนค่าหรือคลาดเคล่ือนไปไม่เกิน 20% ขอ้ เสียของวงจรไบอสั กระแส
ป้อนกลบั คือ ใชอ้ ุปกรณ์ในการตอ่ วงจรมาก คา่ ใชจ้ า่ ยก็เพิม่ มากข้ึน
3.7 การจัดไบอสั แบบผสม (Mixed Bias)
ไบอสั ผสม คือ การจดั แรงดนั ไบอสั ใหข้ า B ของทรานซิสเตอร์เป็ นแบบผสม ระหวา่ งไบอสั ช่วยกบั ไบอสั
กระแสป้อนกลบั ทาใหก้ ารทางานของทรานซิสเตอร์แบบน้ีมีความคงท่ีต่ออุณหภูมิมากท่ีสุด
ในรูปท่ี 3.12 เป็ นวงจรไบอสั ผสม มีหลกั การทางานดงั น้ี RA RB เป็ นวงจรแบ่งแรงดนั RAเป็ นตวั จากดั
กระแส RB เป็ นตวั จ่ายไบอสั ให้ขา B แรงดนั VB ขาบน RA รับแรงดนั จากขา C ของทรานซิสเตอร์ RE เป็ น
ความต้านทานสเตบิไลซ์ ปรับแรงดัน VBE ให้พอเหมาะ เม่ือจ่าย VBE ถูกต้องให้ขา B ของทรานซิสเตอร์
กระแส IB ไหลทาให้กระแส IC ไหลดว้ ย ทรานซิสเตอร์ทางานเกิดความร้อน ทาให้ IC ไหลมากข้ึน มีศกั ยต์ ก
คร่อม RE มากข้ึน แรงดนั VE มีศกั ยม์ ากข้ึน ทรานซิสเตอร์เม่ือนากระแสมากข้ึนความตา้ นทานระหวา่ งรอบต่อ
CE จะลดลง แรงดนั IC จะลดลงดว้ ย ทาให้แรงดนั VB ลดลงตาม จากที่แรงดนั VB ลดลง แรงดนั VE เพิ่มข้ึน
ทาให้แรงดนั VBE ลดลง ไบอสั ท่ีจ่ายให้ขาB ของทรานซิสเตอร์ลดลง กระแส IB จะไหลลดลง ควบคุมให้
กระแส IC ไหลลดลง ทรานซิสเตอร์ทางานเขา้ สู่ภาวะปกติ ขอ้ ดีของวงจรไบอสั ผสม คือ วงจรทางานมีความ
คงที่ต่ออุณหภูมิดีที่สุดและมีความผิดเพ้ียนน้อย ขอ้ เสียของวงจรไบอสั ผสม คือ อตั ราการขยายสัญญาณต่า
เพราะมีการป้อนกลบั สญั ญาณเอาตพ์ ุตเขา้ อินพุต และใชอ้ ุปกรณ์มากในการตอ่ วงจร ทาใหค้ า่ ใชจ้ า่ ยมากข้ึน