The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนเครื่องเสียง 64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha1906, 2022-03-28 03:30:02

แผนเครื่องเสียง 64

แผนเครื่องเสียง 64

กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้

ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน

4. ข้นั สรุปและประเมินผล ( 95 นาที ) 4. ข้ันสรุปและประเมินผล ( 95 นาที )

11. ผูส้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาท่ีไดเ้ รียน 8. ผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาท่ีไดเ้ รียนให้มีความ

ใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั เขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั

12. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียน

ดว้ ย PowerPoint ที่จดั ทาข้ึน 9. ผู้เรี ยน ศึกษ าเพ่ิมเติมน อกห้องเรี ยน ด้วย

PowerPoint ที่จดั ทาข้ึน

(บรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-6)

(รวม 480 นาที หรือ 8 คาบเรียน) (บรรลจุ ุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-6)

งานทม่ี อบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมนิ ผล

ก่อนเรียน

11. จดั เตรียมเอกสาร สื่อการเรียนการสอนบทท่ี7
12. ทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั จุดประสงคก์ ารเรียนของบทที่ 7 และใหค้ วามร่วมมือในการทากิจกรรมใน

บทท่ี 7

ขณะเรียน

12. ทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 7
13. ทาใบงานท่ี 8
14. ร่วมกนั สรุป “ภาคการทางานของเครื่องขยายเสียง”

หลงั เรียน

6. ทาใบงานท่ี 9

ผลงาน/ชิน้ งาน/ความสาเร็จของผู้เรียน

แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 7
ใบงานท่ี 8
ใบงานท่ี 9

สื่อการเรียนการสอน/การเรียนรู้

สื่อสิ่งพมิ พ์
16. เอกสารประกอบการสอนวิชา เคร่ืองเสียง(ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
ขอ้ ท่ี 1-6)
17. แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 7 ข้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 1
18. ใบงานที่ 8
19. ใบงานที่ 9

ส่ือโสตทศั น์ (ถ้ามี)
11. เคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์
12. PowerPoint เร่ือง ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง

สื่อของจริง
6. ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
ขอ้ ที่ 1-6)

แหล่งการเรียนรู้

ในสถานศึกษา
1. หอ้ งสมุดวทิ ยาลยั เทคนิคสมุทรสาคร
2. หอ้ งปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ ศึกษาหาขอ้ มูลทางอินเทอร์เน็ต

นอกสถานศึกษา
ผปู้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่ินจงั หวดั สมุทรสาคร

การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กบั วชิ าอ่ืน

16. บูรณาการกบั วชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
17. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์
18. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าเบ้ืองตน้

การประเมินผลการเรียนรู้
 หลกั การประเมนิ ผลการเรียนรู้

ก่อนเรียน
6. ความรู้ความเขา้ ใจก่อนการเรียนการสอน

ขณะเรียน
12. ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนรู้บทที่ 7
13. ตรวจใบงานที่ 8
14. สังเกตการทางาน

หลงั เรียน
6. ตรวจใบงานท่ี 9

คาถาม

ผลงาน/ชิ้นงาน/ผลสาเร็จของผู้เรียน

ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 7
ตรวจใบงานที่ 8
ตรวจใบงานที่ 9

สมรรถนะท่ีพงึ ประสงค์

ผเู้ รียนสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง
21. วเิ คราะห์และตีความหมาย
22. ต้งั คาถาม
23. อภิปรายแสดงความคิดเห็นระดมสมอง
24. การประยกุ ตค์ วามรู้สู่งานอาชีพ

สมรรถนะการปฏิบตั งิ านอาชีพ

6. แสดงความรู้ทวั่ ไปเกี่ยวกบั ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง

สมรรถนะการขยายผล

ความสอดคล้อง
จากการเรียนเร่ือง ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง ทาใหผ้ เู้ รียนมีความรู้เพมิ่ เก่ียวกบั ภาคตา่ ง ๆ ของเคร่ือง
ขยายเสียง ปรีแอมปลิฟายเออร์ มิกส์เซอร์ โวลลุ่มและโทนคอนโทรล กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์อ เป็นตน้

รายละเอยี ดการประเมนิ ผลการเรียนรู้

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 1 อธิบายภาคตา่ ง ๆ ของเคร่ืองขยายเสียงได้

16. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

17. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

18. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : อธิบายภาคตา่ ง ๆ ของเคร่ืองขยายเสียงได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 2 บอกหลกั การทางานและหนา้ ท่ีของภาคปรีแอมป์

16. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

17. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

18. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บอกหลกั การทางานและหนา้ ท่ีของภาคปรีแอมป์ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี ต่อวงจรมิกเซอร์เบ้ืองตน้ แบบ 2 อินพุตได้

16. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

17. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

18. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ตอ่ วงจรมิกเซอร์เบ้ืองตน้ แบบ 2 อินพตุ ได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 4 ปรับเพ่ิมเสียงโวลลุ่มและโทนคอนโทรลได้

13. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

14. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

15. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : 4. ปรับเพ่มิ เสียงโวลลุ่มและโทนคอนโทรลได้ จะได้ 2 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 5 ปรับแต่งความถี่กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์

7. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

8. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

9. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ปรับแต่งความถ่ีกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 6 สรุปภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารให้คะแนน
: สรุปภาคการทางานของเครื่องขยาย
เสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม จะได้ 2 คะแนน

แบบประเมนิ หลงั การเรียนบทที่ 7

ตอนที่ 1 จงเติมคาในช่องว่างให้ถูกต้อง
1. โวลลุ่มและลาวดเ์ นสจะใชใ้ นการ..............................................ตามความตอ้ งการของผฟู้ ัง
2. ภาคโทนคอนโทรลจะทาหนา้ ท่ีคลา้ ยกบั ...........................................................................
3. คุณสมบตั ิของกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์จะคลา้ ยกบั ...............................................................
4. ภาคปรีแอมป์ และ..............................................จะตอ่ อยูใ่ นภาคเดียวกนั และทางานร่วมกนั
5. ป่ ุมปรับเสียงทุม้ ทาหนา้ ที่เพ่ิมลดสญั ญาณเสียงยา่ นความถ่ีต่าต้งั แต่ประมาณ...................Hz ถึง
............................................Hz
6. อินพตุ ที่ไมจ่ าเพาะเจาะจงจะมีข้วั ต่อ 2 อินพุต คือ...............................................................
7. โทนปรับเสียงแหลมแบบพาสซีฟ ใช.้ ............................ต่ออนั ดบั กบั ตวั ตา้ นทานท่ีปรับคา่ ได้
8. กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ท่ีนิยมใชจ้ ะเป็นแบบ.......................................................................
9. ภาคไดรเวอร์จะทางานร่วมกบั ภาค...................................................................................
10. กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ ใชห้ ลกั การทางานของวงจร............................................................

ตอนที่ 2 กากบาทลงหนา้ คาตอบท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพียงขอ้ เดียว
1. ความสาคญั ของเครื่องขยายเสียงที่ทใหไ้ ดค้ ุณภาพและประสิทธิภาพข้ึนอยกู่ บั อะไร ?
ก. การสร้าง
ข. การออกแบบ
ค. การเลือกอุปกรณ์
ง. ถูกทุกขอ้
2. ปัจจยั สาคญั ในการเลือกเคร่ืองขยายมาใชง้ านคืออะไร ?
ก. กาลงั ขยาย
ข. ความผดิ เพ้ียน
ค. ความไวทางอินพุต
ง ผลตอบสนองทางความถี่
3. ข้วั ตอ่ อินพุตท่ีสามารถนาไปใชส้ าหรับอินพุตเบา ๆ คืออะไร ?
ก. PHONO
ข. AUX
ค. TAPE

ง. TUNER
4. ส่วนที่ทาหนา้ ที่ยกระดบั เสียงทุม้ แหลมออกเอาตพ์ ุตมากขณะเปิ ดเคร่ืองขยายเสียงเบา ๆ คืออะไร ?
ก. โวลลุ่ม
ข. ลาวดเ์ นส
ค. โทน คอนโทรล
ง. กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์
5. ส่วนที่ปรับเพม่ิ ลดสัญญาณสียงในแตล่ ะความถ่ีไดต้ ามตอ้ งการคืออะไร ?
ก. โวลลุ่ม
ข. ลาวดเ์ นส
ค. ปรี - โทน
ง. กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์
6. ภาคปรีแอมป์ กาหนดอตั ราขยายจากอะไร ?
ก. จานวนอุปกรณ์ที่ใชง้ าน
ข. ขนาดของอีควอไลเซอร์
ค. ขนาดของแหล่งจ่ายไฟท่ีใช้
ง. ขนาดของการป้อนกลบั ทางลบ
7. BOOST คืออะไร ?
ก. การลดระดบั สญั ญาณ ข. การปรับแตง่ สัญญาณ
ค. การยกระดบั สัญญาณ ง. การกาหนดความถ่ีของสญั ญาณ
8. ขอ้ ใดคือคุณสมบตั ิของโทน คอนโทรลแบบพาสซีฟ ?
ก. มีการเพิม่ วงจรขยายเขา้ ไป
ข. มีวงจรป้อนกลบั แบบลบประกอบ
ค. ยกระดบั แบบทุม้ แหลมมากข้ึน
ง. มีการลดทอนทุม้ แหลมอยา่ งเดียว
9. ผลแสดงความดงั ของการปรับแตง่ เสียงในระดบั ที่เรียกวา่ แฟลท (FLAT) มีค่าเท่าใด ?
ก. 0 dB
ข. -10 dB
ค. +10dB
ง. 20 dB
10. RIPPLE คืออะไร ?
ก. ระดบั สญั ญาณรบกวน
ข. ความแรงของสญั ญาณเสียง

ค. การลดทอนสัญญาณ
ง. อตั ราขยายที่สูงท่ีสุด
11. R1 R2 C1 คือสมการหาค่าอะไร ?
ก. การตอบสนองความถ่ี
ข. เรโซแนนซ์ของวงจร
ค. อินดกั แตนซ์ของ
L ง. อตั ราขยาย
12. กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์มียา่ นการปรับความถี่เสียงสูงสุดเท่าไร ?
ก. 20 ยา่ น
ข. 21 ยา่ น
ค. 22 ยา่ น
ง. 23 ยา่ น
13. ขอ้ เสียของวงจรโทนคอนโทรลแบบพาสซีฟคืออะไร ?
ก. ไม่มีการขยายสญั ญาณ
ข. ตอบสนองความถ่ีของวงจรไม่ดี
ค. มีการรบกวนของสนามแมเ่ หล็ก
ง. ไมม่ ีเสถียรภาพเน่ืองจากอุณหภูมิ
14. ภาคใดเป็นการขยายสัญญาณเสียงภาคสุดทา้ ย ?
ก. ภาคปรีแอมป์
ข. ภาคกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์
ค. ภาคไดเวอร์
ง. ภาคเพาเวอร์แอมป์
15. ในการสร้างไอซีออปแอมป์ รวมกบั RC ในวงจรแทนขดลวดจริงในวงจรกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ อุปกรณ์ตวั
น้ีมีชื่อวา่ อะไร ?
ก. แทรป
ข. บาแซนดลั
ค. ไจเรเตอร์
ง. รีแอกเตอร์

ตอนที่ 3 จากโจทย์จงอธิบายให้ได้ความหมายทสี่ มบูรณ์
1. จงเขียนบล็อกไดอะแกรมของระบบเครื่องขยายเสียง ?
2. ในเคร่ืองขยายเสียงประกอบดว้ ยก่ีภาคอะไรบา้ ง ?
3. ภาคโวลลุ่มและลาวดเ์ นสมีหนา้ ท่ีอะไร ?
4. ภาคโทน คอนโทรลมีหนา้ ท่ีอะไร และวงจรโทน คอนโทรลมีก่ีแบบ อะไรบา้ ง ?
5. ปรีแอมป์ มีหนา้ ท่ีอะไร ?
6. อีควอไลเซอร์มีหนา้ ท่ีอะไร ?
7. กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์คืออะไร ?
8. กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์มีหลกั การทางานอยา่ งไร ?
9. วงจรไจเรเตอร์คืออะไร ?
10. จงอธิบายหลกั ในการปรับแตง่ ภาคโทนคอนโทรลแบบแอกทีฟ ?

แบบประเมินผลการนาเสนอผลงาน
ช่ือกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................

รายชื่อสมาชิก

1……………………………………เลขที่……. 2……………………………………เลขท่ี…….

3……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขที่…….

ที่ รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เห็น

32 1

1 เน้ือหาสาระครอบคลมุ ชดั เจน (ความรู้เก่ียวกบั เน้ือหา ความถกู ตอ้ ง

ปฏิภาณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ )

2 รูปแบบการนาเสนอ

3 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม

4 บุคลิกลกั ษณะ กิริยา ท่าทางในการพดู น้าเสียง ซ่ึงทาให้ผูฟ้ ังมีความ

สนใจ

รวม

ผปู้ ระเมิน…………………………………………………

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจนถูกตอ้ ง
3 คะแนน = มสี าระสาคญั ครบถว้ นถูกตอ้ ง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ครบถว้ น แต่ตรงตามจุดประสงค์
1 คะแนน = สาระสาคญั ไมถ่ ูกตอ้ ง ไม่ตรงตามจุดประสงค์

2. รูปแบบการนาเสนอ
3 คะแนน = มีรูปแบบการนาเสนอท่ีเหมาะสม มกี ารใชเ้ ทคนิคท่ีแปลกใหม่ ใชส้ ื่อและเทคโนโลยี
ประกอบการ นาเสนอท่ีน่าสนใจ นาวสั ดุในทอ้ งถิ่นมาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งคุม้ ค่าและประหยดั
6 คะแนน = มีเทคนิคการนาเสนอท่ีแปลกใหม่ ใชส้ ื่อและเทคโนโลยปี ระกอบการนาเสนอท่ีน่าสน ใจ แต
ขาดการประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถิ่น
1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไม่เหมาะสม และไมน่ ่าสนใจ

3. การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมบี ทบาทและมสี ่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม

4. ความสนใจของผฟู้ ัง
3 คะแนน = ผฟู้ ังมากกวา่ ร้อยละ 90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื
2 คะแนน = ผฟู้ ังร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
1 คะแนน = ผฟู้ ังนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื

แบบประเมนิ กระบวนการทางาน

ชื่อกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................

รายชื่อสมาชิก 2……………………………………เลขท่ี…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขที่…….

ที่ รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เห็น

1 การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ที่รับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม
3 การปฏิบตั หิ นา้ ที่ท่ีไดร้ ับมอบหมาย
4 การประเมินผลและปรบั ปรุงงาน

รวม

ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
วนั ที่…………เดือน……………………..พ.ศ…………...

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายการทางานอยา่ งชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน

2. การหนา้ ท่ีรับผิดชอบและการเตรียมความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจดั เตรียมสถานที่ ส่ือ /
อปุ กรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง แต่ไมต่ รงตามความสามารถ และมีส่ือ / อุปกรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง แตข่ าด
การจดั เตรียมสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทว่ั ถึงและมีส่ือ / อุปกรณ์ไม่เพยี งพอ

3. การปฏิบตั ิหนา้ ที่ที่ไดร้ ับมอบหมาย
3 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย และตามเวลาที่กาหนด
2 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย แตช่ า้ กวา่ เวลาท่ีกาหนด
1 คะแนน = ทางานไมส่ าเร็จตามเป้าหมาย

4. การประเมินผลและปรับปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนร่วมปรึกษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็ นระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ แตไ่ ม่ปรับปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมไม่มีส่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรุงงาน

บันทกึ หลงั การสอน

บทท่ี 7 ภาคการทางานของเครื่องขยายเสียง

ผลการใช้แผนการสอน

10. เน้ือหาสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
11. กิจกรรมการสอนเหมาะสมกบั เน้ือหาและเวลาท่ีกาหนด
12. ส่ือการสอนเหมาะสมดี

ผลการเรียนของนักเรียน

7. นกั ศึกษาส่วนใหญ่มีความเขา้ ใจในบทเรียน อภิปรายตอบคาถามในกลุ่ม และร่วมกนั ปฏิบตั ิงานท่ี
ไดร้ ับมอบหมาย

8. นกั ศึกษากระตือรือร้นและรับผดิ ชอบในการทางานกลุ่มเพื่อใหง้ านสาเร็จทนั เวลาท่ีกาหนด

ผลการสอนของครู

10. สอนเน้ือหาไดค้ รบตามหลกั สูตร
11. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเน้ือหาการสอนทาใหผ้ สู้ อนสอนไดอ้ ยา่ งมน่ั ใจ
12. สอนทนั ตามเวลาท่ีกาหนด

แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี

แผนการจดั การเรียนรู้ บทที่ 8

ช่ือวชิ า เครื่องเสียง สอนสปั ดาห์ท่ี 13-14

ชื่อหน่วย อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง คาบรวม 56

ชื่อเรื่อง อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง จานวนคาบ 4

หัวข้อเรื่อง

1. ไมโครโฟน
2. สายสญั ญาณ
3. ลาโพง
4 .สายลาโพง
5 .ปลกั๊ และแจค๊
6 .ครอสโอเวอร์เน็ทเวริ ์ค

สาระสาคญั

อุปกรณ์ท่ีใช้ประกอบในระบบเสียง เพื่อให้ไดร้ ะบบเสียงมีคุณภาพดีเราไม่ควรมองขา้ มการเลือกใช้
งานอุปกรณ์ต่าง ๆ อยา่ งเหมาะสม หากเคร่ืองเสียงดีแต่อุปกรณ์ท่ีใชป้ ระกอบในระบบเสียงไม่ดีเสียงที่ไดอ้ อกมา
ก็จะดอ้ ยคุณภาพลง เกิดสัญญาณแทรกซ้อน มีสัญญาณรบกวน หรือเกิดสัญญาณแปลกปลอมต่าง ๆ ท่ีอาจทาให้
เกิดปัญหาต่าง ๆ หรือความเสียหายกบั เคร่ืองเสียงได้ หากเคร่ืองเสียงท่ีใชม้ ีคุณภาพดีบวกกบั อุปกรณ์ประกอบมี
คุณภาพดีแลว้ น้นั ผลที่ไดต้ ามมาคือเราจะไดร้ ะบบเสียงที่สมบูรณ์แบบ อุปกรณ์ที่นิยมนามาใชป้ ระกอบในระบบ
เสียง ไดแ้ ก่ ไมโครโฟน, สายนาสัญญาณ, ลาโพง, สายลาโพง, ปลก๊ั แจ๊ค และขอ้ ต่อต่าง ๆ, ครอสโอเวอร์เน็ท
เวิร์ค ซ่ึงในบทน้ีจะกล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ชนิด, โครงสร้าง, การทางาน, คุณสมบัติต่าง ๆ, ความ
เหมาะสมในการนาไปใชง้ านและรายละเอียดอื่น ๆ ของอุปกรณ์ที่ใชป้ ระกอบในระบบเสียง

สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย

- แสดงความรู้เก่ียวกบั อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง

คาศัพท์สาคญั

จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้

 จุดประสงค์ทวั่ ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

5. เพ่ือใหม้ ีความรู้เก่ียวกบั การอธิบายกาลงั ไฟฟ้ากระแสสลบั (ด้านความรู้)
6. เพอื่ ใหม้ ีทกั ษะในเขียนสมการของแฟกเตอร์กาลงั (ด้านทักษะ)
7. เพ่อื ใหม้ ีเจตคติท่ีดีในการช้ีแจงการแกแ้ ฟกเตอร์กาลงั (ด้านจิตพิสัย)
8. เพือ่ สรุปแฟกเตอร์กาลงั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจ

พอเพยี ง)

 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. อธิบายชนิดและการทางานของไมโครโฟนแต่ละชนิดได้ (ด้านความรู้)
2. บอกลกั ษณะของสายนาสญั ญาณที่ดีได้ (ด้านความรู้)
3. แยกแยะชนิดและการทางานของลาโพงได้ (ด้านทักษะ)
4. ปฏิบตั ิตามหนา้ ที่และลกั ษณะของสายลาโพงแตล่ ะชนิดได้ (ด้านทักษะ)
5. จาแนกชนิดของปลกั๊ และแจ๊คได้ (ด้านทักษะ)
6. ช้ีแจงหลกั การทางานของครอสโอเวอร์เน็ทเวริ ์คได้ (ด้านจิตพิสัย)
7. สรุปอุปกรณ์ประกอบในระบบเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณา

การเศรษฐกิจพอเพยี ง)

เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้

• ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี

8.1 ไมโครโฟน (MICROPHONES)

ไมโครโฟน (Microphones) เป็นอุปกรณ์ท่ีเปล่ียนสัญญาณเสียง (Acoustic Energy) ท่ีเขา้ มาใหเ้ ป็ น
สญั ญาณไฟฟ้า (Electric Energy) เวลาท่ีเราพูดเสียงจะทาใหอ้ ากาศโดยรอบสัน่ ตามท่ีเคย กล่าวผา่ นมาแลว้ ใน
บทที่ 1 การส่นั น้ีส่งผลทาใหไ้ ดอะแฟรมของไมโครโฟนส่ันเม่ือไดอะแฟรมของไมโครโฟนส่ันก็จะทาใหเ้ กิด
คลื่นไฟฟ้าในลกั ษณะแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลบั โดยความแรงของสัญญาณไฟฟ้าที่ออกจากเอาตพ์ ตุ ของ
ไมโครโฟนน้นั ข้ึนอยกู่ บั ความเขม้ ของเสียงที่ป้อนเขา้ มา ความไวในการรับเสียงของไมโครโฟน ระยะทาง
ระหวา่ งไมโครโฟนกบั แหล่งกาเนิดเสียง

การใชง้ านไมโครโฟนน้นั มิไดใ้ ชง้ านสาหรับการอภิปรายหรือการแสดงวาทะเพียงอยา่ งเดียวเท่าน้นั แต่
การใชไ้ มโครโฟนยงั รวมไปถึงการใชง้ านเสียงของโทรทศั น์, วทิ ย,ุ ภาพยนตร์,คอนเสิร์ต, หอ้ งบนั ทึกเสียง เป็ น
ตน้ การเลือกใชห้ รือเลือกซ้ือไมโครโฟนน้นั มีสิ่งท่ีตอ้ งคานึงหลายอยา่ งดงั น้ี ชนิดของไมโครโฟน ไมโครโฟน
ชนิดตา่ งกนั ยอ่ มมีคุณสมบตั ิท่ีแตกต่างกนั ไปดว้ ยรวมไปถึงความสามารถทางเทคนิคและการใชง้ านเฉพาะท่ี
ต่างกนั ออกไป คุณสมบตั ิทางทิศทางเสียงเป็นอยา่ งไรไมโครโฟนแต่ละชนิดน้นั มีทิศทางในการรับเสียงท่ี
ตา่ งกนั ออกไปผใู้ ชจ้ ึงควรทราบวา่ ไมโครโฟนที่จะใชต้ อ้ งมีทิศทางในการรับเสียงเป็ นแบบใดเมื่อนาไปใชจ้ ึงจะ
ก่อใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดในการใชง้ านลกั ษณะของเสียงท่ีนาไมโครโฟนไปใชง้ านน้นั เป็นเสียงพดู เสียงดนตรี
เสียงในสถานท่ีตา่ งๆ ส่ิงเหล่าน้ีตอ้ งเลือกใชไ้ มโครโฟนใหถ้ ูกแบบ การแบ่งชนิดของไมโครโฟนหากแบ่งตาม
ลกั ษณะจะแบ่งได้ 5 ประเภทโดยมี 3 ประเภทท่ีจดั อยใู่ นระดบั มืออาชีพและอีก 2 ประเภทอยใู่ นระดบั ท่ีไม่ใช่มือ
อาชีพ ไมโครโฟนที่ใชใ้ นงานมืออาชีพมี 3 ชนิด ไดแ้ ก่

1. แบบมูฟวง่ิ คอยล์ (Moving Coil)

2. แบบริบบอน (Ribbon)

3. แบบคอนเดนเซอร์ (Condenser)

ไมโครโฟนท่ีไม่จดั เป็นระดบั มืออาชีพมี 2 ชนิดไดแ้ ก่

1. แบบคาร์บอน (Carbon)

2. แบบคริสตลั (Crystal) หรือแบบเซรามิก (Ceramic)

8.1.1 ไมโครโฟนชนิดมูฟวง่ิ คอยล์ (Moving Coil Microphone) ไมโครโฟนชนิดมูฟวง่ิ คอยล(์ Moving Coil
Microphone) สามารถเรียกไดอ้ ีกอยา่ งวา่ ไมโครโฟนชนิดไดนามิก (Dynamic Microphone) เป็นไมโครโฟนที่
นิยมใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางเพราะมีความทนทานแขง็ แรง มีความไว ในการรับเสียง ไม่มีสัญญาณรบกวน มีความ

ชดั เจนไม่ผดิ เพ้ียนและราคาไม่แพง ไมโครโฟนชนิดมูฟวงิ่ คอยลเ์ ป็นไมโครโฟนที่อาศยั หลกั การทางานโดยใช้
ขดลวดเคล่ือนที่ในสนามแมเ่ หลก็ ดงั รูปที่ 8.1

จากรูปท่ี 8.1 เป็ นโครงสร้างของไมโครโฟนซ่ึงจะประกอบไปดว้ ย เครื่องกาบงั (Shield)เป็นลดตาข่ายมีหนา้ ที่
ป้องกนั การกระแทกแผน่ ไดอะแฟรม แผน่ ไดอะแฟรม (Diaphram) ทาหนา้ ท่ีรับสัญญาณเสียงท่ีส่งเขา้ มาและสน่ั
ตามคล่ืนเสียงน้นั ขดลวด (Coil) เป็นลวดท่ีถูกพนั บนกรวยทรงกระบอกที่ยดึ ติดกบั แผน่ ไดอะแฟรมปลายลวด
ท้งั สองขา้ งจะเป็นเอาตพ์ ุต แมเ่ หล็กถาวร (Permanent Magnet) วางอยรู่ อบ ๆ ขดลวดทาหนา้ ที่ส่งสนามแมเ่ หลก็
ออกมาลอ้ มรอบขดลวด การทางานของไมโครโฟนชนิดน้ีเม่ือมีการพดู เสียงจะเดินทางผา่ นแผน่ กาบงั มาท่ีแผน่
ไดอะแฟรมทาใหแ้ ผน่ ไดอะแฟรมเกิดการสั่นส่งผลใหข้ ดลวดท่ีติดแผน่ ไดอะแฟรมสัน่ ตามไปดว้ ยเม่ือขดลวด
ตดั ผา่ นสนามแม่เหล็กของแม่เหล็กถาวร ทาใหเ้ กิดการชกั นาแรงดนั ไฟกระแสสลบั ข้ึนมาส่งออกไปที่เอาตพ์ ุต
โดยสญั ญาณที่ไดอ้ อกมาน้นั มีรูปคล่ืนไฟฟ้าเหมือนคล่ืนเสียงที่มากระทบ สญั ญาณเสียงท่ีส่งออกมาน้นั จะถูกตอ่
เขา้ กบั แมทช่ิงทรานฟอร์มเมอร์เพ่ือปรับอิมพีแดนซ์ระหวา่ งไมโครโฟนและเคร่ืองขยายเสียง

8.1.2 ไมโครโฟนชนิดริบบอน (Ribbon Microphone) ไมโครโฟนแบบริบบอน (Ribbon Microphone)
อาจเรียกวา่ เวโลซิต้ีไมโครโฟน (Velocity Microphone) เป็นไมโครโฟนท่ีใชแ้ ผน่ ลูกฟูกอะลูมิเนียมอลั ลอย
(Aulminum Alloy Corrugated) เคล่ือนท่ีในสนามแมเ่ หล็กมีความเขม้ สูงเป็นไมโครโฟนที่มีความตอบสนอง
ความถ่ีกวา้ งมกั ใชเ้ ป็นเคร่ืองมือวดั ความดงั เสียงหรือใชก้ บั งานท่ี มีคลื่นเสียงหลากหลาย

จากรูปที่ 8.3 แสดงโครงสร้างไมโครโฟนแบบริบบอน การทางานของไมโครโฟนแบบริบบอนเมื่อคลื่น
เสียงเดินทางมากระทบโลหะริบบอนทาใหร้ ิบบอนส่ันสะเทือนตามจงั หวะเสียงเม่ือริบบอนตดั ผา่ น
สนามแมเ่ หลก็ ของแม่เหลก็ ถาวร ทาใหเ้ กิดการชกั นาแรงดนั ไฟกระแสสลบั ข้ึนมาส่งออกไปท่ีเอาตพ์ ุต โดย
สญั ญาณที่ไดอ้ อกมาน้นั มีรูปคล่ืนไฟฟ้าเหมือนคลื่นเสียงที่มากระทบ สัญญาณเสียงที่ส่งออกมาน้นั จะถูกตอ่ เขา้
กบั แมทชิ่งทรานฟอร์มเมอร์เพ่อื ปรับอิมพแิ ดนซ์ระหวา่ งไมโครโฟนและเคร่ืองขยายเสียง

8.1.3 ไมโครโฟนชนิดคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) เป็นไมโครโฟนท่ีใชค้ ุณสมบตั ิของตวั เก็บ
ประจุในการทางานโดยไม่มีแมเ่ หล็กเขา้ มาเกี่ยวขอ้ ง ไมโครโฟนแบบคอนเดนเซอรเำ์ ปน็ ไมโครโฟนทีนิ่
ยมใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางอีกชนิดหนึง่ เพราะมีความไวในการรบั เสียงดีตอบสนองความถ่ีไดก้ วา้ งมาก ความ
ผดิ เพ้ยี นต่า ขนาดเล็ก ติดต้งั สะดวก

8.1.4 ไมโครโฟนชนิดคาร์บอน (Carbon Microphone) เป็นไมโครโฟนสมยั แรก ๆ ท่ีผลิตข้ึนมาใชง้ าน
โดยอาศยั การเปลี่ยนแปลงของคา่ ความตา้ นทานของผงคาร์บอน ไมโครโฟนแบบคาร์บอนจะใหส้ ญั ญาณทาง
เอาตพ์ ุตสูงมากแตก่ ารตอบสนองต่อความถ่ีเสียงน้นั ต่ามากจึงไม่เป็นที่นิยมใชใ้ นปัจจุบนั โครงสร้างของ
ไมโครโฟนชนิดน้ีจะแสดงใหเ้ ห็นในรูปที่ 8.8

8.1.5 ไมโครโฟนแบบคริสตลั (Crystal Microphone) เป็นการอาศยั การทางานของแร่จาพวกควอสซ์หรือ

เกลือโรเชลลท์ ี่อยใู่ นรูปผลึก (Crystal Quartz or Rocheller Salt) เม่ือเกิดการส่นั จะทาให้เกิดแรงดนั ไฟสลบั
ข้ึนมา ไมโครโฟนแบบน้ีจะใหส้ ญั ญาณออกเอาตพ์ ุตสูง เอาตพ์ ุตอิมพแี ดนซ์สูงแตม่ ีปัญหาตรงท่ีการตอบสนอง
ความถ่ีสูงๆ หากสายไมโครโฟนที่ยาวเกินไปจะทาใหเ้ กิดการออส ซิลเลตทาใหเ้ กิดการหกั ลา้ งภายในสาย
ไมโครโฟนทาใหอ้ ตั ราการขยายความถี่สูงลดลงและปัญหาอีกอยา่ งคือ การทางานของไมโครโฟนแบบคริสตลั
จะมีผลต่ออุณหภูมิมากทาใหไ้ มโครโฟนแบบคริสตลั ไมน่ ิยมใชก้ นั ในปัจจุบนั

8.1.6 คุณสมบตั ิเก่ียวกบั ทิศทางของไมโครโฟน การเลือกไมโครโฟนเป็ นเรื่องราวทางเทคนิคอีกอยา่ งที่นอ้ ยคน
นกั ท่ีจะเขา้ ใจ นอกจากลกั ษณะทางโครงสร้างแลว้ ยงั มีตวั แปรอีกอยา่ งท่ีควรคานึงคือทิศทางการรับเสียงของ
ไมโครโฟนคาวา่ “พคิ อพั๊ แพทเทิร์น” (Pickup Pattern) โดยพิคอพั๊ แพทเทิร์นเป็นตวั บอกวา่ ไมโครโฟนตวั น้นั ๆ
มีทิศทางการรับเสียงดา้ นใดดีท่ีสุด และบริเวณใดที่สามารถรับเสียงไดน้ อ้ ย พิคอพั๊ แพทเทิร์นโดยทวั่ ไปแบง่ ได้ 5
แพทเทิร์น ไดแ้ ก่

8.1.6.1 แบบรอบทิศทาง (Omnidirectional Pattern) เป็นไมโครโฟนที่มีความไวในการรับเสียงไดท้ ุกทิศทาง
เท่ากนั เป็นไมโครโฟนท่ีใชใ้ นงานบนั ทึกเสียงส่ิงตา่ ง ๆ ตามตอ้ งการแตไ่ ม่นิยมใชก้ บั ละครเวที

8.1.6.2 แบบทิศทางเดียว (Unidirectional Pattern) หรืออาจเรียกวา่ แบบรูปหวั ใจ (Cardioid Pattern) เป็น
ไมโครโฟนที่สามารถรับเสียงไดด้ ีเฉพาะดา้ นหนา้ มีมุมรับเสียงทางดา้ นหนา้ กวา้ ง นิยมใชง้ านเป็นไมโครโฟน
มือถือ (Hand Held Microphone)

8.1.6.3 แบบสองทิศทาง (Bidirectional Pattern) หรืออาจเรียกวา่ แบบเลข 8(Figure 8 Pattern) เป็นไมโครโฟนท่ี
มีทิศทางการรับเสียงสองทิศทางเท่ากนั เป็นไมโครโฟนท่ีใชง้ านเป็นพเิ ศษเฉพาะอยา่ ง เช่น ใชก้ บั เปี ยโนในหอ้ ง
ที่ป้องกนั เสียงสะทอ้ น และใชใ้ นละครวทิ ยุ

8.1.6.4 แบบรูปหวั ใจยาว (Hypercardioid Pattern) เป็นไมโครโฟนที่มีความไวในการรับเสียงไดท้ ิศทางเดียว
เฉพาะดา้ นหนา้ แตม่ ีมุมรับเสียงที่แคบประมาณไมเ่ กิน 120 องศา

8.1.6.5 แบบปื นส้ัน (Shotgun Pattern) เป็นไมโครโฟนท่ีมีความไวในการรับเสียงมีมุมรับเสียงแคบรูปลกั ษณะ
คลา้ ยปื นส้ันใชส้ าหรับความตอ้ งการท่ีจะรับเสียงบางส่วนจากแหล่งกาเนิดเสียงตอ้ งการตดั เสียงดา้ นขา้ งและ
ดา้ นหลงั ออกใชง้ านไดด้ ีโดยปราศจากเสียงสะทอ้ นเสียงรอบขา้ งหรือใชง้ านในที่กวา้ งป้องกนั เสียงรบกวนไดด้ ี

8.2 สายสัญญาณ (Audio Cable)

สายสัญญาณ (Audio Cable) เป็นสายที่ส่งผา่ นสญั ญาณเสียงในรูปสญั ญาณไฟฟ้าจากเคร่ืองเสียงชนิดหน่ึง
ไปยงั เครื่องเสียงอีกชนิดหน่ึง การเช่ือมต่อสัญญาณจากเครื่องเสียงไปจุดใดจุดหน่ึงหรือจากเคร่ืองเสียงไปจุดอ่ืน
ๆ สายสญั ญาณตอ้ งเขา้ มามีบทบาทเสมอ สายสัญญาณถือเป็น อุปกรณ์ประกอบอยา่ งหน่ึงท่ีมีความสาคญั มาก
เพราะตอ้ งส่งผา่ นสัญญาณเสียงจากเครื่องหน่ึงไปยงั อีกเครื่องหน่ึงหากสายสัญญาณมีคุณภาพไมด่ ีเสียงท่ีถูก
ส่งผา่ นไปอาจจะเกิดความผดิ เพ้ียนความถ่ีส่วนใดส่วนหน่ึงของสญั ญาณเสียงหายไป สญั ญาณที่ถูกส่งผา่ นถูก

ลดทอนลง ส่ิงต่าง ๆ ที่กล่าวไปน้นั ลว้ นเป็นส่ิงท่ีไม่ตอ้ งการใหเ้ กิดข้ึนในระบบเสียง จึงไดม้ ีการคิดคน้ ทดลอง
สร้างสายนาสัญญาณท่ีดีท่ีสุดออกมาใชเ้ พื่อใหร้ ะบบเครื่องเสียงยงั คงเป็นแบบไฮ-ไฟอยู่ โครงสร้างท่ีสาคญั ของ
สายนาสัญญาณ ประกอบดว้ ย 3 ส่วนคือ ส่วนวสั ดุตวั นา ส่วนวสั ดุกาบงั และส่วนฉนวน ซ่ึงแตล่ ะส่วนมี
ความสาคญั และตอ้ งมีคุณสมบตั ิอยา่ งไรจึงจะทาใหส้ ายสญั ญาณน้นั เป็ นสายสัญญาณที่มีคุณภาพดี
ส่วนประกอบของสายนาสญั ญาณที่ดีมีดงั น้ี

8.2.1 วสั ดุตวั นา (Conductor) ในสายนาสญั ญาณจะใชว้ สั ดทุ ำเี ำ่ ปน็ พวกทองแดงเพราะมีราคาถูก
หาไดง้ ่าย และนาไฟฟ้าไดด้ ีโดยกระบวนการผลิตทองแดงออกมาน้นั เรียกวา่ TCP (Touch Pitch Copper) โดย
การไล่อากาศออกซิเจนออกจากเน้ือทองแดงเม่ือนามาใชก้ บั สัญญาณเสียงทาใหค้ ุณภาพของเสียงเลวลง จึงไดม้ ี
การพฒั นากระบวนการผลิตมาเป็นแบบ OFC (Oxygen Free Copper)ผลิตดว้ ยกระบวนการของกา๊ ซเฉ่ือยเพื่อให้
เกิดออกซิเจนอิสระนอ้ ยลงในเน้ือทองแดง เม่ือนามานามาใชก้ บั สญั ญาณเสียงทาใหค้ ุณภาพของเสียงดีกวา่ TCP
แตค่ วามบริสุทธ์ิของเน้ือทองแดงยงั ไม่มากพอจึงเพราะมีอากาศอยใู่ นเน้ือทองแดงอยปู่ ระมาณ 10 ppm จึงไดม้ ี
การพฒั นากระบวนการผลิตทองแดงข้ึนอีกข้นั หน่ึงมีช่ือวา่ PCOCC (Pure Copper By Ohno Continuous
Casting Process) ผลิตข้ึนโดยกรรมวธิ ีการสมั บูรณ์ (Absolutely) ในการสังเคราะห์ (Synthesis) โลหะทองแดง
ในรูปผลึก โดยปราศจากธาตุออกซิเจนและไฮโดรเจนจนไดโ้ ลหะตวั นาทองแดงท่ีมีความบริสุทธ์ิอยา่ งยง่ิ ยวด
99.9999%

8.2.2 วสั ดุกาบงั (Shield) เป็นเส้นทองแดงขนาดเล็กถกั เป็นตาขา่ ยแลว้ นาไปหุม้ รอบโลหะตวั นาทองแดงเพอื่
ป้องกนั สญั ญาณรบกวน และการรักษาสดั ส่วนของสัญญาณไฟฟ้าในสายตวั นาแบบฉนวนคู่ ทาให้
สัญญาณไฟฟ้าเดินทางถึงเป้าหมายในรูปแบบท่ีสมบูรณ์และไมม่ ีผดิ เพ้ียน สายสญั ญาณแบง่ ออกเป็นสอง
ลกั ษณะคือแบบสมดุลและไมส่ มดุล

จากรูปที่ 8.12 แสดงสายนาสญั ญาณแบบสมดุล ประกอบดว้ ยสายนาสญั ญาณตวั ในสองเส้นแต่ละเส้นมี
ฉนวนหุม้ และแยกออกจากกนั โดยมีตวั นานอกหรือชีลด์เป็นแบบถกั หุม้ อยรู่ อบสายตวั นาภายใน นาไปต่อลง
กราวดใ์ ชป้ ้องกนั สัญญาณรบกวนต่าง ๆ เป็นสญั ญาณแบบนิยมใชใ้ นระบบเสียงปัจจุบนั

รูปที่ 8.13 เป็นสายนาสัญญาณแบบไมส่ มดุล ประกอบไปดว้ ยสายนาสัญญาณ 1 เส้นและตวั นาภายนอก
แบบถกั หุม้ โดยรอบตวั นาภายใน ถือเป็นส่วนหน่ึงของสายนาสัญญาณอีกเส้น เรียกสายสญั ญาณน้ีวา่ แบบตวั นา
แกนร่วม (Coaxial Construction) สายประเภทนี่สญั ญาณรบกวนสามารถสอดแทรกเขา้ ไปได้ นิยมใชก้ บั ระบบ
ดิจิตอลหรือสัญญาณไฟฟ้าท่ีความถี่สูง ๆ

8.2.3 ฉนวน (Insulator) เป็นวสั ดุสงั เคราห์ตา่ ง ๆ ที่ไม่นาไฟฟ้าจาพวก โพลีเอสเตอร์ลีน(Polyethylene: PE)
โพลีไวนีลคลอไรด์ (Polyvinylchloride: PVC) โพลีโพรไพลีน (Polypropylene: PP) เทฟลอน (Taflon) เป็นตน้
ฉนวนท่ีดีน้นั นอกจากป้องกนั การนาไฟฟ้าแลว้ ยงั ตอ้ งป้องกนั สัญญาณรบกวน หรือสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้าได้ มี
ความยดื หยนุ่ สูง รักษาสภาพของสายเม่ือมีการบิดงอไดท้ นต่อแรงเสียดสี แรงกด ไมแ่ ขง็ ตวั แตกหกั ง่าย

8.3 ลาโพง (Speaker)

ลาโพงเป็นอุปกรณ์ที่สาคญั มากชิ้นหน่ึงที่จะขาดไมไ่ ดเ้ ลยสาหรับเครื่องเสียง ลาโพงทาหนา้ ที่
เปล่ียนแปลงสญั ญาณไฟฟ้าใหเ้ ป็นสญั ญาณงานเสียง การทางานของลาโพงจึงเป็นส่วนกลบั ของไมโครโฟน
ลาโพงที่ดีน้นั จะตอ้ งตอบสนองการกาเนิดเสียงใหค้ รอบคลุมทุกยา่ นความถี่ท่ีมนุษยส์ ามารถรับฟังไดค้ ือ 20 Hz
ถึง 20 kHz ความถ่ีเสียงที่ถูกกาเนิดข้ึนที่เราสามารถรับฟังไดส้ ามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็นสองกลุ่มคือ เสียงพดู หรือ
เสียงร้องจะอยใู่ นช่วงความถี่ที่แคบประมาณ 100 Hz ถึง7.5 kHz ส่วนกลุ่มท่ีสองน้นั จะเป็นกลุ่มของเสียงดนตรี
เป็นเสียงที่มีช่วงความถี่กวา้ งมากประมาณ28 Hz ถึง 15 kHz ดว้ ยเหตุผลน้ีลาโพงที่ดีจะตอ้ งตอบสนองความถี่
เสียงของเสียงดนตรีได้ ลาโพงแต่ละชนิดจะเรียกตามส่วนสาคญั ของโครสร้างการผลิตลาโพงหรือตาม
โครงสร้างที่สามารถมองเห็นโดยลาโพงที่ใชง้ านในปัจจุบนั มีอยู่ 7 ชนิด

1. ลาโพงแบบไดนามิก (Dynamic Speaker)

2. ลาโพงแบบโดม (Dome Speaker)

3. ลาโพงแบบริบบอน (Ribbon Speaker)

4. ลาโพงแบบคริสตลั (Crystal Speaker)

5. ลาโพงแบบอิเลค็ โตรสแตติค (Electrostatic Speaker)

6. ลาโพงฮอร์น (Horn Speaker)

7. ลาโพงแบบพเิ ศษ

8.3.1 ลาโพงแบบไดนามิก (Dynamic Speaker) เป็นลาโพงท่ีทางานดว้ ยขดลวดเคลื่อนท่ีในสนามแม่เหลก็ ถือ
เป็นลาโพงที่นิยมใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางท้งั ในวทิ ย,ุ โทรทศั น์, เคร่ืองเสียงคุณภาพต่า ๆ ไปจนถึงเคร่ืองเสียง
คุณภาพสูงๆ สาเหตุที่นิยมใชก้ ็เพราะ การสร้างประกอบ การออกแบบ การวางรูปแบบ ทาไดง้ ่ายสะดวกสบาย
ไมเ่ กิดเสียงรบกวนเน่ืองจากไฟฟ้าและราคาไม่แพง

ในรูปท่ี 8.15 การทางานของลาโพงไดนามิก เม่ือมีสัญญาณเสียงในรูปคล่ืนไฟฟ้าป้อนเขา้ มาที่ข้วั ต่อ จะ
ทาใหเ้ กิดสนามไฟฟ้าที่บริเวณขดลวดเสียงเกิดการผลกั ดนั หรือดูดกนั กบั สนามแมเ่ หล็กถาวรข้ึนอยกู่ บั
สัญญาณเสียงท่ีอยใู่ นรูปสัญญาณไฟฟ้าท่ีป้อนเขา้ มา เมื่อขดลวดเกิดการเคลื่อนที่ตามสญั ญาณเสียงที่ป้อนเขา้ มา
กรวยลาโพงที่ถูกยดึ ติดกบั ขดลวดดว้ ยลูกฟูกก็จะคลื่นตามไปดว้ ยโดยท่ีปากกรวยจะถูกยดึ กบั โครงของลาโพง
ดว้ ยวงแหวนรอบนอก เม่ืออากาศบริเวณรอบกรวยเกิดการส่ันก็จะไดค้ ลื่นเสียงออกมา โดยมีรูปคลื่นเสียง ความ
แรง และความถ่ีเดียวกบั เสียงจากแหล่งกาเนิดที่ส่งมา

8.3.2 ลาโพงแบบโดม (Dome Speaker) เปน็ ลา โพงทีใำ่ ชห้ ลกั การเดยี วกบั ลาโพงแบบไดนามิกเพยี งแต่
ลาโพงชนิดน้ีจะใชเ้ ป็ นลาโพงขบั เสียงแหลมและเสียงกลางโดยมีลกั ษณะเป็นรูปโคง้ เหมือนโดม ไมเ่ หมือนแบบ
ไดนามิกท่ีมีลกั ษณะเป็นกรวย การสร้างโดมข้ึนมาเพ่ือใหก้ ารยดึ ตวั ของเยอื่ แขง็ แรงข้ึนโดยไม่ก่อใหเ้ กิดความฝืด
หลกั การของการสร้างอยทู่ ่ีวสั ดุที่นามาสร้างจะตอ้ งเป็นเยอื่ ที่เบาโดยยง่ิ เบาไดเ้ ท่าไหร่ย่ิงดี แต่เยอื่ เบาๆ น้นั การ
ยดึ เยอ่ื จะทาไดล้ าบาก ดงั น้นั การมีโดมจะแกป้ ัญหาน้ีได้ เพอื่ ใหก้ ารเคล่ือนไหวของเยอ่ื เป็นไปไดส้ ะดวก หาก
สังเกตดูขอบลาโพงประเภทน้ีท่ีขอบของลาโพงสามารถใชข้ อบอ่อนไดโ้ ดยไม่ตอ้ งกลวั ขอบลาโพงจะหลุด
โครงสร้างของลาโพงแบบโดมจะแสดงใหเ้ ห็นในรูปท่ี 8.16

8.3.3 ลาโพงแบบริบบอน (Ribbon Speaker) เป็นลาโพงที่สร้างข้ึนดว้ ยหลกั การของไมโครโฟนโดยไม่
ตอ้ งใชข้ ดลวดเสียงแตใ่ ชแ้ ผน่ ริบบอน (อลูมิเนียมอลั ลอยด)์ แทนขดลวดและแผน่ ริบบอนยงั ทาหนา้ ท่ีเป็น
ไดอะแฟรมอีกดว้ ย ลาโพงชนิดน้ีไมค่ อ่ ยไมค่ ่อยนิยมใชเ้ น่ืองจากทนกาลงั ขยายไดไ้ ม่สูง และไมค่ อ่ ยมีผผู้ ลิต
ออกมาเนื่องจากข้นั ตอนในการสร้างยงุ่ ยาก โครงสร้างของลาโพงแบบริบบอนจะแสดงใหเ้ ห็นในรูปท่ี 8.18

จากรูปท่ี 8.18 คือโครงสร้างของลาโพงแบบริบบอน การทางานของลาโพงชนิดน้ีเมื่อมีสัญญาณป้อนเขา้
มาท่ีอินพตุ ของแมทช่ิงทรานสฟอร์เมอร์จะทาใหเ้ กิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบๆแผน่ โลหะริบบอนเกิดการผลกั
หรือดูดกบั สนามแม่เหล็กของแมเ่ หลก็ ถาวร โดยแผน่ โลหะริบบอนจะสั่นตามสัญญาณเสียงในรูป
สัญญาณไฟฟ้าท่ีป้อนเขา้ มา เมื่ออากาศบริเวณรอบแผน่ โลหะริบบอนเกิดการส่นั ก็จะไดค้ ลื่นเสียงออกมาโดย
รูปคล่ืนเสียง ความแรง และความถ่ีเดียวกบั เสียงจากแหล่งกาเนิดท่ีส่งมา

8.3.4 ลาโพงแบบคริสตลั (Crystal Speaker) เป็นลาโพงอีกชนิดที่ผลิตข้ึนมาโดยใชห้ ลกั การของ
ไมโครโฟนแบบคริสตลั เมื่อผลึกแร่คริสตลั ถูกกระตุน้ ดว้ ยสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลบั จะเกิดการส่นั โดยผลึกแร่
คริสตลั ที่นามาใชก้ บั ลาโพงจะเป็นพวกเกลือโรเชลลท์ ี่สังเคราะห์ข้ึนมาเรียกวา่ แบเรียมไตตาเนต (Barium
Titanate) ลาโพงแบบคริสตลั จะตอบสนองความถี่สูงไดด้ ี โครงสร้างของลาโพงแบบคริสตลั จะแสดงใหเ้ ห็นใน
รูปที่ 8.20

จากรูปท่ี 8.20 คือโครงสร้างของลาโพงแบบคริสตลั การทางานของลาโพงแบบคริสตลั เม่ือมี
สัญญาณเสียงในรูปสญั ญาณไฟฟ้าป้อนเขา้ มาท่ีอินพุตแมทช่ิงทรานฟอร์เมอร์สญั ญาณสัญญาณเสียงในรูป
สญั ญาณไฟฟ้าจะถูกส่งไปท่ีแผน่ เพรตท้งั สองขา้ งของลาโพงแบบคริสตลั ทาใหผ้ ลึกเกิดการสั่นตามคลื่นไฟฟ้า
ที่ป้อนใหก้ ารส่นั น้ีจะส่งผลไปถึงไดอะแฟรมดว้ ย เม่ือไดอะแฟรมสนั่ กอ็ ากาศโดยรอบไดอะแฟรมกจ็ ะสั่นตาม
ไปดว้ ยทาใหไ้ ดค้ ลื่นเสียงออกมาโดยรูปคล่ืนเสียง ความแรงและความถ่ีเดียวกบั เสียงจากแหล่งกาเนิดท่ีส่งมา

8.3.5 ลาโพงแบบอิเลคโตรสแตติค (Electrostatic Speaker) เป็นลาโพงท่ีไมค่ ่อยพบกนั ซกั เทา่ ใด
เน่ืองจากลาโพงชนิดน้ีใชใ้ นบางงานเท่าน้นั หลกั การของลาโพงแบบน้ีจะสร้างข้ึนโดยการนาแผน่ ตวั นาไฟฟ้า
(Conductive Plate) สองแผน่ คลา้ ย ๆ แผน่ อิเลคโทรดในแบตเตอรี่แผน่ อิเลคโทรดน้ีตอ้ งมีแรงดนั ไฟฟ้าป้อนอยู่
ตลอดเวลาเพอื่ ให้เกิดสนามไฟฟ้าในช่องวา่ งระหวา่ งแผน่ เยอ่ื บาง ๆ ที่อยรู่ ะหวา่ งแผน่ ตวั นาท้งั สองจะรับ

สญั ญาณเสียงในรูปสญั ญาณไฟฟ้าจากเครื่องขยายเสียงเขา้ มาทาใหเ้ กิดการสั่นไหว การสั่นไหวน้ีจะเป็นไปตาม
ตามจงั หวะของสัญญาณเสียงในรูปสัญญาณไฟฟ้าท่ีป้อนเขา้ มาทาใหเ้ กิดเสียง โครงสร้างของลาโพงแบบอิเลค
โตรสแตติคแสดงใหเ้ ห็นในรูป 8.22

8.3.6 ลาโพงฮอร์น (Horn Speaker) เป็นลาโพงที่มีชื่อเรียกตามลกั ษณะทางโครงสร้างลาโพงชนิดน้ีมี
ลกั ษณะที่เป็นรูปกรวยยาวและขยายกวา้ งออกเป็นลาดบั ดงั รูปที่ 8.24 ลาโพงฮอร์นความนิยมนาไปใชใ้ นการ
กาหนดทิศทางของคล่ืนเสียงและทาใหค้ ลื่นเสียงเคล่ือนท่ีไปในทิศทางที่เราตอ้ งการใหไ้ ดไ้ กลมากท่ีสุด ลกั ษณะ
ลาโพงฮอร์นมีลกั ษณะปากลาโพงเหมือนแตรใชท้ าหนา้ ท่ีเปล่ียนแรงกดดนั ของอากาศท่ีเกิดจากการสน่ั ของแผน่
ไดอะแฟรมท่ีมีแรงกดดนั ต่าใหม้ ีแรงกดดนั ที่สูงข้ึน โดยใหแ้ รงกดดนั ของอากาศผา่ นช่องแคบเลก็ ๆ และ
กระจายออกไปผา่ นกรวยฮอร์นที่ปากบานออกช่วยเพ่ิมแรงกดดนั ใหม้ ากข้ึนโครงสร้างของลาโพงฮอร์นแสดง
ในรูปที่ 8.24

จากรูปท่ี 8.24 แสดงใหเ้ ห็นโครงสร้างของลาโพงฮอร์น การทางานของลาโพงฮอร์นเม่ือมีสัญญาณเสียง
ในรูปสัญญาณไฟฟ้าป้อนเขา้ มาท่ีข้วั ต่อเขา้ ไปที่ขดลวดเสียงทาใหเ้ กิดสนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าข้ึนมาท่ีขดลวดเสียง
สนามไฟฟ้าที่ขดลวดเสียงจะผลกั หรือการดูดกบั สนามแม่เหล็กถาวรโดยการผลกั หรือการดูดจะทาใหเ้ กิดการ
สั่น การสั่นที่ขดลวดเสียงจะข้ึนอยกู่ บั สัญญาณเสียงในรูปสัญญาณไฟฟ้าท่ีป้อนเขา้ มา ขดลวดเสียงจะถูกยดึ ติด
กบั ไดอะแฟรมเมื่อขดลวดเสียงส่ันไดอะแฟรมจะสนั่ ดว้ ย เมื่อไดอะแฟรมสนั่ จะเกิดแรงกดดนั เสียงภายในได
เวอร์ (Driver) เป็นแรงกดดนั สูง ผา่ นคอฮอร์น ฮอร์น และปากฮอร์น ออกเป็นเสียงแพร่กระจายออกไปใน
ทิศทางท่ีตอ้ งการในระยะที่ไกลโดยใชก้ าลงั วตั ตน์ อ้ ยกวา่ ลาโพงธรรมดา

ลาโพงฮอร์นมีอีกหน่ึงลกั ษณะท่ีนิยมใชก้ นั ทวั่ ไปเป็นชนิดฮอร์นยอ้ นกลบั (Reflex Horn)เป็นฮอร์นความ
ยาวของกรวยฮอร์นเพ่มิ ข้ึนโดยส่วนกลางของกรวยฮอร์นถูกทาเป็นเดือยโผล่ออกมาเพื่อใหเ้ สียงเดินทางยอ้ นไป
ยอ้ นมาภายในกรวยฮอร์นการกระทาแบบน้ีจะทาใหล้ าโพงฮอร์นตอบสนองความถ่ีต่าหรือเสียงทุม้ ไดด้ ีข้ึน
โครงสร้างและทิศทางของการเคล่ือนท่ีของเสียงในลาโพงฮอร์นยอ้ นกลบั แสดงในรูปที่ 8.26

8.3.7 ลาโพงชนิดพเิ ศษ ลาโพงปกติที่กล่าวมาน้นั เม่ือสร้างออกมาจะแยกเป็ นลาโพงเสียงทุม้ ลาโพง
เสียงกลาง และลาโพงเสียงแหลมซ่ึงแต่ละตวั กจ็ ะมียา่ นความถ่ีตอบสนองที่ตา่ งกนั ไป เม่ือนาลาโพงท้งั สามมา
ตอ่ ร่วมกนั จึงจะทาใหเ้ สียงท่ีครอบคลุมยา่ นความถ่ีเสียง เพ่อื ความสะดวกในการใชง้ านจึงไดม้ ีการผลิตลาโพงที่
มีตวั เดียวแต่มีการรวมลาโพงเสียงทุม้ ลาโพงเสียงกลาง และลาโพงเสียงแหลมไวใ้ นตวั เดียวกนั สามารถแบง่ ได้
2 แบบคือ แบบสองทาง (Two Way Type) และแบบสามทาง (Three Way Type) โดยใชว้ งจรแยกเสียงเขา้ ช่วย

ที่กล่าวมาน้นั เป็นการแบง่ ชนิดของลาโพงโดยแบง่ ตามลกั ษณะสาคญั ทางโครงสร้างหรือวสั ดุท่ีน
ำามาผลิตหากแบ่งลาโพงตามความถ่ีหรือแบ่งตามคุณสมบตั ิทางความถ่ีเสียงท่ีลาโพงสามารถตอบสนองไดน้ ้นั
เราสามารถแบ่งออกเป็ น 6 ชนิดดงั น้ี- ลาโพงแบบฟูลเรนจ์ (Full Range) เป็นลาโพงท่ีตอบสนองในยา่ นความถี่
ไดก้ วา้ ง แต่ลาโพงประเภทน้ีจะใหเ้ สียงที่ไมค่ ่อยเป็นธรรมชาติเสียงสูง ๆ หรือเสียงต่า ๆ อาจจะหายไป ใชใ้ น

เคร่ืองเสียงคุณภาพต่า ๆ ทว่ั ไปรวมไปถึงในวทิ ยเุ ทปคาสเซ็ทหรือโทรทศั นร์ ุ่นเก่า ๆ

- ลาโพงวฟู เฟอร์ (Woffer) เป็นลาโพงท่ีตอบสนองเสียงทุม้ หรือยา่ นความถ่ีต่าไดด้ ี นิยมใชก้ นั น้นั จะให้
ขบั เสียงต้งั แตค่ วามถ่ี 1 kHz ลงมา

- ลาโพงมิดเรนจ์ (Mid Range) เป็นลาโพงท่ีตอบสนองความถ่ีเสียงกลาง นิยมใหข้ บั เสียงออกมาในช่วง
ความถ่ี 500 Hz ถึง 4 kHz กาลงั วตั ตข์ องลาโพงเสียงกลางมีค่าต่าเป็นวตั ตจ์ นถึงหลายสิบวตั ต์

- ลาโพงทวสิ เตอร์ (Tweeter) เป็นลาโพงที่ขบั เสียงแหลมไดด้ ีที่สุด โครงสร้างอาจทาจากกรวยกระดาษ
หรือแบบฮอร์นกไ็ ด้ นิยมให้ขบั เสียงออกมาอยใู่ นช่วงความถ่ี 4 kHz ถึง 20 kHz ลาโพงชนิดน้ีมีขนาดท่ีเล็กมาก
เส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 1 ถึง 3 นิ้วกาลงั วตั ตข์ องลาโพงชนิดน้ีจะสูงอยทู่ ่ีประมาณสิบวตั ตไ์ ปจนถึงหลาย
ร้อยวตั ต์

- ลาโพงซบั วฟู เฟอร์ (Sub Woffer) เป็นลาโพงสารองท่ีใชใ้ นการขบั เสียงต่าลึกท่ีมีความถี่ต่ากวา่ 100
Hz ลงไป มีขนาดใหญ่กวา่ ลาโพงเสียงทุม้ กาลงั วตั ตข์ องลาโพงซบั วฟู เฟอร์น้นั มีค่าสูงจากหลายสิบวตั ตไ์ ป
จนถึงพนั วตั ต์

- ลาโพงซูเปอร์ทวสิ เตอร์ (Super Tweeter) เป็นลาโพงทวสิ เตอร์ท่ีใชข้ บั เสียงแหลมลิ่วซ่ึงเป็นช่วง
ความถี่เสียงที่เกิน 10 kHz ข้ึนไป

หากลาโพงที่กล่าวมาท้งั หมดน้นั เมื่อนาไปใชง้ านโดยถูกปล่อยใหอ้ ยใู่ นที่โล่งไมม่ ีตูใ้ ส่กรวยลาโพงจะ
อดั อากาศออกไปทางดา้ นหนา้ เมื่อเวลาท่ีกรวยขยบั ออกมา ขณะเดียวกนั มกั จะเกิดสุญญากาศข้ึนทางดา้ นหลงั
กรวย แรงอดั อากาศกบั สุญญากาศจะเกิดการหกั ลา้ งกนั ในบางส่วนทาใหก้ ารเคลื่อนที่ของกรวยไม่ 100 % จึง
ตอ้ งมีการสร้างตูล้ าโพงข้ึนมาเพอ่ื นาลาโพงใส่เขา้ ไปเพ่ือลดปัญหาที่กล่าวมาน้นั หลกั การของการออกแบบตู้
ลาโพงจึงเป็นศาสตร์แขนงหน่ึงท่ีมีความซบั ซอ้ นในการสร้างตูล้ าโพงจะตอ้ งคานึงถึงความยาวคล่ืนแต่ละ
ความถี่ แรงอดั อากาศที่เกิดข้ึนจากการขบั ลกั ษณะของตูล้ าโพงที่นิยมใชง้ านมีอยู่ 2 แบบคือตูล้ าโพงแบบปิ ดและ
ตูล้ าโพงแบบตูส้ ะทอ้ นเสียงทุม้ ซ่ึงจะแสดงโครงสร้างของตูล้ าโพงท้งั สองแบบในรูปที่ 8.35 และ 8.36

จากรูปที่ 8.35 จะแสดงใหเ้ ห็นโครงสร้างตูล้ าโพงแบบปิ ดน้นั จะปิ ดทุกดา้ นไม่ใหเ้ สียงสะทอ้ นออก ตู้
แบบน้ีจะใหเ้ สียงท่ีทุม้ เด่นลึก ป้องกนั คลื่นเสียงดา้ นหนา้ และคลื่นเสียงดา้ นหลงั หกั ลา้ งกนั ภายในตูแ้ บบปิ ดจะมี
วสั ดุซบั เสียงบุเอาไวโ้ ดยรอบ เช่น ใยแกว้ ฟองน้า หรืออะคลูสติกโฟมเป็นตน้ ลาโพงแบบน้ีจะมีขอ้ เสียที่
กินกาลงั วตั ตส์ ูงตอ้ งใชเ้ ครื่องขยายท่ีมีกาลงั วตั ตส์ ูง ๆ มาขบั ส่วนตูล้ าโพงแบบตูส้ ะทอ้ นเสียงทุม้ น้นั แสดงให้
เห็นในรูปที่ 8.36 ตูล้ าโพงแบบตูส้ ะทอ้ นเสียงทุม้ จะตา่ งจากตูล้ าโพงแบบปิ ดตรงท่ีเจาะรูระบายอากาศไว้
ดา้ นหนา้ เพ่ือให้เสียงดา้ นหลงั เสริมกบั เสียงดา้ นหนา้ การเจาะรูน้นั ตอ้ งมีขนาดพอเหมาะกบั ตูเ้ พ่อื ใหเ้ สียงที่
ออกมาดา้ นหลงั มีเฟสเดียวกบั เสียงทางดา้ นหนา้ เพ่ือใหม้ กี ารเสริมเฟสกนั ทา ใหเ้ สียงทุม้ ออกมาแรงข้ึน ตูแ้ บบ
สะทอ้ นเสียงทม้ ุ จะใชก้ ำาลงั ขบั ท่ีนอ้ ยกวา่ แบบตูล้ าโพงแบบปิ ด

ลาโพงท่ีครอบคลุมตลอดยา่ นความถี่เสียงการต่อลาโพงน้นั จะส่งผลใหค้ า่ อิมพแี ดนซ์รวมและกาลงั
วตั ตร์ วมของลาโพงเปลี่ยนไป การตอ่ แบบอนุกรม (Series) การต่อแบบน้ีจะทาใหค้ ่ากาลงั วตั ตแ์ ละคา่
อิมพีแดนซ์เพม่ิ ข้ึน การหาค่าอิมพีแดนซ์รวมและคา่ กาลงั วตั ตร์ วมจะเหมือนกบั นาตวั ตา้ นทานมาต่ออนุกรมกนั
คา่ อิมพแี ดนซ์รวมและค่ากาลงั วตั ตร์ วมจะเพิ่มข้ึนเท่ากบั วตั ตข์ องลาโพงแต่ละตวั รวมกนั

8.4 สายลาโพง (Speaker Cable)

สายลาโพงถือเป็นสายสัญญาณท่ีมีความสาคญั อีกชนิดหน่ึงทาหนา้ ที่ส่งผา่ นสญั ญาณจากเครื่องเสียง
หรือเครื่องขยายเสียงไปที่ลาโพง สายสัญญาณท่ีดีจะตอ้ งส่งผา่ นสญั ญาณที่เขา้ มาไปท่ีลาโพงไดท้ ้งั หมดโดยไม่มี
การลดทอน หรือเกิดสัญญาณรบกวน สามารถส่งผา่ นสัญญาณเสียงระดบั ต่าผา่ นตลอดสายนาสญั ญาณได้
สามารถรักษาสมดุลของความถ่ีในการส่งผา่ นได้ โครงสร้าง ของสายลาโพงประกอบไปดว้ ย 2 ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วน
ตวั นาและส่วนฉนวน ตวั นาที่ดีน้นั จะผลิตมาจากทองแดงบริสุทธ์ิ 99.9999% ดว้ ยกรรมวธิ ี PCOCC (Pure
Copper By Ohno Continuous Casting Process) ผลิตข้ึนโดยกรรมวธิ ีการสัมบูรณ์ (Absolutely) ในการ
สังเคราะห์ (Synthesis)โลหะทองแดงในรูปผลึก โดยปราศจากธาตุออกซิเจนและไฮโดรเจนจนไดโ้ ลหะตวั นา
ทองแดงที่มีความบริสุทธ์ิอยา่ งยง่ิ ยวดทาใหไ้ มเ่ กิดสนิมและทนทานใชไ้ ดด้ ีในทุกยา่ นความถ่ีเสียง ส่วนฉนวน
(Insulator) เป็นวสั ดุสงั เคราะห์ตา่ ง ๆ ที่ไมน่ าไฟฟ้าจาพวกโพลีเอสเตอร์ลีน (Polyethylene: PE) โพลีไวนีลคลอ
ไรด์ (Polyvinylchoride: PVC) โพลีโพรไพลีน (Polypropylene: PP) เทฟลอน (Taflon)เป็นตน้ ฉนวนที่ดีน้นั
นอกจากป้องกนั การนาไฟฟ้าแลว้ ยงั ตอ้ งป้องกนั สัญญาณรบกวน หรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ มีความยดื หยนุ่
สูง รักษาสภาพของสายเม่ือมีการบิดงอได้ ทนต่อแรงเสียดสีแรงกด ไมแ่ ขง็ ตวั แตกหกั ง่าย

8.5 ปลกั๊ และแจ๊ค (Plug and Jack)

ปลก๊ั และแจค๊ ถูกผลิตข้ึนมาเพ่ือใหใ้ ชร้ ่วมกบั สายนาสญั ญาณ โดยทาหนา้ ท่ีเป็ นตวั เช่ือมวงจร ระบบ
หรือเส้นทางเดินของสัญญาณเสียงในรูปสัญญาณไฟฟ้า ทาใหเ้ ครื่องเสียงแต่ละชนิดสามารถทางานร่วมกนั ได้
ปลก๊ั และแจค๊ ที่ผลิตมาใชใ้ นระบบเสียงมีหลายชนิด การเลือกปลกั๊ และแจค๊ มาใชง้ านตอ้ งเลือกใหถ้ ูกตอ้ งตรง
ชนิดกนั เพ่ือที่จะเชื่อมระบบเขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งถูกตอ้ ง

ปลก๊ั มีลกั ษณะโครงสร้างเป็นเดือยหรือแกนยาวยนื่ ออกมาจากตวั อุปกรณ์น้นั ๆ เวลาใชง้ านตอ้ งนาไป
เสียบกบั แจค๊ ชนิดเดียวกนั ทาใหเ้ กิดการต่อระบบเขา้ ดว้ ยกนั ปลก๊ั ที่ใชง้ านมีหลายชนิด เช่น ปลก๊ั RCA, ปลกั๊
ไมโครโฟน, ปลกั๊ แคนนอน เป็นตน้

แจค๊ มีลกั ษณะโครงสร้างเป็ นรูหรือช่องเขา้ ไปในตวั อุปกรณ์น้นั ๆ เวลาใชง้ านตอ้ งนาไปเสียบกบั ปลกั๊
ชนิดเดียวกนั ทาใหเ้ กิดการต่อระบบเขา้ ดว้ ยกนั ปลกั๊ ท่ีใชง้ านมีหลายชนิด เช่น แจค๊ RCA, แจค๊ ไมโครโฟน, แจค๊
แคนนอน เป็ นตน้ แจค๊ โดยทว่ั ไปน้นั จะถูกยดึ ติดกบั เคร่ืองเสียงต่าง ๆ ไวแ้ ลว้ เพ่อื ใชร้ องรับการเสียบต่อของปลกั๊
ที่ปลายของแจค๊ น้นั จะนิยมชุบทองไวเ้ พอื่ ป้องกนั สนิมและเป็นตวั ประสานรอยสัมผสั ใหแ้ นบแน่นมากยงิ่ ข้ึนลด
ค่าความตา้ นทานลงทาใหส้ ่งผา่ นสัญญาณไม่เกิดการลดทอน ส่วนปลกั๊ จะถูกต่อกบั สายนาสัญญาณ ปลก๊ั ท่ี

เชื่อมต่อกบั สายนาสัญญาณท่ีผลิตมาจากโรงงานมีการเช่ือมตอ่ โดยตรงจะมีคุณภาพดี สามารถส่งผา่ นสัญญาณ
ไดด้ ี

การเชื่อมต่ออุปกรณ์เครื่องเสียงเขา้ ดว้ ยกนั ปลกั๊ และแจค๊ ที่ต่อกนั มีความแตกต่างกนั การเช่ือมตอ่ ระบบ
เขา้ ดว้ ยกนั จาเป็นตอ้ งปรับเปล่ียนปลก๊ั และแจค๊ ใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมตามชนิดท่ีตอ้ งการ จึงตอ้ งเลือกใชข้ ้วั ต่อ
และขอ้ ตอ่ ท่ีเหมาะสมมาใชง้ านลกั ษณะขอ้ ตอ่ หรือข้วั ต่ออยใู่ นรูปท่ี8.40, 8.41 และ 8.42

8.6 ครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค (Cross Over Network)

จากเร่ืองของลาโพงเราจะทราบวา่ ลาโพงท่ีดีน้นั จะมีช่วงความถ่ีที่ตวั ลาโพงน้นั ๆ สามารถตอบสนอง
ไดด้ ีที่สุดอาจจะเป็นเสียงทุม้ เสียงกลาง หรือเสียงแหลม ซ่ึงลาโพงแต่ละตวั ก็จะมีคุณสมบตั ิทางดา้ นความถ่ี
แตกตา่ งกนั ออกไป ดงั น้นั เม่ือตอ้ งการแยกความถี่ของสัญญาณเสียงออกเป็นเสียงทุม้ เสียงกลาง หรือเสียงแหลม
อยา่ งชดั เจนจะตอ้ งมีวงจรท่ีใชแ้ ยกความถี่แตล่ ะความถี่ไปยงั ลาโพงแต่ละตวั วงจรน้ีเรียกวา่ วงจรครอสโอเวอร์
เน็ทเวิร์ค การกาหนดยา่ นความถ่ีเสียงท่ีจา่ ยไปใหล้ าโพงตดั แยกเสียงออกเป็ นช่วงความถ่ีท่ีเหมาะกบั ลาโพงหาก
แบ่งตามอุปกรณ์ที่ใชส้ ร้างสามารถแบง่ ออกได2้ แบบคือ 1. พาสซีฟครอสโอเวอร์เน็ทเวอร์ (Passive Cross Over
Network) เป็นครอสโอเวอร์เน็ทเวริ ์คที่ใช้ R, L และ C เพียงอยา่ งเดียวไม่มีอุปกรณ์สารก่ึงตวั นาประเภท
ทรานซิสเตอร์หรือไอซีเลย หรือไมใ่ ชล้ กั ษณะทางการขยายสญั ญาณเขา้ ช่วยแตอ่ ยา่ งไร 2. แอกทีฟ ครอสโอเวอร์
เน็ทเวริ ์ค (ActiveCross Over Network) เป็นครอสโอเวอร์เน็ทเวริ ์คที่ใชส้ ารก่ึงตวั นาประเภททรานซิสเตอร์หรือ
ไอซีเขา้ มาใชใ้ นการแยกเสียง ครอสโอเวอร์แบบแยกความถ่ีเสียงออกเป็นสองช่วงความถี่คือแยกเสียงทุม้ และ
เสียงแหลมออกมาเราจะเรียกวา่ “ครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค 2 ทาง” และครอสโอเวอร์แบบแยกความถ่ีเสียง
ออกเป็ นสามช่วงความถ่ีคือแยกเสียงทุม้ เสียงกลางและเสียงแหลมออกมาเราจะเรียกวา่ “ครอสโอเวอร์เน็ทเวริ ์ค
3 ทาง”

8.6.1 ครอสโอเวอร์ 2 ทางแบบพาสซีฟครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค จะใชข้ ดลวด (L)ทาหนา้ ที่ใหค้ วามถ่ีต่า
หรือเสียงทุม้ ผา่ น และจะตา้ นทานความถ่ีสูงหรือเสียงแหลมไมใ่ หผ้ า่ นไป และใชต้ วั เกบ็ ประจุ (C) ทาหนา้ ที่ให้
ความถ่ีสูงหรือเสียงแหลมผา่ น และจะตา้ นทานความถ่ีต่าหรือเสียงทุม้ ไมใ่ หผ้ า่ นไปเมื่อนาอุปกรณ์ท้งั สองมา
รวมกนั สามารถจดั วงจรไดด้ งั น้ี

8.6.1.1 แบบออร์เดอร์ที่ 1 จะใชต้ วั เกบ็ ประจุ (C) มาตอ่ กบั ล ำาโพงทวสิ เตอร์และขดลวด (L) มาต่อ
กบั ลาโพงวฟู เฟอร์ อยา่ งละ 1 ตวั เพ่อื แยกเสียงแหลมและเสียงทุม้ เป็นวงจรแบบง่ายท่ีสุดนิยมตอ่ วงจรกบั ลาโพง
ราคาถูก การแยกความถี่เสียงยงั คลุมเครือ การต่อวงจรแสดงใหเ้ ห็นในรูปท่ี 8.43

8.6.1.2 แบบออร์เดอร์ที่ 2 จะใชต้ วั เกบ็ ประจุ (C) และขดลวด (L) อยา่ งละ 2 ตวั จดั วงจรแบบแอล (L-
Network) มาตอ่ กบั ลาโพงทวิสเตอร์และลาโพงวฟู เฟอร์ เพื่อแยกเสียงทุม้ และเสียงแหลมเป็นวงจรแยกความถ่ี

เสียงใหล้ าโพงแตล่ ะตวั กลมกลืนกนั ดี การต่อวงจรแสดงใหเ้ ห็นในรูปท่ี 8.44
8.6.1.3 แบบออร์เดอร์ที่ 3 จะใชต้ วั เก็บประจุ (C) และขดลวด (L) อยา่ งละ 3 ตวั จดั วงจรแบบที (T-

Network) มาตอ่ กบั ลาโพงทวสิ เตอร์และลาโพงวฟู เฟอร์ เพ่ือแยกเสียงทุม้ และเสียงแหลมเป็นวงจรแยกความถ่ี
เสียงใหล้ าโพงแต่ละตวั กลมกลืนกนั ดี การต่อวงจรแสดงใหเ้ ห็นในรูปท่ี8.45

8.6.1.4 แบบออร์เดอร์ท่ี 4 จะใชต้ วั เกบ็ ประจุ (C) และขดลวด (L) อยา่ งละ 4 ตวั จดั วงจรแบบไพร์ (π-
Network) มาตอ่ กบั ลาโพงทวสิ เตอร์และลาโพงวฟู เฟอร์ เพ่ือแยกเสียงทุม้ และเสียงแหลมเป็นวงจรแยกความถ่ี
เสียงใหล้ าโพงแต่ละตวั การต่อวงจรแบบน้ีตอ้ งใชอ้ ุปกรณ์ท่ีมีความเที่ยงตรงสูง การต่อวงจรแสดงใหเ้ ห็นในรูป
ท่ี 8.46

การต่อลาโพงกบั วงจรแยกเสียงลาโพงน้นั จาเป็ นตอ้ งคานึงถึงข้วั บวกและลบที่กากบั ไวท้ ่ีตวั ลาโพง
และข้วั บวกลบของวงจรแยกเสียง เราตอ้ งต่อใหถ้ ูกตอ้ งตามท่ีกาหนดไว้ ท้งั น้ีเพอ่ื ขณะท่ีลาโพงทางานเฟสของ
ลาโพงแตล่ ะตวั ตอ้ งเหมือนกนั เช่นลาโพงเสียงทุม้ เคลื่อนที่ออก ลาโพงเสียงแหลมจะตอ้ งเคล่ือนท่ีออก
เช่นเดียวกนั เพอ่ื ทาใหเ้ สียงที่ขบั ออกมามีความหนกั แน่น ชดั เจนถูกตอ้ งสมบูรณ์ยงิ่ ข้ึน

8.6.2 ครอสโอเวอร์ 3 ทางแบบพาสซีฟครอสโอเวอร์เน็ทเวริ ์ค จะใชข้ ดลวด (L) ทาหนา้ ท่ีใหค้ วามถี่ต่า
หรือเสียงทุม้ ผา่ น และจะตา้ นทานความถ่ีสูงหรือเสียงแหลมไมใ่ หผ้ า่ นไป ใชต้ วั เก็บประจุ (C) ทาหนา้ ที่ให้
ความถี่สูงหรือเสียงแหลมผา่ น และจะตา้ นทานความถ่ีต่าหรือเสียงทุม้ ไม่ใหผ้ า่ นไป และใชข้ ดลวด (L) ตอ่
ร่วมกบั ตวั เกบ็ ประจุ (C) ตอ่ อนั ดบั กนั เพื่อใหเ้ สียงกลางผา่ น

ในรูปท่ี 8.47 และ 8.48 ในการกาหนดความถ่ีเสียงผา่ นใชห้ ลกั การของวงจรกรองความถ่ีความถ่ีเสียงทุม้
ใชว้ งจรกรองความถ่ีต่าผา่ น ความถี่เสียงกลางใชว้ งจรกรองยา่ นความถี่ผา่ น และความถี่เสียงแหลมใชว้ งจรกรอง
ความถี่สูงผา่ น การต่อลาโพงกบั วงจรแยกเสียงลาโพงน้นั จาเป็นตอ้ งคานึงถึงข้วั บวกและลบที่กากบั ไวท้ ี่ตวั
ลาโพงและข้วั บวกลบของวงจรแยกเสียง เราตอ้ งต่อใหถ้ ูกตอ้ งตามท่ีกาหนดไว้ ท้งั น้ีเพ่ือขณะที่ลาโพงทางาน
เฟสของลาโพงแตล่ ะตวั ตอ้ งเหมือนกนั เช่น ลาโพงเสียงทุม้ เคลื่อนที่ออก ลาโพงเสียงกลางก็ตอ้ งเคลื่อนท่ีออก
และลาโพงเสียงแหลมจะตอ้ งเคล่ือนท่ีออกเช่นเดียวกนั เพ่ือทาใหเ้ สียงที่ขบั ออกมามีความหนกั แน่น ชดั เจน
ถูกตอ้ งสมบูรณ์ยง่ิ ข้ึน

• ด้านทกั ษะ(ปฏบิ ตั )ิ

13. แบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 8

14. ใบงานที่ 10

• ด้านคุณธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง (จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี

7)
1. สรุปอุปกรณ์ประกอบในระบบเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้

ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน

1. ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน ( 15 นาที ) 1. ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน ( 15 นาที )

3. ผูส้ อนแจง้ วตั ถุประสงค์ของการเรียน บทท่ี 3. ผเู้ รียนทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั วตั ถุประสงคข์ อง

8 เรื่อง อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง การเรียน บทท่ี 8 เรื่อง อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง

4. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนอธิบายชนิดและการทางาน 4. ผเู้ รียนอธิบายกาลงั ไฟฟ้ากระแสสลบั

ของไมโครโฟนแตล่ ะชนิด 2. ข้นั ให้ความรู้ (250 นาที )

2. ข้นั ให้ความรู้ (250 นาที ) 3. ผเู้ รียนศึกษาวธิ ีการใช้ PowerPoint กบั เอกสาร

3. ผูส้ อนเปิ ด PowerPoint และให้ผูเ้ รียนเปิ ด ประกอบการสอน วิชา เคร่ื องเสี ยง บทที่ 8 เร่ื อง

เอกสารประกอบการสอนวิชา เคร่ืองเสียง บทที่ 8 อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง พร้อมอธิบายเน้ือหาที

เรื่อง อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง พร้อมอธิบาย ละส่วนโดยเลือกจดบนั ทึกเน้ือหาที่สาคญั

เน้ือหาทีละส่วน 4. ผเู้ รียนซกั ถามขอ้ สงสยั ที่เกิดข้ึน

4. ผสู้ อนเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซกั ถามขอ้ สงสัย

ที่เกิดข้ึนระหว่างการเรียนการสอน และตอบข้อ

ซกั ถาม

3. ข้นั ประยุกต์ใช้ (120 นาที ) 3. ข้นั ประยุกต์ใช้( 120 นาที )

21. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาแบบประเมินหลังการ 5. ผเู้ รียนทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 8

เรียนบทท่ี 8 6. ผเู้ รียนทาใบงานท่ี 10 หนา้ ที่ 275-278

22. ผสู้ อนให้ผเู้ รียนทาใบงานท่ี 10 หนา้ ที่ 275- 7. ผเู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มูลจากอินเทอร์เน็ต
278

23. ผู้ ส อ น ใ ห้ ผู้ เรี ย น สื บ ค้ น ข้ อ มู ล จ า ก
อินเทอร์เน็ต

กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้

ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน

4. ข้ันสรุปและประเมนิ ผล ( 95 นาที ) 4. ข้นั สรุปและประเมนิ ผล( 95 นาที )

13. ผูส้ อนและผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาท่ีไดเ้ รียน 5. ผูส้ อนและผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาที่ไดเ้ รียน

ใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั ใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั

14. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนศึกษาเพ่ิมเติมนอกห้องเรียน 6. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียน

ดว้ ย PowerPoint ท่ีจดั ทาข้ึน ดว้ ย PowerPoint ท่ีจดั ทาข้ึน

(บรรลุจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-7) (บรรลจุ ุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-7)

(รวม 480 นาที หรือ 8 คาบเรียน)

งานท่มี อบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมินผล

ก่อนเรียน

13. จดั เตรียมเอกสาร ส่ือการเรียนการสอนบทท่ี8
14. ทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จุดประสงคก์ ารเรียนของบทท่ี 8 และใหค้ วามร่วมมือในการทากิจกรรมใน

บทท่ี 8

ขณะเรียน

15. ทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 8
16. ร่วมกนั สรุป “อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง”

หลงั เรียน

7. ทาใบงานที่ 10

ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสาเร็จของผู้เรียน

แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 8
ใบงานท่ี 10

สื่อการเรียนการสอน/การเรียนรู้

สื่อสิ่งพมิ พ์
20. เอกสารประกอบการสอนวิชา เคร่ืองเสียง(ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
ขอ้ ที่ 1-7)
21. แบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 8 ข้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 1
22. ใบงานที่ 10

ส่ือโสตทศั น์ (ถ้ามี)
13. เคร่ืองไมโครคอมพวิ เตอร์
14. PowerPoint เร่ือง อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง

สื่อของจริง
7. อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมขอ้ ท่ี
1-7)

แหล่งการเรียนรู้

ในสถานศึกษา
1. หอ้ งสมุดวทิ ยาลยั เทคนิคสมุทรสาคร
2. หอ้ งปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ ศึกษาหาขอ้ มูลทางอินเทอร์เน็ต

นอกสถานศึกษา
ผปู้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่ินจงั หวดั สมุทรสาคร

การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กบั วชิ าอ่ืน

19. บูรณาการกบั วชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
20. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์
21. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าเบ้ืองตน้

การประเมนิ ผลการเรียนรู้
 หลกั การประเมนิ ผลการเรียนรู้

ก่อนเรียน
7. ความรู้ความเขา้ ใจก่อนการเรียนการสอน

ขณะเรียน
15. ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนรู้บทที่ 8
16. สงั เกตการทางาน

หลงั เรียน
7. ตรวจใบงานท่ี 10

คาถาม

ผลงาน/ชิน้ งาน/ผลสาเร็จของผ้เู รียน

ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 8
ตรวจใบงานที่ 10

สมรรถนะทีพ่ งึ ประสงค์

ผเู้ รียนสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง
25. วเิ คราะห์และตีความหมาย
26. ต้งั คาถาม
27. อภิปรายแสดงความคิดเห็นระดมสมอง
28. การประยกุ ตค์ วามรู้สู่งานอาชีพ

สมรรถนะการปฏบิ ตั งิ านอาชีพ

- อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง

สมรรถนะการขยายผล

ความสอดคล้อง
จากการเรียนเร่ือง อุปกรณ์ประกอบในระบบเสี ยง ทาให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่ม ไมโครโฟน
สายสญั ญาณ ลาโพง สายลาโพง .ปลก๊ั และแจค๊ ครอสโอเวอร์เน็ทเวริ ์ค เป็นตน้

รายละเอยี ดการประเมินผลการเรียนรู้

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 1 อธิบายชนิดและการทางานของไมโครโฟนแต่ละชนิดได้

19. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

20. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

21. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : อธิบายชนิดและการทางานของไมโครโฟนแตล่ ะชนิดได้ จะได้ 2

คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 2 บอกลกั ษณะของสายนาสัญญาณที่ดีได้

19. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

20. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

21. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บอกลกั ษณะของสายนาสัญญาณที่ดีได้ จะได้ 2 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 3 แยกแยะชนิกและการทางานของลาโพงได้

19. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

20. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

21. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : แยกแยะชนิกและการทางานของลาโพงได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 4 ปฏิบตั ิตามหนา้ ที่และลกั ษณะของสายลาโพงแตล่ ะชนิดได้

16. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

17. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

18. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ปฏิบตั ิตามหนา้ ที่และลกั ษณะของสายลาโพงแตล่ ะชนิดได้

จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 5 จาแนกชนิดของปลกั๊ และแจค๊ ได้

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : จาแนกชนิดของปลก๊ั และแจค๊ ได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 6 ช้ีแจงหลกั การทางานของครอสโอเวอร์เน็ทเวริ ์คได้

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ช้ีแจงหลกั การทางานของครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์คได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 7 สรุปอุปกรณ์ประกอบในระบบเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : สรุปอุปกรณ์ประกอบในระบบเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

จะได้ 2 คะแนน

แบบประเมนิ หลงั การเรียนบทท่ี 8

ตอนที่ 1 จงเติมคาในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง
1. ไมโครโฟนแบบ...............................................ใชห้ ลกั การของขดลวดตดั ผา่ นสนามแมเ่ หลก็
2. ไมโครโฟนแบบ.........................................................ขณะทางานตอ้ งจ่ายไฟเล้ียงใหต้ วั มนั
3. ไมโครโฟนแบบ.......................................................ไมต่ อ้ งใชไ้ ดอะแฟรมร่วมในการทางาน
4. ลาโพงไดนามิกน้นั ทาให้เกิดเสียงดว้ ย...............................................................................
5. ลาโพงวฟู เฟอร์ทางานไดด้ ีในยา่ นความถี่..................................................................ลงมา
6. ลาโพง.......................................................เหมาะกบั ใชข้ บั คล่ืนเสียงความถี่ 120 Hz ลงมา
7. ลาโพง.............................................................นิยมใชข้ บั เสียงในช่วงความถ่ี 4 KHz ข้ึนไป
8. สายนาสัญญาณที่นามาใชใ้ นงานระบบเสียงผลิตมาจาก...................................................
9. .............................................คือ ส่วนเจือปนในวสั ดุตวั นาสัญญาณที่ตอ้ งกาจดั ออกใหห้ มด
10. .......................................................เป็นครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์คที่ใช้ R, L และ C เพียงอยา่ ง
เดียวไมม่ ีอุปกรณ์สารก่ึงตวั นาประเภททรานซิสเตอร์หรือไอซีเลย
ตอนท่ี 2 กากบาทลงหนา้ คาตอบที่ถูกตอ้ งที่สุดเพยี งขอ้ เดียว
1. ไมโครโฟน ทาหนา้ ที่อะไร ?
ก. เปล่ียนคลื่นไฟฟ้าเป็นคลื่นเสียง
ข. เปล่ียนคลื่นเสียงเป็นคลื่นไฟฟ้า
ค. เปลี่ยนสญั ญาณเสียงใหเ้ ป็ นการสน่ั ของอากาศ
ง. เปลี่ยนแรงดนั ไฟสลบั ใหเ้ ป็นความเขม้ ของเสียง
2. ช่ือของไมโครโฟนแต่ละชนิดถูกต้งั ชื่อมาจากอะไร ?
ก. ลกั ษณะการนาไปใช้
ข. ส่วนสาคญั ของโครงสร้าง
ค. รูปร่างของไมโครโฟน
ง. หนา้ ที่การทางานของโครงสร้าง
3. ค่าอิมพีแดนซ์ของไมโครโฟนมีคา่ เทา่ ใด ?
ก. 25 Ω
ข. 120 Ω
ค. 450 Ω
ง. 1.2 KΩ

4. แมตช่ิงทรานส์ฟอร์มเมอร์ในไมโครโฟนมีหนา้ ท่ีอะไร ?
ก. เพ่มิ แรงดนั ไฟสลบั ใหอ้ อกเอาตพ์ ุตมากข้ึน
ข. ป้องกนั สญั ญาณรบกวนที่เกิดข้ึนในไมโครโฟน
ค. ปรับแต่งเสียงใหม้ ีความชดั เจนมากข้ึนและลดความเพ้ียน
ง. ปรับสมดุลอิมพแี ดนซ์ระหวา่ งไมโครโฟนและเครื่องขยาย
5. ลาโพงทาหนา้ ที่อะไร ?
ก. เปลี่ยนคล่ืนไฟ้าเป็นคลื่นเสียง
ข. ทาใหก้ ารส่ันของอากาศโดยรอบ
ค. เพมิ่ ความแรงคล่ืนเสียงใหม้ ากข้ึน
ง. ตอบสนองต่อความถี่เสียงใหค้ รอบคลุม
6. ลาโพงชนิดใดท่ีถูกนาไปใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง ?
ก. ริบบอน
ข. ไดนามิค
ค. คริสตลั
ง. คอนเดนเซอร์
7. ไดอะแฟรมของลาโพงมีหนา้ ท่ีอะไร ?
ก. กาเนิดคลื่นเสียงโดยการส่ัน
ข. การกระพืออากาศโดยรอบใหส้ ่ัน
ค. เคล่ือนที่เขา้ ออกตามสัญญาณเสียงท่ีป้อนให้
ง. ถูกทุกขอ้
8. ลโพงฮอร์นสร้างข้ึนมาเพื่ออะไร ?
ก. คลื่นเสียงไปไดไ้ กลมากข้ึน
ข. กาหนดทิศทางเคล่ือนที่ของคล่ืนเสียง
ค. ใหค้ ลื่นเสียงทางานไดด้ ีที่ความถี่เสียงต่าลง
ง. ถูกทุกขอ้
9. ลาโพงท่ีนิยมนาไปใชม้ ีคา่ อิมพแี ดนซ์เท่าไร ?
ก. 4 Ω
ข. 8 Ω
ค. 16 Ω
ง. 32 Ω
10. การทนกาลงั ของลาโพงท่ีบอกไวก้ บั ตวั ลาโพง บอกใหท้ ราบอะไร ?

ก. กาลงั งานท่ีลาโพงสามารถใหก้ าเนิดได้
ข. ความดงั คล่ืนเสียงท่ีลาโพงสามารถขบั ออกมาได้
ค. ความเหมาะสมของลาโพงท่ีจะนาไปใชก้ บั เครื่องขยายเสียง
ง. ความสามารถท่ีทนทานต่อกาลงั ไฟฟ้าสูงสุดของลาโพงตวั น้นั
11. ขอ้ ใดไม่ใช่หนา้ ท่ีของสายสญั ญาณ ?
ก. ต่อเครื่องขยายเสียงไปลาโพง
ข. ต่อจูนเนอร์ไปเคร่ืองขยายเสียง
ค. ตอ่ เครื่องเล่น CD ไปเคร่ืองขยายเสียง
ง. ตอ่ เครื่องเล่นเทปไปกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์
12. วสั ดุกาบงั สายสญั ญาณถูกสร้างข้ึนในลกั ษณะใด ?
ก. ชิลดร์ อบสายตวั นาท้งั หมด
ข. หุม้ รอบสายตวั นาแยกแต่ละเส้น
ค. ฉนวนหุม้ รอบสายตวั นาช้นั นอกสุด
ง. เพ่มิ สายตวั นาอีกเส้นเพ่ือทาหนา้ ที่เป็นสายกาบงั
13. ขอ้ ใดไม่ใช่หนา้ ที่ของฉนวนสายสญั ญาณ ?
ก. ป้องกนั คล่ืนสญั ญาณกวน
ข. ป้องกนั สนามแมเ่ หล็กไฟฟ้า
ค. ป้องกนั การบิดงอของสายตวั นา
ง. เพม่ิ ความชดั เจนของสญั ญาณเสียงใหม้ ากข้ึน
14. ขอ้ ใดคือลกั ษณะของปลก๊ั และแจค๊ ?
ก. ปลก๊ั มกั ถูกต่อร่วมกบั สายสัญญาณ
ข. ปลก๊ั มีโครงสร้างส่วนมากเป็นรูหรือช่อง
ค. แจค๊ มีโครงสร้างส่วนมากเป็นเดือยหรือแกนยาว
ง. แจค๊ ส่วนมากนิยมใชง้ านเฉพาะในระบบเสียงเท่าน้นั
15. ปลก๊ั และแจค๊ ท่ีนามาใชใ้ นระบบเสียงนิยมใชผ้ วิ โลหะที่เคลือบดว้ ยอะไร ?
ก. เงิน
ข. ทอง
ค. นิกเกิล
ง. โครเมียม

ตอนที่ 3 จากโจทย์จงอธิบายให้ได้ความหมายทส่ี มบูรณ์
1. จงอธิบายหนา้ ที่ของไมโครโฟน ?
2. ไมโครโฟนหากแบ่งตามลกั ษณะจะแบ่งไดก้ ่ีประเภท อะไรบา้ ง ?
3. จงอธิบายหนา้ ท่ีของลาโพง ?
4. ลาโพงที่ใชง้ านในปัจจุบนั มีอยกู่ ี่ชนิด อะไรบา้ ง ?
5. ลาโพงท่ีแบ่งตามความถ่ีหรือตามคุณสมบตั ิทางความถ่ีเสียงที่ลาโพงสามารถตอบสนองไดน้ ้นั เราสามารถ
แบ่งออกเป็นก่ีชนิด อะไรบา้ ง ?
6. แมตชิ่งทรานสฟอร์เมอร์ในไมโครโฟนมีหนา้ ที่อะไร ?
7. สายสัญญาณมีหนา้ ที่อะไร และส่วนประกอบของสายนาสญั ญาณที่ดีมีอะไรบา้ ง ?
8. จงอธิบายผลของการต่อลาโพงแบบอนุกรมและแบบขนาน ?
9. ปลกั๊ และแจค๊ ทาหนา้ ท่ีอะไร และมีลกั ษณะโครงสร้างอยา่ งไร ?
10. จงอธิบายหนา้ ท่ีของครอสโอเวอร์เน็ทเวริ ์ค ?

\

แบบประเมินผลการนาเสนอผลงาน
ชื่อกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................

รายชื่อสมาชิก

1……………………………………เลขท่ี……. 2……………………………………เลขที่…….

3……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขท่ี…….

ที่ รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเห็น

32 1

1 เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจน (ความรู้เก่ียวกบั เน้ือหา ความถกู ตอ้ ง

ปฏิภาณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ )

2 รูปแบบการนาเสนอ

3 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม

4 บุคลิกลกั ษณะ กิริยา ท่าทางในการพดู น้าเสียง ซ่ึงทาใหผ้ ฟู้ ังมีความ

สนใจ

รวม

ผปู้ ระเมิน…………………………………………………

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจนถูกตอ้ ง
3 คะแนน = มีสาระสาคญั ครบถว้ นถูกตอ้ ง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระสาคญั ไมค่ รบถว้ น แต่ตรงตามจุดประสงค์
1 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ถูกตอ้ ง ไม่ตรงตามจุดประสงค์

2. รูปแบบการนาเสนอ
3 คะแนน = มีรูปแบบการนาเสนอที่เหมาะสม มีการใชเ้ ทคนิคท่ีแปลกใหม่ ใชส้ ่ือและเทคโนโลยี
ประกอบการ นาเสนอท่ีน่าสนใจ นาวสั ดุในทอ้ งถิ่นมาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งคุม้ ค่าและประหยดั
7 คะแนน = มีเทคนิคการนาเสนอทแ่ี ปลกใหม่ ใชส้ ื่อและเทคโนโลยปี ระกอบการนาเสนอท่ีน่าสน ใจ แต่
ขาดการประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถ่ิน
1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไม่เหมาะสม และไมน่ ่าสนใจ

3. การมสี ่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีบทบาทและมสี ่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมบี ทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม

4. ความสนใจของผฟู้ ัง
3 คะแนน = ผฟู้ ังมากกวา่ ร้อยละ 90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
2 คะแนน = ผฟู้ ังร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื
1 คะแนน = ผฟู้ ังนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ

แบบประเมนิ กระบวนการทางาน

ช่ือกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................

รายชื่อสมาชกิ 2……………………………………เลขที่…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขท่ี…….

ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เห็น

1 การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ที่รับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม
3 การปฏิบตั หิ นา้ ที่ที่ไดร้ บั มอบหมาย
4 การประเมินผลและปรับปรุงงาน

รวม

ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
วนั ที่…………เดือน……………………..พ.ศ…………...

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายการทางานอยา่ งชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน

2. การหนา้ ที่รับผิดชอบและการเตรียมความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง และตรงตามความสามารถของสมาชิกทุกคน มีการจดั เตรียมสถานท่ี สื่อ /
อปุ กรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง แต่ไม่ตรงตามความสามารถ และมีสื่อ / อุปกรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง แตข่ าด
การจดั เตรียมสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทวั่ ถึงและมีส่ือ / อปุ กรณ์ไม่เพยี งพอ

3. การปฏิบตั ิหนา้ ที่ท่ีไดร้ ับมอบหมาย
3 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย และตามเวลาที่กาหนด
2 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย แต่ชา้ กวา่ เวลาท่ีกาหนด
1 คะแนน = ทางานไม่สาเร็จตามเป้าหมาย

4. การประเมินผลและปรับปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนร่วมปรึกษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็นระยะ

2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ แตไ่ มป่ รับปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมไม่มีส่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรุงงาน

บนั ทึกหลงั การสอน

บทท่ี 8 เร่ือง อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสียง

ผลการใช้แผนการสอน

13. เน้ือหาสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
14. กิจกรรมการสอนเหมาะสมกบั เน้ือหาและเวลาที่กาหนด
15. ส่ือการสอนเหมาะสมดี

ผลการเรียนของนักเรียน

9. นักศึกษาส่วนใหญ่มีความเขา้ ใจในบทเรียน อภิปรายตอบคาถามในกลุ่ม และร่วมกันปฏิบัติ
ใบงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย

10. นกั ศึกษากระตือรือร้นและรับผดิ ชอบในการทางานกลุ่มเพอื่ ใหง้ านสาเร็จทนั เวลาที่กาหนด

ผลการสอนของครู

13. สอนเน้ือหาไดค้ รบตามหลกั สูตร
14. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเน้ือหาการสอนทาใหผ้ สู้ อนสอนไดอ้ ยา่ งมน่ั ใจ
15. สอนทนั ตามเวลาท่ีกาหนด

แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี

แผนการจดั การเรียนรู้ บทที่ 9

ชื่อวชิ า เครื่องเสียง สอนสปั ดาหท์ ี่ 15-16

ช่ือหน่วย การประกอบเครื่องขยายเสียง คาบรวม 64

ชื่อเรื่อง การประกอบเครื่องขยายเสียง จานวนคาบ 4

หัวข้อเร่ือง

1. เทคนิคการบดั กรี
2. การอา่ นคา่ อุปกรณ์
3.การประกอบและทดสอบเคร่ืองขยายเสียง

สาระสาคญั

การประกอบเคร่ืองขยายเสียง เป็ นการเรียนรู้จริงทางดา้ นการปฏิบตั ิ ช่วยใหก้ ารเรียนรู้เกิดความ
เขา้ ใจมากยงิ่ ข้ึน สิ่งท่ีควรทราบก่อนลงมือประกอบเคร่ืองขยายเสียงจะตอ้ งมีทกั ษะเบ้ืองตน้ ก่อนการประกอบ
เคร่ืองเสียง เพ่ือป้องกนั การชารุดของเครื่องขยายเสียง ระหวา่ งการประกอบและการทดลองหรือทดสอบ เช่น
การบดั กรีท่ีนานเกินไปจนทาให้อุปกรณ์ชารุดหรือลายทองแดงท่ีแผ่นวงจรพิมพห์ รือแผ่นปริ้นท์ร่อนหรือ
หลุดออก การลงอุปกรณ์ผดิ คา่ เม่ือนาไปใชง้ านอาจจะส่งผลใหเ้ คร่ืองขยายเสียงชารุดเสียหายได้ ในบทเรียนน้ี
จะกล่าวถึง เทคนิคการบดั กรีอุปกรณ์ การอ่านค่าอุปกรณ์ ข้นั ตอนการลงอุปกรณ์และการหาขาทรานซิสเตอร์
ดว้ ยวธิ ีต่าง ๆ

สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย

- ประกอบเคร่ืองขยายเสียง

คาศัพท์สาคญั

จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้

 จุดประสงค์ทวั่ ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

5. เพอื่ ใหม้ ีความรู้เก่ียวกบั ข้นั ตอนการบดั กรีท่ีถูกตอ้ ง (ด้านความรู้)

6. เพอ่ื ใหม้ ีทกั ษะในการอ่านค่าอุปกรณ์ (ด้านทักษะ)

7. เพอ่ื ใหม้ ีเจตคติที่ดีในการประกอบและทดสอบเคร่ืองขยายเสียง (ด้านจิตพิสัย)

8. เพอ่ื สรุปการประกอบเคร่ืองขยายเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/
บูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง)

 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. อธิบายข้นั ตอนการบดั กรีท่ีถูกตอ้ งได้ (ด้านความรู้)
2. อ่านคา่ อุปกรณ์ได้ (ด้านทักษะ)
3. ประกอบและทดสอบเครื่องขยายเสียงได้ (ด้านจิตพิสัย)
4. สรุปการประกอบเคร่ืองขยายเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/

บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง)

เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้

• ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี

9.1 เทคนิคการบัดกรี
เทคนิคการบดั กรี ถือเป็ นหัวใจสาคญั ที่สุดในการประกอบเครื่องเสียง เพราะถา้ บดั กรีอุปกรณ์ไม่ดีขา

อุปกรณ์จะไม่ต่อเขา้ กบั ลายวงจรหรือลายแผ่นปริ้นท์ (Print Circuit Board) แน่นอนเครื่องเสียงชุดน้ีไม่ดงั การ
บดั กรีตอ้ งมีเทคนิคคือ

1. หวั แร้งตอ้ งสะอาดอยเู่ สมอ หากหวั แร้งสกปรกจะบดั กรีไม่ติด หรือจุดบดั กรีจะไม่สวย วิธีการแกไ้ ขเม่ือ
หวั แร้งสกปรกสามารถทาไดโ้ ดย นาผา้ ชุบน้าบิดใหห้ มาด ๆ แลว้ นาหวั แร้งไปเช็ดขณะท่ียงั ร้อนอยหู่ รือในกรณี
ที่หัวแร้งสกปรกมากให้นากระดาษทรายขดั เหล็กหรือตะไบอ่อนขดั ที่ปลายหัวแร้งขณะท่ียงั ร้อนอยูเ่ พียงเท่าน้ี
หวั แร้งที่สกปรกกจ็ ะสะอาด

2. การเลือกใช้หัวแร้งควรเลือกใช้ขนาดไม่เกิน 30 W โดยปกติจะใช้กนั อยู่ที่ 18 – 25 Wทาให้ชิ้นงานท่ี
บดั กรีไม่ร้อนเกินไปจนทาใหจ้ ุดบดั กรีและอุปกรณ์ท่ีทาการบดั กรีเสียหาย

3. การเลือกตะกว่ั ต้องเลือกตะกวั่ ท่ีมีคุณภาพค่อนขา้ งดี โดยตะกว่ั ที่เหมาะสมกบั งานบดั กรีทว่ั ไปจะมี
ส่วนผสมระหวา่ งดีบุกกบั ตะกว่ั 60 / 40 ตะกว่ั บดั กรีชนิดน้ีจะมีฟลกั๊ หรือน้ายาประสานช่วยการบดั กรีอยู่ในตวั
ไม่จาเป็ นตอ้ งใชน้ ้ายาประสานแบบตลบั บางคร้ังเราใชน้ ้ายาประสานแบบตลบั ช่วยในการบดั กรี เม่ือเราบดั กรี
น้ายาประสานจะไหลเยิ้มละลายเขา้ หากนั ระหว่างจุดบดั กรีและ จะมีผลเป็ นอย่างมากต่อวงจรท่ีทางานย่าน
ความถ่ีสูง

4. วธิ ีการบดั กรีจะแสดงให้เห็นในรูปท่ี 9.1 การลงอุปกรณ์ให้ลงจากตวั ท่ีมีความสูงนอ้ ยท่ีสุดไล่ไปจนถึง
อุปกรณ์ที่มีความสูงมากที่สุด เมื่อใส่อุปกรณ์แลว้ ใหก้ ดตวั อุปกรณ์ใหช้ ิดแผน่ วงจรพิมพจ์ ากน้นั จรดปลายหวั แร้ง
จ้ีไปที่ขาอุปกรณ์แลว้ แช่เอาไวป้ ระมาณ 2-4 วินาทีเพ่ือให้ความร้อนกระจายไปท่ีแผน่ ทองแดงและชิ้นงานเท่า ๆ
กนั จากน้นั ให้นาตะกวั่ บดั กรีป้อนเขา้ ไปท่ีอีกดา้ นของหัวแร้งเสมอ ห้ามป้อนเขา้ ท่ีหัวแร้ง เพราะจะทาให้การ
บดั กรีไมส่ มบูรณ์คือไม่แนบสนิทเท่าท่ีควร หากบดั กรีถูกตอ้ งตะกวั่ จะไหลลงตามแรงดึงดูดของโลกไปเชื่อมต่อ
ระหว่างขาอุปกรณ์กบั ลายวงจรอย่างแนบสนิท การป้อนตะกวั่ ตอ้ งป้อนพอประมาณอยา่ มากเกินไปหรือน้อย
เกินไป หากมากเกินไปจะทาให้ลายวงจรไม่สวยและสกปรก หากน้อยเกินไปก็จะทาให้บดั กรีอุปกรณ์ไม่ติด
จากน้นั นาตะกวั่ ที่ป้อนออกแลว้ จึงนาหัวแร้งออก การกระทาท้งั หมดที่ผา่ นมาจะทาใหข้ าอุปกรณ์ต่อเขา้ กบั ลาย
วงจรเม่ือบดั กรีเสร็จเรียบร้อย นาคีมมาตดั ขาอุปกรณ์ให้ส้ันท่ีสุด การบดั กรีท่ีดีจุดบดั กรีเมื่อบดั กรีเสร็จจะตอ้ ง
มนั วาว และตะก่วั จะตอ้ งมีความพอเหมาะไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป หากตอ้ งการให้การบดั กรีง่ายข้ึน
สามารถใชย้ าสนมาช่วยในการบดั กรีไดโ้ ดยการนาปลายตะกว่ั ไปชุบน้ายาประสานเพอื่ ใหก้ ารบดั กรีง่ายข้ึน การ
บดั กรีอุปกรณ์ประเภทสารก่ึงตวั นาห้ามแช่หัวแร้งไวน้ าน เช่น การบดั กรีทรานซิสเตอร์ ทรานซิสเตอร์มี 3 ขา
เมื่อเราบดั กรีได้ 1 ขาแลว้ ให้พกั หรือไปบดั กรีอุปกรณ์ตวั อื่นแลว้ ค่อยกลบั มาบดั กรีขาทรานซิสเตอร์ขาท่ี 2 อีก
คร้ังแลว้ ใหพ้ กั หรือไปบดั กรีอุปกรณ์ตวั อ่ืนแลว้ ค่อยกลบั มาบดั กรีขาทรานซิสเตอร์ขาที่ 3 อีกคร้ัง

5. การถอดอุปกรณ์โดยใชท้ ี่ดูดตะกวั่ จะแสดงใหเ้ ห็นในรูปที่ 9.2 ข้นั ตอนการใชง้ านเริ่มแรกให้กดลูกสูบ
ที่เคร่ืองดูดตะกว่ั ให้ล็อกที่ตาแหน่งเตรียมดูด ใชป้ ลายหัวแร้งจ้ีที่อุปกรณ์ที่เราจะถอดออก สังเกตดูท่ีตะกวั่ เมื่อ
เห็นตะกว่ั เริ่มละลายใหว้ างปลายท่ีดูดตะกว่ั บริเวณจุดท่ีจะดูดแลว้ กดป่ ุมดีดลูกสูบของท่ีตะกว่ั ให้ทางานพร้อม
กบั ชกั ปลายหวั แร้งออก หากจุดบดั กรีที่ดูดตะกวั่ ออกแลว้ ยงั มีเศษตะกว่ั ติดอยเู่ ล็กนอ้ ย ควรโยกขาอุปกรณ์ไปมา
ก่อนก่อนเพื่อให้ตะกว่ั ท่ีจบั ขาอุปกรณ์หลุดออก ก่อนดึงอุปกรณ์ออกหากโยกแลว้ ไม่หลุดจะตอ้ งดูดตะกว่ั ออก
ใหม่โดยการป้อนตะกวั่ เขา้ ไปใหม่การกระทาแบบน้ีจะทาให้ดูตะกว่ั ง่ายข้ึน แลว้ จึงใชเ้ คร่ืองดูดตะกว่ั ดูดตะกว่ั
ออกมาใหห้ มด

9.2 การอ่านค่าอุปกรณ์
9.2.1 การอ่านค่าตวั ตา้ นทานคงท่ี (Fixed Resistor) ตวั ตา้ นทานคงท่ีที่ใช้ในปัจจุบนั จะมีการบอกค่าความ

ตา้ นทานด้วยโคด้ สีและตัวเลขท่ีไม่สามารถอ่านค่าออกมาได้โดยตรงเราจะต้องแปลโค้ดท่ีเขียนไวบ้ นตวั
ตา้ นทานเหล่าน้นั ออกมาเป็ นค่าความตา้ นทานท่ีมีหน่วยเป็ นโอห์ม (Ω) การอ่านค่าตวั ตา้ นทานที่บอกโคด้ เป็ น
แถบสี โคด้ แถบท่ีติดอยูบ่ นตวั ตา้ นทานแบ่งออกเป็ น 2 ชนิดคือแบบ4 แถบสี และแบบ 5 แถบสี การแปลค่าตวั
ตา้ นทานจากแถบสีท้งั สองชนิดแตกต่างกนั เพียงเล็กนอ้ ย

9.2.1.1 การอ่านค่าตวั ตา้ นทานแบบ 4 แถบสี การอ่านความตา้ นทานแบบ 4แถบสีน้ันส่ิงท่ีตอ้ งทาเป็ น
ประการแรกคือการเรียงลาดบั แถบสีให้ถูกตอ้ ง ในกรณีค่าความผิดพลาดของตวั ตา้ นทานมีค่า 5% หรือ 10% จะ
มีสีทองหรือสีเงินเป็ นแถบท่ี 4 ต้องจบั สีทองหรือสีเงินไวท้ างขวามือดงั รูปที่ 9.3 แล้วจึงอ่าน ค่าแถบสีและ
ความหมายอยใู่ นตารางท่ี 9.3

9.2.2 ตวั ตา้ นทานแบบปรับค่าได้ เรียกวา่ โพเทนชิโอห์มมิเตอร์ หรือโวลลุ่ม ถา้ เป็ นตวั ใหญ่เราเรียกกนั วา่
โวลลุ่มธรรมดา เป็ นตวั ต้านทานท่ีมีแกนหมุนปรับค่า โวลลุ่มท่ีมีขา 3 ขาเรียกว่าโวลลุ่มช้ันเดียว ถา้ มี 6 ขา
เรียกวา่ โวลลุ่ม 2 ช้นั ถา้ 8 ขาเรียกวา่ โวลลุ่มสองช้นั แบบมีแทปกลาง โวลลุ่มมกั จะพิมพค์ ่าความตา้ นทานติดไว้
บนตวั ให้อ่านค่าออกมาโดยตรง แตม่ ีโวลลุ่มอีกแบบหน่ึงมีขนาดเล็กใชไ้ ขควงปรับค่าความตา้ นทานเราเรียกโว
ลลุ่มแบบน้ีวา่ โวลลุ่มแบบเกือกมา้ จะไม่พิมพค์ า่ ติดไวบ้ นตวั แต่จะพิมพโ์ คด้ ตวั เลข 3 ตวั คา่ ความตา้ นทานของโว
ลลุ่มเกือกมา้ ตอ้ งทาการอ่านคา่ โคด้ แลว้ แปลค่าออกมา โดย 2 ตวั แรกเป็ นตวั ต้งั และตวั ที่ 3 เป็ นจานวนเลขศูนย์
แปลไดว้ า่ เช่นบนตวั ของโวลลุ่มเกือกมาพิมพ์ 203 หมายถึง 2, 0, 000 เมื่อนามารวมกนั จะไดค้ ่า 20000Ω หรือ
20kΩ

9.2.3 การอ่านค่าความตา้ นทานจากวงจร ในบางคร้ังมกั พบวา่ ในวงจรหรือตาแหน่งวงอุปกรณ์มกั เขียน
คา่ อุปกรณ์ตา่ งกนั ออกไปซ่ึงมีคา่ หลกั ในการอา่ นดงั ตารางท่ี 9.2

9.2.4 การอ่านค่าตวั เก็บประจุ ตวั เกบ็ ประจุท่ีใชใ้ นเครื่องเสียงมกั จะมีอยู่ 2 ชนิดคือตวั เกบ็ ประจุแบบมีข้วั
และตวั เกบ็ ประจุแบบไม่มีข้วั

9.2.4.1 ตวั เก็บประจุแบบมีข้วั ไดแ้ ก่ แบบอิเล็กโตรไลติคส์และแบบแพนทาลมั่ ท้งั สองชนิดมกั บอกค่าที่
เป็นตวั เลขออกมาโดยตรง แต่เวลาต่อใชง้ านตอ้ งต่อใหถ้ ูกตอ้ งกบั ข้วั ตวั เกบ็ ประจุเสมอโดยวธิ ีสงั เกตดงั น้ีดงั รูปที่
9.8

9.2.4.2 ตวั เก็บประจุชนิดไม่มีข้วั ไดแ้ ก่ เซรามิก, ไมลาห์, MKT, โพลีโพรไพรีน,โพลีสไตรีน เป็ นตน้ ซ่ึง
ตวั เก็บประจุเหล่าน้ีบางตวั จะพิมพค์ ่าโดยตรงติดเอาไว้ แต่บางชนิดจะพิมพ์โคด้ ตวั เลขบอกค่าความจุ ชนิดท่ี
บอกโคด้ ตวั เลขจะบอกเป็ นตวั เลข 3 ตวั โดยตวั เลขตวั แรกและตวั ที่2 เป็ นตวั ต้งั ตวั เลขตวั ที่ 3 บอกจานวนศูนย์
หน่วยท่ีอ่านออกมาไดจ้ ะเป็น PF ตวั อยา่ งการอ่านจะอยใู่ นรูปท่ี 9.8 ถึง 9.11
9.3 การประกอบและทดสอบเคร่ืองขยายเสียง

ในการประกอบเครื่องขยายเสียงสิ่งที่ตอ้ งทาใหไ้ ดค้ ือ ตอ้ งใส่อุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ลงในแผน่ วงจรไดค้ รบ
และถูกตอ้ ง ตอ้ งบดั กรีขาอุปกรณ์ติดกบั แผน่ ปรินทไ์ ดแ้ นบสนิท ตรวจสอบไบอสั ทรานซิสเตอร์ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
ทดสอบเคร่ืองขยายเสียงได้อยา่ งถูกตอ้ ง ประกอบและตรวจเคร่ืองขยายเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เท่าน้ีก็ไดเ้ คร่ือง
ขยายเสียงท่ีสมบูรณ์แลว้ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการประกอบและทดสอบเครื่องขยายเสียง ไดแ้ ก่ โวลต์
มิเตอร์ไฟตรง 1 เครื่อง, แหล่งจ่ายไฟตรง 1 เครื่อง, สายไปสาหรับต่อวงจร 1 ชุด, หัวแร้ง 1 อนั , และท่ีจะขาด
ไม่ไดเ้ ลยคือเคร่ืองขยายเสียงท่ีตอ้ งการจะประกอบ
ข้นั ตอนการประกอบเคร่ืองขยายเสียง

1. สารวจอุปกรณ์และแผน่ ปริ้นทว์ า่ ครบหรือไม่
2. การใส่อุปกรณ์ตอ้ งใส่ให้ถูกตอ้ งแล้วจึงบดั กรี การใส่อุปกรณ์ตอ้ งใส่จากอุปกรณ์ที่เต้ียท่ีสุดไปจนถึง
อุปกรณ์ที่สูงท่ีสุด แต่ยงั ไมต่ อ้ งใส่ทรานซิสเตอร์ท่ีติดกบั แผน่ ระบายความร้อนหรือทรานซิสเตอร์ภาคขยายกาลงั
การบดั กรีอุปกรณ์ประเภทสารก่ึงตวั นาไม่ควรแช่หวั แร้งนานเกินไปเพราะจะทาให้อุปกรณ์สารก่ึงตวั นาน้นั ๆ
ชารุดเสียหายได้
3. เม่ือบดั กรีเสร็จเรียบร้อย ให้ตัดขาอุปกรณ์ให้ส้ันท่ีสุด สารวจตรวจสอบรอยบัดกรีว่าติดแนบสนิท
หรือไม่ เพราะหากบดั กรีไม่ดี คุณภาพเสียงที่ไดอ้ าจจะดงั ไมด่ ีหรือเงียบสนิทเป็ นไปไดท้ ้งั น้นั เพราะฉะน้นั ตอ้ ง
ระวงั เรื่องของการบดั กรีใหด้ ี
4. การลงอุปกรณ์ให้เริ่มท่ีประกอบที่ภาคจ่ายไฟก่อน เม่ือลงอุปกรณ์ภาคจ่ายไฟเสร็จแลว้ ลองทาการวดั
แรงดนั ที่ไดว้ ำ่าตรงกบั ที่วงจรขยายตอ้ งการหรือไม่ ถา้ ไดแ้ รงดนั ไฟถูกตอ้ งกใ็ หป้ ระกอบวงจรส่วนตอ่ ๆ ไปได้

เลย
5. ให้ลงอุปกรณ์ในวงจรมาเรื่อย ๆ ให้ครบแต่ตอนน้ียงั ไม่ตอ้ งใส่ทรานซิสเตอร์ภาคขยายกาลงั ลงในวงจร

จากน้นั ทาการจ่ายไฟเขา้ ระบบ สังเกตวา่ จะตอ้ งไม่มีกล่ินเหมน็ หรือควนั ข้ึน หากเกิดการไหมห้ รือกลิ่นเหมน็ ให้
หยุดจ่ายไฟเขา้ วงจรทนั ที และตรวจสอบความเรียบร้อยอีกคร้ังว่าปรินท์เกิดการชอร์ตหรือหลุดหลวมหรือไม่
อุปกรณ์ใส่ขาผดิ หรือไม่ โดยเฉพาะทรานซิสเตอร์และตวั เก็บประจุ จากน้นั ต้งั ยา่ นโวลตม์ ิเตอร์ไฟตรง 50VDC
ข้วั บวกของมิเตอร์แตะที่ลาโพงข้วั บวก และข้วั ลบของมิเตอร์ไปแตะท่ีลาโพงข้วั ลบ ปกติตอ้ งไม่มีไฟตรงออกที่
ลาโพง หากมีจะอยปู่ ระมาณ 0.1โวลต์ หากมากกวา่ 0.1 โวลตเ์ ราถือวา่ วงจรขยายผดิ ปกติแน่นอน

6. จากน้นั วดั แรงดนั ไฟไบอสั เคอร์เรนจ์ (Bias Current) โดยวดั ที่ภาคขบั กาลงั จะมีไดโอดต่ออนั ดบั กนั
อยู่ ให้นามิเตอร์ต้งั ยา่ นวดั แรงดนั ไฟตรงไปวดั คร่อมระหวา่ งไดโอดตวั แรกกบั ไดโอดตวั ท่ีสอง โดยให้ข้วั บวก
ของมิเตอร์วดั ที่ขาแอโนดของไดโอดตวั แรก และข้วั ลบของมิเตอร์วดั ตรงขาแคโทด


Click to View FlipBook Version