The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนเครื่องเสียง 64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha1906, 2022-03-28 03:30:02

แผนเครื่องเสียง 64

แผนเครื่องเสียง 64

กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้

ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน

1. ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน ( 15 นาที ) 1. ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน ( 15 นาที )

1. ผูส้ อนแจง้ วตั ถุประสงค์ของการเรียน บทท่ี 1. ผเู้ รียนทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั วตั ถุประสงคข์ อง

5 เรื่อง การเช่ือมตอ่ สัญญาณ การเรียน บทท่ี 5 การเชื่อมต่อสัญญาณ

2. ผสู้ อนให้ผเู้ รียนอธิบายการเชื่อมต่อสัญญาณ 2. ผเู้ รียนอธิบายการเช่ือมตอ่ สัญญาณโดยตรง

โดยตรง

2. ข้นั ให้ความรู้ (120 นาที ) 2. ข้ันให้ความรู้ (120 นาที )

1. ผูส้ อนเปิ ด PowerPoint และให้ผูเ้ รียนเปิ ด 1. ผเู้ รียนศึกษาวธิ ีการใช้ PowerPoint กบั เอกสาร

เอกสารประกอบการสอนวชิ า เครื่องเสียง หน่วยที่ ประกอบการสอน วิชา เครื่องเสียง บทที่ 5 เร่ือง การ

5 เร่ือง การเชื่อมตอ่ สัญญาณ พร้อมอธิบายเน้ือหาที เช่ือมต่อสัญญาณ พร้อมอธิบายเน้ือหาทีละส่วนโดย

ละส่วน เลือกจดบนั ทึกเน้ือหาท่ีสาคญั

2. ผสู้ อนเปิ ดโอกาสให้ผเู้ รียนซกั ถามขอ้ สงสัย 2. ผเู้ รียนซกั ถามขอ้ สงสัยท่ีเกิดข้ึน

ท่ีเกิดข้ึนระหว่างการเรียนการสอน และตอบข้อ

ซกั ถาม

3. ข้นั ประยกุ ต์ใช้ (250 นาที ) 3. ข้นั ประยกุ ต์ใช้( 250 นาที )

10. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาแบบประเมินหลังการ 1. ผเู้ รียนทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 5

เรียนบทท่ี 5 2. ผเู้ รียนทาใบงานท่ี 5 หนา้ ที่ 245-249

11. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาใบงานที่ 5 หน้าท่ี 245- 3. ผเู้ รียนทาใบงานท่ี 6 หนา้ ท่ี 250-254
249 4. ผเู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มูลจากอินเทอร์เน็ต

12. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาใบงานท่ี 6 หน้าที่ 250-

254

13. ผู้ ส อ น ใ ห้ ผู้ เรี ย น สื บ ค้ น ข้ อ มู ล จ า ก
อินเทอร์เน็ต

กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้

ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน

4. ข้นั สรุปและประเมินผล ( 95 นาที ) 4. ข้ันสรุปและประเมินผล( 95 นาที )

7. ผสู้ อนและผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาท่ีไดเ้ รียน 3. ผสู้ อนและผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาที่ไดเ้ รียน

ใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั ใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั

8. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนศึกษาเพ่ิมเติมนอกห้องเรียน 4. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียน

ดว้ ย PowerPoint ที่จดั ทาข้ึน ดว้ ย PowerPoint ท่ีจดั ทาข้ึน

(บรรลุจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-5) (บรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-5)

(รวม 480 นาที หรือ 8 คาบเรียน)

งานทีม่ อบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมนิ ผล

ก่อนเรียน

7. จดั เตรียมเอกสาร ส่ือการเรียนการสอนบทท่ี5
8. ทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จุดประสงคก์ ารเรียนของบทที่ 5 และใหค้ วามร่วมมือในการทากิจกรรมใน

บทที่ 5

ขณะเรียน

7. ทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 5
8. ทาใบงานที่ 5
9. ร่วมกนั สรุป “การเช่ือมต่อสัญญาณ”

หลงั เรียน

4. ทาใบงานท่ี 6

ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสาเร็จของผู้เรียน

แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 5
ใบงานที่ 5
ใบงานท่ี 6

ส่ือการเรียนการสอน/การเรียนรู้

ส่ือส่ิงพมิ พ์
9. เอกสารประกอบการสอนวชิ า เครื่องเสียง(ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
ขอ้ ที่ 1-5)
10. แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 5 ข้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 1
11. ใบงานท่ี 5
12. ใบงานท่ี 6

สื่อโสตทศั น์ (ถ้ามี)
7. เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
8. PowerPoint เรื่อง การเช่ือมต่อสัญญาณ

สื่อของจริง
4. การเช่ือมตอ่ สัญญาณ (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 1-5)

แหล่งการเรียนรู้

ในสถานศึกษา
1. หอ้ งสมุดวทิ ยาลยั เทคนิคสมุทรสาคร
2. หอ้ งปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ ศึกษาหาขอ้ มูลทางอินเทอร์เน็ต

นอกสถานศึกษา
ผปู้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่ินจงั หวดั สมุทรสาคร

การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กบั วชิ าอ่ืน

10. บูรณาการกบั วชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
11. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์
12. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าเบ้ืองตน้

การประเมนิ ผลการเรียนรู้
 หลกั การประเมินผลการเรียนรู้

ก่อนเรียน
4. ความรู้ความเขา้ ใจก่อนการเรียนการสอน

ขณะเรียน
7. ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนรู้บทท่ี 5
8. ตรวจใบงานท่ี 5
9. สังเกตการทางาน

หลงั เรียน
4. ตรวจใบงานที่ 6

คาถาม

ผลงาน/ชิน้ งาน/ผลสาเร็จของผ้เู รียน

ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 5
ตรวจใบงานที่ 5
ตรวจใบงานที่ 6

สมรรถนะทพ่ี งึ ประสงค์

ผเู้ รียนสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การเช่ือมตอ่ สญั ญาณ
13. วเิ คราะห์และตีความหมาย
14. ต้งั คาถาม
15. อภิปรายแสดงความคิดเห็นระดมสมอง
16. การประยกุ ตค์ วามรู้สู่งานอาชีพ

สมรรถนะการปฏบิ ตั งิ านอาชีพ

4. การเชื่อมต่อสัญญาณ

สมรรถนะการขยายผล

ความสอดคล้อง
จากการเรียนเรื่อง การเช่ือมต่อสัญญาณ ทาให้ผูเ้ รียนมีความรู้เพ่ิมเกี่ยวกบั การเช่ือมต่อสัญญาณ
โดยตรง การเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยอาร์ซี การเชื่อมต่อสัญญาณดว้ ยอิมพีแดนซ์ การเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยหมอ้
แปลง เป็นตน้

รายละเอยี ดการประเมินผลการเรียนรู้

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 1 อธิบายการเช่ือมต่อสัญญาณโดยตรงได้

10. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

11. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

12. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : อธิบายการเชื่อมต่อสญั ญาณโดยตรงได้ จะได้ 2 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 2 บอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของการเช่ือมตอ่ สัญญาณดว้ ยอาร์ซีได้

10. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

11. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

12. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของการเช่ือมต่อสญั ญาณดว้ ยอาร์ซีได้ จะได้ 2

คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 3 เช่ือมต่อสญั ญาณดว้ ยอิมพแี ดนซ์ได้

10. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

11. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

12. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : เชื่อมต่อสัญญาณดว้ ยอิมพีแดนซ์ได้ จะได้ 2 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 4 จดั ลาดบั ขอ้ ดีและขอ้ เสียของการเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยหมอ้ แปลงได้

7. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

8. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

9. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : จดั ลาดบั ขอ้ ดีและขอ้ เสียของการเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยหมอ้ แปลงได้

จะได้ 2 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 5 สรุป การเชื่อมต่อสัญญาณ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : สรุป การเชื่อมต่อสัญญาณ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

จะได้ 2 คะแนน

แบบประเมนิ หลงั การเรียนบทที่ 5

ตอนท่ี 1 จงเติมคาในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง
1. วงจรขยายแบบการเช่ือมตอ่ โดยตรง ใชส้ าหรับ................................................ที่ส่งผา่ นจาก
ภาคหน่ึงไปอีกภาคหน่ึง
2. ในการเช่ือมตอ่ แบบอิมพแี ดนซ์ L ทาหนา้ ท่ีเป็น.................................................................
3. เค ร่ื อ ง ข ย าย ที่ ส าม าร ถ รั บ สั ญ ญ าณ อิ น พุ ต ท่ี มี ค ว าม แ ต ก ต่ างกัน ส อ งอิ น พุ ต ไ ด้ เรี ย ก ว่า
...........................................................................................................................................................
4. การเช่ือมตอ่ ดว้ ย R C มกั ใชต้ วั เก็บประจุ และตวั ตา้ นทาน ตอ่ ระหวา่ งขา.............................
ของทรานซิสเตอร์ตวั หน่ึงกบั ขา................................................ของทรานซิสเตอร์อีกตวั หน่ึง
5. การตอบสนองความถี่ของการเชื่อมตอ่ แบบ...........................ดีกวา่ แบบเช่ือมดว้ ยหมอ้ แปลง
6. การเชื่อมต่อดว้ ยหมอ้ แปลงสามารถปรับ........................................ใหเ้ กิดความเหมาะสมได้
7 . ก า ร เช่ื อ ม ต่ อ ด้ ว ย อิ ม พี แ ด น ซ์ คื อ ก า ร ใ ช้ อุ ป ก ร ณ์ .....................................แ ล ะ
.......................................................เป็นตวั เชื่อมตอ่
8. วงจรขยาย.........................................เป็นการขยายใหเ้ อาตพ์ ุตตา่ งเฟสกบั อินพุต 180 องศา
9. (OPERATIONAL AMPLIFIER) เรียกส้นั ๆวา่ ....................................................................
10. สญั ญาณมีเฟสเหมือนกบั อินพตุ ท่ีป้อนเขา้ มา เรียกวา่ ........................................................
ตอนท่ี 2 กากบาทลงหนา้ คาตอบท่ีถูกตอ้ งท่ีสุดเพียงขอ้ เดียว
1. การเชื่อมต่อแบบใดที่ใหก้ ารตอบสนองดา้ นความถ่ีไดด้ ีทุกยา่ น
ก. การเชื่อมตอ่ โดยตรง
ข. การเช่ือมตอ่ ดว้ ย R C
ค. การเช่ือมต่อดว้ ยหมอ้ แปลง
ง. การเชื่อมตอ่ ดว้ ยอิมพแี ดนซ์
2. การเช่ือมตอ่ แบบใดท่ีสามารถปรับอิมพีแดนซ์ใหเ้ กิดความเหมาะสมไดด้ ี
ก. การเช่ือมต่อโดยตรง
ข. การเช่ือมต่อดว้ ย R C
ค. การเช่ือมต่อดว้ ยหมอ้ แปลง
ง. การเช่ือมต่อดว้ ยอิมพแี ดนซ์
3. การเช่ือมตอ่ แบบใดที่สามารถปรับอิมพีแดนซ์ไดแ้ ละไมเ่ กิดการรบกวนของเส้นแรงแมเ่ หลก็
ก. การเช่ือมตอ่ โดยตรง
ข. การเช่ือมต่อดว้ ย R C

ค. การเชื่อมต่อดว้ ยหมอ้ แปลง
ง. การเช่ือมต่อดว้ ยอิมพแี ดนซ์
4. การเชื่อมต่อแบบใดท่ีใหก้ ารตอบสนองดา้ นความถ่ีช่วงกลางยา่ นความถ่ีเสียงไดด้ ี และต่อเชื่อมดว้ ยคา่ ความ
ตา้ นทานต่าไดด้ ี
ก. การเชื่อมตอ่ โดยตรง
ข. การเชื่อมตอ่ ดว้ ย R C
ค. การเช่ือมตอ่ ดว้ ยหมอ้ แปลง
ง. การเช่ือมต่อดว้ ยอิมพแี ดนซ์
5. ขอ้ เสียของการเชื่อมตอ่ ดว้ ย R C คืออะไร
ก. ตอบสนองความถี่ต่าไมด่ ี
ข. ตอบสนองความถี่ของวงจรไม่ดี
ค. ไมม่ ีเสถียรภาพเน่ืองจากอุณหภูมิ
ง. เกิดสญั ญาณรบกวนจากสนามแม่เหล็ก
6. ขอ้ เสียของการเช่ือมต่อโดยตรงคืออะไร
ก. ตอบสนองความถ่ีต่าไม่ดี
ข. ตอบสนองความถี่ของวงจรไม่ดี
ค. ไมม่ ีเสถียรภาพเนื่องจากอุณหภูมิ
ง. เกิดสัญญาณรบกวนจากสนามแมเ่ หล็ก
7. สาเหตุที่ทาใหเ้ กิดความผดิ เพ้ยี นทางดา้ นเฟสของสัญญาณคืออะไร
ก. วงจรขยายทางานมากกวา่ ปกติ
ข. ป้อนสญั ญาณเขา้ มาแรงกินไป
ค. ใชอ้ ุปกรณ์พวก L C ตอ่ ในวงจร
ง. ความถ่ีที่ป้อนเขา้ มาหลายความถี่เกินไป
8. สาเหตุท่ีทาใหเ้ กิดความผดิ เพ้ียนทางขนาดของสญั ญาณคืออะไร
ก. วงจรขยายทางานมากกวา่ ปกติ
ข. ป้อนสญั ญาณเขา้ มาแรงกินไป
ค. ใชอ้ ุปกรณ์พวก L C ต่อในวงจร
ง. ความถี่ท่ีป้อนเขา้ มาหลายความถ่ีเกินไป
9. สาเหตุท่ีทาใหเ้ กิดความผดิ เพ้ยี นทางความถี่ของสญั ญาณคืออะไร
ก. วงจรขยายทางานมากกวา่ ปกติ
ข. ป้อนสัญญาณเขา้ มาแรงเกินไป
ค. ใชอ้ ุปกรณ์พวก L C ต่อในวงจร

ง. ความถี่ท่ีป้อนเขา้ มาหลายความถ่ีเกินไป
10. เดซิเบล (dB) คืออะไร
ก. หน่วยบอกระดบั ความสูงวตั ถุ
ข. หน่วยบอกความถี่ต่อวนิ าที
ค. หน่วยบอกระดบั แรงกดดนั
ง. หน่วยบอกระดบั ความดงั ของเสียง
11. วงจรขยายสัญญาณที่สามารถขยายสัญญาณออกเอาตพ์ ุตไดส้ องสัญญาณเทา่ กนั แต่ต่างเฟสกนั คือวงจอะไร
ก. วงจรขยายออปแอมป์
ข. วงจรขยายดิฟเฟอเรนเชียล
ค. วงจรขยายสัญญาณแบบกลบั เฟส
ง. วงจรขยายสญั ญาณแบบไม่กลบั เฟส
12. วงจรขยายแบบไม่กลบั เฟสของออปแอมป์ มีความตา้ นทานอินพุต 1kΩ ความตา้ นทานเอาตพ์ ุต 100kΩ
อตั ราขยายของวงจรน้ีมีค่าเท่าใด
ก. 10 เท่า
ข. 100 เทา่
ค. 101 เท่า
ง. 200 เท่า
13. ขอ้ ใดคือสมการของหน่วยวดั ความdB
ก. dB = 10 log10 (EO / EI)
ข. dB = 10 log10 (PO / PI)
ค. dB = 10 log10 (IO / II)
ง. dB = 20 log10 (PO / PI)
14. ขอ้ ใดไม่ใช่ความผดิ เพ้ยี นท่ีเกิดจากการขยาย
ก. ดา้ นขนาด
ข. ดา้ นความถ่ี
ค. ดา้ นกาลงั
ง. ดา้ นเฟส
15. ออปแอมป์ ส่วนใหญม่ ีถาคตน้ ๆ ประกอบดว้ ยวงจรอะไร
ก. วงจรขยายออปแอมป์
ข. วงจรขยายดิฟเฟอเรนเชียล
ค. วงจรขยายสัญญาณแบบกลบั เฟส
ง. วงจรขยายสัญญาณแบบไมก่ ลบั เฟส

ตอนท่ี 3 จากโจทยจ์ งอธิบายใหไ้ ดค้ วามหมายท่ีสมบูรณ์
1. การเช่ือมต่อสัญญาณเสียงแบง่ ไดก้ ี่แบบ อะไรบา้ ง ?
2. จงบอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของวงจรเช่ือมต่อโดยตรง ?
3. จงบอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของวงจรเชื่อมตอ่ ดว้ ย R C ?
4. จงบอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของวงจรเช่ือมตอ่ ดว้ ยอิมพีแดนซ์ ?
5. จงบอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของวงจรเชื่อมต่อดว้ ยหมอ้ แปลง ?
6. จงอธิบายถึงการเช่ือมต่อสัญญาณโดยตรงมาพอสังเขป ?
7. จงอธิบายถึงการเชื่อมตอ่ สัญญาณดว้ ย R C มาพอสังเขป ?
8. จงอธิบายถึงการเชื่อมต่อสัญญาณดว้ ยดว้ ยอิมพีแดนซ์มาพอสงั เขป ?
9. จงอธิบายถึงสาเหตุที่นาหมอ้ แปลงมาเชื่อมตอ่ สัญญาณมาพอสงั เขป ?
10. เพราะเหตุใดจึงมีการนาอุปกรณ์ตา่ ง ๆ มาต่อเพ่ิมในการเช่ือมสญั ญาณ?

แบบประเมินผลการนาเสนอผลงาน
ชื่อกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................

รายชื่อสมาชิก

1……………………………………เลขที่……. 2……………………………………เลขที่…….

3……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขท่ี…….

ที่ รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเห็น

32 1

1 เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจน (ความรู้เก่ียวกบั เน้ือหา ความถกู ตอ้ ง

ปฏิภาณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ )

2 รูปแบบการนาเสนอ

3 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม

4 บุคลิกลกั ษณะ กิริยา ท่าทางในการพูด น้าเสียง ซ่ึงทาใหผ้ ูฟ้ ังมีความ

สนใจ

รวม

ผปู้ ระเมิน…………………………………………………

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจนถูกตอ้ ง
3 คะแนน = มีสาระสาคญั ครบถว้ นถูกตอ้ ง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ครบถว้ น แต่ตรงตามจุดประสงค์
1 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ถูกตอ้ ง ไมต่ รงตามจุดประสงค์

2. รูปแบบการนาเสนอ
3 คะแนน = มีรูปแบบการนาเสนอที่เหมาะสม มกี ารใชเ้ ทคนิคท่ีแปลกใหม่ ใชส้ ่ือและเทคโนโลยี
ประกอบการ นาเสนอท่ีน่าสนใจ นาวสั ดุในทอ้ งถิ่นมาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งคุม้ ค่าและประหยดั
4 คะแนน = มีเทคนิคการนาเสนอทแ่ี ปลกใหม่ ใชส้ ื่อและเทคโนโลยปี ระกอบการนาเสนอท่ีน่าสน ใจ แต่
ขาดการประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถ่ิน
1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไม่เหมาะสม และไม่น่าสนใจ

3. การมสี ่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมบี ทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม

4. ความสนใจของผฟู้ ัง
3 คะแนน = ผฟู้ ังมากกวา่ ร้อยละ 90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
2 คะแนน = ผฟู้ ังร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื
1 คะแนน = ผฟู้ ังนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ

แบบประเมนิ กระบวนการทางาน

ช่ือกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................

รายชื่อสมาชกิ 2……………………………………เลขที่…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขท่ี…….

ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เห็น

1 การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ที่รับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม
3 การปฏิบตั หิ นา้ ที่ที่ไดร้ บั มอบหมาย
4 การประเมินผลและปรับปรุงงาน

รวม

ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
วนั ที่…………เดือน……………………..พ.ศ…………...

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายการทางานอยา่ งชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน

2. การหนา้ ที่รับผิดชอบและการเตรียมความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง และตรงตามความสามารถของสมาชิกทุกคน มีการจดั เตรียมสถานท่ี สื่อ /
อปุ กรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง แต่ไม่ตรงตามความสามารถ และมีสื่อ / อุปกรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง แตข่ าด
การจดั เตรียมสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทวั่ ถึงและมีส่ือ / อปุ กรณ์ไม่เพยี งพอ

3. การปฏิบตั ิหนา้ ที่ท่ีไดร้ ับมอบหมาย
3 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย และตามเวลาที่กาหนด
2 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย แต่ชา้ กวา่ เวลาท่ีกาหนด
1 คะแนน = ทางานไม่สาเร็จตามเป้าหมาย

4. การประเมินผลและปรับปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนร่วมปรึกษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็ นระยะ

2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ แต่ไมป่ รับปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมไม่มีส่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรุงงาน

บันทกึ หลงั การสอน

บทที่ 5 เร่ืองการเช่ือมต่อสัญญาณ

ผลการใช้แผนการสอน

7. เน้ือหาสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
8. กิจกรรมการสอนเหมาะสมกบั เน้ือหาและเวลาที่กาหนด
9. ส่ือการสอนเหมาะสมดี

ผลการเรียนของนักเรียน

5. นักศึกษาส่วนใหญ่มีความเข้าใจในบทเรียน อภิปรายตอบคาถามในกลุ่ม และร่วมกันปฏิบัติ
ใบงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย

6. นกั ศึกษากระตือรือร้นและรับผดิ ชอบในการทางานกลุ่มเพื่อใหง้ านสาเร็จทนั เวลาท่ีกาหนด

ผลการสอนของครู

7. สอนเน้ือหาไดค้ รบตามหลกั สูตร
8. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเน้ือหาการสอนทาใหผ้ สู้ อนสอนไดอ้ ยา่ งมน่ั ใจ
9. สอนทนั ตามเวลาที่กาหนด

แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฏี

แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ 6

ช่ือวชิ า เครื่องเสียง สอนสัปดาห์ที่ 9-10

ชื่อหน่วย วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง คาบรวม 40

ชื่อเร่ือง วงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยายเสียง จานวนคาบ 4

หัวข้อเรื่อง

1. วงจรขยายเสียงแบบพชุ -พลู
2 .วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารี
3 .วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTL
4 .วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL
5 .วงจรดาร์ลิงตนั
6 .วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTL ชนิดเพมิ่ ภาคขบั กาลงั
7 .วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL ชนิดเพ่ิมภาคขบั กาลงั
8 .วงจรขยายสัญญาณเสียงแบบควอซีคอมพลีเมนตารี

สาระสาคญั

วงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยายเสียงน้ันจะประกอบดว้ ยภาคขบั กาลงั และภาคขยายกาลงั ท้งั สองภาค
ทางานร่วมกนั และเกี่ยวขอ้ งกนั จนแยกกนั ไม่ออกการขยายสัญญาณภาคสุดทา้ ยน้นั จะตอ้ งขยายสัญญาณให้มี
ความแรงและสัญญาณท่ีขยายจะตอ้ งไม่เกิดความผดิ เพ้ียน ภาคขยายกาลงั ท่ีใชก้ นั ทวั่ ๆ ไป ไดแ้ ก่ วงจรขยายแบบ
พชุ -พูลและวงจรขยายแบบคอมพลีเมนตารี ซ่ึงในวงจรแบบคอมพลีเมนตารีจะแบง่ ออกเป็นวงจรคอมพลีเมนตารี
แบบ OTL และ OCL และนอกจากการจดั วงจรขยายคอมพลีเมนตาร่ีแบบ OTL และ OCL ก็ยงั มีการจดั วงจรขยาย
แบบดาร์ลิงตนั และควอซิคอมพลีเมนตารี วงจรขยายแต่ละแบบจะมีลกั ษณะการจดั วงจร คุณสมบตั ิ ขอ้ ดีขอ้ เสีย
และการนาไปใชง้ านท่ีแตกตา่ งกนั

สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย

- แสดงความรู้เกี่ยวกบั วงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยายเสียง

คาศัพท์

จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้

 จุดประสงค์ทว่ั ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

5. เพื่อใหม้ ีความรู้เกี่ยวกบั วงจรขยายเสียงแบบพุช-พลู (ด้านความรู้)
6. เพื่อใหม้ ีทกั ษะในการแยกแยะชนิดของวงจรคอมพลีเมนตารี (ด้านทักษะ)
7. เพ่ือใหม้ ีเจตคติที่ดีในการช้ีแจงวงจรขยายสญั ญาณเสียงแบบควอซีคอมพลีเมนตารี(ด้านจิตพิสัย)
8. เพื่อสรุปวงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/

บูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง)

 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. อธิบายวงจรขยายเสียงแบบพุช-พลูได้ (ด้านความรู้)
2. บอกหลกั การทางานของวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTLได้ (ด้านความรู้)
3. แยกแยะชนิดของวงจรคอมพลีเมนตารีได้ (ด้านทักษะ)
4. ตอ่ วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL ได้ (ด้านทักษะ)
5. ต่อวงจรดาร์ลิงตนั ได้ (ด้านทักษะ)
6. ต่อวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTL ชนิดเพมิ่ ภาคบงั คบั ได้ (ด้านทักษะ)
7. คานวณหาวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL ชนิดเพมิ่ ภาคบงั คบั ได้ (ด้านทักษะ)
8. ช้ีแจงวงจรขยายสญั ญาณเสียงแบบควอซีคอมพลีเมนตารีได้ (ด้านจิตพิสัย)
9. สรุปวงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/

บูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง)

เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้

• ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี

ในวงจรส่วนของการขยายกาลงั น้นั จะประกอบไปดว้ ยสองภาคการทางาน ไดแ้ ก่ ภาคไดเวอร์หรือภาค
ขบั กาลัง และภาคขยายกาลงั โดยท้งั สองภาคน้ีทางานร่วมกนั และเกี่ยวข้องกนั จนแยกกนั ไม่ออก การขยาย
สัญญาณภาคสุดทา้ ยน้ันจะตอ้ งขยายสัญญาณให้มีความแรงและสัญญาณท่ีขยายจะตอ้ งไม่เกิดความผิดเพ้ียน
ภาคขยายกาลงั ที่ใชก้ นั ทว่ั ๆ ไปคือวงจรขยายแบบพุช-พูลและวงจรขยายแบบคอมพลีเมนตารี
6.1 วงจรขยายเสียงแบบพชุ -พลู (Push-Pull Amplifier)

วงจรขยายเสียงแบบพชุ -พลู (Push-Pull Amplifier) เป็ นวงจรท่ีใชท้ รานซิสเตอร์จานวนสองตวั และชนิด
ของทรานซิสเตอร์จะต้องเป็ นชนิดเดียวกัน NPN หรื อ PNP เท่าน้ัน โดยวงจรขยายเสี ยงแบบพุช-พูล
ทรานซิสเตอร์ท่ีทาการขยายจะต่อร่วมกบั หมอ้ แปลงเพื่อจดั เฟสของสญั ญาณก่อนที่จะนามาขยายและปรับความ
สมดุลของอิมพีแดนซ์ระหวา่ งวงจรแรกและวงจรต่อไป

จากรูปท่ี 6.1 คือวงจรขยายเสียงแบบพุช-พูลโดยมีการต่อร่วมระหวา่ งภาคขบั กาลงั และภาคขยายกาลงั
ในภาคขบั กาลงั น้นั จะใชท้ รานซิสเตอร์หน่ึงตวั จดั คลาสการขยายในคลาส-เอ ทาให้สามารถขยายสัญญาณไดท้ ้งั
ซีกบวกและซีกลบโดยใชท้ รานซิสเตอร์เพียงตวั เดียวเม่ือทาการขยายสัญญาณแลว้ สัญญาณจะถูกส่งไปยงั หมอ้
แปลงเพื่อทาการปรับสมดุลของอิมพีแดนซ์และจดั เฟสสัญญาณเสียงก่อนส่งใหภ้ าคขบั กาลงั ภาคขบั กาลงั จะทา
การขยายสัญญาณท่ีรับเขา้ มาใหม้ ีความแรงหรือความดงั เพิม่ ข้ึนโดยไมม่ ีสญั ญาณรบกวนข้นั ตอนการทางานของ
วงจร เมื่อมีสัญญาณป้อนเขา้ มาจะถูกส่งผา่ น C1 โดย C1 เป็ นตวั เก็บประจุทาหนา้ ที่เช่ือมต่อสัญญาณจากอินพุต
ส่งให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และทาหนา้ ที่ป้องกนั ไฟฟ้ากระแสตรงไมใ่ ห้เขา้ ไปในวงจร สัญญาณเม่ือผา่ น C1 จะเขา้
ที่ขา B ของทรานซิสเตอร์ Q1 โดยทรานซิสเตอร์Q1 เป็ นทรานซิสเตอร์ขบั กาลงั ท่ีมีการจดั วงจรแบบอิมิตเตอร์
ร่วม ขยายสัญญาณให้มีระดบั ความแรงข้ึนระดบั หน่ึงก่อนส่งให้ภาคขยายกาลงั โดยที่ขา E ของ Q1 มี C2 และ
R3 เป็ นวงจรรักษาระดบั แรงดนั ให้ขา E ของทรานซิสเตอร์ Q1 ให้มีความเสถียรภาพ สัญญาณที่ถูกขยายด้วย
ทรานซิสเตอร์ Q1เฟสจะกลับ 180 องศากล่าวคือสัญญาณลูกแรกที่เข้ามาเป็ นซีกบวกเม่ือถูกขยายด้วย
ทรานซิสเตอร์Q1 จะไดส้ ัญญาณซีกลบ สัญญาณเสียงซีกลบจะไปตกคร่อมท่ีหมอ้ แปลง T1 หมอ้ แปลง T1 เป็น
หม้อแปลงอินพุตปรับความสมดุลของอิมพีแดนซ์ระหว่างวงจรขบั กาลังและวงจรขยายกาลัง และจดั เฟส
สญั ญาณเสียงท่ีถูกตอ้ งให้ขา B ของทรานซิสเตอร์ Q2 และ Q3 สัญญาณเสียงที่ไปตกคร่อมท่ีหมอ้ แปลง T1 ดา้ น
ขดปฐมภูมิ ศกั ยไ์ ฟฟ้าบนจะเป็ นลบ ศกั ยไ์ ฟฟ้าดา้ นล่างจะเป็ นบวก เมื่อเหน่ียวนาขา้ มไปขดทุติยภูมิศกั ยไ์ ฟฟ้า
บนจะเป็นบวก ศกั ยไ์ ฟฟ้าดา้ นล่างจะเป็นลบ R4 และ R5 เป็นวงจรแบ่งแรงดนั และจา่ ยไบอสั ตรงที่เหมาะสมให้
ขา B ของทรานซิสเตอร์ Q2 และ Q3 เมื่อสัญญาณลูกแรกถูกเหน่ียวนาเขา้ มาทาให้ Q2 ไดร้ ับไบอสั ตรงทาให้
ทรานซิสเตอร์ Q2 น ำากระแสแต่ทรานซิสเตอร์Q3 ไดร้ ับไบอสั กลบั ทาใหท้ รานซิสเตอร์ Q3 เขา้ สู่สภาวะคตั
ออฟ โดย Q2 และ Q3 เป็นวงจรขยายกาลงั ต่อวงจรแบบพุช-พูล ขยายสัญญาณเสียงในเฟสท่ีถูกตอ้ งสลบั กนั ท

ำางานตัวละคร่ึงซีกของสัญญาณเสียงและที่เอาต์พุตของ Q2 และ Q3 มีตวั ต้านทาน R6 และ R7 เป็ นตัว
ตา้ นทานปรับแรงดนั และจากดั กระแสให้ทรานซิสเตอร์ Q2 และ Q3 ให้ทางานคงที่ต่ออุณหภูมิดียิ่งข้ึน เม่ือ
ทรานซิสเตอร์
Q2 ทางานจะทาให้ไดส้ ัญญาณซีกลบ สัญญาณเสียงซีกลบจะไปตกคร่อมที่หมอ้ แปลง T2 โดย T2เป็ นหมอ้
แปลงอินพุตปรับความสมดุลของอิมพีแดนซ์ที่ขา C ของวงจรขยายกาลงั ใหเ้ หมาะสมกบั อิมพีแดนซ์ของลาโพง
สัญญาณเสียงท่ีถูกขยายจะไปตกคร่อมที่ขดปฐมภูมิของหม้อแปลง T2 ศกั ยไ์ ฟฟ้าบนจะเป็ นลบ ศกั ยไ์ ฟฟ้า
ด้านล่างจะเป็ นบวก เม่ือเหนี่ยวนาข้ามไปขดทุติยภูมิบนจะเป็ นบวกศกั ยไ์ ฟฟ้าด้านล่างจะเป็ นลบ ทาให้มี
สญั ญาณเสียงซีกบวกขบั ใหล้ าโพงเปล่งเสียงออกมา

สญั ญาณลูกท่ีสองเขา้ มาเป็ นซีกลบเม่ือถูกขยายดว้ ยทรานซิสเตอร์ Q1 จะไดส้ ญั ญาณซีกบวกสญั ญาณเสียง
ซีกบวกจะไปตกคร่อมท่ีหมอ้ แปลง T1 ดา้ นขดปฐมภูมิ ศกั ยไ์ ฟฟ้าบนจะเป็ นบวก ศกั ยไ์ ฟฟ้าดา้ นล่างจะเป็ นลบ
เมื่อเหนี่ยวนาขา้ มไปขดทุติยภูมิศกั ยไ์ ฟฟ้าบนจะเป็ นลบ ศกั ยไ์ ฟฟ้าดา้ นล่างจะเป็ นบวก ทาให้ Q3 ไดร้ ับไบอสั
ตรงทาให้ทรานซิสเตอร์ Q3 นากระแสแต่ทรานซิสเตอร์Q2 ได้รับไบอสั กลบั ทาให้ทรานซิสเตอร์ Q2 เขา้ สู่
สภาวะคตั ออฟทาให้ไดส้ ัญญาณซีกลบ สัญญาณเสียงซีกบวกจะไปตกคร่อมท่ีหมอ้ แปลง T2 ดา้ นขดปฐมภูมิ
ศกั ยไ์ ฟฟ้าบนจะเป็ นบวก ศกั ยไ์ ฟฟ้าดา้ นล่า งจะเป็นลบเม่ือเหน่ียวนาขา้ มไปขดทุติยภูมิบนจะเป็ นลบ ศกั ยไ์ ฟฟ้า
ดา้ นล่างจะเป็นบวก ทา ใหม้ ีสัญญาณเสียงซีกลบขบั ใหล้ าโพงเปล่งเสียงออกมา

เคร่ืองขยายเสียงแบบพชุ -พูลที่ใชห้ มอ้ แปลง จะไม่นิยมใชก้ บั เครื่องขยายเสียงทวั่ ไป เพราะมีปัญหาเรื่อง
เสียงแหลมลดลง การเกิดเสียงฮมั และมีน้าหนกั มาก นาไปใชง้ านในระบบส่งเสียงตามสาย หรือ PA (Public
Address System) หรืองานท่ีตอ้ งมีการปรับอิมพีแดนซ์ของลาโพง

6.2 วงจรขยายเสียงแบบคอมพลเิ มนตารี (Complementary Amplifier)
วงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารี เป็ นวงจรที่พฒั นามาจากวงจรพุช-พูล เน่ืองจากวงจรขยายแบบพุช-

พลู น้นั มีปัญหาเรื่องเสียงแหลมลดลง การเกิดเสียงฮมั และมีน้าหนกั มาก วงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีจึง
ถูกพฒั นาโดยการตดั หมอ้ แปลงในวงจรทิ้งไปท้งั หมดทาให้วงจรตอบสนองความถี่เสียงไดด้ ีตลอดยา่ น ทาให้
วงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีเป็นวงจรท่ีนิยมใชง้ านกนั อยา่ งแพร่หลาย

วงจรพ้ืนฐานของเคร่ืองขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีจะประกอบไปดว้ ยทรานซิสเตอร์สองตวั ท่ีมี
ชนิดต่างกนั คือ NPN และ PNP ต่อร่วมกนั ซ่ึงทรานซิสเตอร์ที่นามาต่อร่วมกนั น้ีจะตอ้ งมีค่าทนแรงดนั ค่าทน
กระแส ค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ เหมือนกนั การต่อวงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีน้นั จะนาทรานซิสเตอร์มา
ต่อร่วมกนั เหมือนวงจรขยายเสียงแบบพชุ -พลู จดั คลาสแบบ-เอบี เพอ่ื หลีกเล่ียงความผดิ เพ้ียนระหวา่ งรอยต่อ

จากรูปท่ี 6.2 คือวงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีแบบแหล่งจ่ายแรงดนั ชุดเดียวจดั คลาสการขยาย
แบบ-เอบี โดยการทางานท่ีสมบูรณ์ของวงจรน้ีตอ้ งอาศยั การประจุและคายประจุของ C2 ร่วมดว้ ย ตวั ตา้ นทาน
R1, R2 และ R3 เป็ นวงจรแบ่งแรงดนั โดยมี R2 เป็นตวั จดั ไบอสั จ่ายไบอสั ตรงให้ขาเบส (B) ของทรานซิสเตอร์
Q1 และ Q2ทางานในคลาส-เอบี

จากรูปท่ี 6.3 เป็ นวงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารี่แบบแหล่งจ่ายแรงดนั สองชุดโดยจดั คลาสการ
ขยายแบบ-เอบี การทางานของวงจรขยายเสียงท่ีสมบูรณ์ตอ้ งอาศยั แหล่งจ่ายแรงดนั แต่ละชุดช่วยใหเ้ กิดกระแส
ไหลผ่านลาโพงท้งั สองทิศทาง มีตวั ตา้ นทาน R1, R2 และ R3 ต่อเป็ นวงจรแบ่งแรงดนั โดยมี R2 เป็ นตวั จ่าย
ไบอสั ตรงให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 จะเห็นไดว้ า่ การวงจรขยายแบบคอมพลิเมนตารีน้นั จะไม่มีหมอ้ แปลง
เขา้ มาเก่ียวขอ้ งเลย การจดั เฟสของสัญญาณเสียงก่อนที่จะนามาขยายหรือการจดั เฟสของสัญญาณเสียงก่อน
ส่งออกไปที่เอาต์พุตน้นั จึงตอ้ งมีการจดั วงจรการขยายใหม่ให้ทางานไดส้ มบูรณ์และถูกตอ้ งโดยไม่อาศยั หมอ้
แปลง การวงจรขยายแบบคอมพลิเมนตารีสามารถจดั วงจรไดส้ องแบบคือ แบบ OTL (Output Tranformer Less)
และ OCL (Output Ccapacitor Less)

6.3 วงจรขยายเสียงแบบคอมพลเิ มนตารีชนิด OTL
วงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีชนิด OTL คาว่า OTL ย่อมาจากคาว่า Output Tranformer Less

แปลวา่ ไม่มีหมอ้ แปลงที่เอาตพ์ ตุ คือไมม่ ีหมอ้ แปลงในการทางานของวงจรดงั น้นั จึงตอ้ ง มีการใส่คาปาซิสเตอร์
ชนิดอิเล็กโทรไลติก (Electrolytic Capacitor) ค่าความจุสูงประมาณ 1,000 μF 2,200 μF หรือ 4,700 μF เขา้ ไป
ระหวา่ งเอาตพ์ ตุ ของวงจรขยายกบั ลาโพง เพ่อื ใหส้ ญั ญาณที่ส่งออกครบสมบูรณ์ถูกตอ้ งตามตอ้ งการดงั รูปท่ี 6.3

จากรูปที่ 6.4 สามารถอธิบายการทางานไดด้ งั น้ีเม่ือมีสัญญาณเสียงป้อนเขา้ มาสัญญาณเสียงจะผา่ น C1
เป็ นตวั เก็บประจุทาหน้าที่เชื่อมต่อสัญญาณจากอินพุตส่งให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และทาหน้าท่ีป้องกนั ไฟฟ้า
กระแสตรงไม่ให้เขา้ ไปในวงจร และมี R1 เป็ นตวั ตา้ นทานจากดั กระแสในวงจรจ่ายแรงดนั ไบอสั ตรงให้ขา B
ของทรานซิสเตอร์ Q1 และทรานซิสเตอร์ Q2 ต่อร่วมกบั VR1 เป็ นตวั ตา้ นทานปรับค่าแบบเกือกมา้ ทาหน้าท่ี
ปรับเสริมไบอสั ร่วมกบั ไดโอด D1 และ D2 ทาให้มีกระแสสงบไหลผ่านทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 พอเหมาะ
อยา่ งถูกตอ้ ง ท่ี VR2 เป็ นตวั ตา้ นทานปรับค่าแบบเกือกมา้ ท ำาหนา้ ท่ีปรับความสมดุลของไบอสั ที่จ่ายให้ขา
เบส (B) ของทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 ให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 มีการทางานท่ีเท่ากนั สมดุลกนั ช่วยให้
การขยายสัญญาณเสียงซีกบวกและซีกลบของทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 ออกมาเท่ากนั และ D1 และ D2 เป็ น
ไดโอดปรับไบอสั โดยอตั โนมตั ิ ช่วยให้ไบอสั ตรงท่ีจ่ายให้ขาเบส (B) ของทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 มีค่า
พอเหมาะตามความตอ้ งการของทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 ทาให้ทรานซิสเตอร์ทางานได้ถูกตอ้ ง สมมติให้
สัญญาณเสียงซีกบวกเป็ นสัญญาณเสียงลูกแรกท่ีเขา้ มาที่อินพุตที่จุด B จะมีศกั ยไ์ ฟฟ้าเป็ นบวกมากข้ึนลงคือมี
ศกั ย์เป็ นลบน้อยลง ทาให้ทรานซิสเตอร์ Q1 ได้รับไบอัสตรงนากระแส ส่วนทรานซิสเตอร์ Q2 จะเข้าสู่
สภาวะคตั ออฟ มีกระแสไหลจากแหล่งจา่ ยแรงดนั +Vcc ไป Q1, R2, C2 ผา่ นลาโพงลงกราวดโ์ ดยที่ R2 เป็ นตวั
ตา้ นทานปรับแรงดนั และจากดั กระแสให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 ให้ทางานคงที่ต่ออุณหภูมิดียิ่งข้ึน และมี
ความเสถียรภาพในการทางานมากข้ึนมกั จะใชค้ ่าความตา้ นทานต่าๆ ไม่ควรเกิน1 Ω แต่ตอ้ งการกาลงั วตั ตท์ ่ีสูง
ๆ เช่น 5 W หรือ 10 W C2 เป็ นตวั เก็บประจุทาหน้าท่ีส่งผ่านสัญญาณเสียงไปยงั ลาโพง โดยทาหน้าท่ีประจุ
แรงดัน VCC ในขณะที่ทรานซิสเตอร์ Q1 ทางาน และคายแรงดันประจุที่ประจุไวผ้ ่านทรานซิสเตอร์ Q2
ในขณะท่ี Q2 ทางานช่วยทาใหว้ งจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีทางานไดค้ รบสมบูรณ์ และทรานซิสเตอร์

Q1 เป็ นวงจรขยายกาลงั ต่อวงจรแบบคอมพลิเมนตาร่ีโดยต่อร่วมกบั ทรานซิสเตอร์ Q2 ขยายสัญญาณเสียงใน
เฟสที่ถูกตอ้ งสลบั กนั ทางานตวั ละคร่ึงซีกของสัญญาณเสียง แรงดนั ท่ีประจุเก็บไวท้ ่ี C2 มีค่าเท่ากบั +VCC มี
ศกั ยต์ กคร่อม C2 ดา้ นซ้ายเป็ นบวกดา้ นขวาเป็ นลบ กระแสท่ีไหลผา่ นลาโพงคร้ังน้ีจะทาให้ลาโพงเคล่ือนท่ีไป
ในทิศทางใดทิศทางหน่ึง

สญั ญาณเสียงซีกลบ (ซีกเส้นประ) เป็นสัญญาณเสียงลูกที่สองเขา้ มาท่ีอินพุตที่จุด B จะมีศกั ยไ์ ฟฟ้าเป็ น
บวกนอ้ ยลงคือมีศกั ยเ์ ป็ นลบมากข้ึน ทาใหท้ รานซิสเตอร์ Q2 ไดร้ ับไบอสั ตรงนากระแสส่วนทรานซิสเตอร์ Q1
จะเขา้ สู่สภาวะคตั ออฟ ที่ C2 เริ่มคายประจุแรงดนั ท่ีประจุไวใ้ นตวั ออกมา จากข้วั บวกซ้ายมือไปท่ี R3, Q2 ลง
กราวด์ ข้ึนไปที่ลาโพงครบวงจรท่ีข้วั ลบของ C2 กระแสจากการคายประจุของ C2 คร้ังน้ีจะทาใหล้ าโพงคลื่นท่ี
ไปทิศทางตรงกนั ขา้ มกบั คร้ังแรก ไดส้ ญั ญาณเสียงออกลาโพงอยา่ งครบสมบูรณ์ โดยที่ R3 เป็ นตวั ตา้ นทานปรับ
แรงดนั และจากดั กระแสให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และQ2 ใหท้ างานคงท่ีต่ออุณหภูมิดียงิ่ ข้ึน และมีความเสถียรภาพ
ในการทางานมากข้ึนมกั จะใชค้ ่าความตา้ นทานต่าๆ ไมค่ วรเกิน 1 Ω แตต่ อ้ งการกาลงั วตั ตท์ ่ีสูง ๆ เช่น 5 W หรือ
10 W ทรานซิสเตอร์ Q2เป็ นวงจรขยายกาลังต่อวงจรแบบคอมพลิเมนตารีโดยต่อร่วมกบั ทรานซิสเตอร์ Q1
ขยายสญั ญาณเสียงในเฟสที่ถูกตอ้ งสลบั กนั ทางานตวั ละคร่ึงซีกของสัญญาณเสียง

ขอ้ ดีของวงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีชนิด OTL คือเม่ือมีการชอร์ตของทรานซิสเตอร์ตวั ใดตวั
หน่ึงในวงจรหรือท้งั คู่จะไม่เกิดความเสียหายท่ีลาโพงเนื่องจากไฟฟ้ากระแสตรงจานวนมากไม่สามารถผา่ น C2
เขา้ ไปท่ีลาโพงได้ แต่การต่อ C2 มีขอ้ เสียคือทาให้สัญญาณเสียงความถี่ต่าท่ีผา่ นไปลาโพงนอ้ ยลง ทาใหว้ งจรน้ี
เสียงทุม้ จะเบาลง

6.4 วงจรขยายเสียงแบบคอมพลเิ มนตารีชนิด OCL
จากวงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีชนิด OTL การต่อตวั เก็บประจุที่เอาตพ์ ุตทาใหส้ ัญญาณความถ่ี

ต่าออกทางดา้ นเอาทพ์ ุตนอ้ ยมากจึงมีการดดั แปลงวงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีใหม่ คือวงจรขยายเสียง
แบบคอมพลิเมนตารี่ชนิด OCL คาว่า OCL ย่อมาจากคาว่า OutputCapacitor Less แปลว่าไม่มีตวั เก็บประจุที่
เอาต์พุต ในวงจรน้ีจะตดั ตวั เก็บประจุที่เช่ือมต่อระหว่างวงจรดา้ นเอาต์พุตกบั ลาโพงออก และต่อลาโพงเข้า
โดยตรงกบั วงจรและการจ่ายแรงดนั ไฟฟ้าใน วงจรเพ่ิมเป็ นสองชุดเป็ นชุดจ่ายแรงดนั ไฟตรงบวก (+VCC) และ
ชุดจ่ายแรงดนั ไฟตรงลบ (-VCC) มีจุดกราวดเ์ ป็นจุดเทียบแรงดนั ของแหล่งจ่ายท้งั สองชุดดงั รูปที่ 6.5

จากรูปท่ี 6.5 สามารถอธิบายการทางานไดด้ งั น้ีเมื่อมีสัญญาณเสียงป้อนเขา้ มาสัญญาณเสียงจะผ่าน C1
เป็ นตวั เก็บประจุทาหน้าที่เชื่อมต่อสัญญาณจากอินพุตส่งให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และทาหน้าท่ีป้องกนั ไฟฟ้า
กระแสตรงไม่ให้เขา้ ไปในวงจร และมี R1 เป็ นตวั ตา้ นทานจากดั กระแสในวงจรจ่ายแรงดนั ไบอสั ตรงให้ขา B
ของทรานซิสเตอร์ Q1 และทรานซิสเตอร์ Q2 ต่อร่วมกบั VR1 เป็ นตวั ตา้ นทานปรับค่าแบบเกือกมา้ ท ำา
หน้าท่ีปรับเสริมไบอสั ร่วมกับไดโอด D1 และ D2 ทาให้มีกระแสสงบไหลผ่านทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2
พอเหมาะอยา่ งถูกตอ้ ง ที่ D1 และ D2 เป็ นไดโอดปรับไบอสั โดยอตั โนมตั ิ ช่วยใหไ้ บอสั ตรงท่ีจ่ายใหข้ าเบส (B)
ของทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 มีค่าพอเหมาะตามความต้องการของทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 ทาให้
ทรานซิสเตอร์ทางานไดถ้ ูกตอ้ ง สมมุติใหส้ ัญญาณเสียงซีกบวกเป็ นสัญญาณเสียงลูกแรกที่เขา้ มาที่อินพตุ ที่จุด B

จะมีศกั ยไ์ ฟฟ้าเป็ นบวกมากข้ึนคือมีศกั ยเ์ ป็ นลบน้อยลง ท ำาให้ทรานซิสเตอร์ Q1 ได้รับไบอสั ตรงน
ำากระแส ส่วนทรานซิสเตอร์ Q2 จะเขา้ สู่สภาวะคตั ออฟ มีกระแสไหลจากแหล่งจ่ายแรงดนั +VCC ไป Q1, R2
ผา่ นลาโพงลงกราวดโ์ ดยที่ R2เป็ นตวั ตา้ นทานปรับแรงดนั และจากดั กระแสใหท้ รานซิสเตอร์Q1 และ Q2 ใหท้
ำา งานคงที่ตอ่ อณุ หภมู ำิดีย่ิงข้ึน และมีความเสถียรภาพในการทางานมากข้ึนมกั จะใชค้ ่าความตา้ นทานต่า ๆ
ไม่ควรเกิน1 Ω แต่ตอ้ งการกาลงั วตั ตท์ ่ีสูง ๆ เช่น 5 W หรือ 10 W ทรานซิสเตอร์ Q1 เป็ นวงจรขยายกาลงั ต่อ
วงจรแบบคอมพลิเมนตารโำี ดยตอ่ รว่ มกบั ทรานซสิ เตอร ำ์Q2 ขยายสัญญาณเสยี งในเฟสทีถู่กตอ้ งสลบั กนั
ทางานตวั ละคร่ึงซีกของสัญญาณเสียง กระแสท่ีไหลผา่ นลาโพงคร้ังน้ีจะทาให้ลาโพงเคล่ือนท่ีไปในทิศทางใด
ทิศทางหน่ึง

สัญญาณเสียงซีกลบ (ซีกเส้นประ) เป็ นสัญญาณเสียงลูกท่ีสองเขา้ มาที่อินพุตท่ีจุด B จะมีศกั ยไ์ ฟฟ้าเป็ น
บวกนอ้ ยลงคือมีศกั ยเ์ ป็ นลบมากข้ึน ทาให้ทรานซิสเตอร์ Q2 ไดร้ ับไบอสั ตรงนากระแสส่วนทรานซิสเตอร์ Q1
จะเขา้ สู่สภาวะคตั ออฟ มีกระแส IC2 ไหลจากกราวดไ์ ปลาโพงในคร้ังน้ีจะทาใหล้ าโพงคลื่นท่ีไปทิศทางตรงกนั
ขา้ มกบั คร้ังแรก ไดส้ ัญญาณเสียงออกลาโพงอยา่ งครบสมบูรณ์โดยท่ี R3 เป็นตวั ตา้ นทานปรับแรงดนั และจากดั
กระแสให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 ให้ทางานคงที่ต่ออุณหภูมิดียิ่งข้ึน และมีความเสถียรภาพในการท ำา
งานมากข้ึนมกั จะใชค้ ่าความตา้ นทานต่า ๆ ไม่ควรเกิน 1 Ω แต่ตอ้ งการกาลงั วตั ตท์ ี่สูง ๆ เช่น 5 W หรือ 10 W
ทรานซิสเตอร์ Q2 เป็ นวงจรขยายกาลงั ต่อวงจรแบบคอมพลิเมนตารี่โดยต่อร่วมกบั ทรานซิสเตอร์ Q1 ขยาย
สัญญาณเสียงในเฟสท่ีถูกตอ้ งสลบั กนั ทางานตวั ละคร่ึงซีกของสัญญาณเสียง

ขอ้ ดีของวงจรคอมพลีเมนตารีแบบ OTL คือสามารถส่งผ่านสัญญาณเสียงได้ทุกความถ่ีทาให้สามารถ
ส่งผา่ นสัญญาณเสียงออกลาโพงไดโ้ ดยตรงไดว้ งจรขยายเสียงท่ีตอบสนองทุกความถ่ีเสียงและให้ความถ่ีดีกว่า
วงจรคอมพลิเมนตารีแบบ OCL และ วงจรคอมพลีเมนตารี่แบบ OTL จะมีน้าหนกั ที่เบากวา่ วงจรคอมพลิเมนตา
รีแบบ OCL มากเพราะไม่มีหมอ้ แปลงปรับอิมพีแดนซ์ในวงจร ขอ้ เสียในวงจรวงจรคอมพลิเมนตารีแบบ OTL
คือเม่ือมีการชอร์ตที่ทรานซิสเตอร์ขยายกาลงั ตวั ใดตวั หน่ึงหรือท้งั คู่จะมีผลทาใหก้ ระแสไฟตรงจานวนมากไหล
เขา้ ไปท่ีลาโพง กระแสท่ีไหลเขา้ ท่ีลาโพงจานวนมากจะทาให้ลาโพงเกิดความเสียหาย การแกป้ ัญหาสามารถทา
ไดโ้ ดยเพิ่มฟิ วส์หรือวงจรป้องกนั ลาโพงเขา้ ไประหวา่ งวงจรขยายกบั ลาโพงดงั รูปที่ 6.6, 6.7 และรูปท่ี 6.8
6.5 วงจรดาร์ลิงตนั

วงจรดาร์ลิงตนั (Darlington) เป็ นวงจรขยายสัญญาณท่ีใช้วงจรขยายสองภาคต่อเนื่องกนั ทาให้อตั ราการ
ขยายของวงจรเพ่ิมข้ึนในวงจรขยายเสียงการต่อภาคขบั กาลงั เขา้ กบั ภาคขยายเสียงนิยมต่อวงจรขยายเสียงดว้ ย
วงจรดาร์ลิงตนั สามารถตอ่ ใชง้ านได้ 3 แบบดงั รูปที่ 6.9, 6.10 และ 6.11

จากรูปที่ 6.9, 6.10 และ 6.11 เป็ นวงจรดาร์ลิงตนั พ้ืนฐานแบบต่าง ๆ ประกอบไปดว้ ยรูปที่ 6.8 วงจรดาร์
ลิงตนั เบ้ืองตน้ แบบ NPN–NPN รูปที่ 6.9 วงจรดาร์ลิงต้นั เบ้ืองตน้ แบบ PNP–PNPและรูปที่ 6.10 วงจรดาร์ลิงตนั
เบ้ืองต้นแบบ PNP– NPN โดยท้ังสามวงจรมีหลักการทางานและการขยายสัญญาณที่เหมือนกันคือ
ทรานซิสเตอร์ Q1 รับสัญญาณที่เขา้ มาทางขา B จากน้นั ทรานซิสเตอร์Q1 จะขยายสัญญาณแลว้ ส่งสัญญาณไปที่
ทรานซิสเตอร์ Q2 ทาการขยายสัญญาณอีกหน่ึงคร้ังออกเป็ นสัญญาณเอาตพ์ ุตการต่อวงจรในลกั ษณะน้ีมีผลทา

ให้อตั ราการขยายของวงจรขยายเสียงเพิ่มข้ึน อตั ราการขยายกระแสของวงจรดาร์ลิงตนั มีค่าเท่ากบั ผลคูณของ
อตั ราการขยายกระแสของทรานซิสเตอร์แตล่ ะตวั เขียนเป็นสมการไดด้ งั น้ีอตั ราการขยายกระแส = β = β1β2
การต่อวงจรขยายเสียงแบบดาร์ลิงตนั นิยมใช้ทรานซิสเตอร์ชนิดซิลิกอนเนื่องจากมีค่ากระร่ัวไหลต่า มีค่า
อิมพแี ดนซ์สูงมีอตั ราการขยายกระแสสูงการต่อวงจรดาร์ลิงตนั ท่ีนาไปใชง้ านจริงแสดงในรูปที่ 6.12

6.6 วงจรขยายเสียงแบบคอมพลเิ มนตารีชนิด OTL เพม่ิ ภาคขับกาลงั
การเพิ่มอตั ราการขยายให้วงจรน้ันสามารถทาไดโ้ ดยการเพ่ิมวงจรขยายเขา้ ไปให้มากกว่าหน่ึงภาค

กล่าวคือเพิ่มวงจรภาคขบั กาลงั เพื่อไปขยายสญั ญาณเบ้ืองตน้ ก่อนการขยายสัญญาณใหม้ ีกาลงั สูงสุด การต่อภาค
ท้งั สองภาคเขา้ ดว้ ยกนั ถูกต่อวงจรแบบดาร์ลิงตนั ลกั ษณะการตอ่ แสดงดงั รูปที่ 6.13

จากรูปท่ี 6.13 สามารถอธิบายการท ำางานไดด้ งั น้ีเมื่อมีสัญญาณเสียงป้อนเขา้ มาสัญญาณเสียงจะ
ผ่าน C1 เป็ นตวั เก็บประจุทาหน้าที่เชื่อมต่อสัญญาณจากอินพุตส่งให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และทาหน้าท่ีป้องกนั
ไฟฟ้ากระแสตรงไม่ใหเ้ ขา้ ไปในวงจร มี R1 และ R2 เป็นตวั ตา้ นทานจากดั กระแสในวงจรจา่ ยแรงดนั ไบอสั ตรง
ให้ขา B ของทรานซิสเตอร์ Q1, Q3 และทรานซิสเตอร์ Q2, Q4 ต่อร่วมกบั VR1 เป็ นตวั ตา้ นทานปรับค่าแบบ
เกือกมา้ ทาหนา้ ที่ปรับเสริมไบอสั ร่วมกบั ไดโอด D1 และ D2 ทาให้มีกระแสสงบไหลผา่ นทรานซิสเตอร์ Q1,
Q2, Q3 และ Q4 พอเหมาะอยา่ งถูกตอ้ ง ที่ D1 และ D2 เป็ นไดโอดปรับไบอสั โดยอตั โนมตั ิ ช่วยให้ไบอสั ตรงท่ี
จ่ายให้ขาเบส (B) ของทรานซิสเตอร์ Q1, Q2, Q3 และQ4 มีค่าพอเหมาะตามความตอ้ งการของทรานซิสเตอร์
Q1 และ Q2 ทาใหท้ รานซิสเตอร์ทางานไดถ้ ูกตอ้ ง สมมติให้สญั ญาณเสียงซีกบวกเป็ นสัญญาณเสียงลูกแรกที่เขา้
มาท่ีอินพุตที่จุด A และ B จะมีศกั ยไ์ ฟฟ้าเป็ นบวกมากข้ึนคือมีศกั ยเ์ ป็ นลบนอ้ ยลง ทาให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และ
Q3 ได้รับไบอสั ตรงนากระแส ส่วนทรานซิสเตอร์ Q2 และ Q4 จะเขา้ สู่สภาวะคตั ออฟ มีกระแสไหลจาก
แหล่งจา่ ยแรงดนั
+VCC ไป Q1, Q3, R3, R5, C2 ผ่านลาโพงลงกราวด์โดยที่ R3, R5 เป็ นตวั ต้านทานปรับแรงดันและจากัด
กระแสให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q3 ให้ทางานคงท่ีต่ออุณหภูมิดีย่ิงข้ึน และมีความเสถียรภาพในการทางาน
มากข้ึนมกั จะใช้ค่าความตา้ นทานต่าๆ ไม่ควรเกิน 1 Ω แต่ตอ้ งการกาลงั วตั ตท์ ่ีสูง ๆเช่น 5 W หรือ 10 W และ
ทรานซิสเตอร์ Q1, Q3 เป็นวงจรขยายกาลงั ต่อวงจรแบบ NPN-NPN ขยายสญั ญาณเสียงในเฟสท่ีถูกตอ้ งสลบั กนั
ทางานตวั ละคร่ึงซีกของสัญญาณเสียง C2 เป็ นตวั เก็บประจุทาหนา้ ท่ีส่งผา่ นสัญญาณเสียงไปยงั ลาโพง โดยทา
หนา้ ที่ประจุแรงดนั Vcc ในขณะท่ีทรานซิสเตอร์Q1 ทางาน และคายแรงดนั ประจุท่ีประจุไวผ้ า่ นทรานซิสเตอร์
Q2 ในขณะที่ Q2 ทางานช่วยทาให้วงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีทางานไดค้ รบสมบูรณ์ แรงดนั ที่ประจุ
เก็บไวท้ ี่ C2 มีคา่ เท่ากบั +Vccมีศกั ยต์ กคร่อม C2 ดา้ นซา้ ยเป็ นบวกดา้ นขวาเป็ นลบ กระแสท่ีไหลผา่ นลาโพงคร้ัง
น้ีจะทาใหล้ าโพงเคลื่อนท่ีไปในทิศทางใดทิศทางหน่ึง

สัญญาณเสียงซีกลบ (ซีกเส้นประ) เป็ นสัญญาณเสียงลูกท่ีสองเข้ามาท่ีอินพุตที่จุด Aและ B จะมี
ศกั ยไ์ ฟฟ้าเป็ นบวกนอ้ ยลงคือมีศกั ยเ์ ป็ นลบมากข้ึน ทาให้ทรานซิสเตอร์ Q2 และ Q4 ไดร้ ับไบอสั ตรงนากระแส
ส่วนทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q3 จะเขา้ สู่สภาวะคตั ออฟ ท่ี C2 เริ่มคายประจุแรงดนั ที่ประจุไวใ้ นตวั ออกมา จาก
ข้วั บวกซ้ายมือไปท่ี R4, R6, Q2, Q4 ลงกราวด์ ข้ึนไปท่ีลาโพงครบวงจรที่ข้วั ลบของ C2 กระแสจากการคาย

ประจุของ C2 คร้ังน้ีจะทาให้ลาโพงคลื่นท่ีไปทิศทางตรงกนั ขา้ มกบั คร้ังแรก ไดส้ ัญญาณเสียงออกลาโพงอยา่ ง
ครบสมบูรณ์ โดยท่ี R4 และ R6 เป็นตวั ตา้ นทานปรับแรงดนั และจากดั กระแสให้ทรานซิสเตอร์ Q2 และ Q4 ให้
ทางานคงที่ต่ออุณหภูมิดียิ่งข้ึน และมีความเสถียรภาพในการทางานมากข้ึนมกั จะใชค้ ่าความตา้ นทานต่า ๆ ไม่
ควรเกิน 1 Ω แต่ตอ้ งการกาลงั วตั ตท์ ี่สูง ๆ เช่น 5 W หรือ 10 W ทรานซิสเตอร์ Q2 และ Q4 เป็นวงจรขยายกาลงั
ต่อวงจรแบบPNP-PNP ดาร์ลิงตัน ขยายสัญญาณเสียงในเฟสท่ีถูกต้องทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 เป็ น
ทรานซิสเตอร์ขบั กาลงั ขยายสัญญาณเสียงให้แรงข้ึนระดบั หน่ึงแบบไม่ผดิ เพ้ียนทรานซิสเตอร์ท้งั สองต่อวงจร
แบบคอมพลิเมนตาร่ี ทรานซิสเตอร์ Q3 และ Q4 เป็ นทรานซิสเตอร์ขยายกาลงั ขยายสัญญาณเสียงให้แรงข้ึน
มากที่สุดไม่ผดิ เพ้ยี นทรานซิสเตอร์ท้งั สองตอ่ วงจรแบบคอมพลิเมนตารีเช่นกนั
6.7 วงจรขยายเสียงแบบคอมพลเิ มนตารีชนิด OCL เพม่ิ ภาคขบั กาลงั

ทรานซิสเตอร์บางเบอร์น้นั โครงสร้างภายในจะมีการต่อวงจรดาร์ลิงตนั ไวเ้ รียบร้อยแลว้ เพ่ือให้อตั ราการ
ขยายของทรานซิสเตอร์สูงข้ึนเม่ือนามาต่อเป็ นวงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีจึงสามารถเพิ่มอตั ราการ
ขยายของวงจรให้มากข้ึนได้ ย่ิงต่อวงจรขบั กาลงั เขา้ ไปยิ่งทาให้อตั ราการของวงจรเพิ่มข้ึนตามไปดว้ ยลกั ษณะ
การจดั วงจรแสดงใหเ้ ห็นในรูปที่ 6.14

จากรูปท่ี 6.14 หลกั การทางานของวงจรเมื่อมีสัญญาณเสียงซีกบวกเขา้ มาจะผา่ นC1 เป็ นตวั เกบ็ ประจุ
ทาหนา้ ท่ีเช่ือมต่อสัญญาณจากอินพุตส่งให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และทาหน้าท่ีป้องกนั ไฟฟ้ากระแสตรงไม่ให้เขา้
ไปในวงจร สัญญาณซีกบวกจะผา่ น C1 เขา้ ไปที่ขาเบส (B) ของทรานซิสเตอร์ Q1 โดยมี R1 เป็นตวั ตา้ นทานทา
หนา้ ที่กาหนดแรงดนั ไฟตรงจ่ายไบอสั ให้ขา B ของทรานซิสเตอร์ Q1 เม่ือทรานซิสเตอร์ Q1 ไดร้ ับไบอสั ตรง
มากข้ึนทาให้ทรานซิสเตอร์ Q1 นากระแสมากข้ึนทาให้ไดส้ ัญญาณซีกลบ (วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์เม่ือขยาย
สัญญาณเฟสจะกลบั 180 องศา) ไปป้อนที่ขาเบส (B) ของทรานซิสเตอร์ Q3 มากข้ึน ทาให้ทรานซิสเตอร์ Q3
ไดร้ ับไบอสั ตรงมากข้ึนและนากระแสมากข้ึน ทาใหท้ ี่จุด X และ Y มีศกั ยเ์ ป็ นบวกมากข้ึน ทาให้ทรานซิสเตอร์
Q6 ไดร้ ับไบอสั ตรงนากระแสส่วนทรานซิสเตอร์ Q7 จะคตั ออฟเน่ืองจากไดร้ ับไบอสั กลบั ทาใหม้ ีกระแสไหล
จากแหล่งจ่ายแรงดนั +VCC ไปท่ี Q6, R12, L1 และ R14 ผา่ นลาโพงลงกราวด์ ลาโพงเคลื่อนท่ีไปในทิศทาง
หน่ึง

เม่ือสัญญาณเสียงซีกลบเขา้ มาจะผา่ น C1 เขา้ ไปท่ีขาเบส (B) ของทรานซิสเตอร์ Q1ทรานซิสเตอร์ Q1
ไดร้ ับไบอสั ตรงน้อยลงทาให้ทรานซิสเตอร์ Q1 นากระแสน้อยลงทาให้ได้สัญญาณซีกบวก (วงจรคอมมอน
อิมิตเตอร์เม่ือขยายสัญญาณเฟสจะกลบั 180 องศา) ไปป้อนที่ขาเบส (B)ของทรานซิสเตอร์ Q3 มากข้ึน ทาให้
ทรานซิสเตอร์ Q3 ไดร้ ับไบอสั ตรงนอ้ ยลงและนากระแสลดลงทาใหท้ ่ีจุด X และ Y มีศกั ยเ์ ป็ นลบมากข้ึน ทาให้
ทรานซิสเตอร์ Q6 ไดร้ ับไบอสั กลบั จนเขา้ สภาวะคตั ออฟไม่นากระแสส่วนทรานซิสเตอร์ Q7 จะนากระแส
เนื่องจากได้รับไบอสั ตรง ทาให้มีกระแสไหลจากกราวด์ไปลาโพงผ่าน L1, R14, R13 และ Q7 ครบวงจรท่ี -
VCC ทาใหล้ าโพงเคลื่อนท่ีไปในทิศทางตรงกนั ขา้ มกบั คร้ังแรก ไดส้ ัญญาณเสียงออกลาโพงครบสมบูรณ์
6.8 วงจรขยายเสียงแบบควอซิคอมพลเิ มนตารี

ในวงจรขยายแบบคอมพลิเมนตารีท่ีกล่าวผา่ นมาแลว้ น้นั จะสังเกตเห็นไดว้ า่ ทรานซิสเตอร์ที่อยใู่ นวงจร

ภาคขยายน้นั จะตอ้ งเป็ นทรานซิสเตอร์กาลงั ที่มีชนิดต่างกนั ไม่เป็ นชนิด PNP ก็ NPNการนาทรานซิสเตอร์ที่มี
ชนิดตา่ งกนั มาทางานในลกั ษณะที่เหมือนกนั (MATCH PAIR) น้นั ทาไดย้ าก ในกรณีที่มีก็มีทรานซิสเตอร์เพียง
ไม่กี่เบอร์ให้เลือกใช้งาน เพื่อแก้ปัญหาจึงได้มีการคิดวงจรขยายที่ใช้ทรานซิสเตอร์ชนิดเดียวกนั สองตวั มา
ทางานเป็ นวงจรขยายกาลงั ทาใหง้ ่ายในการในการจบั คู่ทรานซิสเตอร์ขยายกาลงั เกิดความสะดวกในการใชง้ าน
หาเบอร์ทรานซิสเตอร์มาใชง้ านง่ายและเบอร์ทรานซิสเตอร์ถูก เราเรียกการต่อวงจรชนิดน้ีวา่ แบบควอซิคอมพลิ
เมนตารี(QUASI COMPLEMENTARY AMPLIFIER) ดงั รูปที่ 6.15

ในรูปท่ี 6.15 แสดงวงจรขยายเสียงแบบควอซิคอมพลิเมนตารีชนิด OTL สังเกตไดว้ า่ ทรานซิสเตอร์ที่ใช้
ในภาคขยายกาลงั คือ Q3 และ Q4 จะเป็ นทรานซิสเตอร์ชนิดเดียวกนั นน่ั คือชนิดNPN ท้งั คู่ในการใชง้ านจริงน้นั
จะตอ้ งเป็นทรานซิสเตอร์ท่ีมีชนิดเดียวกนั ดว้ ยเพ่อื ใหก้ ารขยายเสียงท้งั ซีกลบและซีกบวกเท่ากนั

จากรูปที่ 6.15 สามารถอธิบายการทางานของวงจรไดด้ งั น้ี เมื่อมีสัญญาณซีกบวกป้อนเขา้ มาที่อินพุต
ผ่าน C1 มาท่ีจุด B จะทาให้จุด A และ B มีศักย์เป็ นบวกมากข้ึนทาให้ทรานซิสเตอร์Q1 นากระแส เมื่อ
ทรานซิสเตอร์ Q1 นากระแสจะมีผลทาให้ทรานซิสเตอร์ Q3 ได้รับไบอัสตรงและเริ่มนากระแส ส่วน
ทรานซิสเตอร์ Q2 เมื่ออินพุตเป็ นซีกบวกจึงไดร้ ับไบอสั กลบั เขา้ สู่สภาวะคตั ออฟและมีผลสืบเน่ืองไปถึงขาเบส
B ของทรานซิสเตอร์ Q4 ไดร้ ับศกั ยล์ บจากกราวด์เป็ นไบอสั กลบั จึง ทาให้ทรานซิสเตอร์ Q4 เขา้ สู่สภาวะคตั
ออฟเช่นเดียวกบั ทรานซิสเตอร์ Q2 เม่ือทรานซิสเตอร์ Q1 และทรานซิสเตอร์ Q3 นากระแสจะมีกระแสไหลจาก
แหล่งจ่าย +VCC ไป Q1, Q3, R3, R5, C2 ผ่านลาโพงลงกราวด์ ท่ี C2 จะประจุแรงดนั ไวม้ ีค่าเท่ากบั +VCC มี
ศกั ยต์ กคร่อม ดา้ นซา้ ยบวกดา้ นขวาลบกระแสเม่ือไหลผา่ นลาโพงจะทาให้ลาโพงเคล่ือนที่ไปทิศทางใดทิศทาง
หน่ึง

เมื่อสัญญาณซีกลบป้อนเขา้ มาท่ีอินพตุ ผา่ น C1 มาที่จุด B จะทาใหจ้ ุด A และ B มีศกั ยเ์ ป็นลบมากข้ึนทา
ให้ทรานซิสเตอร์ Q2 นากระแส เม่ือทรานซิสเตอร์ Q2 นากระแสจะมีผลทาให้ทรานซิสเตอร์ Q4 ไดร้ ับไบอสั
ตรงและเริ่มนากระแส ส่วนทรานซิสเตอร์ Q1 เมื่ออินพุตเป็ นซีกบวกจึงไดร้ ับไบอสั กลบั เขา้ สู่สภาวะคตั ออฟ
และมีผลสืบเน่ืองไปถึงขาเบส B ของทรานซิสเตอร์ Q3 ได้รับศกั ย์ลบจากกราวด์เป็ นไบอัสกลับจึงทาให้
ทรานซิสเตอร์ Q3 เขา้ สู่สภาวะคตั ออฟเช่นเดียวกบั ทรานซิสเตอร์Q1 เม่ือทรานซิสเตอร์ Q1 และทรานซิสเตอร์
Q3 คตั ออฟแรงดนั ที่ประจุเกบ็ ไวท้ ี่ C2 เริ่มคายประจุออกมาจากข้วั บวกซา้ ยมือไป Q2, Q4, R4, R6 ลงกราวด์ ข้ึน
ไปลาโพง ครบวงจรที่ข้วั ลบของ C2 กระแสจากการคายประจุของ C2 คร้ังน้ีทาให้ลาโพงเคลื่อนท่ีไปในทิศทาง
ตรงกนั ขา้ มกบั คร้ังแรก ทาใหไ้ ดส้ ญั ญาณเสียงท่ีออกลาโพงครบสมบูรณ์

• ด้านทกั ษะ(ปฏิบตั )ิ

8. แบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 6
9. ใบงานท่ี 7

• ด้านคุณธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

(จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 6)
1. สรุปวงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้

ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน

1. ข้นั เตรียม ( 15 นาที ) 1. ข้นั เตรียม ( 15 นาที )

3. ผูส้ อนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของบทท่ี 6 6. ผูเ้ รียนทาความเข้าใจเกี่ยวกบั จุดประสงค์การ

เร่ือง วงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยายเสียง เรียนของบทที่ 6 เรื่อง วงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยาย

เสียง

2. ข้นั ให้ความรู้ ( 250 นาท)ี 2. ข้นั ให้ความรู้ (250 นาท)ี

3. ผู้สอนเปิ ด PowerPoint เร่ือง วงจรขยาย 3. ผู้เรียนศึกษา PowerPoint เร่ือง วงจรขยาย

กาลังของเคร่ื องขยายเสี ยง แล ะเปิ ดเอกส าร ก าลังข อ งเค รื่ อ งข ย าย เสี ย ง แ ล ะ เปิ ด เอ ก ส าร

ประกอบการสอน วชิ า เครื่องเสียง บทท่ี 6 ประกอบการสอน วิชา เคร่ืองเสียง บทท่ี 6 พร้อมจด

บนั ทึกเน้ือหาท่ีสาคญั

4. ผู้สอนให้ผู้เรี ยนสรุ ปตามท่ีได้ศึกษาจาก 4. ผเู้รียนสรุป ตามท่ีไดศ้ ึกษาจาก PowerPoint

PowerPoint

3. ข้นั ประยกุ ต์ใช้ ( 120 นาที ) 3. ข้นั ประยุกต์ใช้ ( 120 นาที )

14. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาแบบประเมินหลังการ 4. ผเู้ รียนทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 6

เรียนบทที่ 6 5. ผเู้ รียนทาใบงานที่ 7 หนา้ ท่ี 255 -261

15. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาใบงานที่ 7 หน้าที่ 255 - 6. ผเู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มูลจากอินเทอร์เน็ต

261

16. ผู้ ส อ น ใ ห้ ผู้ เรี ย น สื บ ค้ น ข้ อ มู ล จ า ก

อินเทอร์เน็ต

กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้

ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน

4. ข้นั สรุปและประเมินผล ( 95 นาที ) 4. ข้ันสรุปและประเมินผล ( 95 นาที )

9. ผสู้ อนและผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาท่ีไดเ้ รียน 6. ผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาที่ได้เรียนให้มีความ

ใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั เขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั

10. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนศึกษาเพ่ิมเติมนอกห้องเรียน 7. ผู้เรี ยน ศึกษ าเพิ่มเติมน อกห้องเรี ยน ด้วย

ดว้ ย PowerPoint ที่จดั ทาข้ึน PowerPoint ที่จดั ทาข้ึน

(บรรลจุ ดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-9) (บรรลจุ ุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-9)

(รวม 480 นาที หรือ 8 คาบเรียน)

งานท่มี อบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมินผล

ก่อนเรียน

9. จดั เตรียมเอกสาร สื่อการเรียนการสอนบทท่ี6
10. ทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั จุดประสงคก์ ารเรียนของบทที่ 6 และใหค้ วามร่วมมือในการทากิจกรรมใน

บทที่ 6

ขณะเรียน

10. ทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 6
11. ร่วมกนั สรุป “วงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยายเสียง”

หลงั เรียน

5. ทาใบงานท่ี 7

ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสาเร็จของผ้เู รียน

แบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 6
ใบงานท่ี 7

ส่ือการเรียนการสอน/การเรียนรู้

ส่ือสิ่งพมิ พ์
13. เอกสารประกอบการสอนวิชา เคร่ืองเสียง(ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
ขอ้ ท่ี 1-9)
14. แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 6 ข้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 1
15. ใบงานที่ 7

สื่อโสตทศั น์ (ถ้ามี)
9. เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
10. PowerPoint เรื่อง วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง

สื่อของจริง
5. วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมขอ้
ที่ 1-9)

แหล่งการเรียนรู้

ในสถานศึกษา
1. หอ้ งสมุดวทิ ยาลยั เทคนิคสมุทรสาคร
2. หอ้ งปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ ศึกษาหาขอ้ มูลทางอินเทอร์เน็ต

นอกสถานศึกษา
ผปู้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่ินจงั หวดั สมุทรสาคร

การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กบั วชิ าอ่ืน

13. บูรณาการกบั วชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
14. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์
15. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าเบ้ืองตน้

การประเมนิ ผลการเรียนรู้
 หลกั การประเมนิ ผลการเรียนรู้

ก่อนเรียน
5. ความรู้ความเขา้ ใจก่อนการเรียนการสอน

ขณะเรียน
10. ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนรู้บทที่ 6
11. สังเกตการทางาน

หลงั เรียน
5. ตรวจใบงานที่ 7

คาถาม

ผลงาน/ชิน้ งาน/ผลสาเร็จของผ้เู รียน

ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 6
ตรวจใบงานที่ 7

สมรรถนะท่พี งึ ประสงค์

ผเู้ รียนสร้างความเขา้ ใจเก่ียวกบั วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง
17. วเิ คราะห์และตีความหมาย
18. ต้งั คาถาม
19. อภิปรายแสดงความคิดเห็นระดมสมอง
20. การประยกุ ตค์ วามรู้สู่งานอาชีพ

สมรรถนะการปฏิบตั งิ านอาชีพ

5. มีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั วงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยายเสียง

สมรรถนะการขยายผล

ความสอดคล้อง
จากการเรียน เร่ือง วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง ทาให้ผูเ้ รียนมีความรู้เพ่ิมเกี่ยวกบั วงจรขยาย
เสียงแบบพุช-พูล วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารี วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTL
วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL วงจรดาร์ลิงตนั วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTL
ชนิดเพิ่มภาคขบั กาลัง วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL ชนิดเพิ่มภาคขับกาลัง วงจรขยาย
สญั ญาณเสียงแบบควอซีคอมพลีเมนตารี เป็นตน้

รายละเอยี ดการประเมนิ ผลการเรียนรู้

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 1 อธิบายวงจรขยายเสียงแบบพุช-พลูได้

13. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

14. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

15. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : อธิบายวงจรขยายเสียงแบบพุช-พลูได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 2 บอกหลกั การทางานของวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTL

ได้

13. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

14. เครื่องมือ : แบบทดสอบ

15. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บอกหลกั การทางานของวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTL

ได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 3 แยกแยะชนิดของวงจรคอมพลีเมนตารีได้

13. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

14. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

15. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : แยกแยะชนิดของวงจรคอมพลีเมนตารีได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 4 ต่อวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL ได้

10. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

11. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

12. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ต่อวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL ได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 5 ต่อวงจรดาร์ลิงตนั ได้

4. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

5. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

6. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ตอ่ วงจรดาร์ลิงตนั ได้ จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 6 ตอ่ วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTL ชนิดเพม่ิ ภาคบงั คบั

ได้

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ต่อวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OTL ชนิดเพ่ิมภาคบงั คบั

ไดจ้ ะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 7 คานวณหาวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL ชนิดเพ่ิมภาค

บงั คบั ได้

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : คานวณหาวงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีชนิด OCL ชนิดเพิ่มภาค

บงั คบั ได้

จะได้ 1 คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 8 ช้ีแจงวงจรขยายสญั ญาณเสียงแบบควอซีคอมพลีเมนตารีได้

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ช้ีแจงวงจรขยายสญั ญาณเสียงแบบควอซีคอมพลีเมนตารีได้ จะได้ 1

คะแนน

 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 9 สรุปวงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยายเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

1. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ

2. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : สรุปวงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม จะ

ได้ 2 คะแนน

แบบประเมนิ หลงั การเรียนบทที่ 6

ตอนท่ี 1 จงเติมคาในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง
1. วงจรขยายเสียงแบบคอมพลีเมนตารีพฒั นามาจาก............................................................................................
2. การแกไ้ ขขอ้ เสียของวงจรไบอสั อตั โนมตั ิทาไดโ้ ดยใส่..................................................เขา้ ไป
3. เคร่ืองขยายเสียงแบบพุช-พูลที่ใชห้ มอ้ แปลงมกั นาไปใชใ้ นระบบ..................................................................
4. วงจรคอมพลิเมนตารีที่ใชท้ รานซิสเตอร์ตา่ งชนิดกนั มาตอ่ ขยายสญั ญาณ เรียกวา่ วงจร...................................
.............................................................................................................................................................................
5. วงจรไบอสั อตั โนมตั ิแบบใชท้ รานซิสเตอร์ใชห้ ลกั การของ....................................................................และ
.............................................................เปล่ียนแปลงคา่ ความตา้ นทานในตวั ทรานซิสเตอร์
6. การส่งผ่านสัญญาณของเครื่องเสี ยงจากภาคไดรเวอร์ไปภาคเพาเวอร์แอมป์ นิยมต่อวงจรขยายแบบ
......................................................................................................................................
7. การจดั วงจรขยายกาลงั แบบคอมพลิเมนตารี ต้องมีการส่งผ่านสัญญาณเสียงจากภาคไดรเวอร์ไปยงั ภาค
................................................................................................................................................................................
8. การสังเกตชนิดของเพยี วคอมพลิเมนตารีใหส้ งั เกตที่ภาค..............................................................................
9. วงจรขยายเสียงแบบ................................................เป็นวงจรขยายท่ีใหค้ ุณภาพเสียงดีท่ีสุด
10. ความสาคญั ของวงจรเซมิ คอมพลิเมนตารีอยทู่ ี่...............................................................................................
ตอนท่ี 2 กากบาทลงหนา้ คาตอบท่ีถูกตอ้ งท่ีสุดเพียงขอ้ เดียว
1. วงจรขยายแบบใดที่มีหมอ้ แปลงต่อร่วมในวงจร ?
ก. OCL
ข. OTL
ค. พชุ -พูล
ง. คอมพลิเมนตารี
2. ขอ้ ใดไมใ่ ช่คุณสมบตั ิของวงจรขยายเสียงแบบคอมพลิเมนตารีชนิด OCL ?
ก. เมื่อช็อตภาคขยายกาลงั ทาใหล้ าโพงเสียหาย
ข. สญั ญาณเสียงทุกความถ่ีผา่ นออกลาโพงไดโ้ ดยตรง
ค. มีตวั เกบ็ ประจุตอ่ อนั ดบั กบั ลาโพงท่ีเอาตพ์ ุตของวงจร
ง. ภาคจ่ายไฟใหว้ งจรตอ้ งจ่ายไฟสองชุดเป็นแบบบวก กราวด์ ลบ
3. ขอ้ ใดคือคุณสมบตั ิท่ีถูกตอ้ งของวงจรขยายเสียงแบบพุช-พูลและคอมพลีเมนตารี่ ?
ก. วงจรขยายแบบพชุ -พูลไมจ่ าเป็นตอ้ งใชห้ มอ้ แปลง
ข. วงจรขยายแบบพชุ -พลู ใชท้ รานซิสเตอร์ชนิดเดียวกนั ท้งั สองตวั
ค. วงจรขยายแบบคอมพลิเมนตารีจาเป็นตอ้ งใชห้ มอ้ แปลงเอาตพ์ ตุ

ง. วงจรขยายสัญญาณเสียงทรานซิสเตอร์แตล่ ะตวั ตอ้ งขยายสัญญาณท้งั ช่วงบวกและลบ
4. การจดั วงจรขยายเสียงแบบใดท่ีเกิดความผดิ เพ้ียนระหวา่ งรอยต่อของสัญญาณท่ีถูก
ขยายออกเอาตพ์ ตุ ?
ก. วงจรขยายคอมพลิเมนตารีคลาส B
ข. วงจรขยายพุช-พลู คลาส AB
ค. วงจรขยายคลาส A
ง. ถูกทุกขอ้
5. ในวงจร OCL ทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 จะตอ้ งมีแรงดนั ไฟตรงไมเ่ กินเท่าใด จึงถือวา่
วงจรการขยายปกติ ?
ก. 0.3 โวลต์ ข. 0.4 โวลต์
ค. 0.6 โวลต์ ง. 0.6 โวลต์
6. ขอ้ ใดไม่ใช่ขนิดของวงจรคอมพลิเมนตารี ?
ก. เซมิคอมพลิเมนตารี
ข. ควอซิคอมพลิเมนตารี
ค. เฮมิคอมพลิเมนตารี
ง. เพยี วคอมพลิเมนตารี
7. “สัญญาณเสียงท่ีออกลาโพงสมดุลย์ ท้งั ช่วงบวกและลบ” คือขอ้ ดีของวงจรขยายกาลงั แบบใด ?
ก. เซมิคอมพลิเมนตารี
ข. ควอซิคอมพลิเมนตารี
ค. เฮมิคอมพลิเมนตารี่
ง. เพยี วคอมพลิเมนตารี
8. ในวงจรไบอสั อตั โนมตั ิไม่นาอุปกรณ์อะไรอะไรมาใชใ้ นวงจร ?
ก. ไดโอด
ข. เทอร์มิสเตอร์
ค. ไทริสเตอร์
ง. ทรานซิสเตอร์
9. ในเครื่องขยายเสียงท่ีกาลงั วตั ตส์ ูงมกั ใชอ้ ะไรควบคุมการไบอสั อตั โนมตั ิ ?
ก. ไดโอด
ข. เทอร์มิสเตอร์
ค. ไทริสเตอร์
ง. ทรานซิสเตอร์
10. กระแสสงบที่ไหลในวงจรขยายกาลงั คืออะไร ?

ก. กระแสไฟฟ้าที่ไหลผา่ นในวงจรอยา่ งชา้ ๆ
ข. กระแสไฟฟ้าไหลตลอดเวลาในวงจรขยาย
ค. กระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการจ่ายสัญญาณอินพุตมากเกินไป
ง. กระแสไฟฟ้าที่จา่ ยใหว้ งจรขณะไม่มีสัญญาณอินพุตป้อนเขา้ มา
11. วงจรดาร์ลิงตนั มีหนา้ ท่ีอะไร ?
ก. เพิ่มกระแส
ข. เพมิ่ แรงดนั
ค. เพมิ่ อตั ราขยายกระแส
ง. เพิ่มอตั ราขยายแรงดนั
จากรูปจงตอบคาถามขอ้ 12-15

12. ตวั ตา้ นทานปรับคา่ VR1 ทาหนา้ ท่ีอะไร ?
ก. ปรับอตั ราขยายของวงจร
ข. ปรับควบคุมให้ Q1 Q2 ทางานเท่ากนั
ค. ปรับควบคุมการไหลของกระแสสงบ
ง. ปรับสญั ญาณอินพุตใหแ้ รงข้ึนหรือเบาลง
13. ขอ้ ใดคือหนา้ ท่ีของตวั เก็บประจุ C2 ?
ก. ป้องกนั การเกิดการออสซิลเลตในวงจรขยายเสียง
ข. กรองสัญญาณเสียงใหเ้ รียบมากข้ึนก่อนส่งออกลาโพง
ค. ประจุแรงดนั ของสญั ญาณซีกบวกและคายประจุแรงดนั ของสัญญาณซีกบวก
ง. เพ่ิมระดบั สัญญาณเสียงใหแ้ รงมากข้ึนท่ีสุด ช่วยเพม่ิ กาลงั ขยายของวงจรขยายเสียง
14. ถา้ มีสญั ญาณเสียงซีกบวกป้อนเขา้ มาที่อินพตุ ผลของวงจรจะเป็นอยา่ งไร ?
ก. จุด X มีศกั ยเ์ ป็นบวกนอ้ ยลง
ข. ตวั เกบ็ ประจุ C1 คายประจุแรงดนั ออกมา
ค. มีกระแสไหลผา่ น Q1 Q2 และ Q3 Q4 เพม่ิ มากข้ึน

ง. ตวั Q1 Q2 ทางานขยายสญั ญาณซีกบวกออกลาโพง
15. วงจรขยายเสียงตามรูปเป็นชนิดใด ?
ก. พชุ -พูล
ข. ดาร์ลิงตนั
ค. คอมพลีเมนตาร่ี
ง. ควอซิคอมพลิเมนตารี
ตอนที่ 3 จากโจทยจ์ งอธิบายใหไ้ ดค้ วามหมายที่สมบูรณ์
1. ภาคขยายกาลงั ท่ีนิยมใชก้ นั มีก่ีแบบ อะไรบา้ ง ?
2. จงบอกหนา้ ท่ีของวงจรขยายเสียงแบบพุช-พูล ?
3. สาเหตุวงจรขยายเสียงแบบพุช-พูลที่ใชห้ มอ้ แปลงไมเ่ ป็นท่ีนิยมเพราะอะไร ?
4. จงยกตวั อยา่ งวงจรคอมพลิเมนตารีชนิด OCL มา 1 วงจรพร้อมอธิบายมาพอสงั เขป ?
5. จงบอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของวงจร OCL มาอยา่ งละเอียด ?
6. จงยกตวั อยา่ งวงจรคอมพลิเมนตารีชนิด OTL มา 1 วงจรพร้อมอธิบายมาพอสังเขป ?
7. จงบอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของวงจร OTL มาอยา่ งละเอียด ?
8. วงจรไบอสั อตั โนมตั ิมีก่ีชนิดอะไรบา้ ง ?
9. วงจรดาร์ลิงตนั คืออะไร ?
10. จงอธิบายการทางานของวงจรคอมพลิเมนตารีมาพอสงั เขปพร้อมวาดภาพประกอบ ?

แบบประเมินผลการนาเสนอผลงาน
ชื่อกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................

รายช่ือสมาชิก

1……………………………………เลขที่……. 2……………………………………เลขท่ี…….

3……………………………………เลขท่ี……. 4……………………………………เลขที่…….

ที่ รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเห็น

32 1

1 เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจน (ความรู้เกี่ยวกบั เน้ือหา ความถูกตอ้ ง

ปฏิภาณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ )

2 รูปแบบการนาเสนอ

3 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม

4 บุคลิกลกั ษณะ กิริยา ท่าทางในการพดู น้าเสียง ซ่ึงทาใหผ้ ูฟ้ ังมีความ

สนใจ

รวม

ผปู้ ระเมิน…………………………………………………

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจนถูกตอ้ ง
3 คะแนน = มสี าระสาคญั ครบถว้ นถูกตอ้ ง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ครบถว้ น แต่ตรงตามจุดประสงค์
1 คะแนน = สาระสาคญั ไมถ่ ูกตอ้ ง ไมต่ รงตามจุดประสงค์

2. รูปแบบการนาเสนอ
3 คะแนน = มีรูปแบบการนาเสนอท่ีเหมาะสม มกี ารใชเ้ ทคนิคที่แปลกใหม่ ใชส้ ่ือและเทคโนโลยี
ประกอบการ นาเสนอที่น่าสนใจ นาวสั ดุในทอ้ งถิ่นมาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งคุม้ ค่าและประหยดั
5 คะแนน = มีเทคนิคการนาเสนอท่แี ปลกใหม่ ใชส้ ื่อและเทคโนโลยปี ระกอบการนาเสนอท่ีน่าสน ใจ แต่
ขาดการประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถิ่น
1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไม่เหมาะสม และไม่น่าสนใจ

3. การมสี ่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมบี ทบาทและมสี ่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีบทบาทและมสี ่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมบี ทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม

4. ความสนใจของผฟู้ ัง
3 คะแนน = ผฟู้ ังมากกวา่ ร้อยละ 90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ

2 คะแนน = ผฟู้ ังร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
1 คะแนน = ผฟู้ ังนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ

แบบประเมนิ กระบวนการทางาน

ช่ือกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................

รายชื่อสมาชกิ 2……………………………………เลขท่ี…….
4……………………………………เลขท่ี…….
1……………………………………เลขที่…….
3……………………………………เลขท่ี…….

ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เห็น

1 การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ที่รับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม
3 การปฏิบตั หิ นา้ ที่ท่ีไดร้ บั มอบหมาย
4 การประเมินผลและปรับปรุงงาน

รวม

ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
วนั ท่ี…………เดือน……………………..พ.ศ…………...

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายการทางานอยา่ งชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน

2. การมอบหมายหนา้ ที่รับผิดชอบและการเตรียมความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจดั เตรียมสถานที่ สื่อ /
อปุ กรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ วั่ ถึง แต่ไมต่ รงตามความสามารถ และมีสื่อ / อุปกรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง แต่ขาด
การจดั เตรียมสถานที่
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทว่ั ถึงและมีสื่อ / อุปกรณ์ไมเ่ พยี งพอ

3. การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีท่ีไดร้ ับมอบหมาย
3 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย และตามเวลาท่ีกาหนด
2 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย แตช่ า้ กวา่ เวลาท่ีกาหนด
1 คะแนน = ทางานไมส่ าเร็จตามเป้าหมาย

4. การประเมินผลและปรับปรุงงาน

3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนร่วมปรึกษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็ นระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ แตไ่ มป่ รับปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมไม่มีส่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรุงงาน

บันทกึ หลงั การสอน

บทท่ี 6 เรื่องวงขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง

ผลการใช้แผนการเรียนรู้

1. เน้ือหาสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
2. สามารถนาไปใชป้ ฏิบตั ิการสอนไดค้ รบตามกระบวนการเรียนการสอน
3. ส่ือการสอนเหมาะสมดี

ผลการเรียนของนักเรียน

3.นกั ศึกษาส่วนใหญ่มีความสนใจใฝ่ รู้ เขา้ ใจในบทเรียน อภิปรายตอบคาถามในกลุ่ม และร่วมกนั
ปฏิบตั ิใบงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย

4.นกั ศึกษากระตือรือร้นและรับผดิ ชอบในการทางานกลุ่มเพ่อื ใหง้ านสาเร็จทนั เวลาท่ีกาหน

ผลการสอนของครู

1. สอนเน้ือหาไดค้ รบตามหลกั สูตร
2. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเน้ือหาการสอนทาใหผ้ สู้ อนสอนไดอ้ ยา่ งมน่ั ใจ
3. สอนไดท้ นั ตามเวลาที่กาหนด

แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี

แผนการจดั การเรียนรู้ บทท่ี 7

ช่ือวชิ า เครื่องเสียง สอนสปั ดาหท์ ี่ 11-12

ชื่อหน่วย ภาคการทางานของเครื่องขยายเสียง คาบรวม 48

ช่ือเร่ือง ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง จานวนคาบ 4

หวั ข้อเรื่อง

1. ภาคต่าง ๆ ของเครื่องขยายเสียง
2. ปรีแอมปลิฟายเออร์
3. มิกส์เซอร์
4. โวลลุ่มและโทนคอนโทรล
5. กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์

สาระสาคญั

เคร่ืองขยายเสียงท่ีเราใชก้ นั มิไดม้ ีภาคการทางานหรือมีภาคขยายเสียงเพียงอยา่ งเดียวแต่จะประกอบไป
ดว้ ยภาคต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ภาคปรีแอมป์ ภาคโวลลุ่ม ภาคโทนคอนโทรล ภาคกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ ภาคขยายกาลงั
เป็นตน้ ซ่ึงเน้ือหาในบทน้ีจะไดก้ ล่าวถึงหลกั การทางานและหนา้ ที่ตา่ ง ๆ ของแตล่ ะภาคของเคร่ืองขยายเสียง

สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย

- แสดงความรู้เกี่ยวกบั ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง

คาศัพท์สาคญั

จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้

 จุดประสงค์ทว่ั ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. เพื่อใหม้ ีความรู้เกี่ยวกบั ภาคต่าง ๆ ของเคร่ืองขยายเสียง (ด้านความรู้)

2. เพอ่ื ใหม้ ีทกั ษะในการต่อวงจรมิกเซอร์เบ้ืองตน้ แบบ 2 อินพุต (ด้านทักษะ)

3. เพอื่ ใหม้ ีเจตคติท่ีดีในการปรับแต่งความถี่กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ (ด้านจิตพิสัย)

4. เพ่อื สรุปภาคการทางานของเครื่องขยายเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/
บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง)

 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. อธิบายภาคต่าง ๆ ของเครื่องขยายเสียงได้ (ด้านความรู้)
2. บอกหลกั การทางานและหนา้ ท่ีของภาคปรีแอมป์ (ด้านความรู้)
3. ต่อวงจรมิกเซอร์เบ้ืองตน้ แบบ 2 อินพุตได้ (ด้านทักษะ)
4. ปรับเพม่ิ เสียงโวลลุ่มและโทนคอนโทรลได้ (ด้านทักษะ)
5. ปรับแตง่ ความถ่ีกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ (ด้านจิตพิสัย)
6. สรุปภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/

บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง)

เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้

• ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี

เครื่องขยายเสียงถือเป็ นส่วนสาคญั ท่ีจะทาให้สัญญาณเสียงที่ดงั ออกมาจากลาโพง มีความดังของ
สัญญาณมากนอ้ ย มีความชดั เจนของสัญญาณมากนอ้ ย และมีความผดิ เพ้ียนของสัญญาณมากนอ้ ย สิ่งเหล่าน้ีจะ
ข้ึนอยู่กับการออกแบบ การสร้าง การเลือกอุปกรณ์ท่ีใช้งาน ตลอดจนการเลือกอตั ราขยาย ซ่ึงถ้าส่ิงเหล่าน้ี
ถูกตอ้ งและเหมาะสม ยอ่ มจะทาให้เคร่ืองขยายเสียงที่สร้างข้ึนมีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด ดงั น้นั จะเห็น
ไดว้ า่ เคร่ืองเสียงท่ีสร้างข้ึนมาใชง้ านแตล่ ะวงจรจะแตกต่างกนั บา้ ง ในโครงสร้าง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ท่ีใช้
งาน ก็เพ่ือใหข้ ยายเสียงไดด้ ีท่ีสุด

การเลือกอุปกรณ์ที่จะนามาใชง้ านชนิดที่มีคุณภาพดี เป็ นสิ่งสาคญั ท่ีจะทาใหเ้ คร่ืองขยายเสียงมีคุณภาพ
และประสิทธิภาพสูงข้ึน ยงั ส่งผลไปถึงความประหยดั ดว้ ยส่ิงที่ตอ้ งคานึงถึงอยา่ งต่อเน่ืองก็คือระดบั กาลงั งาน
เอาทพ์ ุทท่ีตอ้ งการ ความไวทางอินพุต ผลตอบสนองทางความถ่ี และความผดิ เพ้ยี นสูงสุดที่ยอมรับได้ สิ่งเหล่าน้ี
จะช่วยเสริมคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องขยายใหด้ ียงิ่ ๆ ข้ึนไป

7.1 ภาคต่าง ๆ ของเครื่องขยายเสียง
เครื่องขยายเสียง จะทาหนา้ ท่ีขยายสัญญาณเสียงท่ีมีความถี่อยใู่ นยา่ น 20Hz – 20kHzให้มีระดบั ความแรง

ของสัญญาณเสียงออกเอาตพ์ ุตเท่ากนั ทุกระดบั ความถ่ี สัญญาณเสียงที่ถูกขยายตอ้ งไม่ผดิ เพ้ียน และมีความแรง
มากพอที่จะขบั วอยส์คอยล์ของลาโพงให้เคล่ือนท่ีเกิดสัญญาณเสียงข้ึนมา ส่วนประกอบแต่ละภาคของวงจรมี
หนา้ ที่ดงั น้ี

7.1.1 ภาคอินพุต (INPUT) จะเป็ นข้วั ต่อแบบ RCA ซ้อกเก็ต (ตวั เมีย) แต่ละอินพุตเฉพาะข้วั ต่อ RCA
ซอ้ กเก็ต (ตวั เมีย) หรือ RCA แจ็ค (ตวั ผ)ู้ มกั นิยมชนิดชุบทอง เพราะถือวา่ เป็ นส่ือตวั นาท่ีดี แต่ละข้วั อินพุตของ
เครื่องขยายแต่ละเครื่องจะแตกต่างกนั ข้ึนอยกู่ บั จุดประสงคแ์ ละการนาไปใชง้ าน พอสรุปอินพุตท่ีจะส่งเขา้ มา
จากแหล่งต่างๆดงั น้ี จากวิดีโอ (Video) จากเครื่องเล่นคอมแพ็กดิสก์ (CD) จากภาครับวิทยุ (Tuner) จากเครื่อง
เล่นเทป (Tape) จากเครื่องเล่นแผน่ เสียง (Turntable) หรือจากแหล่งอินพตุ อ่ืน ๆ ท่ีไม่จาเพาะเจาะจง ก็จะมีข้วั ต่อ
2 อินพุต คือโพโน (Phono) ใช้ต่อแหล่งอินพุตที่มีระดบั ความแรงของสัญญาณต่าๆอ๊อค (Aux) ใช้ต่อแหล่ง
อินพุตที่มีระดบั ความแรงของสัญญาณสูง ๆ ส่งผา่ นสัญญาณจากอินพุตมาเขา้ สวติ ช์เลือก (SelectorSwitch) เพ่ือ
เลือกสญั ญาณอินพุตเพยี งสัญญาณเดียว ป้อนผา่ นเขา้ ภาคปรีแอมป์ และอีควอไลเซอร์

7.1.2 ภาคปรีแอมป์ และอีควอไลเซอร์ (Preamplifier and Equalizer) ภาคปรีแอมป์ และอิควอไลเซอร์ จะต่อ
อยูใ่ นภาคเดียวกนั และทางานร่วมกนั ปรีแอมป์ จะทาหนา้ ที่รับสัญญาณอินพุตท่ีป้อนเขา้ มาขยายสัญญาณเสียง
เหล่าน้นั ใหม้ ีความแรงมากข้ึนจากเดิม แบบไม่ผดิ เพ้ยี นและมีระดบั ความแรงของสัญญาณเสียงแต่ละอินพตุ ที่ถูก
ขยายออกเอาตพ์ ุตมีความแรงหรือความดงั เทา่ ๆ กนั

อีควอไลเซอร์จะทาหน้าท่ีชดเชยการสูญเสียสัญญาณเสียงบางความถี่ให้เพ่ิมมากข้ึน และลดทอน

สัญญาณเสียงบางความถี่ท่ีมีมากเกินไปให้น้อยลง เพ่ือจะกาจดั สัญญาณรบกวนที่ไม่พึงประสงคอ์ อกไป และ
เพ่ิมคุณภาพของสัญญาณเสียงให้มากข้ึนอีควอไลเซอร์ในภาคน้ีจะแตกต่างจากกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ เพราะ
อีควอไลเซอร์ในภาคน้ีจะถูกกาหนดมาตายตวั ในแตล่ ะอินพตุ โดยเฉพาะ ไม่สามารถปรับแตง่ เสียงได้

7.1.3 ภาคโวลลุ่มและลาวดเ์ นส (Volume and Loudness) ท้งั โวลลุ่มและลาวด์เนสจะทางานร่วมกนั และ
เก่ียวขอ้ งกนั ในการปรับแต่งเสียงและเร่งลดเสียงความตอ้ งการของผูฟ้ ัง สามารถปรับแต่งได้ท่ีหน้าปัดของ
เคร่ืองขยายเสียง

โวลลุ่มทาหน้าที่เพิ่มหรือลด ลด ความแรงของสัญญาณเสียงท่ีจะถูกส่งต่อ ไปภาคขยายกาลงั ขยาย
สญั ญาณเสียงไปขบั ใหล้ าโพงเปล่งเสียงออกมามีความดงั มากหรือนอ้ ย

ลาวดเ์ นส ทาหนา้ ที่ช่วยเพิม่ เสียงทุม่ และเสียงแหลม ใหด้ งั ออกลาโพงมากข้ึน ในขณะปรับโวลลุ่มที่ระดบั
ความดงั ต่าๆ และการใชล้ าวดเ์ นสจะไม่ไดผ้ ลเม่ือปรับป่ ุมโวลลุ่มเกินคร่ึงหน่ึงของระยะการปรับท้งั หมด

7.1.4 ภาคโทนคอนโทรล (Tone Control) ทาหนา้ ที่คลา้ ยกบั อิควอไลเซอร์ ในภาคปรีแอมป์ และอีควอ
ไลเซอร์ คือเพ่ิมหรือลดความแรงของสัญญาณเสียงบางความถี่ ต่างกนั แค่เพียงอิควอไลเซอร์ในภาคปรีแอมป์
และอีควอไลเซอร์ถูกกาหนดไวต้ ายตวั เปลี่ยนแปลงไมไ่ ด้ ส่วนโทนคอมโทรลสามารถเลือกคุณสมบตั ิการขยาย
ความถ่ีเสียง ของเคร่ืองขยายเสียงในระดบั ต่าง ๆโดยใหเ้ พ่ิมหรือลดลงไดต้ ามความพอใจของผฟู้ ัง โดยปรับแต่ง
ป่ ุมปรับที่อยูด่ า้ นหนา้ ของเคร่ืองขยายเสียงเครื่องขยายเสียงโดยทว่ั ไปจะมีป่ ุมปรับโทนคอนโทรลอยู่ 2 ป่ ุม คือ
ปรับเสียงทุม้ (BASS) และปรับเสียงแหลม (TREBLE) ในเคร่ืองขยายเสียงบางรุ่นอาจเพิ่มป่ ุมปรับเสียงกลาง
(MID) เขา้ ไปดว้ ย

7.1.5 ภาคกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ (Graphic Equalizer) จะเห็นไดว้ า่ เคร่ืองขยายเสียงในปัจจุบนั นิยมใช้
กราฟฟิ คอิควอไลเซอร์ช่วยในการปรับแต่งเสียงในแต่ละยา่ นความถ่ี เพราะสัญญาณเสียงท่ีไดร้ ับการปรับแต่ง
กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์จะมีความไพเราะ และมีคุณภาพของเสียงตามความตอ้ งการของผูฟ้ ัง มากกว่าการ
ปรับแต่งเสียงด้วยโทนคอนโทรล คุณสมบัติของกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์จะคล้ายกับคุณสมบัติของโทน
คอนโทรล คือปรับเพิ่มลดสัญญาณเสียงแต่ละยา่ นความถ่ีใหอ้ อกเอาตพ์ ุตมากหรือน้อย แต่แตกต่างกนั ในส่วน
รายละเอียดของย่านความถ่ีที่จะปรับโดยกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์จะมียา่ นการปรับความถี่อยา่ งน้อย 5 ยา่ น ถึง
สูงสุด 21 ยา่ น ข้ึนอยกู่ บั การออกแบบของแต่ละรุ่นและแตล่ ะบริษทั

7.1.6 ภาคไดรเวอร์ (Driver) จะทางานร่วมกบั ภาคเพาเวอร์แอมป์ หนา้ ท่ีของภาคไดรเวอร์จะทาการขยาย
สัญญาณเสียงท่ีส่งมาจากภาคกราฟิ กอีควอไลเซอร์ให้มีระดบั ความแรงมากย่ิงข้ึนโดยไม่ผิดเพ้ียน และพอท่ีจะ
ส่งตอ่ ไปภาคเพาเวอร์แอมป์

7.1.7 ภาคเพาเวอร์แอมป์ (Power Amplifire) ทาหน้าที่เป็ นภาคขยายสัญญาณเสียงภาคสุดทา้ ย ให้มีความ
แรงของสัญญาณมากที่สุด โดยไม่ผดิ เพ้ียน และพอที่จะไปขบั ลาโพงใหเ้ ปล่งสัญญาณเสียงออกมา

7.1.8 ภาคจา่ ยไฟ (Power Supply) ทาหนา้ ท่ีจ่ายไฟตรง กระแสสูงใหก้ บั เคร่ืองขยายเสียงท้งั ระบบ จะตอ้ ง
มีระดบั แรงดนั ท่ีคงที่ ระดบั สัญญาณรบกวน (RIPPLE) ต่า และสามารถจ่ายกระแสไดส้ ูงพอกบั ท่ีวงจรต่าง ๆ
ตอ้ งการ

7.2 ปรีแอมปลฟิ ายเออร์
แหล่งกาเนิดเสียงต่างชนิดกันจะทาให้กาเนิดเสียงที่มีความแรงของสัญญาณเสียงที่แตกต่างกัน บาง

แหล่งกาเนิดให้สัญญาณเสียงออกมาเบา ส่วนบางแหล่งกาเนิดให้สัญญาณออกมาแรงเช่น ไมโครโฟนชนิด
อิมพีแดนซ์ต่าให้ความแรงของสัญญาณเสียงออกมาประมาณ 350 μV เคร่ืองเล่นเทปคาสเซ็ทให้ความแรงของ
สัญญาณเสียงประมาณ 150 μV จูนเนอร์วิทยุ AM, FM ให้ความแรงของสัญญาณเสียงประมาณ 250 mV และ
เครื่องเล่น CD ใหค้ วามแรงของสัญญาณประมาณ400 mV เป็นตน้

การท่ีแหล่งกาเนิดเสียงท่ีป้อนเขา้ มามีระดบั ความแรงของสัญญาณเสียงที่แตกต่างกนั น้ีเป็ นปัญหาของ
การขยายสัญญาณเสียงออกเอาต์พุต เพราะจะไดค้ วามดงั ของเสียงผา่ นวงจรขยายเสียงแลว้ มีความแตกต่างกนั
อาจมีผลต่อสัญญาณที่ได้ เช่น เบาเกินไปหรือดงั เกินไปจนเกิดความผิดเพ้ียน ปัญหาท่ีเกิดดงั กล่าวน้ีตอ้ งแกไ้ ข
โดยการใส่วงจรขยายเสียงเบ้ืองตน้ หรือปรีแอมปลิฟายเออร์เขา้ ไป

หน้าที่ของวงจรปรีแอมปลิฟายเออร์มี 2 ส่วน คือ ส่วนแรกปรับเพ่ิมลดระดับความแรงของ
สัญญาณเสียงอินพตุ ใหม้ ีขนาดพอเหมาะใกลเ้ คียงกนั ในแตล่ ะอินพตุ ส่วนที่สองทาการขยาย
สญั ญาณเสียงทุกอินพุตใหม้ ีความแรงมากข้ึนใกลเ้ คียงกนั และสญั ญาณเสียงไมผ่ ดิ เพ้ียนหรือเกิด
สญั ญาณรบกวนข้ึนมา ก่อนส่งผา่ นสัญญาณเสียงไปใหว้ งจรโวลลุ่มคอนโทรลและโทนคอนโทรล
ต่อไป ลกั ษณะปรีแอมปลิฟายเออร์แสดงดงั รูปท่ี 7.1

ปรีแอมปลิฟายเออร์บางวงจรอาจต่อเพิ่มอีควอไลเซอร์เขา้ ไปดว้ ย ช่วยในการชดเชยการสูญเสียความถ่ี
บางความถ่ีให้มีความแรงมากข้ึน หรือลดทอนความถี่เสียงบางความถ่ีที่มากเกินไปใหน้ อ้ ยลงตลอดจนช่วยกาจดั
สญั ญาณรบกวนที่ไม่พึงประสงคอ์ อกไป อีควอไลเซอร์ที่ใชเ้ ป็นชนิดวงจรตายตวั ปรับแต่งไม่ได้

7.2.1 ปรีแอมปลิฟายเออร์แบบทรานซิสเตอร์ ปรีแอมปลิฟายเออร์ที่สร้างข้ึนมาใช้งานสามารถสร้าง
วงจรข้ึนไดจ้ ากอุปกรณ์สารก่ึงตวั นาหลายชนิดแบบแรกท่ีกล่าวน้ีเป็ นแบบใชท้ รานซิสเตอร์ ลกั ษณะวงจรแสดง
ดงั รูปที่ 7.2

7.2.2 ปรีแอมฟลิฟายเออร์แบบเฟต เฟตถือว่าเป็ นอุปกรณ์สารก่ึงตวั นาชนิดหน่ึงท่ีนิยมนามาใช้ใน
วงจรปรีแอมปลิฟายเออร์ ด้วยข้อดีของเฟตหลายขอ้ เช่น มีอินพุตอิมพีแดนซ์สูง มีอตั ราขยายสูง สัญญาณ
รบกวนต่า อุณหภูมิมีผลต่อเฟตน้อย และต่อขยายสัญญาณแบบหลายภาคไดด้ ี ดงั น้นั จึงพบเห็นเฟตถูกนามาใช้
ในวงจรต่าง ๆ มากมาย ลกั ษณะวงจรปรีแอมปลิฟายเออร์แบบเฟต แสดงดงั รูปที่ 7.3

7.2.3 ปรีแอมปลิฟายเออร์แบบเฟตและทรานซิสเตอร์ การตอ่ วงจรร่วมกนั ระหวา่ งเฟตและทรานซิสเตอร์
ในวงจรขยายสัญญาณเสียง กน็ บั เป็นวงจรท่ีนิยมใชง้ านเช่นเดียวกนั นิยมใหเ้ ฟตเป็นวงจรขยายเสียงภาคแรกเพื่อ
ตอ้ งการใหเ้ กิดอินพตุ อิมพีแดนซ์สูงและใชท้ รานซิสเตอร์เป็นวงจรขยายสัญญาณเสียงภาคหลงั ก่อนออกเอาตพ์ ุต
เพอ่ื ตอ้ งการใหเ้ อาตพ์ ุตต่าลง ลกั ษณะวงจรปรีแอมปลิฟายเออร์แบบเฟตและทรานซิสเตอร์ แสดงดงั รูปที่ 7.4

7.2.4 ปรีแอมปลิฟายเออร์แบบไอซีออปแอมป์ ออปแอมป์ เป็ น IC แบบอนาล็อกท่ีใช้งานได้ดีใน
วงจรขยายสัญญาณท่ีใช้อตั ราการขยายกาลงั ไม่สูง ให้ประสิทธิภาพของการขยายดีมาก มีสัญญาณรบกวนต่า
การต่อวงจรไม่ยุ่งยาก ทาให้ IC ออปแอมป์ เป็ นที่นิยมใช้งานในวงจรปรีแอมปลิฟายเออร์ ลกั ษณะวงจรปรี
แอมปลิฟายเออร์แบบ IC ออปแอมป์ แสดงดงั รูปที่ 7

7.3 มกิ เซอร์ (MIXER)
ในการใชง้ านเคร่ืองเสียงบางคร้ังสัญญาณอาจตอ้ งใชส้ ัญญาณอินพุตในเวลาเดียวกนั มากกวา่ 1 อินพุต

เช่น ตอ้ งใช้ไมโครโฟนหลาย ๆ ตวั พร้อมกบั เครื่องเล่นเทป เคร่ืองเล่นแผน่ CDหรือเสียงดนตรีจากวงดนตรีที่
ตอ้ งการให้เครื่องดนตรีต่าง ๆ ส่งเสียงออกมาพร้อม ๆ กนั การท่ีจะผสมสัญญาณเสียงเหล่าน้ีก่อนนาไปขยาย
จาเป็นตอ้ งใชอ้ ุปกรณ์ท่ีเรียกวา่ มิกเซอร์ (MIXER)

7.4 โวลล่มุ และโทนคอนโทรล
7.4.1 โวลลุ่มคอนโทรล เป็ นป่ ุมปรับเพิ่มลดความดงั ของเสียงท่ีป้อนให้เครื่องขยายเสียงให้มีระดบั

พอเหมาะกบั การขยาย และไดค้ วามดงั ตามที่ผูฟ้ ังหรือผูใ้ ชง้ านตอ้ งการ ป่ ุมโวลลุ่มคอนโทรลเป็ นตวั ตา้ นทาน
ชนิดปรับค่าได้ ต่อรับสัญญาณเขา้ มาจากปรีแอมป์ ตวั ตา้ นทานปรับคา่ ไดโ้ ดยปกติจะมี 3 ขา แต่จะมีตวั ตา้ นทาน
ปรับค่าอีกแบบหน่ึงที่มี 4 ขาเป็นตวั ตา้ นทานปรับคา่ ท่ีมีขากลางพิเศษถูกนาไปใชก้ บั วงจรโวลลุ่มคอนโทรลและ
ลาวดเ์ นส เพื่อยกระดบั สัญญาณเสียงทุม้ และเสียงแหลมใหส้ ูงข้ึน

7.5 กราฟฟิ กอคี วอไลเซอร์ (Graphic Equalizer)
กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์ (Graphic Equalizer) เป็ นส่วนช่วยปรับแต่งความถี่เสียงเสียงมีหน้าคลา้ ยส่วน

ของโทนคอนโทรลแตกต่างกนั ตรงที่โ นคอนโทรลน้นั จะเปน็ การปรับยา่ นความถ่ีเสียงทมุเ้ สียงกลางและเสียง
แหลมแบบไม่ละเอียด แต่ในกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์จะมีรายละเอียดในการปรับแต่งความถ่ีเสียงที่มากกวา่ ดว้ ย
การแบ่งซอยยา่ นความถี่เสียงที่ตอ้ งการปรับออกเป็นช่วงเท่าๆ กนั อยา่ งนอ้ ย 5 ยา่ นถึง 21 ยา่ นในการแบ่งความถี่
เสียงท่ีจะปรับจะตอ้ งแบ่งจากความถ่ีต่าไปหาความถี่สูงโดยเรียงตามลาดบั โดยการเพ่ิมจานวนความถ่ีน้นั จะ
เพ่ิมข้ึนทีละ 0.5 เท่า, 1 เท่า, 2 เท่า, 3 เท่าหรือ 4 เท่า เป็ นตน้ ตามจานวนย่านความถ่ีเสียงท่ีตอ้ งการ การปรับแต่ง
ในแต่ละช่วงความถ่ีถูกเรียกว่าออฟเตฟ (Octave) เช่น ความถี่ต่าสุดที่ 100 Hz ความถี่แต่ละช่วงเพิ่มข้ึน 4 เท่า
ดงั น้นั ยา่ นความถ่ีถดั ไปจะเป็นดงั น้ี 400 Hz
7.5.1 อีควอไลเซอร์แบบใชว้ งจรแทรป วงจรแทรป (TRAP CIRCUIT) คือวงจร

เรโซแนนซ์อนุกรม กล่าวคือการนาตวั เหนี่ยวนา (L) และตวั เก็บประจุ (C) มาต่ออนุกรมกนั วงจรแทรป
น้นั จะไม่ยอมใหค้ วามถ่ีที่มีความถี่อยใู่ นช่วงความถ่ีโซแนนซ์ของวงจรแทรปผา่ นไปได้ หากความถ่ีที่ป้อนเขา้ มา
มีค่านอ้ ยกวา่ หรือมากกวา่ ความถ่ีเรโซแนนซ์ก็จะยอมให้ความถ่ีเหล่าน้นั ผา่ นไปไดอ้ ีควอไลเซอร์แบบใชว้ งจร
แทรปจึงไดน้ าคุณสมบตั ิขอ้ น้ีของวงจรแทรปมาใชใ้ นวงจรอีควอไลเซอร์เราสามารถทาการปรับแต่งความถ่ี
เสียงที่ตรงกับความถี่เรโซแนนซ์ของวงจรแทรปได้โดยการต่อตวั ตา้ นทานปรับค่าได้ทาให้สามารถปรับ
คา่ ความถ่ีเรโซแนนซ์มากข้ึนหรือนอ้ ยลงได้ ส่วนสาคญั ของ

7.5.2 อีควอไลเซอร์แบบใชว้ งจรเจไรเตอร์ กราฟฟิ กอีควอไลที่ใชต้ วั เหน่ียวน ำา (L)
จริงในวงจรแทรป CL มีปัญหาหลายประการคือ ตวั เหนี่ยวนามีราคาแพง เกิดความยุ่งยากในการพนั

ขนาดตวั เหน่ียวนาใหญ่โต และอาจก่อให้เกิดเสียงฮมั (HUM) ข้ึนมาจากตัวเหน่ียวนา ย่ิงกรณีที่ต้องการ
รายละเอียดมาก ๆ ซ่ึงก่อให้เกิดความลาบากในการจดั หาจดั สร้างวงจรกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์มากข้ึน จึงไดม้ ี
การพฒั นาเทคโนโลยกี ารผลิตตวั เหนี่ยวนาแบบใหม่ข้ึนมา โดยสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ข้ึนมาให้มีคุณสมบตั ิ
ในการทางานเหมือนตวั เหน่ียวนามาใชแ้ ทนท่ีตวั เหน่ียวนาจริงในวงจรแทรป วงจรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีสร้างข้ึน
แทนตวั เหน่ียวนาจริงชื่อว่า วงจรเจไรเตอร์ (Gyrator Circuit) หรืออาจเรียกว่าวงจรแอกทีฟฟิ ลเตอร์ (Active
Circuit) วงจรเจไรเตอร์เป็ นวงจรท่ีใช้ออปแอมป์ หรือทรานซิสเตอร์ต่อวงจรร่วมกับตัวเก็บประจุและตัว
ตา้ นทานดงั รูปที่ 7.20 วงจรเจไรเตอร์ท่ีสร้างข้ึนใหม่จะมีคุณสมบตั ิการทางานเสมือนกบั วงจรสมมูลในรูปที่
7.21 ดา้ นซ้ายมือ แต่นาไปใช้งานแทนขดลวดหรือตวั เหน่ียวนาเพียงแค่ตวั เดียวในรูปที่ 7.21 ด้านขวามือ ค่า
ความเหนี่ยวนาหรืออินดกั แตนซ์ท่ีสร้างเป็ นวงจรเจไรเตอร์สามารถหาไดจ้ ากสมการดงั น้ี
คุณสมบตั ิของวงจรเจไรเตอร์เหมือนกบั การทางานเหมือนกบั ตวั เหน่ียวนา กล่าวคือมี

ค่าความตา้ นทานมากข้ึนต่อความถ่ีสูงข้ึนและมีค่าความตา้ นทานลดลงต่อความถี่ต่าลง จากรูปท่ี7.20
การทางานของวงจรเจไรเตอร์ เมื่อจา่ ยแรงดนั ไฟตรง (ความถี่เป็นศูนย)์ เขา้ มาแรงดนั ไฟตรงไม่สามารถผา่ น C1
ไดท้ าให้แรงดนั ตกคร่อมที่ R2 เป็ นศูนยอ์ อปแอมป์ ต่อวงจรแรงดนั ตามจึงทาให้แรงดนั ที่ออกเอาตพ์ ุตเป็ นศูนย์
เสมือนกบั ต่อ R1 ลงกราวดก์ ระแสไหลผา่ นวงจรเจไรเตอร์ถูกจากดั ดว้ ย R1 เท่ากบั ค่าความตา้ นทานไฟตรงของ
ตวั เหนี่ยวนา

เม่ือมีความถี่สูงป้อนเขา้ มาที่อินพุตตวั C1 จะยอ่ มใหค้ วามถี่ผา่ นไปตกคร่อม R2 มีแรงดนั ตกคร่อม R2
สูงเป็ นผลให้แรงดนั ที่ขาอินเวอร์ติง (+) ของออปแอมป์ สูง ทาให้เอาตพ์ ุตของออปแอมป์ มีแรงดนั สูงข้ึนตามไป
ดว้ ย แรงดนั ท่ีตกคร่อม R1 จะนอ้ ยมากหรือไม่มีเลยเมื่อลดความถ่ีที่ป้อนเขา้ มาที่อินพุตให้ต่าลง ตวั C1 มีแรง
ตา้ นการไหลของกระแสผา่ นมาR2 มากข้ึน เกิดแรงดนั ตกคร่อมที่ R2 ลดลงความถ่ียิ่งต่าลงแรงดนั ที่ตกคร่อม R2
ยิ่งน้อยลง มีกระแสไหลผา่ น R1 มากข้ึน เกิดแรงดนั ตกคร่อม R1 มากข้ึนจากที่กล่าวมาท้งั หมดจะเห็นไดว้ า่ มี
คุณสมบตั ิเหมือนขดลวดหรือตวั เหน่ียวนาทุกประการ

จากรูปท่ี 7.22 กราฟฟิ กอีควอไลเซอร์แบบ 5 ยา่ นความถี่หรือแบบ 2 ออกเตฟ โดยค่าความถี่ห่างกนั
เพิ่มข้ึนยา่ นละ 4 เท่า แบ่งความถ่ีไดเ้ ป็ น 60 Hz, 250 Hz, 1 kHz, 4 kHz และ 16 kHzเป็นความถ่ีที่ครอบคลุมยา่ น
ความถ่ีเสียงต้งั แต่ความถี่ต่าไปความถี่สูง แต่ละคา่ สามารถปรับเพิ่มลดระดบั ความดงั ของความถ่ีเสียงน้นั ออกมา
ได้ ±12 dB

การทางานของวงจรกราฟฟิ กอีควอไลเซอร์แบบ 5 ยา่ นความถ่ีเมื่อมีสัญญาณเสียงป้อนเขา้ มาที่อินพุต Vi
ความถี่เสียงทุกความถี่จ่ายผ่านออปแอมป์ IC1/1 ที่ IC1/1 จะต่อร่วมกบั R1 และR2 เป็ นวงจรบฟั เฟอร์รับ
สัญญาณเสียงอินพุตท้งั หมด ความถ่ีเสียงท้งั หมดถูกกาหนดปรับแต่งระดบั ความดงั เฉพาะความถี่ที่ตรงกบั ค่าเร
โซแนนซ์ของวงจรแทรป CL แต่ละชุดมี 5 ย่านความถี่คือ VR1ปรับแต่งความถ่ีเสียง 60 Hz, VR2 ปรับแต่ง
ความถี่เสียง 250 Hz, VR3 ปรับแตง่ ความถี่เสียง 1 kHz,

VR4 ปรับแต่งความถ่ีเสียง 4 kHz และ VR5 ปรับแต่งความถี่เสียง 16 kHz การปรับ VR1-5 ข้ึนดา้ นบนเป็ นการ
ปรับเพม่ิ ระดบั ความดงั ของความถี่เสียงใหม้ ากข้ึนถึงข้นั สูงสุดประมาณ +12 dB ปรับเพมิ่ นอ้ ยความดงั นอ้ ยปรับ
เพ่มิ มากความดงั มาก การปรับ VR1-5 ลงดา้ นล่างเป็ นการปรับลดระดบั ความดงั ของความถีเำ่ สยี งใหล้ ดลงถึง
ข้นั ต่า สดุ ประมาณ -12 dB ปรบั เพ่ิมนอ้ ยความลดทอนนอ้ ยปรบเั พิ่มมากลดทอนมาก เมื่อไดร้ ะดบั ความดงั
ของความถ่ีเสียงท่ีปรับแต่งแลว้ ส่งผ่านไปขยายเสียงดว้ ยIC1/2 ขยายสัญญาณเสียงออกเอาท์พุต VO ค่าความถ่ี
เสียงที่ไม่ตรงกบั ค่าความถี่เรโซแนนซ์ของวงจรแทรป CL จะไม่ถูกลดทอนหรือเปล่ียนแปลง ความถ่ีเสียง
เหล่าน้ีถูก IC1/2 ขยายออกเอาตพ์ ุตเท่ากนั

• ด้านทกั ษะ(ปฏบิ ตั )ิ

10. แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 7

11. ใบงานที่ 8

12. ใบงานท่ี 9

• ด้านคุณธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง (จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี

6)
1. สรุปภาคการทางานของเครื่องขยายเสียงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้

ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน

1. ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน ( 15 นาที ) 1. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน ( 15 นาที )

1. ผูส้ อนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของบทที่ 7 1. ผูเ้ รียนทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จุดประสงค์การ

เร่ือง ภาคการทางานของเครื่องขยายเสียง เรียนของบทท่ี 7 เร่ือง ภาคการทางานของเคร่ืองขยาย

เสียง

2. ข้ันให้ความรู้ (120 นาที ) 2. ข้นั ให้ความรู้ (120 นาที )

1. ผู้สอนแนะนาให้ผู้เรี ยนเปิ ด PowerPoint 1. ผูเ้ รียนศึกษาจาก PowerPoint และให้ผูเ้ รียน

และให้ผู้เรียนเปิ ดเอกสารประกอบการสอนวิชา เปิ ดเอกส ารประกอบ การส อน วิชา วงจรไฟ ฟ้ า

วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ บทที่ 7 เรื่ อง ภาคการ กระแสสลับ บทท่ี 7 เรื่อง ภาคการทางานของเครื่อง

ทางานของเคร่ืองขยายเสียง และให้ผูเ้ รียนศึกษา ขยายเสียง

รายละเอียดดว้ ยตนเอง 2. ผูเ้ รียนซักถามข้อสงสัยท่ีเกิดข้ึนและผูเ้ รียน

2. ผสู้ อนเปิ ดโอกาส ให้ผูเ้ รียนถามปัญหา และ ร่วมมือกบั ผสู้ อน

ข้อสงสัยจากเน้ื อหา โดยครู เป็ นหาค่าลิมิตของ

ฟังกช์ นั

3. ข้ันประยกุ ต์ใช้ (250 นาที ) 3. ข้นั ประยุกต์ใช้ ( 250 นาที )

17. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาแบบประเมินหลังเรียน 7. ผเู้ รียนทาแบบประเมินหลงั เรียนบทที่ 7

บทท่ี 7 8. ผเู้ รียนทาใบงานท่ี 8 หนา้ ที่ 262-268

18. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาใบงานท่ี 8 หน้าท่ี 262- 9. ผเู้ รียนทาใบงานที่ 9 หนา้ ท่ี 269-274
268

19. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาใบงานที่ 9 หน้าที่ 269- 10. ผเู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มูลจากอินเทอร์เน็ต

274

20. ผู้ ส อ น ใ ห้ ผู้ เรี ย น สื บ ค้ น ข้ อ มู ล จ า ก
อินเทอร์เน็ต


Click to View FlipBook Version