3.8 หน้าทกี่ ารทางานของอุปกรณ์ส่วนประกอบในวงจรทรานซิสเตอร์
อุปกรณ์แต่ละตวั ที่เป็ นส่วนประกอบของวงจรขยายทรานซิสเตอร์ มีหน้าท่ีและการทางานต่างกนั แต่มี
ความสาคญั ในการทางานเหมือนกนั มีส่วนทาให้การทางานของวงจรทรานซิสเตอร์ปกติหรือเปลี่ยนแปลงได้
ดงั น้นั จะตอ้ งทราบถึงหนา้ ที่ของอุปกรณ์เหล่าน้นั ดว้ ย
R1เป็ นตวั ตา้ นทานจากดั กระแส (Current Limitting Resistor) ทาหน้าที่เป็ นตวั กาหนดกระแสในวงจร
แบ่งแรงดนั (Voltage Divider) เพื่อใหก้ ระแสไหลตกคร่อม R2 มีจานวนแรงดนั ท่ีพอเหมาะในการจ่ายไบอสั ให้
ขา B ของ Q1
R2เป็ นตวั ตา้ นทานจ่ายไบอสั (Bias Resistor) ทาหนา้ ท่ีให้แรงดนั ตกคร่อมเป็ นไบอสั ที่จะจ่ายให้ขา B
ของทรานซิสเตอร์
R3 เป็ นตวั ตา้ นทานโหลด (Load Resistor) ทาหนา้ ที่รับสัญญาณท่ีถูกขยายจากทรานซิสเตอร์มาตกคร่อม
และส่งสญั ญาณตอ่ ไปยงั ภาคตอ่ ไป
R4เป็นตวั ตา้ นทานปรับแรงดนั ใหค้ งที่ (Voltage Stabilize Resistor) ทาหนา้ ท่ีควบคุมกระแสคอลเลคเตอร์
(IC) ไม่ใหเ้ ปล่ียนแปลงเม่ืออุณหภูมิภายนอกสูงข้ึน และเมื่อ R1 และ R2 เปลี่ยนคา่ สูงข้ึนไม่เกิน 20 %
C1และ C2 เป็ นคบั ปลิ้งคาปาซิเตอร์ (Coupling Capasistor) ทาหน้าท่ีก้นั แรงดนั DCจากวงจรอื่นไม่ให้เขา้ มา
รบกวนวงจร และส่งผา่ นสัญญาณไฟ AC จากวงจรหน่ึง
C3เป็นบายพาสคาปาซิเตอร์ (Bypass Capacitor) ทาหนา้ ท่ีควบคุมแรงดนั ที่ขา E ของ
Q ใหค้ งที่ในขณะท่ีทาการขยายสญั ญาณ เพ่ือทาใหร้ ะดบั แรงดนั VBE ควบคุมการไบอสั ของ Q1 คงท่ี
Q1 จะขยายสัญญาณออกเอาต์พุตไม่คงที่ ถ้าหากไม่มี C3 แรงดนั ที่ขา E1 ของ Q1 จะเปลี่ยนแปลงขณะท่ีมี
สัญญาณอินพตุ ป้อนเขา้ มาทาใหแ้ รงดนั VBE เปลี่ยนแปลง Q1 จะมีอตั ราขยายสญั ญาณเปลี่ยนแปลงทาการขยาย
สญั ญาณไม่คงที่ อตั ราขยายจะลดลงเพราะจะเกิดการป้อนกลบั ทางลบ(Negative Feedback)
3.9 ชนิดและโครงสร้างของเฟต
เฟต เป็ นอุปกรณ์สารก่ึงตวั นาอีกแบบหน่ึงท่ีนิยมนามาใช้ในวงจรขยายสัญญาณ เพราะเฟตมีคุณสมบตั ิ
หลายประการที่ดีกวา่ ทรานซิสเตอร์ คือ มีอินพุตอิมพีแดนซ์สูง ต่อขยายสัญญาณแบบหลาย ๆ ภาคไดด้ ี มีอตั รา
การขยายสูง สัญญาณรบกวนต่า อุณหภูมิมีผลต่อเฟตน้อย โครงสร้างของเฟตใช้ผลิต IC ได้ จากขอ้ ดีหลาย
ประการดงั กล่าว ทาให้เฟตมีบทบาทในการพฒั นาอุปกรณ์ดา้ นอิเล็กทรอนิกส์มากข้ึน ชนิดของเฟตแบ่งได้ 2
ชนิด คือ
1. จงั ชน่ั ฟิ ลด์ เอฟเฟคทรานซิสเตอร์ (Junction Field Effect Transistor) มีชื่อยอ่ วา่ เจ-เฟต (J-FET) แบ่งออกเป็ น
2 แบบคือเอน-แชนแนล (N-Channal) และ พี-แชนแนล(P-Channal)
2. มิทอล ออกไซด์ เซมิคอนดักเตอร์ ฟิ ลด์เอฟเฟคทรานซิสเตอร์ (Metal Oxide SemiconductorField Effect
Transistor) มีชื่อยอ่ วา่ มอส-เฟต (MOS-FET) หรือเรียกอีกช่ือหน่ึงวา่ อินซูเลเตด เกทฟิ ลดเ์ อฟเฟคทรานซิสเตอร์
(Insulated Gate Field Effect Transistor) มีชื่อยอ่ วา่ อิก-เฟต (IG-FET)
โครงสร้างของเจ-เฟตจะแตกต่างจากทรานซิสเตอร์ ทาให้การทางานและการจ่ายไบอสั ต่างกัน แต่
สามารถนาไปใชเ้ ป็ นวงจรขยายสัญญาณไดเ้ หมือนกนั การจ่ายไบอสั ให้ เจ-เฟต จะตอ้ งจ่ายไบอสั ตรง (Forward
Bias) ใหข้ า S จ่ายไบอสั กลบั (Reverse Bias) ให้ขา D และขา G (เทียบกบั ขา S) การจ่ายไบอสั ดงั กล่าวจะทาให้
เจ-เฟต สามารถทางานได้
ในรูปท่ี 3.15 เป็ นการจ่ายไบอสั ให้เจ-เฟตท่ีเจ-เฟตตอ้ งการ ทาให้สามารถควบคุมการทางานของเจ-เฟตได้
รูป ก. เป็ น เจ-เฟตชนิด N-แชนแนล จะตอ้ งจ่ายแรงดนั บวกให้ขา D จ่ายแรงดนั ลบให้ขา S โดยใช้แหล่งจ่าย
VDD และจ่ายแรงดนั ลบใหข้ า G เทียบกบั ขา S โดยใชแ้ หล่งจา่ ย VDD
รูป 3.15 ข. เป็ นเจ-เฟตชนิด P-แชนแนล จะต้องจ่ายแรงดนั ลบให้ขา D จ่ายแรงดันบวกให้ขา S โดยใช้
แหล่งจ่าย VDD และจา่ ยแรงดนั บวกใหข้ า G เทียบกบั ขา S โดยใชแ้ หล่งจ่าย VDD
ถา้ จ่ายไบอสั กลบั ให้ขา D จ่ายไบอสั ตรงใหข้ า S โดยยงั ไม่จ่ายไบอสั ขา G จะมีกระแสไหลผา่ นระหวา่ งขา
D กบั ขา S สูงมากคา่ หน่ึง และไหลคงท่ีตลอดเวลา
เม่ือจ่ายแรงดนั ไบอสั ให้ขา G เทียบกบั ขา S เสมือนเป็ นการจ่ายไบอสั กลบั ให้ไดโอดทาให้เกิดแบตเตอร่ี
สมมติหรือดีพลีชนั่ ริจินข้ึนระหวา่ งรอยต่อ PN ดีพลีชน่ั ริจินน้ีจะไปขดั ขวางการไหลของกระแสท่ีไหลระหวา่ ง
ขา S กบั ขา D ใหไ้ หลไดน้ อ้ ยลง ย่งิ จ่ายไบอสั กลบั ให้ขา G มากข้ึน ดีพลีชนั่ ริจินระหวา่ งรอยต่อ P N จะยิง่ กวา้ ง
ข้ึน กระแสที่ VDD ไหลระหวา่ งขา S กบั ขา D สูงข้ึน ทาให้กระแส เดรน (ID) ไหลเปลี่ยนแปลงมากข้ึนหรือ
นอ้ ยลง กระแส ID จะถูกควบคุมใหไ้ หลมากไหลนอ้ ยไดด้ ว้ ยแรงดนั VGG ท่ีจ่ายใหข้ า G
3.10 มอส-เฟต (MOS-FET)
มอส-เฟต (MOS-FET) แบ่งออกเป็ น 2 ชนิดคือ 1. ดีพลีช่ัน (Depletion) แบ่งออกเป็ น 2ชนิด คือ N-
แชนแนลและ P-แชนแนล 2. เฮนฮานซ์เมนท์ (Enhancement) แบ่งออกเป็ น 2 ชนิดคือN-แชนแนลและ P-
แชนแนล
จากรูปที่ 3.16 เป็ นโครงสร้างของดีพลีชนั่ มอส-เฟต ซ่ึงจะแตกต่างจากเจ-เฟตโดยสิ้นเชิงจะเห็นไดว้ า่ สาร
ท่ีทาเป็ นเกท (G) จะถูกแยกออกไปอยา่ งอิสระ โดยมีฉนวนซิลิคอนไดออกไซด์ (SiO2)ข้นั กลาง สารท่ีทาเป็ น
ซอส (S) และเดรน (D) ถูกสร้างข้ึนบนฐานซับสเตรท (SUB) มอส-เฟตชนิดN-แชนแนลซบั สเตรทจะเป็ นสาร
ชนิด P ส่วนมอส-เฟตชนิด P-แชนแนล ซบั สเตรทจะเป็ นสารชนิดN สารท่ีอยูต่ อนกลางระหวา่ งซอส (S) และ
เดรน (D) สร้างข้ึนให้มีคุณสมบตั ิของสารเหมือนกบั ซอส(S) และเดรน (D) คือถา้ เป็ นชนิด N แชนแนลระหวา่ ง
รอยต่อซอส (S) และเดรน (D) จะมีอิเล็กตรอนอิสระมากกวา่ ปกติ ถา้ เป็ นชนิด P-แชนแนลระหวา่ งรอยต่อซอส
(S) และเดรน (D) จะมีโฮลมากกวา่ ปกติ ขาซบั สเตรท (Sub) จะถูกตอ่ ไวก้ บั ขา S
การจ่ายไบอสั ให้มอส-เฟตชนิดดีพลีชน่ั จะจ่ายไบอสั เหมือนเจ-เฟททุกประการ คือ ขา Dจะไดร้ ับไบอสั
กลบั ขา S จะไดร้ ับไบอสั ตรง ขา G จะไดร้ ับไบอสั กลบั เทียบกบั ขา S การจ่ายไบอสั ดงั กล่าวมอส-เฟทชนิดน้ีจึง
จะทางานได้
จากรูปท่ี 3.17 สามารถอธิบายหลกั การทางานของวงจรไดด้ งั น้ี ถ้าจ่ายบวกให้ขา D จ่ายลบให้ขา S โดย
แหล่งจ่าย VDD ขา G ยงั ไม่จ่ายไบอสั ให้ จะมีกระแส ID ไหลผา่ นระหว่างขา S และขา D สูงมากค่าหน่ึง และ
ไหลคงที่ตลอดเวลา
เมื่อจ่ายแรงดันไบอสั กลับให้ขา G คือ จ่ายศักย์ลบให้ขา G เทียบกับขา S ศักย์ลบที่ขา Gจะผลักให้
อิเล็กตรอนอิสระระหวา่ งรอยตอ่ S และ D เคล่ือนที่ออกมา และดึงโฮลเขา้ ไปแทนที่ ทาใหส้ ารก่ึงตวั นาระหวา่ ง
รอยต่อ SD น้ี เปลี่ยนสภาพเป็ นสารก่ึงตวั นาชนิด P เหมือนซบั สเตรท ดา้ นการไหลของกระแส ID ที่ไหลจากขา
D ไปขา S ถา้ จา่ ยไบอสั กลบั ท่ีขา G มาก ศกั ยล์ บท่ีขา G จะผลกั อิเล็กตรอนอิสระออกไปจากสารระหวา่ งรอยต่อ
S D มาก กระแส ID จะไหลนอ้ ย ถา้ จ่ายไบอสั กลบั ที่ขา G นอ้ ย ศกั ยล์ บที่ขา G จะผลกั อิเล็กตรอนอิสระออกไป
จากสารระหวา่ งรอยต่อ SD นอ้ ย กระแสID จะไหลมาก สามารถควบคุมการทางานของดีพลีชน่ั มอส-เฟตชนิด
N-แชนแนลได้ การทางานจะเหมือนเจ-เฟตชนิด N-แชนแนล
จากรูปที่ 3.18 สามารถอธิบายหลกั การท ำางานของวงจรไดด้ งั น้ี ถา้ จ่ายลบให้ขา D จ่ายบวกให้ขา S
โดยยงั ไม่จ่ายไบอสั ให้ขา G จะมีกระแส ID ไหลผ่านระหว่างขา S และขา D สูงมากค่าหน่ึงและไหลคงท่ี
ตลอดเวลา
เมื่อจ่ายแรงดนั ไบอสั ให้ขา G คือ ศกั ยบ์ วกให้ขา G เทียบกับขา S ศกั ยบ์ วกที่ขา G จะผลกั โฮลระหว่าง
รอยต่อ S และ D เคลื่อนที่ออกมาและดึงอิเล็กตรอนอิสระเขา้ ไปแทนท่ีทาให้สารก่ึงตวั นาระหว่างรอยต่อ SD
เปล่ียนสภาพเป็นสารก่ึงตวั นาชนิด N เหมือนซบั สเตรท ดา้ นการไหลของกระแส ID ที่ไหลจากขา S ไปขา D ถา้
จา่ ยไบอสั กลบั ท่ีขา G มาก ศกั ยบ์ วกที่ขา G จะผลกั โฮลออกจากสารระหวา่ งรอยต่อ SD มาก กระแส ID จะไหล
นอ้ ย ถา้ จ่ายไบอสั กลบั ที่ขา G นอ้ ย ศกั ยบ์ วกท่ีขา G จะผลกั โฮลออกจากสารระหวา่ งรอยต่อ S D น้อย กระแส
ID จะไหลมากสามรถควบคุมการทางานของดีพลีชน่ั มอส-เฟตชนิด P-แชนแนล
3.10.2 เอนฮานซ์เมนท์มอส-เฟต (Enhancement MOS-FET)
เอนฮานซ์เมนทม์ อส-เฟท จะมีโครงสร้างเหมือนกบั ชนิดดีพลีชน่ั มอส-เฟต คือขา G ถูกแยกเป็ นอิสระโดย
มีฉนวนซิลิคอนไดอ๊อกไซด์ข้นั กลางเหมือนกนั มีซบั สเตรทเป็ นฐานรอง เหมือนกนั แต่มีส่วนแตกต่างกนั คือ
สารระหวา่ งรอยต่อ SD เป็ นสารชนิดเดียวกบั ซบั สเตรท ทาใหข้ า S และ D ถูกแยกออกจากกนั โดยมีซบั สเตรท
ข้นั กลาง การจา่ ยไบอสั และการนากระแสกต็ ่างกนั
ในรูปที่ 3.20 เป็ นวงจรการจ่ายไบอสั เอนฮานซ์เมนทม์ อส-เฟทชนิด N-แชนแนล สามารถอธิบายหลกั การ
ทางานไดด้ งั น้ี ถา้ จ่ายบวกไหข้ า D จ่ายลบใหข้ า S โดยที่ G ยงั ไม่จ่ายไบอสั ให้ จะยงั ไม่มีกระแส ID ไหลจากขา
D ไปขา S เพราะสารท่ีอยรู่ ะหวา่ งรอยตอ่ S และ D เป็นสารตา่ งชนิดกบั S และ D
จากรูปท่ี 3.20 เม่ือจ่ายแรงดนั ไบอสั ตรงใหข้ า G เทียบกบั S คือ จ่ายแรงดนั บวกใหข้ า Gจา่ ยลบให้ขา S ศกั ย์
บวกที่ขา G จะไปชกั นาสารก่ึงตวั นาชนิด P ที่เชื่อมอยู่ต่อระหวา่ ง S และ D ให้เปล่ียนสภาพเป็ นสารก่ึงตวั นา
ชนิด N เป็นตวั นาชนิดเดียวกบั S และ D กระแส ID จะไหล ซ่ึงจะไหล
มากหรือนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั การจ่ายไบอสั ที่ตรงขา G ถา้ จ่ายศกั ยบ์ วกใหข้ า G มากก็จะเกิดอิเลก็ ตรอน
หนาแน่นมากตรงสารระหวา่ งรอยตอ่ S และ D กระแส ID จะไหลผา่ นไดม้ าก ถา้ จา่ ยศกั ยบ์ วกใหข้ า
G นอ้ ย ก็จะเกิดอิเลก็ ตรอนไม่คอ่ ยหนาแน่นตรงสารระหวา่ งรอยต่อ S และ D กระแส ID จะไหลผา่ น
ไดน้ อ้ ย การทางานจะเหมือนกบั ทรานซิสเตอร์ ชนิด NPN
ในรูปท่ี 3.21 เป็ นวงจรการจ่ายไบอัสให้เอนฮานซ์เมนท์มอส-เฟตชนิด P-แชนแนล สามารถอธิบาย
หลกั การทางานไดด้ งั น้ี ถา้ จ่ายลบให้ขา D จ่ายบวกให้ขา S โดยที่ขา G ยงั ไม่จ่ายไบอสั ใหจ้ ะยงั ไม่มีกระแส ID
ไหลในเฟตจากขา S ไปขา D เพราะสารท่ีข้นั ระหวา่ งรอยตอ่ S และ D เป็นสารตา่ งชนิดกบั S และ D
เมื่อจ่ายแรงดนั ไบอสั ตรงให้ขา G เทียบกบั ขา S คือ จ่ายลบให้ขา G จ่ายบวกให้ขา Sศกั ยล์ บท่ีขา G จะไป
ชกั นาสารก่ึงตวั นาชนิด N ที่เชื่อมต่ออยรู่ ะหวา่ ง S และ D ให้เปล่ียนสภาพเป็ นสารก่ึงตวั นาชนิด P ซ่ึงเป็ นชนิด
เดียวกบั S และ D กระแส ID จะไหล ซ่ึงจะมากหรือนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั การจ่ายไบอสั ตรงท่ีขา G ถา้ จ่ายศกั ยล์ บท่ีขา
G มาก ก็จะเกิดโฮลหนาแน่นมาก ตรงสารระหวา่ งรอยต่อ S และ D กระแส ID ก็จะไหลผา่ นไดม้ าก ถา้ จ่ายศกั ย์
ลบท่ีขา G น้อยก็จะเกิดโฮลไม่ค่อยหนาแน่น ตรงสารระหว่างรอยต่อ S และ D กระแส ID จะไหลผา่ นไดน้ อ้ ย
การทางานจะเหมือนกบั ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP
3.11 การจัดวงจรร่วมของเฟต
เฟต คือ ทรานซิสเตอร์ชนิดหน่ึงถึงแมโ้ ครงสร้างจะต่างกนั แต่หลกั การทางานหลกั การจดั วงจรร่วม
และหลกั การจา่ ยไบอสั ก็จะคลา้ ยกนั สามารถเปรียบเทียบระหวา่ งเฟตกบั ทรานซิสเตอร์ไดด้ งั น้ี
จากรูปที่ 3.22 เป็ นการเปรียบเทียบระหวา่ งขาของทรานซิสเตอร์กบั ขาของเฟต สามารถเปรียบเทียบได้
ดงั น้ี ขา C ของทรานซิสเตอร์เปรียบได้กบั ขา D ของเฟต จะได้รับการจ่ายไบอสั กลับเหมือนกัน ขา E ของ
ทรานซิสเตอร์เปรียบไดก้ บั ขา S ของเฟต จะไดร้ ับการจ่ายไบอสั ตรงเหมือนกนั ขา B ของทรานซิสเตอร์เปรียบ
ไดก้ บั ขา G ของเฟต การจา่ ยไบอสั ให้ขาน้ีแตกต่างกนั บา้ ง ขา B ของ ทรานซิสเตอร์จะไดไ้ บอสั ตรงเทียบกบั ขา
E เหมือนกบั เฟตชนิดเอนฮานซ์เมนทม์ อส-เฟต (รูป ง.) จะไดร้ ับไบอสั ตรงที่ขา G เทียบกบั ขา S ส่วนเจ-เฟตกบั
ดีพลีชน่ั มอส-เฟต จะไดร้ ับไบอสั กลบั เทียบกบั ขา S การควบคุมการทางานของทรานซิสเตอร์ จะข้ึนอยกู่ บั การ
จดั วงจรร่วมของขาทรานซิสเตอร์ เช่นเดียวกบั เฟต คือ การควบคุมการทางานของเฟตจะข้ึนอยกู่ บั การจดั วงจร
ร่วมของเฟต
ในรูปท่ี 3.23 เป็ นวงจรขยายชนิดเกทร่วม สัญญาณอินพุตจะถูกป้อนเขา้ ที่ขา S กบั ขา Gโดยให้ขา G ลง
กราวด์ ค่าอิมพีแดนซ์ทางอินพุตจะมีค่าต่าเพราะขา S ไดร้ ับไบอสั ตรงสัญญาณออกเอาตพ์ ุตท่ีขา D กบั ขา G ค่า
อิมพีแดนซ์ทางเอาตพ์ ุตจะมีคา่ สูงเพราะขา D ไดร้ ับไบอสั กลบั เฟสของสัญญาณอินพตุ กบั เอาตพ์ ตุ จะเหมือนกนั
(Inphase)
วงจรขยายเกทร่วมนาไปประยุกตใ์ ชง้ านไดก้ บั วงจรร่วมท่ีมีค่าอิมพีแดนซ์ต่าๆ เพื่อเปลี่ยนค่าอิมพีแดนซ์
ใหส้ ูงข้ึน วงจรเกทร่วมน้ีให้เสถียรภาพของวงจรไดด้ ี สามารถใชก้ บั ความถ่ีสูง ๆ ได้ จึงนาไปใชว้ งจรขยายยา่ น
ความถ่ีสูง VHF และ UHF สามารถใหอ้ ตั ราขยายแรงดนั และกาลงั ไดส้ ูง
3.12 การจัดวงจรไบอสั ให้เจ-เฟต
การจดั วงจรให้เจ-เฟตทางาน มีหลกั การจ่ายไบอสั เช่นเดียวกบั ทรานซิสเตอร์ สามารถแบ่งการจดั ไบอสั
ออกไดเ้ ป็ น 3 แบบคือ 1. ไบอสั คงท่ี (Fixed Bias) 2. ไบอสั ช่วย (Self Bias)3. ไบอสั แบบแบ่งแรงดนั (Voltage
Divider Bias) การจดั วงจรไบอสั แต่ละแบบมีการจดั วงจรคลา้ ยกบั วงจรไบอสั แบบของทรานซิสเตอร์สามารถ
อธิบายรายละเอียดของการจดั ไบอสั แตล่ ะแบบไดด้ งั น้ี
จากรูปท่ี 3.27 และ 3.28 เป็ นการจดั วงจรไบอสั คงที่ใหเ้ จ-เฟต ท้งั ชนิด N-แชนแนล และP-แชนแนล จาก
รูปจะเห็นมี VGG จา่ ยเป็นไบอสั กลบั ใหข้ า G โดยผา่ น RG เป็ นตวั จากดั กระแส แรงดนั VGG น้ีจะจ่ายคงท่ีใหข้ า
G ของเฟตตลอดเวลา ทาใหก้ ระแส ID ไหลคงที่ตลอดเวลาจนกวา่ จะมีสัญญาณกระแสสลบั ป้อนเขา้ มาท่ีขา G
ทาให้ระดับไฟ DC ของแรงดัน VGG เปล่ียนแปลง แรงดันที่ขา G เปล่ียนแปลง ทาให้กระแส ID ไหล
เปลี่ยนแปลง สัญญาณส่งออกเอาตพ์ ุตที่ขา D การจ่ายไบอสั คงท่ีน้ีจะไม่นิยมใช้ เพราะจะตอ้ งมีแหล่งจ่าย VGG
ออกตา่ งหากจากแหล่งจา่ ย VDD ไม่สะดวกในการใชง้ าน
จากรูปที่ 3.29 และ 3.30 เป็ นการจดั วงจรไบอสั ช่วยให้เจ-เฟต ท้งั ชนิด P และ N-แชนแนลในวงจรจะใช้
แหล่งจ่าย VDD ชุดเดียวจ่ายไบอสั ให้ท้งั ขา D ขา S และขา G ขา G ใช้ RG มีค่าความตา้ นทานสูงต่อกบั ขา G
และกราวด์ เพื่อให้ไบอสั ท่ีจ่ายให้ขา G มีค่านอ้ ยเมื่อเทียบกบั ขา S ส่วนขา Sมีความตา้ นทาน RG ต่อระหวา่ งขา
S กบั กราวด์ มีคา่ ความตา้ นทานต่ามีศกั ยต์ กคร่อม RS ค่าหน่ึงเม่ือเทียบศกั ยร์ ะหวา่ งขา G กบั ขา S จะทาใหข้ า G
ไดศ้ กั ยเ์ ป็ นไบอสั กลบั เจ-เฟตชนิด N-แชนแนล ขา G จะไดแ้ รงดนั เป็ นลบเทียบขา S เจ-เฟตชนิด P-แชนแนล
ขา G จะไดแ้ รงดนั เป็ นบวกเทียบกบั ขา S แรงดนั VGS ที่ตกคร่อมขา G กบั ขา S จะจ่ายไบอสั กลบั ใหเ้ จ-เฟตค่า
หน่ึง ทาให้เกิดกระแส ID ไหล ในวงจรเม่ือมีสัญญาณกระแสสลบั ป้อนเขา้ มาที่อินพุตเขา้ ขา G ทาให้ระดบั
แรงดัน VGS เปลี่ยนแปลง ควบคุมให้กระแส ID ไหลเปลี่ยนแปลง เกิดศกั ยต์ กคร่อม Rl เป็ นสัญญาณออก
เอาต์พุตกระแส In จะไหลผ่าน RS ทาให้ศกั ยต์ กคร่อม RS เพิ่ม เกิดการป้อนกลบั สัญญาณมาที่ขา G ทาให้
อตั ราขยายของวงจรลดลง การใส่ Cs เพ่ือทาให้ระดบั แรงดนั ท่ีขา S คงที่ ทาให้อตั ราขยายสัญญาณของวงจร
เพม่ิ ข้ึน เพราะจะทาใหก้ ระแสท่ีผา่ นขา S คงท่ี อตั ราขยายสญั ญาณของวงจรก็คงที่มากข้ึน หลกั การ
เหมือนกบั วงจรขยายอิมิตเตอร์ร่วมของวงจรขยายทรานซิสเตอร์
3.12.3 ไบอสั แบบแบง่ แรงดนั (Voltage Divider Bias)
ในรูปท่ี 3.31 และรูปที่ 3.32 เป็ นการจดั ไบอสั วงจรแบบแบ่งแรงดนั ให้เจ-เฟตท้งั Nและ P-แชนแนลมี R1
และ R2 ถูกจดั วงจรเป็ นแบบวงจรแบ่งแรงดนั R1 จะเป็ นตวั จ่ายไบอสั กลบั ให้ขา G R2 เป็ นตวั จากดั กระแสที่
ผ่านวงจร ทาให้เกิดศกั ยต์ กคร่อมขา G เทียบกับกราวด์ (VG) มีศกั ยเ์ ป็ นบวกค่าหน่ึงสาหรับเจ-เฟตชนิด N-
แชนแนล และมีศกั ยเ์ ป็ นลบค่าหน่ึงสาหรับเจ-เฟตชนิดP-แชนแนล เฟตนากระแสมีมีกระแส ID ไหลผ่าน RS
เกิดศกั ยต์ กคร่อม RS มีศกั ยบ์ วกที่มากกว่าVG สาหรับเจ-เฟตชนิด N-แชนแนล และมีศกั ยล์ บที่มากกว่า VG
สาหรับเจ-เฟทชนิด P-แชนแนลเม่ือเทียบศกั ยร์ ะหว่าง VG และ VS ได้แรงดนั VGS ออกมา เจ-เฟตชนิด N-
แชนแนล แรงดนั VGSขา G เป็ นบวกเม่ือเทียบกบั ขา S จะไดแ้ รงดนั ไบอสั กลบั VGS จ่ายให้ขา G เทียบกบั ขา S
RL เป็นโหลดรับสญั ญาณตกคร่อม และส่งตอ่ ออกเอาตพ์ ตุ Cs ควบคุมระดบั แรงดนั ท่ีขา S ของเฟตใหค้ งที่
ทาใหอ้ ตั ราขยายของวงจรคงท่ี
จากที่กล่าวมาเป็ นการจดั ไบอสั ให้เจ-เฟต ซ่ึงหลกั การจดั ไบอสั จะคลา้ ยกบั ของทรานซิสเตอร์มีความ
แตกต่างเพียงการกาหนดค่าความตา้ นทานที่จะนามาใชง้ านจะตอ้ งจดั ใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมจึงจะทาใหไ้ บอสั ท่ีจา่ ย
ให้เจ-เฟตถูกตอ้ งตามตอ้ งการ นอกจากเจ-เฟตท่ีกล่าวมาแลว้ มอส-เฟตก็มีหลกั การจ่ายไบอสั คลา้ ยเจ-เฟต หรือ
คลา้ ยทรานซิสเตอร์เช่นกนั ซ่ึงจะข้ึนอยกู่ บั ชนิดของมอส-เฟตท่ีนามาใชง้ าน
3.13 การจัดวงจรไบอสั ให้มอส-เฟต
การจดั วงจรไบอสั ให้มอส-เฟตมีหลกั การจ่ายไบอสั คล้ายกบั เจ-เฟต ทรานซิสเตอร์ข้ึนอยู่กบั ชนิดของ
มอส-เฟตถ้าเป็ นดีพลีช่ันมอส-เฟต จะจดั ไบอสั เหมือนเจ-เฟต ถ้าเป็ นเอนฮานซ์เมนท์มอส-เฟตจะจดั ไบอสั
เหมือนทรานซิสเตอร์
จากรูปท่ี 3.33 ก. เป็ นการจดั วงจรไบอสั ช่วยให้ดีพลีชน่ั มอส-เฟตชนิด N-แชนแนล โดยกาหนดค่าความ
ตา้ นทาน RG และ RS ใหเ้ หมาะสม ทาใหเ้ กิดแรงดนั VGS จา่ ยเป็นไบอสั กลบั ใหข้ า G เทียบกบั ขา S คือ ขา G ท่ี
ศกั ยเ์ ป็นบวก ทาให้เกิด ID ไหลเปล่ียนแปลงตามการควบคุมของแรงดนั VGS สามารถเอาดีพลีชน่ั มอส-เฟต ไป
ใชว้ งจรขยายได้
จากรูปที่ 3.33 ข. เป็ นการจดั วงจรไบอสั แบบแบ่งแรงดนั ให้ดีพลีชนั่ มอส-เฟต ชนิดN-แชนแนล มี R1
และ R2 เป็นวงจรแบ่งแรงดนั มีศกั ยต์ กคร่อม R2 ค่าหน่ึง เม่ือเทียบกบั ศกั ยท์ ี่ตกคร่อมRS ศกั ยท์ ี่ตกคร่อม RS จะ
มีค่าสูงกว่าท่ี R2 เกิดแรงดนั VGS ที่ขา G มีศกั ยเ์ ป็ นลบเทียบกบั ขา S ขา Gไดร้ ับการจ่ายไบอสั กลบั สามารถ
ควบคุมการทางานของดีพลีชน่ั มอส-เฟตน้ีได้
จากรูปท่ี 3.34 ก. เป็ นการจดั วงจรไบอสั ช่วยให้เอนฮานซ์เมนท์มอส-เฟต ชนิด N-แชนแนลซ่ึงจะมี
หลกั การจดั ไบอสั เหมือนทรานซิสเตอร์ทุกประการ มี RG ต่อรับแรงดนั ที่ขา D (VD) มาจ่ายเป็นไบอสั ตรงใหข้ า
G คือ จ่ายศกั ยบ์ วกใหข้ า G เทียบกบั ขา S เกิดแรงดนั VGS ใหค้ งท่ีร่วมกบั Csทาใหอ้ ตั ราขยายของวงจรคงที่มาก
ข้ึน
จากรูปที่ 3.34 ข. เป็ นการจดั วงจรไบอสั แบบแบ่งแรงดนั ใหเ้ อนฮานซ์เมนทม์ อส-เฟต ชนิดN-แชนแนล R1
และ R2 เป็นวงจรแบ่งแรงดนั มีศกั ยต์ กคร่อม R2 ค่าหน่ึงเมื่อเทียบกบั ศกั ยท์ ี่ตกคร่อมRS ศกั ยท์ ี่ตกคร่อม R2 มีค่า
สูงกวา่ ศกั ยท์ ี่ตกคร่อม Rs เกิดแรงดนั VGS จ่ายเป็ นไบอสั ตรงใหข้ า Gเทียบกบั ขา S ขา G มีศกั ยเ์ ป็ นบวกขา S มี
ศกั ยเ์ ป็นลบ การทางานของเอนอานซ์เมนทม์ อส-เฟตจะทางานเหมือนทรานซิสเตอร์ทุกประการ
3.14 เพาเวอร์มอส-เฟต (Power MOS-FET)
เฟต จดั เป็ นอุปกรณ์สารก่ึงตวั นาที่มีขอ้ ดีหลายประการที่ดีกว่าทรานซิสเตอร์ เช่น มีเสียงรบกวนต่า มี
อินพุตอิมพีแดนซ์สูงเหมือนหลอดสุญญากาศ ผลกระทบทางเอาต์พุตไม่มีผลต่ออินพุตและอีกหลายประการ
ดงั กล่าวมาแลว้ ในระยะแรกของเฟตจะนามาใชง้ านไดก้ บั การขยายกาลงั ต่า ๆ ในภาคปรีแอมป์ ภาคขยายตน้ ๆ
หรือภาคโทนคอลโทรลเทา่ น้นั ไมส่ ามารถนามาใชก้ บั การขยายกาลงั สูง ๆ ได้
มีบริษทั ยามาฮ่า บริษทั ฮิตาชิ และบริษทั เอ็นอีซี ของประเทศญี่ป่ ุนไดท้ าการคน้ ควา้ วจิ ยั และพยายามสร้าง
เพาเวอร์เฟตข้ึน ในสมยั แรก ๆ ไม่ประสบความสาเร็จนกั เพราะประสบปัญหาเร่ือง ความทนทาน ความไวใ้ จใน
อุปกรณ์ที่จะทางานจนในปัจจุบนั ท้งั บริษทั ผูผ้ ลิตรายใหญ่ ๆ ในญี่ป่ ุนและซิลิโคนิกส์ไดป้ ระสบความสาเร็จใน
การผลิตโดยสร้างมอส-เฟตชนิดวมี อส (VMOS) และชนิดดีมอส (DMOS) ข้ึนมาใชง้ าน สามารถนามาใชง้ านได้
ท้งั ไฟสูงและกาลงั วตั ต์สูง สามารถให้กาลงั วตั ต์สูงถึง 100 วตั ต์ สาหรับคู่เพาเวอร์มอส-เฟทนิยมใช้งานคือ
25K134 และ 25J149
จากรูปท่ี 3.35. เป็ นโครงสร้างของวีมอสเพาเวอร์ เฟท VMOS มาจากคาวา่ เวอร์ทิคอลมิทอลออกไซด์ เซ
มิคอนดกั เตอร์ (Vertical Metal Oxide Semiconductor) สร้างข้ึนมาใช้กบั การขยายที่มีกาลงั สูงๆ สามารถเขียน
สัญลกั ษณ์ไดเ้ หมือนกบั มอส-เฟตชนิด เอนฮานซ์เมนท์ พ้ืนที่ขาG ของวีมอสเฟตชนิดอ่ืน ๆ นน่ั คือ แรงดนั ท่ีขา
G สามารถควบคุมกระแสหรือให้กาลงั วตั ต์ไดม้ ากข้ึน แรงดนั ท่ีเกทถา้ เป็ นบวกมากจะทาให้สารชนิด P ที่ข้นั
ระหว่างขา S กบั (N-) และ (N+) ที่ขา Dเปลี่ยนสภาพเป็ นสารชนิด N โดยการเหน่ียวนาประจุบวก ซ่ึงจะดูด
อิเล็กตรอนอิสระท่ีเป็ นส่วนนอ้ ยในสารชนิด P ใหเ้ ขา้ ไปออกนั แน่นที่บริเวณขา G และผลกั โฮลใหอ้ อกห่างมาก
ข้ึน ผลกค็ ือ ยงิ่ มีบวกมากที่ขา G กระแสท่ีไหลจากขา S ไปขา D ก็จะไหลมากตามไปดว้ ย
จากรูปที่ 3.36. เป็ นโครงสร้างของดีมอสเพาเวอร์ เฟต DMOS มาจากคาว่าดบั เบิลดิฟฟิ วส์มิทอลออก
ไซด์ เซมิคอนดกั เตอร์ (Double-Diffuseed Metal Oxide Semiconductor) ซ่ึงเป็ นเพาเวอร์มอส-เฟตท่ีสร้างข้ึนมา
เพื่อใชก้ บั ไฟสูงไดส้ ามารถเขียนสัญลกั ษณ์ไดเ้ หมือนกบั มอส-เฟต ชนิดเอนฮานซ์เมนท์ เช่นเดียวกบั การทางาน
ของดีมอส เฟต สามารถจะอธิบายได้เช่นเดียวกับแบบวีมอสเฟต คือ ถ้าที่ขา G เป็ นบวกมาก จะเกิดการ
เหนี่ยวนาใหส้ าร P ที่ติดกบั ขา G เปล่ียนสภาพเป็นสารN มาก กจ็ ะเกิดกระแสไหลจากขา S ไปขา D ไดม้ าก
ขอ้ เสียของเพาเวอร์มอส-เฟทท่ียงั เป็ นปัญหา คือ การให้ไบอสั กบั เพาเวอร์มอส-เฟต จะตอ้ งใชว้ งจรการ
ปรับไบอสั แบบอตั โนมตั ิ (AUTOBIASSING) และการเกิดสัญญาณรบกวนแบบแอกกิ้ง(AGING) ซ่ึงยงั ไม่
สามารถระบุออกมาไดว้ ่าเกิดจากอะไร นอกจากน้ันยงั เกี่ยวกบั การให้แรงดนั ไบอสั และสัมประสิทธ์ิของการ
เปล่ียนแปลงต่ออุณหภูมิ ซ่ึงยงั มีคา่ สูง และไมส่ ามารถระบุไดว้ า่ มีมากนอ้ ยเพียงใด
สรุปแล้วเพาเวอร์มอส-เฟตจะดีกว่าเพาเวอร์ทรานซิสเตอร์ เฉพาะเสียงแหลมเท่าน้นั ส่วนเสียงทุม้ ยงั สู้
เพาเวอร์ทรานซิสเตอร์ไม่ได้ ซ่ึงในปัจจุบนั บริษทั ผูผ้ ลิตก็ได้แก้ไขจุดบกพร่องต่างๆที่ยงั คงเป็ นเทคนิคและ
ความลบั ของบริษทั ผผู้ ลิตแตล่ ะแห่งอยู่
• ด้านทกั ษะ(ปฏิบตั )ิ
3. แบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 3
4. ใบงานที่ 3
• ด้านคุณธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
(จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 11)
1.สรุปการจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้
ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน
1. ข้นั เตรียม ( 15 นาที ) 1. ข้ันเตรียม ( 15 นาที )
1. ผูส้ อนแจง้ จุดประสงค์การเรียนของบทที่ 3 4. ผูเ้ รียนทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จุดประสงค์การ
เรื่อง การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง เรียนของบทที่ 3 เร่ือง การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยาย
2. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนอธิบายหลกั การทางานของ เสียง
วงจรคอมมอนแบบต่าง ๆ ของทรานซิสเตอร์ ระดม 5. ผูเ้ รียนอธิบายหลักการทางานของวงจรคอม
ความคิดร่วมกนั และนาเสนอหนา้ ช้นั เรียน มอนแบบต่าง ๆ ของทรานซิสเตอร์และนาเสนอหน้า
ช้นั เรียน
2. ข้ันให้ความรู้ ( 360 นาท)ี 2. ข้นั ให้ความรู้ (360 นาท)ี
1. ผสู้ อนเปิ ด PowerPoint เร่ือง การจดั ไบอสั 1. ผเู้ รียนศึกษา PowerPoint เร่ือง การจดั ไบอสั
ส าห รั บ ว ง จ ร ข ย าย เสี ย ง แ ล ะ เปิ ด เอ ก ส าร สาหรับวงจรขยายเสียง และเปิ ดเอกสารประกอบการ
ประกอบการสอน วิชา เครื่องเสียง บทท่ี 3 หน้าท่ี สอน วชิ า เคร่ืองเสียง บทที่ 3 หน้าท่ี 42-76 พร้อมจด
42-76 บนั ทึกเน้ือหาท่ีสาคญั
2. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนสรุปเน้ือหาตามที่ได้ศึกษา 2. ผเู้รียนสรุปเน้ือหา ตามที่ไดศ้ ึกษาจาก PowerPoint
จาก PowerPoint
3. ข้นั ประยกุ ต์ใช้ ( 240 นาที ) 3. ข้ันประยกุ ต์ใช้ ( 240 นาที )
4. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาแบบประเมินหลังการ 1. ผเู้ รียนทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 3
เรียนบทที่ 3 2. ผเู้ รียนทาใบงานท่ี 3 หนา้ ที่ 234-239
5. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาใบงานท่ี 3 หน้าท่ี 234- 3. ผเู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มูลจากอินเทอร์เน็ต
239
6. ผู้ ส อ น ใ ห้ ผู้ เรี ย น สื บ ค้ น ข้ อ มู ล จ า ก
อินเทอร์เน็ต
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้
ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน
4. ข้ันสรุปและประเมินผล ( 105 นาที ) 4. ข้ันสรุปและประเมินผล ( 105 นาที )
3. ผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาท่ีไดเ้ รียน 1. ผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาที่ไดเ้ รียนให้มีความ
ใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั เขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั
4. ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนศึกษาเพิ่มเติมนอกหอ้ งเรียน 2. ผเู้ รียนศึกษาเพมิ่ เติมนอกหอ้ งเรียน
(บรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-11) (บรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-11)
(รวม 720 นาที หรือ 12 คาบเรียน)
งานท่มี อบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมินผล
ก่อนเรียน
3. จดั เตรียมเอกสาร ส่ือการเรียนการสอนบทท่ี3
4. ทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั จุดประสงคก์ ารเรียนของบทท่ี 1 และใหค้ วามร่วมมือในการทากิจกรรมใน
บทท่ี 3
ขณะเรียน
3. ทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 3
4. ร่วมกนั สรุป “การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง”
หลงั เรียน
2. ทาใบงานที่ 3
ผลงาน/ชิน้ งาน/ความสาเร็จของผ้เู รียน
แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 3
ใบงานท่ี 3
ส่ือการเรียนการสอน/การเรียนรู้
ส่ือสิ่งพมิ พ์
3. เอกสารประกอบการสอนวชิ า วงจรไฟฟ้ากระแสสลบั (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงค์
เชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 1-11)
4. แบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 3 ข้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 1
5. ใบงานท่ี 3
ส่ือโสตทศั น์ (ถ้ามี)
3. เคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์
4. PowerPoint เร่ือง การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง
ส่ือของจริง
2. แวกเตอร์และเฟสเซอร์ (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 1-5)
แหล่งการเรียนรู้
ในสถานศึกษา
1. หอ้ งสมุดวทิ ยาลยั เทคนิคสมุทรสาคร
2. หอ้ งปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ ศึกษาหาขอ้ มูลทางอินเทอร์เน็ต
นอกสถานศึกษา
ผปู้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถิ่นจงั หวดั สมุทรสาคร
การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กบั วชิ าอ่ืน
4. บูรณาการกบั วชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
5. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าอิเลก็ ทรอนิกส์
6. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าเบ้ืองตน้
การประเมนิ ผลการเรียนรู้
หลกั การประเมินผลการเรียนรู้
ก่อนเรียน
2. ความรู้ความเขา้ ใจก่อนการเรียนการสอน
ขณะเรียน
3. ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนรู้บทที่ 3
4. สังเกตการทางาน
หลงั เรียน
2. ตรวจใบงานท่ี 3
คาถาม
ผลงาน/ชิน้ งาน/ผลสาเร็จของผู้เรียน
ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 3
ตรวจใบงานที่ 3
สมรรถนะทพ่ี งึ ประสงค์
ผเู้ รียนสร้างความเขา้ ใจเก่ียวกบั การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง
5. วเิ คราะห์และตีความหมาย
6. ต้งั คาถาม
7. อภิปรายแสดงความคิดเห็นระดมสมอง
8. การประยกุ ตค์ วามรู้สู่งานอาชีพ
สมรรถนะการปฏบิ ัตงิ านอาชีพ
2. มีความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง
สมรรถนะการขยายผล
ความสอดคล้อง
จากการเรียน เรื่อง การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง ทาให้ผเู้ รียนมีความรู้เพิ่มเกี่ยวกบั วงจรคอมมอน
เบส วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์ วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์ การจดั ไบอสั แบบคงท่ี การจดั ไบอสั แบบช่วย การ
จัดไบอัสแบบกระแสป้อนกลับ การจัดไบอัสแบบผสม การทางานของอุปกรณ์ในวงจรขยายแบบ
ทรานซิสเตอร์ ชนิดและโครงสร้างของเฟต การจดั วงจรร่วมของเฟต การจดั วงจรไบอสั ใหเ้ จเฟต การจดั วงจร
ไบอสั ใหม้ อสเฟต เพาเวอร์มอสเฟต และสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นวนั ขา้ งหนา้ ได้
รายละเอยี ดการประเมนิ ผลการเรียนรู้
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 1 อธิบายหลกั การทางานของวงจรคอมมอนแบบต่าง ๆ ของ
ทรานซิสเตอร์ได้
4. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
5. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
6. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : อธิบายหลกั การทางานของวงจรคอมมอนแบบตา่ ง ๆ ของ
ทรานซิสเตอร์ได้ จะได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 2 บอกวงคอมมอนคอลเลคเตอร์ได้
4. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
5. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
6. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บอกวงคอมมอนคอลเลคเตอร์ได้ จะได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 3 ตอ่ วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์ได้
4. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
5. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
6. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ตอ่ วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์ได้ จะได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 4 จดั ไบอสั แบบต่าง ๆ ของเฟตได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : จดั ไบอสั แบบต่าง ๆ ของเฟตไดจ้ ะได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 5 จาแนกอุปกรณ์ในวงจรขยายแบบทรานซิสเตอร์ได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : จาแนกอุปกรณ์ในวงจรขยายแบบทรานซิสเตอร์ได้ จะได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 6 แยกแยะชนิดและโครงสร้างของเฟตได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : แยกแยะชนิดและโครงสร้างของเฟตได้ จะได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 7 จดั วงจรร่วมของเฟตได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : จดั วงจรร่วมของเฟตไดจ้ ะได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 8 จดั วงจรไบอสั ใหเ้ จเฟตได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : จดั วงจรไบอสั ใหเ้ จเฟตได้ จะได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 9 จดั วงจรไบอสั ใหม้ อสเฟตได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : จดั วงจรไบอสั ใหม้ อสเฟตได้ 1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 10 ช้ีใหเ้ ห็นถึงโครงสร้างของเพาเวอร์มอสเฟตได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ช้ีใหเ้ ห็นถึงโครงสร้างของเพาเวอร์มอสเฟตได้ จะได้ 0.5 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 11 ช้ีใหเ้ ห็นถึงโครงสร้างของเพาเวอร์มอสเฟตได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ช้ีใหเ้ ห็นถึงโครงสร้างของเพาเวอร์มอสเฟตได้ จะได้ 0.5 คะแนน
แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 3
ตอนที่ 1 จงเติมคาในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง
1. การจดั วงจรขยายแบบพ้นื ฐานของทรานซิสเตอร์ ถา้ จะนาไปใชง้ านจริง ตอ้ งคานึงถึง ..............................
...............................................ใหก้ บั ทรานซิสเตอร์ เพราะทรานซิสเตอร์จะมีการทางานเปลี่ยนแปลงตาม
.........................................ในตวั ทรานซิสเตอร์ ถา้ .............................................ใหก้ บั ทรานซิสเตอร์
................................โอกาสที่ทรานซิสเตอร์...................................................จะเกิดข้ึนไดต้ ลอดเวลา
2. เฟต จดั เป็น.....................................................ท่ีมีขอ้ ดีหลายประการที่ดีกวา่ ทรานซิสเตอร์ เช่นมีเสียง
รบกวนต่ามี...........................................อิมพีแดนซ์สูงเหมือน......................................ผลกระทบทาง
...................................................ไม่มีผลต่ออินพตุ ในระยะแรกของเฟตจะนามาใชง้ านไดก้ บั การขยายที่มี
.............................................................ในภาคปรีแอมป์ ภาคขยายตน้ ๆ หรือภาคโทนคอลโทรลเท่าน้นั
ตอนท่ี 2 กากบาทลงหนา้ คาตอบท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพียงขอ้ เดียว
1. ขอ้ ใดคือคุณสมบตั ิของวงจรเบสร่วม
ก. อินพตุ อิมพีแดนซ์สูง
ข. เอาตพ์ ตุ อิมพแี ดนซ์ต่า
ค. อตั ราขยายกระแสสูง
ง. อตั ราขยายแรงดนั สูง
2. ขอ้ ใดคือคุณสมบตั ิของวงจรคอลเลคเตอร์ร่วม
ก. อินพุตอิมพีแดนซ์ต่า
ข. เอาตพ์ ุตอิมพแี ดนซ์สูง
ค. อตั ราขยายกระแสสูง
ง. อตั ราขยายแรงดนั สูง
3. ขอ้ ใดคือคุณสมบตั ิของวงจรอิมิตเตอร์ร่วม
ก. อินพุตอิมพีแดนซ์สูง
ข. เอาตพ์ ุตอิมพีแดนซ์สูง
ค. อตั ราขยายกระแสต่า
ง. อตั ราขยายแรงดนั ต่า
4. วงจรร่วมแบบใดคือวงจรร่วมท่ีนิยมใชง้ านมากท่ีสุด
ก. วงจรเบสร่วม
ข. วงจรอิมิตเตอร์ร่วม
ค. วงจรคอลเลคเตอร์ร่วม
ง. วงจรอิมิตเตอร์ฟอลโลวเวอร์
5. วงจรไบอสั ที่นิยมใชง้ านมากท่ีสุดคือวงจรอะไร
ก. วงจรฟิ กซ์ไบอสั
ข. วงจรเซลฟ์ ไบอสั
ค. วงจรสเตบิไลซ์ไบอสั
ง. วงจรมิกซ์ไบอสั
6. การไบอสั ทรานซิสเตอร์แบบใด ที่ใหค้ วามคงทนตอ่ อุณหภูมิดีท่ีสุด
ก. วงจรฟิ กซ์ไบอสั
ข. วงจรเซลฟ์ ไบอสั
ค. วงจรสเตบิไลซ์ไบอสั
ง. วงจรมิกซ์ไบอสั
7. วงจรไบอสั ที่ประหยดั และใหค้ วามผดิ เพ้ยี นต่าคือวงจรใด
ก. วงจรฟิ กซ์ไบอสั
ข. วงจรเซลฟ์ ไบอสั
ค. วงจรสเตบิไลซ์ไบอสั
ง. วงจรมิกซ์ไบอสั
8. ขอ้ ใดคือการจ่ายไบอสั ใหเ้ จ-เฟตที่ถูกตอ้ ง
ก. ไบอสั ตรงที่ขา G และขา S ไบอสั กลบั ที่ขา D
ข. ไบอสั ตรงที่ขา G และขา D ไบอสั กลบั ท่ีขา S
ค. ไบอสั ตรงที่ขา D ไบอสั กลบั ที่ขา G และขา S
ง. ไบอสั ตรงที่ขา S ไบอสั กลบั ท่ีขา G และขา D
9. ขอ้ ใดคือการจ่ายไบอสั ใหด้ ีพลีชน่ั มอส-เฟตท่ีถูกตอ้ ง
ก. ไบอสั ตรงท่ีขา G และขา S ไบอสั กลบั ท่ีขา D
ข. ไบอสั ตรงท่ีขา G และขา D ไบอสั กลบั ที่ขา S
ค. ไบอสั ตรงที่ขา D ไบอสั กลบั ที่ขา G และขา S
ง. ไบอสั ตรงท่ีขา S ไบอสั กลบั ที่ขา G และขา D
10. ขอ้ ใดคือการจ่ายไบอสั ใหเ้ อนฮานซ์เมนทม์ อส-เฟตท่ีถูกตอ้ ง
ก. ไบอสั ตรงที่ขา G และขา S ไบอสั กลบั ที่ขา D
ข. ไบอสั ตรงท่ีขา G และขา D ไบอสั กลบั ที่ขา S
ค. ไบอสั ตรงที่ขา D ไบอสั กลบั ท่ีขา G และขา S
ง. ไบอสั ตรงท่ีขา S ไบอสั กลบั ท่ีขา G และขา D
11. ขอ้ ใดคือสัญลกั ษณ์ของดีพลีชนั่ มอส-เฟตชนิด N - แชนแนล
ก. ข. ค. ง.
12. ขอ้ ใดคือสัญลกั ษณ์ของเอนฮานซ์เมนทม์ อส-เฟตชนิด P - แชนแนล
ก. ข. ค. ง.
13. วงจรขยายสัญญาณชนิดใดของเฟตที่สัญญาณอินพุตตา่ งเฟสจากสญั ญาณเอาตพ์ ุต 180 องศา
ก. เกทร่วม
ข. ซอสร่วม
ค. เดรนร่วม
ง. ซบั สเตรทร่วม
14. วงจรขยายสัญญาณชนิดใดของเฟตท่ีนาไปใชก้ บั วงจรขยายความถ่ีสูงไดด้ ี
ก. เกทร่วม
ข. ซอสร่วม
ค. เดรนร่วม
ง. ซบั สเตรทร่วม
15. วงจรขยายสัญญาณชนิดใดของเฟตที่นาไปใชก้ บั วงจรขยายเสียงและขยายกาลงั
ก. เกทร่วม
ข. ซอสร่วม
ค. เดรนร่วม
ง. ซบั สเตรทร่วม
ตอนที่ 3 จากโจทยจ์ งอธิบายใหไ้ ดค้ วามหมายที่สมบูรณ์
1. การจดั วงจรร่วมของทรานซิสเตอร์ประกอบดว้ ยก่ีแบบอะไรบา้ ง
2. จงอธิบายคา่ พารามิเตอร์ท่ีกาหนดใหต้ ่อไปน้ี II, IC, EC, EO, ZI, ZO
3. จงอธิบายการทางานของวงจรเบสร่วมและการนาไปใชง้ านของวงจรเบสร่วม
4. จงอธิบายการทางานของวงจรคอลเลคเตอร์ร่วมและการนาไปใชง้ านของวงจรคอลเลคเตอร์ร่วม
5. จงอธิบายการทางานของวงจรอิมิตเตอร์ร่วมและการนาไปใชง้ านของวงจรอิมิตเตอร์ร่วม
6. วธิ ีจา่ ยไบอสั ใหก้ บั ทรานซิสเตอร์มีกี่แบบ อะไรบา้ ง และวธิ ีใดที่ดีท่ีสุด เพราะอะไร
7. จงอธิบายการจ่ายไบอสั ใหก้ บั เจ-เฟต
8. จงอธิบายการจา่ ยไบอสั ใหก้ บั ดีพลีชนั่ มอส-เฟต
9. จงอธิบายการจา่ ยไบอสั ใหก้ บั เอนฮานซ์เมนทม์ อส-เฟต
10. จงบอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของเพาเวอร์มอส-เฟต
แบบประเมินผลการนาเสนอผลงาน
ชื่อกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................
รายช่ือสมาชิก
1……………………………………เลขที่……. 2……………………………………เลขที่…….
3……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขที่…….
ที่ รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเห็น
32 1
1 เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจน (ความรู้เกี่ยวกบั เน้ือหา ความถกู ตอ้ ง
ปฏิภาณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ )
2 รูปแบบการนาเสนอ
3 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
4 บุคลิกลกั ษณะ กิริยา ท่าทางในการพดู น้าเสียง ซ่ึงทาใหผ้ ูฟ้ ังมีความ
สนใจ
รวม
ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
1. เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจนถูกตอ้ ง
3 คะแนน = มสี าระสาคญั ครบถว้ นถูกตอ้ ง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ครบถว้ น แต่ตรงตามจุดประสงค์
1 คะแนน = สาระสาคญั ไมถ่ ูกตอ้ ง ไมต่ รงตามจุดประสงค์
2. รูปแบบการนาเสนอ
3 คะแนน = มีรูปแบบการนาเสนอท่ีเหมาะสม มีการใชเ้ ทคนิคที่แปลกใหม่ ใชส้ ่ือและเทคโนโลยี
ประกอบการ นาเสนอที่น่าสนใจ นาวสั ดุในทอ้ งถิ่นมาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งคุม้ ค่าและประหยดั
2 คะแนน = มีเทคนิคการนาเสนอท่แี ปลกใหม่ ใชส้ ื่อและเทคโนโลยปี ระกอบการนาเสนอท่ีน่าสน ใจ แต่
ขาดการประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถิ่น
1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไม่เหมาะสม และไม่น่าสนใจ
3. การมสี ่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมบี ทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีบทบาทและมสี ่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมบี ทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
4. ความสนใจของผฟู้ ัง
3 คะแนน = ผฟู้ ังมากกวา่ ร้อยละ 90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
2 คะแนน = ผฟู้ ังร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื
1 คะแนน = ผฟู้ ังนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื
แบบประเมนิ กระบวนการทางาน
ชื่อกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................
รายช่ือสมาชกิ 2……………………………………เลขท่ี…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขท่ี…….
ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเห็น
1 การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ท่ีรับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม
3 การปฏิบตั หิ นา้ ท่ีที่ไดร้ บั มอบหมาย
4 การประเมินผลและปรบั ปรุงงาน
รวม
ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
วนั ที่…………เดือน……………………..พ.ศ…………...
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
1. การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายการทางานอยา่ งชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญม่ ีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
2. การมอบหมายหนา้ ท่ีรับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ วั่ ถึง และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจดั เตรียมสถานท่ี ส่ือ /
อปุ กรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ วั่ ถึง แตไ่ ม่ตรงตามความสามารถ และมีส่ือ / อุปกรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง แตข่ าด
การจดั เตรียมสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทว่ั ถึงและมีสื่อ / อปุ กรณ์ไม่เพยี งพอ
3. การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีที่ไดร้ ับมอบหมาย
3 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย และตามเวลาที่กาหนด
2 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย แตช่ า้ กวา่ เวลาที่กาหนด
1 คะแนน = ทางานไมส่ าเร็จตามเป้าหมาย
4. การประเมินผลและปรับปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนร่วมปรึกษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็ นระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ แตไ่ ม่ปรับปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมไมม่ ีส่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรุงงาน
บนั ทึกหลงั การสอน
บทที่ 3 การจัดไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง
ผลการใช้แผนการเรียนรู้
1. เน้ือหาสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
2. สามารถนาไปใชป้ ฏิบตั ิการสอนไดค้ รบตามกระบวนการเรียนการสอน
3. ส่ือการสอนเหมาะสมดี
ผลการเรียนของนักเรียน
1.นกั ศึกษาส่วนใหญ่มีความสนใจใฝ่ รู้ เขา้ ใจในบทเรียน อภิปรายตอบคาถามในกลุ่ม และร่วมกนั
ปฏิบตั ิใบงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย
2.นกั ศึกษากระตือรือร้นและรับผดิ ชอบในการทางานกลุ่มเพอ่ื ใหง้ านสาเร็จทนั เวลาที่กาหน
ผลการสอนของครู
1. สอนเน้ือหาไดค้ รบตามหลกั สูตร
2. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเน้ือหาการสอนทาใหผ้ สู้ อนสอนไดอ้ ยา่ งมนั่ ใจ
3. สอนไดท้ นั ตามเวลาที่กาหนด
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี
แผนการจดั การเรียนรู้ บทที่ 4
ช่ือวชิ า เครื่องเสียง สอนสปั ดาหท์ ี่ 6
ช่ือหน่วย การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง คาบรวม 24
ช่ือเรื่อง การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง จานวนคาบ 4
หัวข้อเร่ือง
1. กราฟและเส้นโหลดไลน์
2. วงจรขยายคลาส-เอ
3. วงจรขยายคลาส-บี
4. วงจรขยายคลาส-เอบี
5. วงจรขยายคลาส-ซี
สาระสาคญั
การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียงหรือการจดั คลาสการขยาย สามารถจดั ไดต้ ามการกาหนดจุดการทางาน
ของวงจรขยาย ซ่ึงจุดการทางานที่ต่างกันจะมีผลให้การขยายสัญญาณต่างกันด้วยจุดการทางานของ
ทรานซิสเตอร์น้ีสามารถ ไปจดั เป็ นคลาสการขยายได้ 4 คลาส ได้แก่คลาส-เอ, คลาส-บี, คลาส-เอบี และ
คลาส-ซี ซ่ึงแต่ละคลาสมีขอ้ ดีที่แตกตา่ งกนั การนาไปใชง้ านกแ็ ตกตา่ งกนั ไปดว้ ย
สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย
- จดั วงจรขยายสัญญาณเสียง
คาศัพท์สาคญั
จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้
จุดประสงค์ทวั่ ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. เพอื่ ใหม้ ีความรู้เกี่ยวกบั การหาเส้นโหลดไลน์ (ด้านความรู้)
2. เพอ่ื ใหม้ ีทกั ษะในการเขียนจุดการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส-บี (ด้านทักษะ)
3. เพือ่ ใหม้ ีเจตคติที่ดีในการแสดงวธิ ีการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส –ซี (ด้านจิตพิสัย)
4. เพื่อสรุป การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/
บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง)
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. อธิบายการหาเส้นโหลดไลน์ได้ (ด้านความรู้)
2. บอกจุดการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส-เอได้ (ด้านความรู้)
3. เขียนจุดการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส-บีได้ (ด้านทักษะ)
4. แยกแยะจุดการทางานของวงจรขยายคลาสเอบีได้ (ด้านทักษะ)
5. แสดงวธิ ีการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส –ซีได้ (ด้านจิตพิสัย)
6. สรุป การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการ
เศรษฐกิจพอเพียง)
เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้
• ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี
การขยายสญั ญาณเสียงใหม้ ีความแรงหรือความดงั มากข้ึนโดยไม่ผิดเพ้ียนถือเป็ นเรื่องสาคญั ของเครื่อง
ขยายเสียงโดยสิ่งน้ีคือหนา้ ที่หลกั ของเครื่องขยายเสียง เนื่องจากเคร่ืองขยายเสียงน้นั ตอ้ งรับสัญญาณเสียงมาจาก
แหล่งกาเนิดต่าง ๆ ความตอ้ งการระดับความดงั ก็ย่อมที่จะแตกต่างกันไปด้วยทาให้ตอ้ งมีการจดั วงจรขยาย
สญั ญาณเสียงลกั ษณะการจดั วงจรขยายเสียงแบ่งออกเป็ นคลาส (Class) ต่าง ๆ การจดั คลาสการขยายเสียงจะจดั
ไดต้ ามการกาหนดจุดทางาน (Operation Point) ของวงจรขยายในแต่ละคลาสน้นั จะมีจุดการทางานที่ต่างกนั ไป
ลกั ษณะการทางานก็แตกต่างกนั ไปดว้ ยดงั น้นั การเลือกใชง้ านคลาสใดตอ้ งเลือกใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมจึงจะทาให้
การขยายเสียงมีความสมบูรณ์คลาสของวงจรขยายเสียงมีด้วยกัน 4 คลาสคือ คลาส A, คลาส B, คลาส AB,
คลาส C ก่อนท่ีจะกล่าวถึงคลาสการขยายเพ่อื ใหเ้ กิดความเขา้ ใจมากยงิ่ ข้ึนถึงจุดการทางานของวงจรขยาย
เราจะตอ้ งทราบถึงกราฟและเส้นโหลดไลน์ (Load Line) เสียก่อน
4.1 กราฟและเส้นโหลดไลน์
จากบทที่ 3 วงจรขยายสามารถจดั วงจรร่วม (Common) ไดห้ ลายแบบในการอธิบายถึงกราฟและเส้น
โหลดไลน์น้นั จะขอกล่าวเพียงวงจรร่วมเดียวเท่าน้นั คือ วงจรอิมิตเตอร์ร่วมเน่ืองจากเป็ นวงจรที่นาไปใชง้ านได้
กวา้ งขวางท่ีสุด
จากรูปท่ี 4.1 เป็ นการจดั วงจรขยายแบบอิมิตเตอร์ร่วมจากรูปที่ 4.1 แรงดนั ท่ีตกคร่อมขาB และขา E คือ
VBE มีค่าแรงดนั ตกคร่อมประมาณ 0.7 โวลตแ์ รงดนั ท่ีตกคร่อมระหวา่ งขา C และขา E คือ VCE แรงดนั VCE
จะเปลี่ยนแปลงไปตามการนากระแสของทรานซิสเตอร์ เม่ือทรานซิสเตอร์นากระแสมากหรือทางานหนัก
แรงดัน VCE จะน้อย ทรานซิสเตอร์นากระแสน้อยหรื อทางานน้อยแรงดัน VCE จะมาก เม่ือกล่าวถึง
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง VCE กบั IC แลว้ จากกราฟ
จากรูปที่ 4.2 เป็ นแสดงกราฟคุณสมบตั ิของวงจรขยายแบบอิมิตเตอร์ร่วมกราฟในแนวต้งั จะแสดงค่า
IC และกราฟในแนวนอนจะแสดงค่าแรงดนั VCE และกราฟท่ีอยู่ในแนวนอนท่ีเล่ือนข้ึนอีก หน่ึงกราฟแต่มี
หลายเส้นคือ กราฟแสดงการไหลของกระแส IB โดยค่ากระแสของ IB1 น้นั จะมีค่านอ้ ยท่ีสุดส่วน IB5 จะมีค่า
มากท่ีสุด ความสัมพนั ธ์ระหว่าง IC, VCE และ IB สามารถกล่าวไดด้ งั น้ีคือ เม่ือIB ไหลน้อยทรานซิสเตอร์ก็
ทางานนอ้ ยทาให้กระแส IC นอ้ ยและค่าแรงดนั VCE มีคา่ มาก ถา้ IB ไหลมากทรานซิสเตอร์ก็ทางานหนกั ทาให้
กระแส IC มากและค่าแรงดนั VCE ก็จะลดลงต่าหรือมีค่าน้อยน่ันเอง เม่ือพิจารณาจากรูปท่ี 4.4 เป็ นวงจร
เอาตพ์ ตุ ของวงจรขยายอิมิตเตอร์ร่วมทาใหเ้ ราสามารถเขียนสมการแรงดนั เอาตพ์ ตุ ไดด้ งั น้ี
4.2 วงจรขยายคลาส-เอ (Class - A Amplifier)
วงจรขยายคลาส-เอ เป็ นวงจรท่ีมีจุดทางานอยู่ในช่วงแอกทีฟ (Active) กล่าวคือจะมีจุดทางานอยู่ที่จุด
ก่ึงกลางของเส้นโหลดการทางานของวงจรขยายคลาส-เอ ถึงแมไ้ มม่ ีสัญญาณไฟสลบั
ป้อนเขา้ มาทางอินพุตก็จะมีกระแส IB ไหลตลอดเวลาเป็ นผลทาให้เกิดกระแส IC ไหลตลอดเวลาเช่นเดียวกนั
วงจรขยายแบบน้ีจะขยายสญั ญาณท้งั ช่วงบวกและช่วงลบซ่ึงจะแสดงให้เห็นในรูปที่ 4.8ในรูปที่ 4.8 เป็นกราฟท่ี
แสดงจุดทางานของวงจรขยายคลาส-เอจะเห็นไดว้ ่าจุดทางานจะอยูก่ ่ึงกลางเส้นโหลดหรือเรียกไดอ้ ีกอยา่ งคือ
ทางานท่ีก่ึงกลางยา่ นลิเนียร์ (ยา่ นลิเนียร์คือยา่ นการทางานของทรานซิสเตอร์ที่ทางานเปล่ียนแปลงเพ่ิมข้ึนหรือ
ลดลงเป็ นอตั ราส่วนกบั กระแส IB ท่ีเปลี่ยนแปลงอย่างสอดคลอ้ งและสัมพนั ธ์ดงั ที่ไดก้ ล่าวมาแลว้ ในช่วงตน้ )
สัญญาณท่ีถูกป้อนเขา้ มาจะถูกขยายท้งั ช่วงบวกและช่วงลบเท่า ๆ กนั อตั ราการขยายสัญญาณของวงจรน้ีจะไม่
สูงนักเพราะหากให้อตั ราการขยายสูงเกินไปจะมีผลทาให้ทรานซิสเตอร์เกิดการอิ่มตวั และคตั ออฟได้ เมื่อ
ทรานซิสเตอร์เกิดการอิ่มตวั และคตั ออฟสัญญาณที่ถูกขยายจะโดนขลิบทาใหเ้ กิดความผดิ เพ้ียนซ่ึงเป็ นส่ิงที่เรา
ไมต่ อ้ งการ
วงจรขยายสัญญาณคลาส-เอ มีขอ้ ดีตรงที่รูปสัญญาณที่ออกเอาตพ์ ตุ จะเหมือนกบั สญั ญาณที่อินพตุ โดยไม่
ผดิ เพ้ยี น ขอ้ เสียของวงจรขยายสัญญาณคลาส-เอคือสิ้นเปลืองกระแสเพราะทรานซิสเตอร์ตอ้ งทางานตลอดเวลา
และอตั ราการขยายสัญญาณต่า ขอ้ แนะนาในการออกแบบ เราควรออกแบบให้แรงคล่ืนระหว่างคอลเลคเต
อรก์ ำับอิมิตเตอร์ไดร้ ับ ไบอสั เท่ากบั คร่ึงหน่ึงของแหล่งจ่าย จึงจะทาให้สัญญาณที่ไดข้ ยายท้งั ซีกบวกและซี
กลบเท่า ๆ กนั การนาไปใช้งานนิยมนาไปใช้กับวงจรขยายสัญญาณท่ีไม่ตอ้ งการอตั ราการขยายสูงนัก เช่น
ภาคขยายความถ่ีวทิ ยุ (RF) ท้งั ของวทิ ยแุ ละโทรทศั นห์ รือภาคขยาย IF ภาคขยายวดิ ีโอเอาตพ์ ตุ และปรีแอมป์
4.3 วงจรขยายคลาส-บี (Class-B Amplifier)
วงจรขยายคลาส-บีเป็ นวงจรขยายสัญญาณที่กาหนดจุดทางานหรือ Q Point ไวท้ ่ีตาแหน่งคทั ออฟ (Cut
Off) พอดี การจ่ายไบอสั ให้กบั วงจรขยายชนิดน้ีจะจ่ายไบอสั ให้เฉพาะขาอิมิตเตอร์และขาคอลเลคเตอร์เท่าน้นั
จะไม่จ่ายไบอสั ให้ขาเบสเลยมีผลทาให้ทรานซิสเตอร์ไม่นากระแสในกรณีท่ีไม่มีสัญญาณอินพุตป้อนเขา้ มา
ทรานซิสเตอร์จะนากระแสกต็ ่อเมื่อป้อนสัญญาณเขา้ มาทางอินพุตและตอ้ งเป็นสญั ญาณอินพตุ ที่ทาใหข้ า B ของ
ทรานซิสเตอร์ไดร้ ับไบอสั ตรงทรานซิสเตอร์ โดยทรานซิสเตอร์ชนิด PNP ตอ้ งจ่ายสัญญาณอินพุตท่ีเป็ นลบให้
B ของทรานซิสเตอร์ทรานซิสเตอร์จึงจะนากระแส ทรานซิสเตอร์ชนิด NPN ตอ้ งจ่ายสัญญาณอินพุตที่เป็ นบวก
ให้ B ของทรานซิสเตอร์ทรานซิสเตอร์จึงจะนากระแส
รูปที่ 4.9 จะแสดงจุดการทางานของวงจรขยายคลาสบีจะเห็นไดว้ า่ จุดการทางานของวงจรน้ีจะอยู่ต่าสุด
หรือที่จุดคทั ออฟนนั่ เองจึงทาให้สัญญาณท่ีขยายจะมีซีกเดียวข้ึนอยู่กบั ชนิดของทรานซิสเตอร์ดงั ท่ีกล่าวผ่าน
มาแลว้ ในรูปท่ี 4.10 เป็ นรูปสัญญาณที่ถูกขยายดว้ ยวงจรขยายพุช-พูลจดั ไบอสั แบบคลาส-บีจะเห็นไดว้ ่าเกิด
ความผิดเพ้ียนระหวา่ งรอยต่อ ความผิดเพ้ียนน้ีสามารถนาไปใช้กบั วงจรพวกวงจรสวิทช่ิงโดยป้อนสัญญาณ
พลั ส์ควบคุมแต่เรายงั ไม่สามารถนาวงจรขยายคลาสน้ีไปใชง้ านจริงกบั วงจรขยายเสียงไดจ้ ึงตอ้ งมีการจดั ไบอสั
ใหมเ่ รียกวา่ คลาส-เอบี
ขอ้ ดีของวงจรขยายคลาส-บีคือไม่สิ้นเปลืองกระแส ขณะที่ไม่มีสัญญาณอินพตุ ป้อนเขา้ มา
ขอ้ เสียของวงจรขยายคลาส-บีคือรูปสัญญาณที่ถูกขยายเกิดความเพ้ียน (Distortion) ถึงแมจ้ ะต่อวงจรแบบ
พุช-พูลหรือวงจรคอมพลีเมนตารี
4.4 วงจรขยายคลาส-เอบี (Class-AB Amplifier)
วงจรขยายคลาส-เอบี (Class-AB Amplifier) เป็ นวงจรขยายท่ีมีจุดการทางานอยสู่ ูงกวา่ ตาแหน่งคทั ออฟ
ข้ึนมาเล็กน้อย การกาหนดจุดการที่งานที่ตาแหน่งน้ีเพ่ือแก้ไขจุดเสียของวงจรคลาส-บี ที่เกิดความผิดเพ้ียน
ระหวา่ งรอยต่อ (Distortion) การแกไ้ ขความผดิ เพ้ียนระหวา่ งรอยต่อ(Distortion) น้ีสามารถทาไดโ้ ดยจ่ายไบอสั
ตรงใหท้ รานซิสเตอร์ใหข้ า B เล็กนอ้ ยเพ่อื ใหท้ รานซิสเตอร์พร้อมท่ีจะนากระแสตลอดเวลา
จากรูปท่ี 4.11 เป็ นกราฟแสดงจุดทางานของวงจรขยายคลาส-เอบีจะเห็นได้ว่าจุดการทางานหรือ Q
Point ของวงจรน้ีอยสู่ ูงกวา่ จุดคตั ออฟข้ึนไปเล็กนอ้ ยทาใหท้ รานซิสเตอร์ขยายสัญญาณซีกใดซีกหน่ึงท้งั ซีกและ
ขยายสัญญาณซีกท่ีเหลืออยู่บางส่วนเม่ือนาไปต่อกบั วงจรขยายแบบพุช-พูลหรือคอมพลีเมนตารี่จะได้รูป
สัญญาณท่ี 4.11 สัญญาณท่ีไดน้ ้นั จะเป็ นสัญญาณท่ีความผดิ เพ้ียนระหวา่ งรอยต่อของสัญญาณหายไปดงั น้นั ใน
วงจรขยายเสียงท่ีตอ้ งการอตั ราขยายการขยายสูง ๆมกั จะนิยมต่อวงจรขยายแบบพุช-พูล หรือคอมพลิเมนตารี่
โดยจดั คลาสการขยายแบบเอบี การนาไปใชง้ านน้นั จะใชเ้ ป็ นวงจรขยายเสียงในเพาเวอร์แอมป์ หรือภาคขยาย
กาลงั และยงั นาไปใชใ้ นวงจรขยายสญั ญาณต่าง ๆ ท่ีตอ้ งการอตั ราการขยายสูง ๆ ดว้ ย
4.5 วงจรขยายคลาส-ซี (Class-C Amplifier)
วงจรขยายคลาส-ซี เป็ นวงจรที่มีจุดทางานอยทู่ ี่ตาแหน่งต่ากวา่ จุดคตั ออฟในการจดั วงจรน้นั สามารถทา
ไดโ้ ดยการให้ไบอสั กลบั ท่ีขา B ของทรานซิสเตอร์เล็กน้อยส่วนขาอื่นก็ให้ไบอสั ตามปกติเม่ือมีสัญญาณถูก
ป้อนเขา้ มาท่ีอินพุตสัญญาณเสียงท่ีเขา้ มามีระดบั ความแรงมากกวา่ แรงดนั กลบั จนสามารถทาให้ทรานซิสเตอร์
ขา B ไดร้ ับไบอสั ตรงที่ขา B ทรานซิสเตอร์ก็จะทาการขยายสัญญาณเสียงบางส่วนเพียงซีกใดซีกหน่ึงเท่าน้นั
กรณีที่วงจรขยายคลาส-ซีจะไม่ทางานคือสญั ญาณที่ป้อนเขา้ มามีระดบั สัญญาณท่ีต่ากวา่ ที่จะให้ไบอสั ตรงกบั ขา
เบสได,้ สัญญาณท่ีป้อนเขา้ มาผิดข้วั หรือไมม่ ีสัญญาณป้อนเขา้ มาทางอินพุตเลยท้งั 3 เหตุผลจะทาให้วงจรขยาย
คลาส-ซี จะไม่ทางาน
วงจรขยายแบบคลาส-ซี มีขอ้ ดีตรงท่ีไม่สิ้นเปลืองกระแสและให้ประสิทธิภาพการทางานดา้ นการขยาย
กาลงั มากที่สุดในเครื่องส่ง วงจรกาเนิดสัญญาณความถ่ีสูง วงจรแยกซิงค์ในเครื่องรับโทรทศั น์ ขอ้ เสียของ
วงจรขยายคลาส-ซีคือสัญญาณท่ีขยายมีความผดิ เพ้ยี นมากไม่เหมาะกบั การนามาใชก้ บั วงจรขยายเสียง
• ด้านทกั ษะ(ปฏบิ ตั )ิ
1. แบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 4
2. ใบงานท่ี 4
• ด้านคุณธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง (จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่
6)
1. สรุป การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้
ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน
1. ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน ( 15 นาที ) 1. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน ( 15 นาที )
1. ผูส้ อนแจง้ วตั ถุประสงค์ของการเรียน บทท่ี 1. ผเู้ รียนทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั วตั ถุประสงคข์ อง
4 เร่ือง การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง การเรียนบทท่ี 4 เร่ือง การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง
2. ข้นั ให้ความรู้ ( 120 นาที ) 2. ข้นั ให้ความรู้ (120 นาที )
1. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนเปิ ดเอกสารประกอบการ 1. ผูเ้ รียนศึกษาเอกสารประกอบการสอน วิชา
สอนวชิ า วงจรไฟฟ้ากระแสสลบั บทท่ี 4 เร่ือง การ วงจรไฟฟ้ ากระแสสลับ บทท่ี 4 เรื่ อง การจัด
จดั วงจรขยายสัญญาณเสียงพร้อมอธิบายเน้ือหาทีละ วงจรขยายสญั ญาณเสียง พร้อมอธิบายเน้ือหาทีละส่วน
ส่วน 2. ผเู้ รียนฟังอธิบายความรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจาก
2. ผสู้ อนอธิบายความรู้เพ่ิมเติมนอกเหนือจาก เอกสารประกอบการสอนวชิ า เครื่องเสียง
เอกสารประกอบการสอนวชิ า เครื่องเสียง
3. ผสู้ อนเปิ ดโอกาสให้ผเู้ รียนซกั ถามขอ้ สงสัย 3. ผเู้ รียนซกั ถามขอ้ สงสยั ท่ีเกิดข้ึน
ที่เกิดข้ึนระหวา่ งการเรียน และตอบขอ้ ซกั ถาม
3. ข้นั ประยกุ ต์ใช้ ( 60 นาที ) 3. ข้นั ประยกุ ต์ใช้ ( 60 นาที )
7. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาแบบประเมินหลังการ 3. ผเู้ รียนทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 4
เรียนบทท่ี 4 4. ผเู้ รียนทาใบงานที่ 4 หนา้ ที่ 240-244
8. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาใบงานที่ 4 หน้าท่ี 240- 5. ผเู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มูลจากอินเทอร์เน็ต
244
9. ผู้ส อ น ใ ห้ ผู้เรี ย น สื บ ค้ น ข้ อ มู ล จ า ก
อินเทอร์เน็ต
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้
ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน
4. ข้นั สรุปและประเมินผล ( 45 นาที ) 4. ข้นั สรุปและประเมินผล ( 45 นาที )
5. ผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาท่ีได้ 1. ผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาท่ีได้เรียนให้มีความ
เรียนใหม้ ีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั เขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั
6. ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนศึกษาเพ่มิ เติมนอกหอ้ งเรียน 2. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนศึกษาเพ่ิมเติมนอกห้องเรียน
ดว้ ยเอกสารประกอบการสอนที่จดั ทาข้ึน ดว้ ยเอกสารประกอบการสอนท่ีจดั ทาข้ึน
(บรรลจุ ดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-6) (บรรลจุ ดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-6)
(รวม 240 นาที หรือ 4 คาบเรียน)
งานท่ีมอบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมนิ ผล
ก่อนเรียน
5. จดั เตรียมเอกสาร สื่อการเรียนการสอนบทที่4
6. ทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั จุดประสงคก์ ารเรียนของบทท่ี 4 และใหค้ วามร่วมมือในการทากิจกรรมใน
บทที่ 4
ขณะเรียน
5. ทาแบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 4
6. ร่วมกนั สรุป “การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง”
หลงั เรียน
3. ทาใบงานท่ี 4
ผลงาน/ชิน้ งาน/ความสาเร็จของผ้เู รียน
แบบประเมินหลงั การเรียนบทที่ 4
ใบงานท่ี 4
ส่ือการเรียนการสอน/การเรียนรู้
สื่อส่ิงพมิ พ์
6. เอกสารประกอบการสอนวิชา เครื่องเสียง (ใช้ประกอบการเรียนการสอนจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรมขอ้ ท่ี 1-6)
7. แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 4 ข้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 1
8. ใบงานท่ี 4
ส่ือโสตทศั น์ (ถ้ามี)
5. เครื่องไมโครคอมพวิ เตอร์
6. PowerPoint เร่ือง การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง
สื่อของจริง
3. การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง (ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมขอ้ ที่
1-6)
แหล่งการเรียนรู้
ในสถานศึกษา
1. หอ้ งสมุดวทิ ยาลยั เทคนิคสมุทรสาคร
2. หอ้ งปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ ศึกษาหาขอ้ มูลทางอินเทอร์เน็ต
นอกสถานศึกษา
ผปู้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถิ่นจงั หวดั สมุทรสาคร
การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กบั วชิ าอ่ืน
7. บูรณาการกบั วชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
8. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าอิเลก็ ทรอนิกส์
9. บูรณาการกบั วชิ าไฟฟ้าเบ้ืองตน้
การประเมนิ ผลการเรียนรู้
หลกั การประเมนิ ผลการเรียนรู้
ก่อนเรียน
3. ความรู้ความเขา้ ใจก่อนการเรียนการสอน
ขณะเรียน
5. ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนรู้บทที่ 4
6. สงั เกตการทางาน
หลงั เรียน
3. ตรวจใบงานที่ 4
คาถาม
ผลงาน/ชิน้ งาน/ผลสาเร็จของผ้เู รียน
ตรวจแบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 4
สมรรถนะท่ีพงึ ประสงค์
ผเู้ รียนสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง
9. วเิ คราะห์และตีความหมาย
10. ต้งั คาถาม
11. อภิปรายแสดงความคิดเห็นระดมสมอง
12. การประยกุ ตค์ วามรู้สู่งานอาชีพ
สมรรถนะการปฏบิ ตั งิ านอาชีพ
3. การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง
สมรรถนะการขยายผล
ความสอดคล้อง
จากการเรียนเร่ือง การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง ทาใหผ้ ูเ้ รียนมีความรู้เพิ่มเกี่ยวกบั กราฟและเส้นโหลด
ไลน์ วงจรขยายคลาส-เอ วงจรขยายคลาส-บี วงจรขยายคลาส-เอบี วงจรขยายคลาส-ซี และสามารถนามาปรับ
ใชไ้ ด้
รายละเอยี ดการ ประเมนิ ผลการเรียนรู้
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 1 อธิบายการหาเส้นโหลดไลน์ได้
7. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
8. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
9. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : อธิบายการหาเส้นโหลดไลนไ์ ด้ จะได้ 2 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 2 บอกจุดการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส-เอได้
7. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
8. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
9. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บอกจุดการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส-เอได้ จะได้ 1
คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 3 เขียนจุดการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส-บีได้
7. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
8. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
9. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : เขียนจุดการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส-บีได้ จะได้
1 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 4 แยกแยะจุดการทางานของวงจรขยายคลาสเอบีได้
4. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
5. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
6. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : แยกแยะจุดการทางานของวงจรขยายคลาสเอบีได้ จะได้ 2 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 5 แสดงวธิ ีการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส –ซีได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : แสดงวธิ ีการทางานและคุณสมบตั ิของวงจรขยายคลาส –ซีได้ จะได้
2 คะแนน
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 6 สรุป การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : สรุป การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม จะ
ได้ 2 คะแนน
แบบประเมนิ หลงั การเรียนบทที่ 4
ตอนที่ 1 จงเติมคาในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง
1. วงจรขยายคลาส-เอ เป็นวงจรขยายที่มีจุดทางานอยใู่ นช่วง .................................................
2. วงจรขยายคลาส-เอ น้นั ทรานซิสเตอร์จะทางานตลอดเวลา และอตั ราขยาย……………............
3. วงจรขยาย………….............................เป็นวงจรที่กาหนดจุดทางานอยทู่ ่ีตาแหน่งคตั ออฟ
4. วงจรขยายคลาส-เอบี จดั ไบอสั ใหส้ ูงกวา่ จุด………….............................เลก็ นอ้ ย เพ่ือแกไ้ ข
ขอ้ เสียของคลาส-บี
5. วงจรขยายคลาส-ซี ใหป้ ระสิทธิภาพการทางานดา้ น…………………..................ในเคร่ืองส่ง
6. วงจรขยายคลาส-เอ มีมุมการทางาน................................................องศา
7. วงจรขยายคลาส-เอ ถึงจะไมม่ ีสญั ญาณไฟสลบั เขา้ มาทางอินพตุ กจ็ ะมีกระแส............................
ไหลตลอดเวลา
8. วงจรขยายเสียงที่ตอ้ งการอตั ราขยายของสัญญาณสูงมาก ๆ มกั นิยมต่อวงจรแบบ.................
.....................................โดยจดั ไบอสั แบบคลาส-เอบี
9. วงจรขยายคลาส-ซี นิยมนาไปใชก้ บั สัญญาณที่มีความถี่แบบ.............................................
10. วงจรขยายคลาส......................................เป็นวงจรขยายที่มีความผดิ เพ้ยี นของสญั ญาณต่า
ตอนท่ี 2 กากบาทลงหนา้ คาตอบที่ถูกตอ้ งท่ีสุดเพยี งขอ้ เดียว
1. จากกราฟคุณสมบตั ิของวงจรอิมิตเตอร์ร่วมขอ้ ใดถูกตอ้ งท่ีสุด
ก. IB เพม่ิ , IC เพม่ิ , VCE เพิม่
ข. IB เพม่ิ , IC ลด, VCE เพมิ่
ค. IB เพม่ิ , IC เพมิ่ , VCE ลด
ง. IB ลด, IC เพ่มิ , VCE ลด
2. การหาเส้นโหลดของกราฟคุณสมบตั ิของทรานซิสเตอร์ตอ้ งกาหนดจุดทางานของทรานซิสเตอร์สภาวะ
ใดบา้ ง
ก. อิ่มตวั , คตั อิน
ข. อ่ิมตวั , คตั ออฟ
ค. ยา่ นส้นตรง, อ่ิมตวั
ง. ยา่ นเส้นตรง, คตั ออฟ
3. จุด Q ที่ไดจ้ ากกราฟคุณสมบตั ิคืออะไร
ก. จุดทางานของทรานซิสเตอร์ในวงจรน้นั
ข. จุดทางานของทรานซิสเตอร์ ณ ตาแหน่งน้นั
ค. จุดนากระแส IB ที่เปล่ียนแปลงทาใหก้ ระแส IC เปล่ียนแปลง
ง. จุดนากระแส IB ท่ีเปล่ียนแปลงทาใหแ้ รงดนั VCE เปลี่ยนแปลง
4. การจดั วงจรขยายในช่วงแอกทีฟเป็นการจดั วงจรขยายในคลาสใด
ก. A
ข. B
ค. AB
ง. C
5. การจดั ไบอสั ใหว้ งจรขยายท่ีจุดคตั ออฟเป็นการจดั วงจรขยายในคลาสใด
ก. A
ข. B
ค. AB
ง. C
6. วงจรขยายคลาสใดที่การจดั ไบอสั ใหว้ งจรขยายท่ีขา B เป็นไบอสั กลบั
ก. A
ข. B
ค. AB
ง. C
7. วงจรยายเสียงที่จดั วงจรแบบคอมพลีเมนตาร่ี ถูกจดั ไบอสั แบบใด
ก. A
ข. B
ค. AB
ง. C
8. วงจรขยายท่ีใหอ้ ตั ราขยายสูงที่สุด ถูกจดั ไบอสั แบบใด
ก. A
ข. B
ค. AB
ง. C
9. การจา่ ยไบอสั ใหว้ งจรขยายแบบคลาส A ไม่สามารถนาไปใชใ้ นวงจรใด
ก. ขยายกาลงั
ข. ขยาย RF
ค. ขยาย IF
ง. ปรีแอมป์
10. การจา่ ยไบอสั ใหว้ งจรทางานแบบคลาส C ไม่สามารถนาไปใชใ้ นวงจรใด
ก. วงจรกาเนิดสญั ญาณความถี่สูง
ข. วงจรขยายกาลงั ในเครื่องส่งวทิ ยุ
ค. วงจรกาเนิดสญั ญาณพลั ส์
ง. วงจรแยกซิงค์
11. การขยายเสียงท่ีเกิดการผดิ เพ้ียนระหวา่ งรอยต่อถูกจดั การขยายแบบคลาสใด
ก. A
ข. B
ค. AB
ง. C
12. วงจรขยายคลาสใดที่มีความผดิ เพ้ียนของสัญญาณมากที่สุด
ก. A
ข. B
ค. AB
ง. C
13. วงจรขยายคลาส-บี มีมุมการทางานเท่าไร
ก. 360 องศา
ข. 180 องศา
ค. ประมาณ 90 องศา
ง. ระหวา่ งคลาสเอและบี
14. “ไม่เกิดการสิ้นเปลืองของกระแส ขณะไม่มีสัญญาณอินพุตป้อนเขา้ มา” จากขอ้ ความดงั กล่าวคือขอ้ ดีของ
เคร่ืองขยายคลาสใด
ก. A
ข. B
ค. AB
ง. C
15. วงจรขยายคลาสใดที่นิยมนาไปใชใ้ นเครื่องขยายเสียงขนาดเล็ก
ก. A
ข. B
ค. AB
ง. C
ตอนท่ี 3 จากโจทยจ์ งอธิบายใหไ้ ดค้ วามหมายท่ีสมบูรณ์
1. การหาเส้นโหลดของวงจรตอ้ งกาหนดจุดทางานของวงจรทรานซิสเตอร์สภาวะใด?
2. จงอธิบายจุดการทางานของวงจรขยายคลาส-เอ
3. จงอธิบายจุดการทางานของวงจรขยายคลาส-บี
4. จงอธิบายจุดการทางานของวงจรขยายคลาส-เอบี
5. จงอธิบายจุดการทางานของวงจรขยายคลาส-ซี
6. จงบอกถึงขอ้ ดีและขอ้ เสีย พร้อมท้งั การนาไปใชง้ านของวงจรขยายคลาส-เอ
7. จงบอกถึงขอ้ ดีและขอ้ เสีย พร้อมท้งั การนาไปใชง้ านของวงจรขยายคลาส-บี
8. จงบอกถึงขอ้ ดีและขอ้ เสีย พร้อมท้งั การนาไปใชง้ านของวงจรขยายคลาส-เอบี
9. จงบอกถึงขอ้ ดีและขอ้ เสีย พร้อมท้งั การนาไปใชง้ านของวงจรขยายคลาส-ซี
10. จงเปรียบเทียบประสิทธิภาพ มุมการทางาน และความผดิ เพ้ียนของวงจรขยายคลาสตา่ ง ๆ
แบบประเมินผลการนาเสนอผลงาน
ชื่อกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................
รายชื่อสมาชิก
1……………………………………เลขท่ี……. 2……………………………………เลขที่…….
3……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขท่ี…….
ที่ รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเห็น
32 1
1 เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจน (ความรู้เก่ียวกบั เน้ือหา ความถกู ตอ้ ง
ปฏิภาณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ )
2 รูปแบบการนาเสนอ
3 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
4 บุคลิกลกั ษณะ กิริยา ท่าทางในการพดู น้าเสียง ซ่ึงทาใหผ้ ฟู้ ังมีความ
สนใจ
รวม
ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
1. เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจนถูกตอ้ ง
3 คะแนน = มีสาระสาคญั ครบถว้ นถูกตอ้ ง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ครบถว้ น แต่ตรงตามจุดประสงค์
1 คะแนน = สาระสาคญั ไมถ่ ูกตอ้ ง ไม่ตรงตามจุดประสงค์
2. รูปแบบการนาเสนอ
3 คะแนน = มีรูปแบบการนาเสนอที่เหมาะสม มีการใชเ้ ทคนิคท่ีแปลกใหม่ ใชส้ ่ือและเทคโนโลยี
ประกอบการ นาเสนอท่ีน่าสนใจ นาวสั ดุในทอ้ งถิ่นมาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งคุม้ ค่าและประหยดั
3 คะแนน = มีเทคนิคการนาเสนอทแ่ี ปลกใหม่ ใชส้ ื่อและเทคโนโลยปี ระกอบการนาเสนอท่ีน่าสน ใจ แต่
ขาดการประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถ่ิน
1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไม่เหมาะสม และไมน่ ่าสนใจ
3. การมสี ่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีบทบาทและมสี ่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมบี ทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
4. ความสนใจของผฟู้ ัง
3 คะแนน = ผฟู้ ังมากกวา่ ร้อยละ 90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
2 คะแนน = ผฟู้ ังร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื
1 คะแนน = ผฟู้ ังนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
แบบประเมนิ กระบวนการทางาน
ช่ือกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................
รายช่ือสมาชกิ 2……………………………………เลขท่ี…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขที่…….
ที่ รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เห็น
1 การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ที่รับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม
3 การปฏิบตั ิหนา้ ที่ที่ไดร้ ับมอบหมาย
4 การประเมินผลและปรบั ปรุงงาน
รวม
ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
วนั ที่…………เดือน……………………..พ.ศ…………...
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
1. การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายการทางานอยา่ งชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญม่ ีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
2. การหนา้ ที่รับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ วั่ ถึง และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจดั เตรียมสถานที่ ส่ือ /
อุปกรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง แต่ไมต่ รงตามความสามารถ และมีส่ือ / อุปกรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง แตข่ าด
การจดั เตรียมสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไมท่ ว่ั ถึงและมีสื่อ / อุปกรณ์ไม่เพยี งพอ
3. การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีที่ไดร้ ับมอบหมาย
3 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย และตามเวลาที่กาหนด
2 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย แตช่ า้ กวา่ เวลาท่ีกาหนด
1 คะแนน = ทางานไม่สาเร็จตามเป้าหมาย
4. การประเมินผลและปรับปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนร่วมปรึกษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็นระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ แตไ่ ม่ปรับปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมไม่มีส่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรุงงาน
บันทกึ หลงั การสอน
บทที่ 4 เรื่อง การจัดวงจรขยายสัญญาณเสียง
ผลการใช้แผนการสอน
4. เน้ือหาสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
5. กิจกรรมการสอนเหมาะสมกบั เน้ือหาและเวลาที่กาหนด
6. สื่อการสอนเหมาะสมดี
ผลการเรียนของนักเรียน
3. นกั ศึกษาส่วนใหญ่มีความเขา้ ใจในบทเรียน อภิปรายตอบคาถามในกลุ่ม และร่วมกนั ปฏิบตั ิ
ใบงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย
4. นกั ศึกษากระตือรือร้นและรับผดิ ชอบในการทางานกลุ่มเพ่ือใหง้ านสาเร็จทนั เวลาท่ีกาหนด
ผลการสอนของครู
4. สอนเน้ือหาไดค้ รบตามหลกั สูตร
5. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเน้ือหาการสอนทาใหผ้ สู้ อนสอนไดอ้ ยา่ งมนั่ ใจ
6. สอนทนั ตามเวลาที่กาหนด
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี
แผนการจดั การเรียนรู้ บทท่ี 5
ชื่อวชิ า เคร่ืองเสียง สอนสัปดาห์ที่ 7-8
ชื่อหน่วย การเช่ือมต่อสัญญาณ คาบรวม 32
ชื่อเร่ือง การเช่ือมต่อสัญญาณ จานวนคาบ 4
หัวข้อเรื่อง
1. การเช่ือมตอ่ สัญญาณโดยตรง
2. การเช่ือมตอ่ สัญญาณดว้ ยอาร์ซี
3. การเชื่อมตอ่ สัญญาณดว้ ยอิมพีแดนซ์
4. การเชื่อมต่อสญั ญาณดว้ ยหมอ้ แปลง
สาระสาคญั
วงจรขยายสัญญาณท่ีใชง้ านจริง ๆ น้นั ไม่ไดใ้ ชท้ รานซิสเตอร์เพียงตวั เดียวแลว้ ทางานไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์
แต่ประกอบไปดว้ ยทรานซิสเตอร์จานวนหลายตวั ดงั น้นั การการเช่ือมต่อสัญญาณจึงเป็ นสิ่งท่ีสาคญั มากอยา่ ง
หน่ึง การเชื่อมต่อสัญญาณจากทรานซิสเตอร์ตวั หน่ึงหรือชุดหน่ึงไปอีกทรานซิสเตอร์ตวั หน่ึงหรือชุดหน่ึง
สามารถทาไดโ้ ดยการเช่ือมต่อสัญญาณโดยตรง, การเช่ือมต่อดว้ ยอาร์ซี, การเชื่อมต่อดว้ ยอิมพีแดนซ์ และการ
เชื่อมต่อดว้ ยหมอ้ แปลง ซ่ึงการเช่ือมต่อสัญญาณแต่ละแบบน้นั จะมีขอ้ ดีและขอ้ เสียท่ีแตกต่างกนั การนาลกั ษณะ
การเช่ือมสัญญาณต่าง ๆ ไปใชง้ านตอ้ งศึกษาให้ทราบถึงคุณสมบตั ิว่าแต่ละวงจรเชื่อมต่อสัญญาณมีขอ้ ดีขอ้ เสีย
อยา่ งไร ควรนาไปใชก้ บั วงจรใด
สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย
- เชื่อมต่อสัญญาณ
คาศัพท์สาคญั
จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้
จุดประสงค์ทว่ั ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. เพ่ือใหม้ ีความรู้เกี่ยวกบั การเช่ือมต่อสญั ญาณโดยตรง (ด้านความรู้)
2. เพ่ือใหม้ ีทกั ษะในการเชื่อมต่อสัญญาณดว้ ยอิมพีแดนซ์ (ด้านทักษะ)
3. เพื่อใหม้ ีเจตคติท่ีดีในการจดั ลาดบั ขอ้ ดีและขอ้ เสียของการเชื่อมต่อสญั ญาณดว้ ยหมอ้ แปลง (ด้านจิต
พิสัย)
4. เพอ่ื สรุป การเช่ือมตอ่ สัญญาณ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณาการ
เศรษฐกิจพอเพยี ง)
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. อธิบายการเชื่อมตอ่ สัญญาณโดยตรงได้ (ด้านความรู้)
2. บอกขอ้ ดีและขอ้ เสียของการเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยอาร์ซีได้ (ด้านความรู้)
3. เชื่อมต่อสัญญาณดว้ ยอิมพีแดนซ์ได้ (ด้านทักษะ)
4. จดั ลาดบั ขอ้ ดีและขอ้ เสียของการเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยหมอ้ แปลงได้ (ด้านจิตพิสัย)
5. สรุป การเชื่อมต่อสญั ญาณ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการ
เศรษฐกิจพอเพยี ง)
เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้
• ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี
วงจรขยายสัญญาณที่ใช้งานจริง ๆ น้นั เราไม่ไดใ้ ชท้ รานซิสเตอร์เพียงตวั เดียวในวงจรไม่สามารถทา
หนา้ ท่ีไดค้ รบถว้ น วงจรขยายสญั ญาณจะประกอบไปดว้ ยทรานซิสเตอร์จานวนหลายตวั ดงั น้นั การการเช่ือมต่อ
สัญญาณจึงเป็ นสิ่งท่ีสาคญั มากอย่างหน่ึง การเชื่อมต่อสัญญาณหรือการคปั ปลิ้ง (Coupling) คือการส่งผ่าน
สัญญาณจากทรานซิสเตอร์ตวั หน่ึงไปยงั อีกตวั หน่ึง หรือมีการเช่ือมต่อสัญญาณจากวงจรหน่ึงไปยงั วงจรหน่ึง
การส่งผา่ นสัญญาณที่ดีน้นั ท่ีดีน้นั จะตอ้ งให้มีการสูญเสียทางดา้ นความแรงหรือความถี่นอ้ ยท่ีสุดอีกท้งั จะตอ้ งมี
ความสมดุลทางอิมพีแดนซ์หรือท่ีเรียกวา่ แมทช่ิงอิมพีแดนซ์ (Matching Impedance) ถา้ อิมพีแดนซ์ของท้งั สอง
วงจรท่ีจะส่งผา่ นสญั ญาณไปใหก้ นั มีอิมพแี ดนซ์เท่ากนั จะทาใหก้ ารถ่ายทอดสัญญาณแรงที่สุด
การเชื่อมต่อสญั ญาณหรือการคปั ปลิ้งมี 4 แบบคือ
1. การเช่ือมตอ่ สญั ญาณโดยตรง (Direct Coupling)
2. การเช่ือมตอ่ สัญญาณดว้ ย อาร์ซี (RC Coupling)
3. การเช่ือมต่อสญั ญาณดว้ ยอิมพแี ดนซ์ (Impedance Coupling)
4. การเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยหมอ้ แปลง (Transformer Coupling)
5.1 การเชื่อมต่อสัญญาณโดยตรง (Direct Coupling)
การเช่ือมต่อวงจรขยายโดยตรงใช้สาหรับวงจรขยายแรงดนั ไฟตรงท่ีส่งผา่ นสัญญาณจากภาคหน่ึงไป
อีกภาคหน่ึง วงจรขยายสัญญาณที่มีความถ่ีต่ามาก ๆ หรือวงจรที่เราตอ้ งการอตั ราการขยายแรงเคลื่อนที่มากกวา่
20 เทา่ การคปั ปลิ้งสัญญาณแบบน้ีจะใหค้ วามถี่ผา่ นไปไดต้ ลอดยา่ นจึงทาใหเ้ ครื่องเสียงคุณภาพดีท่ีสุด
จากรูปที่ 5.1 เป็ นวงจรขยายสัญญาณแบบเชี่อมต่อตรงสังเกตท่ีทรานซิสเตอร์ Q1ทรานซิสเตอร์ Q1 มี
การจดั วงจรแบบคอมมอนคอลเล็คเตอร์ ตวั ตา้ นทาน R1 และ R2 เป็ นตวั ตา้ นทานแบ่งแรงดนั จ่ายไบอสั ให้
ทรานซิสเตอร์ Q1 และสัญญาณที่ทาการขยายจะออกขา E โดยที่ขา E จะถูกเชื่อมต่อโดยตรงไม่ผ่านอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ เลยเขา้ ท่ีขาเบสของทรานซิสเตอร์ Q2 โดยมีR3 เป็นตวั ตา้ นทานโหลดรับสญั ญาณที่ขยายมา
ตกคร่อมที่ตวั R3 เองแลว้ ส่งผ่านไปเขา้ ท่ีขาเบสของQ2 ทรานซิสเตอร์ Q2 มีการจดั วงจรขยายแบบอิมิตเตอร์
ร่วมโดยมี R4 เป็ นโหลดออกเอาตพ์ ุตและมีR5 เป็ นตวั ตา้ นทานสเตบิไลซ์ทาให้วงจรมีความเสถียรมากข้ึน C3
เป็ นคาปาซิสเตอร์บายพาสกาจดั สัญญาณไฟกระแสสลับทิ้ง ทาให้ท่ีขา E ของทรานซิสเตอร์ Q2 มีเฉพาะ
แรงดนั ไฟกระแสตรงทาใหว้ งจรมีอตั ราการขยายสญั ญาณท่ีคงท่ี
การเชื่อมตอ่ สญั ญาณแบบตอ่ ตรงน้นั จะทาใหส้ ัญญาณที่ส่งผา่ นตอบสนองความถ่ีไดด้ ีทุกยา่ นและมีราคา
ในการสร้างถูกเพราะอุปกรณ์นอ้ ยแต่มีขอ้ เสียอยทู่ ี่วงจรจะไมแ่ มทชิ่งอิมพีแดนซ์กนั ระหวา่ งการส่งผา่ นจากวงจร
หน่ึงไปยงั วงจรหน่ึง อีกท้งั วงจรน้ีมีปัญหาเรื่องอุณหภูมิโดยกระแสที่เปล่ียนแปลงตามอุณหภูมิในวงจรหน่ึงจะ
ถูกขยายต่อ ๆ ไปทุกวงจร
5.2 การเช่ือมต่อสัญญาณด้วยอาร์ซี (RC Coupling)
การเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยอาร์ซี (RC Coupling) เป็ นวิธีท่ีนิยมใช้กนั มากท่ีสุดโดยการนาตวั ตา้ นทาน R
และตวั เกบ็ ประจุ C ตอ่ ระหวา่ งขาคอลเลค็ เตอร์ (C) ของวงจรแรกกบั ขาเบส (B) ของทรานซิสเตอร์ตวั ที่สอง
จากรูปท่ี 5.2 เป็ นวงจรขยายสัญญาณแบบ RC สังเกตท่ีทรานซิสเตอร์ Q1 ทรานซิสเตอร์Q1 มีการจดั
วงจรแบบคอมม่อนอิมิตเตอร์ ตวั ตา้ นทาน R1 เป็ นตวั ตา้ นทานแบ่งแรงดนั จ่ายไบอสั ให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และ
สัญญาณที่ทาการขยายจะออกท่ีขา C โดยท่ีขา C จะต่อกบั ตวั ตา้ นทาน R4 ท่ีทาหนา้ ที่เป็ นตวั เช่ือมสัญญาณและ
เป็ นตวั กาหนดไบอสั ใหข้ าเบส (B) ทรานซิสเตอร์ Q2 ผา่ นตวั เก็บประจุ C2 ซ่ึงเป็ นตวั เช่ือมสัญญาณอีกหน่ึงตวั
ก่อนที่สัญญาณจะเขา้ ที่ขาเบส (B) ของทรานซิสเตอร์Q2 ทรานซิสเตอร์ Q2 มีการจดั วงจรขยายแบบอิมิตเตอร์
ร่วมโดยมี R5 เป็ นโหลดออกเอาตพ์ ุตและมี R3และ R6 เป็ นตวั ตา้ นทานสเตบิไลซ์ทาให้วงจรมีความเสถียรมาก
ข้ึนกบั C3 และ C5 เป็ นคาปาซิสเตอร์บายพาสกาจดั สัญญาณไฟกระแสสลบั ทิ้ง ทาใหท้ ี่ขา E ของทรานซิสเตอร์
Q1 และ Q2 มีเฉพาะแรงดนั ไฟกระแสตรงทาให้วงจรมีอตั ราการขยายสัญญาณที่คงที่และไม่เปลี่ยนแปลงตาม
อุณหภูมิ
การเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยอาร์ซีน้นั จะมีขอ้ ดีตรงที่ไม่มีปัญหาเร่ืองเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดข้ึนเป็ นส่วน
หน่ึงที่ทาใหเ้ กิดสัญญาณรบกวนแทรกไปกบั สัญญาณแต่วงจรการเชื่อมต่อสัญญาณดว้ ยอาร์ซีน้นั ค่าซีหรือค่าคา
ปาซิสเตอร์น้นั จะตอ้ งสูงพอท่ีจะใหส้ ัญญาณความถ่ีต่าผา่ นไปไดท้ าให้เร่ืองของการตอบสนองความถี่ต่าไมค่ ่อย
ดี อีกท้งั ขนาดของแรงดนั ท่ีทาการส่งผ่านมีผลต่อประสิทธิภาพของการเช่ือมต่อ ถ้าขนาดของแรงดนั ลดลง
ประสิทธิภาพของการเช่ือมตอ่ กจ็ ะลดลงตามไปดว้ ย
5.3 การเชื่อมต่อสัญญาณด้วยอมิ พแี ดนซ์ (Impedance Coupling)
เป็ นการนาเอาโช็คคอยล์ (Choke Coil) หรือเรียกไดอ้ ีกอยา่ งวา่ ขดลวด (L) ต่อร่วมกบั ตวั เก็บประจุ (C)
โดยใหโ้ ช็คคอยลเ์ ป็นโหลดของวงจรขยายวงจรแรกและตวั เกบ็ ประจุจะเชื่อมต่อวงจรแรกไปยงั วงจรท่ีสอง
จากรูปที่ 5.3 เป็ นวงจรขยายสัญญาณแบบอิมพิแดนซ์ สังเกตท่ีทรานซิสเตอร์ Q1ทรานซิสเตอร์ Q1 มี
การจดั วงจรแบบคอมมอนอิมิตเตอร์ ตวั ตา้ นทาน R1 เป็ นตวั จ่ายไบอสั ให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และสัญญาณที่ทา
การขยายจะออกที่ขา C โดยที่ขา C จะตอ่ กบั L1 และ C2 ซ่ึงเป็ นวงจรเชื่อมต่อดว้ ยอิมพีแดนซ์โดย L1 นอกจาก
เป็ นส่วนหน่ึงของวงจรเชื่อมต่อดว้ ยอิมพีแดนซ์แลว้ ยงั เป็ นโหลดของทรานซิสเตอร์ Q1 ดว้ ยเม่ือสัญญาณผ่าน
วงจรเช่ือมตอ่ ดว้ ยอิมพแี ดนซ์แลว้ สญั ญาณจะเขา้ ท่ีขาเบส (B) ของทรานซิสเตอร์ Q2 ทรานซิสเตอร์ Q2 มีการจดั
วงจรขยายแบบอิมิตเตอร์ร่วมโดยมีตัวต้านทาน R3 ท่ีทาหน้าท่ีเป็ นตัวกาหนดไบอัสให้ขาเบส (B) ของ
ทรานซิสเตอร์ Q2 และมีตวั ตา้ นทาน R4 เป็ นโหลดออกเอาตพ์ ตุ และมี R2 และ R5 เป็นตวั ตา้ นทานสเตบิไลซ์ทา
ใหว้ งจรมีความเสถียรมากข้ึนกบั C3 และ C5 เป็นคาปาซิสเตอร์บายพาสกาจดั สัญญาณไฟกระแสสลบั ทิง้ ทาให้
ท่ีขาE ของทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 มีเฉพาะแรงดนั ไฟกระแสตรงทาใหว้ งจรมีอตั ราการขยายสัญญาณท่ีคงท่ี
และไม่เปล่ียนแปลงตามอุณหภูมิ
วงจรเชื่อมต่อดว้ ยอิมพีแดนซม์ ำีขอ้ ดีตรงท่ีไม่เกิดการเชื่อมต่อของความตา้ นทานท่ีมากเกินไปเพราะค่า
ความตา้ นทานของโช๊กคอยล์ไม่มากนกั ทาใหม้ ีแรงดนั ตกคร่อม คอลเล็คเตอร์เทียบกราวด์สูงข้ึนแต่ขอ้ เสียของ
วงจรเชื่อมต่อดว้ ยอิมพิแดนซ์คือเกิดสัญญาณรบกวนจากสนามแม่เหล็กท่ีมาจากการเหน่ียวนาของโช๊กคอยล์
ความถ่ีที่จะนามาขยายจะตอ้ งพอเหมาะหากต่าเกินไปจะทาให้อตั ราการขยายลดลง ความถี่ท่ีเหมาะสมในการ
ขยายคือช่วงความถ่ีกลางของยา่ นความถี่และในทานองเดียวกนั หากความถ่ีสูงเกินไปอตั ราการขยายก็จะลดลง
เช่นเดียวกนั
5.4 การเช่ือมต่อสัญญาณด้วยหม้อแปลง (Transformer Coupling)
การเช่ือมต่อสัญญาณด้วยหม้อแปลงจะถ่ายทอดสัญญาณจากวงจรหน่ึงไปยงั อีกวงจรหน่ึงโดยการ
เหน่ียวนา (Induce) ของหมอ้ แปลง เหมาะสมกบั การเช่ือมต่อที่ตอ้ งการแมทชิ่งอิมพีแดนซ์ท่ีจะส่งผา่ นสัญญาณ
ถึงกนั โดยการจดั อิมพีแดนซ์ของขดปฐมภูมิ (Primary) ใหเ้ หมาะสมกบั เอาตพ์ ุตอมิ พแำี ดนซข์ องวงจรขยาย
วงจรแรกและจดั อมิ พีแดนซข์ องขดทุตยิ ภมู ำิ (Secondary) ใหเำ้ หมาะสมกับอินพุตอิมพีแดนซ์ของ
วงจรขยายวงจรท่ีสองทาใหม้ ีกาลงั ส่งผา่ นสัญญาณสูงสุด
จากรู ปท่ี 5.4 เป็ นวงจรขยายสัญญาณแบบเชื่อมต่อด้วยหม้อแปลง สังเกตท่ีทรานซิ สเตอร์Q1
ทรานซิสเตอร์ Q1 มีการจดั วงจรแบบคอมมอนอิมิตเตอร์ ตวั ตา้ นทาน R1 และ R2 เป็ นตวั ตา้ นทานแบ่งแรงดนั
จ่ายไบอสั ใหท้ รานซิสเตอร์ Q1 และสัญญาณที่ท ำาการขยายออกท่ีขาคอลเล็คเตอร์ (C)โดยที่ขาคอลเล็คเตอร์
(C) จะต่อกบั T1 ซ่ึงหมอ้ แปลง T1 จะเป็ นตวั เชื่อมสัญญาณจากขา C ของทรานซิสเตอร์ Q1 ไปเขา้ ท่ีขาเบส (B)
ของทรานซิสเตอร์ Q2 โดยท่ีขดปฐมภูมิของหมอ้ แปลง T1 มีอิมพีแดนซ์ที่สูงเพ่ือนาไปต่อกบั ขาคอลเล็คเตอร์
(C) ของทรานซิสเตอร์ Q1 ที่มีอิมพีแดนซ์สูงเช่นเดียวกนั ส่วนขดทุติยภูมิหมอ้ แปลง T1 จะตอ้ งมีอิมพีแดนซ์ต่า
เพ่อื เช่ือมต่อกบั ขาเบส (B).ของทรานซิสเตอร์ Q2 ที่มีอิมพีแดนซ์ต่าเช่นเดียวกนั การกระทาแบบน้ีทาให้เกิดการ
แมทช่ิงอิมพีแดนซ์ทาให้สัญญาณส่งผา่ นไดส้ ูงสุดมีการสูญเสียระหวา่ งการส่งผา่ นต่า C3 มีหนา้ ท่ีเป็ นตวั กาจดั
สญั ญาณรบกวนท่ีอาจแทรกเขา้ มาจากแหล่งจ่ายไฟตรง (+VCC) ทรานซิสเตอร์ Q2 น้นั มีการจดั วงจรขยายแบบ
อิมิตเตอร์ร่วมตวั ตา้ นทาน R4 และ R5 เป็ นตวั ตา้ นทานแบ่งแรงดนั จ่ายไบอสั ให้ทรานซิสเตอร์ Q2 ที่ขาเบส (B)
ของทรานซิสเตอร์ Q2 ทาให้แรงดนั ท่ีขาเบส (B) มี R3, R5 และ R6 เป็ นตวั ตา้ นทานสเตบิไลซ์ทาให้วงจรมี
ความเสถียรมากข้ึนต่อกบั C2, C3 และ C4 เป็นคาปาซิสเตอร์บายพาสกาจดั สญั ญาณไฟ กระแสสลบั ทิ้ง ทาใหท้ ี่
ขา E ของทรานซิสเตอร์ Q1 และ Q2 มีเฉพาะแรงดนั ไฟกระแสตรงทาให้วงจรมีอตั ราการขยายสัญญาณที่คงท่ี
และไมเ่ ปล่ียนแปลงตามอุณหภูมิ หมอ้ แปลง T2 มีหนา้ ท่ีเดียวกบั T1
การเชื่อมต่อสัญญาณดว้ ยหมอ้ แปลงมีขอ้ ดีตรงที่สามารถปรับอิมพีแดนซ์ระหว่างวงจรไดท้ าให้ส่งผา่ น
สัญญาณไดส้ ูงสุดมีการสูญเสียนอ้ ยไดอ้ ตั ราการขยายท่ีสูง ส่วนขอ้ เสียของการเช่ือมต่อสัญญาณดว้ ยหมอ้ แปลง
คือการตอบสนองเรื่องความถี่ของวงจรสู้แบบเชื่อมต่อดว้ ย RC ไม่ไดแ้ ละน้าหนกั ค่อนขา้ งมากเนื่องจากหมอ้
แปลงทาใหข้ นาดใหญโ่ ตและราคาแพง
• ด้านทกั ษะ(ปฏบิ ตั )ิ
5. แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 5
6. ใบงานที่ 5
7. ใบงานที่ 6
• ด้านคุณธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง (จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่
5)
1. สรุป การเชื่อมต่อสัญญาณ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม