The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suchada tangsirin, 2020-07-09 11:24:40

เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

เอกสารประกอบการสอน
รายวชิ า 1001703 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสาหรับครู
(Communicative Thai Language for Teachers)

สุชาดา ตัง้ ศริ นิ ทร์

คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

2563

คำนำ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 1001703 ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสารสาหรับครู เป็น
การรวบรวมเน้ือหาสาระทางวิชาการ ด้านหลักภาษาและการพัฒนาทักษะทางภาษาไทยเพื่ อ ใช้
ประกอบการจัดการเรียนรู้ในหมวดวิชาชีพครูบังคับของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภฏั นครสวรรค์

เนื้อหาในเอกสารเล่มนี้แบ่งเป็น 2 ตอน ประกอบด้วย ความรู้เรื่องหลักการใช้
ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร และการพัฒนาทักษะทางภาษาไทยสาหรับครู ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดนี้ใช้
เวลาในการสอนจานวน 14 สัปดาห์ โดยเป็นการรวบรวมเอกสารจากผู้รู้ด้านภาษาไทยและศิลปะ
การใช้ภาษาไทยจานวนหลายเล่ม รวมทั้งประมวลคาศัพท์ที่น่าสนใจจากคู่มือเตรียมสอบต่างๆ
จานวนมาก

ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงวา่ เอกสารประกอบการสอนฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา
ค้นคว้า และช่วยทบทวนสาระความรู้ในการเรียนรายวิชาภาษาไทยเพ่ือการส่ือสารสาหรับครูให้แก่
นักศึกษาคณะครุศาสตร์ช้ันปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ให้มีความรู้ความสามารถในการใช้
ภาษาไทยเพ่ือการส่อื สารในวิชาชีพของตนได้อย่างมีประสิทธภิ าพมากยงิ่ ขึน้

สุชาดา ต้งั ศิรนิ ทร์
18 มถิ นุ ายน 2563

สารบญั

หน้า

คำนำ
สำรบัญ
แผนบริหำรกำรสอนประจำวชิ ำ
ตอนที่ 1 หลักการใช้ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสาร

1. พฒั นำกำรเขยี นอกั ษรไทย.............................................................................. 2
2. กำรอ่ำน – กำรเขยี นคำในภำษำไทย.............................................................. 30
3. โครงสร้ำงคำและประโยคในภำษำไทย........................................................... 58
4. คำรำชำศพั ท์.................................................................................................. 76
5. สำนวน สภุ ำษิต คำพังเพย............................................................................ 101
6. ขอ้ บกพรอ่ งในกำรใช้ภำษำไทย...................................................................... 113
ตอนท่ี 2 การพัฒนาทักษะทางภาษาไทยสาหรบั ครู
7. ศิลปะกำรพูดสำหรับครูพันธุ์ใหม.่ ................................................................... 127
8. ศำสตร์กำรอำ่ น.............................................................................................. 149
9. ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั ครู........................................................................................ 158
บรรณานุกรม .............................................................................................................. 199

แผนบรหิ ารการสอนประจาวชิ า

รหัสวชิ า 1001703 จานวนหน่วยกิต 3(2-2-5)

รายวชิ า ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสารสาหรับครู

(Communicative Thai Language for Teachers)

คาอธบิ ายรายวิชา

คาอธิบายรายวิชาภาษาไทย : การใช้ภาษาไทยเพ่ือการส่ือสารในการจัดการเรียนรู้ได้อย่าง
เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทและความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ผู้เรียนที่มีความ
ต้องการจาเป็นพิเศษ โดยการวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี วาทวิทยาสาหรับครู หลักการ เทคนิควิธีการใช้
ฝึกปฏิบัติการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน ภาษาท่าทาง เพื่อสื่อความหมายในการจัดการเรียนรู้
และการส่ือสารในชั้นเรียน ออกแบบการจัด การเรียนรู้ทักษะการฟัง การพูด การเขียน และภาษาท่าทาง
เพื่อพัฒนาผู้เรียน สืบค้นสารนิเทศเพื่อพัฒนาตนให้รอบรู้ ทันสมัยและทันต่อการเปล่ียนแปลงสาหรับฝึก
การใชภ้ าษาและวัฒนธรรมท่ีแตกต่างหลากหลายเพื่อการอยรู่ ว่ มกันอย่างสันติ

จดุ มุ่งหมายรายวชิ า

1. มีความรับผดิ ชอบต่อจติ วิญญาณและอุดมการณ์ความเป็นครู
2. สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
3. สามารถส่อื สารเพอ่ื ส่งเสรมิ และพัฒนาผู้อื่นได้
4. สามารถสร้างสรรค์ผลงานวชิ าการท่มี ีคณุ คา่ ตอ่ สงั คมได้
5. มีภาวะผ้นู าทางวิชาการและไมค่ ัดลอกผลงานของผอู้ ่ืน
6. มีทกั ษะการนาเสนอทีม่ ปี ระสิทธภิ าพร่วมกับการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศได้อยา่ งเหมาะสม
7. สามารถใช้ทักษะการส่ือสารในการระหว่างการจัดการเรียนรู้ในช้ันเรียนได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ

เนอื้ หาวิชา (42 ชวั่ โมง) 21 ชว่ั โมง

ตอนที่ 1 หลกั การใชภ้ าษาไทยเพื่อการส่อื สาร
1. พัฒนาการเขียนอกั ษรไทย

2. การอา่ น – การเขียน คาในภาษาไทย 21 ชวั่ โมง
3. โครงสรา้ งคาและประโยคในภาษาไทย
4. คาราชาศัพท์
5. สานวน สภุ าษิต คาพังเพย
6. ขอ้ บกพร่องในการใชภ้ าษาไทย
ตอนที่ 2 การพฒั นาทักษะทางภาษาไทยสาหรบั ครู
1. ศลิ ปะการพดู สาหรับครูพนั ธ์ุใหม่
2. ศาสตร์การอา่ น
3. ลขิ ิตศิลป์สาหรับครู

วธิ สี อนและกิจกรรม

1. บรรยาย (Lecture)
2. การเรยี นรูโ้ ดยใชเ้ ทคโนโลยีเป็นฐาน (Technology Base Learning)
3. การสาธิต (Demonstration)
4. การอภปิ ราย (Discussion)
5. การเรียนร้แู บบร่วมมอื (Collaborative learning)
6. การเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem Base Learning)

สื่อการเรียนการสอน

1. ชุดแบบฝึกหัดทักษะการใช้ภาษาไทย
2. Applications and Website for Education
3. เอกสารอิเล็กโทรนกิ ส์
4. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 1001703 ภาษาไทยเพ่อื การสือ่ สารสาหรับครู

การวดั ผลและการประเมินผล 85 %

การวดั ผล 15 %
1. คะแนนระหวา่ งเรยี น
ไดร้ ะดับ A
1.1 พฤติกรรมในช้ันเรยี น (15 %) ได้ระดบั B+
1.2 การฝึกปฏิบตั ิในชนั้ เรียน (35 %) ไดร้ ะดบั B
1.3 ชิน้ งานและการนาเสนอ (20 %) ได้ระดับ C+
1.4 สอบกลางภาค (15 %) ได้ระดบั C
2. คะแนนสอบปลายภาค ได้ระดับ D+
ไดร้ ะดบั D
การประเมนิ ผล ไดร้ ะดับ F
คะแนนระหว่าง 80 – 100
คะแนนระหวา่ ง 76 – 79
คะแนนระหวา่ ง 70 – 75
คะแนนระหว่าง 66 – 69
คะแนนระหวา่ ง 60 – 65
คะแนนระหวา่ ง 56 – 59
คะแนนระหวา่ ง 50 – 55
คะแนนระหวา่ ง 0 – 49

1

ตอนที่ 1

หลักการใช้ภาษาไทยเพอื่ การสื่อสาร

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

2

พฒั นาการเขยี นอกั ษรไทย

อักษรไทยเป็นองค์ประกอบสาคัญในการสื่อสารภาษาไทยท่ีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับ
สารประการหนึ่ง เน่ืองจากช่วยให้สารที่ส่งไปมีความน่าสนใจและสามารถสื่อความได้อย่างชัดเจน
ดังน้นั จงึ เป็นความสาคัญประการแรกท่ตี ้องศึกษาและปฏบิ ัตจิ นเกิดความชานาญ ซง่ึ เนื้อหาในบทน้ีได้
ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเขียนอักษรไทยในประเด็นต่างๆ ได้แก่ ลักษณะของอักษรไทย, วิธีการฝึก
เขียนอักษรไทย และข้อบกพร่องในการเขียนอักษรไทย ซ่ึงจะทาให้ผู้ศึกษามีความรู้ความเข้าใจ
ตลอดจนสามารถเขียนอักษรไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป โดยเนื้อหาดังกล่าวมีรายละเอียดท่ี
น่าสนใจ ดงั ต่อไปน้ี

1. ลกั ษณะของอักษรไทย
ประเทิน มหาขันธ์ (2526, 3-4) ศึกษาลักษณะพยัญชนะไทยเพ่ือศึกษาการเขียนของเด็กช้ัน

ประถมศึกษาปีท่ี 1 ดังน้ี พยัญชนะไทยจัดเรียงลาดับเรม่ิ จาก ก ข จนถึง อ ฮ เป็นการยากในการ
เขียนเพราะลักษณะ ก และ ข ต่างกันมาก พยัญชนะไทยส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายกันอยู่หลายกลุ่ม ที่
ต่างกันก็เป็นส่วนย่อยเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น ตัว ก ถ้าเติมหัวจะกลายเป็น ถ หรือ ภ ถ้าจาแนก
พยัญชนะไทยออกเปน็ หมวดหมู่ โดยถอื เอารปู ทคี่ ล้ายคลึงกนั จะไดด้ ังน้ี

1) ก ถ ภ ฎ ฏ ญ ณ ฌ
2) ข ช ฃ ซ
3) ด ต ค ฅ ศ ฒ ง
4) พ ฟ ฬ ฝ ย
5) บ ป ษ
6) ท ฑ ห
7) น ฉ (ณ)
8) ม ฆ (ฌ ฒ)
9) ล ส
10) อ ฮ

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

3

11) จ ฐ
12) ว ร ธ
รูปร่างพ้ืนฐาน (Basic Form) พยัญชนะไทย ดัดแปลงเพ่ือประโยชน์ทางภาษาเท่าน้ัน
ถ้าจาแนกพยัญชนะไทยออกเป็นหมวดหมู่ โดยถือเอาการเปลี่ยนแปลงรูปพยัญชนะเป็นเกณฑ์จะ
ไดผ้ ลดงั นี้

1. การเปลีย่ นภายในตัวพยญั ชนะ มดี ังน้ี
1.1) เปลีย่ นแปลงทหี่ ัวพยญั ชนะ เช่น

ก เป็น ถ ภ
ท เป็น ฑ
ข เป็น ฃ
ช เป็น ซ
ม เป็น ฆ
ด เป็น ค

1.2) เปล่ยี นแปลงท่ีหางพยญั ชนะ เช่น

ข เป็น ช
ฃ เป็น ซ
น เป็น ฉ
อ เป็น ฮ
พ เป็น ฬ
บ เป็น ป
พ เป็น ฟ
ผ เป็น ฝ
ภ เป็น ฎ ฎ

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

4

1.3) เปลีย่ นแปลงในที่อืน่ ๆ เช่น เป็น ต
เป็น ต
ด เป็น ห
ค เป็น ห
ท เป็น ร
ท เป็น ธ
ว เป็น ย
ร เป็น ด



2. การเปลย่ี นแปลงโดยการเอาเครอ่ื งหมายมาเตมิ เช่น

ล เป็น ส
ค เป็น ศ
บ เป็น ษ

3. การเปลยี่ นแปลงภายใต้ตัวพยัญชนะ และการเอาเครือ่ งหมายอ่ืนมาเตมิ เช่น

จ เป็น ฐ
ถ เป็น ญ

4. การประสมรปู ระหวา่ งพยัญชนะสองตวั เช่น เป็น ณ
เป็น ฌ
ถ ประสมกบั น เป็น ฒ
ภ ประสมกบั ม
ต ประสมกบั ม

การจัดหมวดหมู่เช่นนี้ทาให้การเขียนอักษรง่ายข้ึน นอกจากน้ี ประเทิน มหาขันธ์ (2526, 9-
13) ยังได้กลา่ วถึงลักษณะพยญั ชนะไทยและใหข้ ้อคิดบางประการท่นี า่ สนใจ ดงั ต่อไปนี้

1) เปน็ พยัญชนะทีเ่ ขยี นจากซา้ ยไปขวา ซึง่ เปน็ อุปสรรคต่อผ้เู ขียนมอื ซา้ ย

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

5

2) เส้นท่ีประกอบเป็นพยัญชนะมักเขียนเป็นเส้นโค้งมีลักษณะท่ีอ่อนช้อยเหมือนลายกนก
ของไทย

3) ตัวพยัญชนะมีลีลาเส้นท่ีวกวนสลับซับซ้อน การจดจาภาพและลีลาตัวพยัญชนะจึงจาเป็น
ต่อการเขียนเปน็ อนั มาก

4) ตัวพยัญชนะบางตัวมีรูปร่างและมีลีลาการเขียนคล้ายกัน พยัญชนะบางตัวเกิดจาก
การดัดแปลงหรือต่อเติมข้ึนจากพยัญชนะตัวหน่ึง ฉะนั้นในการฝึกเขียนหากเข้าใจในเร่ืองน้ีแล้วจะทา
ใหก้ ารฝกึ ไดผ้ ลดี

5) พยัญชนะไทย ไม่มีการเว้นช่องไฟระหว่างคา การเว้นวรรคตอนจึงมีความจาเป็นใน
การเขียนภาษาไทย

6) สระของไทยอยู่ขา้ งหน้า ขา้ งหลงั ข้างบน ข้างลา่ งพยัญชนะ

7) ตัวพยญั ชนะไทยไม่เขยี นตดิ ต่อกัน

เปล้ือง ณ นคร (2528, 61) กลา่ ววา่ การเขยี นลายมือนนั้ จาเป็นท่ีจะต้องรจู้ ักลักษณะของตัว
พยัญชนะเสียก่อนจึงจะเขียนได้ถูกต้อง และได้ให้รายละเอียดเก่ียวกับตัวหนังสือไทยเกี่ยวกับ
ส่วนประกอบตา่ งๆ ท่ีจาเปน็ ต้องรู้ ดงั น้ี

1) หัว เดิมมีสองชนิด คือหัวเหลี่ยมกับหัวกลมหรือดอกบัว บัดนี้ใช้หัวกลมเหมือนกันหมด
สว่ นหัวน้ีมพี วกหัวเขา้ เชน่ ถ ฤ คือ หัวอยใู่ นเสน้ กบั หวั ออก คอื หวั อยนู่ อกเส้น ภ ฦ บ เวลาเขยี น
หวัดมกั เขยี นหัวบอด คือ ไมม่ หี ัว เชน่ ค กับ ด ทาใหอ้ ่านยาก

2) ขมวด คือ พวกตัว ณ ม ฯลฯ ต้องใหเ้ ห็นชัด

3) หางมีพวก ศ ส ช ฯลฯ ต้องเขียนให้ติดกับตัวและให้ยาวพอดี บางคนเขียนหางยาวที่
เรียกวา่ เล่นหางหรือสั้นจนกดุ

4) เส้นต่อระหว่างตัวหนังสือแต่ละตัว ในหนังสือไทยเราไม่มีเส้นต่อระหว่างตัวหนังสือ
การเขียนต้องเร่ิมจากหัวไปหาง ขนาดของเส้นแต่ก่อนใหญ่ พยัญชนะมักเป็นเส้นเหลี่ยมหนา เช่น ก
ด ส เดยี๋ วน้ีขนาดของเส้นเสมอกนั หมดและเปน็ เส้นโค้ง ข้อสาคญั อยา่ ใหเ้ ส้นขาด ตวั หนงั สือไทยนิยม

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

6

ตัวตรงจะเขียนเอนก็ได้แต่ไม่ถึงโย้ การเอนหน้าไม่นิยม มีการเขียนโย้หน้าบ้างแต่เป็นส่วนน้อย ถ้าพบ
เดก็ เขียนโยห้ น้าควรแกไ้ ข

ฐานตัวหนังสืออยู่บนเส้นบรรทัด (ถ้าเป็นกระดาษมีเส้นบรรทัด) อยู่ลอยหรือจมเส้นไม่ได้
เป็นการฝกึ ใหเ้ ขยี นมีระดบั ตรง เมอ่ื เขยี นบนกระดาษไม่มบี รรทดั

ขอบกระดาษต้องให้เสมอกันท้ังด้านซ้ายและด้านหลัง ช่องไฟ คือช่องระหว่างตัวอักษร
ตอ้ งเสมอกันไมห่ ่างหรือชิดเกินไป การวางสระต้องให้ถกู ท่ี วางสระอุ อู ไว้เส้นหลังพยญั ชนะ

กรมวิชาการ (2523, 13) ได้แนะนาไว้ในคู่มือการสอนภาษาไทยถึงการเขียนตัวอักษรไทย
ให้ถูกต้องว่า การเขียนพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ให้ถูกต้องตามลักษณะอักษร หรือตัวหนังสือ
ไทยนนั้ มีหลายรูปแบบมคี วามเห็นตรงกนั ในเรื่องความถกู ตอ้ งสวยงามในการเขยี น ดงั นี้

1) พยญั ชนะท่มี ีหวั จะต้องเขียนหวั ก่อนและหวั ไม่บอด
2) เขียนเส้นตอ่ กันไมย่ กดนิ สอ (นอกจากยกเพอ่ื เขียนหาง ตนี หรือไส้ของพยัญชนะบางตวั )
3) พยัญชนะแต่ละตัวมีขนาดและสัดส่วนสมดุลกัน ความแตกต่างของการเขียนพยัญชนะ
แต่ละรูปจะอยู่ท่ีความสูงของหัว หาง ตัวเหล่ียม หรือตัวกลม ตัวตรง หรือตัวเอนเล็กน้อย แต่รูปทรง
สว่ นใหญ่ยังคงเหมอื นกัน
ดังน้ันจึงอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ลักษณะของภาษาไทยในส่วนของรูปร่างซึ่งได้แก่หัว หาง
และส่วนประกอบต่างๆ นั้น มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงในส่วนที่เหมือนกัน ถือเป็นหลักโดย
เคร่งครัดก็คือ จะเป็นพยัญชนะแบบใดก็ตาม ถ้ามีหัวต้องเขียนหัวก่อน การลากเส้นจะต้องลากไป
ในทิศทางที่กาหนดไว้ สาหรับพยัญชนะแต่ละตัวให้ถูกต้อง เพราะถ้าลากเส้นไม่ถูกทิศทางถึงแม้ว่า
จะเขยี นเป็นตัวก็ถอื วา่ ผู้นัน้ เขยี นไม่ถกู ตอ้ ง นบั ว่าเปน็ ความบกพรอ่ งอย่างมากทเี ดยี ว

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

7

2. การฝกึ เขยี นอกั ษรไทย
ตัวอักษรไทยเท่าที่รวบรวมได้ในปัจจุบันมีท้ังหมด 7 แบบ ได้แก่ แบบขุนสัมฤทธิ์วรรณการ,

แบบอาลักษณ์, แบพระยาผดุงวิทยาเสริม, แบบโรงเรยี นทุ่งมหาเมฆ, แบบโรงเรียนสายนา้ ทิพย์, แบบ
ภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ แบบกระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึง
ตัวอักษรทั้ง 7 แบบนี้ สามารถจดั ตามลักษณะตัวอักษรไดเ้ ป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆ คอื ประเภทตัวกลม
หรือตัวมน และประเภทตัวเหลย่ี ม

แบบตัวกลมหรือหัวมน ได้แก่ แบบขุนสัมฤทธิ์วรรณการ และแบบกระทรวงศึกษาธิการ
ส่วนตัวอักษรประเภทตัวเหล่ียม ได้แก่ แบบอาลักษณ์, แบบพระยาผดุงวิทยาเสริม, แบบโรงเรียนทุ่ง
มหาเมฆ, แบบโรงเรียนสายน้าทิพย์ และแผบบภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย ซ่งึ อักษรแบบต่างๆ มลี กั ษณะ ดังตอ่ ไปนี้

1. แบบขุนสัมฤทธ์ิวรรณการ กระทรวงธรรมการใช้เป็นแบบฝึกหัดลายมือของนักเรียนใน
สมัยกอ่ น

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

8

2. แบบกระทรวงศึกษาธิการ กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการได้ดัดแปลงจากตัวอักษรแบบ
ขุนสัมฤทธ์ิวรรณการเพื่อทาเป็นแบบฝึกหัดคัดลายมือใช้ในโรงเรียนประถมศึกษาของรัฐบาลทั่ว
ประเทศ

3. แบบอาลกั ษณ์ แผนกอาลกั ษณ์ กองประกาศิต สานกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรีใช้เป็นแบบ
คัดของทางราชการ เปน็ ลายมือไทยทีส่ วยงามใช้เขยี นเพื่อการเกียรติยศต่างๆ

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

9

4. แบบพระยาผดุงวิทยาเสริม (กาจัด พลางกรู) อยู่ในแบบหัดอ่านที่พระยาผดุงวิทยาเสริม
เขียนขึ้น คือ แบบหัดอ่านหนังสือไทยภาคต้น แบบหัดอ่าน ก ข, ก กา และหนังสือแบบหัดอ่าน
เบื้องต้น ซึ่งพิมพ์ขึ้นใช้เม่ือ พ.ศ.2471, 2473 และ 2476 ตามลาดับ เพ่ือใช้ฝึกเด็กให้เขียนหรือคัด
ลายมือหลังจากเรียนอา่ นพยัญชนะแต่ละครั้งหรือหลงั งจากฝกึ แจกลูกแล้ว

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

10

5. แบบโรงเรียนทุ่งมหาเมฆ คล้ายแบบของพระยาผดุงวิทยาเสริม ซึ่งอาจารย์สูริน สุพรรณ
รตั น์ อาจารย์ใหญ่ทา่ นแรกของโรงเรยี น ไดน้ าลายมือของบิดา คือ อาจารยม์ งคล สุพรรณรัตน์ เจา้ ของ
และอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสุพมาศพิทยาคม (ตรอกวัดราชนัดดา จังหวัดพระนคร) มาเป็นต้นแบบให้
อาจารย์ พูนสุข นีลวัฒนานนท์ (บุญฃณย์สวัสดิ์) จัดทาเป็นแบบคัดลายมือของโรงเรียน ตั้งแต่ พ.ศ.
2509

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

11

6. แบบโรงเรยี นสายน้าทิพย์ คล้ายแบบของพระยาผดุงวิทยาเสริม ซ่ึงอาจารยอ์ ุไร ศรีธวชั ณ
อยุธยา อาจารยใ์ หญ่ และอาจารย์สูริน สุพรรณรัตน์ ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ได้ดารใิ หล้ ายมือของครูทุกคน
เป็นแบบเดียวกัน และคณะครูของโรงเรียนได้นาลายมือของอาจารย์มงคล สุพรรณรัตน์ มาดัดแปลง
และทาแบบฝกึ คดั ลายมอื ของโรงเรยี น ตัง้ แต่ พ.ศ. 2510

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

12

7. แบบตัวอักษรแบบภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั คล้าย
แบบของพระยาผดุงวิทยาเสริม เกิดขึ้นจากดาริของศาสตราจารย์อาไพ สุจริตกุล หัวหน้าแผนกวิชา
ประถมศึกษา ที่ต้องการให้มีตัวอักษรของแผนวิชาท่ีง่ายต่อการฝึกเด็กเขียน และเพ่ือใช้เป็นแบบฝึก
ลายมือของนสิ ิตทกุ คนของแผนกวิชาท่ีจะนาไปสอนศษิ ย์เม่ือจบเปน็ ครแู ล้ว

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

13

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

14

จากการประมวลรูปแบบลายมือท้ัง 7 แบบ ขา้ งตน้ นี้ ผ้สู อนจงึ ไดจ้ ัดทารปู แบบลายมือข้ึนเพ่ือ
ใช้ฝึกฝนทักษะการเขียนอักษรไทย โดยผสมผสานแนวคิดเรื่องสัดส่วนของตัวอักษร ความอ่อนช้อย
และความเปน็ ระเบยี บสมดลุ เพอ่ื ให้งา่ ยตอ่ การฝกึ ฝนและสวยงาม ดงั น้ี

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

15

1. การเตรยี มความพร้อมก่อนคัดอกั ษรไทย
ทักษะพื้นฐานก่อนฝึกเขียนอักษรไทยต้องเริ่มจากการฝึกฝนเส้นพ้ืนฐาน 13 แบบ ต่อไปน้ีจน

เกิดความจนชานาญ

แต่อย่างไรก็ตามในเอกสารเล่มนี้ขอนาเสนอเครื่องมือการฝึกปฏิบัติให้แก่ผู้ศึกษา เพ่ือปรับ
พื้นฐานการลากเสน้ องคป์ ระกอบของอักษรไทย เพียง 10 แบบ ดังต่อไปนี้

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

16

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

17

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

18

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

19

2. การฝกึ เขยี นตัวพยญั ชนะ สระ วรรณยกุ ต์ ตัวเลข และ สัญลักษณ์
การเขียนอักษรแต่ละตัวมีความแตกต่างกัน ดังนั้นผู้ฝึกจาเป็นต้องศึกษาลักษณะเฉพาะของ

ตัวอกั ษรแตล่ ะตัวกอ่ นลงมือฝกึ เขียน โดยมรี ายละเอยี ดความแตกต่างของตวั อักษรตา่ งๆ ดงั น้ี

การเขียนหวั พยญั ชนะ

ข้อสาคัญของการเขียนอักษรไทย คือ การเขียนจากจุดเริ่มต้นท่ีถูกต้อง ซ่ึงคือ ส่วนหัวของ
พยญั ชนะ (ท่มี หี วั ) ซงึ่ มวี ิธกี ารเขยี นที่ถูกตอ้ ง ดงั ต่อไปนี้

1) หัวอย่ใู นส่วนท่ี 1 กลมเด็ม 1 ส่วน

1.1) หัวเข้า ไดแ้ ก่ ผ ฝ ย
1. จรดเคร่ืองเขียนที่เส้นบนของส่วนที่ 1 เขียนวงกลม

ทวนเข็มนาฬิกาเตม็ 1 ส่วน
2. ลากทับรอยเดิมอีกประมาณ 1/2 ของส่วนท่ี 1 แล้ว

จึงลากเส้นต่อไปตามลกั ษณะตัวพยัญชนะ
1.2) หวั ออก ไดแ้ ก่ ง บ ป น ม ท ห พ ฝ ษ ฬ

1. จรดเครื่องเขียนท่ีเส้นบนของส่วนที่ 1 เขียนวงกลม
ตามเขม็ นาฬิกาเตม็ 1 ส่วน

2. ลากทับรอยเดิมอีกประมาณ 1/2 ของส่วนท่ี 1 แล้ว
จึงลากเสน้ ตรงต่อไปตามลกั ษณะตวั พยญั ชนะ

2) หัวอยู่ในส่วนที่ 2 กลมเตม็ 1 ส่วน

2.1) หวั เขา้ ไดแ้ ก่ ค ฅ ศ อ ฮ
1. จรดเคร่ืองเขียนที่เส้นบนของส่วนท่ี 2 เขียนวงกลม

ทวนเขม็ นาฬิกาเต็ม 1 ส่วน
2. ลากทับรอยเดิมอีกประมาณ 1/2 ของส่วนที่ 2 แล้ว

จงึ ลากเส้นตอ่ ไปตามลักษณะตัวพยญั ชนะ

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

20

2.2) หวั ออก ไดแ้ ก่ จ ฉ ด ต ฒ ฐ
1. จรดเคร่ืองเขียนท่ีเส้นบนของส่วนที่ 2 เขียนวงกลม

ตามเข็มนาฬิกาเต็ม 1 ส่วน
2. ลากทับรอยเดิมอีกประมาณ 1/2 ของส่วนที่ 2 แล้ว

จึงลากเส้นตรงต่อไปตามลกั ษณะตวั พยัญชนะ

3) หัวอยใู่ นส่วนท่ี 4 กลมเต็ม 1 ส่วน

3.1) หวั ออก ได้แก่ ถ ล ส ฌ ณ ญ
1. จรดเครื่องเขียนที่เส้นล่างของส่วนที่ 4 เขียนวงกลม

ตามเขม็ นาฬกิ าเตม็ 1 ส่วน
2. ลากทับรอยเดิมอีกประมาณ 1/2 ของส่วนที่ 4 แล้ว

จงึ ลากเส้นต่อไปตามลักษณะตวั พยัญชนะ
3.2) หัวออก ได้แก่ ว ร ภ ฎ ฏ

1. จรดเครื่องเขียนที่เส้นล่างของส่วนที่ 4 เขียนวงกลม
ทวนเขม็ นาฬกิ าเตม็ 1 ส่วน

2. ลากทับรอยเดิมอีกประมาณ 1/2 ของส่วนท่ี 2 แล้ว
จงึ ลากเส้นตรงต่อไปตามลกั ษณะตวั พยญั ชนะ

4) หวั สองชั้น

4.1) หวั 2 ชัน้ เตม็ 1 สว่ น ได้แก่ ข ช
1. จรดเครื่องเขียนท่ีเส้นล่างของส่วนท่ี 1 เขียนวงกลม

ตามเข็มนาฬิกาขนาด 1/2 สว่ น เป็นหัวชน้ั ใน
2. ลากเส้นโค้งเฉียงซ้ายขึ้นให้ยาวเสมอส่วนบนสุด

ของหัวชั้นใน ห่างจากเส้นรอบวงด้านซ้ายของหัวชั้นใน
1/2 ส่วน

3. ลากเส้นเป็นจั่วเต็มคร่ึงส่วน ให้ยอดจั่วจรดเส้นบน
ของส่วนที่ 1 และอยู่ตรงกบั เสน้ ศูนย์กลางของหัวชนั้ ใน

4. ลากเส้นตรงโค้งซ้ายจรดเส้นล่างของส่วนท่ี 1 ตรง
เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวช้ันใน แล้วจึงลากเส้นตรงต่อไป
ตามลักษณะตัวพยัญชนะ

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

21

4.2) หัว 2 ช้ัน แบบหวั แตก ไดแ้ ก่ ฃ ซ ฆ ฑ
1. จรดเคร่ืองเขียนที่เส้นล่างของส่วนท่ี 1 เขียนวงกลม

ตามเขม็ นาฬกิ าขนาด 1/2 สว่ น เป็นหวั ชัน้ ใน
2. ลากเส้นโค้งซ้ายข้ึนจรดเส้นบนของส่วนที่ 1 แนว

เดียวกบั เส้นรอบวงดา้ นซา้ ยของหวั ชัน้ ใน
3. เขียนหยักฟังปลามีขนาดเท่าชว่ งหัวชน้ั ในโดยให้ส่วน

แหลมลา่ งของฟนั ปลาตรงกบั เสน้ ผ่าศูนย์กลางของหัวชั้นใน
ฟันปลายาว 1/4 ของสว่ นท่ี 1

4. ลากเส้นตรงโค้งซ้ายจรดเส้นล่างของส่วนที่ 1 ตรง
เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวชั้นใน แล้วจึงลากเส้นตรงต่อไป
ตามลกั ษณะตัวพยญั ชนะ

หมวดพยัญชนะ 2) “ข”
- เขียนหัวในช่องท่ี 1 โดยเขียนหัว
1) “ก” ขนาด 3/4 สว่ น
- ลากเสน้ ตรงขนึ้ จากช่องที่ 4 - ล า ก เ ส้ น ล ง ม า ใ ห้ พ อ ดี กั บ
- เขียนปากด้วยเส้นโค้งเข้าออกใน เส้นผา่ ศูนยก์ ลางของหวั
ช่องท่ี 1 4) “ค”
- เขยี นหวั เตม็ ส่วนในช่องที่ 2
3) “ฃ” - ลากเสน้ ทแยงลงมาชอ่ งที่ 4
- เขียนหัว 2 ช้ัน แบบหัวแตกในช่อง
ที่ 1 6) “ฆ”
- ลากเส้นโค้งจากส่วนหัวผ่าน - เขียนหัวสองชั้นแบบหัวแตกใน
เส้นผ่าศนู ย์กลางของหวั อักษร ช่องที่ 1
5) “ฅ” - เขียนหวั ขมวดเต็มส่วนในชอ่ งที่ 4
- เขยี นหัวเต็มสว่ นในช่องที่ 2
- ส ร้ า งห ยั กต ร งส่ วนที่ต ร งกั บ
เส้นผ่าศนู ย์กลางของหัว

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

7) “ง” 22
- เขียนหัวเตม็ ส่วนในช่องที่ 1
- ลากเส้นทแยงจากช่องท่ี 4 ไปจน 8) “จ”
สุดชอ่ งที่ 2 - เขยี นหัวเตม็ ส่วนในช่องท่ี 2
- ลากเส้นทแยงจากหัว
9) “ฉ” - จบเส้นอกั ษรในชอ่ งท่ี 1
- เขยี นหัวเต็มส่วนในสว่ นท่ี 2
- เขียนหัวขมวดเตม็ ส่วนในช่องท่ี 4 10) “ช”
- จบเสน้ อักษรในช่องท่ี 1 - เขียนหวั สองช้ันในช่องที่ 1
- เขียนหางด้วยเส้นทแยง ยาวไม่
11) “ซ” เกินช่องที่ 2
- เขียนหัวสองชน้ั แบบหัวแตกในชอ่ ง
ที่ 1 12) “ฌ”
- เขยี นหางดว้ ยเสน้ ทแยง ยาวไม่เกิน - เขียนหัวเต็มสว่ นในช่องที่ 4
ชอ่ งท่ี 2 - เขียนปากด้วยเส้นโค้งเข้าออกใน
13) “ญ” ช่องท่ี 1
- เขียนหัวเตม็ สว่ นในชอ่ งท่ี 4 - เขียนหวั ขมวดเต็มส่วนในชอ่ งที่ 4
- เขียนปากด้วยเส้นโค้งเข้าออกใน 14) “ฎ”
ชอ่ งท่ี 1 - เขยี นหวั เตม็ สว่ นในช่องท่ี 4
- เขียนสว่ นผสมอกั ษรขนาด 1/2 - เขียนปากด้วยเส้นโค้งเข้าออกใน
- เขียนเชิงในส่วนที่ 1 ความยาว ชอ่ งที่ 1
ขนาดเท่าส่วนผสมอกั ษร - เขียนเชิงในช่องที่ 2 โดยเขยี นหวั
15) “ฏ” ขมวดเต็มส่วน
- เขียนหวั เตม็ ส่วนในช่องท่ี 4
- เขียนปากด้วยเส้นโค้งเข้าออกใน 16) “ฐ”
ช่องท่ี 1 - เขยี นหัวเตม็ สว่ นในช่องที่ 2
- เขียนเชิงในช่องท่ี 2 โดยเขียนหยัก - ลากเส้นทแยงจากหวั สูช่ ่องที่ 4
ขน้ึ ลงและหัวขมวดเต็มสว่ น - เขียนหัวของเชิงขนาด 1/2 ใน
17) “ฑ” ช่องท่ี 1
- เขียนหัว 2 ชั้น แบบหัวแตกในช่อง - เขยี นหัวขมวดเต็มส่วนในช่องท่ี 2
ที่ 1 18) “ฒ”
- ลากเส้นโค้งจากหัวผ่านจุดผ่า - เขยี นหัวเตม็ สว่ นในช่องที่ 2
ศูนยก์ ลางของหวั อกั ษร - เขยี นหัวขมวดเต็มสว่ นในช่องท่ี 4
- ส่วนผสมอักษรขนาด 1/2 ของ
อกั ษร

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

19) “ณ” 23
- เขียนหวั เตม็ ส่วนในชอ่ งท่ี 1
- เขยี นปาก เหมือน "ก" 20) “ด”
- เขียนหวั ขมวดในช่องที่ 4 - เขยี นหวั เตม็ สว่ นในช่องท่ี 2
- ลากเส้นทแยงจากหวั ถงึ ชอ่ งท่ี 4
21) “ต”
- เขยี นหัวเต็มสว่ นในชอ่ งที่ 2 22) “ถ”
- ลากเส้นทแยงจากหัวถงึ ช่องที่ 4 - เขียนหวั เตม็ ส่วนในช่องท่ี 4
- เ ขี ย น ห ยั ก ข น า ด 1 / 2 ต ร ง - เขยี นปาก เหมือน "ก"
เส้นผา่ ศูนย์กลางของหวั ในชอ่ งท่ี 1
23) “ท” 24) “ธ”
- เขียนหวั เต็มสว่ นในช่องที่ 1 - เรมิ่ เสน้ อกั ษรจากชอ่ งท่ี 2
- ลากเส้นทแยงขึ้นจากช่องที่ 4 ถึง - เขียนเสน้ ทแยง 1/2 ส่วน ในช่อง
ช่องที่ 1 ท่ี 1 แล้วลากเส้นโค้งกลับยาวไมเ่ กนิ
ความกวา้ งของตวั อกั ษร
25) “น” 26) “บ”
- เขยี นหวั เตม็ ส่วนในช่องท่ี 1 - เขยี นหวั เตม็ ส่วนในช่องท่ี 1
- เขียนหัวขมวดเต็มสว่ นในช่องท่ี 4
28) “ผ”
27) “ป” - เขยี นหัวเตม็ สว่ นในชอ่ งที่ 1
- เขียนหวั เตม็ สว่ นในช่องที่ 1 - ลากเส้นทแยงจากช่องที่ 4 จรด
- เขยี นหางยาวไม่เกนิ ชอ่ งที่ 3 ช่องท่ี 3

29) “ฝ” 30) “พ”
- เขียนหัวเต็มสว่ นในชอ่ งที่ 1 - เขียนหัวเต็มสว่ นในช่องที่ 1
- ลากเส้นทแยงจากช่องท่ี 4 จรดชอ่ ง - ลากเส้นทแยงจากช่องท่ี 4 จรด
ท่ี 3 ชอ่ งที่ 1
- เขยี นหางยาวไม่เกินช่องท่ี 3
31) “ฟ” 32) “ภ”
- เขียนหวั เตม็ สว่ นในชอ่ งท่ี 1 - เขยี นหวั เต็มส่วนในช่องท่ี 4
- ลากเสน้ ทแยงจากชอ่ งท่ี 4 จรดชอ่ ง - เขียนปากโดยลากเส้นโค้งเข้า
ที่ 1 ออกในชอ่ งที่ 1
- เขยี นหางยาวไมเ่ กินชอ่ งท่ี 3

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

33) “ม” 24
- เขยี นหัวเต็มส่วนในช่องท่ี 1
- เขยี นหัวขมวดเตม็ ส่วนในชอ่ งที่ 4 34) “ย”
- เขียนหัว 3/4 สว่ น ในชอ่ งที่ 1
35) “ร” - ลากเส้นโค้งจากหัวอกั ษรจรดเสน้
- เขยี นหัวเตม็ สว่ นในช่องที่ 4 ลา่ งของช่องที่ 2
- ลากเส้นตรงจากหัวถงึ ชอ่ งท่ี 2
- เขียนเส้นทแยง 1/2 ส่วน ในช่องท่ี 36) “ล”
1 แล้วลากเส้นโค้งกลับยาวไม่เกิน - เขียนหวั เต็มสว่ นในช่องท่ี 4
ความกวา้ งของตวั อกั ษร - เขียนเส้นโค้งชิดเส้นบนสุดใน
37) “ว” ช่องท่ี 2
- เขียนหัวเตม็ ส่วนในชอ่ งที่ 4 - จบเสน้ อักษรในช่องท่ี 1
- ลากเส้นตรงจากหัวอักษรจรด 3/4
ในช่องที่ 1 38) “ศ”
- จบเสน้ อกั ษรในชอ่ งท่ี 1 - เขยี นหวั เตม็ ส่วนในชอ่ งท่ี 2
39) “ษ” - ลากเส้นทแยงจากหัวอักษรจรด
- เขยี นหัวเต็มส่วนในช่องที่ 1 ชอ่ งท่ี 4
- เขียนหัวของไส้อักษร 1/2 ส่วน ใน - เขยี นหางไมเ่ กินช่องท่ี 3
ช่องที่ 2 40) “ส”
- เขียนหวั เตม็ ส่วนในชอ่ งท่ี 4
41) “ห” - เขียนเส้นโค้งชิดเส้นบนสุดใน
- เขยี นหวั เตม็ ส่วนในชอ่ งท่ี 1 ช่องที่ 2
- เขียนเสน้ ทแยงจากช่องท่ี 4 ถงึ - จบเส้นอกั ษรในชอ่ งที่ 1
ช่องที่ 1 - เขียนหางไม่เกินช่องท่ี 3
- เขยี นหวั ขมวดเตม็ สว่ นในชอ่ งท่ี 1 42) “ฬ”
- เขยี นหัวเตม็ ส่วนในชอ่ งท่ี 1
43) “อ” - เขียนเส้นทแยงจากช่องที่ 4 จรด
- เขยี นหวั เตม็ ส่วนในช่องที่ 2 เสน้ บนสดุ ในช่องที่ 1
- จบเสน้ อักษรในช่องท่ี 1 - ลากเส้นหลังยาวถึงช่องที่ 3 และ
เขยี นหัวขมวดเต็มส่วนในช่องท่ี 3
44) “ฮ”
- เขยี นหวั เตม็ ส่วนในช่องที่ 2
- เขียนหวั ขมวดในช่องท่ี 1
- ลากหางยาวไมเ่ กินชอ่ งท่ี 4

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

25

นอกจากนี้การเขียนอักษรไทยยังต้องให้ความการลากเส้นประกอบ อันได้แก่
การลากเส้นหนัก และการลากเส้นเบา ในตัวอักษรตัว รวมทั้งการเขียนอักษรควรเขียนเส้นให้
ต่อเน่ืองกันโดยไม่ยกปากกาบ่อยๆ ซึ่งต้องอาศัยการสังเกตและการพิจารณาให้แน่ชัดก่อน แล้วจึง
ลากเสน้ โดยระวังอย่าให้เส้นยาวหรือสน้ั กว่าเส้นบรรทดั /เส้นกาหนดขนาด จึงจะทาให้ไดต้ ัวอักษรที่มี
ขนาดเท่ากัน และเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยสวยงาม

หมวดสระ 2) สระอา
- เขียนลากเส้นโค้งจากช่องท่ี 1 แล้ว
1) สระอะ ลากเปน็ เสน้ ตรงจรดชอ่ งที่ 4
- เขียนหัว 1/2 ส่วนชิดเส้นบนใน
ช่องท่ี 1 และ ชอ่ งที่ 4

3) สระอิ 4) สระอี
- ลากเส้นตรงขนานกับเส้นล่างของ - เขยี นเหมอื น สระอิ
ชอ่ งที่ 2 จากขวาไปซ้าย - ลากเส้นตรงจากช่องที่ 1 จรด
- ลากเสน้ โค้งกลบั ใหช้ ิดกับเสน้ ขอบ จุดเริม่ ตน้
บน ในช่องที่ 2
5) สระอึ 6) สระออื
- เขียนเหมอื น สระอิ - เขยี นเหมือน สระอี
- เขยี นวงกลมเต็มส่วนในช่องท่ี 2 - ลากเส้นตรงจากช่องที่ 1 จรด
จดุ เรม่ิ ต้น จานวน 2 เสน้

7) สระอุ 8) สระอู
- เขียนหัว 1/2 ส่วนชิดเส้นลา่ ง - เขยี นเหมอื น สระอุ
ในช่องท่ี 2 - เขียนเส้นท้ายความยาวขนาน
- ลากเส้นตรงจากหัวจรดเส้น กับสว่ นหวั
ลา่ งในชอ่ งที่ 3
9) สระเอ 10) สระไอ
- เขยี นหวั เตม็ ส่วนในชอ่ งที่ 4 - เขยี นหวั เต็มสว่ นในช่องที่ 4
- ลากเส้นตรงข้ึนจากหัวจรด - ลากเส้นตรงข้ึนจากหัวจรดเส้น
เส้นบนของช่องที่ 1 บนของชอ่ งที่ 2
- ลากเส้นทแยกลง-ข้นึ ในชอ่ งท่ี 2

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

26

11) สระใอ 12) สระโอ
- เขยี นหัวเตม็ ส่วนในชอ่ งที่ 4 - เขยี นหวั เตม็ ส่วนในชอ่ งที่ 4
- ลากเส้นตรงขึ้นจากหัวจรด - ลากเส้นตรงขึ้นจากหัวจรดเส้น
เสน้ บนของช่องที่ 2 บนของช่องท่ี 2
- ลากเส้นโค้งในชอ่ งท่ี 2
- เขียนขมวดหัวเต็มส่วนใน - เขียนเส้นทแยง 1/2 ส่วน ในช่องท่ี 2
ชอ่ งท่ี 3 แลว้ ลากเสน้ โค้งกลับ โดยเขียนความยาว
ขนานกับส่วนหัว

หมวดวรรณยกุ ตแ์ ละเครือ่ งหมายตา่ ง ๆ

1) ไมเ้ อก 2) ไมโ้ ท
- ลากเสน้ ตรงเต็มสว่ นใน - เขยี นหัว 1/2 สว่ น ในช่องที่ 2
ช่องท่ี 2 - ลากเส้นทแยงให้ขนานกับหัว
อักษร และจบเส้นอักษรในช่องท่ี 2
3) ไมต้ รี 4) ไมจ้ ัตวา
- เขยี นหวั 1/2 สว่ น ในช่องท่ี 2 - ลากเส้นตรงแนวตั้งเต็มส่วนใน
- สร้างหยัก 1/2 สว่ น ช่องที่ 2
- ลากเส้นทแยงชิดเส้นบนของ - ลากเส้นตรงแนวนอนที่จุด
ช่องท่ี 2 กงึ่ กลางของเสน้ แนวต้ัง
5) ไมท้ ัณฑฆาต 6) ไม้หันอากาศ
- เขยี นหัว 1/2 ส่วนในชอ่ งที่ 2 - เขียนหัว 1/2 ส่วน ในช่องท่ี 2
- ลากเส้นโค้งชิดเส้นบนของ - ลากเส้นโค้งจรดเส้นขอบบน
ช่องที่ 2 ของช่องท่ี 2
- ลากหางเต็มสว่ นในช่องที่ 1
7) ไม้ไต่คู้ 8) เครอื่ งหมายไปยาลนอ้ ย
- เขียนหัว 1/2 สว่ นในช่องที่ 2 - เขียนหัวเต็วสว่ นในช่องที่ 1
- ลากเส้นทแยงข้นึ ลง 1/2 สว่ น - ลากเส้นโค้งเต็มส่วนในชอ่ งที่ 1
ในช่องที่ 2 - ลากเสน้ ตรงจรดช่องที่ 3
- ลากหางเต็มสว่ นในช่องที่ 1 - ลากเสน้ โค้งในชอ่ งที่ 4

นอกจากนี้การเขียนวรรณยุกต์ทุกรูป ให้เขียนบนแนวเดียวกับเส้นหลังของพยัญชนะ ถ้า
มีสระกากบั อยใู่ หเ้ ขียนบนสระ

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอักษรไทย//\\//\\

27

3. ลกั ษณะการนงั่ ที่ถกู วธิ ี
1) หันหนา้ เขา้ หาโต๊ะ การนง่ั เอียงอาจทาใหห้ ลงั คด

2) แขนท้งั 2 ขา้ ง วางอยบู่ นโตะ๊ ประมาณ 3 ใน 4 ของความยาวระหวา่ งศอกกบั ขอ้ มอื พาดไว้
กับขอบโต๊ะ หากไม่ทาเช่นนี้อาจทาใหก้ ระดกู สนั หลังคด

3) กระดาษต้องวางไว้หน้าผู้เขียน การวางกระดาษไม่ตรงทาให้ผู้เขียนต้องเอียงคอ สายตา
ทางานมาก อาจทาให้กระดกู สันหลังคด

4) สว่ นลา่ งของกระดาษทามุมกบั ขอบโต๊ะ 30 องศา

5) แขนของมือที่เขียนต้องทามุมที่เหมาะสมกับตัวอักษร ข้อศอกต้องไม่กางออกหรือแนบตัว
มากเกนิ ไป

6) การวางมือ ฝ่ามือคว่าลง มืองอ ทามุม 45 องศากับข้อมือ น้ิวกลาง รองรับดินสอหรือ
ปากกา นิ้วชีก้ ับน้ิวหวั แมม่ ือจะประคองดนิ สอ หรอื ปากการ่วมกับนว้ิ กลาง มือจะพักอย่บู นน้วิ นางและ
นวิ้ กอ้ ย

7) จบั ดนิ สอหรือปากกาพอเหมาะ ไมแ่ น่นเกนิ ไป นิว้ ทจี่ ับโค้งเลก็ น้อย

8) ในขณะที่คดั ลายมือ แขน มอื และน้ิวจะต้องเคลอ่ื นไหวใหส้ มั พันธ์กัน

9) การเคล่ือนไหวของดินสอหรือปากกาในขณะท่ีคัดแบ่งออกไปเป็นหน่วยๆ แต่ละหน่วย
มรี ะยะหยดุ เป็นระยะ ไมเ่ คล่อื นไหวตดิ ต่อกันโดยตลอด

4. ข้อบกพรอ่ งในการเขียนอักษรไทย
ข้อบกพร่องในการเขียนอักษรไทยมีผู้รู้รวบรวมไว้หลายประการ ประกอบด้วยประเด็นที่

นา่ สนใจดงั น้ี
กรรณกิ าร์ พวงเกษม (2531, 2) กล่าวถึงปัญหาและข้อบกพร่องในการเขียนไว้ ดังนี้
1) ลายมือ การเขียนตัวอักษร สระ วรรณยุกต์ไม่เรียบร้อย ไม่ถูกต้องตามลักษณะพยัญชนะ

ไทย คอื
- เขียนตัวอกั ษรเอนหลัง

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

28

- เขยี นตวั อกั ษรโยห้ นา้
- การเขียนกด
- เขียนเบามากไป ทาใหบ้ างส่วนของตวั อกั ษรหายไป
- เขียนเกร็ง
- การเว้นช่องไฟไม่เหมาะสม
- การเวน้ วรรคไม่ถูกตอ้ ง
- การเขยี นผิดลักษณะตวั อกั ษร เช่น พ เป็น ฟ, ร เป็น ธ, ข เป็น บ เปน็ ตน้
- การเขยี นยา้ หัวตวั อกั ษร
2) การเขียนสะกดคาผิด ขอ้ บกพร่องนี้ มาจากการอา่ นของเด็กที่ไม่ถูกต้อง เด็กทอ่ี า่ นหนังสือ
ผิดๆ ถูกๆ คืออ่านออกเสียงเพี้ยน อ่านตกหล่น อ่านไม่เว้นวรรคตอนใหถ้ ูกต้องหรืออ่านเพ่ิมเตมิ (เติม
คาบางคาลงไปในข้อความท่อี ่าน) ทาใหเ้ ดก็ เขยี นสะกดคาผดิ
3) การเขียนประโยคผิด เช่น การเขียนประโยคตามภาษาพูด การเขียนประโยคโดย
ละคาบุพบท เปน็ ต้น
4) การเขียนบรรยายหรือเขียนอธิบายไม่ชัดเจน คลุมเครือ ข้อบกพร่องน้ีมาจากการอ่านที่
ไมเ่ ข้าใจความหมาย คอื อา่ นแล้วจบั ใจความไม่ได้ จึงทาให้เดก็ เขยี นไม่ชัดเจน เขยี นตกหล่น เขยี นแล้ว
ผู้อ่านอ่านไมร่ ู้เรอ่ื ง เพราะข้อความทเี่ ขยี นไม่ติดต่อกัน
สานักงานคระกรรมการการศึกษาเอกชน (2538, 30) กล่าวถึงปัญหาและข้อบกพร่องใน
การเขยี นไว้ดงั น้ี

1) เขยี นหนงั สอื ไมเ่ ปน็ ตวั
2) เขียนหนงั สอื ไมส่ ม่าเสมอ
3) เขียนตวั อักษรหลายแบบปะปนกัน

วรรณี โสมประยรู (2537, 151-153) ไดก้ ลา่ วถงึ ปญั หาทางการเขียนไว้ ดังน้ี
1) การเขียนตัวอักษรไม่ชัดเจน เน่ืองมาจากการไม่เขียนหัวหรือเขียนหนังสือหัวบอดสัดส่วน
ตวั อักษรผิดไปจากท่ีเป็นจริง เขียนตวั อักษรผิดขนาด เขียนตวั อักษรที่คลา้ ยกนั ให้เหมือนกนั หรือเขียน
ผดิ ลักษณะตัวอักษร
2) การวางเคร่ืองหมายและสระผิดท่ี
3) เขียนตวั หนงั สือเลน่ หาง ทาใหเ้ ขา้ ใจไขว้เขวไปจากเดิม

//\\//\\พฒั นาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

29

4) เขียนผดิ ลกั ษณะตัวอกั ษรด้วยการเขยี นรปู ตัวอักษรไทยผดิ
5) เขียนผิดลักษณะการเขียนภาษาไทย ลักษณะการเขียนภาษาไทยเป็นการเขียนเป็นตัวๆ
หรือคาๆ และมีวรรคตอน ไม่คิดกันเป็นพืดแบบภาษาอังกฤษ เม่ือเขียนติดกันเป็นพืดจึงทาให้ผู้อ่าน
เดาไมอ่ อกว่าขอ้ ความควรจะเป็นอย่างไร
6) เขียนลายมือไม่สม่าเสมอหรือเขียนไม่เป็นระเบียบ โดยการเขียนขนาดตัวไม่เท่ากัน เขียน
โยม้ าข้างหนา้ โย้ไปข้างหลัง ช่องไฟและวรรคตอนไม่เทา่ กัน ทาให้อา่ นยากและเข้าใจยากด้วย
7) เขียนลายมือตัวเล็กเกินไป ทาให้ตัวท่ีมีลักษณะหยักหายไป ผู้อ่านจึงต้องเพ่งสายตามาก
อา่ นแลว้ รสู้ กึ ปวดตา บางครง้ั ตอ้ งเดา จึงทาใหผ้ ูอ้ ่านเข้าใจงานท่เี ขียนผดิ
8) เขียนไม่สะอาดและไม่สวยงาม เพราะมีรอยขูดลบขีดฆ่าสกปรก บางคร้ังลบไม่หมดทาให้
ตัวอักษรผิดไป นอกจากอ่านผิด และดูไม่งามตาแล้วยังแสดงให้เห็นนิสายการทางานที่ไม่เป็นระเบียบ
เรยี บร้อยของผูเ้ ขียนอีกด้วย
9) เขียนโดยใช้เคร่ืองเขียนสีจาง เช่น ดินสอ หรือปากกาท่ีมีสีซีดจาง จนทาให้บางส่วนของ
ตัวอกั ษรมองเหน็ ไม่ชัด ทาใหอ้ า่ นยากบางคร้ังอ่านผดิ
10) ขอ้ บกพรอ่ งในการเว้นวรรค
ดังน้ันจึงอาจกล่าวโดยสรุปเก่ียวกับข้อบกพร่องในการเขียนอักษรไทยได้ว่า เกิดจากความไม่
ระมัดระวังในการเขียนตัวอักษรให้มีขนาดคงท่ีมีความชัดเจนตลอดความ ตลอดจนความไม่ประณีต
บรรจงในการเขยี นและการเวน้ วรรคตอนและชอ่ งไฟในการเขยี น

เขยี นลายมือมีหลกั รจู้ กั นง่ั ตัวตอ้ งตงั้ ตรงแนบถูกแบบอยา่ ง
จับดนิ สอปากกาถกู ท่าทาง สมุดวางพลางเพ่งแล้วเลง็ แล
ค่อยเขียนไปให้งามตามสว่ นสัด ช่องไฟจดั วัดกะระยะแน่
สระหรอื เครอ่ื งหมายอยา่ ยา้ ยแปร ต้งั ใจแนม่ รี ะเบยี บเรยี บรอ้ ยเอย

จากแบบเรียนเรว็ ใหม่ เลม่ 1 ตอนกลาง

//\\//\\พัฒนาการเขยี นอกั ษรไทย//\\//\\

30

การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย

การอ่านและการเขยี นคาไทยอย่างถูกต้องเป็นเร่ืองทม่ี สี าคัญมากเร่ืองหน่ึงในการใช้ภาษาไทย
เนื่องจากการอ่านออกเสียงหรือการเขียนที่ไม่ถูกต้องจะสะท้อนระดับความรู้ของผู้ส่งสารซ่ึงจะส่งผล
กระทบอย่ามากต่อความน่าเชื่อถือศรัทธาต่อตัวผู้ส่งสารในสังคม นอกจากนี้เร่ืองการอ่าน และ
การเขียนคาไทยยังเป็นเร่ืองท่ีมีรายละเอียดในการปฏิบัติมาก ดังนั้นวิธีการท่ีดีที่สุดในการเรียนรู้เร่ือง
การอ่านและการเขียนคาไทยจนสามารถนาไปใชไ้ ด้อย่างมีประสทิ ธิภาพ จาเป็นต้องศึกษาหลักการให้
ลกึ ซง้ึ เพียงพอพร้อมกบั จดจาข้อยกเว้นต่างๆ ใหไ้ ดอ้ ยา่ งแม่นยา ซ่ึงมรี ายละเอยี ดทีน่ า่ สนใจดงั ตอ่ ไปนี้

การอา่ นคาในภาษาไทย
1. หลักการอา่ นตามอักขรวิธีของไทย
1.1) คาเดมิ ท่อี าจมี 2 พยางค์ – 3 พยางค์ แตอ่ ่านให้เหลอื 1 พยางค์ เชน่

คช (คชสาร) อา่ นวา่ คด (คด-ชะ-สาน)
จร (จราจร) อ่านวา่ จอน (จะ-รา-จอน)
อ่านว่า จัก
จักร อา่ นวา่ ลกั
ลักษณ์ อ่านวา่ พมู
ภูมิ

1.2) คาเดิมหลายพยางค์ให้อ่านพยางค์หลังมีตัวสะกด กล่าวคือคาพยางค์หน้า
เป็นพยัญชนะไม่มีสระกากับและไม่มีตัวสะกด ให้อ่านออกเสียง อะ ตามเดิม แต่คาพยางค์หลังสุด
ให้อา่ นลดพยางค์ลง และให้มีตัวสะกดตามอกั ขรวธิ ขี องไทย ดงั ตวั อย่าง

มกราคม อา่ นว่า มะ-กะ-รา-คม
นคร อ่านวา่ นะ-คอน
พยาธิ อา่ นวา่ พะ-ยาด

1.3) อ่านคาพยางค์หน้าออกเสียง ออ คือพยางค์หน้าเป็นพยัญชนะไม่มีสระกากับ
และไมม่ ีตวั สะกด ให้อา่ นออกเสยี ง ออ ตามอักขรวิธขี องไทย แต่พยางค์หลงั ให้อ่านตามแบบเดิมบ้าง
หรอื อา่ นแบบไทยบา้ ง เชน่

//\\//\\การอา่ น – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

31

กรกช อา่ นวา่ กอ-ระ-กด
ธรณี อ่านวา่ ทอ-ระ-นี
มรณา อา่ นว่า มอ-ระ-นา

2. หลกั การอ่านอักษรนา
อักษรนาคือคาท่ีมีพยัญชนะต้น 2 ตัว เรียงกันมาผสมกับสระเดียวกัน จะมีตัวสะกด

หรือไม่มีตัวสะกดก็ตาม เวลาอ่านต้องอ่านออกเสียงพยัญชนะตัวแรกและพยัญชนะตัวท่ีสองหรือบาง
คาอาจะอ่านเฉพาะเสียงพยญั ชนะตัวที่ 2 เพยี งตวั เดยี วก็ได้ มขี ้อแนะนาในการอ่าน ดงั น้ี

2.1) กรณอี กั ษรสงู (ข ฃ ฉ ถ ฐ ผ ฝ ศ ษ ส ห) เป็นตัวนา และอักษรต่าเดีย่ ว (ง ญ น
ย ณ ร ว ม ฬ ล) เป็นตัวตาม เมื่ออ่านออกเสียงให้ออกเสียง “อะกึ่งเสียง” ที่ตัวนา ส่วนตัวตามให้
ออกเสยี งวรรณยกุ ตเ์ สียงจตั วาหรอื เสยี งสงู ตามตวั นา เชน่

สงวน อ่านว่า สะ – หงวน

ถนอม อ่านวา่ ถะ – หนอม

ขนม อา่ นวา่ ขะ – หนม

ผวา อ่านวา่ ผะ – หวา

2.2 อักษรสูงนาอักษรต่าคู่ เม่ืออ่านให้ออกเสียง “อะก่ึงเสียง” ที่ตัวนา ส่วนตัวตาม
ใหอ้ อกเสยี งวรรณยกุ ตต์ ามปกติ ไม่ต้องออกเสยี งสงู ตามตวั นา เชน่

ไผท อา่ นวา่ ผะ – ไท

สภา อ่านว่า สะ – พา

สภาพ อ่านว่า สะ – พาบ

เผชญิ อา่ นว่า ผะ – เชนิ

2.3) อักษรกลาง (ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ) นาอักษรต่าเด่ยี ว เมือ่ อ่านให้ออกเสยี ง “อะ
กึ่งเสียง” ทต่ี ัวนา ส่วนตัวตามใหอ้ อกเสยี งวรรณยกุ ตต์ ามตัวนาทเี่ ปน็ อกั ษรกลาง เช่น

กนก อา่ นว่า กะ – หนก

//\\//\\การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

32

จมูก อา่ นวา่ จะ – หมูก
ตลาด อา่ นว่า ตะ – หลาด
อรอ่ ย อา่ นวา่ อะ – หร่อย
2.4) อักษร “อ” นา “ย” ไม่ต้องออกเสียง “อะ” ท่ีตัวนา ให้ออกเสียงวรรณยุกต์
ของตัว “ย” ตามเสียงตัว “อ” เชน่
อยา่ อ่านว่า หย่า
อยู่ อา่ นว่า หยู่
อย่าง อ่านว่า หย่าง
อยาก อา่ นว่า หยาก
2.5) อักษร “ห” นาอักษรต่าเดี่ยว ไม่ต้องออกเสียง “อะ” กึ่งเสียง ท่ีตัวนา แต่ออก
เสียงวรรณยกุ ต์ตามตวั “ห” เชน่
หมอ อ่านว่า หมอฺ
หลง อ่านว่า หลฺง
หนกั อา่ นวา่ หนกั
ใหญ่ อ่านวา่ ไหย่
3. หลกั การอ่านคาสมาส
คาสมาส คือ การนาศัพท์ต้ังแต่ 2 คาข้ึนไปมาต่อกันเป็นคาศัพท์เดียว ตามหลักท่ี
ได้มาจากไวยากรณ์ของภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต คาสมาส จาแนกได้ 2 ลักษณะ ตาม
หลักการกลมกลืนเสียงระหว่างคา 2 คา ที่นามารวมกัน ประกอบด้วย คาสมาสที่มีสนธิ และ
คาสมาสที่ไม่มีสนธิ

//\\//\\การอ่าน – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

33

คาสมาสที่มีสนธิ เป็นคาสมาสที่กลมกลืนเสียงของคา โดยการนาคาที่มาจาก
ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ตั้งแต่สองคาขึ้นไป มาเชื่อมต่อกัน ทาให้เสียงพยางค์หลังของคา
หน้ากลมกลืนกับเสียงพยางค์หน้าของคาหลังในหลายลักษณะ ดังนี้

(1) สระสนธิ : เป็นการกลมกลืนคาทั้งสองด้วยเสียงสระ โดยพยายงค์หลัง
ของคาหน้าลงท้ายด้วยเสียงสระ และพยางค์หน้าของคาหลังขึ้นต้นด้วยเสียงสระ สระของท้ังสอง
พยางค์จะกลมกลืนเสียงกัน เช่น วิทย – อาลัย = วิทยาลัย, ราช – โอวาท = ราโชวาท, พุทธ –
อานุภาพ = พุทธานุภาพ, ราม – อิศวร =ราเมศวร, มคั ค – อเุ ทศก์ = มัคคุเทศก์, มหา – โอสถ =
มโหสถ, ไพรี – อินทร์ = ไพรินทร์, สามัคคี – อาจารย์ = สามัคยาจารย์, คุรุ – อุปกรณ์ = คุรุ
ปกรณ์, ธนู – อาคม = ธันวาคม เป็นต้น

(2) พยัญชนะสนธิ : เป็นการกลมกลืนเสียงระหว่างพยัญชนะกับพยัญชนะ
ซ่ึงไม่ค่อยมีใช้ในภาษาไทย เช่น รหสฺ – ฐาน = รโหฐาน, ทุสฺ – ชน = ทุรชน, นิสฺ – ภย = นิรภัย

(3) นฤคหิตสนธิ : เป็นการเชื่อมคาที่ขึ้นต้นด้วยนฤคหิตหรือพยางค์ท้ายของ
คาหน้าเป็นนฤคหิตกับคาอ่ืนๆ ซึ่งมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ

(3.1) นฤคหิตสนธิกับสระ ให้แปลงนฤคหิตเป็น “ม” เสียก่อน แล้วจึง
ค่อยเช่ือมกัน เช่น ส – อาคม = สมาคม, ส – โอสร = สโมสร

(3.2) นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะวรรค ให้แปลงนฤคหิตเป็นพยัญชนะตัว
สุดท้ายของวรรคนั้นเสียก่อน (ง ญ ณ น ม) แล้วจึงค่อยเชื่อมกัน เช่น ส – คม = สังคม, ส – จร
= สัญจร, ส – ผัส = สัมผัส, ส – ธาน = สันธาน

(3.3) นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะเศษวรรค ให้แปลงนฤคหิตเป็น “ง”
เสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อมกัน เช่น ส – หาร = สังหาร, ส – วร = สังวร, ส – สรรค์ = สังสรรค์

ทั้ง นี้ก า ร อ่า น คา ส ม า ส ที่มีส น ธิจ ะ ใ ช้ห ลัก ก า ร อ่า น ต า ม อัก ข ร วิธีข อ ง ไ ท ย เ ป็น
พ้ืนฐาน

คาสมาสที่ไม่มีสนธิ เป็นคาสมาสที่ไม่กลมกลืนเสียงของคา โดยการนาคาใน
ภาษาลาลีและภาษาสันสกฤตตั้งแต่สองคาขึ้นไปมาเรียงต่อเป็นคาเดียวกัน โดยไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงรูปคา คาสมาสลักษณะนี้บางคาเมื่อนามารวมกันแล้วเกิดเป็นความหมายใหม่หรือ
บางครั้งอาจมีความหมายคงเดิมโดยความหมายหลักมักอยู่ที่คาหลัง ทั้งนี้มีหลักการสังเกต
คาสมาสท่ีไม่สนธิ ดังน้ี

//\\//\\การอา่ น – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

34

(1) ต้องเป็นคาที่มาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตเท่านั้น กล่าวคือ ต้อง

เป็น คาบาลีกับบาลี, คาสันสกฤตกับสันสกฤต และ คาบาลีกับสันสกฤต เท่านั้น เช่น วาตภัย

(บาลี+บาลี), แพทยศาสตร์ (สันสกฤต+สันสกฤต), นาฏศิลป์ (สันสกฤต+บาลี) เป็นต้น หากเป็น

คาบาลีหรือคาสันสกฤตกับคาอื่น เช่น ไทย จีน อังกฤษ เขมร ประสมกัน ไม่นับเป็นคาสมาส เช่น

ผลไม้ (บาลี+ไทย), พลเรือน (บาลี+ไทย), หลักฐาน (ไทย+บาลี) เป็นต้น

(2) คาที่รวมกันเป็นคาสมาส กล่าวคือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคาเมื่อนามา

ประสมกัน เช่น วัฒน – ธรรม = วัฒนธรรม, สาร – คดี = สารคดี, เสรี – ภาพ = เสรีภาพ

ทั้งนี้มีหลักเกณฑใ์ นการอา่ นคาสมาสทไี่ มม่ ีสนธิ 3 ลกั ษณะ ดังตอ่ ไปนี้

(1) ถ้าเป็นคาสมาสท่ีพยางค์ท้ายของคาหน้าไม่มีรูปสระปรากฏอยู่ให้อ่านออก

เสยี ง “อะ” ทีพ่ ยางค์ทา้ ยของคาหนา้ ต่อเนื่องกับพยางคห์ ลงั เช่น

กจิ กรรม อ่านวา่ กิด – จะ – กา

อิสรภาพ อ่านว่า อิด – สะ – หระ – พาบ

วรรณคดี อา่ นวา่ วัน – น – คะ – ดี

สงั คมศาสตร์ อา่ นวา่ สัง – คม – มะ – สาด

(2) ถ้าเป็นคาสมาสที่พยางค์ท้ายของคาหน้ามีรูปสระปรากฏอยู่ ให้ออกเสียง

พยางคท์ า้ ยประสมกับรปู สระที่ปรากฏอย่ตู อ่ เนื่องกับพยางคห์ ลงั เชน่

ประวัติศาสตร์ อา่ นวา่ ประ-หวัด-ติ-สาด

อุบัตเิ หตุ อ่านวา่ อ-ุ บัด-ติ-เหด

วุฒบิ ตั ร อา่ นวา่ วุด-ท-ิ บัด

พันธกุ รรม อา่ นว่า พัน-ทุ-กา

เมรมุ าศ อา่ นว่า เม-ร-ุ มาด

(3) คาสมาสบางคาไม่อา่ นตามข้อแนะนาขา้ งตน้ เช่น

ชลบุรี อา่ นว่า ชน-บ-ุ รี

สพุ รรณบุรี อ่านวา่ สุ-พนั -บุ-รี

4. หลกั การอา่ นคาท่มี ี ร. หัน เปน็ ตัวสะกด

4.1) อา่ นออกเสยี ง “อัน” เชน่

กรรเจียก อ่านว่า กนั -เจยี ก
จรรยา อา่ นว่า จัน-ยา

//\\//\\การอ่าน – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

35

บรรพชา อา่ นว่า บัน-พะ-ชา
4.2) อา่ นออกเสยี ง “อะ”
อ่านวา่ จัก-กระ-พดั
จกั รพรรดิ อา่ นวา่ ดดั -ชะ-นี
ดรรชนี อา่ นวา่ ทดั -สะ-นะ
ทรรศนะ อา่ นว่า สะ-มดั -ถะ-พาบ
สมรรถภาพ อ่านวา่ สบั -พะ-สา-มิด
สรรพสามิต

4.3) อา่ นออกเสยี ง “อา” เมอื่ มี “ม” สะกดในคาต่อจาก “รร” เช่น

ธรรมาสน์ อา่ นว่า ทา-มาด

กรรมการ อ่านวา่ กา-มะ-กาน

5. หลกั การอา่ นตัว ฤ

5.1) อ่านออกเสียง [ เออ ] คือคาว่า ฤกษ์ (อ่านวา่ เรกิ )

5.2) อ่านออกเสียง [ ริ ] เม่อื ประสมกับพยัญชนะ ก ต ท ป ศ ส ได้แก่

กฤษณา อ่านว่า กฺริด-สะ-หนฺ า

วิกฤติ อ่านวา่ วิ-กฺริด

ตฤณมยั อ่านว่า ตรฺ นิ -นะ-ไม

ศฤงคาร อา่ นวา่ สิง-คาน1

ทฤษฎี อา่ นวา่ ทฺริด-สะ-ดี

5.3) อ่านออกเสยี ง [ รึ ]

1) เมื่อประสมกับพยัญชนะ ค น พ ม ห ได้แก่

คฤหาสน์ อ่านวา่ คะ-ร-ึ หาด

1 อ่านได้ 2 แบบ คือ สงิ -คาน หรือ สะ-หรฺ งิ -คาน

//\\//\\การอ่าน – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

36

มฤคา อ่านว่า มะ-ร-ึ คา
พฤกษา อ่านว่า พรฺ ึก-สา
พฤหัสบดี อ่านว่า พรฺ -ึ หัด-สะ-บอ-ดี

2) ตวั ฤ ทีเ่ ปน็ พยางค์หนา้ ของคา ได้แก่
ฤทัย อ่านว่า รึ – ไท

ฤดี อา่ นว่า รึ – ดี

ฤดู อ่านว่า รึ – ดู

6. หลักการอา่ นตัว ฑ
ในภาษาบาลี-สันสกฤต อ่าน “ฑ” ออกเสียงเป็น “ด” (ดะ มีเสียงข้ึนนาสิก)

เพยี งอยา่ งเดียว และพอนามาใช้ในภาษาไทยก็ออกเสียงเปน็ เสียง “ด” และเสียง “ท” ดงั นี้
6.1) อา่ นออกเสียง “ด” เช่น
ฑังสะ อา่ นวา่ ดงั -สะ2
บุณฑรกิ อา่ นวา่ บุน-ดะ-ริก3
บัณฑติ อา่ นว่า บัน-ดดิ
บัณฑุ อ่านวา่ บัน-ดุ
บัณเฑาะก์ อ่านว่า บัน-เดาะ

6.2) อ่านออกเสยี ง “ท” เช่น กนุ -ทน
มน-ทก
กณุ ฑล อ่านว่า จัน-ทาน
มณฑก อ่านวา่ บัน-ทนู
จัณฑาล อ่านว่า บิน-ทะ-บาด
บณั ฑูร อา่ นว่า ขนั -ทด-สะ-กอน
บิณฑบาต อ่านวา่
ขัณฑสกร อ่านวา่

2 พจนานกุ รมราชบัณฑิตฉบบั ปี 2542 ใช้ ดงั -สะ แต่ ฉบบั ปี 2554 ใช้ ทัง-สะ
3 อ่านได้ 2 แบบ คอื บุน-ดะ-ริก หรือ บนุ -ทะ-ริก

//\\//\\การอ่าน – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

37

7. ประมวลคาศพั ท์ทม่ี กั อ่านผดิ ปฐมเทศนา ปะ-ถม-มะ-เท-สะ-นา
ปะ-ถม-มะ-เทด-สะ-หนฺ า
7.1) คาที่อา่ นได้ 3 แบบ ปะ-ถม-เทด-สะ-หนฺ า

คะ-นะ-นา
คณนา คนั -นะ-นา

คน-นะ-นา

7.2) คาทอ่ี ่านได้ 2 แบบ

กรกฎาคม กะ-ระ-กะ-ดา-คม กรณยี กจิ กะ-ระ-น-ี ยะ-กดิ
กะ-รกั -กะ-ดา-คม คุณค่า กอ-ระ-น-ี ยะ-กิด
ราชบุรี คุน-คา่
กาลสมยั กา-ละ-สะ-ไหม คุณวฒุ ิ คนุ -นะ-ค่า
กาน-ละ-สะ-ไหม ปรชั ญา ราด-ชะ-บุ-รี
ดลุ พินิจ ราด-บุ-รี
ครหา คอ-ระ-หา พสกนิกร คนุ -นะ-วุด
คะ-ระ-หา ภาชนะ คนุ -นะ-วุด-ทิ
โภชนาการ ปฺรัด-ยา
คุณสมบัติ คนุ -นะ-สม-บัด เทศนา ปฺรดั -ชะ-ยา
คุน-สม-บดั สปั ดาห์ ดนุ -พ-ิ นดิ
ดนุ -ละ-พ-ิ นดิ
ชลประทาน ชน-ละ-ปฺระ-ทาน พะ-สก-กะ-น-ิ กอน
ชน-ปรฺ ะ-ทาน พะ-สก-น-ิ กอน
พา-ชะ-นะ
ประกาศนียบตั ร ปฺระ-กา-สะ-น-ี ยะ-บัด พาด-ชะ-นะ
ปฺระ-กาด-สะ-นี-ยะ-บัด โพ-ชะ-นา-กาน
โพด-ชะ-นา-กาน
ผรุสวาท ผะ-ร-ุ สะ-วาด เท-สะ-นา4
ผะ-รดุ -สะ-วาด เทด-สะ-หนฺ า
สับ-ดา
ภรรยา พนั -ยา สบั -ปะ-ดา
พัน-ระ-ยา

ภูมิภาค พ-ู ม-ิ พาก
พูม-ม-ิ พาก

ศฤงคาร สิง-คาน
สะ-หรฺ ิง-คาน

สมดุล สม-ดนุ
สะ-มะ-ดนุ

4 เฉพาะเม่ือเป็นคาหนา้

//\\//\\การอ่าน – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

38

สุคติ สุ-คะ-ติ อาชญากร อาด-ยา-กอน
รสนิยม สกุ -คะ-ติ ถาวรวัตถุ อาด-ชะ-ยา-กอน
สมรรถภาพ รด-สะ-น-ิ ยม มูลนธิ ิ ถา-วอน-วัด-ถุ
สตรี รด-นิ-ยม สังคายนา ถา-วอ-ระ-วดั -ถุ
สะ-มัด-ถะ-พาบ มนู -น-ิ ทิ
สะ-หมฺ ดั -ถะ-พาบ มูน-ละ-น-ิ ทิ
สะ-ตรฺ ี สัง-คา-ยะ-นา
สัด-ตฺรี สงั -คาย-ยะ-นา

7.3) คาทอี่ า่ นไดแ้ บบเดยี ว กรมทา่ กรม-มะ-ทา่
คุณโทษ คนุ -โทด
กรมคลงั กรม-มะ-คลัง ชนนี ชน-นะ-นี
ขัดสมาธิ ขัด-สะ-หมาด ตกุ๊ ตา ตกุ๊ -กะ-ตา
เจรจา เจน-ระ-จา บคุ ลากร บุก-คะ-ลา-กอน
สรรคบรุ ี สัน-คะ-บุ-รี
ชกุ ชี ชุก-กะ-ชี ผลีผลาม ผฺลี-ผฺลาม
ปราชยั ปะ-รา-ไช พยาธิ (เจ็บไข)้ พะ-ยา-ธิ
ภมู ปิ ญั ญา พูม-ปัน-ยา ทุจริต ทดุ -จะ-หรฺ ิด
ผลกรรม ผน-ละ-กา ปรติ ร (นอ้ ย) ปะ-รดิ
พงศาวดาร พง-สา-วะ-ดาน สปั ดน สับ-ปะ-ดน
อิสริยยศ อดิ -สะ-ร-ิ ยะ-ยด
ทิฐิ ทดิ -ถิ วติ ถาร วดิ -ถาน
นรกภูมิ นะ-รก-กะ-พูม
สปั ปรุ ษุ สับ-ป-ุ หฺรดุ
สมรรถนะ สะ-มัด-ถะ-นะ
ยุติธรรม ยดุ -ติ-ทา

การเขียนคาในภาษาไทย

1. หลักการประวิสรรชนีย์

1.1) คาที่ยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และเป็นคาหลายพยางค์เรียงกัน
พยางค์ที่อ่านออกเสียง [อะ] จะประวิสรรชนีย์เฉพาะพยางค์ท้ายสุด เช่น สรณะ อมตะ มรณะ อิสระ
พันธะ ทักษะ ลักษณะ อวัยวะ

//\\//\\การอ่าน – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

39

1.2) คาที่มีสองพยางค์ขึ้นไป พยางค์ท่ีออกเสียงสระ [อะ] นั้นกร่อนเสียงมาจากคา
อืน่ ตอ้ งประวิสรรชนียด์ ้วย เชน่

สาวใภ้ กรอ่ นเสียงเป็น สะใภ้
ฉาดฉาน กร่อนเสยี งเป็น ฉะฉาน
สายดอื กรอ่ นเสยี งเปน็ สะดือ
หมากม่วง กร่อนเสียงเป็น มะม่วง
ฉนั น้ี กรอ่ นเสียงเปน็ ฉะนี้
ตาวนั กร่อนเสียงเปน็ ตะวัน

ตัวขาบ กร่อนเสียงเป็น ตะขาบ

1.3) คาท่ีออกเสียง [ อะ ] เต็มพยางค์ต้องประวิสรรชนีย์ เช่น ปะทะ มะระ มะลิ
สะอาด ทะนง สะดวก ทะมัดทะแมง สะระแหน่ ชักงัก สบั ปะรด จา้ ละหวน่ั ฉุกละหกุ

1.4) คาที่มาจากภาษาจีน ภาษาเขมร ภาษาชวามายู ภาษาพม่า ภาษาญี่ปนุ่ ถา้ ออก
เสียง [อะ] ต้องประวสิ รรชนีย์ เชน่

บะหมี่ บะฉอ่ คะน้า พะโล้ (ภาษาจีน)
ระเบยี บ ระบบ ระลอก ระงับ (ภาษาเขมร)
ระเด่น ระดู อังตะลงุ อะบะ (ภาษาชวามลาย)ู
อะแซหวุ่นก้ี องั วะ เมาะตะมะ มังระ (ภาษาพมา่ )

ซะบะ ซากรุ ะ เทมปรุ ะ ซาโยนาระ (ภาษาญ่ปี ุน่ )

2. หลักการไม่ประวสิ รรชนยี ์

2.1) คาที่มาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต พยางค์ท้ายมีเสียงสระอะมาสมาสกับ
คาอนื่ ทาให้พยางค์นี้มใิ ชพ่ ยางคท์ ้ายสุดของคาไม่ต้องประวิสรรชนีย์ เช่น สาธารณสขุ วาตภยั อิสรภาพ
มรณกรรม วิศวกรรม ศลิ ปศาสตร์ คณบดี ธุรกจิ วาทศิลป์

2.2) คาท่ีออกเสียงสระ อะ ไม่เต็มเสียงหรือคาท่ีเป็นอักษรนาไม่ต้องประวิสรรชนีย์
เช่น ฉบบั ฉบัง ตลาด ลออ สไบ พนม ขจี สบาย สบู่ ขนม อรอ่ ย ถนน ขโมย สมาน

2.3) คาไทยพยางค์เดียวท่ีใช้พยัญชนะตัวเดียว ออกเสียง [อะ] แต่ไม่ต้อง
ประวิสรรชนีย์ ได้แก่ ธ ณ

//\\//\\การอ่าน – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

40

2.4) คาอ่านท่ีมาจากภาษาตระกูลยูโรเปียน เช่น ภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, อิตาเล่ียน
ถ้าพยางค์หน้าออกเสียง อะ ไม่ต้องประวิสรรชนีย์ เช่น อตอม, อตอมิค, อมิโน, อโนต, อนาโตมี,
อเมรกิ า, สวีเดน, เยอรมนั และสแกนดเิ นเวยี เปน็ ต้น

3. หลกั การใช้ ใอ ไอ ไอย อยั
1) การเขียนคาทใ่ี ช้ “ไอ ไม้มลาย” มขี ้อสังเกต ดังนี้

- ใช้ในคาไทยอื่นๆ นอกจากคาท่ีใช้ไม้มว้ น เช่น ไฟ ไป ไอ อะไร ทาไม ไหน
ตะไคร้

แผลงเปน็ “ไอ” เชน่ - ใช้ในคาท่รี บั มาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ซ่ึงคาเดมิ ใชส้ ระ “อิ อี เอ”

วหิ าร แผลงเป็น ไพหาร
วจิ ติ ร แผลงเป็น ไพจิตร

ตรี แผลงเป็น ไตร
อศิ วร แผลงเปน็ ไอศวรรย์
เวจน แผลงเป็น ไวพจน์

- ใช้เขียนคาทับศัพท์จากภาษาอื่น เช่น ไวตามิน ไต้หวัน ไนล่อน ไมล์
แกรไฟต์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนตค์ ลบั ไดนาไมต์

2) การเขียนคาท่ีใช้ ไอย ใช้เขียนคายืมจากภาษาบาลที ่รี ูปเดิมเปน็ เอยฺย เชน่

อสงเขยฺย เป็น อสงไขย
อปุ เมยยฺ เป็น อุปไมย
เทยฺยทาน เป็น ไทยทาน
เวเนยฺย เป็น เวไนย

3) การเขียนคาที่ใช้ อัย ใช้เขียนคาท่ีมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตท่ีมีเสียง
เดมิ เปน็ “อะยะ” เชน่

อายขุ ย เป็น อายขุ ยั
วย เป็น วัย
ชย เป็น ชัย

//\\//\\การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

41

อุทย เป็น อทุ ัย
ดนย เป็น ดนยั

4. หลกั การใช้ อา อาม อมั
1) การเขียนคาที่ใช้ อา มีข้อสังเกตดงั นี้

- ใช้กับคาไทยแท้ที่ออกเสยี งสระอา เชน่ กา นา จา ขา คา เปน็ ตน้

เขมร เช่น - ใชก้ บั คาที่แผลงมาจากคาเดมิ ทัง้ ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤต และ ภาษา

เกิด แผลงเป็น กาเนิด
เสรจ็ แผลงเป็น สาเร็จ
ชว่ ย แผลงเป็น ชารว่ ย

ตริ แผลงเปน็ ดาริ
ตรวจ แผลงเปน็ ตารวจ
เสยี ง แผลงเป็น สาเนียง
อวย แผลงเป็น อานวย
อาจ แผลงเป็น อานาจ

- ใช้กับคาที่มาจากภาษาอื่น ที่ออกเสียงสระอา เช่น ไหหลา สาเภา

กามะหยี่ กายาน

2) การเขียนคาท่ีใช้ อมั

- ใช้เขียนคาท่ีมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ท่มี ีพยัญชนะวรรค ป (บ ป
ผ พ ภ ม) ตามหลังตัว ม เช่น กัมปนาท คัมภีร์ สัมภาษณ์ อัมพาต อุปถัมภ์ สัมปทาน อัมพร
สมั ผสั

- ใช้กับคาทับศัพท์ภาษาอังกฤษหรือภาษาทางยุโรปชาติต่างๆ เช่น กรัม

อัลบั้ม ปม๊ั สลมั

3) การเขียนคาท่ีใช้ อาม- มีข้อสังเกตคือใช้เขียนคาท่ีมีเสียง [อะ] นาและมี “ม”
ตามในภาษาบาลสี ันสกฤต เช่น

//\\//\\การอา่ น – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

42

อมาตย์ เป็น อามาตย์
อมฤต เป็น อามฤต
อมรินทร์ เป็น อามรนิ ทร์
อมหติ เป็น อามหิต

5. หลักการใชไ้ มไ้ ต่คู้
5.1) ใช้กับภาษาไทยท่ีออกเสยี งสัน้ เชน่ เปน็ , เหน็ , เมด็ , เจ็ด, ก็ (เกา้ ะ)
5.2) ใชก้ บั คาทีม่ าจากภาษาอน่ื ๆ บางคาที่ออกเสยี งสัน้ เช่น เช็ค, ลอ็ กเกต, ฮาเรม็
5.3) ใชก้ ับคาท่ีมาจากภาษาเขมรท่ีออกเสยี งสน้ั เชน่ เสด็จ, สาเร็จ, เพ็ญ
5.4) คาท่ีมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต ถึงแม้จะออกเสียงส้ันก็ไม่ต้องใช้ไม้ไต่คู้ เช่น

ปญจ เปน็ เบญจ, วชร เปน็ เพชร
5.5) คาท่มี าจากภาษาองั กฤษบางคาแม้จะออกเสียงส้ันก็ไมต่ ้องใช้ไม้ไต่คู่ เช่น เมตร

, เทคนคิ , เบนซิน, เซนติเมตร และ แสตมป์ เปน็ ตน้

6. หลกั การใช้ ศ ษ ส
6.1) คาท่ีมาจากภาษาบาลีใช้ “ส” ทั้งหมด เพราะในภาษาบาลีไม่มี “ศ และ ษ”

เช่น สงฆ์ สจั จะ สามี เวสสนั ดร ปัสสาวะ อัสสุชล กเิ ลส
6.2) คาทม่ี าจากภาษาสันสกฤตมีใช้ทงั้ ศ ษ มีข้อสังเกตดังนี้
1) ถ้าอยู่หน้าพยัญชนะวรรค จ (จ ฉ ช ฌ ญ) ใช้ “ศ” เช่น อัศจรรย์

อศั เจรีย์ พฤศจิกายน ปัศจิม

2) ถ้าอยูห่ น้าพยัญชนะวรรค ฏ (ฎ ฎ ฐ ฑ ฒ ณ) ใช้ “ษ” เชน่ ราษฎร
กนษิ ฐา ทฤษฎี สันนิษฐาน เจษฎา อษุ ณา ประดษิ ฐ์

3) ถ้าอยู่หน้าพยัญชนะวรรค ต (ด ต ถ ท ธ น) ใช้ “ส” เช่น พัสดุ
พิสดาร ภัสดา อสั ดง สถาน

6.3) คาในภาษาไทยมกั ใช้ “ศ / ส” เป็นพยัญชนะตน้ เชน่ สด เสน้ ศึก ศอก ศอ

6.4) การเขียนคาทบั ศพั ท์ภาษาตา่ งประเทศ ใช้ “ศ / ษ / ส” เชน่ ออฟฟศิ ฝรั่งเศส
องั กฤษ สวิส สวีเดน

//\\//\\การอา่ น – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

43

7. หลกั การใช้ น ณ
7.1) การเขยี นคาทใี่ ช้ “ณ”
- ใช้เขียนคาท่ีมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ที่มีตัวสะกดแม่กน และมีตัว

ตามเป็นพยัญชนะวรรค ฏ (ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ) และตัว ห ตัวสะกดจะใช้ “ณ” เช่น จัณฑาล
กณั ฑ์ เกณฑ์ ทศกณั ฐ์ อุณหภูมิ ตัณหา

- ใช้เขียนในคาที่มีตัว “ฤ ร ษ” นาหน้า เช่น อรุณ กรุณา การณ์
สาธารณะ พรรณนา ธรณี วิจารณญาณ ตฤณมัย กฤษณา ลักษณะ โฆษณา ไปรษณีย์ ยกเว้น
บางคา เช่น ปักษิน กรนิ อรนิ ทร์ พฤนท์

7.2) การเขยี นคาท่ใี ช้ “น”
- ใช้เขียนคาไทยทวั่ ไป เช่น น่ัน นี่ หนู นอน นง่ิ

- ใช้เป็นตัวสะกดในคายืมมาจากภาษาบาลีสันสกฤตท่ีมีพยัญชนะวรรค ต (ด
ต ถ ท ธ น) เป็นตวั ตาม เชน่ กานดา ขนั ติ คนั ถธุระ วนั ทา

- ใช้เขียนคาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ เช่น ไนโตรเจน มิชชันนารี ละติน
นโปเลียน กวนอู ญีป่ ุ่น ไนล่อน

8. หลกั การใช้ บรร บัน
8.1) คาทใี่ ช้ บรร คอื คาที่แปลงมาจาก ประ หรือ ปริ เชน่
บรรโลม มาจาก ประโลม
บรรจุ มาจาก ประจุ
บรรจบ มาจาก ประจบ
บรรทัด มาจาก ประทดั
บรรยาย มาจาก ปริยาย
บรรษทั มาจาก บริษัท

8.2) คาทีใ่ ช้ บนั ไดแ้ ก่ คาดังต่อไปน้ี ผกู , รัด
ตบแตง่
บันกวด หมายถึง ทาใหบ้ ังเกิด
บนั จวบ หมายถึง
บันดล หมายถึง

//\\//\\การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\


Click to View FlipBook Version