The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suchada tangsirin, 2020-07-09 11:24:40

เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

144

Carnegie) นักพูดและนักจิตวิทยาชื่อดงั ของอเมริกาที่กล่าวเปรียบเทียบเกี่ยวกับการพูดจูงใจไวใ้ น
หนังสือ Public speaking ดังนี้

“จงจำไว้ว่ำ บุคคลที่ท่ำนจะแสดงปำฐกถำให้ฟัง ขณะเขำเหลำ่ นั้นมิได้เกี่ยวข้องอยูก่ ับปัญหำทำงธุรกิจ
หรือกำรค้ำล้วนแต่ใช้เวลำส่วนใหญ่ง่วนอยู่กับกำรคิดแต่เรื่องเข้ำข้ำงตนเอง และ ยกย่องสรรเสริญ
ตนเอง จงจำไว้ว่ำบุคคลทั่วๆ ไปจะเอำใจใส่ต่อเร่ืองกำรลำออกของคนครัวยิ่งไปกว่ำเรื่องอิตำลีจะใช้หนี้
สงครำมแก่สหรัฐ เขำสนใจกับกำรลับมีดโกนทื่อให้คม ยิ่งกว่ำกำรปฏิวัติในอเมริกำใต้ อำกำรปวดฟัน
ของเขำเองจะนำควำมเดือดร้อนมำใหเ้ ขำมำกกว่ำแผ่นดินไหวในทวปี เอเชียทำลำยชีวิตมนุษย์เสีย ห้ำ
แสนคน เขำอยำกฟังท่ำนพูดในสิ่งดีงำมเกี่ยวกับเขำยิ่งไปกว่ำ ฟังท่ำนบรรยำยถึงบุรุษยิ่งใหญ่ใน
ประวัติศำสตร์ถึงสิบคน”

4. การพูดเพื่อวัดผลลัพธ์ระหว่างเรยี น : ประสิทธิภาพของการพูดเพื่อการโฆษณาอาจเป็น
ปริมาณของการซื้อสิ้นค้าและบริการที่สูงขึ้น แต่ประสิทธิภาพของการพูดเพื่อการจัดการเรียนรู้นั้น
คือ ความเข้าใจหรือความสามารถในการปฏิบัติการบางอย่างของผู้เรียนได้ ดังนั้นการพูดของครูจึงมิ
อาจจบกระบวนการได้แม้ว่าส้ินสุดการนาเสนอเนื้อหาที่สาคัญแล้ว แต่จะปิดกระบวนการสอนได้เมื่อ
ผู้เรียนแสดงหลักฐานการเรียนรู้บางอย่างแล้วเท่านั้น ซึ่งกระบวนการถามเป็นรูปแบบที่กระทาได้
อย่างกระชับและทันท่วงที โดยมีข้อเสนอแนะการนาไปปรับใช้ในชั้นเรียน ดังต่อไปนี้

(1) ศิลปะการใชค้ าถามเพือ่ ส่งเสริมการเรยี นรู้ ประกอบด้วยประเดน็ ทน่ี า่ สนใจ ดังน้ี
(1.1) ไม่เจาะจงพูดตอบ – ในการถามไม่ควรเจาะจงผู้ตอบหรือถามผู้เรียนตามลาดับ

เพราะการรู้ตัวมาก่อนว่าจะตอบเม่ือใดน้ันจะทาให้ผู้ตอบไม่สนใจคาถามอื่นๆการเรียนรู้จึงไม่เกิดข้ึน
(1.2) ถามให้ทั่วถึง – ในการใช้คาถามไม่ควรถามซ้าผูเ้ รียนคนเดิมบ่อยคร้ัง เพราะการปฏิบัติ

ดงั นผ้ี เู้ รยี นคนอ่นื ๆ จะเกดิ ความน้อยใจทผ่ี ู้สอนไม่เห็นความสาคัญของตน จงึ ทาให้ไม่สนใจบทเรียน ควรมี
การถามทั้งรายบุคคล ถามทง้ั ชั้นเรียน และ ถามผูเ้ รยี นให้ทั่วถงึ

(1.3) ให้โอกาสคิด – ในการต้ังคาถามไม่ควรเร่งรัดคาตอบจากผู้เรียนมากเกินไปเม่ือถาม
คาถามไปแล้วควรเปิดโอกาสให้เด็กหยุดคิดค้นหาคาตอบบ้าง

(1.4) ใช้ภาษาง่ายแต่เร้าความสนใจ – การใช้คาถามควรใช้ภาษาพูดง่ายๆ แล้วใช้
น้าเสียง ท่าทางประกอบ เพื่อเร้าความสนใจของผู้ตอบ เน้นเสียงในจุดสาคัญของคาถาม ใช้ท่าทาง

//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรบั ครูพนั ธ์ใุ หม่//\\//\\

145

ถามแทนคาพูด มีการกวาดสายตาไปรอบๆ ชั้นเรียนในขณะถามรับคาตอบด้วยสีหน้าแววตาหรือ
คาพูดซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากตอบมากขึ้น

(1.5) ให้กาลังใจ – ขณะที่ผู้ตอบหยุดคิดหรือลังเลในการที่จะตอบออกไป ผู้สอนควรให้
กาลังใจ ไม่ควรคาดคะเนคาตอบ หรือ แสดงความเบื่อหน่าย หรือ เรียกผู้อื่นตอบแทน เพราะจะทา
ให้ผู้เรียนเสียกาลังใจ

(1.6) เปิดโอกาสให้ตอบ – ในการตอบคาถามหนึ่ง ผู้สอนไม่ควรคิดว่า ต้องให้ตอบ
คาถามใดๆ เพียงคนเดียว คาถามนั้นควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนหลายๆ คนได้ตอบ เพราะจะเป็น
การกระจายความคิด และทาให้มีข้อสรุปที่ดี

(1.7) ให้ตอบตรงประเด็น – ในการตอบคาถามของผู้เรียนอาจได้คาตอบที่ไม่ตรงกับ
ขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื ไมค่ อ่ ยมเี หตุผล ผู้สอนควรหาวธิ ีท่จี ะทาให้ผู้เรียนเข้าใจ และสามารถหาคาตอบที่ถูกต้อง
ได้ ไมค่ วรปลอ่ ยใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจอย่างผิดๆ ต่อไป โดยอาจจะถามคาถามใหม่หรืออธิบายเพิ่มเติม

(1.8) ชื่นชม ทบทวน – หากผู้เรียนตอบคาถามถูกต้อง ผู้สอนควรแสดงความช่ืนชม หาก
ตอบคาถามผิดผู้สอนควรให้กาลังใจ และอาจให้เพื่อนช่วยตอบ หากนักเรียนไม่ตอบคาถามกลบั เลย
ผู้สอนควรทวนคาถามหรืออธิบายคาถามซ้าอีกคร้ัง

(1.9) ไม่ถามเองตอบเอง – คุณค่าของการสอนโดยใช้คาถามจะหมดไป ถ้าครูเป็นผู้ถาม
เอง ตอบเอง หรือถามคาถามในลักษณะที่ทบทวนความจาผู้เรียนมากเกินไป

(1.10) เป็นกันเอง – สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองในห้องเรียน เพื่อให้ผู้เรียนรู้สึก
อยากจะมีส่วนร่วมในการตอบคาถาม

(1.11) หลากหลายคาตอบ – ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนช่วยกันหาคาตอบในหลายๆ แนว
ไม่ควรจากัดเฉพาะคาตอบเดียว

(1.12) ถามให้สัมพันธ์กับประสบการณ์ – ใช้คาถามที่ผู้เรียนมีความรู้และ
ประสบการณ์เพียงพอ

(2) แนวทางการสร้างคาถามเพ่ือสะท้อนผลการเรียนรู้ ประกอบด้วยชุดคาถาม 2 ลักษณะ
ดังน้ี

(2.1) ชุดคาถามระดับต่า : เป็นคาถามที่เก่ียวข้องกับข้อเท็จจริง ซ่ึงได้จากความจาและ
การสังเกต คาถามประเภทน้ีมกั มีคาตอบเดยี ว คาถามระดับต่า แบ่งได้ 6 ประเภท ดงั นี้

//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรับครูพนั ธ์ใุ หม/่ /\\//\\

146

(2.1.1) คาถามให้สังเกต เป็นคาถามท่ีต้องการใช้ประสาทสัมผัส คือ ตา หู จมูก ลิ้น
และ ผิวกาย เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วน รวบรวมข้อมูลในการตอบคาถาม แต่ผู้ตอบต้องไม่
เพม่ิ ความรู้เดิมหรือความคิดเหน็ สว่ นตวั ลงไป เชน่

- นกั เรียนเหน็ อะไรในภาพนี้
- วัตถุนอกโลกท่ีตกลงมาบนโลกมลี ักษณะอย่างไร
- ละครปีน้ีดูแลว้ ได้อะไรบา้ ง
(2.1.2) คาถามให้ทบทวนความจา เป็นคาถามท่ีผู้ตอบสามารถนาความรู้หรือ
ประสบการณเ์ ดิมมาตอบคาถามได้ เช่น
- นกั เรยี นรู้หรือไม่วา่ พระเจ้าตากสินเดมิ ชือ่ วา่ อะไร
- นักเรยี นลองนึกดูซิว่าคนไทยสมัยกอ่ นอยกู่ นั อย่างไร
- นกั เรียนเคยใช้สารเคมีใดทดสอบอาหาร
(2.1.3) คาถามให้บอกความหมายหรือคาจากัดความ เป็นคาถามท่ีใช้ตรวจสอบ
ประสบการณ์เดิมเก่ียวกับความรู้ ความเข้าใจ ในเร่ืองคาศัพท์และความหมายของคา ก่อนท่ีผู้สอนจะ
จัดประสบการณ์ใหมใ่ หแ้ กผ่ ู้เรยี น เชน่
- ประวตั ศิ าสตร์คืออะไร
- ชิงสุกก่อนห่ามหมายถงึ อะไร
- ภาวะโลกร้อนคืออะไร
(2.1.4) คาถามชี้บ่ง เป็นคาถามที่กาหนดข้อมูลไว้หลายอย่าง แล้วให้เลือกข้อมูล
อยา่ งหนึง่ ท่เี ด็กต้องการนามาเป็นคาตอบ เช่น
- วิหาร โบสถ์ พระเครื่อง สิ่งใดเป็นโบราณวัตถุ
- มนุษย์ สตั ว์ และ ธรรมชาติ สงิ่ ใดทาใหเ้ กดิ ภาวะโลกรอ้ นมากท่ีสุด
- ปีนี้นักเรียนจะไปดูงานที่ต่างประเทศหรือในประเทศ
(2.1.5) คาถามนา เป็นคาถามที่ใช้เน้นเร่ืองที่ผู้สอนพูดและดึงความสนใจของเด็ก
คาถามประเภทนม้ี กั นาไปสู่คาตอบ ใช่ จรงิ ถูก เปน็ ส่วนใหญ่ เชน่
- ถา้ เราไม่มีบรรพบรุ ุษทเี่ สยี สละชาตไิ ทยจะไมม่ ีมาจนถึงทุกวันน้ี ใช่หรือไม่
- การตรวจสอบเคร่ืองยนต์ก่อนเดินทางไกลมีความจาเป็นอย่งมากใชห่ รือไม่
- นกั เรียนคิดวา่ ผมี จี รงิ หรือไม่

//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรับครพู นั ธุ์ใหม/่ /\\//\\

147

(2.1.6) คาถามเรา้ ความสนใจ เปน็ คาถามท่ไี มต่ ้องการคาตอบอย่างจริงจัง แตใ่ ช้เพ่ือ
ดาเนนิ กิจกรรมในช้ันเรียนใหเ้ ปน็ ไปตามที่ได้วางแผนไว้ เช่น

- นกั เรียนลองคิดซวิ ่า ใครจะเปน็ คนเก่งทีไ่ ด้ออกมารายงานเป็นคนตอ่ ไป
- นักเรียนลองคิดซิวา่ ภาพต่อไปน้ีจะเป็นอะไร
- กจิ กรรมการเรียนครง้ั ต่อไป นักเรียนคดิ ว่าเราควรใช้วิธีการเรยี นอย่างไร
(2.2) ชุดคาถามระดับสูง เป็นคาถามท่ีส่งเสริมให้ผู้ตอบใช้ความคิด นาความรู้และ
ประสบการณ์เดมิ มาเป็นพื้นฐาน แล้วสรุปหาคาตอบ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์และ
เกิดทักษะในการคิดอย่างมีระบบ นอกจากนั้นยังเป็นคาถามที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบได้แสดงความ
คิดเหน็ ตลอดจนกระต้นุ ใหไ้ ด้ลองแกป้ ญั หาด้วยตนเอง คาถามระดับสูงแบ่งเป็น 7 ประเภท ดงั น้ี
(2.2.1) คาถามให้อธิบาย เป็นคาถามที่ผุ้ตอบจะต้องนาความรุ้และประสบการณ์เดิม
มาเปน็ พื้นฐานสรุปหาคาตอบ เช่น
- ถ้านกั เรยี นอยากเรียนรู้คณิตศาสตร์ใหเ้ ขา้ ใจลกึ ซงึ้ นักเรียนจะทาอยา่ งไร
- ถา้ พระนเรศวรไมไ่ ปอยู่พม่า ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
- จากการเรียนคร้งั ทแ่ี ล้วขอ้ ค้นพบทีไ่ ดจ้ ะนาไปสู่คาตอบใด
(2.2.2) คาถามให้เปรียบเทียบ เป็นคาถามท่ีมีจุดมุ่งหมายให้เด็กใช้ความคิด
เปรียบเทียบของสองสิ่งว่ามีคุณสมบัติหรือลักษณะคล้ายกันหรือต่างกันอย่างไร คุณสมบัติท่ีนามาเป
รีบเทียบนั้นได้แก่ รูปร่าง ลักษณะ สี ขนาด น้าหนัก จานวน ปริมาตร ความสูง ความยาว ความหนา
รสชาติ กลน่ิ เปน็ ตน้ ตัวอยา่ งคาถาม เชน่
- กบั กับคางคงเหมือนหรอื ต่างกันอยา่ งไร
- คนไทยกับคนฟิลิปปินสต์ า่ งกันอย่างไร
- เศรษฐกิจของชาติในอาเซียนมลี ักษณะคลา้ ยกนั อย่างไร
(2.2.3) คาถามให้จาแนกประเภท เป็นคาถามเพ่ือส่งเสริมให้เด็กรู้จักจัดกลุ่ม จัด
หมวดหมู่ โดยใชเ้ กณฑ์ของตนเองหรือของผอู้ ่ืน หรอื บอกเกณฑท์ ใี่ ช้ในการจดั กลุ่มทีผ่ ้อู ื่นทาไว้ เกณฑ์ท่ี
ใช้ในการจดั กลุ่มนี้ ได้แก่ สี ขนาด รูปร่าง ประโยชน์ หรือ วัสดุท่ีใช้ เปน็ ต้น ตวั อย่างคาถาม เช่น
- นกั เรียนลองคิดดูซวิ ่า จะแบ่งวตั ถโุ บราณเหล่านี้ให้ถูกต้องในแตล่ ะสมัยได้
อย่างไร
- นักเรยี นลองจดั คาที่กาหนดให้ ใหเ้ ปน็ คาเปน็ ทงั้ หมด

//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรับครูพันธ์ุใหม่//\\//\\

148

- ส่ิงแวดล้อมธรรมชาติที่ได้จากการสารวจจะจัดได้กี่ประเภทและนักเรียน
ใชเ้ กณฑใ์ ดในการจดั ประเภท

(2.2.4) คาถามใหย้ กตัวอย่าง เป็นคาถามท่ีต้องการให้ผตู้ อบบอกช่อื หรอื ยกตัวอย่าง
ของส่ิงที่กาหนดให้ โดยอาศัยทักษะการสังเกตและความรู้ ความจาเรื่องต่างๆ เป็นพื้นฐานในการหา
คาตอบ เช่น

- ให้ผูเ้ รียนลองยกตวั อยา่ งคนไทยทีม่ ีความกลา้ หาญมาคนละ 2 ช่ือ
- ให้นกั เรียนยกตวั อยา่ งอาหารท่ีอาจเป็นอันตรายแก่ประชาชนมาให้มากทสี่ ดุ
-ใหน้ ักเรยี นยกตวั อย่างความรู้ท่ไี ดจ้ ากการลงไปสารวจชุมชน
(2.2.5) คาถามให้วิเคราะห์ เป็นคาถามทใี่ ห้คดิ คน้ หาความจริงหรือแยกแยะเร่ืองราว
เพื่อหาสาเหตุและผลต่างๆ ของปัญหาท่ีเกิดข้ึน หรือให้ผู้เรียนได้คิดค้นหาความจริงต่างๆ ท่ีประกอบ
ขน้ึ มาเป็นเรอ่ื งราวหรอื เหตกุ ารณ์ เชน่
- นา้ จะท่วมโลกจริงหรอื ไม่
- เพราะเหตุใดกรุงศรอี ยธุ ยาจึงเสยี กรุงใหแ้ กพ่ มา่ ถงึ 2 คร้งั
- การทะเลาะวิวาทของนกั เรียนนา่ จะมาจากสาเหตุใดบา้ ง
(2.2.6) คาถามใหส้ งั เคราะห์ เปน็ การสรปุ รวมสิง่ ต่างๆ ตัง้ แต่สองสิ่งขึ้นไปให้เกิดเป็น
ของใหม่ข้ึนมา เป็นแนวคิดใหม่ หรือพัฒนาของเก่าให้ดีขึ้น ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น คาถามให้
สังเคราะห์จึงเป็นคาถามที่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ตอบใช้กระบวนการคิด เพื่อสรุปความสัมพันธ์ระหว่าง
ข้อมูลย่อยข้นึ เป็นหลกั การ เช่น
- ถ้าไมอ่ ยากใหช้ าตติ กเป็นเมืองข้นึ แก่ชาติอ่ืน เราควรทาอย่างไร
- นกั เรียนจะนาประวัติบุคคลตัวอย่างไปใช้ในการดาเนินชวี ติ ิประจาวันอย่างไร
- ผลจากการทาโครงงานนกั เรียไดแ้ นวคดิ ใหม่อยา่ งไร
(2.2.7) คาถามให้ประเมินค่า เป็นคาถามที่มีจุดมุ่งหมายให้ได้พิจารณาคุณค่าของ
ส่ิงของก่อนตัดสินใจอย่างมีเหตุผล รู้จักประเมินค่าของส่ิงต่างๆ โดยใช้กฎเกณฑ์ที่เป็นจริงและเป็นที่
ยอมรบั ของสงั คมแล้วมาสนบั สนนุ ความคิดเหน็ ของตนกอ่ นตัดสินใจ เชน่
- ขอ้ มลู หลกั ฐานจากตารวจน่าเช่อื ถือหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
- จากภาพนกั เรยี นคนใดปฏิบัติตนได้ถกู ตอ้ ง
- ระดับการคดิ ของเด็กไทยในปัจจุบันอยูใ่ นระดับใด

//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรับครูพนั ธุใ์ หม่//\\//\\

149

ศาสตร์การอ่าน

การอ่านเป็นทักษะการรับสารท่ีช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจในเร่ืองต่างๆ ให้แก่บุคคล
ได้เป็นอย่างดี การอ่านมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้อ่าน ซึ่งในบทน้ีจะนาเสนอทักษะ
เบ้ืองต้นของการอ่านซึ่งประกอบด้วย การอ่านจับใจความสาคัญ และการอ่านตีความ ซึ่งมีสาระ
ทนี่ ่าสนใจดงั ต่อไปน้ี

การอา่ นจับใจความสาคัญ
การอ่านจับใจความสาคัญเป็นทักษะการรับสารข้ันพ้ืนฐานที่ช่วยวิเคราะห์และจัดเรียง

ประเด็นสาคัญจากเน้ือหาท่ีอ่านอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทาให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจเน้ือหาอย่างถ่องแท้
มากยิ่งข้ึน ดังนั้นทักษะการอ่านจับใจความสาคัญจึงเป็นทักษะที่ทุกคนต้องศึกษา และหม่ันฝึกฝนให้
เกิดความชานาญ โดยเน้ือหาสาระเร่ืองการอ่านจับใจความสาคัญประกอบด้วยรายละเอียดท่ีควร
ศกึ ษา ดงั นี้

องค์ประกอบสาคญั ในการจบั ใจความสาคัญ
1. ใจความสาคัญ หรือ ความคิดหลัก (Main Idea) หมายถึง ข้อความที่เป็นแก่นของเนื้อหา

ซึ่งมีสาระครอบคลุมเนื้อความทั้งหมดของย่อหน้า หรือของเนื้อเร่ืองน้ัน โดยใจความสาคัญน้ีอาจ
ปรากฏอยใู่ นประโยคใดประโยคหนงึ่ ของเน้ือเรอ่ื ง หรือไม่ปรากฏเลยกไ็ ด้

ตัวอยา่ งใจความสาคญั ที่ปรากฏเปน็ รปู ประโยค

การรู้ภาษาดีเป็นประโยชน์หลายสถาน อย่างหน่ึงช่วยให้บุคคลสามารถสื่อสารพูดจาและเผยแพร่
ความรู้ความคิดของตนได้อย่างถูกต้องชัดเจนตามความประสงค์ อีกอย่างหนึ่งช่วยให้สามารถศึกษาค้นคว้า
วิทยาการต่าง ๆ ได้กว้างขวางรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ ย่ิงถ้ารู้ภาษาต่างประเทศด้วยหลายๆ ภาษา ก็จะ
มีโอกาสหาความรู้หรือประกอบการงานอาชีพให้ถึงระดับดีเด่นได้ไม่ยาก นอกจากน้ันยังจะสามารถทาให้
เป็นประโยชน์ได้มากในการสร้างเสรมิ ความเข้าใจอันดีและการเผยแพร่เกียรติคุณของชาติไทยสู่โลกภายนอก
อีกประการหนึง่ ดว้ ย

(คัดจาก พระราโชวาทในสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ ารในพิธีพระราชทาน
ปรญิ ญาบัตรแกผ่ ้สู าเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยครู ในวันศุกรท์ ี่ 14 กุมภาพนั ธ์ 2535)

//\\//\\ศาสตร์การอ่าน//\\//\\

150

ตวั อย่างใจความสาคญั ท่ีไม่ปรากฏเปน็ รูปประโยค

หนังใหญ่เป็นมหรสพที่เก่าแก่อย่างหนึ่งของไทย ซ่ึงได้รับการยกย่องให้เป็นมหรสพชั้นสูง เน่ืองจาก
หนังใหญ่เป็นที่รวมของศิลปะที่มีคุณค่าหลายแขนง ดังมีหลักฐานปรากฏตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง
และสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ด้ังเดมิ การแสดงหนังใหญ่เป็นต้นแบบของการเล่นโขน
ในปัจจุบัน ซ่ึงท่าทางการแสดง การพากย์ การเจรจา การใส่เคร่ืองประดบั ต่างๆ ประกอบให้ผู้แสดงโขน และ
เนื้อเร่ืองท่ีแสดงเค้าเร่ืองเดิมมาจากเร่ืองรามายณะของอินเดีย เรียกว่า รามเกียรติ์ การแสดงหนังใหญ่ก็
แสดงเรื่อง รามเกียรติ์ และแสดงเป็นตอนๆ นอกจากจะมีตัวหนังออกมาเชิด ยังต้องมีจังหวะในการเชิดด้วย
นอกจากนี้ยังต้องมีผู้พากย์เจรจา ทาหน้าที่พูดแทนตัวหนัง และมีวงป่ีพาทย์บรรเลงประกอบการแสดงด้วย
หนังใหญ่เกิดจากการผสมผสานระหว่างศลิ ปะหลายแขนง

(คัดจาก “หนังใหญ”่ มรดก ของ ธานินทร์ เลิศนครนิ ทร)์

*ใจความสาคัญ คือ “หนังใหญ่เปน็ มหรสพทเ่ี กา่ แก่ และรวมศิลปะท่ีมีคุณค่าหลายแขนง”

2. ใจความรอง หรอื ความคดิ รอง (Major Supporting Ideas) หมายถึง ขอ้ ความที่สนับสนุน
ใจความสาคัญของเนื้อเร่ืองให้มีความชัดเจน สมเหตุสมผลมากยิ่งข้ึน ซึ่งเน้ือเร่ืองหน่ึงๆ อาจ
ประกอบดว้ ยหลายใจความรอง ท้ังที่ปรากฏ และ ไมป่ รากฏในเนือ้ เร่อื งก็ได้

3. รายละเอียด (Minor Supporting Details) หมายถึง ข้อมูลท่ีเป็นรายละเอียดเฉพาะ
ของเน้ือเรื่องน้ันๆ เช่น การอ้างอิงคากล่าวของบุคคล, ความคิดเห็น, ข้อมูลสถิติตัวเลขต่างๆ,
การยกตัวอย่างเปรียบเทียบ และการใช้โวหารภาพพจน์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเน้ือเรื่อง
มากยง่ิ ข้นึ

ตวั อยา่ ง ใจความรอง และ รายละเอียด
(1) มีเหตผุ ลหลายประการทท่ี าให้ฉนั ชอบล่างหู างกระดิ่ง (2) ประการแรกคือเปน็ ส่งิ ที่ท้าทาย

นา่ ตนื่ เต้น และมีความเสย่ี งสูง (2) ประการที่สองเป็นการล่าสัตวท์ ไ่ี มม่ ฤี ดกู าล (3) เราสามารถลา่ งชู นิด
นไ้ี ด้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนฤดูใบไมร้ ว่ ง (2) นอกจากน้นั ยังเป็นสิ่งท้าทายใหเ้ ราได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยของ
มัน และรู้วิธีท่ีจะเอาชนะมัน (3) มันจะซ่อนตัวลึกลับ มีความระมัดระวังและเล่ห์กลมาก จนทาให้
จบั มนั ได้ยาก ซ่งึ เปน็ สิ่งท่ีเราตอ้ งเรียนรวู้ ่าทาอย่างไร เราจึงจะจบั มนั ได้ (2) เหตผุ ลประการสดุ ท้ายเรา
สามารถทีจ่ ะชว่ ยลดจานวนงูซ่ึงเปน็ สัตวท์ ี่อันตรายลงไปได้

จากตัวอย่างข้างต้นใจความสาคัญของย่อหน้าน้ี คือประโยคที่มีเลข (1) กากับคือ “มีเหตุผล
หลายประการที่ทาให้ฉนั ชอบล่างูหางกระดิ่ง” ส่วนประโยคท่ีมเี ลข (2) กากับ คือ ใจความรอง ซึ่งเป็น

//\\//\\ศาสตร์การอ่าน//\\//\\

151

ข้อความท่ีแสดงเหตุผลของเน้ือความในประโยคใจความสาคัญ และข้อความที่มีเลข (3) กากับ คือ
รายละเอียดของเนื้อความที่ช่วยขยายความใจความหลักและใจความรองให้ชัดเจนย่ิงขึ้น ทั้งน้ีจะเห็น
ได้ว่าประโยคที่ 1 นั้นครอบคลุมสาระทั้งหมดของย่อหน้า ดังนั้นจึงเป็นแก่นของเน้ือเร่ืองที่ยกมานี้
สว่ นประโยคอ่นื ๆ เป็นเพยี งพลความทขี่ ยายความใหป้ ระโยคท่ี 1 ชัดเจนและสมบูรณม์ ากย่ิงขึน้

แนวทางการอ่านจับใจความสาคัญ
1) อ่านเรื่องเพื่อทาความเข้าใจภาพรวมของเนื้อหาสาระ โดยในขณะท่ีอ่านควรตั้งคาถาม

และพจิ ารณาวา่ ผ้เู ขยี นกาลังส่ือเรื่องอะไร ใคร ทาอะไร ทีไ่ หน เมื่อไร ดว้ ยเหตุผลใด และเป็นอย่างไร
หากเร่ืองน้ันมีชื่อเร่ือง ก็ต้องพิจารณาช่ือเรื่องด้วย เพราะผู้เขียนมักจะตั้งช่ือเรื่องตามความคิดหลักท่ี
ผเู้ ขียนต้องการนาเสนอ

2) พิจารณาหาคากุญแจ (Key words) ของเน้ือเร่ืองซ่ึงอาจมีมากกว่าหนึ่งคา โดยการค้นหา
คากุญแจน้ีต้องพิจารณาจากคาที่ได้รับการกล่าวถึงหลายครั้งในเน้ือเรอื่ ง ทั้งที่กล่าวด้วยคาเดิม และท่ี
กล่าวด้วยคาแทนอื่นๆ หรือหากในเน้ือเร่ืองไม่ปรากฏคาซ้าหรือคาแทนใดๆ เลย ผู้อ่านต้องใช้คาถาม
ใคร ทาอะไร ท่ีไหน เมื่อไร อย่างไร พิจารณาหาสาเหตุ (ใจความหลัก) และ ผลลัพธ์ (ใจความรอง)
ของเน้ือเร่ืองท่ีอ่าน แล้วนาสาเหตหุ ลักของเนอ้ื เร่อื งมาเป็นคากุญแจสาคญั (Key word)

3) สังเคราะห์ประโยคใจความสาคัญจากคากุญแจ (Key words) ในข้อท่ี 2 จานวน
1 ประโยค โดยพิจารณาตามกรณีดงั ต่อไปน้ี

3.1) กรณีที่เน้ือเร่ืองปรากฏคากุญแจ (Key words) ผู้อ่านสามารถเลือกข้อความจาก
ประโยคท่ีมีคากุญแจมาใช้เป็นประโยคใจความสาคัญของเนื้อเร่ืองได้เลย โดยวิเคราะห์หาความเป็น
เหตุ (ใจความหลัก) และ ความเป็นผล (ใจความรอง) ของข้อความที่อ่าน จากน้ันเลือกเนื้อความที่
เป็นสาเหตุสาคัญของเน้ือเร่ืองมากท่ีสุดมาเป็นประโยคใจความสาคัญของเน้ือเร่ือง นอกจากนี้ยัง
ปรากฏว่า ประโยคใจความสาคัญมักอยู่บริเวณส่วนต้นของเน้ือเร่ืองมากที่สุด รองลงมาคือ ส่วนท้าย
และส่วนกลางของเนื้อเรื่องตามลาดับ

3.2) กรณีที่เน้ือเรื่องไม่ปรากฏคากุญแจ (Key word) ผู้อ่านต้องนาคากุญแจที่ได้จาก
ข้อ 2 มาสังเคราะห์ประโยคใจความสาคัญของเนื้อเร่ืองด้วยตนเอง โดยประโยคดังกล่าวต้องสะท้อน
ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลของเนื้อเรอ่ื งอยา่ งชดั เจนดว้ ย

4) เรียบเรียงประโยคใจความหลกั (สาเหตุ) และประโยคใจความรอง (เหตุผล) ให้ติดต่อเป็น
เน้ือเร่ืองเดียวกนั ด้วยภาษาทกี่ ระชบั ชดั เจน

//\\//\\ศาสตรก์ ารอา่ น//\\//\\

152

ตวั อยา่ งการอา่ นจบั ใจความสาคัญ

ภาษาและวิธีพดู ของชาววัง
คาพูดอีกลักษณะหน่ึงที่เป็นลักษณะเฉพาะของชาววัง ในตอนกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือคาพูดไทยเจือคาภาษาฝร่ัง เกิดจากเหตุหลายประการ ประการแรก
มีชาวตะวันตกชาติต่าง ๆ เดินทางเข้ามาทาสัมพันธไมตรี ค้าขายและเผยแผ่ศาสนาเป็นจานวน
มากกว่ารัชกาลต้นๆ ประการที่สองคือการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
ประพาสประเทศต่าง ๆ ในยุโรปด้วยพระองค์เองถึง 2 ครั้ง ประการสุดท้าย คือการที่ทรงส่งพระ
ราชโอรสออกไปศึกษายังประเทศต่าง ๆ ในยุโรปทาให้วัฒนธรรมและวิทยาการจากตะวันตก
หลั่งไหลเข้ามาในประเทศอย่างรวดเร็ว คนไทยรับทั้งวัฒนธรรมและวิชาการสมัยใหม่เข้ามาใน
ชีวิตประจาวัน เพราะเหตุว่ายังไม่มีการบัญญัติศัพท์ไทยขึ้นมารองรับภาษาต่างประเทศ คนไทย
สมัยนั้นจึงต้องเรียกสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในช่วงนั้นเป็นภาษาฝรั่ง เช่น เรียกรถจักรว่า “โลโคโมดีฟ”
เรียกจักรยานว่า “ไบไซเคิล” เรียกการเข้าสมาคมว่า “เข้าโซไซเอตี้” เรียกเลขานุการส่วนพระองค์
ว่า “ไปรเวตสิเกรตารี่” เรียกเครื่องเรือนว่า “เครื่องเฟอร์นิเชอร์” บางครั้งชาววังก็ใช้
ภาษาต่างประเทศเพื่อความโก้เก๋ เช่น ใช้คาว่า “แฟร่น” แทนคาว่า “เพื่อน” คาต่างประเทศบาง
คา เมื่อสาวชาววังชั้นข้าหลวงนามาใช้ก็จะมีเสียงที่เพี้ยนไปจากเดิมมาก เช่น เรียกแค็ตตาล็อกว่า
“แคทสะด๊อก” เรียกขนมปังครัวซองว่า “ค่ัวสอง” เป็นต้น

(คดั จาก “ภาษาและวิธีพดู ของชาววัง” ศิลปวฒั นธรรม ของศนั สนีย์ วรี ะศลิ ปช์ ัย)

จากเน้ือเรื่องขา้ งตน้ สามารถจบั ใจความสาคัญได้ตามแนวทางการอา่ นจับใจความสาคญั ได้ ดงั ต่อไปนี้

1) ภาพรวมของเน้ือเร่ือง : เป็นการเล่าเร่ืองลักษณะการใช้คาพูดของคนไทยในช่วงกลาง
ของรชั กาลที่ 5

2) พิจารณาหาคากุญแจของเนื้อหา : คา/คาพูด (ปรากฏทั้งที่เป็นคาตรง และคาแทน เช่น
แฟร่น, โลโคโมดีฟ, แคทสะดอ๊ ก และคัว่ สอง เป็นตน้

3) สังเคราะห์ประโยคใจความสาคัญ : คาพูดอีกลักษณะหนึ่งท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของชาววงั
ในตอนกลางรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวคือคาพูดไทยเจอื คาภาษาฝรง่ั

4) เรียบเรียง : คาพูดอีกลักษณะหนึ่งท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของชาววัง ในช่วงกลางรัชสมัย
รัชการที่ 5 คือ คาพูดไทยเจือคาภาษาฝร่ัง ซ่ึงมาจากหลายสาเหตุ คือ การมีชาวตะวันตกจานวนมาก

//\\//\\ศาสตรก์ ารอ่าน//\\//\\

153

ในประเทศ, รัชการท่ี 5 เสดจ็ ประพาสตา่ งประเทศในเขตยโุ รป 2 ครง้ั และพระราชโอรสในรชั กาลที่ 5
ทรงศึกษาในต่างประเทศ

ข้อควรคานึงในการอ่านจบั ใจความสาคัญ
1) วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร : หากผู้อ่านวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารร่วมกับการจับ

ใจความสาคัญของเน้ือเร่ืองด้วยจะชว่ ยให้ผ้อู ่านเข้าความเป็นเหตเุ ป็นผลของเน้อื เรื่องไดง้ า่ ยขึ้น

2) ประเภทของสาร : การจับใจความสาคัญของสารแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังน้ัน
หากต้องการ จับใจความสาคัญจากเน้ือเร่ืองที่เป็นบทความเชิงสาระ (Formal Essay) เช่น บทความ
ทางวิชาการ หรือ ตาราต่าง ๆ ผู้อ่านต้องจับใจความสาคัญในทุกย่อหน้า เน่ืองจากทุกย่อหน้าของ
บทความล้วนเป็นองค์ประกอบของความรู้ที่จาเป็นทั้งสิ้น ส่วนการจับใจความสาคัญจากเน้ือเรื่องท่ี
เป็นบทความเชิงปกิณกะ (Informal Essay) อันได้แก่ นวนิยาย เรื่องส้ัน บทละคร และสารคดีต่าง ๆ
ผู้อา่ นควรนาใจความสาคญั ของเนื้อเรื่องแตล่ ะตอนมาประมวลเปน็ ใจความสาคัญของเรื่องแทนการจับ
ใจความสาคัญทีละย่อหน้า เนื่องจากเป็นบทความท่ีเน้นสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้อ่านเป็นหลักจงึ มิได้
มีสาระทีส่ าคัญในทุกยอ่ หนา้

นอกจากการอ่านจับใจความสาคัญแล้ว การอ่านตีความก็เป็นการอ่านอีกทักษะหนึ่งที่สาคัญ
และควรไดร้ ับการฝึกฝนจนเกิดเปน็ ทกั ษะซง่ึ ไดร้ วบรวมแนวทางการฝึกทนี่ า่ สนใจไว้แล้วในหัวข้อถดั ไป

การอ่านตคี วาม
การอ่านตีความเป็นระดับของการอ่านที่สงู กว่าการอา่ นจับใจความสาคัญ เพราะนอกจากต้อง

จับใจความสาคัญของเน้ือเร่ืองให้ได้แล้ว ผู้อ่านยังต้องวิเคราะห์น้าเสียงที่ปรากฏในเน้ือเรื่องด้วย เพ่ือ
หาเจตนาทแี่ ท้จริงของผแู้ ต่งที่นาเสนอผา่ นตวั อกั ษรไว้อย่างแยบยล

การอ่านตีความมีองค์ประกอบที่สาคัญ 2 ประการ คือ องค์ประกอบด้านเนื้อหา และ
องคป์ ระกอบด้านน้าเสียง ซ่งึ มสี าระพอสังเขป ดงั นี้

1) องค์ประกอบด้านเนื้อหา หมายถึง ใจความสาคัญของเน้ือเร่ือง ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วใน
หัวข้อการอา่ นจับใจความสาคญั

2) องค์ประกอบด้านน้าเสียง หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึกของผู้แต่งที่แสดงออกมาผ่าน
โครงเรอื่ ง เหตกุ ารณ์ บุคลกิ ลกั ษณะ และอากปั กริ ิยาของตัวละคร

//\\//\\ศาสตรก์ ารอา่ น//\\//\\

154

แนวทางการอา่ นตีความ
1) ค้นหาคาศัพท์สาคัญของเน้ือเร่ือง แล้วนามาแปลความหมายให้กระจ่างชัดเจน ในกรณีท่ี

เปน็ คาศัพท์ยาก แตห่ ากเปน็ คาศัพท์ท่ีมีความหมายตรงตัวอยู่แล้ว ผู้อา่ นต้องขยายความคาศัพท์น้ันให้
ชัดเจนและสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง

ตัวอยา่ ง

"เธอคือแกว้ ในดวงใจฉัน"

คาศัพทส์ าคญั ในข้อความนี้ คอื "แกว้ " ซ่งึ แปลความไดว้ ่า มีคา่ มาก หรอื เปน็ ทีร่ ัก

"สองแก้มกลั ยาดังลูกยอ"

คาศัพท์สาคญั ในขอ้ ความน้ี คือ "ลกู ยอ" ซึง่ ขยายความได้วา่ ไมเ่ รียบเนยี นสวยงาม
2) วิเคราะห์เน้ือหาโดยการจับใจความสาคัญของข้อความ เพื่อแสดงขอบเขตของการตีความ

ให้ชัดเจนมากยิง่ ข้ึน
3) วิเคราะห์น้าเสียง โดยการพิจารณาอารมณ์ ความรู้สึกของผู้แต่งท่ีแสดงออกมาผ่าน

โครงเรื่อง เหตุการณ์ บุคลิกลักษณะ และอากัปกิริยาของตัวละคร ตลอดจนคาศัพท์ภาษาในเน้ือเร่ือง
4) สรุปผลการตีความโดยวิเคราะห์เจตนาของผู้แต่งร่วมกับผลการวเิ คราะห์ด้านเนื้อหา และ

ด้านนา้ เสยี งทไี่ ด้จาก ข้อ 2 - ขอ้ 3 อยา่ งเปน็ เหตุเปน็ ผล

ตัวอยา่ ง 1

"ตานา้ พรกิ ละลายแม่นา้ "

วเิ คราะห์คาศพั ท์สาคญั : น้าพริก ขยายความได้วา่ วสั ดุ ส่งิ ของท่ีมเี พียงน้อยนดิ เน่ืองจากน้าพรกิ เกดิ
จากการนาวัตถุดบิ ต่าง ๆ มาโขลกรวมกันจะละเอยี ด

แม่น้า ขยายความได้ว่า ความกว้างใหญ่ เน่ืองจากแม่น้าเกิดจากการรวมกัน
ของลาน้าเลก็ ๆ

วเิ คราะห์เน้ือหา : ตาน้าพริกละลายแม่นา้ (ไดค้ วามคงเดมิ เน่ืองจากขอ้ ความนีไ้ ม่มพี ลความ)

วเิ คราะห์นา้ เสียง : น้าเสียงเชงิ ลบ; พจิ ารณาจากการเหตกุ ารณ์ในเร่ืองทีเ่ ป็นพฤติกรรมซึ่งไมเ่ คยมีใคร
กระทามาก่อน และคงไม่มีใครทาตามด้วย เพราะเป็นเร่ืองไร้ประโยชน์ท่ีต้องลงทุน

//\\//\\ศาสตร์การอา่ น//\\//\\

155

ท้ังกาลังกาย (การโขลกน้าพริก) และกาลังทรัพย์ (วัตถุดิบ) นอกจากน้ีโครงเร่ือง
ของขอ้ ความนยี้ ังใหน้ ้าเสียงของการประชด (Irony) ด้วย เนอื่ งจากเป็นเหตุการณ์ท่ี
ตรงข้ามกับความเป็นจริง (ความจริงคือโขลกน้าพริกเพื่อละลายกับน้าสาหรับ
ทาอาหาร)

สรุปผลการตีความ : เพื่อเตือนใจให้รู้จักประมาณตนเองก่อนจะลงมือทาการส่ิงใด ควรพิจารณาให้
ถีถ่ ้วนถงึ ผลลพั ธท์ ่ีจะเกิดขึ้นเสียก่อนว่าเหมาะสมกบั สงิ่ ท่ีตอ้ งลงทุนไปหรือไม่

ตัวอย่าง 2

“ความเปน็ ผ้เู ปลา่ ประโยชนเ์ ปน็ ของแพงที่สดุ แตเ่ ป็นของหางา่ ย”

วิเคราะห์คาศัพทส์ าคัญ : ของแพง ขยายความไดว้ ่า ส่งิ ทตี่ อ้ งเสียมลู ค่าสูงเพื่อแลกมา เนอ่ื งจากบุคคล
ต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างเพื่อดารงชีวิตอยู่ ดังน้ันการใช้ชีวิตที่ไม่ก่อให้เกิด
ประโยชน์ใด ๆ ต่อทั้งตนเอง และผู้อ่ืน จึงมีแต่ทางเสียอย่างเดียว กล่าวคือ
ต้องเสียเงินจ่ายทั้งค่าอาหาร ค่าเส้ือผ้า ค่าน้า ค่าไฟ และค่าเดินทาง เป็นตน้
เพอ่ื ใหส้ ามารถใชช้ วี ติ อย่างเปล่าประโยชน์ได้ จึงนับวา่ เป็นสง่ิ ทีต่ ้องเสยี มูลค่า
สงู เพ่อื แลกมา
ของหาง่าย ขยายความได้ว่า ส่ิงท่ีทาได้ไม่ยาก เนื่องจากไม่จาเป็นต้องใช้
ความพยายามเพื่อกระทาให้ได้มา

วิเคราะห์เนื้อหา : ความเปล่าประโยชน์เป็นของแพงที่สุด แต่เป็นของหาง่าย (ได้ความคงเดิม
เนือ่ งจากข้อความนไ้ี ม่มพี ลความ)

วิเคราะห์น้าเสียง : น้าเสียงประชด; พิจารณาจากการตอนหน่ึงของข้อความที่กล่าวว่า "ความเปล่า
ประโยชน์เปน็ ของแพงทส่ี ดุ " จึงทาให้ทราบวา่ ผู้เขยี นตอ้ งการสือ่ ความทขี่ ัดแย้ง จาก
ความเป็นจริง เพราะในความเป็นจริงของท่ีมีคุณภาพดี และเป็นที่ปรารถนาของ
ผู้คนเทา่ นน้ั ทมี่ ีมลู คา่ สงู

สรุปผลการตีความ : เพ่ือเตือนใจให้ระวังความประพฤติของตนเองไม่ให้เป็นคนเปล่าประโยชน์ ต้อง
รู้จกั กระทาตนให้เปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเอง และผู้อนื่ อยู่เสมอ

//\\//\\ศาสตร์การอา่ น//\\//\\

156

ตัวอยา่ งที่ 3

“เหมือนบายศรีมงี านทา่ นถนอม เจมิ แป้งหอมน้ามนั จนั ทน์ใหห้ รรษา
พอเสรจ็ งานเขาเอาทง้ิ ลงคงคา ต้องลอยมาลอยไปเป็นใบตอง”

(สนุ ทรภู่)

วิเคราะห์คาศพั ทส์ าคัญ : บายศรี ขยายความว่า ของศักดิ์สทิ ธิ์ และสงู คา่

ใบตอง ขยายความว่า ของต่าศักดิ์ ไร้ค่า

การวิเคราะห์เน้ือหา : บายศรีเมื่ออยู่ในงานพิธีได้รับการดูแลอย่างดี แต่เม่ือพิธีการเสร็จส้ินลงแล้วก็
กลายเป็นเพียงใบตองทีไ่ มม่ ีใครใหค้ วามสนใจ

การวเิ คราะห์นา้ เสยี ง : นา้ เสยี งสังเวชใจ; พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงบทบาทของใบตองจากท่ีเคย
เป็นของศักด์ิสิทธ์ิสูงค่า แต่เม่ือพิธีจบสิ้นลงกลับกลายเป็นเพียงขยะไร้ค่าที่ไม่มี
ใครสนใจ

สรุปผลการตีความ : เพื่อเตือนใจคนอ่านใหร้ ะลึกถงึ ความไม่แน่นอนซง่ึ เป็นสจั ธรรมของชวี ิตท่สี ามารถ
เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ขอ้ ควรคานงึ ในการอา่ นตีความ
1) การตีความข้อเขียนช้ินเดียวกันของผู้อ่านหลายคนอาจได้ผลไม่เหมือนกัน ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับ

ระดับความรู้ วยั และประสบการณข์ องผู้อา่ นเป็นสาคัญ ซง่ึ แตล่ ะคนอาจมไี มเ่ หมอื นกนั และไมเ่ ท่ากัน
ดังน้ัน คาตอบทุกคาตอบจึงถือว่าถูกต้องทั้งหมด เพียงแต่อาจจะมีเปอร์เซ็นต์ของความถูกต้อง
มากน้อย แตกต่างกันออกไป และในขณะเดียวกันก็จะไม่มีคาตอบใดถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน
คาตอบที่ถือว่าถูกต้องที่สุด เป็นเพียงคาตอบท่ีดีที่สุดเท่าท่ีมีอยู่ในขณะน้ันเท่านั้น ซ่ึงอยู่กับเหตุผลท่ี
สนับสนุนคาตอบน้ัน ๆ ว่ามีความเป็นไปได้ และมีความสอดคล้องกับสาระที่ข้อเขียนชิ้นนั้นสะท้อน
ออกมามากน้อยเพียงใด ตลอดจนสอดคล้องกับเงอื่ นไขทีข่ ้อเขยี นเชอื่ มโยงถึงทผี่ ู้อา่ นสามารถมองทะลุ
หรอื หยั่งเหน็ ได้หรอื ไม่

2) ผลของการตีความข้อเขียนน้ัน แม้ว่าจะเป็นการกล่าวถึงเร่ืองใดก็ตาม ผู้ตีความต้อง
สะท้อนออกมาเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับมนุษย์เสมอ ทั้งนี้เพราะผู้เขียนซ่ึงก็เป็นมนุษย์ ย่อมต้องการ
ส่ือสารกับมนุษย์ด้วยกัน ดังน้ันไม่ว่าข้อเขียนจะใช้โวหารเปรียบเทียบอย่างไร หรือใช้สัญลักษณ์เป็น
สิง่ ใดกต็ าม ต้องตีความเน้ือเรอ่ื งให้เกีย่ วขอ้ งกับความเร่ืองราวของมนษุ ย์ทัง้ สนิ้

//\\//\\ศาสตร์การอา่ น//\\//\\

157

3) ผู้ตคี วามต้องตีความด้วยใจเป็นกลาง และไมท่ าให้ผูใ้ ดได้รบั ความเดอื ดร้อนจากการตีความ
ของตน

4) การตีความข้อเขียนที่มุ่งเสนอข้อเท็จจริง หรือมุ่งให้ความรู้ตามหลักวิชา เช่น งานเขียนใน
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ จิตวิทยา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ วิทยาการจัดการ การท่องเที่ยว
ตลอดจนภมู ศิ าสตร์ และประวัตศิ าสตร์ นนั้ ทาไดเ้ พียงการวเิ คราะห์เน้ือหา หรอื จบั ใจความสาคัญของ
เนอ้ื เร่อื งเทา่ นั้น ไมส่ ามารถวเิ คราะหค์ วามด้านนา้ เสยี งได้

//\\//\\ศาสตร์การอ่าน//\\//\\

158

ลิขิตศิลป์สำหรบั ครู

กำรเขียนเป็นทักษะสำคัญในกำรสื่อสำร เป็นทักษะที่ต้องใช้ทั้งรูปแบบและศิลปะควบคู่
กันไปเพื่อให้เกิดควำมลงตัวและมีประสิทธิภำพ ซึ่งในบทนี้ได้นำเสนอหลักกำรเขียนเบื้องต้น
ตลอดจนหลักกำรเขียนหนังสือรำชกำรไว้เพื่อใช้ในกำรพัฒนำทักษะกำรเขียนให้มีประสิทธิภำพ
ยิ่งขึ้นซึ่ง มีรำยละเอียดท่ีน่ำสนใจดังต่อไปนี้

หลักกำรพัฒนำทักษะกำรเขียน
1. ทกั ษะกำรเขยี นเกิดจำกกำรฝึกฝนและจะตอ้ งทำอย่ำงมรี ะบบ ดังนี้
1.1) ต้องฝึกฝนอย่ำงสม่ำเสมอ
1.2) ต้องใขเ้ วลำฝกึ นำนพอควรจึงจะเกดิ ควำมชำนำญ
1.3) ต้องฝึกให้ถูกวิธแี ละถกู หลักเกณฑ์ ดงั นี้
1.3.1) ต้องสะกดคำให้ถูก เรียบเรียงถ้อยคำให้สื่อควำมหมำยได้ชัดเจนและรู้จัก

กำรแบ่งวรรคตอนให้ถูกต้อง
1.3.2) ต้องรู้จักเทคนิดเฉพำะในกำรเขียนเร่ืองประเภทต่ำงๆ เช่น กำรเขียน

เรยี งควำมบทควำม ท้ังในแง่วตั ถปุ ระสงค์และเทคนคิ กำรเขยี น
2. รู้จักแสดงออกโดยเขียนเรียบเรียงควำมรู้และควำมรู้สึกนึกคิดออกมำอย่ำงเป็นระเบียบ

เพ่อื ใหผ้ ูอ้ ่ำนเขำ้ ใจตรงตำมทีต่ ้องกำร
3. กำรเขียนเป็นกำรใช้ภำษำซึ่งต้องอำศัยกำรส่ังสมควำมรู้ควำมคิดจำกกำรอ่ำนและกำรฟัง

ถ้ำฟังมำกอ่ำนมำกจะทำให้ผู้เขียนมีควำมรู้ เกิดควำมคิดกว้ำงไกล สำมำรถนำไปใช้ในกำรเขียนให้มี
คณุ ภำพมำกย่งิ ขึน้

4. กำรเขียนเป็นหลักฐำนที่ผู้อื่นสำมำรถอ่ำนและนำไปอ้ำงอิงได้ ดังนั้นจึงควรเขียนด้วย
ควำมระมัดระวัง และต้องรู้จักกำรสรรหำถ้อยคำมำใช้ให้ถูกต้องเหมำะสม

5. งำนเขียนจะมีคุณค่ำได้ก็ต่อเมือ่ ทำให้ผอู้ ่ำนพัฒนำควำมรู้ควำมคิดและอำรมณ์ งำนเขียนที่
มีคุณค่ำ ประกอบด้วย กำรให้ควำมรู้แก่ผู้อ่ำน, กำรให้ควำมคิดสร้ำงสรรค์ท่ีดีงำมแก่ผู้อ่ำนอย่ำงมี
เหตผุ ล และ กำรใหผ้ อู้ ำ่ นมีพัฒนำกำรทำงอำรมณแ์ ละควำมรู้สกึ ไปในทำงทด่ี ี

//\\//\\ลิขติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

159

6. งำนเขียนจะต้องคำนึงถึงระดับควำมรู้ ควำมคิด และ สติปัญญำของผู้อ่ำน จึงควรระมัดระวัง
เรอ่ื งกำรใชถ้ ้อยคำภำษำ กำรเสนอควำมรู้และควำมคิดท่ผี ู้อ่ำนอำจไม่มพี ้ืนฐำนในเร่ืองนน้ั ๆ

กลยทุ ธ์กำรพฒั นำงำนเขียน
กำรเขยี นเปน็ ศิลปะทตี่ ้องใช้ควำมประณตี บรรจงอย่ำงสงู ผ้ทู ่จี ะเขยี นไดด้ ตี ้องอำศยั คุณสมบัติ

ท่ีมีอยู่อย่ำงสุดควำมสำมำรถ กำรที่จะสั่งสมหรือได้มำซึ่งคุณสมบัติของผู้เรียนที่ดีน้ันเป็นสิ่งจำเป็น
อย่ำงยิ่ง ดังนั้นผู้ที่รักกำรเขียนต้องพยำยำมศึกษำหำวิธีกำรมำช่วยให้กำรเขียนของตนประสบ
ผลสำเร็จ ซ่ึงวธิ ที จี่ ะชว่ ยให้กำรเขียนประสบผลสำเร็จพอสรปุ ได้ 6 วธิ ี ดงั น้ี

1. อ่ำนหนังสือเป็น : หนังสือเป็นแหล่งควำมรู้ที่ดีที่สุดของผู้ที่รักงำนเขียน หนังสือแต่ละ
ประเภทมีเนื้อหำสำระแตกต่ำงกัน บำงเรื่องมีประโยชน์มำก บำงเรื่องมีประโยชน์น้อย ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับ
ผู้เขียนว่ำ จะเลือกอ่ำนหนังสือประเภทใดและอ่ำนอย่ำงไรคือจะต้องอ่ำนอย่ำงมีวิจำรณญำณ จึงจะ
เกิดผลสงู สดุ สำหรับผ้อู ำ่ น เพ่ือนำไปใช้ให้เป็นประโยชนใ์ นกำรเขียน

2. ร้จู ักสงั เกตและจดจำ : ในขณะท่ีอำ่ นหนังสือควรรู้จักสงั เกตและจดบันทึกไว้ว่ำตอนใดจะมี
ประโยชน์ต่อกำรเขียน เพ่ือจะได้นำไปใช้ประกอบหรืออ้ำงอิงในกำรเขียนของตนต่อไปและอ่ำจเห็น
ข้อบกพร่องหรอื ขอ้ ผิดพลำดท่ีคดิ วำ่ ไมน่ ่ำจะนำไปเป็นแนวทำงในกำรเขยี น

3. เกิดควำมคิดกว้ำงไกล : เม่ือผู้เขียนได้อ่ำนหนังสือมำก โดยอ่ำนอย่ำงมีวิจำรณญำณ รู้สึก
กำรสังเกตจดจำ จะทำให้ผู้อ่ำนเกิดจินตนำกำรหลำกหลำยและกว้ำงไกล อันจะเป็นผลทำให้เกิดงำน
เขยี นที่มีควำมแปลกใหม่อย่เู สมอ

4. ฝึกเขียนบ่อยๆ : ดังได้กล่ำวมำแล้วว่ำ กำรเขียนเป็นวิชำทักษะที่ต้องอำศัยกำรฝึกฝนอยู่
เสมอๆ ดังน้ันถ้ำไดเ้ ขยี นบ่อยๆ กจ็ ะทำให้เกิดพฒั นำกำรท่ดี ีในกำรเขยี น

5. รู้จกั กำรสะสมคำ : เพอื่ นำไปใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ตอ่ งำนเขียน ทำให้งำนเขียนน่ำอ่ำนยิ่งข้นึ

6. รู้จักกำรนำประสบกำรณ์ท่ีส่ังสมไปใช้ : กำรสะสมประสบกำรณ์จำกกำรอ่ำน กำรฟัง กำร
สัมภำษณ์ กำรที่ได้มีโอกำสเข้ำร่วมประชุมสัมมนำ เป็นต้น มำเป็นข้อมูลอ้ำงอิงและนำมำเสริมงำน
เขยี นน้ันใหน้ ่ำสนใจ

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

160

หลักกำรเขยี นเบอื้ งต้น
กำรเขียนคือทักษะกำรใช้ภำษำชนิดหน่ึงเป็นกำรถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมคิด จินตนำกำร

ประสบกำรณ์ต่ำง ๆ รวมท้ังอำรมณ์และควำมรู้สึกกับข่ำวสำร เป็นกำรสื่อสำรหรือส่ือควำมหมำยโดย
มีตวั หนงั สอื ตลอดจนเคร่อื งหมำยตำ่ ง ๆ เป็นสัญลักษณแ์ ทนถ้อยคำในภำษำพูด เพือ่ ใหผ้ ู้อ่ำนเขำ้ ใจได้
ตำมควำมมุ่งหมำยของผู้เขียน กำรเขียนจึงเป็นทักษะท่ีมีหลักฐำนถำวรปรำกฏอยู่นำน และงำนเขียน
จะเกิดผลดหี รอื ผลเสยี นั้น ขึน้ อยู่กับคุณภำพของเนอ้ื หำและกลวธิ กี ำรเขียนของผเู้ ขียน

1. กระบวนกำรคิดเพือ่ สรำ้ งสรรค์งำนเขียน
จุดเริ่มต้นของกำรเขียนอยู่ที่ควำมคิด และควำมรู้เร่ืองภำษำที่ดี ดังน้ันประสิทธิภำพของ

กำรเขียนจึงข้ึนอยู่กับสมรรถภำพของควำมคิดและควำมสำมำรถในเชิงภำษำ ซ่ึงคือกำรใช้ภำษำให้ได้
ประโยชน์สูงสุดตำมท่ีตนต้องกำรดังท่ี ธอร์นไดด์ นักจิตวิทยำชำวอเมริกันผู้หนึ่งได้กำหนดคุณสมบัติ
ของคนฉลำดไว้ว่ำ คนฉลำด คือ คนท่ีรู้คำมำกและสำมำรถใช้คำส่ือควำมหมำยได้ตำมที่ตนต้องกำร
อีกทั้งสำมำรถใช้ภำษำให้ผู้อื่นเข้ำใจตำมท่ีตนต้องกำรได้ ซ่ึงควำมสำมำรถในกำรแสดงออกทำงกำร
เขียนจะได้ดีเพียงใดน้ัน ยอ่ มขึ้นอยู่กบั ควำมพยำยำมของผู้เขียนเอง เพรำะกำรเขียนเป็นทักษะซึ่งต้อง
ฝึกฝน จึงจะทำไดอ้ ยำ่ งมีศลิ ปะ (วิจนิ ต์ ภำณพุ งศ์, 2532: 1)

ฉะนน้ั ไมว่ ่ำผู้เขียนจะเขยี นเร่อื งใดก็ตำม สง่ิ แรกกค็ ือเร่ืองของควำมคดิ ซ่ึงถือเปน็ ส่ิงสำคัญที่สุด
ก่อนลงมือเขียนเรื่องใดจำเป็นต้องคิดเรื่องน้ันให้แจ่มแจ้งเสียก่อน เมื่อคิดได้จึงเลือกใช้ถ้อยคำตำม
ควำมหมำยที่ต้องกำร ดังท่ี ปรีชำ ช้ำงขวัญยืน ได้กล่ำวถึงลำดับข้ันตอนของกระบวนกำรเขียนไว้ว่ำ
ต้องเร่ิมจำกกำรคิดให้เข้ำจุด --> จัดระเบียบควำมคิด --> มีควำมกระชับในเร่ืองท่ีคิด -->แสดง
ควำมคิดใหแ้ จ่มแจง้ ดงั รำยละเอียดต่อไปน้ี

1.1) คิดให้เข้ำจุด คือ กำรคิดให้อยู่ในวงจำกัดและคิดจึงจุดประสงค์ท่ีสำคัญเพียงจุดเดียว
กำรจะคดิ ใหเ้ ข้ำจุดนัน้ มี 3 ประกำร คือ

(1) คิดในสิ่งท่ีรู้ เพรำะถ้ำเรำรู้สิ่งน้ันเรำจะคิดจะเขียนได้คล่อง ผู้เขียนอำจรู้ได้จำก
ประสบกำรณต์ รง ได้สัมผสั ดว้ ยตนเองหรือจำกกำรอ่ำนหนังสือ กำรสมั ภำษณ์ หรอื จำกกำรค้นควำ้

(2) คิดในหัวข้อที่จำกัด กล่ำวคือผู้เขียนควรจำกัดขอบเขตของเน้ือหำที่จะเขียนให้ชัดเจน
เพรำะถ้ำเปน็ หัวข้อท่ีกวำ้ งเกนิ ไปอำจทำใหเ้ กดิ ควำมผิดพลำดขึน้ ได้

(3) ทำใหผ้ อู้ ่ำนเขำ้ ใจควำมคดิ หลกั อย่ำงกระจ่ำงชัด เพรำะควำมคดิ หลักเป็นส่ิงสำคัญมำก
กอ่ นลงมือเขยี นต้องรวู้ ่ำควำมคิดหลักคืออะไร แล้วพยำยำมเขยี นให้ผอู้ ำ่ นเขำ้ ใจถึงควำมคดิ หลกั น้ัน

//\\//\\ลขิ ติ ศิลปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

161

1.2) กำรจัดระเบียบควำมคิด เป็นกำรจดั ระบบเน้ือหำเพื่อไม่ให้กำรเขียนวงวนสบั สน โดยจัด
ระเบียบควำมคิด 3 ลกั ษณะ คือ

(1) กำรจัดลำดับเร่ืองรำว คือ กำรลำดับเหตุกำรณ์ที่เกิดข้ึนว่ำเหตุกำรณ์ใดเกิดขึ้นก่อน
เหตุกำรณ์ใดเกิดข้ึนภำยหลัง เช่น กำรเขียนเก่ียวกับชีวประวัติบุคคลก็ควรกล่ำวถึงชีวิตในวัยเด็ก วัย
เรียน วยั ทำงำน จนถงึ วยั ชรำ ตำมลำดบั

(2) กำรจัดลำดับสถำนท่ี คือ กำรเขียนรำยละเอียดเก่ียวกับสถำนท่ีตำมควำมเป็นจริง ไม่
วกวนไปมำ เพ่อื ใหผ้ อู้ ำ่ นนกึ ภำพตำมไปเปน็ ข้ันตอน

(3) กำรจัดลำดับตำมเหตุผล คือ กำรเขียนโดยใช้เหตุและผล เมื่อมีเหตุแล้วต้องมีผล
ตำมมำ หรือเมื่อนึกถึงผลทำให้โยงไปถึงเหตุได้ เช่น เพรำะเหตุใดยำเสพติดจึงเป็นปัญหำใหญ่ใน
ปจั จุบัน

1.3 มีควำมกระชับในเร่ืองท่ีคิด คือ กำรเขียนเรื่องจะต้องมีควำมคิดหลักท่ีชัดเจนเพียง
ควำมคิดเดียว เพ่ือให้ผู้อ่ำนสำมำรถจับประเด็นได้ว่ำ ผู้เขียนต้องกำรเสนอควำมคิดอะไร ถ้ำผู้อ่ำน
สำมำรถสรุปควำมคดิ ออกมำไดช้ ดั เจน แสดงว่ำเร่ืองน้ันมีควำมกระชบั ในเร่อื งทีค่ ดิ

1.4 แสดงควำมคิดอย่ำงแจ่มแจ้ง คือ กำรเขียนที่เสนอควำมคิดได้อย่ำงชัดเจน โดยผู้อ่ำน
สำมำรถรับสำรได้ตรงกับควำมคิดของผู้เขียน เช่น ถ้ำผู้เขียนแสดงควำมคิดเรื่องควำมซ่ือสัตย์สุจริต
หำกผู้อ่ำนอ่ำนแล้วเข้ำใจหรือเข้ำใจผิดว่ำ สมัยน้ีควำมซ่ือสัตย์สุจริตไม่ได้ช่วยให้ตนร่ำรวยหรือเป็นสุข
ได้ แสดงวำ่ กำรแสดงควำมคิดของผ้เู ขียนยังไม่แจ่มชดั

2. กำรตั้งจดุ มุ่งหมำยในกำรเขยี น
กำรตั้งจุดมุ่งหมำยในกำรเขียนนั้น ผู้เขียนจะกำหนดว่ำตนต้องกำรเขียนเพื่ออะไร เป็น

กำรช่วยให้กำรเขียนอยู่ในขอบเขตและง่ำยต่อกำรเขียนซึ่งมีหลำยประเภท แต่ละประเภทจะมี
กลวิธีกำรเขียนที่แตกต่ำงกัน ขึ้นอยู่กับเจตนำหรือควำมต้องกำรของผู้เขียนที่จะเสนอเรื่อง
ประเภทใด อย่ำงไร เช่น กำรเขียนเพื่อเล่ำเรื่องจำกประสบกำรณ์, กำรเขียนเพื่อจดบันทึกจำก
กำรฟังและกำรอ่ำน, กำรเขียนเพื่อโฆษณำหรือชกั จูงใจ, กำรเขียนเพ่ือแสดงควำมคิดเห็น แนะนำสั่ง
สอน, กำรเขยี นเพอ่ื อธิบำยให้เกิดควำมร้คู วำมเข้ำใจ และ กำรเขียนเพ่ือสร้ำงจินตนำกำรหรือให้เกิด
ควำมบันเทิง ท้ังนี้กำรเขียนเพ่ือจุดมุ่งหมำยท่ีต่ำงกันส่งผลต่อสำระในกำรเขียน ดังนี้

//\\//\\ลิขติ ศิลปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

162

2.1 กำรเขียนเพื่อเล่ำเรื่องจำกประสบกำรณ์ : เป็นกำรเขียนเล่ำเหตุกำรณ์ที่เกิดขึ้นตำม
ควำมเป็นจริงที่อำจเป็นประสบกำรณ์ตรง หรือได้รับกำรบอกกล่ำวมำจำกผู้อื่น โดยมีหลักกำร
เขียน ดังนี้

(1) ประสบกำรณ์หรือเหตุกำรณ์ท่ีนำมำเขียน ควรมีลักษณะที่น่ำสนใจ เช่น เป็นเร่ือง
ต่ืนเต้นประทับใจ เรื่องที่ไม่น่ำเช่ือหรือเป็นเร่ืองลึกลับ

(2) รำยละเอียดในเนื้อเรื่องที่ควรกล่ำวถึง ได้แก่ สถำนที่ที่เกิดเหตุกำรณ์นั้นๆ วัน
เวลำ และ บุคคลที่เก่ียวข้องในเหตุกำรณ์

(3) วิธีดำเนินเร่ืองในกำรเขียนลักษณะน้ี ได้แก่
(3.1) ดำเนินเรื่องตำมลำดับวัน เวลำ หรือลำดับเหตุกำรณ์ก่อนหลัง โดยผู้เขียน

จะต้องเล่ำเหตุกำรณ์ไปตำมลำดับ เพ่ือให้ผู้อ่ำนสำมำรถเข้ำใจเร่ืองได้โดยง่ำย
(3.2) ดำเนินเรื่องย้อนหลัง โดยผู้เขียนควรกล่ำวถึงผลที่เกิดจำกเหตุกำรณ์

ก่อน แล้วจึงกลับไปย้อนเล่ำเหตุกำรณ์ตั้งแต่ต้น กำรเขียนวิธีนี้ค่อนข้ำงยำก และจะต้องใช้
ควำมระมัดระวังอย่ำงมำกในกำรที่จะเขียนให้ผู้อ่ำนเข้ำใจไม่เกิดควำมสับสน

(3.3) ตอนจบเร่ืองควรบอกถึงผลที่เกิดจำกเหตุกำรณ์น้ันๆ เพื่อให้เรื่องจบอย่ำง
สมบูรณ์ ควรกล่ำวถึงขอ้ คิดและผลท่ีได้รบั จำกเรอ่ื งนนั้ ๆ ด้วย

2.2 กำรเขียนเพื่อจดบันทึกจำกกำรอ่ำนและกำรฟัง : เป็นกำรบันทึกเรื่องรำวท่ีได้อย่ำงได้ฟัง
เพื่อช่วยให้ผู้จดบันทึกไม่ลืมและสำมำรถกลับมำอ่ำนทบทวนภำยหลังได้ ซึ่งจำเป็นอย่ำงย่ิงสำหรับผูท้ ี่
กำลังศึกษำอยู่ ทง้ั น้กี ำรจดบันทึกจะช่วยประหยดั เวลำในกำรทบทวนโดยไม่ต้องอำ่ นหรือฟังเร่ืองน้ันๆ
ใหมท่ ัง้ หมด ซงึ่ มีหลักกำรจดั บนั ทกึ ดงั นี้

(1) ก่อนจดบันทกึ ควรอำ่ นเรอ่ื งนนั้ ๆ ให้เขำ้ ใจดเี สยี กอ่ น
(2) เขยี นบันทึกด้วยสำนวนภำษำของผ้จู ดบนั ทกึ เอง
(3) เขียนบนั ทึกเฉพำะเร่ืองสำคัญหรอื เฉพำะใจควำมสำคัญเทำ่ นนั้
(4) หวั ขอ้ หรอื ประเด็นสำคญั ควรทำเครอื่ งหมำยหรือขีดเสน้ ใต้เพ่ือใหเ้ ห็นเดน่ ชดั
(5) ควรเขียนเรอื่ งรำวควำมคิดตำมลำดบั ขั้นตอน เพอื่ ไมใ่ ห้เกิดสับสนในเวลำอ่ำน
(6) ควรเขียนแหล่งที่มำของเรอื่ งวำ่ มำจำกหนังสืออะไร ใครแตง่ ใครพูด เมอื่ ไร
2.3 กำรเขียนเพ่ือโฆษณำหรือชักจูงใจ : เป็นกำรเขียนประโยคหรือข้อควำมส้ันๆ ให้ได้
ใจควำมชดั เจน ซึง่ ข้นึ อยกู๋ ับควำมมงุ่ หมำยและโอกำสท่ีจะใช้ โดยมีหลักกำรเขียน ดงั นี้

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

163

(1) ตอ้ งใช้ภำษำท่นี ่ำสนใจ อำจใช้ภำษำพดู กไ็ ด้
(2) ตอ้ งเลือกใช้ถ้อยคำท่ีกินใจ สละสลวย
(3) ตอ้ งเลอื กใช้ถอ้ ยคำที่ทำใหผ้ ้อู ำ่ นสะดดุ ใจ
(4) ขอ้ ควำมทเี่ ขียนไมค่ วรกลำ่ วตเิ ตยี นเสียดสีผู้ใด
2.4 กำรเขียนเพ่ือแสดงควำมคิดเหน็ หรือแนะนำสัง่ สอน : เป็นกำรเขียนแสดงข้อคิดเห็นเร่อื ง
ใดเร่ืองหนึ่งโดยเฉพำะเพียงเรื่องเดียว เช่น กำรเขียนบทควำมเสนอแนะทำงด้ำนกำรพัฒนำคุณภำพ
สังคม ทำงดำ้ นเศรษฐกิจและกำรเมือง เป็นตน้ กำรเขียนประเภทน้ีควรต้องใช้ควำมระมัดระวังท่ีจะไม่
ทำใหผ้ ้อู ำ่ นเกิดควำมรู้สึกตอ่ ตำ้ น ไมพ่ อใจ โดยมีหลกั กำรเขยี น ดังน้ี
(1) ผู้เขยี นตอ้ งมคี วำมรู้ควำมเข้ำใจในเรือ่ งทจ่ี ะเขียนเปน็ อยำ่ งดี
(2) ขอ้ มลู ทีน่ ำเสนอถกู ต้อง
(3) ผเู้ ขียนเขยี นโดยไมม่ อี คติ
(4) เขียนเพื่อใหเ้ กดิ กำรปรบั ปรุง เปลีย่ นแปลง แกไ้ ข หรอื พัฒนำไปในทำงท่ดี ี
(5) ข้อคดิ เหน็ หรอื ข้อแนะนำเปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้อำ่ น
(6) ชีแ้ จงเหตผุ ลถงึ ข้อดี ขอ้ บกพร่องอยำ่ งชดั เจน
(7) แนวควำมคิดของผู้เขยี นต้องไม่ใชเ่ พ่ือชกั จงู เกลย้ี กล่อมหรือสรปุ ว่ำดี ไมด่ ี แตค่ วรเป็น
เพยี งกำรเสนอแนะเพือ่ ใหผ้ อู้ ่ำนได้พจิ ำรณำเทำ่ น้นั
(8) ควรใช้ถ้อยคำภำษำทีเ่ ขำ้ ใจได้ง่ำย
(9) ควรใชภ้ ำษำท่ีเรำ้ ใจผอู้ ่ำน เพือ่ ทำให้อยำกติดตำมเร่อื งโดยตลอด
(10) ควรใชถ้ ้อยคำสำนวนท่ีเป็นแรงจูงใจหรือกระตุ้นผูอ้ ่ำนให้เกิดควำมคิดหรือแนวคิดใหม่ๆ
2.5 กำรเขยี นเพอื่ อธิบำยให้เกดิ ควำมรูค้ วำมเข้ำใจ : เปน็ กำรอธบิ ำยให้เกดิ ควำมรู้ควำมเข้ำใจ
ในเรื่องต่ำงๆ กำรบอกถึงวิธีทำ วิธีใช้ ผู้เขียนจะต้องเขียนใหผ้ ู้อ่ำนเกิดควำมเข้ำใจ และสำมำรถปฏิบตั ิ
ตำมได้ เช่น เขียนอธิบำยกำรทำอำหำร กำรใช้เครื่องมือต่ำงๆ เป็นต้น กำรเขียนเพ่ืออธิบำยเพ่ือ
อธบิ ำยมหี ลักกำรเขยี น ดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ควรเป็นเรอ่ื งท่นี ำ่ สนใจ นำ่ รู้
(2) ควรเปน็ เร่อื งท่ีตอ้ งกำรคำอธิบำย
(3) กำรใช้ถ้อยคำ ภำษำ ควรให้กระชับรัดกมุ

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

164

(4) วิธีกำรเขียน ควรใช้ภำษำท่ีเข้ำใจง่ำย ไม่ใช้คำศัพท์ท่ียำก ศัพท์ทำงวิชำกำรหรือคำที่
ตีควำมได้หลำยควำมหมำย

(5) กำรลำดับข้ันตอนกำรปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนจบ ควรกล่ำวเป็นข้อๆ เพ่ือช่วยให้เข้ำใจง่ำย
ขึน้ และผอู้ ่ำนสำมำรถปฏบิ ัติได้ตำมข้นั ตอน

(6) ควรให้ขอ้ มลู ที่ถูกต้องและเปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้อ่ำน
2.6 กำรเขียนเพื่อสร้ำงจินตนำกำรหรือควำมบันเทิง : กำรเขียนประเภทนี้ผู้อ่ำนจะเกิด
ควำมเพลิดเพลิน เกิดควำมคิด ควำมรู้สึกร่วมไปกับผู้เขียน เช่น กำรเขียนเรื่องสั้น นวนิยำย เป็นต้น
กำรเขียนประเภทน้ีต้องคำนึงถึงกำรเลือกใช้ถ้อยคำท่ีสละสลวยชัดเจน กำรเลือกใช้คำท่ีเหมำะสม
จะช่วยให้ผู้อ่ำนเกิดควำมรู้สึกและอำรมณ์ไปตำมจินตนำกำรของผู้เขียนด้วย

3. กำรวำงโครงเรื่อง
กำรวำงโครงเรื่องเป็นกำรเรียบเรียงควำมคิดว่ำจะเขียนเรื่องอะไร เกี่ยวข้องกับสิ่งใด

ใจควำมสำคัญมีอะไร ได้เนื้อหำครบถ้วนหรือไม่ มีข้อมูลใดที่ต้องค้นคว้ำเพิ่มเติม กำรวำงโครง
เรื่องก่อนลงมือเขียนจะช่วยทำให้งำนเขียนสมบูรณ์ ไม่วกวนสับสน เพรำะมีกำรลำดับควำมที่ดี
ซ่ึงมีข้ันตอน ดังน้ี

3.1 กำรรวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียน : เป็นกำรดึงควำมรู้และประสบกำรณ์
เดิมของผู้เขียน บำงครั้งข้อมูลหรือควำมรู้ท่ีมีอยู่ยังไม่เพียงพอ จึงจำต้องศึกษำหำข้อมูลจำกแหล่ง
ต่ำงๆ เพ่ิมเติม เช่น จำกกำรสัมภำษณ์หรือจำกงำนวิจัยต่ำงๆ

3.2 กำรเลือกและกำรจัดแนวควำมคิด : กำรรวบรวมควำมคิดนั้นอำจได้ข้อมูลมำกมำย
บำงแนวควำมคิดมีควำมสำคัญมำก บำงแนวอำจไม่สัมพันธ์กับเรื่องท่ีจะเขียนก็มี ดังน้ันผู้เขียนจึง
ควรเลือกแนวคิดที่มีสำระสำคัญ ซ่ึงมีควำมเกี่ยวข้องกับเรื่องท่ีจะเขียนเท่ำน้ัน เมื่อได้เลือกแนวคิด
นั้นๆ ควรนำแนวคิดเหล่ำน้ันมำเข้ำกลุ่มที่คล้ำยหรือใกล้เคียงกัน

3.3 กำรจัดลำดับควำมคิด : ในกำรสนทนำอำจพูดกันโดยมิได้คำนึงถึงสิ่งอื่นใด และไม่
ต้องมีกำรเตรียมตัวมำก่อน อำจจะเปลี่ยนจำกเรื่องหนึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยไม่มีข้อจำกัดว่ำ
เม่ือใดควรทำอะไร ตรงกันข้ำมกับกำรเขียนที่ต้องมีหลักเกณฑ์ในกำรจัดระเบียบควำมคิด ซ่ึงต้อง
ประกอบด้วย กำรจัดลำดับเรื่องรำว, กำรจัดลำดับเหตุผล, กำรจัดลำดับสถำนที่ และ กำร
จัดลำดับเวลำก่อนหลัง ดังนี้

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

165

(1) กำรจัดลำดับเรื่องรำวเป็นกำรเขียนบรรยำยเรื่องรำวต่ำงๆ เพื่อให้ผู้อ่ำนเข้ำใจง่ำย
ได้ควำมชัดเจนว่ำเหตุกำรณ์ได้เกิดขึ้นตำมลำดับก่อนหลัง โดยเขียนตำมลำดับเรื่องรำวที่เกิดขึ้น
ไม่เขียนย้อนไปย้อนมำ

(2) กำรจัดลำดับเป็นกำรเขียนโดยใช้เหตุและผล เช่น กำรเขียนบทวิจำรณ์หรือบท
วิเครำะห์ ซึ่งต้องกำรให้ผู้อื่นเกิดควำมเห็นคล้อยตำมผู้เขียนจึงจำเป็นต้องชี้แจงถึงเหตุและผล
ตำมลำดับ

(3) กำรจัดลำดับสถำนที่เป็นกำรเขียนที่ต้องทำให้ผู้อ่ำนเกิดภำพพจน์ โดยจะต้อง
พรรณนำถึงส่ิงท่ีจะเขียน เล่ำรำยละเอียดตำมท่ีเป็นจริง ไม่วกไปวนมำ

(4) กำรจัดลำดับเวลำก่อนหลังควรเขียนลำดับเรื่องรำวต่ำงๆ ตำมวันเวลำก่อนหลัง
เพรำะจะช่วยให้ผู้อ่ำนเข้ำใจได้ง่ำยกว่ำ กำรเขียนย้อนไปย้อนมำ

ทั้งนี้กำรวำงโครงเรื่องท่ีดีต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) มีขอบข่ำยของเรื่อง คือ เน้ือหำอยู่ในขอบข่ำยจำกัด ไม่ออกนอกเรื่อง
(2) เน้ือหำไม่ซำ้ ซ้อน คือ เน้ือหำในแต่ละส่วนต้องไม่ซ้ำกัน เพรำะจะทำให้กำรดำเนิน

เร่ืองสับสนและวกวน

4. กำรเขียนย่อหน้ำ
กำรเขียนย่อหน้ำเป็นกำรเรียบเรียงเนื้อหำสำระให้ได้ใจควำมที่สมบูรณ์ กำรเขียนย่อหน้ำ

นับเป็นพื้นฐำนสำคัญของงำนเขียนควำมเรียงประเภททุกประเภท นอกจำกน้ียังเป็นตัวช่วยสำหรับ
ผู้เขียนและผู้อ่ำนในกำรรับและส่งสำรด้วย เช่น ช่วยให้ผู้เขียนเขียนได้ตรงตำมประเด็นที่กำหนดไว้,
ช่วยให้ผู้เขียนสำมำรถลำดับควำมคิดเป็นระเบียบได้ ช่วยให้ผู้อ่ำนติดตำมควำมคิดของผู้เขียนได้อย่ำง
ถูกตอ้ ง รวมทงั้ เขำ้ ใจเน้ือหำได้งำ่ ยและรวดเร็วมำกยิง่ ข้นึ ดว้ ย

4.1 ประเภทของกำรเขียนย่อหน้ำ กำรเขียนเรียบเรียงย่อหน้ำในงำนเขียนประเภทต่ำงๆ
สำมำรถจำแนกได้ 2 ลกั ษณะ คอื ย่อหน้ำเนอ้ื เร่ือง และ ยอ่ หน้ำพเิ ศษ ซงึ่ มีรำยละเอยี ด ดงั น้ี

4.1.1 ย่อหน้ำเน้ือเรื่อง : ย่อหน้ำที่ใช้แสดงสำระสำคัญของเรื่อง ประกอบด้วย
ควำมคิดสำคัญและส่วนขยำยควำมคิดสำคัญ โดยจำนวนของย่อหน้ำเน้ือเรื่องขึ้นอยู่กับโครงเรื่องท่ี
ผู้เขียนกำหนดไว้ หำกผู้เขียนมีควำมคิดสำคัญหลำยประกำร เมื่อนำเสนอควำมคิดสำคัญประเด็นใหม่
ก็ต้องเร่มิ ย่อหนำ้ ใหม่ด้วย

//\\//\\ลขิ ติ ศิลปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

166

ตัวอยำ่ ง

(1) คนท่ีกินอะไรแล้วไม่รู้ถึงควำมแตกต่ำงของรสอำหำร ท่ำนว่ำมีล้ินจระเข้ เพรำะ
เหมือนกับไม่มีลิ้นท่ีเป็นตัวรับรู้รส คนที่อ่ำนหรือฟังวรรณคดีแล้วไม่รู้รสอำรมณ์ก็น่ำจะกล่ำว
ได้วำ่ เปน็ คนไม่มีหวั ใจ รสอำหำรมลี ิ้นเป็นตวั รับรู้ สว่ นรสอำรมณน์ ั้นมหี วั ใจเป็นตัวรบั รู้

(2) จุดประสงค์ของกวีในกำรประพันธ์ก็เพื่อสื่ออำรมณ์และควำมคิดมำยังผู้อ่ำน แต่
เนอ่ื งจำกอำรมณ์และควำมคดิ บำงประกำรเปน็ สงิ่ ทล่ี ะเอยี ดออ่ นลึกซึ้ง หรือเป็นนำมธรรมเกิน
กว่ำที่เรำจะรับรู้ได้ด้วยถ้อยคำ ด้วยไม่สำมำรถแจกแจงหรือให้คำจำกัดควำมได้ ผู้รับสำรจึง
ตอ้ งใช้วธิ กี ำรรับรู้พิเศษ ไม่ใช่เพยี งกำรอนมุ ำน คือกำรคำดคะเนด้วยเหตุผล และมิใชเ่ พียงฟัง
คำบอกเลำ่ ของผูอ้ ื่น แตต่ ้องรบั รู้ด้วยกำรประจกั ษ์กับตนเอง

(3) กำรประจักษ์โดยทั่วไป หมำยถึงกำรรู้โดยอำศัยประสำทสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตำ จมูก
ลิ้น และผิวกำย แต่กำรประจักษ์อำรมณ์และควำมคิดของกวี ต้องอำศัยประสำทสัมผัสที่ 6
คือใจ ผู้อ่ำนจึงจะเข้ำถึงส่ิงที่กวีเองก็สัมผัสด้วยใจมำแล้ว และได้ถ่ำยทอดต่อมำยังผู้อ่ำน
นักวรรณคดีสันสกฤตเรียกผู้อ่ำนชนิดนี้ว่ำ สหฤทัย ซ่ึงมีคำแปลตำมรูปศัพท์ว่ำ ผู้มีหัวใจ
หมำยถงึ ผมู้ ีใจเปดิ กว้ำงพร้อมทจ่ี ะรับรู้ควำมรู้สึกนึกคดิ ต่ำงๆ เปรียบเหมอื นกระจกหรือน้ำใส
น่ิงสนิท ที่สะท้อนภำพต่ำงๆ ได้อย่ำงชัดเจน ถ้ำจะกล่ำวว่ำ สหฤทัย คือผู้มีจิตใจอ่อนไหว
ไวต่อควำมรู้สึกเท่ำนั้นก็คงจะไม่ใช่ เพรำะสหฤทัยจะต้องเป็นผู้ที่ละวำงควำมเป็นตัวตนสลัด
อำรมณ์ที่เปน็ ส่วนตนออกให้ไดม้ ำกทีส่ ุดเหลือเพียงอำรมณท์ ่เี ป็นสัญชำตญำณมนุษย์

(4) ตำมหลักปรัชญำโยคะของอินเดีย หัวใจของสัตว์โลกทุกรูปทุกนำม มีรอยประทับ
จำกอดีตเรียกว่ำวำสนำเหมือนๆ กัน ควำมรู้สึกที่เกิดจำกวำสนำจึงเป็นควำมรู้สึกสำกล
เป็นควำมรู้สึกที่พ้องกับเพื่อนร่วมโลก มิใช่ควำมรู้สึกเอกเทศของผู้ใดผู้หนึ่ง เมื่อได้รับรู้
อำรมณ์อย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง ควำมสะเทือนใจจะไม่ได้เกิดเพรำะเป็นเรื่องที่พ้องกับเรื่อง
ของตน แต่เป็นควำมสะเทือนใจเพรำะได้รับรู้ชะตำกรรม รับรู้ควำมทุกข์ ควำมสุข ฯลฯ
ของเพื่อนร่วมโลก ณ จุดนี้เองที่ทำให้เห็นคุณค่ำของวรรณคดีในแง่ท่ีทำให้เกิดควำมเข้ำใจ
มนษุ ยชำติ

(5) คร้งั หนึง่ ศำสตรำจำรย์พระยำอนุมำนรำชธน ได้แสดงปำฐกถำเรื่อง คำ่ ของวรรณคดี
ในโอกำสวันสันติภำพของโลก ท่ำนได้สดุดีวรรณคดี ศิลปะ และวัฒนธรรมว่ำ อำจทำให้
เกิดสันติสุขอันแท้จริงข้ึนได้ ถ้ำคนสนใจรู้ค่ำอันสูงของสิ่งเหล่ำนี้ ปัญหำจึงไม่ได้อยู่ท่ีตัว

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

167

วรรณคดีหรือศิลปะน้ันไม่มีคุณค่ำ แต่อยู่ที่ผู้เสพซ่ึงไม่รู้ค่ำ ท่ีไม่รู้น่ำจะเป็นเพรำะไม่มี
ตัวรบั รคู้ ือหัวใจกระมัง

(6) ถ้ำเปรียบวรรณคดกี ับร่ำงกำยมนุษย์ รสวรรณคดีก็เหมือนชีวติ จิตใจอันเปน็ วิญญำณ
ของร่ำงน้ัน ส่ิงท่ีประกอบเข้ำเป็นวรรณคดี เช่น แนวคิด โครงเรื่อง เน้ือเร่ือง ฯลฯ เหมือน
กระดูก เลือด เนื้อ อวัยวะ ฯลฯ อลังกำรหรือถ้อยคำท่ีตกแต่งดีแล้ว เหมือนอำภรณ์ประดับ
ร่ำงกำย แล้วอะไรเล่ำจะสำคัญที่สุดในสำมอย่ำงน้ี ถ้ำไม่ใช่วิญญำณ ถ้ำเรำยังไม่เข้ำถึง
วิญญำณคือรสของวรรณคดี เรำก็คงยังไม่รู้จักวรรณคดีจริง มัวแต่หลงชมรูปกำยและอำภรณ์
อย่แู ละตดั สินคุณคำ่ กนั ดว้ ยส่งิ น้เี ท่ำน้ัน

(7) จงมำเป็นสหฤทัย “ผูม้ ีหวั ใจ” กนั เถิด จะไดเ้ ขำ้ ถงึ วิญญำณของวรรณคดี

(คัดจำก “รสเกิดกับผูม้ หี วั ใจ” สสี ันวรรณคดี ของกุสุมำ รกั ษมณี)

ควำมเรียงขำ้ งตน้ ประกอบไปดว้ ยยอ่ หนำ้ ทงั้ หมด 7 ยอ่ หนำ้ เน้ือหำโดยรวมผู้เขยี นต้องกำรจะ
ส่ือว่ำ “รสอำรมณ์” ท่ีได้จำกกำรอ่ำนหรือฟังวรรณคดี จะเกิดข้ึนได้ต้องใช้ “หัวใจ” เป็นตัวรับรู้ซึ่ง
ผู้เขียนได้เกร่ินนำไว้ในย่อหน้ำแรกคือย่อหน้ำคำนำ หลังจำกน้ันผู้เขียนได้ร้อยเรียงเนื้อหำเพื่อแสดง
สำระสำคัญของเรื่องให้ชัดเจนตำมโครงเร่ืองท่ีกำหนดไว้ ในย่อหน้ำเนื้อเรื่อง คือ ย่อหน้ำที่ 2 ถึง ย่อ
หน้ำท่ี 6 เพื่อให้เห็นว่ำ เหตุใดจึงต้องใช้ “หัวใจ” ในกำรรับรู้อำรมณ์และควำมคิดของกวี ท้ำยสุด
ผู้เขียนปิดท้ำยด้วยบทสรุปในย่อหน้ำสุดท้ำย ด้วยกำรเรียกร้องให้ผู้อ่ำนเป็น “ผู้มีหัวใจ” เพื่อจะได้
เขำ้ ถงึ “รสของวรรณคดี”

4.1.2 ย่อหน้ำพิเศษ : ย่อหน้ำพิเศษมีลักษณะที่เฉพำะตัว ซึ่งสำมำรถจำแนก
ควำมเฉพำะตัวตำมลักษณะหน้ำท่ี ได้หลำยลักษณะ ดังนี้

(1) ย่อหน้ำคำนำ ทำหน้ำท่ีเป็นส่วนนำของเร่ือง เพ่ือให้ผู้อ่ำนเกิดควำมสนใจ
และติดตำมอ่ำนเนือ้ เรอื่ งตอ่ ไป มีลกั ษณะกำรเขยี น 3 แบบบ ได้แก่

- แบบเขียนบอกโดยตรง : ผู้เขียนเขียนบอกตรงๆ ว่ำ ต้องกำรเขียนเร่ือง
อะไร เพรำะอะไร และ ทำไมจงึ เขยี น
- เขียนบอกโดยอ้อม : ผู้เขียนเขียนถึงเรื่องอื่นเพื่อเป็นกำรนำไปสู่เรื่อง
ที่ต้องกำร เช่น กำรนำด้วยข่ำวหรือเหตุกำรณ์ที่กำลังเป็นที่สนใจ
กำรนำด้วยคำถำม กำรนำด้วยสุภำษิต คำคม หรือ คำกล่ำวของ
บุคคลสำคัญ เป็นต้น แต่อย่ำงไรก็ตำมเรื่องที่นำมำเขียนนำนี้ควร
เป็นเรื่องที่มีควำมเก่ียวข้องกันกับสำระสำคัญของเร่ืองด้วย

//\\//\\ลิขติ ศลิ ปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

168

- เขียนโดยแสดงแนวคิด : ผู้เขียนแสดงแนวคิดเก่ียวกับเรื่องก่อน แล้วจึง
อธิบำยแนวคิดใหผ้ ูอ้ ่ำนเข้ำใจในภำยหลงั

ตัวอย่ำง 1 กำรเขยี นนำดว้ ยกำรแสดงขอบเขตเนือ้ หำของกำรเขียน
“คุณครูตรงนี้ หมำยถึง คุณของครู ดว้ ยสำนกึ เสมอว่ำชีวิตที่มีวนั นี้ มใิ ช่แคพ่ ระคุณของพ่อแม่

ท่ียิง่ ใหญ่ แตเ่ กดิ จำกคุณครทู ง้ั หลำยท่ีช่วยสอนสรำ้ งเชน่ กนั ”

(คดั จำก “คุณคร” สกลุ ไทย ของ จิตรำ กอ่ นนั ทเกยี รต)ิ

ตัวอย่ำง 2 กำรเขียนนำด้วยกำรบอกเจตนำและจุดประสงคใ์ นกำรเขียน
“บทควำมนี้เขียนข้ึนด้วยควำมปรำรถนำดีที่จะชักชวนให้ท่ำนผู้อ่ำนช่วยกันคิดพิจำรณำ

วินิจฉัยร่วมกันโดยตำ่ งคนต่ำงมีวถิ ีและกระบวนกำรของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องคิดด้วยวิธีกำรเดียวกัน
มิได้เขียนข้ึนด้วยเจตนำจะส่ังสอนผู้ใดหรือชี้นำไปในทำงใด จะมีก็คงจะเป็นข้อเสนอแนะสำหรับให้
ชว่ ยกนั พนิ จิ พเิ ครำะหต์ อ่ ไปเทำ่ น้นั

(คดั จำก “ภำษำไทย: เอกลกั ษณข์ องควำมเปน็ ไทย” ของ จำนง ทองประเสริฐ)

(2) ย่อหน้ำสรุป ทำหน้ำที่สรุปสำระสำคัญของเร่ือง เป็นกำรเน้นย้ำควำมคิด
สำคัญของเร่ือง หรืออำจเป็นกำรแสดงทรรศนะเกี่ยวกับสำระสำคัญของเรื่อง ผู้อ่ำนจะประทับใจและ
จดจำเรื่องทั้งหมดได้มำกนอ้ ยเพียงใดขึ้นอยู่กับย่อหนำ้ สรุป ดังนน้ั ยอ่ หนำ้ สรุปจึงเป็นย่อหนำ้ ทส่ี ำคญั

กลวิธีในกำรสรุปมีหลำยวิธี ผู้เขียนควรเลือกใช้ให้เหมำะสมกับคำนำและ
สอดคล้องกบั เน้ือเร่ือง วธิ กี ำรเขยี นสรปุ ที่ไดร้ ับควำมนยิ ม ไดแ้ ก่ กำรสรปุ ดว้ ยกำรฝำกข้อคิด, กำรสรุป
ด้วยกำรส่ังสอน, กำรสรุปด้วยกำรให้คำแนะนำและชักชวน กำรสรุปด้วยกำรใช้คำประพันธ์ คำคม
หรือสุภำษติ และกำรสรุปด้วยกำรยำ้ หรอื เน้นยำ้ ใหเ้ หน็ ควำมสำคญั เปน็ ต้น

ตวั อยำ่ ง 1 สรุปดว้ ยกำรเน้นยำ้ ควำมคดิ สำคญั ของเรื่อง
“จำกขอ้ เท็จจริงท่ีปรำกฏ เรำจงึ สรุปได้ว่ำ แหลง่ อำรยธรรมในบรเิ วณลุ่มแมน่ ้ำต่ำงๆ ของโลก

น้ันจะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเม่ือสภำพของแม่น้ำน้ันเอื้ออำนวย กล่ำวคือแม่น้ำจะต้องไม่โหดร้ำยต่อมนุษย์
จนเกนิ ไปในขณะเดียวกันก็จะตอ้ งมสี งิ่ ทำ้ ทำยไม่เอ่อื ยเฉือ่ ยจนทำให้มนุษย์ไมร่ ู้จักกำรคิดทจี่ ะต่อสู้

(คัดจำก “แม่นำ้ กับอำรยธรรม” อยอู่ ยำ่ งรักธรรมชำติ ของหม่อมหลวงต้ยุ ชมุ สำย)

ตวั อยำ่ ง 2 สรปุ ด้วยกำรแสดงทรรศนะ
“ผมคิดว่ำเร่ืองของส่ิงที่เรียกว่ำควำมรู้นั้น มีเรื่องที่น่ำสนใจและน่ำศึกษำค้นคว้ำอีกมำก

ตลอดจนเง่ือนไขของกำรแสวงหำควำมรู้ของมนุษย์ (Knowledge Acquisition) ผมคิดว่ำเร่ืองท่ี
เกี่ยวข้องกับควำมรู้น้ีเป็นสิ่งที่น่ำสนใจมำก และผมคิดว่ำพวกเรำท่ีทำงำนในวงกำรอุดมศึกษำควรให้
ควำมสนใจให้มำกกว่ำท่ีเป็นอยู่ ผมเชื่อว่ำกำรศึกษำค้นคว้ำ และกำรปฏิบัติกำรเร่ืองควำมรู้น้ีจะเป็น

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

169

กำรสร้ำงคุณูปกำรให้กับสังคมไทยอย่ำงมหำศำล สังคมไทยจะเป็น Knowledge-based Society
หรอื Knowledge-base Economy หรอื ไม่กอ็ ยู่ทว่ี ำ่ พวกเรำไดก้ ระทำกำรเก่ียวกับเร่ืองนีห้ รือไม่ มำก
น้อยเพียงใด ลองพจิ ำรณำดนู ะครบั ”

(คัดจำก “ปรำรมภเ์ รื่องว่ำดว้ ยควำมรู้” ของ อุทยั ดลุ ยเกษม)

ตัวอยำ่ ง 3 กำรสรุปดว้ ยคำประพนั ธ์ คำคม หรือสภุ ำษิต
“...และไมค่ วรลืมวำ่ ไกง่ ำมเพรำะขน คนงำมเพรำะแต่ง”

ตวั อย่ำง 4 กำรสรปุ ด้วยกำรฝำกข้อคิด
“ปริญญำบัตรอำจจะทำให้คนเรำเต็มไปด้วยควำมภำคภูมิใจ แต่ควำมชำนำญจำกงำนใน

หน้ำที่น่ันต่ำงหำก ท่ีจะทำให้คนเรำรู้สึกเป็นไทแก่ตัว เป็นนำยแต่อนำคตของชีวิตและสำมำรถมองตำ
ทุกคนไดโ้ ดยปรำศจำกควำมกลวั ผดิ หรอื ปมดอ้ ย”

(ข้อคิด : มำลัย ชูพนิ ิจ)

ตวั อยำ่ ง 5 กำรสรุปด้วยกำรใหค้ ำแนะนำและชักชวน
“เพ่ือควำมสงบสุขของบ้ำนเมือง ผู้ปกครองพึงปรำบปรำมโจรร้ำยมิจฉำชีพให้รำบคำบ แต่

มิใช่ด้วยกำรจองจำหรือฆ่ำฟัน หำกแต่ควรจัดระบบเศรษฐกิจให้เป็นธรรม ส่งเสริมคนดีทั้งที่เป็น
ชำวนำ พ่อค้ำ และข้ำรำชกำร เมื่อทำได้เช่นนี้โจรผู้ร้ำยหรืออำชญำกรรมท้ังมวลจะหมดสิ้นแผ่นดิน
โดยไมจ่ ำเป็นตอ้ งปรำบปรำมดว้ ยอำวุธแต่ประกำรใด”

(จลำจลคกุ บำงขวำง : แกว้ สดุ ท้ำย)

ตัวอยำ่ ง 6 กำรสรปุ ดว้ ยกำรสัง่ สอน
“เรำทั้งหลำยจึงควรถือเป็นหน้ำท่ีท่ีจะต้องช่วยกันอนุรักษ์ภำษำไทยไว้ด้วยกำรไม่ประพฤติ

ปฏิบัติส่ิงใดที่จะเป็นกำรทำให้ภำษำไทยของเรำเสือ่ มลง และต้องพยำยำมเสริมสร้ำงภำษำของเรำทุก
ด้ำนทกุ โอกำสทส่ี ำมำรถจะกระทำได้ แล้วภำษำไทยของเรำจะดำรงอยคู่ ูก่ ับคนไทยตลอดไป”

(ภำษำไทยของเรำ : จิรวัฒน์ สทิ ธดิ ำรง)

(3) ย่อหน้ำบทสนทนำ ทำหน้ำท่ีจำลองบทสนทนำ ซึ่งประกอบด้วยกำรบันทึกคำ
สนทนำ เมือ่ เปล่ียนผ้พู ูดคนหนึ่งต้องย่อหน้ำใหม่คร้ังหนึ่ง เพอ่ื ใหผ้ อู้ ่ำนทรำบควำมคิดเห็นของแต่ละบุคคล

ตวั อยำ่ ง 1

(1) “ฉนั มำหำแกตงั้ หลำยคร้ัง...” มันพูดด้วยนำ้ เสยี งทพ่ี ยำยำมระงับควำมร้สู กึ บำงอย่ำง
“...เหน็ หนงิ บอกว่ำหมู่น้แี กกลับดกึ ทุกวัน”

//\\//\\ลิขติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

170

(2) “ฉันมีธุระของฉันบ้ำง” ผมโยนหมอนใบเล็กที่วงอยู่บนตักไปทำงหนึ่ง “แกจะมำ
คอยคุมควำมประพฤติฉันหรอื ไงวะ”

(3) “ฉันร้วู ำ่ แกไปไหน...” ป้อมพดู ตอ่ ไปโดยไม่สนใจทำ่ ทำงของผม

(4) “...และฉันกร็ วู้ ่ำมนั ไมธ่ ุระกงกำรอะไรของฉัน เพียงแตฉ่ นั เปน็ หว่ งแกและอยำกให้แก
รู้จัก หักใจบ้ำง แกจำได้ไหมที่ฉันเคยบอกแกว่ำ... ควำมรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูก
ครอบครอง เพรำะควำมรกั นนั้ เพียงพอแลว้ สำหรบั ตอบควำมรัก”

(คดั จำก เวลำในขวดแก้ว ของประภสั สร เสวิกุล)

ตัวอย่ำงข้ำงต้นน้ี เป็นบทสนทนำโตต้ อบระหว่ำงตัวละคร ทุกคร้ังท่ีข้ึนบทสนทนำใหม่จะตอ้ ง
ขึน้ ย่อหน้ำใหม่

(4) ย่อหน้ำเช่อื ม ทำหน้ำท่ีเปน็ ย่อหนำ้ ส้นั ๆ ท่แี ทรกเขำ้ มำเพื่อเชื่อมโยงควำมคิด
ระหวำ่ งย่อหนำ้ สองยอ่ หนำ้ ทค่ี วำมคดิ ไมส่ ัมพนั ธ์เกยี่ วเนอื่ งกนั ใหส้ ัมพันธก์ ัน

ตวั อยำ่ ง

1) แมม่ ีควำมรู้เรอื่ งยำโบรำณมำบำ้ ง เพรำะอยู่กบั ป้ำซึง่ เป็นแพทยแ์ ผนโบรำณ พอลูก
เป็นไข้ตวั ร้อน แมจ่ ะกวำดยำดำ ยำทำจำกอะไรไม่รู้ แตเ่ รียกตำมสขี องยำว่ำ ยำดำ ยำเขียน
ยำอย่ำงหนึ่ง ใช้ด่ืม มีกระสำยยำเป็นปัสสำวะของเด็กชำย เร่ืองให้เด็กกินยำต้องใช้คำว่ำ
กรอกยำ เพรำะตอ้ งบีบปำกบงั คบั ให้ปำกเปดิ เพ่ือจะสอดช้อนเล็กๆ เขำ้ ไปได้

2) ส่วนนีต้ อ้ งเรยี กวำ่ เปน็ กำรเล้ียงลกู อย่ำงโบรำณ ตอ่ เมอ่ื ลูกโตพอวิ่งได้แลว้ จึงพึ่งแพทย์
3) แพทย์ประจำครอบครัว คือ หลวงพรหมทัตเวที ท่ำนเป็น แพทย์ใหญ่ของ

โรงพยำบำลจุฬำลงกรณ์มีคลินิกสองแห่งอยู่ไม่ไกลกัน เพรำะท่ำนมีสองบ้ำน บ้ำนของดิฉัน
อย่ใู กลก้ บั บ้ำนใหญ่ของท่ำน จึงพงึ่ ทำ่ นเป็นประจำ ท่ำนทำคลอดลูกให้ ลกู มือเจบ็ เพรำะเอำ
มือไปจุ่มในน้ำร้อนก็ไปหำท่ำน คร้ังสุดท้ำยที่ไปพ่ึงท่ำนคือตอนที่อยู่ในระยะเลือดจะไปลม
จะมำ เม่ือประมำณ 30 ปีที่แล้ว ท่ำนให้ยำมำกินแล้วบอกว่ำ ไม่เป็นอะไรมำก ก็เลยทำท่ำ
จะหำยเป็นปลดิ ทิง้

(คดั จำก “ชวี ติ ครอบครัว” สำรคดีชวี ประวตั ิ สมศรี สกุ ุมลนนั ทน์ ของ สมศรี สกุ มุ ลนันทน)์

ย่อหน้ำ 3 ย่อหน้ำข้ำงต้นนี้ ย่อหน้ำที่ 2 เป็นย่อหน้ำเชื่อม ทำหน้ำที่เช่ือมโยงควำมคิด
ของย่อหน้ำที่ 1 ให้สัมพันธ์กับย่อหน้ำที่ 3 กล่ำวคือ ในย่อหน้ำท่ี 1 ผู้เขียนกล่ำวว่ำ เม่ือลูกไม่สบำย
แม่ของผู้เขียนจะรักษำลูกด้วยตนเอง เพรำะมีควำมรู้เก่ียวกับยำโบรำณมำบ้ำง ในขณะที่ย่อหน้ำที่ 3

//\\//\\ลิขติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

171

เป็นกำรกล่ำวถึงแพทย์ประจำครอบครัวซ่ึงเป็นแพทย์แผนปัจจุบันท่ีผู้เขียนพ่ึงพำอยู่เสมอ เม่ือลูกหรือ
ตนเองเจ็บป่วย ผู้เขียนใช้ย่อหน้ำท่ี 2 เป็นตัวเชื่อมโยงควำมคิดเรื่องกำรดูแลลูกเมื่อเจ็บป่วยระหว่ำง
สมัยเก่ำกับสมยั ใหม่

(5) ย่อหน้ำเน้นย้ำข้อควำม ทำหน้ำท่ีเน้นย้ำควำมสำคัญของคำบำงคำ หรือ
ข้อควำมบำงข้อควำมเป็นพิเศษ หรือเพ่ือแสดงควำมคิดสำคัญให้เห็นเด่นชัด จึงแยกออกมำเขียนเป็น
ย่อหน้ำใหม่เพื่อให้ผู้อ่ำนสะดุดตำสะดุดใจ ย่อหน้ำน้ีมักจะมีเพียงประโยคเดียว หรือบำงครั้งอำจจะมี
คำเพียงคำเดยี วเป็นย่อหนำ้ ทีป่ รำกฏตำมคอลัมน์ในนิตยสำรและหนงั สอื พมิ พ์

ตัวอย่ำง หลำยครั้งที่คิดถึงคุณครูเบญจมำศ ครูสอนวิทยำศำสตร์เมื่อครั้งอยู่ ป. 7
1) โรงเรียนรำชินี เพรำะด้วยคำพูดของครูที่บอกนักเรียนว่ำ “นักวิทยำศำสตร์อย่ำง
มร.หลุยส์ ปำสเตอร์ ประสบควำมสำเร็จได้จำกกำรช่ำงสังเกต นักเรียนต้องหัดเป็น
2) คนช่ำงสังเกต เช่น เห็นแถวมดเดินก็สนใจดู ดูขบวนมดที่คำบอำหำร บอกนิสัยท่ี
ขยันเอำงำนของมัน”

ตั้งแต่นั้น...ก็เริ่มฝึกตนเองให้เป็นคนช่ำงสังเกต และพบว่ำ...นิสัยนี้ดี มี
ประโยชน์ต่อชีวิต

(คัดจำก “คุณคร”ู ของ จิตรำ กอ่ นนั ทเกยี รติ สกุลไทย 4 มีนำคม 2540)

ตัวอย่ำงข้ำงต้น ย่อหน้ำที่ 2 เป็นย่อหน้ำที่ผู้เขียนต้องกำรเน้นย้ำควำมคิดสำคัญที่ต้องกำร
นำเสนอให้เด่นชัดจึงข้ึนย่อหน้ำใหม่ท้ังๆ ท่ีย่อหน้ำทั้งสองย่อหน้ำน้ีเป็นเรื่องเดียวกันนำมำเขียนรวม
เป็นหนง่ึ ย่อหนำ้ ได้

ในบำงครัง้ กำรเขยี นย่อหน้ำแบบน้ี ผู้เขยี นไม่ได้ต้องกำรเน้นย้ำเป็นพิเศษ เพียงแต่เป็นเทคนิค
วิธกี ำรเขยี นอย่ำงหน่งึ ทีท่ ำใหผ้ อู้ ่ำนตดิ ตำมเน้อื หำได้ง่ำยขึน้

ตัวอย่ำง
(1) ขณะกำลังจะเรมิ่ ตน้ พลกิ หนงั สือของ “เดล คำร์เนก”้ี ผมก็เกิดควำมรู้สกึ หน่ึงขน้ึ มำ
(2) ทำไมมำเทยี่ วทะเลครำวนี้จึงไมเ่ หมือนกบั กำรพักผอ่ นเลย
(3) แลว้ กไ็ ดค้ ำตอบว่ำเพรำะหนงั สือที่ผมอำ่ นล้วนเป็นวัตรปฏิบัติตำมปกติในชว่ งทำงำน
(4) หนงั สือพมิ พ์รำยวนั นิตยสำร และหนังสือธุรกจิ

//\\//\\ลิขติ ศิลปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

172

(5) เปลีย่ นสถำนที่ แตก่ ิจวัตรไมเ่ ปล่ยี น
(6) ยงั อำ่ นหนังสอื เพ่อื นำมำใช้งำนเหมือนเดมิ
(7) ควำมเคยชนิ เดมิ ๆ จึงทำใหค้ วำมรู้สกึ น้ันไม่เปลย่ี น
(8) ไมร่ ู้สึกวำ่ พกั

(คัดจำก “อสิ รภำพ” ของ หนมุ่ เมอื งจันท์ มติชนสดุ สปั ดำห์ 26 ม.ี ค. – 1 เม.ย. 2547)

ตัวอย่ำงข้ำงต้นมีทั้งหมด 8 ย่อหน้ำ เน้ือควำมทั้ง 8 ย่อหน้ำนี้เป็นเรื่องเดียวกัน ถ้ำเป็นวิธี
กำรเขียนย่อหน้ำโดยท่วั ไปจะเขยี นรวมกันเป็น 1 ย่อหน้ำ

4.2 องค์ประกอบของย่อหน้ำ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ ควำมคิดสำคัญ (Main
Idea) ที่ผู้เขียนมงุ่ เสนอ ซง่ึ มกั จะปรำกฏเป็นประโยคใจควำมสำคัญ (Topic Sentence) หนึ่งประโยค
และประโยคขยำยใจควำมสำคัญ (Supporting Sentence) ประโยคขยำยนี้จะมีจำนวนเท่ำใด ขึ้นอยู่
กับผู้เขียนว่ำต้องกำรขยำยควำมให้ละเอียดชัดเจนเพียงใด ประโยคขยำยเหล่ำนี้จะช่วยเสริมใจควำม
ประโยคใจควำมสำคัญให้ชัดเจนแจ่มแจ้งย่ิงขึ้น ซึ่งประโยคใจควำมสำคัญมีรูปแบบกำรวำงอยู่
5 ลักษณะ ดังน้ี

4.2.1 ย่อหน้ำท่ีมีประโยคใจควำมสำคัญอยู่ต้นย่อหน้ำ : ย่อหน้ำรูปแบบน้ีเป็นย่อ
หน้ำที่เหมำะสำหรับผู้เริ่มฝึกเขียนย่อหน้ำ เน่ืองจำกตำแหน่งของประโยคใจควำมสำคัญที่วำงไว้
ตอนต้นย่อหน้ำจะทำให้ผู้เขียนระลึกอยู่เสมอว่ำกำลังเขียนเร่ืองอะไร อีกทั้งยังทำให้ผู้อ่ำนทรำบถึง
ควำมสำคญั ที่ผเู้ ขยี นต้องกำรนำเสนอดว้ ย กำรเขียนยอ่ หน้ำรูปแบบนี้ เริ่มจำกกำรวำงประโยคใจควำม
สำคญั ไวเ้ ปน็ ประโยคแรก หรอื ประโยคทีส่ องและตำมดว้ ยประโยคขยำยควำมตอ่ ไปจนจบ

ตัวอยำ่ ง
สิ่งที่ชำวเรือถือกันมำกก็คือ “หัวเรือ” นับถือกันว่ำเป็นที่แม่ย่ำนำงอยู่ พวกแม่ค้ำพ่อค้ำที่

ใช้เรือเป็นพำหนะบรรทุกของและอยู่อำศัย ไม่ว่ำจะเป็นเรือเล็กหรือใหญ่ มักไม่ยอมให้ใครเหยียบ
หวั เรือ แมจ้ ะขำ้ มก็ยงั ไมย่ อมให้ขำ้ ม เจำ้ ของเรอื บำงคนเคร่งมำก จะจดุ ธปู บชู ำท้ังเชำ้ และเย็นท่ีหัวเรือ
บำงลำมีแผ่นทองเหลืองหมุ้ อย่ำงสวยงำม และมีซองทองเหลอื งเล็กๆ ติดไว้ทีท่ วนหัวเรือ สำหรับปักธปู
บำงทกี ม็ พี วงมำลัยคล้องหวั เรือทเ่ี คร่งมำกๆ ถึงกับจัดอำหำรเซน่ ทกุ เชำ้ ก็มี

(คัดจำก “เกิดในเรอื ” ของ ส.พลำยนอ้ ย)

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

173

4.2.2 ย่อหน้ำที่มีประโยคใจควำมสำคัญอยู่ท้ำยยอ่ หน้ำ : ย่อหน้ำรูปแบบนี้ ผู้เขียน
ต้องกำร เน้นย้ำควำมคิดสำคัญไว้ตอนท้ำย โดยเริ่มอธิบำยขยำยควำมก่อน แล้วจึงปิดท้ำยด้วย
กำรสรุปเป็นประโยคใจควำมสำคัญวำงไว้ท้ำยย่อหน้ำ กำรทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้อ่ำนจับใจควำม
สำคัญได้ง่ำยแต่ที่สำคัญผู้เขียนต้องไม่ลืม สรุปควำมคิดสำคัญไว้ในตอนท้ำยของย่อหน้ำ

ตัวอย่ำง
คนเรำมีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง แต่ไม่มีสิทธ์ิท่ีจะไปยุ่งเกี่ยวจัดกำรชีวิตของ

คนอ่ืนเรำมสี ิทธท์ิ จ่ี ะตัดสนิ ใจเลือกวถิ ชี ีวิตของตนเองแต่ไม่มสี ิทธ์ิทีจ่ ะไปบงกำรตดั สินใจแทนผู้อื่น เรำมี
สิทธิ์ก็แต่ที่จะจัดกำรกับตัวเองเท่ำน้ัน ชีวิตของผู้อ่ืนก็เป็นสิทธิ์ของเขำ ถึงแม้ควำมคิดของเรำจะงำม
และถูกต้องเพียงใด แต่กำรไปบีบบังคับให้คนอื่นเช่ือและทำตำมก็เป็นเพียงแต่ทัศนะอันคับแคบ และ
แสดงออกถึงควำมใจแคบและควำมโหดร้ำย กำรขำดควำมเคำรพในควำมเป็นมนุษย์ของผู้อ่ืน
มนุษย์แต่ละคนมสี ิทธ์ิอันชอบธรรมที่จะเชอื่ และท่จี ะเลือกหนทำงเดินสำหรับชีวติ ของตน

(คดั จำก “ในท่ำมกลำงอำรยธรรมผุกร่อน” ของ พจนำ จันทรสนั ติ)

4.2.3 ย่อหน้ำท่ีมีประโยคใจควำมสำคัญอยู่ต้นและท้ำยย่อหน้ำ : ย่อหน้ำรูปแบบนี้
ผู้เขียนจะวำงประโยคใจควำมสำคัญไว้ตอนต้นย่อหน้ำก่อน แล้วตำมด้วยกำรอธิบำยขยำยควำมให้ชัดเจน
หลังจำกน้ันจึงปิดท้ำยย่อหน้ำด้วยกำรเน้นย้ำควำมคิดสำคัญท่ีต้องกำรนำเสนออีกครั้ง โดยกำรเขียนเป็น
ประโยคใจควำมสำคัญในทำนองเดียวกันกับประโยคใจควำมสำคัญข้ำงต้นวำงไว้ท้ำยย่อหน้ำ ย่อหน้ำ
รูปแบบน้ีมักจะมีส่วนขยำยรำยละเอียดค่อนข้ำงมำก กำรวำงประโยคใจควำมสำคัญไว้ท้ังต้นและท้ำยย่อ
หน้ำเชน่ น้จี ะชว่ ยให้ผู้อ่ำนเข้ำใจอยำ่ งชัดเจนวำ่ อะไรคอื ใจควำมสำคัญทผ่ี เู้ ขยี นต้องกำรนำเสนอ

ตวั อยำ่ ง
คนไทยนน้ั ถอื ว่ำบ้ำนเปน็ สิง่ สำคญั ต่อชวี ติ ต้งั แตเ่ กิดไปจนตำย เพรำะคนไทยโบรำณนั้นใช้บ้ำน

เป็นท่ีเกิด กำรคลอดลูกจะกระทำกันท่ีบ้ำน โดยมีหมอพื้นบ้ำนท่ีเรียกว่ำ หมอตำแยเป็นผู้ทำคลอด
มิได้ใช้โรงพยำบำลหรือสถำนผดุงครรภ์อย่ำงในปัจจุบันนี้ และที่สุดของชีวิตเมื่อมีกำรตำยเกิดขึ้น
คนไทยก็จะเก็บศพของผู้ตำยท่ีเป็นสมำชิกของบ้ำนไว้ในบ้ำนก่อนที่จะทำพิธีเผำเพื่อทำบุญสวด
และเป็นกำรใกล้ชิดกับผู้ตำยเป็นครั้งสุดท้ำย ดังนั้นบ้ำนจึงเป็นสถำนท่ีที่คนไทยใช้ชีวิตอยู่เกือบ
ตลอดเวลำตัง้ แตเ่ กดิ จนตำย

(คัดจำก “บำ้ นไทย” ศลิ ปะชำวบำ้ น ของ วิบูลย์ ลีส้ วุ รรณ)

//\\//\\ลิขติ ศิลปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

174

4.2.4 ย่อหน้ำที่มีประโยคใจควำมสำคัญอยู่กลำงย่อหน้ำ : ย่อหน้ำรูปแบบน้ีจะเร่ิม
ด้วยประโยคขยำย อำจจะมีลักษณะเป็นข้อควำมนำมำก่อนแล้วตำมด้วยประโยคใจควำมสำคัญ
ต่อจำกน้ันจะเป็นกำรอธิบำยขยำยควำมเพ่ิมเติมเพ่ือให้เนื้อควำมสมบูรณ์ยิ่งข้ึน ย่อหน้ำรูปแบบน้ี
เขียนค่อนข้ำงยำก เนื่องจำกว่ำผู้เขียนจะต้องระวัง ไม่เขียนส่วนขยำยในตอนต้นและตอนท้ำย
ของย่อหน้ำให้ออกนอกเรื่องและที่สำคัญผู้อ่ำนอำจจะจับใจควำมสำคัญได้ไม่ชัดเจน

ตวั อย่ำง
กำรที่เรำพูดว่ำ คนน้ันคนนี้เจ้ำบทเจ้ำกลอนน้ัน ก็มิได้หมำยควำมว่ำท่ำนผู้นั้นจะพูดหรือ

แต่งเพียงกลอนแปด กลอนเพลงยำว กลอนเสภำ หรือกลอนละครเท่ำนั้น ที่เรำว่ำผู้นั้นผู้นี้เจ้ำบท
เจ้ำกลอนก็ด้วยท่ำนผู้นั้นชอบพูดเป็นคำสัมผัส ซึ่งอำจเป็นรูปกำพย์ รูปโคลง รูปฉันท์ หรือรูปร่ำย
หรือแม้แต่เพียงพูด 2 – 3 พยำงค์ ยังไม่เป็นรูปบทกวีชนิดใดเลย แต่มีคำสัมผัสกันก็เรียกว่ำเจ้ำบท
เจ้ำกลอนแล้ว

(คัดจำก “หนึ่งใจ มันสมอง สองมือ คือผลงำนของครูมนตรี ตรำโมท: เพลงกบั กลอน”
จุลสำรไทยคดีศึกษำ ฉบับ 100 ปคี รมู นตรี ตรำโมท พฤษภำคม – กรกฎำคม 2543)

4.2.5 ย่อหน้ำที่ไม่ปรำกฏประโยคใจควำมสำคัญ : ย่อหน้ำรูปแบบน้ี ผู้เขียนจะแฝง
ควำมคิดสำคัญไว้ในย่อหน้ำ ดังน้ันจึงไม่ปรำกฏประโยคใจควำมสำคัญอย่ำงชัดเจน ผู้อ่ำนจะต้องอ่ำน
อย่ำงตั้งใจและทำควำมเข้ำใจว่ำยอ่ หน้ำนัน้ ผู้เขยี นตอ้ งกำรเสนอควำมคิดเรือ่ งใดเปน็ สำคัญ

ตัวอย่ำง
ไม่เฉพำะแต่คนไทยเท่ำนั้นที่มีควำมผูกพันกันอย่ำงแน่นแฟ้นกับสำยน้ำ หำกแต่ยังรวมไปถึง

มวลมนษุ ยชำติบนโลกทง้ั หมดนีก้ ็ตอ้ งพึง่ พำอำศัยใชน้ ำ้ ด้วยกันทัง้ สิ้น สำยน้ำจึงเปรยี บเสมอื นเสน้ เลือด
ใหญ่น้อยท่ีคอยหล่อเลี้ยงชีวติ ผคู้ นให้ดำรงอยู่และส่ิงที่ตำมมำสำหรับชีวิตประจำวนั ของคนโดยเฉพำะ
ผู้ท่มี บี ้ำนอำศยั อย่รู ิมนำ้ จำเป็นต้องมีก็คือ พำหนะทส่ี ำมำรถบรรทุกหรือนำพำคน สิ่งของไปบนท้องน้ำ
เพ่ือกำรติดต่อส่ือสำร เพ่ือค้ำขำย เพ่ือกำรศึกษำ เพื่อกำรประมง หรือแม้แต่เพื่อกำรแข่งขันเป็นกีฬำ
ทำงน้ำ และเพ่ือประโยชน์อื่นๆ อีกมำกมำย พำหนะดังกล่ำวนี้ก็คือ “เรือ” น่ันเอง และด้วยส่ิงน้ีเอง
จึงส่งผลให้กำรสัญจรทำงน้ำได้รบั ควำมนิยมขึ้นอย่ำงกวำ้ งขวำง

(คัดจำก “เรอื ” ของ พำไล (นำมแฝง) แพรวสดุ สัปดำห์ 16 มกรำคม 2536)

//\\//\\ลิขติ ศิลปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

175

ย่อหน้ำน้ีไม่ปรำกฏประโยคใจควำมสำคัญแต่เมื่ออ่ำนแล้วจะพบว่ำมีควำมคิดสำคัญที่ผู้เขียน
ตอ้ งกำรนำเสนอคือ “เรือ” เปน็ พำหนะสำคัญสำหรับผคู้ นทอ่ี ำศัยอยรู่ ิมน้ำ

4.3 กำรขยำยย่อหน้ำ เป็นกำรเขียนส่วนขยำยประโยคใจควำมสำคัญให้ชัดเจน กำรเขียน
ขยำยประโยคใจควำมสำคญั หรือกำรขยำยย่อหนำ้ สำมำรถทำไดห้ ลำยวิธี ดงั นี้

4.3.1 กำรให้คำจำกัดควำม : กำรขยำยย่อหน้ำด้วยกำรให้คำจำกัดควำมเป็น
กำรอธิบำยควำมหมำยของคำหรือสิ่งใดส่ิงหนึ่งในเนื้อเรื่องเพื่อให้ผู้อ่ำนเข้ำใจตรงกัน นอกจำกน้ี
ยังรวมถึงกำรอธิบำยขอบเขตควำมหมำยของเรื่องอีกด้วย กำรขยำยย่อหน้ำด้วยวิธีนี้อำ จจะมี
กำรยกตัวอย่ำงประกอบด้วย และมักจะอยู่ในช่วงต้นของเรื่อง ตำแหน่งของประโยคใจควำม
สำคัญมักจะอยู่ตอนต้นของย่อหน้ำ

ตวั อย่ำง
วรรณคดวี จิ ักษ์ (Literary Appreciation) คือควำมซำบซง้ึ ในวรรณคดี เปน็ กำรหำคุณค่ำและ

รจู้ ักควำมดงี ำมของวรรณคดี กำรวจิ กั ษ์ ไดแ้ ก่ กำรพิจำรณำแง่งำมของวรรณคดวี ำ่ วรรณคดีเร่อื งน้ันๆ
หรือตอนนนั้ ๆ ดีอย่ำงไร เชน่ มีควำมไพเรำะ มคี ติลกึ ซึง้ กนิ ใจ มีควำมหมำยที่คมคำยแฝงอยู่ เปน็ ตน้

(คดั จำก แนวทำงศึกษำวรรณคดี: ภำษำกวี กำรวจิ กั ษแ์ ละวจิ ำรณ์ ของประสิทธิ์ กำพย์กลอน)

4.3.2 กำรอธิบำยให้รำยละเอียด : กำรขยำยย่อหน้ำด้วยกำรอธิบำยให้
รำยละเอียดน้ี จะใช้เม่ือต้องกำรบรรยำยหรืออธิบำยลักษณะของส่ิงต่ำงๆ สถำนที่ หรือกำรลำดับ
เหตุกำรณ์ ตลอดจนเน้ือหำที่ต้องกำรให้รำยละเอียดเพ่ือควำมชัดเจนแจ่มแจ้งมำกย่ิงขึ้น

ตัวอยำ่ ง
กำรแต่งตัวของเด็กสำวๆ รุ่นนี้เป็นแบบเดียวกันหมด คือตัดผมบ๊อบ หยิกผม นุ่งผ้ำซิ่นสีเดียวกัน

ทั้งผืน ไม่มีเชิง ไม่มีลำยเหมือนกับผ้ำนุ่งของมอญ ใส่เส้ือแบบฝร่ัง เปิดจำกหนังสือแบบเส้ือแบบต่ำงๆ กัน
และสีต่ำงๆ กัน เร่ิมต้นด้วยผ้ำซ่ินยำวและเส้ือที่ยังมีแขนอยู่บ้ำงก่อน แต่นำนวันซ่ินที่นุ่งน้ันจะหดเข้ำตำม
กระโปรงแหม่มและส้ันขึ้นทุกวนั จนน่ำกลวั อันตรำยเวลำจะลุกนั่งในสำยตำของพลอย ส่วนเสอื้ ทีน่ ิยมใส่กัน
ก็กลำยเป็นแบบฝรั่งจำกเมืองนอกแท้ คือเส้ือไม่มีแขน ไม่มีเอวปล่อยเป็นรูปกระบอกหลวมๆ ยำวเลย
สะโพกมำเลก็ น้อย เพอื่ ใชก้ บั ผ้ำซน่ิ ท่ีหดขึ้นไปทำใหม้ องเห็นผ้ำซ่ินเป็นขอบเหลืออยนู่ ิดเดียว

(คดั จำก “สีแ่ ผน่ ดนิ ” ของ หมอ่ มรำชวงศ์คึกฤทธ์ิ ปรำโมช)

//\\//\\ลขิ ติ ศิลปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

176

4.3.3 กำรให้เหตุผล : กำรขยำยย่อหน้ำด้วยกำรให้เหตุผลอำจเร่ิมด้วยผลไปหำเหตุ
กล่ำวคือกำรวำงสว่ นที่เปน็ ผลไวต้ อนต้นของย่อหนำ้ แตต่ ำมดว้ ยสำเหตุทีท่ ำใหเ้ กิดผลนนั้ หรือกลำ่ วถึง
สำเหตกุ อ่ นแลว้ จึงสรุปผลเปน็ ประโยคใจควำมสำคญั ไว้ท้ำยย่อหน้ำ กำรขยำยย่อหน้ำด้วยวิธีนีม้ ักจะใช้
ในกำรเขียนแสดงควำมคิดเห็น หรือวิเครำะห์เรื่องใดเรื่องหน่ึง ส่ิงที่สำคัญผู้เขียนต้องระมัดระวังคือ
กำรเขียนให้เหตแุ ละผลสอดคล้องกนั อยำ่ งแทจ้ รงิ

ตวั อย่ำง
กำรออกกำลังกำยเป็นส่ิงจำเป็นสำหรับชีวิต เพรำะจะทำให้หัวใจ หลอดเลือด และปอด

มีกำรเปลี่ยนแปลงทั้งทำงกำยภำพและกำรทำงำนจนสำมำรถรับและขนส่งออกซิเจนได้ดีข้ึน
ขณะเดียวกันกล้ำมเนื้อและอวัยวะอื่นๆ ก็พลอยแข็งแรงข้ึน นอกจำกน้ันยังมีผลต่อจิตใจที่ทำให้
ผ้ทู ่ีออกกำลังคลำยควำมเคร่งเครียดทำงจติ ใจ และมอี ำรมณ์ปลอดโปร่งขนึ้ ดว้ ย

(คดั จำก “เลอื กกีฬำหน่ึงชนิด...ชีวิตทำ่ น” ของ กองกำรกฬี ำ สวสั ดกิ ำรสำร มีนำคม 2547)

4.3.4 กำรยกตัวอย่ำง : กำรขยำยย่อหน้ำด้วยกำรยกตัวอย่ำงจะช่วยทำให้ย่อหน้ำ
ชัดเจนมำกย่ิงขึ้น กำรขยำยย่อหน้ำด้วยวิธีนี้มักจะใช้ร่วมกับวิธีอ่ืน เช่น กำรอธิบำยให้รำยละเอียด
กำรให้คำจำกัดควำม เป็นต้น หรือจะใช้วิธีกำรยกตัวอย่ำงแต่เพียงอย่ำงเดียวโดยกำรยกตัวอย่ำง
หลำยๆ ตวั อยำ่ ง แลว้ จึงสรุปปิดท้ำยย่อหน้ำด้วยประโยคใจควำมสำคญั

ตวั อยำ่ ง
ในสังคมซ่ึงมีท่ีให้น้ำใจอยู่เพียงน้อยนิดน้ี ผมยังมีโอกำสได้เห็นน้ำใจคนในสังคมของเรำคือ

เม่ือวันจันทร์ท่ีผ่ำนมำน้ีเกิดเพลิงไหม้ข้ึนใกล้บ้ำนผมซึ่งอยู่ตรงข้ำมโรงเรียนวัดน้อยนพคุณ ปรำกฏว่ำ
ทำงโรงเรียนได้หยุดสอนและท้ังครู นักเรียน ไปจนกระท่ังภำรโรงของโรงเรียนได้เข้ำมำช่วยขน
ข้ำวของกันรถยนต์ซ่ึงล็อกอยู่ เด็กๆ ได้ช่วยกันท้ังยกท้ังลำกออกไปไว้ในโรงเรียน ทำให้เจ้ำหน้ำที่
ดับเพลิงเข้ำไปดับเพลิงได้สะดวก เด็กๆ เหน็ดเหนื่อยและเจ็บกันคนละเล็กคนละน้อย แต่ก็ช่วยกัน
สุดแรง นี่เป็นตัวอย่ำงของกำรมีน้ำใจท่ีแท้จริง คือกำรให้โดยมีเจตนำมุ่งจะให้อย่ำงเต็มอกเต็มใจ
ไมค่ ิดถึงผลอืน่ นอกจำกกำรเหน็ ผู้ทเ่ี ดือดร้อนได้พน้ ทุกข์

(คัดจำก “น้ำใจ” ของ ปรีชำ ชำ้ งขวญั ยนื สยำมรัฐสปั ดำหว์ จิ ำรณ์ มถิ ุนำยน 2537)

4.3.5) กำรเปรียบเทียบ : กำรขยำยย่อหน้ำด้วยกำรเปรียบเทียบนี้ทำได้หลำยวิธี
กล่ำวคืออำจจะใชว้ ธิ ียกเรอื่ งรำวเป็นอุทำหรณ์ขึ้นมำก่อนแล้วจงึ สรุปประเด็นสำคัญที่ต้องกำรนำเสนอ

//\\//\\ลขิ ติ ศิลปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

177

ไว้เป็นประโยคใจควำมสำคัญท้ำยย่อหน้ำหรือเปรียบเทียบโดยกำรใช้ข้อวำมที่เป็นอุปมำ แล้วอธิบำย
ขยำยควำมให้แจ่มชัด นอกจำกนี้ยังรวมถึงกำรเปรียบเทียบของส่ิงท่ีมีลักษณะเหมือนหรือต่ำงกัน
ให้เห็นชัดเจนด้วย

ตัวอยำ่ ง มนี กกำงเขนชนดิ หนึ่ง ช่ือนกอีกแพรก เลอื กทำรังตำมตน้ ไม้ทปี่ ลอดภยั เชน่ พง
1) เตย ท่ำนผู้หน่ึงท่ีรักนกและเฝ้ำสังเกตเล่ำให้ฟังถึงอีกแพรกผัวเมียคู่หนึ่ง กำลังฟักไข่สอง
ฟองในพงเตยขำ้ งบ้ำนท่ำน งเู ห่ำตวั หนง่ึ เลื้อยเขำ้ ไปในบริเวณ ทง้ั พอ่ แม่นกต่นื ตกใจ กลวั
อันตรำยต่อลูก ทั้งคู่ร้องและบินฉวัดเฉวียนไล่สัตว์ร้ำย พุ่งเข้ำรุมจิกและตีงูเห่ำ ท่ี
กำลังแผ่แม่เบ้ียคอยฉกอย่ำงไม่คิดชีวิตของตน จนในท่ีสุดงูเห่ำทนไม่ได้เลื้อยหลีกไป
ควำมรักของพ่อแม่เป็นเช่นน้ีไม่ว่ำจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ใครก็ตำมท่ีไม่สำนึกคุณ
ควำมรักเช่นนไ้ี มไ่ ดช้ ือ่ ว่ำเกิดมำเปน็ คน

(คัดจำก “คุณค่ำชวี ิต” ของ ระวี ภำวไิ ล)

ย่อหน้ำข้ำงต้นนี้ใช้วิธีกำรขยำยย่อหน้ำด้วยกำรเปรียบเทียบแบบยกเรื่องรำวเป็นอุทำหรณ์
ขึ้นมำก่อน คือกล่ำวถึง เรื่องของนกกำงเขนพ่อแม่คู่หน่ึงท่ีทำทุกอย่ำงเพ่ือไม่ให้งูเห่ำมำทำร้ำยลูก
ของตน หลังจำกน้ันจึงสรุปส่ิงท่ีต้องกำรนำเสนอ คือ กำรแสดงควำมรักของพ่อแม่ต่อลูกน้ันไม่ว่ำจะ
เปน็ มนุษยห์ รือสตั ว์ย่อมมีลักษณะเช่นเดยี วกัน

2) อย่ำลืมว่ำ กำรเกิดมำเป็นมนุษย์นั้น แต่ละคนมีดีแฝงเร้นอยู่ในตัวซ่ึงถ้ำหำกรู้จัก
พัฒนำให้เจริญงอกงำมก็จะปรำกฏเป็นคุณภำพในชีวิต แต่กำรที่จะเป็นเช่นน้ันได้
ต้องอำศัยเพียรทำงำน ไม่หยุดหย่อน เหมือนกับกสิกร เม่ือหว่ำนเมล็ดพันธ์ุแล้ว ย่อมเอำ
ใจใส่หมั่นรดน้ำพรวนดิน พืชท่ีงอกงำมขึ้นจึงจะเติบโต คุณธรรม เช่น สติ สมำธิ และ
ปัญญำที่จะงอกงำมใหผ้ ลใหญ่ในชวี ติ นน้ั ย่อมอำศยั ควำมพำกเพียรพฒั นำจติ ใจไม่หยดุ

(คัดจำก “คณุ ค่ำชีวติ ” ของ ระวี ภำวิไล)

ตัวอย่ำงท่ีสองน้ี ผู้เขียนใช้วิธีขยำยย่อหน้ำโดย กำรเปรียบเทียบแบบอุปมำ คือ เปรียบ
กำรรู้จักพัฒนำส่ิงดีที่แฝงอยู่ในตัว ของมนุษย์ให้งอกงำมจนเป็นคุณภำพในชีวิตได้น้ันต้องอำศัย
ควำมเพยี รในกำรทำงำน เหมอื นกบั กสิกรท่ีเม่อื หวำ่ นเมล็ดพืชลงไปแล้วย่อมตอ้ งหมนั่ ดแู ลรดน้ำ พรวน
ดนิ พชื นนั้ จงึ จะเจริญเติบโต

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

178

3) อำหำรมีรสต่ำงๆ กัน ให้ควำมโอชะแก่ผู้เสพฉันใด วรรณคดีก็มีรสต่ำงๆ กัน

ให้ควำมโอชะแก่ผู้อำ่ นฉนั นน้ั รสทั้งสองนแี้ ตกต่ำงกันตรงท่ีรสอำหำรใชล้ ้ิน เป็น

เครื่องสัมผสั เพอื่ ใหร้ ู้ว่ำอำหำรนนั้ มีรสเปรี้ยว หวำน มัน เค็ม หรอื เผ็ดอย่ำงไร บำงที ก็

ใช้จมูกดมกลิ่นพิสูจน์ว่ำอำหำรน้ันมีกล่ินหอมหวนชวนกินแค่ไหน ส่วนรสแห่งวรรณคดี

น้ันสัมผัสด้วยตำและหูจำกภำษำกวีจึงจะรู้รสและรสแห่งวรรณคดีนี้เป็นรสที่บอกถึง

อำรมณอ์ ย่ำงเดียว คือบอกอำรมณ์แห่งควำมพอใจ หรอื อำรมณ์แห่งควำมไม่พอใจ ถำ้ จะ

จำแนกภำวะแห่งอำรมณ์ออกเป็นส่วนปลีกย่อยลงไปอีกก็มีอยู่อีกหลำยประกำร เช่น

ควำมยินดี ควำมร่ำเริง ควำมโศก ควำมโกรธ ควำมองอำจ ควำมกลัว ควำมเกลียด

ควำมพศิ วง และควำมสงบ เปน็ ต้น

(คดั จำก “แนวทำงศึกษำวรรณคดี: ภำษำกวี กำรวจิ กั ษแ์ ละวจิ ำรณ์” ของ ประสทิ ธิ์ กำพยก์ ลอน)

ตัวอย่ำงน้ี ผู้เขียนใช้วิธีขยำยย่อหน้ำด้วย กำรเปรียบเทียบให้เห็นควำมแตกต่ำงระหว่ำง
กำรรับรู้รสอำหำรกับกำรรับรู้รสแห่งวรรณคดี กล่ำวคือ รสอำหำรใช้ล้ินเป็นเครื่องสัมผัสส่วน
รสแห่งวรรณคดีรรู้ สไดโ้ ดยกำรสมั ผสั ดว้ ยตำและหจู ำกภำษำกวี

4.4 ลักษณะของย่อหน้ำที่ดี คือ ย่อหน้ำที่สื่อควำมคิดของผู้เขียนได้อย่ำงชัดเจน ดังนั้น
ย่อหน้ำที่ดีจึงควรมีลักษณะสำคัญ 3 ประกำร คือ มีเอกภำพ มีสำรัตถภำพ และ มีสัมพันธภำพ

4.4.1 มเี อกภำพ : ย่อหนำ้ ทด่ี ีควรมคี วำมคิดสำคัญ หรอื ใจควำมสำคัญเพยี งประกำร
เดียว ในขณะท่ีประโยคขยำยจะต้องมีควำมสัมพันธ์เก่ียวเนื่องเป็นเร่ืองเดียวกันกับใจควำมสำคัญ
ชว่ ยสนบั สนนุ ใจควำมให้ชดั เจนไมเ่ ขยี นออกนอกเร่อื ง

ตัวอยำ่ ง
รสที่เรียกได้ว่ำเป็นพื้นฐำนของนำ้ พริกคือรสเผ็ดนำ และมีรสเค็มตำม หลำยภำคหยุดอย่แู ค่น้ี

น้ำพริกเป็นเรื่องของกำรเผ็ดและกำรเค็ม แต่มีภำคอื่นๆ เช่น ภำคกลำงก็เพิ่มรสเปร้ียวเข้ำไปด้วย
ได้แก่ กำรเติมส้มมะขำม หรือบีบมะนำวให้เปรี้ยว น้ำพริกภำคกลำงเด๋ียวนี้ถึงใส่น้ำตำลเข้ำไปด้วยให้
มสี ำมรส คือ เปรี้ยว เค็ม หวำน แตใ่ นภำคอนื่ ๆ คงแตเ่ ผด็ กับเค็ม ถงึ แมจ้ ะมเี ปรย้ี วกย็ ังไมใ่ ส่น้ำตำล

(คดั จำก “นำ้ พรกิ ” ของ หม่อมรำชวงศ์คึกฤทธิ์ ปรำโมช)

ย่อหน้ำนี้มีใจควำมสำคัญปรำกฏเป็นประโยคใจควำมสำคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้ำ คือ รสที่
เรียกได้ว่ำเป็นพ้ืนฐำนของน้ำพริก คือ รสเผ็ดนำและมีรสเค็มตำม ประโยคที่ตำมมำจะเป็นประโยค
ขยำยทเ่ี กี่ยวกับรสชำตขิ องน้ำพรกิ เพียงเร่อื งเดยี ว

//\\//\\ลิขติ ศลิ ปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

179

ในกำรเขียนย่อหน้ำโดยทั่วไปบำงคร้ังจะพบว่ำย่อหน้ำบำงย่อหน้ำอำจจะไม่ปรำกฏประโยค
ใจควำมสำคัญ แต่อย่ำงไรก็ตำมย่อหน้ำนั้นจะต้องมีใจควำมสำคัญเพียงใจควำมเดียวอย่ำงชัดเจน
จึงจะถอื วำ่ เปน็ ยอ่ หนำ้ ท่ีดี

4.4.2 มสี ัมพันธภำพ : ย่อหน้ำทีด่ ตี ้องมีเน้ือหำเกยี่ วโยงต่อเน่ืองสัมพันธก์ นั กำรลำดับ
ควำมคิดและกำรเช่ือมโยงควำมคิดเป็นไปอยำ่ งมีระเบียบ ชดั เจน “ประดุจนำมะลิแต่ละดอกมำร้อยเปน็
วงรอบจนเปน็ พวงมำลัยที่เป็นระเบียบสวยงำม ทำใหผ้ ้อู ่ำนสำมำรถติดตำมเน้ือเร่ืองไดง้ ่ำยไม่สับสนวกวน”
(รำตรี ธันวำรชร, 2542: 82) กำรทำให้ย่อหน้ำเกิดกำรเชื่อมโยงหรือมสี มั พนั ธภำพนั้นทำไดห้ ลำยวธิ ี ดังนี้

(1) กำรลำดับควำมคิด : กำรทำใหย้ ่อหน้ำมีสัมพันธภำพโดยวธิ นี ้ี คอื กำรจดั ลำดับ
ควำมคิดในย่อหน้ำให้เป็นระเบียบต่อเน่ืองกัน อำจทำได้หลำยวิธี เช่น กำรจัดลำดับควำมคิดตำมเวลำ
กำรจดั ลำดบั ควำมคิดตำมสถำนที่ กำรจัดลำดับควำมคิดจำกคำถำมไปสู่คำตอบ กำรจดั ลำดบั ควำมคิดจำก
รำยละเอียดไปสขู่ ้อสรุปหรือจำกข้อสรุปไปสู่รำยละเอียด เปน็ ต้น

ตวั อยำ่ ง
ธรรมดำกำรศึกษำสงครำมย่อมเป็นหน้ำท่ีของฝ่ำยชำย แต่เหตุใดพระสุริโยทัยจึงมิเลือก

ท่ีจะรออยู่ในเวียงวัง แต่ทรงปลอมพระองค์เป็นชำยเข้ำสู่สนำมรบ คำตอบน่ำจะอยู่ที่ควำมเป็น
ขัตติยนำรีท่ีได้รับกำรอบรมส่ังสอนให้กล้ำหำญ เสียสละควำมสุขส่วนพระองค์เพื่อบ้ำนเมืองและ
อำณำประชำรำษฎร์ ดังนั้นเมื่อทรงดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสี พระรำชมำรดำ และพระแม่เมื อง
ควำมคิดเร่ืองสละได้แม้พระชนม์ชีพจึงเป็นสิ่งท่ีย่อมเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับสัญชำตญำณของแม่
ท่พี ร้อมจะปกป้องลูก ยอมสละไดแ้ มแ้ ต่ชีวติ ตน

(เรียบเรยี งจำก “บำรมพี ระแมป่ อ้ ง ปกพ้ืนธรณิน” ของ พวงแกว้ ลภิรตั นกลุ
สกลุ ไทย 49 ฉบับ กรกฎำคม 2546)

ย่อหน้ำข้ำงต้นเป็นตัวอย่ำง กำรจัดลำดับควำมคิดจำกคำถำมไปสู่คำตอบ เร่ิมด้วย
กำรต้ังคำถำมที่เป็นประเด็นปัญหำคือ เพรำะเหตุใดพระสุริโยทัยจึงตัดสินพระทัยปลอมพระองค์
เป็นชำยเข้ำสู่สนำมรบ แล้วจึง ตำมด้วยกำรอธิบำยข้อควำมที่เป็นคำตอบอย่ำงชัดเจน ย่อหน้ำเช่นนี้
มักไม่ปรำกฏประโยคใจควำมสำคัญให้เห็นแต่จะมีใจควำมสำคัญท่ีผู้เขียนต้องกำรเสนอเพียง
อย่ำงเดียว เช่นเดียวกับย่อหน้ำท่ีมีกำรจัดลำดับควำมคิด ตำมเวลำ หรือย่อหน้ำท่ีมีกำรจัดลำดับ
ควำมคดิ ตำมสถำนที่

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

180

(2) กำรใช้คำหรือกลุ่มคำเป็นเคร่ืองเช่ือมควำม : กำรทำให้ข้อควำมในย่อหน้ำ
เชื่อมโยงต่อเน่ือง หรือมีสัมพันธภำพด้วยวิธีนี้ คือ กำรนำคำหรือกลุ่มคำมำใช้เช่ือมประโยคและ
ขอ้ ควำมซงึ่ จะต้องเลือกใช้ใหถ้ กู ต้องตรงตำมจุดมุ่งหมำย ดังนี้

(2.1) กำรเชื่อมเพื่อให้เป็นไปในทำงเดียวกัน ได้แก่ กำรใช้คำหรือกลุ่ม
คำสันธำน เช่น และ, ทั้ง... และ, อีกท้ัง, นอกจำกน้ี หรือกลุ่มคำต่อไปน้ี เช่น ในทำนองเดียวกัน,
อกี อยำ่ งหน่งึ เปน็ ต้น

(2.2) กำรเชื่อมเพ่ือให้เกิดควำมขัดแย้งกัน ได้แก่ กำรใช้คำหรือกลุ่ม
คำสนั ธำน เชน่ แต่, ถึงแม้...แต่, อยำ่ งไรก็ตำม, ถึงแมว้ ่ำ, ในทำงตรงกันขำ้ ม เป็นตน้

(2.3) กำรเชื่อมเพื่อให้เกิดควำมเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ กำรใช้คำหรือกลุ่ม
คำสนั ธำน เช่น เพรำะ, เพรำะวำ่ , ดงั น้ัน...จึง, เนือ่ งจำก...จึง, เหตเุ พรำะ...จึง, ด้วยเหตุทว่ี ่ำ เป็นต้น

(2.4) กำรเช่ือมเพื่อแสดงจุดมุ่งหมำย ได้แก่ กำรใช้คำหรือกลุ่มคำบุพบท
เชน่ เพือ่ , เพื่อทีจ่ ะ เปน็ ต้น

(2.5) กำรเชื่อมเพื่อแสดงระยะเวลำหรือเหตุกำรณ์ ได้แก่ กำรใช้คำหรือ
กลุม่ คำสนั ธำน เช่น ตอ่ มำ, หลังจำกนั้น, พอ...ก,็ แลว้ จงึ , ในทส่ี ุด, ท้ำยสดุ เป็นตน้

(2.6) กำรเช่ือมเพ่ือแสดงสถำนที่ ได้แก่ กำรใช้กลมุ่ คำต่อไปน้ี เช่น ถัดมำ,
ตอ่ จำก, ตรงกลำง, ข้ำงหลังสุด, ดำ้ นขวำ เป็นต้น

(2.7) กำรเชื่อมเพ่ือแสดงกำรเปรียบเทียบ ได้แก่ คำหรือกลุ่มคำต่อไปน้ี
เช่น ส่วน, ดจุ , ในขณะท,่ี เปรยี บไดก้ บั , รำวกบั เป็นต้น

นอกจำกนี้ยังสำมำรถเชื่อมข้อควำม หรือประโยคให้ต่อเนื่องกันได้โดยกำรใช้
คำสรรพนำม เช่น เขำ ท่ำน เธอ หรือคำเชื่อม ที่ ซึ่ง อัน เป็นต้น แทนคำนำมที่กล่ำวมำก่อนใน
ข้อควำมข้ำงหน้ำ กำรทำเช่นนี้นอกจำกจะทำให้ข้อควำมเชื่อมโยงกันแล้วยังช่วยทำให้ข้อควำม
กระชับและไม่น่ำเบื่ออีกด้วย

//\\//\\ลขิ ติ ศิลปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

181

ตวั อย่ำง

ธรรมดำรถซ่ึงขับเร็วและไปในถนนที่มีโคลน โคลนนั้นก็ย่อมกระเด็นเปรอะเปื้อนรถ

เป็นธรรมดำ และบำงทีก็เป็นอันตรำยได้ โดยเหตุที่ม้ำพลำดหรือล้มลง แต่ล้อแห่งรถน้ันในเวลำถึงท่ี
หยุดแลว้ จะมโี คลนก้อนใหญ่ๆ ติดอยู่ก็หำไม่ เพรำะว่ำโคลนซง่ึ ตดิ ล้อในระหว่ำงทเี่ ดนิ ทำงมำน้ันได้หลุด
กระเด็นไปเสยี แลว้ ด้วยอำนำจควำมเรว็ แห่งรถนนั้ ส่วนรถทข่ี ับช้ำๆ ไปในถนนซง่ึ มีโคลนทำงเดียวกัน

ย่อมไม่สู้เปรอะเปื้อนหรือเป็นอันตรำย ด้วยเหตุท่ีม้ำพลำดหรือล้มน้ันจริง แต่ล้อแห่งรถนั้นย่อมจะ
เต็มไปดว้ ยโคลนอันใหญแ่ ละเหนยี วเตอะตงั ซ่ึงนอกจำกแลดูไมเ่ ปน็ ทีเ่ จรญิ ตำแลว้ ยงั สำมำรถ เป็น

เครื่องกดี ขวำงและทำให้ลอ้ เคล่ือนชำ้ ลงได้

(คดั จำก “โคลนตดิ ลอ้ ” ของ อศั วพำห)ุ

ย่อหน้ำข้ำงต้นเป็นตัวอย่ำงของกำรใช้คำหรือกลุ่มคำเพ่ือเช่ือมคำ ประโยค และข้อควำม
เขำ้ ดว้ ยกนั ทำให้เนือ้ ควำมต่อเนอื่ งเชอื่ มโยง และไดค้ วำมชัดเจน

(3) กำรซ้ำคำที่เป็นแก่นของเรื่อง : กำรทำให้ย่อหน้ำมีสัมพันธภำพโดยวิธีนี้ คือ
กำรซำ้ คำสำคัญท่ีเป็นแก่นของเร่ือง หรือเป็นประเด็นสำคัญในย่อหน้ำน้ันๆ เพ่ือเช่ือมโยงข้อควำม
และประโยคให้ต่อเน่ืองเกำะเก่ียวสัมพันธ์กัน ดังเช่น กำรซำ้ คำว่ำ โคลน ซ่ึงเป็นคำที่เป็นประเด็น
สำคัญในย่อหน้ำ จำกตัวอย่ำงเรื่อง โคลนติดล้อ ของ อัศวพำหุ

4.4.3 มีสำรัตถภำพ : ย่อหน้ำที่ดีควรมีกำรเน้นย้ำใจควำมสำคัญให้เห็นเด่นชัด
เพื่อให้ผู้อ่ำนทรำบควำมคิดสำคัญที่ผู้เขียนต้องกำรนำเสนอ กำรทำให้ย่อหน้ำมีสำรัตถภำพหรือ
กำรเน้นยำ้ นั้น อำจทำได้ 3 วิธี ดังน้ี

(1) กำรเน้นย้ำในท่ีที่ควรเน้น : กำรทำย่อหน้ำให้มีสำรัตถภำพด้วยวิธีน้ีเปน็
วิธีท่ีง่ำยท่ีสุดคือกำรวำงประโยคใจควำมสำคัญไว้ตอนต้นหรือตอนท้ำยของย่อหน้ำ หรือวำงไว้ทั้ง
ตอนต้นและตอนท้ำยของย่อหนำ้ ซึง่ เป็นตำแหนง่ ท่ีเหน็ ชดั เจน กำรทำเช่นนีจ้ ะทำให้ผูอ้ ำ่ นจบั ควำมคิด
สำคัญของผู้เขียนได้ง่ำยและเร็วขึ้น ตัวอย่ำงย่อหน้ำท่ีใช้วิธีกำรเน้นย้ำแบบน้ี ขอให้ศึกษำจำกหัวข้อท่ี
กลำ่ วถึงรปู แบบของย่อหนำ้

(2) กำรเน้นย้ำโดยใช้คำ วลี หรือประโยคซ้ำๆ กัน : กำรทำย่อหน้ำให้มี
สำรัตถภำพด้วยวิธีน้ี คือกำรใช้คำ กลุ่มคำ หรือประโยคเดิมซ้ำบ่อยๆ ในย่อหน้ำ เพ่ือเน้นย้ำควำมคดิ
สำคัญของผู้เขียน คำ กลุ่มคำ และประโยคท่ีนำมำเขียนซ้ำๆ น้ีต้องเป็นจุดสำคัญ เป็นประเด็นสำคัญ

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

182

ของย่อหน้ำ กำรทำเช่นนี้จะทำให้ผู้อ่ำนสะดุดตำ สะดุดใจ และสำมำรถจับควำมคิดสำคัญท่ีผู้เขียน
ต้องกำรนำเสนอได้ง่ำยขึ้น “แต่กำรย้ำเน้นดังกล่ำวนี้ต้องทำแต่พอดี ถ้ำมีมำกไปจะทำให้ผู้อ่ำน
หมดควำมสนใจ” (รำตรี ธันวำรชร, 2543: 86)
ตัวอยำ่ ง

เครื่องหมำยของกำรเป็นอิสระคือพ้นจำกระเบียบของกำรเรียนในโรงเรียน ไม่ต้องเข้ำแถว
ไม่ต้องสวดมนต์ ไม่ต้องแต่งเคร่ืองแบบ ไม่ต้องขออนุญำตครูเมื่อจะออกไปห้องน้ำ ไม่ต้องฟังเสียง
ระฆังตีบอกเวลำ ไมต่ ้องมีหัวหนำ้ คอยบอกใหก้ รำบครูเข้ำและออกจำกห้องสอน

(คดั จำก “อุดมศึกษำ จฬุ ำลงกรณม์ หำวทิ ยำลยั ” สำรคดชี ีวประวัติ สมศรี สกุ มุ ลนันทน์
ของ สมศรี สุกมุ ลนันทน์)

ย่อหน้ำข้ำงต้นนี้มีกำรซ้ำคำ “ไม่ต้อง” หลำยแห่ง ทั้งน้ีเนื่องจำกผู้เขียนต้องกำรเน้นย้ำ
ควำมคิดสำคัญที่ต้องกำรนำเสนอให้เห็นเด่นชัด นั่นคือ กำรไม่ต้องทำส่ิงต่ำงๆ เช่น กำรเข้ำแถว
กำรสวดมนต์ และอ่ืนๆ ถือเป็นพ้นจำกระเบียบของกำรเรียนในโรงเรียนซึ่งส่ิงเหล่ำนี้คือเคร่ืองหมำย
ของกำรเป็นอสิ ระ กำรซ้ำคำเช่นน้ีจงึ เป็นกำรช่วยใหผ้ ู้อ่ำนจับใจควำมสำคญั ของยอ่ หน้ำได้งำ่ ยข้นึ

(3) กำรเน้นย้ำอย่ำงมีสัดส่วน : กำรทำให้ย่อหน้ำมีสำรัตถภำพโดยวิธีนี้เปน็
กำรจัดสัดส่วน หรือน้ำหนักของข้อควำมที่เป็นส่วนขยำยท่ีต้องกำรเน้นให้มำกกว่ำข้อควำมท่ีสำคัญ
รองลงมำอำจทำได้โดยกำรยกตัวอย่ำง หรือกำรอธิบำยให้รำยละเอียดในสดั สว่ นทม่ี ำกกว่ำ
ตวั อยำ่ ง

แบบแรก กำรเรียนจำกบุคคลภำยในครอบครัวเดียวกันน้ัน จะเป็นกำรเรียนของลูกหลำน ซึ่งอยู่
ด้วยกัน โดยเร่ิมเป็นลูกมือช่วยผู้สอนซ่ึงอำจเป็นแม่ หรือญำติพ่ีน้องสนิทก็ได้มำตั้งแต่เด็ก เช่น ช่วยล้ำงจำน
ชัง่ น้ำตำล โม่แปง้ แชข่ ้ำว เป็นต้น กำรเรียนแบบน้ีอำจเรียกไดว้ ำ่ เป็นกำรเรียนจำกกำรชว่ ยทำงำน ควำมรู้ท่ีได้
น้ันได้มำจำกกำรทำงำน โดยเม่ือจะใช้ให้ทำงำนก็จะต้องบอกวิธีกำรด้วย เช่น ให้แช่ข้ำว 3 ลิตรปำด น่ัน
หมำยถึงต้องตวงข้ำวมำ 3 ลิตรแลว้ ปำดกระป๋องให้เรยี บ ช่ังนำ้ ตำล 3 ขดี นั่นหมำยถงึ ตอ้ งตกั น้ำตำลมำชง่ั โดย
ให้เข็มตำชั่งเลยไป 3 ขีด กำรเรียนรู้จะเกิดข้ึน อยู่ตลอดเวลำท่ีทำงำน พอลูกหลำนหรือลูกมือโตขึ้นจึงเริ่ม
เรียนรู้กำรผสมสว่ นตำ่ งๆ ของขนมตำมท่ผี ู้สอนบอก โดยผู้สอนจะคอยกำกับดูแลอยู่ตลอด และทำตวั อย่ำงให้
ดูเสมอ เม่ือรู้วิธีกำรแล้วก็จะหัดทำเองตำมสูตรขนมท่ีเรียนรู้มำ หัดลองผิดลองถูกจนกระทั่งชำนำญและพลิก
แพลงสูตรเองได้ นอกจำกสูตรท่ีผู้สอนสอนให้แล้ว ยังมีเคล็ดลับกำรทำขนมให้อร่อย กำรดัดแปลงแก้ไขเม่ือ
ทำผิดพลำดไปอีกด้วย ท้ังสูตรและเคล็ดลับต่ำงๆ นั้นบำงครอบครัวจะไม่เปิดเผยให้คนภำยนอกทรำบเลย
เพรำะถอื วำ่ เป็นเคล็ดลบั ซ่ึงตนไมเ่ หมือนใครและจะตอ้ งไม่มใี ครเหมอื น

(เรียบเรียงจำก “ขนมหวำนเมอื งเพชร” ของ อัญชนำ พำนชิ วำรสำรภำษำและวัฒนธรรม กรกฎำคม – ธนั วำคม 2534)

//\\//\\ลิขติ ศลิ ปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

183

ตัวอย่ำงข้ำงต้นนี้เป็นกำรกล่ำวถึงกำรถ่ำยทอดวิธีกำรทำขนมหวำนของชำวเมือง
เพชรจะเห็นว่ำผู้เขียนให้สัดส่วนกำรยกตัวอย่ำงและอธิบำยวิธีกำรเรียนด้วยกำรเป็นลูกมือช่วยผู้สอน
ค่อนข้ำงละเอียด ส่วนกำรเรียนรู้สตู รต่ำงๆ หรือเคล็ดลับกำรทำขนมให้อร่อย ผู้เขียนไม่ได้เน้นอธิบำย
มำกนกั เพรำะถอื วำ่ เป็นส่วนสำคัญรองลงมำ

4.5 ขอ้ พึงระวังในกำรเขียน ผู้เขียนยังต้องระมัดระวังกำรเขียนให้มีควำมไพเรำะ ถูกต้อง
และเหมำะสมด้วย ซึ่งมีข้อแนะนำในกำรเขียนที่พึงระวัง ดังต่อไปน้ี

4.5.1 ควำมรับผิดชอบในควำมถูกต้องของเนื้อหำ แสดงควำมคิดเห็นอย่ำงมีเหตุผล
มองเห็นปัญหำต่ำงๆ อย่ำงถ่ีถ้วนและลึกซ้ึง มุ่งแต่เฉพำะให้ผู้อ่ำนเกิดควำมรู้และเกิดทรรศนะที่ดีงำม
อนั ลว้ นแตเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ ผู้อ่ำนทัว่ ไป

4.5.2 ควำมประณีต ผู้เขียนจะต้องใช้ควำมสุขุมรอบคอบในด้ำนกำรเสนอเนื้อหำ
และดำ้ นกำรใช้ภำษำ พยำยำมขจัดข้อบกพรอ่ งท้ังปวงท่ีจะเปน็ อุปสรรคต่อกำรส่ือสำรใหห้ มดสิ้น

4.5.3 ควำมชัดเจน ผเู้ ขยี นจะตอ้ งใชค้ ำที่มีควำมหมำยเด่นชัด ใชป้ ระโยคท่ีไมก่ ำกวม
หรือคลุมเครือ ควำมชัดเจนในกำรใช้คำ กำรใช้ประโยค หรือใช้ถ้อยคำน้ันเป็นส่ิงสำคัญย่ิงทั้งน้ี
เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ ขยี นและผอู้ ่ำนได้เข้ำใจตรงกนั

4.5.4 ควำมถูกต้อง ได้แก่ กำรใช้ถ้อยคำภำษำให้ถูกต้องตำมระเบียบของภำษำ
ถูกตอ้ งตำมควำมนยิ ม และเหมำะสมกับกำลเทศะ เปน็ ตน้

4.5.5 ควำมเรียบง่ำย หมำยถึงกำรใช้คำธรรมดำที่เข้ำใจง่ำย แต่มีผลกระทบ
ควำมรู้สึกของผู้อ่ำนมำก ควำมเรียบง่ำยในที่นี้มีควำมหมำยคลุมไปถึงกำรใช้คำฟุ่มเฟือย คำอ้อมค้อม
และคำปฏิเสธซ้อนปฏิเสธคำเหล่ำนี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อกำรสือ่ สำรทำงกำรเขียนท้ังสิน้

4.5.6 ควำมประทบั ใจ ควำมประทบั ใจเกดิ จำกกำรที่ผเู้ ขยี นใช้ถอ้ ยคำท่ีมีควำมหมำย
ลึกลงไปในควำมรู้สึกของผู้อ่ำน ซึ่งเป็นผลมำจำกกำรเน้นคำ กำรเรียงลำดับคำในประโยค กำรใช้คำที่
ขดั แยง้ กันในประโยค หรืออำจใชค้ ำทท่ี ำให้เกดิ ภำพลกั ษณต์ ดิ ตำตรึงใจผู้อ่ำน เปน็ ตน้

4.5.7 ควำมกระชับ คือ กำรใช้ถ้อยคำน้อยแต่ได้ควำมหมำยชัดเจน โดยผู้เขียน
จะตอ้ งรจู้ ักเลอื กสรรคำมำใช้ รจู้ ักใชค้ วำมเปรยี บ ร้จู กั รวบประโยค เปน็ ตน้

4.5.8 ควำมไพเรำะ คือ ไม่ใช้คำหรือถ้อยคำดำดๆ ไม่ใช้คำหยำบคำบ ไม่ใช้คำภำษำ
ตลำด หรือคำภำษำต่ำงประเทศซึง่ คำตำ่ งๆ เหลำ่ นีเ้ รยี กกันว่ำ “คำขดั หู”

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

184

ศิลปะในกำรสร้ำงสรรคง์ ำนเขยี น

กำรเขียนนอกจำกจะใช้ถ้อยคำท่ีมีควำมหมำยมีควำมไพเรำะสละสลวยแลว้ กำรที่ผู้เขียนรู้จัก
กำรสะสมคำต่ำงๆ จะช่วยให้สำมำรถนำคำที่สะสมเหล่ำน้ีไปใช้ประกอบกำรเขียนเพื่อให้ข้อควำม
เด่นชัด เกิดภำพพจน์ที่งดงำม เกิดจินตนำกำร เกิดควำมไพเรำะ และเกิดควำมซำบซึ้งจับใจยิ่งข้ึน ซึ่ง
ถือเป็นเสน่ห์ของกำรเขียนท่ีเชิญชวนให้ผู้อ่ำนอยำกติดตำมอ่ำนและรู้สึกประทับใจในงำนเขียนน้ันๆ
ซึง่ ประกอบดว้ ย กำรใชค้ ำไวพจน,์ กำรใช้คำสญั ลักษณ์, กำรใชค้ ำอุปมำอุปไมย, กำรใช้ภำพพจน์ และ
กำรใชโ้ วหำรกำรเขยี น

1. กำรใช้คำไวพจน์

คำไวพจน์ คือ คำท่เี ขยี นต่ำงกนั แต่มีควำมหมำยเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันมำก ซ่งึ กำรนำคำ
ไวพจน์มำใช้ในงำนเขียนจะช่วยลดควำมสบสันของงำนเขียนและช่วยให้งำนเขียนมีควำมน่ำสนใจมำก
ยง่ิ ข้ึนดว้ ย

โกรธ กับ เคือง ภูเขำ กับ บรรพต
กระโดด กับ กระโจน แมน่ ำ้ กับ คงคำ
พิภพ กบั ธรณี
บุบ กบั ยบุ นคร กับ ธำนี
ขยบั กับ เขยบิ
ซดี กับ เซียว กนิ กบั หมำ่
บ้ำน กบั เรือน สวย กบั โสภำ
คดิ กบั นึก ดอกไม้ กับ บษุ บำ
เปรอะ กบั เปื้อน ตำย กบั มรณะ
ลูก กบั บุตร วำจำ กบั วจี

2. กำรใช้ภำพพจน์

ภำพพจน์ (Figures of speech) หมำยถึง ถ้อยคำท่ีทำให้เกิดภำพหรือกำรใช้ถ้อยคำท่ีให้
ผู้อ่ำนเกิดจินตนำกำร เกิดอำรมณ์ควำมรู้สึกต่อข้อควำมที่ได้อ่ำนได้ฟังอย่ำงกระจ่ำงชัด เป็นถ้อยคำที่
แสดงควำมรสู้ กึ นกึ คิดและกำรแสดงเรอ่ื งรำวใหม้ ีอรรถรส โดยผู้เขยี นตอ้ งร้จู ักใช้กลวธิ ีในกำรเลือกสรร
ถ้อยคำอย่ำงมีศิลปะ เพื่อให้เกิดควำมงำมและจินตภำพในกำรเขียนท่ีทำให้ผู้อ่ำนเกิดควำมประทับใจ
ซำบซึง้ มำกกวำ่ กำรกล่ำวถ้อยคำอยำ่ งตรงไปตรงมำ ภำพพจนท์ น่ี ่ำสนใจได้แก่ภำพพจน์ ดงั ตอ่ ไปนี้

//\\//\\ลขิ ติ ศิลปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

185

2.1 อุปมำ (Simile) เป็นกำรเปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนกันหรือแตกต่ำงกัน คำว่ำ “อุปมำ”
นั้นคือส่ิงท่ีนำมำเปรียบเทียบ มักใช้คู่กับคำว่ำ “อุปไมย” ซึ่งเป็นเน้ือควำมที่รับเอำมำเปรียบ โดยมี
คำเชอ่ื มระหวำ่ งอุปมำกบั อปุ ไมย เช่น เหมอื น เสมอื น ปำน รำว ดจุ เปรียบดงั เป็นต้น
ตัวอยำ่ ง

รวดเรว็ ปำนกำมนติ หนมุ่ (กำมนิต เปน็ อุปมำ ส่วน รวดเรว็ เป็น อปุ ไมย)
ควำมรักเหมือนโคถกึ (โค เป็น อุปมำ สว่ น ควำมรัก เป็น อปุ ไมย)

2.2 อปุ ลักษณ์ (Metaphor) เปน็ กำรเปรยี บส่ิงหนึ่ง โดยใช้คำว่ำ เปน็ เทำ่ คอื เปรยี บเทียบ
ของสองสงิ่ ว่ำเท่ำกัน แทนกันและกันได้โดยไมจ่ ำเป็นต้องเกี่ยวข้องกนั เชน่ หน้ำบำนเปน็ จำนเชิง, ปำก
เลก็ เท่ำรเู ขม็ , จะพลิกพลวิ้ ชวิ หำเปน็ อำวธุ

2.3 บุคลำธิษฐำน หรือ บุคคลวัติ (Personification) เป็นกำรสมมุติให้ส่ิงที่ไม่ใช่คน ไม่มี
ชีวิต ไม่มีวิญญำณ ไม่มีควำมรู้สึกนึกคิด ทำกิริยำอำกำรเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตหรือบุคคลที่มีอำรมณ์
ควำมรู้สึก เช่น ตุ๊กตำเริงระบำ, ทะเลครวญ, ฟ้ำรอ้ งไห,้

2.4 นำมนยั (Metonymy) เปน็ กำรกล่ำวถงึ ส่ิงหนึ่งโดยใช้คำอ่ืนแทน แต่คำๆ นัน้ ต้องเป็นท่ี
รจู้ กั ของคนทัว่ ไป เพรำะเมอื่ เอ่ยถึงยอ่ มจะร้วู ่ำหมำยถึงใคร หรอื สิง่ ใด ดังน้ี

- กล่ำวถึงชื่อคนแต่ควำมหมำยคือกำรกระทำหรือผลงำนของคนๆ น้ัน เช่น สุนทรภู่เป็น
กวีเอกที่คนไทยรู้จักกันดี (หมำยถึง ผลงำนที่สุนทรภู่แต่งจนได้รับกำรยกย่องว่ำเป็นบิดำแห่งกลอน
สุภำพ), สัปดำหน์ ้ลี ซิ ่ำยงั มำแรง (หมำยถึง ผลงำนต่ำงๆ ของลิซ่ำกำลงั ไดร้ บั ควำมนยิ มมำก) เปน็ ต้น

- กล่ำวถึงชื่อสถำนที่แต่ควำมหมำยคือคนท่ีอยู่ที่น่ัน เช่น ส.ส. เมืองสะตอ (หมำยถึง ส.ส.
ทเี่ ปน็ คนใต)้ , บำ้ นซอยรำชครู (หมำยถงึ บำ้ นคณุ ชำตชิ ำย ชณุ หะวณั ) เป็นต้น

- กล่ำวถึงส่ิงหนึ่งแต่มีควำมหมำยเป็นอีกอย่ำงหน่ึง เช่น หัวโขน (หมำยถึง ตำแหน่ง
บทบำทหน้ำท่ีที่ปฏิบัติอยู่), เจ้ำเหนือหัว (หมำยถึง พระเจ้ำแผ่นดิน), ถูกเล่ือยขำเก้ำอี้ (หมำยถึง ถูก
กลัน่ แกล้งให้พน้ จำกตำแหน่ง เป็นตน้

- กล่ำวถึงผลิตภัณฑ์หรือวัตถุแต่ควำมหมำยคือผลผลิตประเภทเดียวกันหรือหมำยถึง
สิ่งอื่น เช่น เขำไม่ชอบดูหนังจอแก้ว (หมำยถึง เขำไม่ชอบดูภำพยนตร์ที่ฉำยทำงโทรทัศน์), อย่ำ
ใส่แฟ้บมำกเกินไป (หมำยถึง ผงซักฟอกท่ัวไป) เป็นต้น

//\\//\\ลิขติ ศิลปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

186

- ใช้คำที่มีควำมหมำยอย่ำงหนึ่งให้มีควำมหมำยอีกอย่ำงหนึ่งในลักษณะคล้ำย
สัญลักษณ์ เช่น น้ำใจน้องพี่สีชมพู (หมำยถึง นิสิตจุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย), ฉันทนำเดินขบวน
ประท้วงขอเปล่ียนผู้บริหำรโรงงำน (หมำยถึง คนงำนหญิงของโรงงำนทอผ้ำ) เป็นต้น

2.5 อนุนำมนัย (Synecdoch) เป็นกำรนำส่วนเด่นๆ ส่วนหนึ่งมำใช้เพ่ือให้มีควำมหมำย
คลมุ หมดทุกส่วน เชน่ ขอแรงหน่อย มีหนำ้ มีตำ เปน็ ปำกเป็นเสยี ง

2.6 อติพจน์ (Hyperbole) เป็นกำรใช้คำเกินจริง เพื่อเน้นควำมรู้สึก ทำให้ข้อควำมน้ันมี
น้ำหนักหรือเกิดควำมซำบซ้ึง ซ่ึงผู้อ่ำนผู้ฟังทรำบดีว่ำถ้อยคำหรือข้อควำมนั้นไม่เป็นจริง เช่น รักคุณ
เท่ำฟำ้ , คดิ ถงึ เธอใจจะขำด เป็นต้น

2.7 ปฏิพจน์ หรอื ปฏิภำคพจน์ (Paradox) เป็นกำรนำคำทท่ี ำใหเ้ กิดควำมหมำยขดั แย้งกัน
และเกิดควำมรู้สึกตรงกันข้ำมกับแนวควำมคิดของคนอื่น เป็นสำนวนคำพูดหรือเป็นคำคมชวนให้คิด
เชน่ ควำมไม่แนน่ อนคือสิ่งทแี่ นน่ อน, ท่ีท่ีอนั ตรำยทส่ี ุดคือทีท่ ี่ปลอดภยั ทส่ี ุด, เสยี น้อยเสียมำกเสียมำก
เสยี งำ่ ย, รักยำวใหบ้ ่ันรกั สน้ั ให้ต่อ เปน็ ต้น

2.8 สัทพจน์ (Onomatopoeia) เป็นกำรเปรียบเทียบที่เลียนเสียงหรือแสดงลักษณะ
อำกำรต่ำงๆ ทำใหร้ สู้ ึกเหมือนได้เห็นได้ยินเสียงของส่ิงนัน้ ๆ จรงิ เช่น ฝนตกดงั แปะๆ ลมพดั เสยี งหวีด
หววิ , เสยี งรถฉุกเฉินดังหวีหว่อผ่ำนไปตกใจแทบแย,่ ใครเดนิ เสยี งโคร่มโครม่ อย่บู นบ้ำน เป็นตน้

2.9 ปฏิวำทะ (Oxymoron) เป็นกำรนำคำท่ีมีควำมหมำยขัดแย้งกันมำรวมกัน เพ่ือให้เกิด
คำซ่ึงมีควำมหมำยใหม่ มีควำมหมำยท่ใี ห้ควำมรู้สึกกนิ ใจหรือเกิดอำรมณ์สะเทือนใจ เชน่ นำ่ รักนำ่ ชัง,
สงครำมเย็น, น้อยมำก, นักบุญใจบำป เปน็ ต้น

2.10 อำวัตพำกย์ (Synesthesia) เป็นโวหำรท่ีให้ควำมรู้สึกท่ีผิดไปจำกธรรมดำ ซึ่งเป็นผล
ของกำรสัมผัสท่ีควรจะรับรู้ด้วยประสำทสัมผัส แต่กลับเป็นกำรใช้คำใช้โวหำรแทน เช่น กล่ินสะอำด,
ตำขำว, ปำกหวำน, กินใจ เป็นตน้

2.11 ปฏิปุจฉำ (Rhetorical-question) เป็นกำรถำมที่ไม่ต้องกำรคำตอบโดยใช้ศิลปะใน
กำรใช้ภำษำเพ่ือมุ่งให้ผู้อ่ำนเกิดแนวคิด หรือเพื่อให้เกิดควำมสนใจมำกกว่ำจะได้รับคำตอบจำกผู้อ่ำน
หรอื ผฟู้ ัง แม้จะได้รับคำตอบก็จะเป็นคำตอบปฏิเสธหรืออำจเปน็ คำถำมทีใ่ ห้ผู้อำ่ น ผ้ฟู งั คิดหำคำตอบ
เอำเอง เช่น ทำไม่ยำกขนำดนี,้ งำนพงั หมดแลว้ เห็นบำ้ งไหม, จนขนำดนจี้ ะเอำอะไรกิน เปน็ ต้น

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

187

3. กำรใช้โวหำรกำรเขยี น
โวหำรกำรเขียนเป็นกำรสร้ำงสรรค์ข้อควำมอย่ำงมีชั้นเชิง เพ่ือให้งำนเขียนมีควำมสละสลวย

และเหมำะสมกับลักษณะของบริบทในกำรส่ือสำร ดังน้ันผู้เขียนต้องเลือกใช้โวหำรกำรเขียนให้
สอดคลอ้ งกบั บคุ คลและโอกำนที่ต้องกำรสือ่ สำร ดงั นี้

3.1 บรรยำยโวหำร เป็นกำรเขียนอธิบำยหรือบรรยำยเหตุกำรณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงตำมลำดับ
เหตุกำรณ์ เป็นกำรเขียนตรงไปตรงมำ ไม่เยิ่นเย้อ มุ่งควำมชัดเจนเพ่ือให้ผู้อ่ำนได้รับควำมรู้ ควำม
เข้ำใจ ผู้เขียนควรใชภ้ ำษำที่กะทัดรัด เขียนให้ตรงเป้ำหมำย อ่ำนเข้ำใจง่ำย ในกำรเขียนท่ัวๆ ไปมักใช้
บรรยำยโวหำร เช่น กำรเขียนเล่ำเรื่อง เล่ำเหตุกำรณ์ เล่ำประสบกำรณ์ท่ีเกิดข้ึน กำรเขียนรำยงำน
เขยี นตำรำ หรือ กำรเขียนบทควำม โดยมีหลักกำรเขียน ดังนี้

1) เขยี นเฉพำะสำระสำคญั
2) เขียนเร่อื งจริง โดยผู้เขียนจะตอ้ งมีควำมรูเ้ ก่ยี วกบั เรื่องที่เขียนเปน็ อยำ่ งดี
3) ใช้ภำษำเขยี นทีเ่ ข้ำใจงำ่ ย
4) เรียบเรยี งควำมคิดใหเ้ ป็นระเบยี บตอ่ เนื่องและมีควำมสมั พันธก์ นั

ตวั อย่ำง

“ช้ำงยกขำข้ำงหนำ้ ใหค้ วำนเหยียบข้ึนนั่งบนคอ ตัวมันสูงใหญ่ ใบหูไหวพะเยิบ หญิงบนเรือน
ลงบนั ไดมำข้ำงล่ำง เธอชแู ขนยืน่ ผ้ำขำวมำ้ และข้ำวหอ่ ใบตองข้ึนไปให้เขำ”

(ตลงิ่ สงู ซงุ หนัก : นิคม รำยวำ)

“ศำลำฮอ้ ยเคำ้ มีลักษณะโครงสร้ำงคล้ำยโบสถ์แบบมำตรฐำนของกรมศำสนำอยบู่ ้ำง แตก่ ว้ำง
เตี้ยและแป้นกว่ำ ไม่ดูรุงรังทั้งท่ีมีลวดลำยไม้ฉลุประดับพรำว หลังคำยกระดับเป็นสองชั้น ปั้นลมหรือ
ตัวลำยองลกั ษณะเป็นนำครวยเหมอื นโบสถ์วดั ชนะสงครำม ไมใ่ ชน่ ำคสะดุ้งเหมือนโบสถ์วิหำรทำงภำค
กลำงท่ัวไป ส่ิงท่ีศัพท์สถำปัตย์ทำงภำคกลำงเรียกว่ำช่อฟ้ำสี่ตัวน้ัน บอกควำมเป็นสถำปัตยกรรมทำง
ภำคเหนือ เป็นสลักไม้รูปนำคต้งั ตรงขึ้นฟ้ำ ไม่งอนช้อยเหมือนช่อฟ้ำที่เห็นเจนตำตำมกรุงเทพฯ ดูแข็ง
แต่เปน็ สงำ่ ลำดหลังคำกวำ้ งลดชน้ เปน็ สองระดบั ”

(ซอยเดียวกัน : วำณิช จรงุ กจิ อนนั ต์)

3.2 พรรณนำโวหำร เปน็ กำรเขยี นท่ีสอดแทรกอำรมณ์ควำมรู้สึกของผ้เู ขียนเพื่อให้ผู้อำ่ นเกิด
ควำมซำบซง้ึ ประทบั ใจ มีควำมรู้สึกคล้อยตำมไปกับผ้เู ขียน เชน่ กำรเขียนพรรณนำอำรมณ์ควำมรู้สึก
รัก หลง โกรธ เกลียด เศร้ำ เป็นต้น โดยเลือกใช้ถ้อยคำท่ีไพเรำะเห็นภำพพจน์ได้ง่ำย เพื่อโน้มน้ำว
อำรมณ์ผอู้ ่ำนใหค้ ล้อยตำมและเกิดควำมประทับใจ โดยมีหลกั กำรเขียน ดงั นี้

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

188

1) ใช้ถ้อยคำทเี่ ลอื กสรรแล้ว เพื่อสือ่ ควำมหมำยและอำรมณค์ วำมรสู้ ึกที่ชัดเจน
2) เขยี นใจควำมควรเนน้ ใหเ้ กิดภำพพจน์ เกิดอำรมณ์ควำมรูส้ กึ รว่ มไปกบั ผเู้ ขียน
3) ใช้ภำพพจนห์ รอื อุปมำโวหำร เพอื่ ให้ไดอ้ ำรมณค์ วำมร้สู กึ หรอื เกดิ จนิ ตนำกำรคล้อยตำม

ตัวอย่ำง

“ควำมรักของฉันจะเปรียบด้วยสีดอกไม้ใดๆ ไม่ได้ เพรำะฉันได้ยินกล่ำวกันว่ำ ควำมรักท่ี
แท้จริงไม่ใช่สีแดง ย่อมมีสีดำดั่งสีนิลเหมือนด่ังสีศอพระศิวะ เมื่อทรงด่ืมพิษภัยเพื่อรักษำโลกไว้ให้พ้น
ภัย ควำมรักที่แท้จริงต้องสำมำรถต้ำนทำนพิษแห่งชีวิตและต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมข่ืนที่สุด เพ่ือ
เสียสละให้ผู้ที่เรำรักคงชีพอยู่และเพรำะด้วยควำมขมข่ืนท่ีสุดน้ีควำมรักย่อมเต็มใจเลือกเอำสีนิล คือ
ควำมขมข่นื ไว้ ดีกว่ำจะเลอื กเอำสอี ืน่ คอื มงุ่ แตจ่ ะหำควำมบนั เทิงสุขอยำ่ งเดียว”

(กำมนติ : เสถยี รโกเศศและนำคะประทปี )

“ดอกจันทน์กระพ้อร่วมพรูแต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว เกสรเล็กๆ แดงเร่ือแกมเหลืองลอย
ว่อนกระจดั พรัดพรำยอย่ใู นอำกำศทโ่ี ปร่งสะอำดหนอ่ ยหนึง่ เหมือนลวดลำยของตำข่ำยท่ีคลมุ ไตรพระ
กลบี และเกสรอำจจะตกลงถกู เหยยี บเปน็ ผุยผงไป”

(แผน่ ดินของเรำ : แม่อนงค์)

3.3 เทศนำโวหำร เป็นกำรเขียนอธบิ ำยช้แี จงให้ผู้อ่ำนเขำ้ ใจ ช้ีใหเ้ ห็นประโยชน์หรือโทษของ
เรอื่ งท่กี ล่ำวถงึ เป็นกำรชักจงู ให้ผู้อำ่ นคล้อยตำม เหน็ ด้วยหรอื เพ่ือแนะนำส่ังสอน ปลุกใจหรือเพื่อให้รู้
ถึงขอ้ เทจ็ จริง กำรเขยี นแบบเทศนำโวหำรตอ้ งอำศัยกลวิธกี ำรชักจูงใจ หลกั กำรเขยี น

หลักกำรเขียนโวหำรประเภทน้ี คือ กำรนำโวหำรประเภทอ่ืนๆ มำประกอบ ซึ่งอำจนำ
บรรยำย พรรณนำ สำธก หรือ อุปมำโวหำร มำเขียนผสมผสำนกัน เพื่อให้ได้ใจควำมชัดเจน สำมำรถ
ชักจูงใจผู้อ่ำนให้คล้อยตำมควำมคิดของผู้เขียนได้ ทั้งน้ียังต้องอธิบำยชี้ชัดเห็นถึงโทษหรือประโยชน์
อยำ่ งมเี หตุผลด้วย

ตัวอยำ่ ง

“กำรทำควำมดีนั้น เมื่อทำแล้วก็แล้วกัน อย่ำได้นำมำคิดถึงบ่อย รำวกับว่ำกำรทำควำมดีน้ัน
ช่ำงใหญย่ ิ่งนัก ใครกท็ ำไม่ได้เหมือนเรำ ถำ้ คดิ เช่นน้คี วำมดีนน้ั กจ็ ะเหลือเพียงครึง่ เดียว แตถ่ ำ้ ทำแล้วก็
ไม่น่ำนำมำใส่ใจอีก คิดแต่จะทำอะไรต่อไปอีกจึงจะดี จึงจะเป็นควำมดีท่ีสมบูรณ์ ไม่ตก ไม่หล่น เช่น
กำรให้เงินแก่คนยำกจน ในใจของลูกจะต้องอย่ำคิดว่ำเรำเป็นผู้ให้ ภำยนอกก็อย่ำไปสนใจว่ำใครเป็น
ผู้รับ แม้แต่เงินที่เรำบริจำคไปแล้วก็มองไม่เห็นว่ำสำคัญตรงไหน ให้แล้วก็แล้วกัน ลืมเสียให้ได้ ไม่
กลบั มำคดิ อีกให้เสยี เวลำ เช่นน้ี เรยี กว่ำ ทำควำมดีด้วยจิตวำ่ งเปล่ำ เม่ือไม่ได้บรรจอุ ะไรไว้ท่จี ิตเลย จติ

//\\//\\ลิขติ ศลิ ปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

189

น้ันก็ย่อมเต็มเป่ียมไปด้วยกุศลผลบุญ พลังแห่งกุศลธรรมเช่นนี้ใหญ่หลวงนัก สำมำรถทำลำยเครำะห์
กรรมได้ถึงหน่ึงพันคร้ัง เพรำะฉะน้ันกำรทำควำมดีจึงมิได้ขึ้นอยู่กับปริมำณของเงินทองหรือวัตถุท่ี
บรจิ ำค แต่อยูท่ ี่ใจเรำเทำ่ น้นั ท่จี ะทำจติ ให้วำ่ งเปล่ำ จนสำมำรถบรรจุบุญกุศลได้เพียงใดตำ่ งหำก”

(โอวำทสขี่ องท่ำนเหล่ยี วฝำน : เจอจนั ทน์ อชั พรรณ แปล)

“ถ้ำไม่มีคุณธรรมเป็นส่ิงจรรโลงจติ ใจ คนเรำก็คงไม่แตกต่ำงไปจำกสัตว์ป่ำ...เรำคงจะฉกฉวย
แย่งชงิ ส่งิ ท่เี รำอยำกได้ โดยไม่คำนึงถึงว่ำส่ิงน้ันจะมีใครเป็นเจ้ำของครอบครองอยู่แล้วหรือไม่ ผ้ใู หญ่ก็
ข่มเหงรังแกผู้น้อย หรือคนที่อ่อนแอกว่ำตำมอำเภอใจ ลูกหลำนจะดูหม่ินดูแคลนพ่อแม่ท่ีแก่เฒ่ำให้
ได้รับควำมทกุ ข์ยำกรอ้ นใจ”

(ลอดลำยมังกร : ประภสั สร เสวกิ ุล)

3.4 อุปมำโวหำร เป็นกำรเขียนในเชิงสำนวนเปรียบเทียบที่มีควำมคล้ำยคลึงกันเพื่อทำให้
ผู้อ่ำนเกิดควำมเข้ำใจลึกซึ้งยิ่งข้ึน โดยกำรเปรียบเทียบสิ่งของที่เหมือนกัน เปรียบเทียบโดยโยง
ควำมคดิ ไปส่อู ีกส่ิงหนึ่ง หรอื เปรียบเทียบข้อควำมตรงกนั ขำ้ มหรอื ขอ้ ควำมทีข่ ดั แย้งกัน

ตัวอย่ำง
“อันว่ำแก้วกระจกรวมอยู่กับสุวรรณ ย่อมได้แสงจับเป็นเล่ือมพรำยคล้ำยมรกต ผู้ที่โง่เขลำ

หำกได้อยใู่ กลน้ กั ปรำชญ์ กอ็ ำจเปน็ คนเฉลยี วฉลำดได้ฉันเดยี วกัน”

(หิโตปเทศ : เสถยี รโกเศศและนำคะประทปี )

ตวั อยำ่ ง
“คำโบรำณกล่ำวไวว้ ่ำ ธรรมดำภรรยำอุปมำเหมือนอย่ำงเส้ือผ้ำขำด แลหำยแลว้ ก็จะหำได้ พ่ี

นอ้ งเหมอื นแขนซ้ำยขวำ ขำดแล้วยำกที่จะตอ่ ได้”

(สำมกก๊ : เจ้ำพระยำพระคลงั หน)

3.5 สำธกโวหำร เปน็ กำรเขียนทหี่ ยิบยกตวั อย่ำงมำอ้ำงองิ ประกอบกำรอธิบำยเพอื่ สนับสนุน
ข้อควำมท่ีเขียนไว้ให้ผู้อ่ำนเข้ำใจและเกิดควำมเช่ือถือ ท้ังน้ีผู้เขียนต้องเลือกยกตัวอย่ำงมำใช้ให้
เหมำะสมกับโอกำสและจุดมุ่งหมำยของงำนเขียน รวมท้ังเช่ือมโยงควำมระหว่ำงสำระที่นำเสนอกับ
ตัวอย่ำงไดอ้ ยำ่ งมีเหตผุ ล
ตัวอย่ำง

“อำนำจควำมสัตย์เป็นอำนำจที่ศักด์ิสิทธ์ิ ไม่เพียงแต่จับหัวใจคน แม้แต่สัตว์ก็ยังมีควำมรู้สึก
ในควำมสัตย์ซื่อ เมื่อกวนอูตำยแล้ว ม้ำของกวนอูก็ไม่ยอมกินหญ้ำกินน้ำและตำยตำมเจ้ำของไปในไม่
ชำ้ ไม่ยอมให้หลังของมันสมั ผัสกบั ผอู้ อนื่ นอกจำกนำยของมนั ”

(สำมก๊ก : เจ้ำพระยำพระคลงั หน)

กำรเขยี นหนงั สอื รำชกำร

//\\//\\ลิขติ ศลิ ปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

190

หนังสือรำชกำร คือ เอกสำรที่เป็นหลักฐำนในรำชกำร ได้แก่ หนังสือส่วนรำชกำรมีไปถึง
ส่วนรำชกำร, หนังสือส่วนรำชกำรมีไปถึงหน่วยงำนท่ีมิใช่สว่ นรำชกำร หรือบุคคลภำยนอก, หนังสือท่ี
หน่วยงำนอ่ืนท่ีมิใช่ส่วนรำชกำร หรือบุคคลภำยนอกมีไปถึงส่วนรำชกำร, เอกสำรที่ทำงรำชกำรจัดทำ
ขึ้นเพื่อเป็นหลักฐำนในรำชกำร, เอกสำรท่ีทำงรำชกำรจัดทำข้ึนตำมกฎหมำย ระเบียบ หรือข้อบังคับ
และข้อมูลข่ำวสำร หรือหนังสือที่ได้รับจำกระบบสำรบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงสำมำรถจำแนก
หนังสอื รำชกำรได้ 6 ประเภท คอื

1. หนังสือภำยนอก คือ หนังสือติดต่อรำชกำรที่เป็นแบบพิธีกำร ใช้ติดต่อระหว่ำงส่วน
รำชกำร หรือส่วนรำชกำรมถี ึงหนว่ ยงำนอ่ืนท่มี ิใชส่ ว่ นรำชกำร หรือมถี งึ บุคคลภำยนอก

2. หนังสือภำยใน คือ หนังสือติดต่อรำชกำรที่เป็นแบบพิธกี ำรน้อยกว่ำหนังสือภำยนอก
ใช้ติดต่อภำยในกระทรวง ทบวง กรม หรอื จงั หวัดเดยี วกัน

3. หนังสือประทับตรำ คือ หนังสือที่ใช้กำรประทับตรำแทนกำรลงชื่อของหัวหน้ำ
ส่วนรำชกำรระดับกรมขึ้นไป ซึ่งเป็นหนังสือที่ออกในนำมหน่วยงำนเพื่อแจ้งเรื่องหรือรับทรำบ
เรื่องที่มีควำมสำคัญในระดับน้อย เช่น กำรขอรำยละเอียดเพิ่มเติม กำรส่งสำเนำหนังสือ หรือ
สิ่งของ และกำรเตือนเรื่องที่ค้ำง เป็นต้น โดยใช้ระหว่ำงส่วนรำชกำรกับส่วนรำชกำร และส่วน
รำชกำรกับบุคคลภำยนอก

4. หนังสือสั่งกำร มี 3 ชนิด ได้แก่ หนังสือคำสั่ง (ข้อควำมท่ีผู้บังคับบัญชำสั่งกำรให้ปฏิบัติ
โดยชอบด้วยกฎหมำย) หนังสือระเบียบ (ข้อควำมที่ผู้มีอำนำจหน้ำที่ได้วำงไว้ เพ่ือเป็นหลักปฏิบัติงำนเป็น
ประจำ) และหนังสือข้อบังคับ (ข้อควำมท่ีผู้มีอำนำจหน้ำท่ีกำหนดให้ใช้ โดยอำศัยอำนำจของกฎหมำยท่ี
บัญญัตใิ ห้กระทำได้)

5. หนังสือประชำสัมพันธ์ มี 3 ชนิด ได้แก่ ประกำศ (ข้อควำมท่ีทำงรำชกำรประกำศ
หรอื ชี้แจงให้ทรำบ หรอื แนวทำงปฏบิ ัติ) แถลงกำรณ์ (ข้อควำมท่ที ำงรำชกำรแถลง เพ่ือทำควำมเข้ำใจ
ในกิจกำรของทำงรำชกำร หรือเหตุกำรณ์หรือกรณีใดๆ ให้ทรำบชัดเจนโดยท่ัวกัน) ข่ำว (ข้อควำมที่
ทำงรำชกำรเห็นสมควรเผยแพรใ่ ห้ทรำบ)

6. หนังสือที่เจ้ำหน้ำที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐำนในรำชกำร มี 4 ชนิด ได้แก่
หนังสือรับรอง (หนังสือที่รำชกำรออกให้เพื่อรับรองแก่บุคคล นิติบุคคล หรือหน่วยงำน เพื่อ
วัตถุประสงค์อย่ำงใดอย่ำงหนึ่งให้ปรำกฏแก่บุคคลโดยทั่วไป) รำยงำนกำรประชุม (กำรบันทึก
ควำมคิดเห็นของผู้มำประชุม ผู้เข้ำร่วมประชุม และมติของที่ประชุมไว้เป็นหลักฐำน) บันทึก
(ข้อควำมซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชำเสนอต่อผู้บังคับบัญชำ หรือผู้บังคับบัญชำสั่งกำรแก่ผู้ใต้บังคับบัญชำ
หรือข้อควำมท่ีเจ้ำหน้ำท่ีหรือหน่วยงำนระดับต่ำกว่ำส่วนรำชกำรระดับกรมติดต่อกัน ในกำรปฏิบัติ
รำชกำร) เป็นต้น

//\\//\\ลิขติ ศิลปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

191

โครงสรำ้ งและองค์ประกอบของหนงั สือรำชกำร*
หนังสือรำชกำรประกอบด้วยโครงสร้ำงท่ีสำคัญ 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัวหนังสือ, ส่วนสำเหตุ,

ส่วนจุดประสงค์ และ ส่วนท้ำยหนังสอื ซ่ึงแต่ละส่วนประดว้ ยองค์ประกอบและแนวทำงในกำรเขยี นท่ี
สำคัญ ดงั ตอ่ ไปน้ี

1. ส่วนหัวหนังสือ ประกอบด้วย ส่วนต่ำงๆ ดังน้ี
1.1 ท่ี : ให้ลงรหัสพยัญชนะและเลขประจำของส่วนรำชกำรเจ้ำของเรื่องทับ (/) เลข

ทะเบียนหนังสือส่ง กำรกำหนดรหัสพยัญชนะ และเลขประจำของส่วนรำชกำรน้ี ส่วนหนังสือที่ส่วน
รำชกำรเจ้ำของเรื่องมีไปติดต่อกับส่วนรำชกำรอ่ืนๆ หรือมีไปถึงบุคคลภำยนอกรำชกำร บริษัท ห้ำง
ร้ำนต่ำงๆ ให้ลงจำนวนเลขเรียงลำดับติดต่อกันตำมปีปฏิทิน กำรลงทะเบียนหนังสือส่งช่วยทำให้
กำรติดต่อส่ือสำรเป็นไปอย่ำงรวดเร็วและตรวจสอบได้ เพรำะมีกำรเก็บเร่ือง ค้นเรื่องอย่ำงเป็นระบบ
สำมำรถตดิ ต่อตำมเรอื่ งไดง้ ่ำย

1.2 สว่ นรำชกำร : ให้ลงชือ่ ส่วนรำชกำรเจ้ำของหนังสือนั้นด้ำนขวำสุดบรรทดั เดียวกับ “ท”ี่
1.3 วัน เดอื น ปี : ให้ลงตัวเลขวนั ท่ี ช่ือเตม็ ของเดือน และตวั เลขของปพี ุทธศักรำช โดยไม่
ต้องเขียนคำว่ำ วันที่ เดือน พ.ศ. เช่น 12 ตุลำคม 2560 ตำแหน่งของวันเดือนปีให้อยู่ก่ึงกลำง
หนำ้ กระดำษ
1.4 เรื่อง : ใหล้ งเร่ืองย่อของหนงั สือรำชกำรฉบับนั้น โดยสรปุ ใจควำมใหส้ ั้น กะทดั รัดทส่ี ุด
และสื่อควำมหมำยชัดเจน กำรกำหนดเร่ือง ผู้เขียนจะต้องเข้ำใจสำระเร่ืองรำวและควำมเป็นมำเป็น
อย่ำงอย่ำงดี จึงจะเขียนได้ถูกต้อง เช่น เรื่อง “ขอซ้ือเครื่องพิมพ์ดีด” ไม่ใช่เขียนว่ำ “ขออนุมัติเงิน
งบประมำณเพ่ือกำรสั่งซ้ือเคร่ืองพิมพ์ดีด 2 เครื่อง” ซึ่งยำวเย่ินเย้อเกินไป ข้อควำมเหล่ำนี้ควรอยู่ใน
เน้ือเร่ืองของหนังสือ และไม่ใช่เขียนส้ันจนไม่ได้ใจควำมว่ำเรื่องขออนุมัติอะไร เช่น เร่ือง “เครื่อง
พมิ พ์ดดี ” เป็นตน้ ดังนัน้ กำรเขยี นชอ่ื เรื่องจงึ ต้องเขยี นให้บรรลจุ ุดมงุ่ หมำย 2 ประกำร คอื เพ่ือให้พอรู้
ใจควำมท่ีย่อส้ันท่ีสุดของหนังสือ และเพื่อให้สะดวกแก่กำรเก็บค้นอ้ำงอิง ซ่ึงมีเทคนิคในกำรเขียน
ชอื่ เรือ่ ง 2 แบบ ดังนี้
แบบที่ 1 ขึ้นต้นด้วยคำกิริยำ เช่น กรณีตอบข้อหำรือ อำจขึ้นต้นด้วยคำว่ำ แจ้ง ขอให้
ขอเชญิ สง่ ช้ีแจง ขอหำรอื อนญุ ำต หรอื อนมุ ัติ เปน็ ต้น
แบบที่ 2 ขึน้ ต้นด้วยคำนำม ประกอบดว้ ยหลำยกรณี ดังนี้

* ในที่นีน้ ำเสนอเพยี งหนงั สือภำยนอกและหนงั สอื ภำยในเท่ำนนั้

//\\//\\ลิขติ ศิลปส์ ำหรบั คร/ู /\\//\\

192

- กรณีทเ่ี ปน็ หนังสือรำชกำรต่อเน่ืองให้ใช้ช่ือเร่ืองของหนังสือฉบบั เดิม ยกเวน้ กรณที ี่เป็น
กำรตอบ “ให้” หรือ “ปฏิเสธ” ให้เติมคำว่ำ “กำร” ข้ำงหน้ำคำ เช่น "ขอควำมอนุเครำะห์ช่วยเหลือ
ค่ำใช้จ่ำยในกำรสัมมนำ" ควรเปลย่ี นเปน็ "กำรขอควำมช่วยเหลือค่ำใชจ้ ำ่ ยในกำรสัมมนำ"

- กรณีเป็นเร่ืองที่ไม่พึงประสงค์ หรือ เป็นเรื่องท่ีกระทบจิตใจผู้อ่ำน ควรใช้ประโยคที่เปน็
คำนำม เช่น กำรชำระหน้ีเงินกู้เพ่ือซ้ือบ้ำนพักอำศัย (กรณีทวงหน้ีค้ำงชำระ) หรือกำรแต่งกำยของ
ข้ำรำชกำรสตรี (กรณตี ำหนิวำ่ แต่งกำยไม่เหมำะสม)

1.5 เรียน (คำขึ้นต้น) : กำรเลือกใช้คำขึ้นต้นหนังสือรำชกำรมีควำมสำคัญอย่ำงยิ่ง ซ่ึงมี
รำยละเอยี ด ดงั ตำรำงตอ่ ไปนี้

คำขนึ้ ต้น ผรู้ บั หนังสือ
กรำบทูล สมเด็จพระสงั ฆรำช
นมัสกำร สมเด็จพระรำชำคณะ/ พระภกิ ษุ
กรำบเรยี น บุคคล 14 ท่ำน ได้แก่ ประธำนองคมนตรี, นำยกรัฐมนตรี, ประธำนวุฒิสภำ,
รัฐบุรุษ, ประธำนสภำผู้แทนรำษฎร, ประธำนศำลฎีกำ, ประธำนรัฐสภำ,
เรยี น ประธำนศำลปกครองสูงสุด, ประธำนศำลรัฐธรรมนูญ, ประธำนกรรมกำร
ถึง เลือกตั้ง, ประธำน ปปช., ประธำนกรรมกำรตรวจเงินแผ่นดิน, ผู้ตรวจกำร
แผ่นดินของรัฐสภำ, ประธำนกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ
บุคคลท่ัวไป
ชอ่ื ส่วนรำชกำร (ใช้กับหนงั สือประทบั ตรำ)

1.6 อ้ำงถึง (ถ้ำมี) : ให้อ้ำงถึงหนังสือท่ีเคยมีติดต่อกันฉบับสุดท้ำยเพียงฉบับเดียว โดยลง
ช่ือส่วนรำชกำรเจ้ำของหนังสอื เลขที่หนังสือ วันท่ี เดือน ปี ของหนังสือฉบับนน้ั เช่น อ้ำงถึงหนังสือที่
ศธ 236/2560 ลงวันท่ี 13 มิถนุ ำยน 2560 เปน็ ตน้

1.7 สิ่งที่ส่งมำด้วย/ส่ิงท่ีแนบมำด้วย (ถ้ำมี) : หำกเป็นหนังสือภำยนอก ให้ใช้ว่ำ "ส่ิงท่ีส่งมำ
ด้วย" แต่หำกเป็นหนังสือภำยใน ให้ใช้ว่ำ "สิ่งที่แนบมำด้วย" โดยกำรเขียนให้ลงช่ือสิ่งของ หรือ
เอกสำรที่ส่งมำพรอ้ มกับหนังสือรำชกำรนน้ั พร้อมกบั จำนวนสำเนำ เชน่

สิง่ ที่สง่ มำดว้ ย 1. โครงกำรสมั มนำ จำนวน 5 ชุด (15 แผน่ )
2. แบบตอบรับกำรเขำ้ รว่ มสัมมนำ จำนวน 10 ชดุ (10 แผ่น)

//\\//\\ลขิ ติ ศลิ ปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\

193

1.8 สำเนำส่ง (ถ้ำมี) : ใช้ในกรณีที่ส่วนรำชกำรเจ้ำของหนังสือทำสำเนำส่งไปให้ส่วนรำชกำร
หรือบุคคลอ่ืนๆ และประสงค์จะให้ผู้รับทรำบว่ำได้ทำสำเนำหนังสือส่งไปให้ผู้ใดบ้ำงแล้ว ให้พิมพ์ช่ือ
เต็มหรือช่อื ย่อของสว่ นรำชกำร หรือชอ่ื บคุ คลทสี่ ่งสำเนำไปให้เพ่ือให้เป็นทเ่ี ขำ้ ใจระหว่ำงผ้สู ง่ และผู้รับ
ถำ้ หำกมรี ำยช่ือทีส่ ง่ มำให้พิมพ์วำ่ ส่งไปตำมรำยช่อื ทีแ่ นบและแนบรำยชอ่ื ไปด้วย

ภำพแสดงโครงสรำ้ งส่วนหวั ของหนงั สือ
รำชกำร

2. ส่วนสำเหตุ
โครงสร้ำงของหนังสือรำชกำรในส่วนนี้คือกำรเขียนข้อควำมที่เป็นกำรแสดงเหตุผลของ

กำรเขียนหนังสือมำยังผู้รับ ซึ่งผู้เขียนต้องเขียนมูลเหตุของกำรส่งหนังสือมำอย่ำงชัดเจน เข้ำใจง่ำย
โดยกำรเขียนคำข้ึนตน้ ของข้อควำมมปี ระเดน็ ทน่ี ่ำสนใจ ดังนี้

2.1 หำกเป็นเร่ืองท่ีเคยติดต่อกันมำก่อน หรือ เป็นหนังสือท่ีมีกำรรับรู้ หรือ ส่งถึงกันมำ
ก่อนแล้ว ให้ข้นึ ต้นข้อควำมดว้ ยคำว่ำ "ตำม ..." หรอื "ตำมท่ี ..." แลว้ ลงทำ้ ยดว้ ยคำว่ำ "น้ัน"

2.2 หำกเป็นเรื่องท่ีเกิดข้ึนใหม่ ไม่เคยมีกำรติดต่อกันมำก่อน ต้องเขียนควำมประสงค์
หรือควำมม่งุ หมำย โดยมเี หตผุ ลอย่ำงชัดเจน ใหข้ นึ้ ต้นด้วยคำวำ่ "ดว้ ย..." หรอื "เนือ่ งจำก ..."

3. สว่ นจุดประสงคท์ ี่มีหนังสือไป
โครงสร้ำงหนังสือรำชกำรในส่วนจุดประสงค์นี้ยังคงเป็นโครงสร้ำงที่อยู่ในเน้ือควำมของ

หนังสอื โดยเป็นอีกยอ่ หน้ำหนง่ึ ตอ่ จำกย่อหนำ้ ส่วนสำเหตขุ องหนังสอื ซึ่งมแี นวทำงในกำรเขยี น ดงั น้ี
1) อำจขนึ้ ต้นย่อหนำ้ ดว้ ยข้อควำมวำ่ "ดงั น้นั ...(ผสู้ ่งหนงั สือ)...จงึ ...(แจง้ จดุ ประสงค์)..."
2) หำกมีจุดประสงค์หลำยข้อ ให้เขียนแยกออกเป็นรำยข้ออย่ำงชัดเจน

//\\//\\ลิขติ ศิลปส์ ำหรับคร/ู /\\//\\


Click to View FlipBook Version