The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suchada tangsirin, 2020-07-09 11:24:40

เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

44

บันเดิน หมายถงึ ทาใหเ้ ดนิ
บันโดย หมายถงึ พลอยแสดง
บนั ทึง หมายถึง ทอ่ งบน่
บันเหนิ หมายถงึ เหาะไป

นอกจากนย้ี งั มหี ลกั ชว่ ยจาท่นี ่าสนใจ ดงั น้ี

บันดาลลงบันได บนั ทกึ ใหด้ จู งดี
ร่นื เริงบันเทิงมี เสียงบนั ลือสน่ันดัง
บนั โดยบันโหยให้ บันเหนิ ไปจากรวงรงั
บนั ทงึ ถงึ ความหลัง บันเดินนั่นนอนบันดล
บนั กวดเอาลวดรดั บันจวบจัดตกแต่งตน
คา “บนั ” นั้นฉงน ระวังปนกับ “ร.หัน”

9. หลักการใช้ ร.หนั
9.1) ใช้กับคาทแี่ ผลงมาจาก ร (ร. เรผะ) ใชใ้ นคาภาษาสนั สกฤต เมื่อแผลงเป็น รร (ร

หนั ) ในภาษาไทย เช่น
สวรรค์ มาจาก สวรคฺ
กรรม มาจาก กรฺม
จรรยา มาจาก จรยฺ า

9.2) ใชเ้ ขียนคาที่แผลงมาจากภาษาบาลี-สนั สกฤต เชน่
ขรรค์ มาจาก ขคคฺ

บรรหาร มาจาก ปรหิ าร

//\\//\\การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

45

บรรจถรณ์ มาจาก ปจจฺ ตถฺ รณฺ
9.3) คาบางคาพยางคห์ นา้ ออกเสยี ง อะ แผลงเป็น รร เช่น

สรรเสรญิ มาจาก สรเสริญ
พรรเอิญ มาจาก เผอญิ
ละลุ
ลรรลุ มาจาก

9.4) ใช้กบั คาไทยทแี่ ผลงมาจากคาอ่ืน เชน่

กรรโชก มาจาก กระโชก
กรรเชา้ มาจาก กระเชา้

ครรลอง มาจาก คลอง

ครรโลง มาจาก โคลง
บรรทม มาจาก ประทม

10. หลักการใชว้ รรณยุกต์

คาในภาษาไทยทุกคาต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์อยู่ด้วยเสมอ แต่บางคารูปกับเสียง

วรรณยุกต์ไม่ต่างกัน จึงมีการเข้าใจผิดในการเขียนอยู่เสมอ เพ่ือช่วยในการเขียนวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง

และนาไปใช้พิจารณาเสียงวรรณยุกต์ของคาท่ีไม่ปรากฏรูปวรรณยุกต์หรือมีรูปวรรณยุกต์กากับอยู่แต่

อา่ นออกเสียงไม่ตรงตามวรรณยกุ ตร์ ูปนั้น ควรจาหลกั เกณฑ์ย่อๆ ดงั นี้

10.1) การใชร้ ูปวรรณยกุ ต์ คาไทยมีเสียงวรรณยกุ ต์ 5 เสียง ได้แก่ เสยี งสามัญ เสยี ง
เอก เสียงโท เสยี งตรี เสยี งจัตวา มีรปู วรรณยุกต์ ๔ รปู มีขอ้ สังเกต ดังน้ี

- อักษรกลาง อักษรสูง ในกรณีท่ีมีรูปวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์กับรูป
วรรณยกุ ตจ์ ะตรงกัน เชน่

ปา ปา่ ป้า ป๊า ปา๋ (อักษร กลาง)
ขา ข่า ขา้ ผา ผา่ ผา้ (อกั ษรสงู )

- อักษรกลางใชร้ ูปวรรณยกุ ตต์ รไี ด้ เชน่ โต๊ะ กร๊ีด โอ๊ะ
- อักษรตา่ มีเสยี งวรรณยกุ ต์ตรี แต่ไม่ใช้รปู วรรณยุกตต์ รี เชน่ คะ นก พร้อม
- อักษรกลางเทา่ น้นั ใช้รปู วรรณยุกตจ์ ตั วาได้ เชน่ จา๋ แจว๋ แต๋ว
- อักษรสูงมเี สยี งจตั วาแต่ไมใ่ ช้รปู วรรณยุกต์จตั วา เช่น หา ฉัน ฝนั หวาน
- อักษรต่า กรณีที่มีรูปวรรณยุกต์ รูปวรรณยุกต์กับเสียงวรรณยุกต์จะไม่
ตรงกัน กล่าวคือ หากมีเสียงวรรณยุกต์โท จะใช้รูปวรรณยุกต์เอก เช่น ค่า น่า ช่าง ท่าน หากมีเสียง
วรรณยุกต์ตรีจะใช้รปู วรรณยกุ ต์โท เชน่ คา้ น้า ชา้ ง ท้า

//\\//\\การอ่าน – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

46

10.2) คาเลยี นเสยี งมาจากภาษาจนี ใชห้ ลกั เกณฑก์ ารเขยี นรปู วรรณยุกตต์ ามคาไทย
เช่น ก๋วยเตีย๋ ว กวยจั๊บ เก้ียมไฉ่ เฉาก๊วย ข้นึ ฉ่าย เก๊กฮวย ฮวงจยุ้

10.3) คาที่ยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ ภาษาเขมร ซ่ึงเป็น
ภาษาทไี่ มม่ เี สยี งวรรณยุกต์และรูปวรรณยุกต์เมือ่ เขียนคาเหล่านีจ้ ะไมใ่ ช้รูปวรรณยุกต์ เช่น

เขต อิจฉา ภริยา อจั ฉรา (ภาษาบาล)ี
เกษตร ริษยา ภรรยา อปั สร (ภาษาสนั สกฤต)
พีระมดิ ปลาสเตอร์ เกม (ภาษาองั กฤษ)
ถนน บรรทกุ เสร็จ เขนย (ภาษาเขมร)

10.4) การเขียนคาทับศัพทภ์ าษาต่างประเทศโดยปกติจะไม่มกี ารเขียนรูปวรรณยุกต์
กากับ เช่น โควตา กราฟ ดอลลาร์ ซูเปอร์ สนุกเกอร์ แต่การเขียนคาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ
บางคาต้องมีรูปวรรณยุกต์กากับไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มีรูปซ้ากับคาท่ีมีความหมายในภาษาไทย เช่น
ก๊อก ก๊อบป้ี กา๊ ซ แกส๊ กุ๊ก คกุ ก้ี เชิต้ เซร่มุ บร่ันดี ปร๊ฟู ปลั๊ก แฟชนั่ มมั มี่ ริบบิน้ วิสก้ี โอก๊ เป็นตน้

10.5) ตารางเทยี บเสียงวรรณยกุ ตใ์ นการผนั อกั ษร

อักษรกลาง 5 เสยี ง
กจดฎฏบปอ
คำเปน็ : ผนั ได้ 5 เสยี ง
คำตำย : ผันได้ 5 เสียง

อกั ษรสงู
ขฃหฉฐถผฝศษส
คำเปน็ : ผันได้ 3 เสยี ง
คำตำย : ผันได้ 2 เสยี ง

อกั ษรต่า
(อักษรทีเ่ หลือ 24 ตัว)
คำเปน็ : ผันได้ 3 เสยี ง
คำตำยเสยี งยำว : ผันได้ 3 เสยี ง
คำตำยเสยี งส้นั : ผันได้ 3 เสียง

11. หลกั การเขียนคาทับศพั ท์
คาทบั ศพั ทค์ ือการเขยี นคาทีม่ าจากภาษาต่างประเทศดว้ ยตวั อกั ษรในภาษาไทย โดย

ราชบณั ฑิตยสถานไดก้ าหนดหลักเกณฑก์ ารเขียนคาทบั ศัพท์ ดังนี้

//\\//\\การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

47

1) การทับศัพท์ให้ถอดอักษรในภาษาเดิมพอควรแก่การแสดงที่มาของรูปศัพท์ และให้เขียน
ในรปู ท่ีอ่านได้สะดวกในภาษาไทย

2) คาทับศัพท์ที่ใช้กันมานานจนถือเป็นภาษาไทย และปรากฎในพจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑติ ยสถานแล้ว ใหใ้ ช้ต่อไปตามเดมิ เชน่ ช็อกโกเลต, ช็อกโกแลต, เชิ้ต, ก๊าซ และ แกส๊ เป็นต้น

3) คาวิสามานยนามท่ีใช้กันมานานแล้ว อาจใช้ต่อไปตามเดิม เช่น Victoria = วิกตอเรีย,
Louis = หลยุ ส์ และ Cologne = โคโลญ เปน็ ตน้

4) ศัพท์ทางวิชาการซึ่งใช้เฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ศัพท์ท่ัวไป อาจเพ่ิมเติมหลักเกณฑ์ขึ้นตาม
ความจาเป็น

5) หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาต่างประเทศมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละภาษา ซึ่งใน
เอกสารประกอบการสอนเล่มน้ี จะขอกล่าวถึงหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษเพียงเท่าน้ัน ซ่ึงมี
รายละเอียดทส่ี าคญั ตอ่ การนาไปใช้ ดังน้ี

5.1) การใช้เครอื่ งหมายทัณฑฆาต

5.1.1) พยัญชนะตัวที่ไม่ออกเสียงในภาษาไทยให้ใส่เครื่องหมายทัณฑฆาต
กากับไว้ เช่น Horn = ฮอรน์ , Windsor = วนิ ด์เซอร์

5.1.2) คาหรือพยางค์ที่ตัวสะกดมีพยัญชนะตามมาหลายตัว ให้ใส่
เครื่องหมายทัณฑฆาตไว้บนพยัญชนะท่ีไม่ออกเสียงตัวสุดท้ายแต่เพียงแห่งเดียว เช่น Okhotsk =
โอค็อตสก,์ Barents = แบเร็นตส์

5.1.3) คาหรือพยางค์ท่ีมีพยัญชนะไม่ออกเสียงอยู่หน้าตัวสะกด ที่ยังมี
พยัญชนะตามหลังมาอีก ให้ตัดพยัญชนะที่อยู่หน้าตัวสะกดออก และใส่เคร่ืองหมายทัณฑฆาตไว้บน
พยัญชนะตัวสุดท้าย เชน่ World = เวิลด์, Quartz = ควอตซ์, First = เฟสิ ต์

5.2) การใชไ้ มไ้ ต่คู้ ควรใช้ในกรณีต่อไปนี้

5.2.1) เพอ่ื ให้เหน็ แตกต่างจากคาไทย เชน่ Log = ลอ็ ก

5.2.2) เพื่อชว่ ยให้ผอู้ ่านแยกพยางค์ไดถ้ กู ต้อง เช่น Okhotsk = โอค็อตสก์

//\\//\\การอ่าน – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

48

5.3) การเขียนคาทับศัพท์โดยปกติแล้วไม่ต้องใส่เคร่ืองหมายวรรณยุกต์ ยกเว้นใน
กรณที ี่คานน้ั มีเสยี งซา้ กบั คาไทย จนทาใหเ้ กิดความสบั สน อาจใสเ่ คร่อื งหมายวรรณยกุ ต์ได้ เช่น Coke
= โคก้ , Coma = โคมา่

5.4) คาท่ีมีพยัญชนะซ้อน (Double letter) เป็นตัวสะกด ถ้าเป็นคาศัพท์ท่ัวไป
ให้ตดั พยญั ชนะออกตวั หน่งึ เช่น Football = ฟุตบอล แต่ถา้ เปน็ ศพั ทท์ างวิชาการหรือวิสามานยนาม
ให้เก็บไวท้ ั้ง 2 ตัว โดยใสเ่ คร่อื งหมายทัณฑฆาตไว้ที่ตวั ท้าย เช่น Cell = เซลล์, James Watt = เจมส์
วัตต์

5.5) คาท่ีมีตัวสะกดของพยางค์หน้าออกเสียงเป็นพยัญชนะต้นของพยางค์ตัวต่อไป
ด้วย ใหถ้ อื หลักเกณฑ์ ดังน้ี

5.5.1) ถ้าสระของพยางค์หน้าเป็นเสียงสระอะ ซ่ึงเม่ือทับศัพท์ต้องใช้รูปไม้
หันอากาศ ให้ซ้อนพยัญชนะตัวสะกดของพยางค์หน้าเข้าอีกตัวหน่ึง เพื่อเป็นพยัญชนะต้นของพยางค์
ต่อไป เช่น Couple = คัปเปิล, Double = ดบั เบลิ

5.5.2) ถ้าสระของพยางค์หน้าเป็นสระอ่ืนท่ีไม่ใช่สระอะ ให้ทับศัพท์ตามรูป
พยัญชนะภาษาอังกฤษโดยไมม่ต้องซ้อนพยัญชนะ เช่น California = แคลิฟอร์เนีย, General =
เจเนอรลั

5.5.3) ถ้าเปน็ คาที่เกิดจากการเตมิ ปจั จัย เช่น -er, -ing, -ic, -y และการทับ
ศัพท์ตามรูปพยัญชนะภาษาอังกฤษตามข้อ 5.5.3 อาจทาให้ออกเสียงผิดไปจากภาษาเดิมมาก ดังนั้น
ให้ซอ้ นพยัญชนะตวั สะกดของพยางค์ต้นอีกหนึ่งตัว เพอ่ื ให้เห็นเค้าคาเดิม เชน่ Sweater = สเวตเตอร์
, Booking = บุกกิง, Snoopy = สนปู ปี

5.6) คาประสมที่มีเคร่ืองหมายยัติภังค์ (Hyphen) ให้ทับศัพท์โดยเขียนติดต่อกันไป
เช่น Cross-stitch = ครอสสติตตช์ แต่หากคาประสมดังกล่าวเป็นคาศัพท์ทางวิชาการหรือเป็นคา
วสิ ามานยนามต้องเขียนตามรปู ศพั ท์เดิม เช่น Colalt-60 = โคบอลต์-60, McGraw-Hill = แมกกรอว์-
ฮิลล์

5.7) คาประสมซ่ึงในภาษาอังกฤษเขียนแยกกัน เมื่อทับศัพท์ให้เขียนติดกันไป
ไม่ต้องแยกคาตามภาษาเดิม เช่น Calcium carbonate = แคลเซียมคาร์บอเนต, Night club =
ไนตค์ ลับ, New Guinea = นวิ กินี

//\\//\\การอ่าน – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

49

5.8) การเขยี นทบั ศัพท์คาย่อ ให้เขยี นตัวอักษรน้นั ๆ ดว้ ยภาษาไทย ดงั นี้

A = เอ B = บี C = ซี D = ดี
E = อี F = เอฟ G = จี H = เอช
I = ไอ J = เจ K = เค L = แอล
M = เอ็ม N = เอ็น O = โอ P = พี
Q = คิว R = อาร์ S = เอส T = ที
U = ยู V = วี W = ดับเบลิ ยู X = เอกซ์
Y = วาย Z =แซด

และเวลาเขียนทับศัพท์ต้องไม่ใส่จุดและไม่เว้นช่องไฟ เช่น BBC = บีบีซี, F.B.I =
เอฟบไี อ, DDT = ดดี ที ี

นอกจากนี้คาย่อที่สามารถอ่านเป็นคาได้ ให้อ่านออกเสียงเสมือนคาทับศัพท์ทั่วไป
โดยไม่ตอ้ งออกเสียงเรียงตวั อกั ษร เชน่ USIS = ยซู สิ , UNESCO = ยูเนสโก, ASEAN = อาเซียน

5.9) การทับศัพท์ตัวย่อชื่อของบุคคล ให้เขียนโดยใส่จุด และเว้นช่องไฟระหว่างชื่อ
กับนามสกุล เชน่ D.N. Smith = ดี. เอน็ . สมทิ , G.H.D. Cold = จ.ี เอช.ด.ี โคลด์

5.10) การเขียนพยัญชนะไทยทับศัพท์คาภาษาอังกฤษมีข้อยกเว้นท่ีน่าสนใจ

ดงั ตอ่ ไปน้ี

5.10.1) คาท่ีพยางค์สุดท้ายเป็น ca, co และ cer (ท่ีออกเสียงเกอร์) ให้
เขียนทับศพั ทด์ ว้ ย "ก" เชน่ America = อเมริกา, Disco = ดิสโก, Soccer = ซอกเกอร์

5.10.2) ตัวสะกด หรือ พยัญชนะต้นของพยางค์ ที่เป็น ck ให้แทนด้วย
"กก" เช่น Rocky = รอกก,ี Locket = ลอ็ กเกต

5.10.3) ตัวสะกด และพยัญชนะต้นของพยางค์ถัดไป ท่ีเป็น gn แล้วออก
เสียง /ñ/ ใหใ้ ช้ "นญ" เชน่ Bologna = โบโลนญา, Cognac = คอนญกั

5.10.4) เม่ือ "N" เป็นตัวสะกดและมีพยัญชนะ c ch g k qu ตาม แล้วทา
ให้เสียง "N" ที่เป็นตัวสะกดออกเสียงเป็น "ง" ให้ทับศัพท์ด้วย "ง" เช่น Anglo-Saxon =
แองโกลแซกซัน, Function = ฟงั กช์ นั , Parenchyma = พาเรงคิมา, Frank = แฟรงก์

//\\//\\การอ่าน – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

50

5.10.5) เมื่อ "P" เป็นพยัญชนะต้นให้ใช้ "พ" เสมอ ยกเว้นกลุ่มพยัญชนะ
บางกลุ่มที่นิยมใช้เสียง "ป" ซึ่งได้แก่ super-, -pa, -pean, -per, -pic, -ping, -pion, -po, -pus และ
-py ให้ทบั ศพั ท์ด้วย "ป" เชน่ Superman = ซเู ปอรแ์ มน, Hippo = ฮปิ โป, Topic = ทอปปกิ

5.10.6) "sc", "sk", "sp" และ "st" ท่ีถอดเป็น "สก", "สก", "สป" และ "สต"
ตามลาดับ ถ้ามี "s" อยู่กลางศัพท์ และเป็นตัวสะกดของพยางค์หน้า ให้ถอด c k p และ t นั้น
เป็น ค ค พ และ ท เช่น Wisconsin = วิสคอนซิน, Muskegon = มัสคีกัน, Asparagus =
แอสพารากสั และ Distemper = ดิสเทมเปอร์

5.10.7) T เมื่อเป็นพยัญชนะต้นให้ใช้ "ท" และพยัญชนะท้ายใหใ้ ช้ "ต" โดย
ตลอด ยกเว้นกลุ่มพยัญชนะบางกลุ่มที่นิยมใช้เสียง "ต" ได้แก่ anti-, auto-, inter-, multi-, photo-,
ta, -ter, -ti, -tic, -ting, -tis, -to, -ton, -tor, -tre, -tum, -tus และ -ty ให้ทับศัพท์ด้วย "ต" เช่น
antibody = แอนตบิ อด,ี Intercom = อนิ เตอร์คอม, Computer = คอมพวิ เตอร์

5.10.8) คาหรือพยางค์ที่มีพยัญชนะต้นหลายตัว และตัวหน้าไม่ออกเสียง
เมื่อเขียนทับศัพท์ไม่ต้องใส่พยัญชนะตัวท่ีไม่ออกเสียง เช่น Gnat = แนต, Knight = ไนต์, Psycho =
ไซโค และ Pneumonia = นิวมอเนีย

5.10.9) คาวิสามานยนามท่ีออกเสียงเฉพาะพิเศษหรือออกเสียงไม่ตรงกับ
รูปคาศัพทใ์ ห้ทับศพั ท์ตามการออกเสยี ง เช่น Worcester - วสู เตอร,์ Marble Arch = มาร์บะลาซ

12. สาเหตุท่เี ขียนหนังสอื ผิด
12.1) เขียนผิดเพราะไม่ทราบความหมายของคาท่ีเขยี นอยา่ งถูกต้อง เช่น

กนั แสง (ร้องไห)้ มกั เขยี นผิดเปน็ กรรแสง
กาชาด (กากบาทสีแดง) มักเขียนผดิ เปน็ กาชาติ
มักเขียนผิดเปน็ เกษียรอาย,ุ เกษยี นอายุ
เกษยี ณอายุ มกั เขยี นผิดเป็น เบญจเพศ
เบญจเพส มกั เขียนผดิ เปน็ ตาเถร
ตาเถน (ขโมย)

12.2) เขียนผิดเพราะใช้แนวเทียบผิด เชน่

คาถูก คาผิด แนวเทยี บผดิ
กฎหมาย กฏหมาย ปรากฏ

//\\//\\การอ่าน – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

51

แกงบวด แกงบวช บวชพระ
จานง จานงค์ ประสงค์
ผาสกุ ผาสุข ความสุข

12.3) เขียนผดิ เพราะออกเสยี งผิด เช่น

ขะมักเขม้น มกั เขยี นผิดเปน็ ขมกั เขม้น
ซาหรมิ่ มกั เขียนผดิ เป็น สลิม่
จัญไร มกั เขียนผิดเป็น จังไร
จักจน่ั มักเขยี นผิดเปน็ จ๊ักจ่ัน
กากบาท มกั เขียนผดิ เปน็
กากะบาด

12.4) เขียนผิดเพราะความเคยชนิ หรือไดร้ บั ประสบการณม์ าผิด หรือเห็นมาผดิ เชน่

กเิ ลส มกั เขียนผดิ เปน็ กิเลศ
ศีรษะ มกั เขยี นผิดเปน็ ศรษี ะ
รังสี มกั เขยี นผดิ เป็น รังษี
สะอาด มกั เขียนผดิ เป็น สอาด
เกสร มักเขยี นผิดเป็น เกษร

12.5) เขียนผดิ เพราะภาษาไทยมคี าพ้องเสยี งจานวนมาก เช่น

หนว่ ยเสียง คาพ้อง ความหมาย
กนั กรรณ หู
กนั กีด, บงั , หา้ ม
กันต์ โกน, ตัด
กลั ป์ ระยะเวลาอันยาวนาน
กณั ฐ์ คอ
กัณฑ์ ภาค, ตอน

//\\//\\การอ่าน – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

หนว่ ยเสยี ง 52
พดั
คาพ้อง ความหมาย
ภัทร ด,ี เจรญิ
พัทร ต้นพุทรา
พัตร ผ้า
พทั ธ์ ผกู , ตดิ , เนอื่ ง
พัชร เพชร
พรรษ ฝน
พัด เครื่องโบกหรือกระพือลม

ประมวลคาศัพทท์ ม่ี กั เขียนผดิ คาถกู คาทมี่ ักเขยี นผดิ
คาถกู คาทีม่ ักเขียนผิด กระแสน้า กระแสร์น้า
กระหดื กระหอบ กะหืดกะหอบ
กระเพาะ กะเพาะ ก๋วยเตย๋ี วราดหนา้
กว๊ ยเต๋ียวลาดหน้า
กระหนก (ลายไทย) กนก (ทอง) กอปร กอบ
กะทัดรดั
กรยิ า (คาแสดงอาการ) กิริยา กระทัดรัด
กะทิ กระทิ
กเฬวราก กเลวราก กระทะ กะทะ
กะเพรา กระเพรา
กอ๊ ก กอ็ ก กะโหลก
กิตตมิ ศักดิ์ กระโหลก
กะทนั หนั กระทันหนั เกลด็ ปลา กิตมิ ศักด์ิ
เกษยี นหนงั สอื เกรด็ ปลา
กะพริบ กระพรบิ เกษียณหนงั สือ

กะลา กระลา

กะหรป่ี ับ๊ กะหร่บี บั๊

กจิ จะลกั ษณะ กิจลักษณะ

เกรด็ ความรู้ เกล็ดความรู้

เกษียณอายุ เกษยี รอายุ

//\\//\\การอา่ น – การเขยี นคาในภาษาไทย//\\//\\

53

คาถกู คาท่มี ักเขยี นผดิ คาถูก คาท่มี กั เขยี นผิด
ขโมย ขโมย ขะมักเขม้น ขมักเขม้น
ขัณฑสกร ขนั ทสกร น่ังขดั สมาธิ นั่งขัดสมาธิ
ข้าวราดแกง ขเี้ ฒา่
ไขม่ ุก ข้าวลาดแกง ขีเ้ ถ้า ครสิ ต์กาล
คริสต์ศตวรรษ ไขม่ ุข ครสิ ตกาล ครธุ
คลินิก ฆ้อน
คะนอง คริสตศตวรรษ ครุฑ คานวน
คกุ ก้ี คลีนิค ค้อน เคก๊
โควตา คนอง คานวณ โครงการณ์
เงินทดรอง คกุ๊ กี้ เคก้ จัดสรรค์
จตั ุรสั โควต้า โครงการ จุมพศิ
เจตจานง จดั สรร เจตนารมย์
เจียระไน เงินทดลอง จมุ พิต โจทย์จัน
ฉบับ จตุรสั เจตนารมณ์ ฉนั ท์ญาติ
ชนวน โจษจนั ชมภู
ชมพู่ เจตจานงค์ ฉนั ญาติ ชะโลม
ช้อนสอ้ ม เจยี ระนยั ชมพู ชะอุ่ม
เชต้ิ ฉะบับ ชโลม ดอกจนั ทร์
ชะนวน ชอ่มุ
ดอกจัน (เคร่ืองหมาย)
ชมภู่
ชอ้ นซ่อม

เชิ๊ต

//\\//\\การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

คาถูก คาท่มี ักเขยี นผดิ คาถูก 54
ตระเวน ตระเวณ ตานขโมย
ตารบั ตารา คาทมี่ ักเขียนผดิ
ตาลปตั ร ตาหรับตารา เตน็ ท์ ตานโขมย
ตลบตะแลง ตาละปัตร ไตรยางศ์ เต็นต์
ถนนลาดยาง ตะหลบตะแลง ไตรยางค์
แถลงการณ์ ถนนราดยาง ไตก้ ง๋ ใตก้ ๋ง
ทแยง แถลงการ ถว่ งดุล ถ่วงดุลย์
ทวารวดี ทะแยง ทยอย ทะยอย
ทารุณกรรม ทวาราวดี ทระนง ทรนง
ทนู หัว ทารนุ กรรม ทะนุบารุง ทนุบารงุ
ทีฆายุโก ทพุ ภกิ ขภยั ทพุ ภิกภัย
เทคนิค ทลู หัว ทูลเกลา้ ฯ ทูนเกลา้ ฯ
แท็กซ่ี ฑีฆายุโก ทะล่งึ ทล่ึง
ธารง เทคนกิ เทดิ ทนู เทดิ ทูล
นกพริ าบ แทก๊ ซี่ แทรกแซง แซกแซง
นานปั การ ธารงค์ ธุรกิจ ธรุ ะกิจ
เนอื งนติ ย์ นกพิลาป นยั นต์ า นยั ตา
โน้ต นานับประการ นิเทศ นเิ ทศก์
เนอื งนิจ เนรมติ เนรมิตร
ไนต์คลับ ไนทค์ ลับ
โน๊ต

//\\//\\การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

คาถกู คาที่มกั เขยี นผดิ คาถูก 55
บรรจบ บนั จบ บลอ็ ก
บอระเพด็ บรเพ็ด บงั สกุ ลุ คาทม่ี กั เขยี นผดิ
บาดทะยัก บาดทยกั บาตร บล๊อก
บาเหนจ็ บาเน็จ บิณฑบาต บงั สกุล
บิดพล้วิ บิดพร้ิว บุคลกิ บาต
บุษราคัม บุษราคา เบรก
เบญจเพส เบญจเพศ บังเอญิ บณิ ฑบาตร
ปฏิกิริยา ปฏกิ ริยา ประจัญบาน บุคคลกิ
ประปา ปะปา ปะการัง เบรค
ประจันหนา้ ประณต บงั เอนิ
ประณาม ประจญั หน้า ประณีต ประจันบาน
ประดิดประดอย ประนาม ประตมิ ากรรม ประการัง
ประพิมพ์ประพาย ประดิดฐ์ประดอย ปศิ าจ ประนต
เสด็จประพาส ประพิมประพราย ประสบ (พบ) ปราณีต
ประสตู ิ เสด็จประภาส ปรัศนี ปฏิมากรรม
ปราศรยั ประสตู ร ปลน้ สะดม ปศี าจ
ปกิ นิก ปราศยั เปอร์เซน็ ต์ ประสพ (การเกิดผล)
ผลัดเปล่ยี น ปิคนคิ ผัดไทย ปรศั นีย์
ผัดเปลยี่ น ปล้นสะดมภ์
เปอร์เซนต์
ผดั ไท

//\\//\\การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

คาถกู คาที่มักเขียนผิด คาถกู 56
ผัดผ่อน ผลัดผอ่ น ผัดวันประกนั พรุ่ง
ผาสุก ผาสขุ คาทม่ี กั เขียนผิด
เผอเรอ เผลอเรอ ผกู พนั ผลัดวนั ประกนั พรุ่ง
แผ่ซ่าน แผ่สร้าน แผนการ
ฝรง่ั เศส ฝรั่งเศษ ผกู พนั ธ์
พรรณนา พรรณา โผล่ แผนการณ์
พละกาลัง พลกาลงั ฝดี าษ
พะแนง แพนง พรางตา โผ่
พัศดี พัสดี พหูสูต ฝีดาด
พศิ วาส พศิ วาท พันทาง พลางตา
พสิ มยั พศิ มยั พิธรี ีตอง พหสู ตู ร
เภทภยั เพทภัย พิสดาร พนั ธุ์ทาง
มณฑป มนฑป ภารกิจ พิธรี ตี รอง
มธั ยัสถ์ มธั ยทั ถ์ มงกุฎ พศิ ดาร
มขุ ตลก มกุ ตลก มรณภาพ ภาระกิจ
แมงกะพรุน แมงกระพรนุ มาตรแม้น มงกุฏ
รสชาติ รสชาด มุง่ มาด มรณะภาพ
รงั สฤษฏ์ รงั สฤษด์ิ ย่อมเยา มาดแมน้
รงั สรรค์ มุ่งมาตร
รังสี ยอ่ มเยาว์
รังสรร
รงั ษี

//\\//\\การอ่าน – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

57

คาถูก คาท่มี ักเขียนผิด คาถูก คาท่มี กั เขียนผดิ
ร่าลือ ลา่ ลอื ร่าลา/ ล่าลา รา่ รา
เรีย่ ไร เร่ียราย
ลายเซ็น ลูกนมิ ิต ลกู นิมติ ร
สาสน์ ลายเซน็ ต์ ลุกลล้ี กุ ลน ลุกรล้ี กุ รน
วดี ิทัศน์ สาน์ส เลอื กสรร เลือกสรรค์
สนุกเกอร์ วิดที ศั น์
สาบสญู สนกุ๊ เกอร์ สถติ สถติ ย์
สิรมิ งคล สาปสูญ สบั ปะรด สัปรด
สแกน ศิรมิ งคล สาปแช่ง สาบแชง่
สเตก๊ แสกน สาอาง สาอางค์
เสน่ห์ เสตก๊ สแลง (ถ้อยคา) แสลง
หงส์ สเน่ห์ แสลง (ไม่ถูกกับโรค) สแลง
เหมน็ สาบ หงษ์ สนเทห่ ์ สนเท่
อนุมัติ เหมน็ สาป หมหู ยอ็ ง หมูหยอง
อาเจียน อนมุ ัต เหลวไหล เหลวใหล
อาพาธ อาเจียร อนจิ จา อนจิ า
อปุ โลกน์ อาพาท อาเพศ อาเพท
เอเชีย อุปโลก อานิสงส์ อานิสงฆ์
เอเซยี อุโมงค์ อุโมง
โอกาส โอกาศ

//\\//\\การอา่ น – การเขียนคาในภาษาไทย//\\//\\

58

โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย

การส่ือสารด้วยภาษาไทยอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถในการใช้ภาษาไทยได้
อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซ่ึงนับเป็นเรื่องพื้นฐานสาคัญอย่างยิ่งสาหรับครูผู้สอนในทุกสาขาวิชา
เนือ่ งจากกระบวนการส่ือสารเกิดขึ้นในทุกขณะของการจัดการเรียนรู้ในห้องเรยี น นอกจากนผี้ ู้สอนยัง
เป็นต้นแบบของการใช้ภาษาท่ีมีมาตรฐานให้กับผู้เรียนต่อไปได้ ฉะนั้นการสร้างพื้นฐานทางภาษาจึง
เป็นเร่ืองสาคัญอันดับแรกท่ีผู้จัดการเรียนรู้ต้องได้รับการพัฒนา โดยความสามารถดังกล่าวนี้สามารถ
พฒั นาไดจ้ ากความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเร่ืองคาและโครงสร้างประโยคในภาษาไทยอย่างถ่องแท้ ซง่ึ มี
รายละเอียดทนี่ ่าสนใจดงั ตอ่ ไปนี้

1. ลักษณะของคาท่ใี ช้ในภาษาไทย
ค า ท่ี ใ ช้ อ ยู่ ใ น ภ า ษ า ไ ท ย มี ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง รู ป ค า ห รื อ ก า ร ป ร ะ ก อ บ ส ร้ า ง ข อ ง ค า ที่ แ ต ก ต่ า ง

หลากหลาย ซ่งึ เน้ือหาในบทน้ีขอนาเสนอเพียง 4 ลกั ษณะ คือ คามูล คาประสม คาซ้อน และ คาซา้

1.1) คามูล : คาท่ีไม่ประสมกับคาอ่ืนและมีความหมายอย่างใดอย่างหน่ึง อาจเป็นคาด้ังเดิม
ในภาษาไทย หรือ คาที่มาจากภาษาอ่ืนก็ได้ แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ คามูลพยางค์เดียว และ คามูล
หลายพยางค์

1) คามูลพยางค์เดียว คือ คามูลที่มีพยางค์เดียวและมีความหมายในตัวเอง เช่น น้า ไฟ
ทูล แข บาท สัตว์ โกรธ โน้ต กราฟ เปน็ ตน้

2) คามูลหลายพยางค์ คือ คามูลตัง้ แต่ 2 พยางคข์ ้ึนไป แต่ถา้ แยกพยางคอ์ อกจากกันจะไม่
มคี วามหมาย แม้บางพยางค์จะมีความหมาย ความหมายน้นั กอ็ าจจะไม่ใกล้เคยี งหรือเกีย่ วข้องกับคาท่ี
รวมพยางค์กันเลย เช่น กระทะ มะละกอ กระฟัดกระเฟียด ละล่าละลัก เย็นตาโฟ อาจารย์
พสิ ดาร เป็นตน้

1.2) คาประสม : คามูลท่ีมีความหมายต่างกันต้ังแต่ 2 คาขึ้นไปมารวมเป็นคาเดียวกัน แล้ว
เกิดคาใหม่ มีความหมายใหม่ แต่ยังคงมีเค้าความหมายเดิมอยู่ คาท่ีนามาประสมกันน้ัน อาจเป็นคา
ไทยกบั คาไทย หรอื คาไทยกับคาภาษาต่างประเทศ หรือ คาภาษาตา่ งประเทศกับภาษาตา่ งประเทศก็
ได้ เช่น พ่อตา (ไทย + ไทย), ราชวัง (บาลี + ไทย), ม้าทรง (ไทย + เขมร), เสื้อเชิ้ต (ไทย + อังกฤษ)
ทงั้ นค้ี าประสมมีหลักการในการพจิ ารณา 3 ประการ ดังนี้

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

59

ประการท่ี 1 คาประสมจะต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีเป็นคาหลัก และ
สว่ นที่เปน็ คาประกอบขยาย เช่น นา้ ปลา (นา้ -คาหลกั + ปลา-คาประกอบ), บ้านพกั (บา้ น-คาหลัก +
พัก-คาประกอบ), ผงซักฟอก (ผง-คาหลัก + ซักฟอก-คาประกอบ), โรงรับจานา (โรง-คาหลัก +
รับ-คาประกอบ + จานา-คาประกอบ)

ประการที่ 2 คาประสมมิอาจแยกสว่ นหรือสบั เปลีย่ นตาแหนง่ ของคาทีป่ ระสมกัน
ได้ เนือ่ งจากจะทาให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไป เชน่ แม่บา้ น (หญิงผจู้ ดั การงานของบา้ น, ภรรยาของ
พอ่ บา้ น) หากสลบั ตาแหนง่ คาเปน็ บา้ นแม่ (บา้ นของแม่)

ประการท่ี 3 คาประสมต้องไม่เกิดจากการนาคาที่มีความหมายเหมือน หรือ
ใกล้เคียง หรอื ตรงขา้ มกนั มาประกอบกัน

1.3) คาซ้อน : การนาคาที่มีความหมายเหมือนกัน คล้ายกัน หรือ ตรงกันข้ามกัน ซึ่งเป็นคา
ประเภทเดยี วกนั มาซอ้ นเขา้ คกู่ นั เพือ่ ให้ความหมายชดั เจนยิง่ ขึ้น คาซ้อนมี 2 ลกั ษณะ คอื คาซ้อนเพื่อ
ความหมาย และ คาซอ้ นเพ่ือเสียง

1) คาซ้อนเพื่อความหมาย เช่น ใหญ่โต (ซ้อนคาที่มีความหมายเหมือนกัน), เลือกสรร
(ซ้อนคาที่มีความหมายเหมือนกัน), นุ่มนิ่ม (ซ้อนคาที่มีความหมายเหมือนกัน), ข้าทาส (ซ้อนคาที่มี
ความหมายเหมือนกนั ), ฝนฟ้า (ซอ้ นคาทม่ี ีความหมายใกลเ้ คยี งกัน), เหลอื ลน้ (ซอ้ นคาที่มีความหมาย

ใกล้เคียงกัน), เล็กน้อย (ซ้อนคาที่มีความหมายใกล้เคียงกัน), เย็กปักถักร้อย(ซ้อนคาที่มีความหมาย

ใกล้เคียงกัน), ดีชั่ว (ซ้อนคาท่ีมีความหมายตรงข้ามกัน), เหตุผล (ซ้อนคาที่มีความหมายใกล้เคียงกนั ),
ใกลไ้ กล (ซอ้ นคาทีม่ ีความหมายใกล้เคยี งกนั ) เปน็ ต้น

2) คาซ้อนเพื่อเสียง เช่น งอแง, จู้จ้ี, สูสี, สุงสิง, ซุบซิบ, โงนเงน, ป้อแป้, โยงเยง, ร่อแร่,
วอกแวก, เกาะแกะ, งอมแงม, ทกั ทาย, ถากถาง, อดุ อ,ู้ เยน่ิ เยอ้ , อึกอกั , หวือหวา, ฮอื ฮา เปน็ ต้น

1.4) คาซ้า : คาท่ีเกิดจากการซ้าเสียงคาเดียวกันตั้งแต่ 2 ครั้ง ข้ึนไป เพ่ือทาให้เกิดคาใหม่ได้
ความหมายใหม่ และ คาท่ีมีเสียงซ้ากันนั้นต้องทาหน้าท่ีอย่างเดียวกัน ซ่ึงเขียนโดยใช้เคร่ืองหมาย
ไม้ยมก (ๆ) แทนคาท่ีซ้า คาซ้ามี 7 ชนิด คือ คาซ้าบอกความพหูพจน์, คาซ้าบอกความหมายอ่อนลง,

คาซ้าบอกเน้นความ, คาซ้าบอกความไม่เจาะจง, คาซ้าบอกความแยกส่วน, คาซ้าบอกความต่อเน่ือง

และ คาซ้าบอกความเป็นสานวน

1) คาซ้าบอกความพหูพจน์ เช่น เด็กๆ กาลังร้องเพลง, ยายมีความสุขกับหลานๆ, เขาไป
เรยี นหนังสือกับเพ่ือนๆ เป็นตน้

//\\//\\โครงสรา้ งคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

60

2) คาซ้าบอกความหมายอ่อนลง เช่น เขาสวมเสื้อสีแดงๆ, บ้านปู่หลังคาสีเหลืองๆ,
รองเท้าคู่เก่าๆ นัน่ ราคาเกือบแสน เปน็ ตน้

3) คาซ้าบอกเน้นความ เช่น ประธานพูดเสียงค้อยค่อย (ค่อยๆ), ขนมถ้วยนี้หว้านหวาน
(หวานๆ), ท่ีน่ีขายแต่ของแพ้งแพง (แพงๆ) เป็นต้น ท้ังนี้คาซ้าบอกเน้นความจะต้องใชร้ ่วมกับการเลน่
เสียงวรรณยกุ ตข์ องคาดว้ ย

4) คาซ้าบอกความไม่เจาะจง เช่น ร้านอาหารโปรดอยู่แถวๆ ส่ีแยก, รถชนกันบริเวณ
กลางๆ สะพาน เปน็ ตน้

5) คาซา้ บอกความแยกสว่ น เชน่ เขาล้างชามให้สะอาดเป็นใบๆ, พี่อา่ นหนงั สอื เปน็ เรือ่ งๆ,
แม่ครัวตกั กบั ข้าวไว้เปน็ ถ้วนๆ เปน็ ต้น

6) คาซ้าบอกความต่อเน่ือง เช่น เธอทาๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็เก่งเองแหละ, ฉันคิดๆ ดูแล้วก็
อยากไปเทยี่ วชายทะเลสักครั้งเหมือนกัน เปน็ ต้น

7) คาซ้าบอกความเป็นสานวน เช่น เธอรู้อะไรก็รู้แบบงูๆ ปลาๆ, อยู่ดีๆ เขาก็เปล่ียนไป
เป็นอีกคนเลย, ไปๆ มาๆ สดุ ทา้ ยกต็ ้องกลบั มาเจอกันอีก, เธออยา่ หดั ทางานลวกๆ แบบน้นี ะ เป็นต้น

2. ชนดิ และหนา้ ท่ีของคาในภาษาไทย
คาในภาษาไทย แบ่งออกได้เป็น 7 ชนิด คือ คานาม, คาสรรพนาม, คากริยา, คาวิเศษณ์, คา

บุพบท, คาสนั ธาน และ คาอุทาน ซ่ึงคาแตล่ ะชนิดมรี ายละเอียด ดงั ตอ่ ไปนี้
2.1) คานาม : คาที่ใช้เรียกส่ิงต่างๆ อาจเป็นคน สัตว์ หรือ ส่ิงของ และ นามธรรมท้ังหลาย

เชน่ ครู นักเรียน พ่อค้า หมา แมว ลาไย มงั คดุ กหุ ลาบ โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ ความรกั ความเสียใจ
ความพอใจ ความเมตตา ความซื่อสัตย์ นาฏศิลป์ ลิเก ละคร อุบัติเหตุ อุทกภัย เป็นต้น คานามแบ่ง
ออกได้เป็น 5 ชนดิ ดงั น้ี

1) สามานยนาม (สา-มาน-ยะ-นาม) หรือ คานามท่วั ไป
สามานย แปลว่า ท่ัวๆ ไป หมายถึง คานามที่ใช้เรียกชื่อท่ัวไป เช่น คน นก วัด

ชาวนา สามานยนามน้ีมที งั้ สามานยนามใหญ่ คือ บอกชือ่ กวา้ งๆ และสามานยนามยอ่ ย คือ บอกช่ือท่ี
แคบลง เช่น คน เปน็ สามานยนามใหญ่ ส่วน จีน ไทย ญี่ปนุ่ เปน็ สามารยนามย่อย รวมกนั เปน็ คนจีน
คนไทย คนญ่ีปุ่น หรือ นก เป็นสามานยนามใหญ่ ส่วนดุเหว่า เอ้ียง กระจาบ เป็นสามานยนามย่อย
รวมกันเป็น นกดุเหว่า นกเอ้ียง นกกระจาบ ซ่ึงกถ็ อื ว่าเป็นสามารยนามอยู่

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

61

2) วสิ ามานยนาม (วิ-สา-มาน-ยะ-นาม) หรือ คานามชเ้ี ฉพาะ
หมายถึง คาท่ีใช้เป็นช่ือเฉพาะสาหรับใช้เรียกชื่อคน สัตว์ ส่ิงของ และ สถานท่ี

เพื่อให้รู้ชัดว่า เป็นคนใด สัตว์ใด ส่ิงใด และ ท่ีใด แต่เพียงคนเดียว ตัวเดียว สิ่งเดียว และแห่งเดียว
ทง้ั น้ี เพอื่ ใหแ้ จม่ แจง้ ขนึ้ และไม่ปะปนกับนามชนดิ อ่ืนๆ ดงั ตัวอย่าง

ช่ือคน เชน่ กาชัย ทองหลอ่ , อปุ กติ ศิลปะสาร

ชือ่ สัตว์ เช่น ไชยานุภาพ สีหมอก

ชื่อสงิ่ ของ เชน่ ฟา้ ฟ้นื , โมกขศักด์ิ

ชื่อสถานท่ี เชน่ ศริ ิราช, ธาตุทาง

ทั้งนี้ การใช้คาวิสามานยนามต้องมีคาสามานยนามนาหน้า เช่น นายกาชัย ทองหล่อ,
ช้างไชยานุภาพ, ดาบฟ้าฟื้น, โรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น

3) สมุหนาม (สะ-หฺมุ-หะ-นาม) หรอื คานามบอกหมวดหมู่
หมายถึง คาบอกหมวดหมู่ของคาสามัญหรือสามานยนามที่มารวมกันอยู่มากๆ

เช่น คณะบุคคล, กลุ่มนักเรียน ทั้งนี้ คานามบอกหมวดหมู่นั้นจะอยู่หน้าคานามเสมอ แต่หากไป
อยู่หลังคานาม หรือหลังคาบอกจานวนจะกลายเป็น คาบอกลักษณะ ทันที เช่น ทีมฟุตบอลทีมน้ี
เล่นเก่งทุกคน

ที ม ฟุ ต บ อ ล - - - - - - - - - - - - - - - - > สมหุ นาม
ที ม น้ี เ ล่ น เ ก่ ง ทุ ก ค น - - - - - - - - > ลกั ษณนาม

4) ลักษณนาม (ลัก-ษะ-หนฺ ะ-นาม) หรือ คานามบอกลักษณะ

หมายถึง คาท่ีบอกลักษณะของคานามที่อยู่ข้างหน้า เพื่อแสดงชนิด หมู่ สัณฐาน

จานวน อาการของนามนน้ั ๆ ให้ชัดเจนยิง่ ข้นึ คาบอกลักษณะสามารถจาแนกได้ 6 ประเภท ดังน้ี

ประเภทของลักษณนาม

บอกชนิด บอกหมวดหมู่ บอกสัณฐาน บอกจานวน บอกอาการ บอกซาชอ่ื

รูป กอง วง คู่ รูป บ้าน

ตน ฝูง แผน่ โหล จีบ วัด

คน โรง ผืน กุลี มวน จงั หวัด

ตกั สารบั แห่ง ช่งั มดั เมือง

เลา วง ก้อน หาบ กา ประเทศ

เรือน ตบั อนั เกวียน ฟ่อน ทวีป

//\\//\\โครงสรา้ งคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

62

5) อาการนาม (อา-กาน-ระ-นาม) หรือ คานามแสดงอาการ
หมายถึง คาที่แสดงส่ิงที่เป็นนามธรรม ทางกาย วาจา และความรู้สึกทางจิตใจ จะมี

คาวา่ การ หรอื ความ นาหนา้ เชน่ การพดู การต่อสู้ ความอดทน หรอื ความสามามคั คี เป็นต้น ทง้ั นี้
คา “การ” มักตามด้วย “คากริยา” ส่วน คา “ความ” มักตามด้วย “คาวิเศษณ์” แต่หาก คา “การ”
ตามด้วย “คานาม” จะไมถ่ อื วา่ เป็นคาอาการนาม เชน่ การบ้าน การไฟฟ้า เปน็ ตน้

หนา้ ทข่ี องคานาม
1) คานามทาหน้าท่เี ป็นผูก้ ระทา หรอื ทาหนา้ ท่ปี ระธาน เช่น
- ภารโรงเก็บขยะ
- นกั เรยี นเล่นฟุตบอล
2) คานามทาหน้าที่เปน็ ผ้ถู ูกกระทา หรอื ทาหน้าทีก่ รรม ซ่ึงมี 2 ประเภท คอื กรรมตรง และ

กรรมรอง ดังนี้
2.1) กรรมตรง : อยู่หลังคากริยา แต่บางคร้ังอยู่ต้นข้อความหรือหน้ากริยาถ้าต้องการนับ

เช่น - ครูอา่ นหนงั สือ
- เด็กถูกสนุ ขั กัด

2.2) กรรมรอง : อยูห่ ลงั กรรมและปรากฏอยหู่ ลังคากรยิ าอกี ที เช่น
- แม่ป้อนขา้ วลกู
- ฉนั ให้เงนิ นอ้ ง

3) คานามท่ีขยายคานามอื่นทีม่ าข้างหลงั เชน่
- ผลไมฤ้ ดรู ้อนมหี ลายชนิด

- นกกลางคนื บนิ กวกั ไขว่

4) คานามทาหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มให้แก่กริยา ส่วนเติมเต็ม คือ ส่วนท่ีขยายกริยาให้มี
ความชดั เจนว่า เป็น เหมอื น คลา้ ย เท่า คอื เชน่

- เขาเปน็ ผวู้ ่าราชการจังหวัด
- วสิ าหนา้ ตาเหมอื นสวนทพิ ย์
5) คานามทาหน้าท่บี อกลักษณะ คอื การคาลักษณนามของคานามต่างๆ เช่น
- เรอื หลายลาจอดเรยี งรายอยู่รมิ ฝั่ง
- พจนานุกรมเล่มน้ีหนามาก

2.2) คาสรรพนาม : คาแทนชื่อ หรือ แทนนามท่ีกล่าวมาแล้วในตอนต้น เพื่อจะได้ไม่ต้อง
กล่าวถงึ นามนน้ั ซา้ อกี ทง้ั ยังทาใหข้ ้อความน้ันสละสลวยย่ิงขึน้ คาสรรพนาม มี 6 ชนิด ดังนี้

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

63

1) บรุ ุษสรรพนาม (บุ-หรฺ ุด-สับ-พะ-นาม)

หมายถึง คาที่ใช้แทนชื่อในการพูดจากัน บุรุษสรรพนาม มี 3 ลักษณะ ได้แก่ สรรพ

นามบุรุษท่ี 1 สาหรับใช้แทนตัวผู้พูดเอง เช่น ข้าพเจ้า, เรา, ข้า, อ๊ัว และ อาตมา เป็นต้น, สรรพนาม

บุรุษที่ 2 สาหรับใช้แทนผู้ท่ีพูดด้วย เช่น เธอ, คุณ, แก, นาย, เอ็ง, ลื้อ และ ท่าน เป็นต้น และ สรรพ

นามบุรุษที่ 3 สาหรับใช้แทนผู้ท่ีกลา่ วถึง เช่น เขา, แก, มัน และ พระองค์ เป็นต้น โดยทาหน้าที่ตา่ งๆ

ในประโยค ดังน้ี

- เราเป็นคนไทย (ประธาน)

- ครูจะตเี ธอ 3 ที (กรรม)

- ผมซอ้ื หนังสอื มาฝากท่าน (กรรมรอง)

- คนทีไ่ ดร้ ับรางวัลคือเธอ (สว่ นเติมเตม็ หรอื ขยายกรยิ า)

- คุณรถไฟมาถึงแลว้ (คาเรยี กขาน)

2) ประพนั ธสรรพนาม (ปฺระ-พัน-ธะ-สับ-พะ-นาม)
หมายถึง คาที่ใช้แทนนามที่อยู่ข้างหน้าแล้วก็ต้องอยู่ติดกับคานามท่ีแทนน้ัน พบใน

ประโยคความซ้อน โดยจะทาหน้าท่ี 2 ประการ คือ แทนนามขา้ งหน้าและเชื่อมประโยคยอ่ ยที่ขยายให้
มีความเก่ยี วพันกัน สรรพนามชนดิ นี้ ได้แก่ ที่ ซงึ่ อนั ผู้ เช่น

- ฉนั ไดร้ บั จดหมายทเ่ี ธอส่งมาแลว้
(แทนคานาม จดหมาย และเชอ่ื มประโยค ฉนั ได้รับจดหมายกบั ประโยค /จดหมาย/ เธอสง่ มา)

3) วภิ าคสรรพนาม (วิ-พาก-คะ-สับ-พะ-นาม)
หมายถึง คาสรรพนามท่ีใช้แทนนามข้างหน้า เพื่อจาแนกนามน้ันออกเป็นส่วนๆ

สรรพนามชนดิ นี้ ไดแ้ ก่ คาว่า ต่าง บา้ ง กัน มที ่ีใช้ต่างกัน ดงั น้ี
“ตา่ ง” ใชแ้ ทนนามข้างหนา้ เพอ่ื ใหร้ วู้ ่านามน้นั จาแนกเป็นหลายส่วน แต่ทากริ ิยาอย่างเดยี วกนั เช่น

- นกั เรียนตา่ งกเ็ รยี นหนงั สือ
(คาว่า “ตา่ ง” ในทน่ี ีแ้ ยกนกั เรยี นออกเปน็ คนๆ แต่ทกุ ๆ คนก็เรียนหนังสอื เหมือนกัน)
“บา้ ง” ใช้แทนนามข้างหน้า เพื่อให้รวู้ า่ นามน้นั จาแนกเป็นหลายสว่ น แต่แยกทากิรยิ าตา่ งๆ กัน เช่น

- นักเรียนบ้างอ่านหนงั สือบา้ งเขียนหนังสือ
(คาว่า “บ้าง” ในท่ีนี้แยกนกั เรียนออกเป็นพวกๆ พวกหนึ่งอา่ นหนังสือ และอกี พวกหนงึ่ เขียนหนงั สอื )
“กัน” ใช้แทนนามข้างหน้าที่เป็นผู้ถูกกระทาหรือนามส่วนหน่ึงส่วนใดของประโยค เพื่อให้ผู้อ่านน้ัน
จาแนกเป็นหลายส่วน และทากิริยาร่วมกัน หรือ โต้ตอบกัน และ คาว่า “กัน” จะแสดงความเป็น
พหพู จน์ดว้ ย เช่น

- เขาแลกของขวญั กนั

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

64

(คาว่า “กัน” ทากริ ิยาร่วมกนั คือ แลก)

4) นิยมสรรพนาม (นิ-ยะ-มะ-สับ-พะ-นาม)
หมายถึง คาท่ีได้แทนนาม เพอ่ื ชี้เฉพาะหรือบ่งช้ีลงไปใหช้ ัดเจน หรือ บอกระยะของสิ่งท่ี

ตอ้ งการจะสื่อสาร คาบ่งช้มี ีอยู่ 3 คา คือ น่ี นัน่ โน่น ท้งั 3 คา ทาหน้าท่ีเป็นได้ทั้งประธาน และ กรรม
“น่ี” มักใช้แทนนามทีอ่ ้างถงึ บคุ คลหรือสง่ิ ท่อี ยู่ใกล้ๆ เชน่ น่ีคือบ้านของฉัน (ประธาน)
“นนั่ ” มักใช้แทนนามทอี่ ้างถึงบคุ คลหรอื สิ่งทอ่ี ยูใ่ กลก้ ว่า “น่ี” เช่น นัน่ เป็นของฉัน (ประธาน)
“โน่น” มักใช้แทนนามที่อ้างถึงบุคคลหรือสิ่งท่ีอยู่ไกลออกไป เช่น คุณอยากได้โน่นใช่ไหม

(กรรม)

5) อนยิ มสรรพนาม (อะ-นิ-ยะ-มะ-สับ-พะ-นาม)
หมายถึง คาสรรพนามท่ีใช้แทนนามที่ไม่กาหนดแน่นอน อาจเป็นผู้ใดหรือสิ่งใดก็ได้

ไม่ชี้เฉพาะหรือไม่บ่งชัดลงไป เช่น ใคร อะไร ไหน ใด ผู้ใด คาสรรพนามประเภทน้ีทาหน้าท่ีเป็นทั้ง
ประธาน และ กรรม ของประโยค ดังตัวอย่างต่อไปนี้

- เธอเห็นใครซือ้ อะไรเธอต้องซ้อื บา้ ง (กรรม)
- เขาเป็นคนกวา้ งขวางเขา้ ไหนกเ็ ข้าได้ (กรรม)

6) ปฤจฉาสรรพนาม (ปรฺ ดิ -ฉา-สบั -พะ-นาม)
หมายถงึ คาท่ใี ช้แทนนามไม่ชี้เฉพาะหรือไม่บ่งชัดบ่งชัดลงไปเหมือนอนยิ มสรรพนาม

ต่างกนั แตว่ ่าปฤจฉาสรรพนามนามาใชเ้ ป็นคาถามเท่าน้ัน ซ่งึ ทาหนา้ ท่ีได้ท้ังประธานและกรรม เช่น
- ผใู้ ดอยู่ในห้อง (ประธาน)
- ไหนคือบา้ นของเธอ (ประธาน)

2.3) คากริยา : คาท่ีแสดงอาการ หรือ แสดงการกระทา หรือ แสดงสภาพของนามหรือ
สรรพนาม คากรยิ ามี 4 ชนดิ ได้แก่ อกรรมกรยิ า, สกรรมกริยา, วิกตรรถกรยิ า และ กรยิ านเุ คราะห์

1) อกรรมกริยา หรือ กริยาไม่ต้องมีกรรม คือ กริยาที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ต้องมี
กรรมมารับก็ได้ใจความ แต่ถา้ ตอ้ งการให้มคี วามชดั เจนข้นึ ตอ้ งมีคาหรือวลมี าขยาย เช่น เคร่อื งบนิ ตก
(ในนา), ใบไม้ปลิว (เขา้ บ้าน) และ ครูยนื (หนา้ หอ้ ง) เปน็ ต้น

2) สกรรมกริยา หรือ กริยามีกรรม คือ กริยาที่ต้องมีกรรมมารับจึงจะได้ความสมบูรณ์
เชน่ ตารวจจบั ผูร้ ้าย, ชาวนาไถนา, แมค่ า้ ขายปลา

3) วิกตรรถกริยา (วิ-กะ-ตัด-ถะ-กฺริ-ยา) หรือ กริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม คือ กริยาท่ีไม่มี
ความหมายสมบูรณใ์ นตวั เอง จะต้องอาศัยคาทตี่ ามมาข้างหลงั มาช่วย ซึง่ เรยี กวา่ “ส่วนเตมิ เตม็ ” สว่ น
นี้ไม่เรียกว่า “กรรม” เพราะไม่ได้รับการกระทาอย่างไร จากนามที่มาข้างหน้า กริยาพวกน้ีที่ใช้อยู่

//\\//\\โครงสรา้ งคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

65

เสมอ ได้แก่ เป็น, เหมือน, คล้าย, เท่า, คือ ดังตัวอย่างเช่น งูคือสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง, แมวคล้าย
เสือ, ขนมชน้ิ น้ีเทา่ ขนมช้ินนนั้

4) กริยานุเคราะห์ หรือ กริยาช่วย คือ คาท่ีทาหน้าท่ีช่วยกริยาอ่ืน เพื่อแสดงกาล มาลา
และ วาจก โดยนาไปไว้หน้าหรือหลังกริยาในประโยค เพราะคาในภาษาไทยมีรูปคงท่ีไม่เปล่ียนรูปไป
ตามกาล มาลา หรือ วาจก เหมือนภาษาที่มีวิภัตติ ปัจจัย จึงจาเป็นต้องอาศัยกริยานุเคราะห์เป็น
เครอื่ งช่วย กรยิ านุเคราะห์แบง่ ออกได้ ดังน้ี

4.1) กริยานุเคราะห์ช่วยแสดงกาล คือ คากริยาท่ีใช้บอกเวลา เช่น น้องยังหลับ
(บอกปัจจุบันกาล), คุณปู่นอนอยู่ (บอกปัจจุบันกาล), เขากาลังทางาน (บอกปัจจุบันกาล), เขาทางาน
แลว้ (บอกอดตี กาล), ข้าวพงึ่ สุก (บอกอดีตกาลอันใกล)้ เป็นตน้

4.2) กริยานุเคราะห์บอกมาลา คือ คากริยาที่ใช้บอกแสดงความคิดเห็น แนะนา
ปฏิเสธ ซักถาม คาดคะเน มั่นใจ สั่ง ห้าม เช่น เราควรเรียนภาษาอังกฤษ (บอกคาแนะนา), เขาน่าจะ
อยู่ในชนบท (บอกความคาดคะเน), ฉันต้องไปดูละคร (บอกความต้ังใจ), จงไปเด๋ียวน้ี (บอกการสั่ง),
โปรดชาระเงินก่อน (บอกความขอรอ้ ง), อย่าพดู เสียงดงั (แสดงการห้าม) เปน็ ตน้

4.3) กริยานุเคราะห์บอกวาจก คือ คากริยาที่แสดงว่าประธานทาหน้าที่เป็นผู้ใช้ ผู้
ถูก หรือ ผู้ถูกใช้ เช่น ครูให้นักเรียนเขียนหนังสอื (ประธานเป็นผู้ใช้—จัดเป็นกรรตุวาจก), นักโทษถูก
เฆี่ยน (ประธานเป็นผูถ้ ูกกระทา—จดั เป็นกรรมวาจก), นกั เรียนถูกครใู ห้ทาการบา้ น (ประธานเป็นผู้ถูก
ใช้—จัดเป็นการิตวาจก)

5) กริยาสภาวมาลา หรือ กริยาท่ีทาหน้าที่เหมือนคานาม เช่น ฉันชอบทาสี, นอนทาให้
ร่างกายสดชนื่ , ฉนั ชอบไปเทย่ี ว
หนา้ ท่ีของคากริยา

1. คากริยาทาหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดงของประโยค เช่น ทหารปฏิญาณตนต่อหน้า
ธงไชยเฉลมิ พล

2. คากรยิ าทาหน้าทข่ี ยายนาม เชน่ วันนีไ้ ม่ใชว่ ันเดนิ ทาง, เขาเปลี่ยนรายการอาหารเลี้ยงแขก
3. คากริยาทาหน้าท่ีขยายกริยา เช่น เขาเดินเลน่ ตอนเช้า, เธอนัง่ ดเู มฆอยูค่ นเดียว
4. คากริยาทาหนา้ ทเี่ หมอื นคานาม เช่น ฉันชอบเดินเร็วๆ, พดู อย่างนีไ้ มถ่ กู แน่
ประธาน)

2.4) คาบุพบท (บุบ-พะ-บด) : คาท่ีใช้นาหน้าคานาม คาสรรพนาม คากริยา หรือ คาวิเศษณ์
เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคาหรือประโยคนั้นๆ ว่าเก่ียวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร คาบุพบทแบ่ง
ออกได้หลายชนิด ได้แก่ บุพบทแสดงความสัมพันธ์เก่ียวกับสถานที่, บุพบทแสดงความสัมพันธ์
เก่ียวกับความประสงค์, บุพบทแสดงความสัมพันธ์เก่ียวกับเวลา, บุพบทแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับ

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

66

ความเป็นเจา้ ของ, บุพบทแสดงความสมั พันธ์เกีย่ วกบั เป็นเครือ่ งใช,้ บุพบทแสดงความสมั พันธเ์ ก่ียวกับ
การเป็นผู้รบั และ บุพบทแสดงความสัมพนั ธ์เกี่ยวกับการประมาณหรือคาดคะเน

1) บุพบทแสดงความสัมพันธ์เก่ียวกับสถานที่ เช่น ใน นอก บน ใต้ เหนือ ริม ข้าง หน้า
หลงั ใกล้ ไกล ท่ี จาก ถงึ ยัง เชน่ เงนิ อยู่ในกระเป๋า, คนนงั่ พักใตต้ ้นไม้, พน่ี อนบนเตยี ง เป็นตน้

2) บุพบทแสดงความสัมพันธเ์ กีย่ วกับความประสงค์ เฃน่ แก่ เพ่ือ โดย ด้วย ตาม เชน่ เขา
เห็นแก่เงิน, เขาทาเพ่ือช่ือเสียง, เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติโดยเร็ว, เราตกลงกันด้วยดี, เขาให้ฉันทางานได้
ตามสะดวก เป็นตน้

3) บุพบทแสดงความสัมพันธ์เก่ียวกับเวลา เช่น เม่ือ ใน ณ แต่ ตั้งแต่ จน จนกระท่ัง
สาหรับ เฉพาะ เชน่ เขามาเม่ือเช้า, เขาตอ่ สู้กันตง้ั แต่เช้าจนเย็น, ฉันรอเธอจนกระท่ังเที่ยง, เงนิ นใี้ ห้ใช้
เฉพาะสัปดาหเ์ ดียว

4) บุพบทแสดงความสัมพันธ์เก่ียวกับความเป็นเจ้าของ เช่น ของ แห่ง เช่น บ้านน้ีเป็น
สมบตั ิของป,ู่ อาคารแห่งประเทศไทย

5) บุพบทแสดงความสัมพันธ์เก่ียวกับเป็นเครื่องใช้ เช่น ด้วย โดย เพราะ กับ ตาม เช่น
รายงานฉบบั น้ฉี นั เขียนด้วยมือฉันเอง, พ่อเดนิ ทางโดยรถไฟ, ปลาหมอตายเพราะปาก, เรือ่ งนีฉ้ นั ได้ยิน
มากับหู, เราตอ้ งปฏบิ ัติตามกฎหมาย

6) บุพบทแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับการเป็นผู้รับ เช่น กับ แก่ แด่ ต่อ เพ่ือ สาหรับ เช่น
แม่บอกกับฉันว่าต้องขยันเรียน, ฉันขอมอบของขวัญน้ีแก่เธอ, คุณยายถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์,
จาเลยย่นื คาร้องตอ่ ศาล, เราควรมีความอดทนเพ่ือความสาเร็จ, อาหารจานน้ีสาหรบั คุณคนเดียว

7) บุพบทแสดงความสมั พันธ์เก่ียวกับการประมาณหรอื คาดคะเน เชน่ เกือบ ราว สกั เชน่
มีผชู้ มการแสดงเกอื บหนึง่ พันคน, ฉันขอยืมเงินเธอสกั สองรอ้ ยบาท, เขาเดินทางไปได้ราวสามกิโลเมตร

นอกจากนี้ยังมีคาบุพบทอีกประเภทหนึ่งเป็นคาบุพบทที่ไม่เชื่อมกับคาอื่น มักใช้ในหนังสือ
เทศน์หรือคาประพันธ์ โดยทาหน้าที่เป็นคาร้องเรียก ซึ่งมีใช้อยู่ 4 คา คือ ดูกร, ดูรา, ดูก่อน และ ข้า
แต่ และใช้ในทต่ี า่ งกนั ดงั น้ี

- ดูกร ดูรา ดูก่อน ใช้นาหน้านาม หรือ สรรพนามผู้น้อย เช่น พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ดกู รภิกษทุ ัง้ หลาย” หรอื พระราชาตรสั วา่ “ดูกอ่ นอามาตยท์ ้งั หลาย”

- ข้าแก่ ใช้นาหน้านามหรือสรรพนามผู้ใหญ่ เช่น ภิกษุสงฆ์ทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้
ทรงคณุ อนั ประเสริฐ หรอื อามาตย์ทลู วา่ “ข้าแต่ท่านผู้เปน็ ใหญ่”

ทั้งนี้ปัจจุบันคาร้องเหล่าน้ีไม่นิยมใช้ ถ้าหากจะใช้บทร้องเรียก มักจะใช้คาสามานยนาม หรือ
วิสามานยนามเรียกชื่อหรือตาแหน่งความเก่ียวข้องลงไปเลย เช่น นักศึกษาทั้งหลาย โปรดฟังทางนี้
หรือ คณุ วินัย เชิญทางนหี้ นอ่ ยครบั

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

67

หน้าทขี่ องคาบพุ บท
1. บพุ บทนาหน้าคานาม เชน่ ปากกาของครูหาย, ฉันพดู กับนอ้ ง, เขาน่ังบนเก้าอ้ี
2. บพุ บทนาหนา้ คาสรรพนาม เชน่ ฉันคิดถึงเธอเสมอ, หนังสือของเขาอยู่ที่ฉนั , แม่ให้เงินแก่ฉัน
3. บพุ บทนาหน้าคากรยิ า เช่น เขาเหน็ คนแก่กนิ , ลุงทางานจนกระทงั่ ตาย, ตามีไวส้ าหรับดู
4. บุพบทนาหน้าคาวิเศษณ์ เช่น เธอต้องทาให้เสรจ็ โดยเรว็ , งานน้ีสาเร็จลงด้วยดี, ฉันให้การ

ไปตามจริง
ขอ้ สังเกตเกย่ี วกับการใชค้ าบพุ บท

1. ผู้ใช้ภาษาไทยส่วนมากไม่เคร่งครัดในการใช้คาบุพบท อาจละไว้ในฐานที่เข้าใจ เช่น ฉัน
เปน็ ลกู จ้าง (ของ) รฐั บาล, ครูเขียน (บน) กระดานดา, เธอสบสายตา (กบั ) ฉัน, พ่อใหเ้ งิน (แก)่ ฉัน

2. คาในภาษาไทยคาเดียวกันอาจทาหน้าท่ีได้หลายอย่าง อาจทาหน้าท่ีเป็นคาบุพบทหรือคา
วิเศษณ์ก็ได้ ให้สังเกตว่าถ้านาหน้าคาจะทาหน้าท่ีเป็นคุบุพบท ถ้าอยู่หลังคา (ขยายคา) จะทาหน้าที่เป็น
คาวิเศษณ์ และ ถ้าเป็นคาบุพบทความหมายจะไปตกท่ีคาหลัง แต่ถ้าเป็นคาวิเศษณ์จะมีความชัดเจนใน
ตัวเอง เช่น บ้านฉันอยู่ใกล้โรงเรียน (ใกล้เป็นคาบุพบทนาหน้านามโรงเรียน), บ้านฉันอยู่ใกล้ (ใกล้เป็นคา
วิเศษณ์ ขยายกริยาอยู่)

3. คาบุพบท “กับ” และ “แก่” ทมี่ ีใช้มากกวา่ คาบุพบทอน่ื ๆ มรี ายละเอียดการใช้ ดงั นี้
3.1) คาบุพบท “กับ”
1) ใช้เม่ือสองฝ่ายทากริยาร่วมกัน เช่น ฉันไปเที่ยวกับเพื่อน, สมชายเล่นเทนนิสกับ

สมศักด,์ิ งูเหา่ กดั กับพงพอน
2) ใช้เม่ือคานามต้ังแต่ 2 คา มารวมอยู่ด้วยกัน เช่น ครูกับศิษย์, กระดาษกับดินสอ,

ช้อนกับจาน
3) ใช้เน้นข้อความให้มีน้าหนัก เห็นจริงเห็นจังกับข้อความที่กล่าวนน้ั เช่น ฉันทากับ

มอื ของฉัน, เขาเห็นกับตาตัวเอง, แหวนสวมอยกู่ ับนิ้วของเธอ
3.2) คาบพุ บท “แก่”
1) ใช้เม่ือข้อความน้ันแสดงการให้ การมีน้าใจ เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พระราชทานปรญิ ญาบตั รแก่บัณฑิต, ขอแสดงความยนิ ดีแกผ่ สู้ าเร็จการศึกษา, ครูใหข้ องขวัญแก่ฉนั
2) ใชเ้ ม่อื ขอ้ ความน้นั แสดงการบอกเลา่ อธิบาย หรือ ช้ีแจงให้อกี ฝ่ายหน่ึงเข้าใจ เช่น

พ่อบอกข่าวดีแก่ฉนั , ผู้ใหญ่บ้านช้แี จงแกป่ ระชาชน, ครอู ธิบายหลกั ภาษาแก่นกั เรยี น
3) ใช้เมื่อข้อความน้ันแสดงถึงผลท่ีเกิดขึ้น หรือ การเป็นผู้รับ เช่น โจรถูกวิสามัญ

ฆาตกรรมจนถึงแก่ความตาย, พูดดีเป็นศรีแก่ปาก, โชคลาภบังเกิดแก่เขามากมาย, เด็กดีเป็นศรีแก่
ชาติ

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

68

ทั้งนี้ยังมีข้อสังเกตเพ่ิมเติมว่า ปัจจุบันมีการใช้คาว่า ปัจจุบันมีการใช้คาว่า “กับ” มาแทนคา
ว่า “แก่” กันมากซ่ึงไม่ถูกต้อง เช่น รัฐบาลให้ของขวัญกับประชาชน ที่ถูกต้องใช้ว่า “รัฐบาลให้
ของขวัญแก่ประชาชน (ให้ต้องตามด้วยคาว่า “แก่” เสมอ) นอกจากน้ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยหู่ ัว ไดท้ รงมปี ระกาศฉบบั หนงึ่ เมือ่ พ.ศ. 2402 เป็นฉบบั ที่ 179 มขี ้อความตอนหนึง่ ว่า ดงั น้ี

“...นอกจากนี้ใช้ แก่ คือ พระราชทานแก่ ให้แก่ บอกแก่ ลงโทษแก่ แจ้งแก่ ทาคุณแก่ ทา
ให้แก่ บอกให้แก่ แจกจ่ายแก่ เสียไปแก่ ลงพระราชอาญาแก่ ได้แก่ เสียแก่ ไว้แก่ ไว้ใจแก่ เอ็นดูแก่
เหน็ แก่ ให้ศีลใหพ้ รแก่ สมควรแก่ จงมแี ก่ ขายให้แก่ และอน่ื ๆ ท่ีคลา้ ยกัน ใหว้ า่ แก่ อย่าว่ากบั เลย...”

2.5) คาวิเศษณ์ : คาท่ีทาหน้าที่ประกอบคาหรือขยายคาอื่น ได้แก่ คานาม คาสรรพนาม
คากริยา หรือ คาวิเศษณ์ เพื่อบ่งช้ีลักษณะต่างๆ คาวิเศษณ์แบ่งออกเป็น 10 ประเภท คือ ลักษณะ
วิเศษณ์, กาลวิเศษณ์, สถานวิเศษณ์, ประมาณวิเศษณ์, นิยมวิเศษณ์, อนิยมวิเศษณ์, ปฤจฉาวิเศษณ์,
ประตชิ ญาวเิ ศษณ,์ ประตเิ สธวเิ ศษณ์ และ ประพนั ธวิเศษณ์

1) ลักษณะวิเศษณ์ (ลัก-สะ-หฺนะ-วิ-เสด) คือ คาที่ใช้ประกอบคาอ่ืนเพื่อบอกลักษณะ ซึ่ง
หมายรวมถึงสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยหู จมูก ล้ิน ผิวหนัง เพื่อบอกชนิด สัณฐาน ขนาด สี กล่ิน รส เสียง
สัมผัส อาการ ซง่ึ สามารถแยกยอ่ ยได้ดงั น้ี

1.1) บอกชนิด เช่น ดี ช่ัว เลว อ่อน ดิบ แก่ สกุ หน่มุ สาว (ววั แกช่ อบกินหญ้าอ่อน)
1.2 บอกสณั ฐาน เชน่ กลม รี แบน แป้น เหลย่ี ม (ทหารเดินเปน็ รูปวงกลม)
1.3) บอกขนาด เช่น เลก็ ใหญ่ โต กวา้ ง แคบ สูง ต่า อว้ น ผอม (บา้ นเธอหลงั ใหญ)่
1.4) บอกสี เชน่ ขาว ดา แดง เหลือง (น้องสวมเสื้อสขี าว)
1.5) บอกกล่นิ เช่น หอม เหม็น ฉุน อบั สาบ (ดอกมะลมิ ีกลนิ่ หอม)
1.6) บอกรส เชน่ เปรี้ยว หวาน มัน เคม็ เผ็ด (มะม่วงสุกมรี สหวาน)
1.7) บอกเสียง เชน่ ดงั คอ่ ย เบา แหบ แหลม (เด็กร้องไหเ้ สยี งดงั )
1.8) บอกสัมผัส เช่น น่มุ นิ่ม แข็ง สาก หยาบ ร้อน เย็น (ดินแขง็ ขดุ ยาก)
1.9) บอกอาการ เช่น ช้า เรว็ คล่อง ไว ดว่ น (รถไฟดว่ นเทียบชานชาลา)
2) กาลวิเศษณ์ (กาน-ละ-วิ-เสด) คือ คาที่ใช้ประกอบคาอื่นเพื่อบอกเวลา เช่น เช้าสาย
บ่าย เที่ยง คา่ ดกึ เดีญ๋ วนี้ แตก่ อ่ น กลางวัน กลางคืน เช่น คุณปู่ตนื่ แตเ่ ช้า, รถยนตอ์ อกเวลาเทีย่ ง
3) สถานวิเศษณ์ (สะ-ถาน-นะ-วิ-เสด) คือ คาท่ีใช้ประกอบคาอื่นเพ่ือบอกสถานท่ี เช่น
ไกล ใกล้ หน้า หลัง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา บน ล่าง ห่าง ชิด ริม ขอบ เช่น ลูกเสือเดินทางไกล, บ้านฉัน
อยู่ใกล้, รถชา้ ชดิ ซา้ ย
4) ประมาณวิเศษณ์ (ปฺระ-มาน-นะ-วิ-เสด) คือ คาท่ีใช้ประกอบคาอ่ืนเพื่อบอกปริมาณ
เชน่ มาก นอ้ ย จุ ท้งั หมด ท้ัส้นิ ครบ หลายย ตวั เลขบอกจานวน เชน่ คนอ้วนมักกินจุ, รู้มากยากนาน

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

69

5) นิยมวิเศษณ์ (นิ-ยะ-มะ-วิ-เสด) คือ คาท่ีใช้ประกอบคาอื่นเพื่อบอกชี้เฉพาะให้แน่นอน
ชดั เจนลงไป เชน่ นี่ น่นั โน่น นี้ นน้ั โน้น แน่นอน เอง เฉพาะ เชน่ อาคารน้ที าสีขาว, ฉันทากบั ข้าวเอง
, รา้ นตด้ั ผมหยดุ เฉพาะวันพธุ

6) อนิยมวิเศษณ์ (อะ-นิ-ยะ-มะ-วิ-เสด) คือ คาท่ีใช้ประกอบคาอ่ืนเพื่อบอกความไม่ช้ี
เฉพาะเจาะจงลงไปและไม่ได้เป็นคาถาม เช่น ใคร อะไร ไหน อะไร ทาไม เช่น เขาชอบอ่านหนังสือ
อะไรฉนั ไม่ร้,ู คนอ่นื กลับบา้ นกันหมดแลว้ , ส่งิ ใดก็ไม่สาคัญเทา่ ความสามคั คี

7) ปฤจฉาวิเศษณ์ (ปฺริด-ฉา-วิ-เสด) คือ คาที่ใช้ประกอบคาอื่นเพื่อบอกเนื้อความหรือ
แสดงความสงสยั เชน่ ใคร อะไร ไหน ทาไม อย่างไร อื่น ก่ี เท่าไร เช่น คณุ แม่จะไปไหน, วันนี้ทาอะไร

8) ประติชญาวิเศษณ์ (ปฺระ-ติด-ชะ-ยา-วิ-เสด) คือ คาที่ใช้ประกอบคาอื่นเพ่ือแสดงการ
ตอบรับหรือขานรับ เป็นความสละสลวยของภาษาหรือแสดงความเป็นกันเองของคู่สนทนา เช่น ครับ
คะ่ คะ จ้ะ จะ๊ จ๋า ขา เช่น คณุ พ่อคะมีแขกมาหาค่ะ, แม่จา๋ แมไ่ ปไหนมาจะ๊ , สวสั ดีครับอาจารย์

9) ประติเสธวิเศษณ์ (ปฺระ-ติ-เสด-ทะ-วิ-เสด) คือ คาที่ใช้ประกอบคาอื่นเพื่อบอกความ
ปฏิเสธ ไม่ยอมรับหรือความห้าม เช่น มิ มิได้ มิใช่ ไม่ได้ หาไม่ บ่ อย่า เช่น คนที่ไม่รักชาติของตนเป็น
คนท่ีคบไม่ได,้ เธออย่าพดู เร่ืองนี้ใหใ้ ครฟังนะ, บุญคณุ ของพ่อแมป่ ระมาทมิได้

10) ประพันธวิเศษณ์ (ปฺระ-พัน-ทะ-วิ-เสด) คือ คาท่ีใช้ประกอบคาอื่นหรือคาวิเศษณ์เพื่อ
เช่ือมประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน มีลักษณะเช่นเดียวันกับประพันธสรรพนาม แตกต่างกันตรงที่
ประพนั ธสรรพนามนน้ั ใช้แทนนามหรือสรรพนามที่อยุ่ขา้ งหนา้ แตป่ ระพนั ธวเิ ศษณ์นั้นใช้เปน็ บทขยาย
คากริยาหรือคาวิเศษณ์ท่ีอยู่ข้างหน้า ได้แก่คา ท่ี ซึ่ง อัน เช่น รถคันนี้ดีที่ไม่กินน้ามัน (ประกอบ
วิเศษณ-์ ดี), เธอสวยมากซงึ่ ดูไม่เบ่ือเลย (ประกอบวเิ ศษณ์-มาก)
หนา้ ทขี่ องคาวเิ ศษณ์

1. คาวิเศษณท์ าหนา้ ทขี่ ยายคานาม เชน่ เดก็ น้อยรอ้ งไห้ (น้อย-ขยายคานาม เด็ก), ผักสีเขียน
ใหป้ ระโยชน์แกร่ า่ งกาย (สเี ขียว-ขยายคานาม ผัก)

2. คาวิเศษณ์ทาหน้าที่ขยายคาสรรพนาม เช่น ฉันเองเป็นคนจัดการเร่ืองน้ี (เอง-ขยายสรรพ
นาม เรา), เราท้งั หลายใหส้ ัญญาวา่ จะซอื่ สัตย์ (ทัง้ หลาย-ขยายคาสรรพนาม เรา)

3. คาวิเศษณ์ทาหน้าท่ีขยายคากริยา เช่น หนุ่มสาวทางานวอ่ งไว (ว่องไว-ขยายคากรยิ า ทา),
เขาเดินช้า (ช้า-ขยายคากรยิ า เดนิ )

4. คาวเิ ศษณท์ าหน้าที่ขยายคาวเิ ศษณ์ เชน่ พายพุ ดั แรงมาก (มาก-ขยายคาวิเศษณ์ แรง), เขา
รอ้ งเพลงเพราะจริงๆ (จรงิ ๆ – ขยายคาวเิ ศษณ์ เพราะ)

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

70

2.6) คาสันธาน : คาทีใ่ ช้เชื่อมต่อความให้ติดต่อเปน็ เรอ่ื งเดียวกัน คาสนั ธานมีหลายลกั ษณะ
ได้แก่ คาสันธานเชื่อมความคลอ้ ยตามกนั , คาสนั ธานเช่ือมความขดั แย้งกัน, คาสนั ธานเชื่อมความท่ี
เลือกเอา, คาสนั ธานเชื่อมความเป็นเหตเุ ปน็ ผลกนั , คาสันธานเชอื่ มความตา่ งตอนกนั , คาสันธานเชื่อม
ความแบ่งรับแบ่งสูห้ รอื การคาดคะเน และ คาสันธานเชือ่ มความให้ไพเราะสละสลวย

1) คาสนั ธานเช่ือมความคล้อยตามกัน ไดแ้ ก่ และ ก็ได้ ก็ดี ท้งั ทัง้ ...และ ท้งั ...ก็ ท้ัง...
กบั ก็ จึง ครน้ั ...จงึ คร้ัง...ก็ เมอื่ ...ก็ พอ...ก็ เชน่ วิรัชและวบิ ลู ย์ทากบั ขา้ ว, ยานใี้ ช้กนิ กไ็ ด้ทาก็ได้,
พอฝนตกฉนั กน็ อน, วนั นท้ี ั้งฝนกต็ กทงั้ แดดก็ออก, ทั้งเธอและฉนั ตอ้ งช่วยกนั รดน้าตน้ ไม้

2) คาสันธานเช่อื มความขัดแยง้ กัน ได้แก่ แต่ แต่วา่ แต่ทวา่ ถึง...ก็ กว่า...ก็ เช่น เขา

แตง่ ตวั ดแี ตไ่ มส่ นใจการเรยี น, ปากเขารา้ ยแตท่ วา่ ใจเขาด,ี ถึงเขาเป็นนกั มวยฉนั ก็ไมก่ ลวั , กวา่ ถ่วั จะสกุ งาก็ไหม้

3) คาสันธานเช่ือมความที่เลือกเอา ได้แก่ หรือ มิฉะน้ัน ไม่เช่นนั้น หรือมิฉะนั้น
หรือไม่ก็ ไม.่ ..ก็ เช่น เธอจะเรียนหรือเธอจะเล่น, คณุ ตอ้ งทางานมิฉะนน้ั ต้องลาออก, ไม่พ่ีก็น้องต้อง
ไปรบั คณุ ปู,่ อ่านหนังสือไปหรอื ไมก่ น็ อนเสยี

4) คาสันธานเชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ จึง เพราะ...จึง เพราะฉะนั้นจึง ฉะ
นน้ั ...จึง ดงั นัน้ ...จึง เช่น เขาปว่ ยเปน็ ไขห้ วดั จึงขาดเรียน, เพราะเขาเปน็ คนขยนั ทางานเขาจึงมีฐานะ
ด,ี เขาเป็นคนเหน็ แก่ตวั เพราะฉะนนั้ จึงไม่มใี ครคบเขา, เขาไมอ่ ยากเกีย่ วข้องกบั ใครฉะนั้นเขาจึงอยู่คน
เดียว, มผี ู้ลักลอบตัดไมท้ าลายปา่ ดงั นน้ั น้าจึงท่วมทกุ ปี

5) คาสันธานเชื่อมความต่างตอนกัน คือ คาท่ีใช้เชื่อมข้อความที่กล่าวถึงตอนหน่ึงจบแล้ว
กับข้อความที่จะกล่าวอีกตอนหน่ึงให้สัมพันธ์กัน ได้แก่ ฝ่าย ส่วน อนึ่ง อีกประการหนึ่ง เช่น คนดี
ย่อมมีศีลธรรม มีความขยันหม่ันเพียรเพ่ือต้ังตนให้มีฐานะ คนชนิดน้ีควรแก่การสรรเสริญ อน่ึงคนท่ีมี
ความกตญั ญกู ็ควรแก่การสรรเสริญดว้ ย, แมว หนู และ เป็ดเป็นเพอื่ นกัน วันหนงึ่ แมวกบั หนชู ว่ ยกันสร้างท่ี
อยอู่ าศัย ฝ่ายเป็ดเห็นเช่นนัน้ ก็ไปชว่ ยด้วยความเต็มใจ

6) คาสันธานเชอื่ มความแบ่งรบั แบ่งสหู้ รือการคาดคะเน ได้แก่ ถ้า ถ้า...ก็ หาก ถา้ หาก
ว่า แม้ แม้ว่า แม้นว่า เว้นแต่ นอกจาก เช่น ถ้าเธอไม่มาหาฉัน ฉันคงต้องไปหาเธอ, ถ้านักเรียน
ใช้จ่ายอย่างประหยัดก็จะช่วยพ่อแม่ได้, หากไม่ได้รับข่าวจากทางบ้าน ฉันคงต้องโทรศัพท์ไปถาม, ฉัน
ตั้งใจวา่ จะไม่ออกจากบ้านนอกจากคุณพ่ออนุญาต

//\\//\\โครงสร้างคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

71

7) คาสันธานเช่ือมความให้ไพเราะสละสลวย ได้แก่ อัน อันว่า อันที่จริง อย่างไรก็ดี
อย่างไรก็ตาม ทาไม ถึงกระนั้นก็ดี เช่น อันความกรุณาปรานีจะมีใครบังคับก็หาไม่, อย่างไรก็ดี
พรุ่งนี้ขอให้เธอมาพบฉัน, ทาไมกับอุปสรรคเพียงเท่านี้เธอก็ท้อแท้เสียแล้ว, ถึงกระนั้นก็ดี เขาควรจะ
ปรกึ ษาฉันกอ่ น

หนา้ ทข่ี องคาสนั ธาน

1. คาสันธานทาหน้าท่ีเชื่อมประโยคกับประโยคใหต้ ดิ ต่อกนั เช่น สามีเดินขา้ งหนา้ และภรรยา

เดนิ ข้างหลงั , เขาชอบแกงเผ็ดแต่ฉนั ชอบแกงจดื , เพราะเขาเปน็ คนมนี ้าใจทกุ คนจงึ รกั เขา

2. เชื่อมความเพื่อให้สละสลวย เช่น อันว่าทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของนอกกาย ตายแวก็เอาไป

ไม่ได,้ คนเราก็ต้องมีความผดิ พลาดกันบ้างเปน็ ธรรมดา, อย่างไรก็ตามฉันตอ้ งชว่ ยเขาให้ได้

ท้ังนี้คาสันธานนั้นไม่จาเป็นต้องอยู่ระหว่างคา ระหว่างประโยค หรือ ระหว่างความเสมอไป

จะสอดลงไว้ในท่ีแหง่ ใดก็ได้ อาจจะอยู่หน้า กลาง หรือ หลังประโยคก็ได้ และจะใช้คากี่คาก็ได้แลว้ แต่

เหมาะสม คาสันธานนั้นมีทั้งเป็นคาคาเดียว เช่น และ กับ แต่ หรือ เข้าคู่กัน เช่น คร้ัง...จัง, เพราะ...

จงึ , ทงั้ ...และ หรอื เปน็ กลมุ่ คา เชน่ อยา่ งไรกด็ ี หรอื มฉิ ะน้ัน

นอกจากนี้การใช้คาสันธานในประโยคละความอาจทาใหเ้ กิดความสับสนกบั คาบุพบทได้ เช่น

1. อา่ นและเขยี นเป็นทกั ษะทส่ี าคญั ในภาษาไทย 1. อ่านเป็นทักษะทสี่ าคญั ในภาษาไทย
2. เขียนเปน็ ทักษะที่สาคัญในภาษาไทย

2. ฉันพบเงินและทองอยู่ในหบี 1. ฉันพบเงนิ อยู่ในหบี
2. ฉันพบทองอย่ใู นหีบ

1. เขาเลย้ี งไก่

3. เขาเล้ยี งไก่ เปด็ หา่ น และ นก 2. เขาเล้ยี งเป็ด
3. เขาเลีย้ งหา่ น

4. เขาเลย้ี งนก

2.7) คาอุทาน : คาที่เปล่งออกมาเพื่อบอกอาการหรือความรู้สึกของผู้ส่งสาร คาอุทานมักอยู่หน้า
ประโยค นยิ มเขียนเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) กากับไวห้ ลังคาอุทาน ทงั้ น้คี าอุทานไมจ่ ัดเป็นส่วนใดสว่ นหนึ่ง
ของข้อความ แต่การพิจารณาความหมายของคาอุทานต้องพิจารณาให้สัมพันธ์กับบริบทหรือข้อความ
แวดลอ้ ม เชน่ ดใี จ เสยี ใจ ตกใจ แปลกใจ สงสัย สงสาร เจด็ ปวด โกรธ ตัวอยา่ งเช่น ไชโย ! เราชนะแล้ว,
วา้ ย ! งูเขา้ บ้าน, อ๋อ ! เรื่องน้ฉี ันนึกออกแลว้ , อือ ! เร่ืองน้ันฉันรแู้ ลว้ , อือ้ ฮอื ! มากจรงิ ๆ ด้วย

//\\//\\โครงสรา้ งคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

72

3. ประโยค

ประโยค คือ การนาคาชนิดต่างๆ มารวมเข้าด้วยกัน ตามโครงสร้างของภาษา เพื่อส่ือ

ความหมายอย่างสมบรู ณ์ ประโยคต้องประกอบดว้ ย ภาคประธาน และ ภาคแสดง เช่น

พรรณีขี่จักรยานมาโรงเรียนทกุ วนั ภาคประธาน ภาคแสดง
พรรณี ข่ี

สจุ รติ นอนหลับแลว้ ภาคประธาน ภาคแสดง
สจุ รติ นอนหลบั

โครงสร้างของประโยคในภาษาไทย ประกอบด้วย โครงสร้างประโยคความเดียว, โครงสร้าง
ประโยคความรวม และ โครงสรา้ งประโยคความซ้อน

3.1) โครงสร้างประโยคความเดียว หรือ เอกรรถประโยค (เอ-กัด-ถะ) คือ ประโยคที่เสนอ
เน้ือหาสาระเพียงประการเดยี ว โดยใหพ้ ิจารณาทค่ี ากริยาเปน็ สาคญั เช่น

นกบิน
ม้าวงิ่ เร็ว
ภารโรงกวาดขยะ
คณุ พอ่ ขบั รถสแี ดง
3.2) ประโยคความรวม หรือ อเนกรรถประโยค (อะ-เน-กัด-ถะ) คือ ประโยคท่ีเสนอเน้ือหา
สาระต้ังแต่สองเน้ือหาข้ึนไป เกิดจากประโยคความเดียวตั้งแต่สองประโยคขึ้นไปมารวมกัน มี
คาสันธานเป็นตัวเชื่อม ทุกประโยคในประโยคความรวมต่างมีใจความบริบูรณ์ และมีใจความสาคัญ
เสมอกัน สามารถแยกประโยคออกจากกันได้ เชน่
เธอจะเล่นหรือเธอจะเรียน
คร้นั พระอาทิตย์ขึ้น พระจนั ทร์ก็หายไป
เพราะเขาอา่ นหนงั สือมากจึงมคี วามรู้
ประโยคความรวมแบง่ ตามเน้ือความได้ 4 ชนิด ดังน้ี
1) เน้ือความคล้อยตามกัน : มักใช้คาสันธาน และ, ท้ัง...และ, แล้ว...ก็, แล้ว...จึง, ครั้น...จึง
เป็นตัวเชอ่ื ม เชน่
- ฉนั อาบนา้ แล้วจึงรับประทานอาหาร

- ท้งั คณุ สมหญิงและคณุ สมชายเป็นคนดี

2) เน้อื ความขัดแย้งกัน : มกั ใชส้ นั ธาน แต,่ แต่ว่า, แต่ก,็ ตงั้ ...แต่..., ถงึ ...ก.็ .., แม.้ ..ก็... เปน็ ต้น

เปน็ ตวั เชื่อม เช่น

//\\//\\โครงสรา้ งคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

73

- เธอเป็นคนสวยแตพ่ ดู จาไมส่ ุภาพ
- ถึงงานจะหนักฉนั ก็ทางานอยา่ งดี
3) เน้ือความให้เลือกอย่างใดอย่างหน่ึง มักใช้คาสันธาน หรือ, หรือไม่ก็, ไม่เช่นน้ัน,
มิฉะนน้ั , ไมอ่ ย่างนัน้ เปน็ ต้น เปน็ ตวั เชือ่ ม
- คุณจะดืม่ น้าชาหรอื กาแฟ
- นิสติ ตอ้ งต้ังใจเรียนมิฉะนน้ั จะสอบตก
- น้องขวัญตอ้ งขยันเรยี นไมอ่ ย่างนัน้ แมจ่ ะไมซ่ อ้ื คอมพวิ เตอร์ให้
4) เนื้อความเป็นเหตุเป็นผล : ประโยคที่แสดงเนื้อความเป็นเหตุวางไว้หน้าประโยคที่
แสดงความเปน็ ผล มคี าสันธาน เพราะฉะนน้ั , จึง, เน่ืองจาก...จงึ เปน็ ตน้ เป็นตวั เช่ือม เช่น
- คนไทยขยนั ทางานเพราะฉะนั้น ประเทศไทย จงึ เจริญกา้ วหนา้
- เนือ่ งจากนิสิตตง้ั ใจเรยี นตลอดภาคการศึกษา จงึ ไดผ้ ลการเรียนดี
- เขาฝกึ ฝนทกั ษะนมี้ านานจึงมฝี ีมือดี

3.3) ประโยคความซ้อน หรือ สังกรประโยค (สัง-กะ-ระ) คือ ประโยคท่ีมีเนื้อความตั้งแต่สอง
ประโยคขึ้นไป ประโยคหน่ึงเป็นประโยคเน้ือความหลัก ที่ผู้ส่งสารต้องการเน้นให้ผู้รับสารทราบ ส่วนอีก
ประโยคหนึ่งเป็นประโยคย่อย มีเน้ือหาขยายหรือเสริมเนื้อหาของประโยคหลักให้ชัดเจนย่ิงข้ึน แบ่งตาม
ลักษณะการขยายความในประโยคหลักได้ 3 ลักษณะ ดังนี้

1) ประโยคความซ้อนท่ีมีประโยคย่อยขยายความส่วนประธาน หรือส่วนกรรมของ
ประโยคหลัก เช่น

- คุณสมชาย ใจมนั่ ท่เี ป็นผู้จัดการบริษทั เอม็ ดที วั ร์เปน็ นกั ธรุ กิจตัวอยา่ ง
- แอนกอดตกุ๊ ตาหมที ่คี ณุ แม่ซื้อให้
2) ประโยคความซ้อนท่ีมีประโยคย่อยขยายความส่วนกริยา หรือ ส่วนขยายกริยาของ
ประโยคหลกั เชน่
- คุณยายกนิ ยาแก้ปวดตามหมอส่ัง
- ฉนั ขบั รถมานานมากจนปวดเมอื่ ยท้ังตวั
3) ประโยคความซ้อนที่มปี ระโยคย่อยเป็นประธานหรือส่วนกรรมของประโยค เชน่
- สมศรชี อบดูวิลี่แสดงละครโทรทัศน์

//\\//\\โครงสรา้ งคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

74

- นุชนอ้ ยเลา่ เรอื่ งปิดภาคเรียนจะไปเรยี นภาองั กฤษท่ีประเทศอังกฤษ
- ไฟไหม้หา้ งสรรพสนิ คา้ เปน็ ข่าวใหญ่วนั น้ี

ลักษณะของประโยคท่ใี ช้ในภาษาไทย
ลักษณะของประโยคท่ีใช้ในการส่ือสารภาษาไทย จาแนกโดยใช้หลักเกณฑ์ด้านเจตนาของผู้

สง่ สาร และ จาแนกโดยใช้หลักเกณฑ์ด้านโครงสรา้ งการส่ือสาร ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี

1. ลกั ษณะของประโยคตามเจตนาของผู้สง่ สาร ประกอบดว้ ย 4 ชนิด ได้แก่
1.1) ประโยคบอกเล่า คือ ประโยคท่ีผู้ส่งสารมีเจตนาแจ้งเรื่องราว เหตุการณ์ บุคคล

ใหผ้ ้รู ับสารรู้และเขา้ ใจ เช่น
- พระอาทิตย์ตกดินแล้ว
- หนงั สอื เรยี นวิชาภาษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สารมจี าหนา่ ยที่ศูนยห์ นงั สือ
- รัฐบาลกาลงั เรง่ แก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานคร
- ลูกควรเชือ่ ฟังพอ่ แม่ ศิษย์ควรเช่ือฟังครู

1.2) ประโยคปฏิเสธ คือ ประโยคที่ผู้ส่งสารมีเจตนาเสนอสาระในทางตรงกันข้ามกับ
ประโยคบอกเล่า มคี าว่า ไม่ หามไิ ด้ ไม่ได้ มใิ ช่ ไม่ใช่ ประกอบกริยาหลกั เชน่

- พระอาทติ ย์ยงั ไมต่ กดนิ
- หนังสือเรียนวชิ าภาษาไทยเพอื่ การส่ือสารไมม่ ีจาหน่ายที่ศนู ย์หนงั สอื
- ตารวจบางคนไมป่ ฏบิ ตั หิ น้าท่ที าให้ประชาชนเดือดร้อน
- นักศึกษาไมค่ วรหนีเรียน
1.3) ประโยคคาสั่ง คือ ประโยคที่ผู้ส่งสารมีเจตนาสั่งผู้รับสารให้ปฏิบัติหรือไม่ให้ปฏิบัติ
ประโยคลกั ษณะน้ีมกั จะละประธาน ขนึ้ ต้นประโยคดว้ ยกรยิ า เช่น
- ปิดประตูดว้ ย
-จงเลอื กคาตอบที่ถูกตอ้ งทีส่ ุดเพยี งข้อเดยี ว
- ห้ามจอดรถขวางประตู
- อยา่ เดินลดั สนาม
1.4) ประโยคขอร้อง คือ ประโยคท่ีผู้ส่งสารมีเจตนาขอร้องให้ผู้รับสารปฏิบัติตาม
ความประสงค์ของผู้สง่ สาร ควรขนึ้ ตน้ ประโยคดว้ ยคาแสดงการร้องขอ เช่น

//\\//\\โครงสรา้ งคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

75

- กรุณาปดิ ประตู
- โปรดเงียบ
- ช่วยหยิบหนังสือเรยี นให้หนอ่ ย
1.5) ประโยคคาถาม คอื ประโยคท่ผี สู้ ง่ สารมีเจตนาถามให้ผู้รับสารตอบคาถามนั้น ควรใช้
คาแสดงคาถามในประโยคดว้ ย เชน่
- คุณทาอย่างไรจึงเรยี นหนงั สือเก่ง
- มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค์ตัง้ อยู่ทีไ่ หน
- วิชาภาษาไทยสาหรับครสู อบเม่อื ใด
- เพราะเหตใุ ดวัยรุ่นไทยในปัจจบุ นั กลา้ แสดงออกมากขึ้น

2. ลักษณะของประโยคตามโครงสรา้ งการสือ่ สาร ประกอบดว้ ย 4 ชนิด ไดแ้ ก่
2.1) ประโยคประธาน คือ ประโยคท่ีประธานอยู่ต้นประโยค ทาหน้าที่เป็นผู้กระทา ซึ่ง

เป็นประโยคท่ีใชก้ นั โดยท่วั ไปในภาษาไทย มักใชโ้ ครงสร้างดงั นี้
ประธาน + กริยา------------------นกบิน
ประธาน + กรยิ า + กรรม--------จิ้งจกกนิ แมลง

2.2) ประโยคกริยา คือ ประโยคที่นากริยามาขึ้นต้นประโยค เพ่ือเน้นกริยานั้นให้เด่น
ส่วนมากจะขนึ้ ตน้ ประโยคดว้ ยคาว่า เกิด มี ปรากฏ เชน่ เกิดแผน่ ดนิ ไหวทีป่ ระเทศญ่ปี นุ่ , มโี รคไขห้ วัด
ใหญ่สายพันธใุ์ หมร่ ะบาดไปทว่ั โลก หรอื ปรากฏการทจุ รติ ในโครงการชมุ ชนพอเพียง

2.3) ประโยคกรรม คือ ประโยคท่ีนาผู้ถูกกระทาหรือกรรมมาขึ้นต้นประโยค อาจจะอยู่
หน้าประธานหรอื เป็นประธานของประโยค มกั มโี ครงสรา้ ง ดงั นี้

กรรม + ประธาน + กรยิ า--------ปากกาดา้ มนีแ้ ม่ซอื้ ให้
กรรม + กริยา----------------------ชวนชมต้นนซ้ี อ้ื มาราคาเท่าไร

2.4) ประโยคการิต คือ ประโยคประธานที่กรรมมีผู้รับใช้ โดยมีกริยา “ให้” เป็นกริยา
สาคัญของประโยค เช่น แม่บอกใหน้ ้องอ่านหนงั สือกอ่ นนอน ครูสงั่ ใหน้ กั เรยี นเขยี นเรียงความมาสง่

//\\//\\โครงสรา้ งคาและประโยคในภาษาไทย//\\//\\

76

คำรำชำศัพท์

คำรำชำศัพท์ถ้ำแปลตำมศัพท์หมำยควำมว่ำ เป็นศัพท์สำหรับพระรำชำโดยเฉพำะ ซึ่งเดิม
หมำยถึงศพั ท์หลวงหรือรำชกำรที่ใช้สำหรับกรำบทูลพระมหำกษตั ริย์ หรอื เจ้ำนำย แต่ปัจจบุ นั หมำยถึง
คำสุภำพไพเรำะไม่ได้ใช้หมำยเฉพำะพระรำชำ แต่นำมำใช้ให้เหมำะสมตำมช้ันและฐำนะของบุคคล
เป็นคำท่ีเชิดชูบุคคลท่ีสูงด้วย ชำติวุฒิ, วัยวุฒิ และคุณวุฒิ อันนับได้ว่ำเป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของ
ภำษำและชำติไทย รำชำศัพท์จึงใช้สำหรับบุคคลท่ีควรเคำรพนับถือยกย่องเชิดชูเกียรตินับต้ังแต่
พระรำชำลงมำจนถึงเจ้ำนำยเชื้อพระวงศ์, พระบรมวงศำนุวงศ์, พระภิกษุสงฆ์ ตลอดจนถึงบุคคล
ธรรมดำสำมัญชน

รำชำศัพท์ใช้สำหรับพระมหำกษัตริย์ มิได้หมำยควำมว่ำพระรำชำเป็นผู้ใช้ถ้อยคำเหล่ำนี้ แต่
ผู้ใช้รำชำศัพท์คือผู้ท่ีด้อยกว่ำท้ังศักด์ิและวัย ดังน้ัน ผู้ใช้ส่วนมำกนอกจำกเจำ้ นำยจะใชเ้ พ็ดทลู กษัตรยิ ์
แล้วก็คือสำมัญชนที่จำเป็นจะต้องใช้รำชำศัพท์เพ็ดทูลพระรำชำหรือเจ้ำนำย และพระรำชำใช้กับ
เชื้อพระวงศ์แต่ไม่ใช้กับสำมัญชน ดังน้ันกำรเรียนรู้เรื่องคำรำชำศัพท์จึงนับว่ำได้ประโยชน์
หลำยประกำร คือ

1) เป็นกำรเรียนรู้ภำษำไทยให้ละเอียดย่ิงข้ึนอันเป็นกำรศึกษำวัฒนธรรมส่วนหน่ึงของชำติ
เช่น รู้จักเลือกใช้คำที่สุดภำพ ไพเรำะ นอบน้อมต่อผู้ที่มีคุณควำมดี ทั้งเป็นกำรยึดมั่นช้ีนำแนวทำง
วัฒนธรรมไทยท่ดี ไี วไ้ มใ่ ห้เสอื่ มคลำย

2) เป็นประโยชน์แก่ผ้สู นใจอ่ำนหนังสือวรรณคดไี ทยจะได้รูแ้ ละเข้ำใจคำ กำรใช้รำชำศัพท์ใน
คำประพันธ์ เช่น เรอ่ื งรำมเกียรต์ิ และ อเิ หนำ เปน็ ตน้

3) ประเทศไทยมีกำรปกครองระบอบประชำธิปไตยอันมีองค์พระมหำกษัตริย์เป็นประมุข
และยังมีพระบรมวงศำนุวงศ์อีกหลำยพระองค์ ฉะนั้นกำรเรียนรู้รำชำศัพท์จึงเป็นสิ่งจำเป็นและ
มีประโยชน์อย่ำงย่ิงในฐำนะทีพ่ วกเรำเป็นคนไทยและเป็นเจ้ำของภำษำไทย

4) ทำให้ผู้ศึกษำได้ทรำบควำมหมำยของศัพท์และรำกศัพท์เดิม ตลอดจนกำรสร้ำง
คำรำชำศพั ทใ์ ช้ เม่ือตอ้ งกำรจะนำมำใช้ในปัจจุบัน

//\\//\\คำรำชำศพั ท์//\\//\\

77

ท่ีมำของถอ้ ยคำทใี่ ช้เป็นรำชำศัพท์
คำทีน่ ำมำใช้เป็นคำรำชำศัพทม์ ักจะเป็นคำท่สี ร้ำงขนึ้ จำกคำมลู เดิม และท่เี ป็นคำประสม จึงมี

วิธีกำรสร้ำงคำเชน่ เดยี วกบั คำอน่ื ๆ ทใ่ี ช้อย่ใู นภำษำไทย คอื กำรยืมคำภำษำอ่ืนมำใช้ และกำรนำคำอื่น
มำสร้ำงใหมด่ ้วยวิธีกำรแบบคำประสม

กำรสร้ำงคำใหม่เป็นคำรำชำศัพท์มักจะสร้ำงจำกคำอื่นยิ่งกว่ำจะสร้ำงจำกคำไทยด้วยกัน
คงจะเป็นเพรำะว่ำคำไทยเป็นคำโดดถือเป็นคำธรรมดำสำมัญใคร ๆ ก็ใช้ได้ และเสียงไม่ไพเรำะ
แบบภำษำอื่น ดังนั้นคำรำชำศัพท์ท่ีปรำกฏมีอยู่ในภำษำไทย จึงเป็นคำมำจำกภำษำอื่นมำกกว่ำท่ีเปน็
คำไทยแท้ซ่ึงมีลกั ษณะดังนี้

1) เป็นคำไทย : จะต้องมีคำว่ำ “พระ” หรือ “พระรำช” หรือ “ทรง” นำหน้ำเพ่ือตกแต่งให้
เป็นคำรำชำศัพท์ ได้แก่ พระเจ้ำ, พระเต้ำ, พระอู่, พระแท่น, พระท่ีนั่ง, ทรงว่ำยน้ำ, ทรงช้ำง และ
ทรงเครอ่ื งใหญ่ เปน็ ต้น

2) เปน็ คำประสม : ซึง่ สรำ้ งคำในลกั ษณะต่ำง ๆ คือ
2.1) คำไทยประสมกัน ไดแ้ ก่ รบั สั่ง, ห้องเครอ่ื ง, เครอื่ งตน้
2.2) คำไทยประสมกับคำต่ำงประเทศที่ใช้เป็นรำชำศัพท์อยู่แล้ว เช่น น้ำพระเนตร, รอง

พระบำท, รถพระทน่ี ่งั , ถงุ พระบำท, ทอดพระเนตร, เข้ำพระท่ี, สนพระทัย, เอำพระทยั ใส่ เปน็ ตน้
3) เป็นคำยืมมำจำกภำษำอ่ืน : ได้แก่คำท่ียืมมำกจำกภำษำบำลี-สันสกฤต, คำที่ยืมมำจำก

ภำษำเขมร และคำท่ียมื มำจำกภำษำอืน่ ๆ ซึง่ มตี ัวอย่ำงคำศพั ท์ทน่ี ่ำสนใจดังนี้
3.1) คำยืมจำกภำษำบำลี-สันสกฤต เช่น พระมหำกษัตริย์, พระชนก, พระอัยกำ, พระ

มำตุลำ, พระรำชสำส์น สวรรคต, พโิ รธ, ประทำน, นิพนธ์ และทรงอกั ษร เป็นตน้
3.2) คำยืมจำกภำษำเขมร เช่น พระเพลำ, พระศอ, พระขนง, พระเขนย, โปรด, บรรทม,

กรว้ิ , ถวำย, เสวย, เสด็จ, และกนั แสง เปน็ ตน้
3.3) คำยืมจำกภำษำอ่ืน ๆ เช่น ภำษำมลำยู (พระศรี), ภำษำมอญ (พระแสง), ภำษำชวำ

(พระปนั้ เหน่ง), ภำษำจีน (พระเก้ำอ้ี), ภำษำองั กฤษ (พระโธรน) และภำษำเปอร์เซยี (พระสหุ ร่ำย)

กำรใช้คำรำชำศพั ท์สำหรับพระรำชวงศ์
1) ลำดับช้ันของพระมหำกษัตริย์และพระบรมวงศำนุวงศ์ : ในกำรใช้คำรำชำศัพท์ ต้องใช้

คำใหเ้ หมำะแกฐ่ ำนันดรศักดิ์ หรอื ลำดับช้ันของบคุ คล ดังน้ันผใู้ ช้คำรำชำศพั ทค์ วรเข้ำใจลำดับช้นั ดงั นี้

//\\//\\คำรำชำศพั ท์//\\//\\

78

1 พระมหำกษตั ริย์
2 สมเด็จพระบรมรำชินีนำถ*
3 สมเด็จพระบรมรำชชนก และสมเด็จพระบรมรำชชนนี
4 สมเด็จพระยุพรำช
5 สมเดจ็ เจ้ำฟำ้
6 พระองคเ์ จำ้
7 หม่อมเจำ้
8 หม่อมรำชวงศ์
9 หม่อมหลวง

ต่อจำกชั้นหมอ่ มหลวงก็เป็นสำมัญชน

2) คำนำมรำชำศพั ท์
คำนำมสำมญั และคำท่มี ีรูปคำเฉพำะใช้เปน็ คำนำมรำชำศัพทไ์ ด้ด้วยวิธกี ำร ดงั นี้
- ใช้คำว่ำ “พระบรมรำช” ใช้นำหน้ำ สำหรับพระเจ้ำแผ่นดิน โดยเฉพำะในกรณี

ท่ีตอ้ งกำรเชดิ ชูพระเกยี รติยศและพระรำชอำนำจ เชน่ พระบรมรำชชนนี พระบรมรำชโองกำร

- ใช้คำว่ำ “พระบรม” ใช้นำหน้ำคำสำมัญเพื่อเชิดชูพระรำชอิสริยยศและใช้
เฉพำะพระมหำกษัตริย์ เช่น พระบรมเดชำนุภำพ พระบรมฉำยำลักษณ์ พระบรมรำโชวำท ถ้ำเป็น
สมเด็จพระบรมรำชนิ ี ตดั คำว่ำ บรม ออก เชน่ พระนำมำภิไธย พระรำโชวำท พระรำโชบำย

- ใช้คำว่ำ “พระรำช” ใช้นำหน้ำคำสำมัญรองลงมำจำกพระบรมเป็นคำท่ีใช้
เฉพำะพระมหำกษตั รยิ ์ และสมเดจ็ พระบรมรำชนิ ี เช่น พระรำชโอรส พระรำชนิพนธ์

- ใช้คำว่ำ “พระ” นำหน้ำคำสำมำรัญที่ใช้สำหรับพระมหำกษัตริย์ และพระ
รำชวงศ์เพ่ือให้แตกต่ำงกับสำมัญชน เช่น เครื่องรำชูปโภค อุปโภค ตลอดจนส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย
เชน่ พระเนตร พระหตั ถ์ พระพำหำ คำนำมท่ีไมม่ รี ำชำศัพท์ ใช้ “พระ” นำหน้ำ เปน็ รำชำศพั ทไ์ ด้ เช่น
พระเกำ้ อ้ี พระเต้ำ พระอู่

- ใช้คำว่ำ “ต้น” ประกอบท้ำยคำนำมท่ัวไป เพ่ือแสดงว่ำเป็นของเก่ียวกับ
พระมหำกษัตริย์ เชน่ มำ้ หลวง เรือหลวง แตอ่ ยำ่ งไรก็ตำม คำวำ่ “หลวง” มักใช้กับคำสำมัญท่ีแปลว่ำ

* สมเดจ็ พระราชนิ ี คอื พระอัครมเหสใี นพระมหากษตั รยิ ์ทย่ี ังไมไ่ ดร้ ับพระบรมราชาภิเษก
สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี คอื พระอคั รมเหสีในพระมหากษตั รยิ ท์ ไ่ี ด้รับการบรมราชาภิเษกแลว้
สมเด็จพระบรมราชินีนาถ คอื พระอคั รมเหสใี นพระมหากษัตรยิ ท์ ่ีไดร้ ับพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหด้ ารงตาแหน่งผสู้ าเร็จ
ราชการแทนพระองค์

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

79

ใหญ่ ไม่ถือว่ำเป็นคำสำมัญท่ีประชำชนทั่วไปใช้เรียกพระเจ้ำแผ่นดิน ดังนั้นจึงมิอำจนับว่ำเป็นคำรำชำ
ศพั ท์ไดท้ กุ คำ เชน่ คำว่ำ ผึง้ หลวง เขำหลวง ภรรยำหลวง เปน็ ต้น

- ใช้คำว่ำ “พระท่ีนั่ง” นำหน้ำคำท่ีเป็นที่ประทับของพระมหำกษัตริย์ และ
มีเศวตฉัตร เช่น พระที่น่ังจักรีมหำปรำสำท นอกจำกน้ียังใช้ตำมหลังนำมท่ัวไป เพ่ือแสดงว่ำเป็นของ
เกี่ยวกับพระมหำกษัตรยิ ด์ ว้ ย เช่น ชำ้ งพระท่ีนงั่

- ใช้คำว่ำ “ทรง” ประกอบหลังคำนำมสำมัญทำให้เป็นคำนำมรำชำศัพท์ เช่น
เสอื้ ทรง, ผ้ำทรง, ชำ้ งทรง และรถทรง เป็นต้น

ประมวลคำนำมรำชำศัพท์ท่ีควรทรำบ หมวดรำ่ งกำย
คำนำมรำชำศพั ท์
คำนำมสำมัญ
ส่วนตำ่ งๆ ของรำ่ งกำย พระองคำพยพ
พระวรกำย
ร่ำงกำย พระเศยี ร
ศีรษะ เส้นพระเกศำ
เส้นผม (พระรำชำ พระรำชินี) พระจุไร
ไรจกุ ไรพระเกศำ
ไรผม พระเมำล,ี พระโมลี
จุก พระจฑุ ำมำศ
ผมมวย พระเวณิ
ผมเปยี พระพักตร์
หน้ำ ดวงหน้ำ พระนลำฏ
หน้ำผำก พระขนง, พระภมุกำ, พระภมู
คิ้ว พระอณุ ำโลม
ขนระหว่ำงคิว้ พระเนตร, พระนยั นำ, พระจักษุ
ดวงตำ หนังพระเนตร
หนงั ตำ พระโลมะจักษ,ุ ขนพระเนตร
ขนตำ ม่ำนพระเนตร
ม่ำนตำ พระกนีนกิ ำ
แก้วตำ พระอสั สธุ ำรำ, ต่อมพระเนตร
ตอ่ มน้ำตำ พระนำสกิ
จมกู ขนพระนำสกิ , พระโลมะนำสกิ
ขนจมูก พระปรำง
แก้ม พระกำโบล, กระพ้งุ พระปรำง
กระพุ้งแกม้

//\\//\\คำรำชำศพั ท์//\\//\\

80

คำนำมสำมญั หมวดรำ่ งกำย
หนวด คำนำมรำชำศพั ท์
เครำ
ปำก พระมสั สุ
ริมฝีปำก พระทำฐกิ ะ, พระทำฒกิ ะ
ฟนั พระโอษฐ์
ฟนั กรำม รมิ พระโอษฐ์
เข้ียว พระทนต์
เหงือก พระปิงสกทันต์
ล้นิ พระทำฐะ, พระทำฒะ
ลิน้ ไก่ พระทนั ตมงั สะ, พระทันตมงั สำ
โคนลิ้น พระชิวหำ
คำง พระบพุ พชิวหำ
ต้นพระชวิ หำ
ขำกรรไกร พระหนุ (หะ – นุ)
หู ใบหู ต้นพระหนุ
ช่องหู พระกรรณ
คอ ช่องพระกรรณ, ชอ่ งพระโสต
ลกู กระเดอื ก พระศอ
ลำคอ พระกัณฐมณี
ไหปลำร้ำ ลำพระศอ
ไหล่ บ่ำ พระรำกขวัญ
ต้นแขน (ตน้ แขนถึงขอ้ ศอก) พระองั สำ
ปลำยแขน (ต้นข้อศอกถึงขอ้ มือ) พระพำหำ, พระพำหุ
ข้อศอก พระกร
รักแร้ พระกปั ระ, พระกโประ
มอื พระกัจฉะ
ฝำ่ มอื พระหัตถ์
น้วิ หัวแม่มอื ฝำ่ พระหตั ถ์
นิ้วช้ี พระอังคฐุ
น้วิ กลำง พระดชั นี
นว้ิ นำง พระมัชฌมิ ำ
นวิ้ ก้อย พระอนำมกิ ำ
เลบ็ พระกนษิ ฐำ
พระนขำ

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

81

คำนำมสำมญั หมวดร่ำงกำย
กำมอื , กำหมัด, กำปน้ั คำนำมรำชำศพั ท์

ขเ้ี ล็บ พระมฐุ ิ, กำพระหตั ถ์
อก มูลพระนขำ
เต้ำนม, นม พระทรวง, พระอุระ
หัวนม พระถัน
น้ำนม ยอดพระถนั
ทอ้ ง พระกษิรธำรำ
สะดือ พระอทุ ร
เอว พระนำภี
สีขำ้ ง บั้นพระองค์, พระกฤษฎี
สะโพก พระปรศั ว์
หลัง พระโสณี
ก้น พระปฤษฎำงค,์ พระขนอง
ขำ, ตกั พระทน่ี ั่ง
เขำ่ พระเพลำ
แข้ง พระชำนุ
น่อง พระชงฆ์
ตำตมุ่ หลังพระชงฆ์
เท้ำ พระโคปผกะ (โคบ – ผะ – กะ)
สน้ เท้ำ พระบำท
ผิวพรรณ พระปรำษณ,ี พระสน้ เทำ้
เงำ พระฉวี
ขน พระฉำยำ
เน้ือ พระโลมำ, พระโลมชำติ
ไฝ ไขแ่ มลงวัน ปำน พระมังสำ
สวิ พระปฬี ก (ปี – ละ – กะ)
หวั ใจ พระอสำ
ซ่ีโครง พระหทัย, พระกมล
อวัยวะในชอ่ งทอ้ ง พระผำสุกะ
ฝ,ี หวั ฝี พระกญุ ชะ
นำ้ ลำย พระยอด
น้ำตำ พระเขฬะ
พระอสั สุชล, น้ำพระเนตร

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

82

คำนำมสำมญั หมวดรำ่ งกำย
เหงือ่ คำนำมรำชำศพั ท์
เลือด
พระเสโท
เลอื ดประจำเดือน พระโลหิต
กระดกู พระอหุ ลบ, พระบษุ ปะ
ปัสสำวะ พระอัฐิ
อจุ จำระ พระบังคนเบำ
หลอดลม พระบงั คนหนัก
หลอดพระวำโย

หมวดเครอื่ งใชส้ อย เครื่องประดับ และสงิ่ ตำ่ งๆ

คำนำมสำมัญ คำนำมรำชำศพั ท์

กระโถนเล็ก พระสุพรรณศรี

กระโถนใหญ่ พระสพุ รรณรำช

โตะ๊ อำหำร โตะ๊ เสวย

โต๊ะเขยี นหนังสอื โตะ๊ ทรงอกั ษร

กระเป๋ำถอื กระเปำ๋ ทรง

น้ำดมื่ พระสธุ ำรส

น้ำชำ พระสธุ ำรสชำ

ของว่ำง เครอ่ื งวำ่ ง

ของกนิ กับขำ้ ว เครอ่ื งคำว, เครอื่ งต้นคำว, เครอื่ งเสวย

ของหวำน เครื่องหวำน, เคร่ืองต้นหวำน

อำหำร พระกระยำหำร

ข้ำว พระกระยำเสวย

เหลำ้ นำ้ จัณฑ์

อ่ำงอำบนำ้ อ่ำงสรง

ยำรักษำโรค พระโอสถ

ยำถำ่ ย พระโอสถประจุ

เส้ือ เสอ้ื ผำ้ ฉลองพระองค์

เส้ือแขนสนั้ ฉลองพระกรน้อย, พระกรนอ้ ย

แว่นตำ ฉลองพระเนตร

ชอ้ น ฉลองพระหัตถ์ชอ้ น

รองเท้ำ ฉลองพระบำท (พระรำชำ)
รองพระบำท (พระรำชินี – หมอ่ มเจำ้ )

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

83

หมวดเคร่ืองใชส้ อย เครือ่ งประดับ และสิ่งต่ำงๆ

คำนำมสำมญั คำนำมรำชำศพั ท์

ศตั รวุธ พระแสง

ดำบ พระแสงดำบ

ธนู พระแสงธนู

ไมเ้ ท้ำ ธำรพระกร

ตรำประทบั (พระรำชำ และ รัชทำยำท) พระรำชลญั จกร

กระจกส่อง พระฉำย

หวี พระสำง

เครือ่ งสำหรับรมิ ฝปี ำกและฟัน พระสี

เคร่อื งสำอำง เคร่ืองพระสำอำง

เคร่อื งหอม เครอ่ื งพระสุคนธ์

ห้องแต่งตัว หอ้ งแตง่ พระองค์

ห้องสุขำ ห้องพระบงั คน

ห้องพกั ผอ่ น ห้องทรงพระสำรำญ

ท่นี อน พระรำชบรรจถรณ์ (พระรำชำ-พระรำชนิ ี)
พระท่ี (ทว่ั ไป)

เตียงนอน พระแทน่ บรรทม

พรมทำงเดิน ลำดพระบำท

หมอน พระเขนย

มำ่ น, ม้งุ พระวิสตู ร

เปล พระอู่

กำงเกง พระสนบั เพลำ (พระรำชำ – พระรำชบตุ ร)
สนบั เพลำ (พระองคเ์ จำ้ – หม่อมเจำ้ )

บำนหน้ำตำ่ ง (ตำหนัก) พระแกล

ประตู พระทวำร

เรือน พระมหำมนเทยี ร, พระตำหนัก (พระรำชำ)

บ้ำน พระบรมมหำรำชวงั , พระตำหนกั (พระรำชำ)

ท่ีประทบั ชั่วครำว พลบั พลำ

ผำ้ หม่ (นอน) คลุมบรรทม

ผ้ำเช็ดตัว ผ้ำซบั พระองค์

หมวก พระมำลำ

ต่ำงหู ตุ้มหู พระกุณฑล

จอนหู ดอกไมท้ ดั หู พระกรรเจียก

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

84

หมวดเครอ่ื งใช้สอย เคร่อื งประดับ และสงิ่ ตำ่ งๆ

คำนำมสำมญั คำนำมรำชำศัพท์

สรอ้ ยคอ สรอ้ ยพระศอ

แหวน พระธำมรงค์

คำนำมสำมัญ หมวดคำนำมทว่ั ไป
กิจ คำนำมรำชำศพั ท์

คำถำม (เก่ยี วกบั ขอ้ ธรรมะ) พระรำชกรณยี กิจ (พระรำชำ – รัชทำยำท)
เงินส่วนพระองค์ พระกรณียกจิ (สมเดจ็ เจ้ำฟ้ำ – พระองคเ์ จำ้ )
จดหมำย พระรำชปจุ ฉำ
เงินท้ำยทน่ี ่ัง
รูปเขียนเหมอื นบคุ คลจริง พระรำชหัตถเลขำ (พระรำชำ – รัชทำยำท)
ลำยพระหัต (สมเดจ็ เจำ้ ฟำ้ – หมอ่ มเจำ้ )
รูปถ่ำย พระบรมฉำยำสำทิสลักษณ์ (พระรำชำ)
พระฉำยำทสิ ลกั ษณ์ (พระรำชินี – รชั ทำยำท)
รปู ป้ัน พระรปู เขยี น (สมเด็จเจำ้ ฟำ้ – หม่อมเจำ้ )
ลำยมอื พระบรมฉำยำลักษณ์ (พระรำชำ)
พระฉำยำลักษณ์ (พระรำชินี – รชั ทำยำท)
ลำยมือชือ่ พระรปู (สมเดจ็ เจ้ำฟำ้ – หม่อมเจำ้ )
พระบรมรูปป้นั (พระรำชำ)
โอวำท พระรูปปั้น (พระรำชนิ ี – หม่อมเจำ้ )
ลำยพระรำชหตั ถ์ (พระรำชำ – รชั ทำยำท)
ลำยพระหตั ถ์ (สมเดจ็ เจำ้ ฟ้ำ – หมอ่ มเจำ้ )
พระปรมำภไิ ธย (พระรำชำ)
พระนำมำภิไธย (พระรำชินี – รชั ทำยำท)
พระนำม (สมเด็จเจ้ำฟ้ำ – หม่อมเจ้ำ)
พระบรมรำโชวำท (พระรำชำ)
พระรำโชวำท (พระรำชนิ ี – รชั ทำยำท)
พระโอวำท (สมเด็จเจำ้ ฟ้ำ – หมอ่ มเจำ้ )

คำนำมสำมัญ หมวดขัตติยตระกลู
ป/ู่ ตำทวด – ยำ่ /ยำยทวด คำนำมรำชำศพั ท์

ป่/ู ตำ – ย่ำ/ยำย พระปยั กำ – พระปัยยยิ ำ
พระอัยกำ – พระอัยยกิ ำ

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

85

คำนำมสำมญั หมวดขัตตยิ ตระกูล
พอ่ – แม่ คำนำมรำชำศพั ท์

พช่ี ำย/นอ้ งชำยของพ่อ พระรำชชนก/พระบิดำ – พระรำชชนนี/พระมำรดำ
พสี่ ำว/น้องสำวของพ่อ พระปิตลุ ำ
พี่ชำย/นอ้ งชำยของแม่ พระปติ ุจฉำ
พ่ีสำว/น้องสำวของแม่ พระมำตลุ ำ
พระมำตจุ ฉำ
พชี่ ำย พระเชษฐำ, พระเชษฐภำดำ
พส่ี ำว พระเชษฐภคินี, พระภคินี
นอ้ งชำย พระอนชุ ำ
นอ้ งสำว พระกนิษฐำ, พระกนษิ ฐภคินี
พระรำชโอรส (ลูกของพระรำชำ)
ลูกชำย พระโอรส (ลูกของช้นั สมเด็จเจำ้ ฟ้ำ – พระองค์เจำ้ )
โอรส (ลูกของหมอ่ มเจำ้ )
ลกู สำว พระรำชธดิ ำ (ลูกของพระรำชำ)
พระธิดำ (ลูกของช้นั สมเดจ็ เจ้ำฟ้ำ – พระองค์เจ้ำ)
หลำน ธิดำ (ลูกของหมอ่ มเจ้ำ)
พระรำชนดั ดำ (ลูกของลูกพระรำชำ)
เหลน พระภำติยะ (ลูกของพ่ชี ำย-นอ้ งชำย)
ลกู เขย พระภำคไิ นย (ลกู ของพี่สำว – นอ้ งสำว)
ลกู สะใภ้ พระรำชปนัดดำ
พ่อตำ –แม่ยำย พระชำมำดำ, พระรำชบตุ รเขย
พระสณุ ิสำ
พระสสุระ/พระสสั สรุ ะ – พระสสั สุ

3) คำสรรพนำมรำชำศพั ท์ ลำดบั ชนั้
สรรพนำมบรุ ุษท่ี 1 (ผูพ้ ดู ) สรรพนำมบรุ ษุ ท่ี 2 (ผู้ฟัง) พระมหำกษัตรยิ ์ และสมเดจ็

ข้ำพระพุทธเจ้ำ ใต้ฝ่ำละอองธลุ พี ระบำท พระบรมรำชนิ ีนำถ
สมเดจ็ พระบรมรำชินี
ข้ำพระพุทธเจำ้ ใตฝ้ ่ำละอองพระบำท พระบรมรำชชนก พระบรมรำชชนนี

พระยุพรำช

//\\//\\คำรำชำศพั ท์//\\//\\

86

สรรพนำมบรุ ษุ ท่ี 1 (ผูพ้ ูด) สรรพนำมบุรษุ ท่ี 2 (ผฟู้ ัง) ลำดับชัน้
ใตฝ้ ำ่ พระบำท พระรำชโอรสและพระรำชธดิ ำ ของ
ขำ้ พระพุทธเจ้ำ ฝำ่ พระบำท
ฝ่ำพระบำท พระมหำกษัตริย์
เกลำ้ กระหมอ่ ม (ผชู้ ำย)
เกล้ำกระหม่อมฉนั (ผู้หญิง) หลำนของพระมหำกษัตริย์

กระหม่อม (ผชู้ ำย) หม่อมเจ้ำ
หม่อมฉัน (ผู้หญงิ )

ส่วนสรรพนำมบุรุษท่ี 3 (ผู้ท่ีพูดถึง) ให้ใช้คำว่ำ พระองค์ เม่ือกล่ำวถึงพระมหำกษัตริย์ และ
พระบรม วงศำนวุ งศ์

4) คำกริยำรำชำศัพท์
- คำกริยำรำชำศัพท์ ซึ่งมีรูปภำษำแตกต่ำงจำกคำกริยำทั่วไป เช่น บรรทม เสวย

ประทับ ผนวช เสด็จ ตรัส ดำรัส กร้ิว และ ประชวร เป็นต้น ซ่ึงเป็นคำเฉพำะใช้ได้ทันทีไม่ต้องใช้
คำวำ่ “ทรง” นำหนำ้

- คำกริยำทั่วไป นำมำใช้เป็นกริยำรำชำศัพท์ต้องใช้คำว่ำ “ทรง” นำหน้ำ เช่น ทรง
เลีย้ งดู ทรงยนิ ดี ทรงสง่ั สอน ทรงเมตตำ เปน็ ตน้

- คำนำมรำชำศัพท์ นำมำใช้เปน็ กริยำรำชำศัพท์ได้ต้องใช้กริยำ “ทรง” นำหน้ำ เช่น
ทรงพระเมตตำ ทรงพระวริ ิยะอตุ สำหะ ทรงพระกรณุ ำ ทรงพระรำชนิพนธ์ ทรงพระรำชดำริ ทรงพระ
ดำเนนิ

ข้อควรระวัง ไม่ให้ใช้คำว่ำ “ทรง” นำหน้ำคำกริยำที่มีคำนำมรำชำศัพท์ต่อท้ำย เช่น ทรงมี

พระรำชประสงค์ (ตอ้ งใช้ “ทรงพระรำชประสงค์”) นอกจำกนี้คำว่ำ “ทรง” มีหลำยควำมหมำย ไดแ้ ก่

รับ, ฟงั , ใส่, ขี่, ครอง เปน็ ต้น ขึน้ อยกู่ บั เนอื้ ควำมของบทกรรมท่ีอยู่ข้ำงหลงั ดงั นัน้ เวลำแปลต้องเลือก

คำแปลใหเ้ หมำะสมกับบทกรรม เช่น ทรงศีล (รับศลี ), ทรงมำ้ (ขี่ม้ำ), ทรงธรรม (ฟังธรรม), ทรงรำชย์

(ครองรำชสมบัติ), ทรงบำตร (ตักบำตร), ทรงกีฬำ (เล่นกีฬำ), ทรงแซ็กโซโฟน (เป่ำแซ็กโซโฟน) และ

ทรงปนื (ยงิ ปนื ) เป็นตน้

- คำกรยิ ำรำชำศพั ท์ทจ่ี ำแนกใช้ตำมฐำนนั ดรศักด์ิมีหลำยคำ เชน่

คำกรยิ ำ คำกรยิ ำรำชำศัพท์ ลำดบั ชั้น

พระรำชำ พระบรมรำชินี พระบรมรำชชนนำถ พระ

เกิด ทรงพระรำชสมภพ บรมรำชินี พระบรมรำชชนก พระยุพรำช และพระบรม

รำชวงศท์ ่ไี ด้รบั ฉัตร 7 ชน้ั (บรมรำชกุมำร)ี

//\\//\\คำรำชำศพั ท์//\\//\\

87

คำกรยิ ำ คำกรยิ ำรำชำศพั ท์ ลำดบั ช้นั
ป่วย ประสตู ิ, สมภพ สมเดจ็ เจ้ำฟำ้ , พระองคเ์ จำ้ และหมอ่ มเจำ้
ตำย ทรงพระประชวร พระรำชำ, พระบรมรำชนิ ี, พระยพุ รำช
ประชวร สมเด็จเจำ้ ฟ้ำ, พระองคเ์ จำ้ , หมอ่ มเจำ้
แตง่ งำน พระรำชำ, พระบรมรำชนิ นี ำถ, พระบรมรำชชนก,
ไป สวรรคต, เสด็จสวรรคต พระบรมรำชชนนี
ให้ เจำ้ ฟำ้ ท่ีไดร้ ับกำรเฉลิมพระยศพิเศษ
บอก ทิวงคต พระรำชวงศต์ ั้งแต่ชั้นสมเด็จเจ้ำฟ้ำ ถงึ ช้นั พระองคเ์ จำ้
ส้นิ พระชนม์ หมอ่ มเจ้ำ
ถวำยของ พระรำชำ
ถำม ถึงชพี ิตักษยั , สนิ้ ชพี ิตกั ษยั พระบรมโอรสำธริ ำช, พระบรมวงศ์ทรงเศวตฉัตร 7 ชั้น
รำชำภิเษกสมรส สมเด็จเจ้ำฟ้ำ – พระองค์เจำ้
อภิเษกสมรส หม่อมเจ้ำ (กรณีที่สมรสกันเอง)
เสกสมรส พระรำชำ พระบรมรำชินีนำถ/ รำชินี พระบรมรำช
เสกสมรส ชนนี พระบรมรำชชนก และพระยพุ รำช

เสดจ็ พระรำชดำเนนิ สมเด็จเจำ้ ฟำ้ , พระองคเ์ จ้ำ และหมอ่ มเจำ้
พระรำชำ พระบรมรำชินีนำถ/ รำชินี พระบรมรำช
เสด็จ ชนนี พระบรมรำชชนก และพระยพุ รำช
ทรงพระกรณุ ำโปรดเกล้ำโปรด
กระหมอ่ มพระรำชทำนหรอื ทรง สมเดจ็ เจ้ำฟำ้ , พระองค์เจ้ำ และหม่อมเจ้ำ
พระรำชทำน พระมหำกษัตรยิ ์
พระบรมรำชินี พระบรมรำชชนนี
ประทำน พระบรมรำชชนก และพระยุพรำช
กรำบบงั คมทลู พระกรณุ ำ
สมเดจ็ เจ้ำฟ้ำ และพระองค์เจ้ำ
กรำบบังคมทลู

กรำบทูล

ทูลเกล้ำทลู กระหมอ่ มถวำย พระมหำกษตั ริย์ พระบรมรำชนิ ี พระบรมรำชชนนี
(ของเล็ก) พระบรมรำชชนกและพระยุพรำช
นอ้ มเกลำ้ น้อมกระหมอ่ มถวำย
(ของใหญ)่

ถวำย สมเด็จเจ้ำฟ้ำ, พระองค์เจ้ำ และหมอ่ มเจ้ำ
มพี ระรำชดำรสั ถำม พระรำชำ – รชั ทำยำท
สมเดจ็ เจ้ำฟำ้ – พระองคเ์ จ้ำ
มรี บั สัง่ ถำม

//\\//\\คำรำชำศพั ท์//\\//\\

88

คำกรยิ ำ คำกริยำรำชำศัพท์ ลำดับช้นั
ทรงถำม
หมอ่ มเจ้ำ
ทรงทรำบฝ่ำละอองธลุ ีพระบำท
พระมหำกษัตริย์
รู้ ทรงทรำบฝ่ำละอองพระบำท พระบรมรำชินีนำถ/ รำชินี พระบรมรำชชนนี
ทรงทรำบฝำ่ พระบำท พระบรมรำชชนก และพระยุพรำช
ทรงทรำบ สมเดจ็ เจ้ำฟ้ำ และพระองคเ์ จ้ำ
หมอ่ มเจ้ำ
ขอพระรำชทำนพระบรม
รำชำนุญำต พระรำชำ

ขออนุญำต ขอพระรำชทำนพระรำชำนญุ ำต พระบรมรำชินี พระบรมรำชชนนี พระบรมรำชชนก

ตอ้ งกำร ขอพระรำชทำนพระอนญุ ำต สมเดจ็ เจำ้ ฟ้ำ และพระองคเ์ จำ้
เข้ำใจ ขอประทำนอนุญำต หม่อมเจำ้
คิด, ดำริ ต้องพระรำชประสงค์ พระรำชำ – รัชทำยำท
จำม ต้องพระประสงค์ สมเด็จเจำ้ ฟำ้ – หม่อมเจ้ำ
เปน็ ลม เข้ำพระรำชหฤทยั พระรำชำ – รัชทำยำท
ฝัน เขำ้ พระทัย สมเดจ็ เจ้ำฟำ้ – หม่อมเจ้ำ
พกั ผอ่ น มพี ระรำชดำริ, ทรงพระรำชดำริ พระรำชำ – รัชทำยำท
พดู ทรงพระดำริ สมเดจ็ เจำ้ ฟำ้ – พระองคเ์ จ้ำ
ฟังเทศน์ ฟังธรรม ทรงดำริ หมอ่ มเจำ้
ทรงพระปินำสะ พระรำชำ – พระองค์เจำ้
ทรงจำม หมอ่ มเจำ้
ประชวรพระวำโย พระรำชำ – พระองค์เจำ้
ทรงเป็นลม หม่อมเจ้ำ
ทรงพระสุบนิ พระรำชำ – พระองค์เจำ้
ทรงฝัน หม่อมเจำ้
สำรำญพระรำชอริ ิยำบถ พระรำชำ – สมเดจ็ เจ้ำฟ้ำ
สำรำญพระอริ ิยำบถ พระองคเ์ จำ้ – หม่อมเจำ้
มพี ระรำชดำรสั พระรำชำ – รชั ทำยำท
มีพระดำรัส สมเดจ็ เจ้ำฟ้ำ – พระองคเ์ จำ้
รับส่งั หมอ่ มเจำ้
ทรงสดบั พระธรรมเทศนำ พระรำชำ – พระองค์เจำ้
ทรงฟงั ธรรม หมอ่ มเจ้ำ

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

89

คำกรยิ ำ คำกริยำรำชำศพั ท์ ลำดับชั้น
มอี ำย.ุ ..ปี ทรงเจรญิ พระชนมพรรษำ...
พรรษำ, มพี ระชนมำยุ...พรรษำ พระรำชำ พระบรมรำชนิ นี ำถ
รอรบั เจรญิ พระชนั ษำ...ปี, มีพระ
รอ้ งไห้ ชรรษำ...ปี สมเดจ็ เจำ้ ฟำ้ – หม่อมเจ้ำ
เฝำ้ ทูลละอองธลุ พี ระบำทรับ
เสด็จฯ, เฝ้ำฯ รับเสด็จ พระรำชำ – รชั ทำยำท
เฝำ้ รบั เสด็จ
รอรับเสดจ็ สมเดจ็ เจำ้ ฟ้ำ - พระองคเ์ จำ้
ทรงพระกันแสง หม่อมเจำ้
ทรงกนั แสง พระรำชำ – รชั ทำยำท
กันแสง สมเดจ็ เจำ้ ฟำ้ – พระองค์เจ้ำ
หม่อมเจ้ำ

ประมวลคำกริยำรำชำศัพทท์ ค่ี วรทรำบ คำกริยำรำชำศพั ท์
ทรงหลัง่ ทกั ษโิ ณทก
คำกรยิ ำสำมัญ ทรงกรวดน้ำ (หมอ่ มเจำ้ )
ทรงพระขิปสัทโท
กรวดนำ้ ทรงกระแอม (หม่อมเจ้ำ)
เสดจ็ นิวตั ิ (พระรำชำ)
กระแอม เสดจ็ พระรำชดำเนนิ กลบั จำกแปรพระรำชฐำน
เสวยพระกระยำหำร
กลับ (จำกไปอยตู่ ่ำงประเทศเปน็ เวลำนำน) ทรงพระพโิ รธ, กริ้ว
กลบั จำกไปคำ้ งแรม (วังอน่ื ในตำ่ งจังหวัด) โปรด
ตกพระทัย
กนิ อำหำร เจริญพระเกศำ (ชำย) , แต่งพระเกศำ (หญงิ )
โกรธ ชำระพระทนต,์ แปรงพระทนต์
ซบู พระองค์
รกั ชอบ เอน็ ดู ทรงศลี
ตกใจ ชำระพระพักตร์
ทรงพระสรวล
ตัดผม ทำผม ทรงเจริญ, ทรงพว่ งพี
แปรงฟนั
ผอม
รับศลี ถอื ศลี
ลำ้ งหนำ้
หัวเรำะ
อว้ น

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

90

5) กำรกรำบบังคมทลู กรำบทลู และทูล
ในกำรกรำบบังคมทลู กรำบทูล และทูล หรอื รำยงำนดว้ ยวำจำ ต้องใช้คำขึน้ ตน้ และ

คำรบั คำลงท้ำยทีถ่ กู ตอ้ งตำมฐำนันดรศักดิ์ ดงั น้ี

สมเดจ็ พระเจ้ำอยู่หัว และสมเดจ็ พระบรมรำชินีนำถ

คำขึ้นต้น ขอเดชะฝ่ำละอองธุลพี ระบำทปกเกลำ้ ปกกระหมอ่ ม

สรรพนำม บุรษุ ท่ี 1 : ขำ้ พระพทุ ธเจำ้
บุรษุ ที่ 2 : ใตฝ้ ำ่ ละอองธุลพี ระบำท

คำรบั พระพทุ ธเจ้ำขำ้ (ย่อมำจำก พระพทุ ธเจำ้ ข้ำขอรบั ใสเ่ กล้ำใสก่ ระหมอ่ ม)

คำลงทำ้ ย ดว้ ยเกล้ำดว้ ยกระหมอ่ ม ขอเดชะ

สมเด็จพระบรมรำชนิ ี, สมเดจ็ พระบรมรำชชนก, สมเดจ็ พระรำชนนี และสมเดจ็ พระยพุ รำช

คำขน้ึ ต้น ขอพระรำชทำนกรำบบังคมทลู ทรำบฝ่ำละอองพระบำท

สรรพนำม บรุ ุษที่ 1 : ขำ้ พระพทุ ธเจ้ำ
บุรษุ ท่ี 2 : ใตฝ้ ่ำละอองพระบำท

คำรับ พระพุทธเจำ้ ข้ำ (ยอ่ มำจำก พระพทุ ธเจ้ำขำ้ ขอรับใส่เกลำ้ ใสก่ ระหมอ่ ม)

คำลงท้ำย ด้วยเกลำ้ ด้วยกระหม่อม หรือ ควรมิควรแลว้ แตจ่ ะทรงกรณุ ำโปรดเกลำ้ ฯ

พระบรมวงศ์ช้นั สมเดจ็ เจำ้ ฟ้ำ

คำข้นึ ต้น ขอพระรำชทำนกรำบทูล ทรำบฝำ่ พระบำท

สรรพนำม บรุ ษุ ท่ี 1 : ขำ้ พระพทุ ธเจ้ำ
บรุ ษุ ที่ 2 : ใต้ฝ่ำพระบำท

คำรับ พ่ะย่ะค่ะ (เพี้ยนมำจำก พระพทุ ธเจำ้ ข้ำ)

คำลงท้ำย ควรมคิ วรแลว้ แต่จะโปรดเกลำ้ โปรดกระหมอ่ ม

พระบรมวงศช์ นั้ พระองค์เจำ้ (พระรำชโอรส พระรำชธดิ ำของพระรำชำ)

คำขน้ึ ต้น ขอประทำนกรำบทูล ทรำบฝำ่ พระบำท

สรรพนำม บุรษุ ท่ี 1 : ขำ้ พระพทุ ธเจำ้
บรุ ษุ ท่ี 2 : ใตฝ้ ำ่ พระบำท

คำรับ กระหมอ่ ม

คำลงทำ้ ย ควรมคิ วรแลว้ แต่จะโปรดเกล้ำโปรดกระหม่อม

พระอนุวงศช์ ้ันพระองค์เจ้ำ (พระเจำ้ หลำนเธอ พระองค์เจำ้ , พระเจำ้ วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ำ)

คำขึ้นต้น ขอพระรำชทำนกรำบทลู ทรำบฝำ่ พระบำท

สรรพนำม บุรษุ ท่ี 1 : เกลำ้ กระหมอ่ ม (ชำย), เกลำ้ กระหม่อมฉัน (หญิง)
บุรุษท่ี 2 : ฝ่ำพระบำท

คำรบั กระหมอ่ ม

คำลงท้ำย ควรมคิ วรแล้วแตจ่ ะโปรด

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

91

คำขึ้นตน้ พระอนวุ งศ์ชัน้ พระองคเ์ จำ้ (พระวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจำ้ )
สรรพนำม กรำบทูล ทรำบฝำ่ พระบำท
คำรับ บรุ ุษท่ี 1 : เกลำ้ กระหมอ่ ม (ชำย), เกล้ำกระหม่อมฉัน (หญิง)
คำลงทำ้ ย บุรษุ ท่ี 2 : ฝำ่ พระบำท
กระหมอ่ ม
คำขนึ้ ต้น ควรมคิ วรแล้วแต่จะโปรด
สรรพนำม
คำรับ สมเดจ็ พระสงั ฆรำช
คำลงท้ำย กรำบทลู ทรำบฝำ่ พระบำท
บรุ ษุ ท่ี 1 : กระหม่อม (ชำย), หมอ่ มฉัน (หญิง)
บรุ ุษท่ี 2 : ฝำ่ พระบำท
กระหม่อม
ควรมิควรแลว้ แต่จะโปรด

กำรใชค้ ำรำชำศัพทส์ ำหรบั พระสงฆ์ (สมณโวหำร)
สมณโวหำร คือ ถ้อยคำท่ีควรแก่สมณะ หรือ ถ้อยคำที่ใช้แก่สมณะ ซึ่งคำว่ำ “สมณะ” ใน

พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. 2554 ได้ให้ควำมหมำยไว้ว่ำ หมำยถึง ผู้สงบกิเลสแล้ว
โดยเฉพำะหมำยถงึ ภิกษใุ นพระพทุ ธศำสนำ

คนไทยมีคำพูดท่ีใช้แก่พระภิกษุโดยเฉพำะอยู่ประเภทหน่ึง บำงทีก็เป็นคำที่พระภิกษุเป็นผู้
ใช้เอง เชน่ คำว่ำ อำตมำภำพ หรือ อำตมำ มคี วำมหมำยเท่ำกับ ฉนั บำงคำก็ทั้งท่ำนใช้เอง และเรำใช้
กับท่ำน เช่น คำว่ำ ฉัน หมำยถึง กิน, จำวัด หมำยถึง นอน และอำพำธ หมำยถึง ป่วย กำรพูดกับ
พระภิกษุต้องมีสัมมำคำรวะ สำรวม ไม่ใชถ้ ้อยคำที่เป็นไปในทำนองพูดเล่น หรือพูดพล่อยๆ ซึง่ จะเป็น
กำรขำดควำมเคำรพไป

กำรใช้สมณโวหำร โดยเฉพำะคำสรรพนำม ต้องพิจำรณำใช้คำตำมลำดับชั้นของพระสงฆ์ ซึ่ง
มลี ำดับ ดงั นี้

1) สมเดจ็ พระสงั ฆรำชเจำ้
2) สมเดจ็ พระสังฆรำช
3) สมเด็จพระรำชำคณะ (พระภิกษทุ ีม่ ีรำชทินนำมนำหน้ำด้วยคำว่ำ “สมเดจ็ พระ”
4) พระรำชำคณะช้ันเจำ้ คณะรอง
5) พระรำชำคณะชน้ั ธรรม (มักมีคำวำ่ ธรรม นำหนำ้ เช่น พระธรรมโกศำจำรย์)

//\\//\\คำรำชำศพั ท์//\\//\\

92

6) พระรำชำคณะชน้ั เทพ (มกั มีคำวำ่ เทพ นำหนำ้ เช่น พระเทพเมธ)ี
7) พระรำชำคณะชน้ั รำช (มักมคี ำวำ่ รำช นำหน้ำ เชน่ พระรำชวรมุน)ี
8) พระรำชำคณะช้นั สำมญั
9) พระครู
10) พระเปรยี ญ ตั้งแต่ 3 – 9 ประโยค เรียกว่ำ พระมหำ
11) พระสงฆ์ท่ีมีตำแหน่งด้ำนกำรปกครอง เช่น เจ้ำอธิกำร (เจ้ำอำวำสท่ีเป็นพระ
อุปชั ฌำย์) พระอธกิ ำร (เจำ้ อำวำสทั่วไปทม่ี ่สี มณศกั ดิ)์
12) พระอนุจร (พระสงฆ์ทว่ั ไป)
13) สำมเณร
กำรใช้คำพูดแก่พระภิกษุทรงสมณศักดิ์ท่ีผิดกันมำกคือช้ันสมเด็จพระรำชำคณะเนื่องจำก มี
คำว่ำ “สมเด็จ” นำหน้ำจึงทำให้เข้ำใจว่ำต้องใช้รำชำศัพท์ เช่น พูดว่ำ “วันนี้ไปเฝ้ำสมเด็จพระวันรัต
ท่ำนรับสั่งว่ำ...” ซ่ึงผิด เนื่องจำกพระสงฆ์ทรงสมณศักด์ิที่ต้องใช้รำชำศัพท์มีเพียงสมเด็จพระสังฆรำช
เทำ่ นน้ั เว้นแต่พระภกิ ษรุ ูปใด จะมฐี ำนนั ดรศักดิท์ ำงพระรำชวงศ์อยู่ก่อนแล้ว เช่น หม่อมเจ้ำ, พระองค์
เจำ้ ทรงผนวชเปน็ ภกิ ษุ จงึ ใชค้ ำรำชำศัพท์แทนกำรใชส้ มณโวหำร
เม่ือสมเด็จพระรำชำคณะที่มิใช่เป็นพระรำชำวงศ์ได้รับสถำปนำเป็นสมเด็จพระสังฆรำช
ฐำนันดรศักดิ์ของท่ำนเสมอกับชั้นพระรำชวงศ์ชั้นพระองค์เจ้ำ ดังน้ันกำรพูดกับท่ำนจึงต้องเปลี่ยน
เป็นรำชำศัพท์ชั้นพระองค์เจ้ำ นอกจำกน้ีสมเด็จพระสังฆรำชเจ้ำ ซึ่งภิกษุท่ีมีฐำนนันดรศักด์ิเดิมเป็น
ช้ันหม่อมเจ้ำขึ้นไปอยู่แล้ว หรือได้รับกำรโปรดเกล้ำฯ สถำนปนำจำกสมเด็จพระสังฆรำช เช่น สมเด็จ
พระสังฆรำชวัดบวรนิเวศวิหำร (หม่อมรำชวงศ์ชื่น นพวงศ์ สุจิตโต) พระรำชอุปัขฌำจำรย์ ทรงพระ
กรุณำโปรดเกล้ำฯ สถำปนำเป็นสมเด็จพระสังฆรำชเจ้ำกรมหลวงวชิรญำณวงศ์ ฐำนันดรศักดิ์ของ
พระองค์ท่ำนจึงเปล่ียนเป็นระดับพระเจ้ำบรมวงศ์ ซึ่งคำรำชำศัพท์ที่ใช้ก็ต้องสอดคล้องกับระดับช้ัน
ของท่ำนดว้ ย

คำสรรพนำมทใ่ี ช้กับพระภกิ ษุสงฆ์
เม่ือสรรพนำมบุรุษที่ 1 เป็นพระภิกษุ ใช้กับ สมเด็จพระรำชำคณะลงไปจนถึงพระภิกษุ

สำมเณรทัว่ ไป

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\

93

สรรพนำมบรุ ุษที่ 1 สรรพนำมบุรุษท่ี 2
เกลำ้ กระผม พระเดชำพระคุณท่ำนเจ้ำประคุณ, พระเดชพระคุณท่ำนเจ้ำประคณุ
(ภำษำปำก ใช้วำ่ ท่ำนเจำ้ พระคุณ, ท่ำนเจำ้ ประคณุ )
เกล้ำกระผม
กระผม *ใชก้ บั สมเด็จพระรำชำคณะ
ผม
พระเดชพระคุณท่ำนเจ้ำประคุณ (ภำษำปำก ใช้ว่ำ พระคุณเจ้ำ,
ทำ่ นเจำ้ คณุ )

*ใช้กับพระรำชำคณะทกุ ชัน้

ท่ำนพระคร,ู พระคุณเจำ้

*ใช้กับ พระครู และ พระเปรียญ

ทำ่ น, พระคณุ ทำ่ น

*ใช้กับพระภิกษสุ ำมเณรท่วั ไป

เมื่อสรรพนำมบุรุษที่ 1 เป็นสำมัญชน ใช้กับสมเด็จพระรำชำคณะลงไปจนถึงพระภิกษุ

สำมเณรทั่วไป

สรรพนำมบุรุษท่ี 1 สรรพนำมบุรษุ ท่ี 2
เกลำ้ กระผม พระเดชำพระคุณท่ำนเจ้ำประคุณ, พระเดชพระคุณท่ำนเจ้ำประคุณ
(ภำษำปำก ใช้ว่ำ ทำ่ นเจำ้ พระคณุ , ทำ่ นเจำ้ ประคุณ)
เกล้ำกระผม (ผชู้ ำย) ดฉิ นั
(ผ้หู ญงิ ) *ใชก้ บั สมเดจ็ พระรำชำคณะ

ผม (ผชู้ ำย) ดิฉนั (ผ้หู ญิง) พระเดชพระคุณท่ำนเจ้ำประคุณ (ภำษำปำก ใช้ว่ำ พระคุณเจ้ำ,
ผม (ผู้ชำย) ดิฉนั (ผู้หญิง) ท่ำนเจ้ำคณุ )

*ใช้กับพระรำชำคณะทกุ ช้นั

ทำ่ นพระคร,ู พระคณุ เจำ้

*ใชก้ บั พระครู และ พระเปรยี ญ

ทำ่ น, พระคณุ ท่ำน

*ใชก้ บั พระภิกษสุ ำมเณรท่วั ไป

หลักเกณฑใ์ นกำรเขียนจดหมำยถึงพระสงฆ์

สมเด็จพระสังฆรำชเจำ้

คำขึน้ ต้น ขอประทำนกรำบทลู ...(ออกพระนำม)...

สรรพนำม บรุ ุษที่ 1 : ขำ้ พระพทุ ธเจำ้
บรุ ุษที่ 2 : ใต้ฝำ่ พระบำท

//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\


Click to View FlipBook Version