94
คำลงท้ำย ควรมิควรแลว้ แต่จะโปรดเกล้ำโปรดกระหม่อม
กำรจ่ำหน้ำซอง ขอประทำนกรำบทูล...(ระบุพระนำม)...
คำข้ึนต้น สมเด็จพระสังฆรำช
สรรพนำม กรำบทูล...(ออกพระนำม)...
คำลงทำ้ ย บรุ ษุ ท่ี 1 : เกลำ้ กระหม่อม (ชำย), เกล้ำกระหม่อมฉนั (หญิง)
กำรจำ่ หนำ้ ซอง บุรษุ ท่ี 2 : ฝ่ำพระบำท
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำข้นึ ต้น กรำบทูล...(ระบุพระนำม)...
สรรพนำม
คำลงท้ำย สมเด็จพระรำชำคณะ, รองสมเดจ็ พระรำชำคณะ
กำรจ่ำหน้ำซอง นมสั กำร
บรุ ุษที่ 1 : กระผม – ดฉิ ัน
คำข้นึ ตน้ บรุ ษุ ท่ี 2 : พระคณุ เจ้ำ
สรรพนำม ขอนมสั กำรด้วยควำมเคำรพอยำ่ งยงิ่
คำลงทำ้ ย นมัสกำร...
จำ่ หนำ้ ซอง
พระรำชำคณะ
คำขน้ึ ตน้ นมสั กำร
สรรพนำม บุรุษท่ี 1 : กระผม – ดิฉัน
คำลงท้ำย บุรุษที่ 2 : พระคณุ ทำ่ น
จ่ำหน้ำซอง ขอนมสั กำรดว้ ยควำมเคำรพอยำ่ งสงู
นมัสกำร...
พระภกิ ษสุ งฆ์ทั่วไป
นมัสกำร
บรุ ษุ ท่ี 1 : ผม – ดิฉนั
บรุ ุษท่ี 2 : ท่ำน
ขอนมสั กำรดว้ ยควำมเคำรพ
นมัสกำร...
หมำยเหตุ : สำหรับคำสรรพนำมท่ีใช้ในกำรพูดกับพระภิกษุก็ยังคงเหมือนสรรพนำมในกำรเขียนจดหมำย ในกรณี
ที่พระภิกุสำมเณรจะพูดกับพระมหำกษัตริย์ให้ใช้คำแทนตัวเองว่ำ “อำตมภำพ” และใช้คำแทนพระมหำกษัตริย์
(ในฐำนะยกย่องมำก) ว่ำ “สมเด็จบรมบพิตรพระรำชสมภำรเจ้ำ” หรือถ้ำในฐำนะธรรมดำ ใช้ว่ำ “บพิตรพระรำช
สมภำพ” หรอื “มหำบพิตร” และใช้คำลงท้ำยทุกตอนวำ่ “ถวำยพระพร”
//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\
95
ประมวลคำศพั ทส์ ำหรับพระสงฆ์ทค่ี วรรู้
คำศพั ทส์ ำมญั คำศพั ทส์ ำหรบั พระสงฆ์
กรำบ, ไหว้ นมสั กำร
กนิ , ดืม่ ฉนั
กินอำหำร ฉนั ภัตตำหำร, ฉนั จังหนั
กนิ อำหำรเชำ้ ฉนั ภัตตำหำรเช้ำ, ฉันจงั หนั เช้ำ, ฉนั เช้ำ
กนิ อำหำรกลำงวนั ฉนั ภัตตำหำรเพล, ฉนั จังหนั เพล, ฉันเพล
ฉนั คลิ ำนเภสัช
กินยำ ปลงควิ้
โกนคิ้ว ปลงผม
โกนผม ปลงหนวด
โกนหนวด ไทยธรรม, ไทยทำน
ของถวำยพระภิกษ,ุ ของทำบญุ ต่ำงๆ ขอนิสัย
ขอฝำกตวั เปน็ ศษิ ย์พระอปุ ชั ฌำย์ ขอถวำย
ขอให้ อำรำธนำ
ขอใหพ้ ระภิกษุกระทำอยำ่ งใดอย่ำงหนง่ึ ขอนมัสกำรมำยัง...หรอื กรำบเรียน (ฆรำวำสถึงพระสงฆ)์
ขอเจรญิ พรมำยงั ... (พระสงฆ์ถงึ ฆรำวำส)
คำขึ้นตน้ จดหมำย ขอถวำยพระพร (พระทเี่ ปน็ พระรำชำ - หมอ่ มเจ้ำ)
นมัสกำร (ฆรำวำสใชก้ ับพระสงฆ)์
คำปฏิสันถำร อัฐบริขำร (สบง จีวร สังฆำฏิ บำตร มีดโกน เข็ม รัดประคด และ
กระบอกกรองน้ำ)
เคร่ืองใช้จำเปน็ ของพระภิกษุ ไตรจวี ร (สบง จวี ร สังฆำฏ)ิ
จตปุ ัจจัย (ผ้ำนุ่งห่ม อำหำร ท่ีอยู่ และยำ
เครอ่ื งน่งุ หม่ อำตมภำพ, อำตมำ
เครอื่ งอำศัยเลย้ี งชีวติ ถวำยพระพร (พระสงฆ์ใช้กับพระรำชำ – หมอ่ มเจำ้ )
สรรพนำมบุรุษที่ 1 (พระสงฆเ์ วลำพูด) เจริญพร (พระสงฆส์ ำมเณรใช้กับคนทั่วไป)
โยม เชน่ โยมพ่อ โยมแม่ โยมปำ้ โยมอำ
คำเรม่ิ และคำรบั ปจั จยั
ลขิ ิต (ใช้แกพ่ ระสงฆ์ท่วั ไป)
คำเรยี กบดิ ำ มำรดำ และญำติพ่ีนอ้ ง เผดียงสงฆ์
เงนิ นมิ นต์
สผุ ำ้
จดหมำย มรณภำพ, ถงึ แก่มรณภำพ
แจ้งใหส้ งฆท์ รำบ ครองผำ้ , หม่ จีวร
เชญิ
ซักย้อมผำ้
ตำย
แตง่ ตัว
//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\
96
คำศัพท์สำมญั คำศัพทส์ ำหรับพระสงฆ์
ที่น่งั , เครื่องปรู องนง่ั อำสนะ
ที่น่ัง, ทนี่ อน, ทีอ่ ยู่ เสนำสนะ
ทย่ี กพน้ื สำหรบั นั่ง อำสน์สงฆ์
ท่สี ำหรับนง่ั แสดงธรรม ธรรมำสน์
กฏุ ิ
ที่อยู่อำศัย อำบัติ
โทษท่ีเกิดจำกกำรละเมิดสิกขำบท จำวัด
อฐั บำน
นอน, หลับนอน อปุ สมบท
น้ำท่คี ั้นจำกผลไม้ บรรพชำ
ถวำยพระพรลำ (ใช้กบั พระรำชำ – พระรำชนิ )ี
บวชเปน็ สงฆ์ อุบำสก, ประสก
บวชเปน็ สำมเณร อำพำธ
ปวำรณำ
บอกลำ ไปถำน
บรุ ษุ ท่ีนับถือพทุ ธศำสนำ สมเดจ็ พระบรมพติ ร, พระรำชสมภำรเจำ้ (ยกย่องมำก)
บพติ รพระรำชสมภำร, มหำบพติ ร (ท่ัวไป)
ป่วย เจ้ำอำวำส
เปิดโอกำสให้ขอหรอื เรยี กรอ้ งเอำได้ รว่ มสังฆกรรม
รับบณิ ฑบำต
ไปสว้ ม รบั นิมนต์
ลงอโุ บสถ, ลงอโุ บสถกรรม
พระเจ้ำแผ่นดนิ กรำบลำ (ใช้แก่พระภิกษทุ น่ี บั ถอื )
ลำสกิ ขำบท
ภิกษุผู้ปกครองวัด องั คำส
ร่วมทำกิจของสงฆ์ภำยในพัทธสีมำ อบุ ำสกิ ำ, สกี ำ
ทำวัตรคำ่ / เชำ้ / เยน็
รบั ของใส่บำตร ปลงอำบตั ิ จำกกำรล่วงละเมิดสิกขำบทขนำดเบำ
รับเชญิ เทศนำ, เทศน์
ฎกี ำ
ลงสวดและฟังพระปตโิ มกขใ์ นพระอโุ บสถ ถวำย (แด่พระภิกษุสำมำเณร)
ลำ ประเคน
ถวำยอดิเรก (แดพ่ ระรำชำ หรือผแู้ ทนพระองค)์
ลำสึกจำกพระ
เลีย้ งพระ, ถวำยอำหำรพระ
สตรีที่นบั ถอื พุทธศำสนำ
สวดมนต์ไหวพ้ ระตอนค่ำ/ เช้ำ/ เยน็
แสดงควำมผิดเพื่อเปลอ้ื งโทษทเ่ี กดิ
แสดงธรรม
หนงั สือทเ่ี ขียนนมิ นต์
ให้
ใหใ้ นระยะไม่เกินศอกหน่งึ
ใหพ้ รพเิ ศษ
//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\
97
คำศพั ทส์ ำมัญ คำศัพท์สำหรับพระสงฆ์
อำบนำ้
สรงนำ้
เอำโทษที่ผดิ ตำมพระวินยั ปรับอำบัติ
ประมวลคำศพั ท์สำหรับพระสังฆรำชท่ีควรรู้
คำศัพท์สำมัญ คำศพั ทส์ ำหรับพระสงั ฆรำช
โกนผม ปลงพระเกศำ
โกนหนวด ปลงพระมสั สุ
กิน เสวย
ขอ ขอประทำน
ขอประทำนถวำย
ให้ (พระสังฆรำช) ขอประทำนพระอนุญำต
ขออนญุ ำต พระโอวำท
คำสอน พระลิขิต, พระสมณสำสน์
จดหมำย ตรสั , ดำรสั , รบั สั่ง
พดู ส้นิ พระชนม์
ตำย ทรงสบง, ทรงจวี ร
แตง่ ตวั พระแท่น
ธรรมำสน์ บรรทม
นอน กรำบทูลเชิญเสด็จไป
นิมนต์ไป พระบัญชำ
คำส่ัง ประชวร
ปว่ ย ทรงรับนิมนต์
รับเชญิ กรำบทลู ลำ
ลำ วันคล้ำยวนั ประสตู ิ
ประทำน
วันคล้ำยวนั เกดิ ของสมเด็จพระสังฆรำช ประทำนวโรกำสให้เข้ำเฝ้ำ, ประทำนวโรกำรสใหเ้ ฝำ้
ให้ (พระสังฆรำชให้) พระชันษำ...ปี
ใหโ้ อกำสเข้ำพบ
อำย.ุ ..ปี
หมำยเหตุ : สมเดจ็ พระสงั ฆรำชใช้รำชำศัพทอ์ ยำ่ งเดยี วกับพระองค์เจำ้ ท่เี ปน็ พระรำชนดั ดำในพระมหำกษัตรยิ ์
กำรใช้คำสุภำพ
คำสุภำพเป็นส่วนหน่ึงของรำชำศัพท์ ดังเช่นท่ี ม.ล. ปีย์ มำลำ ได้กล่ำวไว้ในหนังสือ “กำรใช้
ถ้อยคำและรำชำศัพท์” ว่ำ เมื่อกล่ำวถึง “คำหยำบ” และ “คำสุภำพ” น้ัน ควำมหมำยท่ีแท้จริงของ
//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\
98
“คำหยำบ” หำใช่หมำยถึงเฉพำะคำโลนหรือคำท่ีใช้ในกำรกล่ำวผรุสวำจำเท่ำนั้นไม่ ท่ีถูกแล้วน่ำจะ
เรียกว่ำ “คำสำมัญ และ คำวิสำมัญ” มำกกว่ำ เช่น คำว่ำ มือ ตีน กิน เดิน และนอน ซึ่งไม่น่ำจะเป็น
คำหยำบอะไร แต่กำรนำคำเหล่ำนี้ไปใช้พูดกับผู้ท่ีมีอำวุโสกว่ำ คำเหล่ำน้ันถือว่ำเปน็ “คำหยำบ” ต้อง
เปล่ียนใช้คำอื่น เช่น จะพูดว่ำ “ตีน” ก็ต้องเปลี่ยนเป็น “เท้ำ” เป็นต้น ซ่ึงกำรระมัดระวังกำรใช้
ภำษำไทยให้สภุ ำพเหมำะสมนั้นมแี นวทำงทค่ี วรนำไปปฏบิ ตั ิ ดงั ตอ่ ไปนี้
1) ไม่ควรใช้ถ้อยคำอุทำนท่ีไมส่ ภุ ำพ เช่น โวย้ เวย้ หรือคำสำบำนทหี่ ยำบคำย เช่น ใหต้ ำยห่ำ
ให้ฉบิ หำย หรอื พูดกระชำกเสยี ง เชน่ เปลำ่ ไม่ใช่
2) ไม่ควรใช้คำทถ่ี อื ว่ำหยำบคำย คือ
2.1) คำว่ำ “ไอ้” ควรใช้ “ส่ิง” แทน เช่น ไอ้นี่ ไอ้น่ัน ควรเป็น ส่ิงน้ี สิ่งนั้น หรือตัด
คำวำ่ “ไอ”้ ทงิ้ เสยี เลย เชน่ ปลำไอบ้ ำ้ เป็น ปลำบ้ำ
2.2) คำวำ่ “อ”ี ควรใช้คำวำ่ “นำง” เชน่ อเี ห็น เป็น นำงเห็น, อเี ลิ้ง เป็น นำงเลิ้ง
2.3) คำวำ่ “ข”้ี ควรใช้คำว่ำ “อจุ จำระ” หรอื “คูถ” แทน หรือบำงทีตดั ออกเสียเลย
เช่น ดอกขี้เหลก็ เป็น ดอกเหลก็ หรอื เปลี่ยนเสยี ทง้ั หมด เช่น ขนมข้หี นู เปน็ ขนมทรำย
2.4) คำวำ่ “เย่ยี ว” ควรใช้คำวำ่ “ปสั สำวะ” หรือ “มตู ร” แทน
3) ไมค่ วรใชค้ ำทม่ี ีควำมหมำยหยำบ เชน่ ปลำช่อน ปลำสลิด สำกกระเบือ
4) ไม่ควรใช้คำผวน หรือคำใดก็ตำมเม่ือผวนหำงเสยี ง หรือท้ำยคำกลับมำไว้ข้ำงหน้ำแล้ว คำ
นัน้ จะเปน็ คำท่ีไมส่ ภุ ำพทนั ที เชน่ คุณหมอจำ๋ ผวนเป็น คุณหมำจ๋อ, ผกั บุ้ง ผวนเปน็ พุ่งบัก
นอกจำกน้ีอำจำรย์คุณหลวงอัตถโยธินปรีชำ ยังได้กล่ำวถึงวิธีสังเกตคำผวน เพื่อให้ผู้ใช้
ภำษำไทยไดร้ ะมดั ระวงั ไว้อยำ่ งนำ่ สนใจ ดังนี้
1) คำในพวกท่ีมสี ำเนียงเปน็ สระอี เชน่ ตี ดี หวี ผี สี ฯลฯ จงระวังอยำ่ ให้คำพวกท่ีมี
สำเนียงเปน็ ตวั “ห” หรือ “ฮ” เข้ำมำตดิ ต่อข้ำงหนำ้ หรือข้ำงหลังคำน้นั ได้
2) คำจำพวกสระอะ มีตวั สะกด เชน่ กกั ดัก สกั หัก ผกั ฯลฯ จงระวังอย่ำใหค้ ำพวก
ทีม่ สี ำเนียงเปน็ ตัว “บ” เขำ้ มำติดต่อข้ำงหนำ้ หรอื ขำ้ งหลงั คำน้นั ได้
3) คำจำพวกสระออ มีตัว “ก” สะกด เช่น ออก กอก บอก ตอก ฯลฯ จงระวังอย่ำ
ใหค้ ำพวกทมี่ สี ำเนียงเป็นตัว “ถ” หรอื “ท” เขำ้ มำติดต่อขำ้ งหน้ำหรือข้ำงหลงั คำนัน้ ได้
4) คำจำพวกสระอู ทม่ี ีตวั “ด” สะกด เช่น ดูด อดู ปูด ฯลฯ จงระวงั อยำ่ ให้คำพวกนี้
มีสำเนียงเป็นตวั “ต” เข้ำมำติดต่อขำ้ งหนำ้ หรือขำ้ งหลงั คำนนั้ ได้
//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\
99
5) คำจำพวกสระเอะ ท่ีมตี ัว “ด” สะกด เชน่ เลด็ เจด็ เด็ด เอ็ด ฯลฯ จงระวงั อยำ่ ให้
คำพวกน้มี ีสำเนยี งเป็นตัว “ย” เขำ้ มำติดตอ่ ข้ำงหนำ้ หรอื ขำ้ งหลังคำนน้ั ได้
6) คำจำพวกสระแอ ท่ีมีตัว “ด” สะกด เชน่ แดด แปด แผด แรด ฯลฯ จงระวังอย่ำ
ให้คำพวกน้มี สี ำเนียงเป็นตวั “ต” เข้ำมำตดิ ตอ่ ขำ้ งหนำ้ หรอื ขำ้ งหลังคำนนั้ ได้
7) คำจำพวกสระอัว ท่ีมีตัว “ย” สะกด เช่น พวย มวย รวย ด้วย ฯลฯ จงระวังอย่ำ
ใหค้ ำพวกนม้ี ีสำเนียงเป็นตวั “ข” หรือ “ค” เขำ้ มำตดิ ตอ่ ขำ้ งหนำ้ หรือข้ำงหลังคำน้ันได้
ประมวลคำสภุ ำพทีค่ วรรู้
คำสำมัญ คำสุภำพ คำสำมัญ คำสุภำพ
1. กล้วยกุ กล้วยสนั้
3. กลว้ ยบวชชี นำรจี ำศลี 2. กลว้ ยไข่ กล้วยเปลอื กบำง, กล้วยกระ
5. ขกี้ ลำก โรคกลำก
7. ขี้ควำย มลู ควำย 4. ข้ี อจุ จำระ
9. ขี้ผงึ้ สีผึง้
11. ข้ีสตั ว์ มลู สตั ว์ 6. ขเ้ี กลือ้ น โรคเกล้อื น
13. ขนมจีน ขนมเส้น
15. ขนมใสไ่ ส้ ขนมสอดไส้ 8. ขด้ี นิ มูลดนิ
17. คลองเจ็ดแยก คลองเจ็ดแถว
19. คณุ ด้วย คณุ อีกคนหนึง่ 10. ข้ีเรือ้ น โรคเรอ้ื น
21. เจ็ดอย่ำง เจ็ดประกำร
23. ช้ำงสดี อ ช้ำงนรกำร 12. ไข่ ฟอง
25. ดอกผักตบ ดอกสำมหำว
27. ดอกซอ่ นชู้ ดอกซอ่ นกล่ิน 14. ขนมเทยี น ขนมบวั สำว
29. ดอกย่ีหบุ ดอกมณฑำขำว
31. ดอกลั่นทม ดอกลลี ำวดี 16. ของตำกแดด ของผ่ึงแดด
33. ตน้ พุงดอ ต้นหนำมรอบข้อ
35. ต้นทองกวำว ต้นปำรฉิ ัตร 18. ควำย กระบอื
37. ตน้ เถำนมชำ้ ง ต้นเถำถนั หตั ถนิ ี
39. แตงโม ผลอุลติ 20. เจด็ โยชน์ สองพนั แปดร้อยเส้น
41. ถว่ั ดำตม้ หวำน จรกำลงสรง
43. เถำตดู หมูตดู หมำ เถำกระพังโหม 22. ช้ำงแมแ่ ปรก ช้ำงแม่หนกั
45. เถำหมำมยุ่ เถำมยุ่
24. ดอกสลิด ดอกขจร
26. ดอกผกั บุง้ ดอกทอดยอด
28. ดอกมะลิ ดอกมัลลกิ ำ
30. ดอกนมแมว ดอกถนั วิฬำร์
32. เตำ่ จิตรจลุ
34. ต้นทองหลำง ตน้ ปำริชำติ
36. ตน้ ตำแย ต้นอเนกคุณ
38. ต้นเหงือกปลำหมอ ต้นจะเกรง
40. ถั่วงอก ถวั่ เพำะ
42. เถำหวั ลงิ เถำศรีษะวำนร
44. เถำยำ่ นำง เถำวลั ย์เขยี ว
46. ท่หี ำ้ ครบห้ำ
//\\//\\คำรำชำศพั ท์//\\//\\
100
คำสำมัญ คำสภุ ำพ คำสำมัญ คำสภุ ำพ
47. ท่หี ก ครบหก 48. ทำงเจ็ดแยก ทำงเจด็ ตำบล
49. บำงชหี น บำงชโี พ้น 50. บำงอีร้ำ บำงนำงร้ำ
51. ปลำช่อน ปลำหำง 52. ปลำสลดิ ปลำใบไม้
53. ปลำไหล ปลำยำว 54. ปลำรำ้ ปลำมัจฉะ
55. ปลำลิ้นหมำ ปลำลนิ้ สุนัข 56. ปลิง ชัลลกุ ำ
57. แปดตวั , แปดตน้ ส่ีคู่ 58. ผกั อรี ้ำ ผกั นำงร้ำง
59. ผกั อีรน้ิ ผักนำงรนิ้ 60. ผกั ปอด ผกั ปัปผำสะ
61. ผักกระเฉด ผกั ร้นู อน 62. ผกั ปลำบ ผักไห่
63. ผกั อนี ูน ผกั นำงนนู 64. ฟักทอง ฟกั เหลือง
65. แมว วิฬำร, วิฬำร์ 66. มะเขือกะหำแพะ มะเขอื เผำ
67. ฤๅษแี ปดตน ฤๅษแี ปดรูป 68. ลูก (ไม้ทั้งปวง) ผล
69. ลกู ตะลงิ ปลิง ผลมลู ละม่งั 70. ลกู ขีก้ ำ ผลมลู กำ
71. ลงิ วำนร 72. ววั โค
73. สองบำท กึ่งตำลึง 74. สตั ว์ข้ี ถ่ำยมลู
75. สำกกะเบอื ไมต้ ีพริก 76. สห่ี น สี่คร้งั
77. ไส้เดือน รำกดนิ 78. หมู สุกร
79. หมำ สุนขั 80. หิน ศลิ ำ
81. หวั ปลี ปลกี ล้วย 82. หัว (สิ่งมีชวี ติ ) ศรี ษะ
83. เหด็ โคน เหด็ ปลวก 84. หมอตำแย หมอผดงุ ครรภ์
85. หอยอีรม หอยนำงรม 86. อีเก้ง นำงเกง้
87. อีเห็น นำงเหน็ 88. อเี ลิง้ นำงเลิ้ง
89. ออกลกู (คน) คลอดบุตร 90. ออกลกู (สัตว)์ ตกลูก
กล่ำวโดยสรุป คำรำชำศัพท์ ปัจจุบันหมำยถึงคำสุภำพไพเรำะไม่ได้ใช้หมำยเฉพำะพระรำชำ
แต่นำมำใช้ให้เหมำะสมตำมช้ันและฐำนะของบุคคล บุคคลท่ีสำมำรถใช้คำรำชำศัพท์ได้อย่ำงถูกต้อง
จะสำมำรถสมำคมกับผู้อื่นได้ดี เพรำะกำรได้ศึกษำถ้อยคำท่ีควรใช้กับบุคคลตำมฐำนะต่ำงๆ มำแล้ว
อีกทั้งยังเป็นกำรแสดงออกถึงควำมมีวัฒนธรรมอันดีงำมทำงภำษำอันเป็นมรดกสำคัญของชำติเอำไว้
อกี ด้วย
//\\//\\คำรำชำศัพท์//\\//\\
101
สำนวน สุภำษติ คำพงั เพย
สำนวนไทย หมำยถึง ถ้อยคำที่คมคำยงดงำมซ่ึงผู้กล่ำวได้เลือกสรรแต่งข้ึนเพื่อใช้ในภำษำ
เป็นคำพูดที่รวมใจควำมของเรื่องยำวๆ ให้สั้นลงเพียง 2-3 คำ (กระทรวงศึกษำธิกำร, 2511: 329)
สำนวนเป็นคำพูดท่ีเป็นชั้นเชิงไม่ตรงไปตรงมำแต่มีควำมหมำยในคำพูดน้ันๆ คนฟังอำจเข้ำใจ
ควำมหมำยทันทีถ้ำคำพูดน้ันใช้กันแพร่หลำยทั่วไป จนอยู่ตัวแล้ว แต่ถ้ำไม่แพร่หลำยคนฟังก็ไม่อำจ
เขำ้ ใจทันทีต้องคดิ จงึ เข้ำใจ (กำญจนำคพนั ธ์,ุ 2515: 1)
มูลเหตุของสำนวนไทย : สำนวนไทยเกดิ จำกมลู เหตตุ ่ำงๆ อำทิ
1) เกิดจำกธรรมชำติ เชน่ สำนวน กำฝำก คลนื่ กระทบฝ่ัง ฝนสงั่ ฟำ้ ปลำสั่งหนอง เปน็ ตน้
2) เกิดจำกกำรกระทำ เช่น สำนวน ก่อร่ำงสร้ำงตัว เอำหูไปนำเอำตำไปไร่ เลือกที่รักมัก
ทีช่ งั เปน็ ตน้
3) เกิดจำกสิ่งแวดล้อม เช่น สำนวน น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง น้ำร้อนปลำเป็นน้ำ
เยน็ ปลำตำย เป็นตน้
4) เกิดจำกขนบธรรมเนียมประเพณี เชน่ สำนวน ขนทรำยเขำ้ วัด วนุ่ เป็นจลุ กฐนิ เป็นตน้
5) เกิดจำกศำสนำ ควำมเชื่อ เช่น สำนวน ปิดทองหลังพระ ลูกผีลูกคน พระศุกร์เข้ำ
พระเสำรแ์ ทรก เป็นต้น
6) เกดิ จำกกำรละเล่น เช่น สำนวน รำบเป็นหน้ำกลอง คลุกคลีตีโมง เป็นต้น
7) เกิดจำกนิทำนตำนำน วรรณคดี วรรณกรรม เช่น สำนวน ว่ำแต่เขำอิเหนำเป็นเอง
งอมพระรำม ท่เี ทำ่ แมวดิ้นตำย เป็นต้น
สุภำษิต คือคำกล่ำวที่ดีงำมเป็นคำสั่งสอนท่ีมุ่งแนะนำให้ปฏิบัติ หรือให้ละเว้นเพ่ือเป็น
คุณประโยชนใ์ นกำรท่ีจะดำเนินชวี ิตอยู่ไดอ้ ย่ำงดี เป็นคำกล่ำวท่ีดงี ำมและเป็นควำมจริงทกุ ยุคทุกสมยั
สุภำษิตมักจะทรำบที่มำและอำจทรำบว่ำใครกล่ำว เช่น พุทธภำษิต, สุภำษิตพระร่วง, สุภำษิตสอน
หญงิ , โคลงโลกนติ ิ, ภำษติ อิศรญำณ เปน็ ตน้
ตัวอย่ำงพุทธภำษิต
อตฺตำหิ อตตฺ โน นำโถ ตนแลเป็นท่ีพ่งึ แห่งตน
//\\//\\สำนวน สภุ ำษติ คำพังเพย//\\//\\
102
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมมฺ จำรี ธรรมยอ่ มรกั ษำผู้ประพฤติธรรม
อโรคยำ ปรมำ ลำภำ ควำมไมม่ ีโรคเปน็ ลำภอย่ำงยิ่ง
สขุ ำ สงฺฆสสฺ สำมคฺคี ควำมพร้อมเพรยี งของหมู่ยอ่ มให้เกดิ สุข
ปมำโท มจฺจุ โนปท ควำมประมำทเปน็ ทำงแห่งควำมตำย
ตัวอย่ำงสุภำษิตพระร่วง
ปลูกไมตรีอย่ำรรู้ ้ำง สรำ้ งกศุ ลอยำ่ ร้โู รย
ไปเรอื นท่ำนอย่ำนั่งนำน กำรเรือนตนเร่งคิด
เขำ้ เถ่อื นอย่ำลืมพร้ำ ไดห้ นำ้ อยำ่ ลมื หลัง
ตัวอย่ำงโคลงโลกนติ ิ
ปลูกไมห้ มน่ั รดน้ำ จำเริญ
ดักลอบอยำ่ งเหมดิ เมิน หม่นั กู้
เกยี้ วชชู้ อบเพยี รเดิน สำรสอ่ื
เรียนสิ่งใดใคร่รู้ เร่งให้มเี พียร
ตวั อยำ่ งภำษิตอิศรญำณ
ชำยข้ำวเปลอื กหญิงขำ้ วสำรโบรำณว่ำ
นำ้ พง่ึ เรอื เสอื พ่งึ ปำ่ อัชฌำสยั
เรำกจ็ ิตคดิ ดูเลำ่ เขำก็ใจ
รกั กันไวด้ ีกว่ำชังระวงั กำรณ์
คำพังเพย คือคำเก่ำซึ่งกล่ำวเป็นเชิงเปรียบเทียบ มักเปรียบเทียบกับส่ิงที่เป็นรูปธรรม
ควำมหมำย มักสอดคล้องกับสิ่งท่ียกขึ้นเปรียบจึงแลเห็นได้ไม่ยำก คำพังเพยมีลักษณะติชมหรือแสดง
ควำมคดิ เหน็ ท่กี ลำ่ วข้นึ มำลอยๆ ซ่ึงผู้ฟังตอ้ งพิจำรณำควำมมุง่ หมำยของผู้พดู เอง
กำรใช้คำพังเพยมีประโยชน์ต่อกำรสื่อสำรอย่ำงมำก เนื่องจำกกำรคำพังเพยเป็นคำที่มี
ควำมหมำยลึกซึ้ง ทำให้ผู้ฟังเข้ำใจได้ทันทีจึงช่วยประหยดั ถ้อยคำ อีกทั้งเป็นข้อควำมที่มีควำมไพเรำะ
นำ่ ฟัง รวมท้ังชว่ ยสรำ้ งบรรยำกำศ และเปลยี่ นลีลำของคำพูดและข้อเขียนไดเ้ ป็นอยำ่ งดี
//\\//\\สำนวน สุภำษติ คำพังเพย//\\//\\
103
ประมวลสำนวน สุภำษติ คำพงั เพยทน่ี ำ่ สนใจ
สำนวน สภุ ำษติ คำพงั เพย ควำมหมำย
กงเกวียน กำเกวียน ทำกบั เขำอย่ำงไร เขำก็ทำกบั ตนอย่ำงนั้น
กบในกะลำครอบ ผู้มองโลกในวงแคบ
กบเลือกนำย ตอ้ งกำรเปลย่ี นเจำ้ นำยอยตู่ ลอดเวลำ
กวดน้ำคว่ำขนั ตัดขำดไมย่ งุ่ เกยี่ วด้วย
กระเชอกน้ รั่ว สุรุ่ยสรุ ่ำย, ไม่ประหยัด
กระจัดพลัดพรำย แตกซำ่ นเซ็นไป
กระดไี่ ดน้ ำ้ ตืน่ เตน้ ดใี จจนตัวสั่น
กระตำ่ ยขำเดยี ว ยนื กรำนไมย่ อมรบั
กระตำ่ ยต่นื ตมู ตื่นตกใจงำ่ ย
กระตำ่ ยหมำยจันทร์ หวงั ปองหญงิ ท่ีมฐี ำนะดีกว่ำ
กลำ้ นกั มักบ่นิ กลำ้ เกินไปมกั อนั ตรำย
กลืนไมเ่ ขำ้ คำยไม่ออก ตกอยใู่ นท่ีลำบำก จะรับกไ็ มไ่ ด้ ปฏเิ สธกไ็ มไ่ ด้
ก่อร่ำงสร้ำงตวั ตง้ั ตวั ไดเ้ ป็นหลักฐำน
กอดแขง้ กอดขำ ประจบประแจง
กำฝำก แฝงกนิ อยกู่ ับผอู้ น่ื โดยไมท่ ำประโยชนอ์ ะไรให้
กำคำบพริก ลกั ษณะทีค่ นผิวดำแต่งตัวด้วยเส้อื ผ้ำสีแดง
กำป้นั ทบุ ดนิ กำรพดู อย่ำงขอไปที ไมไ่ ด้ประโยชนแ์ กผ่ ้ฟู ัง
ก่ิงทองใบหยก ครู่ ักท่มี คี วำมเหมำะสมกนั
กนิ นำ้ เหน็ ปลงิ รู้สึกตะขิดตะขวงใจ
กนิ ปูนร้อนทอ้ ง แสดงพิรธุ ขนึ้ มำเอง
กินแกงร้อน จะทำงำนเมอ่ื จวนตัว
กินน้ำใต้ศอก จำต้องยอมเป็นรองเขำ
กินรังแตน โกรธแล้วโวยวำยเกนิ กวำ่ เหตุ
เละเทะ ไมม่ ีระเบียบ
กินเหมอื นหมู อยู่เหมือนหมำ รดู้ แี ต่แสรง้ ทำเปน็ ไมร่ ู้
กนิ อยกู่ บั ปำก อยำกอยู่กบั ท้อง ทรยศพวกเดยี วกนั เอง
หญงิ ค่อนขำ้ งมีอำยุทีม่ ีมำรยำและเล่ห์เหลย่ี มจดั
เกลือเปน็ หนอน คนจะสวยงำมไดต้ อ้ งรูจ้ กั แตง่ เนื้อแตง่ ตวั
ไกแ่ ก่แมป่ ลำชอ่ น เห็นส่ิงมีค่ำเปน็ ไมม่ ีคำ่
ไก่งำมเพรำะขนคนงำมเพรำะแต่ง ตวั สำรอง
ยังไม่ชำนำญ, อ่อนหัด
ไกไ่ ดพ้ ลอย ต่ำงฝำ่ ยต่ำงร้คู วำมลบั ของกันและกัน
ไก่รองบ่อน
ไกอ่ อ่ น
ไก่เหน็ ตีนงู งูเหน็ นมไก่
//\\//\\สำนวน สภุ ำษิต คำพังเพย//\\//\\
104
สำนวน สภุ ำษติ คำพังเพย ควำมหมำย
แกงจืดจงึ รคู้ ุณเกลือ นึกถึงคุณคำ่ /ประโยชน์ ตอ่ เมอื่ ไดร้ ับควำมเดอื ดร้อน
กว่ำถัว่ จะสกุ งำกไ็ หม้ กวำ่ จะทำเรื่องหนงึ่ สำเรจ็ อกี เรอ่ื งหนึง่ ท่ีสำคญั กว่ำกล็ ้มเหลว
แกะดำ คนท่ีทำอะไรผดิ คนอ่ืน
ไกลปืนเที่ยง อยู่หำ่ งไกลควำมเจรญิ
เกลยี ดตวั กนิ ไขเ่ กลยี ดปลำไหลกินน้ำแกง เกลยี ดตวั เขำ แตอ่ ยำกได้ประโยชน์จำกเขำ
ขนทรำยเข้ำวดั หำประโยชน์ใหแ้ กส่ ว่ นรวม
ขนมพอสมน้ำยำ เสมอกนั , พอๆ กนั
ขนหน้ำแขง้ ไมร่ ว่ ง ไมก่ ระทบกระเทอื นหรือเดอื ดรอ้ น
ขวำนผำ่ ซำก พดู จำโผงผำงไมก่ ลวั ใคร, พูดตรงไปตรงมำ
ขมนิ้ กับปูน ไมถ่ กู กัน
ขำ้ วยำกหมำกแพง ภำวะขำดแคลนอำหำร และเคร่อื งอุปโภค
ข้ำวแดงแกงรอ้ น บญุ คุณ
ขิงก็รำข่ำกแ็ รง ต่ำงฝ่ำยตำ่ งไมย่ อมลดละกัน, จดั จำ้ นพอๆ กัน
เขำ้ ดำ้ ยเขำ้ เขม็ เวลำคบั ขัน, เวลำสำคัญ
เข้ำกนั เป็นปเ่ี ปน็ ขลุ่ย พูดไม่ขัดคอกนั
เขยี นเสือใหว้ ัวกลวั ทำอยำ่ งใดอยำ่ งหนง่ึ ขู่ เพือ่ ใหอ้ กี ฝำ่ ยหนงึ่ เสียขวญั
ไขใ่ นหนิ ของทต่ี อ้ งระมัดระวังทะนุถนอมอยำ่ งย่ิง
ของหำยตะพำยบำป ของหำยหรอื เขำ้ ใจว่ำหำย แล้วเทยี่ วโทษผู้อ่ืน
ขำยผ้ำเอำหนำ้ รอด ทำให้ลลุ ่วงไปเพ่ือรักษำชอ่ื เสียงของตนเองไว้
ขชี่ ้ำงจบั ตัก๊ แตน ลงทุนมำกแต่ผลทไี่ ดผ้ ลเพียงเล็กนอ้ ย
ขี้ใหมห่ มำหอม เห่อของใหม่
ขดู เลอื ดขดู เนอื้ เรียกรำคำแพงเกินควร
ขว้ำงงไู มพ่ ้นคอ ทำอะไรแล้วผลร้ำยยอ้ นกลับมำสตู่ วั เอง
เข็นครกขนึ้ ภูเขำ ทำสง่ิ ที่ยำกเกนิ จะทำได้
เขำ้ เมืองตำหลว่ิ ตอ้ งหลิว่ ตำตำม เมื่ออยู่ในสังคมใดต้องปฏบิ ัตติ ำมสงั คมน้นั
คนรกั เทำ่ ผนื หนัง คนชังเท่ำผืนเสอ่ื คนทร่ี กั เรำมีนอ้ ย คนทเ่ี กลยี ดเรำมีมำกกวำ่
คบคนใหด้ ูหนำ้ ซือ้ ผ้ำใหด้ เู นือ้ จะคบผู้ใดตอ้ งพิจำรณำนิสยั ใจคอของผู้น้นั ใหร้ อบคอบ
คอเปน็ เอน็ เถยี งอยำ่ งไมล่ ดละ
คมในฝกั มีควำมรู้ควำมสำมำรถแต่เม่ือยังไมถ่ ึงเวลำกไ็ ม่แสดงออกมำใหป้ รำกฏ
คร่ำหวอด ทำอยนู่ ำนจนเก่ง
คดในขอ้ งอในกระดกู มีสนั ดำนคดโกง
คลืน่ ใตน้ ำ้ เหตุกำรณ์ที่กรนุ่ อยภู่ ำยในแตภ่ ำยนอกดสู บบรำบเรยี บ
คลน่ื กระทบฝงั่ เร่ืองรำวท่คี รึกโครมขึน้ มำ แล้วกลบั เงียบหำยไป
//\\//\\สำนวน สุภำษิต คำพงั เพย//\\//\\
สำนวน สุภำษิต คำพงั เพย 105
คลมุ ถุงชน
ควำมหมำย
คำบลูกคำบดอก ถกู บนั คับใหแ้ ต่งงำนโดยไมเ่ ตม็ ใจ
คำงคกข้ึนวอ อยู่ในลักษณะไม่แน่ใจวำ่ จะไดห้ รอื เสีย
ฆำ่ ควำยเสยี ดำยพริก คนมฐี ำนะต่ำตอ้ ย พอไดด้ ีกม็ กั จะแสดงกิรยิ ำลมื ตัว
ฆำ่ ช้ำงเอำงำ ทำงำนใหญแ่ ตไ่ มย่ อมลงทุน
ฆอ้ งปำกแตก กำรทำลำยส่ิงทมี่ ีค่ำสูงเพยี งตอ้ งกำรผลประโยชน์อันเล็กน้อย
ปำกโปง้ , เกบ็ ควำมลบั ไวไ้ ม่อย,ู่ ชอบนำควำมลบั ของผูอ้ น่ื ไปโพนทะนำ
งูกินหำง เกี่ยวโยงกนั เป็นทอดๆ
งมเข็มในมหำสมุทร ทำกิจทีส่ ำเรจ็ ไดย้ ำก
งงเป็นไก่ตำแตก เซ่อจนทำอะไรไม่ถูก
มีควำมทกุ ข์ยำกเตม็ ท่ี
งอมพระรำม เงียบสนิท
เงยี บเป็นเปำ่ สำก ไมก่ ลำ้ ตัดสนิ ใจทำลงไป ดีแตต่ ้งั ท่ำว่ำจะทำเทำ่ นนั้
เงอ้ื ง่ำรำคำแพง พูดหรือทำโดยไปพำดพงิ ถึงเจ้ำของเรือ่ งโดยผพู้ ดู หรือผู้ทำไมร่ ตู้ ัว
เคยทำตัวใหญม่ ำแล้ว ทำให้เลก็ ลงไม่ได้
จุดไตต้ ำตอ เปน็ ใหญไ่ มจ่ รงิ
จมไมล่ ง เย่อหยง่ิ ลบหลู่ผมู้ ีบุญคณุ
เจำ้ ไมม่ ีศำล คมุ ใจไวม้ น่ั , ตอ่ สศู้ ตั รูด้วยใจเย็น
จองหองพองขน ชำยหรอื หญงิ ทมี่ ใี จไมแ่ น่นอน
ใจดสี ้เู สือ เป็นไปโดยไมต่ ัง้ ใจ
จับปลำสองมือ ซกุ ซนไม่อยู่ในระเบยี บ
จับพลดั จบั ผลู ทำสง่ิ ทีเ่ สี่ยงต่ออันตรำย
จบั ปใู ส่กระดง้ หำประโยชน์ใส่ตวั โดยไมต่ ้องลงทนุ
จับงูข้ำงหำง ทำอยำ่ งขอไปที ไม่ไดอ้ ยำ่ งนกี้ จ็ ะเอำอยำ่ งนั้น
จับเสอื มือเปล่ำ อธบิ ำยละเอยี ด
จบั แพะชนแกะ ประเด๋ียวไดด้ ี ประเดยี๋ วตกทกุ ข์
แจงส่ีเบ้ีย ควำมชว่ั หรอื ควำมผดิ ท่ยี ังตดิ ตวั อยู่
ชัว่ เจ็ดทดี ีเจด็ หน คนหวั รั้นทำโทษเบำๆ ไม่ชอบตอ้ งทำแรงๆ
ชนกั ตดิ หลัง ดีเองไม่ต้องโฆษณำ
ชำติคำงคก ยำงหัวไมต่ กไมร่ ูส้ กึ ชว่ ยกนั ทำมำหำกนิ ทั้งผัวท้งั เมยี
ชำดดไี มต่ ้องใส่สกี แ็ ดง หวงั ในส่ิงทอี่ ยู่ไกลตวั
ชำยหำบหญงิ คอน แนะทำงให้
ชี้นกบนปลำยไม้ ทำควำมดโี ดยไม่จรงิ ใจ
ชี้โพรงให้กระรอก พูดใหเ้ สยี เรื่อง
ชีปลอ่ ยปลำแหง้
ชกั ใบใหเ้ รือเสยี
//\\//\\สำนวน สภุ ำษติ คำพังเพย//\\//\\
สำนวน สภุ ำษิต คำพังเพย 106
ชกั แมน่ ้ำท้ังหำ้
ควำมหมำย
ชักน้ำเขำ้ ลกึ ชักศึกเขำ้ บ้ำน หวำ่ นล้อมใหเ้ ชื่อด้วยกำรพูดอ้ำงเร่ืองต่ำงๆ มำเปรียบ
ชกั หน้ำไม่ถึงหลัง ชกั นำศัตรูเขำ้ บ้ำน
ช่ัวชำ่ งชี ดชี ่ำงสงฆ์ มีรำยไดไ้ ม่พอกับรำยจ่ำย
ปลอ่ ยไปตำมเรอื่ งตำมรำว ไมเ่ อำเป็นธรุ ะ
ช้ำๆ ไดพ้ ร้ำสองเลม่ งำม คอ่ ยๆ คิด คอ่ ยๆ ทำไป แนน่ อนกวำ่
ชำติเสอื ไมท่ งิ้ ลำย คนเก่งยอ่ มมีแววเก่งเสมอ, คนมนี สิ ยั ดรุ ้ำยย่อมไมท่ ง้ิ นสิ ยั เดมิ
ชุบมือเปบิ ฉวยประโยชนจ์ ำกผลงำนของคนอน่ื
ซ่ือไมจ่ ริง, ทำเป็นซอื่
ซอ่ื เหมอื นแมวนอนหวด คนสูงอำยุมเี ลห่ เ์ หลีย่ มมำกโดยเฉพำะทำงเทศ
เฒ่ำหวั งู มีบรวิ ำรแวดลอ้ มมำก
กำรงำนทคี่ ง่ั ค้ำงพอกพูนข้ึนเร่อื ยๆ
ดำวล้อมเดอื น คิดแต่จะไดฝ้ ่ำยเดียว
ดินพอกหำงหมู หญิงทชี่ ำยเข้ำถึงไดง้ ำ่ ย
ดีดลูกคดิ รำงแกว้ ซำ้ เติมเมื่อเห็นคนอนื่ เพลย่ี งพลำ้
ดอกไม้รมิ ทำง หลงๆ ลมื ๆ
ไดท้ ีขีแ่ พะไล่ ทำอะไรฝ่ำยเดียวยอ่ มไมเ่ กดิ ผล
ไดห้ นำ้ ลมื หลัง ทำหรอื พูดให้กระทบใจในตอนแรกแล้วกลบั มำทำหรอื พดู ปลอบใจตอนหลงั
ตบมือข้ำงเดยี วไมด่ ัง จะให้อะไรแก่ผู้ทเ่ี ต็มใจรับอยแู่ ล้วไม่ควรถำม
ตบหัวลูบหลงั เอำตวั รอดคนเดียว
ตักบำตรอยำ่ ถำมพระ ตอ่ หน้ำพดู อยำ่ ง ลับหลงั พดู อีกอยำ่ งหน่ึง
ตัดชอ่ งน้อยแต่พอตวั มีพรรคพวกท่คี อยสอดส่องเหตุกำรณใ์ ห้อยรู่ อบข้ำง
ตอ่ หน้ำมะพลบั ลบั หลังตะโก ไมม่ ไี หวพรบิ
ตำสับปะรด ให้รู้จกั เจยี มตัว
โกรธคนหนง่ึ แตไ่ ปทำอกี คนหนึ่งท่เี ก่ยี วข้องด้วยเพียงเลก็ น้อย
ตำไมม่ แี วว พูดหรอื ทำให้กจิ กำรของผู้อืน่ ซึ่งกำลงั ดำเนินไปดว้ ยดกี ลับเสียไป
ตักนำ้ ใสก่ ะโหลก ชะโงกดเู งำ เดก็ ทำรก
ทำผิดแล้วอำพรำงไว้
ตีววั กระทบครำด หญิงมำ่ ยทีม่ ีอำยมุ ำก
ตปี ลำหนำ้ ไซ พูดวำ่ ให้เสียผใู้ หญ่, ไม่นับถอื ควำมเป็นผ้ใู หญ่
ตีนเทำ่ ฝำหอย ควำมคดิ ไม่ก้ำวหน้ำ, ล้ำหลงั
เต่ำใหญไ่ ข่กลบ ไมไ่ ยดอี กี ต่อไป, ไล่ไป
แตงเถำตำย รนุ แรงสมควำมตัง้ ใจ
ถอนหงอก เลน่ แรง (ใชก้ บั กฬี ำ)
ถอยหลังเขำ้ คลอง
ถบี หัวส่ง
ถงึ พริกถึงขงิ
ถึงลูกถึงคน
//\\//\\สำนวน สุภำษิต คำพงั เพย//\\//\\
107
สำนวน สุภำษิต คำพงั เพย ควำมหมำย
ถูกเสน้ เขำ้ กนั ได้, ถูกอกถกู ใจ
เถรตรง ซอ่ื หรอื ตรงจนเกินไป
คนทีท่ ำอะไรตำมเขำไปท้งั ๆ ท่ไี มร่ เู้ รอ่ื งรรู้ ำว
เถรส่องบำตร เฉย, ไมส่ ะดุ้งสะเทือน
ทองไม่รรู้ ้อน คนกินจุ
ทอ้ งยุ้งพุงกระสอบ หำประโยชนเ์ ข้ำตนโดยขดู รดี ผู้อืน่
ทำนำบนหลงั คน ทำอย่ำงไวฝ้ มี อื
ท่ดี ินหรอื เนอ้ื ที่เล็กน้อย
ทิง้ ทวน ตดั ทำงทำมำหำกิน
ที่เทำ่ แมวดิ้นตำย เร็วมำก
ทำสิ่งใดตำมกำลงั ควำมสำมำรถทตี่ ัวมี
ทุบหม้อขำ้ ว ทำตัวเป็นเข้ำขำ้ งโนน้ บ้ำงขำ้ งนี้บำ้ งเพ่ือรักษำผลประโยชน์ของตนเองไว้
นกกระจอกไมท่ ันกนิ นำ้ ร้เู ท่ำทนั เหตุกำรณห์ รอื ภยั ทจ่ี ะมำถงึ ตน
นกนอ้ ยทำรังแตพ่ อตัว คนท่เี ขำ้ ด้วยทั้ง 2 ฝ่ำย
ไมอ่ ยู่ในโอวำท
นกมหี หู นูมีปกี พลอยพูดผสมโรงต่อว่ำผู้อน่ื ตำมนำยไปดว้ ย
นกรู้ มีโอกำสดคี วรรบี ทำ
แมจ้ ะไมพ่ อใจ แตก่ ็ไม่แสดงใหใ้ ครเห็น
นกสองหัว ตลบตะแลงยำกท่ีจะรทู้ นั
นอกคอก หำมำได้เรอ่ื ยๆ
นำยว่ำข้ขี ้ำพลอย อยำ่ ขัดขวำงผู้มีอำนำจ
น้ำขึ้นใหร้ บี ตัก พูดไมอ่ อกเพรำะเกรงวำ่ จะมภี ัยแก่ตนหรือผ้อู ื่น
นำ้ ขุน่ ไวใ้ นน้ำใสไวน้ อก พูดมำกแตไ่ ด้เน้ือหำสำระนอ้ ย
น้ำกลิ้งบนใบบอน คนทเี่ งยี บๆ หงมิ ๆ มักจะมีควำมคดิ ลึกซ้งึ
น้ำซมึ บ่อทรำย ฝำ่ ยขำ้ งนอ้ ยย่อมแพฝ้ ำ่ ยข้ำงมำก
น้ำเชย่ี วอยำ่ ขวำงเรือ เหตุกำรณท์ ี่เกดิ จำกเรื่องเพยี งเล็กน้อย
นำ้ ท่วมปำก ทใี ครทมี ัน
นำ้ ทว่ มทงุ่ ผักบ้งุ โหรงเหรง เม่ือหมดอำนำจวำสนำควำมช่ัวท่ีทำไว้ก็ปรำกฏ
น้ำนง่ิ ไหลลกึ กินหรอื ใช้ของกลำง
นำ้ นอ้ ยยอ่ มแพไ้ ฟ
น้ำผ้งึ หยดเดยี ว ไมไ่ ดร้ ับประโยชน์อนั ใดเลย แต่ตอ้ งมำเปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบ
นำ้ มำปลำกนิ มด นำ้ ลดมดกินปลำ
นำ้ ลดตอผุด บำ้ นเมอื งมีกฎหมำยคุ้มครอง
เน้อื เต่ำยำเตำ่ รู้จักผ่อนปรนเข้ำหำกนั
เน้อื ไมไ่ ด้กิน หนังไมไ่ ดร้ องนัง่
เอำกระดูกมำแขวนคอ
บ้ำนเมอื งมขี ื่อมแี ป
บวั ไม่ให้ช้ำนำ้ ไม่ให้ขุ่น
//\\//\\สำนวน สุภำษติ คำพังเพย//\\//\\
สำนวน สภุ ำษิต คำพงั เพย 108
บำ่ งช่ำงยุ
บอกศำลำ ควำมหมำย
บ้ำหอบฟำง คนทช่ี อบพูดยยุ งให้คนเขำแตกกนั
ประกำศไมร่ บั ผดิ ชอบ หรือรับรู้อกี ต่อไป
เบ้ียนอ้ ยหอยนอ้ ย อำกำรทห่ี อบหว้ิ สิ่งของพะรุงพะรัง
ปลอ่ ยไก่ มเี งินนอ้ ย
แสดงควำมโง่ออกมำ
ปลำตดิ ร่ำงแห พลอยไดร้ บั เครำะหไ์ ปด้วย ทงั้ ๆ ทีไ่ ม่มสี ว่ นพัวพัน
ปลำตกนำ้ ตวั โต ส่งิ ที่เสียหรือสญู หำยไปแล้ว มกั ดมู ีคำ่ มำกเกินจริง
ปน้ั นำ้ เปน็ ตัว แต่งเรอื่ งข้ึนมำโดยไม่มมี ลู ควำมจรงิ
ปำกคนยำวกว่ำปำกกำ คำพดู ต่อๆ กัน ไปไดไ้ กลกวำ่ กำรสง่ จดหมำย
ปำกปรำศยั นำ้ ใจเชอื ดคอ พูดดแี ตใ่ จคดิ รำ้ ย
ปำกหวำนก้นเปรี้ยว พดู จำอ่อนหวำนแตไ่ ม่จรงิ ใจ
ปำกวำ่ ตำขยิบ พดู อยำ่ ง แตท่ ำอีกอย่ำง
ปำกว่ำมือถงึ พอพดู กท็ ำเลย
ปำกหอยปำกปู พวกชอบนนิ ทำ
ปำกเปน็ เอกเลขเป็นโท พูดเกง่
ชอบพดู คำหยำบ
ปำกปลำรำ้ ทำควำมดีแตไ่ มไ่ ด้รบั กำรยกยอ่ งเพรำะไมม่ ีใครเห็นคณุ ค่ำ
ปิดทองหลังพระ รังแกคนไมม่ ีทำงสู้และไมม่ ที ำงหนรี อดได้
ปิดประตตู ีแมว พยำยำมทำใหเ้ กดิ เรื่องรำวทไี่ มด่ ขี นึ้ มำ
ปลำ้ ผลี ุกปลกุ ผนี ั่ง แต่งงำนกบั ผมู้ ีเจ้ำของแลว้
ปลกู เรือนคร่อมตอ มคี วำมรู้ควำมสำมำรถน้อย แต่อวดแสดงแขง่ กับผู้ที่มคี วำมรู้ควำมสำมำรถสูง
เปด็ ขนั ประชันไก่ มีรปู รำ่ งหนำ้ ตำดพี อจะอวดเขำได้
ไปวัดไปวำได้ แกป้ ญั หำใหค้ นอื่นไดแ้ ต่ของตนเองกลบั แกไ้ มไ่ ด้
ผงเข้ำตำตัวเอง ทำดีแต่เพยี งผวิ เผนิ
ผักชีโรยหนำ้ ทำผิดพลำดอะไรไปใหจ้ ำไว้ จะไดไ้ ม่ทำผดิ อกี
คนละพวกคนละฝำ่ ย
ผิดเป็นครู คนมง่ั มที ีท่ ำตนซอมซอ่
ผิดฝำผดิ ตวั พลำดพล้งั แลว้ ยังไดร้ ับเครำะหซ์ ำ้ เติมอีกรอบ
ผ้ำข้ีร้ิวห่อทอง ต้องยอมทำดว้ ยควำมจำใจหรอื ไมม่ ที ำงเลือก
ผีซำ้ ดำ้ พลอย ผู้ดีสงบเสง่ยี ม ข้ขี ้ำโออ่ ำ่ เพรำะมอี ำนำจ
ผถี งึ ปำ่ ชำ้ ผดู้ ีทส่ี บื ทอดกันมำตั้งแตต่ น้ วงศ์สกุล
ผ้ดู เี ดนิ ตรอก ขค้ี ร่อกเดินถนน ให้หรอื แจกจำ่ ยอะไรไมท่ ั่วถึง
ผดู้ ีแปดสำแหรก เพียรพยำยำมสดุ ควำมสำมำรถจนกว่ำจะสำเร็จ
ฝนตกไม่ทั่วฟ้ำ
ฝนท่งั ใหเ้ ป็นเขม็
//\\//\\สำนวน สภุ ำษิต คำพังเพย//\\//\\
109
สำนวน สุภำษติ คำพงั เพย ควำมหมำย
ฝำกผฝี ำกไข้ ขอยดึ เป็นที่พ่ึงจนตำย
มุ่งหวังจะสบำยต้องทำงำน ถ้ำเกยี จครำ้ นจะลำบำก
ใฝร่ ้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะดนิ้ ตำย ชำยที่ได้หญิงเปน็ ภรรยำทั้งแมท่ ้งั ลกู หรอื ทัง้ พท่ี ง้ั นอ้ ง
พระยำเทครวั ควำมทุกข์ยำกลำบำกหรอื เครำะหร์ ำ้ ยทเ่ี กดิ ซ้อนกนั เข้ำมำ
วำงเฉยไม่ยินดียินรำ้ ย
พระศุกร์เขำ้ พระเสำรแ์ ทรก พูดหรอื ทำอะไรวกวนไมเ่ สรจ็ สักที
พระอฐิ พระปูน ชักช้ำทำใหเ้ สียกำร
พำยเรือในอำ่ ง รทู้ ันกนั
พอกำ้ วขำก็ลำโรง พดู ไปก็ไมม่ ีประโยชน์ นิง่ เสยี จะดกี ว่ำ
พูดห้วนๆ, พูดอยำ่ งไม่มหี ำงเสียง
พออำ้ ปำกกเ็ ห็นลนิ้ ไก่ กำรยอมแพ้ทำใหเ้ ร่ืองสงบลง
พดู ไปสองไพเบีย้ น่ิงเสยี ตำลงึ ทอง ฟงั ไมไ่ ด้ควำมชัดเจน แลว้ เอำไปพดู ตอ่ หรอื ทำผดิ ๆ พลำดๆ
ให้หนักแน่นไมห่ ูเบำเชือ่ คนงำ่ ย
พดู อยำ่ งมะนำวไม่มนี ำ้ กำรขดุ ค้ยุ เรื่องเก่ำๆ ทไ่ี มถ่ กู กนั มำพดู ทำใหม้ ีเร่อื งตอ้ งพูดหรือทะเลำะกนั อีก
แพเ้ ป็นพระ ชนะเปน็ มำร อำรมณท์ เ่ี กดิ ขึ้นอย่ำงววู่ ำมพักหนงึ่ แลว้ กห็ ำยไป
ฟังไม่ได้ศพั ท์ จบั มำกระเดียด ชำยทป่ี องรักหญิงและคอยกดี กนั ไม่ใหช้ ำยอ่ืนรกั
พูดจำตลบตะแลงพลิกแพลงจนจบั คำพดู ไมถ่ กู , คนกลบั กลอก
ฟงั หไู ว้หู เหอ่ หรือตื่นเต้นในยศศกั ดิห์ รอื ควำมมงั่ มที ี่ตนไมเ่ คยมเี คยไดจ้ นเกนิ พอดี
ฟื้นฝอยหำตะเข็บ ทำใหอ้ กี ฝ่ำยหน่งึ ตกอยใู่ นอำนำจแลว้ จัดกำรตำมใจชอบ
มำกคนมำกเรอื่ ง
ไฟไหม้ฟำง มีกิรยิ ำกระโดกกระเดก
มดแดงแฝงพวงมะมว่ ง ผ้สู อดเขำ้ มำเกยี่ วข้อง
มะกอกสำมตะกรำ้ ปำไมถ่ กู เมอ่ื ไม่ชว่ ยกอ็ ย่ำขดั ขวำง
มะพรำ้ วตน่ื ดก ยำจกตน่ื มี ไมม่ เี คำ้ มำกอ่ น
มัดมอื ชก หวงั ในสิ่งท่ียังมำไม่ถงึ
มำกหมอ มำกควำม
หญงิ งำมมมี ลทนิ
มำ้ ดดี กะโหลก นกึ เอำเอง
มือท่ีสำม ยอมแพ้
พดู ทับถมผูอ้ ่ืน แสดงให้เหน็ วำ่ ตนเหนอื กวำ่
มือไมพ่ ำยอยำ่ เอำเท้ำรำนำ้ น่ำเบอ่ื , น่ำเออื มระอำ
ไมม่ ีปมี่ ีขลุ่ย หลอกลวง
พอเร่มิ พดู กเ็ ขำ้ ใจเรอื่ งทัง้ หมด
ไมเ่ ห็นน้ำตดั กระบอก
ไมเ่ หน็ กระรอกโก่งหนำ้ ไม้
ไมง้ ำมกระรอกเจำะ
ยกเมฆ
ยกธงขำว
ยกตนข่มท่ำน
ยำหม้อใหญ่
ยอ้ มแมวขำย
แย้มปำกก็เห็นไรฟนั
//\\//\\สำนวน สุภำษติ คำพังเพย//\\//\\
สำนวน สุภำษติ คำพังเพย 110
รำบเป็นหน้ำกลอง
รดี นำทำเร้น ควำมหมำย
รดี เลอื ดกับปู รำบเรยี บ, ไมม่ ีอะไรกีดขวำง
รมู้ ำกยำกนำน ขดู รดี ทรัพยส์ ินจนอีกฝำ่ ยหนง่ึ ยำกแคน้
รูอ้ ย่ำงเปด็ บบี บงั คบั เอำสิ่งที่เขำไมม่ ี จะใหม้ ีใหไ้ ด้
เรียนผูกต้องเรียนแก้ รมู้ ำกเกินไปทำใหย้ งุ่ ยำกใจ
รอ้ นวิชำ ไม่รจู้ รงิ สักอย่ำง
รู้วธิ ที ำก็ต้องรูจ้ ักวธิ แี ก้ไขหรอื ป้องกัน
เรือลม่ เมอ่ื จอดตำบอดเม่อื แก่ อยำกแสดงควำมรคู้ วำมสำมำรถพเิ ศษจนผดิ ปกติวสิ ยั
ลงแขก เกดิ อุปสรรคเมือ่ ใกล้จะสำเรจ็
ช่วยกนั ทำงำนโดยวธิ ีผลดั เปลย่ี นกนั ช่วยกันเปน็ บำ้ นๆ / กลมุ่ ๆ
ล้วงคองูเห่ำ กลำ้ ทำร้ำยดำ่ ว่ำผมู้ ีอำนำจวำสนำ
ละเลงขนมเบ้ืองด้วยปำก ดแี ตพ่ ูด
ได้ของมคี ่ำอยู่ในมอื แตไ่ มร่ จู้ กั คณุ คำ่ ของสง่ิ น้ัน
ลิงไดแ้ ก้ว ล่อหลอกผใู้ หญ่เวลำผูใ้ หญ่เผลอ
ลิงหลอกเจำ้ พูดตลบตะแลงเชอ่ื ไมไ่ ด้
ลน้ิ ตวดั ถงึ ใบหู ผทู้ ไี่ มม่ ีทำงต่อสู้
ลกู ไกใ่ นกำมือ เอำเป็นท่ีแน่นอนไมไ่ ด้
ลกู ผลี ูกคน ลกู ย่อมไม่ตำ่ งจำกพอ่ แมม่ ำกนัก
ลูกไมห้ ลน่ ไมไ่ กลตน้ ทำอะไรเดด็ ขำดไมไ่ ด้ เพรำะจะกระทบกระเทอื นพวกพ้อง
ลูบหนำ้ ปะจมกู เสยี่ งกับควำมรัก, ลองดกี บั ผมู้ อี ำนำจ
เล่นกบั ไฟ มีผลประโยชนจ์ ำกงำนที่ทำโดยมชิ อบ
เลยี้ งชำ้ งกินขช้ี ำ้ ง ลำเอียง
เลอื กท่ีรัก มักที่ชงั เลือกมำกอำจจะได้ไมด่ ี
เลือกนกั มกั ไดแ้ ร่ พนี่ อ้ งยอ่ มดีกว่ำคนอื่น
เลอื ดขน้ กว่ำน้ำ โกรธ, โมโห
เลือดขึน้ หน้ำ สู้อยำ่ งไม่กลัวตำย ไมค่ ดิ หน้ำคดิ หลัง
เลอื ดเข้ำตำ เทยี บวำ่ พอสูไ้ ด้หรอื ไม่
วดั รอยเทำ้ วนั หน้ำยงั มโี อกำสอกี
วนั พระไมม่ ีหนเดียว ชำยแกไ่ ดห้ ญงิ สำวเป็นภรรยำ
วัวแก่กินหญ้ำออ่ น วนเวียนอยทู่ เ่ี ดิม
วนั พนั หลัก ลืมพ้นื เพเดิมของตน
วัวลมื ตนี หวำดระแวงอยู่เสมอ
วัวสันหลงั หวะ คนทเ่ี หน็ แก่ไดฝ้ ำ่ ยเดยี ว
วัวเหน็ แกห่ ญำ้ ขี้ขำ้ เห็นแกก่ ิน วำ่ เขำทำไมด่ ที งั้ ๆ ทต่ี ัวเองก็กระทำไมด่ เี หมอื นกนั
ว่ำแต่เขำอิเหนำเป็นเอง
//\\//\\สำนวน สุภำษิต คำพังเพย//\\//\\
111
สำนวน สภุ ำษิต คำพังเพย ควำมหมำย
วนุ่ เปน็ จุลกฐิน ชลุ มุนวนุ่ วำย
ศรศิลปไ์ มก่ นิ กนั ไมถ่ ูกกนั ไม่ชอบหนำ้ กัน
ศำลเต้ยี ตัดสินควำมโดยพลกำร
สวมหวั โขน มตี ำแหน่งหนำ้ ที่หรือมียศถำบรรดำศักดิ์
มีหนำ้ ตำสวยงำม แตค่ วำมประพฤตไิ มด่ ี
สวยแตร่ ปู จูบไม่หอม เพ้อฝนั
สรำ้ งวมิ ำนในอำกำศ
สอนจระเข้ใหว้ ่ำยนำ้ / สอนหนังสอื สอนสง่ิ ทเ่ี ขำรดู้ ีอยแู่ ล้ว
สงั ฆรำช เอำควำมลบั ของฝำ่ ยตนไปเปดิ เผยให้คนอ่ืนรู้
สำวไส้ใหก้ ำกิน บุคคลยอ่ มเป็นไปตำมเผ่ำพันธุ์
สำเนียงส่อภำษำ กริ ยิ ำสอ่ สกลุ ขันสนจนถงึ ท่สี ดุ
สนิ้ ไร้ไมต้ อก สอนคนโงไ่ มม่ ปี ระโยชน์
สีซอให้ควำยฟงั รู้มำกแคไ่ หนก็อำจพล้ังพลำดได้
สี่เทำ้ ยงั รูพ้ ลำด นกั ปรำชญ์ยังรพู้ ลงั ทำพอให้เสร็จไป
สกุ เอำเผำกิน เสยี ดำยในสิง่ ทไี่ มค่ วรเสยี ดำย ทำให้เสยี หำยมำกขึน้
เสยี น้อยเสียยำก เสยี มำกเสยี งำ่ ย ยสุ องฝำ่ ยใหท้ ะเลำะกัน
เสีย้ มเขำควำยให้ชนกนั ผู้ทไี่ ดร้ ับผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง
เสือนอนกิน ยำกจน, อดอยำก
ผทู้ ี่ไมม่ ีควำมสำคัญ
ไส้แห้ง หำคนเทียบไดย้ ำก
หำงแถว เบียดบงั เอำประโยชนเ์ ล็กๆ น้อยๆ ใสต่ วั
หำตวั จับยำก คนุ้ เสยี จนมองขำ้ มไป
หำเศษหำเลย คนที่ชอบออกรับแทนคนอืน่ เสมอ
หญ้ำปำกคอก ปลอ่ ยตัวตำมใจชอบ, เอำทกุ ท่ำทกุ ทำงโดยไมม่ ีควำมหมำย
หวั เรอื ใหญ่ คนท่ชี อบอ้ำงกฎหมำยเพื่อประโยชนข์ องตน
หัวหกก้นขวิด ผู้รับควำมเดือดรอ้ นก่อนคนอ่นื
หัวหมอ หนำ้ ตำยิ้มแยม้ แจม่ ใส แต่ในใจดรุ ำ้ ย
หนังหนำ้ ไฟ ผูช้ ำยท่ไี ดภ้ รรยำรวย
หนำ้ เน้ือใจเสือ จนปญั ญำ, หำทำงออกไมไ่ ด้
หนตู กถงั ขำ้ วสำร ทำหน้ำทอ่ี ะไรมักไดร้ บั ภยั จำกหนำ้ ที่นัน้
หนตู ิดจั่น ตอ่ ส้ทู ุกวถิ ที ำง
หมองูตำยเพรำะงู ทำทีเล่นทจี รงิ
หมำจนตรอก คนที่ทำอะไรผดิ พลำดจำกส่ิงใดแลว้ กลับชวนใหผ้ อู้ ่นื ทำตำมโดยหำวำ่ ดี
หมำหยอกไก่
หมำหำงดว้ น
//\\//\\สำนวน สภุ ำษติ คำพงั เพย//\\//\\
112
สำนวน สุภำษิต คำพังเพย ควำมหมำย
หอกข้ำงแคร่ ศัตรูทีอ่ ยูข่ ำ้ งตวั
ใชอ้ ำนำจบังคบั เอำ
หักด้ำมพร้ำด้วยเข่ำ ไม่มพี วก
หวั เดยี วกระเทียมลบี ไมเ่ ขำ้ กนั
หวั มังกุท้ำยมังกร หยิบหยง่ , ทำอะไรไมจ่ ริงจงั , ไมเ่ อำกำรเอำงำน
ทำทเี ขำ้ ดว้ ยท้งั สองฝำ่ ย
เหยียบข้ไี กไ่ มฝ่ อ่ อดใจไว้ก่อน เพรำะหวงั สง่ิ ท่ดี ีกว่ำขำ้ งหนำ้
เหยียบเรอื สองแคม เปน็ ผ้ใู หญต่ อ้ งคอยดูแลทุกขส์ ขุ ผู้นอ้ ย สว่ นผ้นู อ้ ยต้องคอยฟงั คำสง่ั ของผ้ใู หญ่
อดเปร้ยี วไว้กนิ หวำน สิ่งหรอื ประโยชนท์ ี่ตกอยูใ่ นมือใครแลว้ ยำกจะได้คนื
อยสู่ งู นอนควำ่ อยตู่ ำ่ นอนหงำย เอำทรพั ย์จำกผใู้ ดผูห้ น่ึงมำซอื้ หรอื แลกของจำกผู้น้นั
ออ้ ยเขำ้ ปำกช้ำง มีประสบกำรณม์ ำกกวำ่ , มปี ระสบกำรณม์ ำก่อน
อัฐยำยซ้อื ขนมยำย ไม่มีใครนบั ถอื
อำบน้ำรอ้ นมำก่อน มีเรอื่ งกบั คนพำลย่อมไมส่ มควร
อำภัพเหมอื นปูน ลดตัวลงไปตอบโตก้ บั คนทีม่ ฐี ำนะต่ำกวำ่ ย่อมไม่คมุ้ ค่ำ
เอำทองไปรู่กระเบอ้ื ง อวดรกู้ ับผทู้ ่รี เู้ รือ่ งนนั้ ดกี ว่ำ
เอำพิมเสนไปแลกกับเกลอื เอำทรัพยห์ รอื สง่ิ ของจำกคนทมี่ นี ้อยไปใหผ้ ้ทู ีม่ มี ำกกวำ่
เอำมะพรำ้ วหำ้ วไปขำยสวน คำดโทษไว้
เอำเน้ือหมไู ปปะเนอ้ื ช้ำง ส้ทู นหิวในยำมยำก
เอำปูนหมำยหัว ทำเปน็ ไมร่ ู้เสยี บ้ำง จะได้สบำยใจ, ไม่สนใจ
ทะเลำะกับคนพำล มแี ต่ทำงเสยี
เอำน้ำลบู ท้อง มีเรอ่ื งกบั ผมู้ อี ำนำจสงู กวำ่ ไม่มที ำงสำเร็จ
เอำหูไปนำเอำตำไปไร่
เอำไมส้ นั้ ไปรันขี้
เอำไมซ้ กี ไปงัดไมซ้ งุ
กล่ำวโดยสรุป สำนวน สุภำษิต คำพังเพย ถึงแม้จะมีกำรระบุข้อแตกต่ำงกันเอำไว้ แต่ใน
ควำมเป็นจริงแล้วยำกที่จะแยกออกจำกกันให้ชัดเจน สิ่งที่พึงปฏิบัติคือศึกษำควำมหมำยของ
ถ้อยคำเหล่ำน้ันให้ถ่องแท้ เพ่ือที่จะนำไปใช้ได้อย่ำงถูกต้องและตรงตำมจุดประสงค์มำกท่ีสุด
//\\//\\สำนวน สุภำษติ คำพงั เพย//\\//\\
113
ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษาไทย
ภาษาเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ใช้ในการสื่อสาร นอกจากผู้ใช้ต้องมีความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับ
การอ่าน - การเขียนคาไทย การใช้คาราชาศัพท์ และสานวนไทยอย่างดีแล้ว หากต้องการเพ่ิม
ประสิทธภิ าพของการส่อื สารใหม้ ากยง่ิ ขึน้ ควรศกึ ษาความรู้เกี่ยวกับข้อบกพร่องในการใช้ภาษาไทยอัน
ประกอบด้วยข้อบกพร่องท่ีสาคัญ 4 ประการ คือ การใช้คาผิดความหมาย การใช้คาไม่เหมาะสม
การใชภ้ าษาไม่ชัดเจน และการใชภ้ าษาไมส่ ละสลวย ซึ่งมรี ายละเอยี ดที่น่าสนใจ ดงั ตอ่ ไปนี้
1. การใช้คาผดิ ความหมาย
ข้อบกพร่องในการใช้ภาษาไทยในเร่ืองการใช้คาผิดความหมาย หมายถึงการใช้คาศัพท์ที่
มีความหมายไม่ตรงกับบริบทของการส่ือสาร ซ่ึงมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ การใช้คาท่ีมี
ความใกล้เคียงกัน, การใช้คาพ้องเสียง และการใช้คาลักษณนามท่ีไม่ถูกต้อง โดยแต่ละปัจจัยมีข้อควร
ระวังการใช้คา ดงั นี้
1.1) การใช้คาที่มคี วามหมายใกล้เคยี งกนั
ก่อนนาคาไปเรียงเข้าประโยค ควรทราบความหมายของคาคานั้นก่อน เช่น คาว่า ปอก กับ
ปลอก สองคานมี้ คี วามหมายไม่เหมือนกัน คาว่า ปอก เปน็ คากริยา แปลว่า เอาเปลือกหรือส่งิ ท่ีห่อหุ้ม
ออก ส่วน ปลอก เป็นคานาม แปลวา่ ส่งิ ทท่ี าสาหรับสวมหรือรัดของต่าง ๆ เปน็ ต้น
ลองพิจารณาคาทข่ี ีดเส้นใตใ้ นประโยคต่อไปนี้
"วันนไี้ ดพ้ บกับท่านอธกิ ารบดี ผมขอฉวยโอกาสอันงดงามน้เี ลย้ี งตอ้ นรับทา่ นนะครับ"
(ควรใช้ “ถอื โอกาส” เพราะฉวยโอกาสใชใ้ นความหมายทไ่ี ม่ด)ี
"ตอนเชา้ มืดยงั มีเกลด็ นา้ คา้ ง เกาะอย่ตู ามใบหญ้า"
(ควรใช้ “นา้ คา้ ง” เพราะน้าค้างไมม่ ลี ักษณะเป็นเกลด็ )
"ทมี ฟตุ บอลชาติไทย ประเดมิ ประตทู ่ี 2 ได้อีกในนาทีท่ี 20"
(ควรใช้ “ยงิ ” หรือ “ทา” เพราะประเดิม ใชก้ บั การกระทาคร้งั แรก)
"หมอบอกว่าเขามเี ลือดคลั่งในสมอง ต้องรีบผา่ ตดั ด่วน"
//\\//\\ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
114
(ควรใช้ “คั่ง” ซึ่งแปลว่าตกค้าง ส่วน คล่ัง แปลว่า กระวนกระวาย หรืออาการผิดปกติ คล้ายอาการ
ของคนบ้า)
"เม่อื สมชายรู้ก็โกรธกระฟดั กระเฟียดมาก"
(ควรใช้ "ปึงปัง" เพราะ "กระฟดั กระเฟียด" เป็นลกั ษณะการแสดงอาการของผ้หู ญิง)
"เขาไปอเมริกาพร้อมค่หู ขู องเขา"
(ควรใช้ “คู่ชีวิต” เพราะค่หู ู หมายถงึ คนสนิท ซงึ่ นยิ มใชก้ บั เพ่อื น)
"กรุณาข้ามถนนบนทางมา้ ลาย"
(ควรใช้ “โปรด” เพราะ กรุณานิยมใช้กับการขอร้องท่ีผลประโยชน์จะตกอยู่กับผู้ขอร้อง ส่วน โปรด
นยิ มใช้กับการขอร้องทผี่ ลประโยชน์จะตกอย่กู ับผู้ถูกขอร้อง การขอรอ้ งให้ข้ามถนนตรงทางม้าลายน้ัน
ผลดีจะตกแก่ผปู้ ฏิบตั ติ าม ดงั นัน้ ควรจะใชค้ าว่า โปรด จะถกู ตอ้ งกวา่ )
1.2) การใช้คาพอ้ งเสยี ง
คาพ้องเสียง หมายถึงคาท่ีมีเสียงเหมือนกัน แต่มีรูปเขียน และความหมายแตกตา่ งกัน ดังน้ัน
เมอื่ นามาใช้ในภาษาไทยจึงทาใหเ้ กิดความสับสนในการใช้คาทมี่ ีเสยี งพ้องกนั แต่มีความหมายแตกต่าง
กัน ฉะน้ันเพ่ือช่วยลดความสับสนดังกล่าวจึงได้รวบรวมคาศัพท์พ้องเสียงที่น่าสนใจมาไว้เพ่ือเป็น
แนวทางในการเลือกใชค้ าให้ถกู ตอ้ งต่อไป
ตารางประมวลคาศัพทพ์ ้องเสียง
คาศพั ท์ ความหมาย คาศัพท์ ความหมาย
กรณี เร่ืองราว
กรณยี ์ กิจอนั ควรกระทา กรรแสง ผ้าสไบ
กรรณกิ าร์ ไม้ยืนต้น
กันแสง รอ้ งไห้ กระบวร ประดับ ตกแต่ง
ขริบ ตดั
กรรณกิ า ดอกไม้ ขันธ์ กอง, หมวดหมู่
ผู้กล่าวหาฝา่ ยจาเลย โจษ เลา่ ลอื
กระบวน ขบวน ไชย เจริญ
เชลย ขา้ ศึกทจ่ี ับได้
ขลบิ เยบ็ หุ้มริม ทะลาย พวงผลไม้ (มะพรา้ ว)
ขันฑ์ ภาค, ตอน
โจทย์ คาถามในวิชาคานวณ โจทก์
ชยั ชนะ
ชะเลย ชะลา่ ใจ
ทลาย พัง
//\\//\\ขอ้ บกพร่องในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
คาศัพท์ ความหมาย คาศพั ท์ 115
ทายาด ย่ิง, ยอด ทายาท
เทพนิ นางกษตั ริย์ เทพินทร์ ความหมาย
เทวนั พเี่ ขย, น้องเขย เทวญั ผสู้ บื ตระกลู
ทดลอง ลองทา ทดรอง จอมแหง่ เทวดา
ธรรมการ กิจการทางศาสนา ธรรมการย์ เทวดา
พระธามรงค์ แหวน พระธามะรง ออกแทนไปก่อน (เงิน
บงส์ุ ละออง บงก์ การกุศล
บท เท้า, ข้อความ ผคู้ ุมนักโทษ
บพติ ร กษัตริย์ (พระองคท์ า่ น) บฏ ตม, โคลน
บัณฑิต ผู้มปี ญั ญา บพธิ ผ้าทอ
ปฏพิ ากย์ พูดโต้ตอบ บัณฑิตย์ แต่ง, สรา้ ง
ประวาต พดั ปฏภิ าค ความรอบรู้
ประสพ การเกดิ ผล ประวาส เปรียบเทยี บ
ประสตู ขวนขวาย ประสบ ไป
ประหาณ ละ, ทง้ิ ประสตู ิ พบ
พาณิชย์ การคา้ ขาย ประหาร เกดิ , การคลอด
พยช ขบั ขี่ พาณชิ การฟนั
ช่ือแมลงชนิดหนึ่ง พยศ พ่อคา้
ภู่ พระเจา้ แผ่นดนิ พู่ ไมย่ อมทาตาม
ราช รอ้ งไห้ ราษฎร์ ปยุ ขนสตั ว์
โรท ตัดแตง่ โรษ คน
ลิด คนครัว ลติ เคืองแค้น
วเิ สท สูงเปน็ แนว วเิ ศษ ฉาบทา
สัน สรา้ ง สนั ต์ เลิศ, ยอดเยีย่ ม
สรรค์ สิน้ , หมด สรร ราบเรยี บ
สุด หมดจด, สะอาด สุต เลอื ก
สุทธ์ อานาจอนั ชอบ - ลูกชาย, ไดย้ นิ
สทิ ธิ์ เครื่องใช้จิ้มอาหารคกู่ ับช้อน ศษิ ย์ -
สอ้ ม สูง, เลศิ ซ่อม ผู้รบั การอบรม
เอาทาร นูน, บวม เอาทารย์ ทาให้ดขี นึ้
อดู อฐู ความมีใจบุญ
สตั วส์ เี่ ทา้ ชนดิ หนงึ่
//\\//\\ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
116
1.3) การใช้คาลักษณนามทไ่ี ม่ถูกต้อง
คาลักษณนาม คือ คาท่ีใช้บอกลักษณะของคานาม และอยู่หลังคาบอกจานวนของส่ิงน้ัน ๆ
ซง่ึ คาลักษณนามมจี านวนในภาษาไทย ทง้ั ท่ใี ชเ้ ฉพาะไดเ้ พียงหนึ่งคา และท่ีใช้ไดห้ ลายคา ดงั น้นั เพ่ือให้
สามารถใช้คาลักษณนามไดอ้ ย่างถกู ต้อง จงึ ได้รวบรวมคาลักษณนามท่ีสาคัญไว้ ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
ตารางประมวลคาลักษณนามท่คี วรรู้
คาศพั ท์ คาลักษณนาม คาศัพท์ คาลักษณนาม
กฎหมาย ฉบับ กตกิ า ขอ้
กบ (ไสไม้) ตัว กบเหลาดินสอ ตัว, อนั
กรงขัง กรง กรมธรรม์ ฉบบั
กรรไกร เลม่ กรวด (ดอกไมเ้ พลิง) ดอก, ตวั
กรวย กรวย, อนั กรวยอปุ ปัชฌาย์ ท่ี
กรอบพระ/ กรอบรูป กรอบ, อนั กระจก แผ่น
กระจกเงา บาน กระจับ (นักมวย) อัน
กระจบั ปี่ (เครอ่ื งดนตร)ี คัน กระโจม หลงั
กระจาด ใบ, ลูก กระชาย แงง่ ; หัว
กระเชา้ ใบ, ลกู กระด้ง ใบ, ลกู
แผ่น, มว้ น,พับ, ปกึ , หอ่ ,
กระดาน แผน่ กระดาษ (ชนิดต่างๆ) รมี
เมด็ ; สารบั
กระดิง่ ใบ, ลกู กระดุม หลัง
กระดกู ทอ่ น, ช้นิ , ซ่ี กระต๊อบ ใบ, ลกู
กระต่ายขดู มะพร้าว ตัว กระติบขา้ ว ใบ, ลูก
กระติก ใบ, ลกู กระทะ ใบ, ลูก
กระเทยี ม กลบี , หัว, จุก, หมวด กระเป๋า
กระเป๋าติดเสื้อ/ ตัว
กางเกง กระเปา๋ กระโปรง
กระโปรงรถ แผ่น
กระพรวน แผ่น, ฝา กระเบ้อื ง อัน
กระสอบ ลูก กระสวย นัด, ลกู , เมด็
กรับ ใบ, ลกู กระสุน เลม่
กลด คู่ ใบ, ลกู
กลอ้ งถา่ ยรปู คัน กริช มัด
กษตั รยิ ์ กลอ้ ง กลอง ก๊อก
กงั หนั พระองค,์ องค์ กล้ามเนือ้ ดา้ น, อนั
ตัว กอ๊ ก
กนั สาด
//\\//\\ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
117
คาศพั ท์ คาลักษณนาม คาศพั ท์ คาลักษณนาม
กาไล ขอน, วง ลกู กญุ แจ ดอก, ลูก
แมก่ ุญแจ แม,่ ตัว กุญแจเสยี ง ตวั
กญุ แจมอื คู่ เกวียน เล่ม
แกว้ (ใส่น้า) ใบ หลัง
ขน เสน้ โกดัง ขน, อนั
ขนมครก ฝา; คู่ ขนนก, ขนไก่ จับ, หวั
ขลุ่ย เลา ลกู , ใบ
ขวาน เล่ม ขนมจนี กระทง
ขัน้ บนั ได ข้ัน ขวด ข่าว, เร่อื ง
ข้าวเกรยี บปากหม้อ ตัว ข้อหา กลบี , มัด
ขา้ วโพด ฝัก ข่าว กระบอก
ข้าวเม่าทอด ลกู ; แพ ข้าวต้มมดั ชุด, สารบั
ขิม ตัว ขา้ วหลาม จดุ , เม็ด
เข็ม เลม่ ขาหยัง่ อนั
เขม็ กลับ (ซ่อนปลาย) ตัว ขี้แมลงวัน สาย, เส้น
เขม็ นาฬกิ า เขม็ เขม็ กลัด (เคร่ืองประดับ) ตวั
ภเู ขา ลูก เขม็ ขัด อัน, เล่ม, ด้าม
ไข่ ใบ, ฟอง, ลกู เขม็ หมดุ ตน
คบเพลงิ คบ ไขควง คลอง, สาย
คลน่ื ลูก คนธรรพ์ บท
คาราวาน กอง คลอง คดี, ฉบับ, เรื่อง
คาร้อง ฉบบั คาถา แผ่น, ใบ
แคน เตา้ คาฟอ้ ง ดวง, ใบ, ลูก
งวง งวง คปู อง ก่งิ
จดหมาย ฉบบั โคม ใบ, ลกู
จวี ร ผนื งาชา้ ง องค์
ฉลองพระเนตร องค์ จาน ขา้ ง, องค์; คู่
ฉลาก, สลาก ใบ, แผ่น เจดยี ์ คัน
ฉากต้ัง แผง ฉลองพระบาท คัน
ชอล์ก แท่ง ฉตั ร ชา้ ง
ช้าง (ช้างบา้ น) เชอื ก ชอ้ น ตวั
ชานชาลา ชาน ชา้ ง (ชา้ งข้ึนระวาง) คา
เชงิ เทียน อัน ชา้ ง (ชา้ งป่า) แหง่
ชานหมาก
เชิงอรรถ
//\\//\\ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
118
คาศพั ท์ คาลกั ษณนาม คาศัพท์ คาลกั ษณนาม
เชือก เส้น; ขด, กลมุ่ , ม้วน ซอ (เคร่อื งดนตรี) ตัว
ซาลาเปา ใบ, ลกู อนั , เส้น, สาย
ซุง ต้น, ทอ่ น ซิป เสน้ , สาย
ไซ (เครอื่ งดกั ปลา) ลูก โซ่ รปู
ดวงตราไปรษณียากร ดวง เณร, สามเณร ตวั
ดอกไม้ ดอก; ช่อ; พวง ดอกจัน (เครอ่ื งหมาย) ดอก
ดาบ เล่ม ดอกสวา่ น ตน
เส้น, กลมุ่ , เขด็ , ไจ, ดาบส
ดา้ ย หลอด
แทง่ ดาวเทยี ม ดวง
ดนิ สอ ดวง
ตะเกียง ผืน, ปาก เดือย (อวัยวะของไก)่ เดอื ย
ตาข่าย เล่ม ต๋ัว ใบ
ตาลปตั ร หลงั ต่างหู ขา้ ง; คู่
ลา, เลม่ หลงั
ตู้ สาย ตาหนกั ตัว
ไต้ ใบ, ลูก โตะ๊ ลกู
ถนน เม็ด, ลกู ไต้ฝนุ่ กอ้ น, ทอ่ น
ถงุ เล่ม ถ่าน ฉบับ
ทองหยอด (ขนม) เทอื ก แถลงการณ์ กัณฑ์
เทยี น ฉบบั , ใบ เทศน์ ต้น
เทอื กเขา ตัว เทยี นพรรษา ฉบบั
ธนบตั ร องค์ โทรเลข ดอก, หอ่ , แหนบ
นกหวดี เรือน ธปู รปู
นางฟ้า เสน้ นกั บวช, นักบุญ, นักพรต ตน
นาฬกิ า หลัง นางไม้ แห่ง
เนกไท ตน้ นา้ ตก บ้ัง, บอ้ ง; ลกู (จุดแลว้ )
บ้าน ตวั บ้งั ไฟ สารับ
บายศรตี ้น ใบ บายศรี ตวั , มวน
เบด็ อัน บุหร่ี ทาง
ใบมีดโกน ข้าง; คู่, ตวั ใบตอง (มกี า้ น) ดอก; ตับ
ปล๊กั ไฟ เลา ประทัด ดา้ ม
ปาท่องโก๋ กระบอก ปากกา ใบ, เถา
ป่ี ปนิ่ โต วง; ราง
ปนื ป่พี าทย์ หลงั
เปียโน
//\\//\\ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
คาศัพท์ คาลกั ษณนาม คาศพั ท์ 119
ผลไม้ ผล, ลูก, ชอ่ , พวง ผลกึ
ผา้ บงั สุกุล ผนื ผา้ ไตร คาลกั ษณนาม
ผา้ ป่า กอง, ตน้ เผือก ก้อน, เม็ด
แผงลอย แผง พระพทุ ธรปู ไตร
พระสงฆ์ รปู , องค์ พราหมณ์ หัว
พลับพลา องค์ พกู่ ัน องค์
ฟัน ซี;่ แถว; ชดุ มโหรี คน
มีด เล่ม มุง้ ดา้ ม
มู่ลี่ ผนื ยางรถ วง
รอก ตัว รองเทา้ หลัง
ระยา้ พวง รังดมุ เสน้
รงุ้ กินน้า ตัว เรอื ขา้ ง; คู่
ฤดู ฤดู ลาธาร รัง
ลาโพง ตัว ลปิ สติก ลา
ลฟิ ต์ ตวั ลกู เต๋า สาย
ลกู โป่ง ใบ, ลกู เลือ่ ยลนั ดา แทง่
เลื่อยฉลุ คัน เลื่อยไฟฟ้า ลูก
เลือ่ ยวงเดือน วง วงั ปน้ื
วัด วัด วา่ ว ตัว, เครอ่ื ง
วฒุ บิ ัตร ฉบับ ศาลเจ้า วัง
ศาลา หลงั ศาสดา ตัว
สถปู องค์ สบง ศาล
สบู่ กอ้ น สวา่ น องค์
สงั ข์ ขอน สตั ว์ ผนื
สุลตา่ น องค์ สเุ หรา่ ตัว
สจู ิบัตร แผ่น; ฉบับ, เลม่ สตู บิ ตั ร ตัว
เสื่อ ผืน แสตมป์ หลงั
หนงั สอื พิมพ์ ฉบับ หมอน ฉบบั
หวี เล่ม เห็ด ดวง
แห ปาก แหวน ลูก, ใบ
องค์กฐนิ องค์ อวน ดอก
อสรู , อสรุ กาย ตน อัฐบรขิ าร วง
อาศรม หลงั อบุ ะ ปาก
ชุด
ขา; พวง
//\\//\\ขอ้ บกพร่องในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
120
2. การใชค้ าไม่เหมาะสม
ข้อบกพร่องในการใช้ภาษาไทยเนื่องจากการใช้คาไม่เหมาะสม หมายถึง การเลือกใช้คาท่ี
ไม่สมควรกับบุคคล และไม่สมควรกับโอกาส ซึ่งแม้ว่าการใช้ภาษาไม่เหมาะสมน้ีไม่ได้ส่งผล
ให้การส่ือสารผิดพลาด แต่อย่างไรก็ตามการใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมนี้จะสะท้อนให้ผู้รับสาร
เห็นถึงความเคารพ และ การให้เกียรติของผู้ส่งสารที่มีต่อผู้รับสาร ซ่ึงหากผู้ส่งสารไม่ให้ความสาคัญ
ก็จะลดทอนประสิทธิภาพในการสื่อสารลงได้ โดยในที่นี้จะนาเสนอเพียง 3 ลักษณะ คือ การใช้
คาราชาศัพท,์ การใช้คาผิดระดบั ภาษา และการใช้คาบุพบท ซ่ึงมรี ายละเอียดทน่ี ่าสนใจ ดังน้ี
2.1) การใชค้ าราชาศัพท์ (ไมเ่ หมาะสมกับบคุ คล)
คาราชาศัพท์ หมายถึง คาศัพท์ที่ใช้สาหรับพระราชา คาศัพท์ท่ีใช้สาหรับพระสงฆ์ และ
คาศพั ทท์ ใ่ี ชส้ าหรบั สภุ าพชน ซงึ่ มีคาศัพทท์ ม่ี ีความหมายเฉพาะ และแบง่ ระดบั การใชส้ าหรบั บุคคล ใน
ระดับต่าง ๆ กัน ด้วย โดยได้แจกแจงรายละเอียดการใชค้ าราชาศพั ท์แล้วในบทเรียนก่อนหน้า เชน่
"ตามหมายกาหนดการท่านอธิการบดีจะมาเปน็ ประธานเปดิ งานในเวลา 09.00 น."
(ควรใช้ “กาหนดการ” เพราะ หมายกาหนดการ เปน็ คาราชาศพั ท์ ใช้กับ งานพระราชพิธ)ี
2.2) การใชค้ าผิดระดับภาษา (ไม่เหมาะสมกับโอกาส)
ระดบั ภาษา หมายถึง การใชภ้ าษาท่ไี ม่สอดคลอ้ งกับสถานการณ์ หรอื โอกาส ในการใช้ภาษา
ซึ่งอาจไม่ใช่การใช้คาผดิ ระดับภาษาทั้งประโยคหรอื ท้ังข้อความ แต่เพียงพอสาหรับความไม่เหมาะสม
ในการสอ่ื สาร เชน่
"ขา้ พเจา้ ไมท่ ราบว่าทา่ นจะคิดยังไง กบั เรือ่ งนี้"
(คาว่า “ยงั ไง” เปน็ ภาษาพูด ถ้าเปน็ ภาษาเขียนควรใช้ “อย่างไร”)
"การสรรหาอธิการบดคี ร้งั นมี้ ปี ญั หารอ้ ยแปด"
(คาว่า “ร้อยแปด” ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ แต่ถ้าเป็นทางการ ควรใช้คาว่าหลายประการ หรือ
นานาประการ หรอื นานปั การ)
2.3) การใช้คาบพุ บท (ไม่เหมาะสมกบั บคุ คล)
คาบุพบท หมายถึง คาที่ใช้บอกความสัมพันธ์ระหว่างบทหน้ากับบทหลังของคา หรือกลุ่มคา
โดยคาบพุ บทบอกฐานะความเปน็ ผ้รู บั มักมปี ญั หาในการนาไปใชอ้ ยเู่ สมอ จงึ ขอเสนอแนะการใช้ ดงั นี้
//\\//\\ขอ้ บกพร่องในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
121
2.3.1) "แก"่ ใช้นาหนา้ นาม ฝา่ ยรับ เช่น
- ให้เงินแก่เด็ก
- พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั พระราชทานพรแก่ประชาชน
2.3.2) "แด่" ใช้นาหน้า นาม ฝา่ ยรับ (ใช้ในที่เคารพ) เช่น
- พุทธศาสนกิ ชนถวายอาหารแดพ่ ระภกิ ษุสงฆ์
- ประชาชนถวายพระพรแดพ่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั
2.3.3) "กับ" ใช้เช่อื มคา หรือ ความเข้าด้วยกนั มคี วามหมายว่า รวมกนั หรอื เก่ยี วข้องกัน
เชน่ - กนิ กับนอน
- หายวบั ไปกบั ตา
2.3.4) "ตอ่ " ใชใ้ นความตดิ ต่อเฉพาะประจันหน้า เช่น
- เขาทาความผิดต่อหน้าตอ่ ตา
- ย่นื ต่ออาเภอ
- การกระทาของเขาขดั ต่อกฎหมาย
2.3.5) "เพอ่ื " ใช้ในความหมาย เหตุดว้ ย เพราะดว้ ย เพราะ เพราะว่า ดว้ ย เช่น
- เขาทางานเพื่อจะไดเ้ งนิ
- เฃาทางานเพอ่ื ลกู
2.3.6) "สาหรับ" ใช้ในความหมาย คู่กัน ควรกบั และ เพื่อ (เฉพาะ) เชน่
- ชอ้ นกบั ส้อมเปน็ ของสาหรบั กนิ
- วันนฉี้ ันทากบั ขา้ วเปน็ พิเศษสาหรบั คณุ
3. การใชภ้ าษาไม่ชัดเจน
การใช้ภาษาไม่ชัดเจนมีที่มาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ การใช้คากากวม การวางคาขยายผิดที่
การใช้คาเกินความหรือขาดความ การแต่งประโยคไม่จบความ การใช้คาขัดแย้งกัน การใช้คาที่กว้าง
เกินไป และการเว้นวรรคตอน ซง่ึ แตล่ ะสาเหตมุ รี ายละเอยี ดทน่ี า่ สนใจ ดงั น้ี
3.1) การใช้คากากวม : การใชค้ ากากวม หมายถึง การใชท้ ่มี ีความหมายตั้งแตส่ องความหมาย
ขึน้ ไปมาแต่งประโยค ซงึ่ ทาให้เกิดความสับสนในการส่ือความหมาย เช่น
"คุณแม่ไม่ชอบคนใชฉ้ นั "
//\\//\\ขอ้ บกพร่องในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
122
ประโยคน้ีสามารถแปลความหมายได้ 2 ความหมาย คอื คุณแม่ไม่ชอบใครกต็ ามที่ใชใ้ หฉ้ ันทาโน่นทานี่
และ คุณแมไ่ ม่ชอบคนรบั ใช้ของฉนั
3.2) การวางคาขยายผิดที่ : การวางคาขยายผิดที่ หมายถึง การวางคาวิเศษณ์ผิดตาแหน่ง
ที่ควรจะเป็น ซ่ึงการเรียงคาในประโยคภาษาไทยต้องวางคาขยายไว้ติดหลังคาที่ต้องการขยายความ
มเิ ช่นนน้ั จะทาใหก้ ารสอื่ ความขาดความชดั เจนได้ เช่น
ระเบียบของโรงเรียนกาหนดให้นักเรยี นสวมรองเทา้ หุม้ ส้น มเี ชอื กผกู สดี า
การเรียงคาในประโยคเช่นน้ีทาให้เข้าใจได้ว่า ระเบียบของโรงเรียนกาหนดให้นักเรียนสวมรองเท้าหุ้ม
สน้ ทมี่ เี ชอื กผกู สีดา ดงั นั้นจงึ ควรแก้เป็น
"ระเบยี บของโรงเรียนกาหนดให้นักเรยี นสวมรองเทา้ หุ้มสน้ สีดา มเี ชือกผูก"
3.3) การใช้คาเกินความหรือขาดความ : การใช้การเกินความหรือขาดความ หมายถึง การใช้
คาศัพท์มากหรือน้อยเกินกว่าข้อความท่ีต้องการส่ือสาร ซ่ึงปัญหาการใช้คามากเกินความมักเกิดจาก
การท่ีผ้สู ง่ สารต้องการส่ือเจตนามากกว่าหนง่ึ เจตนา เชน่
"ถา้ ครทู ุกคนควรเอาใจใสแ่ ละกวดขันความประพฤติของนกั เรียน นกั เรยี นกจ็ ะเรยี บรอ้ ยขึ้น”
ประโยคน้ีมีการใช้คาสันธานแบบคู่ “ถ้า...ก็” เพ่ือแสดงการต้ังเงื่อนไข แต่กลับมีการใช้คาวิเศษณ์
"ควร" เพื่อแสดงความคิดเห็น ร่วมด้วย จึงทาให้ประโยคส่ือความไม่ได้ทั้งสองเจตนา ดังนั้นจึงต้อง
เลอื กเจตนาเพยี งหนึ่งเดียวในการสอ่ื สารหนึ่งประโยค ซ่ึงหากเจตนาคือการตั้งเง่ือนไข จะไดป้ ระโยค
"ถา้ ครทู ุกคนเอาใจใส่และกวดขันความประพฤติของนักเรยี น นกั เรียนกจ็ ะเรียบรอ้ ยข้ึน"
แตห่ ากเจตนาคือการแสดงความคิดเหน็ กจ็ ะได้ประโยค
"ครทู ุกคนควรเอาใจใส่และกวดขันความประพฤติของนักเรียน นักเรยี นจงึ จะเรยี บร้อยขน้ึ "
และในทานองเดียวกันถ้าใช้คาขาดหรือใช้คาน้อยเกินไปก็จะส่งผลให้ความหมายไม่ชัดเจนได้
เช่น
"ถ้าเงนิ คา่ หน่วยกติ ทีเ่ กบ็ ในวนั น้ีขาดไป เจ้าหน้าทฝี่ ่ายการเงนิ ตอ้ งออก"
ประโยคนี้ส่อื ความได้ไม่ชัดเจน เนอ่ื งจากไม่ทราบว่า ตอ้ งการให้เจ้าหน้าท่ีฝ่ายการเงินออกเงินทดแทน
หรอื ตอ้ งการให้เจ้าหนา้ ที่ฝา่ ยการเงินออกจากงาน
//\\//\\ขอ้ บกพร่องในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
123
3.4) การแต่งประโยคไม่จบความ : การแต่งประโยคไม่จบความ หมายถึง การเรียบเรียง
เนื้อความในประโยคโดยท่ีโครงสร้างของประโยคยังไม่สมบูรณ์ หรือขาดโครงสร้างในภาคแสดงซ่ึงทา
ใหก้ ารสื่อความไมช่ ัดเจน เช่น
"นักศึกษาที่เกเร เท่ยี วเตร่ เสพยาเสพติด และไม่สนใจตอ่ การศกึ ษาเล่าเรยี น"
มีเพียงข้อความในภาคประธานเท่านั้น ยังไม่ปรากฏข้อความในภาคแสดง ดังน้ันจึงควรแก้เป็น
"นกั ศกึ ษาทเ่ี กเร เที่ยวเตร่ เสพยาเสพตดิ และไมส่ นใจต่อการศกึ ษาเลา่ เรียนย่อมสอบตก"
"เมื่อตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนนุ ตักแม่ บดั นเ้ี ขาอายยุ ส่ี บิ กวา่ แลว้ "
มีเพียงข้อความในภาคประธานเท่านั้น ยังไม่ปรากฏข้อความในภาคแสดง ดังนั้นจึงควรแก้เป็น "เม่ือ
ตอนยงั เด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม่ บดั นเี้ ขาอายุยส่ี ิบกวา่ แลว้ กย็ งั ชอบอยเู่ หมอื นเดิม"
3.5 ใช้คาที่มีความหมายขัดแย้งกัน : การใช้คาที่มีความหมายขัดแย้งกันส่วนใหญ่มักเกิด
ปญั หาในหมวดคาวิเศษณ์บอกลกั ษณะ เชน่
"นักศึกษาทกุ คนส่วนมากไมช่ อบทารายงาน"
ประโยคนี้มีความหมายไม่ชัดเจน เพราะไม่ทราบว่าต้องการจะให้หมายถึง “นักศึกษาทุกคน” หรือ
“นักศกึ ษาส่วนมาก”
“นาน ๆ ครง้ั ทีเ่ ขาจะโทรมาหาฉันบ่อย ๆ”
ประโยคนี้มีความหมายไม่ชัดเจน เนื่องจากส่ือความได้ทั้ง การโทรมาบ่อย ๆ หรือ นาน ๆ ครั้งจึงโทร
มา
3.6 ใช้คาที่มีความหมายกว้างเกินไป : การใช้คาท่ีมีความหมายกว้างเกินไปทาให้เกิด
ความสับสนอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานเขียน เนื่องจากเมื่อผู้รับสารอ่านแล้วต้องตีความตาม
ความเข้าใจของตนเอง ซ่ึงอาจไม่ตรงกับส่ิงท่ีผู้ส่งสารต้องการ ดังนั้นในการเขียนหรือการพูดจึงควรใช้
คาขยายประกอบคาหลักเพ่ือให้เกดิ ความรดั กมุ มากท่ีสดุ เชน่
"ฉันให้คนเชา่ บ้านหลังน้ันแลว้ "
"โปรดกาเครอ่ื งหมายหนา้ ชอ่ื ทที่ ่านเหน็ ว่าสมควรใหด้ ารงตาแหนง่ อธกิ ารบดี"
//\\//\\ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
124
คาว่า "บ้านหลังนั้น" และ คาว่า "เคร่ืองหมาย" ยังเป็นการใช้คาท่ีไม่ชัดเจน ควรเติมบริบทอ่ืนเพิ่มเตมิ
ทส่ี ามารถระบตุ าแหนง่ หรือลกั ษณะทชี่ ดั เจนมากขึ้น
3.7 การเว้นวรรคตอน : เปน็ เรอ่ื งสาคญั อีกข้อหนึ่งของภาษาไทย เพราะหากเวน้ วรรคตอนไม่
ถูกตอ้ ง อาจทาให้การสือ่ ความหมายแตกต่างออกไปได้ เชน่
"เขามีแผน ท่ีจะต้องดาเนินการตาม" (...แผน ท.ี่ .. = แผนการทีก่ าหนดไว้แลว้ )
"เขามีแผนท่ี จะต้องดาเนินการตาม" (...แผนท.ี่ .. = แบบย่อจากสภาพความเป็นจริงของพ้ืนท่ี)
"ฉันไมร่ ้จู ะตอบ แทนเธออย่างไรดี" (...ตอบ แทน... = พูดแทนอีกคน)
"ฉนั ไม่รูจ้ ะตอบแทน เธออยา่ งไรดี" (...ตอบแทน... = สนองบุญคุณ)
4. ใช้ภาษาไม่สละสลวย
การใช้ภาษาไมส่ ละสลวย หมายถงึ การใช้ภาษาท่ีสรา้ งความสับสนให้กบั ผู้รับสาร ด้วยการใช้
คาฟุ่มเฟือย, การใช้คาศัพท์ไมค่ งที่ตลอดความ และการใชส้ านวน ซง่ึ มรี ายละเอยี ดทค่ี วรศึกษา ดังนี้
1) การใช้คาฟุ่มเฟือย : คาฟุ่มเฟือย หมายถึง คาที่ไม่จาเป็น หรือ คาที่มีความหมายซ้าซ้อน
กันในประโยค และไม่ได้อยใู่ นฐานะคาสร้อยเสรมิ บท เช่น
"วันน้ีอาจารย์ไม่มาทาการสอน"
ควรแกไ้ ขเปน็ “วันนอ้ี าจารย์ไม่มาสอน” เนอื่ งจากคาว่า “ทาการ” เป็นคาที่ไมจ่ าเป็น แมว้ ่าจะคงไว้ก็
ไมไ่ ดท้ าให้ความหมายชัดเจนข้ึน หรือถา้ ตดั ท้ิง ความหมายกย็ ังคงเดมิ
"ทุกคนทเี่ กดิ ข้ึนมาในโลกใบนี้ยอ่ มมีความทุกข์ด้วยกนั ทั้งสิ้น"
ควรแก้เป็น "ทุกคนย่อมมีความทุกข์ด้วยกันทั้งส้ิน" เนื่องจากกลุ่มคาท่ีขีดเส้นใต้ ไม่ได้ขยายความ
เพ่ิมเติมจากคาวา่ "ทกุ คน" เพราะคาว่า "คน" หมายถงึ ผู้ท่ีเกดิ และมชี วี ิตอยู่ในโลกอย่แู ลว้
"อธกิ ารบดคี นเก่ายอมเปดิ เผยออกมาอย่างไมป่ ดิ บังวา่ ไดใ้ ชอ้ านาจไปในทางท่ีไม่ชอบธรรม"
ควรแก้เป็น "อธิการบดีคนเก่ายอมเปิดเผยว่า ได้ใช้อานาจไปในทางท่ีไม่ชอบธรรม" เนื่องจากคาว่า
"เปิดเผย" และขอ้ ความว่า "ไมป่ ิดบัง" เปน็ ความหมายเดยี วกัน
2) การใช้คาไม่คงท่ี : การใช้คาไม่คงท่ี หมายถึง การใช้คาศัพท์ที่มีความหมายเดียวกัน
มากกว่าหนึ่งคาในข้อความ ซ่ึงการใช้ภาษาในลักษณะนี้ทาให้เกิดความสับสนในการแปลความหมาย
//\\//\\ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
125
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาศัพท์ที่เป็นคานาม แต่อย่างไรก็ตามการใช้คาสันธานท่ีหลากหลายในการสอื่ สาร
นับว่าเป็นชัน้ เชิงในการใช้ภาษาท่ีมปี ระสิทธิภาพ
"หมอถือวา่ คนปว่ ยทกุ คนเปน็ คนไข้ของหมอเหมอื นกนั "
ควรแกเ้ ป็น "หมอถือวา่ คนไข้ทกุ คนเป็นคนไขข้ องหมอเหมือนกนั "
"ขา้ พเจ้าขอขอบคุณท่านทงั้ หลายท่ีต้อนรับครอบครัวของกระผมอย่างดยี งิ่ "
ควรแก้เป็น "กระผมขอขอบคุณทา่ นท้งั หลายท่ีตอ้ นรบั ครอบครัวของกระผมอยา่ งดยี ่ิง"
"ลูกและเมยี ที่ขยนั และซื่อสตั ยไ์ ดช้ อื่ วา่ เป็นบุตรและภรรยาทปี่ ระเสริฐ"
ควรแกเ้ ป็น "บุตรและภรรยาทขี่ ยนั และซื่อสัตยย์ ่อมไดช้ ่ือว่าเปน็ "บตุ รและภรรยา"ทีป่ ระเสรฐิ "
3) การใช้สานวนต่างประเทศ : สานวนภาษาต่างประเทศ หมายถึง การเลียนแบบประโยค
ภาษาต่างประเทศ ซ่ึงประกอบด้วย การเรียงโครงสร้างประโยคแบบ "กรรม + กริยา + ประธาน"
การวางคาขยายไว้ข้างหน้าคาท่ีต้องการขยาย การไม่ใช้คาลักษณนาม และการใช้คาทับศัพท์
ภาษาต่างประเทศแทนคาท่ีมีคาศัพท์บญั ญตั ิหรือคาแทนในภาษาไทยอยู่แล้ว เช่น
"สุนัขถกู งกู ดั "
ประโยคนใ้ี ชโ้ ครงสร้าง "กรรม + กรยิ า + ประธาน" ดังน้นั ควรแก้เป็น "งูกัดสนุ ขั "
"มนั เปน็ ความจาเปน็ อยา่ งยิ่งทเ่ี ขาต้องจากไป"
ประโยคนีว้ างคาขยายไวห้ นา้ ประโยค ดงั นั้นควรแก้เปน็ "เขาจาเป็นอย่างย่งิ ท่ตี อ้ งจากไป"
"สองโจรร้ายบุกบา้ นนายก"
ประโยคนไี้ มใ่ ช้คาลักษณนามตามหลังคาบอกจานวน ควรแก้เป็น มีโจรจานวน 2 คน บุกบา้ นนายก
"ทากอ๊ ปปี้ให้ 2 ชุด"
ประโยคนใ้ี ชค้ าทับศพั ท์ภาษาตา่ งประเทศในคาที่มีคาแทนในภาษาไทย ควรแกเ้ ปน็ ทาสาเนาให้ 2 ชุด
//\\//\\ขอ้ บกพรอ่ งในการใช้ภาษาไทย//\\//\\
126
ตอนที่ 2
การพัฒนาทักษะทางภาษาไทยสาหรบั ครู
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรับครพู ันธ์ุใหม/่ /\\//\\
127
ศลิ ปะการพดู สาหรับครูพนั ธใุ์ หม่
การพูดเป็นทักษะที่สาคัญอย่างยิ่งในการสื่อสารของครู เพราะงานครูเป็นอาชีพท่ีต้องสัมพันธ์
กับสงั คมอยเู่ สมอ ทง้ั สงั คมภายในโรงเรยี น จากผ้บู งั คบั บญั ชา เพือ่ นร่วมงาน และ นักเรยี น และสังคม
ภายนอกโรงเรยี น จากผูป้ กครองของนักเรียน ผู้นาชมุ ชน หรือองค์กรการปกครองท้องถ่นิ ต่างๆ การมี
ความรู้รอบเพียงอย่างเดียวอาจมิสามารถช่วยให้ทางานประสบความสาเร็จได้ หากขาดศิลปะใน
การพูดสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการพัฒนาทักษะการพูดของครูจึงเปรียบเสมือนการลับคม
เครื่องมือในการทางานให้พร้อมปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ ซึ่งเนื้อหาในบทนี้ได้อธิบายรายละเอียดที่
สาคัญของการพัฒนาทักษะพื้นฐานของการพูดที่เป็นมาตรฐานในการพัฒนาตนเองไว้โดยสังเขป
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
แนวคดิ พืน้ ฐานเก่ียวกบั การพดู
การพูด คือ กระบวนการสื่อสารความคิด อารมณ์ ความรู้สึก จากคนหนึ่ง ไปยังอีกคนหนึ่ง
หรอื กล่มุ หน่ึง โดยมีภาษา น้าเสียง และอากัปกิรยิ า เปน็ สื่อสร้างความเข้าใจใหแ้ กก่ ล่มุ ชน ซึ่งมแี นวคิด
พ้นื ฐานในการพฒั นาท่สี าคัญ ดงั นี้
1. พูดได้ ต่างจาก พูดเป็น : พูดได้ เป็นธรรมชาติพ้ืนฐานของทุกคนที่ไม่มีข้อบกพร่องทาง
ร่างกาย ส่วน พูดเป็น หมายถึง พูดให้คนฟังช่ืนชอบ พูดให้คนเชื่อถือ คล้อยตาม ปฏิบัติตาม พูดเรื่อง
ยากเปน็ เรอื่ งง่าย เรื่องง่ายๆ เปน็ เรือ่ งสนุก
2. การพูดเป็นทั้งศาสตร์ และ ศิลป์ : วิชาการพูดเรียนรู้และถ่ายทอดได้เหมือนกับศาสตร์
แขนงอื่นๆ แต่ความสามารถหลังการเรียนรู้ต้องขึ้นอยู่กับศิลป์หรือศิลปะในการประยุกต์ใช้ความรู้
ดังกลา่ ว ตามรูปแบบของความสามารถทางการพูดเฉพาะบุคคล
3. นักพูดที่ดีไม่ได้มีเพียงพรสวรรค์เสมอไป : ความสามารถในการพูดต้องเกิดจาก
“การศึกษา” และ “การฝกึ ฝน” ควบคกู่ ันไป ไม่ควรยึดถือความเชื่อว่า การพดู เป็นเรอื่ งของพรสวรรค์
ใครที่ไม่มีพรสวรรค์ แม้ฝึกพูดอย่างไรก็ไม่สามารถพัฒนาได้ แต่ควรยึดมั่นใน “พรแสวง” ศึกษา
ฝึกฝน และตรวจสอบพฒั นาตนสู่อยู่เสมอ
4. ไม่มีการพูดที่สมบูรณ์แบบที่สุด : ในโลกนี้ไม่มีใครพูดเก่งจนไม่สามารถจะปรับปรุงแก้ไจ
อะไรได้อีก ใครก็ตามท่ีว่าเป็นนักพูดชั้นยอดนั้น ฟังกันจริงๆ ก็จะเห็นว่ายังมีที่ติ ควรแก้ไขปรับปรุงได้
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรบั ครูพนั ธใุ์ หม่//\\//\\
128
ท้ังน้ัน ไม่มากก็น้อย ไม่ควรที่ใครจะหลงระเริงต่อคาป้อยอของบริวาร หรือ เข้าใจเอาเองว่าตนเองเก่ง
จนไมม่ ที ี่ติ เปน็ ความหลงผิดและเดินสวนทางกับคนทีก่ ้าวหนา้ ผทู้ ปี่ รบั ปรุงตัวเองอยเู่ สมอ
5. การพูดเป็นเรื่องท่ีสัมพันธ์โดยตรงกับการพัฒนาบุคลิกภาพ : เมื่อใดท่ีต้องการพูด เมื่อนั้น
ตอ้ งมผี ู้คอยรับฟัง และปราการด่านแรกของการเรยี กร้องดึงดูดความสนใจคือบุคลิกภาพทด่ี ีทั้งภายใน
และภายนอก ทั้งก่อนพูด ขณะพูด และหลังพูด ดังน้ันหากต้องการพัฒนาทักษะการพูดต้องพัฒนา
บคุ ลกิ ภาพใหด้ เี ป็นอันดับแรก
ปจั จัยการพฒั นาทกั ษะการพดู สาหรบั ครู
ครูเป็นวิชาชีพช้ันสูงที่ต้องพบปะผู้คนหลากหลาย อาทิ ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์
เพื่อนครู นักเรียน ผู้ปกครอง หรือแม้แต่ผู้นาชุมชน ทั้งนี้อุปสรรคสาคัญประการหนึ่งที่ลดทอน
ประสิทธิภาพในการรับสาร คือ อคติในใจของผู้ฟัง ซึ่งอาจเกิดมาจากมูลเหตุที่หลากหลาย เช่น
คุณวุฒิ วัยวุฒิ ความสนใจ และ ประสบการณ์ เป็นต้น ฉะนั้นเพื่อลดทอนอุปสรรคดังกล่าว จาเป็นต้อง
สร้างความน่าเชื่อถือศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ผู้ฟังตั้งแต่เริ่มต้นจนจบการสื่อสาร ซึ่งปัจจัยการพัฒนา
ทักษะการพูดดังกล่าวนั้น ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ บุคลิกภาพ (Personality) ลีลา
(Style) ภาษา (Language) และ สาระ (Content) ดังรายละเอียดต่อไปน้ี
1. บุคลิกภาพ (Personality) : คาว่า “บุคลิกภาพ” ตรงกับคาว่า “Personality” คือ
เอกลักษณ์หรือพฤติกรรมเฉพาะตัวที่ทาให้แต่ละ
บุคคลแตกต่างกัน บุคลิกภาพเป็นสมบัติเฉพาะตัว วเิ คราะหต์ นเอง
ของบุคคล ไม่มีบุคลิกภาพของผู้ใด เหมือนกันทุก (Self analysis)
ประการและไม่มีบุคลิกภาพของผู้ใดที่ดีที่สุด มี ประเมินผล ปรับปรงุ แก้ไข
เพียงการพัฒนาบุคลิกภาพให้ดีขึ้นเท่านั้น โดย (Evaluation) (Self improvement)
กระบวนการพัฒนาบุคลิกภาพ เริ่มต้นจากการ
วิเคราะห์พฤติกรรมท่ีเป็นจุดบกพร่องหรือจุดอ่อน แสดงออก (Behavior)
ของตนเอง โดยกาหนดออกมาเป็นรายข้อพร้อม แผนภาพกระบวนการพฒั นาบุคลกิ ภาพ
ทั้งจัดเรียงลาดับความสาคัญ จากนั้นวิเคราะห์หา
แนวทางการปรับปรุงแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม จากนั้นฝึกแสดงออกพฤติกรรมตาม แนวทางท่ี
ออกแบบไว้จนกลายเป็นนิสัย จากนั้นเริ่มประเมินผลบุคลิกภาพใหม่ของตน แล้ววนรอบ
กระบวนการใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้การสารวจบุคลิกภาพต้องมาจากทั้งมุมมองที่ตนเองประเมินตนเอง
และมุมมองที่ผู้อ่ืนประเมินด้วย
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรับครพู ันธ์ใุ หม่//\\//\\
129
บุคลิกภาพของบุคคลจาแนกได้ 2 ลักษณะ คือ บุคลิกภาพภายนอก และ บุคลิกภาพ
ภายใน ซ่ึงมีแนวทางในการพัฒนา ดังน้ี
บุคลิกภาพ บุคลิกภาพ 1) บุคลิกภาพภายนอก : เป็นการเสริมสร้าง
ภายใน ภายนอก ภาพลักษณ์ของบุคคลให้เป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบ
เห็น ประกอบด้วย การแต่งกาย การดูแล
สุขลักษณะทางร่างกาย และ กิริยาท่าทาง ซึ่งมี
ข ้อ เ ส น อ แ น ะ ส า ห ร ับ ก า ร ส ร ้า ง ภ า พ ล ัก ษ ณ ์ที่
ส่งเสริมความน่าเชื่อถือศรัทธาของผู้พูด ดังนี้
1.1) ด้านการแต่งกาย – ควรพิจารณาเสื้อผ้า
เครื่องแต่งกายบนพื้นฐานของความ ถูกต้อง
เหมาะสมกับกาลเทศะ และอยู่บนพื้นฐานของความพอดี เช่น รูปแบบของเสือผ้าเครื่องแต่งกาย
ควรมีความเป็นสมัยนิยม ไม่นาสมัยหรือล้าสมัยจนเกินไป ไม่ควรมีลวดลายที่ซับซ้อน สับสน
วนเวียนมากจนเกินไป รวมทั้งไม่ควรเลือกสีที่ฉูดฉาดสะดุดตาจนเกินไป เพราะจะทาผู้ฟังสนใจ
เรื่องการแต่งกายของผู้พูดจนเกินพอดี เพราะการแต่งกายที่เกินพอดีนั้นสามารถเป็นปัจจัย
แห่งอคติในเรื่องรสนิยมระหว่างกันได้ ดังนั้นจึงควรเลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายบนพื้นฐานของ
ความถูกต้อง ความเหมาะสม และ ความพอดี เป็นสาคัญ
1.2) ด้านร่างกาย – ควรดูแลความเรียบร้อยของร่างกายส่วนต่างๆ ให้สะอาด สดใส
สุขภาพดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างย่ิงส่วนที่ผู้ฟังสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายในขณะพูด ได้แก่
- ผิวหน้า ควรรักษาสภาพผิวให้สะอาดสดใส เกลี้ยงเกลา ไม่มีสิว หรือรอยแดง
จากสิวมากจนเกินไป
- ริมฝีปาก ควรบารุงรักษาสภาพของริมฝีปากให้ไม่แตก ลอก แห้ง ด้วยครีมบารุง
ต่างๆ อยู่เสมอ
- กลิ่นปาก ควรดื่มน้าหรืออมลูกอมก่อนพูดเจรจาสื่อสารในระยะประชิด ทั้งนี้
การมีกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ฟันผุ เป็นแผลในช่องปาก หรือ เป็นโรค
กรดไหลย้อน ดังนั้นต้องหมั่นตรวจสอบความผิดปกติของร่างกายอยู่เสมอเพื่อป้องกันและรักษา
อาการได้อย่างตรงจุด
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรับครพู ันธ์ุใหม/่ /\\//\\
130
- ฟัน ควรดูแลรักษาความสะอาดในช่องปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรับประทาน
อาหารต้องตรวจสอบความเรียบร้อย อย่าให้มีเศษอาหารติดตามซอกฟันเป็นอันขาด นอกจากน้ี
ควรดูแลสีฟันให้ขาวสะอาดสดใสอยู่เสมอด้วย
- ผม ควรดูแลสภาพเส้นผมให้มีสุขภาพดี ไม่ชี้ฟู แตกปลาย สีผมไม่สม่าเสมอ
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการตัดแต่งทรงผมไม่ให้รกรุงรังรวมทั้งควรเลือกทรงผมที่เหมาะสมกับรูป
หน้าด้วย
- เล็บ ควรดูแลรักษาความสะอาดของเล็บ ไม่ควรปล่อยให้ยาวหรือสั้นจนเสีย
รูปทรง
- ผิวกาย ควรดูแลรักษาผิวกายไม่ให้แห้ง ด้าน ดา ด่าง เป็นขุย โดยเฉพาะอย่าง
ย่ิงบริเวณข้อศอก แขน และขา
1.3) ด้านกิริยาท่าทาง – ควรระมัดระวังจัดระเบียบการเคลื่อนไหวร่างกายส่วนต่างๆ
ในขณะพูด ซึ่งประกอบด้วย การจัดระเบียบใบหน้า การจัดระเบียบการใช้มือ และการจัดระเบียบ
การยืน ให้อยู่บนพ้ืนฐานของความเหมาะสมและการสร้างอัธยาศัยไมตรี ดังนี้
- การจัดระเบียบใบหน้า ควรพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ฟัง
ส่งรอยยิ้มตอบกลับมาซึ่งนับว่าเป็นวิธีการเพิ่มกาลังใจในขณะพูดได้อย่างดียิ่ง นอกจากนี้ผู้พูดควร
ใช้สายตาสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ฟัง โดยการมองแบบกวาดสายตาไปรอบบริเวณที่พูด และสบตากับ
ผู้ฟังเป็นระยะ แต่ต้องไม่จ้องมองผู้ฟัง หรือ สบตากับผู้ฟังเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียวเท่าน้ัน
- การจัดระเบียบการใช้มือ ควรใช้มือประกอบการพูดในบางจังหวะ โดยการผาย
มือเป็นหลัก ไม่ควรชี้นิ้วใส่ผู้ฟัง นอกจากนี้อาจแสดงท่าทางประกอบเนื้อเรื่อง เช่น ใช้มือ
ล้วงกระเป๋า ประกอบการพูดเรื่องการใช้จ่าย ทั้งนี้ต้องระวังการรวบประสานมืออย่างแข็งเกร็งไว้
บริเวณด้านหน้าลาตัว หรือ กามือแน่นไว้ข้างลาตัว หรือ แบมือแข็งเกร็งขนาบไปกับลาตัว ตลอด
ระยะเวลาการพูดเป็นอันขาด เพราะจะทาให้ขาดความเป็นธรรมชาติและเป็นปัจจัยหนึ่งใน
การเพิ่มความเครียดหรือความรู้สึกกดดันในขณะพูดมากข้ึน
- การจัดระเบียบการยืน ควรยืนอย่างด้วยท่าทางที่มั่นคง สง่างาม โดยผู้ชายควร
แยกเท้าความกว้างขนาดน้อยกว่าความยาวของช่วงไหล่เล็กน้อย และอาจวางส้นเท้าชิดกัน
ให้ลักษณะการวางเท้าคล้ายกับรูปตัว วี ( V ) ส่วนผู้หญิงควรวางเท้าในลักษณะการเดินของเข็ม
นาฬิกา ในช่วง 10 หรือ 14 นาฬิกาตรง โดยสมมติให้เท้าข้างหนึ่งเป็นเข็มสั้นและเท้าอีกข้างหนึ่ง
//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรับครูพนั ธ์ุใหม/่ /\\//\\
131
เป็นเข็มยาว นอกจากนี้ต้องคอยระมัดระวังอย่ายืนพักเท้า หรือ เดินวนไปมาขณะยืนพูดเป็น
อันขาด เพราะจะทาให้เสียสมาธิกับเรื่องที่พูด หากต้องยืนพูดเป็นระยะเวลายาวนาน อาจมี
การเปล่ียนตาแหน่งการยืนได้ แต่ต้องเว้นระยะห่างเล็กน้อยในการเปลี่ยนตาแหน่งที่ยืน
1.2) บุคลิกภาพภายใน : เป็นการพัฒนาภาพลักษณ์ที่ประกอบด้วยความมั่นใจ สง่างาม
ซึ่งเป็นกระบวนการที่เบ่งบานเกิดขึ้นจากภายในตัวของบุคคล แต่อย่างไรก็ตามสามารถพัฒนาจาก
เดิมได้ โดยการปรับกระบวนการคิด และ กระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนพูด ดังนี้
- การปรับกระบวนการคิด : หลายคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง เมื่อจาเป็นต้อง
พูดมักจะแสดงอาการประหม่าออกมาอย่างไม่รู้ตัว หรือบางคนรู้ตัวแต่ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรม
ความประหม่านั้นได้ เช่น สั่นขา โยกตัวไปมา ม้วนสายไมโครโฟน พูดคาติดซ้าไปมา เดินวน มอง
เพดาน มือสั่น ขาสั่น และ เสียงสั่น เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจาก
ความเครียด ความวิตกกังวลในขณะที่กาลังพูด ฉะนั้นทางแก้ไขที่ได้ผลจึงสอดคล้องสัมพันธ์กับ
กระบวนการทางานของจิตใต้สานึกและการผ่อนคลายความตึงเครียดทางกาย ดังน้ี
1) นึกภาพของตนเองในสถานการณ์ที่ต้องพูด จินตนาการถึง ภาพแห่ง
ความสาเร็จในสถานการณ์การพูดนั้นอย่างละเอียด จินตนาการภาพให้ชัดถึงสีหน้าท่าทางของ
ตนเองและคนฟังอย่างชัดเจน รวมท้ังจินตนาการถึงผลลัพธ์ของความสาเร็จท่ีเกิดขึ้นด้วย
2) พูดกับตนเองหน้ากระจกหรือระลึกในใจก่อนพูดว่า “วันนี้ฉันจะตั้งใจทา
อย่างเต็มที่ ทาอย่างสุดความสามารถ” มองข้ามอุปสรรคต่างๆ ด้วยการมองในทางบวก และไม่
เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
3) สร้างสมาธิจดจ่อกับตนเองโดยการเพ่งความสนใจท่ีการสูดลมหายใจเข้าและ
ผอ่ นลมหายใจออก จากนน้ั ระลึกถึงเปา้ หมายและเน้ือหาทีต่ ้องการพดู อย่างสั้น กระชบั ชดั เจน
4) หากมีอาการมือส่ัน ขาสั่น ท่ีเกิดจากความรู้สึกประหม่า ให้สูดลมหายใจเข้า
ลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ร่วมกับการจิบนา้ เย็นเล็กน้อย
5) ยิ้มให้กับผู้ฟังก่อนเริ่มต้นประโยคแรกของการพูด จากนั้นพูดด้วยระดับ
เสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย ทั้งนี้พยายามใช้เสียงจากท้องแทนเสียงจากคอ เพื่อให้ได้เนื้อเสียงท่ี
หนักแน่น ชัดเจน มีพลัง
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรบั ครูพนั ธใุ์ หม/่ /\\//\\
132
6) สบสายตากับผู้ฟังเป็นระยะ โดยในกรณีที่มีผู้ฟังจานวนมาก เช่น บริเวณ
หน้าเสาธง หน้าชั้นเรียน หรือ บนเวทีกิจกรรม ผู้พูดควรสบสายตาอย่างทั่วถึง ไม่สบสายตาเพียง
กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ส่วนกรณีการพูดแบบรายบุคคล หรือ กลุ่มเล็ก เช่น ห้องสัมภาษณ์ ห้องประชุม
ผู้พูดควรสบสายตากับคู่สนทาโดยตรงร่วมกับการสลับสายตาไปมองบริเวณปาก หรือ จมูกของคู่
สนทนา เพ่ือลดความรู้สึกกดดันให้เบาบางลงในระหว่างสนทนา
- กระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนพูด : เป็นกระบวนการที่ช่วยลดความเส่ียง
ของปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในขณะพูด ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ผู้พูดมีความสง่างามมากยิ่งขึ้น การเตรียม
ความพร้อมนี้ จาแนกได้ 3 ด้าน คือ เนื้อหาสาคัญ ด้านบุคลิกภาพภายนอก และ ด้านสื่อ วัสดุ
อุปกรณ์ ดังน้ี
1) ด้านเนื้อหาสาคัญ ได้แก่ ประเด็นหลัก ประเด็นรอง และ รายละเอียดท่ี
เกี่ยวกับตัวเลข ตัวอย่าง หรือ ข้อมูลอ้างอิงต่างๆ
2) ด้านบุคลิกภาพภายนอก ได้แก่ เส้ือผ้า เครื่องแต่งกาย ทรงผม รวมทั้งกิริยา
ท่าทางต่างๆ ในขณะพูดเน้ือหาต่างๆ
3) ด้านสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ประกอบการพูด ต้องตรวจสอบความพร้อม
ของการใช้งาน มีการทดสอบอุปกรณ์ ไม่ให้เกิดปัญหาในขณะพูด ในกรณีที่เป็นการพูดที่ต้องใช้
ไมโครโฟน ต้องตรวจสอบเสียงของอุปกรณ์อย่างมืออาชีพ ไม่เคาะหัวไมโครโฟนให้เสียงดัง ควรใช้
เล็บเกาหัวไมโครโฟนแทน นอกจากนี้ต้องสังเกตระดับเสียงที่พูดผ่านไมโครโฟนด้วยว่า ก้องเกินไป
เบาเกินไป หรือมีเสียงสอดแทรกรบกวนขณะพูด เช่น เสียงพ่นลมหายใจ เสียงกลืนน้าลาย หรือไม่
หากพบปัญหาดังกล่าว ต้องรีบแก้ไขให้เหมาะสมไม่เป็นอุปสรรคแก่ผู้ฟัง
2. ลีลา (Style) : ในการพูดเป็นปัจจัยท่ีช่วยสร้างเสริมความเชื่อถือศรัทธาของผู้พูดผ่าน
ศิลปะการใช้น้าเสียงและการเว้นจังหวะในการถ่ายทอดเร่ืองราว ซ่ึงผู้พูดต้องวิเคราะห์ลีลาการพูดให้
เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต้องพูด เช่น พูดเรื่องขาขันควรใช้น้าเสียงท่ีสดใสร่วมกับ การเร่งจังหวะใน
การพูด, พูดเร่ืองเศร้าควรใช้น้าเสยี งที่สงบ ราบเรียบ ร่วมกับการลดระดับของจังหวะการพูดให้ช้าลง,
พูดเร่ืองระเบียบข้อบังคับควรใช้น้าเสียงท่ีมั่นคงร่วมกับการเว้นจังหวะการพูดและการลงเสียงหนักใน
คาสาคญั เปน็ ตน้
นอกจากนี้ผู้พูดจาเป็นต้องมีศิลปะการใช้น้าเสียงที่เป็นธรรมชาติ สามารถถ่ายทอด
ความรู้สึกอันแท้จริงของผู้พูด เต็มไปด้วยพลัง มีชีวิตชีวา สามารถตรึงผู้ฟังไว้ได้ และระมัดระวัง
//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรับครพู ันธุ์ใหม่//\\//\\
133
ไม่ให้พูดเสียงเบาเกินไป พูดช้าหรือเร็วเกินไป ตลอดจนอาการพูดแบบอึกอัก เอ้อ-อ้า หรือการมี
ท่วงทานองการพูดเหมือนการอ่านหนังสือ การท่องจา หรือการพูดราบเรียบระดับเดียวกัน
(Monotonous) ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นต้น
3. ภาษา (Language) : ภาษาที่ใช้เพื่อการสื่อสารสามารถจาแนกได้ 2 ลักษณะ คือ
ภาษาที่เป็นรูปธรรมหรือวัจนภาษาและภาษาที่เป็นนามธรรมหรืออวัจนภาษา ซ่ึงผู้พูดจาเป็นต้อง
ให้ความสาคัญอย่างมากในการใช้ภาษาระหว่างการส่ือสาร เนื่องจากการใช้ภาษาเป็นทั้งการสื่อ
ความหมายให้เข้าใจสาระตรงกันแล้วยังเป็นการแสดงความเคารพหรือการให้เกียรติผู้ฟังอีกด้วย ซ่ึง
เปน็ ปจั จยั ท่ชี ่วยสง่ เสรมิ ความน่าเชือ่ ถอื ศรัทธาใหแ้ ก่ผพู้ ดู ทางอ้อมอกี ทางหน่ึงด้วย
การส่ือสารด้วยภาษาที่เป็นถ้อยคาหรือการสื่อสารเชิงวัจนภาษา (Verbal Communication)
เป็นการสื่อสารที่อยู่ในรูปของการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน เช่น การบรรยาย การเขียนแผ่น
ป้ายประชาสัมพันธ์ หนังสือ เป็นต้น การรับสารเป็นการตีความสัญลักษณ์ที่เจ้าของภาษาได้ตกลง
ความหมายร่วมกัน เพื่อให้เกิดการรับรู้ที่ตรงกัน แต่อย่างไรก็ตามความแปรและความเปล่ียนแปลงท่ี
เกิดข้ึนกับภาษาทุกภาษาน้ันนับว่าเป็นอุปสรรคต่อการส่ือสารด้วยวัจนภาษาอย่างยิ่ง ดังนั้นผู้พูดจึงต้อง
ระมัดระวังการเลือกใช้คาศัพท์ให้ถูกต้องตรงความหมายระดับของคาศัพท์ให้เหมาะสมกับผู้ฟัง
ด้วย เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการส่ือสาร ท้ังน้ีสามารถทบทวนเพ่ิมเติมจากเน้ือหาในตอน
ที่ 1 เรื่องหลักการใช้ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสาร ของเอกสารน้ี
ส่วนการสื่อสารท่ีใช้ภาษาท่ีไม่เป็นถ้อยคาหรือการสื่อสารเชิงอวัจนภาษา (Non-verbal
Communication) เป็นการส่ือสารที่ไม่ได้อยใู่ นรปู ของภาษาพูดหรือภาษาเขียน ซึ่งมีลักษณะที่จาแนก
ได้ 7 ประเภท ดังนี้
1. อาการภาษา (Kinesies) ไดแ้ ก่ ภาษาทีแ่ สดงออกด้วยการเคล่ือนไหวทางร่างกาย เช่น
การยักค้วิ การโบกมอื การพยกั หน้า การย้ิม การแสดงความเคารพ เชน่ การไหว้ หรือการโค้งคานับ
2. กาลภาษา (Chonemies) ได้แก่ การใช้เวลา หรือช่วงเวลา เพ่ือสื่อความหมาย
เช่น การตรงต่อเวลา การผิดนัด การเลือกเวลาในการบอกความในใจของคู่หนุ่มสาว การเลือกเวลาท่ี
เหมาะสมย่อมทาใหก้ ารส่อื สารบรรลุตามวตั ถุประสงค์ไดด้ ขี ้นึ
3. เทศภาษา (Proxemies) ได้แก่ การใช้สถานท่ีเป็นตัวแสดงเจตนาในการสื่อสาร ซึ่ง
หมายถึงทั้งลักษณะของสถานที่ เช่น การเลือกห้องท่ีมิดชิดลับตาคน ย่อมแสดงให้เห็นว่า การสื่อสารคร้ัง
นัน้ น่าทจี่ ะเป็นความลับ และหมายถึงชว่ งระยะห่างของสถานท่ีทบ่ี ุคคลกาลังส่ือสารกัน เช่น การนัง่ ชิดกัน
ของคนสองคน ยอ่ มแสดงให้เห็นว่ามีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษกวา่ คนอ่ืน เป็นตน้
4. สัมผัสภาษา (Hapties) ได้แก่ การใช้กายสัมผัสเพื่อส่ือความหมาย เช่น การจับมือ
การโอบกอด การผลักไส เป็นต้น
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรบั ครพู นั ธใ์ุ หม/่ /\\//\\
134
5. เนตรภาษา (Oculesies) ได้แก่ การส่ือสารหรือส่ือความหมายโดยใชส้ ายตา เชน่
การจอ้ งตา การชาเลอื ง การคอ้ น การถลงึ ตา การหลบตา เป็นต้น
6. วัตถุภาษา (Objecties) ได้แก่ การเลอื กใช้วสั ดุ หรอื วตั ถุเป็นสัญลักษณ์ในการส่ือ
ความหมาย เช่น การมอบดอกกุหลาบสีแดงในวันวาเลนไทน์ การส่ง ส.ค.ส. ในวันปีใหม่ การเลือกใช้
รถยนตร์ าคาแพง เปน็ ต้น
7. ปริภาษา (Vocalics หรือ Paralanguage) หมายถึง ส่ิงที่แนบติดมากับภาษาพูดและ
ภาษาเขยี น สง่ิ ท่แี นบตดิ มากบั ภาษาพูด ได้แก่ ระดับเสียงสูง ตา่ ทุ้ม แหลม ความเร็ว ความช้า ความ
ชัดเจนในการออกเสียง เป็นต้น ซึ่งสิ่งท่ีแนบติดมานี้จะทาให้ผู้รับสารทราบเจตนา หรือ ลักษณะของผู้
ส่งสารได้เป็นอย่างดี เช่น เสียงพูดที่แข็งกระด้าง และดัง ย่อมบอกได้ว่า ผู้พูดกาลังโกรธ ไม่พอใจ
เป็นต้น ส่งิ ที่แนบติดมากับภาษาเขียน เช่น ลายมอื การใช้ขนาดของตัวหนังสือ การเว้นวรรคตอน การย่อ
หนา้ เป็นต้น
ทั้งน้ีปัญหาของการใช้อวัจนภาษามักเกิดจากความเคยชินท่ีไม่ได้ต้ังใจของผู้พูดในการแสดงออก
ของกิริยาท่าทางต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามพฤติกรรมจริตเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้ฟังโดย
อัตโนมัติ การศึกษาเรื่องลักษณะพฤติกรรมของบุคคลเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาการพูด เพราะ
ช่วยให้ผู้พูดละเว้นพฤติกรรมทางภาษาท่ีไม่พึงประสงค์แก่ผู้ฟัง ในขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้ผู้พูดได้
พัฒนาการพูดของตนเองจากการสังเกตพฤติกรรมของผู้ฟังเพื่อนามาปรับการพูดของตนเองให้มี
ประสทิ ธภิ าพอย่างทันท่วงที โดยประกอบด้วยพฤติกรรมดังต่อไปน้ี
นั่งเอามือเท้าคางแบบ แสดงถึง การไมส่ นใจ รูส้ ึกเบื่อหน่าย ไม่ดีเหน็ งามด้วย
เองตวั ไปขา้ งหลัง
นั่งเอามือเท้าคางแบบ แสดงถงึ ความเป็นกันเอง ความมชี วี ิตชีวา ความสนกุ สนาน การมีอัธยาศัย
เอนตวั มาข้างหนา้ ดคี วามสนใจใคร่รู้ความฉลาดหลกั แหลมความน่ารักนา่ เอน็ ดูความมีเสนห่ ์
และความกระตือรือรน้
แสดงถึง ความมีอารมณ์ดี ความเป็นมิตร ความเปน็ กันเอง ความมีมนษุ ยสัมพันธ์
นัง่ ถา่ งขา การมีอารมณ์ขัน ความตรงไปตรงมา ความรบั ผิดชอบทสี่ งู ความสามารถใน
การปรบั ตัว ความใจร้อนรุนแรง ความสามารถในการพูดหรือโนม้ นา้ วใจผู้อ่ืน
ความกลา้ แสดงออก ความกล้าหาญ
น่ังกระดิกขา แสดงถงึ ความเปิดเผย ความจริงใจ การมองโลกในแง่ดี ความผอ่ นคลาย
ความเรอ่ื ยเปื่อย ความไมม่ ีพิษมภี ัย และการขาดความกระตือรือรน้
นงั่ หอ่ ไหล่ แสดงถงึ ความไร้ระเบยี บวินยั ความไม่เคร่งเครียด ความลม้ เหลวในชีวิต
การขาดความกระตือรือร้น ความไม่เอาจรงิ เอาจัง และการไม่มีพิธรี ตี อง
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรับครพู ันธใ์ุ หม/่ /\\//\\
135
น่งั ไขวห่ า้ ง แสดงถงึ ความเจ้าอารมณ์ อาเพอ้ ฝัน ความหยง่ิ ทะนงตน ความเชอื่ ม่นั ในตนเอง
ความไมเ่ ปดิ ใจยอมรับฟงั ความคดิ เหน็ ของใคร ความดือ้ ดงึ ความหวัน่ ไหว และ
ยนื หอ่ ไหล่ ความหลงตัวเอง นอกจากนี้หากเอนตวั ไปขา้ งหน้าดว้ ยแสดงถึงความสนใจใครร่ ู้
ท่จี ะพูดจะฟงั แต่หากเอนตวั ไปด้านหลงั แสดงถึงความเบือ่ หน่ายไม่ใส่ใจ
ยนื แอน่ ตัว แสดงถึง ความเครียด ความขุ่นเคือง ความฉลาดแกมโกง การตง้ั เกราะป้องกนั
ตัวเอง การคิดเลก็ คิดน้อย การมีความเห็นด้านเดยี ว การปิดบังซ่อนเร้น การไม่
ยืนตวั เอียง เปิดโอกาสใหผ้ อู้ ่ืนได้แสดงความคิดเห็นบ้าง
ยืนโยกตวั แสดงถึง ความขี้อาย ช่างฝัน มีโลกส่วนตัวสูง มีความเป็นมิตร จติ ใจสะอาด มี
ยืนไขวข้ า ความคิดสร้างสรรค์ มีความละเอยี ดรอบคอบ ไมช่ อบการแข่งขันหรือยังจริง มี
ยนื เทา้ เอว ความเงียบสงบไมโ่ อ้อวดตน
เดินสายเอว แสดงถึง ความสับสนทางความคดิ ความหว่นั ไหว ความไม่มนั่ ใจในตวั เอง ความ
เดนิ กาหมดั ไร้พลังทางรา่ งกายและจิตใจ ความด้ือดึง ความไม่จริงจัง การมองโลกในแง่ร้าย
เดินลงสน้ แสดงถึง ความไม่ม่ันใจในตัวเอง ความกลัวในจติ ใจ ความโลเล ความไม่พอใจ
เดินถ่างขา แสดงถงึ มีความเปน็ กันเอง อัธยาศัยดี เขา้ ถงึ ได้ง่าย มีน้าใจ มองโลกในแง่ดี
เดินโยกตวั รา่ เริงเบิกบาน เปิดเผยจรงิ ใจ ร้จู ักการประนีประนอม
แสดงถึง ความเผด็จการ รักในความก้าวหน้า มีความเป็นผู้นา มีความเป็น
เดิน ตวั ของตวั เองสงู มคี วามคล่องแคล่วว่องไว
กะโผลกกะเผลก แสดงถึง การมีโลกส่วนตัวสูง ความลุ่มหลงในเรื่องกามอารมณ์ ความไม่มี
พษิ ภัย ความรักในอสิ ระ ความไมเ่ ปน็ มติ ร และ ความเอาแตใ่ จตนเอง
แสดงถึง ความโมโหโกรธา ความไม่พอใจ ความเครียด ความไม่แน่นอน
ความวิตกกังวล ความใจกลา้ บ้าบ่นิ ความดดุ นั ความตน่ื เตน้ ความทา้ ทาย
แสดงถึง การชอบเรียกร้องความสนใจ ความเห็นแก่ตัว เอาตัวเองเป็นที่ต้ัง
ความแขง็ กระด้าง ความก้าวร้าว ความสบั สนวนุ่ วาย
แสดงถึง ความเปิดเผย ความตรงไปตรงมา ความกล้าในการคดิ และตัดสนิ ใจ
ความมีศกั ดิศ์ รี ความใจกลา้ บ้าบิน่ และ การรูจ้ ักพึง่ ตนเอง
แสดงถึง ความด้ือดึง ความร้อนรน ความสับสนวุ่นวาย การขาดความรอบคอบ
ความมีโลกส่วนตัวสูง การไม่วางแผน การเปลีย่ นแปลง
แสดงถึง ความไม่ม่ันใจในตัวเอง ความไรเ้ หตผุ ล ความมเี สนห่ ์ในเรอ่ื งเพศ
ความเจา้ อารมณ์ ความอ่อนไหว ความออ่ นแอท้ังรา่ งกายและจิตใจ
//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรับครพู ันธุ์ใหม่//\\//\\
136
เดินก้าวเท้าสนั้ ๆ แสดงถึง ความไม่น่าไว้วางใจ ความไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ความไม่มั่นใจใน
ตนเอง
เดินก้มหน้ากม้ ตา แสดงถึง การเจ้าความคิด ความวิตกกังวล ความเคร่งเครียดจริงจัง ความเด็ด
เดยี่ วกล้าหาญ การตัง้ เปา้ หมายเอาไวส้ งู และความรับผิดชอบ
เดินทอดน่อง แสดงถึง ความไม่หนักแน่นมั่นคง การขาดความกระตือรือร้น ปลาความสบาย
จนเกินไป ไม่ชอบการเรียนรู้ ไม่ชอบความท้าทายหรือทดลองเรื่องแปลกๆ
เดินแกวง่ แขน ใหมๆ่ และ การขาดความคิดสร้างสรรค์
แรงๆ แสดงถึง ความบันเทิงเริงใจ ความด้ือดึง การเอาแต่ใจ ความร่าเริงแจ่มใส
ความรักสวยรักงาม ความเป็นธรรมชาติ และความมพี ลังชีวิต
เดนิ กน้ บิด แสดงถึง ความอดทนอดกลัน้ ความเปน็ กันเอง ความรักสบาย ความจริงใจ
กอดอก ความรักไมอ่ ิสระ การชอบเอาชนะและการเรียกร้องความสนใจ
ประสานมอื ไว้บน แสดงถงึ การไมส่ นใจ ไม่ใสใ่ จ ไมเ่ ห็นด้วย ไม่เปดิ ใจรับฟงั นั่นเอง
ใช้มอื ประกอบ แสดงถึง ความเบ่ือหน่าย ความไม่เหน็ ด้วย และการไม่ให้ความสนใจใดๆ
การพูด แสดงถึง ความดื้อดึง มีทฐิ ิ มีความม่ันใจในตนเองสงู เกินไป ยึดติดความคดิ
จบั จมกู บอ่ ยๆ ของตวั เองเปน็ ใหญ่ และมีความเป็นผู้นาสงู
จับหบู อ่ ยๆ แสดงถึง ความสับสนวนุ่ วายใจ ความไมม่ ่ันใจ หรือต้องการเวลาในการตัดสนิ ใจ
วางมือไวบ้ นตัก นานพอสมควร
มือและแขนประกอบ แสดงถึง ความไม่แน่ใจ ความไมส่ บายใจ และการปดิ บังซ่อนเรน้
การพูดบ่อยๆ แสดงถึง ความต้องการมีส่วนร่วม การเรียกร้องความสนใจ และ การน้อยเนื้อ
ประสานมอื ตา่ ใจหรอื รสู้ กึ เจยี มตวั
ทีท่ า้ ยทอย
ซกุ มือ แสดงถึง การแสวงหาการยอมรบั จากผูอ้ น่ื การไม่ม่ันใจในตวั เองและความอวดดี
น่งั ตวั ตรง แสดงถึง ความไม่มีอคติทางความคิด ความเป็นมิตร การเข้าถึงได้ง่าย
ความผ่อนคลาย และความเปิดเผยจริงใจ
แสดงถึง การไมต่ ้องการเสวนาดว้ ย การปดิ บงั ซ่อนเร้น และความร้สู ึกอดึ อัด
ลาบากใจ
แสดงถึง ความกล้าพูดกล้าทาและกล้าแสดงออก ความทะเยอทะยาน
ความเด็ดเดี่ยว ความเป็นผู้นาการมีวิสัยทัศน์การยุติธรรมความมีพลัง
ความมีบุคลิกความใส่ใจดูแลตัวเองท้ังเรื่องรูปร่างหน้าตาภาพลักษณ์
//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรับครพู ันธุใ์ หม/่ /\\//\\
137
แสดงถึง มีความรบั ผดิ ชอบสูง มีความเปน็ ผู้นา มีความมน่ั คงทางอารมณ์ มี
ยืนตวั ตรง เปา้ หมายในชีวติ มคี วามยุตธิ รรม มรี ะเบยี บวนิ ัย มคี วามทะเยอทะยานสูง
และ มคี วามกลา้ หาญเดด็ เด่ียว
แสดงถึง ความมีน้าใจ ความเปิดเผย ความจริงใจ ความเท่ียงตรง ความมีระเบียบ
ยนื เชดิ อก วินัย ความซื่อสัตย์ยุติธรรม ความรักในศักดิ์ศรี ความจริงจัง และมี
ความเป็นผู้นาสูง
เดินช้าๆ แสดงถึง ความสขุ ุม ความอวดดือ้ ถือดี การมีความคิดอ่านแบบผู้ใหญ่ ความฉลาด
แสดงถึง ความไม่ท้อถอย การมองการณ์ไกล ความกระตือรือร้น ความคิด
เดนิ เรว็ สร้างสรรค์ ความมีพลัง ความสาเร็จ ความมุง่ ม่ัน ความกา้ วหน้า การมีความคิด
ที่เป็นระบบ และความขยันขนั แขง็
เดนิ ก้าวเท้ายาวๆ แสดงถึง ความมั่นใจในตัวเอง ความหย่ิงทะนง การพึ่งพาตนเอง และ
ศักดิศ์ รี
พยกั หนา้ เป็นระยะ แสดงถึง ความเป็นกันเอง ความสบายๆ ความเห็นด้วย มันเป็นคนหัวอ่อน
และไม่มคี วามคิดเปน็ ของตนเอง และความเปน็ มติ ร
4. สาระ (Content) : สาระเป็นเน้ือหาสาคัญที่ผู้พูดต้องการส่ือสารกับผู้ฟัง การนาเสนอ
สาระในการพูดมีลักษณะเดียวกันกับการนาเสนอสาระโดยการเขียน กล่าวคือการนาเสนอสาระท่ี
มีประสิทธิภาพทุกคร้ัง ผู้พูดต้องมีการกาหนดจุดประสงค์ในการพูดและใจความหลัก (Main Idea)
พร้อมท้ังนาเสนอใจความรอง (Supporting detail) อย่างเพียงพอ ซ่ึงมีหลักในการนาเสนอสาระ
ดังน้ี
(1) มีเอกภาพ คือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเนื้อหาสาระที่นาเสนอ
ทุกประเด็นที่พูดมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันในลักษณะขยายความ และมุ่งสร้างความเป็นเหตุ
เป็นผลให้กับใจความสาคัญของเร่ืองที่พูด
(2) มีสัมพันธภาพ คือมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันในลักษณะของการลาดับ
ความคิดอย่างเป็นขั้นตอน หรือมีความสัมพันธ์กันในเชิงสาเหตุและผลลัพธ์ หรืออาจมี
ความสัมพันธ์ในเชิงของระยะเวลาหรือสถานที่ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ฟังติดตามเนื้อเรื่องด้วย
ความเข้าใจได้ง่ายยิ่งข้ึน
(3) มีสารัตถภาพ คือมีการเน้นย้าประเด็นสาคัญให้ผู้ฟังรับทราบอย่างชัดเจน
โดยอาจใช้วิธีการยกตัวอย่างเพื่อขยายความจานวนมาก หรือการใช้ตัวอย่างในเชิงเปรียบเทียบให้
//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรับครูพันธ์ุใหม่//\\//\\
138
เข้าใจความเป็นนามธรรม หรือการใช้คาซา้ เพื่อเน้นยา้ คากุญแจสาคัญของเร่ืองท่ีกาลังพูด เป็นต้น
ซึ่งจะทาให้ผู้ฟังเข้าใจและจับประเด็นสาคัญของเร่ืองท่ีพูดได้ดียิ่งขึ้น
การพฒั นาทักษะการพูดเพื่อการจดั การเรยี นรู้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในยุคศตวรรษที่ 21 มีความสอดคล้องกับลักษณะของผู้เรียนท่ี
เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ครูไม่อาจดาเนินการจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน
กระบวนการบรรยายเพียงอย่างเดียว ครูไม่อาจจัดการเรียนรู้ได้หากไม่สามารถตรึงความสนใจ
ของผู้เรียนได้มากเพียงพอ และครูมิอาจสร้างเสริมความจาให้ผู้เรียนได้หากไม่สามารถพูด
ถ่ายทอดให้นักเรียนประทับใจได้ ดังนั้นจึงจาเป็นอย่างยิ่งที่ครูต้องพัฒนารูปแบบการพูดของ
ตนเองให้เท่าทันกับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้เรียน ซ่ึงรูปแบบการพูดท่ีส่งเสริม
การจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนท่ีสาคัญ ประกอบด้วย การพูดเพ่ือสร้างความรอบรู้ การพูดเพื่อสร้าง
ความจรรโลงจิตใจ การพูดเพ่ือสร้างความคล้อยตาม และ การพูดเพื่อวัดผลลัพธ์ระหว่างเรียน ซึ่ง
มีรายละเอียดดังต่อไปน้ี
1. การพูดเพ่ือสร้างความรอบรู้ : การพูดอธิบายหรือการพูดบรรยายเป็นการนาเสนอ
เน้ือหาสาระอย่างตรงไปตรงมา มีลาดับขั้นตอน เพื่อถ่ายทอดสาระความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งไปสู่ผู้ฟัง
แม้ว่าการพูดเพื่ออธิบายจะไม่มีความซับซ้อน แต่อย่างไรก็ตามพบว่า มีนักพูดน้อยคนที่สามารถ
อธิบายหรือบรรยายเนื้อหาสาระได้อย่างเข้าใจง่าย ดังนั้นเพื่อพัฒนาทักษะการพูดอธิบาย ขอ
นาเสนอแนวปฏิบัติการพูด ดังต่อไปนี้
(1) กาหนดเนื้อหา : เป็นการวิเคราะห์หาเนื้อหาที่เป็นใจความหลักหรือประเด็น
สาคัญที่สุดของเนื้อหา ซึ่งผู้พูดควรสรุปให้ได้ประเด็นที่สั้นที่สุดเพียงประเด็นเดียว ด้วยการเขียน
เรียบเรียงประเด็นสาคัญให้ได้เพียงหน่ึงประโยค เพื่อจากัดความสับสนท่ีอาจไปทับซ้อนกับเนื้อหา
ที่เป็นใจความรอง ส่วนเนื้อหาที่เป็นใจความรอง คือ ข้อมูลที่เป็นเหตุผลสนับสนุนความคิดหลัก
ให้น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และเนื้อหาส่วนที่เป็นรายละเอียด เช่น ข้อมูลเชิงสถิติ ตัวเลข คาพูด
เปรียบเทียบ เป็นต้น
(2) เรียงลาดับเนื้อหา : เป็นการวางโครงร่างการพูดอธิบาย ซึ่งประกอบด้วย การ
พูดอธิบายแบบนิรนัย และการพูดอธิบายแบบอุปนัย ซึ่งการจะเลือกวางโครงร่างเช่นใดนั้นต้อง
พิจารณาให้เหมาะสมกับเน้ือหาท่ีมีอยู่เป็นสาคัญ
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรบั ครูพนั ธ์ใุ หม่//\\//\\
139
(2.1) โครงสร้างการพูดอธิบายแบบนิรนัย คือ การนาเสนอหลักการ แนวคิด
หรือทฤษฎี หรือสาเหตุ มูลเหตุของประเด็นหรือเนื้อหาสาระที่พูดนาเสนอก่อนเป็นอันดับแรก
จากนั้นจึงยกตัวอย่างประกอบ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ หรือ เห็นความเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เหมาะกับ
เน้ือหาที่มี แนวคิด หลักการ ทฤษฎี ท่ีมีความซับซ้อน เน้ือหาของหลักการมีรายละเอียดจานวนมาก
(2.2) โครงสร้างการพูดอธิบายแบบอุปนัย คือ การนาเสนอตัวอย่างเหตุการณ์ หรือ
เร่ืองราวที่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการ เพ่ือสร้างจินตนาการให้ผู้ฟังเห็นภาพเห็นอย่างเป็นรูปธรรม
จากนั้นจึงสรุปเชื่อมโยงไปถึงสาเหตุของปัญหาหรือต้นเหตุที่ทาให้เกิดเหตุการณ์ดังตัวอย่างท่ี
นาเสนอมาข้างต้น การอธิบายแบบอุปนัยเหมาะกับที่มีกรณีศึกษาหรือตัวอย่างที่มีความแตกต่าง
หลากหลาย มีผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับประสบการณ์ของผู้ฟัง หรือเกี่ยวข้องกับการดาเนินชีวิตของผู้ฟัง ซึ่ง
การนาเสนอผลลัพธ์ทส่ี ัมพันธ์โดยตรงกับผู้ฟังเช่นน้ีช่วยกระต้นุ ความสนใจใคร่รใู้ ห้กับผู้ฟังได้เปน็ อย่างดี
วิธีการนาเสนอ การพูดอธิบายแบบนิรนัย การพูดอธิบายแบบอุปนัย
ลักษณะเน้ือหา สาเหตุ/หลักการ ตัวอย่าง/การพิสูจน์แนวคิด
สู่
สู่
ตัวอย่าง/การพิสูจน์แนวคิด สาเหต/ุ หลักการ
หลักการมีรายละเอียดมาก หลักการมีรายละเอียดนอ้ ย
สัมพันธ์กับประสบกาณ์ของคนฟังน้อย สัมพันธ์กับประสบกาณ์ของคนฟังมาก
2. การพูดเพ่อื สรา้ งความจรรโลงจิตใจ : การพูดเพ่ือสร้างความบนั เทิงเป็นเครื่องมือ
สาคัญในการเปิดอคติทางบวกและปิดอคติทางลบของผู้ฟังได้เปน็ อยา่ งดี นอกจากน้ีการนาเสนอทส่ี ัมพันธ์
กับการสร้างอารมณ์ทางบวกยังเปน็ การเพ่ิมประสิทธิภาพความคงทนของการรับสารไดเ้ ป็นอย่างดีอีกดว้ ย
ดงั นั้นขอนาเสนอเทคนิคการพูดเพ่ือสร้างความบันเทงิ ดังนี้
(1) เทคนิคการสร้างอารมณ์ขัน ประกอบด้วยวิธีการ ดังต่อไปน้ี
(1.1) ทาเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องจริง : ผู้ฟังรู้อยู่แล้วว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติหรือ
นิยายปรัมปรา ผู้นามาดัดแปลงเพิ่มเติมรายละเอียดเข้าไปกลายเป็นเรื่องสนุกสนานกว่าเดิม เช่น
บรรยายเรื่องการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องแล้วยกเรื่องผู้ใหญ่ลีมาเล่าเป็นตุเป็นตะ แม้ว่าผู้ฟังรู้กันอยู่
แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรับครูพนั ธ์ใุ หม่//\\//\\
140
(1.2) ท่าดีทีเหลว : พูดทาทีเป็นผู้รู้เรื่องราวที่จะพูดอย่างดี พูดไปพูดมาก็ชัก
เลอะๆ เลือนๆ แล้วพาลสรุปจบลงอย่างข้างๆ คูๆ ผู้ฟังซึ่งรู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่า ต้องตกมาตาย ครั้น
เห็นผู้พูดตกม้าตายจริงๆ ก็ชอบใจ แต่ท้ังน้ีต้องไม่ใช่เร่ืองใหญ่โตหรือโอกาสสาคัญ
(1.3) ลับลมคมใน : ถ้ารู้อยู่ว่าผู้ฟังส่วนใหญ่เข้าใจตื้นลึกหนาบางในเร่ืองเกี่ยวกับ
บุคคลหรือสถาบันนั้นๆอยู่อย่างดี ผู้พูดอาจใช้คาพูดเปรียบเทียบแบบมีลับลมคมในให้ผู้ฟังคิดแล้วฮาได้
จะโกรธกันก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ออกมาตรงๆ เพียงแต่เฉียดๆ ไปเท่านั้น แต่เรื่องนี้ต้องระวังอย่าถึงกับ
ลว่ งเกิน หรือ ลามปามมากเกนิ ไปแทนทผ่ี ้ฟู ังจะขาแต่กลับนง่ิ ๆ เงียบๆ และ อดึ อดั แทนก็ได้
(1.4) ตัวอย่างขาขัน : ลองหาตัวอย่างมาอธิบายสนับสนุนเรื่องของตนเป็น
ตอนๆ ตัวอย่างไม่จาเป็นต้องเป็นเร่ืองจริงเสมอไป เรื่องตลกขาๆ ก็ได้ เม่ือเล่าจบลงก็พยายามขมวด
ให้เข้าเรื่องที่ดาเนินอยู่ แม้ไม่ตรงทีเดียวแต่ก็จะพอกลมกลืนกับเรื่องที่ฟังได้ และจะไม่ถือสาอะไร
กลับจะชอบและจดจาได้แม่นยาเสียอีก
(1.5) พูดขบให้ขัน : จดจาตัวอย่างการใช้ถ้อยคาสานวนท่ีคมๆ แล้วอาจนามาใช้
หรือดัดแปลงให้เป็นของตนเอง มีการหยุดเล็กน้อยให้ผู้ฟังได้คิดแล้วหัวเราะก่อนแล้วค่อยโยงเข้า
เรื่องจะสนุกมาก เช่น นักเขียนท่านหนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องการดืม่ สุราเด๋ียวนี้ผมลดลงไปมาก เมื่อก่อน
ผมดื่ม 2 เวลา คือ เวลาฝนตก กับ ฝน ไม่ตก เด๋ียวน้ีผมด่ืมเฉพาะเวลาท่ีต่ืนเท่านั้นเอง”
(1.6) เสนอความเปิ่นของตนเอง : ไม่มีอะไรที่ผู้ฟังรู้สึกสาสมใจพอใจเท่ากับผู้
พูดได้เล่าถึงความเปิ่น ความเชย ความหน้าแตก ที่เกิดขึ้นของตนเองให้ผู้ฟังได้ฟัง แทนที่จะเสียดสี
คนอื่น หรือ ยกความเสียหายของคนอื่นมาเป็นตัวอย่าง ลองยกเรื่องแย่ๆ ของตนเองขึ้นมาเป็น
ตัวอย่างบ้าง คนฟังจะชอบใจมากทุกคร้ัง
(2) ข้อควรระวังในการพูดเพ่ือสร้างอารมณ์ขัน ได้แก่ประเด็นดังต่อไปน้ี
(2.1) อย่าบอกผู้ฟังด้วยประโยคทานองว่าต่อไปนี้เป็นเร่ืองขาขันผมอยากจะเล่า
เรื่องตลกให้ฟังผมมีเรื่องสนุกๆจะเล่าให้ฟังการพูดทานองนี้จะทาให้ผู้ฟังรู้ทันแล้วหมดสนุก
ปล่อยให้ผู้ฟังสนุกเองถ้าไม่สนุกก็แล้วไปทานสนุกก็ดีไป
(2.2) อย่าตลกเองหัวเราะเอง พยายาม อย่าหัวเราะก่อนผู้ฟังเป็นอันขาด หาก
ไม่หัวเราะเลยแบบตลกหน้าตายได้ย่ิงดีที่สุด
//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรับครูพันธใุ์ หม่//\\//\\
141
(2.3) อย่าให้เรื่องตลกกลายเป็นสาระสาคัญของการพูด ให้เป็นเพียง
ส่วนประกอบเท่านั้น สิ่งขบขันเป็นเพียงเครื่องปรุงอาหารแต่มิใช่ตัวอาหาร ต้องยกเรื่อง
ขบขันมาประกอบเนื้อเรื่อง มิใช่เร่ืองทั้งเรื่องเป็นเร่ืองขบขัน
(2.4) ระวังการล้อเลียนเสียดสี ประชดประชันบุคคล หรือ สถาบันให้ดี อย่าให้
มากจนเกินขอบเขต เพราะจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
(2.5) อย่าพูดเรื่องหยาบโลน หรือ ตลกสองแง่สองง่าม แม้จะเรียกเสียงฮาได้
แต่ก็เป็นการลดค่าของตัวเองให้ให้ตา่ ลง
(2.6) ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ศาสนา และ สิ่งที่คนทั่วไปเคารพ สักการะ
อย่านามาล้อเลียนพูดเล่นเป็นอันขาด
(2.7) อารมณ์ขันท่ีดีต้องสุภาพ น่ิมนวล และ แนบเนียน ไม่นอกลู่นอกทาง
3. การพูดเพ่ือสร้างความคล้อยตาม : ประสิทธิภาพของการพูดที่แท้จริงคือการพูดแล้วมี
คนเชื่อถือคล้อยตาม ซึ่งนับเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักพูดทุกคน แต่ในขณะเดียวกันการพูดเพื่อชัก
จูงโน้มน้าวใจหรือทาให้ผู้ฟังคล้อยตามก็เป็นการพูดขั้นสูงที่ไม่ใช่ผู้พูดทุกคนจะสามารถทาอย่างมี
ประสิทธิภาพเท่าเทียมกันได้
ระดับความยาก ลักษณะการพูด แนวทางปฏิบตั ิ
พูดถกู ต้อง ค่อยข้างง่าย ค้นควา้ อ้างอิง ความจาดี
พดู นา่ ฟงั ยาก ปรบั ปรงุ วธิ กี ารพูดเลือกใช้ถ้อยคา สานวนที่สะเทอื น
จติ ใจของผู้ฟังให้ไดม้ ากทส่ี ุด
พูดนา่ เช่อื ยากท่สี ดุ พดู ในสงิ่ ทผ่ี ู้พูดทาได้จริง
การพูดจูงใจมิได้อาศัยเพียงอารมณ์ (Emotion) และ ความรู้สึกจริงใจ (Sincerity) เท่านั้น
แต่ยังต้องมีเทคนิคในการลาดับและถ่ายทอดความคิดออกมาเพื่อให้ผู้ฟังคลอ้ ยตามทีละขั้น อีกทั้งยัง
ต้องชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้นเพื่อให้เป้าหมายสูงสุดของนักพูดทุกคนมีประสิทธิภาพมาก
ยิ่งขึ้น จึงขอเสนอหลักในการพูดเพื่อชักจูงโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเกิดความคล้อยตาม ดังต่อไปนี้
(1) หลักบันได 5 ข้ัน ของ มอนโร : เปน็ ขนั้ ตอนการเรียบเรียงเน้ือหาการพู ดเพอ่ื ให้
ผู้ฟังเกิดความสนใจติดตามตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ของ Alan H.Monroe ประกอบด้วยขั้นตอนที่สาคัญ
5 ประการ ดงั น้ี
//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรับครพู นั ธใุ์ หม/่ /\\//\\
142
ข้นั ที่ 1 – ดึงความสนใจของผู้ฟังทันทีต้ังแต่เปดิ ฉาก (Attention)
ขน้ั ท่ี 2 – ทาใหผ้ ฟู้ งั เกิดความต้องการจะฟงั ต่อไปอกี (Need) Action
ข้ันที่ 3 – ทาให้ผฟู้ งั เกดิ ความพอใจ ถูกใจ (Satisfaction) Visualization
Need Satisfacti
on
Attention
ขั้นท่ี 4 – ยกตวั อย่าง เหตผุ ล ข้อเท็จจรงิ ใหเ้ ห็นภาพคลอ้ ยตาม (Visualization)
ขน้ั ท่ี 5 – เรยี กรอ้ งให้กระทาอย่างใดอยา่ งหนึง่ (Action)
(2) หลักไอด้า (AIDA) : เป็นหลักการพูดที่ได้รับการยอมรับอย่างมากจากวงการนัก
โฆษณาและนักขาย ซ่ึงประกอบดว้ ยขนั้ ตอนการพดู 4 ขัน้ ตอน ดงั นี้
Attention – เอาใจใส่...สรา้ งความสนใจให้เกดิ ขน้ึ ในทนั ทีเมอื่ เริม่ พดู
Interest – สนใจ...เร้าความสนใจใครร่ ใู้ ห้เกิดขน้ึ ในจิตใจของผู้ฟงั ให้มากยิ่งข้นื
Desire – ปรารถนา...ตั้งเง่ือนไขโดยวิเคราะหจ์ ากส่งิ เร้าท่ีทาให้ผ้ฟู งั ต้องการปฏบิ ตั ิตาม
Action – กระทา...เรยี กรอ้ งให้เกดิ การปฏิบัติตาม
(3) หลัก 6 ป. : เป็นการแนะนาขน้ั ตอนของการพดู จูงใจ ของนายบรั กัต สยามวาลา
ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ คู่มือฝึกการพูดในที่ชุมนุนชน โดยข้ันตอนการพูดจูงใจตามหลัก 6 ป.
ประกอบด้วย
ป1 – ปลกุ ใจ...ปลุกผ้ฟู งั ใหต้ นื่ ดว้ ยประโยคสั้นๆ
ป2 – ประสาน...เท้าความประโยคแรกให้พาดพิงมาถึงผฟู้ ัง
ป3 – เป้าหมาย...แจ้งความมุ่งหมายให้ชดั เจนและฟังง่าย
ป4 – ประสบการณ์...แสดงหลักฐานจากประสบการณ์จริง เพื่อสนับสนุนขอ้ อา้ งในข้อที่กล่าวมา
ป5 – ประทับใจ...ใช้คาพูดท่ีสร้างความรู้สึกสะเทือนใจ ก่อนให้เกิดความประทับใจ และ
อยากจะรว่ มมือปฏิบตั ิการโดยทันที
ป6 – ปฏิบัติการ...เรียกร้องให้ผู้ฟังลงมือปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เพ่ือก้าวไปสู่เป้าหมายของ
เรอ่ื งทีพ่ ดู
//\\//\\ศลิ ปะการพดู สาหรับครพู ันธ์ุใหม่//\\//\\
143
(4) หลักบอร์เด็น (Borden) : เป็นหลักการจัดลาดับเน้ือหาการพูด ของ Pechard
C. Borden ซ่ึงประกอบด้วยหลักการสาคัญ คือ (1) จงจุดไฟให้ลุกข้ึน โดยการกล่าวประโยคแรกให้
กระแทกใจคนฟ้ง เพื่อจัดระเบียบเรียกสมาธิให้คนฟังเกิดความสนใจต่อผู้พูด (2) จงพูดให้เห็นคล้อย
ตาม โดยการนาเสนอให้ผู้ฟังรับทราบถึงปัญหาที่เกี่ยวพันกับผู้ฟังและจาเป็นต้องร่วมแก้ไข (3) จงหา
ข้อสนับสนุน โดยการยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่คลุมเครือสับสน และ (4) จง
เรียกร้องให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหน่ึง โดยการพูดอย่างส้ัน แต่มีความกระชับชัดเจนด้วยเทคนิคการ
สร้างประโยคเนน้ ยา้ ใจความ
(5) กฎของเจฮัน (Jehan) : เป็นเทคนิคการพูดจูงใจหรือชักชวนให้คนเชื่อถือ ของ
W. George Jehanประกอบด้วย กฎ 11 ประการ ดังน้ี (1) มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวและมั่นคง (2)
เฉียบขาดและไม่เหมือนใคร (3) สร้างภาพพจน์ให้แจ่มใส (4) หลีกเล่ียงถ้อยคาที่เป็นนามธรรม (5)
แสดงอารมณ์ที่จริงใจออกมา (6) เป็นกันเองกับผู้ฟัง (7) แสดงความรู้สกึ ออกมาทางสีหน้าและสายตา
(8) ใช้น้าเสียงช่วยเน้นความรู้สึก (9) จงคิดไปพูดไป อย่าอ่านไปพูดไป (10) จงพูดในสาระสาคัญ
ประการเดียว และ (11) อย่าทาลายเอกภาพของเรื่องที่พดู
ข้อควรระวงั สาหรบั การพดู เพ่อื ชักจูงโนม้ นา้ วใจ
(1) ความรู้สึกท่ีจริงใจไม่ใช่การระบายอารมณ์ : การพูดอย่างราบเรียบ เรื่อยเฉื่อย ไม่
สามารถชักจูงให้ผู้ฟังมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องที่นาเสนอได้ ผู้พูดต้องใช้อารมณ์เป็นเครื่องมือ
สนับสนุนให้ผู้ฟังรับรู้ถึงความจริงจังและความจริงใจในการพูด แต่ท้ังน้ีต้องไม่ใช้อารมณ์นาเน้ือหาใน
การพูดเพียงอยา่ งเดียว เพราะแม้ว่าจะทาให้ผู้ฟังบางกลุ่มตืน่ เต้นสนุกสนานไปกับลลี าที่เร้าใจด้วย
การตีแผ่เนื้อหาให้หลุดกรอบออกนอกประเด็น แต่อย่างไรก็ตามผู้ฟังบางกลุ่มอาจตัดสินให้ผู้พูดเป็น
คนเจ้าอารมณ์ซึ่งจะไม่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้ฟัง ฉะนั้นผู้พูดต้องระมัดระวังการใช้อารมณ์
ประกอบการพูดอย่างมีสติ ไม่ใช้อารมณ์ประกอบการพูดมากจนผู้ฟังขาดศรัทธาและไม่น้อยจนผู้ฝัง
ละความสนใจจากเนื้อหาท่ีนาเสนอ
(2) จงทาให้เร่ืองท่ีพูดเกี่ยวข้องกับผู้ฟังทุกคน : ควรเลือกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวติ ความ
เป็นอยู่หรือผลประโยชน์ของคนทุกคน แต่ถ้าจาเป็นจะต้องพูดเรื่องที่ไกลตัวออกไปก็ต้องพยายาม
ชี้ให้เห็นความเกี่ยวกับผู้ฟังในเรื่องนั้นก่อนเป็นอันดับแรก ว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรและมีความ
จาเป็นอย่างไรที่จะต้องฟังและปฏิบัติตาม เนื่องจาก ทุกคนต่างสนใจเพียงเรื่องของตนเองตั้งแต่ตื่น
นอนในตอนเช้าจนกระทั่งนอน ซึ่งสอดคล้องกับข้อคิดเกี่ยวกับการพูดของ เดลคาร์เนกี (Dale
//\\//\\ศิลปะการพดู สาหรบั ครพู ันธุ์ใหม่//\\//\\