ก ำหนดกำรสอน รำยวิชำวิทยำศำสตร์พื้นฐำน รหัสวิชำ ว23101 ภำคเรียนที่ 1 ปีกำรศึกษำ 2566 ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 จัดท ำโดย นำงนฤมล หวังมั่น ต ำแหน่ง ครู วิทยฐำนะ ครูช ำนำญกำร กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสวำยวิทยำคำร ต.สวำย อ.เมือง จ.สุรินทร์
ส ำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำสุรินทร์ บันทึกข้อควำม ส่วนรำชกำร โรงเรียนสวายวิทยาคาร ต าบลสวาย อ าเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ 32000 ที่ - วันที่15 พฤษภาคม 2566 เรื่อง ขออนุมัติใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรียน ผู้อ านวยการโรงเรียนสวายวิทยาคาร ตามที่ข้าพเจ้านางนฤมล หวังมั่น ต าแหน่งครู กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับ มอบหมายให้ปฏิบัติงานสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ว23101 จ านวน 1.5 หน่วยกิต ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ข้าพเจ้าจึงได้วิเคราะห์ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด ค าอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา เพื่อ จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสวายวิทยาคาร พุทธศักราช 2563 (ฉบับปรับปรุง 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ดังนั้นจึงขออนุมัติใช้แผนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพ สูงสุด และเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายของหลักสูตรฯต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติ ลงชื่อ................................................. (นางนฤมล หวังมั่น) ต าแหน่ง ครู ควำมเห็นหัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ ควำมเห็นรองผู้อ ำนวยกำร อนุมัติ ไม่อนุมัติ อนุมัติ ไม่อนุมัติ ลงชื่อ............................................................ ลงชื่อ................................................................ (นายภูเบส นิราศภัย) (นายประหยัด เขียวหวาน) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองผู้อ านวยการกลุ่มงานบริหารวิชาการ ควำมเห็นผู้อ ำนวยกำร อนุมัติ ไม่อนุมัติ
ลงชื่อ................................................................ (นางสาวทองใบ ตลับทอง) ผู้อ านวยการโรงเรียนสวายวิทยาคาร ค ำน ำ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ว23101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่มนี้ จัดท าขึ้นเพื่อใช้เป็นคู่มือประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจ าภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสวายวิทยาคารของผู้เขียน ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุผลการเรียนรู้ตาม สาระหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสวายวิทยาคาร ซึ่งประกอบด้วย 4 หน่วย การเรียนรู้ได้แก่ หน่วยที่ 1 วิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา จ านวน 2 แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 2 พันธุ ศาสตร์จ านวน 10 แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 3 คลื่นและแสง จ านวน 14 แผนการจัดการเรียนรู้ และหน่วยที่ 4 ระบบสุริยะของเรา จ านวน 9 แผนการจัดการเรียนรู้ รวมจ านวนทั้งหมด 35 แผนการจัดการเรียนรู้ ผู้เขียนได้ ปรับให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริง และยืดหยุ่นเวลาตามความเหมาะสม ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อครูผู้สอนและผู้ที่ต้องการศึกษา เพื่อใช้ในการเตรียมการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดเวลาในการเตรียมการจัดการเรียนรู้ของครู และช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น อนึ่งแผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้ยังมีข้อผิดพลาด บกพร่องหลายประการ หากมีข้อเสนอแนะประการใด ผู้เขียนยินดีที่จะพิจารณาเสมอ และปรับปรุงให้ดีขึ้นในโอกาสต่อไป ................................................ (นางนฤมล หวังมั่น) ต าแหน่งครู
สำรบัญ เรื่อง หน้ำ ค ำน ำ สำรบัญ ส่วนที่ 1 กำรวิเครำะห์หลักสูตร การวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โครงสร้างรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ค าอธิบายรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก าหนดการสอนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส่วนที่ 2 ออกแบบหน่วยกำรเรียนรู้ ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 วิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พันธุศาสตร์ ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 คลื่นและแสง ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 ระบบสุริยะของเรา ส่วนที่ 3 แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10
- แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 13 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 15 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 16 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 สำรบัญ (ต่อ ) เรื่อง หน้ำ ส่วนที่ 3 แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ (ต่อ ) - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 20 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 22 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 23 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 26 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 28 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 30 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 31 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 32 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 33 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 34 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 35
กำรวิเครำะห์หลักสูตร วิเครำะห์มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด รำยวิชำวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชำ ว23101 กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ภำคเรียนที่ 1 ปีกำรศึกษำ 2566 ตัวชี้วัด ควำมรู้/สำระแกนกลำง (K) ทักษะกระบวนกำร ตัวบ่งชี้พฤติกรรม(P) คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส ำคัญ (C) ว 1.3 ม.3/1 - ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต สามารถถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีก รุ่นหนึ่งได้ โดยมียีนเป็นหน่วยควบคุม ลักษณะทางพันธุกรรม - โครโมโซมประกอบด้วยดีเอ็นเอ และ โปรตีนขดอยู่ในนิวเคลียส ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซมมีความสัมพันธ์กัน โดยบางส่วนของดีเอ็นเอท าหน้าที่เป็น ยีนที่ก าหนดลักษณะของสิ่งมีชีวิต - สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซม 2 ชุด โครโมโซมที่เป็นคู่กัน มีการเรียงล าดับ ของยีนบนโครโมโซมเหมือนกัน เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยีนหนึ่ง ทักษะการสังเกต ทักษะการ ตีความหมาย และสรุปผล มุ่งมั่นท างาน ความใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ การคิด การสื่อสาร
ที่อยู่บนคู่ฮอมอโลกัสโครโมโซม อาจมี รูปแบบแตกต่างกัน เรียกแต่ละ รูปแบบของยีนที่ต่างกันนี้ว่า แอลลีล ซึ่งการเข้าคู่กันของแอลลีลต่าง ๆ อาจส่งผลท าให้สิ่งมีชีวิตมีลักษณะ ที่แตกต่างกัน - สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีจ านวนโครโมโซม คงที่ มนุษย์มีจ านวนโครโมโซม 23 คู่ เป็นออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซม เพศ 1 คู่ เพศหญิงมีโครโมโซมเพศเป็น XX เพศชายมีโครโมโซมเป็น XY ตัวชี้วัด ควำมรู้/สำระแกนกลำง (K) ทักษะกระบวนกำร ตัวบ่งชี้พฤติกรรม(P) คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส ำคัญ (C) ว 1.3 ม.3/2 ว 1.3 ม.3/3 - เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรมของต้นถั่วชนิดหนึ่ง และน ามาสู่หลักการพื้นฐานของการ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของ สิ่งมีชีวิต - สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซมเป็น 2 ชุด ยีนแต่ละต าแหน่งบนฮอมอโลกัส โครโมโซมมี 2 แอลลีล โดยแอลลีลหนึ่ง มาจากพ่อและอีกแอลลีลมาจากแม่ ซึ่ง อาจมีรูปแบบเดียวกัน หรือแตกต่างกัน ทักษะการใช้จ านวน ทักษะการสังเกต มุ่งมั่นท างาน ความใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ การคิด การสื่อสาร
แอลลีลที่แตกต่างกันนี้ แอลลีลหนึ่ง อาจ มีการแสดงออกข่มอีกแอลลีลหนึ่งได้ เรียกแอลลีลนั้นว่าเป็นแอลลีลเด่น ส่วน แอลลีลที่ถูกข่มอย่างสมบูรณ์ เรียกว่า เป็นแอลลีลด้อย - เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ แอลลีลที่ เป็นคู่กันในแต่ละฮอมอโลกัสโครโมโซม จะแยกจากกันไปสู่เซลล์สืบพันธุ์แต่ละ เซลล์ โดยแต่ละเซลล์สืบพันธุ์จะได้รับ เพียง 1 แอลลีลและจะมาเข้าคู่กับแอล ลีลที่ต าแหน่งเดียวกันของอีกเซลล์ สืบพันธุ์หนึ่ง เมื่อเกิดการปฏิสนธิ จนเกิด เป็นจีโนไทป์และแสดงฟีโนไทป์ในรุ่นลูก ว 1.3 ม.3/4 - กระบวนการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมี 2 แบบ คือไมโทซิสและไมโอซิส - ไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่ม จ านวนเซลล์ร่างกาย ผลจากการแบ่งจะ ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่มีลักษณะและ จ านวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งต้น ทักษะการลง ความเห็นจากข้อมูล มุ่งมั่นท างาน ความใฝ่เรียนรู้ การคิด ตัวชี้วัด ควำมรู้/สำระแกนกลำง (K) ทักษะกระบวนกำร ตัวบ่งชี้พฤติกรรม(P) คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส ำคัญ (C) ว 1.3 ม.3/4 (ต่อ) - ไมโอซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้าง เซลล์สืบพันธุ์ ผลจากการแบ่งจะได้ เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มีจ านวนโครโม
โซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้น เมื่อ เกิดการปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ ลูก จะได้รับการถ่ายทอดโครโมโซม ชุดหนึ่งจากพ่อและอีกชุดหนึ่งจากแม่ จึงเป็นผลให้รุ่นลูกมีจ านวนโครโมโซม เท่ากับรุ่นพ่อแม่และจะคงที่ใน ทุก ๆ รุ่น ว 1.3 ม.3/5 ว 1.3 ม.3/6 - การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือ โครโมโซม ส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรม ของสิ่งมีชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมีย เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีน กลุ่มอาการดาวน์เกิดจากการ เปลี่ยนแปลงจ านวนโครโมโซม - โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอด จากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ ดังนั้นก่อน แต่งงานและมีบุตรจึงควรป้องกัน โดยการตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยง จากการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม ทักษะการลง ความเห็นจากข้อมูล ทักษะการ ตีความหมาย มุ่งมั่นท างาน ความใฝ่เรียนรู้ มีวินัย การคิด ใช้ทักษะชีวิต ว 1.3 ม.3/7 ว 1.3 ม.3/8 - มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของ สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้ สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตามต้องการ เรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรม - ในปัจจุบันมนุษย์มีการใช้ประโยชน์ จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเป็น ทักษะการลง ความเห็นจากข้อมูล ทักษะการคิดอย่าง มีวิจารณญาณ มุ่งมั่นท างาน ความใฝ่เรียนรู้ มีวินัย การคิด ใช้ทักษะชีวิต การแก้ปัญหา
จ านวนมาก เช่น การผลิตอาหาร การผลิตยารักษาโรค การเกษตร ตัวชี้วัด ควำมรู้/สำระแกนกลำง (K) ทักษะกระบวนกำร ตัวบ่งชี้พฤติกรรม(P) คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส ำคัญ (C) ว 1.3 ม.3/7 ว 1.3 ม.3/8 (ต่อ) อย่างไรก็ดีสังคมยังมีความกังวล เกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งมีชีวิต ดัดแปรพันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังท าการติดตาม ศึกษาผลกระทบดังกล่าว ว 2.3 ม.3/10 - คลื่นเกิดจากการส่งผ่านพลังงานโดย อาศัยตัวกลางและไม่อาศัยตัวกลาง ในคลื่นกล พลังงานจะถูกถ่ายโอน ผ่านตัวกลางโดยอนุภาคของตัวกลาง ไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่นคลื่นที่แผ่ ออกมาจากแหล่งก าเนิดคลื่นอย่าง ต่อเนื่องและมีรูปแบบที่ซ ้ากัน บรรยายได้ด้วยความยาวคลื่น ความถี่แอมพลิจูด ทักษะการทดลอง มุ่งมั่นท างาน จิตสาธารณะ มีวินัย การคิด ว 2.3 ม.3/11 ว 2.3 ม.3/12 - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ไม่อาศัย ตัวกลางในการเคลื่อนที่ มีความถี่ ต่อเนื่องเป็นช่วงกว้างมาก เคลื่อนที่ ในสุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากัน แต่จะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วต่างกัน ในตัวกลางอื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทักษะด้าน การสื่อสาร ทักษะการสร้าง แบบจ าลอง มุ่งมั่นท างาน ซื่อสัตย์ มีจิตสาธารณะ การคิด การสื่อสาร ใช้เทคโนโลยี
แบ่งออกเป็นช่วงความถี่ต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัมของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า แต่ละช่วงความถี่ มีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงที่มองเห็น อัตราไวโอเลต รังสีเอกซ์และรังสี แกมมา ซึ่งสามารถน าไปใช้ประโยชน์ - เลเซอร์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มี ความยาวคลื่นเดียวเป็นล าแสงขนาน และมีความเข้มสูง น าไปใช้ประโยชน์ ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการสื่อสาร มี การใช้เลเซอร์ส าหรับส่งสารสนเทศ ตัวชี้วัด ควำมรู้/สำระแกนกลำง (K) ทักษะกระบวนกำร ตัวบ่งชี้พฤติกรรม(P) คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส ำคัญ (C) ว 2.3 ม.3/11 ว 2.3 ม.3/12 (ต่อ) ผ่านเส้นใยน าแสง โดยอาศัยหลักการ การสะท้อนกลับหมดของแสง ด้านการแพทย์ใช้ในการผ่าตัด - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านอกจากจะ สามารถน าไปใช้ประโยชน์แล้ว ยังมี โทษต่อมนุษย์ด้วย เช่น ถ้ามนุษย์ ได้รับรังสีอัลตราไวโอเล็ตมากเกินไป อาจจะท าให้เกิดมะเร็งผิวหนังหรือถ้า ได้รังสีแกมมาซึ่งเป็นคลื่นม่เหล็ก ไฟฟ้าที่มีพลังงานสูงและสามารถทะลุ
ผ่านเซลล์และอวัยวะได้ อาจท าลาย เนื้อเยื่อหรืออาจท าให้เสียชีวิตได้ เมื่อได้รับรังสีแกมมาในปริมาณสูง ว 2.3 ม.3/13 ว 2.3 ม.3/14 - เมื่อแสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการ สะท้อนซึ่งเป็นไปตามกฎการสะท้อน ของแสง โดยรังสีตกกระทบเส้นแนว ฉากรังสีสะท้อนอยู่ในระนาบเดียวกัน และมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ภาพจากกระจกเงาเกิดจากรังสี สะท้อนตัดกันหรือต่อแนวรังสีสะท้อน ให้ตัดกัน โดยถ้ารังสีสะท้อนตัดกันจริง จะเกิดภาพจริง แต่ถ้าต่อแนวรังสี สะท้อนให้ไปตัดกันจะเกิดภาพเสมือน ทักษะการวัด ทักษะการสังเกต ทักษะการสร้าง แบบจ าลอง มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ การคิด การแก้ปัญหา การสื่อสาร ว 2.3 ม.3/15 ว 2.3 ม.3/16 - เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางโปร่งใสที่ แตกต่างกัน เช่น อากาศและน ้า อากาศและแก้ว จะเกิดการหักเห หรืออาจเกิดการสะท้อนกลับหมดใน ตัวกลางที่แสงตกกระทบการหักเห ของแสงผ่านเลนส์ท าให้เกิดภาพที่มี ชนิดและขนาดต่าง ๆ ทักษะการวัด ทักษะการสร้าง แบบจ าลอง มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ การคิด การแก้ปัญหา ตัวชี้วัด ควำมรู้/สำระแกนกลำง (K) ทักษะกระบวนกำร ตัวบ่งชี้พฤติกรรม(P) คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส ำคัญ (C) ว 2.3 ม.3/15 ว 2.3 ม.3/16 - แสงขาวประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ
(ต่อ) เมื่อแสงขาวผ่านปริซึมจะเกิดการ กระจายแสงเป็นแสงสีต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัมของแสงขาว เมื่อเคลื่อนที่ ในตัวกลางใด ๆ ที่ไม่ใช่อากาศ จะมี อัตราเร็วต่างกันจึงมีการหักเหต่างกัน ว 2.3 ม.3/17 ว 2.3 ม.3/18 - การสะท้อนและการหักเหของแสง น าไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่ เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง มิราจ และ อธิบายการท างานของทัศนอุปกรณ์ เช่น แว่นขยาย กระจกโค้งจราจร กล้องโทรทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์ และแว่นสายตา ทักษะการออกแบบ และสร้าง มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ การคิด ใช้เทคโนโลยี ว 2.3 ม.3/19 ว 2.3 ม.3/20 ว 2.3 ม.3/21 - ความสว่างของแสงมีผลต่อดวงตา มนุษย์ การใช้สายตาในสภาพแวดล้อม ที่มีความสว่างไม่เหมาะสมจะเป็น อันตรายต่อดวงตา เช่น การดูวัตถุใน ที่มีความสว่างมากหรือน้อยเกินไป การจ้องดูหน้าจอภาพเป็นเวลานาน ความสว่างบนพื้นที่รับแสงมีหน่วย เป็นลักซ์ ความรู้เกี่ยวกับความสว่าง สามารถน ามาใช้จัดความสว่างให้ เหมาะสมกับการท ากิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดความสว่างที่เหมาะสม ส าหรับการอ่านหนังสือ ทักษะการวัด มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ การคิด ใช้เทคโนโลยี ว 3.1 ม.3/1 - ในระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางโดยมีดาวเคราะห์และ ทักษะด้านการ สื่อสาร มีวินัย มุ่งมั่นการท างาน การคิด การสื่อสาร
บริวาร ดาวเคราะห์แคระ ดาว เคราะห์น้อย ดาวหาง และอื่นๆ เช่น วัตถุคอยเปอร์โคจรอยู่โดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห์ และวัตถุเหล่านี้โคจร รอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วง มีจิตสาธารณะ ตัวชี้วัด ควำมรู้/สำระแกนกลำง (K) ทักษะกระบวนกำร ตัวบ่งชี้พฤติกรรม(P) คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส ำคัญ (C) ว 3.1 ม.3/1 (ต่อ) แรงโน้มถ่วงเป็นแรงดึงดูดระหว่าง วัตถุสองวัตถุโดยเป็นสัดส่วนกับผล คูณของมวลทั้งสอง และเป็นสัดส่วน ผกผันกับก าลังสองของระยะทาง ระหว่างวัตถุทั้งสอง แสดงได้โดย สมการ F = (Gm1m2 )/r 2 เมื่อ F แทนความโน้มถ่วงระหว่าง มวลทั้งสอง G แทนค่านิจโน้มถ่วง สากล m1 แทนมวลของวัตถุแรก m2 แทนมวลของวัตถุที่สอง และ r แทนระยะห่างระหว่างวัตถุทั้งสอง ว 3.1 ม.3/2 - การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ใน ลักษณะที่แกนโลกเอียงกับแนวตั้งฉาก ของระนาบทางโคจร ท าให้ส่วนต่าง ๆ บนโลกได้รับปริมาณแสงจากดวง อาทิตย์แตกต่างกันในรอบปี เกิดเป็น ทักษะการจัดกระท า และสื่อความหมาย ข้อมูล ทักษะการสร้าง แบบจ าลอง ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นการท างาน มีจิตสาธารณะ อยู่อย่างพอเพียง การคิด การสื่อสาร การแก้ปัญหา
ฤดู กลางวันกลางคืนยาวไม่เท่ากัน และต าแหน่งการขึ้นและตกของ ดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าและเส้นทางการ ขึ้นและตกของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไป ในรอบปีซึ่งส่งผลต่อการด ารงชีวิต ว 3.1 ม.3/3 - ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกและดวง จันทร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ รับแสงจากดวงอาทิตย์ครึ่งดวง ตลอดเวลา เมื่อดวงจันทร์โคจรรอบ โลกได้หันส่วนสว่างมายังโลกแตกต่าง กัน จึงท าให้คนบนโลกสังเกตส่วน สว่างของดวงจันทร์แตกต่างไปในแต่ ละวันเกิดเป็นข้างขึ้นข้างแรม - ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในทิศทาง เดียวกันกับที่โลกหมุนรอบตัวเอง จึงท าให้เห็นดวงจันทร์ขึ้นช้าไป ประมาณวันละ 50 นาที ทักษะการสร้าง แบบจ าลอง มุ่งมั่นการท างาน มีจิตสาธารณะ อยู่อย่างพอเพียง การคิด การแก้ปัญหา ตัวชี้วัด ควำมรู้/สำระแกนกลำง (K) ทักษะกระบวนกำร ตัวบ่งชี้พฤติกรรม(P) คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส ำคัญ (C) ว 3.1 ม.3/3 (ต่อ) - แรงโน้มถ่วงที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ กระท าต่อโลก ท าให้เกิดปรากฏการณ์ น ้าขึ้นน ้าลง ซึ่งส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตบนโลก วันที่น ้ามีระดับ การขึ้นสูงสุดและลงต ่าสุดเรียกวันน ้า เกิด ส่วนวันที่ระดับน ้ามีการขึ้นและ ลงน้อยเรียกวันน ้าตาย โดยวันน ้าเกิด
น ้าตาย มีความสัมพันธ์กับข้างขึ้น ข้างแรม ว 3.1 ม.3/4 - เทคโนโลยีอวกาศได้มีบทบาทต่อการ ด ารงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน มากมาย มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีอวกาศ เช่น ระบบน าทาง ด้วยดาวเทียม (GNSS) การติดตาม พายุ สถานการณ์ไฟป่า ดาวเทียม ช่วยภัยแล้ง การตรวจคราบน ้ามันใน ทะเล - โครงการส ารวจอวกาศต่าง ๆ ได้ พัฒนาเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจต่อ โลก ระบบสุริยะและเอกภพมากขึ้น เป็นล าดับ ตัวอย่างโครงการส ารวจ อวกาศ เช่น การส ารวจสิ่งมีชีวิตนอก โลก การส ารวจดาวเคราะห์นอก ระบบสุริยะการส ารวจดาวอังคาร และบริวารอื่นของดวงอาทิตย์ ทักษะการจัดกระท า และสื่อความหมาย ข้อมูล ทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ตีความหมายจาก ข้อมูลและลงข้อสรุป มีวินัย มุ่งมั่นการท างาน มีจิตสาธารณะ ใฝ่เรียนรู้ การคิด การสื่อสาร ใช้เทคโนโลยี
โครงสร้ำงรำยวิชำวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี(ว 23101) ระดับมัธยมศึกษำ ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 เวลำ 60 ชั่วโมง จ ำนวน 1.5 หน่วยกิต ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 1 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 วิทยาศาสตร์กับ การแก้ปัญหา หน่วยการเรียนรู้นี้มีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนตระหนักถึงความส าคัญ ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ ทั้งในด้าน การด ารงชีวิตและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ก าลังเกิดขึ้นใน ปัจจุบันและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพราะการเปลี่ยนแปลงเกิด ขึ้นอยู่ตลอดเวลา 3 5 2 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 พันธุศำสตร์ สำระที่ 1 วิทยำศำสตร์ชีวภำพ ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความส าคัญของการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี ่ยนแปลงทาง พันธุกรรมที ่มีผลต ่อสิ ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ (15) (17)
บทที่ 1 การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม เรื่องที่ 1 โครโมโซมและ การค้นพบของเมนเดล ว 1.3 ม.3/1 อธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม โดยใช้แบบจ าลอง ว 1.3 ม.3/2 อธิบายการ ถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมจากการผสมโดย พิจารณาลักษณะเดียวที่ แอลลีลเด่นข่มแอลลีลด้อย อย่างสมบูรณ์ ว 1.3 ม.3/3 อธิบายการเกิด จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลูก และค านวณอัตราส่วนการเกิด จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของ รุ่นลูก - ลักษณะทางพันธุกรรมของ สิ่งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดจาก รุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้ โดย มียีนเป็นหน่วยควบคุมลักษณะ ทางพันธุกรรม - โครโมโซมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ และโปรตีนขดอยู่ในนิวเคลียส ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม มีความสัมพันธ์กัน โดยบางส่วน ของดีเอ็นเอ ท าหน้าที่เป็นยีนที่ ก าหนดลักษณะของสิ่งมีชีวิต - สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซม 2 ชุด โครโมโซมที่เป็นคู่กัน มีการ เรียงล าดับของยีนบนโครโมโซม เหมือนกันเรียกว่า ฮอมอโลกัส โครโมโซม ยีนหนึ่งที่อยู่บนคู่ 6 6 ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 2 บทที่ 1 การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม เรื่องที่ 1 โครโมโซมและ การค้นพบของเมนเดล (ต่อ) ฮอมอโลกัสโครโมโซม อาจมี รูปแบบแตกต่างกัน เรียกแต่ละ รูปแบบของยีนที่ต่างกันนี้ว่า แอลลีล ซึ่งการเข้าคู่กันของ แอลลีลต่าง ๆ อาจส่งผลท าให้ สิ่งมีชีวิตมีลักษณะที่แตกต่าง กันได้ - สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีจ านวน โครโมโซมคงที่ มนุษย์มีจ านวน โครโมโซม 23 คู่ เป็นออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่
เพศหญิงมีโครโมโซมเพศเป็น XX เพศชายมีโครโมโซมเพศ เป็น XY - เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมของต้น ถั่วชนิดหนึ่ง และน ามาสู่ หลักการพื้นฐานของการ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ของสิ่งมีชีวิต - สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซมเป็น 2 ชุด ยีนแต่ละต าแหน่งบนฮอมอโลกัส โครโมโซมมี 2 แอลลีล โดย แอลลีลหนึ่งมาจากพ่อ และ อีกแอลลีลมาจากแม่ ซึ่งอาจมี รูปแบบเดียวกัน หรือแตกต่าง แอลลีลที่แตกต่างกันนี้ แอลลีล หนึ่ง อาจมีการแสดงออกข่มอีก แอลลีลหนึ่งได้ เรียกแอลลีลนั้น ว่า เป็นแอลลีลเด่น ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 2 บทที่ 1 การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม เรื่องที่ 1 โครโมโซมและ การค้นพบของเมนเดล (ต่อ) ส่วนแอลลีลที่ถูกข่มอย่าง สมบูรณ์ เรียกว่าเป็น แอลลีลด้อย - เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ แอลลีลที่เป็นคู่กัน ในแต่ละ ฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยก จากกันไปสู่เซลล์สืบพันธุ์แต่ละ เซลล์ โดยแต่ละเซลล์สืบพันธุ์ จะได้รับเพียง 1แอลลีล และ
จะมาเข้าคู่กับแอลลีลที่ต าแหน่ง เดียวกันของอีกเซลล์สืบพันธุ์ หนึ่ง เมื่อเกิดการปฏิสนธิ จนเกิดเป็นจีโนไทป์และแสดง ฟีโนไทป์ในรุ่นลูก 3 บทที่ 1 การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม เรื่องที่ 2 โครโมโซมของ มนุษย์และความผิดปกติ ทางพันธุกรรม ว 1.3 ม.3/4 อธิบายความ แตกต่างของการแบ่งเซลล์ แบบไมโทซิสและไมโอซิส ว 1.3 ม.3/5 บอกได้ว่าการ เปลี่ยนแปลงของยีนหรือ โครโมโซมอาจท าให้เกิดโรค ทางพันธุกรรม พร้อมทั้ง ยกตัวอย่างโรคทางพันธุกรรม ว 1.3 ม.3/6 ตระหนักถึง ประโยชน์ของความรู้เรื่องโรค ทางพันธุกรรม โดยรู้ว่าก่อน แต่งงานควรปรึกษาแพทย์เพื่อ ตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยง ของลูกที่อาจเกิดโรคทาง พันธุกรรม - กระบวนการแบ่งเซลล์ของ สิ่งมีชีวิตมี 2 แบบ คือ ไมโทซิส และไมโอซิส - ไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์ เพื่อเพิ่มจ านวนเซลล์ร่างกาย ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่มีลักษณะและจ านวน โครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งต้น - ไมโอซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อ สร้างเซลล์สืบพันธุ์ ผลจากการ แบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มี จ านวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่ง ของเซลล์ตั้งต้น เมื่อเกิดการ ปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ ลูกจะ ได้รับการถ่ายทอดโครโมโซม 6 6 ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 3 บทที่ 1 การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม เรื่องที่ 2 โครโมโซมของ มนุษย์และความผิดปกติ ทางพันธุกรรม (ต่อ) ชุดหนึ่งจากพ่อและอีกชุดหนึ่ง จากแม่ จึงเป็นผลให้รุ่นลูกมี จ านวนโครโมโซมเท่ากับรุ่นพ่อ แม่และจะคงที่ในทุก ๆ รุ่น - การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือ โครโมโซม ส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงลักษณะทาง
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงของยีน - โรคทางพันธุกรรมสามารถ ถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ ดังนั้นก่อนแต่งงานและมีบุตร จึงควรป้องกัน โดยการตรวจ และวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจากการ ถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม 4 บทที่ 1 การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม เรื่องที่ 3 สิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรม ว 1.3 ม.3/7 อธิบายการใช้ ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรม และผลกระทบที่ อาจมีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้ ว 1.3 ม.3/8 ตระหนักถึง ประโยชน์และผลกระทบของ สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่ อาจมีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยการเผยแพร่ความรู้ที่ได้จาก การโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีข้อมูลสนับสนุน - มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะ ตามต้องการ เรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม - ในปัจจุบันมนุษย์มีการใช้ ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรม เช่น การผลิตอาหาร การผลิตยารักษาโรค การเกษตร อย่างไรก็ดี สังคมยังมีความกังวล เกี่ยวกับผลกระทบของการดัด แปรพันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังท าการ ติดตามศึกษาผลกระทบดังกล่าว 3 5 ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 5 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 3 คลื่นและแสง สำระที่ 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและ การถ ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว ่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจ าวัน ธรรมชาติของคลื ่น ปรากฏการณ์ที่ (21) (21)
เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งน าความรู้ไป ใช้ประโยชน์ บทที่ 1 คลื่น เรื่องที่ 1 คลื่นกล เรื่องที่ 2 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ว 2.3 ม.3/10 สร้างแบบจ าลอง ที่อธิบายการเกิดคลื่นและ บรรยายส่วนประกอบของคลื่น ว 2.3 ม.3/11 อธิบายคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากข้อมูล ที่รวบรวมได้ ว 2.3 ม.3/12 ตระหนักถึง ประโยชน์และอันตรายจาก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดย น าเสนอการใช้ประโยชน์ใน ด้านต่าง ๆ และอันตรายจาก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใน ชีวิตประจ าวัน - คลื่นเกิดจากการส่งผ่าน พลังงานโดยอาศัยตัวกลาง และ ไม่อาศัยตัวกลาง ในคลื่นกล พลังงานจะถูกถ่ายโอนผ่าน ตัวกลางโดยอนุภาคของ ตัวกลางไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่น คลื่นที่แผ่ออกมาจากแหล่ง ก าเนิดคลื่นอย่างต่อเนื่องและ มีรูปแบบที่ซ ้ากัน บรรยายได้ ด้วยความยาวคลื่น ความถี่ แอมพลิจูด - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ ไม่อาศัยตัวกลางในการ เคลื่อนที่ มีความถี่ต่อเนื่อง เป็นช่วงกว้างมากเคลื่อนที่ใน สุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากัน แต่จะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว ต่างกันในตัวกลางอื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบ่ง ออกเป็นช่วงความถี่ต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัมของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า แต่ละช่วง ความถี่มีชื่อเรียกต่างกัน 5 5 ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน
บทที่ 1 คลื่น เรื่องที่ 1 คลื่นกล เรื่องที่ 2 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (ต่อ) ได้แก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงที่มองเห็น อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์และ รังสีแกมมา ซึ่งสามารถน าไปใช้ ประโยชน์ได้ - เลเซอร์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความยาวคลื่นเดียว เป็น ล าแสงขนานและมีความเข้มสูง น าไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการสื่อสาร มีการใช้ เลเซอร์ส าหรับส่งสารสนเทศ ผ่านเส้นใยน าแสง โดยอาศัย หลักการการสะท้อนกลับหมด ของแสง ด้านการแพทย์ใช้ใน การผ่าตัด - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านอกจาก จะสามารถน าไปใช้ประโยชน์ แล้ว ยังมีโทษต่อมนุษย์ด้วย เช่น ถ้ามนุษย์ได้รับรังสี อัลตราไวโอเลตมากเกินไป อาจจะท าให้เกิดมะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รังสีแกมมาซึ่งเป็น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงาน สูง และสามารถทะลุผ่านเซลล์ และอวัยวะได้ อาจท าลาย เนื้อเยื่อหรืออาจท าให้เสียชีวิต ได้ เมื่อได้รับรังสีแกมมาใน ปริมาณสูง
ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 6 บทที่ 2 แสง เรื่องที่ 1 การสะท้อนแสง ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบการ ทดลองและด าเนินการทดลอง ด้วยวิธีที่เหมาะสมในการ อธิบายกฎการสะท้อนของแสง ว 2.3 ม.3/14 เขียนแผนภาพ การเคลื่อนที่ของแสง แสดง การเกิดภาพจากกระจกเงา - เมื่อแสงตกกระทบวัตถุจะเกิด การสะท้อนซึ่งเป็นไปตามกฎ การสะท้อนของแสง โดยรังสี ตกกระทบเส้นแนวฉาก รังสี สะท้อนอยู่ในระนาบเดียวกัน และมุมตกกระทบเท่ากับมุม สะท้อน ภาพจากกระจกเงา เกิดจากรังสีสะท้อนตัดกันหรือ ต่อแนวรังสีสะท้อนให้ตัดกัน โดยถ้ารังสีสะท้อนตัดกันจริง จะเกิดภาพจริง แต่ถ้าต่อแนว รังสีสะท้อนให้ไปตัดกัน จะเกิด ภาพเสมือน 6 6 7 บทที่ 2 แสง เรื่องที่ 2 การหักเหของแสง ว 2.3 ม.3/15 อธิบายการหัก เหของแสงเมื่อผ่านตัวกลาง โปร่งใสที่แตกต่างกัน และ อธิบายการกระจายแสงของ แสงขาวเมื่อผ่านปริซึมจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ ว 2.3 ม.3/16 เขียนแผนภาพ การเคลื่อนที่ของแสงแสดง การเกิดภาพจากเลนส์บาง ว 2.3 ม.3/17 อธิบาย ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง และการท างานของทัศน อุปกรณ์จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว 2.3 ม.3/18 เขียนแผนภาพ การเคลื่อนที่ของแสง แสดง - เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลาง โปร่งใสที่แตกต่างกัน เช่น อากาศและน ้า อากาศและแก้ว จะเกิดการหักเห หรืออาจเกิด การสะท้อนกลับหมดใน ตัวกลางที่แสงตกกระทบ การหักเหของแสงผ่านเลนส์ท า ให้เกิดภาพที่มีชนิดและขนาด ต่าง ๆ - แสงขาวประกอบด้วยแสงสี ต่าง ๆ เมื่อแสงขาวผ่านปริซึม จะเกิดการกระจายแสงเป็นแสง สีต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัมของ แสงขาว เมื่อเคลื่อนที่ใน ตัวกลางใด ๆ ที่ไม่ใช่อากาศ 8 8
การเกิดภาพของทัศนอุปกรณ์ และเลนส์ตา จะมีอัตราเร็วต่างกัน จึงมีการ หักเหต่างกัน ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 7 บทที่ 2 แสง เรื่องที่ 2 การหักเหของแสง (ต่อ) - การสะท้อนและการหักเหของ แสงน าไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง มิราจ และอธิบายการ ท างานของทัศนอุปกรณ์ เช่น แว่นขยายกระจกโค้งจราจร กล้องโทรทรรศน์ กล้อง จุลทรรศน์ และแว่นสายตา - ในการมองวัตถุ เลนส์ตาจะ ถูกปรับโฟกัส เพื่อให้เกิดภาพ ชัดที่จอตา ความบกพร่องทาง สายตา เช่น สายตาสั้น และ สายตายาว เป็นเพราะต าแหน่ง ที่เกิดภาพไม่ได้อยู่ที่จอตาพอดี จึงต้องใช้เลนส์ ในการแก้ไข เพื่อช่วยให้มองเห็นเหมือน คนสายตาปกติ โดยคนสายตา สั้นใช้เลนส์เว้า ส่วนคนสายตา ยาวใช้เลนส์นูน 8 บทที่ 2 แสง เรื่องที่ 3 ความสว่าง ว 2.3 ม.3/19 อธิบายผลของ ความสว่างที่มีต่อดวงตาจาก ข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น ว 2.3 ม.3/20 วัดความสว่าง ของแสงโดยใช้อุปกรณ์วัด ความสว่างของแสง - ความสว่างของแสงมีผลต่อ ดวงตามนุษย์ การใช้สายตา ในสภาพแวดล้อมที่มีความ สว่างไม่เหมาะสม จะเป็น อันตรายต่อดวงตา เช่น การดูวัตถุในที่มีความสว่างมาก หรือน้อยเกินไป การจ้องดู 2 2
หน้าจอภาพเป็นเวลานาน ความสว่างบนพื้นที่รับแสง มีหน่วยเป็น ลักซ์ ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 8 บทที่ 2 แสง เรื่องที่ 3 ความสว่าง (ต่อ) ว 2.3 ม.3/21 ตระหนักใน คุณค่าของความรู้เรื่อง ความ สว่างของแสงที่มีต่อดวงตา โดยวิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหาและเสนอแนะการจัด ความสว่างให้เหมาะสมในการ ท ากิจกรรมต่าง ๆ ความรู้เกี่ยวกับความสว่าง สามารถน ามาใช้จัดความสว่าง ให้เหมาะสมกับการท ากิจกรรม ต่าง ๆ เช่น การจัดความสว่าง ที่เหมาะสมส าหรับการอ่าน หนังสือ 9 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 4 ระบบสุริยะของเรำ สำระที่ 3 วิทยำศำสตร์โลก และอวกำศ ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และ วิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้ง ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที ่ส ่งผลต ่อสิ ่งมีชีวิต และการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ (15) (17) บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ใน ระบบสุริยะ เรื่องที่ 1 แรงโน้มถ่วง ระหว่างดวงอาทิตย์กับ ดาวบริวาร ว 3.1 ม.3/1 อธิบายการโคจร ของดาวเคราะห์รอบ ดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วง จากสมการ F = (Gm1m2 )/r 2 - ในระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางโดยมีดาวเคราะห์ และบริวาร ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และ อื่น ๆ เช่น วัตถุคอยเปอร์โคจร อยู่โดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห์ และวัตถุเหล่านี้โคจรรอบ ดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงเป็นแรงดึงดูด ระหว่างวัตถุสองวัตถุ โดยเป็น สัดส่วนกับผลคูณของมวลทั้ง 2 4
สอง และเป็นสัดส่วนผกผันกับ ก าลังสองของระยะทางระหว่าง วัตถุทั้งสอง แสดงได้โดยสมการ F = (Gm1m2 )/r2 ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 9 บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ใน ระบบสุริยะ เรื่องที่ 1 แรงโน้มถ่วง ระหว่างดวงอาทิตย์กับ ดาวบริวาร (ต่อ) เมื่อ F แทนความโน้มถ่วง ระหว่างมวลทั้งสอง G แทนค่านิจโน้มถ่วงสากล m1 แทนมวลของวัตถุแรก m2 แทนมวลของวัตถุที่สอง และ r แทนระยะห่างระหว่าง วัตถุทั้งสอง 10 บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ใน ระบบสุริยะ เรื่องที่ 2 ปรากฏการณ์ที่ เกิดจากการเคลื่อนที่ของ โลกรอบดวงอาทิตย์ ว 3.1 ม.3/2 สร้างแบบจ าลอง ที่อธิบายการเกิดฤดู และ การเคลื่อนที่ปรากฏของ ดวงอาทิตย์ - การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ในลักษณะที่แกนโลกเอียงกับ แนวตั้งฉากของระนาบทาง โคจร ท าให้ส่วนต่าง ๆ บนโลก ได้รับปริมาณแสงจากดวง อาทิตย์แตกต่างกันในรอบปี เกิดเป็นฤดู กลางวันกลางคืน ยาวไม่เท่ากัน และต าแหน่ง การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ที่ ขอบฟ้าและเส้นทางการขึ้นและ ตกของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปใน รอบปี ซึ่งส่งผลต่อการด ารงชีวิต 4 4 11 บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ใน ระบบสุริยะ ว 3.1 ม.3/3 สร้างแบบจ าลอง ที่อธิบายการเกิดข้างขึ้น - ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลก 3 3
เรื่องที่ 3 ปรากฏการณ์ที่ เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ดวงอาทิตย์ โลก และ ดวงจันทร์ ข้างแรม การเปลี่ยนแปลง เวลาการขึ้นและตกของ ดวงจันทร์ และการเกิด น ้าขึ้นน ้าลง และดวงจันทร์โคจรรอบดวง อาทิตย์ ดวงจันทร์รับแสงจาก ดวงอาทิตย์ครึ่งดวงตลอดเวลา เมื่อดวงจันทร์โคจรรอบโลก ได้หันส่วนสว่างมายังโลก แตกต่างกัน จึงท าให้คนบนโลก สังเกตส่วนสว่างของดวงจันทร์ แตกต่างไปในแต่ละวันเกิดเป็น ข้างขึ้นข้างแรม ที่ ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำระส ำคัญ เวลำ (ชั่วโมง) น ้ำหนัก คะแนน 11 บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ใน ระบบสุริยะ เรื่องที่ 3 ปรากฏการณ์ที่ เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ดวงอาทิตย์ โลก และ ดวงจันทร์ (ต่อ) - ดวงจันทร์โคจรรอบโลกใน ทิศทางเดียวกับที่โลกหมุนรอบ ตัวเอง จึงเห็นดวงจันทร์ขึ้นช้า ไปประมาณวันละ 50 นาที - แรงโน้มถ่วงที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์กระท าต่อโลก ท าให้เกิดปรากฏการณ์น ้าขึ้น น ้าลง วันที่น ้ามีระดับการขึ้น สูงสุดและลงต ่าสุดเรียก วันน ้า เกิด ส่วนวันที่ระดับน ้ามีการขึ้น และลงน้อยเรียกวันน ้าตาย 12 บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ใน ระบบสุริยะ เรื่องที่ 4 เทคโนโลยีอวกาศ ว 3.1 ม.3/4 อธิบายการใช้ ประโยชน์ของเทคโนโลยี อวกาศ และยกตัวอย่าง ความก้าวหน้าของโครงการ ส ารวจอวกาศ จากข้อมูล ที่รวบรวมได้ - เทคโนโลยีอวกาศได้มีบทบาท ต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์ใน ปัจจุบันมากมาย มนุษย์ได้ใช้ ประโยชน์จากเทคโนโลยี อวกาศ เช่น ระบบน าทางด้วย ดาวเทียม (GNSS) การติดตาม 6 6
พายุ สถานการณ์ไฟป่า ดาวเทียมช่วยภัยแล้ง - โครงการส ารวจอวกาศต่าง ๆ ได้พัฒนาเพิ่มพูนความรู้มากขึ้น เป็นล าดับ ตัวอย่างโครงการ ส ารวจอวกาศเช่น การส ารวจ สิ่งมีชีวิตนอกโลก การส ารวจ ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ คะแนนเก็บระหว่ำงเรียน 50 คะแนนสอบกลำงภำค 20 คะแนนสอบปลำยภำค 30 รวมคะแนนทั้งหมดตลอดภำคเรียน 100 ค ำอธิบำยรำยวิชำพื้นฐำน ว 23101 รำยวิชำ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ภำคเรียนที่ 1 เวลำ 60 ชั่วโมง จ ำนวน 1.5 หน่วยกิต ศึกษา วิเคราะห์ สืบค้นข้อมูล และอธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม การ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ในรุ่นลูก ความส าคัญของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และไมโอซิส โรคทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ทดลอง วิเคราะห์ และอธิบายการเกิดคลื่นและส่วนประกอบของคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัม ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ประโยชน์และอันตรายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปรากฏการณ์เกี่ยวกับแสง การสะท้อนของ แสงและการหักเหของแสง การท างานของทัศนอุปกรณ์ความสว่างและการมองเห็น สืบค้นข้อมูลและอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดจากการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วง การเกิดฤดู การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดข้างขึ้น ข้างแรม การเปลี่ยนแปลงเวลาขึ้นและตกของดวง จันทร์ การเกิดน ้าขึ้น น ้าลง เทคโนโลยีอวกาศ โครงการส ารวจอวกาศ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์การสืบเสาะหาความรู้การส ารวจตรวจสอบ การพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 การสืบค้นข้อมูล บันทึก จัดกลุ่มข้อมูล และการอภิปราย
เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถน าเสนอสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็น คุณค่าของการน าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวัน มีจิตวิทยาศาสตร์คุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม ตัวชี้วัดรวม 24 ตัวชี้วัด ว 1.3 ม.3/1 ม.3/2 ม.3/3 ม.3/4 ม.3/5 ม.3/6 ม.3/7 ม.3/8 ว 2.3 ม.3/10 ม.3/11 ม.3/12 ม.3/13 ม.3/14 ม.3/15 ม.3/16 ม.3/17 ม.3/18 ม.3/19 ม.3./20 ม.3/21 ว 3.1 ม.3/1 ม.3/2 ม.3/3 ม.3/4 ก ำหนดกำรสอนรำยวิชำวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (ว23101) ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ภำคเรียนที่ 1 ปีกำรศึกษำ 2566 วันที่ท ำกำรสอน แผนกำรสอนที่ แผนกำรสอนเรื่อง จ ำนวนชั่วโมง หมำยเหตุ หน่วยกำรเรียนรู้ที่1 วิทยำศำสตร์กับกำรแก้ปัญหำ 1 วิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา 1 2 2 วิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา 2 1 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 พันธุศำสตร์ บทที่ 1 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่องที่ 1 โครโมโซมและการค้นพบของเมนเดล 3 โครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม 2
4 หน่วยที่ก าหนดลักษณะทางพันธุกรรม 1 5 ค านวณการเข้าคู่ของแอลลีล 2 6 อัตราส่วนการเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ 1 เรื่องที่ 2 โครโมโซมของมนุษย์และความผิดปกติทางพันธุกรรม 7 โครโมโซมในเซลล์ร่างกายของมนุษย์ 2 8 ความแตกต่างของการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต 1 9 การเปลี่ยนแปลงที่มีผลให้เกิดโรคทางพันธุกรรม 2 10 โอกาสในการเกิดโรคทางพันธุกรรม 1 เรื่องที่ 3 สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 11 ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 2 12 กิจกรรมท้ายบท จริยธรรมด้านพันธุศาสตร์ของนักเรียน 1 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 3 คลื่นและแสง บทที่ 1 คลื่น เรื่องที่ 1 คลื่นกล 13 คลื่นกล 2 เรื่องที่ 2 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 14 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 2 15 กิจกรรมท้ายบท สร้างเครื่องมือตรวจสอบสเปกตรัมของตัวเอง 1 สอบกลางภาค 3 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 3 คลื่นและแสง บทที่ 2 แสง เรื่องที่ 1 การสะท้อนของแสง 16 การสะท้อนของแสง 1 17 ภาพที่เกิดจากแผ่นสะท้อนแสงผิวราบ 2 18 การสะท้อนแสงจากแผ่นสะท้อนแสงผิวโค้ง 1 19 ภาพที่เกิดจากกระจกเงาโค้ง 2 เรื่องที่ 2 การหักเหของแสง 20 ความสัมพันธ์ระหว่างมุมหักเหและมุมตกกระทบ 2 21 การสะท้อนกลับหมดของแสง 1 22 การกระจายของแสง 2 23 การหักเหของแสงขนานเมื่อผ่านเลนส์ 1
24 ภาพที่เกิดจากเลนส์นูน 2 เรื่องที่ 3 ความสว่าง 25 ความสว่าง 1 26 กิจกรรมท้ายบท สร้างโพรเจกเตอร์อย่างง่ายด้วยตัวเอง 1 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 4 ระบบสุริยะของเรำ บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะ เรื่องที่ 1 แรงโน้มถ่วงระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวบริวาร 27 ขนาดของแรงโน้มถ่วง 2 เรื่องที่ 2 ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของโลกรอบดวงอาทิตย์ 28 การเกิดฤดูของโลก 2 29 การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์ 2 เรื่องที่ 3 ปรากฏการณ์ที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ 30 การเกิดข้างขึ้น ข้างแรม 2 31 การเกิดน ้าขึ้น น ้าลง 1 เรื่องที่ 4 เทคโนโลยีอวกาศ 32 เทคโนโลยีอวกาศ 2 33 ประโยชน์ของดาวเทียม 1 34 ความก้าวหน้าของโครงการส ารวจอวกาศ 2 35 กิจกรรมท้ายบท ดูดาววันไหนกันดี 1 สอบปลายภาค 3 รวมชั่วโมงกำรจัดกำรเรียนรู้ทั้งหมด 60 ชั่วโมง/3600 นำที แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่1 เรื่อง ความส าคัญของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ รหัสวิชำ ว23101 เวลำ 1 ชั่วโมง หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ วิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา รวม 3 ชั่วโมง กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ภำคเรียนที่ 1 สำระที่ - ชื่อสำระ - มำตรฐำน - 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด
จุดมุ ่งหมายให้นักเรียนตระหนักถึงความส าคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที ่มีอิทธิพลต ่อมนุษย์ ทั้งในด้านการด ารงชีวิตและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ก าลังเกิดขึ้นในปัจจุบันและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพราะ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา 2. สำระส ำคัญ/ควำมคิดรวบยอด 1) ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ เพื่อตอบสนองความต้องการ และช่วยยกระดับการใช้ชีวิตให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้นและในบางครั้งต้องอาศัยองค์ความรู้อื่น ๆ มาต่อยอดและ ผสมผสานกัน 2) ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์ ช่วยแก้ปัญหาและ อ านวยความสะดวกท าให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายและมีความปลอดภัยมากขึ้น 3. จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 1) ด้ำนควำมรู้ (K) นักเรียนยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใน ชีวิตประจ าวันได้ 2) ด้ำนทักษะ (P) นักเรียนสามารถสื่อสารและน าเสนอความส าคัญของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 3) ด้ำนเจตคติ (A) นักเรียนให้ความร่วมมือในการท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ 4. คุณลักษณะผู้เรียน 4.1 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมั่นในการท างาน มีวินัย รักความเป็นไทย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ 5. ด้ำนสมรรถนะส ำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสื่อสาร: นักเรียนสามารถสื ่อสารเพื ่ออธิบายการใช้ประโยชน์จากความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจ าวันได้ 6. สำระกำรเรียนรู้ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ มีจุดประสงค์เพื่อตอบสนอง ความต้องการและช่วยยกระดับการใช้ชีวิตให้มีความสะดวกสบายยิ ่งขึ้น จ าเป็นต้องอาศัยองค์ความรู้ทางด้าน วิทยาศาสตร์ที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และบางครั้งต้องอาศัยองค์ความรู้อื่น ๆ มาต่อยอดและผสมผสานกัน
ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์ ช่วยแก้ปัญหาและ อ านวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ท าให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายและมีความปลอดภัยมากขึ้น แต่ในบางครั้งก็ อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมและมนุษย์เอง ดังนั้นมนุษย์จึงควรตระหนักถึงผลกระทบ ที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย กระบวนการแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์เดิม และการน าข้อมูลต่าง ๆ มาช่วยในการตัดสินใจ เบื้องต้นเพื ่อการเลือกแนวทางและออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดยน าข้อมูลต ่าง ๆ มาใช้ออกแบบ สร้าง และ ทดสอบต้นแบบ เพื่อแก้ปัญหาในสถานการณ์ได้อย่างมีเหตุผลและเหมาะสม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวก็คล้ายคลึง กับการคิดแก้ปัญหาของมนุษย์นั่นเอง 7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ชั่วโมง; 60นาที) ขั้นที่ 1 กระตุ้นควำมสนใจ (Engagement) (10 นำที) 1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อน าเข้าสู่บทเรียน โดยตั้งประเด็นค าถามดังนี้ - วิทยาศาสตร์มีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์อย่างไร (ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที ่มนุษย์สร้างสรรค์ เพื ่อตอบสนองความต้องการและช ่วยยกระดับการใช้ชีวิต ให้มีความ สะดวกสบายยิ่งขึ้น) - นักเรียนคิดว่าการที่มนุษย์สร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาได้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับ การพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างไร (เกี่ยวข้อง เพราะ องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานในการ ค้นคว้าปรับปรุงแก้ไขผลงานให้ดีขึ้น มีความทันสมัย และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้) 2) ครูเชื่อมโยงเข้าสู่เรื่องวิทยาศาสตร์ โดยให้นักเรียนสังเกตภาพน าเรื่อง เกี่ยวกับการพัฒนา อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle, UAV) หรือโดรน (drone) ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 2 เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนา เทคโนโลยีที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและต้องอาศัยองค์ความรู้ อื่น ๆ มาต่อยอดและผสมผสานกัน ขั้นที่2 ขั้นส ำรวจและค้นหำ (Exploration) (10 นำที) 3) ครูน าเข้ากิจกรรมที่ 1.1 ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ส ำคัญอย่ำงไร โดยตั้งประเด็นค าถามว่า นักเรียนคิดว ่านอกจากตัวอย ่างในการสร้างสิ ่งประดิษฐ์ดังที ่กล ่าวมาแล้ว มนุษย์ยังประยุกต์ใช้ความรู้และ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างไรอีกบ้าง และสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นมีความส าคัญต่อมนุษย์อย่างไร (ความรู้
ทางวิทยาศาสตร์น ามาประยุกต์ใช้พัฒนาในการแพทย์ เกษตรกรรม เศรษฐกิจ ธุรกิจต่าง ๆ เพื่อให้ทันสมัย มีการ ตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ได้มากหลายอย่าง) 4) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีด าเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 4 และครูตรวจสอบความเข้าใจการอ่านโดย ใช้ค าถามดังต่อไปนี้ - กิจกรรมนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร (ความส าคัญของความรู้ทางวิทยาศาสตร์) - กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อย ่างไร (ยกตัวอย ่างการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจ าวันในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ของใช้ เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ) - วิธีด าเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย ่างไร (ระดมความคิด เพื่อยกตัวอย่างสิ่งประดิษฐ์ วิเคราะห์ สืบค้น และอภิปรายเกี่ยวกับความส าคัญของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การประยุกต์ใช้ประโยชน์จาก ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจ าวัน) - นักเรียนต้องสังเกตและรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีในประเด็นต่าง ๆ เช่น ชนิดของสิ่งประดิษฐ์ส่วนประกอบ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการออกแบบและสร้างชิ้นงาน และการ พัฒนาส่วนประกอบของสิ่งประดิษฐ์นั้น รายละเอียดหลักการท างาน รวมทั้งประโยชน์ที่น ามาใช้ได้ของสิ่งประดิษฐ์ เป็นต้น) ขั้นที่3 ขั้นอธิบำยและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นำที) 5) นักเรียนบันทึกผลการท ากิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที ่ 1.1 ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ส าคัญอย่างไร โดยการตอบค าถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผลของกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปจาก กิจกรรมว่า ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และความรู้ทางด้านต่าง ๆ ที่มนุษย์น ามาประยุกต์ใช้สร้างสรรค์เทคโนโลยี มี ความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์ โดยเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ขึ้นช่วยในการแก้ปัญหา อ านวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการ ท าให้มนุษย์ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายและมีความปลอดภัยมากขึ้น 6) ครูใช้ประเด็นค าถามว่า เพราะเหตุใดมนุษย์จึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อ อธิบายข้อสรุปเพิ่มเติมว่า แม้ว่ามนุษย์จะสามารถใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาและ อ านวยความสะดวกในชีวิตซึ่งมีประโยชน์อย่างมาก แต่หากมนุษย์ใช้เทคโนโลยีโดยไม่ค านึงถึงผลกระทบที่ จะ เกิดขึ้นในอนาคตทั้งต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ในที่สุดก็จะเป็นปัญหาส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อ มนุษย์เอง ขั้นที่4 ขั้นขยำยควำมรู้ (Elaboration) (10 นำที)
7) ครูขยายความรู้ โดยกระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อน าเข้าสู่หัวข้อต่อไป เรื่อง วิทยาศาสตร์ กับการแก้ปัญหาของมนุษย์ เพื่อใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยให้นักเรียน อ่านเกร็ด น่ารู้ หรือดูวีดิทัศน์เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของมนุษย์เกินความจ าเป็น และปัญหามลพิษ แล้วสรุปประเด็นร่วมกัน ขั้นที่5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (10 นำที) 8) ครูและนักเรียนสรุปประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของ มนุษย์เกินความจ าเป็นและปัญหามลพิษ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ปัจจุบันสภาพแวดล้อมของโลกมีการเปลี่ยนแปลงไป อย่างรุนแรง รวดเร็ว และเป็นวงกว้าง ดังนั้นมนุษย์จึงมีการน าความรู้มาใช้ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ 9) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์การประเมิน 8. สื่อกำรเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 อุปกรณ์ท ากิจกรรม: อุปกรณ์การเขียนต่าง ๆ 8.2 ใบกิจกรรม: ใบกิจกรรมที่ 1.1 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส าคัญอย่างไร 8.3 แบบบันทึกกิจกรรม: แบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 1.1 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส าคัญอย่างไร 8.4 แหล่งเรียนรู้: หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ 9. กำรวัดและกำรประเมิน ตัวชี้วัด/ผลกำรเรียนรู้ วิธีกำรวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ที่ใช้ในกำรประเมิน 1. ยกตัวอย่างและ อธิบายธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์ได้ (ด้านความรู้: K) - ตรวจการตอบค าถาม ท้ายกิจกรรมที่ 1.1 จ านวน 4 ข้อ - ค าถามท้ายหน่วยการ เรียนรู้กิจกรรมที่ 1.1 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ส าคัญอย่างไร - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านความรู้ 2. การใช้ทักษะสื่อสาร และน าเสนอความ ส าคัญของความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ (ด้านกระบวนการ: P) - ตรวจการท าแบบบันทึก การค้นคว้ากิจกรรมที่ 1.1 - แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 1.1 ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ส าคัญ อย่างไร - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านกระบวนการ
3. ให้ความร่วมมือในการ ท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ได้ (ด้านเจตคติ: A) - สังเกตความร่วมมือใน การท ากิจกรรมของ นักเรียน - เกณฑ์การประเมิน ความร่วมมือในการท า กิจกรรมร่วมกับผู้อื่น - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านเจตคติ 9.1 เกณฑ์กำรประเมินผลงำนนักเรียน เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score) ประเด็นกำรประเมิน ค่ำน ้ำหนัก คะแนน แนวทำงกำรให้คะแนน การให้คะแนนการตอบ ค าตอบท้าย กิจกรรมที่ 1.1 3 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 1.1 ถูกทุกข้อ 2 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 1.1 ถูกต้องจ านวน 2-3 ข้อ 1 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 1.1 ถูกต้องจ านวน 0-1 ข้อ การให้คะแนนการบันทึก แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 1.1 3 บันทึกผลจากการท ากิจกรรม ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส าคัญอย่างไร โดยบรรยายในแบบบันทึกการค้นคว้าได้ชัดเจน ถูกต้อง ครบทุกประเด็น สอดคล้องกับเนื้อหาในกิจกรรม 2 บันทึกผลจากการท ากิจกรรม ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส าคัญอย่างไร โดยบรรยายในแบบบันทึกการค้นคว้าได้ชัดเจน ถูกต้อง แต่ไม่ครบ ทุกประเด็นค าถามในแบบบันทึกการค้นคว้า 1 บันทึกผลจากการท ากิจกรรม ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส าคัญอย่างไร โดยบรรยายในแบบบันทึกการค้นคว้าได้ แต่ไม่ถูกต้องและไม่ครบทุก ประเด็นค าถามในแบบบันทึกการค้นคว้า การให้คะแนนความ ร่วมมือในการท ากิจกรรม ร่วมกับผู้อื่น 3 ให้ความร่วมมือในท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นตลอดทั้งคาบเรียน ไม่ก่อความ วุ่นวายหรือปัญหาที่รบกวนการเรียนของผู้อื่น เช่น พูดเสียงดังโวยวาย ลุกเดินไปมา หรือชวนผู้อื่นคุยเล่น ขณะครูท าการสอน 2 ให้ความร่วมมือในท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นเป็นบางครั้งในคาบเรียน และ
ก่อความวุ่นวายหรือปัญหาที่รบกวนการเรียนของผู้อื่น เช่น พูดเสียงดัง โวยวาย ลุกเดินไปมา หรือชวนผู้อื่นคุยเล่น ขณะครูสอน 1 ไม่ให้ความร่วมมือในท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ท าให้เกิดความวุ่นวายหรือ ปัญหาที่รบกวนการเรียนของผู้อื่น เช่น พูดเสียงดังโวยวาย ลุกเดินไปมา หรือ ชวนผู้อื่นคุยเล่น ขณะครูท าการสอน 9.2 ระดับคุณภำพ คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง ดีมาก คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99 หมายถึง ดี คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99 หมายถึง พอใช้ บันทึกหลังกำรสอน หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 วิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา แผนกำรสอนเรื่อง 1 ความส าคัญของความรู้ทางวิทยาศาสตร์... ...... วันที่...............................เดือน...............................................................พ.ศ. 2566 1. สรุปผลกำรเรียนกำรสอน 1. นักเรียนจ านวน....................คน ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้...........คน คิดเป็นร้อยละ............. ไม่ผ่านจุดประสงค์.......................คน คิดเป็นร้อยละ............. ได้แก่.................................................................................................. 2. สรุปผลตำมรำยจุดประสงค์กำรเรียนรู้ 2.1 นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ ( K) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………… 2.2 นักเรียนมีความรู้เกิดกระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….………… 2.3 นักเรียนมีเจตคติ (A)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………… 3. ข้อเสนอแนะหลังกำรจัดกำรเรียนกำรสอน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………… ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ากลุ่มสาระ ( ) ( ) ต าแหน่ง................................................... ลงชื่อ.............................................ผู้ช่วย/รองฯวิชาการ …………./……………./………… ( ) ลงชื่อ............................................ผู้อ านวยการ ( ) แบบบันทึกกำรประเมินคุณภำพกำรเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 รำยวิชำวิทยำศำสตร์พื้นฐำน (ว23101) หน่วยกำรเรียนรู้ที่1 วิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ความส าคัญของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ค าชี้แจง: ท าเครื่องหมาย ในช่องค่าน ้าคะแนนแต่ละด้านตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยประเมินตามเกณฑ์Rubrics Score เลข ที่ ชื่อ-นำมสกุล/ รหัสนักเรียน ด้ำนควำมรู้ (K) ด้ำนกระบวนกำร (P) ด้ำนเจตคติ(A) คะแนนรวม ระดับคุณภำพ ค่ำน ้ำหนักคะแนน ค่ำน ้ำหนักคะแนน ค่ำน ้ำหนักคะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 1 2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 เกณฑ์กำรพิจำรณำคุณภำพ (โดยน ำคะแนนรวมทุกด้ำน K P A แล้วหำค่ำเฉลี่ย) - คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง ดีมาก - คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99 หมายถึง ดี - คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99 หมายถึง พอใช้ ต้องได้คะแนนเฉลี่ยทุกประเด็นกำรประเมิน ไม่ต ่ำกว่ำ 2.00 แสดงระดับคุณภำพ ดี ขึ้นไปเท่ำนั้น ถึงจะผ่ำนกำรเรียนรู้ตำมตัวชี้วัด ผลกำรประเมินกำรเรียนรู้ของนักเรียน ผู้เรียนที่ ผ่าน ตัวชี้วัด มีจ านวน…………………………คน คิดเป็นร้อยละ……………………………………………….. ผู้เรียนที่ ไม่ผ่าน ตัวชี้วัด มีจ านวน…………………………คน คิดเป็นร้อยละ……………………………………………….. 1)………………………………………………........……….สาเหตุ……………….........................................................
2)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 3)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 4)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 5)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 6)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... ใบกิจกรรมที่ 1.1 ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ส ำคัญอย่ำงไร หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 4 กิจกรรมที่ 1.1 ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ส ำคัญอย่ำงไร? จุดประสงค์ สืบค้นข้อมูลและอธิบายความส าคัญของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยยกตัวอย่าง การประยุกต์ใช้ประโยชน์จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจ าวัน วัสดุอุปกรณ์ แบบบันทึก และเครื่องเขียน ปากกาหลากสี วิธีด ำเนินกิจกรรม 1. ระดมความคิดเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ที่พบในชีวิตประจ าวันที่นักเรียนสนใจและ เลือกมา 1 อย่าง 2. วิเคราะห์ส่วนประกอบสิ่งประดิษฐ์ ในข้อ 1 ว่าเกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรบ้าง
3. สืบค้นและตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการสร้าง สิ่งประดิษฐ์นั้น บันทึกผลและน าเสนอ 4. ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับความส าคัญของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่น ามาใช้ ประโยชน์ในการด ารงชีวิตของมนุษย์ ค ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. สิ่งประดิษฐ์ที่นักเรียนเลือกคืออะไร มีประโยชน์อย่ำงไร ............................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ถ้ำไม่มีสิ่งประดิษฐ์ดังกล่ำวจะส่งผลอย่ำงไรต่อกำรด ำรงชีวิต ............................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. สิ่งประดิษฐ์ดังกล่ำวสร้ำงขึ้นโดยอำศัยควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์อย่ำงไร ............................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. จำกกิจกรรม สรุปได้ว่ำอย่ำงไร ............................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แบบบันทึกกำรค้นคว้ำกิจกรรมที่ 1.1 ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ส ำคัญอย่ำงไร ชื่อ-นำมสกุล..........................................................................................ชั้น.................เลขที่...........กลุ่มที่ ............ บันทึกผลกำรท ำกิจกรรม สิ่งประดิษฐ์ที่เลือกได้แก่............................................................................................................................. . วิเครำะห์ส่วนประกอบของสิ่งประดิษฐ์ 1).......................................................................... 2)..........................................................................
3).......................................................................... 4).......................................................................... 5).......................................................................... 6).......................................................................... จำกสิ่งประดิษฐ์ต้องอำศัยควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ที่เกี่ยวข้องในด้ำนใดบ้ำง ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... รูปภำพของสิ่งประดิษฐ์ พร้อมชี้ส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง เฉลยใบกิจกรรมที่ 1.1 ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ส ำคัญอย่ำงไร เฉลยค ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. สิ่งประดิษฐ์ที่นักเรียนเลือกคืออะไร มีประโยชน์อย่ำงไร
แนวค ำตอบ ตอบตามความคิดของนักเรียนและเหตุผลที่เลือก ควรเน้นที่ประโยชน์และลักษณะการใช้งาน เช่น พัดลมไฟฟ้าช่วยระบายความร้อนในบ้านเรือน 2. ถ้ำไม่มีสิ่งประดิษฐ์ดังกล่ำวจะส่งผลอย่ำงไรต่อกำรด ำรงชีวิต แนวค ำตอบ ขึ้นอยู่กับค าตอบของนักเรียน เช่น หากไม่มีเครื่องบินจะท าให้การเดินทางในระยะไกล ไม่สะดวกและใช้เวลานาน 3. สิ่งประดิษฐ์ดังกล่ำวสร้ำงขึ้นโดยอำศัยควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์อย่ำงไร แนวค ำตอบ ขึ้นอยู่กับค าตอบของนักเรียน เช่น การสร้างกล้องวงจรปิด ต้องอาศัยความรู้ทาง วิทยาศาสตร์หลายด้าน และประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีหลายอย่าง เช่น วัสดุ กล้องดิจิทัล และอื่น ๆ 4. จำกกิจกรรมนี้ สรุปได้ว่ำอย่ำงไร แนวค ำตอบ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และความรู้ด้านต่าง ๆ เป็นความรู้ที่มีการสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องและ ยาวนาน โดยมนุษย์น ามาประยุกต์ใช้สร้างสรรค์เทคโนโลยี มีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์ ช่วยใน การแก้ปัญหา อ านวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการ ท าให้มนุษย์ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ตัวอย่ำงผลกำรแบบบันทึกกำรค้นคว้ำกิจกรรมที่ 1.1 ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ส ำคัญอย่ำงไร บันทึกผลกำรท ำกิจกรรม
สิ่งประดิษฐ์ที่เลือกได้แก่ เครื่องดูดฝุ่นที่ช่วยให้การท าความสะอาดท าได้ง่ายขึ้น วิเครำะห์ส่วนประกอบของสิ่งประดิษฐ์ 1) มอเตอร์ไฟฟ้า 2) แผ่นกรองอากาศ 3) ล้อ จำกสิ่งประดิษฐ์ต้องอำศัยควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ที่เกี่ยวข้องในด้ำนใดบ้ำง 1) การท างานมอเตอร์ไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น เพื่อให้กลไกลท างานได้ เมื่อได้รับพลังงาน 2) วัสดุที่มีสมบัติกรองฝุ่นละลองขนาดเล็ก เพื่อมีประสิทธิภาพในการใช้งานกรองฝุ่นขนาดเล็ก 3) โมเมนต์ สมดุลคาน เพื่อให้เครื่องมีความสมดุลเมื่อใช้งาน 4) ความรู้ทางด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และด้านศิลปะ เพื่อท าให้ทั้งเครื่องบินและเครื่องดูดฝุ่นมีความ สวยงามอีกด้วย รูปภำพของสิ่งประดิษฐ์ พร้อมชี้ส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่2
เรื่อง วิทยาศาสตร์ช่วยแก้ปัญหาได้ รหัสวิชำ ว23101 เวลำ 2 ชั่วโมง หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ วิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา รวม 3 ชั่วโมง กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ภำคเรียนที่ 1 สำระที่ - ชื่อสำระ - มำตรฐำน - 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด จุดมุ ่งหมายให้นักเรียนตระหนักถึงความส าคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที ่มีอิทธิพลต ่อมนุษย์ ทั้งในด้านการด ารงชีวิตและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ก าลังเกิดขึ้นในปัจจุบันและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพราะ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา 2. สำระส ำคัญ/ควำมคิดรวบยอด 1) ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ เพื่อตอบสนองความต้องการ และช่วยยกระดับการใช้ชีวิตให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้นและในบางครั้งต้องอาศัยองค์ความรู้อื่น ๆ มาต่อยอดและ ผสมผสานกัน 2) ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์ ช่วยแก้ปัญหาและ อ านวยความสะดวกท าให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายและมีความปลอดภัยมากขึ้น 3. จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 1) ด้ำนควำมรู้ (K) นักเรียนระบุขั้นตอนการแก้ปัญหา โดยประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ 2) ด้ำนทักษะ (P) นักเรียนมีทักษะการออกแบบการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ โดยประยุกต์ใช้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ 3) ด้ำนเจตคติ (A) นักเรียนให้ความร่วมมือในการท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ 4. คุณลักษณะผู้เรียน 4.1 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมั่นในการท างาน มีวินัย รักความเป็นไทย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ 5. ด้ำนสมรรถนะส ำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการแก้ปัญหา: นักเรียนสามารถแก้ปัญหาโดยประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ความสามารถในการสื่อสาร: นักเรียนสามารถระบุขั้นตอนการแก้ปัญหา โดยประยุกต์ใช้ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ 6. สำระกำรเรียนรู้ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ มีจุดประสงค์เพื่อตอบสนอง ความต้องการและช่วยยกระดับการใช้ชีวิตให้มีความสะดวกสบายยิ ่งขึ้น จ าเป็นต้องอาศัยองค์ความรู้ทางด้าน วิทยาศาสตร์ที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และบางครั้งต้องอาศัยองค์ความรู้อื่น ๆ มาต่อยอดและผสมผสานกัน ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์ ช่วยแก้ปัญหาและ อ านวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ท าให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายและมีความปลอดภัยมากขึ้น แต่ในบางครั้งก็ อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมและมนุษย์เอง ดังนั้นมนุษย์จึงควรตระหนักถึงผลกระทบ ที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย กระบวนการแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์เดิม และการน าข้อมูลต่าง ๆ มาช่วยในการตัดสินใจ เบื้องต้นเพื ่อการเลือกแนวทางและออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดยน าข้อมูลต ่าง ๆ มาใช้ออกแบบ สร้าง และ ทดสอบต้นแบบ เพื่อแก้ปัญหาในสถานการณ์ได้อย่างมีเหตุผลและเหมาะสม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวก็คล้ายคลึง กับการคิดแก้ปัญหาของมนุษย์นั่นเอง 7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ชั่วโมง; 120นาที) ขั้นที่ 1 กระตุ้นควำมสนใจ (Engagement) (10 นำที) 1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อน าเข้าสู่บทเรียน โดยตั้งประเด็นค าถามดังนี้ - นักเรียนคิดว่าเราสามารถที่จะประยุกต์ใช้ความรู้ด้านต่าง ๆ ของวิทยาศาสตร์ มาช่วยเหลือใน การแก้ปัญหา สถานการณ์ที ่เกิดขึ้นบนโลกได้อย ่างไร (ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มนุษย์ สร้างสรรค์ มาช่วยแก้ปัญหาได้ โดยการสืบหาสาเหตุ วิเคราะห์ปัญหา และระบุแนวทางแก้ไขอย่างเป็นขั้นตอน) - ครูยกตัวอย ่างสถานการณ์ที ่ส าคัญของประเทศ เมื ่อการเกิดไฟป ่าขึ้นในประเทศไทย ให้ นักเรียนช่วยหาสาเหตุที่อาจจะท าให้เกิดสถานการณ์ขึ้นได้ (การเกิดไฟป่า สาเหตุอาจเกิดได้หลายปัจจัย เช่น การ ชิงเผาของคนที่ประสงค์หาของป่า การถูกจ้างวานให้ชิงเผาป่า กลไกทางธรรมชาติของป่า หรือการเผาเพื ่อ ผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม) ขั้นที่2 ขั้นส ำรวจและค้นหำ (Exploration) (50 นำที)
2) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีด าเนินกิจกรรมที่ 1.2 วิทยาศาสตร์ช่วยแก้ปัญหา อย่างไร ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 8 และครูตรวจสอบความเข้าใจการอ่านโดยใช้ค าถามดังต่อไปนี้ - กิจกรรมนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร (การแก้ปัญหาโดยการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และ ความรู้ด้านต่าง ๆ) - กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อย่างไร (แก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่ก าหนดให้ โดยประยุกต์ใช้ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ด้านต่าง ๆ) - วิธีด าเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (อ่านสถานการณ์และวิเคราะห์ เพื่อระบุปัญหาที่ เกิดขึ้น รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา วิเคราะห์แนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นไปได้ สืบค้นข้อมูลที่ เกี่ยวข้องเพิ่มเติมออกแบบและสร้างชิ้นงาน ทดสอบประเมินผล และน าเสนอรายละเอียดแนวทางการแก้ปัญหา) - นักเรียนต้องสังเกตและรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยในการหลอมเหลว ของน ้าแข็ง สมบัติของวัสดุแต่ละชนิด เวลาในการหลอมเหลว ขั้นตอนในการท ากิจกรรมการแก้ปัญหา) 3) นักเรียนแต่ละกลุ่มท ากิจกรรม ครูสังเกตการท างานของนักเรียน และให้ค าแนะน าเมื่อนักเรียน มีค าถาม โดยเฉพาะในส่วนของการระบุปัญหาและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ครูช่วยเหลือโดยการตั้ง ค าถามเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การถ่ายโอนพลังงานความร้อน การดูดกลืนและการคายพลังงานความ ร้อนของวัสดุที่มีลักษณะแตกต่างกัน รูปร่างรูปทรงของสิ่งที่จะออกแบบ 4) ครูให้นักเรียนสืบค้นเพิ่มเติมในส่วนของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง และในกระบวนการ ออกแบบชิ้นงาน ให้นักเรียนวาดแบบอย่างละเอียดที่สุดที่สามารถท าได้ และให้บันทึกในทุกขั้นตอนของการท างาน เพื่อน ามาอภิปรายกระบวนการท างานกับกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่เป็นตัวแทนของการท างานอย่าง เป็นระบบ ขั้นที่3 ขั้นอธิบำยและลงข้อสรุป (Explanation) (10 นำที) 5) ให้นักเรียนน าเสนอผลการท ากิจกรรม ตอบค าถามท้ายกิจกรรม และร ่วมกันสรุปผลของ กิจกรรมโดยใช้ค าถามท้ายกิจกรรมเป็นแนวทาง เพื่อให้ได้ข้อสรุปจำกกิจกรรมว่ำ ในการแก้ปัญหาหนึ ่ง จ าเป็นต้องมีการท างานร่วมกันในการระบุปัญหา รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาช่วยในการตัดสินใจเบื้องต้นเพื่อเลือก แนวทางและออกแบบวิธีการแก้ปัญหาในบางครั้งต้องมีการหาข้อมูลเพิ ่มเติม เพื่อใช้ในการออกแบบและสร้าง ชิ้นงาน จากนั้นควรมีการทดสอบต้นแบบหาข้อดีและสิ่งที่ควรปรับปรุง เพื่อพัฒนาชิ้นงานให้สามารถแก้ปัญหาได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นที่4 ขั้นขยำยควำมรู้ (Elaboration) (20 นำที)
6) นักเรียนอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนเกี่ยวกับล าดับขั้นตอนในการแก้ปัญหา อ่านเกร็ดน่ารู้ และ ร ่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่ำ การที ่มนุษย์จะสร้างสรรค์ชิ้นงานที ่ดีและสามารถน ามาใช้ได้อย ่างมี ประสิทธิภาพ จะต้องมีกระบวนการในการท างานที่เป็นระบบ ซึ่งระบบของกระบวนการท างานออกแบบและ สร้างสรรค์ชิ้นงานที่นักประดิษฐ์ วิศวกร หรือผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยี มักจะใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม โดยมักเริ่มต้นจากการระบุปัญหาหรือความต้องการ ซึ่งมีการใช้ความรู้ประสบการณ์เดิม และข้อมูลต่าง ๆ มาช่วย ในการตัดสินใจเบื้องต้น เพื่อเลือกแนวทางและออกแบบวิธีการแก้ปัญหา จากนั้นน าข้อมูลมาออกแบบ สร้างสรรค์ และทดสอบต้นแบบ เพื ่อให้สามารถแก้ปัญหาในสถานการณ์ได้อย ่างมีเหตุผลและเหมาะสม นอกจากนี้การ ค านึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมมีส่วนช่วยให้การสร้างสรรค์ชิ้นงานหรือการแก้ปัญหามีความสมบูรณ์ มากขึ้น ขั้นที่5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (30 นำที) 7) ครูตรวจสอบประเมินผลนักเรียนโดย สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากบทเรียน โดยการเขียนบรรยาย วาดภาพ หรือเขียนผังมโนทัศน์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหน่วยการเรียนรู้นี้ 8. สื่อกำรเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 อุปกรณ์ท ากิจกรรม: อุปกรณ์การเขียนต่าง ๆ 8.2 ใบกิจกรรม: ใบกิจกรรมที่ 1.2 วิทยาศาสตร์ช่วยแก้ปัญหาอย่างไร 8.3 แบบบันทึกกิจกรรม: แบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 1.2 วิทยาศาสตร์ช่วยแก้ปัญหาอย่างไร 8.4 แหล่งเรียนรู้: หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ 9. กำรวัดและกำรประเมิน ตัวชี้วัด/ผลกำรเรียนรู้ วิธีกำรวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ที่ใช้ในกำรประเมิน 1. ระบุขั้นตอนการ แก้ปัญหา โดย ประยุกต์ใช้ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ได้ (ด้านความรู้: K) - ตรวจการน าเสนอองค์ ความรู้ในบทเรียน วิทยาศาสตร์กับ การแก้ปัญหา - เกณฑ์การประเมิน การน าเสนอองค์ความรู้ ในบทเรียนวิทยาศาสตร์ กับการแก้ปัญหา - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านความรู้
2. ทักษะการออกแบบ การแก้ปัญหาจาก สถานการณ์ โดย ประยุกต์ใช้ (ด้านกระบวนการ: P) - ตรวจการออกแบบ สิ่งประดิษฐ์จาก สถานการณ์ที่ก าหนด - เกณฑ์การประเมิน ทักษะการออกแบบ สิ่งประดิษฐ์ - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านกระบวนการ 3. ให้ความร่วมมือในการ ท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ได้ (ด้านเจตคติ: A) - สังเกตความร่วมมือใน การท ากิจกรรมของ นักเรียน - เกณฑ์การประเมิน ความร่วมมือในการท า กิจกรรมร่วมกับผู้อื่น - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านเจตคติ 9.1 เกณฑ์กำรประเมินผลงำนนักเรียน เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score) ประเด็นกำรประเมิน ค่ำน ้ำหนัก คะแนน แนวทำงกำรให้คะแนน การให้คะแนน การน าเสนอองค์ความรู้ใน บทเรียนวิทยาศาสตร์กับ การแก้ปัญหา 3 ออกแบบการเขียนบรรยาย วาดภาพ หรือเขียนผังมโนทัศน์สิ่งที่ได้ เรียนรู้จากหน่วยการเรียนรู้นี้ได้ดี มีการน าเสนอข้อมูลเข้าใจง่าย มีล าดับขั้นตอนการแก้ปัญหา เป็นหัวข้ออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย 2 ออกแบบการเขียนบรรยาย วาดภาพ หรือเขียนผังมโนทัศน์สิ่งที่ได้ เรียนรู้จากหน่วยการเรียนรู้นี้ได้ดี มีการน าเสนอข้อมูลเข้าใจง่าย มีล าดับขั้นตอน มีการระบุหัวข้อย่อยได้ไม่ถูกต้อง 1 ออกแบบการเขียนบรรยาย วาดภาพ หรือเขียนผังมโนทัศน์สิ่งที่ได้ เรียนรู้จากหน่วยการเรียนรู้นี้ได้ดี มีการระบุหัวข้อย่อยได้ไม่ถูกต้อง