The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม.3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by narumon, 2023-06-02 01:04:14

แผนวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม.3

แผนวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม.3

โครโมโซมของมนุษย์เพศหญิง เฉลยใบกิจกรรมที่ 2.5 โครโมโซมในเซลล์ร่ำงกำยของมนุษย์เป็นอย่ำงไร เฉลยค ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. โครโมโซมในเซลล์ร่ำงกำยของมนุษย์เพศชำยและเพศหญิงมีจ ำนวนเท่ำกันหรือไม่ อย่ำงไร แนวค ำตอบ มีจ านวนเท่ากัน คือ 46 แท่ง หรือ 23 คู่ 2. โครโมโซมในเซลล์ร่ำงกำยของมนุษย์เพศชำยและเพศหญิงเหมือนหรือแตกต่ำงกันอย่ำงไร แนวค ำตอบ โครโมโซมของมนุษย์เพศชายและเพศหญิงมีลักษณะที่เหมือนกัน 22 คู่ และมีลักษณะ แตกต่างกัน 1 คู่


3. เซลล์ร่ำงกำยของมนุษย์เพศชำยและเพศหญิงมีจ ำนวนฮอมอโลกัสโครโมโซมกี่คู่ แนวค ำตอบ เพศชายมีฮอมอโลกัสโครโมโซมจ านวน 22 คู่ ได้แก่ คู่ที่ 1-22 ส่วนเพศหญิงมีฮอมอโลกัส โครโมโซมจ านวน 23 คู่ ได้แก่ คู่ที่ 1-23 4. จำกกิจกรรมนี้ สรุปได้ว่ำอย่ำงไร แนวค ำตอบ มนุษย์มีจ านวนโครโมโซม 46 แท่ง หรือ 23 คู่ โครโมโซม 22 คู่เหมือนกันทั้งเพศหญิงและ เพศชาย ส่วนโครโมโซมอีก 1 คู่มีลักษณะแตกต่างกัน แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง ความแตกต่างของการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต รหัสวิชำ ว23101 เวลำ 1 ชั่วโมง หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ พันธุศาสตร์ รวม 15 ชั่วโมง กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ภำคเรียนที่ 1 สำระที่ 1 ชื่อสำระ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มำตรฐำน ว 1.3 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด


ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความส าคัญของการถ ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี ่ยนแปลงทางพันธุกรรมที ่มีผลต ่อสิ ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ ่งมีชีวิต รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ว 1.3 ม.3/4 อธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส 2. สำระส ำคัญ/ควำมคิดรวบยอด 1) กระบวนการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมี 2 แบบ คือ ไมโทซิส และไมโอซิส 2) ไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจ านวนเซลล์ร่างกาย ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่มี ลักษณะและจ านวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งต้น 3) ไมโอซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มีจ านวน โครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้น เมื่อเกิดการปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ ลูกจะได้รับการถ่ายทอดโครโมโซมชุด หนึ ่งจากพ ่อและอีกชุดหนึ ่งจากแม ่ จึงเป็นผลให้รุ ่นลูกมีจ านวนโครโมโซมเท ่ากับรุ ่นพ ่อแม ่และจะคงที ่ใน ทุก ๆ รุ่น 3. จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 1) ด้ำนควำมรู้ (K) นักเรียนอธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส 2) ด้ำนทักษะ (P) นักเรียนใช้ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล มาอธิบายความแตกต่างของ การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส 3) ด้ำนเจตคติ (A) นักเรียนให้ความร่วมมือในการท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ 4. คุณลักษณะผู้เรียน 4.1 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมั่นในการท างาน มีวินัย รักความเป็นไทย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ 5. ด้ำนสมรรถนะส ำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการคิด: นักเรียนสามารถวิเคราะห์ความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและ ไมโอซิส 6. สำระกำรเรียนรู้


โดยทั ่วไปการแบ ่งเซลล์ที ่ท าให้ได้เซลล์ใหม ่ที ่มีจ านวนโครโมโซมเท ่าเดิม จะพบได้ในการแบ ่งเซลล์ เพื่อเพิ่มจ านวนเซลล์ร่างกาย ส่วนการแบ่งเซลล์ที่ท าให้ได้เซลล์ใหม่ที่มีจ านวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง จะพบได้ใน การแบ่งเซลล์ เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ท าให้เซลล์ของสิ่งมีชีวิตรุ่นลูกที่เกิดจากการรวมตัวกันของ เซลล์สืบพันธุ์ของ พ่อและแม่ มีจ านวนโครโมโซมเท่ากับรุ่นพ่อแม่ การแบ ่งเซลล์ที ่ท าให้เกิดเซลล์ใหม ่ 2 เซลล์ที ่มีลักษณะและจ านวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งต้น ทุก ประการเรียกการแบ่งเซลล์แบบนี้ว่า กำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitotic cell division) ซึ่งเป็นกระบวนการ ส าคัญที่เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มจ านวนเซลล์ร่างกายระหว่างการเจริญเติบโต และทดแทนเซลล์ ที่เสียหายหรือตาย และอาจ พบการแบ่งเชลล์แบบไมโทซิสในการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น พารามีซียม และยีสต์ ซึ่ง การแบ่งเซลล์แบไมโทซิสมีขั้นตอนดังภาพ 2.16 ในหนังสือเรียน ภำพแสดง กำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (อ้างอิงจาก: หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 49) ในการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเชลล์สืบพันธุ์ เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีจ านวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง เรียกการ แบ่งเซลล์แบบนี้ว่า กำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiotic cell division) โดยเริ่มจากเซลล์ตั้งตันหนึ่งเซลล์ เมื่อ แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเกิดเป็นเซลล์ใหม่ 4 เซลล์ โดยแต่ละเซลล์มีจ านวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง ดังภาพ 2.17 ใน หนังสือเรียน เซลล์ตั้งต้นมีโครมาทิน 2 เส้นขดตัวอยู่ภายในนิวเคลียส โครมาทินแต่ละเส้นมีการจ าลองตัวเอง โครมาทินแต่ละเส้นขุดตัวสั้นลง ท าให้เห็นโครโมโซม 2 แท่ง แต่ละแท่งมี 2 โครมาทิด โครโมโซมมาเรียงกันบริเวณกึ่งกลางเชลล์ จากนั้นโครมาทิดจึงแยกจากกัน เชลล์ใหม่ 2 เซลล์ แต่ละเซลล์มีจ านวนโครโมโซม 2 แท่ง โครโมโซมคลายตัวเป็นเส้นใยโครมาทิน เซลล์ตั้งต้นมีโครมาทิน 2 เส้นขดตัวอยู่ภายในนิวเคลียส โครมาทินแต่ละเส้นมีการจ าลองตัวเอง โครมาทินแต่ละเส้นขุดตัวสั้นลง ท าให้เห็นโครโมโซม 2 แท่ง แต่ละแท่งมี 2 โครมาทิด จากนั้นฮอมอโลกัสโครโมโซม จึงแยกออกจากกัน


ภำพแสดง กำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (อ้างอิงจาก: หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 50) ในการแบ ่งเซลล์แบบไมโอซิสเพื ่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของมนุษย์ ในเพศชายเซลล์ใหม ่ที ่ได้ 4 เซลล์ จะเจริญเป็นอสุจิทั้งหมด ส่วนในเพศหญิงเซลล์ใหม่ที่ได้ 4 เซลล์จะมีเพียง 1 เซลล์ที่เจริญไปเป็นเซลล์ไข่ ส่วนอีก 3 เซลล์จะสลายไป อสุจิและเชลล์ไข ่มีจ านวนโครโมโซมเป็นครึ ่งหนึ ่งของเซลล์ร ่างกายเท ่ากับ 23 แท ่ง ซึ ่งเป็น ออโตโซม 22 แท ่ง และโครโมโซมเพศ1 แท ่ง เมื ่อมีการปฏิสนธิระหว ่างอสุจิและเชลล์ไข ่ เกิดเป็นไซโกตที ่มี โครโมโซมจ านวน 46 แท่งเท่ากับจ านวนโครโมโซมในเซลล์ร่างกาย เป็นผลให้รุ่นลูกมีจ านวนโครโมโซมเท่ากับ รุ่นพ่อแม่และจะมีจ านวนคงที่ในทุก ๆ รุ่น ดังภาพ โดยทั ่วไปเซลล์ใหม ่ที ่ได้จากการแบ ่งเซลล์จะมีลักษณะและ จ านวนโครโมโซมเป็นปกติ แต่ถ้าเกิดความผิดปกติในการแบ ่ง เซลล์ จะท าให้เซลล์ใหม่ที่ได้มีจ านวนหรือลักษณะของโครโมโซม เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เกิดโรคทางพันธุกรรม ภำพ กำรแบ่งเซลล์แบบไอโอซิสเพื่อสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์ของมนุษย์ (อ้างอิงจาก: หนังสือเรียนชั้นม.3 เล่ม1 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ.2560) สสวท. หน้า 50)


7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ชั่วโมง; 60นาที) ขั้นที่ 1 กระตุ้นควำมสนใจ (Engagement) (10 นำที) 1) ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับการปฏิสนธิ การพัฒนาจากไซโกตเป็นเอ็มบริโอและทารก โดยใช้ ประเด็นค าถามดังนี้ - นักเรียนเกิดขึ้นมาได้อย่างไร (เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อ ได้แก่ อสุจิ และ เซลล์สืบพันธุ์ของแม่ ได้แก่ เซลล์ไข่) - เซลล์ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิเรียกว่าอะไร (ไซโกต) - ไซโกต 1 เซลล์จะเจริญเติบโตเป็นร่างกายมนุษย์ที่ประกอบด้วยเซลล์เป็นจ านวนมากได้อย่างไร (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ) - นักเรียนและพ่อแม่มีโครโมโซมเป็นเท่าไร (46 แท่ง) - เพราะเหตุใดโครโมโซมของนักเรียนจึงมีจ านวนโครโมโซมเท่ากับพ่อแม่ (นักเรียนตอบตามความ เข้าใจ) ขั้นที่2 ขั้นส ำรวจและค้นหำ (Exploration) (10 นำที) 2) ครูน านักเรียนอ่านชื่อกิจกรรมที่ 2.6 การแบ่งเซลล์แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร จุดประสงค์ และวิธีด าเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปร ุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 47 และครูตรวจสอบความเข้าใจการอ่าน โดยใช้ค าถามดังต่อไปนี้ - กิจกรรมนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร (การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต) - กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อย ่างไร (สังเกตและอธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์ของ สิ่งมีชีวิต) - วิธีด าเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (สังเกตและเปรียบเทียบแผนภาพการแบ่งเซลล์ แบบที่ 1 และแบบที่ 2 คาดคะเนและวาดภาพจ านวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ที่เกิดจากการรวมกันของเซลล์ 2 เซลล์ที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบที่ 1 และ 2 อภิปรายว่าการแบ่งเซลล์แบบใดเป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์ สืบพันธุ์) - นักเรียนต้องสังเกตและรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (สังเกตจ านวนเซลล์และจ านวนโครโมโซมของ เซลล์ตั้งต้นและเซลล์ใหม่ที่ได้จากการแบ่งเซลล์ทั้ง 2 แบบ และน ามาเปรียบเทียบกัน) 3)ขณะที่แต่ละกลุ่มท ากิจกรรม ครูควรเดินสังเกตการท ากิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลุ่ม และให้ ค าแนะน าถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต ่าง ๆ เช ่น การวาดภาพจ านวนโครโมโซมภายในเซลล์ใหม ่ที ่ได้


ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหาและข้อสงสัยที่พบจากการท ากิจกรรมของนักเรียนเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการอภิปราย หลังจากการท ากิจกรรม ขั้นที่3 ขั้นอธิบำยและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นำที) 4) นักเรียนบันทึกผลการท ากิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.6 การแบ่งเซลล์แต่ ละแบบแตกต่างกันอย่างไร โดยการตอบค าถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผลของกิจกรรมภายในกลุ่ม 5) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผล เพื่อให้ได้ข้อสรุปจำกกิจกรรมว่ำ การแบ่งเซลล์มี 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่มีจ านวนโครโมโซมเท่าเดิม แบบที่ 2 ได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มีจ านวนโครโมโซม ลดลงเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้นซึ่งเป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ เมื่อเกิดการปฏิสนธิ ไซโกตที่ได้จะมี จ านวนโครโมโซมเท่ากับพ่อแม่ ขั้นที่4 ขั้นขยำยควำมรู้ (Elaboration) (10 นำที) 6) ครูให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมให้นักเรียนอ่านเนื้อหาและสังเกตภาพ 2.16 การแบ่งเซลล์แบบไม โทซิส และภาพ 2.17 การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสในหนังสือเรียนหน้า 49-50 แล้วตั้งประเด็นค าถามเพิ่มเติมดังนี้ - เพราะเหตุใดจ านวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสจึงเท่ากับเซลล์ ตั้งต้น (แนวค าตอบ เพราะโครมาทินมีการจ าลองตัวเองเป็นโครโมโซมที่มี 2 โครมาทิด จากนั้นโครโมโซมจะมาเรียง ตัวบริเวณกึ่งกลางเซลล์ แต่ละโครมาทิดแยกไปอยู่ในเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ซึ่งจะมีจ านวนโครโมโซมเท่ากับเซลล์ตั้งต้น) - เพราะเหตุใดจ านวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจึงเป็นครึ่งหนึ่ง ของเซลล์ตั้งต้น (แนวค าตอบ เพราะโครมาทินมีการจ าลองตัวเองเป็นโครโมโซมที่มี 2 โครมาทิด มีการเข้าคู่ของฮ อมอโลกัสโครโมโซมและมาเรียงตัวในแนวกึ่งกลางเซลล์ มีการแยกกันของฮอมอโลกัสโครโมโซมไปอยู่ในเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ จากนั้นแต่ละโครมาทิด 2 โครมาทิดที่ติดกันบริเวณเซนโทรเมียร์ของเซลล์ใหม่แต่ละเซลล์จะแยกกันไปอยู่ ในเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ รวมทั้งหมดเป็น 4 เซลล์ ซึ่งจะมีจ านวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ ตั้งต้น) 7) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่ำ - การแบ่งเซลล์มี 2 แบบ คือ การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส - การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์ที่ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ที่มีลักษณะและจ านวน โครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งต้น เป็นกระบวนการที่ใช้ในการเพิ่มจ านวนเซลล์ร่างกายในระหว่างการเจริญเติบโต และ ทดแทนเซลล์ที่เสียหายหรือตาย - การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เป็นการแบ่งเซลล์ที่ได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ซึ่งมีจ านวนโครโมโซมเป็น ครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้นเป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์


ขั้นที่5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (10 นำที) 8) นักเรียนตรวจสอบการท าแบบบันทึกการค้นคว้าและส่งตามก าหนดที่วางไว้ 9) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์การ ประเมิน (Rubrics Score) 8. สื่อกำรเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 อุปกรณ์ท ากิจกรรม: อุปกรณ์เครื่องเขียน 8.2 ใบกิจกรรม: ใบกิจกรรมที่ 2.6 การแบ่งเซลล์มีแบบใดบ้าง 8.3 แบบบันทึกกิจกรรม: แบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.6 การแบ่งเซลล์มีแบบใดบ้าง 8.4 แหล่งเรียนรู้: หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ 9. กำรวัดและกำรประเมิน ตัวชี้วัด/ผลกำรเรียนรู้ วิธีกำรวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ที่ใช้ในกำรประเมิน 1. อธิบายความแตกต่าง ของการแบ่งเซลล์แบบ ไมโทซิสและไมโอซิส (ด้านความรู้: K) - ตรวจการตอบค าถาม ท้ายกิจกรรมที่ 2.6 - ค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.6 การแบ่งเซลล์มีแบบ ใดบ้าง จ านวน 3 ข้อ - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านความรู้ 2. การใช้ทักษะทักษะการ ลงความเห็นจากข้อมูล มาอธิบายความแตกต่าง ของการแบ่งเซลล์แบบ ไมโทซิสและไมโอซิส (ด้านกระบวนการ: P) - ตรวจการท าแบบบันทึก การค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.6 - แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 2.6 การแบ่ง เซลล์มีแบบใดบ้าง - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านกระบวนการ


3. ให้ความร่วมมือในการ ท ากิจกรรมร่วมกับ ผู้อื่นได้ (ด้านเจตคติ: A) - สังเกตความร่วมมือใน การท ากิจกรรมของ นักเรียน - เกณฑ์การประเมินความ ร่วมมือในการท ากิจกรรม ร่วมกับผู้อื่นของนักเรียน - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านเจตคติ 9.1 เกณฑ์กำรประเมินผลนักเรียน เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score) ประเด็นกำรประเมิน ค่ำน ้ำหนัก คะแนน แนวทำงกำรให้คะแนน การให้คะแนนตอบ ค าถามท้าย กิจกรรมที่ 2.6 3 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.6 ถูกต้อง จ านวน 3 ข้อ 2 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.6 ถูกต้อง จ านวน 2 ข้อ 1 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.6 ถูกต้อง จ านวน 1 ข้อ หรือ ไม่ถูกต้อง การให้คะแนนการบันทึก แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 2.6 3 บันทึกผลการท ากิจกรรมที่ 2.6 โดยลงความเห็นจากข้อมูล จากการน า ข้อมูลที่รวบรวมได้มาอธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และไมโอซิส และความส าคัญของการแบ่งเซลล์ได้อย่างสมเหตุสมผล ครบทุกประเด็นค าถามในแบบบันทึกการค้นคว้า 2 บันทึกผลการท ากิจกรรมที่ 2.6 โดยลงความเห็นจากข้อมูล จากการน า ข้อมูลที่รวบรวมได้มาอธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และไมโอซิส และความส าคัญของการแบ่งเซลล์ได้บางส่วน ตามประเด็น ค าถามในแบบบันทึกการค้นคว้า 1 บันทึกผลการท ากิจกรรมที่ 2.6 โดยลงความเห็นจากข้อมูล จากการน า ข้อมูลที่รวบรวมได้มาอธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส


และไมโอซิส และความส าคัญของการแบ่งเซลล์ได้บางส่วน ไม่ครบ ประเด็นค าถามในแบบบันทึกการค้นคว้า การให้คะแนนความ ร่วมมือในการท ากิจกรรม ร่วมกับผู้อื่น 3 ให้ความร่วมมือในท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นตลอดทั้งคาบเรียน ไม่ก่อความ วุ่นวายหรือปัญหาที่รบกวนการเรียนของผู้อื่น เช่น พูดเสียงดังโวยวาย ลุกเดินไปมา หรือชวนผู้อื่นคุยเล่น ขณะครูท าการสอน 2 ให้ความร่วมมือในท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นเป็นบางครั้งในคาบเรียน และ ก่อความวุ่นวายหรือปัญหาที่รบกวนการเรียนของผู้อื่น เช่น พูดเสียงดัง โวยวาย ลุกเดินไปมา หรือชวนผู้อื่นคุยเล่น ขณะครูสอน 1 ไม่ให้ความร่วมมือในท ากิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ท าให้เกิดความวุ่นวายหรือ ปัญหาที่รบกวนการเรียนของผู้อื่น เช่น พูดเสียงดังโวยวาย ลุกเดินไปมา หรือ ชวนผู้อื่นคุยเล่น ขณะครูท าการสอน 9.2 ระดับคุณภำพ คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง ดีมาก คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99 หมายถึง ดี คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99 หมายถึง พอใช้ ดังนั้น นักเรียนต้องได้คะแนนเฉลี่ยทุกประเด็นกำรประเมิน ไม่ต ่ำกว่ำ 2.00 แสดงระดับ คุณภำพ ดี ถือว่ำผ่ำนเกณฑ์กำรประเมินในแผนกำรจัดกำรเรียนที่ 8


บันทึกหลังกำรสอน หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 พันธุศาสตร์.... ...... ... ... แผนกำรสอนเรื่อง 8 ความแตกต่างของการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต วันที่...............................เดือน...............................................................พ.ศ. 2566 1. สรุปผลกำรเรียนกำรสอน 1. นักเรียนจ านวน....................คน ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้...........คน คิดเป็นร้อยละ............. ไม่ผ่านจุดประสงค์.......................คน คิดเป็นร้อยละ............. ได้แก่.................................................................................................. 2. สรุปผลตำมรำยจุดประสงค์กำรเรียนรู้ 2.1 นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ ( K)


…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.2 นักเรียนมีความรู้เกิดกระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.3 นักเรียนมีเจตคติ (A) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ข้อเสนอแนะหลังกำรจัดกำรเรียนกำรสอน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ำกลุ่มสำระ ( ) ( ) ต าแหน่ง................................................... ลงชื่อ.............................................ผู้ช่วย/รองฯวิชำกำร …………./……………./………… ( ) ลงชื่อ............................................ผู้อ ำนวยกำร ( ) แบบบันทึกกำรประเมินคุณภำพกำรเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 รำยวิชำวิทยำศำสตร์พื้นฐำน (ว23101) หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 พันธุศาสตร์ I แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง ความแตกต่างของการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ค ำชี้แจง: ท าเครื่องหมาย ในช่องค่าน ้าคะแนนแต่ละด้านตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยประเมินตามเกณฑ์Rubrics Score เลข ที่ ชื่อ-นำมสกุล/ รหัสนักเรียน ด้ำนควำมรู้ (K) ด้ำนกระบวนกำร (P) ด้ำนเจตคติ(A) คะแนนรวม ระดับคุณภำพ ค่ำน ้ำหนักคะแนน ค่ำน ้ำหนักคะแนน ค่ำน ้ำหนักคะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 1


2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 เกณฑ์กำรพิจำรณำคุณภำพ (โดยน ำคะแนนรวมทุกด้ำน K P A แล้วหำค่ำเฉลี่ย) - คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง ดีมาก - คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00-2.99 หมายถึง ดี - คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01-1.99 หมายถึง พอใช้ ต้องได้คะแนนเฉลี่ยทุกประเด็นกำรประเมิน ไม่ต ่ำกว่ำ 2.00 แสดงระดับคุณภำพ ดี ขึ้นไปเท่ำนั้น


ถึงจะผ่ำนกำรเรียนรู้ตำมตัวชี้วัด ผลกำรประเมินกำรเรียนรู้ของนักเรียน ผู้เรียนที่ ผ่าน ตัวชี้วัด มีจ านวน…………………………คน คิดเป็นร้อยละ……………………………………………….. ผู้เรียนที่ ไม่ผ่าน ตัวชี้วัด มีจ านวน…………………………คน คิดเป็นร้อยละ……………………………………………….. 1)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 2)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 3)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 4)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 5)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 6)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... ใบกิจกรรมที่ 2.5 กำรแบ่งเซลล์มีแบบใดบ้ำง หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 47


กิจกรรมที่ 2.6 กำรแบ่งเซลล์มีแบบใดบ้ำง? จุดประสงค์ สังเกตและอธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต วัสดุอุปกรณ์ อุปกรณ์เครื่องเขียน วิธีด ำเนินกิจกรรม 1. สังเกตและเปรียบเทียบจ านวนเซลล์และโครโมโซมของเซลล์ที่ได้จากการแบ่งเซลล์ ของสิงมีชีวิตชนิดหนึ่งจากแผนภาพการแบ่งเซลล์แบบที 1 และแบบที 2 แผนภำพกำรแบ่งเซลล์แบบที่ 1 แผนภำพกำรแบ่งเซลล์แบบที่ 2 กิจกรรมที่ 2.6 กำรแบ่งเซลล์มีแบบใดบ้ำง? วิธีด ำเนินกิจกรรม 2.คาดคะเนและวาดภาพจ านวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ที่เกิดจากการรวมโครโมโซม ของเซลล์ 2 เซลล์ที่ได้ จากการแบ่งเซลล์แบบที่ 1 และแบบที่ 2 เซลล์ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์ แบบที่ 2 เซลล์ตั้งต้น เซลล์ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์ แบบที่ 1 เซลล์ตั้งต้น


เซลล์ 2 เซลล์ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์แบบที่ 1 เซลล์ใหม่ เซลล์ 2 เซลล์ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์แบบที่2 เซลล์ใหม่ 3. ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับจ านวนโครโมโซมในเซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้น เปรียบเทียบกับ จ านวนโครโมโซมของเซลล์ตั้งต้นของสิงมีชีวิต และวิเคราะห์เกี่ยวกับแบบของการแบ่ง เซลล์ที่ใช้ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ เพื่อสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ค ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. จ ำนวนเซลล์และโครโมโซมของเซลล์ใหม่ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์แบบที่ 1 และแบบที่ 2 แตกต่ำงกันอย่ำงไร 2. ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศซึ่งมีกำรรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์ ท ำให้จ ำนวนโครโมโซมของลูก เท่ำกับพ่อแม่ ควรมีกำรแบ่งเซลล์แบบใด เพรำะเหตุใด 3. จำกกิจกรรม สรุปได้ว่ำอย่ำงไร แบบบันทึกกำรค้นคว้ำกิจกรรมที่ 2.6 กำรแบ่งเซลล์มีแบบใดบ้ำง


ชื่อ-นำมสกุล..........................................................................................ชั้น.................เลขที่...........กลุ่มที่ ............ บันทึกผลกำรค้นคว้ำ แบบที่ 1 เซลล์ที่เกิดจำกกำรรวมตัวกันของเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์แบบที่ 1 กำรแบ่งเซลล์แบบที่ 1 เป็นกำรแบ่งเซลล์ที่ใช้ในกำรสร้ำง........................................................................ แบบที่ 2 เซลล์ที่เกิดจำกกำรรวมตัวกันของเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์แบบที่ 2 กำรแบ่งเซลล์แบบที่ 2 เป็นกำรแบ่งเซลล์ที่ใช้ในกำรสร้ำง........................................................................ วาดภาพจ านวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ วาดภาพจ านวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่


แนวทำงกำรบันทึกกำรค้นคว้ำกิจกรมที่ 2.6 กำรแบ่งเซลล์มีแบบใดบ้ำง บันทึกผลกำรค้นคว้ำ แบบที่ 1 เซลล์ที่เกิดจำกกำรรวมตัวกันของเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์แบบที่ 1 กำรแบ่งเซลล์แบบที่ 1 เป็นกำรแบ่งเซลล์ที่ใช้ในกำรสร้ำง เซลล์ร่ำงกำยในกำรเจริญเติบโต แบบที่ 2 เซลล์ที่เกิดจำกกำรรวมตัวกันของเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์แบบที่ 2 กำรแบ่งเซลล์แบบที่ 2 เป็นกำรแบ่งเซลล์ที่ใช้ในกำรสร้ำง เซลล์สืบพันธุ์เพื่อสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ


เฉลยใบกิจกรรมที่ 2.6 กำรแบ่งเซลล์มีแบบใดบ้ำง เฉลยค ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. จ ำนวนเซลล์และโครโมโซมของเซลล์ใหม่ที่ได้จำกกำรแบ่งเซลล์แบบที่ 1 และแบบที่ 2 แตกต่ำงกันอย่ำงไร แนวค ำตอบ เซลล์ตั้งต้นมีโครโมโซม 2 แท่ง การแบ่งเซลล์แบบที่ 1 ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่มีจ านวน โครโมโซมเป็น 2 แท่งเท่ากับเซลล์ตั้งต้น แต่การแบ่งเซลล์แบบที่ 2 ได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ที่มีจ านวนโครโมโซมเป็น 1 แท่งลดลงเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้น 2. ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศซึ่งมีกำรรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์ ท ำให้จ ำนวนโครโมโซมของลูกเท่ำกับ พ่อแม่ ควรมีกำรแบ่งเซลล์แบบใด เพรำะเหตุใด แนวค ำตอบ ควรมีการแบ่งเซลล์แบบที่ 2 กล่าวคือ เซลล์สืบพันธุ์มีจ านวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่มารวมตัวกันจึงจะได้ลูกที่มีจ านวนโครโมโซมเท่ากับพ่อแม่ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตชนิด เดียวกันจะมีจ านวนโครโมโซมเท่ากันและคงที่เสมอ 3. จำกกิจกรรมนี้ สรุปได้ว่ำอย่ำงไร แนวค ำตอบ การแบ่งเซลล์มี 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ที่มีจ านวนโครโมโซมเท่าเดิม แบบที่ 2 ได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มีจ านวนโครโมโซมลดลงเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้น ซึ่งเป็นการแบ่ง เซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ เมื่อเกิดการปฏิสนธิ ไซโกตที่ได้จะมีจ านวนโครโมโซมเท่ากับพ่อแม่


แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงที่มีผลให้เกิดโรคทางพันธุกรรม รหัสวิชำ ว23101 เวลำ 2 ชั่วโมง หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ พันธุศาสตร์ รวม 15 ชั่วโมง กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ภำคเรียนที่ 1 สำระที่ 1 ชื่อสำระ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มำตรฐำน ว 1.3 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความส าคัญของการถ ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี ่ยนแปลงทางพันธุกรรมที ่มีผลต ่อสิ ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ ่งมีชีวิต รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ว 1.3 ม.3/5 บอกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม อาจท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรม พร้อมทั้ง ยกตัวอย่างโรคทางพันธุกรรม 2. สำระส ำคัญ/ควำมคิดรวบยอด 1) การเปลี ่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม ส ่งผลให้เกิดการเปลี ่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของ สิ่งมีชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีน กลุ่มอาการดาวน์เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจ านวน โครโมโซม 2) โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ ดังนั้นก่อนแต่งงานและมีบุตรจึงควรป้องกัน โดยการตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจากการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม 3. จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 1) ด้ำนควำมรู้ (K) นักเรียนบอกสาเหตุที่ท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรม และยกตัวอย่าง โรคทางพันธุกรรม 2) ด้ำนทักษะ (P) นักเรียนใช้ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูลที่รวบรวม อธิบายการ


เปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม ที่อาจท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรมได้ อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล 3) ด้ำนเจตคติ (A) นักเรียนมีระเบียบวินัยในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 4. คุณลักษณะผู้เรียน 4.1 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมั่นในการท างาน มีวินัย รักความเป็นไทย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ 5. ด้ำนสมรรถนะส ำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการคิด: นักเรียนสามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม ที่อาจท า ให้เกิดโรคทางพันธุกรรมได้ 6. สำระกำรเรียนรู้ ยีนที ่ควบคุมลักษณะของสิ ่งมีชีวิตอยู ่บนโครโมโซม ดังนั้นการเปลี ่ยนแปลงของโครโมโซมหรือยีน จึงส่งผลต่อลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต หากเกิดขึ้นในกระบวนการสร้างเชลล์สืบพันธุ์จะสามารถถ่ายทอด ไปยังรุ่นต่อไปได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ท าให้เกิดผลเสียนี้จะท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรม โรคทางพันธุกรรมที่มีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของจ านวนโครโมโซม เช่น กลุ่มอำกำรดำวน์ (Down syndrome) จะมีโครโมโซมของเซลล์ร่างกายจ านวน 47 แท่ง โดยมีโครโมโชมคู่ที่ 21 เกินมาหนึ่งแทงซึ่งแตกต่าง จากคนปกติดังภาพ ก. ชายปกติ ข. ชายที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์ ภำพแสดง แผนภำพโครโมโซมของคนปกติและคนที่เป็นกลุ่มอำกำรดำวน์ (อ้างอิงจาก: หนังสือเรียนชั้นม.3 เล่ม1 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ.2560) สสวท. หน้า 53)


คนที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์จะมีความผิดปกติทาง ร่างกายหลายอย่าง เช่น ตาชีขึ้น ลิ้นจุกปาก ลิ้นแตกเป็น รอง ดั้งจมูกแบน นิ้วมือสั้นป้อม และมีพัฒนาการทาง สมองช้า ดังภาพ ภำพ ลักษณะของผู้ที่เป็นกลุ่มอำกำรดำวน์ (ที่มา: คู่มือ“ก้าวไปพร้อมกัน...กับดาวน์ซินโดรม” กลุ่มบริการสถาบันราชานุกูล สืบค้นจาก ความเสี่ยงของมารดที่จะให้ก าเนิดบุตรที่เป็นกลุ่มอาการดาน์จะสัพันธ์กับอายุของมารดาโดยมารดาที่มี อายุมาก จะมีความเสี่ยสูงที่จะให้ก าเนิดบุตรที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์ เช่น มารดาที่มีอยุ 35 ปีมีความเสี่ยงที่จะให้ ก าเนิดบุตรที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์มากกว่ามารดที่มีอายุ 25 ปีประมาณ 3 เท่า นอกจากโรคทางพันธุกรรมจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโครโมโชมแล้ว ยังมีโรคทางพันธุกรรมที่เกิด จากการเปลี่ยนแปลงของยีนด้วย เช่น โรคธำลัสซีเมีย (thalassemia) ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยืนที่เกี่ยวข้อง กับการสังเคราะห์โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเฮโมโกลบิน ท าให้เชลล์เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นและ แตก ง่าย ดังภาพ ก. เซลล์เมล็ดเลือดแดงของคนปกติ ข. เซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างผิดปกติ ของผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ภาพแสดง ลักษณะเซลล์เม็ดเลือดแดงของคนปกติและผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย (ที่มา: https://sites.google.com/site/lifevantageprapasara) โรคราลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เป็นลักษณะด้อย ผู้ป่วยจะมีแอลลีลด้อยทั้งคู่ ส่วนผู้ที่มีแอลลี ลด้อยเพียงหนึ ่งแอลลีลจะไม ่แสดงอาการของโรค แต ่สามารถถ ่ายทอดแอลลีลด้อยไปสู ่รุ ่นลูกได้ เรียกบุคคล ดังกล่าวว่า พำหะของโรด(carrier) ผู้ป่วยที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมีภาวะซีด ตาเหลือง ตัวเหลือง ตับและม้ามโต และร่างกายเจริญเติบโตข้ากว่าปกติ https://th.rajanukul.go.th/_admin/filedownload/5-5842-1475127388.pdf


โรคทางพันธุกรรมเป็นลักษณะทางพันธุกรรมแบบหนึ่ง เราสามารถค านวณอัตราส่วนของจีโนไทป์และพี่ โนไทป์ได้ โดยใช้แผนภาพแสดงการผสมพันธุ์ ดังนั้นเมื่อทราบลักษณะทางพันธุกรรมของพ่อและแม่จะสามารถ ท านายโอกาสการเกิดโรคทางพันธุกรรมในรุ่นลูกได้ 7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ชั่วโมง; 120นาที) ขั้นที่ 1 กระตุ้นควำมสนใจ (Engagement) (20 นำที) 1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยประเด็นค าถาม เพื ่อสอบถามความเข้าใจเบื้องต้น ในการเกิดโรคทางพันธุกรรมว่า สาเหตุเกิดจากพันธุกรรมหรือไม่เกิดจากพันธุกรรม - โรคธาลัสซีเมีย (เกิดจากพันธุกรรม) - โรคผิวเผือก (เกิดจากพันธุกรรม) - โรคกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม (เกิดจากพันธุกรรม) - โรคมะเร็ง (ไม่เกิดจากพันธุกรรม) - โรคเบาหวาน (เกิดจากพันธุกรรม) - โรคภูมิแพ้ (ไม่เกิดจากพันธุกรรม) 2) ครูให้นักเรียนตั้งค าถาม โดยยกตัวอย่างชื่อของโรคที่เกิดในมนุษย์ แล้วให้เพื่อนร่วมชั้นเรียน ตอบว่า สาเหตุเกิดจากพันธุกรรมหรือไม่เกิดจากพันธุกรรม ขั้นที่2 ขั้นส ำรวจและค้นหำ (Exploration) (40 นำที) 3) ครูเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซมของทารกในครรภ์เป็นปกติหรือไม่ โดยใช้ค าถามว่า ถ้ากระบวนการแบ่งเซลล์เกิดความผิดปกติ และท าให้เซลล์ใหม่มีจ านวนโครโมโซมผิดปกติ จะส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต อย่างไร 4) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีด าเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 52 และครูตรวจสอบความเข้าใจการอ่าน โดย ใช้ค าถามดังต่อไปนี้ - กิจกรรมนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร (การเปลี่ยนแปลงจ านวนโครโมโซมที่อาจท าให้เกิดโรคทาง พันธุกรรม) - กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อย่างไร (สังเกตและอธิบายผลของการเปลี่ยนแปลงจ านวนโครโมโซมที่ อาจท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรม) - วิธีด าเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (อ่านสถานการณ์และสังเกตโครโมโซมของทารก จากแผนภาพเปรียบเทียบกับจ านวนโครโมโซมของคนปกติในภาพ 2.15 สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคและ ความผิดปกติของทารก)


- นักเรียนต้องสังเกตและรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (สังเกตจ านวนโครโมโซมของทารกและ เปรียบเทียบกับโครโมโซมของคนปกติ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความผิดปกติของทารกที่มีโครโมโซมตามแผนภาพ) 5) ขณะที่แต่ละกลุ่มท ากิจกรรม ครูควรเดินสังเกตการท ากิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลุ่ม และให้ ค าแนะน าถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต ่าง ๆ เช ่น การสังเกตโครโมโซมของทารกจากแผนภาพ การเปรียบเทียบกับโครโมโซมของคนปกติ วิธีการสืบค้นข้อมูล ครูควรรวบรวมปัญหาและข้อสงสัยที่พบจากการท า กิจกรรมของนักเรียนเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการอภิปรายหลังจากการท ากิจกรรม ขั้นที่3 ขั้นอธิบำยและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นำที) 6) นักเรียนบันทึกผลการท ากิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซมของ ทารกในครรภ์เป็นปกติหรือไม่ โดยการตอบค าถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผลของกิจกรรมภายในกลุ่ม 7) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผล เพื่อให้ได้ข้อสรุปจำกกิจกรรมว่ำ ทารกที่มีจ านวนโครโมโซม จ านวน 47 แท่ง โดยมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง ท าให้ทารกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ ซึ่งมีอาการผิดปกติทาง ร่างกาย เช่น ตาชี้ขึ้น ลิ้นจุกปาก ลิ้นแตกเป็นร่อง ดั้งจมูกแบน นิ้วมือสั้นป้อม และมีพัฒนาการทางสมองช้า ขั้นที่4 ขั้นขยำยควำมรู้ (Elaboration) (30 นำที) 8) ครูให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติม ให้นักเรียนอ่านเนื้อหาและสังเกตภาพ 2.19 และภาพ 2.20 ใน หนังสือเรียนชั้นม.3 เล ่ม1 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ.2560) สสวท. หน้า 53-54 แล้วร ่วมกันอภิปรายเกี ่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงของจ านวนโครโมโซมและลักษณะของผู้ที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์ ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 54 โดยครูอธิบายเพิ่มเติมว่ากลุ่มอาการดาวน์เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากการมีจ านวนโครโมโซมเกินมา 1 แท่งในโครโมโซมคู่ที่ 21 นอกจากนี้ยังมีโรคทางพันธุกรรมแบบอื่น ๆ ที่เกิดจากการเพิ่มหรือลดลงของจ านวน โครโมโซมในคู่อื่น ๆ อีก ซึ่งจะส่งผลต่อความผิดปกติทางพันธุกรรมเช่นกัน ทั้งนี้ความผิดปกติของจ านวนโครโมโซม ในบางกรณีอาจไม่แสดงความผิดปกติทางร่างกายออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน 9) ครูสอบถามประเด็นค าถามเพิ่มเติมว่า - เมื่อมารดามีอายุเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงที่จะให้ก าเนิดบุตรที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์เป็นอย่างไร (แนว ค าตอบ อายุของมารดาที่เพิ่มขึ้นมีความเสี่ยงที่จะให้ก าเนิดบุตรที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์สูงขึ้นด้วย) - โรคทางพันธุกรรมที ่เกิดจากการเปลี ่ยนแปลงของยีน จะท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรมอะไร (โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีนที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีนที่เป็น ส่วนประกอบของเฮโมโกลบิน จึงท าให้เซลล์เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นและแตกง่าย อาการของโรคนี้ เช่น มีภาวะซีด ตัวเหลือง ตาเหลือง ตับและม้ามโต ร่างกายเจริญเติบโตช้า) - ผู้ป่วยที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมียีนที่เป็นแอลลีลแบบใด (แอลลีลด้อยทั้งคู่ ส่วนผู้ที่มียีนที่เป็น แอลลีลด้อยเพียงหนึ่งแอลลีล (มีจีโนไทป์เป็นเฮเทอโรไซกัส) จะเรียกว่าเป็นพาหะของโรค ซึ่งจะไม่แสดงอาการของ โรคแต่สามารถถ่ายทอดแอลลีลด้อยนี้ไปสู่ลูกได้)


ขั้นที่5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (10 นำที) 10) นักเรียนตรวจสอบการท าแบบบันทึกการค้นคว้าและส่งตามก าหนดที่วางไว้ 11) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์การ ประเมิน (Rubrics Score) 8. สื่อกำรเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 อุปกรณ์ท ากิจกรรม: อุปกรณ์เครื่องเขียน 8.2 ใบกิจกรรม: ใบกิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซมของทารกในครรภ์เป็นปกติหรือไม่ 8.3 แบบบันทึกกิจกรรม: แบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซมของทารกในครรภ์เป็น ปกติหรือไม่ 8.4 แหล่งเรียนรู้: หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ 9. กำรวัดและกำรประเมิน ตัวชี้วัด/ผลกำรเรียนรู้ วิธีกำรวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ที่ใช้ในกำรประเมิน 1. บอกสาเหตุที่ท าให้เกิด โรคทางพันธุกรรม และยกตัวอย่าง โรคทางพันธุกรรม (ด้านความรู้: K) - ตรวจการตอบค าถาม ท้ายกิจกรรมที่ 2.7 - ค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซมของทารกใน ครรภ์เป็นปกติหรือไม่ จ านวน 3 ข้อ - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านความรู้


2. การใช้ทักษะการลง ความเห็นจากข้อมูลที่ รวบรวม อธิบายการ เปลี่ยนแปลงของยีนหรือ โครโมโซม ที่อาจท าให้ เกิดโรคทางพันธุกรรมได้ (ด้านกระบวนการ: P) - ตรวจการท าแบบบันทึก การค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.7 - แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซม ของทารกในครรภ์เป็น ปกติหรือไม่ - ได้ไม่น้อยกว่า2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านกระบวนการ 3. ระเบียบวินัยในการ เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ (ด้านเจตคติ: A) - สังเกตการได้รับมอบหมาย บทบาทและภาระงาน ภายในชั้นเรียน - เกณฑ์การประเมินระเบียบ วินัยในการเรียนรู้ทาง วิทยาศาสตร์ - ได้ไม่น้อยกว่า2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมินด้าน เจตคติ 9.1 เกณฑ์กำรประเมินผลนักเรียน เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score) ประเด็นกำรประเมิน ค่ำน ้ำหนัก คะแนน แนวทำงกำรให้คะแนน


การให้คะแนนตอบ ค าถามท้าย กิจกรรมที่ 2.7 3 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.7 ถูกต้อง จ านวน 3 ข้อ 2 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.7 ถูกต้อง จ านวน 2 ข้อ 1 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.7 ถูกต้อง จ านวน 1 ข้อ หรือ ไม่ถูกต้อง การให้คะแนนการบันทึก แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 2.7 3 บันทึกผลการท ากิจกรรมที่ 2.7 ได้ถูกต้อง ครบถ้วนทุกประเด็นค าถาม มีการลงความเห็นจากข้อมูล โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้จากแหล่งเรียนรู้ ต่าง ๆ มาเชื่อมโยง เพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม ที่อาจท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรมได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล และยกตัวอย่างโรคพันธุกรรมได้ถูกต้อง 2 บันทึกผลการท ากิจกรรมที่ 2.7 ได้ถูกต้อง มีการลงความเห็นจากข้อมูล โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ มาเชื่อมโยง เพื่อ อธิบายการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม ที่อาจท าให้เกิดโรคทาง พันธุกรรมได้ และมีการยกตัวอย่างโรคพันธุกรรม 1 บันทึกผลการท ากิจกรรมที่ 2.7 ได้ มีการลงความเห็นจากข้อมูล โดยใช้ ข้อมูลที่รวบรวมได้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ มาเชื่อมโยง เพื่ออธิบายการ เปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม ที่อาจท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรมได้ และมีการยกตัวอย่างโรคพันธุกรรม แต่ไม่ครบถ้วน มีข้อผิดพลาด การให้คะแนนพฤติกรรม ระเบียบวินัยในการ เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ 3 ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ภายในชั้นเรียนได้อย่างดี ไม่เกิดปัญหา ส่งภาระงานที่ได้รับตรงต่อเวลา และงานมีความสมบูรณ์ เรียบร้อย 2 ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ภายในชั้นเรียนได้แต่เกิดปัญหา จึงมีการ ปรับปรุงแก้ไข และส่งภาระงานที่ได้รับมอบหมายตรงต่อเวลา หรือ ช้ากว่าก าหนดเวลาไม่นาน 1 ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ภายในชั้นเรียนได้แต่เกิดปัญหา แล้ว แก้ไขไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อการส่งภาระงานที่ได้รับมอบหมายตรง ท าให้ เกิดปัญหา ส่งช้ากว่าก าหนดเวลาออกไป 9.2 ระดับคุณภำพ คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง ดีมาก


คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99 หมายถึง ดี คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99 หมายถึง พอใช้ ดังนั้น นักเรียนต้องได้คะแนนเฉลี่ยทุกประเด็นกำรประเมิน ไม่ต ่ำกว่ำ 2.00 แสดงระดับ คุณภำพ ดี ถือว่ำผ่ำนเกณฑ์กำรประเมินในแผนกำรจัดกำรเรียนที่ 9 บันทึกหลังกำรสอน


หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 พันธุศาสตร์.... ...... ... ... แผนกำรสอนเรื่อง 9 การเปลี่ยนแปลงที่มีผลให้เกิดโรคทางพันธุกรรม วันที่...............................เดือน...............................................................พ.ศ. 2566 1. สรุปผลกำรเรียนกำรสอน 1. นักเรียนจ านวน....................คน ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้...........คน คิดเป็นร้อยละ............. ไม่ผ่านจุดประสงค์.......................คน คิดเป็นร้อยละ............. ได้แก่.................................................................................................. 2. สรุปผลตำมรำยจุดประสงค์กำรเรียนรู้ 2.1 นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ ( K) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.2 นักเรียนมีความรู้เกิดกระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.3 นักเรียนมีเจตคติ (A) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ข้อเสนอแนะหลังกำรจัดกำรเรียนกำรสอน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ำกลุ่มสำระ ( ) ( ) ต าแหน่ง................................................... ลงชื่อ.............................................ผู้ช่วย/รองฯวิชำกำร …………./……………./………… ( ) ลงชื่อ............................................ผู้อ ำนวยกำร


( ) แบบบันทึกกำรประเมินคุณภำพกำรเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 รำยวิชำวิทยำศำสตร์พื้นฐำน (ว23101) หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 พันธุศาสตร์ I แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงที่มีผลให้เกิดโรคทางพันธุกรรม. ค ำชี้แจง: ท าเครื่องหมาย ในช่องค่าน ้าคะแนนแต่ละด้านตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยประเมินตามเกณฑ์Rubrics Score เลข ที่ ชื่อ-นำมสกุล/ รหัสนักเรียน ด้ำนควำมรู้ (K) ด้ำนกระบวนกำร (P) ด้ำนเจตคติ(A) คะแนนรวม ระดับคุณภำพ ค่ำน ้ำหนักคะแนน ค่ำน ้ำหนักคะแนน ค่ำน ้ำหนักคะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21


22 23 24 เกณฑ์กำรพิจำรณำคุณภำพ (โดยน ำคะแนนรวมทุกด้ำน K P A แล้วหำค่ำเฉลี่ย) - คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง ดีมาก - คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00-2.99 หมายถึง ดี - คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01-1.99 หมายถึง พอใช้ ต้องได้คะแนนเฉลี่ยทุกประเด็นกำรประเมิน ไม่ต ่ำกว่ำ 2.00 แสดงระดับคุณภำพ ดี ขึ้นไปเท่ำนั้น ถึงจะผ่ำนกำรเรียนรู้ตำมตัวชี้วัด ผลกำรประเมินกำรเรียนรู้ของนักเรียน ผู้เรียนที่ ผ่าน ตัวชี้วัด มีจ านวน…………………………คน คิดเป็นร้อยละ……………………………………………….. ผู้เรียนที่ ไม่ผ่าน ตัวชี้วัด มีจ านวน…………………………คน คิดเป็นร้อยละ……………………………………………….. 1)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 2)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 3)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 4)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 5)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 6)………………………………………………........……….สาเหตุ……………….........................................................


ใบกิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซมของทำรกในครรภ์เป็นปกติหรือไม่ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 52 กิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซมของทำรกในครรภ์เป็นปกติหรือไม่? จุดประสงค์ สังเกตและอธิบายผลของการเปลี่ยนแปลงจ านวนโครโมโซม ที่อาจท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรม วัสดุอุปกรณ์ อุปกรณ์เครื่องเขียน สถำนกำรณ์ วิธีด ำเนินกิจกรรม หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์ เมื่ออายุ 45 ปี เกิดความวิตกกังวลว่าลูกจะผิดปกติ ดังนั้นจึงไปปรึกษาแพทย์ แพทย์ได้เจาะน ้าคร ่า เพื่อน าเชลล์ของทารกไปตรวจ โครโมโซม ได้ผลดังแผนภาพ แผนภำพโครโมโซมของทำรก 1. อ่านสถานการณ์ที่ก าหนดให้ สังเกตโครโมโซมของทารกจากแผนภาพ เปรียบเทียบ กับโครโมโซมของคนปกติในภาพ 2.15 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ชั้นม. 3 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. หน้า 46) บันทึกผล 2. ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับจ านวนโครโมโซมและเพศของทารก


3. สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคและความผิดปกติที่เป็นผลจากการอภิปรายใน ข้อ 2 บันทึกผลและน าเสนอ ค ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. ทำรกในสถำนกำรณ์ที่ก ำหนดให้เป็นเพศใด และมีจ ำนวนโครโมโซมผิดปกติหรือไม่ อย่ำงไร 2. ถ้ำหำกทำรกคลอดออกมำและเจริญเติบโตต่อไปจะท ำให้เกิดโรคใด และมีควำมผิดปกติอย่ำงไร 3. จำกกิจกรรม สรุปได้ว่ำอย่ำงไร แบบบันทึกกำรค้นคว้ำกิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซมของทำรกในครรภ์เป็นปกติหรือไม่ ชื่อ-นำมสกุล..........................................................................................ชั้น.................เลขที่...........กลุ่มที่ ............ บันทึกผลกำรท ำกิจกรรม ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ระบุโรคทำงพันธุกรรมอื่น ๆ ที่อำจเกิดได้ในทำรกแรกเกิด ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ...........................................


........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ แนวทำงกำรบันทึกกำรค้นคว้ำกิจกรมที่ 2.7 โครโมโซมของทำรกในครรภ์เป็นปกติหรือไม่ บันทึกผลกำรท ำกิจกรรม จากการสังเกตและพิจารณาลักษณะของโครโมโซมของทารกในแผนภาพและเปรียบเทียบกับโครโมโซมของ คนปกติจะพบว่า จ านวนโครโมโซมของทารกมีจ านวน 47 แท่งซึ่งแตกต่างจากคนปกติคือ 46 แท่ง โดยมีจ านวน โครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง และโครโมโซมคู่ที่ 23 มีลักษณะเหมือนกัน คือ โครโมโซมเป็น XX ทารกจึง เป็น เพศหญิงคนที่มีจ านวนโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่งจะเป็นกลุ่มอาการดาวน์ ซึ่งมีอาการผิดปกติทางร่างกาย เช่น ตาชี้ขึ้น ลิ้นจุกปาก ลิ้นแตกเป็นร่อง ดั้งจมูกแบน นิ้วมือสั้นป้อม และมีพัฒนาการทางสมองช้า ระบุโรคทำงพันธุกรรมอื่น ๆ ที่อำจเกิดได้ในทำรกแรกเกิด ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ยกตัวอย่างโรคทางพันธุกรรม ตามความเข้าใจของนักเรียน


............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ เฉลยใบกิจกรรมที่ 2.7 โครโมโซมของทำรกในครรภ์เป็นปกติหรือไม่ เฉลยค ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. ทำรกในสถำนกำรณ์ที่ก ำหนดให้เป็นเพศใด และมีจ ำนวนโครโมโซมผิดปกติหรือไม่ อย่ำงไร แนวค ำตอบ ทารกเป็นเพศหญิง มีจ านวนโครโมโซมผิดปกติคือ 47 แท่ง โดยโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง 2. ถ้ำหำกทำรกคลอดออกมำและเจริญเติบโตต่อไปจะท ำให้เกิดโรคใด และมีควำมผิดปกติอย่ำงไร แนวค ำตอบ จะเป็นกลุ่มอาการดาวน์ มีความผิดปกติทางร่างกาย เช่น ตาชี้ขึ้น ลิ้นจุกปาก ลิ้นแตก เป็นร่อง ดั้ง จมูกแบน นิ้วมือสั้นป้อม และมีพัฒนาการทางสมองช้า 3. จำกกิจกรรมนี้ สรุปได้ว่ำอย่ำงไร


แนวค ำตอบ ทารกมีจ านวนโครโมโซมจ านวน 47 แท่ง โดยมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง ท าให้ทารก เป็นกลุ่มอาการดาวน์ ซึ่งมีอาการผิดปกติทางร่างกาย เช่น ตาชี้ขึ้น ลิ้นจุกปาก ลิ้นแตกเป็นร่อง ดั้งจมูกแบน นิ้วมือ สั้นป้อม และมีพัฒนาการทางสมองช้า แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 10 เรื่อง โอกาสในการเกิดโรคทางพันธุกรรม รหัสวิชำ ว23101 เวลำ 1 ชั่วโมง หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 ชื่อหน่วยกำรเรียนรู้ พันธุศาสตร์ รวม 15 ชั่วโมง กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ภำคเรียนที่ 1 สำระที่ 1 ชื่อสำระ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มำตรฐำน ว 1.3 1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัด ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความส าคัญของการถ ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี ่ยนแปลงทางพันธุกรรมที ่มีผลต ่อสิ ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ ่งมีชีวิต รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด


ว 1.3 ม.3/6 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องโรคทางพันธุกรรม โดยรู้ว่าก่อนแต่งงานควรปรึกษา แพทย์เพื่อตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงของลูกที่อาจเกิดโรคทางพันธุกรรม 2. สำระส ำคัญ/ควำมคิดรวบยอด 1) การเปลี ่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม ส ่งผลให้เกิดการเปลี ่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของ สิ่งมีชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีน กลุ่มอาการดาวน์เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจ านวน โครโมโซม 2) โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ ดังนั้นก่อนแต่งงานและมีบุตรจึงควรป้องกัน โดยการตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจากการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม 3. จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 1) ด้ำนควำมรู้ (K) นักเรียนเขียนแผนภาพการเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูก 2) ด้ำนทักษะ (P) นักเรียนใช้ทักษะการตีความหมายสรุปโอกาสที่ท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรม 3) ด้ำนเจตคติ (A) นักเรียนตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องโรคทางพันธุกรรม โดยรู้ว่า ก่อนแต่งงานหรือก่อนมีบุตรควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยง ของลูกที่อาจเกิดโรคทางพันธุกรรม 4. คุณลักษณะผู้เรียน 4.1 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมั่นในการท างาน มีวินัย รักความเป็นไทย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ 5. ด้ำนสมรรถนะส ำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการคิด: นักเรียนสามารถวิเคราะห์โอกาสที่ท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรม ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต: นักเรียนเรียนรู้โอกาสในการการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือ โครโมโซม ที่อาจท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรมได้ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจ าวัน 6. สำระกำรเรียนรู้ ยีนที ่ควบคุมลักษณะของสิ ่งมีชีวิตอยู ่บนโครโมโซม ดังนั้นการเปลี ่ยนแปลงของโครโมโซมหรือยีน จึงส่งผลต่อลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต หากเกิดขึ้นในกระบวนการสร้างเชลล์สืบพันธุ์จะสามารถถ่ายทอด ไปยังรุ่นต่อไปได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ท าให้เกิดผลเสียนี้จะท าให้เกิดโรคทางพันธุกรรม


โรคทางพันธุกรรมที่มีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของจ านวนโครโมโซม เช่น กลุ่มอำกำรดำวน์ (Down syndrome) จะมีโครโมโซมของเซลล์ร่างกายจ านวน 47 แท่ง โดยมีโครโมโชมคู่ที่ 21 เกินมาหนึ่งแท่งซึ่งแตกต่าง จากคนปกติดังภาพ ก. ชายปกติ ข. ชายที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์ ภำพแสดง แผนภำพโครโมโซมของคนปกติและคนที่เป็นกลุ่มอำกำรดำวน์ (อ้างอิงจาก: หนังสือเรียนชั้นม.3 เล่ม1 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ.2560) สสวท. หน้า 53) คนที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์จะมีความผิดปกติทาง ร่างกายหลายอย่าง เช่น ตาชีขึ้น ลิ้นจุกปาก ลิ้นแตกเป็น รอง ดั้งจมูกแบน นิ้วมือสั้นป้อม และมีพัฒนาการทาง สมองช้า ดังภาพ ภำพ ลักษณะของผู้ที่เป็นกลุ่มอำกำรดำวน์ (ที่มา: คู่มือ“ก้าวไปพร้อมกัน...กับดาวน์ซินโดรม” กลุ่มบริการสถาบันราชานุกูล สืบค้นจาก ความเสี่ยงของมารดที่จะให้ก าเนิดบุตรที่เป็นกลุ่มอาการดาน์จะสัพันธ์กับอายุของมารดาโดยมารดาที่มี อายุมาก จะมีความเสี่ยสูงที่จะให้ก าเนิดบุตรที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์ เช่น มารดาที่มีอยุ 35 ปีมีความเสี่ยงที่จะให้ ก าเนิดบุตรที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์มากกว่ามารดที่มีอายุ 25 ปีประมาณ 3 เท่า นอกจากโรคทางพันธุกรรมจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโครโมโชมแล้ว ยังมีโรคทางพันธุกรรมที่เกิด จากการเปลี่ยนแปลงของยีนด้วย เช่น โรคธำลัสซีเมีย (thalassemia) ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยืนที่เกี่ยวข้อง กับการสังเคราะห์โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเฮโมโกลบิน ท าให้เชลล์เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นและ แตก ง่าย ดังภาพ https://th.rajanukul.go.th/_admin/filedownload/5-5842-1475127388.pdf


ก. เซลล์เมล็ดเลือดแดงของคนปกติ ข. เซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างผิดปกติ ของผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ภาพแสดง ลักษณะเซลล์เม็ดเลือดแดงของคนปกติและผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย (ที่มา: https://sites.google.com/site/lifevantageprapasara) โรคราลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เป็นลักษณะด้อย ผู้ป่วยจะมีแอลลีลด้อยทั้งคู่ ส่วนผู้ที่มีแอลลี ลด้อยเพียงหนึ ่งแอลลีลจะไม ่แสดงอาการของโรค แต ่สามารถถ ่ายทอดแอลลีลด้อยไปสู ่รุ ่นลูกได้ เรียกบุคคล ดังกล่าวว่า พำหะของโรด(carrier) ผู้ป่วยที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมีภาวะซีด ตาเหลือง ตัวเหลือง ตับและม้ามโต และร่างกายเจริญเติบโตข้ากว่าปกติ โรคทางพันธุกรรมเป็นลักษณะทางพันธุกรรมแบบหนึ่ง เราสามารถค านวณอัตราส่วนของจีโนไทป์และพี่ โนไทป์ได้ โดยใช้แผนภาพแสดงการผสมพันธุ์ ดังนั้นเมื่อทราบลักษณะทางพันธุกรรมของพ่อและแม่จะสามารถ ท านายโอกาสการเกิดโรคทางพันธุกรรมในรุ่นลูกได้ โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยแอลลีลด้อย ดังนั้นคู่แต่งงานที่มีแอลลีลด้อยจะมี ความเสี่ยงที่บุตรจะมีจีโนไทป์เป็น bb ซึ่งจะเป็นโรคนี้ เช่น คู่แต่งงานที่มีจีโนไทป์เป็น Bb กับ Bb จะมีความเสี่ยง มากที ่สุดที ่บุตรจะเป็นโรคธาลัสซีเมีย คู ่แต ่งงานที ่มีความเสี ่ยงรองลงมาคือคู ่แต ่งงานที ่เป็นพาหะทั้งคู ่ ซึ ่งมี จีโนไทป์เป็น BB และ Bb ส่วนคู่แต่งงานที่มีจีโนไทป์เป็น BB กับ Bb และ BB กับ bb บุตรไม่มีโอกาสเป็นโรคนี้ แต่ มีโอกาสเป็นพาหะของโรค คู่แต่งงานที่มีจีโนไทป์เป็น BB กับ BB บุตรจะไม่เป็นโรคและไม่เป็นพาหะของโรคธาลัส ซีเมีย โรคทางพันธุกรรมเป็นปัญหาที่ส าคัญ เนื่องจากสามารถถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกได้ ตัวอย่างเช่น โรคธาลัสซีเมียในประเทศไทยมีประชากรที่เป็นพาหะของโรคประมาณ 18-24 ล้านคน เป็นผู้ป่วยประมาณ 6 แสน คน ในแต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่ป่วยเป็นโรคเพิ่มขึ้นประมาณ 12,000 คน ซึ่งรัฐบาลต้องใช้งบประมาณในการรักษา ผู้ป ่วยปีละไม ่น้อยกว ่า 5,000 - 6,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว ่าโรคทางพันธุกรรมนอกจากจะส ่งผลกระทบต ่อ ครอบครัวแล้ว ยังส่งผลต่อคุณภาพประชากร เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ดังนั้นการตรวจและวินิจฉัยภาวะ เสี่ยงจากโรคทางพันธุกรรมเพื่อวางแผนก่อนแต่งงานและมีบุตรจึงเป็นเรื่องส าคัญอย่างยิ่ง


7. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ชั่วโมง; 60นาที) ขั้นที่ 1 กระตุ้นควำมสนใจ (Engagement) (10 นำที) 1) ครูตั้งประเด็นค าถามนักเรียนจะใช้แผนภาพการผสมพันธุ์เพื่อท านายโอกาสการเกิดโรคทาง พันธุกรรมในรุ่นลูกได้อย่างไรและจะน าผลที่ได้มาใช้ประโยชน์อย่างไร (ตอบตามความเข้าใจของนักเรียน) ขั้นที่2 ขั้นส ำรวจและค้นหำ (Exploration) (20 นำที) 2) ครูเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรมที่ 2.8 วางแผนอย่างไรก่อนแต่งงานเพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีบุตร ที ่เป็นโรคทางพันธุกรรม โดยใช้ค าถามว่า นักเรียนจะใช้แผนภาพการผสมพันธุ์เพื ่อท านายโอกาสการเกิดโรค ทางพันธุกรรมในรุ่นลูกได้อย่างไรและจะน าผลที่ได้มาใช้ประโยชน์อย่างไร 3) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีด าเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 58 และครูตรวจสอบความเข้าใจการอ่าน โดย ใช้ค าถามดังต่อไปนี้ - กิจกรรมนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร (การวางแผนก่อนแต่งงานและก่อนมีบุตรของคู่แต่งงาน โดยการ เขียนแผนภาพการผสมจีโนไทป์ของชายและหญิงแต่ละคู่) - กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อย ่างไร (อธิบายโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมในรุ่นลูกเพื่อน าไปใช้ วางแผนก่อนแต่งงานและมีบุตร) - วิธีด าเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย ่างไร (เขียนแผนภาพแสดงการผสมจีโนไทป์ของ ชายหญิงแต่ละคู่จากตารางที่ก าหนดให้ ร่วมกันอภิปรายความเสี่ยงของการเกิดโรคธาลัสซีเมียในรุ่นลูก และ วางแผนการมีบุตรของชายและหญิงแต่ละคู่) - นักเรียนต้องสังเกตและรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (รวบรวมข้อมูลของแผนภาพการผสมจีโนไทป์ และน ามาวิเคราะห์เพื่ออภิปรายความเสี่ยงของการเกิดโรคธาลัสซีเมียในลูก) 4) ขณะที่แต่ละกลุ่มท ากิจกรรม ครูควรเดินสังเกตการท ากิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลุ่ม และให้ ค าแนะน าถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ เช่น การเขียนแผนภาพการผสมจีโนไทป์ การวิเคราะห์ความเสี่ยง ในการเกิดโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหาและข้อสงสัยที่พบจากการท ากิจกรรมของนักเรียนเพื่อใช้เป็น ข้อมูลประกอบการอภิปรายหลังจากการท ากิจกรรม ขั้นที่3 ขั้นอธิบำยและลงข้อสรุป (Explanation) (10 นำที) 5) นักเรียนบันทึกผลการท ากิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.8 วางแผนอย่างไร ก่อนแต่งงานเพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีบุตรที่เป็นโรคทางพันธุกรรม โดยการตอบค าถามท้ายกิจกรรม และร่วมกัน สรุปผลของกิจกรรมภายในกลุ่ม


6) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผล เพื่อให้ได้ข้อสรุปจำกกิจกรรมว่ำ การวางแผนก่อนแต่งงาน และก่อนมีบุตรมีความส าคัญ เพราะถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมหรือพาหะของโรค จะท าให้ลูกที่เกิด มามีโอกาสเป็นโรคหรือพาหะของโรคทางพันธุกรรมได้ ขั้นที่4 ขั้นขยำยควำมรู้ (Elaboration) (10 นำที) 7) ครูให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติม อ่านเนื้อหาเกี่ยวกับปัญหาของโรคธาลัสซีเมียในประเทศไทย ใน หนังสือเรียนชั้นม.3 เล่ม1 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ.2560) สสวท. หน้า 59) และร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่ำ โรคทางพันธุกรรมโดยเฉพาะโรคธาลัสซีเมียเป็นปัญหาส าคัญของประเทศไทย เพราะส่งผลกระทบต่อคุณภาพของ ประชากร เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ดังนั้นก่อนแต่งงานและมีบุตร คู่สมรสจึงควรตรวจร่างกายและศึกษา ภาวะเสี่ยงที่จะเกิดโรคธาลัสซีเมียเพื่อหาทางป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป ขั้นที่5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (10 นำที) 8) นักเรียนตรวจสอบการท าแบบบันทึกการค้นคว้าและส่งตามก าหนดที่วางไว้ 9) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์การ ประเมิน (Rubrics Score) 8. สื่อกำรเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 อุปกรณ์ท ากิจกรรม: อุปกรณ์เครื่องเขียน 8.2 ใบกิจกรรม: ใบกิจกรรมที่ 2.8 วางแผนอย่างไรก่อนแต่งงานเพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีบุตร ที่เป็นโรคทางพันธุกรรม 8.3 แบบบันทึกกิจกรรม: แบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.8 วางแผนอย่างไรก่อนแต่งงานเพื่อลด ความเสี่ยงที่จะมีบุตรที่เป็นโรคทางพันธุกรรม 8.4 แหล่งเรียนรู้: หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ


9. กำรวัดและกำรประเมิน ตัวชี้วัด/ผลกำรเรียนรู้ วิธีกำรวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ที่ใช้ในกำรประเมิน 1. เขียนแผนภาพการเกิด จีโนไทป์และฟีโนไทป์ ของรุ่นลูกได้ (ด้านความรู้: K) - ตรวจการท าแบบบันทึก การค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.8 - แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 2.8 วางแผน อย่างไรก่อนแต่งงานเพื่อ ลดความเสี่ยงที่จะมีบุตร ที่เป็นโรคทางพันธุกรรม - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านความรู้ 2. การใช้ทักษะการตี ความหมายสรุป โอกาสที่ท าให้เกิด โรคทางพันธุกรรม (ด้านกระบวนการ: P) - ตรวจการท าแบบบันทึก การค้นคว้ากิจกรรมที่ 2.8 - แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 2.8 วางแผน อย่างไรก่อนแต่งงานเพื่อ ลดความเสี่ยงที่จะมีบุตร ที่เป็นโรคทางพันธุกรรม - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านกระบวนการ 3. ตระหนักถึงประโยชน์ ของความรู้เรื่องโรค ทางพันธุกรรม โดยรู้ ว่าก่อนแต่งงานหรือ ก่อนมีบุตรควรปรึกษา แพทย์เพื่อตรวจและ วินิจฉัยภาวะเสี่ยงของ ลูกที่อาจเกิดโรคทาง พันธุกรรม (ด้านเจตคติ: A) - ตรวจการตอบค าถาม ท้ายกิจกรรมที่ 2.8 - ค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.8 วางแผนอย่างไรก่อน แต่งงานเพื่อลดความเสี่ยง ที่จะมีบุตรที่เป็นโรคทาง พันธุกรรม จ านวน 3 ข้อ - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ระดับคุณภาพดี ถือว่า ผ่านการประเมิน ด้านเจตคติ


9.1 เกณฑ์กำรประเมินผลนักเรียน เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score) ประเด็นกำรประเมิน ค่ำน ้ำหนัก คะแนน แนวทำงกำรให้คะแนน การให้คะแนนการบันทึก แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 2.8 3 บันทึกผลการท ากิจกรรม ในแบบบันทึกการค้นคว้าได้ชัดเจน ถูกต้อง ครบทุกประเด็นสอดคล้องกับเนื้อหาในกิจกรรม เขียนแผนภาพการเกิด จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูกได้ถูกต้องทุกข้อ ทุกกรณี 2 บันทึกผลการท ากิจกรรม ในแบบบันทึกการค้นคว้าได้ถูกต้อง ครบทุก ประเด็น เขียนแผนภาพการเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูกได้ ถูกต้องบ้าง คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 50 1 บันทึกผลการท ากิจกรรม ในแบบบันทึกการค้นคว้าได้ เขียนแผนภาพการ เกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูกได้บ้าง คิดเป็นน้อยกว่าร้อยละ 50 การให้คะแนนการบันทึก แบบบันทึกการค้นคว้า กิจกรรมที่ 2.8 3 บันทึกผลการท ากิจกรรม ในแบบบันทึกการค้นคว้าได้ชัดเจน ถูกต้อง ครบทุกประเด็นสอดคล้องกับเนื้อหาในกิจกรรม เขียนแผนภาพการเกิด จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูกได้ถูกต้องทุกข้อ ทุกกรณี 2 บันทึกผลการท ากิจกรรม ในแบบบันทึกการค้นคว้าได้ถูกต้อง ครบทุก ประเด็น เขียนแผนภาพการเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูกได้ ถูกต้อง คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 50 1 บันทึกผลการท ากิจกรรม ในแบบบันทึกการค้นคว้าได้ เขียนแผนภาพ การเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของรุ่นลูกได้ คิดเป็นน้อยกว่าร้อยละ 50 การให้คะแนนตอบ 3 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.8 ถูกต้อง จ านวน 3 ข้อ


ค าถามท้าย กิจกรรมที่ 2.8 2 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.8 ถูกต้อง จ านวน 2 ข้อ 1 ตอบค าถามท้ายกิจกรรมที่ 2.8 ถูกต้อง จ านวน 1 ข้อ หรือ ไม่ถูกต้อง 9.2 ระดับคุณภำพ คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง ดีมาก คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99 หมายถึง ดี คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99 หมายถึง พอใช้ ดังนั้น นักเรียนต้องได้คะแนนเฉลี่ยทุกประเด็นกำรประเมิน ไม่ต ่ำกว่ำ 2.00 แสดงระดับ คุณภำพ ดี ถือว่ำผ่ำนเกณฑ์กำรประเมินในแผนกำรจัดกำรเรียนที่ 10 บันทึกหลังกำรสอน หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 พันธุศาสตร์.... ...... ... ... แผนกำรสอนเรื่อง 10 โอกาสในการเกิดโรคทางพันธุกรรม วันที่...............................เดือน...............................................................พ.ศ. 2566 1. สรุปผลกำรเรียนกำรสอน 1. นักเรียนจ านวน....................คน ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้...........คน คิดเป็นร้อยละ............. ไม่ผ่านจุดประสงค์.......................คน คิดเป็นร้อยละ............. ได้แก่.................................................................................................. 2. สรุปผลตำมรำยจุดประสงค์กำรเรียนรู้ 2.1 นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ ( K) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.2 นักเรียนมีความรู้เกิดกระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.3 นักเรียนมีเจตคติ (A)


…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ข้อเสนอแนะหลังกำรจัดกำรเรียนกำรสอน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ำกลุ่มสำระ ( ) ( ) ต าแหน่ง................................................... ลงชื่อ.............................................ผู้ช่วย/รองฯวิชำกำร …………./……………./………… ( ) ลงชื่อ............................................ผู้อ ำนวยกำร ( ) แบบบันทึกกำรประเมินคุณภำพกำรเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 รำยวิชำวิทยำศำสตร์พื้นฐำน (ว23101) หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 พันธุศาสตร์ I แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ 10 เรื่อง โอกาสในการเกิดโรคทางพันธุกรรม . ค ำชี้แจง: ท าเครื่องหมาย ในช่องค่าน ้าคะแนนแต่ละด้านตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยประเมินตามเกณฑ์Rubrics Score เลข ที่ ชื่อ-นำมสกุล/ รหัสนักเรียน ด้ำนควำมรู้ (K) ด้ำนกระบวนกำร (P) ด้ำนเจตคติ(A) คะแนนรวม ระดับคุณภำพ ค่ำน ้ำหนักคะแนน ค่ำน ้ำหนักคะแนน ค่ำน ้ำหนักคะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10


11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 เกณฑ์กำรพิจำรณำคุณภำพ (โดยน ำคะแนนรวมทุกด้ำน K P A แล้วหำค่ำเฉลี่ย) - คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง ดีมาก - คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99 หมายถึง ดี - คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99 หมายถึง พอใช้ ต้องได้คะแนนเฉลี่ยทุกประเด็นกำรประเมิน ไม่ต ่ำกว่ำ 2.00 แสดงระดับคุณภำพ ดี ขึ้นไปเท่ำนั้น ถึงจะผ่ำนกำรเรียนรู้ตำมตัวชี้วัด ผลกำรประเมินกำรเรียนรู้ของนักเรียน ผู้เรียนที่ ผ่าน ตัวชี้วัด มีจ านวน…………………………คน คิดเป็นร้อยละ……………………………………………….. ผู้เรียนที่ ไม่ผ่าน ตัวชี้วัด มีจ านวน…………………………คน คิดเป็นร้อยละ……………………………………………….. 1)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 2)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 3)………………………………………………........……….สาเหตุ……………….........................................................


4)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 5)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... 6)………………………………………………........……….สาเหตุ………………......................................................... ใบกิจกรรมที่ 2.8 วำงแผนอย่ำงไรก่อนแต่งงำนเพื่อลดควำมเสี่ยงที่จะมีบุตรที่เป็นโรคทำงพันธุกรรม หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1 ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 58 กิจกรรมที่ 2.8 วำงแผนอย่ำงไรก่อนแต่งงำนเพื่อลดควำมเสี่ยงที่จะมีบุตรที่เป็นโรคทำงพันธุกรรม? จุดประสงค์ อธิบายโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมในรุ่นลูกเพื่อน าไปใช้วางแผนก่อนแต่งงาน และมีบุตร วัสดุอุปกรณ์ อุปกรณ์เครื่องเขียน วิธีด ำเนินกิจกรรม 1. พิจารณาจีโนไทป์ของชายหญิงแต่ละคู่จากตารางที่ก าหนดให้ ตำรำงจีโนไทป์ของชำยหญิงคู่ที่ 1 – 5 คู่ที่ จีโนไทป์ ชำย หญิง BB แสดงลักษณะปกติ Bb แสดงลักษณะปกติและเป็น พาหะของโรคธาลัสซีเมีย


1 BB BB 2 BB Bb 3 Bb Bb 4 bb Bb 5 BB bb 2. เขียนแผนภาพแสดงการผสมจีโนไทป์ของชายหญิงที่มีจีโนไทป์ในตาราง 3. วิเคราะห์และอภิปรายความเสี่ยงในการเกิดโรคธาลัสซีเมียในรุ่นลูก 4. วางแผนก่อนแต่งงานและการมีบุตรของชายหญิงแต่ละคู่ บันทึกผลและน าเสนอ ค ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. โอกำสที่รุ่นลูกของชำยหญิงแต่ละคู่จะเป็นปกติ เป็นพำหะของโรค หรือเป็นโรคธำลัสซีเมียเป็นอย่ำงไร 2. กำรลดควำมเสี่ยงที่จะมีบุตรซึ่งป่วยเป็นโรคธำลัสซีเมียท ำได้อย่ำงไร 3. จำกกิจกรรม สรุปได้ว่ำอย่ำงไร แบบบันทึกกำรค้นคว้ำกิจกรรมที่ 2.8 วำงแผนอย่ำงไรก่อนแต่งงำนเพื่อลดควำมเสี่ยงที่จะมีบุตรที่เป็นโรคทำงพันธุกรรม ชื่อ-นำมสกุล..........................................................................................ชั้น.................เลขที่...........กลุ่มที่ ............ บันทึกผลกำรท ำกิจกรรม เมื่อพิจารณาจีโนไทป์ของคู่แต่งงานแต่ละคู่จากตารางที่ก าหนดให้ สามารถเขียนแผนภาพเพื่อหาความ เสี่ยง ของการเกิดโรคธาลัสซีเมียได้ดังนี้เมื่อพิจารณาจีโนไทป์ของคู่แต่งงานแต่ละคู่จากตารางที่ก าหนดให้ สามารถ เขียนแผนภาพเพื่อหาความเสี่ยงของการเกิดโรคธาลัสซีเมียได้ดังนี้ จีโนไทป์ของพ่อแม่ เซลล์สืบพันธุ์ จีโนไทป์ของลูก(F1) จีโนไทป์ของพ่อแม่ เซลล์สืบพันธุ์ จีโนไทป์ของลูก(F1)


ก. คู่ที่ 1 ข. คู่ที่ 2 ค. คู่ที่ 3 ง. คู่ที่ 4 จ. คู่ที่ 5 แนวทำงกำรบันทึกกำรค้นคว้ำกิจกรมที่ 2.8 วำงแผนอย่ำงไรก่อนแต่งงำนเพื่อลดควำมเสี่ยงที่จะมีบุตรที่เป็นโรคทำงพันธุกรรม บันทึกผลกำรท ำกิจกรรม จากแผนภาพคู่แต่งงานที่มีความเสี่ยงในการมีบุตรที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย คือ คู่แต่งงานคู่ที่ 3 และ 4 ดังนั้นก่อนแต่งงาน คู่สมรสจึงควรไปตรวจเพื่อวินิจฉัยว่าตนเองเป็นโรคหรือพาหะของโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ เพื่อวางแผนในการตัดสินใจแต่งงานและมีบุตร B B B B BB BB จีโนไทป์ของพ่อแม่ เซลล์สืบพันธุ์ จีโนไทป์ของลูก(F1) จีโนไทป์ของพ่อแม่ เซลล์สืบพันธุ์ จีโนไทป์ของลูก(F1) จีโนไทป์ของพ่อแม่ เซลล์สืบพันธุ์ จีโนไทป์ของพ่อแม่ เซลล์สืบพันธุ์


ก. คู่ที่ 1 ข. คู่ที่ 2 ค. คู่ที่ 3 ง. คู่ที่ 4 จ. คู่ที่ 5 เฉลยใบกิจกรรมที่ 2.8 วำงแผนอย่ำงไรก่อนแต่งงำนเพื่อลดควำมเสี่ยงที่จะมีบุตรที่เป็นโรคทำงพันธุกรรม เฉลยค ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. โอกำสที่รุ่นลูกของชำยหญิงแต่ละคู่จะเป็นปกติ เป็นพำหะของโรค หรือเป็นโรคธำลัสซีเมียเป็นอย่ำงไร BB Bb BB Bb B B B b BB Bb BB Bb Bb bb B b B b Bb Bb Bb bb Bb bb b b B b bb Bb Bb Bb Bb Bb B B b b BB bb จีโนไทป์ของพ่อแม่ เซลล์สืบพันธุ์ จีโนไทป์ของลูก(F1) จีโนไทป์ของพ่อแม่ เซลล์สืบพันธุ์ จีโนไทป์ของลูก(F1) จีโนไทป์ของพ่อแม่ เซลล์สืบพันธุ์ จีโนไทป์ของลูก(F1)


Click to View FlipBook Version