คำ�อธิบายตำ�รา พระโอสถปราสาททอง SHOW BAIHUM COATED FOGRA39 4C 66-04-008 22mm 26.5 cm FN_BAIHUM COATEDFOGRA39 6C_65-04-016.indd 1-5 5/6/23 00:02
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานตราประจําพระองค์สําหรับพระราชโอรส ๑๘ พระองค์ สําหรับพระเจ้าลูกยาเธอที่เป็นพระองค์เจ้า ตราประจําพระองค์ประกอบด้วยศิราภรณ์รูปจุลมงกุฎหรือพระเกี้ยวอยู่ด้านบน และมีเรือนแก้ว ๓ ห้องอยู่ด้านล่าง เรือนแก้วห้องซ้ายเป็นพระราชสัญลักษณ์ประจําพระบรมราชจักรีวงศ์ ห้องขวาเป็นรูปพระเกี้ยว ส่วนห้องล่างสุดเป็นรูปสัญลักษณ์ของพระเจ้าลูกยาเธอแต่ละพระองค์แตกต่างกัน สําหรับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นรูปพระอาทิตย์ทรงรถ
ตำ�รายาหมอพร เล่มที่ ๒ เนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปี วันสิ้นพระชนม์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง
ที่ปรึกษา หม่อมราชวงศ์จิยากร อาภากร เสสะเวช ประธานกรรมการมูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ ดร.จรัลธาดา กรรณสูต รองประธานกรรมการมูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ พลเรือเอก โสภณ วัฒนมงคล กรรมการมูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก (ตุลาคม ๒๕๖๕ - ปัจจุบัน) นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ อดีตอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก (ตุลาคม ๒๕๖๔ - กันยายน ๒๕๖๕) นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นายแพทย์เทวัญ ธานีรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก บรรณาธิการ ดร.นันทศักดิ์ โชติชนะเดชาวงศ์ ผู้อ�ำนวยการกองคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและแพทย์พื้นบ้านไทย ผู้ช่วยบรรณาธิการ นางสาวสุวิมล สุมลตรี แพทย์แผนไทยช�ำนาญการ คณะท�ำงานด้านบรรณาธิการจัดพิมพ์ ศ. ดร. ภก.ชยันต์ พิเชียรสุนทร ราชบัณฑิต ส�ำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ นักอักษรศาสตร์ทรงคุณวุฒิ (ภาษา เอกสาร และหนังสือ) นางเสาวณีย์ กุลสมบูรณ์ ข้าราชการบ�ำนาญ นางนัยนา วราอัศวปติ ข้าราชการบ�ำนาญ นายพงศธร เสสะเวช กรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ ออกแบบรูปเล่ม นางสาววไลพร ดะสูงเนิน พิสูจน์อักษร นางสาวกานต์สิรี พัฒนากุลทรัพย์ พิมพ์ที่ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน) ๓๗๖ ถนนชัยพฤกษ์ แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๔๒๒ ๙๐๐๐, ๐ ๒๘๘๒ ๑๐๑๐ E-mail: [email protected] Homepage: www.amarin.co.th จัดพิมพ์โดย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนงบประมาณจากกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย เผยแพร่ครั้งแรก พุทธศักราช ๒๕๖๖ จ�ำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง ต�ำรายาหมอพร เล่มที่ 2 ค�ำอธิบายต�ำราพระโอสถปราสาททอง ฉบับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์. -- นนทบุรี : กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข, 2566. 216 หน้า. 1. ต�ำรับยาหลวง. 2. การแพทย์แผนไทย. I. ชื่อเรื่อง. 615.11593 ISBN 978-616-11-5066-2
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง คำนำ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ต้นราชสกุลอาภากร เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาโหมด ทรงประกอบคุณูปการแก่ประเทศชาติหลายด้านโดยเฉพาะด้านการทหารเรือ เป็นผู้ทรงวาง รากฐานกิจการทหารเรือไทยให้มีความทันสมัย และทัดเทียมนานาประเทศ จนได้รับการถวายพระสมัญญานาม “องค์บิดาของทหารเรือไทย” และด้านการแพทย์แผนไทย ทรงศึกษาต�ำราแพทย์แผนไทย ทดลองปรุงยาแล้วน�ำไปรักษาประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย จนประชาชน เรียกขานกันว่า “หมอพร” ส�ำหรับต�ำราแพทย์แผนไทยที่ทรงรวบรวมไว้ในรูปสมุดไทยขาวและสมุดไทยด�ำ รวมทั้งสิ้น ๑๕ เล่ม ในจ�ำนวน ต�ำรายา ๑๕ เล่มนี้ นอกจากต�ำรายาแพทย์แผนไทย “พระคัมภีร์อติสาระวรรค โบราณะกรรม แลปัจจุบันนะกรรม” ที่ทรงนิพนธ์และวาดภาพ ประกอบไว้อย่างงดงามทั้งเล่ม และมูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ ได้น�ำเผยแพร่เป็น “ต�ำรายาหมอพร” เล่มที่ ๑ แล้วนั้น ยังมีต�ำราแพทย์แผนไทย ที่มีความส�ำคัญไม่เคยปรากฏมาก่อน คือ ต�ำราพระโอสถปราสาททอง ที่มีนามหมอหลวงได้ลงชื่อก�ำกับต�ำรายาไว้ ในรูปแบบสมุดไทยด�ำ เนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ มูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ จึงเห็นสมควรเทิดพระเกียรติพระองค์ในฐานะ “หมอพร” ผู้สนพระทัยในต�ำรายาแพทย์แผนไทย จัดพิมพ์ “ต�ำรายาหมอพร” เล่มที่ ๒ คือ ค�ำอธิบายต�ำราพระโอสถปราสาททอง ด้วยความสนับสนุนร่วมมือจากกรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข พิมพ์หนังสือเล่มนี้ ด้วยเจตนาร่วมกันในการเผยแพร่มรดกทางภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยของบรรพบุรุษสยาม ให้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชน ในปัจจุบันสมัย มูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ ขอขอบคุณกรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ได้ร่วมกันค้นคว้าเรียบเรียงเนื้อหา ในหนังสือเล่มนี้ทุกท่าน ด้วยความเคารพรักศรัทธาสนับสนุนการด�ำเนินงานอย่างเต็มความสามารถ ให้หนังสือ “ต�ำรายาหมอพร” เล่มที่ ๒ ค�ำอธิบาย ต�ำราพระโอสถปราสาททอง มีความงดงามสมบูรณ์ในเนื้อหา เผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชนได้ส�ำเร็จตามความประสงค์ กราบแทบพระบาทสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ โปรดประทานอ�ำนวยพรให้ทุกท่านที่มีความเคารพศรัทธาในมรดกภูมิปัญญาไทย จงเจริญสิริสวัสดิ์ปรารถนา ปราศจากโรคภัยอันตราย มีโอกาสสร้างสมบุญกุศลสืบไป (หม่อมราชวงศ์จิยากร อาภากร เสสะเวช) ประธานกรรมการมูลนิธิราชสกุลอาภากร ในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖
คำปรารภ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงพระปรีชาญาณและความสามารถ ด้านการทหารเรือ ได้รับการยอมรับกล่าวขานปรากฏมายาวนาน นับแต่เมื่อครั้งด�ำรงพระชนม์ชีพจนถึงปัจจุบันแม้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระกรณียกิจด้านการทหารเรือทรงกระท�ำไว้เป็นอเนกประการจนได้รับการถวายพระสมัญญานามเป็นองค์บิดาของทหารเรือไทยแล้วนั้น พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ยังทรงพระปรีชาในศาสตร์และศิลป์อีกหลากหลายสาขา โดยเฉพาะพระสถานะ “หมอพร” เป็นหนึ่งในพระกรณียกิจส�ำคัญและมีคุณค่ายิ่งนัก ผู้คนต่างกล่าวขานมาจนถึงยุคปัจจุบัน ในวาระครบ ๑๐๐ ปี วันสิ้นพระชนม์ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในฐานะหน่วยราชการที่มีหน้าที่พัฒนาวิชาการ โดยส่งเสริมและ จัดระบบองค์ความรู้ คุ้มครอง อนุรักษ์ และส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านไทย เพื่อนําไปใช้ในระบบบริการสุขภาพ อย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพ มีความภาคภูมิใจที่ได้ด�ำเนินงานร่วมกับมูลนิธิราชสกุลอาภากร ในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในการจัดพิมพ์ “ค�ำอธิบายต�ำราพระโอสถปราสาททอง” ฉบับกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ เผยแพร่และเทิดพระเกียรติพระองค์ในฐานะ “หมอพร” “ต�ำราพระโอสถปราสาททอง” เป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย มีต้นฉบับดั้งเดิมเป็นส�ำเนาเหมือนจริงจากหนังสือ สมุดไทยด�ำ บันทึกอักษรไทยด้วยเส้นหรดาล มีต�ำรับยาทั้งสิ้น ๖๗ ต�ำรับ การจัดพิมพ์ครั้งนี้ได้น�ำภาพต้นฉบับสมุดไทยมาพิมพ์ไว้ตลอดทั้งเล่ม การถอดความตัวอักษรไทยโบราณจากสมุดไทย เป็นการถ่ายถอดตัวอักษรตามต้นฉบับเดิม และจัดท�ำค�ำอ่านปัจจุบัน ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อสร้างความเข้าใจและความสะดวกส�ำหรับผู้อ่าน ให้รับรู้และเข้าถึงสาระเกี่ยวกับต�ำราและต�ำรับยา สามารถ อ่านเข้าใจเนื้อหาและน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก น้อมส�ำนึกในพระคุณูปการของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ค�ำอธิบายต�ำราพระโอสถปราสาททอง” นอกจากจะอ�ำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้สนใจ ตามประสงค์แล้ว ยังจะเป็นมรดกภูมิปัญญาของชาติอันทรงคุณค่ายิ่ง เป็นอนุสรณ์ให้ประชาชนชาวไทยร�ำลึกถึงพระเกียรติคุณและพระกรุณาธิคุณ ของพระองค์ที่มีต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยสืบไป (นายธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์) อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
สารบัญ ค�ำน�ำ ประธานกรรมการมูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ ๒ ค�ำปรารภ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ๓ พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๖ พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ๑๔ ลักษณะต้นฉบับและการบันทึกเนื้อหา ลักษณะตัวอักษรและอักขรวิธี และความส�ำคัญ ๒๕ ของต�ำราพระโอสถปราสาททอง ลักษณะต้นฉบับและการบันทึกเนื้อหา ๒๖ ลักษณะตัวอักษรและอักขรวิธี ๒๗ ความส�ำคัญของต�ำราพระโอสถปราสาททอง ๒๘ ค�ำคัดถ่ายถอดและค�ำอ่านปัจจุบันต�ำราพระโอสถปราสาททอง ๓๓ ภาคผนวก ๑๘๔ พิธีบวงสรวงสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๑๘๔ หมอหลวงที่ปรุงยา ๑๘๗ สรุปสรรพคุณของต�ำรับยาในต�ำราพระโอสถปราสาททอง ๑๘๙ อภิธานศัพท์ ๑๙๔ เภสัชวัตถุ ได้แก่ พืชวัตถุ สัตว์วัตถุ ธาตุวัตถุ ๒๐๑ รายนามคณะท�ำงานด้านบรรณาธิการจัดพิมพ์ “ค�ำอธิบายต�ำราพระโอสถปราสาททอง” ๒๑๕ พระสมบัติของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เอกสารอ้างอิง ๒๑๖
พระราชประวัติ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระราชประวัติ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง จากหนังสือทีฆราชย์แห่งสยาม กรมศิลปากร พระราชประวัติ ส มเด็จพระเจ้าปราสาททอง หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๕ (พ.ศ. ๒๑๗๒ - ๒๑๙๙) พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๒๔ แห่งกรุงศรีอยุธยา ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ปราสาททอง จากหลักฐานทางตะวันตก ชาว ต่างชาติบันทึกว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเป็นพระญาติสนิทของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทรงรับราชการมีบรรดาศักดิ์ สูงสุดเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เป็นผู้สนับสนุนให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชและพระอาทิตยวงศ์พระราชโอรส ของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเสด็จขึ้นครองราชย์แต่ในที่สุดก็กําจัดพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ แล้วปราบดาภิเษก และต่อมาทรงส่งกองกําลังญี่ปุ่น ซึ่งมีออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาซา) เป็นหัวหน้า ไปครองนครศรีธรรมราช เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์ปราสาททอง พระราชกรณียกิจ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงปกครองบ้านเมืองด้วยพระปรีชาสามารถเข้มแข็งเด็ดขาด ทั้งด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจการค้า ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ตลอดจนการทํานุบํารุงบ้านเมือง ด้านการเมืองการปกครอง สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงดําเนินพระบรมราโชบายบริหารราชการแผ่นดินด้วยการรวมอํานาจเข้าสู่ ส่วนกลาง และทรงปรับปรุงรูปแบบวิธีการปกครองให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น โปรดให้บรรดาขุนนางที่เป็นเจ้าเมือง เข้ามาประจาอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ขุนนางเหล่านี้มีหน้าที่ต้องเข้าเฝ้า ณ ศาลาลูกขุนเป็นประจ ํ าทุกวัน และทรงส่งผู้รั้งเมือง ํ ไปปกครองแทน ส่วนการจัดระเบียบทางสังคม โปรดให้ประกาศใช้พระราชกําหนด กฎหมายขึ้นหลายลักษณะ ได้แก่ พิกัดเกษียณอายุ พระไอยการลักษณะอุทธร พระธรรมนูญตรากระทรวง พระไอยการลักษณะทาส และเพิ่มเติม ลักษณะทาส เพิ่มเติมลักษณะอาญาหลวง พระไอยการลักษณะกู้หนี้และพระไอยการลักษณะมรดก 7
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง ด้านเศรษฐกิจและการค้า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงรอบรู้และมีความชํานาญ ด้านพาณิชย์มาแต่ครั้งยังทรงดํารงตําแหน่งเสนาบดี ดังนั้นเมื่อมี พระราชอํานาจจึงทรงกํากับดูแลและควบคุมการค้า โดยให้พระคลัง สินค้ารับผิดชอบดําเนินการผูกขาดการค้าของราชสํานัก พระองค์ ทรงดําเนินนโยบายให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้า ยังผลให้ กรุงศรีอยุธยามีความเจริญมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและเป็นศูนย์กลางการค้า ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มีชาวต่างชาติ จํานวนมากเข้ามาติดต่อเจรจาทางการค้า และเจริญทางพระราชไมตรี เยเรเมียส ฟาน ฟลีต ได้กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับเยเรเมียส ฟาน ฟลีต ว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงชอบคบค้าสมาคมกับ ต่างชาติ และเพื่อเป็นการผูกใจชาวต่างชาติ จึงดําเนินพระวิเทโศบาย ด้วยการลดภาษีของชาวต่างชาติลงจากเดิม ในรัชกาลนี้เป็นช่วงเวลา ที่กรุงศรีอยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า โดยเฉพาะสินค้า ของป่า เครื่องเทศ และพริกไทย ทําให้มีผลกําไรเข้าสู่ท้องพระคลัง จํานวนมาก ปรากฏหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับ ประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยเป็นเวลายาวนาน ปรากฏหลักฐานว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงขับไล่ชุมชนญี่ปุ่น ถึง ๒ ครั้ง ใน พ.ศ. ๒๑๗๓ และ พ.ศ. ๒๑๗๕ ตามลําดับ ต่อมา ทรงมีนโยบายผ่อนปรนให้ชาวญี่ปุ่นมาตั้งภูมิลําเนาอีกครั้ง แต่ก็ถูก ลดบทบาททางการเมืองในราชสํานักอยุธยาลงมาก ต่อมาสมเด็จ พระเจ้าปราสาททองมีพระราชประสงค์จะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูต และการค้ากับญี่ปุ่น ทรงส่งคณะราชทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรี ใน พ.ศ. ๒๑๗๘ และ พ.ศ. ๒๑๘๒ แต่ไม่มีการตอบรับจากญี่ปุ่น แต่ประการใด คณะราชทูตจึงเดินทางกลับ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ ในช่วงเวลานั้นญี่ปุ่นดาเนินนโยบายปิดประเทศโดยประกาศใช้กฤษฎีกา ํ ซาโกกุ (Sakoku) ห้ามชาวญี่ปุ่นเดินทางออกนอกประเทศ ส่วนชาวญี่ปุ่น ที่อยู่ในต่างแดนก็ห้ามเดินทางกลับญี่ปุ่น ส่งผลให้การฟื้นฟูความสัมพันธ์ ระหว่างอยุธยากับญี่ปุ่นต้องหยุดชะงักไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ฮอลันดา เป็นชาติตะวันตกที่มีความสัมพันธ์ทั้งทางการทูต และการค้ากับกรุงศรีอยุธยา โดยบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา หรือ V.O.C. เข้ามาตั้งสถานีการค้าอย่างถาวร ณ กรุงศรีอยุธยา ใช้เป็น เมืองท่ากลางในการติดต่อค้าขายกับจีนและญี่ปุ่น และได้รับผลกําไร ทางการค้าอย่างงามจากการส่งออกของป่า หนังกระเบน แร่ดีบุก และข้าว เมื่อถึงปลายรัชกาล กิจการค้าของฮอลันดาในกรุงศรีอยุธยา เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลําดับ จนกระทั่งมีการทําสัญญาทางการค้าต่อกัน โปรตุเกส เป็นชาติตะวันตกที่มีความสัมพันธ์กับไทยมาก่อน ฮอลันดา แต่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่โปรด ในช่วงต้นรัชกาล พ.ศ. ๒๑๗๓ โปรตุเกสได้มีข้อพิพาทกับราชสํานักอยุธยาหลายครั้ง โดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงยึดเรือสินค้าของโปรตุเกส แต่ต่อมาโปรตุเกสได้ส่งทูตมาเจรจาด้านการค้า ทําให้ความสัมพันธ์ ที่เคยตึงเครียดคลี่คลายลง จีน ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอยุธยามีมายาวนาน ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ตรงกับสมัยราชวงศ์หมิงของจีน ซึ่งเวลานั้นมีศึกทั้งภายในและภายนอกเป็นเหตุให้ต้องย้ายสถานที่ เจรจาการค้าจากปักกิ่งมาที่กวางตุ้ง ในการนี้ ทูตจากราชสานักอยุธยาได้ ํ เดินทางไปจิ้มก้องหลายครั้ง โดยเรือจากอยุธยาบรรทุกฝาง ตะกั่ว ฯลฯ ไปแลกเปลี่ยนสินค้ากับจีนด้วย พม่า ความสัมพันธ์กับพม่าในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้า ปราสาททอง พระเจ้ากรุงอังวะได้ส่งราชทูตมาขอความช่วยเหลือ โดยอ้างว่าถูกเมืองหงสาวดีรุกราน แต่สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงรู้ทันกลอุบายของอังวะที่ต้องการให้พระองค์สูญเสียไพร่พล จึง ทรงให้กักตัวราชทูตไว้ ถึง พ.ศ. ๒๓๘๑ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง 8
พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โปรดให้จัดพระราชพิธีลบศักราช แล้วได้มีพระราชสาส์นขอให้ พระเจ้ากรุงอังวะและเมืองขอบขัณฑสีมาทั้งปวงใช้ศักราชตาม แต่ใน พ.ศ. ๒๑๘๓ พระเจ้ากรุงอังวะส่งทูตมาเจริญพระราชไมตรีและปฏิเสธ ในเรื่องการใช้ศักราชตามกรุงศรีอยุธยา อันเป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้า ปราสาททองขัดเคืองพระราชหฤทัย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีการพระราชทาน เลี้ยงแขกเมืองตามธรรมเนียม ราชทูตอังวะไม่รับของพระราชทาน อ้างว่า ไม่ต้องกับธรรมเนียมปฏิบัติของกรุงอังวะ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง จึงมีรับสั่งให้ลงโทษและขับออกจากพระนคร ด้านการทํานุบํารุงบ้านเมือง สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อทํานุบํารุงบ้านเมือง โดยสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เป็นมรดกทาง ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่สําคัญ เช่น วัดไชยวัฒนาราม สมเด็จ พระเจ้าปราสาททองโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๓ เพื่ออุทิศ พระราชกุศลให้แก่พระราชชนนีในบริเวณสถานที่เดิมซึ่งเป็น นิวาสสถาน ประกอบด้วย พระมหาธาตุเจดีย์ พระระเบียง รอบเป็น เมรุทิศเมรุราย พระอุโบสถ พระวิหารการเปรียญ และกุฎีพระสงฆ์ วัดไชยวัฒนาราม 9
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปรา สาททอง เป็นอันมาก พระราชทานนามว่า วัดไชยวัฒนาราม เป็นวัดฝ่ายอรัญวาสี และทรงพระราชอุทิศถวายนิตยภัตตลอดรัชกาล สมเด็จฯ กรม พระยาดารงราชานุภาพได้ทรงสันนิษฐานว่าที่ตั้งชื่อว่า วัดไชยวัฒนาราม ํ นั้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะของพระองค์เหนือเมืองละแวก โดยจําลองแบบการก่อสร้างมาจากปราสาทนครวัด ปราสาทนครหลวง สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดให้ ช่างออกไปถ่ายแบบปราสาทเมืองพระนครในเขมร เมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๔ มาสร้างปราสาทนครหลวงเพื่อใช้เป็นที่ประทับแรมพักร้อนก่อนที่จะ เสด็จฯ ไปทรงนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี มีลักษณะสถาปัตยกรรม แบบองค์ปราสาทจัตุรมุข มี ๓ ชั้น ชั้นที่ ๒ เป็นซุ้มระเบียงล้อมรอบ และชั้นบนมีมณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทสี่รอย และในปีเดียวกันนี้ มีการสถาปนาวัดพระศรีสรรเพชญ์แล้วเสร็จ จึงโปรดให้มีการฉลอง และมีมหรสพสมโภช พระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์มหาปราสาท สมเด็จพระเจ้า ปราสาททองโปรดให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๑๗๕ ลักษณะเป็นปราสาท ตรีมุข ตั้งอยู่ที่มุมกําแพงชั้นในของพระราชฐานติดกับวัดพระศรี สรรเพชญ์ เมื่อแล้วเสร็จ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งสิริยศโสธร มหาพิมานบรรยงก์ ต่อมาทรงเปลี่ยนเป็นพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ มหาปราสาท ตามที่ทรงพระสุบินว่า สมเด็จพระอมรินทราธิราช เสด็จลงมาประทับนั่งที่พระแท่นแล้วตรัสให้ตั้งจักรพยุหะ ซึ่งปรากฏ ในต� ำรามหาพิชัยสงคราม เพื่อข่มขวัญข้าศึกศัตรูทั้งหลาย ต่อมาพระองค์ เสด็จออกประทับที่พระที่นั่งองค์นี้ในพิธีลบศักราช พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์และวัดชุมพลนิกายาราม สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดให้สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ณ เกาะบางนางอินหรือบางปะอินใน พ.ศ. ๒๑๗๕ เป็นที่สําราญ พระราชหฤทัย ต่อจากนั้นโปรดให้สร้างพระอารามในบริเวณใกล้เคียง พระราชทานนามว่า วัดชุมพลนิกายาราม ปราสาทนครหลวง พระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์มหาปราสาท 10
พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๑ ๒ ๓ ๑ - ๒ วัดชุมพลนิกายาราม ๓ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ 11
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปรา สาททอง พระปรางค์วัดมหาธาตุ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดให้ ดําเนินการบูรณะซ่อมแซมองค์พระปรางค์วัดมหาธาตุซึ่งพังทลายลง เมื่อครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๖ ดังความ ตอนหนึ่งในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒ ที่ระบุว่า ศักราช ๙๙๕ ปีระกา เบญจศก ทรงพระกรุณาให้ สถาปนาพระปรางค์วัดมหาธาตุ อันทําลายลงเก่า เดิมในองค์สูง ๑๙ วา ยอดนภศูล ๓ วา จึงดํารัสว่าทรงเก่าสํานัก ก่อใหม่ให้ องค์สูงเส้น ๒ วา ยอดนภศูลคงไว้ เข้ากันเป็นเส้น ๕ วา ก่อแล้ว เห็นเพรียวอยู่ให้เอาไม้มะค่า มาแทรกตามอิฐเอาปูนบวก ๙ เดือนสําเร็จ ให้กระทําการฉลองเป็นอันมาก สิ่งก่อสร้างเมื่อเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท สมเด็จพระเจ้า ปราสาททองโปรดให้ช่างขึ้นไปดําเนินการปรับปรุงเส้นทางไปยัง พระพุทธบาทสระบุรี เพื่ออํานวยความสะดวกในเวลาที่เสด็จฯ ไปทรง นมัสการพระพุทธบาท ในครั้งนั้นบรรดาช่างได้ปรับปรุงตกแต่งตาหนัก ํ ท่าเจ้าสนุก และทําศาลา ขุดบ่อ ตั้งแต่ท่าเจ้าสนุกขึ้นไปถึงท้ายพิกุล เช่น บ่อศาลาเจ้าเณร นอกจากนี้ยังได้สร้างพระราชนิเวศน์ธารเกษม ณ ริมธารทองแดง ใกล้ห้วยศิลาดาษ ทาท่อไขน�้ ํำในธารทองแดงสาหรับ ํ ใช้อุปโภคบริโภค ใช้เวลาก่อสร้างรวม ๓ เดือน จึงแล้วเสร็จ สมเด็จ พระเจ้าปราสาททองเสด็จฯ ทางชลมารคเพื่อไปนมัสการพระพุทธบาท เมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๗ โดยทรงหยุดประทับที่ปราสาทนครหลวง ตําหนัก ท่าเจ้าสนุก ตามลําดับ จากนั้นได้เสด็จฯ ทางสถลมารคไปประทับที่ พระราชนิเวศน์ธารเกษมก่อนเสด็จฯ ไปทรงนมัสการพระพุทธบาท ในการนี้ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์จํานวนมากเป็นทานแก่ผู้ยากไร้ เป็นประจาทุกวัน เมื่อประทับแรมครบ ๗ วัน จึงเสด็จฯ กลับคืนพระนคร ํ การย้ายเทวสถาน ขยายกําแพงพระราชวัง และขุดคลองลัด ใน พ.ศ. ๒๑๗๙ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองมีพระราชศรัทธาเลื่อมใส ในคติความเชื่อตามลัทธิพราหมณ์ จึงโปรดให้รื้อเทวสถานพระอิศวร พระนารายณ์เดิมมาตั้งที่ชีกุน ในเวลาเดียวกัน โปรดให้ขยายกําแพง พระราชวัง และยังโปรดให้ขุดคลองลัดแม่น�้ำเจ้าพระยาที่เมืองนนทบุรี ด้วย วัดมหาธาตุในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระปรางค์วัดมหาธาตุ 12
พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระที่นั่งวิหารสมเด็จ เดิมเป็นพระที่นั่งมังคลาภิเษก ตั้งอยู่ด้านหลัง พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท ในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้ เป็นสถานที่รับราชทูตเมืองละแวก ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีประเวศพระนคร ถึงรัชสมัยสมเด็จ พระเจ้าปราสาททอง พระที่นั่งมังคลาภิเษกต้องอสนีบาตเกิดไฟไหม้เสียหาย เกือบทั้งหมดเมื่อ พ.ศ. ๒๑๘๖ จึงโปรดให้รื้อ แล้วก่อพระมหาปราสาท องค์ใหม่ขึ้นทดแทนในที่เดิม พระราชทานนามว่า พระที่นั่งวิหารสมเด็จ เสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๑๙๙ ทรงดารงํ สิริราชสมบัติ ๒๗ ปี ช่วงรัชสมัยของพระองค์นับเป็นช่วงเวลาของความรุ่งเรือง ทางด้านการบริหารราชการแผ่นดิน การค้า และการต่างประเทศ วัดหน้าพระเมรุ พระที่นั่งวิหารสมเด็จ 13
พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ... กรมหลวงชุมพร ฯ รับราชการในกรมทหารเรือ ทรงมุ่งหมายจะฝึกหัดไทยให้เดิรเรือทเลได้อย่างชาว ต่างประเทศ เปนส�ำคัญมาแต่แรก ด้วยก่อนนั้นมาบรรดาเรือรบกลไฟ ยังต้องหาฝรั่งมาเปนผู้บังคับการ ชาวประเทศนี้ ที่สามารถจะเดิรเรือทเลได้ มีแต่พวกอาสาจามบางคน ซึ่งพอจะเดิรเรือได้ในทเลอ่าวสยาม โดยอาศรัยความช�ำนาญ อย่างเดียว แม้เมื่อตั้งกรมทหารเรือขึ้นในรัชกาลที่ ๕ แลได้ตั้งโรงเรียนส�ำหรับนายทหารเรือแล้ว การฝึกสอนให้ นายทหารไทยรู้วิธีเดิรเรือทเลก็ยังไม่ส�ำเร็จประโยชน์ได้ ยังต้องใช้ฝรั่งบังคับการเรืออยู่ จนกรมหลวงชุมพร ฯ เสด็จเข้ามา รับราชการในกรมทหารเรือ จึงทรงเริ่มริบ�ำรุงการฝึกสอนนายทหารเรือ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชด�ำริห์เห็นชอบด้วย ฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ตั้งกรมหลวงชุมพร ฯ เปนต�ำแหน่งเจ้ากรม ยุทธศึกษาทหารเรือ เมื่อปีมะเสง พ.ศ. ๒๔๔๘ แต่นั้นก็ทรงพยายามจัดการฝึกสอนนายทหารเรือมา จนได้ย้าย โรงเรียนนายทหารเรือไปตั้งที่พระราชวังเดิม ใต้วัดอรุณราชวราราม พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ ฯ ไปเปิดโรงเรียน เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๔๙ พอพระราชหฤทัยในการที่กรมหลวงชุมพร ฯ ได้ทรงจัด ทรงเขียนลายพระราชหัดถเลขาชมไว้ ในสมุดของโรงเรียนดังนี้ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๕ เรา จุฬาลงกรณ ป.ร. ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจซึ่งได้เห็นการทหารเรือ มีรากหยั่งลงแล้ว จะเปนที่มั่นสืบไปในภายหน้า ... พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 15
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง พระกิตติคุณแห่งพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในด้านการทหารเรือนั้น เป็นที่ขจรขจายมายาวนานนับแต่เมื่อครั้งด�ำรงพระชนม์จนถึง ปัจจุบันสมัย ทั้งจากพระปรีชาซึ่งบุคคล ร่วมสมัยกับพระชนม์ชีพ ต่างได้ประจักษ์ และจากคุณูปการอันทรงประกอบไว้มากมายหลายด้าน ในกองทัพเรือสยาม กระทั่งราชนาวีไทยได้ถวายพระสมัญญา “องค์บิดา ของทหารเรือไทย” พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดา โหมด เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๓ ค�่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง โทศก จุลศักราช ๑๒๔๒ เวลา ๑๕.๕๗ น. ในพระบรมมหาราชวัง ทรงได้รับการศึกษาขั้นต้นในโรงเรียนราชกุมาร อันเป็นโรงเรียนในพระราชฐาน กระทั่งเสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษพร้อมกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ภายหลังวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ หลังทรงศึกษาวิชาสามัญ ทรงศึกษาต่อในโรงเรียนเอกชน ส�ำหรับกวดวิชาเตรียมสอบเข้าโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ตามพระราช ประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่จะให้ทรงศึกษา วิชาทหารเรือ ระหว่างนั้นทรงได้รับแต่งตั้งตามค�ำสั่งกระทรวงกลาโหม ลงวันที่ ๕ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๕ ให้ทรง“...รับราชการตำแหน่ง นักเรียนนายเรือในกรมทหารเรือประเทศสยามตั้งแต่นี้ไป...” จึงนับว่า ทรงเป็น “นักเรียนนายเรือพระองค์แรกของสยาม” ในช่วงเวลานั้น กระทรวงทหารเรืออังกฤษไม่อนุญาตให้ ชาวต่างชาติเข้าศึกษาในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์จึงไม่เคยทรงศึกษาในสถาบันแห่งนั้น อย่างไรก็ตาม กระทรวง ทหารเรืออังกฤษอนุญาตให้พระองค์ทรงเข้าสอบวัดความรู้ขั้นส�ำเร็จ การศึกษา (passing-out examination) ของโรงเรียนนายเรืออังกฤษได้ จึงเท่ากับว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ทรงต้องพิสูจน์ถึงพระปรีชา สามารถในวิชาทหารเรือ ที่สูงเทียบเท่ากับนักเรียนนายเรืออังกฤษซึ่ง ผ่านการศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนนายเรือ โดยต้องทรงใช้ความรู้ ความสามารถเท่าที่ทรงได้ศึกษาจากโรงเรียนกวดวิชา ร่วมกับการทรงฝึก ในเรือพระที่นั่งมหาจักรีราว ๖ สัปดาห์ ระหว่างการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งแรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผลการสอบในครั้งนั้น ทรงสามารถสอบได้เป็นที่ ๔ ของผู้เข้าสอบ ทั้งหมด ทั้งยังทรงท�ำคะแนนได้ถึงระดับประกาศนียบัตรชั้น First Class ในวิชาคณิตศาสตร์ และกลุ่มวิชาทั่วไป (Mathematical & General Groups of Subjects) นับเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงพระคุณลักษณะและ พระปรีชาของพระองค์ได้อย่างแจ่มชัด 16
พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เมื่อทรงสอบ passing-out examination ของโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ลุล่วงแล้ว ก็ทรงเข้าฝึกหัดศึกษาภาคทะเลในกองเรือของราชนาวีอังกฤษประจ�ำทะเล เมดิเตอร์เรเนียน โดยทรงเป็นบุคคลที่มิใช่ชาวอังกฤษเพียงน้อยรายในโลกยุคนั้น ที่ได้รับ การฝึกหัดศึกษาอย่างเข้มข้นในกองทัพเรือที่เกรียงไกรที่สุดของโลก และเมื่อเวลาผ่านไป ก็ทรงเป็นชาวต่างชาติเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นในราชนาวีอังกฤษในที่สุด ภายหลังการฝึกถึง ๑ ปี ๖ เดือนเศษในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก็ทรงเข้าศึกษา วิชาเดินเรือและวิชาการน�ำร่องในวิทยาลัยทหารเรือกรีนิช หรือ Royal Naval College กระทั่งทรงเสร็จสิ้นการศึกษาเมื่อพระชนมายุเกือบ ๑๙ พรรษา หลังเสด็จกลับสู่สยาม พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ทรงรับราชการทหารเรือ อยู่ ๒ ระยะ ระยะแรกระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๓ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ เมื่อพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายพลเรือตรี พระเจ้า พี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ออกจากหน้าที่ราชการประจ�ำเป็นนายทหาร กองหนุน ซึ่งก็คือการปลดออกจากราชการนั่นเอง ส่วนระยะที่ ๒ ก็คือเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ กลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๖ ซึ่งพระองค์ สิ้นพระชนม์ในพระยศพลเรือเอก พระอิสริยยศกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ต�ำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ การรับราชการทหารเรือของพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เริ่มขึ้นเมื่อทรงรับ พระราชทานสัญญาบัตรยศนายเรือโทจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๓ จากนั้นทรงปฏิบัติงานในหน้าที่ “แฟลก เลฟเตอร์แนล1” ของผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ซึ่งก็คือนายพลตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงประจักษ์ ศิลปาคม ซึ่งทรงมอบหมายภารกิจแรกในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ให้พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ “... ไปตรวจการแลคิดการแก้ไขในการรักษาลำน้ำเจ้าพระยา ...” แล้วให้ ทรงท�ำรายงานถวาย ซึ่งพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ก็ได้ถวาย “รายงานการตรวจ ล�ำน�้ำเจ้าพระยา” โดยใช้เวลาเพียง ๔ วัน ด้วยทรงไปตรวจการตามรับสั่ง ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๗ และถวายรายงานในวันที่ ๒๘ มิถุนายน นับว่าทรงปฏิบัติราชการอย่างรวดเร็ว ฉับไวและทรงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง 1 คือต�ำแหน่ง “นายธง” แต่ขณะนั้นยังไม่มีค�ำเรียกต�ำแหน่งนี้เป็นภาษาไทย 17
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปรา สาททอง นอกจากความรวดเร็ว รายงานของพระองค์ยังประกอบด้วยรายละเอียด ทั้งทางกายภาพ อาวุธยุทโธปกรณ์ และองค์บุคคล ของกลไกการป้องกันกรุงเทพ ในแม่น�้ ำเจ้าพระยา ร่วมกับการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละกลไกเหล่านั้น รวมทั้งมีพระด� ำริประกอบอย่างกระชับ ชัดเจน โดยมีข้อแตกต่างหลายประการ กับด� ำริของนักการทหารเรือสยามยุคก่อนหน้านั้น กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงระบุถึงรายงานนี้ว่า “...เปนที่พอใจของกรมทหารเรือมาก ...” ส่วนพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหัตถเลขาว่า “...ได้อ่านรายงานแล้ว เหนว่าเปนความคิดที่หลักแหลมอยู่ ...” ความเป็นบูรพาจารย์การทหารเรือสยามยุคใหม่ของพระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ เริ่มต้นตั้งแต่ระยะแรกของการรับราชการ โดยทรงวางระบบงาน ก� ำหนดรหัส และทรงฝึกพลทัศนสัญญาณ กระทั่งเกิดหน่วยทัศนสัญญาณขึ้นในกรมทหารเรือ นอกจากนั้น ยังทรงเคยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ในการจัดตั้งหน่วยฝึกพลขึ้นที่บางพระ เพื่อเรียกพลทหารจากหัวเมือง ชายทะเลภาคตะวันออกมารับการฝึกเป็นจ� ำนวนถึง ๑,๒๐๐ นาย โดยทรงอ� ำนวยการ และควบคุมการฝึกด้วยพระองค์เอง อย่างไรก็ตาม พระภารกิจการพัฒนาคนที่ส่งผล อย่างลึกซึ้งที่สุดต่อการพัฒนากองทัพเรือสยามได้เกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๔๘ ขณะทรงด� ำรง พระยศนายพลเรือตรี พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และทรงด� ำรง ต� ำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารเรือ โดยทรงเป็นประธานกรรมการปรับปรุงการเรียน การสอนของโรงเรียนนายเรือ ทั้งด้วยการเปลี่ยนหลักสูตรให้มีเนื้อหาวิชาที่ทันสมัย ทรงสอนด้วยพระองค์เอง ควบคู่กับทรงกวดขันการฝึกศึกษา จนนักเรียนนายเรือ ชาวสยามมีขีดความสามารถน� ำเรือรบไปในทะเลลึกได้ และน� ำเรือท� ำการรบได้ ด้วยตัวเอง มีศักยภาพเต็มตามความหมายของการเป็น “นายเรือ” โดยไม่ต้องจ้าง นายทหารเรือชาวตะวันตกดังที่เป็นมาในอดีตอีกต่อไป เป็นที่มาแห่งพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “... มีความปลื้มใจซึ่งได้เห็นการทหารเรือมีรากหยั่งลงแล้ว ...” ดังที่ปรากฏในตอนต้น ของพระประวัตินี้ นอกจากงานสร้างคน พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ยังทรงปฏิบัติราชการ ทหารเรือในมิติต่าง ๆ อีกหลายแง่มุมควบคู่กัน ทั้งด้านงานนโยบาย งานบริหาร และการพัฒนาขีดความสามารถของก� ำลังพล อาทิ ทรงกราบบังคมทูลเสนอร่าง 18
พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราชบัญญัติศักดินาทหารเรือฉบับใหม่ ทรงร่างการจัดระเบียบ ส่วนราชการกรมทหารเรือขึ้นใหม่ ทรงพิจารณาและกราบบังคมทูล ถวายความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ทรงจัดหาที่ดิน และอาคารส� ำหรับกองทัพเรือ ทรงตรวจสอบสภาพเรือรบและเรือ พระที่นั่ง ทรงจัดท� ำโครงการป้องกันประเทศทางด้านทะเล ทรงควบคุม กองเรือออกฝึกภาคทะเล ทรงฝึกสอนนายทหารในการใช้อาวุธรุ่นใหม่ เป็นต้น เมื่อทรงกลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรืออีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงปฏิบัติราชการในต� ำแหน่งจเรทหารเรือเสนาธิการ ทหารเรือ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ รักษาการต� ำแหน่งเสนาบดี กระทรวงทหารเรือ และในที่สุดก็ทรงด� ำรงต� ำแหน่งเสนาบดีกระทรวง ทหารเรือกระทั่งสิ้นพระชนม์ ระหว่างนั้น ทรงเป็นข้าหลวงพิเศษออกไป จัดซื้อเรือรบในประเทศอังกฤษ และทรงน� ำเรือที่ทรงจัดซื้อซึ่งได้รับ พระราชทานนามว่า “พระร่วง” กลับสู่สยามด้วยพระองค์เอง กระทั่ง ข้ามสันดอนเข้ามาทอดสมออยู่ที่หน้าจังหวัดสมุทรปราการเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ พระภารกิจนั้นเป็นพระเกียรติยศยิ่งใหญ่ ซึ่งจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การทหารเรือของชาติสืบมายาวนาน ด้วย เป็นครั้งแรกที่ชาวสยามสามารถน� ำเรือเดินทางข้ามทวีปได้ไกลขนาดนั้น พระด� ำริอีกประการที่ปรากฏผลเป็นรูปธรรมยาวนานมาถึง ปัจจุบัน ก็คือกราบบังคมทูลขอพระราชทานที่ดินต� ำบลสัตหีบให้เป็น กรรมสิทธิ์แก่กองทัพเรือเพื่อสร้างฐานทัพเรือ นอกเหนือจากพระกรณียกิจด้านการทหารเรือที่ได้ทรงกระท� ำ ไว้เป็นอเนกประการ เกินกว่าจะพรรณนาได้ครบถ้วนในเวลาอันสั้นแล้ว พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ยังทรง มีพระปรีชาในศาสตร์และศิลป์แขนงต่าง ๆ อีกหลายด้าน ปรากฏ หลักฐานเป็นที่ประจักษ์แจ่มชัด ส� ำหรับพระปรีชาด้านทัศนศิลป์นั้น พระอุปนิสัยโปรดการวาดรูป ปรากฏชัดมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เห็นได้จากรายงานที่พระอภิบาล ขณะทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษระยะแรกระบุว่า “...พระองค์ อาภากรเกียรติวงศ์ โปรดการเรียนวาดภาพและการทหารเรือ...” และ ในจดหมายบรรยายพระคุณลักษณะจากพระอาจารย์วิชาทหารเรือ ก็ได้ระบุถึงพระปรีชาสามารถในวิชาวาดเขียนไว้ว่า “...Very good indeed, he always gets “V.G.” from the Are Master...” ซึ่งพระปรีชา ด้านนี้ยังคงปรากฏสืบมาอีกยาวนาน เห็นได้จากการที่สมเด็จฯเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ “สมเด็จครู” ผู้ทรงพระปรีชาเป็นเลิศ 19
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง ในวิชาช่างศิลปกรรมทั้งปวง มีพระประสงค์เจาะจงให้พระองค์เจ้า อาภากรเกียรติวงศ์ทรงร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินการประกวดศิลปะ ในงานวัดเบญจมบพิตร รวมทั้งทรงมีผลงานศิลปกรรมต่าง ๆ ในโอกาสพิเศษของ ทางราชการ อาทิ ทรงออกแบบปกหนังสือที่ระลึกกับประกาศนียบัตร ส�ำหรับมอบให้แก่เจ้าของผลิตภัณฑ์ดีเด่นด้านต่าง ๆ ใน “การแสดง กสิกรรมแลพานิชการ” ครั้งแรกของสยาม ซึ่งผลงานเหล่านี้ยังมีปรากฏให้เห็นได้ใน ปัจจุบัน เช่นเดียวกับผลงานทัศนศิลป์ ฝีพระหัตถ์บางชิ้น เช่น จิตรกรรมเรื่อง พระพุทธเจ้าพิชิตมาร ภาพพระพุทธเจ้าทรง เลิกบ�ำเพ็ญทุกรกิริยา ในพระอุโบสถวัด ปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท หรือภาพเขียนสีน�้ำมันรูปพระอุมา ขนาดเท่าคนจริง และภาพลายเส้นประกอบ บันทึกเรื่องราวเมื่อทรงพาหม่อม พระโอรส พระธิดาออกล่องเรือใบหลังทรงออกจาก ราชการ เป็นต้น ในด้านดนตรีและนาฏศิลป์ไทย ทรงมี วงดนตรีไทยประจ�ำวัง โดยทรงรับนักดนตรี จากบ้านเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ที่เพิ่ง เลิกวง มาอยู่ในพระอุปถัมภ์ และน�ำวงไปประชัน กับวงปี่พาทย์ประจ�ำวังเจ้านายองค์อื่น ๆ ตามความนิยมในยุคนั้น ซึ่งมีส่วนเสริมสร้าง ให้วงการดนตรีไทยเจริญก้าวหน้า เกิดการ แต่งเพลงโดยขยายจากเพลงเดิมที่มีอยู่ให้เป็น เพลงสามชั้นและเพลงเถาเพิ่มขึ้นอีกหลายเพลง ทั้งยังทรงสามารถบรรเลงขับร้องด้วยพระองค์เอง เช่น ขลุ่ย ระนาด ซอ การขับเสภา และการแสดงโขนยักษ์ ยิ่งกว่านั้น ยังมีหลักฐานบ่งชี้ ว่าทรงมีความรู้เกี่ยวกับบทเพลงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง กระทั่งพระเจ้า บรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ผู้ทรงก่อตั้งคณะละครและโรงละคร “ปรีดาลัย” อันเป็นโรงละครร้อง แห่งแรกในสยาม มีพระประสงค์ให้ทรงบรรจุเพลงในบทละคร 20
พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขนาดยาว ใช้เวลาในการแสดงถึง ๒ คืนจึงจะจบเรื่อง ซึ่งผู้ที่จะบรรจุเพลง ให้กับบทละครที่มีความยาวขนาดนี้ ย่อมจะต้องมีความรอบรู้อย่างมาก ด้านเพลงและดนตรีอย่างไม่มีข้อสงสัย ส�ำหรับดนตรีสากล ทรงพระปรีชาด้านการประพันธ์ค�ำร้อง และท�ำนองดนตรี โดยเพลงที่ทรงพระนิพนธ์ขึ้นนั้น มีทั้งที่ทรงสร้างสรรค์ ท�ำนองขึ้นใหม่ กับที่ดัดแปลงมาจากท�ำนองเพลงสากลหรือเพลงไทยเดิม เช่น เพลงดอกประดู่ ทรงดัดแปลงท�ำนองมาจากเพลงพื้นเมืองสก็อต “Comin’ through the Rye” ส่วนเพลงเดินหน้า ทรงดัดแปลงจากท�ำนอง เพลงไทยเดิมชื่อ “คุณลุงคุณป้า” โดยทรงปรับท�ำนองใหม่ ด้วยคีตศิลป์ ให้กลายเป็นท่วงท�ำนองแบบเพลงปลุกใจ ทั้งยังทรงพระนิพนธ์เนื้อร้องโดย ใช้ถ้อยค�ำสั้นกระชับ ติดหู จดจ�ำได้ง่าย แฝงคติชีวิต สะท้อนลักษณะเฉพาะ ของทหารเรือ สื่อความหมายปลุกใจให้รักชาติ ฮึกเหิม ไม่เกรงกลัวความตาย ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ ภาคภูมิใจในเกียรติภูมิ นับว่าเป็นเพลงปลุกใจรุ่นแรก ของชาวสยามที่มีอายุยืนยาว ยังคงถูกฝึกสอนขับร้องในหมู่ทหารเรือ สืบต่อกันมานานนับศตวรรษ โดยมิได้เสื่อมความนิยมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงดอกประดู่ ที่เนื้อร้องในท่อนสุดท้ายกล่าวเปรียบเทียบทหารเรือ กับดอกประดู่ ซึ่งจะบานและร่วงพร้อมกัน ส่งผลให้ดอกประดู่กลายเป็น สัญลักษณ์หนึ่งของทหารเรือไทยมาถึงทุกวันนี้ ทรงพระปรีชาด้านการศึกษาธรรมชาติวิทยาและอนุกรมวิธาน อย่างเป็นระบบ กระทั่งทรงรวบรวมตัวอย่างสิ่งมีชีวิตด้วยวิธีที่ได้มาตรฐาน ประทานไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาแห่งกรุงลอนดอน มากระทั่งทุกวันนี้ โดยทรงเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของ Natural History Society of Siam ซึ่งอาจแปลเป็นไทยได้ว่า “สมาคมธรรมชาติวิทยา แห่งกรุงสยาม” ซึ่งได้จัดท�ำวารสารที่บันทึกถึงบทบาทของพระองค์ต่อ ประชาคมผู้ศึกษาธรรมชาติวิทยาในสยามอย่างหลากหลาย ตั้งแต่ประทาน ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ให้กับเพื่อนสมาชิก ยังทรงเคยจัดแสดงตัวอย่าง เห็ดราว ๕๐ ชนิดจากภูมิภาคต่าง ๆ ของสยาม รวมทั้งภาพวาดระบายสี ของเห็ดเหล่านั้นบางชนิด เพื่อแสดงรูปลักษณ์ของเห็ดนั้น ๆ ตามธรรมชาติ ยิ่งกว่านั้นยังมีหลักฐานว่าทรงเป็นสมาชิก Bombay Natural History Society อันเป็นประชาคมวิชาการธรรมชาติวิทยาแห่งอาณานิคม อังกฤษในอินเดียอีกด้วย ส�ำหรับศิลปะการป้องกันตัว ทั้งด้วยมือเปล่าและอาวุธ ทรงพระปรีชาอยู่หลายแขนงจนเป็นที่ร�่ำลือ โดยทรงฝึกฝนมาตั้งแต่ ทรงพระเยาว์ มีรายละเอียดปรากฏในจดหมายเหตุการไหว้ครู 21
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง ร�ำอาวุธ ที่เกาะสีชัง เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ ความตอนหนึ่ง ว่า “...ด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ทรงหัดเพลงอาวุธต่างๆ อย่างบุราณนั้น บัดนี้ต่างพระองค์ทรงได้ ชำนิชำนาญด้วยกันแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการไหว้ครู ต้นลัทธิสอนเพลงอาวุธตามธรรมเนียม... กระบองพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร คู่ ๑...” พระปรีชาด้านศิลปะการต่อสู้นี้พัฒนาสูงและหลากหลายขึ้นเป็นล�ำดับ ตามพระชนมายุ จนเป็นที่ประจักษ์และเล่าลือกันในวงกว้าง ทั้งยัง ทรงถ่ายทอดสรรพวิชาเหล่านี้แก่บุคคลแวดล้อมเมื่อทรงมีโอกาส นอกจากนั้นยังทรงอุปถัมภ์ผู้มีความสามารถทางศิลปะการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมวยไทย ดังที่ เขตร ศรียาภัย ผู้ได้รับการยกย่อง เป็นหนึ่งในปรมาจารย์มวยไทย ได้บันทึกไว้ว่าพระองค์ใส่พระทัยดูแล นักมวยในพระอุปการะ โดยทรงมอบหมายให้หม่อมของพระองค์ดูแล การกินอยู่ของบรรดานักมวยเหล่านั้นอย่างดี ส่วนการฝึกซ้อมให้อยู่ใน ความดูแลของพระชลัมพิสัยเสนี และบ่อยครั้งก็ทรงควบคุมฝึกซ้อมและ ถ่ายทอดกลยุทธ์การต่อสู้แก่นักมวยด้วยพระองค์เอง จนฝีมือนักมวย ในอุปการะของพระองค์เป็นที่เลื่องลือ ทรงมีพระกิตติคุณเป็นที่รับรู้อย่างแพร่หลายในเรื่องวิชา ไสยศาสตร์ วิทยาคม และอิทธิปาฏิหาริย์รวมทั้งวิชาคงกระพันชาตรี ซึ่งเกร็ดพระประวัติที่เล่าโดยพระโอรสพระธิดา มักระบุนามพระภิกษุ ที่ทรงนับถืออย่างสูงว่า มี ๒ รูป คือ พระครูวิมลคุณากร (หลวงปู่ศุข) วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท กับพระครูประศาสน์สิกขกิจ (หลวงพ่อพริ้ง) วัดบางปะกอก ในกรุงเทพฯ นอกจากนั้น ยังมีผู้สืบค้น ข้อมูลพระประวัติ พบนามพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงกฤติยาคมที่มีต�ำนาน เกี่ยวข้องกับเสด็จในกรมฯ อยู่อีกเป็นจ�ำนวนมาก ทั้งในกรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคตะวันออก เรื่อยไปจนถึงภาคใต้ อาทิ หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก หลวงพ่อเขียว วัดเครือวัลย์ (กรุงเทพมหานคร) หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติการาม (อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา) หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ (อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา) หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน (จ.พิจิตร) หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ (จ.ชลบุรี) หลวงพ่อจร วัดดอนรวบ (จ.ชุมพร) ฯลฯ เฉพาะในแม่น�้ำท่าจีน นอกจาก หลวงปู่ศุข ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าซึ่งเป็นต้นน�้ำ ยังมีต�ำนาน ความทรงจ�ำเกี่ยวกับ “เสด็จเตี่ย” ที่วัดต่าง ๆ ตามแนวแม่น�้ำมาจนถึง ปากแม่น�้ำ ไม่ว่าจะเป็นวัดท่าพูด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม หรือวัดบางปลา จ.สมุทรสาคร แต่ในบรรดาพระเกจิอาจารย์ทั้งหมดนั้น ทรงสนิทสนม กับหลวงปู่ศุขมากกว่ารูปอื่น ๆ โดยทรงปลูกศาลาใหญ่ไว้ในบริเวณ วังนางเลิ้ง เพื่อเป็นที่พักรับรองเมื่อหลวงปู่ศุขมาร่วมงานพิธีในพระนคร ในโอกาสต่าง ๆ ท่ามกลางบรรดาพระปรีชาและพระกรณียกิจหลากหลาย ในพระชนม์ชีพนั้น พระสถานะ “หมอพร” เป็นหนึ่งในพระกรณียกิจ ส�ำคัญที่ผู้คนต่างกล่าวขานมาจนถึงยุคปัจจุบัน ไม่ว่าในด้านน�้ำพระทัย ที่กว้างขวางโดยทรงออกรักษาคนเจ็บตามชุมชนอย่างไม่เลือกชั้นวรรณะ และไม่ทรงเรียกร้องค่าตอบแทน หรือด้านการศึกษาศาสตร์การแพทย์ ทั้งแผนไทยและแผนตะวันตกส�ำหรับใช้ควบคู่กัน ประหนึ่งทรงเป็น “บิดาแห่งการแพทย์บูรณาการ” โดยเมื่อทรงศึกษาวิชาแพทย์นั้น ได้ทรงฝากตัวเป็นศิษย์กับพระยาพิษณุประสาทเวช (คง ถาวรเดช) แพทย์หลวงแผนไทย รวมทั้งแพทย์แผนใหม่แบบตะวันตกท่านอื่น ๆ ทั้งนายแพทย์ชาวอิตาเลียน และชาวญี่ปุ่น 22
พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เมื่อศึกษาจนเชี่ยวชาญแล้ว ได้ทรงออกรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ กับคนทั่วไป ไม่เลือกยากดีมีจน โดยไม่คิดค่ารักษาหรือค่ายา หากมา รักษาเองไม่ได้ก็ให้มารับส่ง บางครั้งก็เสด็จออกแวะเยี่ยมคนไข้ โดยมี พระโอรสธิดาช่วยถือกระเป๋ายาและเครื่องมือตามไปด้วย นอกเหนือจากการออกรักษา ยังได้ทรงพระนิพนธ์เนื้อหา เกี่ยวกับการแพทย์และการรักษาพยาบาล สะท้อนถึงพระปรีชา ในศาสตร์แขนงนี้อย่างลึกซึ้ง อาทิ พระนิพนธ์ “เวชศึกษา แพทย์สาตร์ สังเขป” ซึ่ง “เปนสมุดคู่มือของหมอแลผู้พยาบาลไข้” มีเนื้อหาแบ่ง เป็นหมวด ๆ เช่น หมวดที่ ๑ ว่าด้วยความรู้ที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค หมวดที่ ๒ ว่าด้วยรู้จักชื่อโรค หมวดที่ ๓ ว่าด้วยรู้จักยาส�ำหรับแก้โรค ฯลฯ และพระนิพนธ์ “แพทย์ยาลังการ” ซึ่ง “กล่าวด้วยคุณธรรม อันเปนเครื่องประดับของหมอ” รวมทั้งพระนิพนธ์ “พยาบาลจริยา” ซึ่ง “กล่าวความประพฤติของคนพยาบาลไข้” เอาไว้ด้วย กับมีต�ำรายาฝีพระหัตถ์ซึ่งทรงสร้างขึ้นอย่างสวยงาม ประทาน ชื่อไว้ว่า “พระคัมภีร์อติสาระวรรค โบราณะกรรมเเลปัจจุบันนะกรรม” อย่างไรก็ตาม “ต�ำรายาของหมอพร” ไม่ได้มีเฉพาะพระคัมภีร์ ดังกล่าวเพียงเล่มเดียว หากยังมีสมุดไทยฉบับอื่น ๆ หลงเหลือตกทอด มาถึงปัจจุบันอีกจ�ำนวนมาก ซึ่งเภสัชกรหญิง ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ประธานยุทธศาสตร์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาล เจ้าพระยาอภัยภูเบศร หนึ่งในบุคคลเพียงน้อยรายที่มีโอกาสศึกษา เนื้อหาในต�ำรายาของหมอพรดังกล่าว เคยแสดงทัศนะไว้ว่า … ในเอกสารสมุดไทยของหมอพร ... เราเห็นว่ามีองค์ความรู้ การแพทย์แผนไทยและการแพทย์แบบราชสำนัก มีคัมภีร์ต่าง ๆ ... แล้ว ยังมียาเกร็ด และยาเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ เรียกว่าตำราของพระองค์ท่าน สะท้อนตัวตนของพระองค์ท่านเลย คือพระองค์ท่านทรงไปตั้งแต่เหนือ จรดใต้ พระองค์ท่านทรงอยู่ตั้งแต่ในวังจนถึงพื้นบ้าน และพระองค์ท่าน ทรงเป็นผู้ที่เรียนรู้ ... … ตำรายาทั่วไปจะไม่ลงรายละเอียดการทำ สับอย่างไร หมักอย่างไร กี่วัน … จะบอกแค่ว่าตำรับยามีอะไร แค่นี้ แล้วจบ แต่ความพิเศษของตำรับยาหมอพรคือมีการลงรายละเอียด … จากการศึกษาของเภสัชกรหญิง ดร.สุภาภรณ์ ร่วมกับ คณะนักวิจัย พบว่า ต�ำรายาหมอพรเท่าที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันนั้น ครอบคลุมความรู้เกี่ยวกับการบ�ำบัดโรคหลายแขนง ระบุรายชื่อ สมุนไพรไว้มากกว่า ๘๐๐ ชนิด และน�้ำกระสายยากว่า ๑๐๐ ชนิด หมอพรเริ่มต้นศึกษาวิชาแพทย์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ภายหลัง พ.ศ. ๒๔๕๔ เมื่อทรงต้องออกจากราชการด้วยสาเหตุที่ยัง ไม่แน่ชัด และน่าจะทรงประกอบพระกรณียกิจในฐานะแพทย์เรื่อยมา จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๐ ซึ่งทรงกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง มีหลักฐานเอกสารที่ชี้ชัดว่า พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มิได้ทรง มีความปรารถนาในต�ำแหน่งราชการอันสูง ทว่าในที่สุด พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ต�ำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ หลังจากนั้นสัปดาห์เศษ พระองค์ได้กราบบังคมทูลลาราชการเป็นเวลา ๑ เดือน เพื่อทรงพักผ่อนรักษาพระพลานามัย ด้วยไม่ทรงสู้แข็งแรง มาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไปประทับในชนบทริมทะเลด้านใต้ปากน�้ำ เมืองชุมพร ซึ่งเป็นที่ดินที่ทรงจับจองไว้เพื่อท�ำสวน ขณะที่ประทับ อยู่ที่ชุมพรนี้เอง ก็ประชวรด้วยพระโรคไข้หวัดใหญ่เนื่องจากถูกฝน ประชวรอยู่ ๓ วันจึงสิ้นพระชนม์ ณ ที่ประทับพัก เมื่อเวลา ๑๑.๔๐ น. ของวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ 23
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง กรมหลวงชุมพรฯ ทรงเป็นบุคคลแบบไหนในสายตาของผู้คน ร่วมสมัย ค�ำถามนี้สามารถหาค�ำตอบได้จากใจความท้ายสุดของพระนิพนธ์ ในสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ซึ่งอยู่ในหนังสือที่ระลึก งานพระราชทานเพลิงพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ที่ว่า ...กรมหลวงชุมพร ฯ มีพระอัธยาศรัยอันเปนข้อส�ำคัญใน พระคุณวุฒิ คือความซื่อตรงอย่างหนึ่ง ความกล้าหาญในบรรดาการ ซึ่งทรงท�ำด้วยหวังจะให้เกิดประโยชน์อย่างหนึ่ง ความสามารถซึ่งจะ ท�ำการอันทรงจ�ำนงให้ส�ำเร็จดังพระประสงค์อย่างหนึ่ง แลความโอบอ้อม อารีต่อมิตรไม่เลือกหน้าอย่างหนึ่ง อาศรัยพระคุณสมบัติดังกล่าวมานี้ จึงทรงสามารถท�ำราชการต่าง ๆ ซึ่งได้รับท�ำในหน้าที่ให้ลุล่วงดังได้กล่าวมา ข้างต้น แลทรงศึกษาการอื่น คือวิชาช่างเขียน วิชาแพทย์ แลกระบวร มวยปล�้ำ ตลอดจนวิชาดนตรี สันทัดแทบทุกอย่าง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก่บุคคลทั้งหลายก็มิได้ทรงเลือกชั้นบรรดาศักดิ ได้คบใครคงอารีดีด้วย ทั่วไปมิได้ถือพระองค์ เพราะฉนั้น ไม่ว่าใครที่บรรดากรมหลวงชุมพร ได้คบหาสมาคม จะเปนพระก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม เจ้าก็ตาม ไพร่ก็ตาม คงมีใจรักใคร่ไม่เลือกหน้า ข้าพเจ้าเข้าใจว่าบรรดาผู้ซึ่งได้คุ้นเคยกับ กรมหลวงชุมพร ฯ คงจะเห็นจริงด้วยดังกล่าวมาทุกประการ สิ้นเรื่อง พระประวัติกรมหลวงชุมพร ฯ เพียงเท่านี้ ... 24
ลักษณะต้นฉบับและการบันทึกเนื้อหา ลักษณะตัวอักษรและอักขรวิธี และความสำคัญของ ตำราพระโอสถปราสาททอง
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง ลักษณะต้นฉบับและการบันทึกเนื้อหา ต้นฉบับเป็นส�ำเนาเหมือนจริงจากหนังสือสมุดไทยด�ำ ขนาดกว้าง ๑๑.๕ เซนติเมตร ยาว ๓๕.๕ เซนติเมตร หนา ๓.๓ เซนติเมตร บันทึกอักษรไทยด้วยเส้นหรดาล1 หน้าละ ๔ บรรทัด มีหน้าต้น2 จ�ำนวน ๗๕ หน้า หน้าปลาย3 จ�ำนวน ๗๒ หน้า บนปกหน้าเขียนชื่อเรื่องด้วยเส้นหมึกมีเครื่องหมายฟองมันและโคมูตรก�ำกับชื่อเรื่อง สภาพเอกสารช�ำรุดเล็กน้อย มีร่องรอยหนอนหนังสือกัดกินต้นฉบับบางส่วน ลักษณะต�ำรับยาแต่ละต�ำรับมีเครื่องหมายฟองมันส�ำหรับเริ่มต้นต�ำรับยาแต่ละต�ำรับ พร้อมล�ำดับเลขที่ต�ำรับยาบนฟองมัน เมื่อจบต�ำรับยาแต่ละต�ำรับมีเครื่องหมายอังคั่น วิสรรชนีย์ ส�ำหรับจบต�ำรับยาแต่ละต�ำรับ ๑ เส้นหรดาล คือ เส้นสีเหลืองที่ได้จากหรดาลกลีบทองผสมกาวที่ได้จากยางไม้ จึงใช้เขียนเส้นและตัวอักษรได้ ๒ หน้าต้น หมายถึง ด้านที่เริ่มต้นบันทึกข้อความเป็นตอนแรก เห็นได้จากที่ต้นต�ำรับขึ้นต้นด้วยเลข ๑ บนเครื่องหมายฟองมัน๓ หน้าปลาย หมายถึง ด้านกลับของหนังสือสมุดไทย 26
ลักษณะต้นฉบับและการบันทึกเนื้อหา ลักษณะตัวอักษรและอักขรวิธี และความส�ำคัญของต�ำราพระโอสถปราสาททอง ลักษณะตัวอักษรและอักขรวิธี เ มื่อพิจารณาจากต้นฉบับกล่าวได้ว่า เป็นเอกสารฉบับคัดลอกสืบมา ดังนั้นอักขรวิธีที่ปรากฏจึงมีความร่วมสมัย อ่านง่ายเหมือนค�ำไทยปัจจุบัน ประกอบกับลายมือผู้คัดลอกมีลักษณะเป็นลายมือตามแบบแผนของอาลักษณ์ จึงมีความเป็นระเบียบสวยงามมาก แต่อาจมีค�ำศัพท์บางค�ำที่เขียนแตกต่างจากค�ำไทยปัจจุบัน ซึ่งมีพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก�ำหนดวิธีการเขียนประสมค�ำต่าง ๆ ตามแบบแผนที่ก�ำหนดไว้แล้ว เช่น ค�ำว่า คั่ว หมายถึง เอาสิ่งของใส่กระเบื้อง หรือกระทะตั้งไฟให้ร้อนแล้วคนไปจนสุกหรือเกรียม ต้นฉบับต�ำราพระโอสถปราสาททอง เขียนค�ำนี้เป็น ขั้ว ความว่า “ผลถั่วภูขั้วให้สุก” ค�ำว่า ถั่วภู หากเขียนตามพจนานุกรม ปัจจุบันต้องเขียนว่า ถั่วพู เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีค�ำศัพท์ต่าง ๆ อีกหลายค�ำ เช่น เข้าตอก หมายถึง ข้าวตอก น�้ำดอกไม้เทด ” น�้ำดอกไม้เทศ สรรนิบาต ” สันนิบาต บรเพด, บระเพด ” บอระเพ็ด กะชาย ” กระชาย เสมอภาก ” เสมอภาค สมุลแวง ” สมุลแว้ง มทราง ” มะซาง ดินสีพอง ” ดินสอพอง กะล�ำภัก ” กระล�ำพัก ชิงชาลี ” ชิงช้าชาลี น�้ำมันกุลาบ ” น�้ำมันกุหลาบ เป็นต้น 27
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง ความสำคัญ ของตำราพระโอสถปราสาททอง การแพทย์แผนไทยเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะของภูมิปัญญาไทย ที่เกิดจากการสั่งสมองค์ความรู้ของบรรพบุรุษ ที่ได้ มีการคิดค้น ลองผิดลองถูก แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อแสวงหาวิธีการรักษา เอาชนะโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่อดีตกาล โดยแลกรับปรับใช้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ และเทคโนโลยีในการใช้ยาสมุนไพรที่เหมาะสมของแต่ละ ท้องถิ่น รวมทั้งถ่ายทอดวิธีการรักษาที่ได้ผลดีจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านกาลเวลาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของการแพทย์ แผนไทย ซึ่งในอดีตเมื่อเกิดโรคระบาดที่ร้ายแรง เช่น อหิวาตกโรค (โรคห่า) จนไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ มีการอพยพ ผู้คนหนีและสร้างเมืองใหม่ขึ้น จนถึงในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) จากพระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า “ศักราช ๘๑๖ (พ.ศ. ๑๙๙๗) ครั้งนั้นคนทั้งปวงเกิดทรพิษตายมากนัก” พบว่าการแพทย์แผนไทยมีระบบ การรักษาที่แน่ชัด มีการสถาปนาระบบการแพทย์แผนไทยขึ้นอย่างชัดเจน ดังปรากฏในท�ำเนียบศักดินา ข้าราชการฝ่ายทหารและ พลเรือน ใน พ.ศ. ๑๙๙๘ การรักษาโรคมีระบบการบริหารตายตัวโดยมีหน้าที่เฉพาะและหมอมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น กรมแพทยา กรมแพทยาโรงพระโอสถ กรมหมอยา กรมหมอนวด กรมหมอยาตา และกรมหมอวรรณโรค ต�ำราพระโอสถปราสาททอง ซึ่งต้นฉบับใช้ค�ำว่า พระโอสถปราสาททอง เป็นหลักฐานทางการแพทย์แผนไทยชิ้นส�ำคัญ ต�ำรับยาหลายขนานปรากฏชื่อหมอหลวงปรุงยาจ�ำนวน ๖ คน ได้แก่ ออกพระสิทธิสาร ออกพระทิพจักรญาณ ออกญาแพทยพงษา ออกพระสิทธิสารประเสริฐ ขุนเทวพรหมมา ปลัดกรมทูลฉลอง และหลวงประเสริฐโอสถ ต�ำราดังกล่าวได้อธิบายโรคและอาการ ที่พบมากที่สุด คือ กลุ่มอาการท้องเสีย อันได้แก่ กาลธาตุอติสาร โบราณกรรมอติสาร ปฉัณณธาตุอติสาร ปักวาตอติสาร มุศกายธาตุอติสาร รัตตธาตุอติสาร อชิณธาตุโรคอติสาร อมุธาตุอติสาร เป็นต้น นอกจากนั้นเนื้อหาในต�ำราพระโอสถปราสาททอง ยังปรากฏกลุ่มโรคลม กลุ่มโรคทางเดินระบบหายใจส่วนต้น กลุ่มโรคผิวหนัง กลุ่มโรคกษัย กลุ่มโรคริดสีดวง กลุ่มโรคทางเดินปัสสาวะ กลุ่มโรคนอนไม่หลับ ที่มาของตำราพระโอสถปราสาททอง ต�ำราพระโอสถปราสาททอง เป็นสมบัติในความครอบครองพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไม่ปรากฏปีที่บันทึกและยังไม่ได้มีการจัดพิมพ์เผยแพร่มาก่อน ต�ำรับยาปรากฏชื่อหมอหลวงปรุงยา จ�ำนวน ๖ คน ได้แก่ ออกพระสิทธิสาร ออกพระทิพจักรญาณ ออกญาแพทยพงษา ออกพระสิทธิสารประเสริฐ ขุนเทวพรหมมา ปลัดกรมทูลฉลอง และหลวงประเสริฐโอสถ ซึ่งต�ำแหน่งหมอหลวงมีหลักฐานปรากฏเป็นครั้งแรกในกฎหมายตราสามดวงตั้งแต่ 28
ลักษณะต้นฉบับและการบันทึกเนื้อหา ลักษณะตัวอักษรและอักขรวิธี และความส�ำคัญของต�ำราพระโอสถปราสาททอง สมัยอยุธยา มีการช�ำระแก้ไขเพิ่มเติมตั้งแต่สมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการจัดระเบียบศักดินาครั้งใหญ่ โดยได้ตราออกเป็นกฎหมายขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๓ เรียกว่า พระราชบัญญัติต�ำแหน่งศักดินาพระบรมวงศานุวงศ์ ในที่สุดกฎหมายตราสามดวงจึงได้ยกเลิกไป จากการศึกษาข้อมูลขุนนางในระบบราชการสมัยอยุธยา ช่วงอยุธยาตอนต้นเท่าที่ปรากฏหลักฐานพบว่า ยศสูงสุดคือ “ขุน” ยศหรือบรรดาศักดิ์ระดับรองลงมา คือ หมื่น พัน นายร้อย นายสิบ ในระยะต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๐๑ ถึง พ.ศ. ๒๑๐๐) ยศขุนนางมีการพัฒนามาอีกขั้นหนึ่ง โดยการน�ำเอายศต่างชาติ เช่น อินเดียและเขมรมาใช้ ยศที่เพิ่มมาในระยะนี้ คือ พระยา พระ หลวง และนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ตอนปลายถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๐๑ - ๒๓๐๐) เรียกยศเหล่านี้ว่า ออกญา ออกพระ ออกหลวง และออกขุน จากข้อมูลดังกล่าวอาจสันนิษฐานได้ว่า ต�ำราพระโอสถปราสาททอง เนื้อหามีความเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนกลาง ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกทั้ง ข้อมูลในส่วนของตัวยาที่ปรากฏในต�ำรา พบว่าสูตรปรุงยาบางขนานมีการใช้พืชสมุนไพรที่มาจากต่างประเทศ ประสมกับสมุนไพรไทย ท่านใช้มาตะกี ในค�ำอธิบายต�ำราพระโอสถพระนารายณ์ของศาสตราจารย์ ดร.ชยันต์ พิเชียรสุนทร เรียกว่า มาตะกี่ และอธิบายว่า เป็นยางไม้ประเภทชันน�้ำมัน เป็นพืชที่ขึ้นอยู่บริเวณโดยรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนี้ยังพบตัวยาที่ไม่ทราบแน่ชัดว่า คือตัวยาประเภทใด ได้แก่ ก�ำยานเหนือ ก�ำยานลาว ก�ำยานสะเภา ก�ำยานผี ยางสนเหนือ กระเจียง กระเทียมราง โกฐกะจุก โกฐแก้ว โกฐน�้ำกรด โกฐผลา ขมิ้นทอง ค�ำเทศ ค�ำลาว จันแดงชาตรี ต�ำหรุย น�้ำมันกระทุงด�ำ ปราย ยาชั่ง ลูกจันทน์เกาะ ว่านขมิ้น สะบ้าลิงด�ำ สะบ้าลิงลาย สะบ้าใหญ่ โหรา ซึ่งตัวยาเหล่านี้จ�ำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไป องค์ความรู้ของตำราพระโอสถปราสาททอง ต�ำราพระโอสถปราสาททอง ต้นฉบับเป็นส�ำเนาเหมือนจริงจากหนังสือสมุดไทยด�ำ บนปกหน้าเขียนชื่อเรื่องด้วยเส้นหมึก มีเครื่องหมายฟองมันและโคมูตรก�ำกับชื่อเรื่อง สภาพเอกสารช�ำรุดเล็กน้อย มีร่องรอยหนอนหนังสือกัดกินต้นฉบับบางส่วน ลักษณะ ต�ำรับยาแต่ละต�ำรับมีเครื่องหมายฟองมันส�ำหรับเริ่มต้นต�ำรับยาแต่ละต�ำรับ พร้อมล�ำดับเลขที่ต�ำรับยาบนฟองมัน ซึ่งต�ำรับยา แต่ละต�ำรับมีชื่อเรียก จากต�ำราพระโอสถปราสาททองสามารถสรุปโรคและอาการ แบ่งออกเป็น ๑๐ กลุ่มโรคและอาการ ดังนี้ ๑. กลุ่มโรคและอาการท้องเสีย เช่น กาลธาตุอติสาร โบราณกรรมอติสาร ปฉัณณธาตุอติสาร ปักวาตอติสาร มุศกายธาตุอติสาร รัตตธาตุอติสาร อชิณธาตุโรคอติสาร อมุธาตุอติสาร ๒. กลุ่มโรคลม และอาการเกี่ยวกับเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ เช่น เมื่อยขบ เส้นตึง เส้นแข็ง ลมมีพิษ ๓. กลุ่มโรคทางเดินระบบหายใจส่วนต้น เช่น เจ็บคอ หืด ไอ เสมหะเหนียว ๔. กลุ่มโรคผิวหนัง เช่น ฝีดาษ เหือด หัด หิด 29
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง ๕. กลุ่มโรคกษัย ๖. กลุ่มโรคริดสีดวง ๗. กลุ่มโรคทางเดินปัสสาวะ เช่น ไส้ลาม ทุราวสา ๘. กลุ่มอาการนอนไม่หลับ ๙. กลุ่มไข้ จับเจลียง ๑๐. กลุ่มโรคและอาการไม่สบายอื่น ๆ เช่น หูตึง คันหู สัตว์พิษกัดต่อย แพทย์หลวงผู้ประกอบยา ต�ำราพระโอสถปราสาททองระบุชื่อแพทย์หลวงผู้ประกอบยา ๖ คน ได้แก่ ออกพระสิทธิสาร ออกพระทิพจักรญาณ ออกญาแพทยพงษา ออกพระสิทธิสารประเสริฐ ขุนเทวพรหมมา ปลัดกรมทูลฉลอง และหลวงประเสริฐโอสถ ได้ประกอบยา จ�ำนวน ๔๗ ต�ำรับ ดังนี้ ๑. ออกพระสิทธิสาร สังกัดกรมหมอยา มีต�ำแหน่งเป็นเจ้ากรมหมอยาซ้าย ศักดินา ๑๔๐๐ ปรุงยา ๓ ต�ำรับ คือ ยาส�ำราญ อากาศ ยาชาติสุวิโมค ยาไตรโลกย์ประชุม ๒. ออกพระทิพจักรญาณ สังกัดกรมหมอยา มีต�ำแหน่งเป็นเจ้ากรมหมอยาขวา ศักดินา ๑๔๐๐ ปรุงยา ๑๕ ต�ำรับ ได้แก่ ยาอากาศวิทธี ยาอัคนีสุริยกาล ยาขนาธารา ยาทิพาวาต ยาธาตุอะชิณคุณ ยาวิบูรรณาธาตุ ยาธาตุพิศดาน ยาสมุถาณบรรจบ ยาอะชิณพิกัด ยาวิปติสมุถาณ ยาโสฬศอัคนี ยาประสระกะเทียมน้อย ยาประสระกะเทียมใหญ่ ยาประสระการพลูน้อย ยาประสระการพลูใหญ่ ๓. ออกญาแพทยพงษา สังกัดกรมแพทยาโรงพระโอสถ มีต�ำแหน่งเป็นจางวางแพทยาโรงพระโอสถ ศักดินา ๒๐๐๐ ปรุงยา ๑๒ ต�ำรับ ได้แก่ ยาอากาศพิกัด ยารัศฆ�ำภร ยาทิณกอรจ�ำหรัด ยาแสงวิเชียรพรรณ ยาสุวรรณกะมุก ยาสุทธิรังศรี ยาสุคนธหิรัญ ยาสุวรรณคันธา ยาหัทยพิสาน ยาส�ำราญนิทรา ยาโอชาอ�ำมฤตย ยาน�้ำมันทิพยโสต ๔. ออกพระสิทธิสารประเสริฐ สังกัดกรมหมอยา ปรุงยา ๘ ต�ำรับ ได้แก่ ยาประสระมัทธุรศ ยาโสฬศไตรญาณ ยาวิรมยคุณ ยาอะดุลส�ำราญ ยาสิวาละทิพวาต ยานิลชาติสุวรรณ ยาน�้ำมันเพชร์สังหาร ยาน�้ำมันผลาญอัคนี ๕. ขุนเทวพรหมมา ปลัดกรมทูลฉลอง (ปรากฏในตำแหน่งนาพลเรือน ชื่อว่า หลวงเทวพรมมาขวา ปลัดสิทธิสาร) ปรุงยา ๔ ต�ำรับ ได้แก่ ยามหาวิเสศรศ ยาปสาวะพิศ ยามหาปสาวะพิศ ยาเนาวะหอยหอม ๖. หลวงประเสริฐโอสถ สังกัดกรมหมอยา ปรุงยา ๕ ต�ำรับ ได้แก่ ยามหาโอชา ยาทิพยธาระวาต ยาชาติอะชิรณ ยาน�้ำษฎาโคลิกะมัถธุรศ ยาจิมส้ม 30
ลักษณะต้นฉบับและการบันทึกเนื้อหา ลักษณะตัวอักษรและอักขรวิธี และความส�ำคัญของต�ำราพระโอสถปราสาททอง การปรุงยาที่ปรากฏในต�ำราพระโอสถปราสาททองมีหลายรูปแบบ ดังนี้ ๑. ยากิน ซึ่งมีทั้งยาต้ม ยาปั้นเป็นแท่ง ยาผง ยาจิ้มส้ม เช่น ยาชื่อส�ำราญอากาศ ยาชื่อโสฬศอัคนี ยาชื่อโสฬศไตรญาณ ยาชื่อจิมส้ม ๒. ยาน�้ำมัน เช่น ยาชื่อน�้ำมันเพชร์สังหาร ยาชื่อน�้ำมันผลาญอัคนี ๓. ยาขี้ผึ้ง เช่น ยาขี้ผึ้งพระต�ำราหลวง พิกัดยา หมายถึง การจ�ำกัดจ�ำนวนตัวยาตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไป รวมเรียกเป็นชื่อเดียวกัน จะเป็นค�ำตรงหรือค�ำศัพท์ โดยที่ตัวยา ที่น�ำมารวมกัน ต้องใช้น�้ำหนักเสมอภาค คือ ขนาดน�้ำหนักเท่ากัน พิกัดยาที่ปรากฏในต�ำราพระโอสถปราสาททอง ดังนี้ ๑. พิกัดยา ๒ สิ่ง เช่น จันทน์ทั้งสอง ทเวคันธา ทเวสุคนธ์ ผลผักชีทั้งสอง สีเสียดทั้งสอง ยาข้าวเย็นทั้งสอง สุพรรณถัน ทั้งสอง ๒. พิกัดยา ๓ สิ่ง เช่น ตรีเกสรมาศ ตรีคันธวาต ตรีสุรผล ตรีผลาวะลัง ตรีสาระวรา ตรีกฏุก ตรีกาลพิศ ตรีสุคนธ์ ตรีเพชรอาวุธ โมกทั้งสาม สมอทั้งสาม จันทน์ทั้งสาม ตรีทิพรส ตรีรัตตะกุลา ๓. พิกัดยา ๔ สิ่ง เช่น จตุผลาธิกะ จตุทิพยคันธา ๔. พิกัดยา ๕ สิ่ง เช่น โกฐทั้งห้า เบญจกูล เทียนทั้งห้า เบญกุลาผละ ๕. พิกัดยา ๗ สิ่ง เช่น โกฐทั้งเจ็ด การเตรียมเครื่องยา ยาไทย หรือ ยาแผนไทย มักใช้เป็นยาต�ำรับ ซึ่งแต่ละต�ำรับประกอบด้วยตัวยาต่าง ๆ ในการเตรียมตัวยาเพื่อใช้ปรุงยา ตามต�ำรับยานั้นมีความส�ำคัญมาก เนื่องจากตัวยาสมุนไพรหลายชนิดต้องผ่านกระบวนการบางอย่าง ก่อนที่แพทย์ปรุงยาจะน�ำมา ใช้ปรุงยาได้ ทั้งนี้เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์แรงเกินไป ไม่สะอาด อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค มีปริมาณความชื้นมากเกินไป หรือมีพิษ มาก จึงต้องผ่านกระบวนการประสะ สะตุ และฆ่าฤทธิ์เสียก่อน เพื่อความปลอดภัยของผู้น�ำมาใช้ ซึ่งในต�ำราพระโอสถปราสาททอง ได้มีการกล่าวถึง “การประสะ” ในต�ำรับยาชื่อนิลชาติสุวรรณ ดังนี้ “เอาพิมเสน จุณโคโรค ตรีกฏุก สิ่งละส่วน ชะมดสดสุทธิ จุณเหล็กกรางประสะ สิ่งละ ๒ ส่วน จตุผลาธิกะ จตุทิพยคันธา รากพันงูแดง ดองดึง สิ่งละ ๔ ส่วน หญ้ายอนไฟ ๒๔ ส่วน ท�ำเป็นจุณน�้ำดีงูเหลือมเป็นกระสาย บดท�ำแท่งไว้ ปิดทองค�ำเปลวจงทุกแท่ง ให้กินแก้เสมหะ ๓ ประการ แลพิษเสมหะกาลระคนกัน บังเกิดในกองโสฬศอากาศ ซึ่งกระท�ำตีขึ้นไปในทรวงอกแลล�ำคอ มีเสียงอันดังพิลึกนั้นตกหายสิ้นวิเศษนัก น�้ำกระสายซึ่งจะละลาย ยานี้ ให้ประกอบตามกระสายพิกัดอันควรแก่โรคนั้นเถิด” 31
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง เครื่องหมายวรรคตอนโบราณที่ใช้ในต้นฉบับ ๑. ฟองมัน (๏) ใช้ส�ำหรับเริ่มต้นข้อความ ๒. อังคั่น วิสรรชนีย์ (๚ะ) ใช้ส�ำหรับจบข้อความเล็ก ๆ หรือต�ำรับยาแต่ละต�ำรับ ๓. อังคั่น โคมูตร (๚๛) ใช้ส�ำหรับจบความใหญ่ หรือจบเรื่อง ๔. เครื่องหมายปีกกา ( ) ใช้ส�ำหรับครอบข้อความที่ใช้ร่วมกันหรืออยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน เช่น จ�ำเริญตรีกาละสมุฏฐาน จ�ำเริญฉกาละสมุฏฐาน จ�ำเริญเนาวกาละสมุฏฐาน บางครั้งเรียกว่า เครื่องหมายควง ๕. เครื่องหมายละสุด (ะ) ใช้ส�ำหรับคั่นกรอบหน้าหนังสือบริเวณด้านหลังของสมุดให้เท่ากัน ๖. เครื่องหมายอังคั่นคู่ (๚) ใช้ส�ำหรับคั่นหรือแยกข้อความแต่ละตอน บางครั้งมีการเขียนตัวเลขก�ำกับไว้ข้างบน เพื่อแสดงจ�ำนวนนับของต�ำรับยา ๗. เครื่องหมายตีนครุ หรือตีนกา ( ) มักวางตัวเลขไว้ตามช่อง เพื่อแสดงจ�ำนวนเงิน หรือเป็นมาตราชั่งน�้ำหนัก ยาโบราณ ดังนี้ อ่านว่า ๑ ชั่ง ๒ ต�ำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง ๒ ไพ ชั่ง ต�ำลึง บาท เฟื้อง สลึง ไพ ๑ ๒ ๓ ๑ ๒ ๒ 32
คำคัดถ่ายถอด และคำอ่านปั จจุบัน ตำราพระโอสถปราสาททอง
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง หน้าต้นที่ ๑ คำคัดถ่ายถอดและคำอ่านปั จจุบัน พระโอสถปราสาททอง หน้าต้น 34
ค�ำคัดถ่ายถอดและค�ำอ่านปัจจุบัน ต�ำราพระโอสถปราสาททอง คำถ่ายถอด หน้าต้นที่ ๑ ๏ ๑ ยาชื่อสำราญอากาศ เอาพิมเสน กานชา ผลจัน ผลกระวาน ใบกระวาน อบเชยเทศ กานพลู ไพล ข่าหลวง กะชาย ลำพันแดง เมลดโมกมัน สิ่งละส่วน จันฃาว จันฉชด ดีปลี สิ่งละ ๔ ส่วน นํ้าตานกรวด ดอกพริกไท สิ่งละ ๘ ส่วน คำอ่านปัจจุบัน ๏ ๑ ยาชื่อสำราญอากาศ เอาพิมเสน กัญชา ผลจันทน์ ผลกระวาน ใบกระวาน อบเชยเทศ กานพลู ไพล ข่าหลวง กระชาย ลำพันแดง เมล็ดโมกมัน สิ่งละส่วน จันทน์ขาว จันทน์ชะมด ดีปลี สิ่งละ ๔ ส่วน นํ้าตาลกรวด ดอกพริกไทย สิ่งละ ๘ ส่วน 35
คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง หน้าต้นที่ ๒ 36
ค�ำคัดถ่ายถอดและค�ำอ่านปัจจุบัน ต�ำราพระโอสถปราสาททอง คำถ่ายถอด หน้าต้นที่ ๒ ขิงแครง ๑๖ ส่วน ๑๗ ทำเปนจุณบดลายนํ้าโสฬศเบญกูล ตามพิกัดต้มให้กิน แก้ในกองอากาษประชุม เข้าในรวางศุกขติให้บริบูรณ แลจำเริญอัคนิธาตุ ให้เปนศุขวิเสศนัก ฃ้าพระพุทธิออกพระสิทธิสารประกอบ ทูลเกล้า กระหม่อมถวาย เสวยเพลาเช้าตามพิกัดทุกเมื่อ ๚ ๒ ยาชื่อชาติสุวิโมค เอาการะบูน การพูล ผลจันเทศ ผลกระวาน อบเชยเทศ เปลือกสเดา เปลือกกันเตรา เปลือกโมกหลวง เปลือกช้างน้าว เปลือกหางกราย สิ่งละส่วน แก่นสน เปลือกสมุลแวง สิ่งละ ๒ ส่วน แห้วหมู แฝกหอมตนาว เปราะหอม สิ่งละ ๓ ส่วน ใบกระวาน ขิงแครง คำอ่านปัจจุบัน ขิงแครง ๑๖ ส่วน ๑๗1 ท�ำเป็นจุณบดละลายนํ้าโสฬศเบญจกูล ตามพิกัดต้มให้กิน แก้ในกองอากาศประชุม เข้าในระวางสุขติให้บริบูรณ์ แลจ�ำเริญอัคนีธาตุ ให้เป็นสุขวิเศษนัก ฯ ข้าพระพุทธเจ้าออกพระสิทธิสารประกอบ ทูลเกล้า ฯ กระหม่อมถวาย เสวยเพลาเช้าตามพิกัดทุกเมื่อ ๚ ๒ ยาชื่อชาติสุวิโมค เอาการบูร กานพลู ผลจันทน์เทศ ผลกระวาน อบเชยเทศ เปลือกสะเดา เปลือกกันเกรา เปลือกโมกหลวง เปลือกช้างน้าว เปลือกหางกราย สิ่งละส่วน แก่นสน เปลือกสมุลแว้ง สิ่งละ ๒ ส่วน แห้วหมู แฝกหอมตะนาว เปราะหอม สิ่งละ ๓ ส่วน ใบกระวาน ขิงแครง ๑ ใต้ค�ำว่าส่วนมีเลข ๑๗ หมายถึง จ�ำนวนตัวยาทั้งหมดในสูตรยาส�ำราญอากาศ 37
38 คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง หน้าต้นที่ ๓
ค�ำคัดถ่ายถอดและค�ำอ่านปัจจุบัน ต�ำราพระโอสถปราสาททอง คำถ่ายถอด หน้าต้นที่ ๓ สิ่งละ ๔ ส่วน ลำพันแดง ดอกดีปลี สิ่งละ ๘ ส่วน ผลพริกไทอ่อน ดอกพริกไท ก็ได้ สิ่งละ ๑๔ ส่วน ๒๐ ทำเปนจุณบดลายนํ้าโสฬศเบญกูล ต้มตามพิกัดให้กิน แก้ในกองวาตะธาตุให้ประชุม มิให้ไปในรวางสมะชวรได้ แลจำเริญวาตะ สมุถาน ให้บริบูรณขึ้นวิเสศนัก ฯ ข้าพระพุทธเจ้า ออกพระสิทธิสาร ประกอบทูลเกล้า ฯ กระหม่อมถวาย เสวยเพลาเยนตามพิกัดทุกเมื่อ ฯะ ๏ ๓ ยาชื่อไตรโลกย์ประชุม เอาการบูร โกฎบัว โกฎสอ โกฎพุงปลา จันทังสอง ผลจันเทศ ลำพันแดง การพูล มะตูมอ่อน แห้วหมู กกรังกา ผลกระดอม เทพทาโร คำอ่านปัจจุบัน สิ่งละ ๔ ส่วน ล�ำพันแดง ดอกดีปลี สิ่งละ ๘ ส่วน ผลพริกไทยอ่อน ดอกพริกไทย ก็ได้ สิ่งละ ๑๔ ส่วน ๒๐1 ท�ำเป็นจุณบดละลายนํ้าโสฬศเบญจกูล ต้มตามพิกัดให้กิน แก้ในกองวาตะธาตุให้ประชุม มิให้ไปในระวางสมชวรได้ แลจ�ำเริญวาตะ สมุฏฐาน ให้บริบูรณ์ขึ้นวิเศษนัก ฯ ข้าพระพุทธเจ้า ออกพระสิทธิสาร ประกอบทูลเกล้า ฯ กระหม่อมถวาย เสวยเพลาเย็นตามพิกัดทุกเมื่อ ฯะ ๏ ๓ ยาชื่อไตรโลกย์ประชุม เอาการบูร โกฐหัวบัว โกฐสอ โกฐพุงปลา จันทน์ทั้งสอง ผลจันทน์เทศ ล�ำพันแดง กานพลู มะตูมอ่อน แห้วหมู กกรังกา ผลกระดอม เทพทาโร ๑ ใต้ค�ำว่าส่วนมีเลข ๒๐ หมายถึง จ�ำนวนตัวยาทั้งหมดในสูตรยาชาติสุวิโมค 39
40 คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง หน้าต้นที่ ๔
ค�ำคัดถ่ายถอดและค�ำอ่านปัจจุบัน ต�ำราพระโอสถปราสาททอง คำถ่ายถอด หน้าต้นที่ ๔ เปลือกขี้อ้ายนา สิ่งละส่วน เปลือกโมกมัน เปลือกโมกหลวง สิ่งละ ๒ ส่วน บระเพด ๓ ส่วน สมูลแวง สค้าน สมอไท ดอกพริกไท สิ่งละ ๔ ส่วน เจตมูน สมอพิเภก ขิงแครง สิ่งละ ๘ ส่วน ผลมฃามป้อม ผลชาพลู ดอกดีปลี สิ่งละ ๑๒ ส่วน ๒๘ ทำเปน จุณบดลายนํ้าโสฬศเบญกูล ตามพิกัดต้มให้กิน แก้ในกองสมะธาตุสมุถาณ มิให้ตกไปในรวางจละณธาตุวิปริตนั้นได้ แลจำเริญ ตรีกาละ สมุถาณ ๓ ทุ่ม ฉกาละ ๖ เนาวกาละ ๙ ให้เปนปรกติขึ้นวิเสศนัก ๚ ข้าพระพุทธเจ้า ออกพระสิทธิสารประกอบ ทูลเกล้า ฯ กระหม่อมถวาย เสวยเพลากลางคืนตามพิกัดทุกเมื่อ ๚ะ๛ คำอ่านปัจจุบัน เปลือกขี้อ้ายนา สิ่งละส่วน เปลือกโมกมัน เปลือกโมกหลวง สิ่งละ ๒ ส่วน บอระเพ็ด ๓ ส่วน สมุลแว้ง สะค้าน สมอไทย ดอกพริกไทย สิ่งละ ๔ ส่วน เจตมูลเพลิง สมอพิเภก ขิงแครง สิ่งละ ๘ ส่วน ผลมะขามป้อม ผลช้าพลู ดอกดีปลี สิ่งละ ๑๒ ส่วน ๒๘1 ท�ำเป็น จุณบดละลายนํ้าโสฬศเบญจกูล ตามพิกัดต้มให้กิน แก้ในกองสมะธาตุสมุฏฐาน มิให้ตกไปในรวางจลณธาตุวิปริตนั้นได้ แลจ�ำเริญตรีกาลสมุฏฐาน ฉกาลสมุฏฐาน เนาวกาลสมุฏฐาน ๓ ทุ่ม ๖ ทุ่ม ๙ ทุ่ม ให้เป็นปรกติขึ้นวิเศษนัก ๚ ข้าพระพุทธเจ้า ออกพระสิทธิสาร ประกอบ ทูลเกล้า ฯ กระหม่อมถวาย เสวยเพลากลางคืนตามพิกัดทุกเมื่อ ๚ะ๛ ๑ ใต้ค�ำว่าส่วนมีเลข ๒๘ หมายถึง จ�ำนวนตัวยาทั้งหมดในสูตรยาไตรโลกย์ประชุม 41
42 คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปราสาททอง หน้าต้นที่ ๕
ค�ำคัดถ่ายถอดและค�ำอ่านปัจจุบัน ต�ำราพระโอสถปราสาททอง คำถ่ายถอด หน้าต้นที่ ๕ ๏ ๔ ยาชื่อเบญจคีธาตุ เอาเกสรบัวหลวง ผลพริกไทอ่อน สิ่งละส่วน ดอกดีปลี ๒ ส่วน ขิงแห้ง ๔ ส่วน นํ้าตานกรวด ๘ ส่วน ๕ ทำเปน จุณบดลายนํ้าปิตผละให้กิน แก้มันทเตโชเกิดในกองอุจาระคันธาธาตุ ซึ่งมีกลิ่นวิปริต ๔ ประการนั้นให้ถอย แลจำเริญศุขติผลธาตุให้บริบูรณ์ เกิดในเบญมูลธาตุนั้นวิเสศนัก ๚ ๕ ยาชื่ออากาศวิทธี เอาโสมสุธารศ โกฎทังห้า กานชาเทศ เบญกูล สิ่งละส่วน เปราะหอม ผลผักชีลา ญ่าตีนนก กกรังกา แห้วหมู มตูมอ่อน รากกะชาย สิ่งละ ๒ ส่วน นํ้าตาน กรวด ๘ ส่วน ๒๐ ทำเปนจุลบดลายนํ้าเบญกูลต้มตามพิกัด แทรกพิมเสน คำอ่านปัจจุบัน ๏ ๔ ยาชื่อเบญจคีธาตุ เอาเกสรบัวหลวง ผลพริกไทยอ่อน สิ่งละส่วน ดอกดีปลี ๒ ส่วน ขิงแห้ง ๔ ส่วน นํ้าตาลกรวด ๘ ส่วน ๕1 ท�ำเป็น จุณบดละลายนํ้าปิตผละให้กิน แก้มันทเตโชเกิดในกองอุจาระคันธาธาตุ ซึ่งมีกลิ่นวิปริต ๔ ประการนั้นให้ถอย แลจ�ำเริญสุขติผลธาตุให้บริบูรณ์ เกิดในเบญมูลธาตุนั้นวิเศษนัก ๚ ๕ ยาชื่ออากาศวิทธี เอาโสมสุธารส โกฐทั้งห้า กัญชาเทศ เบญจกูล สิ่งละส่วน เปราะหอม ผลผักชีลา หญ้าตีนนก กกรังกา แห้วหมู มะตูมอ่อน รากกระชาย สิ่งละ ๒ ส่วน นํ้าตาล กรวด ๘ ส่วน ๒๐2 ท�ำเป็นจุณบดละลายนํ้าเบญจกูลต้มตามพิกัด แทรกพิมเสน ๑ ใต้ค�ำว่าส่วนมีเลข ๕ หมายถึง จ�ำนวนตัวยาทั้งหมดในสูตรยาเบญจคีธาตุ ๒ ใต้ค�ำว่าส่วนมีเลข ๒๐ หมายถึง จ�ำนวนตัวยาทั้งหมดในสูตรยาอากาศวิทธี 43
44 คำ�อธิบายตำ�ราพระโอสถปรา สาททอง หน้าต้นที่ ๖