48 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 6. สืบค้นข้อมูล อธิบายสมบัติและ หน้าที่ของสารพันธุกรรม โครงสร้าง และองค์ประกอบทางเคมีของ DNA และสรุปการจำลอง DNA 7. อธิบาย และระบุขั้นตอนใน กระบวนการ สังเคราะห์โปรตีนและ หน้าที่ของ DNA และ RNA แต่ละ ชนิดในกระบวนการสังเคราะห์ โปรตีน 8. สรปุความสัมพันธ์ระหว่างสาร พันธุกรรม แอลลีล โปรตีน ลักษณะ ทางพันธุกรรม และเชื่อมโยงกับ ความรู้เรื่องพันธุศาสตร์เมนเดล - DNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์ แต่ละนิวคลีโอไทด์ ประกอบด้วยน้ำตาลดีออกซีไรโบส หมู่ฟอสเฟต และ ไนโตรจีนัสเบส คือ A T C และ G - โมเลกุลของ DNA เป็นพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สาย เรียง สลับทิศและบิดเป็นเกลียวเวียนขวา โดยการ เข้าคู่กันของ สาย DNA เกิดจากการจับคู่ของเบสคู่สม คือ A คู่กับ T และ C คู่กับ G - ยีน คือ สาย DNA บางช่วงที่ควบคุมลักษณะทาง พันธุกรรมได้ โดยยีนกำหนดลำดับกรดอะมิโน ของโปรตีน ซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างเอนไซม์และอื่น ๆ มีผลทำให้ เซลล์และสิ่งมีชีวิตปรากฏ ลักษณะต่าง ๆ ได้ - DNA จำลองตัวเองได้โดยใช้สายหนึ่งเป็นแม่แบบ และ สร้างอีกสายขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะมีโครงสร้างและลำดับนิวคลีโอ ไทด์เหมือนเดิม - DNA ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้โดย การสร้าง RNA 3 ประเภท คือ mRNA tRNA และ rRNA ซึ่งร่วมกันทำหน้าที่ในกระบวนการ สังเคราะห์โปรตีน - RNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์สายเดี่ยว แต่ละ นิวคลีโอไทด์ประกอบด้วย น้ำตาลไรโบส หมู่ฟอสเฟตและ ไนโตรจนีสัเบส คือ A U C และ G 9. สืบค้นข้อมูล และอธิบายการเกิด มิวเทชันระดับยีนและระดับ โครโมโซม สาเหตุการเกิด มิวเทชันรวมทั้งยกตัวอย่างโรคและ กลุ่มอาการ ที่เป็นผลของการเกิดมิว เทชัน - มิวเทชันเป็นการเปลี่ยนแปลงของลำดับหรือ จำนวน นิวคลีโอไทด์ใน DNA ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง โครงสร้างและการทำงานของ โปรตีน ซึ่งถ้าการ เปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดในเซลล์สืบพันธุ์จะสามารถ ถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อ ๆ ไปได้ และทำให้เกิดความแปรผัน ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตการเกิดมิวเทชันมีสาเหตุมาจาก ปัจจัยต่าง ๆ เช่น รังสี และสารเคมี - การขาดหายไปหรือเพิ่มขึ้นของนิวคลีโอไทด์ และการ แทนที่คู่เบสเป็นการเกิดมิวเทชันระดับยีน เช่น โรคโลหิต จางชนิดซิกเคิลเซลล์เป็นผลมาจากการแทนที่คู่เบส
49 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม โครโมโซม เช่น กลุ่ม อาการคริดูชาต์และกลุ่มอาการดาวน์ กลุ่มอาการ เทอร์เนอร์และกลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์ 10. อธิบายหลักการสร้างสิ่งมีชีวิตดัด แปรพันธุกรรม โดยใช้ดีเอ็นเอรีคอม บิแนนท์ 11. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และ อภิปรายการนำ เทคโนโลยีทางดีเอ็น เอไปประยุกต์ใช้ทั้งในด้าน สิ่งแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตรและ อุตสาหกรรม และข้อควรคำนึง ถึง ด้านชีวจริยธรรม - การใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในการสร้างดีเอ็นเอรีคอม บิแนนท์สามารถนำไปใช้ในการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรม โดยนำยีนที่ต้องการ มาตัดต่อใส่ในสิ่งมีชีวิตทำ ให้สิ่งมีชีวิตนั้นมีสมบัติตามต้องการ - เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้าน ต่าง ๆ เช่น สิ่งแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์การแพทย์ การเกษตร และอุตสาหกรรม โดยการใช้เทคโนโลยีทางดิ เอ็นเอต้องคำนึงถึงความปลอดภัยทางชีวภาพชีวจริยธรรม และผลกระทบต่อสังค 12. สืบค้นข้อมูล และอธิบาย เกี่ยวกับหลักฐาน ที่สนับสนุนและ ข้อมูลที่ใช้อธิบายการเกิด วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต - หลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการ เช่น ซากดึก ดำบรรพ์กายวิภาคเปรียบเทียบวิทยาเอ็มบริโอการ แพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตทาง ภูมิศาสตร์ การศึกษาทางชีว ภูมิศาสตร์ และด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล - มนุษย์มีการสืบสายวิวัฒนาการมาเป็นเวลานาน โดยมี หลักฐานที่สนับสนุนจากซากดึกดำบรรพ์ของบรรพบุรุษ มนุษย์ที่ค้นพบ และจากการเปรียบเทียบลำดับเบสบน DNA ระหว่างมนุษย์กับไพรเมตอื่นๆ 13. อธิบายและเปรียบเทียบแนวคิด เกี่ยวกับ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของฌองลามาร์กและทฤษฎีเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของชาลส์ ดาร์วิน - ฌอง ลามาร์ก ได้เสนอแนวคิดเพื่ออธิบายเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตว่าสิ่งมีชีวิตมีการ เปลี่ยนแปลง โครงสร้างให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยอาศัยกฎการใช้และ ไม่ใช้ และกฎแห่งการ ถ่ายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นมาใหม่ - ชาลส์ ดาร์วิน เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิตเกิดจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติโดยสิ่งมีชีวิต เพียงจำนวนหนึ่งที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมสามารถมี ชีวิตรอด และถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมไปยังรุ่นต่อไปได้ 14. ระบุสาระสำคัญ และอธิบาย เงื่อนไขของภาวะ สมดุลของฮาร์ดี- ไวน์เบิร์กปัจจัยที่ทำให้เกิด การ เปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลใน - เมื่อประชากรอยู่ในภาวะสมดลุของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก โดย ประชากรมีขนาดใหญ่ไม่มีการถ่ายเทยีนระหว่างประชากร ไม่เกิดมีวเทชัน สมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุ์ได้เท่ากัน และไม่เกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติจะทำให้
50 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ประชากรพร้อมทั้งคำนวณหาความถี่ ของแอลลีลและจีโนไทป์ของ ประชากร โดยใช้หลักของฮาร์ดี- ไวน์เบิร์ก ความถี่ของแอลลีลของ ลักษณะนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะ ผ่านไปกี่รุ่น ก็ตามเป็นผลให้ลักษณะนั้นไม่เกิดวิวัฒนาการ - การเปลี่ยนแปลงความถี่ของยีนหรือแอลลีลในประชากร เกิดจากปัจจัยหลายประการนำไปสู่การเกิดวิวัฒนาการ 15. สืบค้นข้อมูล อภิปรายและ อธิบาย กระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ ของสิ่งมีชีวิต - สปีชีส์ใหม่จะเกิดขึ้นได้เมื่อไม่มีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน ระหว่างประชากรหนึ่งกับอีก ประชากรหนึ่งในรุ่นบรรพ บุรุษทำให้ประชากร ทั้งสองมีโครงสร้างทางพันธุกรรมที่ แตกต่างกัน และวิวัฒนาการเกิดเป็นสปีชีส์ใหม่ - ปัจจัยที่ทำให้เกิดสปีชีสใหม่อาจเกิดได้ 2 แนวทาง คือ การเกิดสปีชีส์ใหม่จากการแบ่งแยกทาง ภูมิศาสตร์และ การเกิดสปีชีส์ใหม่ในเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน ม. 5 - - ม.6 1. อภิปรายความสำคัญของความ หลากหลายทางชีวภาพและความ เชื่อมโยงระหว่างความหลากหลาย ทางพันธุกรรมความหลากหลาย ของสปีชีส์ และความหลากหลายของ ระบบนิเวศ - ความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วยความ หลากหลายทางพันธุกรรมความหลากหลายของสปีชีส์และ ความหลากหลายของระบบนิเวศ - การแปรผันทางพันธุกรรมทำให้เกิดควายหลากหลายทาง พันธุกรรม ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดที่มีความหลากหลายทาง พันธุกรรมมากย่อมทำให้มีโอกาสอยู่รอดเพิ่มขึ้นและสืบทอด ลูกหลานต่อไปได้ - สิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้ผ่าน กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติหรือโดยมนุษย์มาเป็น ระยะเวลายาวนานหลายชั่วรุ่นซึ่งอาจเกิดเป็นสปีชีส์ใหม่ ส่งผลให้เกิดความหลากหลายของสปีชีส์ - แหล่งที่อยู่อาศัยแต่ละแหล่งที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่นั้นจะมี องค์ประกอบของปัจจัยทางกายภาพและปัจจัยทางชีวภาพ ที่แตกต่างกันทำให้เกิด ความหลากหลายของระบบนิเวศ 2. อธิบายการเกิดเซลล์เริ่มแรกของ สิ่งมีชีวิตและวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว - จุดเริ่มต้มของวิวัฒนาการของเซลล์เกิดจากโมเลกุลของ สารอินทรีย์โดยเซลล์รูปแบบแรกที่เกิดขึ้นคือเซลล์โพรคาริ โอตและมีวิวัฒนาการ ขึ้นมาเป็นเซลล์ยูคาริโอตและจาก สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มีโครงสร้าง แบบง่ายๆ จนกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มี โครงสร้างซับซ้อนมากขึ้นตามลำดับ
51 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 3. อธิบายลักษณะสำคัญ และ ยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิต กลุ่มแบคทีเรีย สิ่งมีชีวิตกลุ่มโพรทิสต์สิ่งมีชีวิต กลุ่มพืช สิ่งมีชีวิตกลุ่มฟังไจและ สิ่งมีชีวิตกลุ่มสัตว - แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตพวกโพรคาริโอตผนังเซลล์ มีเพปทิโดไกลแคนเป็นองค์ประกอบสำคัญ แบคทีเรียทั่วไป สร้างอาหารเองไม่ได้ดำรงชีวิต แบบผู้สลายสารอินทรีย์หรือ แบบปรสิตแต่แบคทีเรียบางกลุ่ม เช่น ไซยาโนแบคทีเรีย สร้างอาหารเองได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง - โพรทิสต์เป็นสิ่งมีชีวิตพวกยูคาริโอตมีลักษณะ หลากหลาย ทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหรือสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่ยังไม่ พัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่ออาจมหีรอืไม่มีผนังเซลล์เป็น ส่วนประกอบของเซลล์ - พืชเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์พวกยูคาริโอตมีผนังเซลล์ ซึ่งมีเซลลูโลสเป็นองค์ประกอบมีวัฏจักรชีวิต แบบสลับ และ มีระยะเอ็มบริโอในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศพืชสร้าง อาหารเองได้จาก กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง - ฟังไจเป็นสิ่งมีชีวิตพวกยูคาริโอต มีทั้งสิ่งมีชีวิต เซลล์เดียว และหลายเซลล์ เซลล์ของฟังไจยังไม่ พัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อ ผนังเซลล์มีไคทินเป็นองค์ประกอบสำคัญฟังไจสร้างอาหาร เองไม่ได้และดำรงชีวิตแบบผู้สลายสารอินทรีย์หรือแบบ ปรสิต - สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์พวกยูคาริโอตไม่สามารถ สร้างอาหารเองได้ต้องได้รับอาหาร จากสิ่งมีชีวิตอื่น ส่วน ใหญ่มีระบบย่อยอาหารบางชนิดอาจเป็นปรสิตสัตว์มีระยะ เอ็มบริโอในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ - สัตว์อาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อยโดยพิจารณาลักษณะต่าง ๆ คือ เนื้อเยื่อสมมาตรการเปลี่ยนแปลงของบลาสโทพอร์ การ เจริญในระยะตัวอ่อนทำให้อาจแบ่งสัตว์เป็นกลุ่มย่อย 4. อธิบายและยกตัวอย่างการจำแนก สิ่งมีชีวิตจากหมวดหมู่ใหญ่จนถึง หมวดหมู่ย่อย และวิธิการเขียนชื่อ วิทยาศาสตร์ในลำดับขั้นสปีชีส์ - การจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่เป็นลำดับขั้นต่าง ๆ เริ่มจากหมวดหมู่ใหญ่แล้วแบ่งเป็น หมวดหมู่ย่อยมีดังนี้ คิงดอม ไฟลัม คลาส ออรเ์ดอร์ แฟมิลี จีนัสและสปีชีส์ - ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตในลำดับขั้นสปีชีส์ที่ตั้งขึ้นตาม ระบบทวินามเพื่อใช้ในการระบุถึงสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดให้มี
52 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 5. สร้างไดโคโทมัสคีย์ในการระบุ สิ่งมีชีวิตหรือ ตัวอย่างที่กำหนด ออกเป็นหมวดหมู่ ความเข้าใจถูกต้องตรงกัน ประกอบด้วย 2 ส่วน โดยส่วน แรกเป็น ชื่อสกุล ส่วนหลังเป็นคำที่ระบุลักษณะพิเศษของ สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น หรือเป็นคำที่มีความหมายเฉพาะ โดยทั้ง 2 ส่วนนี้ต้องเป็นภาษาละติน - ไดโคโทมัสคีย์เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อระบุหมวดหมู่ของ สิ่งมีชีวิตลำดับขั้นต่าง ๆ โดยมหีลกัเกณฑ์ในการนำลกัษณะ ที่ต่างกันของสิ่งมีชีวิตมาพิจารณาเป็นคู่ - วิทเทเกอร์ เสนอแนวความคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตพวกยูคาริโอต มีวิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตพวกโพรคาริโอต และจำแนก สิ่งมีชีวิตเป็น 5 คิงดอม ประกอบด้วย มอเนอรา โพรทิสตา พืช ฟังไจ และสัตว์ - โวสซ์ และคณะจำแนกสิ่งมีชีวิตเป็น 3 โดเม ประกอบด้วย แบคทีเรีย อาร์เคีย และยูคารีอา โดย แนวความคิดการจำแนกสิ่งมีชีวิตแต่ละโดเมน เป็นกลุ่มย่อย จะใช้หลักที่ว่าสิ่งมีชีวิตในกลุ่มเดียวกันมีสายวิวัฒนาการมา จากบรรพบุรุษร่วมกัน 3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายนำ้ของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.4 - - ม.5 1. อธิบายเกี่ยวกับชนิดและลักษณะ ของเนื้อเยื่อพืช และเขียนแผนผังเพื่อ สรุปชนิดของเนื้อเยื่อพืช - เนื้อเยื่อพืชแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ เนื้อเยื่อเจริญและ เนื้อเยื่อถาวร เนื้อเยื่อเจริญแบ่งเป็นเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ และเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง - เนื้อเยื่อถาวรเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญเนื้อเยื่อ ถาวรอาจแบ่งได้เป็น 3 ระบบ คือ ระบบ เนื้อเยื่อผิว ระบบเนื้อเยื่อพื้น และระบบเนื้อเยื่อท่อลำเลียง 2. สังเกต อธิบายและเปรียบเทียบ โครงสร้าง ภายในของรากพืชใบเลี้ยง เดี่ยวและรากพืช ใบเลี้ยงคู่จากการ ตัดตามขวาง - ราก คือ ส่วนแกนของพืชที่โดยทั่วไปเจริญอยู่ใต้ระดับผิว ดินทำหน้าที่ยึดหรือค้ำจุนให้พืชเจริญเติบโตอยู่กับที่ได้ และ ยังมีหน้าที่สำคัญใน การดูดน้ำและธาตุอาหารในดิน เพื่อ ส่งไปยังส่วน ต่างๆ ของพืช
53 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - โครงสร้างภายในของปลายรากที่ตัดตามยาว ประกอบด้วย เนื้อเยื่อเจริญ แบ่งเป็นบริเวณต่าง ๆ คือ บริเวณหมวกราก บริเวณเซลล์กำลังแบ่งตัวบริเวณเซลล์ ขยายตัวตามยาว และบริเวณที่เซลล์มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำหน้าที่เฉพาะและเจริญ เติบโตเต็มที่ - โครงสร้างภายในของรากระยะการเติบโตปฐมภูมิ เมื่อตัด ตามขวางจะเห็นโครงสร้างแบ่งเป็น 3 ชั้น เรียงจากด้าน นอกเข้าไป คือ ชั้นเอพิเดอร์มิสชั้นคอร์เทกซ์และชั้นสตีลใน ชั้นสตีลจะพบมัดท่อลำเลียงที่มีลักษณะแตกต่างกันในพืชใบ เลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่ - โครงสร้างภายในของรากระยะการเติบโตทุติยภูมิ ชั้นเอพิเดอร์มิสจะถูกแทนที่ด้วยชั้นเพริเดิร์ม ซึ่งมีคอร์กเป็น เนื้อเยื่อสำคัญชั้นคอร์เทกซ์อาจมีการ เปลี่ยนแปลงเกิดเซลล์ ที่ทำให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น หรือเกิดเซลล์ที่สะสมอาหาร เพิ่มขึ้นส่วนลักษณะมัดท่อลำเลียงจะเปลี่ยนไป เนื่องจากมี การสร้างเนื้อเยื่อลำเลียงเพิ่มขึ้น 3. สังเกต อธิบายและเปรียบเทียบ โครงสร้าง ภายในของลำต้นพืชใบ เลี้ยงเดี่ยวและลำต้นพืช ใบเลี้ยงคู่ จากการตัดตามขวาง - ลำต้น คือ ส่วนแกนของพืชที่โดยทั่วไปเจริญอยู่เหนือ ระดับผิวดินถัดขึ้นมาจากรากทำหน้าที่ สร้างใบและชูใบ ลำเลียงน้ำ ธาตุอาหาร และ อาหารที่พืชสร้างขึ้นส่งไปยัง ส่วนต่างๆ - โครงสร้างภายในของลำตน้ระยะการเตบิโตปฐมภูมิเมื่อ ตัดตามขวางจะเห็นโครงสร้างแบ่งเป็น 3 ชั้น เรียงจากด้าน นอกเข้าไป คือ ชั้นเอพิเดอร์มิส ชั้นคอร์เทกซ์และชั้นสตีล ซึ่งชั้นสตีลจะพบมัด ท่อลำเลียงที่มีลักษณะแตกต่างกันใน พืชใบเลี้ยงเดี่ยว และพืชใบเลี้ยงคู่ - ลำต้นในระยะการเติบโตทุติยภูมิจะมีเส้นรอบวง เพิ่มขึ้น และมีโครงสร้างแตกต่างจากเดิม เนื่องจากมีการสร้าง เนื้อเยื่อเพริเดิร์ และเนื้อเยื่อท่อลำเลียงทุติยภูมิเพิ่มขึ้น 4. สังเกต และอธิบายโครงสร้าง ภายในของใบพืช จากการตัดตาม ขวาง - ใบมีหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง แลกเปลี่ยนแก๊ส และคาย น้ำใบของพืชดอกประกอบด้วย ก้านใบ แผ่นใบ เส้นกลางใบ และเส้นใบพืชบางชนิดอาจ ไม่มีก้านใบที่โคนก้านใบอาจพบ หรือไม่พบหูใบ
54 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - โครงสร้างภายในของใบตดัตามขวาง ประกอบด้วย เนื้อเยื่อ 3 กลุ่ม ได้แก่ เอพิเดอร์มิส มีโซฟิลล์ และเนื้อเยื่อ ท่อลำเลียง 5. สืบค้นข้อมูล สังเกต และอธิบาย การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ ของพืช - พืชมีการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำผ่านทาง ปากใบ เป็นส่วนใหญ่ปากใบพบได้ที่ใบและลำต้นอ่อน เมื่อความชื้น สัมพัทธ์ในอากาศ ภายนอกต่ำกว่าความชื้นสัมพัทธ์ภายใน ใบพืชทำให้น้ำภายในใบพืชระเหยเป็นไอออกมาทางรูปาก ใบ เรียกว่า การคายน้ำ - ความชื้นในอากาศ ลม อุณหภูมิ สภาพน้ำในดิน ความเข้ม ของแสงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำของพืช 6. สืบค้นข้อมูลและอธิบายกลไกการ ลำเลียงน้ำ และธาตุอาหารของพืช 7. สืบค้นข้อมูล อธิบายความสำคัญ ของธาตุอาหาร และยกตัวอย่างธาตุ อาหารที่สำคัญที่มีผลต่อการ เจริญเติบโตของพืช - พืชดูดน้ำและธาตุอาหารต่าง ๆ จากดินโดยเซลล์ขนราก แล้วลำเลียงผ่านชั้นคอร์เทกซ์เข้าสู่เนื้อเยื่อลำเลียงน้ำในชั้น สตีลซึ่งเป็นการดูดน้ำจากดินสู่เนื้อเยื่อลำเลียงน้ำในแนว ระนาบ และลำเลียง ไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืชในแนวดิ่ง - ในสภาวะปกติการลำเลียงน้ำจากรากสู่ยอดของพืชอาศัย แรงดึงจากการคายน้ำร่วมกับแรงโคฮีชัน แรงแอดฮีชัน - ในภาวะที่บรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์สูงมากจนไม่ สามารถเกิดการคายน้ำได้ตามปกติน้ำที่ เข้าไปในเซลล์ราก จะทำให้เกิดแรงดันเรียกว่า แรงดันราก ทำให้เกิด ปรากฏการณ์กัตเตชัน - พืชแต่ละชนิดต้องการปริมาณและชนิดของธาตุอาหาร แตกต่างกันสามารถนำความรู้เกี่ยวกับสมบัติของธาตุอาหาร ชนิดต่างๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช 8. อธิบายกลไกการลำเลียงอาหารใน พืช - อาหารที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง จากแหล่ง สร้างจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นซูโครสและลำเลียงผ่านทางท่อ โฟลเอ็ม โดยอาศัยกลไกการลำเลียงอาหารในพืชซึ่ง เกี่ยวข้องกับแรงดันน้ำไปยังแหล่งรับ 9. สืบค้นข้อมูล และสรุปการศึกษา ที่ได้จากการ ทดลองของ นักวิทยาศาสตร์ในอดีตเกี่ยวกับ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง - การศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ในอดีต ทำให้ได้ ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมาเป็น ลำดับขั้นจนได้ข้อสรุปว่า คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำเป็น วัตถุดิบที่พืชใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง และ ผลผลิตที่ได้ คือ น้ำตาล ออกซิเจน
55 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 10. อธิบายขั้นตอนที่เกิดขึ้นใน กระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสงของ พืช C3 - กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมี 2 ขั้นตอน คือ ปฏิกิริยาแสง และการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ - ปฏิกิริยาแสงเป็นปฏิกิริยาที่เปลี่ยนพลังงานแสง เป็น พลังงานเคมี โดยแสงออกซิไดส์โมเลกุลสารสีที่ไทลาคอยด์ ของคลอโรพลาสต์ ทำให้เกิดการ ถ่ายทอดอิเล็กตรอนได้ ผลิตภัณฑ์เป็น ATP และ NADPH+ H + ในสโตรมาของ คลอโรพลาสต์ - การตรงึคารบ์อนไดออกไซด์ เกดิในสโตรมา โดยใช้RuBP และเอนไซม์รูบิสโกได้สารที่ประกอบด้วย คาร์บอน 3 อะตอม คือ PGA โดยใช้ ATP และ NADPH ที่ได้จาก ปฏิกิริยาแสงไปรีดิวซ์สารประกอบคาร์บอน 3 อะตอม ได้ เป็นน้ำตาลที่มีคาร์บอน 3 อะตอม คือ PGAL ซึ่งส่วนหนึ่ง จะถูกนำไปสร้าง RuBP กลับคืนเป็นวัฏจักร 11. เปรียบเทียบกลไกการตรึง คาร์บอนไดออกไซด์ในพืช C3 พืช C4 และ พืช CA - พืช C4 ตรึงคาร์บอนอนินทรีย์2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ เซลล์มีโซฟิลล์ โดย PEP และเอนไซม์เพบคาร์บอกซิเลส ได้ สารประกอบคาร์บอน 4 อะตอม คือ OAA ซึ่งจะมีการ เปลี่ยนแปลงทางเคมีได้สารประกอบคาร์บอน 4 อะตอมคือ กรดมาลิกถูกลำเลียงไปจนถึงเซลล์บันเดิลชีทแลปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ในคลอโรพลาสต์ใช้ในวัฏจักรคัลวิน - พืช CAM มีกลไกในการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์คล้ายพืช C4 แต่มีการตรึงคาร์บอนอนินทรีย์ทั้ง 2 ครั้งในเซลล์ เดียวกัน โดยเซลล์มีการตรึง คาร์บอนอนินทรีย์ครั้งแรกใน เวลากลางคืนและปล่อยออกมาในเวลากลางวันเพื่อใช้ใน วัฏจักรคัลวินต่อไป 12. สืบค้นข้อมูล อภิปรายและสรุป ปัจจัยความเข้มของแสงความเข้มข้น ของคาร์บอนไดออกไซด์และอุณหภูมิ ที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง ของพืช - ปัจจัยที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น ความเข้มของ แสงความเข้มข้นของ คาร์บอนไดออกไซด์ อุณหภูมิ ปริมาณน้ำในดิน ธาตุอาหาร อายุใบ 13. อธิบายวัฏจักรชีวิตแบบสลับของ พืชดอก - พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วย ระยะที่สร้าง สปอร์ เรียก ระยะสปอโรไฟต์ (2n)และระยะที่สร้างเซลล์ สืบพันธุ์เรียก ระยะแกมีโทไฟต์ (n)
56 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - ส่วนประกอบของดอกที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์โดยตรง คือชั้นเกสรเพศผู้และชั้นเกสรเพศเมีย ซึ่งจำนวนรังไข่ เกี่ยวข้องกับการเจริญเป็นผลชนิดต่าง ๆ 14. อธิบาย และเปรียบเทียบ กระบวนการสร้าง เซลล์สืบพันธุ์เพศ ผู้และเพศเมียของพืชดอก และ อธิบายการปฏิสนธิของพืชดอก - พืชดอกสร้างไมโครสปอร์และเมกะสปอร์ ซึ่งอาจ สร้างใน ดอกเดียวกันหรือต่างดอกหรือต่างต้นกัน - การสร้างไมโครสปอร์ของพืชดอกเกิดขึ้นโดย ไมโครสปอร์ มาเทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบมโอซิสได้ไมโครสปอร์ โดยไมโค รสปอร์นี้แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้2 เซลล์คือ ทิวบ์เซลล์ และเจเนอเรทิฟเซลล์ เมื่อมีการถ่ายเรณูไปตกบน ยอดเกสร เพศเมีย ทิวบ์เซลล์จะงอกหลอดเรณู และเจเนอเรทิฟเซลล์ แบ่งไมโทซิสได้เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้2 เซลล์ - การสร้างเมกะสปอร์เกิดขึ้นภายในออวุลในรังไข่ โดยเซลล์ ที่เรียกว่า เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์แบ่งไมโอซิสได้เมกะ สปอร์ ซึ่งในพืชส่วนใหญ่จะเจริญพัฒนาต่อไปได้เพียง 1 เซลล์ ที่เหลืออีก 3 เซลล์จะฝ่อ เมกะสปอร์จะแบ่งไมโทซิส 3 ครั้ง ได้ 8 นิวเคลียส ที่ประกอบด้วย 7 เซลล์โดยมี1 เซลล์ ที่ทำหน้าที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์เรียก เซลล์ไข่ ส่วนอีก 1 เซลล์มี 2 นิวเคลียส เรียก โพลาร์นิวคลีไอ - การปฏิสนธิของพืชดอกเป็นการปฏิสนธิคู่ โดยคู่หนึ่งเป็น การรวมกันของสเปิร์มเซลล์หนึ่งกับเซลล์ไข่ได้เป็นไซโกตซึ่ง จะเจริญและพัฒนาไปเป็นเอ็มบริโอ และอีกคู่หนึ่งเป็นการ รวมกัน ของสเปิร์มอีกเซลล์หนึ่งกับโพลาร์นิวคลีไอได้เป็น เอนโดสเปิร์ม 15. อธิบายการเกิดเมล็ดและการ เกิดผลของพืชดอกโครงสร้างของ เมล็ดและผล และยกตัวอย่าง การใช้ ประโยชน์จากโครงสร้างต่าง ๆ 16. ทดลองและอธิบายเกี่ยวกับ ปัจจัย ต่าง ๆ ที่มีผลต่อการงอก ของเมล็ดสภาพพักตัวของเมล็ดและ บอกแนวทางในการแก้สภาพพักตัว ของเมล็ด - ภายหลังการปฏิสนธิออวุลจะมีการเจริญและพัฒนาไปเป็น เมล็ด และรังไข่จะมีการเจริญ และพัฒนาไปเป็นผล - โครงสร้างของเมล็ดประกอบด้วยเปลือกเมล็ด เอ็มบริโอ และเอนโดสเปิร์มโครงสร้างของผล ประกอบด้วยผนังผล และเมล็ด - เมล็ดที่เจริญเต็มที่จะมีการงอกโดยมีปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อ การงอกของเมล็ด เช่น น้ำหรือความชื้น ออกซิเจนอุณหภูมิ และแสงเมล็ดบางชนิด สามารถงอกได้ทันที่เมล็ดบางชนิด ไม่สามารถงอกได้ทันทีเพราะอยู่ในสภาพพักตัว
57 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 17. สืบค้นข้อมูล อธิบายบทบาทและ หน้าที่ของ ออกซินไซโทไคนินจิบเบอ เรลลิน เอทิลีน และกรดแอบไซซิก และอภิปรายเกี่ยวกับ การนำไปใช้ ประโยชน์ทางการเกษตร 18. สืบค้นข้อมูล ทดลอง และ อภิปรายเกี่ยวกับสิ่งเร้าภายนอกที่มี ผลต่อการเจริญเติบโตของพืช - เมล็ดบางชนิดมีสภาพพักตัวเนื่องจากมีปัจจัยบางประการ ที่มีผลยับยั้งการงอกของเมล็ด ซึ่งสภาพพักตัวของเมล็ด สามารถแก้ไขได้หลายวิธีตามปัจจัยที่ยับยั้ง - พืชสร้างสาร ควบคุมการเจริญเติบโตหลายชนิดที่ส่วนต่าง ๆ ซึ่งสารนี้ เป็นสิ่งเร้าภายในที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น ออกซินไซโทไคนนิ จิบเบอเรลลิน เอทิลีน และ กรดแอบไซซิก - แสงสว่าง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี และน้ำ เป็นสิ่งเร้า ภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช - ความรู้เกี่ยวกับการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน และสิ่งเร้า ภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชสามารถนำมา ประยุกต์ใช้ควบคุมการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มผลผลิต และยืดอายุผลผลิตไ ม. 6 - - 2. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การลำเลียงสารและการหมุนเวียนเลือดภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้ และการตอบสนอง การ เคลื่อนที่การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับ การรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม. 4 - - ม. 5 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ เปรียบเทียบโครงสร้าง และ กระบวนการย่อยอาหารของสัตว์ที่ ไม่มีทางเดินอาหารสัตว์ที่มีทางเดิน อาหารแบบไม่สมบูรณ์ และสัตว์ที่มี ทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ 2. สังเกต อธิบายการกินอาหาร ของไฮดรา และพลานาเรีย - รา มีการปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยอาหารนอกเซลล์ - ฟองน้ำไม่มีทางเดินอาหารแต่จะมีเซลล์พิเศษทำหน้าที่จับ อาหารเข้าสู่เซลล์แล้วย่อยภายในเซลล์โดยเอนไซม์ใน ไลโซโซม - ไฮดราและพลานาเรีย มีทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์จะ กินอาหารและขับกากอาหารออกทางเดียวกัน - ไส้เดือนดิน แมลง สัตว์ไม่มีกระดกูสันหลังส่วนใหญ่ และ สัตว์มีกระดูกสันหลังจะมีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ 3. อธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างหน้าที่ และ กระบวนการย่อยอาหาร - การย่อยอาหารของมนุษย์ประกอบด้วย การย่อย เชิงกลโดย การบดอาหารให้มีขนาดเล็กลง และการย่อยทางเคมีโดย
58 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม การดูดซึมสารอาหารภายในระบบ ย่อยอาหารของมนุษย์ อาศัยเอนไซม์ในทางเดิน อาหาร ทำให้โมเลกุลของอาหารมี ขนาดเล็กจนเซลล์สามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ - การย่อยอาหารของมนุษย์เกิดขึ้นที่ช่องปากกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก - สารอาหารที่ย่อยแล้ว วิตามินบางชนิด และธาตุอาหาร จะถกูดดูซึมที่วิลลัสเข้าสู่หลอดเลือดฝอย แล้วผ่านตับก่อนเข้า สู่หัวใจ ส่วนสารอาหารประเภทลิพิดและวิตามินที่ละลายใน ไขมันจะถูกดูดซึมเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองฝอย - อาหารที่ไม่ถูกย่อยหรือย่อยไม่ได้จะเคลื่อนต่อไป ยังลำไส้ ใหญ่ น้ำธาตุอาหาร และวิตามินบางส่วน ดูดซึมเข้าสู่ผนัง ลำไส้ใหญ่ที่เหลือเป็นกากอาหาร ถูกกำจัดออกทางทวารหนัก 4. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ เปรียบเทียบโครงสร้างที่ทำหน้าที่ แลกเปลี่ยนแก๊สของฟองน้ำ ไฮดรา พลานาเรีย ไส้เดือนดิน แมลง ปลา กบ และนก 5. สังเกตและอธิบายโครงสร้างของ ปอดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำน - ไส้เดือนดินมีการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเซลล์บริเวณ ผิวหนัง ที่เปียกชื้น - แมลงมีการแลกเปลี่ยนแก๊สโดยผ่านทางท่อลมซึ่งแตกแขนง เป็นท่อลมฝอย - ปลาเป็นสัตว์น้ำมีการแลกเปลี่ยนแก๊สที่ละลายอยู่ในน้ำผ่าน เหงือก - สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกใช้ปอดและผิวหนังในการ แลกเปลี่ยนแก๊ส - สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอาศัย ปอดในการแลกเปลี่ยนแก๊ส 6. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้าง ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส และ กระบวนการแลกเปลี่ยน แก๊สของ มนุษย์ 7. อธิบายการทำงานของปอด และ ทดลองวัด ปริมาตรของอากาศใน การหายใจออกของมนุษย์ - ทางเดินหายใจของมนุษย์ประกอบด้วย ช่องจมูก โพรงจมูก คอหอย กล่องเสียง ท่อลม หลอดลม และถุงลมในปอด - ปอดเป็นบริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่าง ถุงลมกับ หลอดเลือดฝอย และบริเวณเซลล์ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ - การหายใจเข้าและการหายใจออกเกิดจากการเปลี่ยนแปลง ความดันของอากาศภายในปอด โดยการทำงานร่วมกันของ กล้ามเนื้อกะบังลม และกล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซี่โครง 8. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ เปรียบเทียบระบบ หมุนเวียนเลือด แบบเปิดและระบบหมุนเวียน เลือด แบบปิด - สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์ที่มีโครงสร้างร่างกาย ไม่ ซับซ้อนมีการลำเลียงสารต่าง ๆ โดยการแพร่ ระหว่างเซลล์ กับสิ่งแวดล้อม
59 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 9. สังเกต และอธิบายทิศทางการ ไหลของเลือด และการเคลื่อนที่ ของเซลล์เม็ดเลือดในหางปลาและ สรปุความสัมพันธ์ระหว่างขนาด ของหลอดเลือดกับความเร็วในการ ไหลของเลือด - สัตว์ที่มีโครงสร้างร่างกายซับซ้อนจะมีการลำเลียง สารโดย ระบบหมุนเวียนเลือด ซึ่งประกอบด้วย หัวใจ หลอดเลือดและ เลือด - ระบบหมุนเวียนเลือดมี2 แบบ คือ ระบบหมุนเวียนเลือด แบบเปดิและระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด - ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิดพบในสัตว์จำพวก หอย แมลง กุ้ง ส่วนระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด พบในไส้เดือน ดินและสัตว์มีกระดูกสันหลัง 10. อธิบายโครงสร้างและการ ทำงานของหัวใจและหลอดเลือดใน มนุษย์ 11. สังเกต และอธิบายโครงสร้าง หัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ทิศทางการไหลของเลือด ผ่านหัวใจ ของมนุษย์ และเขียนแผนผังสรุป การหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ 12. สืบค้นข้อมูล ระบุความ แตกต่างของเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาวเพลตเลต และ พลาสมา 13. อธิบายหมู่เลือดและหลักการ ให้และรับเลือด ในระบบ ABO และระบบ Rh - ระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ ประกอบด้วยหัวใจหลอด เลือดและเลือด ซึ่งเลือดไหลเวียนอยู่เฉพาะในหลอดเลือด - หัวใจมีเอเตรียมทำหน้าที่รับเลือดเข้าสู่หัวใจ และเวนตริเคิล ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดออกจากหัวใจโดยมีลิ้นกั้นระหว่าง เอเตรียมกับเวนตริเคิล และ ระหว่างเวนตริเคิลกับหลอด เลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ - เลือดออกจากหัวใจทางหลอดเลือดเอออตาร์ อารเ์ตอรี อารเ์ตอรโิอล หลอดเลอืดฝอย เวนลู เวน และเวนาคาวาแล้ว เข้าสู่หัวใจ - ขณะที่หัวใจบีบตัวสูบฉีดเลือดทำให้เกิดความดันเลือดและ ชีพจร สภาพการทำงานของร่างการ อายุ และเพศของมนุษย์ เป็นปัจจัย ที่มีผลต่อความดันเลือดและชีพจร - เลือดมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ เพลตเลต และพลาสมา ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกัน - หมู่เลือดของมนุษย์จำแนกตามระบบ ABO ได้เป็นเลือดหมู่ A B AB และ O ซึ่งเรียกชื่อตามชนิด ของแอนติเจนที่เยื่อหุ้ม เซลล์เม็ดเลือดแดงและจำแนกตามระบบ Rh ได้เป็นเลือดหมู่ Rh+ และ Rh14. อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับ ส่วนประกอบและ หน้าที่ของ น้ำเหลืองรวมทั้งโครงสร้างและ หน้าที่ของหลอดน้ำเหลืองและต่อม น้ำเหลือง - ของเหลวที่ซึมผ่านผนังหลอดเลือดฝอยออกมาอยู่ระหว่าง เซลล์ เรียกว่า น้ำเหลือง ทำหน้าที่ หล่อเลี้ยงเซลล์และ สามารถแพร่เข้าสู่หลอดน้ำเหลืองฝอยซึ่งต่อมาหลอด น้ำเหลืองฝอยจะรวมกนัมีขนาดใหญ่ขึ้นและเปิดเข้าสู่ระบบ หมุนเวียนเลือดที่หลอดเลือดเวนใกล้หัวใจ
60 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - ระบบน้ำเหลืองประกอบด้วยน้ำเหลือง หลอดน้ำเหลืองและ ต่อมน้ำเหลือง โดยทำหน้าที่นำน้ำเหลืองกลับเข้าสู่ระบบ หมุนเวียนเลือดต่อมน้ำเหลืองเป็นที่อยู่ของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมที่ลำเลียงมากับ น้ำเหลือง 15. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ เปรียบเทียบกลไก การต่อต้านหรือ ทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบไม่ จำเพาะและแบบจำเพาะ 16. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ เปรียบเทียบการสร้างภูมิคุ้มกันก่อ เองและภูมิคุ้มกันรับมา 17. สืบค้นข้อมูล และอธิบาย เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบ ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดเอดส์ภูมิแพ้ การสร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อ ตนเอง - กลไกที่ร่างกายต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอม มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบจำเพาะและแบบไม่จำเพาะ - ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ ที่ผิวหนังช่วยป้องกันและ ยับยั้งการ เจริญของจุลินทรีย์บางชนิด และเมื่อเชื้อโรคหรือสิ่ง แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล และโมโนไซต์จะมีการต่อต้านและทำลายสิ่งแปลกปลอม โดย กระบวนการฟาโกไซโทซิส - การต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบ จำเพาะจะ เกี่ยวข้องกับการทำงานของลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์บีและเซลล์ที - อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและตอบสนองของลิมโฟไซต์ ประกอบด้วยต่อมน้ำเหลือง ทอนซลิ ม้าม ไทมัส และเนื้อเยื่อ น้ำเหลืองที่ผนังลำไส้เล็ก - การสร้างภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะของร่างกายมี 2 แบบ คือ ภูมิคุ้มกันก่อเองและภูมิคุ้มกันรับมา - การได้รับวัคซีนหรือทอกซอยด์เป็นตัวอย่างของ ภูมิคุ้มกัน ก่อเอง โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นด้วย วิธีการให้สารที่เป็นแอนติเจนเข้าสู่ร่างกาย ส่วนภูมิคุ้มกัน รับมาเป็นการรับแอนติบอดีโดยตรง เช่น การได้รับซีรัม การได้รับน้ำนมแม่ - เอดส์ ภูมิแพ้ และการสร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง เป็นตัวอย่างของอาการที่เกิดจากระบบ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่ทำงานผิดปกติ 18. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ เปรียบเทียบ โครงสร้างและหน้าที่ ในการกำจัดของเสียออกจาก ร่างกายของฟองน้ำ ไฮดราพลานา เรีย ไส้เดือนดิน แมลง และสัตว์มี กระดูกสันหลัง - อะมีบา และพารามีเซียมเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่มีคอน แทรกไทล์แวคิวโอลทำหน้าที่ในการกำจัด และรักษาดุลยภาพ ของน้ำและแร่ธาตุในเซลล์ - ฟองน้ำและไฮดรามีเซลล์ส่วนใหญ่สัมผัสกับน้ำ โดยตรงของ เสียจึงถูกกำจัดออกโดยการแพร่สู่สภาพแวดล้อม
61 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - พลานาเรียใช้เฟลมเซลล์ซึ่งกระจายอยู่ 2 ข้าง ตลอดความ ยาวของลำตัวทำหน้าที่ขับถ่ายของเสีย - ไส้เดือนดินใช้เนฟริเดียม แมลงใช้มัลพิเกียนทิวบูล และสัตว์ มีกระดูกสันหลังใช้ไตในการขับถ่ายของเสีย 19. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ ของไต และ โครงสร้างที่ใช้ ลำเลียงปัสสาวะออกจาก ร่างกาย 20. อธิบายกลไกการทำงานของ หน่วยไตในการ กำจัดของเสียออก จากร่างกายและเขียน แผนผังสรุป ขั้นตอนการกำจัดของเสียออกจาก ร่างกายโดยหน่วยไต 21. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ ยกตัวอย่างเกี่ยวกับ ความผิดปกติ ของไตอันเนื่องมาจากโรคต่าง ๆ - ไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการขับถ่ายและรักษาดุลย ภาพของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย - ไตประกอบด้วยบริเวณส่วนนอกที่เรียกว่า คอร์เท็กซ์ และ บริเวณส่วนในที่เรียกว่า เมดัลลา และบริเวณส่วนปลายของ เมดัลลาจะยื่นเข้าไป จรดกับส่วนที่เป็นโพรงเรียกว่า กรวยไต โดยกรวยไตจะต่อกับท่อไตซึ่งทำหน้าที่ลำเลียง ปัสสาวะไป เก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะเพื่อขับถ่าย ออกนอกร่างกาย - ไตแต่ละข้างของมนุษย์ประกอบด้วยหน่วยไตลักษณะเป็น ท่อปลายข้างหนึ่งเป็นรูปถ้วย เรียกว่า โบว์แมนส์แคปซูล ล้อมรอบกลุ่มหลอดเลือดฝอยที่เรียกว่า โกลเมอรูลัส - กลไกในการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ประกอบด้วย การกรองการดูดกลับ และการหลั่งสารที่เกินความต้องการ ออกจากร่างกาย - โรคนิ่วและโรคไตวายเป็นตัวอย่างของโรคที่เกิดจาก ความ ผิดปกติของไตซึ่งส่งผลกระทบต่อการรักษาดุลยภาพของสาร ในร่างกาย ม.6 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ เปรียบเทียบโครงสร้าง และหน้าที่ ของระบบประสาทของไฮดราพลา นาเรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย แมลง และสัตว์มีกระดูกสันหลัง 2. อธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างและ หน้าที่ของเซลล์ประสาท 3. อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ของศักย์ไฟฟ้า ที่เยื่อหุ้มเซลล์ของ เซลล์ประสาท และกลไกการ ถ่ายทอดกระแสประสาท - สัตว์ส่วนใหญ่มีระบบประสาททำให้สามารถรับรู้และ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ เช่น ไฮดรา มีร่างแหประสาทพลานา เรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง หอยและ แมลงมีปมประสาทและ เส้นประสาท ส่วนสัตว์มีกระดูกสันหลัง มีสมอง ไขสันหลัง ปม ประสาทและเส้นประสาท - หน่วยทำงานของระบบประสาท คือ เซลล์ประสาท ซึ่ง ประกอบด้วยตัวเซลล์ และเส้นใยประสาทที่ทำหน้าที่รับและ ส่งกระแสประสาท เรียกว่า เดนไดรต์และแอกซอนตามลำดับ - เซลล์ประสาทจำแนกตามหน้าที่ได้เป็นเซลล์ประสาทรับ ความรู้สึกเซลล์ประสาทสั่งการ และเซลล์ประสาท ประสานงาน
62 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - เซลล์ประสาทจำแนกตามรูปร่างได้เป็นเซลล์ประสาทขั้ว เดียวเซลล์ประสาทขั้วเดียวเทียมเซลล์ประสาทสองขั้วและ เซลล์ประสาทหลายขั้ว - กระแสประสารทเกิดจากการเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อ หุ้มเซลล์ของเดนไดรต์และแอกซอนทำให้มีการถ่ายทอด กระแสประสาทจากเซลล์ประสาท ไปยังเซลล์ประสาทหรือ เซลล์อื่น ๆ ผ่านทางไซแนปส์ - ระบบประสาทของมนุษย์แบ่งได้เป็น 2 ระบบ ตามตำแหน่ง และโครงสร้าง คือ ระบบประสาท ส่วนกลาง ได้แก่ สมอง และไขสันหลัง และระบบ ประสาทรอบนอก ได้แก่ เส้นประสาทสมองและเส้นประสาทไขสันหลัง 4. อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับ โครงสร้างของระบบ ประสาท ส่วนกลางและระบบประสาทรอบ นอก 5. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้าง และหน้าที่ของ ส่วนต่าง ๆในสมอง ส่วนหน้าสมองส่วนกลาง สมอง ส่วนหลังและไขสันหลัง 6. สืบค้นข้อมูล อธิบาเปรียบเทียบ และยกตัวอย่างการทำงานของ ระบบประสาทโซมาติกและระบบ ประสาทอัตโนวัติ - สมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้าสมอง ส่วนกลาง และสมองส่วนหลังสมองแต่ละส่วนจะควบคุมการ ทำงานของร่างกายแตกต่างกันโดยมีเส้นประสาทที่แยกออก จากสมอง 12 คู่ ไปยังอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งบางคู่ทำหน้าที่รับ ความรู้สึกเข้าสู่สมอง หรือนำคำสั่งจากสมองไปยังหน่วย ปฏิบัติงานหรือทำหน้าที่ทั้งสองอย่าง - ไขสันหลังเป็นส่วนที่ต่อจากสมองอยู่ภายใน กระดูกสันหลัง และมีเส้นประสาทแยกออกจาก ไขสันหลังเป็นคู่ ซึ่งทำหน้าที่ ประมวลผลการตอบสนองโดยไขสันหลัง เช่น การเกิด รีเฟล็กซ์ชนิดต่างๆ และการถ่ายทอดกระแสประสาท ระหว่างไขสันหลังกับสมอง - เส้นประสาทไขสันหลังทุกคู่จะทำหน้าที่รับความรู้สึกเข้าสู่ไข สันหลังและนำคำสั่งออกจากไขสันหลัง - ระบบประสาทรอบนอกส่วนที่สั่งการแบ่งเป็นระบบ ประสาทโซมาติกซึ่งควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อโครงร่าง และระบบประสาทอัตโนวัต ซึ่งควบคุมการทำงานของ กล้ามเนื้อหัวใจกล้ามเนื้อเรียบ และต่อมต่างๆ - ระบบประสาทอัตโนวัตแบ่งการทำงานเป็น 2 ระบบ คือ ระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทพาราซิมพา เทติกซึ่งส่วนใหญ่ทำงานตรงกันข้ามเพื่อรักษาดุลยภาพของ กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย
63 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 7. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้าง และหน้าที่ของ ตา หู จมูก ลิ้น และ ผิวหนังของมนุษย์ ยกตัวอย่างโรค ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และบอก แนวทางในการ ดูแลป้องกัน และ รักษา 8. สังเกต และอธิบายการหา ตำแหน่งของจุดบอด โฟเวีย และ ความไวในการรับสัมผัสของผิวหนัง - ตา หูจมูก ลิ้นและผิวหนัง เป็นอวัยวะรับความ รู้สึกที่รับ สิ่งเร้าที่แตกต่างกันจึงมีความสำคัญที่ควรดูแลป้องกันและ รักษาให้สามารถทำงาน ได้เป็นปกติ - ตา ประกอบด้วยชั้นสเคลอรา โครอยด์ และเรตินา เลนส์ตา เป็นเลนส์นูนอยู่ถัดจากกระจกตาทำหน้าที่รวมแสงจากวัตถุไป ที่เรตินาซึ่งประกอบด้วย เซลล์รับแสง และเซลล์ประสาทที่ นำกระแสประสาทสู่สมอง - หู ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหู ส่วนใน ภายในหูส่วนในมีคอเคลีย ซึ่งทำหน้าที่รับและเปลี่ยน คลื่นเสียงเป็นกระแส ประสาทนอกจากนี้ยังมีเซมิเซอร์คิวลาร์ แคเเนล ทำหน้าที่รับรู้เกี่ยวกับการทรงตัวของร่างกาย - จมูก มีเซลล์ประสาทรับกลิ่นอยู่ภายในเยื่อบุจมูกที่เป็น ตัวรับสารเคมีบางชนิดแล้วเกิดกระแส ประสาทส่งไปยังสมอง - ลิ้นทำหน้าที่รับรส โดยมีตุ่มรับรสกระจายอยู่ทั่วผิวลิ้น ด้านบน ตุ่มรับรสมีเซลล์รับรสอยู่ภายใน เมื่อเซลล์รับรสถูก กระตุ้นด้วยสารเคมีจะกระตุ้นเดนไดรต์ของเซลล์ประสาท เกิดกระแส ประสาทส่งไปยังสมอง - ผิวหนัง มีหน่วยรับสิ่งเร้าหลายชนิด เช่น หน่วยรับสัมผัส หน่วยรับแรงกดหน่วยรับความเจ็บปวดหน่วยรับอุณหภูมิ 9. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ เปรียบเทียบโครงสร้าง และหน้าที่ ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการ เคลื่อนที่ของแมงกะพรุน หมึก ดาวทะเล ไส้เดือนดิน แมลง ปลา และนก - สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดเคลื่อนที่โดยการไหลของไซ โทพลาซึมบางชนิดใช้แฟลเจลลัมหรือซิเลีย ในการเคลื่อนที่ - สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมงกะพรุน เคลื่อนที่โดย อาศัยการหดตัวของเนื้อเยื่อบริเวณ ขอบกระดิ่งและแรงดัน น้ำ - หมึกเคลื่อนที่โดยอาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อ บริเวณ ลำตัว ทำให้น้ำภายในลำตัวพ่นออกมาทางไซฟอน ส่วนดาว ทะเลใช้ระบบท่อน้ำในการ เคลื่อนที่ - ไส้เดือนดินมีการเคลื่อนที่ โดยอาศัยการหดตัว และคลายตัว ของกล้ามเนื้อวงและกล้ามเนื้อตามยาวซึ่งทำงานในสภาวะ ตรงกันข้าม - แมลงเคลื่อนที่โดยใช้ปีกหรือขา ซึ่งมีกล้ามเนื้อ ภายใน เปลือกหุ้มทำงานในสภาวะตรงกันข้าม
64 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - สัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา เคลื่อนที่โดยอาศัย การหด ตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อที่ยึดติดอยู่กับกระดูกสันหลัง ทั้ง 2 ข้าง ทำงานในสภาวะตรงกันข้ามและมีครีบที่อยู่ใน ตำแหน่งต่าง ๆ ช่วยโบกพัดในการเคลื่อนที่ส่วนนกเคลื่อนที่ โดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ กดปีกกับ กล้ามเนื้อยกปีกซึ่งทำงานในสภาวะตรงกันข้าม 10. สืบค้นข้อมูล และอธิบาย โครงสร้างและหน้าที่ของกระดูก และกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการ เคลื่อนไหวและการเคลื่อนที่ของ มนุษย์ 11. สังเกตและอธิบายการทำงาน ของข้อต่อชนิดต่าง ๆ และการ ทำงานของกล้ามเนื้อโครงร่างที่ เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและ การเคลื่อนที่ของมนุษย์ - มนุษย์เคลื่อนที่โดยอาศัยการทำงานของกระดูก และ กล้ามเนื้อซึ่งยึดกันด้วยเอ็นยึดกระดูก - บริเวณที่กระดูกตั้งแต่ 2 ชิ้นมาต่อกัน เรียกว่า ข้อต่อ และ ยึดกันด้วยเอ็นยึดข้อ - กระดูกเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้ค้ำจุนและทำหน้าที่ในการ เคลื่อนไหวของร่างกายแบ่งตามตำแหน่งได้เป็น กระดูกแกน และกระดูกรยางค์ - กล้ามเนื้อในร่างกายมนุษย์แบ่งออกเป็นกล้ามเนื้อโครงร่าง กล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้อเรียบกล้ามเนื้อทั้ง 3 ชนิด พบในตำแหน่งที่ต่างกัน และมีหน้าที่แตกต่างกัน - กล้ามเนื้อโครงร่างส่วนใหญ่ทำงานร่วมกันเป็นคู่ ๆ ใน สภาวะตรงกันข้า 12. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ ยกตัวอย่างการสืบพันธุ์แบบไม่ อาศัยเพศและการสืบพันธุ์แบบ อาศัยเพศในสัตว์ - การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสัตว์เป็นการ สืบพันธุ์ที่ไม่ มีการรวมของเซลล์สืบพันธุ์ เช่น การแตกหน่อและการงอก ใหม่ - การสืบพันธ์แบบอาศัยเพศของสัตว์เป็นการสืบพันธุ์ที่เกิด จากการรวมนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งมีทั้งการปฏิสนธิ ภายนอกและการปฏิสนธิภายในสัตว์บางชนิดมี 2 เพศในตัว เดียวกัน แต่การผสมพันธุ์ส่วนใหญ่จะผสมข้ามตัว 13. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้าง และหน้าที่ของ อวัยวะในระบบ สืบพันธุ์เพศชายและระบบ สืบพันธุ์ เพศหญิง 14. อธิบายกระบวนการสร้าง สเปิร์มกระบวนการ สร้างเซลล์ไข่ และการปฏิสนธิในมนุษ - การสืบพันธุ์ของมนุษย์มีกระบวนการสร้างสเปิร์ม จาก เซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมภายในอัณฑะ และ กระบวนการ สร้างเซลล์ไข่จากเซลล์โอโอโกเนียม ภายในรังไข่ - อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชายประกอบด้วยอัณฑะ ทำหน้าที่ สร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชายและมีโครงสร้างอื่น ๆ ที่ทำ หน้าที่ลำเลียงสเปิร์มสร้างน้ำเลี้ยงสเปิร์ม และสารหล่อลื่นท่อ ปัสสาวะ
65 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิงประกอบด้วย รังไข่ ท่อนำไข่ มดลูก และช่องคลอดรังไข่ทำหน้าที่ สร้างเซลล์ไข่และ ฮอร์โมนเพศหญิง - กระบวนการสร้างสเปิร์มเริ่มต้นจากสเปอร์มาโทโกเนียม แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปอร์มาโท โกเนียมจำนวนมาก ซึ่งต่อมาบางเซลล์พัฒนาเป็นสเปอร์มาโทไซต์โดยสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรกจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิI ได้สเปอร์มาโทไซต์ ระยะที่สองซึ่งจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส IIได้สเปอร์มาทิด ตามลำดับ จากนั้นพัฒนาเป็นสเปิร์ม - กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เริ่มจากโอโอโกเนียม แบ่งเซลล์ แบบไมโทซีสได้โอโอโกเนียม ซึ่งจะพัฒนาเป็นโอโอไซต์ ระยะแรกแล้วแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ I ได้โอโอไซต์ระยะที่สอง ซึ่งจะเกิดการตกไข่ต่อไปเมื่อได้รับการกระตุ้นจากสเปิร์ม โอโอไซต์ระยะที่สองจะแบ่งแบบไมโอซิส II แล้วพัฒนาเป็น เซลล์ไข่ - การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในท่อนำไข่ได้ไซโกต ซึ่งจะเจริญเป็น เอ็มบริโอและไปฝังตัวที่ผนังมดลูก 15. อธิบายการเจริญเติบโตระยะ เอ็มบริโอและระยะหลังเอ็มบริโอ ของกบ ไก่ และมนุษย์ - การเจริญเติบโตของสัตว์เช่น กบ ไก่ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วย น้ำนมจะเริ่มต้นด้วยการแบ่งเซลล์ของไซโกต การเกิดเนื้อเยื่อ เอ็มบริโอ 3 ชั้น คือ เอกโทเดิร์ม เมโซเดิร์ม และเอนโดเดิร์ม การเกิดอวัยวะโดยมีการเพิ่มจำนวนขยายขนาด และ การ เปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์เพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง การเจริญเติบโตของมนุษย์จะมีขั้นตอนคล้ายกับ การ เจริญเติบโตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอื่น ๆ โดยเอ็มบริโอจะ ฝังตัวที่ผนังมดลูกและมีการแลกเปลี่ยนสารระหว่างแม่กับลูก ผ่านทางรก 16. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ เขียนแผนผังสรุป หน้าที่ของ ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อและเนื้อเยื่อ ที่สร้างฮอร์โมน - ฮอร์โมนเป็นสารที่ควบคุมสมดุลต่าง ๆ ของร่างกายโดยผลิต จากต่อมไร้ท่อหรือเนื้อเยื่อโดยต่อมไร้ท่อนี้จะกระจายอยู่ตาม ตำแหน่งต่าง ๆ ทั่วร่างกาย - ต่อมไร้ท่อที่สร้างหรือหลั่งฮอร์โมนไม่มีท่อในการลำเลียง ฮอร์โมนออกจากต่อมจึงถูกลำเลียงโดยระบบหมุนเวียนเลือด ไปยังอวัยวะเป้าหมายที่จำเพาะเจาะจง
66 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - ต่อมไพเนียลสร้างเมลาโทนินซึ่งยับยั้งการเจริญ เติบโตของ อวัยวะสืบพันธุ์ช่วงก่อนวัยเจริญพันธุ์ และตอบสนองต่อการ เปลี่ยนแปลงของแสงในรอบวัน - ต่อมใต้สมองส่วนหน้าสร้างและหลั่งโกรทฮอร์โมน โพรแลก ทิน ACT HTS FSH LH เอนดอร์ฟิน ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกัน - ต่อมใต้สมองส่วนหลังหลั่งฮอร์โมนซึ่งสร้างจากไฮโพทา ลามัส คือ ADH และออกซิโทซิน ซึ่งทำ หน้าที่แตกต่างกัน - ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอกซินซึ่งควบคุมอัตรา เมแทบอลิซึม ของร่างกายและสร้างแคลซิโทนิน ซึ่งควบคุมระดับแคลเซียม ในเลือดให้ปกติ - ต่อมพาราไทรอยด์สร้างพาราทอร์โมนซึ่งควบคุม ระดับ แคลเซียมในเลือดให้ปกติ - ตับอ่อนมีกลุ่มเซลล์ที่สร้างอินซูลินและกลูคากอน ซึ่ง ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ - ต่อมหมวกไตส่วนนอกสร้างกลูโคคอร์ติคอยด์มิเนราโลคอร์ติ คอยด์ และฮอรโ์มนเพศ ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกัน ส่วนต่อม หมวกไตส่วนในสร้างเอพิเนฟรินและนอร์เอพิเนฟริน ซึ่งมี หน้าที่ เหมือนกัน - อัณฑะมีกลุ่มเซลล์สร้างเทสโทสเทอโรน ส่วนรังไข่ มีกลุ่ม เซลล์ที่สร้างอีสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน ซึ่งมีหน้าที่ แตกต่างกัน - เนื้อเยื่อบางบริเวณของอวัยวะ เช่น รก ไทมัสกระเพาะ อาหาร และลำไส้เล็กสามารถสร้าง ฮอร์โมนได้หลายชนิดซึ่ง มีหน้าที่แตกต่างกัน - การควบคุมการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อมีทั้งการควบคุม แบบป้อนกลับยับยั้งและการควบคุม แบบป้อนกลับ- ฟีโรโมน เป็นสารเคมีที่ผลิตจากต่อมมีท่อของสัตว์ซึ่งส่งผลต่อสัตว์ตัว อื่นที่เป็นชนิดเดียวกั 17. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบเทียบ ยกตัวอย่างพฤติกรรม ที่มีมาแต่กำเนิดและพฤติกรรมที่ เกิดจากการเรียนรู้ของสัตว์ - พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมมีผลต่อการแสดง พฤติกรรม - พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิดแบ่งออกได้เป็น หลายชนิด เช่น โอเรียนเตชัน (แทกซิสและ ไคนีซิส) รีเฟล็กซ์ และฟิก แอกชันแพทเทิร์น
67 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 18. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ ยกตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรมกับ วิวัฒนาการของ ระบบประสาท 19. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ ยกตัวอย่างการสื่อสารระหว่างสัตว์ ที่ทำให้สัตว์แสดงพฤติกรรม - พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ แบ่งได้เป็นแฮบบิชูเอชันการ ฝังใจ การเชื่อมโยง (การลองผิดลองถูกและการมีเงื่อนไข) และการใช้เหตุผล - ระดับการแสดงพฤติกรรมที่สัตว์แต่ละชนิด แสดงออกจะ แตกต่างกันซึ่งเป็นผลมาจาก วิวัฒนาการของระบบประสาทที่ แตกต่างกัน - การสื่อสารเป็นพฤติกรรมทางสังคมแบบหนึ่ง ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การสื่อสารด้วยท่าทางการสื่อสารด้วยเสียง การสื่อสาร ด้วยสารเคมี และการสื่อสารด้วยการสัมผัส 3. เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียน สารในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ประชากร และรูปแบบการเพิ่มของประชากรทรพัยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการใช้ ประโยชน์และแนวทางการแก้ไขปัญหา ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.4 - - ม.5 - - ม.6 1. วิเคราะห์ อธิบาย และ ยกตัวอย่างกระบวนการ ถ่ายทอด พลังงานในระบบนิเวศ 2. อธิบาย ยกตัวอย่างการเกิดไบโอ แมกนิฟิเคชัน และบอกแนวทางใน การลดการเกิดไบโอแมกนิฟิเคชัน 3. สืบค้นข้อมูล และเขียนแผนภาพ เพื่ออธิบาย วัฏจักรไนโตรเจน วัฏ จักรกำมะถันและวัฏจักร ฟอสฟอรัส - ระบบนิเวศจะดำรงอยู่ได้ต้องมีกระบวนการต่าง ๆ เกิดขึ้น กระบวนการที่สำคัญ ได้แก่ การถ่ายทอดพลังงาน และการ หมุนเวียนสาร การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศสามารถ แสดงได้ด้วย แผนภาพที่เรียกว่า โซ่อาหาร สายใยอาหารและ พีระมิดทางนิเวศวิทยา - พลังงานที่ถ่ายทอดไปในแต่ละลำดับขั้นการกิน อาหารมี ปริมาณที่ไม่เท่ากันพลังงานส่วนใหญ่จะสูญเสียไปในรูปความ ร้อนระหว่างการถ่ายทอดจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปยังสิ่งมีชีวิตอีก ชนิดหนึ่ง - การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศบางครั้งอาจทำให้มี สารพิษสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตด้วย เรียกว่า การเกิดไบโอแมก นิฟิโคชัน ซึ่งอาจมีระดับความเข้มข้นของสารพิษมากขึ้น ตามลำดับขั้นของการกิน- สารต่าง ๆ ในระบบนิเวศมีการ หมุนเวียนเกิดขึ้น ผ่านทั้งในสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต กลับคืน สู่ระบบอย่างเป็นวัฏจักร
68 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น วัฏจักรไนโตรเจน วัฏจักร กำมะถัน และวัฏจักร ฟอสฟอรัส 4. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่างและ อธิบายลักษณะของไบโอมที่ กระจายอยู่ตามเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ บนโลก - ไบโอมคือระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ตามเขต ภูมิศาสตร์ต่าง ๆ บนโลก เช่น ไบโอมทุนดรา ไบโอมสะวันนา ไบโอมทะเลทราย โดยแต่ละไบโอมจะมีลักษณะเฉพาะของ ปัจจัยทางกายภาพชนิดของพืช และชนิดของสัตว์ 5. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง อธิบาย และเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง แทนที่แบบปฐมภูมิและการ เปลี่ยนแปลงแทนที่แบบทุติยภูม - ระบบนิเวศมีการเปลี่ยนแปลงได้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อย่างช้า ๆ ทำให้ระบบนิเวศสามารถ ปรับสมดุลได้ แต่การ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอาจส่งผลกระทบติ่ องค์ประกอบ ทางชวีภาพในระบบนิเวศทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง แทนที่ของสิ่งมีชีวิตขึ้น - การเปลี่ยนแปลงแทนที่ทางนิเวศวิทยามีทั้งการเปลี่ยนแปลง แทนที่แบบปฐมภูมิและการเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบทุติยภูมิ 6. สืบค้นข้อมูล อธิบายยกตัวอย่าง และสรุปเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะ ของประชากรของสิ่งมีชีวิตบางชนิด 7. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบเทียบ และยกตัวอย่างการ เพิ่มของประชากรแบบเอ็กโพเนน เชียลและการเพิ่มของประชากร แบบลอจิสติก 8. อธิบายยกตัวอย่างปัจจัยที่ ควบคุมการเติบโตของประชากร - ประชากรของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีลักษณะหลายประการที่ เป็นลักษณะเฉพาะ เช่น ขนาด ของประชากรความหนาแน่น ของประชากรการกระจายตัวของสมาชิกในประชากร โครงสร้างอายุของประชากรอัตราส่วนระหว่าง เพศ อัตรา การเกดิและอัตราการตายการอพยพเข้าการอพยพออกของ ประชากร และการรอดชวีติของสมาชิกที่มีอายุต่างกัน - ลักษณะเฉพาะของประชากรมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง ขนาดของประชากรซึ่งเป็น กระบวนการที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ - การเพิ่มประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียลเป็นการ เพิ่มจำนวน ประชากรอย่างรวดเร็วแบบทวีคูณ - การเพิ่มประชากรแบบลอจิสติกเป็นการเพิ่ม จำนวน ประชากรที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมหรือมีตัวต้านทานใน สิ่งแวดล้อมมาเกี่ยวข้อง - การเติบโตของประชากรขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งแบ่งได้เป็น ปัจจัยที่ขึ้นกับความหนาแน่นของประชากรและปัจจัยที่ไม่ ขึ้นกับความหนาแนน่ของประชากร 9. วิเคราะห์ อภิปราย และสรุป ปัญหาการขาดแคลนน้ำ การเกิด มลพิษทางน้ำ และผลกระทบที่มีต่อ - ปัญหาที่เกิดกับทรัพยากรน้ำส่วนใหญ่เกิดจากการปล่อยน้ำ ที่ผ่านการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์และยัง ไม่ได้รับการบำบัดลงสู่แหล่งน้ำทำให้เกิดมลพิษทางน้ำ
69 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม มนุษย์และสิ่งแวดล้อมรวมทั้ง เสนอแนวทางการวางแผนการ จัดการน้ำและการแก้ไขปัญหา - การตรวจสอบคุณภาพน้ำนิยมใช้การหาค่า ปริมาณ ออกซิเจนที่ละลายน้ำ และค่าปริมาณ ออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใน น้ำใช้ในการย่อยสลายสาร อินทรีย์ในน้ำ - การจดัการทรพัยากรน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดควรมีการ วางแผนการใช้น้ำการแก้ไขปัญหา คุณภาพน้ำรวมทั้งการปลูก จิตสำนึกในการใช้น้ำ อย่างถูกต้อ 10. วิเคราะห์ อภิปราย และสรุป ปัญหามลพิษทาง อากาศ และ ผลกระทบที่มีต่อมนุษย์และ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเสนอแนว ทางการแก้ไขปัญหา - การปนเปอื้นของสารเคมีฝุ่นละออง และจุลินทร์ยต่าง ๆ ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งเกิดได้ทั้ง จากธรรมชาติและ จากการกระทำของมนุษย์ - การเกิดมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น การเกิดพายุ การเกิดไฟป่า และการเกิดแก๊สพิษจากการย่อย สลายของจุลินทรีย์ - การเกิดมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการกระทำ ของมนุษย์ เช่น การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในรูปแบบต่าง ๆ - การจัดการทรัพยากรอากาศควรประกอบด้วยการกำหนด นโยบายและวางแผนงานเพื่อป้องกัน และแก้ไข 11. วิเคราะห์ อภิปราย และสรุป ปัญหาที่เกิดกับ ทรัพยากรดิน และ ผลกระทบที่มีต่อมนุษย์และ สิ่งแวดล้อมรวมทั้งเสนอแนว ทางการแก้ไขปัญหา - มลพิษทางดินและปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน ส่วนใหญ่ มีสาเหตุจากการกระทำของมนุษย์ - การจัดการทรัพยากรดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดควรมี การป้องกันและการแก้ปัญหาการเกิด มลพิษและความเสื่อม โทรมของดินรวมทั้งการปลูกจิตสำนึกในการใช้ดินอย่างถูกต้อ 12. วิเคราะห์ อภิปราย และสรุป ปัญหา ผลกระทบที่เกิดจากการ ทำลายป่าไม้รวมทั้งเสนอ แนวทาง ในการป้องกันการทำลายป่าไม้และ การอนุรักษ์ป่าไม้ - พื้นที่ป่าไม้ที่ลดลงอาจมีสาเหตุมาจากธรรมชาติ เช่น ไฟป่า แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรืออาจมีสาเหตุมาจากการ กระทำของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การบุกรุกพื้นที่ ป่าเพื่อครอบครองที่ดินการเผาป่าการทำเหมืองแร่ - พื้นที่ป่าไม้ที่ลดลงทำให้ภูมิประเทศมีสภาพแห้งแล้งเกิด อุทกภัย เกิดการพังทลายของดินตลอดจนการเพิ่มขึ้นของ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นแก๊สเรือนกระจกชนิดหนึ - การจัดการทรัพยากรป่าไม้ควรจัดการให้มีทรัพยากรป่าไม้ คงอยู่อย่างยั่งยืนหรือเพิ่มขึ้น เช่น การกำหนดพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ส่งเสริมการปลูกป่าป้องกันการบุกรุกป่า การใช้ไม้อย่างมี คุณค่าและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปลูกจิตสำนึกเรื่อง การอนุรักษ์ป่าไม้
70 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 13. วิเคราะห์ อภิปราย และสรุป ปัญหา ผลกระทบที่ทำให้สัตว์ป่ามี จำนวนลดลง และแนวทางในการ อนุรักษ์สัตว์ป่า - การลดจำนวนลงของสัตว์ป่าเป็นผลเนื่องมาจาก การกระทำ ของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่คือ การทำให้แหล่งที่อยู่อาศัยลดลง และการล่าสัตว์ป่า - การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าควรมีการดำเนินการ ให้มีพื้นที่ ป่าไม้เพื่อการอยู่อาศัยอย่างเพียงพอรวมทั้งการไม่ทำร้ายสัตว์ ป่าหรือทำให้สัตว์ป่าลดจำนวนลง รวมทั้งการปลูกจิตสำนึกให้ ช่วยกันอนุรักษ์ สาระเคมี 1.เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุสมบัติของธาตุ พันธะเคมี และสมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์รวมทั้ง การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.4 1. สืบค้นข้อมูลสมมติฐาน การ ทดลอง หรือผลการทดลองที่เป็น ประจักษ์พยานในการเสนอ แบบจำลองอะตอมของ นักวิทยาศาสตร์และอธิบาย วิวัฒนาการของแบบจำลองอะตอม - ผลการทดลองที่เป็นประจักษ์พยานในการเสนอ แบบจำลองอะตอมของนักวิทยาศาสตร์และอธิบาย วิวัฒนาการของแบบจำลองอะตอม - นักวิทยาศาสตร์ศึกษาโครงสร้างของอะตอมและเสนอ แบบจำลองอะตอมแบบต่าง ๆ จากการศึกษาข้อมูล การ สังเกต การตั้งสมมติฐานและผลการทดลอง - แบบจำลองอะตอมมีวิวัฒนาการ โดยเริ่มจากดอลตันเสนอ ว่าธาตุประกอบด้วยอะตอมซึ่งเป็น อนุภาคขนาดเล็กไม่ สามารถแบ่งแยกได้ ต่อมาทอมสันเสนอว่าอะตอม ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบ เรียกว่าอิเล็กตรอน และ อนุภาค ประจุบวก รัทเทอร์ฟอร์ดเสนอว่าประจุบวกที่ เรียกว่า โปรตอน รวมตัวกันอยู่ตรงกึ่งกลาง อะตอมเรียกว่า นิวเคลียส ซึ่งมีขนาดเล็กมากและมีอิเล็กตรอนอยู่รอบ นิวเคลียส 2. เขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ และระบุจำนวนโปรตอน นิวตรอน - สัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ ประกอบด้วย สัญลักษณ์ธาตุ เลขอะตอมซึ่งแสดงจำนวน โปรตอนและเลขมวลซึ่ง
71 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม และอิเล็กตรอนของ อะตอมจาก สัญลักษณ์นิวเคลียร์ รวมทั้งบอก ความหมายของไอโซโทป แสดงผลรวมของจำนวน โปรตอนกับนิวตรอน อะตอมของ ธาตุชนิดเดียวกันที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากันแต่มีจำนวน นิวตรอน ต่างกัน เรียกว่า ไอโซโทป 3. อธิบายและเขียนการจัดเรียง อิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลักและ ระดับพลังงานย่อย เมื่อทราบเลข อะตอมของธาตุ 4 ระบุหมู่ คาบ ความเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะของธาตุเรพรี เซนเททีฟและธาตุแทรนซิชันใน ตารางธาตุ 5. วิเคราะห์ และบอกแนวโน้มสมบัติ ของธาตุเรพรีเซนเททีฟตามหมู่และ ตามคาบ 6. บอกสมบัติของธาตุโลหะแทรนซิ ชัน และเปรียบเทียบสมบัติกับธาตุ โลหะในกลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟ 7. อธิบายสมบัติและคำนวณครึ่ง ชีวิตของไอโซโทป กัมมันตรังสี - การศึกษาสเปกตรัมการเปล่งแสงของอะตอมแก๊สทำให้ ทราบว่าอิเล็กตรอนจัดเรียงอยู่รอบๆ นิวเคลียสในระดับ พลังงานหลักต่างๆ และแต่ละระดับพลังงานหลักแบ่งเป็น ระดับพลังงานย่อยซึ่งมีบริเวณที่จะพบอิเล็กตรอนเรียกว่า ออร์บิทัล ได้แตกต่างกัน และอิเล็กตรอนจัดเรียงในออร์ บิทัลให้มีระดับพลังงานต่ำที่สุดสำหรับอะตอมในสถานะพื้น - ตารางธาตุในปัจจุบันจัดเรียงธาตุตามเลขอะตอม และ สมบัติที่คล้ายคลึงกันเป็นหมู่และคาบโดยอาจแบ่งธาตุใน ตารางธาตุเป็นกลุ่มธาตุโลหะ กึ่งโลหะ และอโลหะ นอกจากนี้อาจแบ่งเป็นกลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟและกลุ่ม ธาตุแทรนซิชัน - ธาตุเรพรีเซนเททีฟในหมู่เดียวกันมีจำนวนเวเลนซ์ อิเล็กตรอนเท่ากัน และธาตุที่อยู่ในคาบเดียวกันมีวเลนซ์ อิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลักเดียวกันธาตุเรพรีเซนเท ทีฟมีสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกัน ตามหมู่ และมีแนวโน้ม สมบัติบางประการเป็นไป ตามหมู่และตามคาบ เช่น ขนาด อะตอม รัศมีไอออนพลังงานไอออไนเซชัน อิเล็กโทร เนกาติวิตีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน - ธาตุแทรนซิชันเป็นโลหะที่ส่วนใหญ่มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน เท่ากับ 2 มีขนาดอะตอมใกล้เคียงกันมีจุดเดือดหลอมเหลว และความหนาแน่นสูงเกิดปฏิกิริยากับน้ำได้ช้ากว่าธาตุโลหะ ในกลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟ เมื่อสารประกอบส่วนใหญ่จะมีสี - ธาตุแต่ละชนิดมีไอโซโทป ซึ่งในธรรมชาติบางธาตุมี ไอโซโทปที่แผ่รังสีได้เนื่องจากนิวเคลียสไม่เสถียร เรียกว่า ไอโซโทปกัมมันตรังสีสำหรับ ธาตุกัมมันตรังสีเป็นธาตุที่ทุก ไอโซโทปสามารถแผ่รังสีได้รังสีที่เกิดขึ้น เช่น รังสีแอลฟา รังสีบีตารังสีแกมมาโดยครึ่งชีวิตของไอโซโทปกัมมันตรังสี เป็นระยะเวลาที่ไอโซโทปกัมมันตรังสีสลายตัวจนเหลือ ครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิม
72 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 8. สืบค้นข้อมูล และยกตัวอย่างการ นำธาตุมาใช้ประโยชน์รวมทั้ง ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม - สมบัติบางประการของธาตุแต่ละชนิดทำให้สามารถนำ ธาตุไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายทั้งนี้ การนำธาตุไปใช้ต้อง ตระหนักถึงผลกระทบที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสารกัมมันตรังสีซึ่งต้องมี การจัดการอย่างเหมาะสม 9. อธิบายการเกิดไอออนและการ เกิดพันธะไอออนิก โดยใช้แผนภาพ หรือสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส - สารเคมีเกิดจากการยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเคมี ซึ่ง เกี่ยวข้องกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่แสดงได้ด้วย สัญลักษณ์ แบบจุดของลิวอิส โดยการเกิดพันธะเคมีส่วนใหญ่เป็นไป ตามกฎออกเตต - พันธะไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่าง ประจุไฟฟ้า ของไอออนบวกกับไอออนลบส่วนใหญ่ไอออนบวกเกิดจาก โลหะเสียอิเล็กตรอน และไอออนลบเกิดจากอโลหะรับ อิเล็กตรอนสารประกอบที่เกิดจากพันธะไอออนิก เรียกว่า สารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิก ไม่อยู่ในรูป โมเลกุล แต่เป็นโครงผลึกที่ประกอบ ด้วยไอออนบวกและ ไอออนลบจัดเรียงตัวต่อเนื่อง กันไปทั้งสามมิติ 10. เขียนสูตร และเรียกชื่อ สารประกอบไอออนิก - สารประกอบไอออนิกเขียนแสดงสูตรเคมีโดยให้ สัญลักษณ์ธาตุที่เป็นไอออนบวกไว้ข้างหน้าตาม ด้วย สัญลักษณ์ธาตุที่เป็นไอออนลบ โดยมีตัวเลข แสดง อัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวนไอออนที่เป็นองค์ประกอบ - การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิกทำได้โดย เรียกชื่อ ไอออนบวกแล้วตามด้วยชื่อไอออนลบสำหรับสารประกอบ ไอออนิกที่เกิดจากโลหะที่มีเลขออกซิเดชันได้หลายค่าต้อง ระบุเลข ออกซิเดชันของโลหะด้วย 11. คำนวณพลังงานที่เกี่ยวข้องกับ ปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบไอ 12. อธิบายสมบัติของสารประกอบ ออนิกจากวัฏจักรบอร์น-ฮาเบอร์ ไอออนิก - ปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบไอออนิกจากธาตุ เกี่ยวข้อง กับปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอนมีทั้งที่เป็นปฏิกิริยาดูด พลังงานและคายพลังงาน - สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นผลึกของแข็ง เปราะมีจุดหลอมเหลวและ จุดเดือดสูงละลายน้ำแล้วแตก ตัวเป็นไอออน เรียกว่า สารละลายอิเล็กโทรไลต์ เมื่อเป็น ของแข็งไม่นำไฟฟ้าแต่ถ้าทำให้หลอมเหลวหรือละลายในน้ำ จะนำไฟฟ้า
73 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - สารละลายของสารประกอบไอออนิกแสดงสมบัติความ เป็นกรด-เบส ต่างกัน สารละลายของ สารประกอบคลอไรด์ มีสมบัติเป็นกลางและ สารละลายของสารประกอบออกไซด์ มีสมบัติเป็นเบส 13. เขียนสมการไอออนิกและสมการ ไอออนิกสุทธิของปฏิกิริยาของ สารประกอบไอออนิก 14. อธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์ แบบพันธะเดี่ยวพันธะคู่และพันธะ สามด้วยโครงสร้างลิวอิส - ปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิกสามารถเขียน แสดง ด้วยสมการไอออนิกหรือสมการไอออนิกสุทธิโดยที่สมการ ไอออนิกแสดงสารตั้งต้นและ ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่แตกตัวได้ ในรูปของไอออน ส่วนสมการไอออนิกสุทธิแสดงเฉพาะ ไอออนที่ทำปฏิกิริยากัน และผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น - พันธะโคเวเลนต์เป็นการยึดเหนี่ยวที่เกิดขึ้นภายใน โมเลกุลจากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันของธาตุซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นธาตุอโลหะ โดยทั่วไปจะเป็นไปตามกฎออก เตตสารที่ยึดเหนี่ยวกันด้วย พันธะโคเวเลนต์เรียกว่า สาร โคเวเลนต์ พันธะโคเวเลนต์เกิดได้ทั้งพันธะเดี่ยวพันธะคู่ และพันธะสาม ซึ่งสามารถเขียนแสดงได้ด้วยโครงสร้าง ลิวอิสโดยแสดงอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะด้วยจุดหรือเส้นและ แสดงอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของแต่ละอะตอม 15. เขียนสูตร และเรียกชื่อสาร โคเวเลนต์ - สูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ โดยทั่วไปเขียนแสดงด้วย สัญลักษณ์ของธาตุเรียงลำดับตามค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีจาก น้อยไปมากโดยมีตัวเลขแสดงจำนวนอะตอมของธาตุที่มี มากกว่า 1 อะตอมในโมเลกุล - การเรียกชื่อสารโคเวเลนต์ทำได้โดยเรียกชื่อธาตุที่อยู่หน้า ก่อนแล้วตามด้วยชื่อธาตุที่อยู่ถัดมาโดยมีคำนำหน้าระบุ จำนวนอะตอมของธาตุที่เป็นองค์ประกอบ 16. วิเคราะห์ และเปรียบเทียบความ ยาวพันธะ และพลังงานพันธะในสาร โคเวเลนต์รวมทั้ง คำนวณพลังงานที่ เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของ สารโคเว เลนต์จากพลังงานพันธะ - ความยาวพันธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ ขึ้นกับชนิดของอะตอมคู่ร่วมพันธะและชนิดของพันธะโดย พันธะเดี่ยวพันธะคู่ และพันธะสามมีความยาวพันธะและ พลังงานพันธะแตกต่างกันนอกจากนี้โมเลกุลโคเวเลนต์บาง ชนิดมีค่าความยาวพันธะและพลังงานพันธะ แตกต่างจาก ของพันธะเดี่ยวพันธะคู่ และพันธะสาม ซึ่งสารเหล่านี้ สามารถเขียนโครงสร้างลิวอิสที่เหมาะสมได้มากกว่า 1 โครงสร้างที่เรียกว่า โครงสร้างเรโซแนนซ์
74 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 17. คาดคะเนรูปร่างโมเลกุล โคเวเลนต์ โดยใช้ทฤษฎีการผลัก ระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และระบุสภาพขั้วของโมเลกุล โคเวเลนต์ - รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์อาจพิจารณาโดยใช้ทฤษฎี การผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR) ซึ่ง ขึ้นอยู่กับจำนวนพันธะและจำนวน อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว รอบอะตอมกลางโมเลกุลโคเวเลนต์มีทั้งโมเลกุลมีขั้วและไม่ มีขั้วสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์เป็นผลรวม ปริมาณ เวกเตอร์สภาพขั้วของแต่ละพันธะตามรูปร่างโมเลกุล 18. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยว ระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์และ เปรียบเทียบจุดหลอมเหลว จดุเดอืด และการละลายนำ้ของสารโคเวเลนต - แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ซึ่งอาจเป็นแรงแผ่กระจาย ลอนดอนแรงระหว่างขั้ว และพันธะไฮโดรเจนมีผลต่อจุด หลอมเหลว จุดเดือดและการละลายน้ำของสาร ยังมีจุด หลอมเหลว และจุดเดือดต่ำกว่าสารประกอบไอออนิก เนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีค่าน้อย - สารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่มีจุดหลอมเหลวและ จุดเดือดต่ำ และไม่ละลายในน้ำ สำหรับสารโคเวเลนต์ที่ละลายน้ำมีทั้ง แตกตัวและไม่แตกตัว เป็นไอออน สารละลายที่ได้จากสาร ที่ไม่แตกตัว เป็นไอออนจะไม่นำไฟฟ้า เรียกว่า สารละลาย นอนอิเล็กโทรไลต์ ส่วนสารละลายที่ได้จากสารที่แตกตัว เป็นไอออนจะนำไฟฟ้า เรียกว่าสารละลายอิเล็กโทรไลต์ สารละลายของสารประกอบคลอไรด์และออกไซด์จะมี สมบัติเป็นกรด 19. สืบค้นข้อมูล และอธิบายสมบัติ ของสารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่าย ชนิดต่างๆ - สารโคเวเลนต์บางชนิดที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่ และมีพันธะโคเวเลนต์ต่อเนื่องเป็นโครงร่างตาข่ายจะมีจุด หลอมเหลวและ จุดเดือดสูงสารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่ายที่ มีธาตุองค์ประกอบเหมือนกันแต่มีอัญรูปต่างกัน จะมีสมบัติ ต่างกัน เช่น เพชร แกรไฟต์ 20. อธิบายการเกิดพันธะโลหะและ สมบัติของโลหะ - พันธะโลหะเกิดจากเวเลนซ์อิเล็กตรอนของทุกอะตอมของ โลหะเคลื่อนที่อย่างอิสระไปทั่วทั้งโลหะ และเกิดแรงยึด เหนี่ยวกับโปรตอนในนิวเคลียสทุกทิศทาง -โลหะส่วนใหญ่เป็นของแข็งมีผิวมันวาวสามารถตีเป็นแผ่น หรือดึงเป็นเส้นได้นำความร้อนและนำไฟฟ้าได้ดี 21. เปรียบเทียบสมบัติบางประการ ของสารประกอบ ไอออนิกสารโคเว เลนต์ และโลหะ นำเสนอตัวอย่าง การใช้ประโยชน์ได้ - สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะมีสมบัติ เฉพาะตัวบางประการที่แตกต่างกัน เช่น จุดเดือด จุด หลอมเหลว การละลายน้ำการนำ ไฟฟ้า จึงสามารถนำมาใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสม
75 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.5 1. อธิบายความสัมพันธ์และคำนวณ ปริมาตรความดัน หรืออุณหภูมิของ แก๊สที่ภาวะต่าง ๆ ตามกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล กฎของเกย์-ลูสแซก 2. คำนวณปริมาตรความดันหรือ อุณหภูมิของแก๊สที่ภาวะต่าง ๆ ตาม กฎรวมแก๊ส - พฤติกรรมของแก๊สและความสัมพันธ์ระหว่าง ปริมาตร ความดันและอุณหภูมิของแก๊สอธิบาย ได้ด้วยกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล กฎของเกย์-ลูสแซก และกฎรวมแก๊ส ซึ่ง สามารถนำมาใช้ในการคำนวณปริมาตรความดันหรือ อุณหภูมิของแก๊สที่ภาวะต่าง ๆ ได้ 3. คำนวณปริมาตร ความดัน อุณหภูมิจำนวนโมล หรือมวลของ แก๊สจากความสัมพันธ์ตามกฎของ อาโวกาโดรและกฎแก๊สอุดมคติ - ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรและจำนวนโมล หรือมวล ของแก๊สอธิบายด้วยกฎของอาโวกาโดรสำหรับ ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรความดันอุณหภูมิและจำนวน โมลของแก๊สอธิบายได้ด้วยกฎแก๊สอุดมคติซึ่งสามารถ นำมาใช้ในการคำนวณและการอธิบายการเปลี่ยนแปลงที่ เกี่ยวข้องกับจำนวนโมลของแก๊สที่ภาวะต่าง ๆ ได้ 4. คำนวณความดันย่อยหรือจำนวน โมลของแก๊สในแก๊สผสม โดยใช้กฎ ความดันย่อยของดอลตัน 5. อธิบายการแพร่ของแก๊สโดยใช้ ทฤษฎีจลน์ของแก๊สคำนวณและ เปรียบเทียบอัตราการแพร่ของแก๊ส โดยใช้กฎการแพร่ผ่านของเกรแฮม 6. สืบค้นข้อมูล นำเสนอตัวอย่าง และอธิบายการ ประยุกต์ใช้ความรู้ เกี่ยวกับสมบัติและกฎต่างๆของแก๊ส ในการอธิบายปรากฏการณ์หรือ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน - ในธรรมชาติแก๊สส่วนใหญ่อยู่รวมกันเป็นแก๊สผสม ในกรณีที่แก๊สในแก๊สผสมไม่ทำปฏิกิริยากันความดันของ แก๊สแต่ละชนิดแปรผันตามเศษส่วน โมลของแก๊สที่มีอยู่ใน แก๊สผสมตามกฎความดันย่อยของดอลตัน - แก๊สสามารถแพร่ได้การแพร่ของแก๊สอธิบายได้ด้วยทฤษฎี จลน์ของแก๊สที่อุณหภูมิเดียวกันแก๊สจะแพร่ได้ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับมวลโมเลกุล ของแก๊สอัตราการแพร่ของแก๊สเป็น สัดส่วน ผกผันกับรากที่สองของมวลโมเลกุลของแก๊ส สัมพันธ์กับกฎการแพร่ผ่านของเกรแฮม - สมบัติและกฎต่าง ๆ ของแก๊สสามารถนำไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ หรือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและใน อุตสาหกรรม ม.6 1. สืบค้นข้อมูลและนำเสนอตัวอย่าง สารประกอบ อินทรีย์ที่มีพันธะเดี่ยว พันธะคู่ หรือพันธะสามที่พบใน ชีวิตประจำวัน 2. เขียนสตูรโครงสร้างลิวอิสสูตร โครงสร้างแบบย่อและสูตรโครงสร้าง แบบเส้นของสารประกอบอินทรีย์ - สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ คาร์บอนส่วน ใหญ่พบในสิ่งมีชีวิตมีโครงสร้าง หลากหลายและแบ่งได้ หลายประเภทเนื่องจาก ธาตุคาร์บอนสามารถเกิดพันธะ โคเวเลนต์กับธาตุคาร์บอนด้วยพันธะเดี่ยว พันธะคู่ พันธะ สามนอกจากนี้ยังสามารถเกิดพันธะโคเวเลนต์กับธาตุอื่น ๆ ได้อีกด้วย
76 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 3. วิเคราะห์โครงสร้างและระบุ ประเภทของสารประกอบอินทรีย์ จากหมู่ฟังก์ชัน - โครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์แสดงได้ด้วยสูตร โครงสร้างลิวอิสสูตรโครงสร้างแบบย่อหรือสูตรโครงสร้าง แบบเส้น - สารประกอบอินทรีย์มีหลายประเภทการพิจารณา ประเภทของสารประกอบอินทรีย์อาจใช้หมู่ฟังก์ชันเป็น เกณฑ์ได้เป็นแอลเคน แอลคีน แอลไคน์ อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน แอลกอฮอล์ อีเทอร์ เอมีน แอลดีไฮด์คีโตน กรดคาร์บอกซิลิก เอสเทอร์ เอไมด์ 4.เขียนสูตรโครงสร้างและเรียกชื่อ สารประกอบ อินทรีย์ประเภทต่าง ๆ ที่มีหมู่ฟังก์ชันไม่เกิน 1 หมู่ ตาม ระบบ IUPAC 5. เขียนไอโซเมอร์โครงสร้างของ สารประกอบ อินทรีย์ประเภทต่าง ๆ 6. วิเคราะห์ และเปรียบเทียบจุด เดือดและการละลายในน้ำของ สารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ฟังก์ชัน ขนาดโมเลกุล หรือโครงสร้างต่างกัน 7. ระบุประเภทของสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน และเขียนผลิตภัณฑ์ จากปฏิกิริยาการเผาไหม้ ปฏิกิริยา กับโบรมีน หรือปฏิกิริยากับ โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต - การเรียกชื่อสารประกอบอินทรีย์ประเภทแอลเคน แอ ลคีน แอลไคน์ แอลกอฮอล์อีเทอร์ เอมีน แอลดีไฮด์คีโตน กรดคาร์บอกซิลิกเอสเทอร์ และเอไมด์ จะเรียกตามระบบ IUPAC หรืออาจเรียกโดยใช้ชื่อสามัญ - ปรากฏการณ์ที่สารมีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่มีสมบัติ แตกต่างกัน เรียกว่า ไอโซเมอริซึม และ เรียกสารแต่ละ ชนิดว่า ไอโซเมอร์ ไอโซเมอร์ที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่ มีสูตรโครงสร้างต่างกัน เรียกว่า ไอโซเมอร์โครงสร้าง - สารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ฟังก์ชันขนาดโมเลกุล หรือ โครงสร้างของสารต่างกันจะมีจุดเดือดและ การละลายใน น้ำต่างกันสำหรับการละลายของ สารพิจารณาได้จากความ มีขั้วของตัวละลายและตัวทำละลาย - สารประกอบอินทรีย์ประเภทแอลเคน แอลคีน แอลไคน์ อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน เป็น สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเมื่อเกิดปฏิกิริยา การเผาไหม้ปฏิกิริยากับโบรมีนและ ปฏิกิริยากับ โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตจะให้ผลของ ปฏิกิริยาต่างกัน 8. เขียนสมการเคมีและอธิบายการ เกิดปฏิกิริยา เอสเทอริฟิเคชัน ปฏิกิริยาการสังเคราะห์เอไมด์ ปฏิกิริยาไฮโดรลซิสิ และปฏิกิริยาสะ ปอนนฟิเคชัน 9. ทดสอบปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ปฏิกิริยา ไฮโดรลิซิส และปฏิกิริยา สะปอนนิฟิเคชัน - กรดคาร์บอกซิลิกทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ได้เป็นเอส เทอร์ เรียกว่า ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน กรดคาร์บอกซิลิก ทำปฏิกิริยากับเอมีนเกิดเป็นเอไมด์เอสเทอร์และเอไมด์ สามารถเกิดปฏิกิริยา ไฮโดรลิซิส ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสของ เอสเทอร์ในเบสแอลคาไล เรียกว่า ปฏิกิริยาสะปอน นิฟิเิคชัน
77 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 10. สืบค้นข้อมูล และนำเสนอ ตัวอย่างการนำ สารประกอบอินทรีย์ ไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ประจำวันและ อุตสาหกรรม 11. ระบุประเภทของปฏิกิริยาการ เกิดพอลิเมอร์จากโครงสร้างของ มอนอเมอร์หรือพอลิเมอร์ 12. วิเคราะห์ และอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่าง โครงสร้างและ สมบัติของพอลิเมอร์ รวมทั้งการ นำไปใช้ประโยชน 13. ทดสอบ และระบุประเภทของ พลาสติกและผลิตภัณฑ์ยางรวมทั้ง การนำไปใช้ประโยชน์ 14. อธิบายผลของการปรับเปลี่ยน โครงสร้างและการสังเคราะห์พอลิ เมอร์ที่มีต่อสมบัติของพอลิเมอร์ - สารประกอบอินทรีย์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นและตัวทำ ละลายในอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมเชื้อ เพลงิและพลงังาน อุตสาหกรรมอาหารและยา อุตสาหกรรม เกษตร - พอลิเมอร์เป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วย หน่วยย่อยที่เรียกว่า มอนอเมอร์ เชื่อมต่อกันด้วยพันธะโคเว เลนต์ โดยมีทั้งพอลิเมอร์ธรรมชาติและพอลิเมอร์สังเคราะห์ ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์อาจเป็นปฏิกิริยาแบบ ควบแน่น หรือปฏิกิริยาแบบเติมขึ้นอยู่กับหมู่ฟังก์ชันและโครงสร้าง ของมอนอเมอร์ - พอลิเมอร์มีโครงสร้างต่างกันอาจเป็นโครงสร้างแบบเส้น แบบกิ่ง หรือแบบร่างแหขึ้นอยู่กับชนิด ของมอนอเมอร์และ ภาวะของปฏิกิริยาการเกิด พอลิเมอร์ซึ่งโครงสร้างของพอลิ เมอร์ส่งผลต่อ จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น ความเปราะ ความเหนียว ความยืดหยุ่น จึงสามารถนำไป ประยุกต์ใช้ได้ อย่างหลากหลาย - พอลิเมอร์ที่ให้ความร้อนแล้วสามารถนำกลับมาขึ้นรูป ใหม่ได้ เรียกว่า พอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกส่วนใหญ่มี โครงสร้างแบบเส้นและแบบกิ่งส่วนพอลิเมอร์ที่ให้ความร้อน แล้วไม่อ่อนตัวจึงไม่สามารถนำกลับมาขึ้นรูปใหม่ได้ เรียกว่า พอลิเมอร์เทอร์มอเซต มี - การปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือการสังเคราะห์พอลิเมอร์ เช่น วัลคาไนเซชัน การสังเคราะห์ โคพอลิเมอร์ การ สังเคราะห์พอลิเมอร์นำไฟฟ้าเป็นการปรับปรุงคุณภาพของ พอลิเมอร์เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างเหมาะสมและหลากหลายมากขึ้น 15. สืบค้นข้อมูล และนำเสนอ ตัวอย่างผลกระทบ จากการใช้และ การกำจัดผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์และ แนวทางแก้ไข - การใช้และการกำจัดผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ อาจส่งผล กระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมจึงควร ตระหนักถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไข
78 2. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมีปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมีอัตราการเกิด ปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมีสมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า รวมทั้งการนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.4 1. แปลความหมายสัญลักษณ์ใน สมการเคมีเขียนและดุลสมการเคมี ของปฏิกิริยาเคมีบางชนิด - ปฏิกิริยาเคมี เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีสารใหม่ เกิดขึ้น จากการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมธาตุ โดยจำนวนและชนิด ของอะตอมธาตุไม่เปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาเคมีเขียนแสดงได้ ด้วยสมการเคมี ซึ่งประกอบด้วยสูตรเคมีของสารตั้งต้นและ ผลิตภัณฑ์ลูกศรแสดงทิศทางของการเกิด ปฏิกิริยา และเลข สัมประสิทธิ์ของสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ที่ดุลแล้วนอกจากนี่ อาจมีสัญลักษณ์แสดงสถานะของสารหรือปัจจัยอื่นที่ เกี่ยวข้องในการเกิดปฏิกิริยาเคมี - การดุลสมการเคมีทำได้โดยการเติมเลขสัมประสิทธิ์หน้าสาร ตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ เพื่อให้อะตอมของธาตุในสารตั้งต้นและ ผลิตภัณฑ์เท่ากัน 2. คำนวณปริมาณของสารใน ปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องกับมวลสาร 3. คำนวณปริมาณของสารใน ปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องกับความ เข้มข้นของสารละลาย 4. คำนวณปริมาณของสารใน ปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องกับปริมาตร แก๊ส - การเปลี่ยนแปลงปริมาณสารในปฏิกิริยาเคมีมีความสัมพันธ์ กันตามเลขสัมประสิทธิ์ในสมการเคมี ซึ่งบอกถึงอัตราส่วนโดย โมลของสารในปฏิกิริยาสามารถนำมาใช้ในการคำนวณ ปริมาณของสารที่เกี่ยวข้องกับมวล ความเข้มข้น ของ สารละลายและปริมาตรของแก๊สได้ 5. คำนวณปริมาณของสารใน ปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน 6. ระบุสารกำหนดปริมาณและ คำนวณปริมาณสารต่าง ๆ ใน ปฏิกิริยาเคมี 7. คำนวณผลได้ร้อยละของ ผลิตภัณฑ์ในปฏิกิริยาเคมี - ความสัมพันธ์ของโมลสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ในปฏิกิริยา เคมีหลายขั้นตอนพิจารณาได้จากเลขสัมประสิทธิ์ของสมการ เคมีรวม - ปฏิกิริยาเคมีที่สารตั้งต้นทำปฏิกิริยาไม่พอดีกัน สารตั้ง ต้นที่ทำปฏิกิริยาหมดก่อน เรียกว่า สารกำหนดปริมาณซึ่งเป็น สารที่กำหนดปริมาณ ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นและปริมาณสารตั้ง ต้นอื่นที่ทำปฏิกิริยาไปเมื่อสิ้นสุดปฏิกิริยา - ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงในปฏิกิริยาเคมีส่วนใหญ่มีปริมาณ น้อยกว่าที่คำนวณได้ตามทฤษฎี ซึ่งค่าเปรียบเทียบผลได้จริง กับผลได้ตามทฤษฎีเป็นร้อยละ เรียกว่า ผลได้ร้อยละ
79 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.5 1. ทดลอง และเขียนกราฟการ เพิ่มขึ้นหรือลดลง ของสารที่ทำการ วัดในปฏิกิริยา 2. คำนวณอัตราการเกิดปฏิกิริยา เคมี และเขยีนกราฟ การลดลงหรือ เพิ่มขึ้นของสารที่ไม่ได้วัดใน ปฏิกิริยา - ปฏิกิริยาเคมีแต่ละปฏิกิริยามีอัตราการเกินปฏิกิริยาเคมี ต่างกัน โดยอาจวัดจากการลดลงของสารตั้งต้นหรือการ เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ต่อหนึ่งหน่วยเวลา และหารด้วยเลข สัมประสิทธิ์ของสารนนั้น ๆ ในสมการเคมีเพื่อให้ได้อัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมีที่เท่ากันไม่ว่าจะเป็นการวัดจากสารตั้งต้น หรือผลิตภัณฑ์ 3. เขียนแผนภาพและอธิบายทิศ ทางการชนกันของอนุภาคและ พลังงานที่ส่งผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี - ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่ออนุภาคของสารตั้งต้นชน กันในทิศทางที่เหมาะสมและมีพลังงานอย่างน้อยเท่ากับ พลังงานก่อกัมมันต์ดังนั้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาจึงขึ้นกับทิศ ทางการชนและพลังงานที่เกิดจากการชน 4. ทดลอง และอธิบายผลของความ เข้มข้นพื้นที่ผิวของสารตั้งต้น อุณหภูมิและตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีต่อ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 5. เปรียบเทียบอัตราการ เกิดปฏิกิริยาเมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงความเข้มข้นพื้นที่ผิว ของสารตั้งต้นอุณหภูมิ และตัวเร่ง ปฏิกิริยา - อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสารหนึ่ง ๆ ขึ้นอยู่กับความ เข้มข้น พื้นที่ผิว อุณหภูมิตัวเร่งและตัวหน่วงปฏิกิริยา นอกจากนี้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมียังขึ้นอยู่กับชนิดของสาร ที่ทำปฏิกิริยาด้วย 6. ยกตัวอย่าง และอธิบายปัจจัยที่ มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ในชีวิตประจำวัน หรืออุตสาหกรรม - ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิด ปฏิกิริยาเคมี สามารถนำมาใช้อธิบายกระบวนการที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจำวันหรืออุตสาหกรรม 7. ทดสอบ และอธิบายความหมาย ของปฏิกิริยาผันกลับได้และภาวะ สมดุล 8. อธิบายการเปลี่ยนแปลงความ เข้มข้นของสารอัตราการ เกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าและอัตรา การเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ เมื่อเริ่ม ปฏิกิริยาจนกระทั่งระบบอยู่ใน ภาวะสมดุ - ปฏิกิริยาเคมีที่สามารถดำเนินไปข้างหน้าและย้อนกลับได้ เรียกว่า ปฏิกิริยาผันกลับได้ เมื่อปฏิกิริยาดำเนินไปความ เข้มข้นของสารตั้งต้นและอัตราการเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าจะ ลดลงส่วนความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์และอัตราการเกิด ปฏิกิริยาย้อนกลับจะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราการเกิด ปฏิกิริยาไป ข้างหน้าเท่ากับอัตราการเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับระบบจะอยู่ใน ภาวะสมดุลที่มีความเข้มข้นของสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์คงที่ เรียกว่า สมดุลพลวัต
80 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 9. คำนวณค่าคงที่สมดุลของ ปฏิกิริยา 10. คำนวณความเข้มข้นของสารที่ ภาวะสมดุล - ณ ภาวะสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้น ของ ผลิตภัณฑ์กับสารตั้งต้นแสดงได้ด้วยค่าคงที่สมดุล ซึ่งเป็น ค่าคงที่ ณ อุณหภูมิหนึ่ง 11. คำนวณค่าคงที่สมดุลหรือความ เข้มข้นของปฏิกิริยาหลายขั้นตอน 12. ระบุปัจจัยที่มีผลต่อภาวะ สมดุลและค่าคงที่สมดุลของระบบ รวมทั้งคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นเมื่อภาวะสมดุลของระบบ ถูกรบกวน โดยใช้หลักของ เลอชาเตอลิเอ 13. ยกตัวอย่าง และอธิบายสมดุล เคมีของกระบวนการที่เกิดขึ้นใน สิ่งมีชีวิตปรากฏการณ์ในธรรมชาติ และกระบวนการในอุตสาหกรรม - ค่าคงที่สมดุลของปฏิกิริยาหลายขั้นตอนหาได้จากผลคูณ ของค่าคงที่สมดุลของปฏิกิริยาย่อยที่นำ สมการเคมีมารวมกัน โดยถ้ามีการคูณสมการย่อย ให้ยกกำลังค่าคงที่สมดุลด้วยตัว เลขที่คูณและ หากมีการกลับข้างสมการให้กลับค่าคงที่สมดุล เป็นตัวหาร - เมื่อระบบที่อยู่ในภาวะสมดุลถูกรบกวน โดยการ เปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสาร ความดันหรือ อุณหภูมิ ระบบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ ภาวะสมดุลอีกครั้ง ตามหลักของเลอชาเตอลิเอ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมี ผลทำให้ค่าคงที่สมดุลเปลี่ยนแปลง - ความรู้เกี่ยวกับสมดุลเคมีสามารถนำมาใช้อธิบาย กระบวนการที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตปรากฏการณ์ในธรรมชาติ และกระบวนการในอุตสาหกรรม 14. ระบุและอธิบายว่าสารเป็นกรด หรือเบสโดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของ อาร์เรเนียสเบรินสเตด-ลาวรีและ ลิวอิส 15. ระบุคู่กรด-เบสของสารตาม ทฤษฎีกรด-เบส ของเบรินสเตดลาวร 16. คำนวณและเปรียบเทียบ ความสามารถในการแตกตัวหรือ ความแรงของกรดและเบส - สารในชีวิตประจำวันหลายชนิดมีสมบัติเป็นกรด หรือเบสซึ่ง พิจารณาได้โดยใช้ทฤษฎีกรด-เบส ของอาร์เรเนียสเบรินเตดลาวรีหรือลิวอิส - ตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด–ลาวรีเมื่อ กรดหรือเบส ละลายน้ำหรือทำปฏิกิริยากับสารอื่นจะมีการถ่ายโอน โปรตอนระหว่างสารตั้งต้นที่เป็นกรดและเบสเกิดเป็น ผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็น โมเลกุลหรือไอออนที่เป็นคู่กรด-เบสของ สารตั้งต้นนั้นโดยสารที่เป็นคู่กรด-เบสกันจะมีโปรตอน ต่างกัน 1 โปรตอน - กรดและเบสแต่ละชนิดสามารถแตกตัวในน้ำได้แตกต่างกัน กรดแก่หรือเบสแก่สามารถแตกตัว เป็นไอออนในน้ำได้เกือบ สมบูรณ์ส่วนกรดอ่อน หรือเบสอ่อนแตกตัวเป็นไอออนได้ น้อยโดยความสามารถในการแตกตัวหรือความแรง ของกรด หรือเบสอาจพิจารณาได้จากค่าคงที่การแตกตัวของกรดหรือ เบส หรือปริมาณการแตกตัวเป็นร้อยละของกรดหรือเบส
81 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 17. คำนวณค่า pH ความเข้มข้น ของไฮโดรเนียม ไอออนหรือไฮดร อกไซด์ไอออนของสารละลายกรด และเบส - น้ำบริสุทธิ์ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสแตกตัว ให้ไฮโดร เนียมไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออนที่มีความเข้มข้นเท่ากัน คือ 1.0 x 10-7 โมลต่อลิตร โดยมีค่าคงที่การแตกตัวของน้ำ เท่ากับ 1.0 x 10-14 เมื่อกรดหรือเบสแตกตัวในน้ำค่าความ เป็นกรดเบสของสารละลายแสดงได้ด้วยค่า pH ซึ่งสัมพันธ์ กับความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน โดยสารละลายกรดมี ความเข้มข้นของไฮโดรเนียม ไอออนมากกว่า 1.0 x 10-7 โมลต่อลิตร หรือมีค่า pH น้อยกว่า 7 ส่วนสารละลายเบสมี ความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนน้อยกว่า 1.0 x 10-7 โมล ต่อลิตร หรือมีค่า pH มากกว่า 7 18. เขียนสมการเคมีแสดงปฏิกิริยา สะเทินและระบุความเป็นกรด-เบส ของสารละลายหลังการสะเทิน - ปฏิกิริยาสะเทินระหว่างกรดแก่และเบสแก่ให้สารละลายที่ เป็นกลางปฏิกิริยาสะเทิน ระหว่างกรดแก่และเบสอ่อนให้ สารละลายที่เป็นกรดส่วนปฏิกิริยาสะเทินระหว่างกรดอ่อน และเบสแก่ให้สารละลายที่เป็นเบส 19. เขียนปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสของ เกลือ และระบุความเป็นกรด-เบส ของสารละลายเกลื - เกลือที่ได้จากการสะเทินของกรดแก่ด้วยเบสอ่อน เมื่อ ละลายในน้ำจะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสได้สารละลายที่มี สมบัติเป็นกรด ส่วนเกลือที่ได้จากการสะเทินของกรดอ่อน ด้วยเบสแก่ เมื่อละลาย ในน้ำจะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสได้ สารละลายที่มีสมบัติเป็นเบบ 20. ทดลอง และอธิบายหลักการ การไทเทรต และเลือกใช้อินดิเค เตอร์ที่เหมาะสมสำหรับการ ไทเทรตกรด-เบส - การไทเทรตเป็นเทคนิคในการวิเคราะห์หาปริมาณ หรือ ความเข้มข้นของสารที่ทำปฏิกิริยาพอดีกันจุดที่สารทำ ปฏิกิริยาพอดีกันเรียกว่า จุดสมมูล ในทางปฏิบัตจุดสมมูล ของปฏิกิริยาอาจไม่สามารถสังเกตเห็นได้จึงสังเกตจากการ เปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์เพื่อบอกจุดยุติของการไทเทรต ดังนั้นอินดิเคเตอร์ที่เหมาะสมในการไทเทรตกรด-เบส ควร เป็นอินดิเคเตอร์ที่เปลี่ยนสีในช่วง pH 21. คำนวณปริมาณสารหรือความ เข้มข้นของ สารละลายกรดหรือ เบสจากการไทเทรต 22. อธิบายสมบัติองค์ประกอบ และประโยชน์ของสารละลาย บัฟเฟอร์ - ปริมาณกรดและเบสที่ทำปฏิกิริยาพอดีกันจากการไทเทรต กรด-เบส สามารถนำไปคำนวณความเข้มข้นของกรดหรือเบส ที่ต้องการทราบ ความเข้มข้นได้ - สารละลายบัฟเฟอร์เป็นสารละลายของกรดอ่อน กับเกลือ ของกรดอ่อนนั้น หรือเบสอ่อนกับเกลือ ของเบสอ่อนนั้นเมื่อ เติมกรดเบส
82 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 23. สืบค้นข้อมูล และนำเสนอ ตัวอย่างการใช้ประโยชน์และการ แก้ปัญหาโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับ กรด-เบส 24. คำนวณเลขออกซิเดชันและ ระบุปฏิกิริยาที่เป็นปฏิกิริยารีดอกซ์ หรือน้ำจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่า pH น้อยกว่า สารละลายทั่วไป สมบัติเฉพาะของสารละลายบัฟเฟอร์เป็น ประโยชน์ต่อการควบคุม pH ของระบบในสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม - ความรู้เกี่ยวกับกรด-เบสสามารถนำมาใช้ประโยชน์และ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันเกษตรกรรมอุตสาหกรรม และ การแพทย์ - เคมีไฟฟ้าเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ระหว่าง พลังงานไฟฟ้าและการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่มีการถ่ายโอน อิเล็กตรอนแล้วทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชัน ซึ่งเป็นเลขที่แสดง ประจุไฟฟ้าหรือประจุไฟฟ้าสมมติของ อะตอมธาตุ เรียกปฏิกิริยาชนิดนี้ว่า ปฏิกิริยารีดอกซ์ 25. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเลข ออกซิเดชันและระบุตัวรีดิวซ์และ ตัวออกซิไดส์รวมทั้ง เขียนครึ่ง ปฏิกิริยาออกซิเดชันและครึ่ง ปฏิกิริยารีดักชันของปฏิกิริยา รีดอกซ์ 26. ทดลอง และเปรียบเทียบ ความสามารถในการ เป็นตัวรีดิวซ์ หรือตัวออกซิไดส์และเขียนแสดง ปฏิกิริยารีดอกซ์ 27. ดุลสมการรีดอกซ์ด้วยการใช้ เลขออกซิเดชันและวิธีครึ่งปฏิกิริยา 28. ระบุองค์ประกอบของเซลล์ เคมีไฟฟ้า และเขียนสมการเคมีของ ปฏิกิริยาที่แอโนดและแคโทด ปฏิกิริยารวมและแผนภาพเซลล์ 29. คำนวณค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐาน ของเซลล์และระบุประเภทของ เซลล์เคมีไฟฟ้าขั้วไฟฟ้า และ ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น - ปฏิกิริยารีดอกซ์มีทั้งครึ่งปฏิกิริยาที่มีการให้อิเล็กตรอน เรียกว่า ครึ่งปฏิกิริยาออกซิเดชัน และครึ่งปฏิกิริยาที่มีการ รับอิเล็กตรอน เรียกว่า ครึ่งปฏิกิริยารีดักชัน โดยสารที่ให้ อิเล็กตรอนจะมีเลขออกซิเดชันเพิ่มขึ้น เรียกว่า ตัวรีดิวซ์ ส่วนสารที่รับอิเล็กตรอนจะมีเลขออกซิเดชันลดลง เรียกว่า ตัวออกซิไดส์ - การเปรียบเทียบความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์หรือตัว ออกซิไดส์สามารถพิจารณาได้จากผลการทดลองของปฏิกิริยา รีดอกซ์ - ปฏิกิริยารีดอกซ์เขียนแทนได้ด้วยสมการรีดอกซ์ ซึ่งการดุล สมการรีดอกซ์ทำได้โดยการใช้เลขออกซิเดชันและวิธีครึ่ง ปฏิกิริยา - เซลล์เคมีไฟฟ้าประกอบด้วยแอโนด แคโทด และ สารละลายอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งอาจเชื่อมต่อกันด้วย สะพานเกลือ โดยที่แอโนดเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและแคโทดเกิดปฏิกิริยา รีดักชัน - ค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์คำนวณได้จากค่า ศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของครึ่งเซลล์ ถ้าค่าศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ เป็นบวกแสดงว่าปฏิกิริยารีดอกซ์เกิดขึ้นได้เอง ซึ่งทำให้เกิด เกิดปฏิกิริยาได้เซลล์ชนิดนี้เรียกว่า เซลล์อิเล็กโทรลิติก
83 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 30. อธิบายหลักการทำงาน และ เขียนสมการแสดง ปฏิกิริยาของ เซลล์ปฐมภูมิและเซลล์ทุติยภูมิ กระแสไฟฟ้า เรียกเซลล์ชนิดนี้ว่า เซลล์กัลป์วานิก แต่ถ้า ค่าศักย์ไฟฟ้าของเซลล์เป็นลบแสดงว่าปฏิกิริยารีดอกซ์ ไม่สามารถเกิดได้เองต้องมีการให้กระแสไฟฟ้าจึงจะ - เซลล์เคมีไฟฟ้าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ใน ชีวิตประจำวัน เช่น แบตเตอรี่ซึ่งมีทั้งเซลล์ปฐมภูมิ และ เซลล์ทุติยภูมิ 31. ทดลองชุบโลหะและแยก สารเคมีด้วยกระแส ไฟฟ้า และ อธิบายหลักการทางเคมีไฟฟ้าที่ใช้ ในการชุบโลหะการแยกสารเคมี ด้วยกระแส ไฟฟ้าการทำโลหะให้ บริสุทธิ์ และการป้องกัน การกัด กร่อนของโลหะ 32. สืบค้นข้อมูล และนำเสนอ ตัวอย่างความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ เคมีไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน - เซลล์อิเล็กโทรลิติกสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งใน ชีวิตประจำวัน และในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น การ ชุบโลหะการแยกสารเคมีด้วยกระแสไฟฟ้า การทำโลหะให้ บริสุทธิ์ การป้องกันการกัดกร่อนของโลหะ - ปฏิกิริยาเคมีหลายปฏิกิริยาที่พบในชีวิตประจำวัน เป็น ปฏิกิริยารีดอกซ์ เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ปฏิกิริยาในเซลล์ เคมีไฟฟ้า ซึ่งความรู้เรื่องเซลล์เคมีไฟฟ้าและความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเซลล์เคมีไฟฟ้า นำไปสู่นวัตกรรม ด้านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อ ม.6 - - 3. เข้าใจหลักการทำปฏิบัติการเคมีการวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วยการคำนวณ ปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบรูณาการความรู้และทักษะในการอธิบาย ปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวันและการแก้ปัญหาทางเคมี ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม. 4 1. บอก และอธิบายข้อปฏิบัติ เบื้องต้น และปฏิบัติตนที่แสดงถึง ความตระหนักในการทำปฏิบัติการ เคมีเพื่อให้มีความปลอดภัยทั้งต่อ ตนเองผู้อื่นและ สิ่งแวดล้อมและ เสนอแนวทางแก้ไขเมื่อเกิด อุบัติเหตุ - การทำปฏิบัติการเคมีต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และความ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงควร ศึกษาข้อปฏิบัติของการ ทำปฏิบัติการเคมีเช่น ความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์และ สารเคมีการป้องกันอุบัติเหตุระหว่างการทดลองการกำจัด สารเคมี - อุปกรณ์และเครื่องมือชั่งตวงวัดแต่ละชนิดมีวิธีการใช้งาน
84 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 2. เลือกและใช้อุปกรณ์หรือ เครื่องมือในการทำปฏิบัติการและ วัดปริมาณต่าง ๆได้อย่างเหมาะส และการดูแลแตกต่างกัน ซึ่งการวัดปริมาณต่าง ๆ ให้ได้ข้อมูล ที่มีความเที่ยงและความแม่นในระดับนัยสำคัญที่ต้องการต้อง มีการเลือกและใช้อุปกรณ์ในการทำปฏิบัติการ อย่าง เหมาะสม 3. นำเสนอแผนการทดลองทดลอง และเขียน รายงานการทดลอง 4. ระบุหน่วยวัดปริมาณต่าง ๆ ของ สาร และ เปลี่ยนหน่วยวัดให้เป็น หน่วยในระบบเอสไอ ด้วยการใช้ แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย - การทำปฏิบัติการเคมีต้องมีการวางแผนการทดลองการทำ การทดลองการบันทึกข้อมูลสรุปและวิเคราะห์นำเสนอข้อมูล และการเขียนรายงานการทดลองที่ถูกต้อง โดยการทำ ปฏิบัติการเคมีต้องคำนึงถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ - การทำปฏิบัติการเคมีต้องมีการวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร การบอกปริมาณของสารอาจระบุอยู่ในหน่วยต่าง ๆ ดังนั้น เพื่อให้มีมาตรฐาน เดียวกันจึงมีการกำหนดหน่วยในระบบเอส ไอให้เป็นหน่วยสากล 5. บอกความหมายของมวลอะตอม ของธาตุและ คำนวณมวลอะตอม เฉลี่ยของธาตุมวลโมเลกุล และมวล สูตร - มวลอะตอมของธาตุเป็นมวลของธาตุ 1 อะตอม ซึ่งเป็น ผลรวมของมวลโปรตอน นิวตรอน และ อิเล็กตรอน แต่ เนื่องจากอิเล็กตรอนมีมวลน้อยมาก เมื่อเทียบกับโปรตอน และนิวตรอน ดังนั้นมวลอะตอมจึงมีค่าใกล้เคียงกับผลรวม ของมวลโปรตอนและนิวตรอน - มวลอะตอมเฉลี่ยของธาตุเป็นค่าเฉลี่ยจากค่ามวลอะตอม ของแต่ละไอโซโทปของธาตุชนิดนั้นตามปริมาณที่มีใน ธรรมชาติ - มวลโมเลกุลและมวลสูตรเป็นผลรวมของมวลอะตอมเฉลี่ย ของธาตุที่เป็นองค์ประกอบของสารนั้น 6. อธิบาย และคำนวณปริมาณใด ปริมาณหนึ่ง จากความสัมพันธ์ของ โมลจำนวนอนุภาคมวล และ ปริมาตรของแก๊สที่ STP 7. คำนวณอัตราส่วนโดยมวลของ ธาตุองค์ประกอบ ของสารประกอบ ตามกฎสัดส่วนคงที่ - โมลเป็นปริมาณสารที่มีจำนวนอนุภาคเท่ากับเลขอาโวกา โดร คือ 6.02 × 1023 อนุภาค มวลของสาร1 โมล ที่มีหน่วย เป็นกรัมเรียกว่า มวลต่อโมล ซึ่งมีค่าตัวเลขเท่ากับมวล อะตอม มวลโมเลกุลหรือมวลสูตรของสารนั้น สำหรับสาร ที่มีสถานะแก๊ส 1 โมล จะมีปริมาตรเท่ากับ 22.4 ลูกบาศก์ เดซิเมตร ที่ STP - สารประกอบเกิดจากการรวมตัวของธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป โดยมีอัตราส่วนโดยมวลของธาตุองค์ประกอบคงที่เสมอตาม กฎสัดส่วนคงที่
85 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 8. คำนวณสูตรอย่างง่ายและสูตร โมเลกุลของสา 9. คำนวณความเข้มข้นของ สารละลายในหน่วย ต่าง ๆ 10. อธิบายวิธีการและเตรียม สารละลายให้มีความเข้มข้นใน หน่วยโมลาริตี และปริมาตร สารละลายตามที่กำหนด 11. เปรียบเทียบจุดเดือดและจุด เยือกแข็งของ สารละลายกับสาร บริสุทธิ์ รวมทั้งคำนวณจุดเดือด และจุดเยือกแข็งของสารละลาย - สูตรเคมีสามารถแสดงได้ด้วยสูตรเอมพิริคัลหรือ สูตรอย่าง ง่ายและสูตรโมเลกุลซึ่งสูตรอย่างง่าย คำนวณได้จากร้อยละ โดยมวลและมวลอะตอม ของธาตุองค์ประกอบและถ้าทราบ มวลโมเลกุล ของสารจะสามารถคำนวณสูตรโมเลกุลได้ - สารที่พบในชีวิตประจำวันจำนวนมากอยู่ในรูป ของ สารละลายการบอกปริมาณของสารในสารละลายสามารถ บอกเป็นความเข้มข้นในหน่วยร้อยละส่วนในล้านส่วนส่วนใน พันล้านส่วนโมลาริตี โมแลลิตี และเศษส่วนโมล - การเตรียมสารละลายให้มีความเข้มข้นและ ปริมาตรของ สารละลายตามที่กำหนดทำได้โดย การละลายตัวละลายที่ เป็นสารบริสุทธิ์ในตัวทำละลายหรือนำสารละลายที่มีความ เข้มข้น มาเจือจางด้วยตัวทำละลายโดยปริมาณของสารที่ใช้ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและปริมาตรของสารละลายที่ต้องการ - สารละลายมีจุดเดือดและจุดเยือกแข็งแตกต่างไป จากสาร บริสุทธิ์ที่เป็นตัวทำละลายในสารละลายโดยสมบัติที่ เปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับปริมาณของตัวละลายในตัวทำ ละลาย และชนิดของตัวทำละลาย ม.5 - - ม.6 1. กำหนดปัญหาและนำเสนอแนว ทางการแก้ปัญหา โดยใช้ความรู้ ทางเคมีจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวัน 2. แสดงหลักฐานถึงการบูรณาการ ความรู้ทางเคมีร่วมกับสาขาวิชาอื่น รวมทั้งทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์หรือกระบวนการ ออกแบบเชิงวิศวกรรมโดยเน้นการ คิดวิเคราะห์การแก้ปัญหาและ ความคิดสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหา ในสถานการณ์หรือประเด็นที่สนใจ 3. นำเสนอผลงานหรือชิ้นงานที่ได้ จากการแก้ปัญหาในสถานการณ์ - สถานการณ์บางสถานการณ์ในชีวิตประจำวันการประกอบ อาชีพ หรืออุตสาหกรรมสามารถนำความรู้ทางเคมีไปใช้ ประโยชน์หรือแก้ปัญหาได้ - การศึกษาและการแก้ปัญหาในสถานการณ์ หรือ ประเด็นที่ สนใจทำได้โดยการบูรณาการความรู้ทางเคมีร่วมกับ วิทยาศาสตร์แขนงอื่นรวมทั้ง คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการ ออกแบบเชิงวิศวกรรมโดยเน้นการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ - การนำเสนองานหรือแสดงผลงานเป็นการเปิด โอกาสให้ผู้มี ส่วนร่วมได้แลกเปลี่ยนแนวคิดผลงานรวมทั้งเพิ่มโอกาสในการ พัฒนางานโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือ ประกอบการนำเสนอ ซึ่งจะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ มากขึ้น
86 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 4. แสดงหลักฐานการเข้าร่วมการ สัมมนา การเข้า ร่วมประชุม วิชาการ หรือการแสดงผลงาน สิ่งประดิษฐ์ในงานนิทรรศการ - การสัมมนา การประชุมวิชาการ หรือการ ร่วมแสดงผลงาน สิ่งประดิษฐ์ในงานนิทรรศการเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วน ร่วมได้แลกเปลี่ยน ความคดิแสดงทัศนคติต่อกรณีศึกษา สถานการณ์หรือประเด็นสำคัญทางเคมี ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ พัฒนากระบวนการคิด ทักษะการสื่อสาร ทักษะการใช้ เทคโนโลยี เพื่อการค้นคว้าและการสื่อสาร ซึ่งสามารถทำได้ หลายระดับ โดยอาจเป็นระดับชั้นเรียนโรงเรียนกลุ่มโรงเรียน ชุมชน ระดับชาติ หรือนานาชาติ สาระฟิสิกส์ 1.เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรงแรงและกฎการ เคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุงานและกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม. 4 1. สืบค้น และอธิบายการค้นหา ความรู้ทางฟิสิกส์ประวัติความ เป็นมารวมทั้งพัฒนาการของ หลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์ที่มีผล ต่อการแสวงหาความรู้ใหม่และการ พัฒนาเทคโนโลยี - ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับ สสาร พลังงานอันตรกิริยาระหว่างสสารกับ พลังงาน และแรง พื้นฐานในธรรมชาติ - การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ได้มาจากการสังเกตุการ ทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์หรือจากการ สร้างแบบจำลองทางความคิด เพื่อสรุปเป็นทฤษฎีหลักการ หรือกฎ - ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของหลักการ และ แนวคิดทางฟิสิกส์เป็นพื้นฐานในการแสวงหา ความรู้ใหม่ เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ก็มีส่วนในการค้นหาความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์ด้วย 2. วัด และรายงานผลการวัด ปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้อง เหมาะสม โดยนำความคลาดเคลื่อน ในการวัดมาพิจารณาในการนำเสนอ ผลรวมทั้ง แสดงผลการทดลองในรูป ของกราฟ วิเคราะห์และแปล ความหมายจากกราฟเส้นตรง - ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหนึ่งได้จากการทดลอง ซึ่งเกี่ยวข้อง กับกระบวนการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ ซึ่งประกอบด้วย ตัวเลขและหน่วยวัด - ปริมาณทางฟิสิกส์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรงหรือทางอ้อมหน่วยที่ใช้ในการวัด ปริมาณทาง วิทยาศาสตร์ คือ ระบบหน่วย ระหว่างชาติเรียกย่อว่า ระบบเอสไอ
87 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - ปริมาณทางฟิสิกส์ที่มีค่าน้อยกว่าหรือมากกว่า 1 มาก ๆ นิยมเขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ หรือเขียนโดยใช้ คำนำหน้าหน่วยของระบบเอสไอ การเขยีนโดยใช้สัญกรณ์ วิทยาศาสตร์เป็นการเขียนเพื่อแสดงจำนวนเลขนัยสำคัญที่ ถูกต้อง - การทดลองทางฟิสิกส์เกี่ยวกับการวัดปริมาณต่าง ๆ การบันทึกปริมาณที่ได้จากการวัดด้วยจำนวนเลขนัยสำคัญ ที่เหมาะสม และค่าความคลาดเคลื่อนการวิเคราะห์และการ แปลความหมายจากกราฟ เช่น การหาความชันจากกราฟ เส้นตรง จุดตัดแกนพื้นที่ใต้กราฟเป็นต้น - การวัดปริมาณต่าง ๆ จะมีความคลาดเคลื่อนเสมอ ขึ้นอยู่ กับเครื่องมือ วิธีการวัด และประสบการณ์ของผู้วัด ซึ่งค่า ความคลาดเคลื่อนสามารถแสดงในการรายงานผลทั้งใน รูปแบบตัวเลขและกราฟ - การวัดควรเลือกใช้เครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับสิ่งที่ ต้องการวัด เช่น การวัดความยาวของวัตถุที่ต้องการความ ละเอียดสูงอาจใช้เวอร์เนียร์แคลลิเปิร์ส หรือไมโครมิเตอร์ - ฟิสิกส์อาศัยคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษา ค้นคว้า และการสื่อสา 3. ทดลอง และอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่าง ตำแหน่งการกระจัด ความเร็วและความเร่ง ของการ เคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรงที่มี ความเร่ง คงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่า ความเร่งโน้ม ถ่วงของโลกและคำนวณปริมาณ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง - ปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ได้แก่ ตำแหน่งการกระจัด ความเร็วและความเร่ง โดยความเร็ว และความเร่งมีทั้ง ค่าเฉลี่ยและค่าขณะหนึ่งซึ่งคิด ในช่วงเวลาสั้น ๆ สำหรับ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แนวตรงด้วย ความเร่ง คงตัวมีความสัมพันธ์ตามสมการ - การอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุสามารถเขียนอยู่ใน รูปกราฟตำแหน่งกับเวลา กราฟความเร็ว กับเวลาหรือ กราฟความเร่งกับเวลาความชันของเส้นกราฟตำแหน่งกับ เวลาเป็นความเร็วความชันของเส้นกราฟความเร็วกับเวลา
88 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม เป็น ความเร่งและพื้นที่ใต้เส้นกราฟความเร็วกับเวลาเป็น การกระจัดในกรณีที่ผู้สังเกตมีความเร็วความเร็วของวัตถุที่ สังเกตได้เป็นความเร็วที่เทียบ กับผู้สังเกต - การตกแบบเสรีเป็นตัวอย่างหนึ่งของการเคลื่อนที่ ในหนึ่ง มิติที่มีความเร่งเท่ากับความเร่งโน้มถ่วง ของโลก 4. ทดลอง และอธิบายการหาแรง ลัพธ์ของแรงสองแรงที่ทำมุมต่อกัน - แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์จึงมีทั้งขนาดและทิศทาง กรณีที่ มีแรงหลาย ๆ แรง กระทำต่อวัตถุ สามารถ หาแรงลัพธ์ที่ กระทำต่อวัตถุ โดยใช้วิธีเขียนเวกเตอร์ของแรงแบบหางต่อ หัววิธีสร้างรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานของแรงและวิธีคำนวน 5. เขียนแผนภาพของแรงที่กระทำ ต่อวัตถุอิสระทดลองและอธิบายกฎ การเคลื่อนที่ของนิวตัน และการใช้ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันกับสภาพ การ เคลื่อนที่ของวัตถุรวมทั้งคำนวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง - สมบัติของวัตถุที่ต้านการเปลี่ยนสภาพการ เคลื่อนที่ เรียกว่า ความเฉื่อย มวลเป็นปริมาณที่บอกให้ทราบว่าวัตถุ ใดมีความเฉื่อยมากหรือน้อย - การหาแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุสามารถเขียนเป็น แผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุอิสระได้ - กรณีที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทำวัตถุจะไม่เปลี่ยนสภาพ การเคลื่อนที่ซึ่งเป็นไปตามกฎการเคลื่อนที่ข้อที่หนึ่งของนิว ตัน - กรณีที่มีแรงภายนอกมากระทำโดยแรงลัพธ์ที่กระทำต่อ วัตถุไม่เป็นศูนย์ วัตถุจะมีความเร่ง โดยความเร่งมีทิศทาง เดียวกับแรงลัพธ์ความสัมพันธ์ระหว่างแรงลัพธ์ มวลและ ความเร่งเขียนแทนได้ด้วยสมการ ตามกฎการเคลื่อนที่ข้อที่สองของนิวตัน - เมื่อวัตถุสองก้อนออกแรงกระทำต่อกัน แรงระหว่างวัตถุ ทั้งสองจะมีขนาดเท่ากันต่มีทิศทางตรงข้าม และกระทำต่อ วัตถุคนละก้อน เรียกว่า แรงคู่กิริยา-ปฏิกิริยา ซึ่งเป็นไป ตามกฎการเคลื่อนที่ข้อที่สามของนิวตัน และเกิดขึ้นได้ทั้ง กรณีที่วัตถุทั้งสองสัมผัสกันหรือไม่สัมผัสกันก็ได้
89 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 2. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและ ผลของสนามโน้มถ่วงที่ทำให้วัตถุมี น้ำหนัก รวมทั้ง คำนวณปริมาณ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง - แรงดึงดูดระหว่างมวลเป็นแรงที่มวลสองก้อนดึงดูด ซึ่งกัน และกันด้วยแรงขนาดเท่ากันแต่ทิศทางตรงข้ามและเป็นไป ตามกฎความโน้มถ่วงสากลเขียนแทนได้ด้วยสมการ - รอบโลกมีสนามโน้มถ่วงทำให้เกิดแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นแรง ดึงดูดของโลกที่กระทำต่อวัตถุทำให้วัตถุมีน้ำหนัก 7. วิเคราะห์ อธิบายและคำนวณแรง เสียดทาน ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ คู่หนึ่ง ๆในกรณีที่วัตถุ หยุดนิ่งและ วัตถุเคลื่อนที่รวมทั้งทดลองหา สัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่าง ผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆและนำ ความรู้เรื่องแรงเสียดทานไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน - แรงที่เกิดขึ้นที่ผิวสัมผัสระหว่างวัตถุสองก้อนในทิศทางตรง ข้ามกับทิศทางการเคลื่อนที่หรือ แนวโน้มที่จะเคลื่อนที่ของ วัตถุ เรียกว่า แรงเสียดทาน แรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัส คู่หนึ่ง ๆ ขึ้นกับสัมประสิทธิ์ความเสียดทานและแรง ปฏิกิริยาตั้งฉากระหว่างผิวสัมผัสคู่นั้น ๆ - ขณะออกแรงพยายามแต่วัตถุยังคงอยู่นิ่งแรงเสียดทานมี ขนาดเท่ากับแรงพยายามที่กระทำต่อวัตถุนั้นและแรงเสียด ทานมีค่ามากที่สุดเมื่อวัตถุ เริ่มเคลื่อนที่เรียกแรงเสียดทานนี้ ว่าแรงเสียดทานสถิต แรงเสียดทานที่กระทำต่อวัตถุขณะ กำลังเคลื่อนที่ เรียกว่าแรงเสียดทานจลน์ โดยแรงเสียดทาน ที่เกิดระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ คำนวณได้จาก สมการ - การเพิ่มหรือลดแรงเสียดทานมีผลต่อการเคลื่อนที่ของ วัตถุ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน 8. อธิบายสมดุลกลของวัตถุโมเมนต์ และผลรวม ของโมเมนต์ที่มีต่อการ หมุนแรงคู่ควบและผล ของแรงคู่ควบ ที่มีต่อสมดุลของวัตถุเขียน แผนภาพ ของแรงที่กระทำต่อวัตถุอิสระเมื่อ วัตถุอยู่ในสมดุลกลและคำนวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้ง - สมดุลกลเป็นสภาพที่วัตถุรักษาสภาพการเคลื่อนที่ ให้คง เดิมคือหยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว คงตัวหรือหมุน ด้วยความเร็วเชิงมุมคงตัว - วัตถุจะสมดุลต่อการเลื่อนที่คือหยุดนิ่งหรือ เคลื่อนที่ด้วย ความเร็วคงตัวเมื่อแรงลัพธ์ที่กระทำ ต่อวัตถุเป็นศูนย์เขียน แทนได้ด้วยสมการ
90 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 8. ทดลองและอธิบายสมดุลของแรง สามแรง - วัตถุจะสมดุลต่อการหมุนคือไม่หมุนหรือหมุนด้วย ความเร็วเชิงมุมคงตัวเมื่อผลรวมของโมเมนต์ที่กระทำต่อ วัตถุเป็นศูนย์เขียนแทนได้ด้วยสมการ - โดยโมเมนต์คำนวณได้จากสมการ M=Fl - เมื่อมีแรงคู่ควบกระทำต่อวัตถุ แรงลัพธ์จะเท่ากับศูนย์ทำ ให้วัตถุสมดุลต่อการเลื่อนที่แต่ไม่สมดุลต่อการหมุน - การเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุอิสระสามารถ นำมาใช้ในการพิจารณาแรงลัพธ์และผลรวมของโมเมนต์ที่ กระทำต่อวัตถุเมื่อวัตถุอยู่ในสมดุลก 9. สังเกต และอธิบายสภาพการ เคลื่อนที่ของวัตถุเมื่อแรงที่กระทำต่อ วัตถุผ่านศูนย์กลางมวลของ วัตถุและ ผลของศูนย์ถ่วงที่มีต่อเสถียรภาพ ของ วัตถุ - เมื่อออกแรงกระทำต่อวัตถุที่วางบนพื้นที่ไม่มีแรง เสียด ทานในแนวระดับถ้าแนวแรงนั้นกระทำผ่านศูนย์กลางมวล ของวัตถุวัตถุจะเคลื่อนที่แบบเลื่อนที่โดยไม่หมุน -วัตถุทื่อยู่ใูนสนามโน้มถ่วงสม่ำเสมอศูนย์กลางมวล และ ศูนย์ถ่วงอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกันศูนย์ถ่วงของ วัตถุมีผลต่อ เสถียรภาพของวัตถุ 10. วิเคราะห์และคำนวณงานของ แรงคงตัวจากสมการและพื้นที่ใต้ กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง แรงกับ ตำแหน่งรวมทั้งอธิบายและคำนวณ กำลังเฉลี่ย - งานของแรงที่กระทำต่อวัตถุหาได้จากผลคูณของ ขนาด ของแรงและขนาดของการกระจัดกับโคไซน์ของมุมระหว่าง แรงกับการกระจัดตามสมการ W =F∆xcosӨ หรือหางาน ได้จากพื้นที่ใต้กราฟระหว่างแรงในแนวการเคลื่อนที่ก้บ ตำแหน่งโดยแรงที่กระทำอาจเป็นแรงคงตัวหรือไม่คงตัว ก็ ได้ - งานที่ทำได้ในหนึ่งหน่วยเวลา เรียกว่า กำลังเฉลี่ยดัง สมการ Pav =W ∆t
91 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 11. อธิบาย และคำนวณพลังงาน จลน์ พลังงานศักย์พลงังานกล ทดลองหาความสัมพันธ์ระหว่างงาน กับพลังงานจลน์ความสัมพันธ์ ระหว่างงานกับพลังงานศักย์โน้มถ่วง ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรง ใช้ดึงสปริงกับระยะที่สปริงยึดออก และความสัมพันธ์ระหว่างงานกับ พลังงานศักย์ยืดหยุ่นรวมทั้ง อธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างงานของแรง ลัพธ์และพลังงานจลน์และคำนวณ งานที่เกิดขึ้น จากแรงลัพธ์ - พลังงานเป็นความสามารถในการทำงาน -พลงังานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุที่กำลงัเคลอื่นที่คำนวณ ได้จากสมการ Ek =1 mv2 2 - พลังงานศักย์เป็นพลังงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง หรือ รูปร่างของวัตถุ แบ่งออกเป็นพลังงานศักย์โน้มถ่วง คำนวณได้จากสมการฃ Ep = mgh และ พลังงานศักย์ ยืดหยุ่น คำนวณได้จากสมการ E =1kx2 2 - พลังงานกลเป็นผลรวมของพลังงานจลน์และพลังงานศักย์ ตามสมการ E = Ek + EP - แรงที่ทำให้เกิดงานโดยงานของแรงนั้นไม่ขึ้นกับ เส้นทาง การเคลื่อนที่ เช่นแรงโน้มถ่วงและแรงสปริง เรียกว่า แรง อนุรักษ์ - งานและพลังงานมีความสัมพันธ์กัน โดยงานของ แรงลัพธ์ เท่ากับพลังงานจลน์ของวัตถุที่เปลี่ยนไป ตามทฤษฎีบทงานพลังงานจลน์เขียนแทนได้ ด้วยสมการ W = ∆Ek 12. อธิบายกฎการอนุรักษ์พลังงาน กลรวมทั้ง วิเคราะห์ และคำนวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ เคลื่อนที่ของวัตถุในสถานการณ์ต่างๆ โดยใช้กฎการอนุรักษ์พลังงานกล - ถ้างานที่เกิดขึ้นกับวัตถุเป็นงานเนื่องจากแรง อนุรักษ์ เท่านั้นพลังงานกลของวัตถุจะคงตัว ซึ่งเป็นไปตามกฎการ อนุรักษ์พลังงานกลเขียน แทนได้ด้วยสมการ Ek + Ep = ค่าคงตัว โดยที่พลังงานศักย์อาจเปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ 13. อธิบายการทำงานประสิทธิภาพ และการได้เปรียบเชิงกลของ เครื่องกลอย่างง่ายบางชนิดโดยใช้ ความรู้เรื่องงานและสมดุลกลรวมทั้ง คำนวณประสิทธิภาพและการ ได้เปรียบเชิงกล - การทำงานของเครื่องกลอย่างง่าย ได้แก่ คาน รอก พื้น เอียง ลิ่ม สกรู และล้อกับเพลา ใช้หลักของงาน และสมดุล กลประกอบการพิจารณาประสิทธิภาพ และการได้เปรียบ เชิงกลของเครื่องกลอย่างง่าย ประสิทธิภาพคำนวณได้จาก สมการ - การได้เปรียบเชิงกลคำนวณได้จากสมการ
92 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 14. อธิบาย และคำนวณโมเมนตัม ของวัตถุและการดลจากสมการและ พื้นที่ใต้กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง แรงลัพธ์กับเวลา รวมทั้ง อธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างแรงดลกับ โม เมนตัม - วัตถุที่เคลื่อนที่จะมีโมเมนตัมซึ่งเป็นปริมาณเวกเตอร์มีค่า เท่ากับผลคูณระหว่างมวลและความเร็วของวัตถุ ดังสมการ p = mv - เมื่อมีแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุจะทำให้โมเมนตัม ของวัตถุ เปลี่ยนไปโดยแรงลัพธ์เท่ากับอัตราการเปลี่ยนโมเมนตัมของ วัตถุ - แรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุในเวลาสั้น ๆ เรียกวา่แรงดล โดย ผลคูณของแรงดลกับเวลา เรียกว่าการดลตามสมการ ซึ่งการดลอาจหาได้จากพื้นที่ใต้กราฟระหว่างแรงดลกับเวลา 15. ทดลอง อธิบาย และคำนวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการชนของ วัตถุในหนึ่งมิติทั้งแบบ ยืดหยุ่นไม่ ยืดหยุ่น และการดีดตัวแยกจากกัน ในหนึ่งมิติซึ่งเป็นไปตามกฎการ อนุรักษ์โมเมนตัม - ในการชนกันของวัตถุและการดีดตัวออกจากกันของวัตถุ ในหนึ่งมิติเมื่อไม่มีแรงภายนอกมากระทำโมเมนตัมของ ระบบมีค่าคงตัวซึ่งเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์โมเมนตัมเขียน แทนได้ด้วย สมการ โดย เป็นโมเมนตัมของระบบก่อนชน และ เป็น โมเมนตัมของระบบหลังชน - ในการชนกันของวัตถุพลังงานจลน์ของระบบอาจคงตัว หรือไม่คงตัวก็ได้การชนที่พลังงานจลน์ของระบบคงตัว เป็นการชนแบบยืดหยุ่นส่วนการชน ที่พลังงานจลน์ของ ระบบไม่คงตัวเป็นการชนแบบไม่ยืดหยุ่ 16. อธิบาย วิเคราะห์ และคำนวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์และ ทดลองการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ - การเคลื่อนที่แนวโค้งพาราโบลาภายใต้สนามโน้มถ่วงโดย ไม่คิดแรงต้านของอากาศเป็นการ เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ วัตถุมีการเปลี่ยน ตำแหน่งในแนวดิ่งและแนวระดับพร้อม กันและเป็นอิสระต่อกันสำหรับการเคลื่อนที่ ในแนวดิ่งเป็น การเคลื่อนที่ที่มีแรงโน้มถ่วงกระทำ จึงมีความเร็วไม่คงตัว ปริมาณต่างๆ มีความสัมพันธ์ตามสมการ
93 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ส่วนการเคลื่อนที่ในแนวระดับไม่มีแรงกระทำจึงมีความเร็ว คงตัวตำแหน่งความเร็วและเวลามีความสัมพันธ์ตามสมการ ∆X=Uxt 17. ทดลอง และอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่าง แรงสู่ ศูนย์กลาง รัศมีของการเคลื่อนที่ อัตราเร็วเชิงเส้น อัตราเร็วเชิงมุม และมวลของวัตถุในการเคลื่อนที่ แบบวงกลมในระนาบ ระดับรวมทั้ง คำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และประยุกต์ใช้ความรู้การเคลื่อนที่ แบบวงกลมในการอธิบายการโคจร ของดาวเทียม - วัตถุที่เคลื่อนที่เป็นวงกลมหรือส่วนของวงกลมเรียกว่าวัตถุ นั้นมีการเคลื่อนที่แบบวงกลมซึ่งมีแรงลัพธ์ที่กระทำกับวัตถุ ในทิศเข้าสู่ศูนย์กลาง เรียกว่าแรงสู่ศูนย์กลาง ทำให้เกิด ความเร่งสู่ศูนย์กลางที่มีขนาดสัมพันธ์กับรัศมีของการ เคลื่อนที่และอัตราเร็วเชิงเส้นของวัตถุซึ่งแรงสู่ศูนย์กลาง คำนวณได้จากสมการ - นอกจากนี้การเคลื่อนที่แบบวงกลมยังสามารถ อธิบายได้ ด้วยอัตราเร็วเชิงมุม ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอัตราเร็วเชิงเส้น ตามสมการ V = ωr และแรงสู่ศูนย์กลางมีความสัมพันธ์กับ อัตราเร็วเชิงมุม ตามสมการ Fc = mω2 r - ดาวเทียมที่โคจรในแนววงกลมรอบโลกมีแรงดึงดูด ที่โลก กระทำต่อดาวเทียมเป็นแรงสู่ศูนย์กลางดาวเทียมที่มีวงโคจร ค้างฟ้าในระนาบของ เส้นศูนย์สูตรมีคาบการโคจรเท่ากับ คาบการหมุน รอบตัวเองของโลกหรือมีอัตราเร็วเชิงมุม เท่ากับ อัตราเร็วเชิงมุมของตำแหน่งบนพื้นโลกดาวเทียมจึง อยู่ตรงกับตำแหน่งที่กำหนดไว้บนพื้นโลก ตลอดเวลา ม.5 - - ม.6 - -
94 2. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน ปรากฏการณ์ที่ เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.4 - - ม.5 1. ทดลองและอธิบายการเคลื่อนที่ แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุติด ปลายสปริงและลูกตุ้มอย่างง่าย รวมทั้งคำนวณปริมาณต่างๆ ที่ เกี่ยวข้อง - การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายเป็นการ เคลื่อนที่ ของวัตถุที่กลับไปกลับมาซ้ำรอยเดิมผ่าน ตำแหน่งสมดุลโดย มีคาบและแอมพลิจูดคงตัวมีความสัมพันธ์ตามสมการ - การสั่นของวัตถุติดปลายสปริงและการแกว่งของลูกตุ้ม อย่างง่ายเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายที่มีขนาด ของความเร่งแปรผันตรงกับขนาดของการกระจัดจาก ตำแหน่งสมดุลแต่มีทิศทางตรงข้าม โดยมีคาบการสั่นของ วัตถุที่ติดอยู่ที่ปลายสปริง และคาบการแกว่งของลูกตุ้มตาม สมการ 2. อธิบายความถี่ธรรมชาติของวัตถุ และการเกิดการสั่นพ้อง - เมื่อดึงวัตถุที่ติดปลายสปริงออกจากตำแหน่งสมดุลแล้ว ปล่อยให้สั่นวัตถุจะสั่นด้วยความถี่เฉพาะตัว การดึงลูกตุ้ม ออกจากแนวดิ่งแล้วปล่อยให้แกว่งลูกตัมจะแกว่งด้วย ความถี่เฉพาะตัว เช่น กันความถี่ ที่มีค่าเฉพาะตัวนี้ เรียกว่า ความถี่ธรรมชาติเมื่อกระตุ้นให้วัตถุสั่นด้วยความถี่ที่มีค่า เท่ากับ ความถี่ธรรมชาติของวัตถุ จะทำให้วัตถุสั่นด้วย แอมพลิจูดเพิ่มขึ้น เรียกว่าการสั่นพ้อง 3. อธิบายปรากฏการณ์คลื่นชนิดของ คลื่นส่วนประกอบของคลื่นการแผ่ ของหน้าคลื่นด้วยหลักการของฮอย เกนส์และการรวมกันของคลื่นตาม หลักการซ้อนทับ พร้อมทั้งคำนวณ อัตราเร็วความถี่ และความยาวคลื่น - คลื่นเป็นปรากฏการณ์การถ่ายโอนพลังงานจากที่หนึ่งไป อีกที่หนึ่ง - คลื่นที่ถ่ายโอนพลังงานโดยต้องอาศัยตัวกลาง เรียกว่า คลื่นกล ส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าถ่ายโอน พลังงานโดยไม่ ต้องอาศัยตัวกลางนอกจากนี้ยังจำแนกชนิดของคลื่น ออกเป็นสองชนิดได้แก่ คลื่นตามขวาง และคลื่นตามยาว
95 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - คลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดคลื่นที่ส่งคลื่นอย่างต่อเนื่อง และมีรูปแบบที่ซ้ำกันบรรยายได้ด้วยการกระจัดสันคลี่นท้อง คลี่นเฟสความยาวคลี่น ความถี่ คาบ แอมพลิจูด และ อัตราเร็ว โดยอัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น มี ความสัมพันธ์ตามสมการ v = fλ - การแผ่ของหน้าคลี่นเป็นไปตามหลักของฮอยเกนส์และ ถ้ามีคลื่นตั้งแต่สองขบวนมาพบกันจะรวมกันตามหลักการ ซ้อนทับ 4. สังเกตและอธิบายการสะท้อน การหักเหการแทรกสอดและ การเลี้ยวเบนของคลื่นผิวน้ำรวมทั้ง คำนวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง - คลื่นมีการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการ เลี้ยวเบน - คลื่นเกิดการสะท้อนเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ไปถึงสิ่งกีดขวางหรือ รอยต่อระหว่างตัวกลางที่ต่างกัน แลว้เปลยี่นทศิทาง เคลื่อนที่กลับมาในตวักลางเดิมโดยเป็นไปตามกฎการ สะท้อนเขียนแทนได้ด้วย สมการ มุมสะท้อน = มุมตกกระทบ - คลื่นเกิดการหักเหเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่านรอยต่อ ระหว่าง ตัวกลางที่ต่างกันแล้วอัตราเร็วคลื่น เปลี่ยนไปซึ่งเป็นไปตาม กฎการหักเหเขียนแทน ได้ด้วยสมการ - คลื่นเกิดการแทรกสอดเมื่อคลื่นสองคลื่นเคลื่อนที่ มาพบ กันแล้วรวมกันตามหลักการซ้อนทับโดยกรณีที่ S1 และ S2 เป็นแหล่งกำเนิดคลื่นที่มีความถี่เท่ากันและเฟสตรงกัน ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์ตามสมการ - คลื่นนิ่งเกิดจากคลื่นอาพันธ์สองขบวนแทรกสอดกัน แล้ว เกิดตำแหน่งที่มีการแทรกสอดแบบเสริม ตลอดเวลาเรียกว่า ปฏิบัพและตำแหน่งที่มีการแทรกสอดแบบหักล้าง ตลอดเวลาเรียกว่าบัพ
96 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - คลื่นเกิดการเลี้ยวเบนเมื่อคลื่นเคลื่อนที่พบสิ่งกีดขวางแล้ว มีคลื่นแผ่จากขอบสิ่งกีดขวางไปด้านหลังได้ 5. อธิบายการเกิดเสียงการเคลื่อนที่ ของเสียงความสัมพันธ์ระหว่างคลื่น การกระจัดของ อนุภาคกับคลื่น ความดันความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราเร็วของเสียงในอากาศที่ขึ้นกับ อุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส สมบัติของคลื่นเสียง ได้แก่ การ สะท้อน การหักเห การแทรกสอด การเลี้ยวเบนรวมทั้งคำนวณปริมาณ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง - เสียงเป็นคลื่นกลและคลื่นตามยาวเกิดจากการถ่ายโอน พลังงานจากการสั่นของแหล่ง กำเนิดเสียงผ่านอนุภาค ตัวกลางทำให้อนุภาคของตัวกลางสั่นอัตราเร็วเสียงใน อากาศขึ้นกับ อุณหภูมิของอากาศ คำนวณได้จากสมการ V = 331 + 0.6TC - เสียงมีสมบัตการสะท้อนการหักเห การแทรกสอด และ การเลี้ยวเบน 6. อธิบายความเข้มเสียง ระดับเสียง องค์ประกอบ ของการได้ยินคุณภาพ เสียงและมลพิษทาง เสียง รวมทั้ง คำนวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง - กำลังเสียงเป็นอัตราการถ่ายโอนพลังงานเสียงจากแหลง่ กำเนิดเสียงกำลังเสียงต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ของหน้าคลื่นทรง กลมเรียกว่าความเข้มเสียงคำนวณได้จากสมการ I = - ระดับเสียงเป็นปริมาณที่บอกความดังของเสียง โดยหาได้ จากลอการิทึมของอัตราส่วนระหว่าง ความเข้มเสียงกับ ความเข้มเสียงอ้างอิงที่มนุษย์เริ่มได้ยินตามสมการ β = 10 ( 0 ) - ระดับสูงต่ำของเสียงขึ้นกับความถี่ของเสียงเสียงที่ได้ยินมี ลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกัน เนื่องจากมีคุณภาพเสียง แตกต่างกัน - เสียงที่มีระดับเสียงสูงมากหรือเสียงบางประเภทที่มีผลต่อ สภาพจิตใจของผู้ฟังจัดเป็นมลพิษทางเสียง 7. ทดลองและอธิบายการเกิดการสั่น พ้องของ อากาศในท่อปลายเปิดหนึ่ง ด้านรวมทั้งสังเกต และอธิบายการ เกิดบีต คลื่นนิ่ง ปรากฏการณ์ดอป - ถ้าอากาศในท่อถูกกระตันุด้วยคลื่นเสียงที่มีความถี่ เท่ากับ ความถี่ธรรมชาติของอากาศในท่อนั้นจะเกิดการสั่นพ้องของ เสียง โดยความถี่ในการ เกิดการสั่นพ้องของท่อปลายเปิด หนึ่งด้านคำนวณ ได้จากสมการ
97 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม เพลอร์คลื่นกระแทกของเสียงคำนวณ ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและนำ ความรู้เรื่องเสียงไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน - ถ้าเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงสองแหล่งที่มีความถี่ต่างกัน ไม่มากมาพบกันจะเกิดบีตทำให้ได้ยิน เสียงดังค่อยเป็น จังหวะ - คลื่นเสียงสองขบวนที่มีความถี่เท่ากันมาแทรกสอดกันจะ ทำให้เกิดคลื่นนิ่ง - เมื่อแหล่งกำเนิดเสียงเคลื่อนที่โดยผู้ฟังอยู่นิ่งผู้ฟัง เคลื่อนที่ โดยแหล่งกำเนิดเสียงอยู่นิ่งหรือทั้ง แหลง่กำเนิดและผู้ฟัง เคลื่อนที่เข้าหรือออกจากกันผู้ฟังจะได้ยินเสียงที่มีความถี่ เปลี่ยนไปเรียกว่าปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ - ถ้าแหล่งกำเนิดเสียงเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วมากกว่า อัตราเร็วเสียงในตัวกลางเดียวกันจะเกิดคลื่นกระแทกทำให้ เสียงตามแนวหน้าคลี่นกระแทกมีพลังงานสูงมากมีผลทำให้ ผู้สังเกตในบริเวณใกล้เคียงได้ยินเสียงดังมาก -ความรู้เรื่องเสียงนำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ เช่นการ ปรับเทียบเสียงเครื่องดนตรีอธิบายหลักการทำงานของ เครื่องดนตรีการเปล่งเสียงของมนุษย์ การประมง การแพทย์ ธรณีวิทยา อุตสาหกรรม เป็นต้น 8. ทดลอง และอธิบายการแทรกสอด ของแสง ผ่านสลิตคู่และเกรตติงการ เลี้ยวเบนและการแทรกสอดของแสง ผ่านสลิตเดี่ยวรวมทั้งคำนวณปริมาณ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง - เมื่อแสงผ่านช่องเล็กยาวเดี่ยว (สลิตเดี่ยว) และช่องเล็ก ยาวคู่ (สลิตคู่) จะเกิดการเลี้ยวเบน และการแทรกสอดทำให้ เกิดแถบมืดและแถบสว่างบนฉาก โดยปริมาณต่างๆที่ เกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์ตามสมการแถบมืดสำหรับสลิต เดี่ยว - เกรตติงเป็นอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยช่องเล็กยาวที่มีจำนวน ช่องต่อหนึ่งหน่วยความยาวเป็นจำนวนมาก และระยะห่าง ระหว่างช่องมีค่าน้อย โดยแต่ละช่องห่างเท่าๆ กันใช้สำหรับ หาความยาวคลี่นของแสงและศึกษาสมบัติการเลี้ยวเบน