The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรวิทย์-ม.ปลาย (ปรับปรุง 2566 )

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pinyo1154, 2023-07-25 19:16:22

หลักสูตรวิทย์-ม.ปลาย (ปรับปรุง 2566)

หลักสูตรวิทย์-ม.ปลาย (ปรับปรุง 2566 )

Keywords: หลักสูตร

98 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 9. ทดลองและอธิบายการสะท้อน ของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและคำนวณตำ แหนง่และขนาดภาพของวัตถุเมื่อ แสงตกกระทบกระจกเงาราบและ กระจกเงาทรงกลมรวมทั้งอธิบายการ นำความรู้เรื่องการสะท้อนของแสง จากกระจกเงาราบและกระจกเงา ทรงกลมไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน และการแทรกสอดของแสงโดยปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมี ความสัมพันธ์ตามสมการ - เมื่อแสงตกกระทบผิววัตถุจะเกิดการสะท้อน ซึ่งเป็นไป ตามกฎการสะท้อน - วัตถุที่อยู่หน้ากระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมจะเกิด ภาพที่สามารถหาตำแหน่งขนาด และชนิดของภาพที่เกิดขึ้น ได้จากการเขียนภาพ ของรังสีแสงหรือการคำนวณจาก สมการกรณีกระจกเงาราบ 10. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างดรรชนีหักเหมุมตกกระทบ และมุมหักเหรวมทั้งอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริง และความลึกปรากฏมุมวิกฤตและ การสะท้อนกลับหมดของแสงและ คำนวณ ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง - เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านผิวรอยต่อของตัวกลางสอง ตัวกลาง จะเกิดการหักเห โดยอัตราส่วนระหว่าง ไซน์ของมุมตก กระทบกับไซน์ของมุมหักเหของ ตัวกลางคู่หนึ่งมีค่าคงตัว เรียกความสัมพันธ์นี้ว่า กฎของสเนลล์เขียนแทนได้ด้วย สมการ -การหักเหของแสงทำให้มองเห็นภาพของวัตถุที่อยู่ ใน ตัวกลางต่างชนิดกันมีตำแหน่งเปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งคำนวณ ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ - มุมตกกระทบที่ทำให้มุมหักเหมีค่า 90 องศา เรียกว่า มุมวิกฤต ซึ่งเกิดขึ้นในกรณีที่แสงเดินทาง จากตัวกลางที่มี ดรรชนีหักเหมากไปตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหน้อยคำนวณได้ จากสมการ


99 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 11. ทดลองและเขียนรังสีของแสง เพื่อแสดงภาพที่เกิดจากเลนส์บางหา ตำแหน่งขนาดชนิดของภาพและ ความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุระยะ ภาพและความยาวโฟกัสรวมทั้ง คำนวณ ปริมาณต่างๆที่เกี่ยวข้อง และอธิบายการนำ ความรู้เรื่องการ หักเหของแสงผ่านเลนส์บางไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน - การสะท้อนกลับหมดเกิดขึ้นเมื่อมุมตกกระทบ มากกว่ามุม วิกฤต - เมื่อวางวัตถุหน้าเลนส์บางจะเกิดภาพของวัตถุโดย ตำแหน่งขนาด และชนิดของภาพที่เกิดขึ้นหาได้จากการ เขียนภาพของรังสีแสงหรือคำนวณ ได้จากสมการ -ความรู้เรื่องเลนส์นำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ เช่น แว่น ขยาย กล้องจุลทรรศน์ เป็นต้น 12. อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง การทรงกลด มิ ราจ และการเห็น ท้องฟ้าเป็นสีต่างๆ ในช่วงเวลาต่างกัน - กฎการสะท้อนและการหักเหของแสงใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ - เมื่อแสงตกกระทบอนุภาคหรือโมเลกุลของอากาศ แสง จะเกิดการกระเจิงใช้อธิบายการเห็นท้องฟ้า เป็นสีต่างๆใน ช่วงเวลาต่างกัน 13. สังเกตและอธิบายการมองเห็น แสงสีสีของ วัตถุ การผสมสารสีและ การผสมแสงสีรวมทั้งอธิบายสาเหตุ ของการบอดส - การมองเห็นสีจะขึ้นกับแสงสีที่ตกกระทบกับวัตถุและ สารสีบนวัตถุโดยสารสีจะดูดกลืนบางแสงสีและสะท้อนบาง แสงสี - การผสมสารสีทำให้ได้สารสีที่มีสีปลี่ยนไปจากเดิม ถ้านำแสงสีปฐมภูมิในสัดส่วนที่เหมาะสมมาผสมกันจะได้ แสงขาว - แผ่นกรองแสงสียอมให้บางแสงสีผ่านไปได้และดูดกลืน บางแสงสี - การผสมแสงสีและการผสมสารสีสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ด้านศิลปะด้านการแสดง - ความผิดปกติในการมองเห็นสีหรือการบอดสีเกิดจาก ความบกพร่องของเซลล์รูปกรวย ซึ่งเป็น เซลล์รับแสง ชนิดหนึ่งบนจอตา ม.6 - -


100 3.เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าและกฎของ โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลงังานไฟฟ้าและกำลงัไฟฟ้าการเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทำกับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ ของฟาราเดย์ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.4 - - ม.5 1. ทดลอง และอธิบายการทำวัตถุที่ เป็นกลางทาง ไฟฟ้าให้มีประจุไฟฟ้า โดยการขัดสีกันและการ เหนี่ยวนำ ไฟฟ้าสถิต - การนำวัตถุที่เป็นกลางทางไฟฟ้ามาขัดสีกันจะทำให้วัตถุไม่ เป็นกลางทางไฟฟ้า เนื่องจากอิเล็กตรอนถกูถ่ายโอนจาก วัตถุหนึ่งไปอีกวัตถุหนึ่ง โดยการถ่ายโอนประจุเป็นไปตาม กฎการอนุรักษ์ประจุไฟฟ้า - เมื่อนำวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าไปใกล้ตัวนำไฟฟ้าจะทำให้เกิด ประจุชนิดตรงข้ามบนตัวนำทางด้าน ที่ใกล้วัตถุและประจุ ชนิดเดียวกันด้านที่ไกลวัตถุ เรียกวิธีการนี้ว่าการเหนี่ยวนำ ไฟฟ้าสถิตซึ่ง สามารถใช้วิธีการนี้ในการทำให้วัตถุมีประจุได้ 2. อธิบาย และคำนวณแรงไฟฟ้าตาม กฎของคูลอมบ์ - จุดประจุไฟฟ้ามีแรงกระทำซึ่งกันและกัน โดยมีทิศอยู่ใน แนวเส้นตรงระหว่างจุดประจุทั้งสองและมีขนาดของแรง ระหว่างจุดประจุแปรผันตรงกับผลคูณของขนาดของประจุ ทั้งสอง และแปรผกผันกับกำลังสองของระยะห่าง ระหว่าง จุดประจุซึ่งเป็นไปตามกฎของคูลอมบ์เขียนแทนได้ด้วย สมการ 3. อธิบาย และคำนวณสนามไฟฟ้า และแรงไฟฟ้าที่กระทำกับอนุภาคที่มี ประจุไฟฟ้าที่อยู่ในสนาม ไฟฟ้า รวมทั้งหาสนามไฟฟ้าลัพธ์เนื่องจาก ระบบ จุดประจุโดยรวมกันแบบ เวกเตอร์ - รอบอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า q1 มีสนามไฟฟ้าขนาด ทำให้เกิดแรงไฟฟ้ากระทำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า - สนามไฟฟ้าที่ตำแหน่งใดๆ มีความสัมพันธ์กับแรงไฟฟ้าที่ กระทำต่อประจุไฟฟ้า q2 ตามสมการ - สนามไฟฟ้าลัพธ์เนื่องจากจุดประจุหลายจุดประจุ เท่ากับ ผลรวมแบบเวกเตอร์ของสนามไฟฟ้า เนื่องจากจุดประจุแต่ ละจุดประจุ


101 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - ตัวนำทรงกลมที่มีประจุไฟฟ้ามีสนามไฟฟ้าภายในตัวนำ เป็นศูนย์และสนามไฟฟ้าบนตัวนำมีทิศทาง ตั้งฉากกับผิว ตัวนำนั้นโดยสนามไฟฟ้าเนื่องจาก ประจุบนตัวนำทรงกลม ที่ตำแหน่งห่างจากผิวออกไปหาได้เช่นเดียวกับสนามไฟฟ้า เนื่องจากจดุประจุที่มีจำนวนประจุเท่ากันแต่อยู่ที่ศูนย์กลาง ของทรงกลม - สนามไฟฟ้าของแผ่นโลหะคู่ขนานเป็นสนามไฟฟ้า สม่ำเสมอ 4. อธิบาย และคำนวณพลังงาน ศักย์ไฟฟ้าศักย์ไฟฟ้า และความต่าง ศักย์ระหว่างสองตำแหนง่ใดๆ - ประจุที่อยู่ในสนามไฟฟ้ามีพลังงานศักย์ไฟฟ้าคำนวณได้ จากสมการ U = k 12 - พลังงานศักย์ไฟฟ้าที่ตำแหน่งใด ๆ ต่อหนึ่งหน่วยประจุ เรียกว่า ศักย์ไฟฟ้าที่ตำแหน่งนั้น เขียนแทนได้ด้วยสมการ V =k - ศักย์ไฟฟ้ารวมเนื่องจากจุดประจุหลายจุดประจุ คือผลรวม ของศักย์ไฟฟ้าเนื่องจากจุดประจุแต่ละจุดประจุเขียนแทนได้ ด้วยสมการ V =k∑ = - ความต่างศักย์ระหว่างสองตำแหนjงใดๆ ในบริวณที่มี สนามไฟฟ้าคืองานในการเคลื่อนประจุบวก หนึ่งหน่วยจาก ตำแหน่งหนึ่งไปอีกตำแหน่งหนึ่งเขียนแทนได้ด้วยสมการ VB-VA = → - ความต่างศักย์ระหว่างสองตำแหน่งใดๆ ในสนามไฟฟ้า สม่ำเสมอขึ้นกับขนาดของสนามไฟฟ้า และระยะทาง ระหว่างสองตำแหน่งนั้นในแนวขนานกับสนามไฟฟ้าตาม สมการ VB-VA = Ed 5. อธิบายส่วนประกอบของตัวเก็บ ประจุความสัมพันธ์ระหว่างประจุ ไฟฟ้าความต่างศักย์และความจุของ ตัวเก็บประจุและอธิบาย พลังงาน สะสมในตัวเก็บประจุและความจุ สมมูลรวมทั้งคำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง - ตัวเก็บประจุประกอบด้วยตัวนำไฟฟ้าสองชิ้นที่คั่นด้วย ฉนวนโดยปริมาณประจุที่เก็บได้ขึ้นอยู่กับความต่างศักย์ คร่อมตัวเก็บประจุและความจุของตัวเก็บประจุตามสมการ C = Δ


102 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - ตัวเก็บประจุจะมีพลังงานสะสมซึ่งมีค่าขึ้นกับความต่าง ศักย์และปริมาณประจุตามสมการ U = 1 2 QΔ - เมื่อนำตัวเก็บประจุมาต่อแบบอนุกรมความจุสมมูล มีค่าลดลงตามสมการ 1 = 1 1 + 1 2 + 1 3 + ⋯ - เมื่อนำตัวเก็บประจุมาต่อแบบขนานความจุสมมูลมีค่า เพิ่มขึ้นตามสมการ C = C1+C2+C3+…… 6. นำความรู้เรื่องไฟฟ้าสถิตไป อธิบายหลักการทำงานของ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดและ ปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวัน - ความรู้เรื่องไฟฟ้าสถิตสามารถนำไปอธิบายการทำงานของ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด เช่น เครื่องกำจัดฝุ่นในอากาศเครื่อง พ่นสี เครื่องถ่าย ลายนิ้วมือ และเครื่องถ่ายเอกสาร - ความรู้เรื่องไฟฟ้าสถิตยังสามารถนำไปอธิบาย ปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวันได้ เช่น ฟ้าผ่า ประกายไฟ จากการเสียดสีกันของวัตถุ ซึ่งช่วยให้สามารถป้องกัน อันตรายที่อาจเกิดขึ้น 7. อธิบายการเคลื่อนที่ของ อิเล็กตรอนอิสระและ กระแสไฟฟ้า ในลวดตัวนำความสัมพันธ์ระหว่าง กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำกับ ความเร็วลอยเลื่อน ของ อิเล็กตรอนอิสระความหนาแน่นของ อิเล็กตรอนในลวดตัวนำและ พื้นที่หน้าตัดของลวดตัวนำ และ คำนวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง - เมื่อต่อลวดตัวนำกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าอิเล็กตรอนอิสระที่ อยู่ในลวดตัวนำจะเคลื่อนที่ใน ทิศตรงข้ามกับสนามไฟฟ้าทำ ให้เกิดกระแสไฟฟ้า ซึ่งทิศของกระแสไฟฟ้ามีทิศทาง เดียวกับสนาม ไฟฟ้าหรือมีทิศทางจากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูง ไปยัง จุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า - กระแสไฟฟ้าในตัวนำไฟฟ้ามีความสัมพันธ์กับความเร็ว ลอยเลื่อนของอิเล็กตรอนอิสระความหนาแน่นของ อิเล็กตรอนอิสระในตัวนำและพื้นที่หน้าตัดของตัวนำตาม สมการ I = nevdA 8. ทดลองและอธิบายกฎของโอห์ม อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความ ต้านทานกับความยาวพื้นที่หน้าตัด และสภาพต้านทานของตัวนำโลหะ ที่อุณหภูมิคงตัวและคำนวณปริมาณ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งอธิบายและ คำนวณความต้านทานสมมูล เมื่อนำ ตัวต้านทานมาต่อกันแบบอนุกรม และแบบขนา - เมื่ออุณหภูมิคงตัวกระแสไฟฟ้าในตัวนำโลหะความต่าง ศักย์ที่ปลายทั้งสองและความต้านทาน ของตัวนำนั้นมี ความสัมพันธ์กันตามกฎของโอห์มเขียนแทนได้ด้วยสมการ I = ( )V - ความต้านทานของวัตถุเมื่ออุณหภูมิคงตัวขึ้นอยู่กับชนิด และรูปร่างของวัตถุตามสมการ R = ρ - ค่าความต้านทานของตัวต้านทานอ่านได้จากแถบสีบนตัว ต้านทาน -เมื่อนำตัวต้านทานมาต่อแบบอนุกรมความต้านทานสมมูล


103 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม มีค่าเพิ่มขึ้น ตามสมการ R = R1 + R2 + R3 +... -เมื่อนำตัวต้านทานมาต่อแบบขนานความต้านทานสมมูลมี ค่าลดลงตามสมการ 1 = 1 R1 + 1 2 + 1 3 + ⋯ 9. ทดลองอธิบายและคำนวณอีเอ็ม เอฟของแหล่งกำเนิดไฟฟ้กระแสตรง รวมทั้งอธิบาย และคำนวณพลังงาน ไฟฟ้าและกำลังไฟฟ้า - แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง เช่น แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ ที่ให้พลังงานไฟฟ้าแก่วงจรพลังงานไฟฟ้าที่ประจุไฟฟ้าได้รับ ต่อหนึ่งหน่วยประจุไฟฟ้าเมื่อเคลื่อนที่ผ่านแหล่งกำเนิด ไฟฟ้า เรียกว่า อีเอ็มเอฟคำนวณได้จากสมการ ε =∆V + Ir - พลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้ไปในเครื่องใช้ไฟฟ้าในหนึ่งหน่วย เวลา เรียกว่า กำลังไฟฟ้า ซึ่งมีค่าขึ้นกับความต่างศักย์และ กระแสไฟฟ้าคำนวณได้จากสมการ W = I∆Vt และ P = I∆V 10. ทดลองและคำนวณอีเอ็มเอฟ สมมูลจากการ ต่อแบตเตอรี่แบบ อนุกรมและแบบขนานรวมทั้ง คำนวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องใน วงจรไฟฟ้ากระแสตรงซึ่ง ประกอบด้วย แบตเตอรี่และตัว ต้านทาน - เมื่อนำแบตเตอรี่มาต่อแบบอนกุรมอีเอ็มเอฟสมมูล และ ความต้านทานภายในสมมูลมีค่าเพิ่มขึ้นตามสมการ ε = ε1 + ε2 + ... + εn และ r = r1 + r2 + ... +rn ตามลำดับ - เมื่อนำแบตเตอรี่ที่เหมือนกันมาต่อแบบขนานอีเอ็มเอฟ สมมูลมีค่าคงเดิม และความต้านทาน ภายในสมมูลมีค่า ลดลงตามสมการ ε = ε1 = ε2 = ... = εn และ 1 = 1 1 + 1 2 + ⋯ + 1 ตามลำดับ - กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงที่ประกอบด้วย แบตเตอรี่และตัวต้านทาน คำนวณได้ตามสมการ I = ε + 11. อธิบายการเปลี่ยนพลังงาน ทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้ารวมทั้ง สืบค้นและอภิปราย เกี่ยวกับ เทคโนโลยีที่นำมาแก้ปัญหาหรือ ตอบสนองความต้องการทางด้าน พลังงาน ไฟฟ้าโดยเน้นด้าน ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าด้าน ค่าใช้จ่าย - การนำพลังงานทดแทนมาใช้เป็นการแก้ปัญหา หรือ ตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน เช่น การเปลี่ยน พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานไฟฟ้าในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และการเปลี่ยนพลังงาน แสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าโดย เซลล์สุริยะ - เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาแก้ปัญหาหรือตอบสนอง ความต้องการทางด้านพลังงานเป็นการนำความรู้ทักษะ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาสร้าง อุปกรณ์หรือ


104 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น ม.6 1. สังเกต และอธิบายเส้น สนามแม่เหล็กอธิบาย และคำนวณฟ ลักซ์แม่เหล็กในบริเวณที่กำหนด รวมทั้งสังเกต และอธิบาย สนามแม่เหล็กที่เกิดจากกระแสไฟฟ้า ในลวดตัวนำเส้นตรงและโซเลนอยด์ - เส้นสนามแม่เหล็กเป็นเส้นสมมติที่ใช้แสดงบริเวณที่มี สนามแม่เหล็กโดยบริเวณที่มีเส้นสนามแม่เหล็กหนาแน่น มากแสดงว่าเป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มมาก - ฟลักซ์แม่เหล็ก คือ จำนวนเส้นสนามแม่เหล็กที่ผ่านพื้นที่ ที่พิจารณาและอัตราส่วนระหว่างฟลักซ์แม่เหล็กต่อพื้นที่ตั้ง ฉากกับสนามแม่เหล็ก คือขนาดของสนามแม่เหล็ก เขียน แทนได้ด้วย สมการ B = Ø 2.อธิบายและคำนวณแรงแม่เหล็กที่ กระทำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า เคลื่อนที่ในสนามแม่เหล็กแรง แม่เหล็กที่กระทำต่อเส้นลวดที่มี กระแสไฟฟ้าผ่านและวางใน สนามแม่เหล็ก รัศมีความโค้งของ การเคลื่อนที่เมื่อประจุเคลื่อนที่ตั้ง ฉากกับสนามแม่เหล็ก รวมทั้งอธิบาย แรงระหว่างเส้นลวดตัวนำคู่ขนานที่มี กระแสไฟฟ้าผ่าน - อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่เข้าไปในสนามแม่เหล็กจะ เกิดแรงกระทำต่ออนุภาคนั้นคำนวณได้จากสมการ F = ILBsin - กรณีที่ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ตั้งฉากเข้าไปในสนามแม่เหล็ก จะทำให้ประจุเคลื่อนที่เปลี่ยนไปโดยรัศมีความโค้งของการ เคลื่อนที่คำนวณได้จาก สมการ r = - ลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านและอยู่ในสนามแม่เหล็กจะ เกิดแรงกระทำต่อลวดตัวนำนั้นโดยทิศทางของแรงหาได้ จากกฎมือขวาและคำนวณขนาดของแรงได้จากสมการ F = ILBsin - เมื่อวางเส้นลวดสองเส้นขนานกันและมีกระแส ไฟฟ้าผ่าน ทั้งสองเส้นจะเกิดแรงกระทำระหว่าง ลวดตัวนำทั้งสอง 3. อธิบายหลักการทำงานของแกล แวนอมิเตอร์และมอเตอร์ไฟฟ้า กระแสตรงรวมทั้งคำนวณ ปริมาณ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง - เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำที่อยู่ในสนามแม่เหล็ก จะมีโมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำ ต่อขดลวดทำให้ขดลวด หมุน ซึ่งนำไปใช้อธิบาย การทำงานของแกลแวนอมิเตอร์ และมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงโดยโมเมนต์ของแรงคู่ควบ คำนวณได้จากสมการ M = NIABcos 4. สังเกตและอธิบายการเกิดอีเอ็ม เอฟเหนี่ยวนำกฎการเหนี่ยวนำ ของฟาราเดย์และคำนวณ ปริมาณ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งนำความรู้ - เมื่อมีฟลักซ์แม่เหล็กเปลี่ยนแปลงตัดขดลวดตัวนำจะเกิด อีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำในขดลวดตัวนำนั้นอธิบายได้โดยใช้กฎ การเหนี่ยวนำของฟาราเดย์เขียนแทนได้ด้วยสมการ ε = − ∆Ø ∆


105 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม เรื่องอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำไปอธิบาย การทำงาน ของเครื่องใช้ไฟฟ้า - ทิศทางของกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำหาได้โดยใช้กฎของ เลนซ์ - ความรู้เกี่ยวกับอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำไปใช้อธิบายการทำงาน ของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและการ ทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างๆ เช่น แบลลัสต์แบบขดลวดของหลอดฟลูออเรสเซนต์ การเกิด อีเอ็มเอฟกลับในมอเตอร์ไฟฟ้ามอเตอร์ไฟฟ้า เหนี่ยวนำและกีตาร์ไฟฟ้า - ไฟฟ้ากระแสสลับที่ส่งไปตามบ้านเรือนมีความต่างศักย์ และกระแสไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปตาม เวลาในรูปของ ฟังก์ชันแบบไซน์ - การวัดความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าสลับใช้ค่ายังผลหรือ ค่ามิเตอร์ ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยแบบรากทสี่องของกำลังสองเฉลี่ย คำนวณได้จากสมการ 6. อธิบายหลักการทำงานและ ประโยชน์ของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า กระแสสลับ 3 เฟส การแปลงอีเอ็ม เอฟของหม้อแปลง และคำนวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง - เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส มีขดลวด ตัวนำ 3 ชุด แต่ละชุดวางทำมุม 120 องศา ซึ่งกันและกันไฟฟ้า กระแสสลับจากขดลวดแต่ละชดุจะมีเฟสต่างกัน 120 องศา ซึ่งช่วยให้มีประสิทธิภาพในการผลิตและการส่งพลังงาน ไฟฟ้า - ไฟฟ้ากระแสสลับที่ส่งไปตามบ้านเรือนเป็นไฟฟ้า กระแสสลับที่ต้องเพิ่มอีเอ็มเอฟจากโรงไฟฟ้าแล้ว ลดอีเอ็ม เอฟให้มีค่าที่ต้องการโดยใช้หม้อแปลงซึ่ง ประกอบด้วย ขดลวดปฐมภูมิและขดลวดทุติยภูมิ - ไฟฟ้ากระแสสลับที่ผ่านขดลวดปฐมภูมิของ หม้อแปลงจะ ทำให้เกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำในขดลวดทุติยภูมิของหม้อ แปลงโดยอีเอ็มเอฟใน ขดลวดทุติยภูมิขึ้นกับอีเอ็มเอฟใน ขดลวดปฐมภูมิและจำนวนรอบของขดลวดทั้งสอง


106 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 7. อธิบายการเกิดและลักษณะเฉพาะ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแสงไม่โพลา ไรส์แสงโพลาไรส์เชิงเส้น และแผ่น โพลารอยด์รวมทั้งอธิบายการนำคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่ต่างๆ ไป ประยุกต์ใช้และหลักการทำงานของ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อ - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแสงไม่โพลาไรส์แสงโพลาไรส์เชิงเส้น และแผ่นโพลารอยด์รวมทั้งอธิบายการนำคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่ต่างๆ ไปประยุกต์ใช้และ หลักการทำงานของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง - การเหนี่ยวนำต่อเนื่องระหว่างสนามแม่เหล็กและ สนามไฟฟ้าทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออก จาก แหล่งกำเนิด - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประกอบด้วยสนามแม่เหล็ก และ สนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดย สนามทั้งสองมีทิศ ตั้งฉากกันและตั้งฉากกับ ทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น - แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งโดยแสงใน ชีวิตประจำวันเป็นแสงไม่โพลาไรส์ เมื่อแสงนั้น ผ่านแผ่นโพ ลารอยด์สนามไฟฟ้าจะมีทิศทางอยู่ ในระนาบเดียวเรียกว่า แสงโพลาไรส์เชิงเส้นสมบัติของแสงลักษณะนี้เรียกว่าโพลา ไรเซชัน - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถี่ต่างๆ มากมายโดย ความถี่นี้มี ค่าต่อเนื่องกันเป็นช่วงกว้าง เรียกว่า สเปกตรัมคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า - ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ทำงานโดยอาศัย คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เครื่องฉายรังสีเอกซ์ เครื่องควบคุมระยะไกล เครื่อง ระบุตำแหน่งบน พื้นโลกเครื่องถ่ายภาพเอกซ์เรย์ คอมพิวเตอร์ และเครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก 8.สืบค้น และอธิบายการสื่อสารโดย อาศัย คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการ ส่งผ่านสารสนเทศและเปรียบเทียบ การสื่อสารด้วยสัญญาณแอนะล็อก กับสัญญาณดิจิทัล - การสื่อสารเพื่อส่งผ่านสารสนเทศจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ทำได้โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สารสนเทศจะถูกแปลง ให้อยู่ในรูปสัญญาณ สำหรับส่งไปยังปลายทางซึ่งจะมีการ แปลง สัญญาณกลับมาเป็นสารสนเทศที่เหมือนเดิม - สัญญาณมีสองชนิดคือแอนะล็อกและดิจิทัลโดยการ ส่งผ่านสารสนเทศด้วยสัญญาณดิจิทัลมีความผิดพลาดน้อย กว่าสัญญาณแอนะล็อก


107 4.เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสารสภาพยืดหยุ่นของวัสดุ และมอดลัสของยังความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดิส ความตึงผิวและแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบร์นูลลีกฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบทฤษฎี อะตอมของโบร์ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสีแรงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์พลังงานนิวเคลียร์ฟิสิกส์อนุภาค รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 - - ม.5 - - ม.6 1. อธิบายและคำนวณความร้อนที่ทำ ให้สสาร เปลี่ยนอุณหภูมิความร้อนที่ ทำให้สสารเปลี่ยนสถานะและความ ร้อนที่เกิดจากการถ่ายโอนตามกฎ การอนุรักษ์พลังงาน - เมื่อสสารได้รับหรือคายความร้อนสสารอาจมีอุณหภูมิ เปลี่ยนไปและสสารอาจเปลี่ยนสถานะ โดยไม่เปลี่ยน อุณหภูมิซึ่งปริมาณความร้อนที่ทำให้สสารเปลี่ยนอณุหภูมิ คำนวณได้จากสมการ Q = mc∆T ส่วนปริมาณของ พลังงานความร้อนที่ทำให้สสาร เปลี่ยนสถานะคำนวณได้ จากสมการ Q = mL - วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจะถ่ายโอนความร้อนไปสู่วัตถุที่มี อุณหภูมิต่ำกว่าเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงานโดย ปริมาณความร้อนที่วัตถุ หนึ่งให้จะเท่ากับปริมาณความร้อน ที่วัตถุหนึ่งรับ เขียนแทนได้ด้วยสมการ Qลด= Qเพิ่ม - เมื่อวัตถุมีอุณหภูมิเท่ากันจะไม่มีการถ่ายโอนความร้อน เรียกว่าวัตถุอยู่ในสมดุลความร้อน 2. อธิบายสภาพยืดหยุ่นและลักษณะ การยืดและหดตัวของวัสดุที่เป็นแท่ง เมื่อถูกกระทำด้วยแรงค่าต่างๆ รวมทั้งทดลองอธิบายและ คำนวณ ความเค้นตามยาวความเครียด ตามยาวและมอดุลัสของยังและนำ ความรู้เรื่องสภาพยืดหยุ่นไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน - สมบัติที่วัสดุเปลี่ยนรูปและกลับสู่รูปเดิม เมื่อหยุด ออก แรงกระทำเรียกว่าสภาพยืดหยุ่น ถ้ายัง ออกแรงต่อไป วัสดุจะขาดหรือเสียรูปอย่างถาวร - ในกรณีที่วัตถุมีการเปลี่ยนแปลงความยาว ถ้าออกแรง กระทำต่อเส้นลวดไม่เกินขีดจำกัดการแปรผันตรงความยาว ที่เพิ่มขึ้นของเส้นลวด แปรผันตรงกับขนาดของแรงดึงทำให้ ความเครียดตามยาวที่เกิดขึ้นแปรผันตรงกับความเค้น ตามยาวโดยความเค้นตามยาวคำนวณได้จากสมการ Q = ส่วนความเครียดตามยาวคำนวณจาก ε = ∆ 0 - อัตราส่วนความเค้นตามยาวต่อความเครียดตามยาว เรียกว่า มอดุลัสของยัง ซึ่งมีค่าขึ้นกับชนิดของวัสดุคำนวณ ได้จากสมการ Y = ε หรือ Y = / ∆/0


108 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - ถ้าวัสดุมีมอดุลัสของยังสูงแสดงว่าวัสดุนั้น เปลี่ยนแปลง ความยาวได้น้อย ถ้าออกแรงเพิ่มขึ้นเกินขีดจำกัดสภาพ ยืดหยุ่นวัสดุไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้สมบัตินี้ นำไปใช้พิจารณา ในการเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งาน 3. อธิบายและคำนวณความดันเกจ ความดัน สัมบูรณ์ และความดัน บรรยากาศรวมทั้ง อธิบายหลักการ ทำงานของแมนอมิเตอร์บารอมิเตอร์ และเครื่องอัดไฮดรอลิก - ภาชนะที่มีของเหลวบรรจุอยู่จะมีแรงเนื่องจาก ของเหลว กระทำต่อพื้นผิวภาชนะโดยขนาดของ แรงที่ของเหลว กระทำตั้งฉากต่อพื้นที่หนึ่งหน่วย เป็นความดันในของเหลว - ความดันที่เครื่องมือวัดได้ เรียกว่า ความดันเกจคำนวณได้ จากสมการ Pg = ρgh ส่วนผลรวมของ ความดัน บรรยากาศและความดันเกจ เรียกว่า ความดันสัมบูรณ์ คำนวณได้จากสมการ P = P0 + Pg - ค่าของความดันอ่านได้จากเครื่องวัดความดัน เช่น แมนอ มิเตอร์บารอมิเตอร์ - เมื่อเพิ่มความดัน ณ ตำแหน่งใดๆในของเหลวที่อยู่นิ่งใน ภาชนะปิดความดันที่เพิ่มขึ้นจะส่งผ่าน ไปทุกๆ จุดใน ของเหลวนั้น เรียกว่า กฎพาสคัล กฎนี้นำไปใช้อธิบายการ ทำงานของเครื่องอัดไฮดรอลิก - วัตถุที่อยู่ในของไหลทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนจะถูกแรง พยุงจากของไหลกระทำ โดยขนาดแรงพยุงเท่ากับขนาด น้ำหนักของของไหลที่ถูกวัตถุแทนที่ตามหลักของอาร์คิมีดีส ซึ่งใช้อธิบายการลอยการจมของวัตถุต่างๆ ในของไหลขนาด แรงพยุงจากของไหลคำนวณได้จากสมการ FB = ρVg - ความตึงผิวเป็นสมบัติของของเหลวที่ยึดผิว ของเหลวไว้ ด้วยแรงดึงผิวปรากฏการณ์ที่เป็นผล จากความตึงผิว เช่น การเดินบนผิวน้ำของแมลง บางชนิดการซึมตามรูเล็กหรือ 5. ทดลองอธิบายและคำนวณความ ตึงผิวของ ของเหลวรวมทั้งสังเกต และอธิบายแรงหนืดของของเหลว การโค้งของผิวของเหลวโดยความตึงผิวของของเหลา คำนวณได้จากสมการ r = - ความหนืดเป็นสมบัติของของไหลวัตถุที่เคลื่อนที่ ในของ ไหลจะมีแรงเนื่องจากความหนืดต้านการ เคลื่อนที่ของวัตถุ เรียกว่า แรงหนืด


109 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 6. อธิบายสมบัติของของไหลอุดมคติ สมการความต่อเนื่อง และสมการ แบร์นูลลีรวมทั้งคำนวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำความรู้เกี่ยวกับ สมการความต่อเนื่องและสมการ แบรน์ลูลีไปอธิบายหลักการทำงาน ของอุปกรณ์ต่าง ๆ - ของไหลอุดมคติเป็นของไหลที่มีการไหลอย่าง สม่ำเสมอ ไม่มีความหนืดบีบอัดไม่ได้และไหลโดยไม่หมุนมีอัตราการ ไหลตามสมการความต่อเนื่อง Av = ค่าคงตัว -ตำแหน่งสองตำแหน่งบนสายกระแสเดียวกันของของไหล อุดมคติที่ไหลอย่างสม่ำเสมอจะมีผลรวมของความดัน สัมบูรณ์พลังงานจลน์ต่อหนึ่งหน่วยปริมาตรและพลังงาน ศักย์ต่อหนึ่ง หน่วยปริมาตรเป็นค่าคงตัวตามสมการ แบร์นูลลี่ P+ 1 2 ρV2 + ρVg = ค่าคงตัว 7. อธิบายกฎของแก๊สอุดมคติและ คำนวณปริมาณ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง - แก๊สอุดมคติเป็นแก๊สที่โมเลกุลมีขนาดเล็กมากไม่มีแรงยึด เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีการเคลื่อนที่แบบสุ่มและมีการชน แบบยืดหยุ่น - ความสัมพันธ์ระหว่างความดันปริมาตรและ อุณหภูมิของ แก๊สอุดมคติเป็นไปตามกฎของแก๊สอุดมคติเขียนแทนได้ด้วย สมการ PV = nRT = NkBT - จากแบบจำลองของแก๊สอุดมคติกฎการเคลื่อนที่ ของนิว ตันและจากกฎของแก๊สอุดมคติทำให้สามารถศึกษาสมบัติ ทางกายภาพบางประการ ของแก๊สได้ได้แก่ ความดัน พลังงานจลน์เฉลี่ย และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุล ของแก๊สได้ - จากทฤษฎีจลนข์องแก๊สความดันและพลังงานจลน์เฉลี่ย ของโมเลกุลของแก๊สมีความสัมพันธ์ตามสมการ PV = 1 2 NEK ส่วนอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของ โมเลกุลของแก๊ส คำนวณได้จากสมการ 9. อธิบายและคำนวณงานที่ทำโดย แก๊สในภาชนะปดิโดยความดันคงตัว และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ความร้อนพลงังานภายในระบบและ งานรวมทั้งคำนวณปริมาณต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องและนำความรู้เรื่องพลังงาน - ในภาชนะปิดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปริมาตรของแก๊สโดย ความดันคงตัวงานที่เกิดขึ้นคำนวณได้จากสมการ W = P∆V - โมเลกุลของแก๊สอุดมคติในภาชนะปิดจะมีพลังงานจลน์ โดยพลังงานจลน์รวมของโมเลกุล เรียกว่า พลังงานภายใน ของแก๊สหรือพลังงาน ภายในระบบ ซึ่งแปรผันตรงกับ จำนวนโมเลกุล และอุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊ส


110 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ภายในระบบไปอธิบายหลักการ ทำงานของเครื่องใช้ในชีวิต ประจำวัน - พลังงานภายในระบบมีความสัมพันธ์กับความร้อน และ งาน เช่น เมื่อมีการถ่ายโอนความร้อนใน ระบบปิดผลของ การถ่ายโอนความร้อนนี้จะเท่ากับผลรวมของพลังงาน ภายในระบบที่เปลี่ยนแปลงกับงาน เป็นไปตามกฎการ อนุรักษ์พลังงานเรียกกฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์แสดง ได้ด้วยสมการ Q = ∆U + W - ความรู้เรื่องพลังงานภายในระบบสามารถนำไป ประยุกต์ ในด้านต่างๆ เช่น การทำงานของ เครื่องยนต์ความร้อน ตู้เย็นเครื่องปรับอากาศ 10. อธิบายสมมติฐานของพลังค์ ทฤษฎีอะตอมของโบร์และการเกิด เส้นสเปกตรัมของ อะตอมไฮโดรเจน รวมทั้งคำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้อง - พลังค์เสนอสมมติฐานเพื่ออธิบายการแผ่รังสีของวัตถุดำ ซึ่งสรุปได้ว่าพลังงานที่วัตถุดำดูดกลืนหรือแผ่ออกมามีค่าได้ เฉพาะบางค่าเท่านั้น และค่านี้จะเป็นจำนวนเท่าของ hf เรียกว่า ควอนตัม พลังงาน โดยแสงความถี่ f จะมีพลังงาน ตามสมการ E = nhf - ทฤษฎีอะตอมของไฮโดรเจนที่เสนอโดยโบร์อธิบายว่า อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส ในวงโคจรบางวงได้ โดยไม่แผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าถ้าอิเล็กตรอนมีการเปลี่ยนวง โคจรจะมีการรับ หรือปล่อยพลังงานในรูปของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า ตามสมมติฐานของพลังค์ซึ่งสามารถนำไป คำนวณรัศมีวงโคจรของอิเล็กตรอนและพลังงาน อะตอม ของไฮโดรเจนได้ตามสมการ - ทฤษฎีอะตอมของโบร์สามารถนำไปคำนวณ ความยาว คลื่นของแสงในสเปกตรัมเส้นสว่าง ของอะตอมไฮโดรเจน ตามสมการ


111 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 11. อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กท ริกและ คำนวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ของโฟโตอิเล็กตรอน และฟังก์ชันงานของโลหะ - ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกเป็นปรากฏการณ์ที่ อิเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะเมื่อมีแสงที่มีความถี่เหมาะสม มาตกกระทบโดยจำนวนโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดจะเพิ่มขึ้น ตามความเข้มแสงและพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโต อิเล็กตรอนจะขึ้นกับความถี่ของแสงนั้นโดยพลังงานของแสง หรือโฟตอนตามสมมติฐานของพลังค์ - ไอน์สไตน์อาศัยกฎการอนุรักษ์พลังงานและ สมมติฐาน ของพลังค์อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกตามสมการ hf = W + Ekmax - การทดลองพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน และ ฟังก์ชันงานของโลหะคำนวณได้จากสมการ Ekmax = eV และ W = hf0 ตามลำดับ 12. อธิบายทวิภาวะของคลื่นและ อนุภาค รวมทั้งอธิบาย และคำนวณ ความยาวคลี่นเดอบรอยล์ - การค้นพบการแทรกสอดและการเลี้ยวเบนของอเิลก็ตรอน สนบัสนนุความคดิของเดอบรอยล์ที่เสนอว่าอนุภาคแสดง สมบัติของคลื่นได้โดยเมื่ออนุภาคประพฤติตัวเป็นคลื่นจะมี ความยาวคลื่น เรียกว่า ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ ซึ่งมีค่า ขึ้นกับโมเมนตัมของอนุภาค λ = ℎ ตามสมการ - จากความคิดของไอน์สไตน์และเดอบรอยล์ทำให้สรุปได้ ว่าคลื่นแสดงสมบัติของอนุภาคได้และ อนุภาคแสดงสมบัติ ของคลื่นได้สมบัติดังกล่าว เรียกว่า ทวิภาวะของคลื่นและ อนุภาค 13. อธิบายกัมมันตภาพรังสีและ ความแตกต่างของรังสีแอลฟา บีตา และแกมมา - กัมมันตภาพรังสีเป็นปรากฏการณ์ที่ธาตุกัมมันตรังสีแผ่ รังสีได้เองอย่างต่อเนื่องรังสีที่ออกมามี 3 ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา - การแผ่รังสีเกิดจากการเปลี่ยนแปลงนิวเคลียสของธาตุ กัมมันตรังสี ซึ่งเขียนแทนได้ด้วยสมการ


112 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 14. อธิบายและคำนวณกัมมันตภาพ ของ นิวเคลียสกัมมันตรังสีรวมทั้ง ทดลอง อธิบาย และคำนวณจำนวน นิวเคลียสกัมมันตภาพรังสีที่เหลือ จากการสลายและครึ่งชีวิต - ในการสลายของธาตุกัมมันตรังสีอัตราการแผ่รังสี ออกมาในขณะหนึ่ง เรียกว่า กัมมันตภาพ ปริมาณนี้บอกถึง อัตราการลดลงของจำนวน นิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี คำนวณได้จาก สมการ A = λN - ช่วงเวลาที่จำนวนนิวเคลียสลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง ของ จำนวนเริ่มต้น เรียกว่า ครึ่งชีวิต โดยจำนวน นิวเคลียส กัมมันตภาพรังสีที่เหลือจากการสลายและครึ่งชีวิตคำนวณ ได้จากสมการ N = N0e - λt และ T1/2 = 2 ตามลำดับ 15. อธิบายแรงนิวเคลียร ์ เสถียรภาพของนิวเคลียส์ และ พลังงานยึดเหนี่ยวรวมทั้งคำนวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง - ภายในนิวเคลียสมีแรงนิวเคลียร์ที่ใช้อธิบาย เสถียรภาพ ของนิวเคลียส -การทำให้นิวคลีออนในนิวเคลียสแยกออกจากกันต้องใช้ พลังงานเท่ากับพลังงานยึดเหนี่ยว ซึ่งคำนวณได้จาก ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงานตามสมการ E = (∆m)c2 - นิวเคลียสที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนสูง จะมี เสถียรภาพดีกว่านิวเคลียสที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลี ออนต่ำโดยพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนคำนวณได้จาก สมการ = (∆) 16. อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน และฟิวชันรวมทั้งคำนวณพลังงาน นิวเคลียร์ - ปฏิกิริยาที่ทำให้นิวเคลียสเกิดการเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบหรือระดับพลังงาน เรียกว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์ - ฟิชชันเป็นปฏิกิริยาที่นิวเคลียสที่มีมวลมากแตกออกเป็น นิวเคลียสที่มีมวลน้อยกว่าส่วนฟิวชันเป็นปฏิกิริยาที่ นิวเคลียสที่มีมวลน้อย รวมตัวกันเกิดเป็นนิวเคลียสที่มีมวล มากขึ้น - พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชันหรือฟิวชัน เรียกว่า พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีค่าเป็นไปตาม ความสัมพันธ์ระหว่าง มวลกับพลังงานตามสมการ E = (∆m)c2 17.อธิบายประโยชน์ของพลังงาน นิวเคลียร์และรังสีรวมทั้งอันตราย และการป้องกันรังสีในด้านต่าง ๆ - พลังงานนิวเคลียร์และรังสีจากการสลายของธาตุ กัมมันตรังสีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ขณะเดียวกันต้องมีการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้


113 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 18. อธิบายการค้นคว้าวิจัยด้าน ฟิสิกส์อนุภาคแบบจำลองมาตรฐาน และการใช้ประโยชน์จากการ ค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคในด้าน ต่าง ๆ - การศึกษาโปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียสด้วยเครื่อง เร่งอนุภาคพลังงานสูงพบว่า โปรตอน และนิวตรอน ประกอบด้วยอนุภาคอื่นที่มีขนาดเล็กกว่า เรียกว่า ควาร์ก ซึ่งยึดเหนี่ยวกันไว้ด้วยแรงเข้ม - นักฟิสิกส์ยังได้ค้นพบอนุภาคที่เป็นสื่อของแรงเข้ม ซึ่ง ได้แก่กลูออนและอนุภาคที่เป็นสื่อของแรงอ่อน ซึ่งได้แก่ W – โบซอน และ Z – โบซอน - อนุภาคที่ไม่สามารถแยกเป็นองค์ประกอบได้รวมทั้ง อนุภาคที่เป็นสื่อของแรงจัดเป็นอนุภาคมูลฐานใน แบบจำลองมาตรฐาน - แบบจำลองมาตรฐานเป็นทฤษฎีที่ใช้อธิบาย พฤติกรรม และอันตรกิริยาระหว่างอนุภาคมูลฐาน - การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคนำไปสู่การพัฒนา เทคโนโลยีที่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆเช่น ด้าน การแพทย์ มีการใช้เครื่องเร่งอนุภาครักษาโรคมะเร็ง การใช้ เครื่องถ่ายภาพรังสีระนาบปล่อยโพซิตรอนวินิจฉัยโรคมะเร็ง ด้านการรักษาความปลอดภัยมีการใช้เครื่องเอกซเรย์ คอมพิวเตอร์ตรวจวัตถุอันตรายในสนามบิน


114 สาระโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ 1.เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการศึกษาลำดับชั้นหิน ทรัพยากรธรณีแผนที่และการนำไปใช้ประโยชน์ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.4 1.อธิบายการแบ่งชั้นและสมบัติของ โครงสร้างโลกพร้อมยกตัวอย่าง ข้อมูลที่สนับสนุน - การศึกษาโครงสร้างโลกใช้ข้อมูลหลายด้าน เช่น องค์ประกอบทางเคมีของหินและแร่ องค์ประกอบทางเคมี ของอกุกาบาตข้อมูลคลี่นไหว สะเทือนที่เคลื่อนที่ผ่านโลกจึง สามารถแบ่งชั้น โครงสร้างโลกได้ 2 แบบ คือ โครงสร้างโลก ตามองค์ประกอบทางเคมีแบ่งได้เป็น 3 ชั้น ได้แก่ เปลือก โลก เนื้อโลก และแก่นโลก และ โครงสร้างโลกตามสมบัติ เชิงกลแบ่งได้เป็น 5 ชั้น ได้แก่ ธรณีภาค ฐานธรณีภาค มัชฌิมภาค แก่นโลกชั้นนอก และแก่นโลกชั้นใน 2. อธิบายหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ สนับสนุนการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี - แผ่นธรณีต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบของธรณีภาค ซึ่งเป็น ชั้นนอกสุดของโครงสร้างโลก โดยมีการ เปลี่ยนแปลงขนาด และตำแหน่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การเคลื่อนที่ของแผ่น ธรณีดังกล่าว อธิบายได้ตามทฤษฎีธรณีแปรสัณฐาน ซึ่งมี รากฐานมาจากทฤษฎีทวีปเลื่อนและทฤษฎีการแผ่ขยายพื้น สมุทร โดยมีหลักฐานที่สนับสนุน ได้แก่ รูปร่างของขอบทวีป ที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ความคล้ายคลึงกันของกลุ่มหิน และแนวเทือกเขา ซากดึกดำบรรพ์ร่องรอยการเคลื่อนที่ ของ ตะกอนธารน้ำแข็งภาวะแม่เหล็กโลกบรรพกาล อายุ หินของพื้นมหาสมุทร รวมทั้งการค้นพบ สันเขากลางสมุทร และร่องลึกก้นสมุทร 3. ระบุสาเหตุและอธิบายแนว รอยต่อของแผ่นธรณีที่สัมพันธ์กับ การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีพร้อม ยกตัวอย่างหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ พบ - การพาความร้อนของแมกมาภายในโลกทำให้เกิดการ เคลื่อนที่ของแผ่นธรณีตามทฤษฎีธรณีแปรสัณฐาน ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจพบหลักฐานทางธรณีวิทยา ได้แก่ ธรณีสัณฐานและธรณีโครงสร้างที่บริเวณแนวรอยต่อของ แผ่นธรณี เช่น ร่องลึกก้นสมุทรหมู่เกาะภูเขาไฟ รูปโค้งแนว ภูเขาไฟ แนวเทือกเขาหุบเขาทรุด และสันเขากลางสมุทร รอยเลื่อนนอกจากนี้ยังพบการเกิดธรณีพิบัติภัยที่บริเวณ แนวรอยต่อ ของแผ่นธรณีเช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ซึ่งหลักฐานดังกล่าวสัมพันธ์กับรูปแบบการเคลื่อนที่


115 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ของแผ่นธรณีนักวิทยาศาสตร์จึงสรุปได้ว่าแนวรอยตอ่ของ แผน่ธรณีมี 3 รปูแบบ ได้แก่ แนวแผ่นธรณีแยกตัวแนวแผ่น ธรณีเคลื่อนที่เข้าหากันแนวแผ่นธรณีเคลื่อนที่ผ่านกัน ใน แนวราบ 4. วิเคราะห์หลักฐานทางธรณีวิทยาท พี่บในปัจจุบันและอธิบายลำดับ เหตุการณ์ทางธรณีวิทยาในอดีต -การลำดับชั้นหินเป็นการศึกษาการวางตัวการแผ่กระจาย ลำดับอายุความสัมพันธ์ของชั้นหิน รอยชั้นไม่ต่อเนื่องและ หลักฐานทางธรณีวิทยาอื่นๆ ที่ปรากฏทำให้ทราบลำดับ เหตุการณ์ทางธรณีวิทยาการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นบนโลกตั้งแต่กำเนิดโลก จนถึงปัจจุบัน - หลักฐานทางธรณีวิทยา ได้แก่ ซากดึกดำบรรพ์หินและ ลักษณะโครงสร้างทางธรณี ซึ่งนำมาหาอายุได้ 2 แบบ ได้แก่ อายุเปรียบเทียบ คือ อายุของซากดึกดำบรรพ์หิน และ/หรือเหตุการณ์ทางธรณีวิทยา เมื่อเทียบกับ ซากดึกดำ บรรพ์หิน และ/หรือเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาอื่นๆ และอายุ สัมบูรณ์คือ อายุที่ระบุ เป็นตัวเลขของหินและ/หรือ เหตุการณ์ทาง ธรณีวิทยาซึ่งคำนวณได้จากไอโซโทปของ ธาตุ - ข้อมูลจากอายุเปรียบเทียบและอายุสัมบูรณ์สามารถ นำมาจดัทำมาตราธรณีกาล คือ การลำดับช่วงเวลาของโลก ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันแบ่งออกเป็นบรมยุค มหายุค และ สมัย ซึ่งแต่ละช่วงเวลามีสิ่งมีชีวิตสภาพแวดล้อมและ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน 5. อธิบายสาเหตุกระบวนการเกิด ภูเขาไฟระเบิด และปัจจัยที่ทำให้ ความรุนแรงของการปะทุและ รูปร่างของภูเขาไฟแตกต่างกันรวมทั้ง สืบค้นข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยออกแบบ และนำเสนอ แนวทางการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย - ภูเขาไฟระเบิด เกิดจากการแทรกดันของแมกมา ขึ้นมา ตามส่วนเปราะบางหรือรอยแตกบนเปลือกโลกมักพบ หนาแน่นบริเวณรอยต่อ ระหว่างแผ่นธรณีทำให้บริเวณ ดังกล่าวเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ความรุนแรงของการปะทุและ รูปร่างของภูเขาไฟที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ของ แมกมาผลจากการระเบิดของภูเขาไฟมีทั้ง ประโยชน์และ โทษจึงต้องศึกษาแนวทางในการ เฝ้าระวังและการปฏิบัติ ตนให้ปลอดภัย


116 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 6. อธิบายสาเหตุกระบวนการเกิด ขนาดและ ความรุนแรงและผลจาก แผ่นดินไหวรวมทั้ง สืบค้นข้อมูลพื้นที่ เสี่ยงภัยออกแบบและนำเสนอ แนว ทางการเฝ้าระวังและการปฏิบัติตน ให้ปลอดภัย -แผ่นดินไหวเกดิจากการปลดปล่อยพลงังานทสี่ะสม ไว้ของ เปลือกโลกในรูปของคลื่นไหวสะเทือนแผ่นดินไหวมีขนาด และความรุนแรงแตกต่างกันและทำลายทรัพย์สินศูนย์เกิด แผ่นดินไหวมักอยู่ บริเวณรอยต่อของแผ่นธรณี และพื้นที่ ภายใต้อิทธิพลของการเคลื่อนของแผ่นธรณีที่ระดับความ ลึกต่างกันให้บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวซึ่ง ส่งผลให้สิ่งก่อสร้างเสียหายเกิดอันตรายต่อชีวิตและ ทรัพย์สินจึงต้องศึกษา แนวทางในการเฝ้าระวังและการ ปฏิบัติตนให้ปลอดภัย 7. อธิบายสาเหตุกระบวนการเกิด และผลจากสินามิรวมทั้งสืบค้นข้อมูล พื้นที่เสี่ยงภัยออกแบบและนำเสนอ แนวทางการเฝ้าระวังและการปฏิบัติ ตนให้ปลอดภัย - สึนามิคือคลื่นน้ำที่เกิดจากการแทนที่มวลน้ำในปริมาณ มหาศาลส่วนมากจะเกิดในทะเลหรือมหาสมุทรโดยคลื่นมี ลักษณะเฉพาะคือ ความยาวคลื่นมากและเคลื่อนที่ด้วย ความเร็วสูงเมื่ออยู่กลางมหาสมุทรจะมีความสูงคลื่นน้อย และอาจเพิ่มความสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อคลื่น เคลื่อนที่ผ่าน บริเวณน้ำตื้นทำให้พื้นที่บริเวณ ชายฝั่งบางบริเวณเป็นพื้นที่ เสี่ยงภัยสึนามิก่อให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์และสิ่งก่อสร้างใน บริเวณชายหาดนั้นจึงต้องศึกษาแนวทางในการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย 8.ตรวจสอบและระบุชนิดแร่รวมทั้ง วิเคราะห์สมบัติและนำเสนอการใช้ ประโยชน์จาก ทรัพยากรแร่ที่ เหมาะสม -แร่ คือ ธาตุหรือสารประกอบอนินทรีย์ที่มีสถานะเป็น ของแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมีโครงสร้างภายในที่เป็น ระเบียบ และมีสูตรเคมีและสมบัติอื่นๆ ที่แน่นอนหรืออาจ เปลี่ยนแปลงได้ภายใต้วงจำกัดทำให้แร่มีสมบัติทาง กายภาพที่แน่นอนสามารถนำมาใช้เพื่อตรวจสอบชนิดของ แร่ทางกายภาพ และการทำปฏิกิริยาเคมีกับกรด -ทรัพยากรแร่สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอตุสาหกรรมได้ หลายประเภท เช่น อาหารและยา เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี 9.ตรวจสอบจำแนกประเภทและระบุ ชื่อหินรวมทั้งวิเคราะห์สมบัติและ นำเสนอการใช้ประโยชน์ของ ทรัพยากรหินที่เหมาะสม -หิน เป็นมวลของแข็งที่ประกอบด้วยแร่ ตั้งแต่ 1 ชนิด ขึ้นไป หรือประกอบด้วยแก้วธรรมชาติหรือสสารจาก สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นเอง - หินสามารถจำแนกตามลักษณะการเกิดและเนื้อหินได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนีหินตะกอน และหินแปร


117 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ทางแร่ของหินเป็นเกณฑ์ หินสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ หลายด้าน เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องประดับ วัตถุดิบใน อุตสาหกรรม 10.อธิบายกระบวนการเกิดและการ สำรวจแหล่งปิโตรเลียมและถ่านหิน โดยใช้ข้อมูลทางธรณีวิทยา 11. อธิบายสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ได้ จากปิโตรเลียม และถ่านหินพร้อม นำเสนอการใช้ประโยชน์อย่าง เหมาะสม - ทรัพยากรปิโตรเลียมและถ่านหินเป็นทรัพยากร สิ้นเปลือง ที่มีอยู่อย่างจำกัดใช้แล้วหมดไปไม่สามารถเกิดขึ้นทดแทน ได้ในเวลาอันรวดเร็วทรัพยากรปิโตรเลียมและถ่านหินถูก นำมาใช้ในอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ เช่น การ คมนาคม การผลิตไฟฟ้า เชื้อเพลิงใน อุตสาหกรรมต่างๆ - การศึกษากระบวนการเกิดและการสำรวจแหล่ง ปิโตรเลียมและถ่านหินต้องใช้ความรู้พื้นฐานธรณีวิทยา หลายด้าน เช่นตะกอนวิทยา การลำดับชั้นหิน ธรณี โครงสร้างรวมทั้งวิธีการ และเทคนิคต่าง ๆ ที่เหมาะสม เพื่อที่จะนำ ทรัพยากรมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าและยั่งยืน 12.อ่านและแปลความหมายจาก แผนที่ภูมิประเทศ และแผนที่ ธรณีวิทยาของพื้นที่ที่กำหนดพร้อม ทั้งอธิบายและยกตัวอย่าง การ นำไปใช้ประโยชน์ -แผนที่ภูมิประเทศเป็นแผนที่ที่สร้างเพื่อจำลอง ลกัษณะ ของผิวโลกหรือบางส่วนของพื้นที่บนผิวโลกโดยมีทิศทางที่ ชัดเจนและมาตราส่วนขนาดต่าง ๆ ตามความเหมาะสมกับ การใช้งานแผนที่ภูมิประเทศมกัแสดงเส้นชั้นความสูงและ คำอธิบาย สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในแผนที่ - แผนที่ธรณีวิทยาเป็นแผนที่แสดงการกระจายตัว ของหิน กลุ่มต่าง ๆ ที่โผล่ให้เห็นบนพื้นผิวทำให้ทราบถึงขอบเขต ของหินในพื้นที่นอกจากนี้ยัง แสดงลักษณะการวางตัวของ ชั้นหิน ซากดึกดำบรรพ์ และธรณีโครงสร้าง -ข้อมูลจากแผนที่ภูมิประเทศและแผนที่ธรณีวิทยาสามารถ นำไปใช้วางแผนการใช้ประโยชน์และ ประเมินศักยภาพของ พื้นที่ได้อย่างเหมาะสม เช่น ประเมินศักยภาพแหล่ง ทรัพยากรธรณีต่างๆ การวางผังเมืองการสร้างเขื่อน ม.5 - - ม.6 - -


118 2. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียน ของนำ้ในมหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพยากรณ์อากาศ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.4 - - ม.5 1. อธิบายปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการ รับและคายพลังงานจากดวงอาทิตย์ แตกต่างกันและผลที่มีต่ออุณหภูมิ อากาศในแต่ละบริเวณของโลก 2.อธิบายกระบวนการที่ทำให้เกิด สมดุลพลังงาน ของโลก - บริเวณต่างๆ ของโลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ในรูป ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในปริมาณที่แตกต่างกันเนื่องจาก โลกมีสัณฐานคล้ายทรงกลมและแกนหมุนโลกเอียงทำมุมกับ แนวตั้งฉากกับระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ส่งผลต่อการตกกระทบของรังสีดวงอาทิตย์ซึ่งส่วนที่ผ่าน เข้ามาในชั้นบรรยากาศ จนถึงพื้นผิวโลกจะเกิดกระบวนการ สะท้อนดูดกลืน และถ่ายโอนพลังงานแล้วปลดปล่อย กลับสู่ อวกาศแตกต่างกันเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ลักษณะของ พื้นผิวชนิดและปริมาณของแก๊สเรือนกระจกละอองลอย และเมฆ ทำให้พื้นผิวโลก แต่ละบริเวณมีอุณหภูมิอากาศ แตกต่างกัน - พลังงานจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ยที่โลกได้รับเท่ากับ พลังงานเฉลี่ยที่โลกปลดปล่อยกลับสู่อวกาศทำให้เกิดสมดุล พลังงานของโลกส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโลกในแต่ ละปีค่อนข้างคงที่ 3.อธิบายผลของแรงเนื่องจากความ แตกต่างของ ความกดอากาศแรง คอริออลิส แรงสู่ศูนย์กลาง และแรง เสียดทานที่มีต่อการหมุนเวียนของ อากาศ - การหมุนเวียนของอากาศเกิดขึ้นจากความกดอากาศที่ แตกต่างกันระหว่างสองบริเวณโดยอากาศเคลื่อนที่จาก บริเวณที่มีความกดอากาศสูงไปยังบริเวณที่มีความกด อากาศต่ำซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในการเคลื่อนที่ของอากาศใน แนวราบและเมื่อพิจารณาในการเคลื่อนที่ของอากาศใน แนวดิ่งจะพบว่าอากาศเหนือบริเวณความกดอากาศต่ำ จะมี การยกตัวขึ้นขณะที่อากาศเหนือบริเวณ ความกดอากาศสูง จะจมตัวลงโดยการเคลื่อนที่ของอากาศทั้งในแนวราบและ แนวดิ่งนี้ทำให้เกิด เป็นการหมุนเวียนของอากา -การหมุนรอบตัวเองของโลกจะทำให้เกิดแรงคอริออลิสซึ่งมี ผลให้ทิศทางการเคลื่อนที่ของอากาศเบนไป โดยอากาศที่ เคลื่อนที่ในบริเวณซีกโลกเหนือจะเบนไปทางขวาจาก ทิศทางเดิมส่วนบริเวณซีกโลกใต้จะเบนไปทางซ้ายจาก ทิศทางเดิม เช่น ลมค้า และมรสุม


119 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - แรงสู่ศูนย์กลางซึ่งทำให้เกิดการหมุนของลม เช่น พายุ หมุนเขตร้อน ทอร์นาโด พายุงวงช้าง และ แรงต้านการ เคลื่อนที่ของวัตถุหรือแรงเสียดทาน สง่ผลตอ่อตัราเรว็ลม เช่น พายุไต้ฝุ่นเมื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งจะลดระดับความ รุนแรงลงเป็นพายุโซนร้อนหรือดีเพรสชั่น 4.อธิบายการหมุนเวียนของอากาศ ตามเขตละติจูดและผลที่มีต่อ ภูมิอากาศ -แต่ละบริเวณของโลกมีความกดอากาศแตกต่างกัน ประกอบกับอิทธิพลจากการหมุนรอบตัวเองของโลกทำให้ อากาศในแต่ละซีกโลกเกิดการหมนุเวียนของอากาศตามเขต ละตจิดูแบ่งออกเป็น 3 แถบ ได้แก่ การหมุนเวียนแถบขั้ว โลกมีภูมิอากาศหนาวเย็น การหมุนเวียนแถบละติจูดกลางมี ภูมิอากาศแบบอบอุ่น และการหมุนเวียนแถบเขตร้อนมี ภูมิอากาศแบบร้อนชื้น - บริเวณรอยต่อของการหมุนเวียนอากาศแต่ละ แถบละตจิ ดูจะมลีกัษณะลมฟ้าอากาศที่แตกต่างกัน เช่น บริเวณใกล้ ศูนย์สูตรมีปริมาณหยาดน้ำฟ้าเฉลี่ยสูงกว่าบริเวณอื่นบริเวณ ละติจูด 30 องศา มีอากาศแห้งแล้งส่วนบริเวณละติจูด 60 องศา อากาศมีความแปรปรวนสูง 5. อธิบายปัจจัยที่ทำให้เกิดการแบ่ง ชั้นน้ำในมหาสมุทร - น้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมิและความเค็มของน้ำ แตกต่าง กันในแต่ละบริเวณและแต่ละระดับความลึกซึ่งหาก พิจารณามวลน้ำในแนวดิ่งและใช้อุณหภูมิเป็นเกณฑ์จะ สามารถแบ่งชั้นน้ำได้เป็น 3 ชั้น คือ น้ำชั้นบนน้ำชั้นเทอร์โม ไคลน์และน้ำชั้นล่า 6.อธิบายปัจจัยที่ทำให้เกิดการ หมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทรและ รูปแบบการหมุนเวียนของน้ำ ใน มหาสมุทร - การหมุนเวียนของกระแสน้ำผิวหน้าในมหาสมุทร ได้รับ อิทธิพลจากการหมุนเวียนของอากาศในแต่ละแถบละติจูด เป็นปัจจัยหลักประกอบกับ แรงคอริออลิสทำให้บริเวณซีก โลกเหนือมีการไหลเวียนของกระแสน้ำผิวหน้าในทิศทาง ตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้ซึ่ง กระแสน้ำผิวหน้าในมหาสมุทรมีทั้งกระแสน้ำอุ่นและ กระแสน้ำเย็น ส่วนการหมุนเวียนกระแสน้ำลึกเป็นการ หมุนเวียนของน้ำชั้นล่างเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ และความเค็มของน้ำโดยกระแสน้ำผิวหน้าและกระแสน้ำลึก จะหมุนเวียนต่อเนื่องกัน


120 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 7.อธิบายผลของการหมุนเวียน ของนำ้ในมหาสมุทรที่มีต่อลักษณะ ลมฟ้าอากาศสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม -การหมุนเวียนอากาศและนำ้ในมหาสมุทรส่งผลต่อ ลักษณะอากาศ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมแตกต่างกันไป เช่น การเกิดนำ้ผุดนำ้จมจะส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของ ชายฝั่ง เช่น กระแสนำ้อุ่นกัลฟ์สตรีมที่ทำให้บางประเทศใน ทวีปยุโรปไม่หนาวเย็นจนเกินไปนักและเมื่อการหมุนเวียน อากาศและน้ำในมหาสมุทรแปรปรวนทำให้เกิด ผลกระทบ ต่อสภาพลมฟ้าอากาศ เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญและ ลานีญา ซึ่งเกิดจากความแปรปรวน ของลมค้าและส่งผลต่อ สภาพลมฟ้าอากาศของ ประเทศที่อยู่บริเวณมหาสมุทร แปซิฟิกรวมถึง บริเวณอื่นๆ บนโลก 8.อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง เสถียรภาพอากาศ และการเกิดเมฆ -เสถียรภาพอากาศ หมายถึง สภาวะของบรรยากาศที่ช่วย ส่งเสริมหรือยับยั้งให้ก้อนอากาศเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่งใน กรณีที่ก้อนอากาศมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิของอากาศที่ อยู่โดยรอบก้อนอากาศนั้นจะไม่สามารถยกตัวสูงขึ้นได้มาก นักและจมตัวกลับสู่ที่เดิม เรียกว่า อากาศมีเสถียรภาพจะ พบสภาวะอากาศแจม่ใสเมฆน้อยหรือปราศจากเมฆ ส่วน สภาวะอากาศไม่มีเสถียรภาพนั้นอุณหภูมิก้อนอากาศจะสูง กว่าอุณหภูมิของอากาศโดยรอบทำให้ก้อนอากาศยกตัวขึ้น อย่างรวดเร็วเกิดเมฆในแนวตั้ง เช่น เมฆคิวมูโลนิมบัส 9.อธิบายการเกิดแนวปะทะอากาศ แบบต่างๆและลักษณะลมฟ้าอากาศ ที่เกี่ยวข้อง -แนวปะทะอากาศเกิดจากการเคลื่อนที่ปะทะกัน ของก้อน อากาศที่สมบัติต่างกันตั้งแต่สองก้อนขึ้นไป แนวปะทะ อากาศแบ่งออกได้ 4 รูปแบบ คือ แนวปะทะอากาศอุ่นซึ่ง มักพบเมฆแผ่น เช่น เมฆซีร์รัส อัลโตสเตรตัส เกิดฝน กระจายเป็น บริเวณกว้าง แนวปะทะอากาศเย็นเกิดเมฆ ก้อน เช่น เมฆคิวมูโลนิมบัสทำให้อากาศแปรปรวนเกิดฝน ฟ้าคะนองแนวปะทะอากาศรวมเกิดเมฆคิวมูโลนิมบัสที่ ส่งผลต่อการเกิดพายุฝนแนวปะทะอากาศคงที่จะมีลักษณะ อากาศแจ่มใส จนถึงมีเมฆบางส่วน และอาจส่งผลให้เกิด แนวปะทะอากาศแบบอื่นต่อไปได้


121 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 10.อธิบายปัจจัยต่าง ๆ ทมี่ผีลตอ่การ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก พร้อมยกตัวอย่างข้อมูล สนับสนุน -โลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์โดยปริมาณพลังงาน เฉลี่ยที่โลกได้รับเท่ากับพลังงานเฉลี่ยที่โลกปลดปล่อยกลับสู่ อวกาศทำให้เกิดสมดุลพลังงานของโลกส่งผลให้อุณหภูมิ เฉลี่ยของโลกในแต่ละปีค่อนข้างคงที่และมีลักษณะ ภูมิอากาศที่ไม่เปลี่ยนแปลงหากสมดุลพลังงานของโลกเกิด การเปลี่ยนแปลงไปจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโลก และภูมิอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงได้โดยมีปัจจัยหลาย ประการทั้งปัจจัยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและปัจจัยที่เกิด จากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเปลี่ยนแปลงความรีของวง โคจรโลกรอบ ดวงอาทิตย์การเปลี่ยนแปลงมุมเอียงของแกน หมุนโลกและการหมุนควงของแกนหมุนโลกรวมทั้งชนิดและ ปริมาณของละอองลอยเมฆและแก๊สเรือนกระจกซึ่งมีข้อมูล สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ที่ได้จากการวิเคราะห์หลักฐานต่าง ๆ เช่น แกนน้ำแข็ง 11.วิเคราะห์และอภิปรายเหตุการณ์ ที่เป็นผลจาก การเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลกและนำเสนอแนว ปฏิบัติของมนุษย์ที่ม่ีส่วนช่วยในการ ชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก -การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกอาจส่งผลกระทบ ต่อ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ย โลกการหลอมเหลวของนำ้แข็งขั้วโลกการเพิ่มขึ้นของ ระดับน้ำทะเลการเปลี่ยนแปลงของ ระบบนิเวศทั้งทางบก และทางทะเล - มนุษย์อาจมีส่วนช่วยในการชะลอการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลกได้โดยการลดปัจจัยที่ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงสมดุลพลังงานที่เกิดจากกระทำของมนุษย์ 12.แปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้า อากาศบนแผนที่อากาศ - แบบแสดงข้อมูลของสถานีตรวจอากาศผิวพื้น เป็นการ แสดงข้อมูลตรวจอากาศที่แสดงในรูป สัญลักษณ์หรือตัว เลขที่ปรากฏบนแผนที่อากาศ เช่น อุณหภูมิความชื้นความ กดอากาศ ความเร็ว และทิศทางลมปริมาณและชนิดของ เมฆทำให้ทราบลักษณะอากาศ ณ สถานีนั้นๆ ในเวลาที่มี การตรวจวัด เมื่อนำข้อมูลของสถานีตรวจอากาศ ผิวพื้นมา แสดงในแผนที่อากาศทำให้สามารถ วิเคราะห์ลักษณะ อากาศในบริเวณกว้างได้ เช่น บริเวณความกดอากาศสูง หย่อมความกดอากาศตำ่พายุหมุนเขตร้อนร่องความกด อากาศต่ำ


122 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 13. วิเคราะห์และคาดการณ์ลักษณะ ลมฟ้าอากาศเบื้องต้นจากแผนที่ อากาศและข้อมูลสารสนเทศอื่น ๆ เพื่อวางแผนในการประกอบอาชีพ และ การดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับ สภาพลมฟ้าอากาศ - การแปลความหมายสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนแผนที่อากาศ ร่วมกับข้อมูลสารสนเทศอื่นๆ เช่น โปรแกรมประยุกต์ เกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศเรดาร์ตรวจอากาศภาพถ่าย ดาวเทียม และค่าทางสถิติสามารถนำมาวิเคราะห์รูปแบบ คาดการณ์การเกิดและการเปลี่ยนแปลง ปรากฏการณ์ทาง ลมฟ้าอากาศในช่วงเวลาต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาใช้วาง แผนการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพลมฟ้าอากาศ เช่น การเลือกช่วงเวลาในการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับ ฤดูกาลการเตรียมพร้อมรับมือสภาพอากาศแปรปรวน ม.6 - - 3. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์และ ระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตำแหน่งดาวบนทรงกลมฟ้าและปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบสุริยะรวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการดำรงชีวิต ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม ม.4 - - ม.5 - - ม.6 1.อธิบายการกำเนิดและการ เปลี่ยนแปลงพลังงานสสารขนาด อุณหภูมิของเอกภพหลังเกิดบิกแบง ในช่วงเวลาต่างๆ ตามวิวัฒนาการ ของเอกภพ -ทฤษฎีกำเนิดเอกภพที่ยอมรับในปัจจุบัน คือ ทฤษฎีบิกแบง ระบุว่าเอกภพเริ่มต้นจากบิกแบงที่เอกภพมีขนาดเล็กมาก และมีอุณหภูมิสูงมาก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเวลาและ วิวัฒนาการของ เอกภพ โดยหลังเกิดบิกแบงเอกภพเกิดการ ขยายตัวอย่างรวดเร็วมีอุณหภูมิลดลงมีสสารคงอยู่ในรูป อนุภาคและปฏิยานุภาคหลายชนิดและมีวิวัฒนาการ ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีเนบิวลากาแล็กซีดาวฤกษ์และ ระบบสุริยะเป็นสมาชิกบางส่วนของเอกภพ 2.อธิบายหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎี บิกแบง จากความสัมพันธ์ระหว่าง ความเร็วกับระยะทาง ของกาแล็กซี รวมทั้งข้อมูลการค้นพบไมโครเวฟ พื้นหลังจากอวกาศ - หลักฐานสำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง คือ การ ขยายตัวของเอกภพ ซึ่งอธิบายด้วยกฎฮับเบิล โดยใช้ ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วแนวรัศมีและระยะทางของ กาแล็กซีที่เคลื่อนที่ห่างออกจากโลกและหลักฐานอีก ประการคือ การค้นพบไมโครเวฟพื้นหลังที่กระจายตัวอย่าง สม่ำเสมอทุกทิศทาง และสอดคล้องกับอุณหภูมิเฉลี่ยของ อวกาศ มีค่าประมาณ 2.73 เคลวิน


123 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 3.อธิบายโครงสร้างและองค์ประกอบ ของกาแล็กซีทางช้างเผือกและระบุ ตำแหน่งของระบบสุริยะ พร้อม อธิบายเชื่อมโยงกับการสังเกตเห็น ทางช้างเผือกของคนบนโลก -กาแล็กซี ประกอบด้วย ดาวฤกษ์จำนวนหลายแสนล้าน ดวง ซึ่งอยู่กันเป็นระบบของ ดาวฤกษ์ นอกจากนี้ยัง ประกอบด้วยอื่น เช่น เนบิวลา และสสารระหว่างดาว โดย องค์ประกอบต่างๆ ภายในของกาแล็กซีอยู่รวมกันด้วยแรง โน้มถ่วง -กาแล็กซีมีรูปร่างแตกต่างกัน โดยระบบสุริยะอยู่ใน กาแล็กซีทางช้างเผือกซึ่งเป็นกาแล็กซีกังหันแบบ มีคานมี โครงสร้าง คือ นิวเคลียส จาน และฮาโล ดาวฤกษ์จำนวน มากอยู่ในบริเวณนิวเคลียสและจานโดยมีระบบสุริยะอยู่ห่าง จากจุดศูนย์กลาง ของกาแล็กซีทางช้างเผือกประมาณ 30,00 ปีแสง ซึ่งทางช้างเผือกที่สังเกตเห็นในท้องฟ้าเป็น บริเวณหนึ่งของกาแล็กซีทางช้างเผือก 4.อธิบายกระบวนการเกิดดาวฤกษ์ โดยแสดงการเปลี่ยนแปลงความดัน อุณหภูมิขนาดจากดาวฤกษ์ก่อนเกิด จนเป็นดาวฤกษ์ 5.อธิบายกระบวนการสร้างพลังงาน ของดาวฤกษ์และผลที่เกิดขึ้นโดย วิเคราะห์ปฏิกิริยาลูกโซ่ โปรตอนโปรตอนและวัฏจักรคาร์บอน ไนโตรเจนออกซิเจน -ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่อยู่รวมกันเป็นระบบดาวฤกษ์ คือ ดาว ฤกษ์ที่อยู่รวมกัน ตั้งแต่ 2 ดวงขึ้นไป ดาวฤกษ์เป็นก้อนแก๊ส ร้อนขนาดใหญ่เกิดจากการยุบตัวของกลุ่มสสารในเนบิวลา ภายใต้แรงโน้มถ่วงทำให้บางส่วนของเนบิวลามีขนาด เล็ก ลงความดันและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกิดเป็น ดาวฤกษ์ก่อนเกิด เมื่ออุณหภูมิที่แก่นสูงขึ้นจนเกิดปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ ดาวฤกษ์ก่อนเกิดจะกลายเป็นดาวฤกษ์ดาวฤกษ์อยู่ในสภาพ สมดุลระหว่างแรงดันกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งเรียกว่าสมดุลอุทก สถิตจึงทำให้ดาวฤกษ์มีขนาดคงที่เป็นเวลานานตลอดช่วง ชีวิตของดาวฤกษ์ - ปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์เป็นปฏิกิริยาหลักของ กระบวนการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ทำให้เกิดการหลอม นิวเคลียสของไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียมที่แก่นของดาว ฤกษ์ ซึ่งมี 2 กระบวนการคือ ปฏิกิริยาลูกโซ่โปรตอน โปรตอนและวัฏจักรคาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน 6.ระบุปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่อง สว่างของดาวฤกษ์ และอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่าง กับโชติมาตรของดาวฤกษ์ - ความส่องสว่างของดาวฤกษ์เป็นพลังงานจากดาวฤกษ์ที่ ปลดปล่อยออกมาในเวลา 1 วินาทีต่อ หน่วยพื้นที่ ณ ตำแหน่งของผู้สังเกตแต่เนื่องจาก ตาของมนุษย์ไม่ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ความส่องสว่างที่มีค่าน้อยๆ


124 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 7.อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิผิวและสเปกตรัมของ ดาวฤกษ จึงกำหนดค่าการเปรียบเทียบความส่องสว่างของดาวฤกษ์ ด้วยค่าโชติมาตร ซึ่งเป็นการแสดงระดับความส่องสว่างของ ดาวฤกษ์ (หรือเทห์ฟ้าอื่น) ณ ตำแหน่งของผู้สังเกต -สีของดาวฤกษ์สัมพันธ์กับอุณหภูมิผิวซึ่งนักดาราศาสตร์ใช ดัชนีสีในการแบ่งชนิดสเปกตรัมของดาวฤกษ์และใช้ สเปกตรัมในการจำแนกชนิดของดาวฤกษ์ 8.อธิบายวิธีการหาระยะทางของดาว ฤกษ์ด้วยหลักการแพรัลแลกซ์พร้อม คำนวณหาระยะทางของดาวฤกษ์ -การหาระยะทางของดาวฤกษ์ที่มีระยะทางห่างจากโลกไม่ เกิน 100 พาร์เซก มีวิธีการที่สำคัญ คือ วิธีแพรัลแลกซ์โดย วัดมุมแพรัลแลกซ์ของดาวฤกษ์เมื่อโลกเปลี่ยนตำแหน่งไป ในวงโคจรทำให้ตำแหน่งปรากฏของดาวฤกษ์เปลี่ยนไปเมื่อ เทียบกับดาวฤกษ์อ้างอิง 9.อธิบายลำดับวิวัฒนาการที่สัมพันธ์ กับมวลตั้งต้น และวิเคราะห์การ เปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการ ของ ดาวฤกษ์ในลำดับวิวัฒนาการจาก แผนภาพ เฮิร์ซปรุง-รัสเซลล -มวลของดาวฤกษ์ขึ้นอยู่กับมวลของดาวฤกษ์ก่อนเกิดดาว ฤกษ์ที่มีมวลมากจะผลิตและใช้พลังงานมากจึงมีอายุสั้น กว่าดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย - ดาวฤกษ์มีการวิวัฒนาการที่แตกต่างกันการวิวัฒนาการ และจุดจบของดาวฤกษ์ขึ้นอยู่กับ มวลตั้งต้นของดาวฤกษ -ดาวฤกษ์จะมีการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการ ตาม วิวัฒนาการโดยนักวิทยาศาสตร์ได้แสดงการ เปลี่ยนแปลง ดังกล่าวด้วยแผนภาพเฮริซ์ปรงุ-รสัเซลล์ ซึ่งเป็นแผนภาพที่ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างโชติมาตรสัมบูรณ์แ์ละดัชนีสีของ ดาวฤกษ์โดยดาวฤกษ์ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบลำดับหลักซึ่ง เป็นแถบที่แสดงว่าดาวฤกษ์จะมีช่วงชีวิตส่วนใหญ่อยู่ใน สภาวะสมดุล 10.อธิบายกระบวนการเกิดระบบ สุริยะการแบ่งเขตบริวารของดวง อาทิตย์และลักษณะของดาวเคราะห์ ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต 11. อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์ รอบดวงอาทิตย์ด้วยกฎเคพเลอร์และ กฎความโน้มถ่วงของนิวตันพร้อม คำนวณคาบการโคจรของดาว เคราะห์ -ระบบสุริยะเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มฝุ่น และแก๊สที่ เรียกว่า เนบิวลาสุริยะ โดยฝุ่นและแก๊ส ประมาณร้อยละ 99.8 ของมวล ได้รวมตัวเป็น ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นก้อนแก๊ส ร้อน หรือพลาสมาสสารส่วนที่เหลือรวมตัวเป็นดาวเคราะห์ และ บริวารอื่นๆ ของดวงอาทิตย์ ดังนั้นจึงแบ่งเขต บริวาร ของดวงอาทิตย์ตามลักษณะการเกิดและองค์ประกอบ ได้แก่ ดาวเคราะห์ชั้นในดาวเคราะห์น้อยดาวเคราะห์ ชั้นนอก และดงดาวหาง เกิดน้ำที่ยังคงสถานะเป็นของเหลวได้และปัจจุบันมีการ


125 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - โลกเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่มีสิ่งมีชีวิตเพราะโคจร รอบดวงอาทิตย์ในระยะทางที่เหมาะสมจึงเป็นเขตที่เอื้อต่อ การมีสิ่งมีชีวิตทำให้โลกมีอุณหภูมิเหมาะสมและสามารถ ค้นพบดาวเคราะห์ที่อยู่นอกระบบสุริยะจำนวนมากโดยมี ดาวเคราะห์บางดวงที่มีลักษณะคล้ายโลกและอยู่ในเขตที่ เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิต - บริวารของดวงอาทิตย์อยู่รวมกันเป็นระบบภายใต้แรง โน้มถ่วงระหว่างดาวเคราะห์กับดวงอาทิตย์ตามกฎแรงโน้ม ถ่วงของนิวตันส่วนการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวง อาทิตย์เป็นไปตามกฎเคพเลอร์ 12.อธิบายโครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะ และ วิเคราะห์นำเสนอ ปรากฏการณ์หรือ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผลของลม สุริยะและพายุสุริยะที่มีต่อโลก รวมทั้งประเทศไทย -ดวงอาทิตย์มีโครงสร้างภายในแบ่งเป็นแก่นเขตการแผ่รังสี และเขตการพาความร้อน และมีชั้นบรรยากาศอยู่เหนือเขต พาความร้อน ซึ่งแบ่งเป็น 3 ชั้น คือชั้นโฟโตสเฟียร์ ชั้นโคร โมสเฟียร์ และคอโรนา ในชั้นบรรยากาศ ของดวงอาทิตย์มี ปรากฏการณ์สำคัญ เช่น จุดมืด ดวงอาทิตย์การลุกจ้าที่ทำ ให้เกิดลมสุริยะ และพายุสุริยะซึ่งส่งผลต่อโลก - ลมสุริยะเกิดจากการแพร่กระจายของอนุภาค จากชั้นคอ โรนาออกสู่อวกาศตลอดเวลาอนุภาค ที่หลุดออกสู่อวกาศ เป็นอนุภาคที่มีประจุลมสุริยะส่งผลทำให้เกิดหางของดาว หางที่เรืองแสงและชี้ไปทางทิศตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ และเกิดปรากฏการณ์แสงเหนือ แสงใต้ -พายุสุริยะเกิดจากการปลดปล่อยอนุภาคมีประจุ พลงังานส งูจำนวนมหาศาล มักเกิดบ่อยครั้งในช่วงที่มีการลุกจ้าและ ในช่วงที่มีจุดมืดดวงอาทิตย์จำนวนมากและในบางครั้งมีการ พ่นก้อนมวลคอโรนาพายสุริยะอาจส่งผลต่อสนามแม่เหล็ก โลกจึงอาจรบกวนระบบการส่งกระแสไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทั้งอาจส่งผลต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของดาวเทียม 13.สรา้งแบบจำลองทรงกลมฟ้า สังเกต และเชื่อมโยง จุดและเส้น สำคัญของแบบจำลองทรงกลมฟ้า กับท้องฟ้าจริงและอธิบายการระบุ -ทรงกลมฟ้าเป็นทรงกลมสมมติขนาดใหญ่ที่มีรัศมีอนันต์มี จุดศูนย์กลางของโลกเป็นจุดศูนย์กลางของทรงกลมฟ้ามี ดวงดาวและเทห์ฟ้าต่างๆ ปรากฏอยู่บนผิวของทรงกลมฟ้า


126 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม พิกัดของดาวในระบบขอบฟ้าและ ระบบศูนย์สูตร นี้การระบุพิกัดของดวงดาวและเทห์ฟ้าต่าง ๆ บนทรงกลม ฟ้า ตามระบบที่สำคัญ ได้แก่ ระบบขอบฟ้า เป็นระบบที่อ้างอิงจากตำแหน่งผู้สังเกต บนโลก โดยระบุพิกัดเป็นมุมทิศและมุมเงยอ้างอิงกับทิศ เหนือและเส้นขอบฟ้าของผู้สังเกต ระบบศูนย์สูตรเป็นระบบที่อ้างอิงกับเส้นศูนย์สูตรฟ้า และจุดวิษุวัตระบุพิกัดเป็นไรต์แอสเซนชันและเดคลิเนชัน 14.สังเกตท้องฟ้าและอธิบายเส้นทาง การขึ้นการตกของดวงอาทิตย์และ ดาวฤกษ์ - โลกหมุนรอบตัวเองจากทางทิศตะวันตกไปทางทิศ ตะวันออกทำให้เกิดปรากฏการณ์การขึ้นการตกของดวง อาทิตย์และดวงดาวในรอบวัน ซึ่งเส้นทางปรากฏของการ ขึ้นการตกของดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนแปลงตามวันเวลาและ ตำแหน่งละติจูดของผู้สังเกต 15.อธิบายเวลาสุริยคติปรากฏโดย รวบรวมข้อมูลและเปรียบเทียบเวลา ขณะที่ดวงอาทิตย์ผ่าน เมริเดียนของ ผู้สังเกตในแต่ละวัน -การกำหนดเวลาสุริยคติจะเทียบกับดวงอาทิตย์ โดยเวลา สุริยคติมีทั้งเวลาสุริยคติปรากฏและเวลาสุริยคติปานกลาง -เวลาสุริยคติปรากฏเป็นเวลาที่ได้จากการสังเกตดวงอาทิตย์ จริงที่เคลื่อนที่อยู่บนท้องฟ้าของผู้สังเกตช่วงเวลาระหว่าง การเห็นจุดศูนย์กลาง ของดวงอาทิตย์ผ่านเมริเดียนครั้งแรก ถึงครั้งถัดไป เรียกว่า 1 วัน สุริยคติปรากฏ 16.อธิบายเวลาสุริยคติปานกลางและ การเปรียบเทียบเวลาของแต่ละเขต เวลาบนโลก - เวลาสรุยิคตปิานกลางกำหนดโดยใหม้ดีวงอาทติย์สมมติ เคลื่อนที่บนเส้นศูนย์สูตรฟ้าด้วยอัตราเร็ว สม่ำเสมช่วงเวลา ระหว่างการเห็นจุดศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ผ่านเมริเดียน ครั้งแรกถึงครั้งถัดไป เรียกว่า 1 วันสรุยิคติปานกลางซึ่งยาว 24 ชั่วโมง 0 นาที 0 วินาที เวลาสุริยคติปานกลางกรีนิซ เป็นเวลาสุริยคติปานกลางที่ใช้เมริเดียนของหอดูดาวกรีนิซ ในประเทศอังกฤษเป็นตัวกำหนด ซึ่งนำมาใช้ในการกำหนด เขตเวลามาตรฐานสากล ของตำแหน่งอื่น ๆ บนโลก 17.อธิบายมุมห่างที่สัมพันธ์กับ ตำแหน่งในวงโคจรและอธิบาย เชื่อมโยงกับตำแหน่ง ปรากฏของดาว เคราะห์ที่สังเกตได้จากโลก - โลกและดาวเคราะห์ทุกดวงหมุนรอบตัวเองและ โคจรรอบ ดวงอาทิตย์จากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก หรือในทิศ ทวนเข็มนาฬิกาจากมุมมองด้านบนคนบนโลกจะสังเกตเห็น ดาวเคราะห์มีตำแหน่งปรากฏแตกต่างกันในช่วงวันเวลา ต่างๆ เพราะดาวเคราะห์มีมุมห่างที่แตกต่างกัน


127 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม - มุมห่างของดาวเคราะห์ คือ มุมระหว่างเส้นตรง ที่เชื่อมระหว่างโลกกับดาวเคราะห์กับเส้นตรงที่ เชื่อม ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ เมื่อวัดบนเส้นสุริยวิถี โดยดาว เคราะห์อาจอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันออก หรือทางทิศ ตะวันตก ซึ่งมีการเรียกชื่อตาม ตำแหน่งของดาวเคราะห์ในวงโคจรขนาดของมุมห่างและ ทิศทางของมุมห่าง -ดาวเคราะห์ที่มีมุมห่างต่างกันจะมีตำแหน่งปรากฏบน ท้องฟ้าแตกต่างกันโดยตำแหน่งปรากฏของ ดาวเคราะห์วง ในจะอยู่ใกล้ขอบฟ้าในช่วงเวลา ใกล้รุ่งหรือเวลาหัวค่ำส่วน ตำแหน่งปรากฏของดาวเคราะห์วงนอกจะสามารถเห็นได้ใน ช่วงเวลาอื่นๆ นอกจากนี้มุมห่างยังสามารถนำมาอธิบาย ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ เช่น ดาวเคียงเดือน ดาว เคราะห์ชุมนุม ดาวเคราะห์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ 18.สืบค้นข้อมูล อธิบายการสำรวจ อวกาศ โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ ในช่วงความยาวคลื่นต่างๆดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีอวกาศ และ นำเสนอ แนวคดิการนำความรู้ ทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันหรือ ในอนาคต 19. สืบค้นข้อมูล ออกแบบและ นำเสนอกิจกรรม การสังเกตดาวบน ท้องฟ้าด้วยตาเปล่าและ/ หรือกล้อง โทรทรรศน์ - มนุษย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษาเพื่อขยายขอบเขต ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และในขณะเดียวกันมนุษย์ได้นำ เทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น วัสดุ ศาสตร์ อาหาร การแพทย์ - นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์เพื่อศึกษา แหล่งกำเนิดของรังสีหรืออนุภาคในอวกาศในช่วงความยาว คลื่นต่างๆ ได้แก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลตและรังสีเอ็กซ์ -ยานอวกาศ คือ ยานพาหนะที่นำมนุษย์หรือ อุปกรณ์ทาง ดาราศาสตร์ขึ้นไปสู่อวกาศเพื่อ สำรวจหรือเดินทางไปยัง ดาวดวงอื่นส่วนสถานีอวกาศ คือ ห้องปฏิบัติการลอยฟ้าที่ โคจรรอบโลกใช้ในการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในสาขา ต่าง ๆ ในสภาพไร้น้ำหนัก -ดาวเทียม คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจวัตถุ ท้องฟ้าและ นำมาประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ เช่น การสื่อสารโทรคมนาคม การระบุตำแหน่งบนโลก การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ อุตุนิยมวิทยา โดยดาวเทียมมีหลายประเภทสามารถแบ่งได้ ตามเกณฑ์วงโคจรและการใช้งาน


128 โครงสร้างหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ชั้น รหัส ชื่อวิชา นก. ชม. ชั้น รหัส ชื่อวิชา นก. ชม. รายวิชาพื้นฐาน รายวิชาพื้นฐาน ม.4 ว31101 ว31121 ว31141 ว31142 ว31151 ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต โลก ดาราศาสตร์ 2.0 1.5 1.5 1.0 0.5 80 60 60 40 20 ม.4 ว31152 ว31122 ว31182 โลก ดาราศาสตร์ สารและสมบัติ ของสาร วิทยาการคำนวณ 0.5 1.0 0.5 20 40 20 ว31181 การออกแบบ เทคโนโลยี 0.5 20 ม.5 ว32152 ว32181 โลก ดาราศาสตร์ การออกแบบ เทคโนโลยี 1.0 0.5 40 20 ม.5 ว32101 ว32182 การเคลื่อนที่และแรง ในธรรมชาติ วิทยาการคำนวณ 1.0 0.5 40 20 ม.6 ว33143 ว33121 พันธุศาสตร์และ สิ่งแวดล้อม เคมีชีวิตประจำวัน 0.5 0.5 20 20 ม.6 ว33151 พลังงาน 1.0 40 รวม 9.5 380 รวม 4.5 180 รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาเพิ่มเติม ม.4 ว31281 ว31283 ว31284 การใช้โปรแกรม กราฟิก Photoshop การออกแบบสร้าง เว็บไซต์ การออกแบบชิ้นงาน ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป 1.5 1.5 1.0 60 60 40 ม.4 ว31201 ว31221 ว31241 ว31202 ว31242 ว31264 ว31203 ว31264 ว31209 ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ ชีววิทยา ความถนัดทาง วิศวกรรม ฟิสิกส์ ปฏิบัติการ วิทยาศาสตร์เคมี-ชีวะ คอมพิวเตอร์เพื่องาน กราฟฟิค 2.0 1.5 1.5 1.5 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 80 60 60 60 40 40 40 40 40 ม.5 ว32203 ว32222 ว32242 I32281 ว32204 ว32227 ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา การศึกษาค้นคว้าและ สร้างองค์ความรู้ ฟิสิกส์ เคมี 1.5 1.5 1.5 1.0 1.0 1.0 60 60 60 40 40 40 ม.5 ว32205 ว32223 ว32243 ว32202 I32282 ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา การเขียนโปรแกรม เบื้องต้น การสื่อสารและการ นำเสนอ 1.5 1.5 1.5 1.0 1.0 60 60 60 40 40


129 รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาเพิ่มเติม ว32243 ชีววิทยา 1.0 40 ว32205 ว32224 ว32244 ว32206 ว32209 ว32245 ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา ชีวเคมีสิ่งมีชีวิต 1.5 1.0 1.0 1.0 0.5 0.5 60 40 40 40 20 20 ม.6 ว33204 ว33224 ว33244 ว33261 ว33206 ว33248 ว33249 ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา โลก ดาราศาสตร์ฯ ฟิสิกส์ กายวิภาคศาสตร์ วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต 2.0 1.5 1.5 0.5 1.5 1.0 1.0 80 60 60 20 60 40 40 ม.6 ว33205 ว33225 ว33245 ว33262 ว33207 ว33209 ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา โลกดาราศาสตร์ฯ ฟิสิกส์ คอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีสารสนเทศ 2.0 1.5 1.5 0.5 1.5 1.0 80 60 60 20 60 40 รวม 21.5 860 รวม 31.5 1,260


130 คำอธิบายรายวิชา รหัสวิชา ว31101 ฟิสิกส์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 80 ชั่วโมง/ภาคเรียน จำนวน 2.0 หน่วยกิต ศึกษา วิเคราะห์ อธิบายปรากฎการณ์ธรรมชาติ ปริมาณและหน่วยทางฟิสิกส์ การทดลอง ในวิชาฟิสิกส์ ความไม่แน่นอนในการวัด เลขนัยสำคัญ การบันทึกผลการคำนวณ การวิเคราะห์ผลการทดลอง ปริมาณต่าง ๆ ของการเคลื่อนที่ การวัดอัตราเร็วของการเคลื่อนที่ในแนวตรง ความเร่ง ความสัมพันธ์ระหว่าง กราฟความเร็ว เวลากับระยะทางสำหรับการเคลื่อนที่ในแนวตรง สมการสำหรับคำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ของ การเคลื่อนที่ในแนวตรงด้วยความเร่งคงตัว แรง การหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่ทำมุมต่อกัน กฎการเคลื่อนที่ ของนิวตัน นำหนัก กฎแรงดึงดูดระหว่างมวลของนิวตัน แรงเสียดทาน การนำกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันไปใช้ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ การสืบค้นข้อมูล และการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสื่อสาร สิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณค่าของการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสมเป็นเลิศทางวิชาการสื่อสารสองภาษาล้ำหน้าทางความคิดผลิตงานอย่างสร้างสรรค์และ ร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลกโดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การจัดการเรียนรู้ รหัสตัวชี้วัด ว 6.1 ม.4/1, ว 6.1 ม.4/2, ว 6.1 ม.4/3, ว 6.1 ม.4/4, ว 6.1 ม.4/5, ว 6.1 ม.4/6, ว 6.1 ม.4/7 รวมทั้งหมด 7 ตัวชี้วัด


131 โครงสร้างรายวิชา รหัสวิชา ว31101 ฟิสิกส์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 80 ชั่วโมง/ภาคเรียน จำนวน 2.0 หน่วยกิต หน่วย ที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐาน/ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน 1 ธรรมชาติและ พัฒนาการ ทางฟิสิกส์ ว 6.1 ม.4/1 ม.4/2 - สืบค้นและอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมทั้งพัฒนาการของ หลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์ที่มีผลต่อการ แสวงหาความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี - วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ ถูกต้องเหมาะสม โดยนาความคลาดเคลื่อนใน การวัดมาพิจารณาในการนาเสนอผล รวมทั้ง แสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์ และแปลความหมายจากกราฟเส้นตรง 10 20 2 การเคลื่อนที่ แนวตรง ว 6.1 ม.4/3 - ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่งของ การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคง ตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่า ความเร่งโน้มถ่วงของโลก และคำนวณปริมาณ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 10 20 3 แรงและกฏ การเคลื่อนที่ ว 6.1 ม.4/4 ม.4/5 ม.4/6 ม.4/7 - อธิบายแรงและผลของแรงลัพธ์ที่มีต่อการ เคลื่อนที่ของวัตถุรวมทั้งทดลองหาแรงลัพธ์ของ แรงสองแรงที่ทามุมต่อกัน - เขียนแผนภาพของแรงที่กระทาต่อวัตถุอิสระ และอธิบายกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันและการใช้ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันกับสภาพการเคลื่อนที่ ของวัตถุรวมทั้ง ทดลองและอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวล และความเร่ง ตามกฎข้อที่สองของนิวตัน - อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของสนาม โน้มถ่วงที่ทำให้วัตถุมีน้าหนัก รวมทั้งคำนวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 20 30


132 โครงสร้างรายวิชา รหัสวิชา ว31101 ฟิสิกส์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 80 ชั่วโมง/ภาคเรียน จำนวน 2.0 หน่วยกิต หน่วย ที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐาน/ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน - วิเคราะห์และอธิบายแรงเสียดทานระหว่าง ผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ ในกรณีที่วัตถุหยุดนิ่ง และวัตถุเคลื่อนที่ รวมทั้งทดลองหา สัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของ วัตถุคู่หนึ่ง ๆ และนำความรู้เรื่องแรงเสียดทาน ไปใช้ในชีวิตประจำวัน รวมเวลาเรียน 80 70 ระหว่างภาค/ปลายภาค 4/4 70/30 รวม 80 100


133 คำอธิบายรายวิชา รหัสวิชา ว31121 รายวิชาเคมี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 60 ชั่วโมง 1.5 หน่วยกิต ศึกษาเกี่ยวกับข้อปฏิบัติเบื้องต้น ที่แสดงถึงความตระหนักในการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ ในการปฏิบัติการทางเคมี เพื่อให้มีความปลอดภัยทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม และนำเสนอแผนการ ทดลอง เขียนรายงานการทดลองโดยใช้หน่วยในระบบเอสไอได้อย่างเหมาะสม อธิบายแบบจำลองอะตอม วิวัฒนาการของการศึกษาแบบจำลองอะตอม วิวัฒนาการการสร้างตารางธาตุตามแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ ยุคต่างๆ แนวโน้มของสมบัติของธาตุตามหมู่และตามคาบเกี่ยวกับขนาดอะตอม รัศมีไอออน พลังงานไอออไนเซชัน อิเล็กโทรเนกาติวิตี สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน จุดหลอมเหลวและจุดเดือด เลขออกซิเดชันและการ คำนวณหาเลขออกซิเดชันของธาตุ อธิบายการเกิดโครงสร้าง การเขียนสูตร การอ่านชื่อ แรงยึดเหนี่ยวระหว่าง โมเลกุลของสารประกอบไอออนิก สารประกอบโคเวเลนต์ และสารประกอบโลหะได้ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การอภิป ราย การวิเคราะห์ การเปรียบเทียบ การสำรวจตรวจสอบ การทำนาย และการทดลองเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความปลอดภัยและทักษะในปฏิบัติการเคมี มีความสามารถในการตัดสินใจ การสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ทักษะชีวิต รวมถึงการใช้ เทคโนโลยีสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ นำความรู้และหลักการไปใช้ประโยชน์ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน มีทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์และจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม ที่เหมาะสม เป็นเลิศทางวิชาการ สื่อสารสองภาษา ล้ำหน้าทางความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ และร่วมกัน รับผิดชอบต่อสังคมโลกโดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การจัดการเรียนรู้ มาตรฐาน/ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/1, ว 2.1 ม.5/2, ว 2.1 ม.5/3, ว 2.1 ม.5/4, ว 2.1 ม.5/5, ว 2.1 ม.5/6, ว 2.1 ม.5/7 ,ว 2.1 ม.5/8, ว 2.1 ม.5/9, ว 2.1 ม.5/10, ว 2.1 ม.5/11, ว 2.1 ม.5/12, ว 2.1 ม.5/13, ว 2.1 ม.5/17, ว 2.1 ม.5/24, ว 2.1 ม.5/25 รวม 16 ตัวชี้วัด ผลการเรียนรู้ 1. บอกและอธิบายข้อปฏิบัติเบื้องต้น และปฏิบัติตนที่แสดงถึงความตระหนักในการทำปฏิบัติการเคมี เพื่อให้มีความปลอดภัยทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม และเสนอแนวทางแก้ไขเมื่อเกิดอุบัติเหตุ 2. เลือกและใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือในการทำปฏิบัติการ และวัดปริมาณต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม 3. นำเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขียนรายงานการทดลอง


134 4. ระบุหน่วยวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร และเปลี่ยนหน่วยวัดให้เป็นหน่วยในระบบเอสไอด้วยการใช้ แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย 5. สืบค้นข้อมูลสมมติฐาน การทดลอง หรือผลการทดลองที่เป็นประจักษ์พยานในการเสนอแบบจำลอง อะตอมของนักวิทยาศาสตร์ และอธิบายวิวัฒนาการของแบบจำลองอะตอม 6. เขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ และระบุจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอนของอะตอม จากสัญลักษณ์นิวเคลียร์ รวมทั้งบอกความหมายของไอโซโทป 7. อธิบายและเขียนการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลักและระดับพลังงานย่อย เมื่อทราบเลขอะตอมของธาตุ 8. ระบุหมู่ คาบ ความเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ของธาตุเรพรีเซนเททีฟ และธาตุ แทรนซิชันในตารางธาตุ 9. วิเคราะห์และบอกแนวโน้มสมบัติของ ธาตุเรพรีเซนเททีฟตามหมู่และตามคาบ 10. บอกสมบัติของธาตุโลหะแทรนซิชัน และเปรียบเทียบสมบัติกับธาตุโลหะในกลุ่มธาตุ เรพรีเซนเททีฟ 11. อธิบายสมบัติและคำนวณครึ่งชีวิตของไอโซโทปกัมมันตรังสี 12. สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างการนำธาตุมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม 13. อธิบายการเกิดไอออนและการเกิดพันธะไอออนิก โดยใช้แผนภาพหรือสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส 14. เขียนสูตรและเรียกชื่อสารประกอบ ไอออนิก 15. คำนวณพลังงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบไอออนิกจากวัฏจักรบอร์น-ฮาเบอร์ 16. อธิบายสมบัติของสารประกอบไอออนิก 17. เขียนสมการไอออนิกและสมการ ไอออนิกสุทธิของปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก 18. อธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์แบบพันธะเดี่ยวพันธะคู่และพันธะสาม ด้วยโครงสร้างลิวอิส 19. เขียนสูตรและเรียกชื่อสารโคเวเลนต์ 20. วิเคราะห์และเปรียบเทียบความยาวพันธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ รวมทั้งคำนวณ พลังงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของสารโคเวเลนต์จากพลังงานพันธะ 21. คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์โดยใช้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และ ระบุสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์ 22. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ และเปรียบเทียบจุดหลอมเหลว จุดเดือดและการละลายน้ำของสารโคเวเลนต์ 23. สืบค้นข้อมูลและอธิบายสมบัติของ สารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่ายชนิดต่าง ๆ 24. อธิบายการเกิดพันธะโลหะและสมบัติของโลหะ 25. เปรียบเทียบสมบัติบางประการของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ สืบค้นข้อมูล และนำเสนอตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งหมด 25 ผลการเรียนรู้


135 โครงสร้างรายวิชา รหัสวิชา ว31121 รายวิชาเคมี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 60 ชั่วโมง 1.5 หน่วยกิต หน่วยที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ ผลการ เรียนรู้ สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน 1 ความ ปลอดภัย และทักษะ ในฏิบัติการ เคมี ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 4 การศึกษาค้นคว้าทางเคมีสามารถนำไปสู่ การค้นพบและความรู้ใหม่ทางเคมี ที่ต้องอาศัย ห้องปฏิบัติการซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสารเคมี อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ผู้ทำปฏิบัติการจึง ต้องทราบเกี่ยวกับประเภท ของสารเคมีที่ใช้ วิธี ปฏิบัติการทดลอง ข้อควรปฏิบัติในการทำ ปฏิบัติการเคมี และการกำจัดสารเคมีเพื่อให้ สามารถทำปฏิบัติการได้อย่างปลอดภัย และ สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อลดความ รุนแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ในขณะที่ การทำปฏิบัติการเคมีต้องมีความน่าเชื่อถือของ ข้อมูล พิจารณาได้จากความเที่ยงและความ แม่นในการวัด โดยใช้หน่วยในระบบเอสไอ มีการวางแผนการทดลอง การทำการทดลอง การบันทึกข้อมูล สรุปและวิเคราะห์ นำเสนอ ข้อมูล และการเขียนรายงานการทดลองที่ ถูกต้อง 10 20 2 อะตอมและ สมบัติของ ธาตุ ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 ข้อ 11 ข้อ 12 ทุกอะตอมประกอบด้วยอนุภาคที่สำคัญ คือ โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยมี โปรตอนกับนิวตรอนอยู่ภายในนิวเคลียส นิวเคลียสนี้จะครอบครองเนื้อที่ภายในอะตอม เพียงเล็กน้อยแต่มีมวลมาก และอิเล็กตรอนวิ่ง รอบๆด้วยความเร็วสูง คล้ายกับมีกลุ่มประจุลบ ปกคลุมอยู่โดยรอบ จำนวนอิเล็กตรอนสูงสุดใน แต่ละระดับพลังงานมีได้เป็นจำนวนไม่เกิน 2n 2 เมื่อ n แทนระดับพลังงาน 22 20


136 หน่วยที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ ผลการ เรียนรู้ สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน ตารางธาตุ (Periodic table) เป็นตาราง ที่แสดงสัญลักษณ์และสมบัติของธาตุ มีการจัด หมวดหมู่ของธาตุอย่างงมีระบบ การจัดเรียง ธาตุตามลำดับแนวนอน ซึ่งเรียกว่า คาบ (periods) แต่ละคาบมีความยาวแตกต่างกัน ส่วนในแนวดิ่งของตารางธาตุ เรียกว่า หมู่ (groups) โดยมีความสัมพันธ์กับสมบัติของธาตุ ทั้งทางเคมีและทางกายภาพตามกฎพีริออดิก ที่ว่า “เมื่อนำธาตุมาเรียงลำดับเป็นหมวดหมู่ จากเลขอะตอมน้อยไปหามาก สมบัติทางเคมี และทางกายภาพจะแปรผันไปอย่างพีริออดิก ตามเลขอะตอมที่เพิ่มขึ้น” 3 พันธะเคมี ข้อ 13 ข้อ 14 ข้อ 15 ข้อ 16 ข้อ 17 ข้อ 18 ข้อ 19 ข้อ 20 ข้อ 21 ข้อ 22 ข้อ 23 ข้อ 24 ข้อ 25 กระบวนการต่างๆในทางเคมี โมเลกุลมี บทบาทมากกว่าอะตอม ในโมเลกุลต้องมีแรงยึด เหนี่ยวระหว่างอะตอม การที่อะตอมสร้างพันธะ เคมีกันเพื่อเกิดเป็นโมเลกุล โมเลกุลที่เกิดขึ้นจะมี พลังงานต่ำกว่าพลังงานรวมของอะตอมที่อิสระ พันธะเคมีแบ่งตามชนิดของอะตอมได้เป็น 3 ชนิด คือ 1. พันธะโคเวเลนต์ เป็นพันธะใน สารประกอบของธาตุที่เป็นอโลหะกับอโลหะชนิด เดียวกันหรือคนละชนิด 2. พันธะไอออนิก เป็นพันธะในสารประกอบ ของธาตุที่เป็นโลหะกับอโลหะ 3. พันธะโลหะ เป็นพันธะที่ยึดเหนี่ยว ระหว่างอะตอมของโลหะชนิดเดียวกันเข้าด้วยกัน ตามหลักการสร้างพันธะเคมี 22 30 รวมเวลาเรียน 54 70 ระหว่างภาค/ปลายภาค 3/3 70/30 รวมตลอดภาคเรียน 60 100


137 คำอธิบายรายวิชา รหัส ว31141 รายวิชาชีววิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หน่วยการเรียน ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิต แขนงวิชาที่เกี่ยวข้องกับชีววิทยา และการใช้ความรู้ทางชีววิทยาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ชีววิทยากับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ความตระหนักในเรื่องของชีวจริยธรรม การศึกษาชีววิทยาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งการศึกษา วิธีการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ และการนำความรู้เกี่ยวกับชีววิทยามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันการทำ กิจกรรมสะเต็มศึกษาโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง ศึกษาเคมีที่เป็น พื้นฐานของสิ่งมีชีวิต โครงสร้างและหน้าที่ของสารต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต และปฏิกิริยา เคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ศึกษาส่วนประกอบของกล้อง จุลทรรศน์ใช้แสง หลักการทางาน วิธีการใช้ รวมทั้งการดูแลและเก็บรักษา ศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของส่วน ที่ห่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึมและนิวเคลียส การลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ การหายใจระดับเซลล์ซึ่งเป็น กระบวนการที่เซลล์สร้างพลังงานจากการสลายสารอาหารสำหรับนาไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของเซลล์ และ การแบ่งเซลล์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูลการสังเกต วิเคราะห์ เปรียบเทียบ อธิบาย อภิปราย และสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการคิดและการแก้ปัญหา ด้านการสื่อสารสามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม เป็นเลิศทางวิชาการ สื่อสารสองภาษา ล้ำหน้าทางความคิด ผลิตงานอย่าง สร้างสรรค์และ ร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลกโดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การจัดการ เรียนรู้ มาตรฐาน/รหัสตัวชี้วัด ว 1.2 ม.4 /1 ,ม.4/2 รวมทั้งหมด 2 ตัวชี้วัด ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายและสรุปสมบัติที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของการจัดระบบในสิ่งมีชีวิต ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตดารงชีวิตอยู่ได้ 2. อภิปรายและบอกความสำคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐาน และวิธีการ ตรวจสอบสมมติฐาน รวมทั้งออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน


138 3. สืบค้นข้อมูล อธิบายเกี่ยวกับสมบัติของน้าและบอกความสำคัญของน้าที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และยกตัวอย่าง ธาตุชนิดต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อร่างกายสิ่งมีชีวิต 4. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ระบุกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งความสำคัญของ คาร์โบไฮเดรตที่มีต่อสิ่งมีชีวิต 5. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของโปรตีน และความสำคัญของโปรตีนที่มีต่อสิ่งมีชีวิต 6. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของลิพิด และความสำคัญของลิพิดที่มีต่อสิ่งมีชีวิต 7. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลิอิก และระบุชนิดของกรดนิวคลิอิกและความสำคัญของกรดนิวคลิอิกที่ มีต่อสิ่งมีชีวิต 8. สืบค้นข้อมูลและอธิบายปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต 9. อธิบายการทางานของเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิตและระบุปัจจัยที่มีผลต่อการทางาน ของเอนไซม์ 10.บอกวิธีการและเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเพื่อศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง วัดขนาโดยประมาณ และวาดภาพที่ปรากฏภายใต้กล้อง บอกวิธีการใช้ และการดูแลรักษากล้องจุลทรรศน์ใช้แสงที่ถูกต้อง 11. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ 12. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และระบุชนิดและหน้าที่ของออร์แกเนลล์ 13. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของนิวเคลียส 14. อธิบายและเปรียบเทียบการแพร่ ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลิเทต และแอกทีฟทรานสปอร์ต 15. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเขียนแผนภาพการลาเลียงสารโมเลกุลใหญ่ออกจากเซลล์ด้ว กระบวนการเอกโซไซโทซิสและการลาเลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ด้วยกระบวนการเอนโดไซโทซิส 16. สังเกตการณ์แบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสและแบบไมโอซิสจากตัวอย่างภายใต้กล้องจุลทรรศ พร้อมทั้งอธิบายและเปรียบเทียบการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสและแบบไมโอซิส 17. อธิบาย เปรียบเทียบ และสรุปขั้นตอนการหายใจระดับเซลล์ในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอและ ภาวะที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ รวมทั้งหมด 17 ผลการเรียนรู้


139 โครงสร้างรายวิชา รหัส ว31141 รายวิชาชีววิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 60 ชั่วโมง 1.5 หน่วยการเรียน หน่วย ที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐาน /ตัวชี้วัด สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด เวลา (ชม.) น้ำหนัก คะแนน 1 การศึกษา ชีววิทยา ข้อ 1 ข้อ 2 สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการสารอาหารและ พลังงาน มีการเจริญเติบโต มีการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้ามีการรักษาดุลยภาพ ของร่างกาย มีการสืบพันธุ์มีการปรับตัว ทางวิวัฒนาการ และมีการทำงานร่วมกัน ขององค์ประกอบต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหา คำตอบเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต เริ่มจากการตั้ง ปัญหาหรือคำถาม ตั้งสมมติฐาน ตรวจสอบสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผล การศึกษา สิ่งมีชีวิตต้องอาศัยความรู้จากแขนงวิชา ต่าง ๆ ของชีววิทยาและสาขาวิชาอื่นที่ เกี่ยวข้องและควรคำนึงถึงชีวจริยธรรม และจรรยาบรรณการใช้สัตว์ทดลอง 12 15 2 เคมีที่เป็น พื้นฐานของ สิ่งมีชีวิต ข้อ 3 ข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 สิ่งมีชีวิตประกอบด้วย ธาตุและ สารประกอบน้ำเป็นองค์ประกอบมากที่สุด ธาตุที่สิ่งมีชีวิตต้องการจะอยู่ในรูปของ ไอออนในมนุษย์และสัตว์ ธาตุจะช่วยให้ การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ดำเนินไปตามปกติน้ำและความสำคัญของ น้ำที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และยกตัวอย่างธาตุ ชนิดต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อร่างกาย สิ่งมีชีวิตโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ลิพิด กรดนิวคลิอิก ระบุชนิดและ ความสำคัญที่มีต่อสิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีที่ เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตการทำงานของเอนไซม์ ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต 21 27


140 หน่วย ที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐาน/ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด เวลา (ชม.) น้ำหนัก คะแนน 3 เซลล์และ การทำงาน ของเซลล์ ข้อ 10 ข้อ 11 ข้อ 12 ข้อ 13 ข้อ 14 ข้อ 15 ข้อ 16 ข้อ 17 วิธีการเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเพื่อศึกษา ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง วิธีการใช้ และการดูแลรักษากล้องจุลทรรศน์ใช้ แสงที่ถูกต้อง โครงสร้างและหน้าที่ของ ส่วนต่างๆของเซลล์ การแพร่ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลิเทต และแอกทีฟ ทรานสปอร์ต การลำเลียงสารโมเลกุล ใหญ่ออกจากเซลล์ด้วยกระบวนการเอก โซไซโทซิสและการลาเลียงสารโมเลกุล ใหญ่เข้าสู่เซลล์ด้วยกระบวนการเอนโด ไซโทซิส สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบ ไมโทซิสและแบบไมโอซิสสรุปขั้นตอน การหายใจระดับเซลล์ในภาวะที่มออกซิ เจนเพียงพอและภาวะที่มีออกซิเจนไม่ เพียงพอ 21 28 รวมระหว่างภาค 54 70 สอบกลางภาค/สอบปลายภาค 3/3 20/30 รวม 60 100


141 คําอธิบายรายวิชา รหัส ว31142 รายวิชาชีววิทยา (ดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต) กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เวลา 40 ชั่วโมง 1.0 หน่วยการเรียน ศึกษาโครงสรางของเยื่อหุมเซลล การลําเลียงสารผานเซลล การรักษาดุลยภาพของเซลล ของสิ่งมีชีวิต การรักษาดุลยภาพของน้ำในพืช กลไกการควบคุมดุลยภาพของน้ำ แรธาตุและอุณหภูมิ ในรางกายมนุษยและสัตว ระบบภูมิคุมกันของรางกายมนุษย โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร กระบวนการสืบเสาะหาความรูการสืบคนขอมูลการสังเกต กา รวิเคราะหการทดลองการอภิปรายการอธิบายและสรุป เพื่อใหเกิดความรูความคิดความเขาใจ มีความสามารถ ในการตัดสินใจสื่อสารสิ่งที่เรียนรู นําความรูไปใชในชีวิตของตนเอง ดูแลรักษาสิ่งมีชีวิตอื่น เฝาระวังและพัฒนาสิ่งแวดลอม อยางยั่งยืน มีจิตวิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรม และคานิยมเป็นเลิศทางวิชาการ สื่อสารสองภาษา ล้ำหน้า ทางความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์และ ร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลกโดยน้อมนำหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงสู่การจัดการเรียนรู้ รหัสตัวชี้วัด ว 1.2 ม.4/1, ว 1.2 ม.4/2, ว 1.2 ม.4/3, ว 1.2 ม.4/4,ว 1.2 ม.4/5,ว 1.2 ม.4/6, ว 1.2 ม.4/7,ว 1.2 ม.4/8,ว 1.2 ม.4/9,ว 1.2 ม.4/10,ว 1.2 ม.4/11,ว 1.2 ม.4/12 รวมทั้งหมด 12 ตัวชี้วัด


142 โครงสร้างรายวิชา รหัส ว31142 รายวิชาชีววิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 40 ชั่วโมง 1.0 หน่วยการเรียน หน่วย ที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐาน /ตัวชี้วัด สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด เวลา (ชม.) น้ำหนัก คะแนน 1 การลำเลียง สารเข้าออก จากเซลล์ ว 1.1 ม.4/1 สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต เซลล์เดียว สัตว์ พืช หรือมนุษย์ ต่างมี กลไกในการ รักษาดุลยภาพของร่างกาย ได้แก่ การรักษาดุลยภาพ น้ำ แร่ธาตุ ก๊าซ กรดเบส เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ระบบ ต่างๆ ในร่างกายทำงานเป็นปกติ 12 20 2 การรักษา ดุลยภาพ ของสิ่งมีชีวิต ว 1.1 ม.4/2-7 ร่างกายมนุษย์มีภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นกลไกการ ป้องกันเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ ร่างกาย ซึ่งได้แก่ ผิวหนัง เซลล์เม็ดเลือด ขาว และระบบน้ำเหลือง ภูมิคุ้มกัน ดังกล่าวเป็นภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ในร่างกาย มนุษย์ หรือที่เรียกว่าเป็นภูมิคุ้มกันที่มีมา แต่กำเนิด นอกจากนี้ยังมีภูมิคุ้มกันที่ได้รับ มาภายหลัง ได้แก่ วัคซีน เซรุ่ม เป็นต้น 12 25 3 การ ดำรงชีวิต ของพืช ว 1.1 ม.4/8-12 กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็น จุดเริ่มต้น ของการสร้างน้ำตาลในพืช พืช เปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นสารอาหารและสาร อื่น ๆ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ที่ จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ 12 25 รวมระหว่างภาค 36 70 สอบกลางภาค/สอบปลายภาค 2/2 70/30 รวม 40 100


143 คำอธิบายรายวิชา รหัส ว31151 รายวิชาโลก ดาราศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 20 ชั่วโมง 0.5 หน่วยกิต ศึกษา วิเคราะห์โครงสร้างของโลก แผ่นเปลือกโลก การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก กระบวนการเกิด ภูเขา รอยเลื่อน รอยคดโค้ง ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาเกี่ยวกับแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และผลกระทบต่อ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม การหาอายุหิน การลำดับชั้นหิน ลักษณะและอายุของซากดึกดำบรรพ์ และโครงสร้าง ทางธรณีวิทยา เพื่ออธิบายประวัติความเป็นมาของพื้นที่และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางธรณีวิทยา โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ การสังเกต การสืบค้น ข้อมูล การอภิปราย และสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ความคิด ความเข้าใจ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ นำความรู้ไป ใช้ในชีวิต มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรมและค่านิยมที่เหมาะสมเป็นเลิศทางวิชาการ สื่อสารสองภาษา ล้ำหน้าทางความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ และร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลกโดยน้อมนำหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงสู่การจัดการเรียนรู้ ตัวชี้วัด ว 3.2 ม.6/1, ว 3.2 ม.6/2, ว 3.2 ม.6/3, ว 3.2 ม.6/4, ว 3.2 ม.6/5, ว 3.2 ม.6/6 รวมทั้งหมด 6 ตัวชี้วัด


144 คำอธิบายรายวิชา รหัส ว31151 รายวิชาโลก ดาราศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 20 ชั่วโมง 0.5 หน่วย หน่วย ที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐาน/ ผลการเรียนรู้ สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด เวลา (ชม.) น้ำหนัก คะแนน 1 โครงสร้าง โลก ว 3.2 ม.6/1 โลก เป็นดาวเคราะห์หิน ภายในยังมี อุณหภูมิสูงมาก นักวิทยาศาสตร์ใช้ ข้อมูล หลักฐานทางธรณีวิทยาและ ฟิสิกส์ในการแบ่งโครงสร้างโลก 7 25 2 การแปร สันฐานของ แผ่นธรณี ว 3.2 ม.6/2 ม.6/3 ธ ร ณ ี ภ า ค แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร เปลี่ยนแปลงของโลก อธิบายได้ด้วย ทฤษฎีการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค การเกิดภูเขา รอยเลื่อน รอยคดโค้ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด จะเกิด ตามแนวรอยตะเข็บของขอบแผ่นธรณี ภาค 7 25 3 ธรณีพิบัติภัย ว 3.2 ม.6/4 ม.6/5 ม.6/6 ป ร า ก ฏ ก า ร ณ ์ ท า ง ธ ร ณ ี ว ิ ท ย า แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ส่งผลต่อ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 6 20 รวมเวลาเรียน 20 70 ระหว่างภาค/ปลายภาค 1/1 70/30 รวม 20 100


145 คำอธิบายรายวิชา รหัส ว31181 รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 20 ชั่วโมง/ภาคเรียน จำนวน 0.5 หน่วยกิต ศึกษาแนวคิดหลักของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น และ ความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น ออกแบบ สร้าง หรือพัฒนาผลงานสําหรับแก้ปัญหาที่คํานึง ถึง ผลกระทบต่อสังคมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการบริการ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ซึ่งใช้ความรู้ ทักษะ และเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ กลไก ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่าง ถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย คํานึง ถึงทรัพย์สินทางปัญญา ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบและนําเสนอผลงาน สามารถสื่อสารและเชื่อมโยงสิ่งที่ เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสมเป็นเลิศทางวิชาการ สื่อสารสองภาษา ล้ำหน้าทางความคิด ผลิตงานอย่าง สร้างสรรค์ และ ร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลกโดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การจัดการ เรียนรู้ ตัวชี้วัด ว 4.1 ม.4-6/1, ม.4-6/2, ม.4-6/3, ม.4-6/4 , ม.4-6/5 รวมทั้งหมด 5 ตัวชี้วัด


146 โครงสร้างรายวิชา รหัส ว31181 รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 20 ชั่วโมง/ภาคเรียน จำนวน 0.5 หน่วยกิต หน่วยที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐาน/ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน 1 ระบบทาง เทคโนโลยี ว 4.1 ม.4-6/1 1 ระบบทางเทคโนโลยี 2 ความสัมพันธ์ของวิทยาศาสตร์และ คณิตศาสตร์กับเทคโนโลยี 1 5 2 การ เปลี่ยนแปลง ของเทคโนโลยี ว 4.1 ม.4-6/1 1 สาเหตุปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยี 2 ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยี 1 5 3 ผลกระทบของ เทคโนโลยี ว 4.1 ม.4-6/2 1 ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อมนุษย์ และสังคม 2 ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อเศรษฐกิจ 3 ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อ สิ่งแวดล้อม 4 ตัวอย่างผลกระทบของเทคโนโลยี 1 10 4 วัสดุและ เครื่องมือ พื้นฐาน ว 4.1 ม.4-6/5 1 วัสดุ 2 เครื่องมือพื้นฐาน 2 10 5 กลไก ไฟฟ้า และอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ ว 4.1 ม.4-6/5 1 กลไก 2 อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3 แผลควบคุมขนาดเล็ก 2 10


147 หน่วยที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐาน/ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน 6 กระบวนการ ออกแบบเชิง วิศวกรรม ว 4.1 ม.4-6/3 ว 4.1 ม.4-6/4 กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม - ขั้นระบุปัญหา - ขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับปัญหา - ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา - ขั้นทดสอบ ประเมินผลปรับปรุง - ขั้น นำเสนอ 9 40 7 กรณีศึกษา การแก้ปัญหา ตาม กระบวนการ ออกแบบเชิง วิศวกรรม ว 4.1 ม.4-6/3 ว 4.1 ม.4-6/4 ศึกษากรณีตัวอย่าง 4 20 รวมเวลาเรียน 18 80 ระหว่างภาค/ปลายภาค 1/1 80/20 รวม 20 100


Click to View FlipBook Version