The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Model

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by anuban, 2024-03-25 23:54:05

รายงานการขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Model

รายงานการขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Model

41 2. กิจกรรมตลาดนัดสินค้าราคาถูก ลูกบัวชมพูเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้รู้จัก การซื้อขายด้วยการปฏิบัติจริง เรียนรู้การจัดทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย 3. กิจกรรมตลาดนัดน้องหนูอนุบาล เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนระดับปฐมวัย ได้ รู้จักการซื้อการขายและการใช้จ่ายเงิน รู้ค่าของจำนวนเงิน และลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง 4. กิจกรรมว่ายน้ำเพื่อชีวิต เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในการว่ายน้ำเป็น และสามารถช่วยเหลือผู้ประสบเหตุจมน้ำได้ ฐานการเรียนรู้ที่ 6 : ฐานการเรียนรู้สุขภาพกายจิต สุขสันต์ เป็นฐานการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง ปลอดภัย ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญสู่การดูแล สุขภาพของบุคคลอื่นต่อไป ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ 1. กิจกรรมตาราง 9 ช่อง เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีสมาธิ รอบคอบ ระมัดระวัง ในการปฏิบัติกิจกรรม มีการเชื่อมโยงในการทำงานระหว่างสมองและการเคลื่อนไหว 2. กิจกรรมอนามัยโรงเรียนและการป้องกันอุบัติเหตุ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ เรียนรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาล ฝึกการสร้างสุขนิสัยให้นักเรียนปฏิบัติตนอย่างถูกวิธี เรียนรู้ การระมัดระวังจากการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 3. กิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับยาเสพติด รู้เท่าทันป้องกันตนเอง และคนรอบข้างให้ห่างไกลจากพิษภัยยาเสพติดได้ 4. กิจกรรมพัฒนากระบวนการเรียนรู้สู้โควิด เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 ที่กำลังแพร่ระบาดทั่วโลกและการปฏิบัติตนตามวิถีชีวิตใหม่ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและสังคม ต่อมา ในปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี ได้ปรับปรุงและกำหนดศูนย์การ เรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ประกอบด้วย ฐานการเรียนรู้ จำนวน 6 ฐาน โดยมีกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งสิ้น 19 กิจกรรม รายละเอียดดังต่อไปนี้ ฐานการเรียนรู้ที่ 1 : ฐานการเรียนรู้ วิชาการ สานศาสตร์พระราชา เป็นฐานการเรียนรู้ ที่ ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรอบรู้ รอบคอบ รู้จักพัฒนาตนเอง เกิดทักษะ กระบวนการในการทำงาน สามารถวางแผนในการปฏิบัติงานได้ ฝึกฝนให้นักเรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ 1. กิจกรรมเรียนรู้สู่ประสบการณ์ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ มีประสบการณ์ ทักษะกระบวนการด้วยตนเองอย่างรอบคอบ ประกอบด้วย 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและ พลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพ และ 2 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมพัฒนานักเรียนระดับประถมศึกษา และ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ระดับปฐมวัย


42 2. กิจกรรมห้องสมุดจุดประกายฝัน เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน รู้จักศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และปลูกฝังคุณนิสัยรักการอ่าน 3. กิจกรรมเช้านี้ที่อนุบาล เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้นำเสนอสาระความรู้ ผ่านรายการวีดีทัศน์ ช่วงเวลา 8.15– 8.30 น. ในวันจันทร์ วันพุธ และวันพฤหัสบดี ณ ห้องวีดีทัศน์ ฐานการเรียนรู้ที่ 2 : ฐานการเรียนรู้รู้รักษา สิ่งแวดล้อม เป็นฐานการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ นักเรียนเห็นคุณค่าของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และตระหนักในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม ประกอบด้วย 2 กิจกรรม ได้แก่ 1. กิจกรรมห้องเรียนสีเขียว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ด้านการอนุรักษ์ และประหยัดพลังงาน นำไปสู่การปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน 2. กิจกรรมผลิตน้ำหมักชีวภาพและธนาคารขยะเป็นศูนย์ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริม ให้นักเรียนได้เรียนรู้เชิงปฏิบัติการในการผลิตน้ำหมักชีวภาพจากเศษอาหารในโรงครัวของโรงเรียน รวมทั้ง ธนาคารขยะที่ฝึกการคัดแยกขยะในห้องเรียน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะ ฐานการเรียนรู้ที่ 3 : ฐานการเรียนรู้ น้อมนำ ศิลปภูมิปัญญา เป็นฐานการเรียนรู้ที่ส่งเสริม ให้นักเรียนได้แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกสถานศึกษา ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ ผู้ปกครองการเรียนรู้จากวิทยากรภายนอก และภูมิปัญญาท้องถิ่น ประกอบด้วย 2 กิจกรรม ได้แก่ 1) กิจกรรมทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ศึกษา แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพชรบุรี โดยศึกษาศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา วิถีชีวิตและสถานที่สำคัญของจังหวัด เพชรบุรี 2) กิจกรรมผู้ใหญ่ใจดีเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการ ให้ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์กับนักเรียน ฐานการเรียนรู้ที่ 4 : ฐานการเรียนรู้ เลิศล้ำค่า คุณธรรม เป็นฐานการเรียนรู้ที่ส่งเสริม ให้นักเรียนเป็นผู้มีคุณธรรม รักษาวัฒนธรรมงามอย่างไทย รู้จักการประหยัดอดออม และการปฏิบัติตน ตามจารีตประเพณีในวันสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ ประกอบด้วย 6 กิจกรรม ได้แก่ 1. กิจกรรมอัตลักษณ์สายชั้น เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีคุณธรรมในการปฏิบัติ ตนตามข้อตกลงของแต่ละสายชั้น 2. กิจกรรมออมทรัพย์นักเรียน เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนฝึกการแบ่งส่วนต่างจาก ค่าขนมของแต่ละวันฝากในบัญชีเงินฝากของตนเอง และนำไปสู่การฝากเงินในระบบบัญชีธนาคาร ตามลำดับ


43 3. กิจกรรมสหกรณ์โรงเรียน เป็นกิจกรรมที่ฝึกฝนให้นักเรียนมีทักษะการทำงานร่วมกัน การค้าขายการประชุม การทำบัญชีการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม 4. กิจกรรมวันสำคัญของเราชาวอนุบาลเพชรบุรี เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนเห็น ความสำคัญและร่วมกิจกรรมในวันสำคัญของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรียนรู้ประวัติความเป็นมา และแสดงออกอย่างถูกกาลเทศะ 5. กิจกรรมเสริมสร้างคุณธรรม นำสู่โรงเรียนสุจริต เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียน มีความซื่อสัตย์สุจริตในการจำหน่ายสินค้าผ่านบริษัทสร้างการดี 6. กิจกรรมการประกวดมารยาทการไหว้ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจ การปฏิบัติตามมารยาทไทย ไหว้ในระดับต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง นักเรียนปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อ สังคม และเข้าประกวดมารยาทในงานวิชาการต่าง ๆ ฐานการเรียนรู้ที่ 5 : ฐานการเรียนรู้ ก้าวนำ ทักษะชีวิต เป็นฐานการเรียนรู้ที่ส่งเสริม ให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะในการดำรงชีวิต เห็นคุณค่าของทรัพยากร และการปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกัน ในสังคม เคารพในสิทธิเสรีภาพอันเท่าเทียมกัน รู้จักการเป็นผู้นำ ผู้ตามที่ดี ประกอบด้วย 2 กิจกรรม ได้แก่ 1. กิจกรรมประชาธิปไตยในโรงเรียน เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้มีอิสระ ทางความคิดฝึกการเป็นผู้นำ ผู้ตามที่ดี 2. กิจกรรมว่ายน้ำเพื่อชีวิต เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในการว่ายน้ำเป็น และสามารถช่วยเหลือผู้ประสบเหตุจมน้ำได้ ฐานการเรียนรู้ที่ 6 : ฐานการเรียนรู้สุขภาพกายจิต สุขสันต์ เป็นฐานการเรียนรู้ที่ส่งเสริม ให้นักเรียนรู้จักดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง ปลอดภัย ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญสู่การดูแลสุขภาพของ บุคคลอื่นต่อไป ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ 1. กิจกรรมตาราง 9 ช่อง เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีสมาธิ รอบคอบ ระมัดระวัง ในการปฏิบัติกิจกรรม มีการเชื่อมโยงในการทำงานระหว่างสมองและการเคลื่อนไหว 2. กิจกรรมอนามัยโรงเรียนและการป้องกันอุบัติเหตุ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ เรียนรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาล ฝึกการสร้างสุขนิสัยให้นักเรียนปฏิบัติตนอย่างถูกวิธี เรียนรู้ การระมัดระวังจากการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 3. กิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับยาเสพติด รู้เท่าทันป้องกันตนเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากพิษภัยยาเสพติดได้ 4. กิจกรรมสุนทรียภาพทางดนตรี เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะทางดนตรี เรียนรู้อย่างมีความสุข มีใจรัก ชื่นชอบทางด้านดนตรี และสามารถนำความรู้ไปต่อยอดการเรียนรู้ในระดับ ที่สูงขึ้น ตลอดจนสามารถนำไปสร้างอาชีพในอนาคตได้


44 6. รูปแบบ LOTUS Model 6.1 ความเป็นมาของ LOTUS Model โรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี(2566:10-11) การได้ศึกษาหลักธรรมเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการ บริหารจัดการสถานศึกษา แล้วค้นพบหลักธรรมที่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งในทาง พระพุทธศาสนามีการกล่าวถึงเรื่องของดอกบัว 4 เหล่า ซึ่งเป็นคำอุปมา โดยเปรียบเปรยถึงบุคคล 4 ประเภท คือ 1) อุคคฏิตัญญูบัวที่ชูช่อพ้นน้ำ เป็นดั่งคนมีสติปัญญาดี เรียนรู้ได้เร็ว 2) วิปจิตัญญูบัวปริ่ม น้ำ คือลักษณะของคนที่มีสติปัญญาดี แต่ต้องได้รับการชี้แนะ 3) เนยยะ บัวที่อยู่ใต้น้ำ หมายถึงคนที่มี สติปัญญาพอใช้ ต้องได้รับการสั่งสอนและฝึกอยู่เป็นนิจจึงจะดีและ 4) ปทปรมะ บัวที่จมอยู่ในโคลน ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่ไร้สติปัญญาเรียนรู้ไม่ได้ โดยลักษณะของดอกบัวทั้ง 4 เหล่านี้ ถ้านับมาเรียบเรียงในมุมมองของการจัดการเรียนรู้ เราจะสามารถอธิบายลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียนพร้อมทั้งสอดแทรกแนวทางในการจัดการเรียนรู้สำหรับ ผู้เรียนในแต่ละแบบได้ดังนี้ 1. อุคคฏิตัญญู (บัวพ้นน้ำ) กลุ่มของบุคคลที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ที่เพียงแค่ได้ฟังธรรมใน ครั้งแรกก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันรวดเร็วเปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็ สามารถเบ่งบานได้ทันทีซึ่งถ้ามองในมุมมองของผู้เรียน กลุ่มนี้น่าจะหมายถึงกลุ่มผู้เรียนที่มีความพร้อมและ มีพื้นฐานในการเรียนรู้ที่ดีอยู่แล้ว ทำให้สามารถเรียนรู้ได้เร็วและทำความเข้าใจในบทเรียนได้ง่าย ทำให้การ จัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนในกลุ่มนี้ ครูผู้สอนควรเน้นที่กิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนมีความท้าทายและ กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ด้วยตัวเอง 2. วิปจิตัญญู(บัวปริ่มน้ำ) คือกลุ่มบุคคลที่มีสติปัญญาปานกลาง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการ อบรมฝึกฝนเพิ่มเติมจึงจะสามารถเข้าใจหลักธรรมต่าง ๆ ได้ในเวลาไม่นานนัก เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป ซึ่งนักเรียนในกลุ่มนี้ คือกลุ่มของผู้เรียนที่มีพื้นฐานในการเรียนรู้ที่ดี แต่อาจ ขาดเทคนิคหรือแนวคิดในการเรียนรู้ที่เหมาะสม ทำให้มีปัญหาการเรียนรู้ในระยะแรก ดังนั้นครูผู้สอนจึง ควรให้คำแนะนำในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน คอยส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนสามารถค้นหาแนวทางการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตัวเอง มากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนในกลุ่มนี้สามารถเรียนรู้ได้ดีตามแนวทางเหมาะสมมากยิ่งขึ้นในอนาคต 3. เนยยะ (บัวใต้น้ำ) กลุ่มบุคคลที่มีสติปัญญาพอใช้ ที่ต้องได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม และต้องมีความขยันหมั่นเพียรฝึกฝนอยู่เป็นประจำ จึงจะสามารถเข้าใจถึงหลักธรรมคำสอนได้ เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง โดยสำหรับผู้เรียนที่อยู่ใน กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมและฝึกฝนอยู่เสมอ จึงจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ดี มากยิ่งขึ้น ดังนั้นครูผู้สอนจึงจำเป็นต้องเน้นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำ และควร


45 เสริมแรงให้ผู้เรียนมีความขยันหมั่นเพียร โดนการชมเชยและให้กำลังใจ ซึ่งเป็นหนทางที่ช่วยให้ผู้เรียนใน กลุ่มนี้ เรียนรู้ได้ดีมากยิ่งขึ้น 4. ปทปรมะ (บัวจมอยู่ในโคลน) กลุ่มบุคคลที่ไร้สติปัญญา ที่แม้ได้ฟังธรรมเท่าไหร่ ก็ไม่อาจ เข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ เพราะขาดศรัทธาและไร้ซึ่งความพากเพียร ซึ่งเปรียบเสมือนกับดอกบัวที่ จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน สำหรับกลุ่มนี้ แม้ว่าทางพุทธศาสนาจะมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะสั่งสอนคนในกลุ่มนี้ได้ แต่ถ้ากล่าวถึงในมุมมองของผู้เรียน ผู้เรียนในกลุ่มนี้ น่าจะหมายถึงกลุ่มที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่าง เต็มที่เนื่องจากข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น มีปัญหาด้านการเรียนรู้ เขียนอ่านไม่ได้ และส่งผลทำให้ผู้เรียนตาม บทเรียนไม่ทัน มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียน และกลายเป็นปัญหาด้านการเรียนรู้ที่ส่งผลเสียของตัวผู้เรียน เป็นอย่างมาก ดังนั้นในฐานะของครูผู้สอน สำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้ ครูผู้สอนควรวางแผนกิจกรรมการเรียน การสอนเพื่อตอบโจทย์ในการแก้ไขหรือเยียวยาข้อบกพร่องในการเรียนรู้ของผู้เรียน และพยายามให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ได้พอเพียงกับศักยภาพและความสามารถในการเรียนรู้ของตัวเอง โดยครูผู้สอนนั้นจะต้อง เข้าใจถึงของจำกัดในการเรียนรู้ของผู้เรียน และพยายามวางหลักเกณฑ์การวัดและประเมินผลให้เหมาะสม กับผู้เรียนแต่ละคน มากกว่าที่จะใช้มาตรฐานเดียวกันกับนักเรียนทั้งชั้น เรื่องของดอกบัว 4 เหล่านี้ นับเป็นแนวทางทางพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง ที่น่าจะช่วยให้ ครูผู้สอนสามารถจัดสรรห้องเรียนให้เหมาะสมกับระดับการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคนได้ ซึ่งการจับกลุ่ม นักเรียนตามระดับของการเรียนรู้นั้น จะช่วยให้ครูผู้สอนสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้อง กับนักเรียนแต่ละกลุ่มและยังช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ได้ง่ายกว่าการเรียนรู้รวมกันอีกด้วย จึงเป็นเรื่องนี้ที่มีประโยชน์อย่างมาก ถ้าสามารถนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้ในระบบคัดกรองนักเรียนของ โรงเรียนต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคลและยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner,1999 : online) ผู้ก่อตั้งทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ได้สรุปว่า พหุปัญญา หมายถึง สติปัญญาหรือความสามารถของสมองที่มีอยู่หลากหลายด้านของมนุษย์ ซึ่งแต่ละคนจะมีปัญญาหรือความ ฉลาดหลายด้านในการแสดงความสามารถหรือศักยภาพด้านต่าง ๆ ออกมา เป็นความสามารถของมนุษย์ที่ จะค้นหาปัญหาและหาทางแก้ไขปัญหา รวมไปถึงความสามารถในการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ สติปัญญาหรือความ ฉลาดของมนุษย์หลายด้าน ซึ่งเป็นความสามารถหรือเอกลักษณ์ทางสติปัญญาของมนุษย์แต่ละคน โดยจะ แสดงออก ตามความแตกต่างและลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลและจะช่วยกระตุ้น ผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มี ความสามารถรอบด้าน ซึ่งแบ่งสติปัญญาที่หลากหลายของคนนั้น ออกเป็นอย่างน้อยได้ 8 ด้าน ได้แก่ 1. สติปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence) หมายถึง ความสามารถในการใช้ภาษา ถ้อยคำ และภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียน สามารถสื่อภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้


46 ตามที่ต้องการ สามารถใช้ไวยากรณ์หรือโครงสร้างของภาษา เสียงของภาษา ความหมายของภาษา และ มิติทาง ปฏิบัติในการใช้ภาษารูปแบบต่าง ๆ สามารถจดจำคำและตัวอักษรต่าง ๆ ได้ดี รวมถึงการใช้ภาษา เพื่อโน้ม น้าวให้ผู้อื่นดำเนินการ และการใช้ภาษาเพื่อช่วยจดจำข้อมูล 2. สติปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical–Mathematical Intelligence) หมายถึง ความ สามารถในการใช้ตัวเลขและการใช้เหตุผลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความสามารถในการ ใช้รูปแบบเชิง ตรรกะและความสัมพันธ์ ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุและผล การคิดเชิงนามธรรม การคิดคาดการณ์และการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์มีการทำงานอย่างเป็นระเบียบแบบแผน มีความคิด เป็นเหตุเป็นผล 3. สติปัญญาด้านมิติสัมพันธ์(Visual–Spatial Intelligence) หมายถึง ความสามารถในการ รับรู้โลกเชิงภาพอย่างแม่นยำและดำเนินการเปลี่ยนแปลงตามการรับรู้เหล่านั้น มีความเข้าใจในสี เส้น รูปร่าง รูปแบบ พื้นที่ ทิศทางและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบเหล่านี้ มีความชื่นชอบในกิจกรรม ศิลปะ การคิด จินตนาการ ชอบขีดเขียน มีมุมมองทางศิลปะที่ดี ชอบแสดงออกเป็นภาพวาดมากกว่า ตัวอักษร 4. สติปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence) หมายถึง ความ เชี่ยวชาญในการใช้ร่างกายทั้งหมดเพื่อแสดงความคิดและความรู้สึก สามารถใช้มือหรือท่าทางในการ ผลิตหรือ เปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ มีทักษะในการเคลื่อนไหวที่ดี มีความกระตือรือร้น มีความคล่องแคล่ว ความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และความรวดเร็ว อีกทั้งมีความสามารถทางประสาทสัมผัส ชอบออกกำลัง กาย ชอบแสดง ท่าทาง และสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ 5. สติปัญญาด้านดนตรี(Musical Intelligence) หมายถึง ความสามารถในการซึมซับและ เข้าถึง สุนทรียะทางดนตรี การแสดงออก แยกแยะเสียงต่าง ๆ ได้ดี มีความไวต่อจังหวะ ระดับเสียงหรือ ทำนอง ชอบ ร้องรำทำเพลง สามารถแต่งเพลงและเล่นเครื่องดนตรีได้ดี ทำงานและจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้ ดีเมื่ออยู่ ท่ามกลางเสียงดนตรี 6. สติปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence) หมายถึง ความสามารถใน การรับรู้และเข้าใจผู้อื่น ทั้งด้านความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มีความไวในการ สังเกต สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม มีทักษะในการจูงใจคน พูดจาสนทนา กับผู้อื่นได้ดีสร้างมิตรภาพได้ง่าย รู้จักเป็นผู้นำและผู้ตาม สามารถเจรจาต่อรอง ลดความขัดแย้ง ชอบการ มีส่วนร่วมใน กลุ่ม และเป็นปัญญาด้านที่จำเป็นต้องมีอยู่ในบุคคลทุกคน 7. สติปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) หมายถึง การมี ความสามารถใน การเข้าใจตนเอง การปรับตัวบนพื้นฐานของความรู้ด้านต่าง ๆ การรู้จุดแข็งและข้อจำกัด ของตนเอง การรับรู้ถึงอารมณ์ภายในตนเอง ความตั้งใจ ความรู้สึก ความคิด ความคาดหวัง แรงจูงใจ


47 ความปรารถนา การมีวินัย ในตนเอง การเห็นคุณค่าในตนเอง การมีจินตนาการและความคิดที่เป็นอิสระ และชอบทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง 8. สติปัญญาด้านการเข้าใจธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) หมายถึง ความสามารถใน การเข้าใจธรรมชาติ สภาพแวดล้อม ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มีความรักและสนใจเรื่องต่าง ๆ ของธรรมชาติเลี้ยงสัตว์ สิ่งมีชีวิตและดินฟ้าอากาศ เป็นนักอนุรักษ์ และปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้ดี สิ่งแวดล้อม การทัศนศึกษา การทำกิจกรรมออกค่าย การศึกษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งต่าง ๆ อย่างหลากหลาย เป็นต้น จากการศึกษาทฤษฎีพหุปัญญาและตัวอย่างกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสติปัญญา ด้านต่าง ๆ จะเห็นได้ว่า คนเราทุกคนโดยทั่วไปล้วนมีสติปัญญาที่หลากหลายเป็นคุณสมบัติที่มีคุณค่าติดตัว อยู่แล้วทั้งสิ้น เพียงแต่สติปัญญาแต่ละด้านนั้นบุคคลมีไม่เท่ากัน และความสามารถในการนำออกมาใช้ ประโยชน์ก็แตกต่างกัน โดยมีผลมาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ความแตกต่างระหว่างบุคคล สภาพความ เป็นอยู่ในครอบครัว จิตใจ อารมณ์ ความรู้ ประสบการณ์ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความจำเป็น และ โอกาสในการเผชิญสถานการณ์เป็นต้น จึงทำให้เห็นได้ว่าบุคคลมีทักษะหรือความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป และถึงแม้บุคคลจะอยู่ในสถานการณ์หรือปัญหาเดียวกัน ก็จะมีแนวทางการดำเนินชีวิต หรือการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป และความสามารถในด้านต่าง ๆ เหล่านี้สมควรที่จะได้รับการฝึกให้มี มากที่สุดตั้งแต่อยู่ในวัยศึกษา เล่าเรียน ดังนั้น โรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีเหมาะสมที่สุดที่จะพัฒนา หล่อหลอม ปลูกฝังและเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้แสดงออกซึ่งความสามารถทางสติปัญญาที่หลากหลายเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำ ได้ ตามความเหมาะสมของผู้เรียน สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมด้วยการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมอย่าง หลากหลาย และได้รวบรวมกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ตามสติปัญญาด้านต่าง ๆ ตามประสบการณ์มา นำเสนอไว้เพื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน จะได้แนวความคิดไปจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้รู้ เข้าใจ และพัฒนาความสามารถของตนเอง ผู้เรียนจะสามารถเรียนได้ดีขึ้น ได้เสริมความมั่นใจของตนเองซึ่ง จะช่วยให้เขากล้าทำงานที่ยากและท้าทายมากขึ้นกว่าเดิม เกิดการเข้าใจและจดจำบทเรียนที่ผ่านการฝึก ด้วยสติปัญญา ที่หลากหลายช่องทาง และเพื่อเป็นแนวทางแก่บุคคลทั่วไปในการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แก่เยาวชนในอนาคต ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาสู่นวัตกรรมหรือแบบอย่างที่ดีของสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ในการเข้ารับการประเมินคุณภาพภายนอกรอบ สี่ จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ ๒ - ๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ โดยมีผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ (พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๓) การศึกษาระดับ


48 ปฐมวัยและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน อยู่ในระดับดีเยี่ยม ทั้ง 3 ด้าน แต่อย่างไรก็ตามคณะผู้ประเมินได้ ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาและมีข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาสู่นวัตกรรมหรือแบบอย่างที่ดีดังนี้ ด้านคุณภาพของผู้เรียน สถานศึกษาควรใช้โอกาสที่มีจุดแข็งในทุกมิติและโอกาสเอื้ออำนวย เนื่องจากเป็นโรงเรียนยอดนิยม ประกอบกับผู้บริหารเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเพื่อองค์กรและ เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ดังนั้นสถานศึกษาควรใช้ Model ต่าง ๆ ที่มีอยู่ มาใช้พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เข้มข้นมากขึ้นก็จะทำให้ครูผู้สอนที่เป็นฝ่ายปฏิบัติดำเนินกิจกรรมตาม Model ที่ออกแบบไว้ ก็จะส่งผลให้กระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนบรรลุเป้าประสงค์โดยเร็ว เนื่องจาก มีกระบวนการพัฒนาและเป้าหมายชัดเจน ดังนั้น สถานศึกษาควรตั้งเป้าหมายความสำเร็จว่าจะเป็น สถานศึกษาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม ๑ ใน ๑๐๐ ของประเทศ รวมทั้งควรจัดทำ Flow Chart เพื่อเป็น แบบอย่างให้แก่สถานศึกษาแห่งอื่นที่อยู่ในจังหวัดเดียวกัน หรือสถานศึกษาที่มาขอศึกษาดูงานนำ Model ต่างๆไปพัฒนาสถานศึกษาของตนก็จะส่งผลให้มีการยกระดับคุณภาพผู้เรียนกันทั้งระบบ องค์ประกอบทั้ง 3 ด้าน ของการศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเรื่องบัวสี่เหล่า แนวคิด ทฤษฎีพหุปัญญา และผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน คุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้มีข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาสู่นวัตกรรมหรือแบบอย่างที่ดี ทำให้ สามารถแยกความแตกต่างระหว่างบุคคลตามความรู้ความสามารถ ทำให้พยายามศึกษาหลักการ ทฤษฎี การบริหารการจัดการสถานศึกษาทำให้คิดค้นนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาสู่สถานศึกษาที่มี การขับเคลื่อนคุณภาพ จึงได้หลักการบริหารรูปแบบ LOTUS Model ซึ่งสอดคล้องกับตราสัญลักษณ์ของ โรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี คือ LOTUS หมายถึง ดอกบัว เป็นนวัตกรรมทางการบริหารจัดการสถานศึกษา ซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เป็นองค์รวม และมีความสอดคล้องตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ของโรงเรียน 6.2 การดำเนินการพัฒนารูปแบบ LOTUS Model การพัฒนานวัตกรรมหรือการสร้างนวัตกรรมหลักการบริหารรูปแบบ LOTUS Model ซึ่งมี การกำหนดวัตถุประสงค์ของการบริหารจัดการสถานศึกษาและพัฒนาผู้เรียนเป็นหลัก เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของนวัตกรรม ตอบสนองต่อการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาภายใต้กรอบ การกำหนด ขอบเขตของนวัตกรรมไว้ เพื่อนำไปสู่ผลการทดลองใช้นวัตกรรม ตลอดจนถึงความพึงพอใจของผู้ใช้ นวัตกรรม โดยข้าพเจ้ามีแนวคิดที่จะต้องถามตัวเองว่า จะสร้างนวัตกรรมอะไรจึงจะทำให้การบริหาร จัดการของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะไป ค้นหาแหล่งอ้างอิงที่ไหน จะต้องสร้างกี่ชิ้นกี่ประเภท ใช้เทคนิคการสร้างอะไรบ้าง จะมีแนวการใช้ นวัตกรรมอย่างไร จึงได้มีการวางแผนไว้3 ขั้นตอน ดังนี้


49 1. ขั้นพัฒนา ข้าพเจ้าศึกษาแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ของการพัฒนา คือ 1.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.2 ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีของนวัตกรรม 1.3 ศึกษาทบทวน ทฤษฎีหลักการบริหารจัดการสถานศึกษา 1.4 มีความริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยตนเอง 2. ขั้นทดลองใช้ การทดลองใช้นวัตกรรมหรือรูปแบบ หลังจากการพัฒนานวัตกรรมหรือรูปแบบเสร็จ เรียบร้อยและมีการประเมินตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมหรือรูปแบบ ทั้งในด้านความเหมาะสมถูกต้อง ทางภาษา เนื้อหา และความสะดวกหรือปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการทดลองไปใช้ โดยมีการกำหนด รูปแบบการประเมินด้วยการระบุวัตถุประสงค์ตัวแปรที่ศึกษา (ต้องการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง เช่น ความสนใจ ผลสัมฤทธิ์หรือ เวลาที่ใช้) กลุ่มตัวอย่าง (ระบุว่าไปทดลองกับนักเรียน ระดับชั้นใด โรงเรียน ไหน จำนวนเท่าใด) เครื่องมือที่ใช้วัด (ได้แก่ แบบทดสอบ แบบบันทึกการสังเกตหรือแบบสัมภาษณ์) และ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลง่าย ๆ (เช่น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือทดสอบความแตกต่าง ของค่าเฉลี่ย ฯลฯ) และกำหนดแนวทาง สรุปผลการทดลองใช้ 3. ขั้นประเมินผลและรายงาน หลังจากทดลอง ได้ดำเนินการ กำกับ ติดตาม และประเมินผลการใช้นวัตกรรมหรือรูปแบบ การบริหารจัดการสถานศึกษา และการจัดการเรียนการสอนของครู เพื่อปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาให้มี ประสิทธิภาพมากที่สุด โดยนำนวัตกรรมหรือรูปแบบไปทดลองใช้และเก็บข้อมูล วิเคราะห์ผลการทดลอง และเขียนรายงานผลการทดลองเผยแพร่ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบ อาจประกอบด้วย 3.1 การวางแผนในการใช้นวัตกรรมหรือรูปแบบ 3.2 นวัตกรรมหรือรูปแบบที่สร้างและพัฒนาขึ้น 3.3 คู่มือการใช้นวัตกรรมหรือรูปแบบ 3.4 ผลการใช้นวัตกรรมหรือรูปแบบ 3.5 รายงานผลการทดลอง 6.3 การมีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบ LOTUS Model การเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมามีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรม เช่น ผู้บริหาร คณะ ครู ผู้เรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการสมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี และชุมชน มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก แสดงความคิดเห็นเป็นส่วนหนึ่ง ในการตัดสินใจ ในการดำเนินการต่างๆ ของสถานศึกษา ย่อมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็น การดำเนินงานเพื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแท้จริง และการที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้เข้ามามีบทบาทเช่นนั้น


50 ก็จะทำให้สถานศึกษาปฏิบัติงานต่างๆ ด้วยความระมัดระวังและตระหนักถึงความรับผิดชอบที่ดีต่อผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้อง หลักการมีส่วนร่วมนี้จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้น อย่างกว้างขวางในหลายองค์กรและจะ เชื่อมโยงกับการรับผิดชอบกับงาน การให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิมนุษยชนของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และความสามารถในการปฏิบัติงานของสถานศึกษาในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืนเพื่อ ประโยชน์สุขของผู้เรียน ในการปฏิบัติหรือการมีส่วนร่วม มี 5 ระดับ ระดับ 1 Inform การให้ข้อมูล นำเสนอด้วยข่าวสารข้อเท็จจริง ไม่มีอคติเอนเอียง เพื่อเป็น ข้อมูลต่อสาธารณชนได้เข้าใจปัญหา สามารถเป็นทางเลือก มองเห็นโอกาสและทางแก้ไขได้ผ่านเอกสาร , Website, Open house แต่ละคนจะได้รับทราบข้อมูล – ข่าวสาร ที่เป็นผลกระทบต่อตนเองหรือชุมชน อย่างสม่ำเสมอ ระดับ 2 Consult ร่วมปรึกษาหารือให้ข้อคิดเห็น รับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพื่อ ประกอบการวิเคราะห์ กำหนดทางเลือก และตัดสินใจ ซึ่งอาจจะออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ในการรับ ฟังความคิดเห็น , เสวนากลุ่มสนใจ , สำรวจ , เวทีประชาชน ร่วมปรึกษาหารือ อาจใช้วิธีสำรวจความ คิดเห็น หรือจัดเวทีสามารถ และควรตรวจแจ้งผลการนำข้อมูลไปใช้ ให้ผู้เสนอได้ทราบ ระดับ 3 Involve ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมปฏิบัติหรือเสนอแนะ แนวทางในการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับสาธารณชนตลอดกระบวนการ เพื่อยืนยันว่าเข้าใจความคิด ความสามารถประชาชน และถูกนำมาพิจารณา อาจจะผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Deliberrative Polling) สัมมนาวิชาการ เป็นต้น ระดับ 4 Collaboration การร่วมมือของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือแทนภาคสาธารณะในการ พัฒนานวัตกรรม และกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเลือกวิธีการแก้ปัญหา กระบวนการฉันทา มติและการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เป็นทีมงานหรือเป็นกรรมการ ระดับ 5 Empower เสริมอำนาจแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้เป็นผู้ตัดสินใจ หรือมอบอำนาจ การตัดสินใจสุดท้ายให้สาธารณชนเป็นผู้กำหนด คือ การลงประชามติ หลักการมีส่วนร่วม ต้องนำมาซึ่งการสร้างฉันทามติให้เกิดขึ้น ดังนั้น ข้อมูล ข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นนั้นทั้งหลายต้องเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ด้วยเหตุและผล ให้เห็นถึงส่วนดีและส่วนเสียอย่าง ครบถ้วนและที่สำคัญก็ต้องพยายามให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อมุ่งประโยชน์ต่อส่วนร่วมจริงๆ เช่น การ ให้ข้อมูล ปรึกษาหารือ ให้เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ร่วมตัดสินใจ และมอบอำนาจในการตัดสินใจ


51 6.4 ความหมายและความสำคัญของรูปแบบ LOTUS Model แผนภูมิที่ 3 รูปแบบ LOTUS Model นวัตกรรม นวัตกรรม เป็นสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดจากการใช้ความรู้ และความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ต่อ เศรษฐกิจ และสังคม เกิดจากความคิดของคน เป็นการสร้างสิ่งที่มีอยู่เดิมให้กลายเป็นสิ่งใหม่ ซึ่งมี ความหมายตามลักษณะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ราชบัณฑิตยสถาน (2556: 610) ได้บัญญัติศัพท์โดยใช้คำจากภาษาบาลี “นวตา” ประสมกับคำ ภาษาสันสกฤต “กรม” ขึ้นเป็นคำภาษาไทยว่า “นวัตกรรม” และให้ความหมายว่า น.การกระทำ หรือสิ่งที่ ทำใหม่ หรือแปลกจากเดิม ซึ่งอาจจะเป็นความคิด วิธีการ หรืออุปกรณ์ เป็นต้น กล่าวได้ว่านวัตกรรม หมายถึง สิ่งใหม่หรือความคิดใหม่ที่ต่างจากสิ่งหรือความคิดที่มีอยู่เดิม (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (2556 อ้างถึงใน อดิสรณ์ ณ อุบล 2559: 7) (นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง สิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ที่มีประ โยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม และหมายรวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจาก ความสามารถในการใช้ความรู้ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะ และประสบการณ์ทางเทคโนโลยีหรือการจัดการ มาพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์ หรือกระบวนการผลิต หรือบริการใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ตลอดจนการปรับปรุงเทคโนโลยี การแพร่กระจายเทคโนโลยีการออกแบบผลิตภัณฑ์ และการฝึกอบรม ที่นำมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและก่อให้เกิดประโยชน์ สาธารณะในรูปแบบของการเกิดธุรกิจการ ลงทุน ผู้ประกอบการ หรือตลาดใหม่หรือรายได้แหล่งใหม่ รวมทั้งการจ้างงานใหม่ พงศกร เอี่ยมสะอาด, ศุภกร ลิ้มคุณธรรมโม และประสพชัย พสุนนท์ (2559:125) ให้ความหมาย ว่า นวัตกรรม คือ กระบวนการการสร้างให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งใหญ่และเล็กไม่ว่าจะเป็น


52 การเปลี่ยนแปลงมากหรือน้อยต่อผลิตภัณฑ์บริการและกระบวนการในการเสนอความใหม่กับองค์กร ซึ่งเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าและความรู้ขององค์กร อัจศรา ประเสริฐสิน, เทพสุดา จิวตระกูล, จอย ทองกล่อมศรี(2560:13) อธิบายว่า นวัตกรรม ทางการศึกษา คือ การสร้างสื่อใหม่ที่ช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้ความเข้าใจในบทเรียนได้ง่าย เห็นได้จริง ในการใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการเรียนสูงสุดเป็นได้ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เน้นนวัตกรรมที่มีความน่าสนใจ เช่น มีการใช้เกมและภาพประกอบเพื่อให้นักเรียนมีส่วนร่วมปฏิบัติ กิจกรรมนั้น ๆ ด้วยตนเอง มีการนําสื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน นวัตกรรม ควรเข้าใจวิธีการใช้ได้ง่าย เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจของนักเรียนและสะดวกแก่ครูที่ไม่ชํานาญ ด้านนวัตกรรม ง่ายต่อการเตรียมการและสะดวกในการทำวิจัยเพราะครูมีงานที่ต้องรับผิดชอบมาก ลักษณะของนวัตกรรมทางการศึกษาที่ดีควรช่วยเสริมแรงจูงใจในการเรียน ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการ เรียนและเข้าใจบทเรียนได้เร็วและจดจําได้ หากเป็นสื่อออนไลน์จะสามารถเข้าถึงนักเรียนในยุคปัจจุบันได้ ดีกว่าสื่อที่เป็นสิ่งของควรมีการทดสอบความรู้ก่อนเรียนและหลังเรียนรู้เพื่อติดตามพัฒนาการของผู้เรียน หลังใช้สื่อได้มีการทำวิจัยในชั้นเรียนควบคู่ระหว่างการสอนกับการวิจัย ต้องมีการทดลองใช้นวัตกรรม จนมีความเชื่อมั่นและผ่านการประเมินนวัตกรรม เมื่อนำมาใช้จริงต้องเหมาะสมกับวิชาที่ใช้สอนและวัยของ ผู้เรียนควรเผยแพร่นวัตกรรมไปยังผู้อื่น และมีการนําผลจากการวิจัยที่ได้มาแก้ปัญหาให้ตรงตามข้อมูลที่ได้ จากการวิจัยจริง QINGYA LI (2564: 8) นวัตกรรม หมายถึง สิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้ และความคิด สร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และสังคม เกิดจากความคิดของคน เป็นการสร้างสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ กลายเป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างโดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมรอบตัวให้ในการสร้างโอกาส ใหม่ ๆ และมีการถ่ายทอด หรือส่งต่อแนวคิดนั้นให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม สรุปได้ว่า นวัตกรรมเป็นสิ่งที่เกิดจากการใช้ความรู้ กระบวนการการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งใหญ่และเล็ก การสร้างสื่อใหม่ ๆ เป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้ความเข้าใจในบทเรียนได้ ง่าย ลักษณะของนวัตกรรมทางการศึกษาที่ดีควรช่วยเสริมแรงจูงใจในการเรียน ให้นักเรียนมีส่วนร่วมใน การเรียนและเข้าใจบทเรียนได้เร็วและจดจําได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอาจเป็นรูปแบบหรือโมเดลหรือนวัตกรรมอย่างใด ก็ได้ จากความหมายและความสำคัญของนวัตกรรมที่ใช้ในหลักการบริหารจัดการศึกษาโดยใช้รูปแบบ LOTUS Model เป็นหลักการสำคัญในการบริหารจัดการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มุ่งเน้นการ บริหารจัดการอย่างเป็นระบบเป็นองค์รวม และมีความสอดคล้องตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ และสัญลักษณ์ ดอกบัวของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีผู้รายงานจึงได้นำมาสร้างเป็นนวัตกรรมทางการบริหารการศึกษาใน รูปแบบ LOTUS Model ซึ่งประกอบด้วย L-O-T-U-S ดังนี้


53 L : Learning to Learner การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน เป็นการจัด กระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นในโลกศตวรรษที่ 21 มีความสามารถในการแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสาร ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ มีนิสัยใฝ่เรียนรู้ มีการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ และมุ่งส่งเสริม ให้ผู้เรียนมี การพัฒนาตามความถนัด ความสามารถของพหุปัญญา ได้แก่ ด้านภาษา ด้านตรรกศาสตร์และ คณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านการ เข้าใจตนเอง และด้านธรรมชาติวิทยา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ ความสามารถไปใช้ในการพัฒนาตนเอง ในชีวิตประจำวัน และนำไปสู่เป้าหมายในอนาคต ซึ่งการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีนั้น ครูผู้สอนควร คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้เรียน และพัฒนาผู้เรียนให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางสมอง และมุ่งเน้น ความรู้คู่คุณธรรม จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีความหลากหลาย ทันสมัย เหมาะสม กับวัยของผู้เรียน และธรรมชาติของวิชา ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าหรือเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ตามความ สนใจ โดยใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง การจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนนั้น มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ มีความรู้ มีความสามารถไว้หลายท่าน ดังนี้ ฮู และ ดันแคน (Hough and Duncan, 1970: 144) อธิบายความหมายของการจัดการเรียนรู้ว่า หมายถึง กิจกรรมที่บุคคลได้ใช้ความรู้ของตนเองอย่างสร้างสรรค์เพื่อสนับสนุนให้ผู้อื่นเกิดการเรียนรู้ และ มีความผาสุข ดังนั้นการจัดการเรียนรู้จึงเป็นกิจกรรมในแง่มุมต่าง ๆ 4 ด้านดังนี้ 1. ด้านหลักสูตร (Curriculum) หมายถึง การศึกษาจุดมุ่งหมายของการศึกษา ความเข้าใจ ในจุดประสงค์รายวิชา และการตั้งจุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ที่ชัดเจน ตลอดจนเลือกเนื้อหาได้เหมาะสม สอดคล้องกับท้องถิ่น 2. ด้านการจัดการเรียนรู้ (Instruction) หมายถึง การเลือกวิธีสอนและเทคนิคการจัด การเรียนรู้ ที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้ 3. ด้านการวัดผล (Measuring) หมายถึง การเลือกวิธีการวัดผลที่เหมาะสมและสามารถ วิเคราะห์ผลได้ 4. ด้านการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ (Evaluation) หมายถึง ความสามารถ ในการประเมินผลของการจัดการจัดการเรียนรู้ทั้งหมดได้ ฤดีมน ศรีสุพรรณ (2559: 41–42) การจัดการเรียนรู้เป็นการประกอบขึ้นของความรู้ที่ส่งต่อจาก บุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่ง มนุษย์ทั้งมวลล้วนแต่ได้รับการส่งต่อความรู้ ความคิด ทัศนคติ ระเบียบปฏิบัติ ประเพณี และวัฒนธรรมตั้งแต่เยาว์วัยต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อให้สามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้ และ รูปแบบการเรียนรู้โดยอิงสังคมนี้ไม่มีสูตรสําเร็จที่สามารถทําได้แล้วจะจบสิ้น ด้วยสังคมมีลักษณะเป็น พลวัตมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา สิ่งหนึ่งสิ่งใดเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลต่อสิ่งอื่นไม่มากก็น้อย


54 กุลิสรา จิตรชญาวณิช (2562: 2) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า การจัดการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการต่าง ๆ ในการดำเนินงานของผู้สอนตั้งแต่การวางแผนการจัดการเรียนรู้จนสิ้นสุด การประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรมจริยธรรมและเกิดทักษะหรือ สมรรถนะ สกุลการ สังข์ทอง (2562: 28) รูปแบบการจัดการเรียนรู้หมายถึง แบบแผนหรือรูปแบบที่สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบตามหลักปรัชญา แนวคิด ทฤษฎี และหลักการต่าง ๆ เพื่อช่วยในการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์บรรลุเป้าหมาย ที่กำหนดซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนรู้นั้นจะต้องได้รับ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นในโลก ศตวรรษที่ 21 มีความสามารถในการแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสาร ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ มีนิสัยใฝ่เรียนรู้ มีการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ และมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการพัฒนาตามความถนัด ความสามารถของ พหุปัญญา ได้แก่ ด้านภาษา ด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการ เคลื่อนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านการเข้าใจตนเอง และด้านธรรมชาติวิทยา ทั้งนี้เพื่อให้ ผู้เรียนนำความรู้ ความสามารถไปใช้ในการพัฒนาตนเองในชีวิตประจำวัน และนำไปสู่เป้าหมายในอนาคต ซึ่งการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีนั้น ครูผู้สอนควรคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้เรียน และพัฒนาผู้เรียน ให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางสมอง และมุ่งเน้นความรู้คู่คุณธรรม จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ มีความหลากหลาย ทันสมัย เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และธรรมชาติของวิชา ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ ศึกษาค้นคว้าหรือเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ตามความสนใจ โดยใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลายเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ลงมือปฏิบัติจริง O: Organization by Cooperation องค์กรแห่งความร่วมมือ เป็นการจัดการในการบริหาร สถานศึกษาที่มุ่งเน้นการประสานความร่วมมือ ทั้งในองค์กร และนอกองค์กร เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ ภายใต้ หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) อันได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า ซึ่งความร่วมมือของทุกฝ่ายในการดำเนินงาน ถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนางานอย่างเป็นระบบ โดยมีความภาคภูมิใจ ความมุ่งมั่นในการพัฒนา สถานศึกษา เป็นพื้นฐานสำคัญของการทำงานร่วมกัน และมีแรงขับเคลื่อนเพื่อความสำเร็จอย่าง มีประสิทธิภาพด้วยการประสานความร่วมมืออันดีกับหน่วยงานภายนอก ชุมชน รวมถึงองค์กรอื่นๆ และใช้ รูปแบบ Networking เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารและทำกิจกรรมร่วมกัน มีการบริหารจัดการในระบบ เครือข่ายด้วยความเป็นอิสระ เท่าเทียมกันภายใต้พื้นฐานของความเคารพสิทธิ เชื่อถือ และช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน ความร่วมมือ ความร่วมมือในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบความสำเร็จนั้น เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงาน ร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งมีความหมายในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้


55 Barbara Gray (1989: 185) นิยามความร่วมมือว่าหมายถึงกระบวนการที่ภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งมีมุมมองต่อปัญหาที่ต่างกันสามารถแสวงหาทางออกร่วมกัน การรวมกันเป็นพันธมิตรโดยการร่วมมือ กันเป็นมากกว่าการแลกเปลี่ยนทรัพยากร เนื่องจากเป็นการรวมมุมมอง ทรัพยากรทักษะความร่วมมือ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์การคิดร่วมกัน เพื่อวิเคราะห์และเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหาความคิดจะ กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยผ่านความร่วมมือ นอกจากนั้นความร่วมมือยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน วิธีการทำงาน ความร่วมมือกัน จะแข็งแกร่งขึ้นหากหุ้นส่วนมีความคล้ายคลึงกันโดยเฉพาะความคล้ายคลึง กัน ในความคิดและประเภทของบริการ Peter Smith Ring and Andrew H.Van de Ven (cited in Ann Marie Thomson, 2006: 23) นิยามคำว่าความร่วมมือโดยทั้งสองกล่าวว่า ความร่วมมือหมายถึง กระบวนการที่ตัวแสดงที่มีอิสระ มีปฏิสัมพันธ์ผ่านการเจรจาอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ สร้างกฎเกณฑ์ โครงสร้างร่วมกัน รับผิดชอบในความสัมพันธ์และการปฏิบัติต่อกัน หรือตัดสินใจต่อประเด็นปัญหาร่วมกันกระบวนการ ดังกล่าวเป็นการแบ่งปันแนวปฏิบัติและผลประโยชน์ร่วมกัน Chester Barnard (อ้างถึงใน ปิยากร หวังมหาพร 2556: 11-12) ถือเป็นนักบริหารรัฐกิจ คนแรก ๆ ที่พูดถึงประเด็นเรื่องความร่วมมือในฐานะของนักปฎิบัติที่มีประสบการณ์และผ่านงานการ บริหารในภาคเอกชนและรัฐบาลมามากมาย โดย Chester Barnard เขียนหนังสือชื่อ “The Function of The Executive” Chester Barnard (อ้างถึงใน Philip Selznick, 1948 : 25) นิยาม “องค์การ” ว่าหมายถึง ระบบของกิจกรรมที่มีการทำงานที่ประสานกันหรือเป็นการทำงานของคนมากกว่าสองคน ขึ้นไป ความคิดของ Chester Barnard สรุปได้ดังนี้ 1. องค์การเกิดขึ้นมาจากความจำเป็นของคนที่จะร่วมมือกันทำงานบางอย่างให้บรรลุ เป้าหมาย ซึ่งงานดังกล่าวนั้นคน ๆ เดียวเองทำไม่ได้เพราะมีข้อจำกัดต่าง ๆ ทางกายภาพ ชีววิทยา 2. การนำเอาคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปมาร่วมมือกันทำงานไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องมีการจัด “ระบบความร่วมมือกัน” (Cooperative System) ขึ้นมา 3. องค์การจะดำรงอยู่ได้ต่อเมื่อคนที่มารวมกันทำงานได้สำเร็จ คือ บรรลุเป้าหมายของ องค์การ และสามารถสนองความต้องการของปัจเจกบุคคลด้วย โดยจัดระบบการกระจายผลประโยชน์ ตอบแทนต่อสมาชิกที่เหมาะสม สมาชิกทุกคนจะมีความกระตือรือล้นตั้งใจทำงาน มีความสามารถ ในการติดต่อซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีและสมาชิกทุกคนต่างยึดมั่นในเป้าหมายหรืออุดมการณ์ร่วมของ องค์การ 4. ความอยู่รอดขององค์การขึ้นอยู่กับความสามารถของฝ่ายบริหารในฐานะผู้นำองค์การที่จะ สร้างระบบความร่วมมือที่ดีเช่น จัดเรื่องการติดต่อการรักษากำลังใจในการทำงานของปัจเจกบุคคลและ การเชิดชูธำรงไว้ซึ่งเป้าหมายขององค์การ 5. ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ตัดสินใจด้วยความรับผิดชอบภายในกรอบของศีลธรรมอันดี


56 ปริญญา หวันเหล็ม (2558: 23) ความร่วมมือหมายถึงการทำงานร่วมกันของบุคคล หรือกลุ่ม บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ในลักษณะเป็นกลุ่ม เป็นทีม ร่วมรู้ ร่วมคิด มีส่วนร่วมในการทำงาน ร่วมรับผิดชอบงานทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ และเป็นความสัมพันธ์ของบุคคลในกลุ่มทำงาน ร่วมกันเพื่อให้การทำงานนั้นบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ สรุปได้ว่า ความร่วมมือเป็นการจัดการในการบริหารสถานศึกษาที่มุ่งเน้นการประสานความร่วมมือ ทั้งในองค์กร และนอกองค์กร เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) อันได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า ซึ่งความร่วมมือของทุกฝ่ายในการดำเนินงานถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนางาน อย่างเป็นระบบ โดยมีความภาคภูมิใจ ความมุ่งมั่นในการพัฒนาสถานศึกษา เป็นพื้นฐานสำคัญของการทำงาน ร่วมกัน และมีแรงขับเคลื่อนเพื่อความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการประสานความร่วมมืออันดีกับ หน่วยงานภายนอก ชุมชน รวมถึงองค์กรอื่นๆ และใช้รูปแบบ Networking เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารและ ทำกิจกรรมร่วมกัน มีการบริหารจัดการในระบบเครือข่ายด้วยความเป็นอิสระ เท่าเทียมกันภายใต้พื้นฐาน ของความเคารพสิทธิ เชื่อถือ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เครือข่าย เครือข่าย เป็นลักษณะรูปแบบของการประสานงานของบุคคล กลุ่มองค์กร หรือหน่วยงานที่มีการ ประสานกันอย่างเป็นระบบและมีระยะเวลา นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของเครือข่ายไว้ ดังนี้ Hanson (อ้างถึงใน ภัทรวรรธน์ นิลแก้วบวรวิชญ์, 2559: 27) กล่าวว่า เครือข่าย หมายถึง รูปแบบหนึ่งของการประสานงานของบุคคล กลุ่มองค์กร หรือหลายองค์การ ที่มีทรัพยากรของตัวเอง ซึ่งเข้ามาประสานงานกันอย่างมีระยะเวลาพอสมควรจะมีกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ก็ตามแต่ จะมีการวางรากฐานเอาไว้เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มีความต้องการจะขอความช่วยเหลือ หรือขอความร่วมมือ จากกลุ่มอื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาและสามารถติดต่อกันต่อไปได้ และการที่ปัจเจกบุคคล หรือสถาบันมารวมกัน เป็นกลุ่มนั้นจะต้องมีความสนใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดร่วมกัน แต่อย่างไรก็ตาม เพียงการรวมกลุ่มเท่านั้นยังไม่ อาจเป็นเครือข่ายงานได้เพราะจะมีลักษณะเพียงการทํางานร่วมกัน คือ มีบุคคลร่วมสนทนากันหากจะให้ เป็นเครือข่ายดีได้ต้องมีปัจจัยความร่วมมือ กันที่จะติดต่อสื่อสารอย่างเต็มใจที่จะประสานงานกัน และที่ สําคัญสมาชิกต้องยอมรับที่จะทํากิจกรรมร่วมกัน ไม่ใช่เพียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้น น้ำทิพย์ วิภาวิน (2558: 121) เครือข่าย เป็นกลุ่มขององค์กรในระบบที่ซับซ้อนตามธรรมชาติและ ตามสภาพสังคม เครือข่ายจึงเป็นโครงสร้างซึ่งทำหน้าที่จัดการระบบ ทฤษฎีเครือข่ายจึงประกอบด้วย ทฤษฎีโครงสร้างและทฤษฎีระบบเครือข่ายเกิดขึ้นทั้งในส่วนของโลกที่ซับซ้อนและระบบมีชีวิต (living system) ทุกระดับ ตัวอย่างเช่น ระบบนิเวศ (ecosystem) ของพื้นผิวโลกและพืช การเชื่อมโยง ของแม่น้ำเป็นเครือข่ายที่แตกสาขา การแตกตัวของเซลล์ในสิ่งมีชีวิต ระบบประสาท การไหลของเลือด รวมถึงDNA และโมเลกุล ซึ่งความสลับซับซ้อนนั้นเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ ทั้งนี้กลไกของระบบ ประสาทที่ใหญ่ที่สุดคือสมองของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์จึงมีข้อถกเถียงว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์นั้นเกิด


57 จากความเชื่อมโยงของระบบประสาท มนุษย์ได้สร้างเครือข่ายสังคมมาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ มีการสื่อสารด้วยการพูด โดยองค์ประกอบของเครือข่ายมีหน่วยของสังคมที่เป็นบุคคล กลุ่มหรือองค์กร และสังคม และมีการเชื่อมโยงโดยการปฏิสัมพันธ์ด้วยการสื่อสาร ตัวอย่างสำคัญของ เครือข่ายทางเทคนิค เช่น ถนน แม่น้ำ ลำคลอง การสื่อสารและโทรคมนาคม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ต่อมาจึงมีเครือข่ายของสื่อ ในรูปสัญลักษณ์และการสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้รับสารและผู้ส่งสาร ดังนั้นทั้งเครือข่ายสังคม เครือข่ายทาง เทคนิคและเครือข่ายของสื่อจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคมเครือข่าย Rogers (อ้างถึงใน มานา ปัจฉิมนันท์ 2560: 7) เครือข่าย หมายถึง โครงสร้างทางสังคมซึ่งเป็น ความสัมพันธ์ของคน กลุ่ม หรือองค์การ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อและพฤติกรรม การศึกษาเครือข่าย จึงให้ความสนใจเรื่ององค์ประกอบของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในเครือข่าย มากกว่าการศึกษาตัว องค์ประกอบของสมาชิกจึงถือว่าเป็นวิธีการมุ่งศึกษาความสัมพันธ์โดยอาจใช้ศึกษาสังคมหรือการสื่อสาร ซึ่งหน่วยในการศึกษาได้แก่ระดับบุคคล กลุ่ม องค์การ และสังคม ระบุว่า เครือข่ายทางการสื่อสาร ประกอบด้วยบุคคลที่มีการเชื่อมต่อระหว่างกันด้วยการไหลของแบบแผนทางการสื่อสาร การวิเคราะห์ เครือข่ายทางการสื่อสารจึงเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างบุคคลที่สร้างขึ้นจากการเชื่อมโยง ของข้อมูลในโครงสร้างทางการสื่อสารระหว่างบุคคล ซึ่งเรียกว่า “เครือข่าย” (Network) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (2560: 61) กล่าวว่า เครือข่าย คือ กลุ่มของคนหรือองค์กร ที่สมัคร ใจแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลระหว่างกัน หรือทํากิจกรรมร่วมกัน โดยมีการจัดรูปหรือ จัดระเบียบโครงสร้าง ที่คนหรือองค์กร สมาชิก ยังคงมีความเป็นอิสระในความหมายนี้ สาระสําคัญ คือ ความสัมพันธ์ของสมาชิก ในเครือข่ายต้องเป็นไป โดยสมัครใจ กิจกรรมที่ทําในเครือข่ายต้องมี ลักษณะเท่าเทียมหรือแลกเปลี่ยนซึ่ง กันและกัน และการเป็นสมาชิกเครือข่ายไม่มีผลกระทบต่อ ความเป็นอิสระหรือความเป็นตัวของตัวเอง ของคนหรือองค์กรนั้น ๆ วิสิทธิ์ศักดิ์ ชัยเกิด (2559: 45) เครือข่าย หมายถึง การเชื่อมโยงระหว่างระบบ การปฏิบัติงานหรือ เชื่อมโยงบทบาทของกลุ่มบุคคล องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ที่เป็นหน่วยย่อย รวมตัวกันด้วยความสมัครใจ ภายใต้ความต้องการในวัตถุประสงค์ร่วมกันจัดโครงสร้าง และรูปแบบ การทํางานด้วยระบบใหม่ ในลักษณะสร้างความร่วมมือประสานงานกันในแนวราบ ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ด้วยการระดมสรรพกําลัง ร่วมกัน กําหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาด้วยการให้สมาชิกได้ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมวางแผน ร่วมทํา ร่วม รับผิดชอบ ร่วมติดตามประเมินผล และร่วมรับผลประโยชน สรุปได้ว่า เครือข่ายเป็นความสัมพันธ์ของคน กลุ่ม หรือองค์การ เป็นการเชื่อมโยงกันของหน่วย ย่อยเล็ก ๆ หลาย ๆ หน่วย ด้วยความสมัครใจ มีการจัดโครงสร้าง และรูปแบบการทํางานด้วยระบบใหม่ ในลักษณะสร้างความร่วมมือประสานงานกันมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายร่วมกันและหากบรรลุ วัตถุประสงค์หนึ่งแล้ว อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มวัตถุประสงค์ใหม่ได้


58 หลักธรรมาภิบาล หลักธรรมาภิบาล เป็นหลักการพื้นฐานในการสร้างความเป็นอยู่ของคนในสังคมเพื่อให้มีการ พัฒนาอย่างเท่าเทียมกันและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลักษณะและความหมายของหลักธรรมาภิบาล มีดังต่อไปนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2556: 597) ได้ให้ความหมายของธรรมาภิบาลมาจากคำว่า ธรรม ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายว่า คุณความดี ความยุติธรรม ความถูกต้อง และอภิบาล หมายความว่า บำรุงรักษา ปกครอง ดังนั้น ธรรมาภิบาล ตามศัพท์บัญญัติ ราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง วิธีการปกครองที่ดี (Good Governance) รัชยา ภักดีจิตต์ (2557: 10) ให้ความหมายความสำคัญกับ “ธรรมาภิบาล” หรือ “การบริหาร การจัดการที่ดี” เพราะเป็นหลักการพื้นฐานในการสร้างความเป็นอยู่ของคนในสังคมทุกประเทศให้มีการ พัฒนาที่เท่าเทียมกัน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การดำเนินการนี้ต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐและ ภาคเอกชนเพื่อกระจายอำนาจให้เกิดความโปร่งใส “ธรรมรัฐ” หรือ “การบริหารจัดการที่ดี” หรือ “การบริหารจัดการที่ดี” หรือ “ธรรมาภิบาล” คือ การมีส่วนร่วมของประชาชนและสังคมอย่างเท่าเทียม กันและมีคำตอบพร้อมเหตุผลที่สามารถชี้แจงกันได้ เสน่ห์ จุ้ยโต (2557: 5) ได้ให้ความหมายของคำว่า ธรรมาภิบาล หมายถึง แนวคิดการบริหาร จัดการที่ดี เพื่อให้การบริหารองค์การภาครัฐมีความสอดคล้องต่อวิสัยทัศน์ทางการเมืองในระบบ ประชาธิปไตย ได้แก่ มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม มีความเสมอภาคในการรณรงค์หาเสียง มีฝ่ายค้าน ที่เข้มแข็ง มีอิสระในการตัดสินใจ ปลอดภัยจากการคุกคาม มีเสรีภาพของสื่อมวลชน มีเสรีภาพ ในการประชุม ประท้วง มีเสรีภาพในการตั้งกลุ่มการเมืองและสมาคม มีเสรีภาพทางศาสนา ปลอดความ กลัวจาก ภัยคุกคามทางการเมือง มีความเสมอภาพในกฎหมาย และมีรัฐบาลที่ซื่อสัตย์ยึดถือประโยชน์ของ ประชาชนเป็นสำคัญ จึงนับได้ว่า ธรรมาภิบาลทำหน้าที่เป็นกลไก เครื่องมือและแนวทางการดำเนินงาน ที่เชื่อมโยงกันของภาคเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยเน้นความจำเป็นของการสร้าง ความร่วมมือจาก ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อย่างแท้จริงและต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศมีพื้นฐานระบบ ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งมีความชอบธรรมของกฎหมายมีเสถียรภาพ มีโครงสร้างและกระบวนการ การบริหารที่มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศ ที่ยั่งยืน ปธาน สุวรรณมงคล (2558: 4) ให้ความหมายธรรมาภิบาล หมายถึง เป็นหลักการบริหารการ ปกครองที่มุ่งประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติโดยยึดหลักเหตุผลและความเป็นธรรมหรืออีก มุมหนึ่งเป็นหลักการ และแนวทางสำหรับการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักการที่กำหนด สรุปได้ว่า หลักธรรมาภิบาลเป็นการปกครองการบริหารจัดการ การควบคุมดูแลกิจการบ้านเมือง และสังคมให้เป็นไปในครรลองครองธรรม และยังหมายถึงการบริหารจัดการที่ดี เพื่อให้การดำเนินงาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามกฎข้อบังคับมีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ โปร่งใส ยุติธรรม คุ้มค่า และ


59 ตรวจสอบได้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมในกลไก ในการดำเนินนโยบายทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง T : Technology การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนด้วยเทคโนโลยีที่ ทันสมัย ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถศึกษา ค้นคว้า สืบหาข้อมูลได้ด้วยตนเอง บนพื้นฐานของการเรียนรู้ อย่างเท่าทัน เพื่อให้สามารถนำความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ กระบวนการ จากการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีไปใช้ ประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคมต่อไป สื่อ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้ในการจัดการ เรียนรู้จึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเข้าใจและรวดเร็ว ซึ่ง ครูผู้สอนควรมีการพัฒนาตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาการ จัดการเรียนการสอน พัฒนางานได้อย่างเป็นระบบและทันสมัย ตามแนวคิดธรรมมาภิบาล (Good Governance) โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการที่ดี ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เทคโนโลยี เทคโนโลยมีบทบาทต่อเศรษฐกิจและสังคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศที่ส่งผล ให้เกิดความเป็นโลกาภิวัตน์คือข้อมูลความรู้สามารถผ่านถึงกันได้อย่างไร้ขอบเขต เป็นความรู้ไม่มีพรมแดน ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันถือว่าเป็นยุคดิจิตอล (The Digital Age) หรือยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ยุคแห่งข้อมูล ยุคแห่งข่าวสาร (The Information Age) ดังนั้น ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ จึงถือ เป็นปัจจัย สำคัญในการดำเนินชีวิตหรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ผู้ใดที่มีโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลได้ เร็วกว่าย่อม ได้เปรียบผู้อื่นและการที่จะเข้าถึงข้อมูลได้เร็วย่อมต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อมูล (Data) และ สารสนเทศ (Information) มีความหมายที่คล้ายคลึงและแตกต่างกันแต่มี ความสัมพันธ์กัน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546: 538) ได้ใหความหมายของคําเทคโนโลยี ไวดังนี้เทคโนโลยีหมายถึง วิทยาการที่นําเอาความรูทางวิทยาศาสตรมาใชให้เกิดประโยชนในทางปฏิบัติ และอุตสาหกรรม สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (2559:6) ให้ความหมาย คำว่า เทคโนโลยีกับสารสนเทศ หมายถึง ความรู้ในกระบวนการดำเนินการใด ๆ ที่อาศัยคอมพิวเตอร์ ทางด้านฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์การติดต่อสื่อสารการรวบรวมและการนำข้อมูลมาใช้อย่างทันเหตุการณ์ เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพทั้งทางด้านการผลิตการบริการ การบริหาร และการดำเนินงานรวมทั้งเพื่อ การศึกษาและการเรียนรู้ซึ่งจะมีผลต่อความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจการค้า และการพัฒนาด้าน คุณภาพชีวิตและคุณภาพของประชาชนในสังคม Heinich; & Others (อ้างถึงใน ณัทชลิดา บุตรดีวงษ์ 2561: 10) ได้จำแนกตามลักษณะของ เทคโนโลยีได้ 3 ลักษณะด้วยกันคือ 1. เทคโนโลยีในลักษณะของกระบวนการ (process) หมายถึง กระบวนการของ การออกแบบ แก้ปัญหาที่เชื่อถือได้และนำมาใช้ซ้ำได้ในงานต่างๆ


60 2.เทคโนโลยีในลักษณะของผลผลิตหมายถึงวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นผลมาจากการ ใช้กระบวนการทางเทคโนโลยีเช่นฟิล์มภาพยนตร์เป็นผลผลิตของเทคโนโลยีเช่นเดียวกับเครื่องฉาย ภาพยนตร์หรือหนังสือก็เป็นผลผลิตของเทคโนโลยีเช่นเดียวกับแท่นพิมพ์หนังสือเป็นต้น 3.เทคโนโลยีในลักษณะผสมของกระบวนการกับผลผลิต (process and product) ซึ่งจะนำมาใช้ร่วมกันใน 2 ลักษณะ คือ 3.1 ในลักษณะรวมของกระบวนการและผลผลิต เช่น เทคโนโลยีช่วยให้ระบบการรับ-ส่ง ข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็วทั้งนี้ เป็นผลมาจากความก้าวหน้าของการประดิษฐ์อุปกรณ์เพื่อ การรับ-ส่ง ข้อมูล ตลอดจนเทคนิควิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ระบบการส่งข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง 3.2 ในลักษณะของกระบวนการ ซึ่งไม่สามารถแยกออกจากผลผลิตได้ เช่น ระบบ คอมพิวเตอร์ที่มีการทำงานเป็นปฏิสัมพันธ์กันระหว่างตัวเครื่องกับโปรแกรมเป็นต้น วันชัย ราชวงศ์ (2562: 28) การใช้เทคโนโลยีในการบริหารงาน หมายถึง พฤติกรรมที่ผู้บริหาร สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความสามารถประยุกต์เทคโนโลยีในการเพิ่มขยายขีดความสามารถเชิงวิชาชีพของ ทีมงาน อันนำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพ และสามารถสรุปตัวบ่งชี้พฤติกรรมที่แสดงออกถึงใช้เทคโนโลยีในการ บริหารงานได้ 4 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ 1) มีการใช้เทคโนโลยีเป็นกิจวัตรประจำวัน 2) ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนา งาน 3) พัฒนาความก้าวหน้าทางวิชาชีพโดยใช้เทคโนโลยี และ 4) เป็นต้นแบบในการนำเทคโนโลยีมาใช้ และผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ศศิจันทร์ ปัญจทวี (2562: 9) เทคโนโลยีสารสนเทศ (InformationTechnology) หรือ เรียกว่า (IT) หมายถึง วิวัฒนาการของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ที่ถูกคิดค้นการพัฒนาการใช้จากมนุษย์ เพื่อให้ ตอบสนองความต้องการที่ดีที่สุดต่อองค์กรและผู้ใช้งานให้มากที่สุดและเป็นวิธีการปฏิบัติที่มีการจัดลำดับ อย่างมีรูปแบบและขั้นตอน เพื่อที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในเรื่องของความ รวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ ความถูกต้องซึ่งเป็นเทคโนโลยี ที่มีการนำคอมพิวเตอร์ การสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสำหรับ การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมมาทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารสนเทศโดยนำข้อมูล ป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์และทำการประมวลผลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ สรุปได้ว่า เทคโนโลยีเป็นการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถศึกษา ค้นคว้า สืบหาข้อมูลได้ด้วยตนเอง บนพื้นฐานของการเรียนรู้อย่างเท่าทัน เพื่อให้สามารถ นำความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ กระบวนการ จากการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนา ตนเอง และพัฒนาสังคมต่อไป สื่อ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้จึงมีความจำเป็นและ สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเข้าใจและรวดเร็ว ซึ่งครูผู้สอนควรมีการพัฒนา ตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน พัฒนางานได้อย่างเป็นระบบและทันสมัย ตามแนวคิดธรรมมาภิบาล (Good Governance) โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการที่ดีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด


61 U : Unity เอกลักษณ์ที่เป็นหนึ่ง เป็นการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ดังอัตลักษณ์ของโรงเรียน คือ ยิ้ม ไหว้ ให้เกียรติกัน ซึ่งถือเป็นขนบธรรมเนียม ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา และเป็นภาพลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นบัวชมพูและนอกจากนี้ยังแสดงออกถึงความ เป็นลูกบัวชมพูของผู้เรียนทุกคนในโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีที่ได้รับการส่งเสริม สนับสนุนพัฒนาด้านความรู้ ความสามารถ และปลูกฝังให้เป็นผู้มีคุณธรรม ดังเอกลักษณ์ของโรงเรียน คือ เรียนรู้คู่คุณธรรม ก้าวนำ วิชาการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีมีความเป็นตัวตน มีเอกลักษณ์ที่เป็นหนึ่งทั้งด้าน สถานศึกษา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน รวมถึงการพัฒนานวัตกรรม (Innovation) เพื่อยกระดับ คุณภาพของสถานศึกษาได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับอัตลักษณ์อันเป็นค่านิยมของโรงเรียนที่มี จุดเด่น เพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาการจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยยึดปรัชญา การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้เป็นผู้ใฝ่รู้ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการสื่อสาร สามารถดำรงชีวิตและทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างมีความสุข เอกลักษณ์ เอกลักษณ์เป็นลักษณะเฉพาะที่เป็นหนึ่ง มีลักษณะประจำที่เป็นแบบอย่างทางวัฒนธรรม เป็นสมบัติเฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงความเป็นปัจเจกบุคคล นักการศึกษาหลายท่าน ได้กล่าวถึงความหมาย ของเอกลักษณ์ ไว้ดังนี้ เอกวิทย์ ณ ถลาง (2557: 31) เอกลักษณ์ หมายถึงลักษณะเฉพาะที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง เอกลักษณ์ ประกอบด้วยสถาบันที่เป็นองค์คุณแห่งชาติ ลักษณะนิสัยประจำชาติ ค่านิยม ลักษณะโครงสร้างของสังดม และแบบอย่างวัฒนธรรมที่มีวิวัฒนาการสร้างสมติดต่อกันมาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน โดยมีสภาพแวดล้อมเหตุการณ์ และปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคมเป็นเครื่องกำหนดลักษณะเฉพาะเหล่านั้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (อ้างถึงใน ผศ.สุภารีย์ เถาว์วงศ์ษา, ดร.ชุติมันต์ จันทร์เมือง 2558: 13) เอกลักษณ์ หมายถึง ลักษณะที่เหมือนกันหรือมีร่วมกัน อัตลักษณ์ ประกอบด้วยคำว่า อัต (อัดตะ) ซึ่งหมายถึงตนหรือตัวเอง กับลักษณ์ซึ่งหมายถึง สมบัติเฉพาะตัว ดังนั้นอัตลักษณ์หรือเอกลักษณ์ จึงหมายถึง ความสำนึกของแต่ละบุคคลว่าแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร บ่งบอกตัวตนและความเป็นปัจเจก บุคคล พิมลวรรณ พันธ์วุ้น และโสมฤทัย สุนธยาธร (2562: 155) เอกลักษณ์นั้น เป็นความต้องการของ มนุษย์ที่จะไม่เหมือนคนอื่นและต้องการที่จะแตกต่าง ซึ่งก็แล้วแต่บุคคลในสังคมนั้นๆ ว่าต้องการ มีความแตกต่างมากน้อยเพียงใด เช่น หากเป็นผู้หญิงไทย จะต้องมีกิริยามารยาทที่เรียบร้อย นุ่งห่มสไบ เวลาที่จะแสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้คนต่างชาติดู ก็จะใช้สัญลักษณ์เช่นวัดพระแก้ว เรือสุพรรณหงส์ ลายผ้าไหมไทย อาหารไทย มวยไทย รถตุ๊ก ๆ เป็นต้น บุปผชาติ แต่งเกลี้ยง (2562: 7) เอกลักษณ์ ได้ว่า ลักษณะเฉพาะตัวหรือ ลักษณะที่แสดงความ เป็นอย่างเดียวกันของคนในสังคมซึ่งแตกต่างจากลักษณะร่วมของคนในสังคมอื่นๆ ส่วนคําว่า อัตลักษณ์ หมายถึง ความเป็นตัวตนที่แตกต่างจากสิ่งอื่นใดสามารถบ่งชี้ลักษณะเฉพาะของตัว บุคคล สังคม ชุมชน


62 หรือประเทศนั้นๆ ได้ เช่น เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมท้องถิ่นและศาสนา เป็นต้น และข้อแตกต่างที่เห็น ได้ชัดจากสองคํานี้คือ “เอกลักษณ์” เป็นสิ่งตายตัวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วน “อัตลักษณ์” นั้นสามารถ เปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาให้ดีขึ้น สรุปได้ว่าเอกลักษณ์เป็นการแสดงออกถึงความเป็นตัวตน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นขนบธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา และเป็นภาพลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นหนึ่งเดียว รวมถึงการ พัฒนานวัตกรรม (Innovation) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับ อัตลักษณ์อันเป็นค่านิยมที่มีจุดเด่น เพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาการจัดการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน โดยยึดปรัชญาการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้เป็นผู้ใฝ่รู้ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการสื่อสาร สามารถดำรงชีวิตและทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีความหลากหลายทาง วัฒนธรรมได้อย่างมีความสุข S : Standard มาตรฐาน Worldclass Standard School เป็นการบริหารจัดการด้านการศึกษา ด้วยระบบคุณภาพตามมาตรฐานสากล จัดการเรียนการสอน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพเป็นพลโลก มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ประกอบด้วย 5 เป้าหมาย ได้แก่ ผู้เรียนมีความเป็นเลิศทางวิชาการ ผู้เรียน มีทักษะและความสามารถด้านภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความคิดอย่างวิทยาศาสตร์ มีความคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีทักษะความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผู้เรียนมีทักษะความสามารถในการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความสามารถในผลิตผลงานด้านต่าง ๆ ด้วย ตนเอง และผู้เรียนมีจิตสาธารณะ มีสำนึกในการบริการสังคม มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีจิตสำนึกในการ รักษาสิ่งแวดล้อม มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิต ศิลปะ วัฒนธรรม โรงเรียนมาตรฐานสากล โรงเรียนมาตรฐานสากล เป็นโรงเรียนที่มีการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนและการบริหารจัด การศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพเป็นพลโลก นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของ โรงเรียนมาตรฐานสากลไว้ ดังนี้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2555:11) ให้ความหมายไว้ว่า โรงเรียน มาตรฐานสากลหมายถึงโรงเรียนที่มีการพัฒนาหลักสูตรการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการบริหาร จัดการด้วยระบบคุณภาพที่มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพเป็นพลโลก มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับเดียวกับมาตรฐานสากลหรือมาตรฐานของประเทศ ชั้นนำที่มีคุณภาพการศึกษาสูง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพเยาวชนสําหรับ ยุคศตวรรษที่ 21 ตามปฏิญญาว่าด้วย การจัดการศึกษาขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ทั้ง 4 ด้าน คือ การเรียนเพื่อให้มีความรู้ในสิ่งต่าง ๆ (Learning to know) การเรียนเพื่อการปฏิบัติหรือลงมือทำ (Learning to do) การเรียนรู้เพื่อการดำเนิน ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น (Learning to live together) และ การเรียนรู้เพื่อให้รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ (Learning to be)


63 สุจินดา เอี่ยมศิริ (2558:8) ให้ความหมายไว้ว่า โรงเรียนมาตรฐานสากล หมายถึง โรงเรียนที่จัด การศึกษาตามนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศตามโครงการพัฒนา โรงเรียนเข้าสู่ มาตรฐานสากลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ พิสมัย เคนโพธิ์ (2560:43) สรุปไว้ว่า โรงเรียนมาตรฐานสากล (World class standard school) หมายถึง โรงเรียนที่จัดการศึกษาตามนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ อยู่ในโครงการ โรงเรียนมาตรฐานสากลของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการจัดการ เรียนการสอนมุ่งใหผู้เรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ (Learner profile) เทียบเคียงมาตรฐานสากล (World-class standard) ผู้เรียนมีศักยภาพเป็นพลโลก (World citizen) พัฒนายกระดับคุณภาพการ จัดการเรียนการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล (Worldclass standard) และการจัดการด้วยระบบ คุณภาพ (Thailand Quality Award-TQA) เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามมาตรฐานสากล เป็นการต่อยอดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่เป็นมาตรฐานนานาชาติ วาสนา ไกรสอน (2562:14) โรงเรียนมาตรฐานสากล หมายถึง สถานที่สําหรับจัดการเรียน การสอนที่มีการพัฒนาหลักสูตรการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน และการบริหารจัดการด้วยระบบ คุณภาพที่ มุ่งเน้นการพัฒนาผูเ้รียนให้มีศักยภาพเป็นพลโลกมีทักษะความรู้ความสามารถและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ในระดับเดียวกับมาตรฐานสากลหรือมาตรฐานของประเทศชั้นนําที่มีคุณภาพ การศึกษาสูง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่มุ่งเน้น การพัฒนาคุณภาพเยาวชนสําหรับยุคศตวรรษที่ 21 ตามปฏิญญาว่าด้วยการจัดการศึกษาขององค์การ ยูเนสโก (UNESCO) ทั้ง 4 ด้าน คือการเรียนเพื่อให้มีความรู้ในสิ่งต่างๆ (Learning to know) การเรียน เพื่อการปฏิบัติหรือลงมือทํา (Learning to do) การเรียนรู้เพื่อการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น (Learning to live together) และ การเรียนรู้เพื่อให้รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ (Learning to be) สรุปได้ว่า โรงเรียนมาตรฐานสากลเป็นการบริหารจัดการด้านการศึกษาด้วยระบบคุณภาพตาม มาตรฐานสากล จัดการเรียนการสอน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพเป็นพลโลก มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ประกอบด้วย 5 เป้าหมาย ได้แก่ ผู้เรียนมีความเป็นเลิศทางวิชาการ ผู้เรียนมีทักษะและ ความสามารถด้านภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความคิดอย่าง วิทยาศาสตร์ มีความคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีทักษะความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผู้เรียนมีทักษะ ความสามารถในการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความสามารถในผลิตผลงานด้านต่างๆ ด้วยตนเองและ ผู้เรียนมีจิตสาธารณะ มีสำนึกในการบริการสังคม มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีจิตสำนึกในการรักษา สิ่งแวดล้อม มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิต ศิลปะ วัฒนธรรม 6.5 การขับเคลื่อนรูปแบบ LOTUS Model ของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี 6.5.1 การขับเคลื่อนนวัตกรรม L : Learning to Learner การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ศักยภาพของผู้เรียน


64 การพัฒนาครูด้วยกิจกรรมที่หลากหลายตามความเหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการ ส่งเสริมให้ครูได้จัดกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ซึ่งมีวิธีการที่หลากหลายและ เหมาะสมตามความต้องการของผู้เรียน เช่น 1. ส่งเสริมให้ครูได้มีการวิเคราะห์หลักสูตรและจัดหน่วยการเรียนรู้เพื่อจัดทำกำหนดการสอน และแผนจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2. ส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกิจกรรม การเรียนรู้ 3. ส่งเสริมให้ครูขับเคลื่อนกระบวนการคิดสู่ห้องเรียน เพื่อการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิด วิเคราะห์และสื่อความ 4. พัฒนาครูและส่งเสริมให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้โดย บูรณาการจัดการเรียนการสอน มาตรฐานสากล (IS) และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 5. ส่งเสริมให้ครูจัดแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน เช่น การเรียนรู้ผ่าน บอร์ดความรู้ป้ายนิเทศต่าง ๆ การศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์และแหล่งเรียนรู้ ท้องถิ่น เป็นต้น 6. ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผลิตและใช้สื่อ/เทคโนโลยีที่เหมาะสม นวัตกรรมทางการศึกษา เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 7. ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนากระบวนการเรียนรู้สู้วิกฤต COVID – 19 ระดับชั้นอนุบาล ปีที่ 2 – ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อสนับสนุนให้ครูผู้สอนจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องและ เข้าถึงการจัดการเรียนรู้และรวมถึงความปลอดภัยของทุกคนเป็นสำคัญ 8. ส่งเสริมให้ครูวัดและประเมินผลจากสภาพที่แท้จริง โดยใช้แฟ้มสะสมผลงานดีเด่น (Port Folio) ชิ้นงาน ภาระงาน และเอกสารประกอบการสอน เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน การพัฒนาผู้เรียนด้วยกิจกรรมที่หลากหลายตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ การบริหารจัดการกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับคณะครูผู้สอนและบุคลากรในการพัฒนาผู้เรียนด้วย กิจกรรมที่หลากหลายตามความเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และเกิดประโยชน์สูงสุด ต่อผู้เรียน ดังนี้ 1. พัฒนานักเรียนด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย และสอดคล้องกับความต้องการ โดยวิเคราะห์ข้อมูล ความสามารถทางด้านสติปัญญาของนักเรียน 2. พัฒนาผู้เรียนด้วยการจัดกิจกรรม โครงการที่สอดคล้องกับความต้องการและความสามารถของ ผู้เรียน เช่น การสอนเสริมนักเรียนกลุ่มยอดคณิตศาสตร์การสอนเสริม O – NET, การสอนเสริม NT และ การสอนเสริมข้อสอบมาตรฐานกลาง , กิจกรรมการพัฒนาการอ่านออก เขียนได้ 3. พัฒนาผู้เรียนที่สอดคล้องกับทักษะชีวิตและทักษะอาชีพตามความสนใจของผู้เรียน เช่น กิจกรรมผู้ใหญ่ใจดีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์กิจกรรมพืชกลับหัว และกิจกรรมอื่น ๆ


65 6.5.2 การขับเคลื่อนนวัตกรรม O : Organization by Cooperation องค์กรแห่งความร่วมมือ ดำเนินการโดยใช้กระบวนการในการทำงานแบบมีส่วนร่วมในการดำเนินการร่วมกับ คณะกรรมการดำเนินงาน มีการวางแผนดำเนินการจัดทำนวัตกรรมร่วมกับคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พื้นฐาน สมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีเครือข่ายผู้ปกครอง และชุมชน ทั้งพร้อม ดำเนินการ กำกับ ติดตาม และประเมินผลการใช้นวัตกรรมในการบริหารจัดการสถานศึกษาและการ จัดการเรียนการสอนของครูเพื่อปรับปรุงแก้ไขและพัฒนา ในรูปแบบการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น โดยใช้หลักบริหารการบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาล คือ คุณธรรมของนักปกครองนักบริหารที่ดี(Good Governance) ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย หลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีพ.ศ. 2546 ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีวิธีการประยุกต์ใช้หลัก ธรรมาภิบาลที่เป็นกฎหมายเพื่อใช้ในการบริหารจัดการสถานศึกษาให้บรรลุเจตนารมณ์ของ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าการเป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่ดีได้นั้นต้องใช้“หลัก ธรรมาภิบาล” ในการบริหารจัดการสถานศึกษา และกระจายเป็นข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พึงใช้ประกอบใน การปฏิบัติงานของแต่ละบุคคล ให้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายของการจัดการศึกษาแล้วนั้น จะทำให้ ได้รับการยอมรับและเชื่อมั่นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ส่วนรวมได้เป็นอย่างดี และยั่งยืนตลอดไป 6.5.3 การขับเคลื่อนนวัตกรรม T : Technology การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสำหรับการเป็นผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลจำเป็นที่จะต้อง เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (ICT) และผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อการบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อการใช้ICT ให้เหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างคุ้มค่าแท้จริง ดังนั้นคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลจึงควรเป็นดังต่อไปนี้ 1. กำหนดวิสัยทัศน์ด้าน ICT ของสถานศึกษาให้ชัดเจนว่าต้องการไปในทิศทางใด และจะนำมาใช้ กับการบริหารสถานศึกษาในเรื่องใดบ้าง การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถใช้งานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ Hardware, Software, Network และเครือข่ายไร้สายต่าง ๆ ของสถานศึกษา ให้ครูอาจารย์บุคลากรและนักเรียนทุกคนสามารถใช้และเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว สะดวกต่อการใช้งาน พร้อมทั้งจัดสรรทรัพยากรต่างๆเพื่อสนับสนุนอย่างเพียงพอ 2. การสร้างวัฒนธรรมการทำงานและบรรยากาศสถานศึกษาให้มีการใช้ICT อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนการสอนของครูการบริหารงานสถานศึกษาในด้านต่าง ๆ ตลอดจนการให้ นักเรียนสามารถใช้และเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ต่างๆผ่าน Internet ได้ตลอดเวลา 3. การฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรทุกคนของสถานศึกษาให้มีความรู้ความสามารถด้าน ICT อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ 4. ผู้บริหารสถานศึกษาต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสามารถใช้ICT ในการปฏิบัติงานได้อย่าง เหมาะสม


66 5. ส่งเสริมสนับสนุนสร้างแรงจูงใจครูอาจารย์บุคลากรทุคนของสถานศึกษาให้นำความรู้ ความสามารถด้าน ICT และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สถานศึกษาจัดให้มาสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการจัดการ เรียนการสอนหรือการปฏิบัติงาน 6. จัดให้มีระบบการกำกับติดตามและการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ICT ของสถานศึกษา ทั้งครู อาจารย์บุคลากรทุกคนและนักเรียนว่าสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามนโยบายอย่างถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่ จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า การบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลนี้ถ้ารู้จักนำดิจิทัลเทคโนโลยี มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดการเรียนการสอน ครูต้องไม่ใช้Power Point หรือ โปรแกรมนำเสนองานอื่นๆ แทนกระดานดำเท่านั้น แต่ครูต้องสามารถเชื่อมโยงข้อมูลความรู้จากโลก ภายนอกสู่ห้องเรียนโดยผ่าน Internet ก็จะทำให้ผู้เรียนสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น ครูสามารถเล่นบทบาท เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ได้ดีผู้เรียนสามารถเรียนรู้แบบสืบสวน (Inquiry Learning) หรือเรียนรู้แบบ ร่วมมือ (Collaborative Learning) ในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียนได้อย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ครู ยังสามารถสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนให้เป็นแบบชั้นเรียนดิจิทัล (Digital Classroom) ได้อีกด้วย 6.5.4 การขับเคลื่อนนวัตกรรม U : Unity เอกลักษณ์ที่เป็นหนึ่ง ในการพัฒนาสถานศึกษาให้มีเอกลักษณ์ มีพลังและมั่นคงถาวร โรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี มีกระบวนการในการสร้างทีมงานที่มีเอกลักษณ์ดังนี้ 1. กำหนดทิศทางและนโยบายการจัดการทรัพยากรมนุษย์ให้แน่นอนและกระจ่างชัด 2. กำหนดและปลูกฝังจรรยาบรรณวิชาชีพของข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษา ให้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษาได้รับทราบเข้าใจและยึดถือ 3. การสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษาเข้าร่วมงานอย่างมีระบบ คงเส้นคงวา และ เปิดเผย 4. ต้อนรับและทำการปฐมนิเทศข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษาใหม่อย่างจริงจังและ สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกสัมผัส รวมถึงให้รับความเป็นเอกลักษณ์อัตลักษณ์และวัฒนธรรมของ สถานศึกษา 5. ดูแลเป็นพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษาใหม่ปรับตัวได้ ในระยะแรก 6. ดำเนินการส่งเสริม สนับสนุนให้ข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษาเข้ารับการพัฒนา อย่างต่อเนื่อง เช่น การประชุม การอบรม สัมมนา และปลูกฝังให้ข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษา ภูมิใจ รัก ผูกพัน และรู้สึกมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของสถานศึกษาอย่างจริงจัง 7. ส่งเสริมสนับสนุนให้ข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษามีความสามารถในการสร้าง ความสำเร็จในภารกิจและบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย


67 8. ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษา พร้อมทั้ง จัดระบบค่าจ้างค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม 9. ทบทวนนโยบาย การกำหนดเป้าหมาย และปรับปรุงแนวกลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ทุก ๆ 3 ปี 10. รักษาเครือข่ายการสื่อสาร และแจ้งข้อมูลความก้าวหน้าให้ข้าราชการครูและบุคลากร ในสถานศึกษาทั้งหมดทราบเป็นระยะ ๆ 6.5.5 การขับเคลื่อนนวัตกรรม S : Standard มาตรฐาน Worldclass Standard School โรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีได้นำแนวคิดการจัดกระบวนการเรียนรู้ตามบันได 5 ขั้น ดำเนินการ ภายใต้สาระการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent Study : IS) ในหลักสูตรระดับประถมศึกษา ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีการเชื่อมโยงบูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ในลักษณะของหัวเรื่อง (Theme) ที่ผู้เรียนสนใจ โดยจัดในลักษณะของหน่วยการเรียนรู้เฉพาะ หรือรายวิชาเพิ่มเติม และกิจกรรม พัฒนาผู้เรียน ตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัย ดังนี้ • ระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 - 3 : จัดเป็นหน่วยการเรียนรู้เฉพาะ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์) ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้ครอบคลุมทั้งสาระ IS1 แ ล ะ IS2โดยครูอาจกำหนดประเด็นที่สนใจเกี่ยวกับสิ่งใกล้ตัว เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้รู้จักตั้งคำถาม ข้อสงสัย ตั้งสมมติฐานตามจินตนาการแล้วกำหนดให้มีการค้นคว้า แสวงหาคำตอบจากแหล่งข้อมูลพื้นฐานง่าย ๆ และให้ผู้เรียนได้สรุปความรู้ที่ได้จากนั้นให้ผู้เรียนได้ฝึกนำข้อมูลความรู้หรือคำตอบที่ได้มาสรุปเรียบเรียง ถ่ายทอดหรือสื่อสาร นำเสนอด้วยวิธีการที่เหมาะสมหลากหลายรูปแบบ และจัดการเรียนรู้ในลักษณะ IS3 ในส่วนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยจัดไว้ในกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ เป็นการนำ ประสบการณ์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหน่วยการเรียนรู้เฉพาะที่จัดขึ้นข้างต้น ไปประยุกต์ใช้ในการทำประโยชน์ ต่อสังคม ซึ่งในระดับชั้นเด็กเล็กอาจใช้กับบุคคลใกล้ตัวหรือในโรงเรียนตามความเหมาะสม • ระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 5 : จัดเป็นรายวิชาเพิ่มเติม 1 รายวิชา (40 ชั่วโมง/ปี) และกิจกรรม พัฒนาผู้เรียน โดยรายวิชาเพิ่มเติม ใช้ชื่อวิชาการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง กระบวนการจัดการเรียนรู้ใน รายวิชานี้จะครอบคลุมทั้งสาระ IS1และ IS2 ในลักษณะที่ยากและลึกซึ้งขึ้นให้เหมาะสมกับศักยภาพและ วุฒิภาวะของผู้เรียน ตามเป้าหมายคุณภาพผู้เรียนที่กำหนด (ผลผลิต/ร่องรอยหลักฐานจากการเรียนรู้ ได้แก่ ชิ้นงานหรือภาระงาน งานเขียนที่สะท้อนสิ่งที่เรียนรู้ศึกษาค้นคว้า และมีการนำเสนอสื่อสารใน ลักษณะต่าง ๆ เช่น งานเขียน รายงาน ชิ้นงาน อาจมีการใช้อุปกรณ์เครื่องมือที่เหมาะสมกับวัยในการ สื่อสารถ่ายทอดจากรายวิชาเพิ่มเติม การศึกษาเพื่อเรียนรู้(Knowledge Inquiry) มาปฏิบัติกิจกรรมเพื่อ สังคมและสาธารณประโยชน์ แนวทางการบริหารและการจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา โรงเรียนอนุบาล เพชรบุรีใช้หลักการดำเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีคุณภาพเทียบเคียงมาตรฐานสากลตาม แบบวงจรคุณภาพของเดมมิ่ง (PDCA Deming Cycle) ซึ่งประกอบด้วย 4 ด้าน ดังนี้


68 1) ด้านการวางแผน (Planning) โรงเรียนมีการวางแผนกำหนดวิสัยทัศน์พันธกิจ เป้าหมายและ การกำหนดวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานงานที่ชัดเจน 2) ด้านการดำเนินงาน (Do) ในการพัฒนาการศึกษาอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานการศึกษาเน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ด้านการจัดการองค์การ (Organizing) โรงเรียนวางโครงสร้างฝ่ายงาน โดยเน้น การบริหารและการจัดการแบบมีส่วนร่วม ส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาการศึกษา 3) ด้านการตรวจสอบผลการปฏิบัติตามแผน (Check) โรงเรียนมีการจัดระบบนิเทศ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของผู้บริหาร ครูและบุคลากร ภายในโรงเรียนอย่างเป็นระบบ และมีรูปแบบ การนิเทศที่หลากหลาย 4) ด้านการดำเนินการปรับปรุงแก้ไข (Act) มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การทำงาน เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล สรุปได้ว่า การขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Model ของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เพชรบุรี เขต 1 นั้น โรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีได้ดำเนินการขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Mode ซึ่งใช้หลักการดำเนินงานผ่าน กระบวนการวงจรของเดมมิ่ง (PDCA Deming Cycle) เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีคุณภาพ เทียบเคียงมาตรฐานสากล 7. วงจรการบริหารงานคุณภาพ (Deming Cycle) Dr. Wiltam Edwards Deming (อ้างถึงใน ธิตินัดดา สิงห์แก้ว 2562: 44) ได้พัฒนาวงจรคุณภาพ PDCA ขึ้นมาจากแนวคิดของ Dr. WA. Shewhart ในระยะแรกรู้จัก วงจร PDCA ในนาม Shewhart Cycle จากนั้น D.Wiltam Edwards Deming ได้นำพัฒนาปรับใช้ในการควบคุมคุณภาพในวงการ อุตสาหกรรมของญี่ปุ่น จึงมีชื่อเรียกว่า Deming Cycle Dr. Wiliam Edwards Deming มีความเชื่อว่า คุณภาพสามารถปรับปรุงได้ จึงเป็นแนวคิด ของการพัฒนาคุณภาพงานขั้นพื้นฐานเป็นการกำหนดขั้นตอน การทำงาน เพื่อสร้างระบบการผลิตให้สินค้ามีคุณภาพดี การให้การบริการดี หรือทำให้กระบวนการทำงาน เป็นไปอย่างมีระบบโดยใช้ได้กับทุก ๆ สาขาวิชาชีพแม้กระทั่งการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์ องค์ประกอบ Deming Cycle วงจรการบริหารงานคุณภาพ ประกอบด้วย P (Plan) คือ ขั้นตอนการวางแผน เพื่อเลือกปัญหา ตั้งเป้าหมาย การแก้ปัญหา และวางแผน แก้ปัญหา D (Do) คือ ขั้นตอนการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามแนวทางที่วางไว้ C (Check) คือ ขั้นตอนการตรวจสอบ และเปรียบเทียบผล A (Act) คือ การกำหนดเป็นมาตรฐานและปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น


69 การใช้วงจรการบริหารงานคุณภาพ (Deming Cycle) ใช้เพื่อที่จะนำไปสู่การดำเนินการแก้ปัญหา ปรับปรุงและพัฒนางานให้สำเร็จลุล่วงไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ยุทธนา เกื้อกูล (2560: 129–160) กล่าวถึงวงจรคุณภาพเดมิ่งไว้ดังนี้ ขั้นตอนการวางแผน (Planning) เป็นการกำหนดเป้าหมาย/วัตถุประสงค์ ในการดำเนินงานวิธีการและขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย การวางแผนจะต้องทำ ความเข้าใจกับเป้าหมาย/วัตถุประสงค์ให้ชัดเจน เป้าหมายที่กำหนดต้องเป็นไปตามนโยบาย วิสัยทัศน์ และ พันธกิจขององค์กรเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั่วทั้งองค์กร การวางแผนในบาง ด้านอาจจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานของวิธีการทำงานหรือเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ ไปพร้อมกันด้วย ข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานนี้จะช่วยให้การวางแผนมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะใช้เป็นเกณฑ์ในการ ตรวจสอบการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ได้ระบุไว้ในแผน การวางแผนช่วยให้ผู้บริหารรับรู้สภาพ ปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยอาศัยประสบการณ์ ทักษะ และความรู้ที่แต่ละคน สั่งสมมาอย่างลงตัวการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การคิดและ การวางแผนอย่างรอบคอบสามารถเชื่อมระหว่างปัญหาปัจจุบันและผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนับเป็น สิ่งสำคัญสำหรับสถาบันการศึกษา การวางแผนจึงเป็นกิจกรรมที่ต้องให้ความสำคัญ กระบวนการวางแผน จะต้องรวมถึงการพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่มีอยู่ อาทิ ทรัพยากรมนุษย์ บุคลากร และงบประมาณ โดยจะต้องมั่นใจว่าองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้มีการอยู่ร่วมกันอย่างลงตัวดังนั้น การบริหารจัดการในสถานศึกษา ต้องมีการวางแผนให้เป็นระบบ ครอบคลุม เพื่อให้การบริหารงาน ด้านต่าง ๆ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามแผนที่วางไว้ทุกประการ ขั้นตอนการปฏิบัติ (Doing) เป็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ซึ่งก่อนที่จะ ปฏิบัติงานใด ๆ จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขต่างๆ ของสภาพงานที่จะลงมือปฏิบัติให้ถ่องแท้ก่อน ในกรณีที่เป็นงานประจำที่เคยปฏิบัติหรือเป็นงานเล็กอาจใช้วิธีการเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง แต่ถ้า เป็นงานใหม่หรืองานใหญ่ที่ต้องใช้บุคลากรจำนวนมากอาจต้องจัดให้มีการฝึกอบรม ก่อนที่จะปฏิบัติจริง การปฏิบัติจะต้องดำเนินการไปตามแผน วิธีการ และขั้นตอน ที่ได้กำหนดไว้และจะต้องเก็บรวบรวมและ บันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานไว้ด้วยเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป การ ปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จและมีความชัดเจนต้องอาศัยผู้บริหารในการแบ่งภาระงานสู่ระบบย่อย และแบ่งความรับผิดชอบให้กับผู้ปฏิบัติ โดยมีโครงสร้างการปฏิบัติงานที่ชัดเจนตามความเปลี่ยนแปลง ที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม การจัดการแบ่งภาระงานจึงทำให้ผู้ปฏิบัติงานรู้หน้าที่ ความรับผิดชอบของตนเองและมีการปรับปรุงสู่การปฏิบัติงานที่ดีขึ้นตามลำดับ โครงสร้างการปฏิบัติงาน ในองค์กรต้องมีความชัดเจนและมีการแบ่งงานตามความถนัดของแต่ละคน ผู้ปฏิบัติงานต้องทราบหน้าที่ และกรอบงานของตน และพยายามปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยมิให้ขาดตกบกพร่อง และหาก สามารถช่วยเหลืองานอื่นในองค์กรได้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพื่อป้องกันมิให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นในองค์กร ผู้ปฏิบัติงานทุกคนจึงต้องมีความฉลาดและมองเป้าหมายขององค์กรว่าจะมีแนวโน้มไปทางไหนและ


70 นอกจากภาระงานของตนแล้วผู้ปฏิบัติงานสามารถช่วยเหลือการงานอย่างอื่นได้ตามความเหมาะสม โดยมิ ให้งานในหน้าที่หลักที่รับผิดชอบเกิดความบกพร่อง ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการปฏิบัติงาน ผู้ปฏิบัติงานต้องมีการ ตั้งเจตนาที่ดีในการปฏิบัติต่างๆ การบริหารจัดการแบบค่อยเป็นค่อยไปจึงมีความจำเป็นและผู้บริหารต้อง ทราบถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพยายามให้พวกเขาได้ปฏิบัติงานอย่างมีความสุขและยึดมั่นกับ องค์กรการที่องค์กรมีผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้ความสามารถนับเป็นจุดดีและจุดได้เปรียบขององค์กร ขั้นตอนการตรวจสอบ (Checking) เป็นขั้นตอนการเพื่อประเมินผลว่ามีการปฏิบัติงาน ตามแผน หรือไม่มีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติงานหรือไม่ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญ เนื่องจากในการ ดำเนินงานใด ๆ มักจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนที่ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผนอยู่เสมอ ซึ่งเป็น อุปสรรคต่อประสิทธิภาพและคุณภาพของการทำงาน การติดตามการตรวจสอบ และการประเมินปัญหา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกระทำควบคู่ไปกับการดำเนินงาน เพื่อจะได้ทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการ ปรับปรุงคุณภาพของการดำเนินงานต่อไปในการตรวจสอบ และการประเมินการปฏิบัติงานจะต้อง ตรวจสอบด้วยว่าการปฏิบัตินั้น เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้หรือไม่ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อ การพัฒนาคุณภาพของงาน การตรวจสอบ เป็นการประเมินและติดตามการปฏิบัติงานต่างๆ ในองค์กร อย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การวางแผนและเข้าสู่การปฏิบัติงานในองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการ ปรับปรุง และแก้ไขกระบวนการทำงานต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้นตามลำดับ เป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับ มอบหมายและความรับผิดชอบของแต่ละส่วนจากที่กล่าวมาข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า ผู้นำองค์กรจะต้องให้ ความสำคัญกับการกำหนดหน้าที่และบทบาทของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างชัดเจน และต้องมั่นใจว่า มีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว จึงทำให้พวกเขามีความรับผิดชอบและพร้อมที่จะ ได้รับการตรวจสอบผ่านกระบวนการประเมิน โดยผู้นำต้องตรวจสอบว่าพวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ กำหนดไว้หรือไม่เพียงใด และหากปฏิบัติหน้าที่อย่างดีตามที่ได้รับมอบหมายและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ขององค์กร ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จและสามารถขับเคลื่อนองค์กรไปได้ แต่หากบกพร่องในการปฏิบัติงาน ก็ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป ขั้นตอนการปรับปรุง (Acting) เป็นขั้นตอนการของการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจาก ได้ทำการตรวจสอบแล้ว การปรับปรุงอาจเป็นการแก้ไขแบบเร่งด่วนเฉพาะหน้า หรือการค้นหาสาเหตุ ที่แท้จริงของปัญหา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเดิม การปรับปรุงอาจนำไปสู่การกำหนดมาตรฐาน ของวิธีการทำงานที่ต่างจากเดิมเมื่อมีการดำเนินงานตามวงจร PDCA ในรอบใหม่ข้อมูลที่ได้จากการ ปรับปรุงจะช่วยให้การวางแผนมีความสมบูรณ์และมีคุณภาพเพิ่มขึ้นได้ด้วยการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง กระบวนการทำงานต่างๆ ในองค์กรให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น นับเป็นสิ่งที่สำคัญและ มีความจำเป็นเพื่อสร้างความก้าวหน้าขององค์กร โดยการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในองค์กรจำเป็นต้องอาศัย ผู้บริหารและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาร่วมกันปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่พบว่าการ ปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้บริหารจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง มิฉะนั้นจะทำให้ กระบวนการประเมินและตรวจสอบจะไร้ผล การปรับปรุงงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานเป็นสิ่งจำเป็น


71 กระบวนการประเมินและตรวจสอบจะเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงระดับมาตรฐานว่าต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป การปรับปรุงแก้ไขจึงต้องสอดคล้องกับมาตรฐาน การทำงานย่อมมีข้อผิดพลาด แต่ไม่ควรผิดซ้ำหลายครั้ง เพราะผู้ปฏิบัติงานต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาด และต้องปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบอย่างเต็มความสามารถ และสิ้นสุดลงด้วยการมอบหมายการงานต่าง ๆ วิฑูรย์ สิมะโชคดี (อ้างถึงใน นิคม สุวรรณปักษ์ 2563: 16-18) กล่าวถึง วงจรคุณภาพ (PDCA) เป็นกิจกรรมที่จะนำไปสู่ การปรับปรุงงานและการควบคุมอย่างเป็นระบบอันประกอบด้วย การวางแผน (Plan) การนำแผนไปปฏิบัติ (Do) การตรวจสอบ (Check) และการปรับปรุงแก้ไข (Act) กล่าวคือ จะเริ่ม จากการวางแผน การนำแผนที่วางไว้มาปฏิบัติ การตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ และหากไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ คาดหมายไว้ จะต้องทำการทบทวนแผนการโดยเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งและทำตามวงจรคุณภาพซ้ำอีก เมื่อ วงจรคุณภาพหมุนซ้ำไปเรื่อย ๆ จะทำให้ เกิดการปรับปรุงงานและทำให้ระดับผลลัพธ์สูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การกระทำตามวงจรคุณภาพ จึงเท่ากับการสร้างคุณภาพที่น่าเชื่อถือมากขึ้นโดยจุดเริ่มต้นของวงจร คุณภาพอยู่ที่การพยายามตอบคำถามให้ได้ว่า ทำอย่างไร จึงจะดีขึ้น ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (Plan) ใน บรรดาองค์ ประกอบทั้ง 4 ประการของวงจร คุณภาพนั้นต้องถือว่า การวางแผนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด การวางแผนจะเป็นเรื่องที่ทำให้กิจกรรมอื่น ๆ ที่ตามมาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล เพราะถ้าแผนการไม่เหมาะสมแล้ว จะมีผลทำให้กิจกรรมอื่น ไร้ประสิทธิผลตามไปด้วย แต่ถ้ามีการเริ่มต้นวางแผนที่ดี จะทำให้มีการแก้ไขน้อย และกิจกรรม จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นตอนที่ 2 การนำแผนไปปฏิบัติให้เกิดผล (Do) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการนำแผนการไป ปฏิบัติอย่างถูกต้องนั้น เราจะต้องสร้างความมั่นใจว่าฝ่ายที่รับผิดชอบในการนำแผนไปปฏิบัติได้รับทราบถึง ความสำคัญและความจำเป็นในแผนการนั้น ๆ มีการติดต่อสื่อสารไปยังฝ่ายที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติอย่าง เหมาะสม มีการจัดให้มีการศึกษาและการอบรมที่ต้องการเพื่อการนำแผนการนั้น ๆ มาปฏิบัติและ มีการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็นในเวลาที่จำเป็นด้วย ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบ (Check) การตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์ของการปฏิบัติ ตามแผนควรจะต้องมีการประเมินใน 2 ประการ คือ มีการปฏิบัติตามแผนหรือไม่ หรือตัวแผนการเอง มีความเหมาะสมหรือไม่ การที่ไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้เป็นเพราะไม่ปฏิบัติตามแผนการ หรือความไม่เหมาะสมของแผนการ หรือจากทั้งสอง ประการรวมกัน เราจำเป็นต้องหาว่าสาเหตุมาจาก ประการไหน ทั้งนี้ เนื่องจากการนำไปปฏิบัติการปรับปรุงแก้ไขจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถ้าความล้มเหลว มาจากแผนการที่จัดทำขึ้นไม่เหมาะสม อาจเป็นผลมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้ 1. ความผิดพลาดในการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ 2.เลือกเทคนิคที่ใช้ผิดเนื่องจากมีข้อมูลข่าวสารไม่เพียงพอและมีความรู้ในขั้นตอน การวางแผนไม่เพียงพอ 3. ประเมินผลกระทบจากการปฏิบัติตามแผนผิดพลาด


72 4. ประเมินความสามารถของบุคลากรที่ต้องนำแผนมาใช้ผิดพลาด ถ้าความล้มเหลวมาจากการไม่ปฏิบัติตามแผน อาจเป็นผลมาจากสาเหตุต่อไปนี้ 1. ขาดความตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับปรุง 2.การติดต่อสื่อสารที่ไม่เหมาะสมและมีความเข้าใจในแผนไม่เพียงพอ 3. การให้การศึกษาและการฝึกอบรมไม่เพียงพอ 4. ปัญหาเกี่ยวกับตัวผู้นำและการประสานงานระหว่างการปฏิบัติ 5. ประเมินทรัพยากรที่ต้องใช้น้อยเกินไป ขั้นตอนที่ 4 ปฏิบัติการปรับปรุงแก้ไข (Act) ถ้าความล้มเหลวมาจากการวางแผน ที่ไม่เหมาะสม การทบทวนแผนการเท่านั้นไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของ กระบวนการวางแผนโดยการหาปัจจัยที่ไม่เหมาะสมสาเหตุของการวางแผน และทำการปฏิบัติการแก้ไข ความก้าวหน้าของการปรับปรุงจะเกิดขึ้นได้ โดยการกำจัดสาเหตุ และขั้นตอนที่สำคัญ ก็คือการทบทวน แผนการที่ต้องมีการชี้บ่งถึงสาเหตุแห่งความล้มเหลวอย่างถูกต้อง และมีการเปลี่ยนแปลงแผนเพื่อให้ สามารถดำเนินกิจกรรมไปได้อย่างมีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ควรมีการวางแผนการปรับปรุงคุณภาพเป็นรายปี และมีการทบทวนทุกปีเพื่อให้มั่นใจว่าแผนการดังกล่าว มีความเชื่อถือได้และเหมาะสม การนำวงจร คุณภาพไปปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่องในทุกระดับขององค์กร จะทำให้เราสามารถปรับปรุงและเพิ่ม คุณภาพงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลลัพธ์ ที่ชัดเจน เมื่อปัญหาเดิมหมดไปเราก็สามารถ แก้ปัญหาใหม่ ๆ ได้ด้วยวงจรคุณภาพต่อไป ณัฐนียา ห้องกระจก (2562: 16-18) กล่าวถึง การนำวงจรคุณภาพ (PDCA) มาใช้ในสถานศึกษา ด้านประกันคุณภาพในแต่ละขั้นตอนดังนี้ 1. การวางแผนเพื่อเตรียมการปฏิบัติ (Plan-P) การวางแผนหรือการจัดทำแผนเป็นการ เตรียมการอย่างฉลาดรอบคอบในการปฏิบัติงานเป็นการเตรียมการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคน เกี่ยวข้องกับ งาน และเกี่ยวข้องกับทรัพยากรต่าง ๆ ของหน่วยงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งผู้ปฏิบัติงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่หรืองานเด็กมากน้อยแค่ไหน ต้องอาศัยการวางแผนหรือการเตรียมการเพื่ออนาคต เพื่อช่วยให้สามารถทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การวางแผนปฏิบัติงานจึงเป็นการกำหนดรายละเอียด เพื่อการทำงานในอนาคตของสถานศึกษาโดยรวม และระบบการวางแผนในการทำงานจะก่อให้เกิด ประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้ 1.1 การทำงานมีจุดหมาย เพราะได้เตรียมการแก้ปัญหาล่วงหน้าไว้แล้ว 1.2 สามารถตรวจวัดความสำเร็จ และประเมินผลการดำเนินงานได้เป็นระยะ ๆ และหากพบปัญหาหรืออุปสรรคก็สามารถปรับแก้ได้ทันท่วงที 1.3 ใช้ทรัพยากรได้อย่างประหยัด และคุ้มค่า 1.4 ทำให้เกิดการประสานงานภายในหน่วยงาน 1.5 ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจ และทำให้เกิดการกระจายอำนาจรับผิดชอบ


73 2. การปฏิบัติตามแผน (Do-D) เป็นการบริหารแผน แผนงาน หรือโครงการของแต่ละคน ตามลักษณะงานที่รับผิดชอบ บุคลากรในหน่วยงานต่างปฏิบัติภารกิจตามที่ได้เตรียมการหรือวางแผน ล่วงหน้าไว้แล้วในงานของตนเองที่ต่างก็มุ่งเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา ฝ่ายบริหารสถานศึกษาจะทำ หน้าที่ส่งเสริมสนับสนุน และอำนวยความสะดวก รวมทั้งการกำกับติดตามเพื่อให้บุคลากรฝ่ายปฏิบัติ ทั้งที่รับผิดชอบงานเฉพาะตัวหรืองานเป็นกลุ่มได้ปฏิบัติงานโดยราบรื่นมีประสิทธิภาพในขณะเดียวกัน หากจำเป็นต้องมีผู้นิเทศ แนะนำ เพื่อให้การดำเนินงานประสบผลสำเร็จดียิ่งขึ้นก็เป็นหน้าที่ ที่ผู้บริหาร สถานศึกษาจะต้องคอยสอดส่อง ดูแล และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา จุดบกพร่องของ การดำเนินงานของสถานศึกษาในขั้นตอนนี้ คือเมื่อได้มีการวางแผนการดำเงินงานไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นไปใน รูปของแผน แผนงาน หรือโครงการต่าง ๆ ที่จัดเป็นรูปเล่มสวยหรู แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติอย่างจริงจังสมกับ ที่ได้ทุ่มเททรัพยากรอย่างมากมาย เพื่อการนี้บางแห่งวางแผนไว้อย่าง แต่ปฏิบัติจริงเป็นอีกอย่าง หรือบาง แห่งมีการนำไปใช้เหมือนกัน แต่เป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำ ขาดการกำกับติดตาม หรือประสานงาน การทำงานให้ไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร ในการปฏิบัติตามแผนถ้าเป็นสถานศึกษาที่มีปริมาณงานมาก มีบุคลากรมาก จำเป็นจะต้องมีระบบงานที่ตรวจสอบได้ว่าในห้วงเวลาหนึ่ง ๆ ใครกำลังทำโครงการอะไรอยู่ และในขณะเดียวกัน จะต้องมีการนิเทศเพื่อช่วยเหลือแนะนำในการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่าง มีประสิทธิภาพ การดำเนินงานในเรื่องไหน ขั้นตอนใดยังล่าช้าหรือทำไม่ถูกต้องก็สามารถช่วยเหลือในการ ปรับปรุง แก้ไข หรือปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานได้ทันท่วงที 3. การตรวจสอบและประเมินผล (Check-C) การตรวจสอบและประเมินผล เป็นขั้นตอน ต่อเนื่องจากการปฏิบัติในกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อให้ทราบว่าการดำเนินงานประสบ ผลสำเร็จเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้มากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นประโยชน์ในการปรับปรุง แก้ไขวิธีการทำงานหรือปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์และเป้าหมายของงานที่กำลังปฏิบัติอยู่ให้เหมาะสม สอดคล้องกับทรัพยากรที่มีอยู่ในหน่วยงาน การตรวจสอบและประเมินผล เป็นการหาข้อมูลเพื่อใช้ ประโยชน์ในการปรับปรุงพัฒนางาน กิจกรรมนี้จึงถือเป็นพื้นฐานของการพัฒนางาน ถ้าทำงาน โดยไม่มุ่งหวังที่จะทำให้ดีขึ้นต่อไปก็คงไม่ต้องตรวจสอบและประเมินผลให้เสียเวลา แต่ในวัฏจักรของการ ทำงานเราต้องการปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้งานดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงต้องใช้ผลจากการตรวจสอบและ ประเมินเป็นข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานต่อ ๆ ไป ซึ่งในการดำเนินงานในการตรวจสอบและ ประเมินผลมีกิจกรรมที่ควรปฏิบัติมี 4 ขั้นตอน คือ 3.1 การระบุสภาพความสำเร็จของงานในช่วงเวลาที่จะตรวจสอบ โดยปกติแล้วในการ ปฏิบัติงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า จะมีข้อมูลที่บอกให้เรารู้ว่างานนั้นมีวัตถุประสงค์ และเป้าหมายอะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน ภายในระยะเวลาตามที่วางแผนไว้ ในการระบุความสำเร็จของ งานในขั้นตอนนี้ก็ต้องดูช่วงเวลาที่จะทำการตรวจสอบ 3.2 การตรวจสอบวัดผลการดำเนินงาน เป็นการตรวจวัดผลการปฏิบัติงานจริง ๆ ณ วันที่ทำการตรวจสอบว่าสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ในการตรวจวัดก็อาศัยเครื่องมือและวิธีการ


74 ในการตรวจวัดที่แตกต่างกัน เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม การทดสอบเป็น ลายลักษณ์อักษร การดูผลการปฏิบัติงานจริง เป็นต้น 3.3 การประเมินผลการดำเนินงาน เป็นการเปรียบเทียบ เพื่อตีค่าการดำเนินงานว่าดี มีความเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด โดยการเปรียบเทียบผลจากการวัด (Measurement) กับเกณฑ์ (Criteria) ก็คือ หลักของการประเมิน (Evaluation) โดยทั่วไป การประเมินกรณีนี้อาจกล่าวได้ว่าสภาพ ความสำเร็จของงานถือเป็นเกณฑ์ ผลการดำเนินงานถือเป็นการวัด ดังนั้น เมื่อจะทำการประเมินเรื่องใด ก็ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบทั้งสองอย่างของการประเมิน คือ เกณฑ์ และผลจากการตรวจวัดถ้า องค์ประกอบทั้งสองอย่างไม่ครบถ้วนก็ไม่สามารถจะประเมินได้ 3.4 การเสนอแนะ เป็นการเสนอข้อคิดเห็นของผู้ตรวจสอบและประเมินจากผลการ ประเมินในข้อ 3 เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้ปรับปรุงแก้ไข ทำให้การดำเนินงานในเรื่องนั้นเป็นผลดี มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กล่าวคือ ถ้าผลการประเมินว่าดี มีความเหมาะสมอยู่แล้ว ก็อาจจะยกย่องชมเชย หรือให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหรือปรับเป้าหมายการดำเนินงานให้สูงขึ้น ให้ยากขึ้น ถ้าผลการประเมินยังไม่ดี ยังไม่เหมาะสม ก็อาจจะเสนอแนะให้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เพิ่มคน เพิ่มอุปกรณ์หรือแนะนำวิธีปฏิบัติที่ คิดว่าเหมาะสม ซึ่งข้อมูลจากการชี้แนะของผู้ประเมิน จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติเพื่อ ปรับปรุงพัฒนางานต่อไป 4. การปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงาน (Act-A) การปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงาน เป็นการ ปรับแก้ตามผลการตรวจสอบ และประเมินในขั้นตอนก่อนหน้านี้ ถ้าผลการประเมินพบว่างานยังไม่สำเร็จ ตามเป้าหมายที่วางไว้ก็จะต้องเร่งรัดปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน หรือใช้เวลาในการทำงานให้มากขึ้น เพื่อจะสามารถทำงานที่คาดหวังไว้แล้วให้สำเร็จ แต่ถ้าผลการประเมินพบว่างานสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว ในการดำเนินงานต่อไปก็จะได้ปรับเปลี่ยนตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น จะได้เป็นการท้าทายผู้ปฏิบัติ จึงเห็นได้ว่า การปรับปรุงการปฏิบัติงานสามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่ว่างานที่ทำมาแล้วประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย หรือไม่ ผลจากการปฏิบัติในลักษณะนี้ก็จะเกิดผลดีต่อสถานศึกษา ทำให้สถานศึกษาได้เปลี่ยนแปลงพัฒนา ไปในทางที่ดี ที่พึงประสงค์มากยิ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา ปัญหาที่พบเห็นอยู่ในสถานศึกษาขณะนี้ก็คือไม่ได้ มีการปรับปรุงการดำเนินงานจากผลของการตรวจสอบกันอย่างจริงจัง หลายเรื่องที่ได้มีการประเมินผลการ ดำเนินงานพบข้อบกพร่องเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังทำใหม่อยู่เช่นเดิม ผู้มีอำนาจที่พอจะผลักดันให้มีการ ปรับปรุงแก้ไขก็ไม่เห็น ความสำคัญของข้อเท็จจริงที่ได้จากการประเมิน หรือเมื่อมีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลง ตำแหน่งผู้บริหาร การดำเนินงานของสถานศึกษาก็มีการกำหนดงานใหม่บางเรื่องก็แตกต่างไปจากที่เคย ปฏิบัติเดิม กระบวนการที่จะปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของการปฏิบัติงานให้เกิดความต่อเนื่องจึงไม่ประสบ ผลสำเร็จ สรุปได้ว่า วงจรคุณภาพเดมมิ่งเป็นกิจกรรมที่จะนำไปสู่ การปรับปรุงงานและการควบคุมอย่าง เป็นระบบ


75 การทำงานจะสำเร็จตามเป้าหมายต้องใช้หลักการดำเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพแบบวงจรของเดมมิ่ง (PDCA Deming Cycle) ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ P : Plan คือ การวางแผนและการกำหนด วัตถุประสงค์ของการดำเนินงานงาน D : Do คือ การดำเนินงานตามแผน C : Check คือ การตรวจสอบ ผลการปฏิบัติตามแผน และ A : Act คือการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ผลการปฏิบัติงานเป็นไปตาม แผน 8. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 8.1 งานวิจัยในประเทศ อังคณา วงศ์อ้าย (2559: 90-91) แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 การค้นคว้าแบบอิสระนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการ บริหารจัดการสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้าน การศึกษาของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 2) เพื่อศึกษา ปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาการบริหารจัดการสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็น ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา แม่ฮ่องสอน เขต 2 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 มีขั้นตอนการศึกษา 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาปัญหาและ ปัจจัยที่เอื้อต่อการบริหารจัดการประชากรที่ใช้ คือ โรงเรียนที่เป็นสถานศึกษาพอเพียง สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 จำนวน 44 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลได้แก่ 1) ผู้บริหาร สถานศึกษา 44 คน 2) ครูผู้รับผิดชอบงานสถานศึกษาพอเพียง 44 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาและ ร่างแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา แม่ฮ่องสอน เขต 2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง คือ ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการ บริหารศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสมภาษณ์ และ ขั้นตอนที่ 3การตรวจสอบประสิทธิภาพแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการ สถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของ โรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 กลุ่มเป้าหมายได้มาจาก การเลือกแบบเจาะจงจำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบตรวจสอบคุณภาพ วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลจากการศึกษาปัญหาการบริหารจัดการสถานศึกษาพอเพียง พบว่า โดยรวมมีปัญหาอยู่ในระดับน้อยและด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านที่ 2 การบริหารจัดการ


76 สถานศึกษา ส่วนปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาการบริหารจัดการสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา พบว่ามีระดับความสำคัญหรือจำเป็น โดยรวมอยู่ใน ระดับมากและด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านที่ 2 การบริหารงบประมาณ และด้านที่ 4 กระบวนการ จัดการบริหารสำหรับข้อเสนอแนะในการพัฒนาการบริหารจัดการคือ ควรมีการเผยแพร่ผลงานและองค์ ความรู้ไปยังสถานศึกษาอื่น ๆ หลักสูตรต้องมีความชัดเจนปรับตามบริบทของสถานศึกษาผู้บริหาร ครู และนักเรียนของสถานศึกษาปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงและสร้างนวัตกรรมใหม่ในการนำมาจัดการเรียนการสอนผลการตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาพอเพียง พบว่า ทุกขั้นตอน และ ทุกประเด็น โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ชนัญชิดา วงศ์ใหญ่, พูนชัย ยาวิราช และ สมเกียรติ ตุ่นแก้ว (2560: 6-8) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารจัดการศึกษาของกลุ่มโรงเรียนภูซาง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสำเร็จของ การใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและศึกษาสภาพปัญหาและเสนอแนวทางแก้ปัญหาของการใช้หลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารจัดการศึกษาของกลุ่มโรงเรียนภูซาง สังกัดสำนักงานเขดพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยโปรแกรมสำเร็จรูปด้วยคู่ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า 1. ระดับความสำเร็จตามความคิดเห็นของครูและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับ การบริหารโรงเรียนโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในภาพรวม พบว่า ความคิดเห็นของครูและ คณะกรรมการสถานศึกษาชั้นพื้นฐานอยู่ในระดับความสำเร็จมาก และเมื่อพิจารณาในแต่ละหลัก พบว่า ความคิดเห็นของครูและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเห็นด้วยในระดับความสำเร็จมากทุกข้อ เช่นเดียวกัน โดยหลักภูมิคุ้มกันมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ เงื่อนไขความรู้ รองลงมา คือ หลักความพอประมาณ เงื่อนไขคุณธรรม และหลักความมีเหตุผล ตามลำดับ 2. ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารจัด การศึกษาของกลุ่มโรงเรียนภูซาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 ปัญหา และอุปสรรคตามความคิดเห็นของครูและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน อันดับ 1 คือ ผู้บริหารควร จะให้ความสำคัญกับการวางแผนการดำเนินงานธุรการตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันดับ 2 คือ ผู้บริหารไม่เห็นความสำคัญการวางแผนการพัฒนางาน อันดับ 3 คือ ผู้บริหารเห็นว่าการทำงานบางงาน เป็นเรื่องของครูบางกลุ่มไม่ใช่เรื่องของครูทั้งโรงเรียน 3. ข้อเสนอแนะในการพัฒนาการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารจัดการศึกษาของ กลุ่มโรงเรียนภูซาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 อันดับ 1 คือ ผู้บริหาร ควรจะให้ความสำคัญกับการให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อพัฒนา


77 โรงเรียน อันดับ 2 คือ ผู้บริหารควรแจ้งให้ครูรับรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงเพื่อร่วมกันวางแผนพัฒนางานการจัดการศึกษา อันดับ 3 คือ ผู้บริหารควรมีการประเมินผลการใช้ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารจัดการศึกษาในทุกที่ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนา วรนุช ปานคุ้ม (2560: 128-129) ได้ศึกษาเรื่องการจัดทำแผนกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษา พอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัดอุตรดิตถ์ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะ การบริหารสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้าน การศึกษาของโรงเรียราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัดอุตรดิตถ์ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนา สถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของ โรงเรียนที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา 3) เพื่อจัดทำและ ตรวจสอบแผนกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัดอุตรดิตถ์ มีขั้นตอนการวิจัย 5 ขั้นตอน คือ1) การศึกษาสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะการบริหารสถานศึกษาพอเพียง เพื่อเป็นศูนย์การ เรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัด อุตรดิตถ์ กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนแกนนำของ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จำนวน 54 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) การศึกษาแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาพอเพียง เพื่อเป็นศูนย์การเรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา กลุ่มเป้าหมาย คือผู้บริหาร สถานศึกษาและครูแกนนำของโรงเรียนที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้าน การศึกษาจำนวน 4 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การสรุปแบบอุปนัย 3) การจัดทำแผนกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัดอุตรดิตถ์กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสังเคราะห์เอกสาร และบันทึกการประชุมวิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้ การสรุปแบบอุปนัย 4) การตรวจสอบแผนกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์ การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มเป้าหมายคือ ศึกษานิเทศก์ที่รับผิดชอบโครงการสถานศึกษาพอเพียง สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบตรวจสอบแผนกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูล โคยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 5 การเสนอและรับรองแผนกลยุทธ์ การพัฒนาสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้าน การศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มเป้าหมาย คือ คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จำนวน 9 คน วิธีการวิจัย ใช้ฉันทามติจากที่ ประชุมและลงลายมือชื่อรับรองแผนกลยุทธ์ฯ 1. สภาพการบริหารสถานศึกษาพอเพียง โดยรวมมีการ


78 ปฏิบัติเป็นจริง อยู่ในระดับปานกลาง และด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านความสัมพันธ์กับ หน่วยงานภายนอกและปัญหาการบริหารสถานศึกษาพอเพียง ด้านที่มีปัญหามากที่สุด คือ ด้านบุคลากร 2. แนวทางการพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา พบว่า ต้องอาศัยความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านบุคลากร ประกอบด้วย ผู้บริหาร ครูนักเรียน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านการจัดการสภาพแวดล้อมกายภาพ คือมีแหล่งการเรียนที่ เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และมีฐานการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง และด้านความสัมพันธ์กับหน่วยงานภายนอก คือมีความสัมพันธ์กับสถานศึกษาอื่นและหน่วยงานที่สังกัด หรือหน่วยงานภายนอก 3. แผนกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัดอุตรดิตถ์ ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ 6 โครงการ 4. ผลการตรวจสอบแผนกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษาพอเพียงเพื่อ เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัดอุตรดิตถ์พบว่า แผนกลยุทธ์มีความถูกต้อง มีความเหมาะสม และมีความเป็นไปได้ ในระดับมาก 5. ผลการรับรองแผนกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษาพอเพียงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 13 จังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่า คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เห็นชอบฉันทามติและได้ลงลายมือชื่อรับรองแผนกลยุทธ์ ชัญชนา สุขศรีสวัสดิ์, อโนทัย ประสาน และ วันชัย วงศ์ศิลป์ (2561: 97-98) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การบริหารตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษา ตามอัธยาศัย จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด นครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ บุคลากรของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 23 อำเภอ รวมกลุ่มตัวอย่าง 115 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน T-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามหลักอัธยาศัย จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อ พิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการบริหารงานที่ตั้งอยู่บน คุณธรรมจริยธรรม ด้านการบริหารงานบนฐานของความรู้ ด้านการสร้างความพอประมาณ ด้านการสร้าง ภูมิคุ้มกัน และด้านการบริหารงานโดยใช้เหตุผล 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรต่อการบริหารตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัด นครศรีธรรมราช พบว่า เมื่อจำแนกตามขนาดประสบการณ์ โดยภาพรวมพบว่าไม่แตกต่างกัน และ


79 ตำแหน่งหน้าที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.5 ในการนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการบริหาร ไม่แตกต่างกัน นันทวดี พุ่มเกิด (2562: 160-161) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง รูปแบบการบริหารสถานศึกษาสู่ศูนย์การ เรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันการบริหารสถานศึกษาพอเพียงสู่ศูนย์การเรียนรู้ตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา 2) สร้างรูปแบบการ บริหารสถานศึกษาพอเพียงสู่ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และ 3) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาพอเพียงสู่ศูนย์การ เรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาพอเพียงสู่ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา มีรูปแบบที่มีลักษณะเป็นโครงสร้างทางความคิดและมีความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบต่าง ๆ มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ด้านความพร้อมของบุคลากร 2) ด้านการบริหาร จัดการ 3) ด้านการจัดการเรียนรู้ 4) ด้านการจัดกิจกรรมนักเรียนและกิจกรรมโรงเรียน 5) ด้านการ เปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด และ 6) ด้านการมีศักยภาพขยายผลอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ 2. รูปแบบ การบริหารสถานศึกษาสถานศึกษาพอเพียงสู่ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทางด้านการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ส่วนที่ 1 ส่วนนำ ประกอบด้วยแนวคิด หลักการ และวัตถุประสงค์ของรูปแบบ ส่วนที่ 2 เนื้อหา ประกอบด้วยองค์ประกอบ การบริหารสถานศึกษาสถานศึกษาพอเพียงสู่ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทางด้านการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และกระบวนการบริหาร ส่วนที่ 3 เงื่อนไข ความสำเร็จ 3. ผู้บริหาร ครู นักเรียนและผู้ปกครอง มีความคิดเห็นว่ารูปแบบการบริหารสถานศึกษา สถานศึกษาพอเพียงสู่ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทางด้านการศึกษาของ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สามารถนำไปใช้ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาได้อย่าง เหมาะสม ประธาน ชรรค์เจนการ และ ไตรรัตน์ สิทธิทูล (2563: 73-75) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การบริหาร กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี เงื่อนไขความรู้ เงื่อนไขคุณธรรม 2) เปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงจำแนกตามตำแหน่งหน้าที่และขนาดโรงเรียนของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 กลุ่มตัวอย่างเป็น ครูและผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขด 1 จำนวน 320 คน โดยการสุมกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตาราง สำเร็จรูปของ Krejcie & Morgen จากนั้นได้ทำการสุ่มอย่างง่ายตามสัดส่วนของโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ใน


80 การเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหาร กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ดี เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านเงื่อนไขคุณธรรมรองลงมาคือ ด้านเงื่อนไขความรู้ ด้านความมีเหตุผล และ ด้านความพอประมาณ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี 2) ผลการเปรียบเทียบ ข้อมูลพบว่า การจัดการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 จำแนกตำแหน่งหน้าที่ และจำแนก ตามขนาดของโรงเรียนไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% อุเทน แป้งนวลดี, ทินกร พุลพุล และรวงทอง ถาพันธุ์ (2563: 181-184) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการ บริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ส่งผลต่อการบริหารสถานศึกษาสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาและการ บริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จังหวัดอุทัยธานี 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จังหวัดอุทัยธานี 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงกับการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จังหวัด อุทัยธานี 4) เพื่อสร้างสมการทำนายการบริหารจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ สามารถทำนายประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จังหวัดอุทัยธานี ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารสถานศึกษาและการบริหารสถานศึกษาตาม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จังหวัดอุทัยธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) เปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จังหวัดอุทัยธานี จำแนกตามเพศ อายุ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ และตำแหน่ง โดยภาพรวม พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3 )ความสัมพันธ์ของ การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จังหวัดอุทัยธานี มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 4) สมการทำนายการบริหารจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ สามารถทำนายการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จังหวัด อุทัยธานี พบว่า การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับในการบริหาร สถานศึกษาสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จังหวัดอุทัยธานี ทั้งหมด 5 ด้าน สามารถร่วมกันพยากรณ์กับตัวแปรเกณฑ์ได้จำนวน 5 ด้าน คือด้านคุณธรรม ด้านความมีเหตุผล


81 ด้านความรู้ ด้านความมีภูมิคุ้มกัน และด้านความพอประมาณ โดยมีประสิทธิภาพในการพยากรณ์เท่ากับ ร้อยละ 33.20 (Adjusted R Square = .332) โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ธนากร จักรหา (2563: 104) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง แนวทางการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการบริหารสถานศึกษาสังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัด อาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี 2) ศึกษาแนวทางการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้คือ ครู จำนวน 217 คน ได้มาจากวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ และผู้ให้ข้อมูลการสัมภาษณ์ คือ ผู้บริหาร จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามมี ลักษณะการตอบแบบสนองคู่ (Dual Response Format) โดยใช้มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนี ความต้องการจำเป็นและการวิเคราะห์เนื้อหาผลการศึกษาพบว่า (1) สภาพปัจจุบันการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์การใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี ในภาพรวมอยู่ระดับมากที่สุด (2) ผลการศึกษา แนวทางการพัฒนาการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษาสังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดสระบุรี พบว่า ด้านความมีเหตุผล มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด จึงมีแนวทางการพัฒนา ดังนี้ (1) ผู้บริหารควรชี้แจงเหตุผลเมื่อตัดสินใจพิจารณาเรื่องต่าง ๆ บนพื้นฐานของความมีเหตุมีผลตาม หลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้ รวมถึงคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจถึงการ เลือกตัดสินใจอย่างมีเหตุผล (2) ผู้บริหารควรรับฟังความคิดเห็นของบุคลากรในสถานศึกษาปฏิบัติ บุคลากรในสถานศึกษา ปฏิบัติตามหลักวิชาการ และใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารเป็นที่ตั้ง จุฑามาศ สำราญกิจ (2564: 363) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง รูปแบบการบริหารสถานศึกษาตาม หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ปราจีนบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาดามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี สัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 15 คน 2) พัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง โดยยกร่างและตรวจสอบ รูปแบบโดยนำรูปแบบไปสนทนากลุ่ม กลุ่มเป้าหมาย คือ ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียนจำนวน 8 คน และครู วิชาการ จำนวน 7 คน รวม จำนวน 15 คน และ 3) ประเมินความเหมาะสมความเป็นไปได้ของรูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 30 คน ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 10 คน ครูวิชาการ จำนวน 10 คน และครูผู้รับผิดชอบงานโครงการเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวม ข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบประเมินวิเคราะห์ ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษารูปแบบการ บริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นการศึกษา


82 ประถมศึกษาปราจีนบุรี สรุปผลการสังเคราะห์ได้ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ด้านการสร้างความ พอประมาณ (2) ด้านการบริหารงานอย่างมีเหตุผล (3) ด้านการสร้างภูมิคุ้มกัน (4) ด้านการบริหารงานบน ฐานของความรู้ (5) ด้านการบริหารงานที่ตั้งอยู่บนคุณธรรมและจริยธรรม 2) ผลการพัฒนารูปแบบการ บริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นการศึกษา ประถมศึกษาปราจีนบุรี มีจำนวน 5 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ด้านการสร้างความพอประมาณ มี 11 องค์ประกอบ (2) ด้านการบริหารงานอย่างมีเหตุผล มี 12 องค์ประ กอบ (3) ด้านการสร้างภูมิคุ้มกัน มี 12 องค์ประกอบ (4) ด้านการบริหารงานบนฐานของความรู้ มี 12 องค์ประกอบ (5) ด้านการบริหารงานที่ ตั้งอยู่บนคุณธรรมและจริยธรรม มี 11 องค์ประกอบ 3) ผลการประเมินรูปแบบการบริหารสถานศึกษา ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี ในด้านความเหมาะสมความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ทรงสุดา น้ำจันทร์ และ สมกูล ถาวรกิจ (2564: 68-69) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การบริหารสถานศึกษา ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนขยายโอกาสในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงและนำเสนอแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสในสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ผู้สอนที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนขยายโอกาสในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พระนครศรีอยุธยาเขต 1 จำนวน 285 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางสำเร็จรูปของ เครจซีและ มอร์แกน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิแบบเป็นสัดส่วนโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 47 กลุ่ม จาก 47 โรงเรียนตามสัดส่วนของประชากรแต่ละโรงเรียนจากนั้นคำนวณหาขนาดตัวอย่าง จาก 47 โรงเรียนตามสัดส่วนของประชากรให้ได้กลุ่มตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็น แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ 0.91 และวิเคราะห์ ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดลำคับความสำคัญ ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีค่าเฉลี่ยโดยรวมของ ระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการสร้างความพอประมาณมีค่าเฉลี่ย สูงสุดซึ่งอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือด้านการบริหาร โดยใช้เหตุผลด้านการบริหารงานบนฐานความรู้ ด้านการบริหารงานที่ตั้งอยู่บนคุณธรรมและจริยธรรม และด้านการสร้างภูมิคุ้มกันซึ่งมีการปฏิบัติอยู่ใน ระดับมาก 2) ผู้บริหารและครูผู้สอนมีข้อเสนอแนะ แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงโดยมีความถี่มากเรียงตามลำดับ 3 อันดับคือ ควรมีการกำหนดวัตถุประสงค์เป้าหมาย และพันธกิจของสถานศึกษาให้ชัดเจน ควรกำหนดคุณลักษณะที่ใช้ควบคุมการบริหารสถานศึกษาและควร กำหนดวิธีการที่จะปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายการบริหารสถานศึกษาที่กำหนด ชลลดา ไชยธรรม (2564: 92-94) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 มี


83 วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 และเพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการใช้หลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง เพศ อายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เชียงราย เขต 3 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 438 คน แยกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 103 คน และ ครูในสถานศึกษา จำนวน 335 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ จำนวน 110 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้ออยู่ระ หว่าง 0.67-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับการ ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากและเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มี ค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการบริหารงานทั่วไป ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการบริหารงาน งบประมาณ 2) ข้อเสนอแนะการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารสถานศึกษาสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 พบว่า ด้านการบริหารงานทั่วไปการมีภูมิคุ้มกัน ที่ดีในตัวเป็นข้อเสนอแนะที่มีความถี่สูงสุด อารีมาน สะมะแอ และตรัยภูมินทร์ ตรีตรีศวร (2564: 151-152) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การบริหาร สถานศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนแกนนำสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษายะลา เขต 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนแกนนำสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 3 โดยจำแนกตามตำแหน่งประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษาตลอดจนรวบรวม ข้อเสนอแนะ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยข้าราชการครู พนักงานราชการครู จำนวน 12 โรงเรียน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง ของเครซี่ และ มอร์แกน (Krejcie & Mogan 1970 : 608) ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) ตามขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ได้ แบ่งเป็น ข้าราชการครู จำนวน 113 คน และ พนักงานราชการ จำนวน 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 3 ตอน วิเคราะห์ข้อมูล โคยใช้สถิติจำนวน และร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการศึกษาเกี่ยวกับค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของระดับการบริหารโรงเรียนตามหลักการใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ โรงเรียนแกนนำสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับปาน กลาง 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนแกน นำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 3 จำแนกตำแหน่ง ประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษา ภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนแกนนำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา


84 เขต 3 พบว่า ควรวางแผนการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบทุกด้าน รับฟังความคิดเห็นของเพื่อน ร่วมงาน บริหารจัดการสถานศึกษาโดยคำนึงถึงความต้องการของชุมชนและนักเรียนเป็นหลัก ศึกษาบุคคล อื่นและเข้าใจชุมชนอย่างลึกซึ้ง และให้โอกาสให้ผู้อื่นในการปฏิบัติงานเสมอ เป็นต้น ชุติกาญจน์ น้อยวงษ์ (2564: 154-156) ได้ศึกษาเรื่องรูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะผู้บริหาร สถานศึกษาสู่การเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้าน การศึกษา ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชัยภูมิ มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อ 1) ศึกษาความ ต้องการจำเป็นในการพัฒนาคุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษาสู่การเป็นผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์การเรียนรู้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชัยภูมิ2) พัฒนารูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษาสู่การเป็นผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์การเรียนรู้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชัยภูมิ และ 3) ประเมินรูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษาสู่การเป็นผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์การ เรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัด ชัยภูมิ เป็นการวิจัยแบบผสม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 248 คน โดยการกำหนด ขนาดโดยใช้ตารางเครซซี่และมอร์แกน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 10 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามที่มีลักษณะ เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยการวิเคราะห์ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า PNI และวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาคุณลักษณะ ผู้บริหารสถานศึกษาสู่การเป็นผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจการปฏิบัติตน และการนำไปใช้ การบริหารจัดการ การถ่ายทอดประสบการณ์ การขยายผล และการสร้างการยอมรับ 2. รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษาสู่การเป็นผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์การเรียนรู้ตาม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชัยภูมิ มีชื่อว่า CASET ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) วัตถุประสงค์2) หลักการของรูปแบบ 3) องค์ประกอบ หลักของรูปแบบ ประกอบด้วย (1) คุณลักษณะที่ต้องการ ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติตน และ การนำไปใช้ การบริหารจัดการการถ่ายทอดประสบการณ์ การขยายผล และการสร้างการยอมรับ (2) วิธีการพัฒนา ดังนี้ 2.1 อบรมในงาน ได้แก่ การโค้ช และการฝึกงาน 2.2 อบรมนอกงาน ได้แก่ การ สัมมนาการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และการศึกษาดูงาน 4) แนวทางการประเมินรูปแบบ และ 5) เงื่อนไขความสำเร็จ 3. ผลการประเมินรูปแบบ CASET พบว่า มีความเหมาะสมความเป็นไปได้และความ ถูกต้องอยู่ในระดับมาก จินตนาพร ศรีจันทร์ และสุนทร โคตรบรรเทา (2565: 103-104) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การบริหาร สถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตวาริน สำนักงาน


85 เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี-อำนาจเจริญ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและเปรียบเทียบ การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตวาริน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี-อำนาจเจริญ ประชากรเป็นครูของโรงเรียนในกลุ่ม สหวิทยาเขตวาริน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี-อำนาจเจริญ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 203 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ใน 5 ด้าน จำนวน 35 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 94 สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการศึกษาพบว่า 1. ครูมีความคิดเห็นต่อการบริหาร สถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของผู้บริหาร โรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตวาริน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี- อำนาจเจริญ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาแต่ละด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความมีเหตุผล รองลงมา คือด้านการมี ภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง ด้านความพอประมาณ และด้านเงื่อนไขคุณธรรมตามลำดับ 2. ครูที่มีประสบการณ์ ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ ผู้บริหาร โรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตวาริน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี- อำนาจเจริญ โดยรวมแตกต่างกัน 8.2 งานวิจัยต่างประเทศ Cheng. (1944 อ้างถึงใน ชุติกาญจน์ น้อยวงษ์, 2564: 82) ศึกษาเกี่ยวกับภาะผู้นำของครูใหญ่ที่ มีผลต่อการปฏิบัติงานของโรงเรียน โดยศึกษาโรงเรียนประถมศึกษา 190 แห่ง ของฮ่องกง พบว่า ภาวะ ผู้นำของครูใหญ่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานของโรงเรียนในรูปการปฏิบัติงานของครูและนักเรียน นอกจากนี้ภาวะผู้นำยังส่งผลอย่างสูงต่อประสิทธิผลต่อองค์กร วัฒนธรรมองค์กร ความสัมพันธ์ของครูใหญ่ และครู และการปฏิบัติงานของครูและนักเรียน Pressel. (1986 อ้างถึงใน ชุติกาญจน์ น้อยวงษ์, 2564: 81-82) ศึกษาเกี่ยวกับการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะด้านบุคลิกภาพ ซึ่งวัดองค์ประกอบบุคลิกภาพ 16 ด้าน โดยเครื่องมือ ของแคทเทล์กับสิ่งที่จำเป็นในการเป็นผู้นำ พบว่า ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน น้อยกว่าผู้บริหารโรงเรียนมัธยม ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจะให้ความอบอุ่นแก่เพื่อนร่วมงานได้ มากกว่าผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาโท ผู้บริหารที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจะยึดกลุ่มเป็นสำคัญ ขณะที่ผู้บริหารทั่วไปชอบการแสดงออกให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่เพื่อนร่วมงาน ฉลาดปรับตัวได้ดี รู้จักใช้ อำนาจมีจิตใจอ่อนโยน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนร่วม นอกจากนี้พบว่าผู้บริหารการศึกษามีลักษณะเป็น ผู้บริหาร และเป็นผู้กระตุ้นเพื่อนร่วมงานในการปฏิบัติงานได้มากกว่าผู้บริหารด้านอื่น ทอมพ์สัน. (1998 อ้างถึงใน ฉวีวรรณ ฉัตรวิไล, 2560: 65) ได้ศึกษาและสรุปผลการประเมิน สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาว่า การประเมินผู้บริหารสถานศึกษาดำเนินการได้ยาก เนื่องจากแต่ละ สถานศึกษามีความแตกต่างตามสภาพแวดล้อม บริบทของชุมชน สังคม จากผลการศึกษาเขาเสนอว่า การ


86 ประเมินสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาควรเป็นกระบวนการต่อเนื่องมากกว่า ใช้การรายงาน ผลการ ปฏิบัติงานประจำปีการศึกษา หรือการรายงานเหตุการณ์ กิจกรรมโครงการการประเมิน ควรมีการเก็บ รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย (multiple sources) และควรมีการแจ้งผลการประเมิน ให้ผู้บริหารทราบ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาวิชาชีพ Fair. (2001 อ้างถึงใน สุนันท์ศักดิ์ ชัยสมบูรณ์, 2556: 69) ได้ทำการวิจัยเรื่องพฤติกรรมของ ผู้บริหารสถานศึกษาประถมศึกษาที่มีประสิทธิผลตามการรับรู้ของผู้อำนวยการศึกษารัฐนิวเจอร์ซี่ พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาประถมศึกษาที่ดีมีประสิทธิผล คือ สามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้าง บรรยากาศที่ดีในสถานศึกษา สามารถเป็นผู้นำในชุมชน เพื่อสร้างวิชาชีพทางสังคม เป็นผู้นำในการ เปลี่ยนแปลง บริหารแบบมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด และมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับ หลักสูตรและการสอนตลอดจนการพัฒนาบุคลากร ตามความต้องการของแต่ละบุคคล Magnuson. (2001 อ้างถึงใน ชุติกาญจน์ น้อยวงษ์, 2564: 81) ศึกษาคุณลักษณะของผู้จัดการ โรงเรียนที่ประสบความสำเร็จโดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ อาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนีย โดยจำแนกคุณลักษณะผู้บริหารโรงเรียน เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ คุณลักษณะด้านอาชีพ และ คุณลักษณะส่วนตัว พบว่า ในส่วนของคุณลักษณะด้านวิชาชีพนั้น ประกอบด้วย คุณลักษณะที่สำคัญ คือ การมีความสามารถติดต่อและเข้ากับผู้อื่นได้ดี มีความรู้ในสาขาวิชาชีพตนถ่องแท้ สามารถมอบหมายงาน ได้เหมาะสม ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเป็นมิตร น่าเข้าใกล้ มีเวลาให้กับผู้ร่วมงาน มีความสนใจผู้อื่น สามารถวางแผนและจัดระบบงาน รับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น และใช้อำนาจของตนได้อย่างเหมาะสม และในส่วนของคุณลักษณะส่วนตัวนั้น ประกอบด้วย คุณลักษณะ ที่สำคัญ คือ การมีเหตุผล มีวิจารณญาณมีความยุติธรรม ซื่อสัตย์ มีความรอบรู้ เป็นผู้มีความจริงใจ ไม่ใช้ อารมณ์ เป็นมิตร อารมณ์ขันเปิดเผย มีความเสมอต้นเสมอปลาย และมีความเมตตา Calhoun. (2004 อ้างถึงใน เนตรนภา เจตน์จำนงค์, 2564: 43) ได้ทำการวิจัย เกี่ยวกับ ยุทธศาสตร์การใช้ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้อำนวยการในโรงเรียนรัฐบาลที่ประสบความสำเร็จใน การบูรณาการระบบเทคโนโลยี การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะระบุยุทธศาสตร์การใช้ภาวะผู้นำ การเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการบูรณาการระบบเทคโนโลยีตามความเข้าใจของ ผู้อำนวยการโรงเรียนรัฐบาลประจำอำเภอในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย นอกจากนี้ยังต้องการที่จะระบุระดับความ เข้าใจ และการเล็งเห็นถึง ความสำคัญของการใช้ระบบเทคโนโลยีของผู้อำนวยการอีกด้วย วิธีการ ดำเนินการวิจัย เริ่มจากการ ออกแบบสอบถามเพื่อทำการสำรวจผู้อำนวยการ จำนวน 16 โรงเรียนแล้ว สรุปคำตอบออกมาในรูปแบบการพรรณนา ต่อจากนั้นจึงทำการศึกษาในเชิงลึกโดยการใช้แบบสัมภาษณ์ กับผู้อำนวยการ จากจำนวน 6 โรงเรียน การออกแบบเครื่องมือในการวิจัยทั้ง 2 แบบนี้มีการกำหนด รูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงไว้ 7 อย่าง ได้แก่ วิสัยทัศน์ การกระจายวิสัยทัศน์ การกระจายความ เป็นผู้นำ การวางแผนกลยุทธ์หรือการคิดเชิงระบบ ความเข้าใจในกระบวนการเปลี่ยนแปลง การกล้าเสี่ยง หรือกล้าเผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการกระตุ้น การดลใจ การเป็นแบบอย่างและการนำผู้อื่น ซึ่ง


87 ผลการวิจัยพบว่า ผู้อำนวยการมีการใช้ยุทธศาสตร์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั้ง 7 อย่าง เพียงแต่อาจจะ มากน้อยไม่เท่ากัน ข้อค้นพบในเชิงลึกพบว่า วิสัยทัศน์ การกล้าเสี่ยงหรือการกล้าเผชิญกับสถานการณ์ ปัจจุบัน และการกระตุ้น การดลใจ การเป็นแบบอย่างและการนำผู้อื่น เป็น 3 กลยุทธ์ที่ผู้อำนวยการเห็น ว่าสำคัญมากและใช้บ่อยที่สุด นอกจากนี้ยังค้นพบอีกว่า ผู้อำนวยการทุกคนต่างตระหนักในทักษะหรือ ความสามารถในการใช้ระบบเทคโนโลยีเพียงแต่ไม่ต้องถึงกับจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเสียเอง และผลจาก การวิจัยพบว่าผู้อำนวยการส่วนใหญ่ สามารถใช้เทคโนโลยีระดับการรับส่งข้อมูลข่าวสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้เป็นอย่างดี Ailin and Lindgren. (2008 อ้างถึงใน อาริยา เจ๊ะยะหลี, 2563: 51) ศึกษาภาวะผู้นำด้าน นวัตกรรมที่สนับสนุนให้องค์การมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำด้าน นวัตกรรมต้องมีวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และกลยุทธ์ด้านนวัตกรรมและต้องส่งเสริมและเชื่อว่านวัตกรรมเป็น กลไกที่สำคัญที่ทำให้องค์การประสบความสำเร็จ ภาวะผู้นำด้านนวัตกรรมจะต้องมีพันธสัญญาที่มุ่งมั่นใน การริเริ่มการเป็นภาวะผู้นำด้านนวัตกรรม ซึ่งจะมุ่งเน้นสนับสนุนภาวะผู้นำในเชิงกลยุทธ์จากกิจกรรม นวัตกรรมขององค์การ มีบทบาทในระดับกลยุทธ์และระดับปฏิบัติการด้านนวัตกรรม มีเทคนิคในการ จัดการนวัตกรรม และการมีเครือข่ายและพันธมิตรด้านนวัตกรรม Julie and others. (2010 อ้างถึงใน ธนกฤต ต๊ะพรมมา, 2565: 172) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับ บทบาทของผู้บริหารในลักษณะการรับรู้ของนวัตกรรมในหมู่มหาชนของผู้บริหารโรงเรียน ผลการวิจัย พบว่า การปฏิรูปนวัตกรรมควรมีมากขึ้นระหว่างผู้บริหารในสาธารณะกว่าในอดีต ผู้บริหารควรให้ ความสำคัญของนวัตกรรมและการมีส่วนร่วมในนวัตกรรม ควรสร้างเครือข่ายประชาชนผู้ดูแลระบบ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะผู้ดูแลที่แตกต่างกันของการรับรู้ของนวัตกรรม ดังนี้ 1) การรับรู้ของผู้อื่น เป็นนวัตกรรม 2) ผู้อื่นรับรู้เป็นนวัดกรรม และ 3) ร่วมกันรับรู้กันเป็นนวัตกรรม Abesi and Esfandabadi. (2016 อ้างถึงใน ณิชมล ขวัญเมือง, 2564: 97) ได้ศึกษาเรื่อง Designing an EntreprencurialUniversity Model with the organizational entrepreneurship approach in Payam-e-Noor University ศึกษาเพื่อสร้างรูปแบบของมหาวิทยาลัยผู้ประกอบการด้วย แนวทางการประกอบการองค์กรศึกษาโดยใช้วิธีแบบผสม ซึ่งในส่วนของวิธีเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูล จากความคิดเห็นของนักวิชาการจำนวน 15 คน ในมหาวิทยาลัยปาแยมอีนอร์ (PNU) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย ในเตหะราน ประเทศอิหร่าน โดยการสุ่มแบบ snowball ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและคำถามปลายเปิด ส่วนวิธีเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกับนักวิชาการจำนวน 96 คน เป็นอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญของ มหาวิทยาลัยปาแยมอีนอร์ (PNU) พิจารณาจากคุณสมบัติของมหาวิทยาลัยผู้ประกอบการในประเด็น 1) คุณภาพบัณฑิต 2) สิ่งพิมพ์3) สังเกตจากทรัพยากรสำหรับกิจกรรมการวิจัย 4) การให้คำปรึกษา 5) หลักสูตรการฝึกอบรมทางด้านอุตสาหกรรม 6) สัญญาวิจัย 7) การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาโดย ได้รับสิทธิบัตรและใบอนุญาต 8) การสร้างบริษัทที่แยกตัวออกจากมหาวิทยาลัย 9) การสร้างสวน เทคโนโลยี ในขณะที่คุณสมบัติของผู้ประกอบการดูได้จาก 1) นวัตกรรม (Innovation) 2) การปรับปรุง


88 ใหม่ให้ดีขึ้น (Renovation) และ 3) การนำเสนอธุรกิจใหม่ (Introducing new business) ผลการวิจัย พบว่าตัวแปรต่าง ๆ เช่น เนื้อหาของหลักสูตร วัฒนธรรมองค์กร ผู้สำเร็จการศึกษา การบริหารในภาพรวม คุณลักษณะของนักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณลักษณะของอาจารย์และสิ่งพิมพ์มี ความสัมพันธ์ มีค่าเฉลี่ย สูงกว่า 1.9 ที่ระดับนัยสำคัญ 95%


บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษา รายงาน การขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Model ของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เพชรบุรีเขต 1 ผู้รายงานได้กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานไว้2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาการขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Model ของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1 ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาผลการขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Model ของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1 ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาการขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Model ของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1 ผู้รายงานได้ศึกษาพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 นโยบายของ กระทรวงศึกษาธิการ นโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน บริบทของสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรีเขต 1 ประกอบกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้กำหนดให้สถานศึกษามี การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาเข้ามาใช้ในสถานศึกษา ผู้รายงานจึงศึกษา การขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา เพื่อให้สถานศึกษา สามารถบริหารจัดการศึกษาในโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีหลักสูตรและการจัดการ เรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ผู้เรียนได้รับการพัฒนาตามหลักสูตรอย่างเหมาะสมและมีคุณภาพ รวมทั้ง บุคลากรในสถานศึกษาได้รับการพัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ โดยปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดสำคัญในการ ขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โดยใช้รูปแบบ LOTUS Model ซึ่งสอดคล้องกับสภาพและบริบทของโรงเรียนอนุบาลเพชรบุรีจำนวน 4 ด้าน 16 รายการ ดังนี้ 1. ด้านการบริหารจัดการศึกษา มีวิธีการดำเนินงาน 4 รายการ ดังนี้ 1.1 สถานศึกษามีการกำหนดนโยบายการบริหารงานอย่างชัดเจน 1.2 สถานศึกษามีการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการ บริหารจัดการศึกษา


90 1.3 สถานศึกษามีการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงอย่างเหมาะสม 1.4 สถานศึกษามีการเปิดโอกาสให้ชุมชน หน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมใน การบริหารจัดการศึกษา 2. ด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน มีวิธีการดำเนินงาน 4 รายการ ดังนี้ 2.1 สถานศึกษามีศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาที่ นำมาบูรณาการกับหลักสูตรสถานศึกษา 2.2 ครูผู้สอนมีแผนการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการประยุกต์ใช้ตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง 2.3 ครูผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และคำนึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน 2.4 ครูผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สื่อเทคโนโลยีอย่างหลากหลายและเหมาะสม กับผู้เรียน 3. ด้านการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มีวิธีการดำเนินงาน 4 รายการ ดังนี้ 3.1 สถานศึกษามีการประยุกต์ใช้และพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้จากการขับเคลื่อนศูนย์ การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียน 3.2 สถานศึกษาจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่สอดคล้องกับหลักวิชาการอย่างสมเหตุสมผล 3.3 สถานศึกษาจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนโดยส่งเสริมการเรียนรู้ควบคู่กับคุณธรรม 3.4 ผู้เรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพจนส่งผลให้ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย 4. ด้านการพัฒนาบุคลากร มีวิธีการดำเนินงาน 4 รายการ ดังนี้ 4.1 สถานศึกษาส่งเสริมให้ครูเข้ารับการพัฒนาวิชาชีพโดยเข้าร่วมการประชุมอบรม สัมมนา และศึกษาดูงานเกี่ยวกับศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา 4.2 ครูและบุคลากรมีการนำความรู้ที่ได้รับจากการประชุม อบรม สัมมนา และศึกษาดู งานมาพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับ บริบทบทของสถานศึกษา 4.3 ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้โดยบูรณาการและประยุกต์ใช้หลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4.4 ครูมีความรู้ความสามารถ ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน การศึกษาการขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ครั้งนี้ เพื่อให้สถานศึกษาสามารถบริหารจัดการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสำเร็จครอบคลุม


Click to View FlipBook Version