The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jintawat0731, 2021-05-19 04:12:43

เครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

แผนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

Keywords: 20105-2004

เนื้อหาสาระการสอน/การเรยี นรู้

• ดา้ นความรู้(ทฤษฎี)

12.1 ชนดิ ของสัญญาณไฟฟ้า
สัญญาณไฟฟ้ากับการทำงานทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่ิงคู่กัน ไม่สามารถแยกจากกันได้

เพราะในการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ เป็นการทำงานท่ีจำเป็นตอ้ งเก่ียวขอ้ งกบั ไฟฟ้า
และสัญญาณไฟฟ้าท้ังส้ิน ถ้าลองพิจารณาการทำงาน เร่ิมต้นจากการจ่ายแรงดันไฟฟ้าให้วงจรหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า
ชนดิ ต่างๆ ก็จะต้องเก่ียวข้องกับสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลบั คล่ืนไซน์ เมื่อมองเข้าไปในวงจรของอุปกรณ์ไฟฟา้ และ
อเิ ล็กทรอนิกส์ บางวงจรทำหนา้ ที่ให้กำเนิดสัญญาณไฟฟา้ กระแสสลับข้นึ มา เชน่ วงจรกำเนดิ ความถี่ (Oscillator)
วงจรกำเนิดสัญญาณพลั ส์ท่ีเรียกวา่ วงจรมลั ติไวเบรเตอร์ (Multivibrator) บางวงจรเกี่ยวข้องกบั การทำงานรว่ มกับ
สญั ญาณไฟฟา้ เชน่ วงจรขยาย (Amplifier) วงจรภาครับวิทยุ (RF Tuner) ตลอดจนการทำงานของวงจรบางส่วน
ถูกควบคมุ การทำงานดว้ ยสัญญาณไฟฟ้า เป็นตน้ รูปคลืน่ สัญญาณไฟฟ้าทถี่ ูกผลิตไปใชง้ านมดี ้วยกันหลายชนดิ

เคร่ืองกำเนิดสัญญาณ (Signal Generator) เป็นเครื่องมือวัดและเคร่ืองมือทดสอบชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่
เปน็ ตัวใหก้ ำเนดิ สญั ญาณไฟฟา้ ชนิดตา่ งๆ ข้นึ มา เช่น คลน่ื ไซน์ (Sine Wave)คล่ืนสามเหลย่ี ม (Triangular Wave)
คลน่ื ส่ีเหลีย่ มจตั รุ ัส (Square Wave) คลนื่ พัลส์ (PulseWave) และคลนื่ ฟันเลือ่ ย (Sawtooth Wave) เป็นตน้

คลนื่ สญั ญาณไฟฟ้าที่กำเนดิ ข้นึ มานต้ี อ้ งสามารถควบคมุ ได้ ท้งั การปรับแตง่ รปู คลื่น การปรบั แต่งความแรง
และการปรับแต่งความถี่ เพื่อใชเ้ ป็นสญั ญาณไฟฟา้ ส่งออกไปยังอปุ กรณไ์ ฟฟา้ และอปุ กรณ์อิเล็กทรอนกิ ส์ชนิดตา่ งๆ
เพ่ือตรวจสอบ ตรวจซ่อม ปรับแต่ง หรือวัดเปรียบเทียบค่าโดยถือว่าสัญญาณไฟฟ้าท่ีกำเนิดจากเคร่ืองกำเนิด
สัญญาณ เปน็ สัญญาณไฟฟ้ามาตรฐาน หรือสัญญาณไฟฟา้ อ้างองิ ในการนำไปใชง้ าน

เครื่องกำเนิดสัญญาณไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม ควรมีคุณสมบัติของการทำงาน และการใช้งานที่
เหมอื นกนั ดังน้ี

1. ความถที่ ี่ถูกผลิตขึน้ มาต้องมีความคงท่ี สามารถอา่ นค่าได้ชดั เจน
2. สญั ญาณไฟฟา้ ท่กี ำเนิดขึ้นมาตอ้ งไมผ่ ดิ เพย้ี น ไมม่ สี ัญญาณรบกวน
3. สามารถควบคุมความแรงของสัญญาณไฟฟ้าที่ผลิตข้ึนมาได้อย่างต่อเน่ืองสามารถนำเครื่องกำเนิด
สญั ญาณไปใช้ประโยชน์ไดม้ ากมาย เช่น ใชท้ ดสอบและปรับแตง่ เคร่ืองมือและอุปกรณ์ เป็นแหล่งกำเนดิ สัญญาณ
มาตรฐาน เป็นแหล่งกำเนิดสัญญาณอ้างอิงในการเปรียบเทียบ ใช้ทดลองภายในห้องปฏิบัติการ และใช้ในการ
ตรวจสอบอปุ กรณ์ เปน็ ตน้
เครื่องกำเนิดสัญญาณที่ถูกผลิตข้ึนมาใช้งานมีเรียกชื่อต่างกัน ตามค่าความถี่ และตามชนิดของ
สัญญาณไฟฟ้าท่ีกำเนดิ ข้ึนมา มดี ังนี้
1. เคร่ืองกำเนดิ ความถเี่ สียง (Audio Frequency Generator)
2. เครื่องกำเนิดความถีว่ ทิ ยุ (Radio Frequency Generator)
3. เครอ่ื งกำเนิดสญั ญาณพัลส์ (Pulse Generator)

4. เครื่องกำเนิดสัญญาณหลายชนิด (Function Generator)
5. เคร่อื งกำเนิดสัญญาณกวาด (Sweep Generator)
12.2 เครอื่ งกำเนดิ ความถี่เสยี ง
เครือ่ งกำเนิดความถี่เสียง หรือเรียกวา่ เครือ่ งกำเนิด AF (AF Generator) เปน็ เครอื่ งกำเนิดสัญญาณไฟฟ้า
ขึ้นมาในย่านความถี่เสียง หรือความถี่ต่ำ รูปสัญญาณท่ีถูกกำเนดิ ข้ึนมามี2 ชนิด คือ คล่ืนไซน์ และคล่ืนส่เี หลี่ยม
จัตรุ ัส ขนาดความถท่ี ่ีสามารถให้กำเนิดออกมาไดม้ คี ่าแตกตา่ งกันไป แล้วแต่ร่นุ ที่ผลติ ออกมา เช่น ประมาณ 5 Hz
ถงึ 500 kHz หรือประมาณ 10 Hz ถงึ 1 MHz สว่ นความแรงของสญั ญาณไฟฟ้าท่ีถกู กำเนิดขน้ึ มา มคี วามแตกต่าง
กันไปในแต่ละรุ่นแต่ละบริษทั และรปู สญั ญาณไฟฟ้าท่แี ตกต่างกนั กใ็ ห้ความแรงที่แตกต่างกัน เช่น ความถี่คล่นื ไซน์
มคี วามแรงสูงสุด 3.16 Vrms ความถ่ีคล่ืนสี่เหลี่ยมมีความแรงสูงสุด 5 Vpp ขณะไม่ต่อภาระทีข่ ้ัวจ่ายสัญญาณออก

(Output) ถ้าท่ีข้ัวจ่ายสัญญาณออกต่อภาระ 600 Ωความถี่คล่ืนไซน์มีความแรงสูงสุดเหลือเพียง 1.58 Vrms
ความถีค่ ล่ืนสเี่ หลีย่ มมีความแรงสูงสุดเหลอื เพียง 2.5 Vpp

ในบางรุ่น จะกำเนิดความถ่คี ล่ืนไซนม์ ีความแรงสูงสุดได้ถึง 7 Vrms ความถ่ีคลนื่ สี่เหลี่ยมมีความแรงสูงสุด

ได้ถึง 10 Vpp ขณะไม่ต่อภาระทข่ี ้ัวจา่ ยสัญญาณออก และเม่ือข้ัวจ่ายสัญญาณออกต่อภาระ 600 Ω ความถี่คลื่น
ไซน์มีความแรงสูงสุดเหลือเพียง 3.5 Vrms ความถี่คลื่นส่ีเหลี่ยมมีความแรงสูงสุดเหลือเพียง 5 Vpp เป็นต้น การ
เลอื กซอื้ เลอื กใช้ ควรดูคุณลักษณะเฉพาะของเครอื่ งแตล่ ะร่นุ ก่อน

การปรับแต่งความแรงที่จ่ายออกมา เป็นการปรับแต่งด้วยการลดทอนสัญญาณไฟฟ้าลงมาโดยบอกค่า
ความความแรงในรูปความดังเป็นเดซิเบล (Decibel : dB) เช่น –50 dB ถึง 0 dBหรือ –70 dB ถึง 10 dB การ
ปรับแตง่ ลดทอนถูกจัดเปน็ ขนั้ (Step) ประมาณ 3 ขัน้ ถึง 8 ข้นั แลว้ แต่รุ่น

เครื่องกำเนิดความถ่ีเสียงรูปที่ 12.2 (ก) เป็นการแสดงผลแบบแอนะลอก ความถี่ที่กำเนิดข้ึนมาถูกแบ่ง
ออกเป็นย่านประมาณ 5 ย่าน ความถ่ีแต่ละย่านเป็นการเพิ่มข้ึนแบบทวคี ูณความถี่เพราะสเกลหน้าปัดของเคร่ือง
บอกค่าความถี่ไว้เพียงสเกลเดียว การอ่านค่าใช้วิธีอ่านท่ีหน้าปัดสเกลที่ชี้บอก นำไปคูณกับย่านท่ีตั้งไว้ ก็จะได้
ความถี่ที่กำเนดิ ขึ้นมา

สว่ นรูปท่ี 12.2 (ข) เป็นการแสดงผลแบบดิจติ อล บอกค่าความถ่ีออกมาเป็นตวั เลขอ่านค่าไดโ้ ดยตรง ย่าน
วัดท่ีปรับเปล่ยี นไปจะกำหนดช่วงความถี่ท่ีกำเนิดข้ึนมาได้ ปรับย่านวัดให้ถูกตอ้ งและปรับความถตี่ ามต้องการ ก็
สามารถอ่านความถท่ี ี่กำเนิดขน้ึ มาได้

จากรูปที่ 12.3 แสดงบล็อกไดอะแกรมเคร่ืองกำเนิดความถี่เสียง ความถ่ีเสียงถูกกำเนิดขึ้นมาจากวงจร
กำเนดิ ความถีแ่ บบวนี บรดิ จ์ (Wien Bridge Oscillator) ประมาณ 10 Hz ถงึ 1 MHzในรูปคลนื่ ไซน์ ส่งไปใหส้ วติ ช์
เลือกรูปสัญญาณ ซึ่งเครื่องกำเนิดความถ่ีเสียงมีรูปสัญญาณกำเนิดข้ึนมา 2 ชนิด คือ คลื่นไซน์ ( ) และคล่ืน
ส่ีเหล่ียม ( ) หากต้องการคลื่นไซน์ปรับสวิตช์เลือกไปที่คล่ืนไซน์ ความถ่ีเสียงถูกส่งต่อไปวงจรควบคุมระดับ
เอาต์พุต หากต้องการคล่ืนส่ีเหล่ียมปรับสวิตช์เลือกไปท่ีคล่ืนส่เี หล่ียม คลื่นไซน์ถูกส่งไปวงจรเปล่ียนรูปคล่ืนเป็น
สเ่ี หลย่ี ม (Square WaveShaping) กอ่ นสง่ ออกไปวงจรควบคุมระดบั เอาตพ์ ตุ

วงจรควบคุมระดับเอาต์พุต (Output Level Control) สามารถปรบั เปล่ียนความแรงของสัญญาณเสียงที่

ส่งออกมาได้ โดยผู้ใชป้ รบั แต่งตามความต้องการ ส่งตอ่ ไปวงจรขยายเอาต์พุต(Output Amplifier) ให้มีความแรง
สญั ญาณในระดับหนึ่ง สง่ ตอ่ ไปวงจรปรับลดทอนความแรงเอาต์พุต (Output Attenuator) ปรับลดทอนความแรง
สญั ญาณเป็นลำดบั บอกค่าไว้เปน็ เดซิเบล(dB) ความแรงสัญญาณทีไ่ ดต้ ามต้องการถูกสง่ ออกเอาต์พุต

วงจรกำเนิดความถเี่ สยี งมักนิยมใช้วงจรกำเนิดความถ่ีแบบ RC (RC Oscillator) เพราะมีความสะดวกใน
การใช้งาน การกำหนดค่าความถี่ทำได้ง่าย ลักษณะวงจรที่ถูกสร้างมาใช้งานมีด้วยกันหลายแบบ เช่น แบบ RC
เฟสชิฟต์ (RC Phase Shift) แบบวนี บรดิ จ์ (Wien Bridge)และแบบทวินที (Twin – T) เปน็ ต้น
12.3 เครื่องกำเนิดความถ่วี ิทยุ

เครื่องกำเนิดความถีว่ ิทยุ หรอื เรียกว่าเครอ่ื งกำเนดิ RF (RF Generator) เปน็ เครอื่ งกำเนดิ สัญญาณขนึ้ มา
ในย่านความถ่ีวิทยุ มีย่านการกำเนิดความถ่ีกว้างมากประมาณ 30 kHzถึง 10 GHz ความถี่ที่กำเนิดขึ้นมาอยู่
ในช่วงใดขึ้นอยู่กับรนุ่ ชนิด และแบบของเครื่องท่ีผลิตมาใช้งาน ความแรงของสญั ญาณไฟฟ้าที่ถูกกำเนิดข้ึนมามี
ความแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น แต่ละย่ีห้อและแต่ละบริษัท แรงดันไฟฟ้าสูงสุดมีค่าประมาณ 2 Vrms สามารถ
ปรบั เปลีย่ นคา่ ได้อยา่ งต่อเน่อื งจากคา่ ตำ่ เปน็ ไมโครโวลต์ขนึ้ ไป

จากรปู ท่ี 12.4 แสดงเครื่องกำเนิดความถว่ี ิทยุทัง้ แบบแอนะลอกและแบบดิจิตอล สามารถกำเนิดความถี่
ได้ตั้งแต่ 100 kHz ถึง 240 MHz หรือมากกว่าน้ี ความถี่อาจถูกแบ่งออกเป็นย่านเช่น 6 ย่าน แสดงกำกับด้วย
อักษร A ถึง F หรือกำหนดด้วยช่วงปรับกำเนดิ ความถ่ีเปน็ ลำดับตวั อย่างความถ่ที ี่กำหนดไว้แต่ละย่านอาจแบง่ ได้
ดังน้ี

ยา่ น A 100 kHz – 320 kHz
ย่าน B 300 kHz – 1 MHz
ย่าน C 1 MHz – 3.5 MHz
ย่าน D 3 MHz – 11 MHz
ย่าน E 10 MHz – 35 MHz
ย่าน F 32 MHz – 150 MHz (หรือปรับเป็นค่าที่ความถ่ีฮาร์มอนิก จะได้ความถี่ออกมาเพ่ิมขึ้นเป็น 96
MHz – 450 MHz)
มีแรงดันออกเอาตพ์ ุตสูงสดุ ขณะไม่มีภาระประมาณ 0.1 Vrms มีความถี่เสียง 1 kHz กำเนิดขน้ึ มาภายใน
เครื่องกำเนดิ ความถีว่ ทิ ยุ เพ่ือใช้ผสมสัญญาณกับความถี่วทิ ยภุ ายในเคร่ือง การผสมความถี่ทั้งสองเข้าด้วยกนั เป็น
แบบ AM (Amplitude Modulation) ในบางรุ่นอาจผสมความถ่ีได้ทั้งแบบ AM และแบบ FM (Frequency
Modulation) เปอร์เซ็นต์การผสมความถี่ได้สงู สุด 30 %และปรับลดลงได้ หรืออาจป้อนความถี่เสียงจากภายนอก
เข้ามาผสมกับความถวี่ ทิ ยทุ ี่กำเนดิ ขน้ึ มากไ็ ด้ ความถเ่ี สียงควรอยใู่ นยา่ น 50 Hz ถงึ 20 kHz ความแรงไมน่ ้อยกว่า
1 Vrms
จากรูปที่ 12.5 แสดงบล็อกไดอะแกรมเครื่องกำเนิดความถ่ีวิทยุ เป็นเคร่ืองชนิดหลายแบนด์ท่ีมีความ
เสถียรภาพสูง ยา่ นความถถ่ี กู เลือกโดยตัวเลอื กแถบความถ่ี (Band Selector)ความถี่ท่แี น่นอนถกู เลือกดว้ ยตัวปรับ
เลือกความถี่ (Frequency Selector) ความถวี่ ิทยทุ ่กี ำเนดิ ขึน้ มามีความคงที่ ถกู กำหนดค่าด้วยวงจรกำเนดิ ความถ่ี

แบบ LC (LC Oscillator) ความถ่ีที่ได้ส่งต่อไปวงจรขยายแถบกวา้ ง (Broadband Amplifier) และส่งต่อไปวงจร
ปรบั ลดทอนความแรงเปน็ ลำดับ (Step Attenuator Network) ได้ความแรงตามตอ้ งการจึงส่งออกเอาต์พุต กรณี
ท่ตี ้องการผสมสัญญาณเสียงร่วมไปกับความถ่ีวิทยุก็จะมีวงจรกำเนิดความถี่ผสม (Modulation Oscillator)ร่วม
ทำงานด้วย ทำให้ได้สญั ญาณเสยี งผสมกับความถ่ีวทิ ยสุ ง่ ออกเอาต์พุต

ในวงจรกำเนิดความถี่ผสมจะถูกควบคุมด้วยความถี่ผสม และเปอร์เซ็นต์ผสมท่ีสามารถปรับเปล่ียนได้
อย่างตอ่ เนื่องสม่ำเสมอ ความถผี่ สมท่ีกำเนิดขน้ึ มามีทงั้ แบบผสมคล่ืนทางความแรง (AM) และแบบผสมคล่ืนทาง
ความถี่ (FM) นอกจากน้นั ยังนำความถ่ีผสมจากภายนอกเขา้ มาใช้ผสมได้ทงั้ แบบ AM, FM และพัลส์

ส่วนวงจรกำเนิดความถ่ีวิทยุ มักนิยมใช้วงจรกำเนิดความถี่แบบ LC ต่อวงจรแบบวงจรแทงค์ (Trank
Circuit) ชว่ ยให้ความถี่ที่กำเนิดข้ึนมามคี วามถกู ตอ้ งและคงที่ วงจรกำเนิดความถี่ท่ีนิยมใช้ในเครื่องกำเนิดความถ่ี
วทิ ยุเป็นแบบฮาร์ตเลย์ (Hartley) และแบบโคลปติ ต์ (Colpitts)เป็นตน้
12.4 เครอ่ื งกำเนิดสัญญาณพลั ส์

เคร่ืองกำเนดิ สัญญาณพัลส์ เป็นเครื่องกำเนิดรูปคลนื่ สีเ่ หลยี่ มมมุ ฉาก (RectangularWaveform) สามารถ
กำเนดิ ความถี่พัลส์ได้กวา้ งตง้ั แต่ความถ่ีตำ่ ประมาณ 0.25 Hz ถงึ 125 MHzหรอื มากกวา่ นี้ ความถ่พี ัลสท์ ี่ถูกกำเนิด
ข้ึนมาอยู่ในย่านใดข้ึนอยู่กับรนุ่ ชนดิ และแบบท่ีผลิตมาใชง้ าน ความแรงของสญั ญาณมีค่าประมาณ 0.2 VPP ถึง
20 VPP มีความแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น แต่ละแบบ และแต่ละยี่ห้อ อิมพีแดนซ์ที่เอาต์พุต (Output

Impedance) มีค่า 50 Ω
การกำเนดิ สัญญาณพัลส์ขึ้นมา มสี ว่ นสำคัญท่ีจะต้องปรบั แต่งได้ คือการปรบั ความกว้างของพลั ส์ (Pulse

Width) ปรับเวลาเกิดพัลส์ซ้ำ (Pulse Repetition Time) และปรับช่องว่างของพัลส์ (Pulse Spacing) ได้ การ

ปรับค่าต่างๆ เหล่าน้ีถูกบอกไว้ในรูปของเวลา เป็นไมโครวินาที(μs) มิลลิวินาที (ms) และวินาที (s) การ
ปรับเปลี่ยนค่าดงั กล่าวนม้ี ผี ลตอ่ การเปล่ียนแปลงของคา่ ดิวตไี ซเกลิ (Duty Cycle) ในสัญญาณพัลส์

ค่าดิวตีไซเกิลของพัลส์ คือค่าทบ่ี อกถงึ เวลาทเี่ กิดพัลส์เทียบกับเวลาท่ีเกิดพัลส์ซ้ำ โดยบอกค่าทไี่ ด้ออกมา
เป็นเปอร์เซ็นต์ (%) หาค่าได้จากการใชค้ ่าความกว้างพัลส์ หารด้วยเวลาที่เกิดพัลส์ซ้ำได้เท่าไรนำค่า 100 ไปคูณ
ค่าทีไ่ ด้ เขยี นเปน็ สมการไดด้ งั น้ี

ดวิ ตีไซเกิล (%) = ความกวา้ งพลั ส์ x100

การเกิดพลั สซ์ ้า .....(12-1)

ดิวตีไซเกิลของพัลส์ที่บอกไว้ จะเป็นตัวแสดงให้ทราบถึงช่วงเวลาที่เกิดพัลส์มีความกว้างพัลส์เป็น

อัตราส่วนมากน้อยเทียบกับช่องว่างพัลส์ ค่าดิวตีไซเกิลพัลส์น้อยบอกให้ทราบว่าช่วงเวลาเกิดพัลส์น้อย ช่วง

ช่องวา่ งพลั ส์มาก และค่าดวิ ตีไซเกลิ พลั สม์ ากบอกให้ทราบว่าช่วงเวลาเกิดพัลสม์ าก ช่วงช่องวา่ งพลั ส์นอ้ ย

จากรูปที่ 12.7 แสดงเคร่ืองกำเนิดสัญญาณพัลส์ รูปท่ี 12.7 (ก) เป็นชนิดปรับแต่งค่าแบบแอนะลอก

สามารถให้กำเนิดความถ่ไี ด้ตัง้ แต่ 0.1 Hz ถงึ 10 MHz มีช่วงเวลาพัลสต์ ้ังแต่ 100 nsถึง 10 s ถูกแบ่งออกเป็น 8

ยา่ นวัด คา่ ความแรงของพลั สจ์ ่ายออกมีค่าประมาณ 0.25 V ถึง 16 V

ส่วนรูปที่ 12.7 (ข) เป็นชนิดปรับแต่งค่าแบบดิจิตอล สามารถให้กำเนิดความถ่ีได้ต้ังแต่0.01 Hz ถึง 5
MHz มีช่วงเวลาพัลส์ต้ังแต่ 10 ns ถึง 1000 s การปรับแต่งกำหนดค่าใช้งานโดยการกดปุ่มกำหนดค่าได้ตาม
ตอ้ งการ ค่าความแรงของพลั สจ์ า่ ยออกมคี ่าประมาณ 1 V ถงึ 12 V

จากรูปที่ 12.8 แสดงบลอ็ กไดอะแกรมเครื่องกำเนดิ สญั ญาณพลั ส์ ความถ่ีคล่ืนสเ่ี หลี่ยมและคลนื่ พัลส์ถูก
กำเนิดข้นึ จากวงจรกำเนิดความถ่ี โดยความถีป่ รบั เปล่ียนคา่ ได้อยา่ งละเอยี ดความถที่ ่ีกำเนิดข้ึนมาสามารถควบคุม
สภาวะทำงานด้วยข้ัวกระตุ้นเกตอินพุตได้ 3 ตำแหน่ง คือกระตุ้นจากภายนอก (EXT. TRIG) ทำงานและหยุด
ทำงาน (START / STOP) หรือทำงานอิสระ(FREE RUN) ส่งต่อไปให้วงจรแบ่งความถี่ (Frequency Divider)
ปรับเปล่ียนย่านความถีไ่ ดเ้ ป็นลำดับ สง่ ต่อไปวงจรควบคุมความกว้างพัลส์สามารถปรับหยาบและปรับละเอยี ดได้
สง่ ตอ่ ไป2 วงจร คือส่งออกไปวงจรขยาย และกรองความถเี่ ปน็ พัลสเ์ อาต์พุตจ่ายออก หรอื ส่งไปยังวงจรกลับเฟส
(Inverter) กอ่ นส่งไปขยายและกรองความถเี่ ป็นพัลส์เอาต์พตุ จ่ายออก

สัญญาณจ่ายออกเอาต์พุตของเครื่องกำเนิดสัญญาณพัลส์มี 3 ตำแหน่ง ประกอบด้วยข้ัวพัลส์เอาต์พุต
(Pulse Output) เป็นขั้วสัญญาณพัลส์จ่ายออกที่มีการชดเชยสัญญาณ ข้ัวโอเพ็นโคลล์เอาต์พุต (Open Coll
Output) เป็นข้วั สัญญาณพัลส์จ่ายออกท่ีไมม่ ีการชดเชยสัญญาณ และขั้วทีทีแอลเอาตพ์ ุต (TTL Output) เป็นข้ัว
สญั ญาณพัลส์จ่ายที่ไมม่ กี ารชดเชยสญั ญาณใช้งานกับIC ประเภท TTL
12.5 เครื่องกำเนิดสญั ญาณหลายชนดิ

เครื่องกำเนิดสัญญาณหลายชนิด เป็นเครื่องกำเนิดที่สามารถผลิตรูปสัญญาณข้ึนมาได้หลายชนิด เช่น
คลื่นไซน์ คลื่นส่ีเหล่ียม คล่นื สามเหล่ียม คล่ืนฟันเล่ือย และคลื่นพัลส์ เป็นตน้ โดยสามารถกำเนิดความถี่ข้ึนมาได้
กว้างประมาณ 0.02 Hz ถึง 50 MHz ปรับความแรงได้สูงสุดประมาณ 30 VPP ย่านความถี่และค่าความแรง
สญั ญาณทก่ี ำเนดิ ข้ึนมา แตกตา่ งกนั ไปในแต่ละรุน่ แต่ละแบบ และแตล่ ะยห่ี ้อของเครื่อง

จากรูปที่ 12.9 แสดงเคร่ืองกำเนิดสัญญาณหลายชนิด รูปที่ 12.9 (ก) เป็นชนิดแสดงผลแบบแอนะลอก
การปรับเปลี่ยนความถี่แสดงผลด้วยสเกลบนหน้าปัดของเครื่อง ส่วนรปู ที่ 12.9 (ข)เป็นชนิดแสดงผลแบบดิจติ อล
การปรบั เปล่ยี นความถี่แสดงผลด้วยตัวเลขบนหน้าปัดของเครือ่ งสามารถให้กำเนิดความถ่ีขึน้ มาได้ตั้งแต่ 0.1 Hz
ถึง 20 MHz หรือมากกว่า แล้วแต่รุ่นที่ผลิตมาใช้งาน มีรูปสัญญาณให้เลือก 6 ชนิด คือ คล่ืนไซน์ คล่ืนสี่เหล่ียม

คล่ืนสามเหล่ียม คล่ืนฟนั เลือ่ ยคลืน่ พลั สบ์ วก และคลน่ื พลั สล์ บ ทขี่ ั้วต่อเอาต์พตุ มีเอาตพ์ ตุ อมิ พแี ดนซ์ 50 Ω
จากรูปที่ 12.10 แสดงบล็อกไดอะแกรมเคร่ืองกำเนิดสัญญาณหลายชนิด วงจรกำเนิดความถี่กำเนิด

ความถี่คล่ืนส่ีเหล่ียมขึ้นมาส่งออก 3 ทาง ทางหน่ึงส่งไปข้ัวต่อสวิตช์เลือกที่คล่ืนส่ีเหล่ียม ทางที่สองส่งไป
เปลี่ยนเป็นคล่ืนสามเหลี่ยม และทางที่สามส่งไปเข้าวงจรเปล่ียนเป็นสัญญาณพัลส์ TTL ทำเป็นสัญญาณ TTL
เอาตพ์ ุต

คลื่นไซน์ของวงจรกำเนิดขึ้นมาจากการเปล่ียนคลื่นสามเหลี่ยมเป็นคลื่นไซน์ สวิตช์เลือกรูปสัญญาณมี
สัญญาณให้เลอื กสง่ ออก 3 ตำแหน่ง คอื คลื่นส่ีเหล่ยี ม คลื่นสามเหลยี่ ม และคลืน่ ไซน์ ส่งต่อไปวงจรปรับความแรง
ปรับความแรงของคลื่นสัญญาณตามต้องการส่งต่อไปวงจรขยายสัญญาณเอาต์พุตขยายสัญญาณคลน่ื ใหแ้ รงคงที่

ระดับหน่งึ ส่งออกเอาต์พุตท่ี50 Ωท่ีวงจรขยายสัญญาณเอาต์พุตมีวงจรชดเชยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Offset) ร่วม

ทำงานด้วยช่วยให้การขยายสัญญาณมีความคงท่ี วงจรกำเนิดความถี่มีข้ัวอินพุต VCO ไวช้ ่วยควบคุมการกำเนิด
ความถ่ี ใชร้ ะดับแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงควบคุมระดบั ความถ่ที ่ีกำเนดิ ขน้ึ มา

เคร่ืองกำเนิดสัญญาณหลายชนิดรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันการกำเนิดความถี่ขึ้นมาใช้วิธีการซิงทิไซเซอร์
(Synthesizer) ให้ความสะดวกท้ังการปรับเปลี่ยนความถ่ีอย่างละเอียด และมีความเที่ยงตรงของความถ่ีท่ีถูก
กำเนดิ ขึน้ มาใช้งาน ตลอดจนชนิดรูปสัญญาณก็สามารถปรับเปล่ยี นเลอื กคา่ ได้อย่างหลากหลายเพมิ่ ข้นึ
12.6 เคร่อื งกำเนดิ สญั ญาณกวาด

เครื่องกำเนิดสัญญาณกวาด เป็นเครื่องกำเนิดสัญญาณความถี่ ที่ค่าความถ่ีกำเนิดขึ้นมาสามารถ
เปล่ียนแปลงไปได้อย่างสม่ำเสมอโดยอัตโนมัติ รูปสัญญาณท่ีกำเนิดข้ึนปกติเป็นคล่ืนไซน์แต่ในเคร่ืองกำเนิด
สัญญาณหลายชนิดบางรุ่นอาจเพ่ิมภาคกวาดสญั ญาณไว้ด้วย สามารถทำหนา้ ท่เี ป็นเครือ่ งกำเนิดสัญญาณกวาดได้
ด้วย โดยเรียกรวมกันว่าเครื่องกำเนิดสัญญาณกวาดหลายชนิด(Sweep Function Generator) ซึ่งจะให้กำเนิด
สัญญาณได้หลายชนิด เช่น คล่ืนไซน์ คล่ืนสี่เหล่ียมคล่ืนสามเหลี่ยม และคลื่นฟันเลื่อย เป็นต้น ท่ีสามารถกวาด
ความถไ่ี ดด้ ้วย

จากรูปท่ี 12.11 แสดงเครื่องกำเนิดสัญญาณกวาดหลายชนิด รูปท่ี 12.11 (ก) เป็นชนิดแสดงผลแบบ
แอนะลอก และรูปท่ี 12.11 (ข) เป็นชนิดแสดงผลแบบดิจติ อล สามารถให้กำเนิดความถี่ข้ึนมาไดต้ ้ังแต่ 2 Hz ถึง
300 MHz หรือมากกว่า แล้วแต่รุ่นท่ีผลิตมาใช้งาน มีลักษณะรูปคล่ืนสัญญาณให้เลือกใช้อย่างน้อย 3 ชนิด คือ
คล่ืนไซน์ คลื่นส่ีเหลี่ยม และคล่ืนสามเหลีย่ มเช่นเดียวกับเครื่องกำเนดิ สญั ญาณหลายชนิด ความแรงของสัญญาณ

สูงสุดประมาณ 20 Vpp ที่อิมพีแดนซ์เอาต์พุต 50 Ωการกวาดความถี่กวาดได้ท้ังแบบกวาดลักษณะเชิงเส้น
(Linear Sweep)และแบบกวาดลักษณะลอการิทึม (Logarithm Sweep) เวลาในการกวาดปรับเปลี่ยนได้
ตง้ั แต่0.5 วินาที ถงึ 30 วนิ าที มีแรงดันไฟฟ้ากวาดสูงสุด 10 V

ความถี่ท่ีกำเนิดขึ้นมาจากเครื่องกำเนิดสัญญาณกวาด จะเร่ิมต้นการกวาดท่ีความถ่ีต่ำไปหาความถี่สูง
ความถที่ ่ีกวาดเปล่ียนแปลงไปตามสัญญาณท่ีมาควบคุมการกวาด โดยใช้สัญญาณลาดเอยี ง (Ramp Wave) หรือ
สัญญาณฟันเล่ือยไปควบคุมการเปลี่ยนแปลงของความถ่ีคล่นื ไซน์ลักษณะสัญญาณควบคุมการกวาดและความถี่
กวาด

จากรูปท่ี 12.12 แสดงสัญญาณควบคุมการกวาดและความถ่ีกวาด วงจรกำเนิดความถี่ให้กำเนิดความถี่
คล่ืนไซน์ขึ้นมาเปล่ียนแปลงไปเป็นลำดับจากความถ่ีต่ำค่อยๆ เพิ่มไปหาความถ่ีสูง ตามระดับการเพ่ิมข้ึนของ
แรงดันไฟฟ้าสัญญาณฟันเลื่อยที่ค่อยๆ เพ่ิมข้ึน เม่ือสัญญาณฟันเลื่อยเริ่มคล่ืนลูกใหม่ ความถี่คลื่นไซน์ก็เร่ิมการ
กวาดใหมจ่ ากความถ่ีตำ่ ไปหาความถ่สี ูง เปน็ เชน่ นีต้ ลอดเวลา

จากรูปที่ 12.13 แสดงบล็อกไดอะแกรมเคร่อื งกำเนิดสัญญาณกวาดแบบเบ้ืองต้นในรูปบล็อกไดอะแกรม
วงจรกำเนิดสญั ญาณลาดเอยี ง ใหก้ ำเนดิ ระดับแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงมรี ะดบั แรงดันไฟฟ้าเปล่ียนแปลงจากคา่ ต่ำ
ไปหาคา่ สูงในลักษณะสัญญาณลาดเอียง ส่งไปควบคุมการกำเนิดความถี่ขึน้ มาของวงจรกำเนดิ ความถ่ีควบคมุ ด้วย
แรงดันไฟฟ้า ได้ความถ่ีคลื่นไซน์จ่ายออกเปลี่ยนแปลงตามระดับแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงลาดเอียงที่เกิดข้ึน ส่ง
ต่อไปปรบั แตง่ ระดับความแรงสญั ญาณ และขยายสญั ญาณก่อนส่งออกเอาตพ์ ุต

กรณีที่ความถ่กี วาดคลื่นไซน์ต้องการผสมเขา้ กับสญั ญาณความถ่วี ทิ ยุ (RF) ความถ่ีกวาดคลืน่ ไซน์จะสง่ ไป
ให้วงจรผสมสัญญาณ (Mixer) และวงจรกำเนิดความถี่วิทยุให้กำเนิดความถี่วิทยุคงที่ค่าหน่ึงขึ้นมาเป็นความถ่ี
พาหะป้อนไปให้วงจรผสมสัญญาณเช่นกัน วงจรผสมสัญญาณรับความถี่เข้ามา 2 ทาง ทำการผสมความถี่เข้า
ด้วยกนั ได้ความถ่ีสง่ ออกเป็นความถีก่ วาดทม่ี คี วามถวี่ ทิ ยเุ ปน็ พาหะ ส่งตอ่ ไปปรับแต่งระดบั ความแรงสัญญาณ และ
ขยายสญั ญาณกอ่ นส่งออกเอาตพ์ ตุ

• ด้านทักษะ+ด้านจิตพิสยั (ปฏบิ ัต+ิ ด้านจิตพิสยั ) (จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมข้อที่ 2-3)

1. แบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ 12
2. ใบปฏิบัตงิ าน 12.1 การใช้ออสซิลโลสโคปวัดแรงดนั ไฟฟา้ กระแสตรง
3. ใบปฏิบัติงาน 12.2 การใชอ้ อสซิลโลสโคปวัดแรงดันไฟฟา้ กระแสสลับ
4. ใบปฏิบตั ิงาน 12.3 การใช้ออสซลิ โลสโคปวดั เวลาและความถ่ี

• ดา้ นคุณธรรม/จรยิ ธรรม/จรรยาบรรณ/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง

(จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 4)
1. นำเคร่ืองกำเนดิ สัญญาณแตล่ ะชนิดไปใช้งานอย่างรอบคอบได้

กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรยี นรู้

ข้นั ตอนการสอนหรอื กจิ กรรมของครู ขนั้ ตอนการเรยี นร้หู รือกจิ กรรมของนักเรยี น

1. ขัน้ นำเขา้ สู่บทเรยี น ( 15 นาที ) 1. ข้นั นำเขา้ สู่บทเรยี น ( 15 นาที )

1. ผสู้ อนตั้งคำถามว่า เครื่องกำเนิดสัญญาณมีกี่ 1. ผู้เรียนช่วยกันตอบคำถามตามความเข้าใจ ของ

ชนดิ อะไรบ้างพรอ้ มอธิบายเหตุผลประกอบ แตล่ ะคน

2. ผู้สอนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของหน่วยที่ 2. ผู้เรียนทำความเข้าใจเก่ียวกับจุดประสงค์การ

12 เรื่อง เครื่องกำเนดิ สญั ญาณ เรยี นหนว่ ยที่ 12 เรื่อง เอส ซี อาร์ (SCR)

3. ผู้ ส อ น ใ ห้ ผู้ เ รี ย น อ ธิ บ า ย ช นิ ด ข อ ง 3. ผเู้ รียนอธิบายชนิดของสัญญาณไฟฟ้า

สญั ญาณไฟฟา้

2. ขัน้ ให้ความรู้ ( 90 นาที ) 2. ข้ันให้ความรู้ ( 90 นาที )

1. ผู้สอนให้ผู้เรียนเปิด PowerPoint หน่วยท่ี 1. ผู้เรียนเปิด PowerPoint หน่วยที่ 12 เร่ือง
12 เรื่อง เครือ่ งกำเนิดสัญญาณและให้ผู้เรียนศึกษา เอ ส ซี อาร์ (SCR)แ ละให้ ผู้เรีย น ศึ ก ษ าเอ ก สาร
เอกสารประกอบการสอน วิชา เคร่ืองมอื วัดไฟฟา้ และ ประกอบการสอน วชิ า อปุ กรณ์อิเล็กทรอนกิ สแ์ ละวงจร
อิเล็กทรอนิกส์ หน้าท่ี 244-256 โดยผู้สอนสอนทีละ หน้าที่ 146-150 โดยผสู้ อนสอนทลี ะหนา้
หนา้

2. ผู้สอนอธิบายความรู้เพ่ิมเติม และให้ผู้เรียน 2. ผู้เรียนฟังคำอธิบายและช่วยกันตรวจสภาพ
ช่วยกนั สาธิตการใชเ้ ครื่องกำเนิดสัญญาณชนดิ ต่างๆ ของเอสซอี ารด์ ้วยโอหม์ มเิ ตอร์

3. ผู้สอนเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนถามปัญหา และ 3. ผเู้ รยี นซกั ถามข้อสงสยั ทเี่ กิดข้นึ
ขอ้ สงสัยจากเน้ือหา โดยครูเป็นผู้ตอบปัญหาท่ีเกิดขึ้น

ระหวา่ งการเรียนการสอน

3. ขัน้ ประยุกตใ์ ช้ (150 นาที ) 3. ขัน้ ประยกุ ต์ใช้( 150 นาที )

1. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำใบปฏิบัติงาน 12.1 การ 1. ผู้ เรี ย น ท ำใบ ป ฏิ บั ติ งาน 1 2 .1 ก า รใช้
ใช้ออสซิลโลสโคปวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง หน้า ออสซิลโลสโคปวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง หน้า 259-
259-261
261
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำใบปฏิบัติงาน 12.2 การ 2. ผู้เรีย น ท ำใบ ป ฏิ บั ติ งาน 1 2.2 ก ารใช้
ใช้ออสซิลโลสโคปวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ หน้า ออสซิลโลสโคปวัดแรงดันไฟฟา้ กระแสสลับ หน้า 262-
262-265
265
3. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำใบปฏิบัติงาน 12.3 การ 3. ผู้เรีย น ท ำใบ ป ฏิ บั ติ งาน 1 2.3 ก ารใช้
ใช้ออสซิลโลสโคปวดั เวลาและความถี่ หนา้ 266-269 ออสซลิ โลสโคปวดั เวลาและความถี่ หนา้ 266-269

กจิ กรรมการเรยี นการสอนหรือการเรียนรู้

ข้ันตอนการสอนหรือกิจกรรมของครู ขั้นตอนการเรียนร้หู รือกิจกรรมของนกั เรยี น

4. ผสู้ อนให้ผู้เรยี นสืบคน้ ขอ้ มูลจากอนิ เทอร์เน็ต

4. ขัน้ สรปุ และประเมินผล ( 45 นาที ) 4. ขัน้ สรุปและประเมนิ ผล ( 45 นาที )

1. ผู้สอนและผูเ้ รียนรว่ มกันสรุปเนอ้ื หาท่ีได้เรียนให้ 1. ผู้เรยี นร่วมกันสรปุ เน้อื หาทีไ่ ดเ้ รียนให้มคี วาม

มีความเขา้ ใจในทศิ ทางเดยี วกนั เข้าใจในทิศทางเดียวกัน

2. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดหน่วยที่ 12 2. ผูเ้ รียนแบบฝึกหดั หน่วยท่ี 12หน้าที่ 257-258

หน้าที่ 257-258

1. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเพ่ิมเติมนอกห้องเรียน 3. ผู้เรียนศึกษ าเพิ่มเติมนอกห้องเรียน ด้วย

ด้วย PowerPoint ที่จดั ทำขึ้น PowerPoint ทจ่ี ัดทำข้ึน

(บรรลุจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรมขอ้ ที่ 1-4) (บรรลุจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-4)

(รวม 240 นาที หรอื 4 คาบเรียน)

งานที่มอบหมายหรือกิจกรรมการวัดผลและประเมนิ ผล

ก่อนเรยี น

1. จดั เตรียมเอกสาร ส่ือการเรียนการสอนหน่วยที่ 12
2. ทำความเข้าใจเก่ียวกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นของหน่วยที่ 12 และใหค้ วามรว่ มมอื ในการทำกิจกรรมใน

หน่วยท่ี 12

ขณะเรียน

1. ทำใบปฏิบตั งิ าน 12.1 การใช้ออสซิลโลสโคปวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง
2. ทำใบปฏิบตั งิ าน 12.2 การใช้ออสซลิ โลสโคปวัดแรงดันไฟฟา้ กระแสสลบั
3. ทำใบปฏิบตั ิงาน 12.3 การใชอ้ อสซลิ โลสโคปวดั เวลาและความถี่
4. ร่วมกนั สรุป “เครอื่ งกำเนดิ สัญญาณ”

• หลังเรยี น

1. สรุปเนอื้ หา
2. ทำแบบฝกึ หดั หน่วยที่ 12

ผลงาน/ชนิ้ งาน/ความสำเร็จของผูเ้ รียน

ใบปฏิบตั ิงาน 12.1, แบบฝกึ หัดหนว่ ยท่ี 12

ส่ือการเรยี นการสอน/การเรยี นรู้

ส่อื สง่ิ พิมพ์
1. เอ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส อ น วิ ช า เ ค ร่ื อ ง มื อ วั ด ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์
(ใช้ประกอบการเรยี นการสอนจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมข้อท่ี 1-4)
2. ใบความรู้ท่ี 12 เคร่ืองกำเนิดสัญญาณ(ใช้ประกอบการเรียนการสอนขั้นให้ความรู้ เพื่อให้บรรลุ
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ข้อที่ 1-4)
3. ใบปฏิบตั ิงาน 12.1 การใชอ้ อสซลิ โลสโคปวดั แรงดันไฟฟา้ กระแสตรง ข้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ข้อ 1
4. ใบปฏบิ ตั ิงาน 12.2 การใช้ออสซิลโลสโคปวัดแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลบั ขนั้ ประยกุ ตใ์ ช้ ข้อ 2
5. ใบปฏิบัตงิ าน 12.3 การใชอ้ อสซลิ โลสโคปวดั เวลาและความถ่ี ขน้ั ประยกุ ต์ใช้ ขอ้ 3
6. แบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี 12 สรปุ และประเมินผล ข้อ 2
7. แบบประเมนิ ผลงานตามใบงาน ใชป้ ระกอบการสอนข้ันประยุกตใ์ ช้ ขอ้ 1
8. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทำงาน ใช้ประกอบการสอนขัน้ ประยกุ ต์ใช้ ขัน้ สรปุ และประเมินผล

สื่อโสตทัศน์ (ถา้ ม)ี
1. เครอื่ งไมโครคอมพิวเตอร์
2. PowerPoint เรอ่ื ง เครอื่ งกำเนดิ สัญญาณ

สอ่ื ของจริง
เครอ่ื งกำเนิดสัญญาณ (ใชป้ ระกอบการเรยี นการสอนจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมขอ้ ท่ี 1-4)

แหลง่ การเรียนรู้

ในสถานศกึ ษา
1. ห้องสมุดวทิ ยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร
2. ห้องปฏบิ ตั กิ ารคอมพิวเตอร์ ศึกษาหาขอ้ มลู ทางอนิ เทอรเ์ นต็

นอกสถานศึกษา
ผูป้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่ินจังหวัดสมทุ รสาคร

การบูรณาการ/ความสัมพันธ์กบั วิชาอ่นื

1. บูรณาการกับวชิ าอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์เบือ้ งตน้
2. บูรณาการกับวิชาวงจรไฟฟ้าเบ้ืองต้น
3. บูรณาการกบั วชิ าเคร่ืองวัดไฟฟ้า

การประเมินผลการเรียนรู้
• หลักการประเมนิ ผลการเรียนรู้

ก่อนเรยี น
ความรูเ้ บ้ืองต้นก่อนการเรยี นการสอน

ขณะเรียน
1. ตรวจใบปฏบิ ตั งิ าน 12.1 การใชอ้ อสซิลโลสโคปวดั แรงดนั ไฟฟา้ กระแสตรง
2. ตรวจใบปฏบิ ัติงาน 12.2 การใช้ออสซิลโลสโคปวดั แรงดันไฟฟา้ กระแสสลับ
3. ตรวจใบปฏิบัตงิ าน 12.3 การใช้ออสซิลโลสโคปวดั เวลาและความถี่
4. สังเกตการทำงาน

หลงั เรยี น
1. ตรวจแบบทดสอบบทที่ 12

คำถาม

1. จงอธิบายชนดิ ของสัญญาณไฟฟ้า
2. การใช้เครื่องกำเนิดสัญญาณชนิดตา่ งๆ ใช้อยา่ งไร
3. เทคนคิ การเลอื กใชเ้ ครอื่ งกำเนดิ สญั ญาณ คอื

ผลงาน/ชิ้นงาน/ผลสำเรจ็ ของผเู้ รียน

ใบปฏบิ ัตงิ าน 12, แบบทดสอบบทที่ 12

สมรรถนะทพ่ี ึงประสงค์

ผ้เู รียนสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั เครอื่ งกำเนดิ สัญญาณ
1. วเิ คราะหแ์ ละตคี วามหมาย
2. ตงั้ คำถาม
3. อภิปรายแสดงความคดิ เหน็ ระดมสมอง
4. การประยกุ ต์ความรู้ส่งู านอาชพี

สมรรถนะการปฏิบตั ิงานอาชพี

1. ใช้เครื่องกำเนิดสัญญาณในการทำงาน

สมรรถนะการขยายผล

ความสอดคลอ้ ง
จากการเรียน เรื่อง เครื่องกำเนดิ สญั ญาณ ทำใหผ้ ู้เรียนเข้าใจเครื่องกำเนิดสัญญาณ ซึ่งเป็นเครื่องวัด
ไฟฟ้าชนิดหน่ึง ทำหน้าที่เป็นตัวให้กำเนิดสัญญาณไฟฟ้าหลายชนิดขึ้นมา เครื่องกำเนิดสัญญาณท่ีดีควรมี
คุณสมบัติดังน้ี ความถ่ที ่ผี ลติ ขน้ึ มาต้องมีความคงที่ อ่านค่าออกมาได้ สญั ญาณทก่ี ำเนิดข้นึ มาต้องไม่ผดิ เพี้ยน ไม่มี
สญั ญาณรบกวน และสามารถควบคุมความแรงของสัญญาณที่ผลิตขนึ้ มาได้อย่างตอ่ เน่ือง มีประโยชน์ใช้งานได้
หลายชนิด ถูกนำไปใช้งานอย่างแพรห่ ลาย เคร่ืองกำเนิดสัญญาณท่ีถูกผลิตขึ้นมาใช้งาน ถูกเรียกชือ่ เคร่ืองตาม
ค่าความถี่ และชนดิ ของสัญญาณท่กี ำเนดิ ขึ้นมา

รายละเอียดการประเมินผลการเรยี นรู้

• จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ขอ้ ท่ี 1 อธิบายชนิดของสัญญาณไฟฟา้ ได้

1. วธิ กี ารประเมิน : ทดสอบ

2. เครือ่ งมอื : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : อธิบายชนิดของสญั ญาณไฟฟา้ ได้ จะได้ 1 คะแนน

• จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ขอ้ ที่ 2 สาธติ การใช้เครอื่ งกำเนดิ สญั ญาณชนิดต่างๆ ได้

1. วธิ กี ารประเมิน : ทดสอบ

2. เครอ่ื งมอื : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : สาธติ การใช้เครือ่ งกำเนดิ สญั ญาณชนดิ ตา่ งๆ ได้ จะได้ 5 คะแนน

• จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ข้อที่ 3 เลอื กใชเ้ ครือ่ งกำเนดิ สญั ญาณได้

1. วิธกี ารประเมิน : ทดสอบ

2. เคร่ืองมอื : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารให้คะแนน : เลอื กใชเ้ ครอ่ื งกำเนดิ สญั ญาณได้ จะได้ 1 คะแนน

• จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ข้อที่ 4 นำเคร่ืองกำเนิดสัญญาณแตล่ ะชนดิ ไปใชง้ านอยา่ งรอบคอบได้

1. วิธกี ารประเมิน : ทดสอบ

2. เคร่อื งมือ : แบบทดสอบ

3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : นำเครอื่ งกำเนดิ สญั ญาณแต่ละชนดิ ไปใช้งานอยา่ งรอบคอบได้ จะได้

3 คะแนน

แบบประเมินผลการนำเสนอผลงาน
ช่อื กลุ่ม……………………………………………ชน้ั ………………………หอ้ ง...........................

รายชอื่ สมาชิก

1……………………………………เลขที่……. 2……………………………………เลขท่ี…….

3……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขที่…….

ที่ รายการประเมนิ คะแนน ขอ้ คดิ เหน็

32 1

1 เน้ือหาสาระครอบคลุมชัดเจน (ความรู้เกย่ี วกับเนอ้ื หา ความถูกต้อง

ปฏภิ าณในการตอบ และการแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหนา้ )

2 รูปแบบการนำเสนอ

3 การมีสว่ นร่วมของสมาชกิ ในกลุ่ม

4 บคุ ลิกลกั ษณะ กิรยิ า ทา่ ทางในการพูด น้ำเสียง ซึ่งทำใหผ้ ู้ฟงั มีความ

สนใจ

รวม

ผปู้ ระเมนิ …………………………………………………
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
1. เนอ้ื หาสาระครอบคลุมชดั เจนถูกต้อง

3 คะแนน = มีสาระสำคญั ครบถว้ นถกู ตอ้ ง ตรงตามจดุ ประสงค์
2 คะแนน = สาระสำคญั ไม่ครบถว้ น แตต่ รงตามจดุ ประสงค์
1 คะแนน = สาระสำคญั ไม่ถกู ต้อง ไมต่ รงตามจุดประสงค์
2. รูปแบบการนำเสนอ
3 คะแนน = มรี ูปแบบการนำเสนอทเ่ี หมาะสม มกี ารใชเ้ ทคนคิ ที่แปลกใหม่ ใชส้ อ่ื และเทคโนโลยี

ประกอบการ นำเสนอทีน่ า่ สนใจ นำวัสดุในท้องถ่ินมาประยุกต์ใช้อย่างคมุ้ คา่ และประหยัด
2 คะแนน = มีเทคนิคการนำเสนอท่ีแปลกใหม่ ใช้สอื่ และเทคโนโลยปี ระกอบการนำเสนอทน่ี ่าสน ใจ แต่

ขาดการประยุกตใ์ ช้ วสั ดใุ นท้องถ่นิ
1 คะแนน = เทคนิคการนำเสนอไม่เหมาะสม และไม่น่าสนใจ
3. การมสี ่วนร่วมของสมาชกิ ในกล่มุ
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมบี ทบาทและมีส่วนรว่ มกิจกรรมกลมุ่
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มบี ทบาทและมีสว่ นร่วมกิจกรรมกล่มุ
1 คะแนน = สมาชิกส่วนน้อยมีบทบาทและมสี ว่ นรว่ มกิจกรรมกลมุ่
4. ความสนใจของผูฟ้ ัง
3 คะแนน = ผ้ฟู ังมากกว่าร้อยละ 90 สนใจ และให้ความรว่ มมือ
2 คะแนน = ผู้ฟังร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามรว่ มมือ
1 คะแนน = ผู้ฟงั น้อยกวา่ รอ้ ยละ 70 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื

แบบประเมนิ กระบวนการทำงาน

ชือ่ กลุม่ ……………………………………………ชน้ั ………………………หอ้ ง...........................

รายช่อื สมาชกิ 2……………………………………เลขท่ี…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท…่ี ….
3……………………………………เลขท…ี่ ….

ที่ รายการประเมิน คะแนน ข้อคดิ เหน็

1 การกำหนดเป้าหมายรว่ มกนั 321
2 การแบ่งหน้าท่ีรับผิดชอบและการเตรียมความพรอ้ ม
3 การปฏิบตั ิหน้าท่ที ไี่ ดร้ บั มอบหมาย
4 การประเมินผลและปรับปรุงงาน

รวม

ผปู้ ระเมนิ …………………………………………………
วนั ท่ี…………เดอื น……………………..พ.ศ…………...

เกณฑ์การใหค้ ะแนน

1. การกำหนดเปา้ หมายรว่ มกนั
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมสี ่วนรว่ มในการกำหนดเปา้ หมายการทำงานอย่างชัดเจน
2 คะแนน = สมาชกิ ส่วนใหญม่ สี ว่ นร่วมในการกำหนดเปา้ หมายในการทำงาน
1 คะแนน = สมาชกิ ส่วนนอ้ ยมีสว่ นรว่ มในการกำหนดเป้าหมายในการทำงาน

2. การมอบหมายหนา้ ทร่ี ับผิดชอบและการเตรียมความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานได้ทั่วถงึ และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มกี ารจัดเตรยี มสถานที่ สือ่ /
อปุ กรณ์ไวอ้ ยา่ งพรอ้ มเพรยี ง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง แตไ่ มต่ รงตามความสามารถ และมสี อื่ / อุปกรณไ์ ว้อยา่ งพรอ้ มเพรียง แตข่ าด
การจดั เตรยี มสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทั่วถึงและมีสื่อ / อปุ กรณไ์ มเ่ พียงพอ

3. การปฏบิ ตั หิ น้าท่ีทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
3 คะแนน = ทำงานไดส้ ำเรจ็ ตามเปา้ หมาย และตามเวลาท่กี ำหนด
2 คะแนน = ทำงานไดส้ ำเร็จตามเป้าหมาย แต่ชา้ กวา่ เวลาที่กำหนด
1 คะแนน = ทำงานไมส่ ำเร็จตามเปา้ หมาย

4. การประเมินผลและปรบั ปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนร่วมปรกึ ษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรบั ปรุงงานเปน็ ระยะ
2 คะแนน = สมาชกิ บางสว่ นมสี ่วนร่วมปรึกษาหารอื แต่ไมป่ รบั ปรงุ งาน
1 คะแนน = สมาชกิ บางสว่ นมีส่วนรว่ มไม่มีสว่ นรว่ มปรกึ ษาหารอื และปรับปรงุ งาน

บันทึกหลังการสอน

บทที่ 12 เครื่องกำเนิดสญั ญาณ

ผลการใช้แผนการสอน

1. เนือ้ หาสอดคลอ้ งกับจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
2. สามารถนำไปใช้ปฏิบัตกิ ารสอนไดค้ รบตามกระบวนการเรียนการสอน
3. สื่อการสอนเหมาะสมดี

ผลการเรียนของนักเรียน

1. นักศกึ ษาบางคนยังไมค่ นุ้ กับระบบดจิ ิตอล ครูตอ้ งอธบิ าย และแนะนำเพิ่มเตมิ อยา่ งใกลช้ ดิ
2. นักศกึ ษาสว่ นใหญ่ใหค้ วามสนใจ และตืน่ เต้นกับอุปกรณ์ของจริงท่ีนำมาใหศ้ ึกษา
3. นักศึกษาสาธิตการใช้เคร่อื งกำเนิดสญั ญาณชนิดต่างๆ ได้

ผลการสอนของครู

1. ตอ้ งปรับเรื่องเวลาในส่วนของขัน้ ใหค้ วามรเู้ พิม่ ขนึ้
2. สอนทนั ตามเวลาที่กำหนด


Click to View FlipBook Version