สมรรถนะอาชีพประจำหน่วย
- เลอื กใช้มาตรวดั กำลังไฟฟ้า
คำศพั ทส์ ำคญั
1. กำลงั ไฟฟา้ เป็นวัตต์ (W) คอื อัตราของงานที่ถูกกระทำในวงจร ซ่งึ เกดิ กระแสไฟฟ้าไหลเป็นแอมแปร์ (A)
เมื่อมีแรงดนั ไฟฟ้าถูกจ่ายให้วงจรเป็นโวลต์ (V) น่นั คือกำลังไฟฟ้าสามารถหาค่าไดจ้ ากการคำนวณในรูปแรงดันไฟฟ้า
กบั กระแสไฟฟ้า
จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้
• จดุ ประสงคท์ ั่วไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง
1. เพ่อื ใหม้ ีความรู้เกย่ี วกบั การอธบิ ายกำลังไฟฟา้ (ดา้ นความร)ู้
2. เพ่อื ใหม้ ีความรู้เกยี่ วกับการบรรยายวารม์ ิเตอร์ (ด้านความรู้)
3. เพ่ือให้มีความรูเ้ กีย่ วกบั การทดลองต่อใชง้ านวตั ตม์ เิ ตอร์ (ดา้ นทกั ษะ)
4. เพือ่ ใหม้ คี วามรเู้ ก่ยี วกบั การฝึกวัดและอา่ นคา่ กำลงั ไฟฟา้ (ดา้ นทกั ษะ)
5. เพื่อให้มีความรูเ้ กยี่ วกบั การชแี้ จงวตั ต์มเิ ตอร์ (ดา้ นจติ พิสัย)
6. เพื่อใหม้ คี วามรเู้ กย่ี วกับการตดิ ตามเพาเวอรแ์ ฟกเตอร์มเิ ตอร์ (ด้านจิตพสิ ยั )
7. เพอื่ ให้มคี วามรู้เกย่ี วกับการยอมรับวัตตอ์ าวร์มเิ ตอร์ (ด้านจติ พิสยั )
8. เพื่อเลอื กมาตรวดั กำลงั ไฟฟา้ แต่ชนดิ ไปใช้งานอยา่ งเหมาะสม (ด้านดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการ
เศรษฐกจิ พอเพียง)
• จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. อธิบายกำลังไฟฟ้าได้ (ดา้ นความร)ู้
2. บรรยายวารม์ เิ ตอร์ได้ (ดา้ นความร)ู้
3. ทดลองตอ่ ใช้งานวัตต์มิเตอรไ์ ด้ (ด้านทกั ษะ)
4. ฝกึ วัดและอ่านค่ากำลงั ไฟฟ้าได้ (ด้านทักษะ)
5. ชแี้ จงวตั ตม์ เิ ตอร์ได้ (ด้านจิตพสิ ยั )
6. ติดตามเพาเวอร์แฟกเตอรม์ เิ ตอรไ์ ด้ (ด้านจติ พิสัย)
7. ยอมรบั วตั ตอ์ าวร์มิเตอรไ์ ด้ (ดา้ นจิตพิสยั )
8. เลือกมาตรวัดกำลังไฟฟา้ แต่ชนิดไปใช้งานอยา่ งเหมาะสม (ด้านดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณาการ
เศรษฐกิจพอเพยี ง)
เน้ือหาสาระการสอน/การเรยี นรู้
• ด้านความรู้(ทฤษฎี)
10.1 กำลังไฟฟ้า
กำลงั ไฟฟ้า (Electric Power) เป็นกำลังท่ีเกิดข้ึนจากการใช้ไฟฟ้าในการทำงาน หาไดจ้ ากการใชพลังงาน
ไฟฟ้ามีหน่วยเป็นจูล (J) ทำให้อิเล็กตรอนเคล่ือนที่จากจุดหน่ึงไปยังอีกจุดหน่ึงในหนึ่งหน่วยเวลาเป็นวินาที (s)
กำลงั ไฟฟา้ ใชอ้ กั ษรยอ่ P มีหนว่ ยเป็นวัตต์ (W) ความสมั พันธ์ของกำลงั ไฟฟ้าเขยี นเปน็ สมการไดด้ งั นี้
กำลงั ไฟฟ้ำ = พลงั งำนไฟฟ้ำ
เวลำ
.....(10-1)
P=W
หรอื T
.....(10-2)
เม่อื P = กำลงั ไฟฟา้ หน่วยวัตต์ (W)
W = พลังงานไฟฟา้ หนว่ ยจลู (J)
t = เวลา ห น่วยวินาที (s)
เนื่องจากพลังงานไฟฟ้าเกิดข้นึ ได้จากการจา่ ยแรงดนั ไฟฟ้า (E) มีหนว่ ยเป็นโวลต์ (V)ทำให้เกดิ กระแสไฟฟ้า
(I) ไหลมหี นว่ ยเป็นแอมแปร์ (A) ในหน่งึ หนว่ ยเวลาเป็นวนิ าที (s) เขียนเปน็ สมการไดด้ ังน้ี
....W.(10=-E3)It
แทนท่สี มการท่ี (10–2) ด้วยสมการที่ (10–3) จะได้เป็น
P= .....(10-4)
เมอ่ื P = กำลังไฟฟา้ หน่วยวัตต์ (W)
E = แรงดนั ไฟฟา้ หนว่ ยโวลต์ (V)
I = กระแสไฟฟ้า หน่วยแอมแปร์ (A)
สรุปได้ว่ากำลังไฟฟ้าเป็นวัตต์ (W) คืออัตราของงานท่ีถูกกระทำในวงจร ซึ่งเกิดกระแสไฟฟ้าไหลเป็น
แอมแปร์ (A) เมือ่ มีแรงดนั ไฟฟ้าถูกจ่ายใหว้ งจรเป็นโวลต์ (V) น่ันคือกำลงั ไฟฟ้าสามารถหาคา่ ได้จากการคำนวณใน
รปู แรงดันไฟฟา้ กับกระแสไฟฟา้
เมื่อต้องการหาค่ากำลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ตัวใดหรือวงจรไฟฟ้าใด ก็สามารถทำไดโ้ ดยจ่ายแรงดันไฟฟ้าให้
อปุ กรณ์หรือวงจรไฟฟ้านน้ั นำแอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอรท์ ำการวัดกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟา้ ออกมา นำคา่ ทั้ง
สองที่ได้ไปคำนวณหาคา่ กำลังไฟฟ้าดว้ ยสมการที่ (10-4)ลกั ษณะการตอ่ วงจรวัดหาคา่ กำลงั ไฟฟา้
จากรปู ท่ี 10.1 แสดงการวดั กำลังไฟฟา้ ด้วยการวัดกระแสไฟฟา้ และแรงดนั ไฟฟา้ เพือ่ หาคา่ กำลังไฟฟา้ ของ
หลอดไฟ สามารถวดั แรงดนั ไฟฟ้าได้ 12 V และวดั กระแสไฟฟ้าได้ 0.2 Aดังนน้ั กำลังไฟฟ้าของหลอดไฟจะมคี า่ ดังน้ี
P = EI = 12 V x 0.2 A
˳˚˳ P = 2.4 W
การหาค่ากำลังไฟฟ้าของอปุ กรณไ์ ฟฟา้ หรอื วงจรไฟฟ้าดว้ ยวิธกี ารคำนวณดงั กลา่ ว แมว้ า่ สามารถทำไดก้ ็จรงิ
แต่เกิดความยุ่งยากในการหาค่าอย่างมาก เพราะต้องวัดหาค่าท้ังแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้านำค่าทั้งสองมา
คำนวณด้วยสูตรหาค่ากำลังไฟฟ้า หากต้องการหาค่ากำลังไฟฟ้าหลายค่า หรือหลายตำแหน่ง ก็จะต้องวัดค่าทั้ง
แรงดนั ไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ หลายครงั้ พร้อมกบั การคำนวณหาค่ากำลงั ไฟฟ้าหลายคร้ัง เกิดความยุ่งยาก เสียเวลา
และอาจเกิดความผิดพลาดข้ึนได้งา่ ย
10.2 วตั ตม์ ิเตอร์
จากความยงุ่ ยากทเ่ี กิดจากการวดั ค่าและคำนวณหาค่ากำลังไฟฟ้าด้วยแรงดนั ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า จึงได้
มีการดัดแปลงมาตรวัดให้สามารถวัดค่ากำลังไฟฟ้าออกมาได้โดยตรง เรียกมาตรวัดชนิดน้ีว่า วัตต์มิเตอร์
(Wattmeter) โดยการสรา้ งรวมเอาโวลตม์ เิ ตอรแ์ ละแอมมเิ ตอร์ไวใ้ นตัวเดยี วกัน
จากรูปท่ี 10.2 แสดงโครงสร้างของวตั ต์มิเตอร์แบบอิเล็กโทรไดนาโมมิเตอร์ ส่วนประกอบของโครงสร้าง
ประกอบด้วยขดลวด 3 ขด ขดลวด 2 ขดใหญ่ท่ีวางขนานกัน เป็นขดลวดอยู่กับท่ีหรือขดลวดกระแสไฟฟ้า
(Current Coil) ส่วนตอนกลางของขดลวดอยู่กับที่ มีขดลวดอีกหนึ่งขดวางอยู่ในส่วนวงกลมที่ว่างเป็นขดลวด
เคลอื่ นท่ี หรือขดลวดแรงดนั ไฟฟ้า (Voltage Coil) ขดลวดเคลื่อนท่นี ้ีถูกยึดติดกบั แกนหมุนเคล่ือนที่ได้รว่ มกับเข็มช้ี
และสปรงิ ควบคมุ การบ่ายเบน ใช้เพอื่ แสดงผลการวดั กำลงั ไฟฟา้ ทเ่ี กดิ ข้ึน
ขดลวดคงที่หรือขดลวดกระแสไฟฟ้าท้ังสองขดนน้ั ถกู ตอ่ อนุกรมกัน และต่อออกมาเพ่ือวดั ค่ากระแสไฟฟ้า
ของวงจร ส่วนขดลวดเคลื่อนท่ีหรือขดลวดแรงดันไฟฟ้าถกู ต่ออนุกรมกับตัวต้านทาน ทำหน้าที่จำกัดกระแสไฟฟ้า
ผา่ นขดลวด และต่อออกมาเพอ่ื วดั คา่ แรงดนั ไฟฟ้าของวงจรวตั ตม์ ิเตอรแ์ บบอเิ ลก็ โทรไดนาโมมิเตอร์
จากรูปท่ี 10.3 แสดงโครงสร้างการต่อวงจรวตั ต์มิเตอรแ์ บบอิเล็กโทรไดนาโมมิเตอร์ มีขั้วต่อใช้งาน 4 ขั้ว
แบง่ เปน็ 2 ชุด ชุดละ 2 ขวั้ ตอ่ ชุดแรก (ขั้ว A, ±) ตอ่ วดั กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านวงจรทีต่ ้องการวดั ค่า ชุดสอง (ข้วั V,
±) ต่อวัดแรงดันไฟฟา้ ทจี่ า่ ยให้วงจรที่ตอ้ งการวัดคา่
วัตต์มิเตอร์แบบอิเล็กโทรไดนาโมมิเตอร์นี้สามารถนำไปวัดกำลังไฟฟ้าได้ท้ังกำลังไฟฟ้าของวงจรไฟฟ้า
กระแสตรง (DC) และกำลังไฟฟ้าของวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เพราะขดลวดท้ังขดอยู่กับท่ีและขดเคล่ือนที่
สามารถรบั แรงดนั ไฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ ไดก้ ับไฟฟ้าทง้ั สองชนิดชว่ ยใหเ้ กิดความสะดวกในการใช้งาน และลดความ
ยงุ่ ยากในการวดั ค่าลงได้
10.3 การต่อใช้งานวตั ต์มเิ ตอร์
การนำวัตต์มิเตอร์ไปต่อใช้งาน ต้องต่อเข้าวงจรของอุปกรณ์ท่ีต้องการวัดกำลังไฟฟ้า โดยต่อใช้งานท้ัง
ขดลวดอยู่กบั ท่ี (ข้ัว A, ±) และขดลวดเคลอื่ นที่ (ข้วั V, ±) อยา่ งถูกต้อง นำไปต่อกับภาระท่ีต้องการวัดค่า และต่อ
เข้าแหล่งจา่ ยแรงดันไฟฟา้ ของวงจร
จากรูปท่ี 10.4 แสดงการต่อวงจรใช้งานวัตต์มิเตอร์ โดยการนำขั้ว ± ของขดลวดอยู่กับที่กับและขดลวด
เคลื่อนทตี่ ่อเข้าด้วยกนั นำไปต่อเข้าแหล่งจา่ ยแรงดนั ไฟฟ้าขั้วหนึ่ง ขั้ว A ของขดลวดอยู่กบั ที่ตอ่ เขา้ ภาระที่ตอ้ งการ
วัดกำลังไฟฟ้า และนำภาระอีกขั้วท่ีเหลือไปต่อเข้ากับขั้ว Vของขดลวดเคลื่อนท่ี นำขั้ว V ไปต่อเข้าแหล่งจ่าย
แรงดันไฟฟา้ ขั้วท่เี หลือ ไดก้ ารต่อวัตต์มิเตอร์เข้าวงจรโดยสมบูรณ์
เม่ือจ่ายแรงดันไฟฟ้าเขา้ วงจรวัตตม์ ิเตอร์ ทั้งขดลวดอยกู่ ับทหี่ รอื ขดลวดกระแสไฟฟ้า และขดลวดเคลื่อนที่
หรือขดลวดแรงดันไฟฟ้า เกดิ สนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นมา มขี ั้วสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดอยูก่ ับที่และขดลวด
เคลื่อนท่ีด้านท่ีวางอยู่ใกล้กันมีข้ัวเหมือนกัน เกิดแรงผลักดันกันของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าท้ังสอง ทำให้ขดลวด
เคลอ่ื นท่บี ่ายเบนไป ช้คี ่ากำลังไฟฟ้าออกมา การที่ขดลวดเคล่ือนท่ีเกดิ การบา่ ยเบนไปมากหรือน้อยข้ึนอยกู่ ับภาระท่ี
นำมาตอ่ วงจรและแรงดันไฟฟา้ ท่ีปอ้ นใหว้ งจร คือขึ้นอยูก่ บั แรงดันไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ ท่ีจา่ ยผ่านเขา้ วัตตม์ เิ ตอร์
10.4 การวดั และการอ่านคา่ กำลังไฟฟา้
การต่อใช้งานวัตต์มิเตอร์ ตอ้ งระมัดระวังในเรื่องการต่อ โดยตอ้ งไม่ให้กระแสไฟฟา้ ไหลผ่านเข้าขดลวดอยู่
กบั ที่หรือขดลวดกระแสไฟฟ้ามากเกนิ กว่าพกิ ดั ของวตั ตม์ เิ ตอร์ทบ่ี อกไว้ และต้องไม่ให้แรงดันไฟฟ้าทีป่ อ้ นเขา้ ขดลวด
เคลอ่ื นทห่ี รอื ขดลวดแรงดันไฟฟ้ามากเกินกวา่ พกิ ัดของวัตต์มิเตอรท์ ่บี อกไวเ้ ชน่ กัน ดังนนั้ กอ่ นการตอ่ วัตต์มเิ ตอรเ์ ข้า
วงจร จึงควรตรวจสอบทงั้ แรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ ของวงจรก่อนเสมอ เพื่อปอ้ งกันการชำรดุ เสยี หายของวัตต์
มิเตอร์ และต้องศึกษารายละเอียดของวัตต์มิเตอร์ตัวที่จะใช้งานให้เข้าใจก่อนนำไปใช้งานเสมอ วัตต์มิเตอร์ที่ถูก
สรา้ งข้ึนมาใชง้ านแบบแอนะลอกและแบบดจิ ติ อล
จากรูปท่ี 10.5 แสดงวัตต์มิเตอร์แบบแอนะลอกและแบบดิจิตอลท่ีผลิตออกมาใช้งาน จะเห็นได้ว่ามี
มากมายหลายแบบหลายลกั ษณะ ทงั้ แสดงผลดว้ ยเข็มชี้และแสดงผลดว้ ยตัวเลขและตัวอักษร แต่ละแบบแต่ละชนิด
มวี ิธีต่อใชง้ าน การต้ังค่าทำงาน และการอ่านค่าท่ีแตกต่างกันไปการใช้งานท่ีถูกต้องเหมาะสม จะทำให้การวัดค่า
กำลังไฟฟา้ มคี วามถกู ตอ้ งมากขนึ้
การอ่านค่ากำลังไฟฟ้าจากวัตต์มิเตอร์แบบเข็มช้ีที่ถูกต้อง โดยต้องอ่านค่าจากหน้าปัดสเกลในตำแหน่งที่
เข็มมเิ ตอร์ช้ีค่า นำมาคณู รว่ มกบั ค่าตัวคณู ในตารางคู่มอื ที่แนบติดมากบั ตัววัตตม์ ิเตอร์ ซ่ึงขึ้นอยู่กับแรงดันไฟฟ้าและ
ค่ากระแสไฟฟ้าของขั้วท่ีต่อวัดจากวัตต์มิเตอร์ ค่าที่อ่านได้จากตัวเคร่ืองจะต้องนำมาคำนวณค่าจากค่าตัวคูณใน
ตาราง จงึ จะไดค้ า่ กำลังไฟฟ้าทว่ี ดั ได้จริงจากอปุ กรณ์หรอื วงจรท่ีทำการวดั
การอ่านค่ากำลังไฟฟ้าทว่ี ัดไดจ้ ากวตั ตม์ เิ ตอร์ หาไดด้ ังน้ี
กำลงั ไฟฟ้ำที่วดั ได้ = ตวั เลขท่อี ำ่ นได้ (W) x ค่ำตวั คูณ .....(10-5)
ตัวอยา่ งที่ 10.1 ตอ่ วัตต์มิเตอรใ์ ชง้ านทขี่ ้ัวแรงดันไฟฟา้ 120V และขว้ั กระแสไฟฟ้า 0.2A เม่ือวัดค่าเข็มช้ชี ้ีคา่ ท่ีเลข
35 คา่ กำลังไฟฟา้ จรงิ มคี ่าเทา่ ไร
วธิ ีทำ ค่าตวั คณู ของแรงดนั ไฟฟา้ 120V กระแสไฟฟา้ 0.2A คือคา่ 0.2 (ดตู ารางที่ 10.1) ตอบ
กำลังไฟฟา้ ทว่ี ดั ได้ = ตวั เลขทีอ่ ่านได้ (W) x คา่ ตวั คูณ
= 35 W x 0.2
˳˚˳ P = 7 W
ตวั อยา่ งที่ 10.2 ต่อวัตต์มิเตอร์ทใ่ี ช้งานท่ีข้วั แรงดันไฟฟ้า 240V และข้ัวกระแสไฟฟ้า 1A เมอื่ วดั ค่าเข็มชช้ี ้คี ่าที่เลข
85 ค่ากำลังไฟฟา้ จรงิ มีคา่ เทา่ ไร
วิธีทำ ค่าตัวคณู ของแรงดนั ไฟฟ้า 240V กระแสไฟฟ้า 1A คือคา่ 2 (ดตู ารางที่ 10.1)
กำลังไฟฟ้าทีว่ ัดได้ = ตัวเลขท่อี ่านได้ (W) x ค่าตัวคณู
= 85 W x 2
˳˚˳ P = 170 W ตอบ
ตวั อย่างที่ 10.3 ต่อวัตตม์ ิเตอร์ใชง้ านที่ขว้ั แรงดันไฟฟา้ 240V และทข่ี ั้วกระแสไฟฟ้า 5A เม่ือวัดคา่ เข็มชชี้ ี้ค่าที่เลข
132 คา่ กำลังไฟฟา้ จรงิ มีค่าเทา่ ไร
วธิ ีทำ คา่ ตวั คูณของแรงดันไฟฟ้า 240V, กระแสไฟฟา้ 5A คือคา่ 10 (ดตู ารางท่ี 10.2)
กำลังไฟฟา้ ที่วดั ได้ = ตัวเลขท่ีอา่ นได้ (W) x ค่าตวั คูณ
= 132 W x 10
˳˚˳ P = 1,320 W ตอบ
กรณีวัดค่ากำลังไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ จะต้องเป็นค่ากำลังไฟฟ้าที่เป็นค่าจริงเท่าน้ัน คือที่ค่า
แรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้ามสี ัญญาณเฟสเหมือนกัน โดยจะต้องคำนึงถึงค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ (Power Factor)
ของวงจรด้วย จึงวัดคา่ ได้ถูกต้อง กำลังไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ เขียนเปน็ สมการได้ดงั น้ี
PT = EIcosθ .....(10-6)
เมือ่ PT = กำลังไฟฟา้ คา่ จรงิ หนว่ ยวตั ต์ (W)
E = แรงดันไฟฟ้ากระแสสลบั หน่วยโวลต์ (V)
I = กระแสไฟฟ้ากระแสสลบั หน่วยแอมแปร์ (A)
cosθ = คา่ เพาเวอรแ์ ฟกเตอรข์ องวงจร ไม่มีหนว่ ย
กรณีเปน็ ตวั ตา้ นทานบรสิ ทุ ธ์ ค่า cosθ = 1
10.5 วารม์ เิ ตอร์
กำลงั ไฟฟา้ ท่ีวัดออกมาไดจ้ ากอปุ กรณ์ไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ท่ีใชง้ านกับสญั ญาณไฟฟา้ กระแสสลับมดี ว้ ยกัน
3 ค่า คือ กำลังไฟฟ้าจริง (Real Power, True Power, Active Power หรือWorking Power) กำลังไฟฟ้า
ตอบสนอง (Reactive Power) และกำลังไฟฟ้าปรากฏ (ApparentPower) ความสัมพันธ์ของกำลังไฟฟ้าทั้ง 3 ค่า
เขียนออกมาได้
จากรูปท่ี 10.6 แสดงความสัมพันธข์ องกำลังไฟฟ้า 3 ค่า เกดิ ขนึ้ ในตำแหน่งที่วัดออกมาไดต้ า่ งกัน จงึ เรียก
คา่ กำลงั ไฟฟา้ ทแ่ี สดงออกมาแตกตา่ งกนั กำลงั ไฟฟา้ แต่ละแบบเกดิ ขึน้ ได้กบั อปุ กรณใ์ นวงจรต่างชนิดกัน กำลงั ไฟฟ้า
จริง (P) เกดิ ขน้ึ ได้กับอุปกรณ์จำพวกตัวต้านทานบริสุทธิ์(Pure Resistor) สามารถวดั ออกมาได้จริงด้วยวัตตม์ ิเตอร์
เกิดจากแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่มีทิศทางเดียวกัน หรือเกิดจากการคูณกันของแรงดันไฟฟ้าและ
สว่ นประกอบของกระแสไฟฟ้าในรปู Elcosθ หนว่ ยของกำลงั ไฟฟา้ นี้เปน็ วัตต์ (W)
กำลังไฟฟ้าตอบสนอง (Q) เกิดขน้ึ ได้กบั อุปกรณ์จำพวกตัวเหน่ียวนำ (C) และตัวเก็บประจุ(L) หรือเกดิ จาก
การคูณกันของแรงดันไฟฟ้า และส่วนประกอบของกระแสไฟฟ้าท่ีตอบสนองมีมุมต่างไป 90 องศาในรูป Elsinθ
หน่วยของกำลังไฟฟ้าน้ีเป็นวาร์ (VAR) กำลังไฟฟ้าตอบสนอง(Q) นีว้ ัตต์มเิ ตอรไ์ ม่สามารถวัดค่าออกมาได้ จงึ ตอ้ งใช้
วาร์มเิ ตอร์ (Varmeter) ใชใ้ นการวดั ค่า
กำลังไฟฟา้ ปรากฏ (S) เป็นกำลังไฟฟา้ เกิดกับอุปกรณ์จำพวกอมิ พีแดนซ์ต่างๆ เช่นRL, RC, LC และ RLC
หรอื เกิดจากการคณู กันของแรงดันไฟฟา้ และกระแสไฟฟ้าค่าจรงิ ในวงจรในรูป El หน่วยของกำลังไฟฟา้ นเ้ี ป็นโวลต์
– แอมแปร์ (VA) วัดค่าออกมาได้ด้วยเอซีโวลต์มเิ ตอร์และเอซีแอมมิเตอร์ นำมาคูณกันโดยตรง ความสัมพันธ์ของ
กำลังไฟฟ้าทง้ั 3 ค่า เขียนออกมาในรูปเวคเตอรข์ องสมการและหน่วยวัดค่า แสดงดังรูปท่ี 10.7 และวารม์ ิเตอร์
จากรปู ท่ี 10.8 แสดงวาร์มิเตอร์ใช้สำหรับวัดกำลังไฟฟ้าตอบสนอง (Q) มีการต่อใช้งานเช่นเดียวกับวัตต์
มิเตอร์ คอื ต่อทัง้ การวัดแรงดันไฟฟา้ และวัดกระแสไฟฟา้ ให้กบั วาร์มิเตอร์ บอกค่ากำลงั ไฟฟ้าทว่ี ัดได้ออกมาอยใู่ นรูป
คา่ กำลังไฟฟา้ ตอบสนอง (Q) วารม์ ิเตอร์ใช้วัดได้ท้งั ไฟฟ้ากระแสสลับชนิดเฟสเดยี ว ชนิด 2 เฟส และชนิด 3 เฟส ท่ี
ใช้สายต่อวงจรแบบ 3 สายและ 4 สายใชไ้ ด้ท้ังภาระชนดิ ไมส่ มดุล และภาระชนิดสมดุล โดยสรา้ งวารม์ ิเตอรใ์ หว้ ัดค่า
ได้เป็นวาร์ (var)กิโลวาร์ (kvar) และเมกวาร์ (Mvar) สเกลหน้าปัดจะแสดงค่าปริมาณไฟฟ้าท่ีวัดออกมา เป็นค่า
กำลงั ไฟฟ้าตอบสนอง (Q) ของวงจรและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่วัดให้ทราบ วาร์มิเตอร์แสดงผลการวัดในค่ากิโลวาร์ (kvar)
และเมกวาร์ (Mvar)
10.6 เพาเวอร์แฟกเตอรม์ เิ ตอร์
เพาเวอรแ์ ฟกเตอรม์ ิเตอร์ (Power Factor Meter) เป็นมาตรวดั สร้างข้นึ มาเพื่อใช้วัดค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์
ของอปุ กรณไ์ ฟฟ้า และเครื่องใชไ้ ฟฟ้าท่ีกำลังทำงาน เพือ่ ใหท้ ราบค่าเพาเวอร์แฟกเตอรจ์ ริงขณะทำงานว่าเหมาะสม
หรือไม่ นำคา่ ที่ไดม้ าใช้ปรบั ปรงุ แก้ไขคา่ เพาเวอร์แฟกเตอร์ใหเ้ กิดความเหมาะสม รูปร่างและโครงสรา้ งของเพาเวอร์
แฟกเตอรม์ เิ ตอร์
จากรปู ท่ี 10.10 แสดงเพาเวอรแ์ ฟกเตอร์มเิ ตอร์ รูปท่ี 10.10 (ก) เป็นรูปร่างเพาเวอร์แฟกเตอร์มเิ ตอรแ์ บบ
หน่งึ เขม็ ช้ีในสภาวะปกติไม่ไดว้ ัดคา่ เพาเวอร์แฟกเตอร์ จะชค้ี ่ากลางสเกลทต่ี ำแหนง่ เลข 1 ถอื เป็นค่าท่ดี ีของการใช้
อุปกรณ์ไฟฟ้า การบ่ายเบนไปของเข็มชี้เมอื่ นำเพาเวอรแ์ ฟกเตอร์มเิ ตอร์ไปใช้งาน เปน็ การแสดงใหท้ ราบถึงความไม่
เหมาะสมของค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ซ่ึงจะทำให้สิน้ เปลืองการใช้พลังงานไฟฟ้ามากข้ึนโดยไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเขม็ ชี้
บ่ายเบนไปทางซา้ ยมือแสดงว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานแสดงคณุ สมบัติเปน็ ตวั เก็บประจุ (C) และถ้าเข็มช้ีบ่ายเบนไป
ทางขวามือแสดงว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีใช้งานแสดงคุณสมบัติเป็นตัวเหนีย่ วนำ (L) จำเป็นต้องแก้ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์
ใหก้ ลบั มาเป็นค่า 1 ตามเดมิ เพอื่ การทำงานของอุปกรณ์ไฟฟา้ ท่ีสมบรู ณ์
รปู ท่ี 10.10 (ข) เปน็ โครงสร้างวงจรเพาเวอร์แฟกเตอรม์ เิ ตอรป์ ระกอบด้วยขดลวด 2 ชุดชดุ แรกเป็นขดลวด
อยู่กับที่หรือขดลวดกระแสไฟฟ้ามี 2 ขด S1 และ S2 ต่อกันอย่างอนุกรมวางห่างกันอยู่ด้านนอก ชุดสองขดลวด
เคลอื่ นท่ีหรอื ขดลวดแรงดนั ไฟฟ้ามี 2 ขด M1 และ M2 วางอยดู่ ้านในขดลวดอย่กู บั ท่ตี ำแหน่งเดยี วกันทำมุมตา่ งกัน
90 องศา ยึดอยู่บนแกนร่วมกับเข็มชี้ขดลวดเคลื่อนที่ท้ัง 2 ขด มีตัวต้านทานต่ออนุกรมอยู่ขดละตัว โดยขดลวด
เคลอ่ื นทท่ี ั้งสองขดต่ออนุกรมรว่ มกัน ส่วนสเกลหนา้ ปัด แสดงค่าการวดั ไว้ 2 ชนิด ได้แกค่ ่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ และ
ค่ามุมเฟส บอกออกมาในสภาวะนำหน้า (Lead) แสดงสภาวะเป็นค่าตัวเหนี่ยวนำ (L) และสภาวะล้าหลัง (Lag)
แสดงสภาวะเปน็ คา่ ตวั เกบ็ ประจุ (C) การนำเพาเวอรแ์ ฟกเตอร์มิเตอร์ไปตอ่ ใชง้ านในวงจรไฟฟ้าชนดิ ไฟ 3 เฟส
จากรูปที่ 10.11 แสดงการต่อใช้งานเพาเวอร์แฟกเตอร์มิเตอร์กับแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับชนิด 3 เฟส
ขดลวดคงท่ี S1 และ S2 ตอ่ อย่างอนุกรมกับสายไฟฟ้าเส้น B สว่ นขดลวดเคล่ือนที่M1 และ M2 ชดุ ที่ตอ่ รว่ มกนั นำไป
ตอ่ เขา้ กับขดลวด S ท่ีข้ัว ± ส่วนขดลวด M1 อกี ขาท่ีตอ่ อนุกรมกบั ตัวตา้ นทาน R1 นำไปต่อเขา้ กับสายไฟฟ้าเส้น C
และขดลวด M2 อีกขาท่ีต่ออนุกรมกับตัวต้านทาน R2 นำไปต่อเข้ากับสายไฟฟ้าเส้น A ทำให้ขดลวด M1 ต่อกับ
สายไฟเส้น B และ C และขดลวด M2 ต่อกบั สายไฟเสน้ B และ A ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์เกดิ จากผลรวมของขดลวด
แรงดันไฟฟ้าขดหน่ึง มกี ระแสไฟฟา้ นำหน้า และอกี ขดหนึ่งมีกระแสไฟฟ้าลา้ หลังในสายไฟเส้น B เปน็ มมุ 30 องศา
ขดลวดแรงดันไฟฟา้ M1 และ M2 เกิดความสมดุล ชค้ี า่ เพาเวอร์แฟกเตอร์ออกมาแสดงตำแหน่งช้ีที่เลข 1 ตามเดมิ
คา่ เพาเวอร์แฟกเตอร์เปล่ียนแปลงไป เม่ือมีการเปลี่ยนเฟสของกระแสไฟฟ้าที่ไหลในขดลวดแรงดันไฟฟ้า
M1 และ M2 ขดใดขดหน่ึงมีเฟสมากกว่าอีกขดหน่ึง ทำให้เกิดเฟสต่างกันของกระแสไฟฟ้าที่ไหลในสายไฟฟ้าเส้น B
ของขดลวดเคล่ือนท่ี ควบคุมให้เขม็ ช้ีบา่ ยเบนช้ีตำแหน่งความสมดุลใหม่บนสเกลหน้าปดั เพาเวอร์แฟกเตอร์มิเตอร์
ซ่งึ เข็มชอ้ี าจบ่ายเบนไปด้านตำแหน่งนำหน้า บอกคา่ เป็นตัวเหน่ียวนำ (L) หรอื ดา้ นตำแหน่งล้าหลัง บอกคา่ เปน็ ตัว
เก็บประจุ (C) ก็ได้
10.7 วตั ตอ์ าวร์มเิ ตอร์
วตั ต์อาวร์มิเตอร์ (Watthour Meter) เป็นมาตรวัดที่ทำงานด้วยการเหนี่ยวนำไฟฟ้า ถูกสร้างข้ึนมาให้ใช้
งานเปน็ มาตรวัดวัดการใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้านเรือน ในโรงงานอุตสาหกรรมและในสถานท่ีต่างๆ ที่ต้องใช้ไฟฟ้าใน
การทำงาน โดยวัดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานออกมาในหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมง หรือกิโลวัตต์อาวร์ (Kilowatthours ;
kWh) รปู ร่างและโครงสร้างของวตั ตอ์ าวร์มเิ ตอร์
จากรูปที่ 10.12 แสดงวัตต์อาวร์มิเตอร์ รูปที่ 10.12 (ก) เป็นรูปร่างวัตต์อาวร์มิเตอร์แบบแอนะลอกแบบ
หน่ึง โดยใชก้ ารควบคุมให้แผ่นจานกลมหมุนตามการใชพ้ ลังงานไฟฟ้า ส่งไปให้ชุดเฟืองขับให้ตัวเลขหมุนเคลื่อนที่
นับคา่ พลังงานไฟฟา้ ในหนว่ ยกิโลวตั ต์ชัว่ โมง (kWh) แสดงคา่ พลงั งานไฟฟา้ ทว่ี ัดได้ออกมาเปน็ ตวั เลข
ส่วนรูปท่ี 10.12 (ข) เป็นโครงสร้างเบื้องตน้ ของวตั ต์อาวรม์ ิเตอร์ มีโครงสรา้ งคล้ายกับวัตต์มเิ ตอร์ท่ที ำงาน
ดว้ ยการเหน่ียวนำสนามแม่เหล็กไฟฟ้า มีส่วนประกอบหลักเหมือนกัน โดยประกอบด้วยขดลวดกระแสไฟฟ้าและ
ขดลวดแรงดันไฟฟา้ ทำให้เกิดสนามแม่เหลก็ เปลี่ยนแปลงไป ส่วนที่แตกต่างไปของวัตตอ์ าวร์มิเตอร์ อยู่ท่กี ารแสดง
ค่าการวัดพลงั งานไฟฟา้ ท่ไี ด้ แสดงค่าออกมาโดยใชแ้ ม่เหล็กถาวรหน่วงการเคลอื่ นทขี่ องจานหมุน และใชช้ ดุ เฟอื งไป
ขับเขม็ ชใ้ี หแ้ สดงคา่ ออกมาบนสเกล หรือใช้ชุดเฟอื งไปขับชุดตัวเลขใหแ้ สดงค่าออกมา
โครงสร้างเบื้องต้นของวัตต์อาวร์มิเตอร์ประกอบด้วย ขดลวดกระแสไฟฟ้าต่อแบบอนุกรมกับวงจร และ
ขดลวดแรงดันไฟฟ้าตอ่ แบบขนานกบั วงจร ขดลวดทงั้ 2 ชุดถูกพับไวบ้ นโครงโลหะทีอ่ อกแบบมาโดยเฉพาะ เกดิ เป็น
วงจรแม่เหล็ก 2 ชุด แผ่นจานอะลมู ิเนยี มกลมแบนถกู วางอยใู่ นชอ่ งว่างสนามแม่เหล็กของขดลวดกระแสไฟฟ้าและ
ขดลวดแรงดันไฟฟ้า ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลวน (Eddy Current) ในแผ่นจานอะลูมิเนียม แรงต้านของ
กระแสไฟฟา้ ไหลวนและสนามแม่เหล็กของขดลวดแรงดันไฟฟา้ ทำให้เกดิ แรงผลักขึ้นบนแผ่นจานอะลูมิเนียม แผ่น
จานอะลูมเิ นียมจึงหมนุ แรงทเี่ กิดขน้ึ เป็นสัดส่วนระหว่างความเขม้ ของสนามแม่เหลก็ ของขดลวดแรงดันไฟฟ้าและ
กระแสไฟฟ้าไหลวนในแผ่นจานอะลูมิเนียม ซ่ึงจะข้นึ อยู่กับจำนวนรอบของขดลวดทพี่ ัน จำนวนรอบการหมนุ ของ
แผ่นจานอะลูมเิ นียมข้ึนอยู่กับพลังงานไฟฟา้ ทใ่ี ชไ้ ปของภาระทีต่ ่ออยู่ในเวลาท่แี ตกต่างกัน แกนทยี่ ึดตดิ กับแผ่นจาน
อะลูมเิ นียมถกู ต่อไวก้ ับชุดเฟือง พ่วงต่อไปยังเข็มช้ชี ้ีสเกลออกมาในแต่ละค่า และถกู ปรับแต่งให้อา่ นค่าออกมาเป็น
กิโลวตั ตช์ วั่ โมง (kWh)
• ดา้ นทกั ษะ+ด้านจติ พสิ ัย (ปฏบิ ัต+ิ ดา้ นจติ พิสยั ) (จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมขอ้ ท่ี 2-6)
1. แบบฝึกหดั หน่วยท่ี 10
2. ใบปฏิบัตงิ าน 10.1 การใช้งานมลั ตมิ เิ ตอรว์ ัดกำลังไฟฟ้า
3. ใบปฏิบัติงาน 10.2 การใชก้ ิโลวัตต์อาวรม์ เิ ตอรว์ ดั พลงั งานไฟฟ้า
• ดา้ นคุณธรรม/จรยิ ธรรม/จรรยาบรรณ/บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
(จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมขอ้ ท่ี 7)
1. เลือกมาตรวดั กำลังไฟฟ้าแตช่ นดิ ไปใชง้ านอยา่ งเหมาะสม
กจิ กรรมการเรยี นการสอนหรอื การเรียนรู้
ข้ันตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ขัน้ ตอนการเรยี นรูห้ รอื กจิ กรรมของนักเรียน
1. ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (15 นาที ) 1. ขนั้ นำเขา้ สบู่ ทเรียน (15 นาที )
1. ผู้สอนจัดเตรียมเอกสาร พร้อมกับแนะนำ 1. ผู้เรียนเตรียมอุปกรณ์และ ฟังครูผู้สอนแนะนำ
รายวิชา วิธีการให้คะแนนและวิธีการเรียน เร่ือง รายวิชา วิธีการให้คะแนนและวิธีการเรียนเรื่อง มาตร
มาตรวดั กำลงั ไฟฟ้า วดั กำลังไฟฟา้
2. ผู้สอนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของหน่วย 2. ผู้เรียนทำความเข้าใจเกี่ยวกับจุดประสงค์การ
เรียนท่ี 10 และขอให้ผู้เรียนร่วมกันทำกิจกรรมการ เรียนของหน่วยเรียนท่ี 10 และการให้ความร่วมมือใน
เรยี นการสอน การทำกิจกรรม
3. ผู้สอนให้ผู้เรียนบรรยายวาร์มิเตอร์พร้อมให้ 3. ผู้เรียนบรรยายวาร์มิเตอร์พร้อมให้เหตุผล
เหตุผลประกอบ ประกอบ
2. ขนั้ ใหค้ วามรู้ (240 นาที) 2. ขั้นใหค้ วามรู้ (240 นาที )
1. ผู้สอนเปิด PowerPoint หน่ วยที่ 1 0 1. ผู้เรียนศึกษา PowerPoint หน่วยท่ี 10
เรือ่ ง มาตรวดั กำลังไฟฟ้าและให้ผูเ้ รียนศึกษาเอกสาร เร่ือง มาตรวัดกำลังไฟฟ้าและให้ผู้เรียนศึกษาเอกสาร
ประกอบการสอน วิชา เคร่ืองมือวัดไฟฟ้าและ ประกอบการสอน วิชา เครื่องมือวัดไฟ ฟ้าและ
อิเล็กทรอนิกส์ หน้าที่ 190-203 โดยให้ผู้เรียน อิเล็กทรอนิกส์ หน้าที่ 190-203 โดยให้ผู้เรียนเรียนรู้
เรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถสอบถามข้อสงสัย ดว้ ยตนเอง และสามารถสอบถามข้อสงสยั ระหว่างเรยี น
ระหวา่ งเรยี นจากผู้สอน จากผ้สู อน
2. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันฝึกวัดและอ่านค่า 2. ผูเ้ รียนร่วมกันฝกึ วัดและอ่านค่ากำลังไฟฟ้าท่ไี ด้
กำลงั ไฟฟ้าท่ีได้ศกึ ษาจาก PowerPoint ศึกษาจาก PowerPoint
3. ขน้ั ประยุกต์ใช้ ( 180 นาที ) 3. ขนั้ ประยกุ ต์ใช้ ( 180 นาที )
1. ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นทำใบปฏิบตั ิงาน 10.1 การ 1. ผเู้ รียนทำใบปฏบิ ัติงาน 10.1 การใช้งานมลั ติ
ใชง้ านมลั ติมิเตอรว์ ดั กำลังไฟฟ้า หนา้ 206-208 มิเตอรว์ ดั กำลังไฟฟา้ หน้า 206-208
2. ผู้สอนให้ผู้เรยี นทำใบปฏิบตั ิงาน 10.2 การ 2. ผู้เรยี นทำใบปฏบิ ัติงาน 10.2 การใชก้ ิโลวัตต์
ใชก้ ิโลวตั ต์อาวรม์ ิเตอรว์ ัดพลังงานไฟฟา้ หน้า 209- อาวรม์ ิเตอรว์ ดั พลังงานไฟฟา้ หนา้ 209-211
211
3. ผ้สู อนใหผ้ เู้ รียนสบื คน้ ขอ้ มูลจากอนิ เทอร์เน็ต 3. ผ้เู รยี นสบื ค้นขอ้ มลู จากอินเทอร์เน็ต
กิจกรรมการเรียนการสอนหรอื การเรียนรู้
ขน้ั ตอนการสอนหรอื กจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรยี น
4. ขนั้ สรปุ และประเมนิ ผล ( 45 นาที ) 4. ข้ันสรปุ และประเมินผล ( 45 นาที )
1. ผสู้ อนและผู้เรียนรว่ มกนั สรุปเนอื้ หาท่ีได้เรยี นให้ 1. ผูเ้ รยี นรว่ มกนั สรปุ เนอื้ หาทีไ่ ดเ้ รยี นให้มคี วาม
มคี วามเขา้ ใจในทศิ ทางเดยี วกัน เข้าใจในทิศทางเดยี วกัน
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดหน่วยที่ 10 2. ผเู้ รยี นทำแบบฝึกหดั หน่วยที่ 10หน้าท่ี 204-
หน้าที่ 204-205 205
3. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเพ่ิมเติมนอกห้องเรียน 3. ผู้เรียนศึกษ าเพิ่มเติมนอกห้องเรียน ด้วย
ด้วย PowerPoint ทจี่ ดั ทำขนึ้ PowerPoint ท่ีจัดทำขน้ึ
(บรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 1-7) (บรรลจุ ดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมข้อที่ 1-7)
(รวม 480 นาที หรอื 8 คาบเรียน)
งานทีม่ อบหมายหรือกิจกรรมการวดั ผลและประเมนิ ผล
ก่อนเรยี น
1. จดั เตรยี มเอกสาร ส่อื การเรียนการสอนหน่วยท่ี 10
2. ทำความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จุดประสงค์การเรยี นของหนว่ ยที่ 10 และให้ความรว่ มมือในการทำกิจกรรมใน
หน่วยที่ 1
ขณะเรียน
1. ทำใบปฏิบตั ิงาน 10.1 การใช้งานมัลติมเิ ตอรว์ ัดกำลงั ไฟฟ้า
2. ทำใบปฏิบัตงิ าน 10.2 การใช้กโิ ลวัตตอ์ าวรม์ ิเตอร์วัดพลงั งานไฟฟ้า
3. ร่วมกนั สรปุ “มาตรวดั กำลังไฟฟ้า”
หลังเรียน
1. แบบฝกึ หดั หน่วยท่ี 10
ผลงาน/ชน้ิ งาน/ความสำเร็จของผูเ้ รยี น
ใบปฏิบตั งิ าน 10.1, 10.2 , แบบฝกึ หัดหน่วยที่ 10
สอ่ื การเรียนการสอน/การเรยี นรู้
สื่อสง่ิ พิมพ์
1. เอ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส อ น วิ ช า เ ค รื่ อ ง มื อ วั ด ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์
(ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมขอ้ ท่ี 1-7)
2. ใบความร้ทู ่ี 10 เรือ่ ง มาตรวัดกำลงั ไฟฟา้ (ใช้ประกอบการเรียนการสอนข้ันให้ความรู้ เพอื่ ใหบ้ รรลุ
จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ข้อที่ 1-7)
3. ใบปฏิบตั ิงาน 10.1 การใช้งานมลั ติมเิ ตอรว์ ัดกำลงั ไฟฟ้า ขน้ั ประยุกตใ์ ช้ ข้อ 1
4. ใบปฏบิ ัตงิ าน 10.2 การใช้กิโลวัตตอ์ าวรม์ เิ ตอรว์ ัดพลังงานไฟฟ้า ขน้ั ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 2
5. แบบฝกึ หดั หน่วยที่ 10 สรุปและประเมนิ ผล ขอ้ 2
6. แบบประเมินผลงานตามใบงาน ใชป้ ระกอบการสอนขนั้ ประยุกต์ใช้ ข้อ 1
7. แบบประเมนิ พฤติกรรมการทำงาน ใชป้ ระกอบการสอนข้ันประยุกต์ใช้ ขัน้ สรุปและประเมินผล
สื่อโสตทศั น์ (ถา้ ม)ี
1. เครือ่ งไมโครคอมพิวเตอร์
2. PowerPoint เรอ่ื ง มาตรวดั กำลังไฟฟ้า
สื่อของจริง
มาตรวดั กำลังไฟฟา้ (ใช้ประกอบการเรียนการสอนจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมข้อท่ี 1-7)
แหลง่ การเรียนรู้
ในสถานศกึ ษา
1. ห้องสมุดวทิ ยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร
2. ห้องปฏบิ ตั กิ ารคอมพิวเตอร์ ศึกษาหาขอ้ มลู ทางอนิ เทอรเ์ นต็
นอกสถานศึกษา
ผูป้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่ินจังหวัดสมทุ รสาคร
การบูรณาการ/ความสัมพันธ์กบั วิชาอ่นื
1. บูรณาการกับวชิ าอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์เบือ้ งตน้
2. บูรณาการกับวิชาวงจรไฟฟ้าเบ้ืองต้น
3. บูรณาการกบั วชิ าเคร่ืองวัดไฟฟ้า
การประเมนิ ผลการเรียนรู้
• หลกั การประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ก่อนเรียน
ความร้เู บอ้ื งต้นกอ่ นการเรยี นการสอน
ขณะเรียน
1. ตรวจใบปฏิบตั งิ าน 10.1 การใช้งานมลั ตมิ เิ ตอร์วดั กำลังไฟฟา้
2. ตรวจใบปฏบิ ัตงิ าน 10.2 การใชก้ ิโลวัตตอ์ าวร์มเิ ตอร์วดั พลังงานไฟฟ้า
3. สังเกตการทำงาน
หลังเรียน
1. ตรวจแบบฝึกหัดหน่วยท่ี 10
คำถาม
1. จงอธบิ ายกำลงั ไฟฟ้า
2. วารม์ ิเตอร์ คอื
3. การตอ่ ใชง้ านวตั ต์มเิ ตอร์ มเี ทคนิคการตอ่ อยา่ งไร
4. จงฝึกวดั และอา่ นคา่ กำลังไฟฟ้า
5. วัตต์มิเตอร์ หมายถึง
6. เพาเวอร์แฟกเตอรม์ เิ ตอร์ต่างกับวตั ตอ์ าวร์มเิ ตอรอ์ ยา่ งไร
ผลงาน/ชน้ิ งาน/ผลสำเรจ็ ของผ้เู รยี น
ตรวจการทดลองที่ 10 ไอซเี ร็กกเู ลเตอร,์ แบบทดสอบบทท่ี 10
สมรรถนะที่พงึ ประสงค์
ผเู้ รียนสร้างความเข้าใจเกยี่ วกบั มาตรวัดกำลงั ไฟฟ้า
1. วิเคราะห์และตีความหมาย
2. ตั้งคำถาม
3. อภปิ รายแสดงความคิดเห็นระดมสมอง
4. การประยุกต์ความรู้สงู่ านอาชีพ
สมรรถนะการปฏบิ ตั งิ านอาชีพ
1. เลอื กใช้มาตรวัดกำลังไฟฟ้า
สมรรถนะการขยายผล
ความสอดคลอ้ ง
จากการเรียนเรื่อง มาตรวดั กำลงั ไฟฟา้ ทำให้ผ้เู รียนมีความร้เู พ่มิ เกย่ี วกับกำลงั ไฟฟ้าทีเ่ กิดข้ึนจากการใช้
ไฟฟ้าของอปุ กรณไ์ ฟฟ้าและเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า สามารถหาค่ากำลงั ไฟฟ้าได้ 2 วิธกี าร คือใชก้ ารวัดแรงดนั ไฟฟ้าและ
กระแสไฟฟ้าในวงจรนำมาคำนวณโดยใช้สตู รคำนวณกำลังไฟฟา้ อกี วิธหี นึ่งใช้วตั ต์มิเตอรต์ อ่ วดั กำลงั ไฟฟา้ ในวงจร
โดยตรง ช่วยลดความยุ่งยากในการวัดค่าลงได้วัตต์มิเตอร์ที่สร้างขึ้นมาใช้งานใช้หลักการของอิเล็กโทรไดนาโม
มเิ ตอร์มีข้ัวต่อวัด 4 ขั้ว ขัว้ วดั 2 ข้ัวแรก เปน็ ของขดลวดอยู่กับท่ีหรือขดลวดกระแสไฟฟ้า ข้วั วัดอีก 2 ขวั้ ท่เี หลือ
เป็นของขดลวดเคล่ือนท่ีหรือขดลวดแรงดันไฟฟ้า การบ่ายเบนของเข็มช้ีข้ึนอยู่ กับภาระที่ต่อวงจรและ
แรงดันไฟฟา้ ทปี่ อ้ นให้วงจร
รายละเอียดการประเมินผลการเรียนรู้
• จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อที่ 1 อธิบายกำลงั ไฟฟ้าได้
1. วิธีการประเมนิ : ทดสอบ
2. เครอื่ งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : อธบิ ายกำลังไฟฟา้ ได้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ขอ้ ที่ 2 บรรยายวารม์ เิ ตอรไ์ ด้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ทดสอบ
2. เคร่อื งมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บรรยายวาร์มิเตอรไ์ ด้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ขอ้ ที่ 3 ทดลองต่อใชง้ านวัตตม์ ิเตอร์ได้
1. วธิ ีการประเมนิ : ทดสอบ
2. เครอ่ื งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การใหค้ ะแนน : ทดลองตอ่ ใชง้ านวตั ต์มเิ ตอร์ได้ จะได้ 2 คะแนน
• จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม ข้อที่ 4 ฝึกวัดและอ่านค่ากำลังไฟฟา้ ได้
1. วิธีการประเมนิ : ทดสอบ
2. เครือ่ งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารให้คะแนน : ฝกึ วดั และอา่ นคา่ กำลังไฟฟา้ ได้ จะได้ 2 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ขอ้ ท่ี 5 ชีแ้ จงวตั ต์มเิ ตอร์ได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารให้คะแนน : ชี้แจงวตั ตม์ เิ ตอร์ได้ จะได้ 1 คะแนน
• จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม ข้อท่ี 6 ตดิ ตามเพาเวอรแ์ ฟกเตอรม์ เิ ตอร์ได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : ติดตามเพาเวอร์แฟกเตอร์มิเตอร์ได้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ขอ้ ที่ 7 ยอมรบั วตั ตอ์ าวร์มิเตอรไ์ ด้
1. วธิ กี ารประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารให้คะแนน : ยอมรับวตั ตอ์ าวร์มเิ ตอรไ์ ด้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ข้อท่ี 8 เลือกมาตรวัดกำลังไฟฟ้าแตช่ นิดไปใชง้ านอยา่ งเหมาะสม
1. วิธีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่อื งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : เลือกมาตรวัดกำลังไฟฟ้าแต่ชนิดไปใช้งานอย่างเหมาะสม จะได้ 1
คะแนน
แบบประเมินผลการนำเสนอผลงาน
ชอื่ กล่มุ ……………………………………………ชน้ั ………………………หอ้ ง...........................
รายชอ่ื สมาชกิ
1……………………………………เลขท…่ี …. 2……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขท…ี่ …. 4……………………………………เลขที่…….
ท่ี รายการประเมนิ คะแนน ข้อคดิ เห็น
32 1
1 เน้ือหาสาระครอบคลมุ ชดั เจน (ความรู้เก่ยี วกบั เนอื้ หา ความถกู ต้อง
ปฏิภาณในการตอบ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้ )
2 รปู แบบการนำเสนอ
3 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
4 บคุ ลิกลักษณะ กิรยิ า ท่าทางในการพดู น้ำเสียง ซ่ึงทำให้ผู้ฟังมีความ
สนใจ
รวม
ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
1. เน้อื หาสาระครอบคลมุ ชัดเจนถูกต้อง
3 คะแนน = มสี าระสำคญั ครบถว้ นถูกตอ้ ง ตรงตามจดุ ประสงค์
2 คะแนน = สาระสำคญั ไม่ครบถ้วน แตต่ รงตามจดุ ประสงค์
1 คะแนน = สาระสำคญั ไมถ่ ูกตอ้ ง ไม่ตรงตามจุดประสงค์
2. รูปแบบการนำเสนอ
3 คะแนน = มรี ปู แบบการนำเสนอท่เี หมาะสม มกี ารใช้เทคนคิ ท่ีแปลกใหม่ ใช้สือ่ และเทคโนโลยี
ประกอบการ นำเสนอที่นา่ สนใจ นำวสั ดใุ นทอ้ งถน่ิ มาประยกุ ตใ์ ช้อยา่ งค้มุ ค่าและประหยดั
คะแนน = มีเทคนคิ การนำเสนอที่แปลกใหม่ ใชส้ อ่ื และเทคโนโลยีประกอบการนำเสนอท่ีน่าสน ใจ แตข่ าด
การประยกุ ต์ใช้ วสั ดใุ นทอ้ งถ่ิน
1 คะแนน = เทคนิคการนำเสนอไมเ่ หมาะสม และไมน่ ่าสนใจ
3. การมีสว่ นร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนมีบทบาทและมสี ่วนรว่ มกจิ กรรมกลมุ่
2 คะแนน = สมาชกิ ส่วนใหญ่มบี ทบาทและมีส่วนร่วมกจิ กรรมกลมุ่
1 คะแนน = สมาชกิ ส่วนน้อยมบี ทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุม่
4. ความสนใจของผ้ฟู ัง
3 คะแนน = ผฟู้ งั มากกวา่ รอ้ ยละ 90 สนใจ และให้ความรว่ มมือ
2 คะแนน = ผูฟ้ ังร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามรว่ มมอื
1 คะแนน = ผู้ฟงั น้อยกวา่ รอ้ ยละ 70 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
แบบประเมินกระบวนการทำงาน
ช่อื กลมุ่ ……………………………………………ชน้ั ………………………หอ้ ง...........................
รายช่อื สมาชกิ 2……………………………………เลขท่ี…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท…่ี ….
3……………………………………เลขท…ี่ ….
ท่ี รายการประเมิน คะแนน ข้อคดิ เหน็
1 การกำหนดเปา้ หมายรว่ มกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ท่ีรับผดิ ชอบและการเตรียมความพรอ้ ม
3 การปฏิบตั ิหน้าท่ีทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
4 การประเมนิ ผลและปรบั ปรงุ งาน
รวม
ผปู้ ระเมนิ …………………………………………………
วันท่ี…………เดือน……………………..พ.ศ…………...
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
1. การกำหนดเป้าหมายรว่ มกนั
3 คะแนน = สมาชกิ ทุกคนมสี ่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายการทำงานอย่างชดั เจน
2 คะแนน = สมาชกิ สว่ นใหญม่ ีส่วนรว่ มในการกำหนดเป้าหมายในการทำงาน
1 คะแนน = สมาชกิ ส่วนนอ้ ยมสี ่วนรว่ มในการกำหนดเปา้ หมายในการทำงาน
2. การมอบหมายหนา้ ท่รี บั ผิดชอบและการเตรยี มความพรอ้ ม
3 คะแนน = กระจายงานได้ทัว่ ถงึ และตรงตามความสามารถของสมาชกิ ทุกคน มีการจัดเตรียมสถานที่ สอ่ื /
อุปกรณ์ไว้อยา่ งพร้อมเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานได้ทวั่ ถงึ แตไ่ มต่ รงตามความสามารถ และมีสอ่ื / อปุ กรณไ์ วอ้ ย่างพร้อมเพรยี ง แต่ขาด
การจัดเตรยี มสถานที่
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทัว่ ถึงและมีส่ือ / อปุ กรณ์ไม่เพยี งพอ
3. การปฏิบัตหิ น้าท่ีท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
3 คะแนน = ทำงานไดส้ ำเรจ็ ตามเป้าหมาย และตามเวลาทก่ี ำหนด
2 คะแนน = ทำงานได้สำเร็จตามเปา้ หมาย แต่ช้ากวา่ เวลาท่กี ำหนด
1 คะแนน = ทำงานไม่สำเรจ็ ตามเป้าหมาย
4. การประเมินผลและปรับปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชกิ ทกุ คนรว่ มปรกึ ษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเปน็ ระยะ
2 คะแนน = สมาชกิ บางสว่ นมีส่วนร่วมปรกึ ษาหารอื แต่ไมป่ รบั ปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชกิ บางสว่ นไม่มสี ่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรงุ งาน
บนั ทกึ หลังการสอน
หน่วยที่ 10 มาตรวัดกำลงั ไฟฟ้า
ผลการใชแ้ ผนการเรียนรู้
1. เนอ้ื หาสอดคลอ้ งกับจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
2. สามารถนำไปใช้ปฏบิ ตั กิ ารสอนไดค้ รบตามกระบวนการเรียนการสอน
3. สอ่ื การสอนเหมาะสมดี
ผลการเรียนของนักเรียน
1. นักศกึ ษาสว่ นใหญ่มคี วามสนใจใฝร่ ู้ เขา้ ใจในบทเรียน อภปิ รายตอบคำถามในกล่มุ และร่วมกนั ปฏิบตั งิ านท่ี
ได้รับมอบหมาย
2. นักศกึ ษากระตือรือร้นและรับผดิ ชอบในการทำงานกลุ่มเพอื่ ให้งานสำเรจ็ ทนั เวลาทกี่ ำหนด
3. นกั ศึกษาทดลองต่อใชง้ านวตั ตม์ ิเตอรไ์ ด้
4. นกั ศึกษาฝกึ วัดและอา่ นคา่ กำลังไฟฟ้าได้
ผลการสอนของครู
1. สอนเนอื้ หาได้ครบตามหลักสตู ร
2. แผนการสอนและวธิ กี ารสอนครอบคลมุ เนอ้ื หาการสอนทำให้ผู้สอนสอนได้อยา่ งม่ันใจ
3. สอนได้ทันตามเวลาทก่ี ำหนด
แผนการจัดการเรยี นรู้/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยที่ 11
ชื่อวชิ า เครอื่ งมือวัดไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์ สอนสปั ดาห์ที่ 16-17
ช่ือหนว่ ย ออสซลิ โลสโคป คาบรวม 68
ช่ือเรอื่ ง ออสซิลโลสโคป จำนวนคาบ 4
หัวข้อเรื่อง
ดา้ นความรู้
1. ออสซิลโลสโคป
2. หน้าทีก่ ารทำงานของขว้ั ต่อและปุ่มปรบั
ดา้ นทกั ษะ
3. การวดั แรงดนั ไฟฟ้า
4. วดั เวลาและความถ่ี
5. วัดสญั ญาณไฟฟ้าด้วยวธิ ลี สิ ซาจัวส์
ดา้ นจิตพสิ ยั
6. โครงสรา้ งออสซิลโลสโคป
ด้านคุณธรรม จริยธรรม
7. นำออสซิลโลสโคปไปใช้งานอยา่ งเหมาะสม
สาระสำคัญ
ออสซลิ โลสโคปเปน็ เครอ่ื งวดั ไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนกิ ส์ มีความสำคญั ตอ่ การใช้งานอยา่ งกว้างขวาง หลาย
ดา้ น สามารถวดั และดูรปู ร่างของสญั ญาณไฟฟ้าได้ วัดเวลา วัดความถี่ วัดความต่างเฟสของสัญญาณ และสามารถ
ดดั แปลงไปวดั ค่าปริมาณอืน่ ๆ ได้
สมรรถนะอาชพี ประจำหนว่ ย
1. ใช้ออสซลิ โลสโคปในการทำงาน
คำศัพทส์ ำคัญ
-
จุดประสงค์การสอน/การเรยี นรู้
• จุดประสงค์ทัว่ ไป / บูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง
1. เพ่ือใหม้ ีความรู้เก่ียวกับการอธิบายออสซลิ โลสโคป (ดา้ นความร)ู้
2. เพอื่ ให้มีความรู้เก่ียวกบั การรวบรวมหนา้ ท่กี ารทำงานของขั้วตอ่ และปุ่มปรับ (ดา้ นความรู้)
3. เพอ่ื ให้มที กั ษะในการแสดงท่าทางการวดั แรงดนั ไฟฟ้า (ดา้ นทกั ษะ)
4. เพือ่ ให้มที ักษะในการทดลองวัดเวลาและความถ่ี (ด้านทกั ษะ)
5. เพอ่ื ให้มที กั ษะในการฝกึ วัดสัญญาณไฟฟา้ ด้วยวธิ ลี สิ ซาจวั ส์ (ด้านทกั ษะ)
6. เพือ่ ใหม้ เี จตคตทิ ีด่ ีในการใช้เหตุผลเกย่ี วกบั โครงสร้างออสซลิ โลสโคป (ด้านจติ พสิ ยั )
7. เพื่อนำออสซิลโลสโคปไปใชง้ านอยา่ งเหมาะสม (ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม)
• จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง
1. อธบิ ายออสซลิ โลสโคปได้ (ดา้ นความร)ู้
2. รวบรวมหนา้ ท่ีการทำงานของขวั้ ต่อและปุม่ ปรับได้ (ด้านความรู้)
3. แสดงท่าทางการวดั แรงดนั ไฟฟา้ ได้ (ดา้ นทักษะ)
4. ทดลองวดั เวลาและความถี่ได้ (ด้านทกั ษะ)
5. ฝึกวัดสัญญาณไฟฟ้าด้วยวิธลี ิสซาจัวสไ์ ด้ (ดา้ นทกั ษะ)
6. ใช้เหตุผลเก่ยี วกับโครงสรา้ งออสซิลโลสโคปได้ (ดา้ นจติ พสิ ยั )
7. นำออสซิลโลสโคปไปใชง้ านอยา่ งเหมาะสมได้ (ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม)
เนือ้ หาสาระการสอน/การเรียนรู้
• ดา้ นความรู้(ทฤษฎี)
11.1 ออสซิลโลสโคป
ในงานดา้ นไฟฟา้ และอิเล็กทรอนกิ ส์ สญั ญาณไฟฟ้าแตล่ ะชนิดมบี ทบาท มคี วามสำคัญต่อการทำงาน และ
การควบคุมให้เกิดการทำงาน สัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้เป็นทั้งสัญญาณข้อมูลและสัญญาณควบคุมการทำงาน การ
ทำงานของวงจรหรือระบบจะสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ สัญญาณไฟฟา้ ท่ปี ้อนให้วงจรหรือระบบต้อง
ถูกต้องสมบูรณ์ด้วยเช่นเดียวกัน ในการสร้างเครื่องมือหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ การตรวจวัดหรือ
ตรวจสอบสัญญาณไฟฟา้ ต้องมีเคร่ืองวัดไฟฟ้าและเครื่องมอื ทดสอบท่ีสามารถวัดรูปร่างสัญญาณไฟฟ้าเหล่านนั้ ได้
นับได้ว่าเคร่ืองมือดงั กล่าวน้ีมีบทบาทสำคญั ต่อการใชง้ านมาก ช่วยอำนวยความสะดวกให้ช่างสามารถวัดทดสอบ
และตรวจวัดอปุ กรณแ์ ละวงจรไดร้ วดเร็วขึ้น ลดเวลาในการปฏิบตั งิ านลง มปี ระโยชน์ต่อการใช้งานอยา่ งกว้างขวาง
ถูกนำไปใช้งานอย่างแพรห่ ลายในงานที่ตอ้ งเก่ยี วข้องกับการวัดสัญญาณต่างๆ ทางไฟฟ้า เคร่ืองวัดไฟฟา้ ดงั กล่าว
ไดแ้ ก่ ออสซลิ โลสโคป (Oscilloscope)
จากรูปที่ 11.1 แสดงออสซิลโลสโคปชนิดต่างๆ มีท้ังชนิดที่ภาคแสดงผลใช้หลอดแคโถดเรย์ (Cathode
Ray Tube ; CRT) หรือหลอดรังสีแคโถดในการแสดงผลสัญญาณท่ีวัดได้ออกมาเรียกออสซิลโลสโคปชนิดนี้ว่า
แคโถดเรย์ออสซิลโลสโคป (Cathode Ray Oscilloscope ; CRO)หรืออาจเรยี กว่า ออสซิลโลสโคปใช้หลอดรังสี
แคโถด ออสซิลโลสโคปชนิดนี้มีการแสดงผลออกมาในแบบแอนะลอก เป็นออสซิลโลสโคปที่ผลิตมาใช้งานต้งั แต่
สมัยเริ่มแรก ใช้งานมาจนถึงปัจจุบันออสซิลโลสโคปชนิดนี้เป็นชนิดพื้นฐานของการผลิตออสซิลโลสโคปขึ้นมาใช้
งาน
ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีภาคแสดงผลของออสซิลโลสโคปชนิดใหม่ให้เปน็ แบบดิจิตอล โดย
ภาคแสดงผลเปลี่ยนจากการใช้หลอดแคโถดเรย์ (CRT) มาใช้คลิสตอลเหลว(Liquid Crystal Display ; LCD)
แสดงผลเป็นสีออกมา โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตภาคแสดงผลของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ เรียก
ออสซิลโลสโคปชนิดน้ีว่า ดิจิตอลฟอสเฟอร์ออสซิลโลสโคป (Digital Phosphor Oscilloscopes ; DPO) ทำให้
เครื่องออสซิลโลสโคปมีขนาดบางลง และนำ้ หนกั เบาลง เพราะไม่ตอ้ งใช้หลอดแคโถดเรย์ (CRT) ทมี่ คี วามยาวของ
หลอดมาก
ออสซลิ โลสโคป เป็นเคร่ืองวัดไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนกิ ส์อีกชนดิ หนึ่ง ที่มบี ทบาทสำคญั ต่อการใช้งานในการ
วัดและทดสอบประจำห้องปฏบิ ัตกิ ารทดลอง สามารถนำไปใช้งานในการวัดปริมาณไฟฟ้าได้หลายชนดิ คล้ายกับมัล
ตมิ ิเตอร์ แตม่ ีขอ้ ดีกวา่ มัลติมเิ ตอรห์ ลายประการคอื วัดและแสดงผลการวัดได้รวดเรว็ สามารถแสดงภาพสญั ญาณ
ที่วัดไดอ้ อกมาปรากฏบนจอภาพให้เหน็ ใชว้ ัดหาค่าเวลาของสัญญาณได้ วดั ความถข่ี องสัญญาณได้ นอกจากน้ันยัง
สามารถพัฒนาไปใช้งานในด้านอ่ืนๆ ได้อย่างกว้างขวาง เช่น ด้านทหาร ด้านการแพทย์ ด้านประมง และด้าน
สอ่ื สาร เป็นตน้ การวัดสัญญาณไฟฟา้ ของออสซลิ โลสโคปเป็นการวดั แรงดันไฟฟ้าที่เปลยี่ นแปลงไปเปน็ สัดส่วนกับ
เวลา จึงสามารถนำออสซิลโลสโคปไปดัดแปลงวัดปรมิ าณอืน่ ๆ ได้อีกหลายชนิดเชน่ กระแสไฟฟ้า ความดัง ความ
ดนั ความเรง่ และการสั่นสะเทือน เปน็ ต้น
11.2 โครงสร้างออสซลิ โลสโคป
ออสซิลโลสโคปมีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกเป็นวงจรทำงานด้านไฟฟ้าและ
อิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่เปล่ียนสัญญาณไฟฟ้าที่รับเข้ามาให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าในรูปร่างลักษณะต่างๆ ส่งไป
ควบคมุ การทำงานของภาคทำงานในระบบ ได้ค่าถูกต้องออกมา และสว่ นทส่ี องเป็นส่วนแสดงผล ทำหนา้ ท่ีเปล่ยี น
สญั ญาณไฟฟ้าให้เป็นแสงสว่างเกิดการบ่ายเบนไปบนหน้าจอภาพ ได้สัญญาณไฟฟ้ารูปร่างต่างๆ ท่ีวัดได้ออกมา
ลักษณะโครงสร้างและการทำงานมคี วามคล้ายคลึงกับเครอื่ งรบั โทรทัศน์ ตรงทส่ี ามารถทำใหเ้ กดิ ภาพขึน้ ที่จอภาพ
ได้
จากรูปที่ 11.2 แสดงบล็อกไดอะแกรมโครงสร้างออสซิลโลสโคปเบ้ืองต้น ประกอบด้วยวงจรภาคต่างๆ มี
หน้าทกี่ ารทำงานดังน้ี
1. ภาคลดทอนทางแนวตง้ั (Vertical Attenuator) ทำหน้าทร่ี ับสญั ญาณไฟฟา้ อนิ พุตที่ถกู ส่งเข้ามา ปรับ
ลดทอนความแรงของสัญญาณไฟฟ้าที่รับเข้ามาให้มีระดบั ความแรงพอเหมาะกอ่ นสง่ ไปภาคขยายสัญญาณไฟฟ้า
บา่ ยเบนแนวตัง้ โดยภาคนีส้ ามารถปรบั ลดทอนระดับความแรงสญั ญาณไฟฟา้ ไดท้ ่ีหนา้ เครื่องออสซลิ โลสโคป
2. ภาคขยายสัญญาณบ่ายเบนแนวตั้ง (Vertical Deflection Amplifier) รับสัญญาณไฟฟ้าเข้ามาจาก
ภาคลดทอนทางแนวต้ัง มาทำการขยายให้สัญญาณไฟฟ้ามคี วามแรงพอเหมาะที่จะส่งไปควบคมุ ให้แผ่นเพลตบน
ล่าง (Vertical Plate) หรือแผ่นเพลตควบคุมการบ่ายเบนแนวตั้งของหลอดภาพให้เกิดสนามไฟฟ้า ไปบังคับลำ
อเิ ล็กตรอนใหบ้ ่ายเบนข้ึนลงทางแนวต้ัง
3. ภาคสญั ญาณซงิ ค์และสัญญาณกระตนุ้ (Synchronize & Trigger Signal) เปน็ ภาคท่ีรบั สญั ญาณไฟฟ้า
บางส่วนมาจากภาคขยายสัญญาณบ่ายเบนแนวตั้ง เข้ามาเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าต่างๆ ให้เป็นสัญญาณพัลส์ ส่งไป
ควบคุมใหภ้ าคกำเนิดความถ่ฟี ันเล่อื ยทางแนวนอน กำเนิดความถีข่ ึ้นมาพร้อมกับความถ่ีทป่ี ้อนเขา้ มาทำให้ภาพที่
ปรากฏบนจอออสซลิ โลสโคปหยดุ นง่ิ ไมเ่ กดิ การเลื่อนการไหล
4. ภาคกำเนิดความถ่ีฟันเลื่อยทางแนวนอน (Horizontal Sawtooth Oscillator) เป็นภาคให้กำเนิด
ความถ่ีฟันเลื่อยขึน้ มา มีความถี่ที่ทำงานสัมพันธ์กันกับความถขี่ องสัญญาณไฟฟ้าทางแนวตั้ง ส่งไปให้ภาคขยาย
สัญญาณบ่ายเบนแนวนอน โดยช่วยทำให้ภาคขยายสัญญาณบ่ายเบนแนวนอนขยายสัญญาณได้ค่าเหมาะสม
ออกมา
สัญญาณก่อนส่งไปเข้าภาคขยายสัญญาณบ่ายเบนแนวนอน จะส่งไปให้สวิตช์เลือกรับสัญญาณป้อนเข้า
สวิตช์เลอื กได้ 2 ตำแหน่ง คอื จากภายใน INT. (Internal) และจากภายนอกEXT. (External)
ตำแหน่ง INT. เปน็ การรับสัญญาณมาจากภาคกำเนิดความถฟ่ี ันเลอื่ ยทางแนวนอนมา
ตำแหน่ง EXT. เป็นการรับสัญญาณมาจากภายนอก ท่ีขั้วอินพุตทางแนวนอนเพื่อใช้
ออสซลิ โลสโคปสำหรับการวดั ความถ่แี บบพเิ ศษ และวัดความต่างเฟสของสญั ญาณไฟฟา้ โดย
ใชว้ ธิ ลี สิ ซาจวั ส์ (Lissajous Method)
5. ภาคขยายสัญญาณบ่ายเบนแนวนอน (Horizontal Deflection Amplifier) รับสัญญาณมาจากภาค
กำเนิดความถฟ่ี ันเลื่อยทางแนวนอน มาทำการขยายสัญญาณให้มคี วามแรงมากพอ ที่จะส่งไปควบคุมแผ่นเพลต
ซ้ายขวา (Horizontal Plate) หรือแผ่นเพลตควบคุมการบ่ายเบนแนวนอนของหลอดภาพให้เกิดสนามไฟฟ้า ไป
บงั คับลำอิเล็กตรอนให้เกดิ การบ่ายเบนในแนวนอน
6. แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้า (Power Supply) เป็นแหล่งกำเนิดแรงดันไฟฟ้าขนาดต่างๆ จ่ายไปเล้ียงวงจร
และสว่ นประกอบของระบบ ให้สามารถทำงานได้
7. ภาคแสดงผล เป็นภาคทำหน้าท่ีนำสัญญาณไฟฟ้าท่ีรับเข้ามาจากอินพุตไปแสดงผลบนจอภาพ ใน
ภาคแสดงผลนี้แบ่งเป็น 2 ชนิด คอื ชนิดแสดงผลแบบแอนะลอก (Analog Display)ใชห้ ลอดภาพแคโถดเรย์ (CRT)
เป็นหลอดภาพชนิดหลอดสญุ ญากาศ เชน่ เดยี วกับหลอดภาพโทรทัศน์ ทำหน้าท่กี ำเนิดภาพข้นึ มาจากการเรอื งแสง
ของสารฟอสเฟอร์ (Phosphor) ท่ีฉาบไว้บนผิวด้านในของหน้าจอหลอดภาพ ตรงตำแหน่งท่ีอิเล็กตรอนวิ่งมา
กระทบ และชนิดแสดงผลแบบดิจิตอล (Analog Display) ใช้คลิสตอลเหลว (LCD) หักเหแสงผ่านไปยังแผ่น
ฟิลเตอร์ 3 สีแดง (R) เขียว (G) น้ำเงนิ (B) แสดงผลเป็นสญั ญาณสีออกมา ออสซลิ โลสโคปชนดิ แอนะลอกและชนิด
ดิจิตอล
11.3 หนา้ ที่การทำงานของขว้ั ต่อและปมุ่ ปรบั
ออสซิลโลสโคปทสี่ รา้ งข้นึ มาใช้งาน สามารถสร้างให้วัดและแสดงผลการวดั สญั ญาณไฟฟา้ ออกมาไดห้ ลาย
ช่องสัญญาณ เช่น 2, 4 และ 8 ช่องสัญญาณ เป็นต้น เพื่อให้สามารถวัดสัญญาณไฟฟ้าได้พร้อมกันหลายๆ
สัญญาณ เกิดความสะดวกรวดเร็วในการใช้งาน ออสซิลโลสโคปที่นิยมใช้งานเป็นชนดิ วัดสัญญาณไฟฟ้าได้พร้อม
กัน 2 สัญญาณ มีชื่อเรียกว่าออสซิลโลสโคปชนิด 2เส้นภาพ (Dual Trace Oscilloscope) สามารถวัดสัญญาณ
อนิ พุตได้ในเวลาพร้อมกัน 2 อินพุตหรือ 2 ช่องสัญญาณ ใชใ้ นการวดั เพือ่ เปรียบเทยี บสัญญาณ 2 สัญญาณในเวลา
เดียวกัน และใช้ในการอ้างอิงสัญญาณ ตลอดจนการนำไปใช้วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง แรงดันไฟฟา้ กระแสสลับ
วัดเวลา วดั ความถ่ี วัดเฟส หรอื วัดด้วยวิธีการลิสซาจัวส์ได้
ออสซิลโลสโคปที่ถูกผลิตข้ึนมาใช้งานมีมากมายหลายรุ่น หลายแบบ และหลายย่ีห้อ ทำให้การวาง
ตำแหน่งของปุ่มปรับต่างๆ และข้ัวต่อต่างๆ มีความแตกต่างกันไปบ้าง ตลอดจนช่ือท่ีใช้ในการเรียกปุ่มปรับและ
ขั้วต่ออาจมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ปุ่มปรับหลัก และข้ัวต่อหลักของออสซิลโลสโคปแต่ละรุ่นแต่ละแบบจะ
เหมือนกัน เปน็ มาตรฐานเดียวกนั การศกึ ษาให้รู้จักหน้าที่ของปุ่มปรบั และขัว้ ตอ่ รจู้ ักการปรับแต่ง รู้จักการใชง้ าน
ตลอดจนรจู้ กั ประยุกตใ์ ชง้ าน เป็นสิง่ จำเปน็ ทีจ่ ะทำให้สามารถใช้งานออสซลิ โลสโคปได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ หนา้ ที่
ทำงานของขว้ั ต่อและปมุ่ ปรบั ของออสซิลโลสโคปชนดิ 2 เส้นภาพ
จากรูปที่ 11.4 แสดงหน้าท่ีทำงานของขั้วต่อและปุ่มปรับของออสซิลโลสโคปชนิด 2 เส้นภาพชนิดหนึ่ง
สามารถแบ่งส่วนประกอบของขั้วต่อและปุ่มปรับออกได้เป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ส่วนควบคุมภาคแสดงผล ส่วน
ควบคุมภาพแนวนอน ส่วนทดสอบและปรับแต่ง และส่วนควบคุมภาพแนวตั้ง แต่ละส่วนมีขั้วต่อและปุ่มปรับมี
หนา้ ทใ่ี ชง้ านแตกตา่ งกนั ดงั น้ี
11.3.1 ส่วนควบคมุ ภาคแสดงผล
หมายเลข 1 คือสวิตช์ POWER ON/OFF เป็นสวิตช์เปิด / ปิดเคร่ืองชนิดกด ขณะสวิตช์กดจะ
เป็นสภาวะเปิดเคร่ือง (ON) ให้ทำงาน และขณะสวิตช์ปล่อยจะเป็นสภาวะปิดเครื่อง (OFF) ให้หยุดทำงาน การ
แสดงสภาวะเปิด / ปิดเคร่อื งถูกแสดงด้วยตวั LED ขณะเปดิ เครอื่ ง LED จะตดิ สว่างขณะปิดเคร่อื ง LED จะดับ
หมายเลข 2 คือปุ่ม INTENS. ชื่อเต็มว่าอินเทนสิตี(Intensity) เป็นปุ่มปรับความสว่างของเส้น
แสงท่ีหน้าจอภาพถา้ หมุนในทศิ ทางทวนเขม็ นาฬิกาสดุ เส้นแสงจะมดื และถ้าหมุนในทิศทางตามเขม็ นาฬิกาสดุ เส้น
แสงจะสว่างมากทีส่ ุด ในการปรบั ป่มุ INTENS. ควรปรบั ให้เส้นแสงสว่างพอเหมาะ
หมายเลข 3 คือปุ่ม FOCUS ปมุ่ โฟกัสเป็นปมุ่ ปรับควบคุมความคมชัดของเส้นแสงที่หน้าจอภาพ
โดยปรับใหเ้ ส้นแสงเรยี วเล็กคมชดั ทีส่ ดุ
หมายเลข 4 คือ TR ช่ือเต็มว่าเทรซโรเตชัน (Trace Rotation) เป็นสกรูปรับค่าความเอียงของ
เสน้ แสงดา้ นแนวนอนให้เส้นแสงอยู่ในแนวขนานกับเสน้ ตารางแนวนอน
11.3.2 สว่ นควบคุมภาพแนวนอน
หมายเลข 5 คือ สวิตช์ X – Y เป็นสวิตช์กดสำหรับทำให้ออสซิลโลสโคปเปลี่ยนสภาวะการ
ทำงานเปน็ X – Yออสซลิ โลสโคป มสี ภาวะการทำงาน 2 สภาวะ
สวิตชข์ ณะปล่อย : ใช้เปน็ ออสซลิ โลสโคปปกติ
สวิตช์ขณะกด : ใช้เป็น X – Y ออสซิลโลสโคปโดยป้อนสัญญาณอินพุตเข้าที่ข้ัวต่อ
VERT. INP. CH – I(หมายเลข 23) เป็นอินพุตด้านแนวแกนตั้ง (Ver.) และป้อนสัญญาณอินพุตเข้าที่ข้ัวต่อ
VERT.INP. CH – II (หมายเลข 35)เปน็ อนิ พุตดา้ นแนวแกนนอน (Hor.)
หมายเลข 6 คือ ปุ่ม X – POS. ช่ือเต็มคือเอกซ์ – โพสิชัน (X - Position) เป็นปุ่มปรับควบคุม
การเล่อื นซ้ายขวาของภาพในแนวนอน กรณีทีก่ ดปุ่มหมายเลข 5 ทำเป็น X – Yออสซลิ โลสโคป ปุ่มนี้ทำหน้าท่ปี รับ
เลอื่ นภาพในแนวแกนนอน
หมายเลข 7 คือ ปุ่ม HOLD OFF เป็นปุ่มปรับความกว้างของพัลส์ให้มีเวลาท่ีเหมาะสมในการ
ควบคุมการกวาดของสญั ญาณฟันเลื่อย เพื่อทำให้สัญญาณทรกิ เกอรท์ ำงานได้ถูกต้อง จะทำให้เกิดภาพทห่ี น้าจอ
ถูกตอ้ ง ภาพไม่ซ้อน โดยปกติจะปรับไว้ในทิศทางทวนเขม็ นาฬกิ าสุด และเม่อื ปรบั ไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกา จะ
ทำให้ความสว่างของภาพลดลง
หมายเลข 8 คอื LED เปน็ หลอด LED แสดงสภาวะการกระต้นุ สัญญาณซงิ กข์ ณะมีสัญญาณทริก
เกอร์ หรือสญั ญาณกระตนุ้ มาควบคมุ LED จะตดิ สว่าง
หมายเลข 9 คือ สวิตช์ TV SEP. ชื่อเต็มทีวีซิงก์เซพาเรเตอร์ (TV SYNC.Separator) เป็นการ
ควบคุมการซิงก์ของสัญญาณภาพบนจอออสซิลโลสโคปด้วยสัญญาณภาพของ TV เพื่อใช้ในการวัดสัญญาณ
โทรทัศน์ เปน็ สวติ ช์เล่ือน 3 ตำแหน่งคอื OFF, TV – H และ
OFF : ไมใ่ ช้สวิตชต์ วั น้ี ออสซิลโลสโคปทำงานปกติ
TV – H : ใชเ้ มอื่ วดั ความถ่ีของ TV ด้านแนวนอน ได้ขนาดภาพพอเหมาะ
TV – V : ใชเ้ มอ่ื วดั ความถ่ขี อง TV ดา้ นแนวตง้ั ได้ขนาดภาพพอเหมาะ
หมายเลข 10 คือ สวิตช์ TRIG. มีช่ือเต็มว่าทริกเกอร์ (Trigger) เป็นสวิตช์เล่ือนสำหรับเลือก
สญั ญาณกระตนุ้ ควบคุมสญั ญาณภาพบนจอภาพ มี 5 ตำแหนง่ ให้เลอื ก คือ AC, DC,HF, LF และ ~
AC : ใชส้ ำหรบั วัดความถี่ไฟฟ้ากระแสสลบั ต้งั แต่ 10 Hz ถงึ 20 MHz
DC : ใช้สำหรับวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงและความถี่ไฟฟ้ากระแสสลับ วัดได้ต้ังแต่
ไฟฟา้ กระแสตรง (DC) ถงึ ไฟฟ้ากระแสสลับความถ่ี 20 MHz
HF : ใชส้ ำหรบั วัดความถีส่ งู ต้งั แต่ 1.5 kHz ถึง 40 MHz
LF : ใช้สำหรบั วัดความถต่ี ่ำต้ังแต่ไฟฟา้ กระแสตรง (DC) ถึง 1 kHz
~ : ใช้สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับจากแหล่งจ่ายภายในออสซิลโลสโคป ท่ีแรงดันไฟฟ้า
ตำ่ เป็นสญั ญาณกระตนุ้
หมายเลข 11 คือ สวิตช์ + / – เป็นสวติ ช์กดสำหรับเลือกเฟสของสัญญาณกระตุ้นมีสภาวะการ
ทำงาน 2 สภาวะ คือ
สวิตช์ขณะปล่อย : เป็น + จุดเร่ิมต้นของสัญญาณกระตุ้นเป็นช่วงบวก ภาพท่ีเกิดบน
จอภาพด้านซา้ ยจะเริม่ ตน้ ของสัญญาณช่วงบวกกอ่ น
สวิตช์ขณะกด : เป็น – จุดเริ่มต้นของสัญญาณกระตุ้นเป็นช่วงลบ ภาพท่ีเกิดบน
จอภาพด้านซา้ ยจะเร่ิมตน้ ของสัญญาณชว่ งลบก่อน
หมายเลข 12 คือ สวิตช์ TIME / DIV. เป็นสวิตช์เลือกสำหรับปรบั เลือกเวลาการกวาดของฐาน
เวลา โดยเลือกเวลาเป็นไมโครวินาทีต่อช่อง (μs / DIV.) มิลลิวินาทีต่อช่อง (ms / DIV.)และวินาทีต่อช่อง (s /
DIV.) มที ั้งหมด 18 ขน้ั ตั้งแต่ 0.5 μs / DIV. ถงึ 0.2 s / DIV. มเี ลขลำดับเป็นเลข 1, 2, 5
การอา่ นคา่ โดยอา่ นจำนวนช่องของสัญญาณทป่ี รากฏบนจอภาพเพยี ง 1 รอบคลน่ื คูณกับคา่ เวลา
ต่อชอ่ งทีต่ ้ังไว้ อ่านออกมาเปน็ μs, ms หรือ s และจะตอ้ งทำงานร่วมกับปุ่ม‹Variable (หมายเลข 13) ต้องปรับ
ให้ตรงตำแหนง่ ‹ CAL. จึงจะอา่ นคา่ ได้ถกู ตอ้ ง
หมายเลข 13 คอื ปมุ่ TIME VARIABLE ปุ่มปรับเปลีย่ นเวลาการกวาดของฐานเวลาแบบละเอียด
เพ่ือยืดหรือหดสัญญาณภาพบนจอภาพ โดยทำงานร่วมกับปุ่ม TIME / DIV.(หมายเลข 12) ปกติจะปรับไปใน
ทิศทางทวนเข็มนาฬิกาสุด ให้มีสัญลักษณ์สามเหล่ียมเหมอื นรปู ท่ีกำหนด หรือปรับให้ตรงตำแหน่ง CAL. เพื่อให้
การอา่ นเวลาบนจอภาพได้คา่ ถกู ตอ้ ง
หมายเลข 14 คอื สวิตช์ EXT. ช่ือเต็มเอกซ์เตอร์นอลทรกิ เกอร์ (External Trigger)เป็นสวิตช์กด
เพื่อเลือกสัญญาณกระตุ้น ว่าจะใช้ภายในเครื่องออสซิลโลสโคป หรือใช้จากภายนอกป้อนเข้ามา มีสภาวะการ
ทำงาน 2 สภาวะ คอื
สวติ ช์ขณะปล่อย : ใชส้ ัญญาณกระตุน้ จากภายในเครอื่ ง
สวิตช์ขณะกด : ใชส้ ัญญาณกระตุ้นจากภายนอกเครื่อง โดยป้อนสัญญาณกระตุ้นเข้าที่
ขวั้ ตอ่ TRIG.INP. (หมายเลข 15)
หมายเลข 15 คือ ข้ัว TRIG.INP. ช่ือเต็มว่าทริกเกอร์อินพุต (Trigger Input)เป็นข้ัวต่อ BNC
สำหรับต่อรับสัญญาณกระตุ้นจากภายนอก เม่ือสวิตช์ EXT.(หมายเลข 14) อยู่ในตำแหน่งกด ความแรงของ
สญั ญาณกระตุ้นท่ปี อ้ นเขา้ มาจะมีค่าได้สูงสุดไมเ่ กนิ กว่า 100 VP
หมายเลข 16 คือ สวิตช์ AT / NORM. ช่ือเต็มคือ ออโตเมติก / นอร์มอล (Automatic
/Normal) เป็นสวิตช์กดสำหรับควบคุมการกระตุ้นสัญญาณควบคุมภาพบนจอภาพ ให้ภาพหยุดนิ่งจะมีสภาวะ
ควบคุม 2 แบบ คือ แบบอัตโนมัติ และแบบปรับด้วยมือ ทำงานร่วมกับปุ่ม LEVEL(หมายเลข 17) มีสภาวะการ
ทำงาน 2 แบบ คือ
สวติ ชข์ ณะปล่อย (PULL AUTO.) : เป็นการควบคมุ การกระตุ้นโดยอัตโนมัตจิ ะต้องปรับ
ปุ่ม LEVEL (หมายเลข 17) ในตำแหน่งถูกต้อง ภาพที่ปรากฏจึงหยุดน่ิง ถ้าปรับไม่ถูกต้องภาพเกิดการเล่ือน
ตลอดเวลา และขณะไม่มีสญั ญาณปอ้ นเขา้ มา กส็ ามารถเห็นเส้นแสงบนจอภาพตลอดเวลา
สวิตช์ขณะกด (PUSH NORM.) : เป็นการควบคุมการกระตุ้นโดยปรับด้วยมือจะต้อง
ปรับปุ่ม LEVEL (หมายเลข 17) ในตำแหน่งถูกต้องจึงปรากฏภาพให้เห็น ถ้าปรับไม่ถูกต้องจะไม่ปรากฏภาพให้
เหน็ และขณะไม่มีสญั ญาณปอ้ นเข้ามา ไม่สามารถเห็นเส้นแสงบนจอ
หมายเลข 17 คือ ปุ่ม LEVEL เป็นปุ่มปรับระดับสัญญาณซิงก์ (SYNC.) เพ่ือส่งไปควบคุม
สัญญาณท่ีวัดให้ภาพปรากฏบนจอภาพหยุดนิ่ง ถ้าปรับระดับสัญญาณซิงก์ได้ถูกต้องภาพจะหยุดนิ่ง ถ้าปรับไม่
ถกู ตอ้ งภาพจะเลื่อนและซ้อนกนั
11.3.3 ส่วนทดสอบและปรบั แต่ง
หมายเลข 18 คอื สวิตช์ X – MAG. x10 เป็นสวิตช์กด เพื่อเพ่ิมการขยายเวลาในการวดั เพ่ิมขึ้น
เป็น10 เท่าตวั (x10 MAG.) ในแนวแกนนอน หรอื แนวแกนX มสี ภาวะการทำงาน 2 สภาวะ คอื
สวิตช์ขณะปลอ่ ย : วดั และอ่านคา่ ได้ปกติ
สวติ ช์ขณะกด : สามารถขยายสัญญาณท่ีปรากฏบนจอกวา้ งขึ้น 10 เท่าจากคา่ ปกติ สามารถ
เพิ่มเวลาในการวัดได้ถึง 20 ns / DIV. ทำงานร่วมกับปมุ่ TIME / DIV. (หมายเลข 12) และ
ปุ่ม TIME VARIABLE (หมายเลข 13)
หมายเลข 19 คือ ปุ่ม CAL. 0.2 V และ 2 V เป็นปุ่มจุดทดสอบท่ีมีแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับเป็น
สัญญาณสี่เหล่ียม มีค่าแรงดันไฟฟ้า 0.2 VPP และ 2 VPP มีความถี่ 1 kHz เพ่ือใช้ตรวจสอบสภาวะการทำงาน
ของออสซิลโลสโคปวา่ ปกตหิ รอื ไม่ และใช้เพ่ือปรบั แตง่ โพรบใหถ้ ูกตอ้ งพรอ้ มใช้งาน
หมายเลข 20 คือ สวติ ช์ COMPONENT TESTER เป็นสวิตช์และข้ัวต่ออินพุตสำหรับตรวจสอบ
และตรวจวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนกิ ส์ต่างๆ เช่น R C ไอโอด ซีเนอร์ไดโอด เฟตและทรานซิสเตอร์ เป็นต้น และยัง
สามารถตรวจสอบการช็อตของวงจรได้ด้วย การใช้งานจะต้องกดสวติ ช์ทดสอบให้อยู่ในตำแหน่งกด และใช้ขว้ั ต่อ
วัดของ COMPONENT TESTER ร่วมกับข้ัวกราวดห์ มายเลข 24 หรือหมายเลข 34
การตรวจวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยการใช้ส่วน COMPONENT TESTERโดยการกดสวิตช์
COMPONENT TESTER ในตำแหน่งกดจะเกิดภาพเสน้ ตรงทางแนวแกนต้งั นำขัว้ วดั COMPONENT TESTER กับ
ขั้วกราวด์ ไปวัดวงจรหรือตัวอปุ กรณ์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ชนดิ ต่างๆ ซึง่ อาจจะวัดกับอุปกรณ์ตัวเดียว หรอื วดั กบั อุปกรณ์
ในวงจรกไ็ ด้ แต่วงจรทท่ี ำการวดั จะต้องไมม่ ีการจา่ ยกำลังไฟฟา้ ใหก้ บั อปุ กรณ์
ภาพที่ได้จะแสดงออกมาในรูปเส้นกราฟท่ีเปลย่ี นแปลงไปตามอุปกรณ์ทท่ี ำการวัด แสดงตัวอย่างกราฟท่ี
วดั ได้ดังรูปท่ี 11.8 ถ้าต้องการให้ค่าท่ีวัดได้เกิดความถูกต้องแน่นอน อาจใช้วิธีวัดตรวจสอบเปรียบเทียบกับวงจร
อย่างเดียวกันในวงจรทีใ่ ช้งานได้ โดยใชเ้ ป็นวงจรอ้างอิง
11.3.4 ส่วนควบคุมภาพแนวตงั้
หมายเลข 21 คือ ปุ่ม Y – POS.Iช่ือเต็มว่าวาย – โพสิชัน 1 (Y – Position 1)เป็นปุ่มปรับการ
เลอื่ นข้ึนลงของภาพในแนวด่ิงของ CH 1 และถา้ ปรับออสซิลโลสโคปให้ทำงานเป็น X – Y ออสซิลโลสโคปปุ่มนี้จะ
เป็นป่มุ ปรับเลอ่ื นภาพในแนวแกนต้งั หรือแกน Y
หมายเลข 22 คือ สวิตช์ INVERT.CH 1 เป็นสวิตชก์ ดเพื่อกลับข้ัวของสัญญาณอินพุตท่ีปอ้ นเข้า
มาทาง CH 1 ให้กลบั เฟสไป 180 องศา มสี ภาวะการทำงาน 2 สภาวะ คอื
สวิตช์ขณะปล่อย : เปน็ สภาวะปกตขิ องสัญญาณอนิ พุต
สวติ ช์ขณะกด : เป็นการกลบั เฟสสญั ญาณอินพตุ ไป 180 องศา
หมายเลข 23 คือ ขั้ว CH – I VERT. INP. ชื่อเต็มว่า แชนแนล 1 เวอร์ติคอลอินพุต (CH 1
Vertical Input) เป็นข้ัวต่ออินพุตของ CH 1 แบบ BNC เพ่ือต่อสัญญาณอินพุตท่ีวัดเข้าออสซิลโลสโคปทาง
แนวแกนต้ัง สามารถวัดแรงดันได้สูงสุดไม่เกนิ 400 VPP ที่ขัว้ ต่อน้ีมีคา่ อินพุตอิมพีแดนซ์ 1 M มีค่าความจุ 30
pF
เมอ่ื ทำเป็น X – Y ออสซลิ โลสโคป อนิ พตุ CH 1 นี้จะทำหน้าทีเ่ ป็นอินพุตสำหรับแผ่นเพลตแกน
แนวตัง้ หรอื แกน Y
หมายเลข 24 คือ ขวั้ GROUND CH 1 เป็นข้ัวตอ่ ลงกราวด์ของการวดั สญั ญาณ
หมายเลข 25 คือ สวติ ช์ DC – AC – GD ของ CH 1 เป็นสวิตชเ์ ลือกการสง่ ผ่านสญั ญาณจากการ
วดั เข้าออสซิลโลสโคป เพ่ือสง่ ต่อไปขยายสัญญาณที่ภาคขยายแนวตัง้ CH 1ซ่ึงมีอยู่ 3 ตำแหนง่ คือ DC, AC และ
GD (กราวด์) การเลอื กสวติ ช์แตล่ ะตำแหน่งทำงานดังน้ี
DC : สัญญาณอินพุตที่ป้อนเข้ามาถูกต่อตรงเข้าออสซิลโลสโคป ดังน้ันทั้งแรงดันไฟฟ้า
กระแสตรง และแรงดนั ไฟฟา้ กระแสสลับถูกส่งผา่ นไปแสดงผลท่หี น้าจอภาพท้ังหมด
AC : สญั ญาณอนิ พุตท่ีป้อนเข้าออสซิลโลสโคป ถูกคปั ปลิงดว้ ยตัวเก็บประจุคา่ ประมาณ 0.1
F, 630 V ทำใหแ้ รงดันไฟฟา้ กระแสตรงถูกกั้นไมใ่ หผ้ ่าน ให้ผา่ นเฉพาะแรงดนั
GD : ข้ัวอนิ พุตถกู ตดั ออกและต่อลงกราวด์ ไมม่ ีสัญญาณทกุ ชนิดปอ้ นเข้าออสซิลโลสโคป
หมายเลข 26 คือ สวิตช์ VOLTS / DIV. CH 1 เป็นสวิตช์เลือกสำหรับปรับเลือกความแรงของ
สัญญาณที่ปอ้ นเขา้ มาทางขวั้ ต่ออินพุต CH 1 (หมายเลข 23) ให้มีระดับความแรงของสัญญาณปรากฏบนจอภาพมี
ขนาดทพี่ อเหมาะ โดยเลือกความไวเปน็ mV / DIV. หรือ V / DIV.ค่าแรงดันไฟฟ้าท่อี า่ นออกมาไดจ้ ากจำนวนชอ่ ง
ของแรงดันไฟฟ้าที่ปรากฏ คูณกับคา่ mV / DIV.หรอื V / DIV ที่ตงั้ ไว้ อ่านแรงดันไฟฟา้ ออกมาเป็น VP หรอื VPP
และต้องทำงานร่วมกับปุ่มปรับVARIABLE CH 1 (หมายเลข 27) ปรับให้ตรงตำแหน่ง CAL. จึงจะทำให้ค่า
แรงดนั ไฟฟ้าทีแ่ สดงออกมาถกู ตอ้ ง
เม่ือทำเป็น X – Y ออสซิลโลสโคป สวิตช์ VOLTS / DIV. CH 1 นี้จะทำหน้าท่ีเป็นตัวปรับแต่ง
ลดทอนภาพทป่ี รากฏบนจอภาพทางแนวแกนตงั้ หรือแนว Y
หมายเลข 27 คอื ปมุ่ VARIABLE CH 1 เป็นปุ่มปรบั ความแรงของสัญญาณทางแนวแกนตัง้ อยา่ ง
ต่อเนื่องของ CH 1 โดยทำงานร่วมกับปุ่ม VOLTS / DIV. (หมายเลข 26)ปกติจะปรับแต่งไปในทิศทางทวนเข็ม
นาฬกิ าสุดทตี่ ำแหน่ง CAL. เพอ่ื ใหก้ ารอา่ นคา่ แรงดันไฟฟา้ บนจอภาพของ CH 1 ไดค้ า่ ถกู ตอ้ ง
เมื่อทำเป็น X – Y ออสซิลโลสโคป ปุ่ม VARIABLE CH 1 นี้จะเป็นปุ่มปรับความแรงของ
สัญญาณไฟฟา้ ในแนวแกนต้ัง หรอื แกน Y
หมายเลข 28 คือ ปุ่ม CH I / II และ TRIG. I / II เป็นปุ่มสวิตช์กดเลือกสัญญาณทริกเกอร์ เพ่ือ
ควบคมุ การซงิ กข์ องภาพทีป่ รากฏบนจอภาพ ทำใหภ้ าพแสดงบนจอภาพหยุดนิง่ มีสภาวะการทำงาน 2 สภาวะ คอื
สวิตช์ขณะปลอ่ ย : ใชส้ ญั ญาณทรกิ จาก CH 1 ควบคมุ การซงิ ก์
สวติ ชข์ ณะกด : ใช้สญั ญาณทรกิ จาก CH 2 ควบคุมการซิงก์
เม่ือกดปุ่ม DUAL (หมายเลข 29) และปุ่ม ADD (หมายเลข 30) จะเป็นการเลือกสัญญาณทริก
เกอร์ ตามสภาวะการทำงานของเครื่องในขณะนั้น
หมายเลข 29 คือ ปุ่ม DUAL เป็นปุ่มสวิตช์กดเพ่ือเลือกลักษณะการแสดงผลสัญญาณที่ปรากฏ
บนจอภาพ มสี ภาวะการทำงาน 2 สภาวะ คือ
สวติ ชข์ ณะปลอ่ ย : แสดงสัญญาณที่ปรากฏบนจอภาพเพียงช่องเดียว ถูกเลือกอินพุต
ช่องท่ีแสดงผลโดย CH I / II (หมายเลข 28)
สวติ ชข์ ณะกด : แสดงสัญญาณที่ปรากฏบนจอภาพ 2 ช่องสัญญาณอินพุตพร้อมกัน
จะทำงานร่วมกับปมุ่ ADD (หมายเลข 30) ถ้าปุ่ม ADD อยขู่ ณะปล่อย เป็นการควบคมุ การ
วาดภาพแบบ ALT (Alternate) เหมาะสำหรับวัดความถี่สูง และถ้าปุ่ม ADD อยู่ขณะกด
เป็นการควบคุมการวาดภาพแบบ CHOP (Chopped) เหมาะสำหรบั วัดความถตี่ ำ่
หมายเลข 30 คือ ปุ่ม ADD ปุ่มสวิตช์กดเพ่ือรวมสัญญาณอินพุตจาก CH 1 และCH 2 เข้า
ด้วยกนั เพือ่ เปรียบเทียบสัญญาณอินพตุ ผลรวมที่ถูกแสดงผลออกมาบนหนา้ จอ และเมือ่ สัญญาณอินพตุ CH 1 ถูก
กลับเฟสด้วยสวิตช์ INVERT (หมายเลข 22) ก็จะได้สัญญาณอินพุตผลต่างขอสญั ญาณท้ังสองแสดงผลออกมาบน
หน้าจอ ทำงานร่วมกับสวิตช์ DUAL (หมายเลข29) ต้องอยู่ในตำแหน่งปล่อย และสวิตช์ ADD จะต้องอยู่ใน
ตำแหน่งกด
หมายเลข 31 คือ สวิตช์ VOLTS / DIV. CH 2 เป็นสวิตช์เลือกสำหรับปรับเลือกความแรงของ
สัญญาณท่ีป้อนเข้ามาทางขั้วต่ออินพุต CH 2 (หมายเลข 35) สวิตช์ตัวน้ีทำงานเหมือนกับสวิตช์ VOLTS / DIV.
CH 1 (หมายเลข 26)
เมื่อทำเป็น X – Y ออสซิลโลสโคป สวิตช์ VOLTS / DIV. CH 2 นี้จะทำหน้าท่ีเป็นตัวปรับแต่ง
ลดทอนภาพที่ปรากฏบนจอภาพทางแนวแกนนอน หรอื แกน X
หมายเลข 32 คอื ปมุ่ VARIABLE CH 2 เปน็ ปุ่มปรบั ความแรงของสัญญาณทางแนวแกนตง้ั อย่าง
ต่อเนื่องของ CH 2 โดยทำงานร่วมกับปุ่ม VOLTS / DIV. (หมายเลข 31)ปกติจะปรับแต่งไปในทิศทางทวนเข็ม
นาฬิกาสดุ ทตี่ ำแหน่ง CAL. เพอ่ื ใหก้ ารอา่ นค่าแรงดนั ไฟฟา้ บนจอภาพของ CH 2 ได้คา่ ถูกตอ้ ง
เมื่อทำเป็น X – Y ออสซิลโลสโคป ปุ่ม VARIABLE CH 2 น้ีจะเป็นปุ่มปรับความแรงของ
สญั ญาณไฟฟ้าในแนวแกนนอน หรอื แกน X
หมายเลข 33 คอื สวติ ช์ DC – AC – GD ของ CH 2 เปน็ สวติ ช์เลอื กการสง่ ผา่ นสญั ญาณจากการ
วัดเข้าออสซลิ โลสโคป เพื่อสง่ ต่อไปขยายสญั ญาณท่ีภาคขยายแนวตั้ง CH 2มีอยู่ 3 ตำแหนง่ คอื DC, AC และ GD
(กราวด์) ทำงานเหมอื นกับสวิตช์ DC – AC – GD ของCH1 (หมายเลข 25)
หมายเลข 34 คือ ขัว้ GROUND CH 2 เปน็ ขั้วต่อลงกราวด์ของการวัดสัญญาณ
หมายเลข 35 คือ ข้ัว CH – II VERT.INP. เป็นขั้วต่ออินพุตของ CH 2 แบบ BNCเหมือนกับขั้ว
CH – I VERT. INP.ของ CH 1 (หมายเลข 23)
เมือ่ ทำเป็น X – Y ออสซิลโลสโคป อนิ พุต CH 2 น้ีจะทำหน้าท่ีเป็นอนิ พุตสำหรับแผน่ เพลตแกน
แนวนอน หรือแกน X
หมายเลข 36 คือ สวติ ช์ INVERT CH 2 เป็นสวติ ช์กดเพอ่ื กลับเฟสสญั ญาณอินพุตท่ีป้อนเขา้ ทาง
CH 2 ใหก้ ลบั เฟสไป 180 องศา ทำงานเหมือนกบั ของ CH 1 (หมายเลข 22)
หมายเลข 37 คือ ปุ่ม Y – POS II ปุ่มปรับเลื่อนข้ึนลงของภาพในแนวด่ิงของCH 2 เหมือนกับ
ของ CH 1 (หมายเลข 21) และเมื่อทำเป็น X – Y ออสซิลโลสโคปจะไม่ได้ใช้งานเพราะการปรับเล่ือนภาพใน
แนวนอน หรอื แนว X ใชป้ ุ่ม X – POS. (หมายเลข 6) แทน
11.4 การวัดแรงดนั ไฟฟ้า
ออสซิลโลสโคปสามารถนำไปใช้วัดแรงดันไฟฟ้าได้ท้ังแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (VDC)และแรงดันไฟฟ้า
กระแสสลับ (VAC) การวดั คา่ และการอา่ นค่ามคี วามแตกต่างกันดงั นี้
11.4.1 การวดั แรงดันไฟฟ้ากระแสตรง
การวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงด้วยออสซิลโลสโคป จะไม่เกิดรปู สัญญาณบนจอภาพ ยังคงเกิด
เส้นแสงในแนวนอนเช่นเดิม เพียงแตข่ ณะวัดแรงดนั ไฟฟ้ากระแสตรง เส้นแสงจะเลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งไปจากเดิม
อาจเลื่อนข้ึนด้านบนเม่ือใช้โพรบ (Probe) วดั ขวั้ บวกแรงดันไฟฟ้า หรืออาจเล่อื นลงด้านล่างเมอ่ื ใช้โพรบวดั ขว้ั ลบ
แรงดันไฟฟ้า ลักษณะโพรบชนดิ คา่ ความจุตำ่
การอ่านค่าแรงดนั ไฟฟ้ากระแสตรง อ่านได้ดงั นี้
1. ต้งั สวติ ช์เลอื กอินพุต DC – AC – GD ไว้ท่ี DC
2. ปรบั เสน้ แสงบนจอภาพใหอ้ ยูท่ ่ีกึง่ กลางจอ
3. ตั้งสวิตช์ VOLTS / DIV. ในตำแหน่งทเ่ี หมาะสม
4. วัดและอ่านค่าระดับเส้นแสงท่ีเคล่ือนท่ีไปจากเดิม นำค่ามาใช้คำนวณหาค่าแรงดันไฟฟ้า
กระแสตรง โดยใช้สมการดังน้ี
VDC = VOLTS / DIV ทตี่ ้งั x จำนวนชอ่ งเส้นแสงทเี่ คลอื่ นที่
.....(11-1)
ตวั อยา่ งที่ 11.1 จากรูปที่ 11.11 (ก) ออสซลิ โลสโคปตั้งค่า VOLTS / DIV ไวท้ ี่ 20 V วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง
ทำใหเ้ สน้ แสงเคล่อื นท่ีไปจากเดมิ 3 ชอ่ ง แรงดันไฟฟ้ากระแสตรงมคี ่าเทา่ ไร
วธิ ที ำ
สตู ร VDC = VOLTS / DIV ท่ีตงั้ x จำนวนช่องเส้นแสงทีเ่ คล่ือนที่
˳˚˳ VDC = 20 V x 3 = 60 V
อา่ นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงได้ 60 V ตอบ
11.4.2 การวัดแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลบั
การวัดแรงดันไฟฟา้ กระแสสลับดว้ ยออสซลิ โลสโคป จะแสดงรูปสญั ญาณไฟฟ้ากระแสสลับข้นึ บน
จอภาพ เหมือนรูปร่างสัญญาณท่ีป้อนเข้ามา การอ่านค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับมักนิยมอ่านค่าออกมาเป็น
แรงดันไฟฟา้ ยอด (VP) และแรงดันไฟฟ้ายอดถึงยอด (VPP) รปู สัญญาณท่ปี รากฏบนจอภาพ
การอา่ นค่าแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลับ อ่านไดด้ ังน้ี
1. ตงั้ สวิตช์เลอื กอินพุต DC – AC – GD ไวท้ ี่ AC
2. ปรบั เส้นแสงบนจอภาพให้อยทู่ ีก่ ึ่งกลางจอ
3. ต้ังสวิตช์ VOLTS / DIV. ในตำแหน่งทีเ่ หมาะสม
4. วัดและอา่ นคา่ จำนวนช่องสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลบั ท่ีแสดงไว้ จากคา่ ต่ำสุด
ถงึ ค่าสงู สดุ นำคา่ มาใชค้ ำนวณหาค่าแรงดันไฟฟา้ กระแสสลับ โดยใชส้ มการดังน้ี
VPP= VOLTS / DIV ที่ต้งั x จำนวนช่องสญั ญำณที่แสดงในแนวดงิ่ .....(11-2)
และ .....(11-3)
VP = VPP
2
ตัวอย่างที่ 11.2 จากรูปที่ 11.12 ออสซลิ โลสโคปต้ังค่า VOLTS / DIV ไวท้ ่ี 10 V วัดแรงดันไฟฟา้ กระแสสลับจาก
ยอดตำ่ สดุ ถงึ ยอดสงู สดุ ได้ 6 ชอ่ ง อ่านคา่ แรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลบั ออกมาเปน็ คา่ VPP และ VP ไดเ้ ทา่ ไร
วธิ ที ำ
สูตร VPP = VOLTS / DIV ทต่ี ง้ั x จำนวนช่องสัญญาณทแ่ี สดงในแนวดงิ่
˳˚˳ VPP = 10 V x 6 = 60 VPP
สตู ร VP = VPP
2
˳˚˳ VP 60 = 30 VP
2
อ่านแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลับออกมาได้ 60 VPP หรอื 30 VP ตอบ
11.5 การวัดเวลาและความถี่
สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับที่ปรากฏบนจอภาพของออสซิลโลสโคป นอกจากจะวัดหาค่าแรงดันไฟฟ้า
กระแสสลับได้แล้ว ยังสามารถวัดค่าเวลา และวดั ค่าความถี่ของสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับเหลา่ น้ันออกมาได้ ใน
การอ่านค่าสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับ จะต้องอ่านค่าเวลาของสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับเพียง 1 รอบคลื่น
(Cycle) เท่านนั้ ถึงแมร้ ปู คลื่นสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับท่ีแสดงบนจอภาพจะมมี ากกวา่ 1 รอบคล่ืนกต็ าม
การอ่านค่าเวลาและค่าความถ่ี อา่ นได้ดังนี้
1. ตั้งสวิตชเ์ ลอื กอินพตุ DC – AC – GD ไว้ท่ี AC
2. ปรบั เส้นแสงบนจอภาพให้อยู่ที่กง่ึ กลางจอ
3. ตัง้ สวติ ช์ VOLTS / DIV. ในตำแหนง่ ที่เหมาะสม
4. ต้ังสวิตช์ TIME / DIV. ในตำแหน่งท่ีได้ภาพสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับปรากฏบนจอภาพ
ประมาณ 2 รอบคลื่น
5. วัดและอ่านค่าจำนวนช่องสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับท่ีเคล่ือนตัวไป 1 รอบคลื่นนำค่ามาใช้
คำนวณหาค่าเวลาและคา่ ความถ่ี โดยใช้สมการดังนี้
เวลา (T) = TIME / DIV ทต่ี งั้ x จานวนชอ่ งสญั ญาณแนวนอน 1 รอบคล่นื .....(11-4)
และ ความถ่ี (F) = 1 .....(11-5)
T
เมื่อ F = ความถ่ี หนว่ ย Hz
T = เวลา หนว่ ย s
ตัวอย่างที่ 11.3 จากรูปที่ 11.13 ออสซิลโลสโคปต้ังค่า TIME / DIV ไว้ท่ี 50 μs วัดเวลาสัญญาณไฟฟ้า
กระแสสลับ 1 รอบคลน่ื ได้ 5 ช่อง จะอา่ นคา่ เวลาและความถอ่ี อกมาไดเ้ ทา่ ไร
วิธีทำ
สตู ร T = TIME / DIV ท่ีตั้ง x จำนวนช่องสญั ญาณแนวนอน 1 รอบคลื่น
˳˚˳ T = 50μs x 5 = 250 μs = 250 x 10–6 s
สตู ร F = 1
T
F=1 = 1x106
250x 10 6 250
˳˚˳ F = 4,000 Hz = 4 kHz
อา่ นคา่ เวลาออกมาได้ 250 μs และอา่ นคา่ ความถ่ีออกมาได้ 4 kHz ตอบ
11.6 การวดั สญั ญาณไฟฟ้าดว้ ยวิธลี สิ ซาจัวส์
การใช้ออสซิลโลสโคปวัดสัญญาณไฟฟา้ ด้วยวิธีลสิ ซาจัวส์ สามารถวัดค่าได้ 2 ลกั ษณะคือ วัดเฟส และวัด
ความถี่ โดยการนำสัญญาณไซน์ 2 สัญญาณป้อนเข้าอินพุตของออสซลิ โลสโคป2 ทาง ทางหน่งึ ป้อนเข้าอินพุตทาง
แนวต้ัง (Ver. Input) หรือแนวแกน Y อีกทางหน่งึ ป้อนเขา้ อินพตุ ทางแนวนอน (Hor. Input) หรอื แนวแกน X ทำ
ให้เกิดรูปภาพลิสซาจัวส์ (Lissajous Figure)ขึ้นมา ออสซิลโลสโคปจะต้องปรับแต่งให้เป็นสภาวะ X – Y
ออสซลิ โลสโคปก่อน สามารถนำวิธีลิสซาจวั ส์ไปวัดเฟสสัญญาณไฟฟ้า และวัดความถ่ีได้
11.6.1 การวัดความตา่ งเฟสสญั ญาณไฟฟ้าด้วยวิธีลิสซาจัวส์
การวัดความต่างเฟสสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับด้วยวิธีลิสซาจัวส์ จะต้องต่อวงจรใช้ในการวัด
สญั ญาณไฟฟ้า
จากรูปที่ 11.14 แสดงการต่อ X – Y ออสซิลโลสโคปวัดความต่างเฟสของสญั ญาณไซน์ สัญญาณที่ป้อน
ให้ X – Y ออสซิลโลสโคปทั้ง 2 ทาง จะต้องเป็นคล่ืนไซน์มีความถ่ีเท่ากันและมีความแรงของสัญญาณเท่ากัน
สัญญาณไซน์ที่ต้องการวัดเฟสป้อนเข้าทางอินพุตแนวต้ัง (V)สัญญาณไซน์ท่ีมีเฟสคงท่ีเป็นสัญญาณมาตรฐาน
ป้อนเข้าทางอินพุตแนวนอน (H) ทำให้เกิดรูปภาพลิสซาจัวส์ แสดงดังรูปที่ 11.15 โดยกำหนดให้ค่า θ คือมุม
ความต่างเฟสของสัญญาณไซนท์ ั้ง2 อินพุต บอกหนว่ ยเป็น องศา
1. การวัดความต่างเฟสของสัญญาณไซน์ไม่เกิน 90 องศา การวัด การอ่าน และการคำนวณค่า
การคำนวณหาค่าความตา่ งเฟสของสัญญาณไซน์ไม่เกนิ 90 องศา
ตัวอย่างท่ี 11.4 จากรูปที่ 11.15 (ข) อา่ นค่า A ได้ 4 ช่อง อ่านค่า B ได้ 6 ช่อง จงหาความต่างเฟสของสัญญาณ
ไซนท์ งั้ สอง
วิธีทำ
2. การวัดความต่างเฟสของสัญญาณไซน์เกินกวา่ 90 องศา การวัด การอ่านและการคำนวณค่า
แสดงดังรปู ท่ี 11.16 และใชส้ ตู รคำนวณตามสมการท่ี (11-7)
ตัวอย่างท่ี 11.5 จากรปู ท่ี 11.16 (ข) อ่านค่า A ได้ 3 ช่อง อา่ นค่า B ได้ 6 ช่อง จงหาความต่างเฟสของสัญญาณ
ไซน์ทั้งสอง
วธิ ีทำ
11.6.2 การวัดความถส่ี ญั ญาณไฟฟา้ ด้วยวิธีลิสซาจวั ส์
การวัดความถี่สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับด้วยวิธีลิสซาจัวส์ จะต้องต่อวงจรใช้ในการวัด
สัญญาณไฟฟา้
จากรูปท่ี 11.17 แสดงการต่อ X – Y ออสซิลโลสโคปวดั ความถ่ีของสญั ญาณไซน์สัญญาณท่ีป้อน
ให้ X – Y ออสซิลโลสโคปทั้ง 2 ทาง จะต้องเป็นคล่ืนไซน์มีความแรงเท่ากัน สัญญาณไซน์ท่ีต้องการวัดความถ่ี
ปอ้ นเข้าทางอนิ พุตแนวตัง้ (V) เครือ่ งกำเนิดความถไี่ ซนท์ ่ีปรบั เปล่ียนความถ่ไี ด้ เปน็ เครอื่ งกำเนิดความถีม่ าตรฐาน
ปอ้ นเขา้ ทางอนิ พุตแนวนอน (H) ทำให้เกิดรปู ภาพลิสซาจัวส์ 2 ชนิด คือ ชนิดรปู แบบปดิ (Closed Pattern) และ
ชนิดรปู แบบเปิด (Open Pattern)
ลกั ษณะของรูปภาพลิสซาจัวสท์ ี่เกิดขึ้น มีความแตกต่างกันไปตามค่าความถี่ที่แตกต่างกัน การ
นับจำนวนวง (Loop) ของรูปภาพลิสซาจัวส์ สว่ นวงปิดนบั วงละ 1 ลูก วงเปิดนบั วงละ 0.5 ลูก ตวั อย่างรูปภาพลิส
ซาจวั สว์ ดั ความถ่ี
เม่ือ FV = ความถไี่ ซน์ป้อนทางอินพตุ Ver. ตอ้ งการหาค่า หนว่ ย Hz
FH = ความถ่ีไซน์ป้อนทางอนิ พุต Hor. ทราบค่า หนว่ ย Hz
LV = จำนวนวงนับทางแผน่ เพลต Ver. หนว่ ย ลกู
LH = จำนวนวงนบั ทางแผน่ เพลต Hor. หน่วย ลูก
• ด้านทักษะ+ด้านจติ พสิ ยั (ปฏิบัติ+ด้านจิตพิสยั ) (จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 2-3)
1. แบบฝกึ หัดหน่วยที่ 11
2. ใบปฏิบตั ิงาน 11 การปรับแตง่ ออสซิลลสโคปให้พร้อมใช้งาน
• ดา้ นคณุ ธรรม/จรยิ ธรรม/จรรยาบรรณ/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง
(จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมข้อท่ี 4)
1. ใช้ออสซลิ โลสโคปในการทำงาน
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรอื การเรียนรู้
ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้ันตอนการเรยี นร้หู รอื กจิ กรรมของนักเรยี น
1. ขนั้ นำเขา้ ส่บู ทเรยี น ( 15 นาที ) 1. ข้ันนำเข้าสู่บทเรียน ( 15 นาที )
1. ผู้สอนให้ผู้เรียนอ่านเอกสารประกอบการ 1. ผู้เรียนศึกษาเอกสารประกอบการสอนวิชา
สอนวิชา เคร่อื งมอื วดั ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนกิ ส์ หนว่ ย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร หน่วยท่ี 11 เร่ือง
ท่ี 11 เรื่อง ออสซิลโลสโคป ในส่วนของสาระการ ออสซิลโลสโคป ในสว่ นของสาระการเรยี นรู้ หน้า 213
เรยี นรู้ หนา้ 213 2. ผู้เรียนทำความเข้าใจเกี่ยวกับจุดประสงค์การ
2. ผู้สอนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของหน่วยที่ เรียนของหนว่ ยเรยี นที่ 11 เร่ือง ออสซลิ โลสโคป
11 เรอ่ื ง ออสซิลโลสโคป 3. ผ้เู รยี นรวบรวมหน้าที่การทำงานของขั้วต่อและ
3. ผสู้ อนให้ผู้เรียนรวบรวมหนา้ ทีก่ ารทำงานของ ปุ่มปรับพรอ้ มใหเ้ หตผุ ลประกอบ
ขวั้ ต่อและปุม่ ปรบั พรอ้ มใหเ้ หตผุ ลประกอบ 2. ข้ันใหค้ วามรู้ ( 240 นาที )
2. ขนั้ ใหค้ วามรู้ ( 240 นาที ) 1. ผู้เรียนศึกษาเอกสารประกอบการสอน วิชา
1. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเอกสารประกอบการ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร หน่วยท่ี 11 เร่ือง
ส อ น วิช า อุ ป ก รณ์ อิ เล็ ก ท รอ นิ ก ส์ แ ล ะ วงจ ร ออสซลิ โลสโคป หนา้ ที่ 214-235
หนว่ ยท่ี 11 เรอื่ ง ออสซลิ โลสโคป หนา้ ที่ 214-235 2. ผู้เรียนถามปัญหา และข้อสงสยั จากเนอื้ หา โดย
2. ผู้สอนเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนถามปัญหา และ ครูฝึกให้ผู้เรียนทดลองวดั เวลาและความถ่ี
ข้อสงสยั จากเนอื้ หา โดยครูฝกึ ให้ผเู้ รยี นทดลองวัดเวลา
และความถ่ี 3. ขัน้ ประยุกต์ใช้( 180 นาที )
3. ขนั้ ประยกุ ต์ใช้ (180 นาที ) 1. ผู้เรียนทำใบปฏิบัติงาน 11 การปรับแต่งออส
1. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำใบปฏิบัติงาน 11 การ ซิลลสโคปใหพ้ ร้อมใช้งาน หน้า 238-241
ปรับแต่งออสซิลลสโคปให้พร้อมใช้งาน หน้า 238-
241 2. ผ้เู รียนสบื คน้ ข้อมลู จากอนิ เทอรเ์ นต็
2. ผู้สอนให้ผเู้ รยี นสืบค้นขอ้ มลู จากอินเทอรเ์ น็ต
กิจกรรมการเรียนการสอนหรอื การเรียนรู้
ขั้นตอนการสอนหรอื กจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรยี นรหู้ รอื กิจกรรมของนกั เรียน
4. ขนั้ สรปุ และประเมนิ ผล ( 45 นาที ) 4. ขัน้ สรุปและประเมนิ ผล( 45 นาที )
1. ผสู้ อนและผู้เรียนรว่ มกนั สรุปเนอื้ หาท่ีได้เรยี นให้ 1. ผู้เรียนร่วมกันสรุปเน้ือหาท่ีได้เรียนให้มีความ
มคี วามเขา้ ใจในทศิ ทางเดยี วกัน เข้าใจในทศิ ทางเดียวกนั
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดหน่วยที่ 11 2. ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดหน่วยท่ี 11หน้าที่ 236-
หน้าที่ 236-237 237
3. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียน 3. ผู้เรียนศึกษ าเพิ่มเติมนอกห้องเรียน ด้วย
ด้วย PowerPoint ทจี่ ดั ทำขนึ้ PowerPoint ท่จี ดั ทำขึน้
(บรรลจุ ดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-7) (บรรลุจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมขอ้ ท่ี 1-7)
(รวม 480 นาที หรอื 8 คาบเรียน)
งานท่ีมอบหมายหรอื กจิ กรรมการวดั ผลและประเมินผล
กอ่ นเรยี น
1. จดั เตรียมเอกสาร สื่อการเรียนการสอนหน่วยท่ี 11
2. ทำความเข้าใจเก่ียวกับจุดประสงค์การเรียนของหน่วยที่ 11 และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม
ตา่ ง ๆ
ขณะเรียน
1. ศึกษาเอกสารประกอบการสอน หนว่ ยที่ 11 เรอ่ื ง ออสซิลโลสโคป
2. ซกั ถามปญั หาข้อสงสยั จากผู้สอน
3. ทำใบปฏิบัตงิ าน 11 การปรับแต่งออสซิลลสโคปให้พรอ้ มใช้งาน
หลงั เรยี น
1. สรุปเนอ้ื หา
2. ทำแบบฝึกหัดหน่วยท่ี 11
ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสำเรจ็ ของผเู้ รยี น
ใบปฏบิ ตั งิ าน 11 การปรบั แตง่ ออสซิลลสโคปให้พรอ้ มใชง้ าน, แบบฝึกหดั หนว่ ยที่ 11
ส่อื การเรยี นการสอน/การเรยี นรู้
สื่อสิ่งพิมพ์
1. เอ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส อ น วิ ช า เ ค ร่ื อ ง มื อ วั ด ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์
(ใช้ประกอบการเรียนการสอนจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรมข้อที่ 1-7)
2. ใบความรู้ที่ 11 ออสซิลโลสโคป (ใช้ประกอบการเรียนการสอนขั้นให้ความรู้ เพ่ือให้บรรลุ
จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ขอ้ ท่ี 1-7)
3. ใบปฏบิ ตั งิ าน 11 การปรับแตง่ ออสซลิ ลสโคปใหพ้ รอ้ มใช้งาน ข้ันประยุกต์ใช้ ขอ้ 1
4. แบบฝึกหัดหนว่ ยที่ 11 สรปุ และประเมนิ ผล ขอ้ 2
5. แบบประเมินผลงานตามใบงาน ใชป้ ระกอบการสอนขน้ั ประยกุ ต์ใช้ ขอ้ 1
6. แบบประเมินพฤตกิ รรมการทำงาน ใช้ประกอบการสอนข้ันประยกุ ตใ์ ช้ ข้ันสรุปและประเมนิ ผล
ส่ือโสตทัศน์ (ถา้ มี)
1. หนงั สอื เรือ่ ง ออสซลิ โลสโคป
สื่อของจริง
ออสซลิ โลสโคป (ใช้ประกอบการเรยี นการสอนจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมขอ้ ที่ 1-7)
แหลง่ การเรียนรู้
ในสถานศกึ ษา
1. ห้องสมุดวทิ ยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร
2. ห้องปฏบิ ตั กิ ารคอมพิวเตอร์ ศึกษาหาขอ้ มลู ทางอนิ เทอรเ์ นต็
นอกสถานศึกษา
ผูป้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่ินจังหวัดสมทุ รสาคร
การบูรณาการ/ความสัมพันธ์กบั วิชาอ่นื
1. บูรณาการกับวชิ าอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์เบือ้ งตน้
2. บูรณาการกับวิชาวงจรไฟฟ้าเบ้ืองต้น
3. บูรณาการกบั วชิ าเคร่ืองวัดไฟฟ้า
การประเมนิ ผลการเรียนรู้
• หลกั การประเมินผลการเรยี นรู้
กอ่ นเรียน
ความรเู้ บือ้ งตน้ กอ่ นการเรยี นการสอน
ขณะเรียน
1. ตรวจใบปฏิบตั ิงาน 11 การปรับแตง่ ออสซลิ ลสโคปให้พร้อมใชง้ าน
2. สังเกตการทำงาน
หลังเรยี น
1. ตรวจแบบฝกึ หัดหน่วยที่ 11
คำถาม
1. จงอธบิ ายออสซลิ โลสโคป
2. หน้าท่ีการทำงานของขั้วต่อและปุ่มปรับ คอื
3. วดั แรงดนั ไฟฟ้า ต่างจากการวดั เวลาและความถี่อย่างไร
4. วัดสัญญาณไฟฟา้ ดว้ ยวธิ ีลสิ ซาจัวส์อยา่ งไร
5. โครงสรา้ งออสซลิ โลสโคป มีลกั ษณะอยา่ งไร
ผลงาน/ชน้ิ งาน/ผลสำเรจ็ ของผเู้ รยี น
ตรวจใบปฏิบตั งิ าน 11 การปรับแตง่ ออสซลิ ลสโคปให้พรอ้ มใชง้ าน, แบบฝึกหดั หน่วยที่ 11
สมรรถนะท่พี งึ ประสงค์
ผูเ้ รียนสร้างความเข้าใจเก่ยี วกบั ออสซิลโลสโคป
1. วิเคราะหแ์ ละตีความหมาย
2. ตัง้ คำถาม
3. อภปิ รายแสดงความคิดเห็นระดมสมอง
4. การประยกุ ต์ความรสู้ งู่ านอาชพี
สมรรถนะการปฏิบัติงานอาชพี
1. ใช้ออสซลิ โลสโคปในการทำงาน
สมรรถนะการขยายผล
ความสอดคลอ้ ง
จากการเรียน เรื่อง ออสซิลโลสโคป ทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มเก่ียวกับการวัดและการอ่าน
สญั ญาณไฟฟ้าด้วยวิธลี ิสซาจวั ส์ วัดได้ 2 ลักษณะ คือ วัดเฟส และวัดความถี่ โดยการนำสัญญาณไซน์ 2 สญั ญาณ
ป้อนเข้าอินพุตด้านแนวตั้ง และอินพุตด้านแนวนอนพร้อมปรับสวิตซ์เลือกออสซิลโลสโคปให้เป็น X – Y
ออสซลิ โลสโคป ทำให้เกิดภาพลสิ ซาจัวสแ์ สดงบนจอภาพ
รายละเอียดการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
• จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ข้อท่ี 1 อธบิ ายออสซิลโลสโคปได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ทดสอบ
2. เครอื่ งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : อธิบายออสซลิ โลสโคปได้ ได้ 1 คะแนน
• จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อท่ี 2 รวบรวมหน้าทีก่ ารทำงานของข้วั ต่อและปมุ่ ปรับได้
1. วิธีการประเมนิ : ทดสอบ
2. เคร่ืองมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : รวบรวมหนา้ ที่การทำงานของขัว้ ตอ่ และปมุ่ ปรับได้ จะได้ 1 คะแนน
• จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ข้อท่ี 3 แสดงท่าทางการวดั แรงดนั ไฟฟ้าได้
1. วิธกี ารประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่อื งมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : แสดงท่าทางการวัดแรงดนั ไฟฟา้ ได้ จะได้ 2 คะแนน
• จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อที่ 4 ทดลองวดั เวลาและความถไี่ ด้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : ทดลองวัดเวลาและความถไ่ี ด้ จะได้ 2 คะแนน
• จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ขอ้ ท่ี 5 ฝึกวัดสัญญาณไฟฟา้ ด้วยวิธีลสิ ซาจวั ส์ได้
1. วิธกี ารประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่อื งมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : ฝึกวดั สญั ญาณไฟฟา้ ด้วยวธิ ีลสิ ซาจัวสไ์ ด้ ได้ 2 คะแนน
• จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ขอ้ ที่ 6 ใช้เหตุผลเกยี่ วกับโครงสร้างออสซลิ โลสโคปได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่อื งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ใชเ้ หตุผลเกยี่ วกับโครงสรา้ งออสซิลโลสโคปได้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ข้อที่ 7 นำออสซลิ โลสโคปไปใช้งานอยา่ งเหมาะสมได้
1. วธิ ีการประเมนิ : ทดสอบ
2. เครอ่ื งมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารให้คะแนน : นำออสซลิ โลสโคปไปใช้งานอยา่ งเหมาะสมได้ จะได้ 1 คะแนน
แบบประเมินผลการนำเสนอผลงาน
ชอื่ กลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................
รายชอ่ื สมาชกิ
1……………………………………เลขท่ี……. 2……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขที่…….
ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เหน็
32 1
1 เนือ้ หาสาระครอบคลุมชดั เจน (ความรเู้ กย่ี วกับเนอื้ หา ความถูกตอ้ ง
ปฏภิ าณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ )
2 รปู แบบการนำเสนอ
3 การมสี ว่ นร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
4 บุคลิกลักษณะ กิรยิ า ท่าทางในการพูด น้ำเสยี ง ซ่ึงทำให้ผู้ฟังมีความ
สนใจ
รวม
ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
เกณฑก์ ารให้คะแนน
1. เนอื้ หาสาระครอบคลมุ ชดั เจนถกู ต้อง
3 คะแนน = มีสาระสำคญั ครบถ้วนถกู ตอ้ ง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระสำคญั ไมค่ รบถ้วน แตต่ รงตามจดุ ประสงค์
1 คะแนน = สาระสำคญั ไม่ถูกต้อง ไมต่ รงตามจุดประสงค์
2. รูปแบบการนำเสนอ
3 คะแนน = มรี ปู แบบการนำเสนอท่ีเหมาะสม มกี ารใชเ้ ทคนคิ ทีแ่ ปลกใหม่ ใช้ส่ือและเทคโนโลยี
ประกอบการ นำเสนอท่ีนา่ สนใจ นำวัสดใุ นท้องถิ่นมาประยุกต์ใชอ้ ย่างค้มุ คา่ และประหยัด
2 คะแนน = มเี ทคนิคการนำเสนอทีแ่ ปลกใหม่ ใช้สื่อและเทคโนโลยีประกอบการนำเสนอท่ีนา่ สน ใจ
แตข่ าด การประยุกต์ใช้ วัสดุในท้องถ่ิน
1 คะแนน = เทคนิคการนำเสนอไม่เหมาะสม และไมน่ ่าสนใจ
3. การมีส่วนร่วมของสมาชกิ ในกลมุ่
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีบทบาทและมีส่วนร่วมกจิ กรรมกลุ่ม
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มบี ทบาทและมีสว่ นรว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชกิ ส่วนนอ้ ยมบี ทบาทและมีสว่ นรว่ มกจิ กรรมกล่มุ
4. ความสนใจของผู้ฟงั
3 คะแนน = ผู้ฟังมากกวา่ ร้อยละ 90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
2 คะแนน = ผู้ฟงั รอ้ ยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมอื
1 คะแนน = ผู้ฟงั น้อยกวา่ ร้อยละ 70 สนใจ และให้ความรว่ มมือ
แบบประเมินกระบวนการทำงาน
ชือ่ กลมุ่ ……………………………………………ช้ัน………………………หอ้ ง...........................
รายชือ่ สมาชกิ 2……………………………………เลขที่…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท…่ี ….
3……………………………………เลขท…ี่ ….
ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เหน็
1 การกำหนดเปา้ หมายรว่ มกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ที่รับผดิ ชอบและการเตรยี มความพรอ้ ม
3 การปฏิบัติหน้าทที่ ไี่ ดร้ ับมอบหมาย
4 การประเมินผลและปรบั ปรุงงาน
รวม
ผู้ประเมนิ …………………………………………………
วนั ที่…………เดอื น……………………..พ.ศ…………...
เกณฑ์การให้คะแนน
1. การกำหนดเป้าหมายร่วมกนั
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนมสี ว่ นรว่ มในการกำหนดเป้าหมายการทำงานอย่างชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกสว่ นใหญ่มีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายในการทำงาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนน้อยมีสว่ นร่วมในการกำหนดเปา้ หมายในการทำงาน
2. การมอบหมายหน้าท่รี บั ผิดชอบและการเตรียมความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ ่ัวถงึ และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจดั เตรียมสถานท่ี สอื่ /
อปุ กรณไ์ ว้อยา่ งพร้อมเพรยี ง
2 คะแนน = กระจายงานได้ท่ัวถงึ แตไ่ มต่ รงตามความสามารถ และมสี ่อื / อปุ กรณไ์ วอ้ ย่างพร้อมเพรยี ง แต่ขาด
การจดั เตรียมสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทว่ั ถงึ และมีส่อื / อุปกรณไ์ ม่เพยี งพอ
3. การปฏิบตั หิ น้าท่ีทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
3 คะแนน = ทำงานไดส้ ำเร็จตามเปา้ หมาย และตามเวลาท่ีกำหนด
2 คะแนน = ทำงานไดส้ ำเร็จตามเปา้ หมาย แตช่ า้ กว่าเวลาทีก่ ำหนด
1 คะแนน = ทำงานไมส่ ำเร็จตามเปา้ หมาย
4. การประเมนิ ผลและปรบั ปรงุ งาน
3 คะแนน = สมาชกิ ทกุ คนรว่ มปรกึ ษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรบั ปรงุ งานเป็นระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมสี ว่ นร่วมปรึกษาหารือ แต่ไม่ปรบั ปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชกิ บางสว่ นไม่มสี ่วนรว่ มปรกึ ษาหารือ และปรบั ปรุงงาน
บันทกึ หลงั การสอน
หน่วยที่ 11 ออสซลิ โลสโคป
ผลการใชแ้ ผนการสอน
1. เนือ้ หาสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม
2. กจิ กรรมการสอนเหมาะสมกบั เนอื้ หาและเวลาทีก่ ำหนด
3. สื่อการสอนเหมาะสมดี
ผลการเรียนของนกั เรยี น งาน
1. นักศกึ ษาส่วนใหญม่ คี วามเข้าใจในบทเรียน อภิปรายตอบคำถามในกลุ่ม และรว่ มกนั ปฏบิ ตั ิ
ท่ีได้รบั มอบหมาย
2. นักศกึ ษากระตือรือรน้ และรับผิดชอบในการทำงานกลมุ่ เพอ่ื ใหง้ านสำเรจ็ ทนั เวลาท่กี ำหนด
3. นกั ศกึ ษาแสดงทา่ ทางการวดั แรงดนั ไฟฟ้าได้
4. นกั ศึกษาทดลองวัดเวลาและความถไี่ ด้
5. นกั ศกึ ษาฝึกวัดสญั ญาณไฟฟา้ ดว้ ยวธิ ีลสิ ซาจัวส์ได้
ผลการสอนของครู
1. สอนเน้อื หาได้ครบตามหลกั สตู ร
2. แผนการสอนและวิธีการสอนครอบคลมุ เนื้อหาการสอนทำให้ผู้สอนสอนได้อยา่ งมัน่ ใจ
3. สอนทนั ตามเวลาทีก่ ำหนด
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฏี
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยที่ 12
ชอ่ื วชิ า เครอื่ งมือวัดไฟฟา้ และอิเล็กทรอนกิ ส์ สอนสปั ดาหท์ ี่ 18
ชือ่ หนว่ ย เครือ่ งกำเนดิ สัญญาณ คาบรวม 72
ชอื่ เรือ่ ง เครอ่ื งกำเนิดสญั ญาณ จำนวนคาบ 4
หัวขอ้ เรอ่ื ง
ด้านความรู้
1. ชนิดของสัญญาณไฟฟา้
ด้านทกั ษะ
1. การใชเ้ คร่ืองกำเนิดสัญญาณชนดิ ต่างๆ
ด้านจิตพสิ ัย
1. ใช้เคร่ืองกำเนดิ สัญญาณได้
ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม
1. นำเครอ่ื งกำเนดิ สญั ญาณแตล่ ะชนดิ ไปใช้งานอย่างรอบคอบ
สาระสำคญั
เคร่ืองกำเนิดสัญญาณเป็นเครื่องวดั ไฟฟ้าชนิดหน่ึง ทำหน้าท่ีเป็นตวั ให้กำเนิดสัญญาณไฟฟ้าหลายชนิด
ข้ึนมา เครื่องกำเนิดสัญญาณท่ีดีควรมีคุณสมบัติดังนี้ ความถ่ีท่ีผลิตข้ึนมาต้องมีความคงท่ี อ่านค่าออกมาได้
สัญญาณท่ีกำเนิดข้ึนมาต้องไม่ผิดเพ้ียน ไม่มีสัญญาณรบกวน และสามารถควบคุมความแรงของสัญญาณท่ีผลิต
ขนึ้ มาได้อยา่ งต่อเน่ือง มีประโยชน์ใชง้ านไดห้ ลายชนดิ ถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย เครื่องกำเนิดสัญญาณท่ถี ูก
ผลิตขนึ้ มาใชง้ าน ถกู เรียกชอ่ื เครื่องตามค่าความถี่ และชนิดของสญั ญาณท่ีกำเนิดขึ้นมา
สมรรถนะอาชีพประจำหนว่ ย
1. ใช้เครื่องกำเนดิ สัญญาณในการทำงาน
คำศพั ทส์ ำคัญ
1. เคร่ืองกำเนิดความถี่เสียง หรือเรียกว่าเครื่องกำเนิด AF (AF Generator) เป็นเคร่ืองกำเนิด
สญั ญาณไฟฟ้าขึ้นมาในย่านความถีเ่ สียง หรือความถ่ีตำ่ รปู สัญญาณที่ถูกกำเนิดขึ้นมามี2 ชนิด คือ คลน่ื ไซน์ และ
คล่นื สเี่ หลีย่ มจัตุรสั ขนาดความถ่ีทส่ี ามารถให้กำเนิดออกมาได้มคี า่ แตกต่างกนั ไป แล้วแตร่ ุ่นทีผ่ ลิตออกมา
2. เครอ่ื งกำเนิดความถ่ีวิทยุ หรือเรียกว่าเครอื่ งกำเนิด RF (RF Generator) เป็นเครือ่ งกำเนิดสัญญาณ
ขน้ึ มาในยา่ นความถีว่ ิทยุ มยี ่านการกำเนิดความถก่ี วา้ งมากประมาณ 30 kHzถงึ 10 GHz ความถ่ีท่ีกำเนิดข้นึ มาอยู่
ในชว่ งใดขึ้นอยู่กับรุ่น ชนดิ และแบบของเครือ่ งทผ่ี ลติ มาใช้งาน
3. เครื่องกำเนิดสัญญาณพัลส์ เป็นเครื่องกำเนิดรูปคลื่นส่ีเหลี่ยมมุมฉาก (RectangularWaveform)
สามารถกำเนิดความถ่พี ัลส์ไดก้ วา้ งตั้งแต่ความถ่ีตำ่ ประมาณ 0.25 Hz ถึง 125 MHzหรือมากกว่าน้ี ความถ่ีพัลส์ท่ี
ถกู กำเนิดขนึ้ มาอยูใ่ นย่านใดข้ึนอยู่กับรุ่น ชนดิ และแบบทผ่ี ลติ มาใช้งาน ความแรงของสญั ญาณมีค่าประมาณ 0.2
VPP ถึง 20 VPP มีความแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น แต่ละแบบ และแต่ละยี่ห้อ อิมพีแดนซ์ท่ีเอาต์พุต (Output
Impedance) มคี า่ 50 Ω
4. เครื่องกำเนดิ สัญญาณหลายชนิด เป็นเคร่อื งกำเนดิ ทีส่ ามารถผลติ รปู สัญญาณขึ้นมาได้หลายชนดิ
5. เคร่ืองกำเนิดสัญญาณกวาด เป็นเคร่ืองกำเนิดสัญญาณความถี่ ที่ค่าความถี่กำเนิดขึ้นมาสามารถ
เปล่ียนแปลงไปได้อย่างสม่ำเสมอโดยอัตโนมัติ รูปสัญญาณท่ีกำเนิดข้ึนปกติเป็นคล่ืนไซน์แต่ในเคร่ืองกำเนิด
สัญญาณหลายชนิดบางรุ่นอาจเพิ่มภาคกวาดสญั ญาณไว้ดว้ ย
จดุ ประสงค์การสอน/การเรียนรู้
• จดุ ประสงคท์ ่ัวไป / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพียง
1. เพื่อให้มคี วามรเู้ ก่ียวกบั การอธบิ ายชนดิ ของสัญญาณไฟฟา้ (ดา้ นความรู้)
2. เพอ่ื ให้มที กั ษะในการสาธติ การใช้เครื่องกำเนิดสญั ญาณชนิดตา่ งๆ (ด้านทักษะ)
3. เพอ่ื ใหม้ เี จตคติทีด่ ใี นการเลอื กใช้เครอื่ งกำเนดิ สญั ญาณ (ดา้ นจติ พิสัย)
4. เพอื่ นำเครอ่ื งกำเนดิ สญั ญาณแต่ละชนดิ ไปใชง้ านอยา่ งรอบคอบ (ด้านดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม/บูรณาการ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง)
• จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. อธบิ ายชนดิ ของสญั ญาณไฟฟา้ ได้ (ด้านความร)ู้
2. สาธิตการใช้เครือ่ งกำเนิดสัญญาณชนดิ ตา่ งๆ ได้ (ด้านทักษะ)
3. เลอื กใช้เครอ่ื งกำเนิดสญั ญาณได้ (ด้านจิตพิสยั )
4. นำเคร่ืองกำเนิดสัญญาณแต่ละชนดิ ไปใชง้ านอยา่ งรอบคอบได้ (ดา้ นดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณา
การเศรษฐกิจพอเพยี ง)