เนื้อหาสาระการสอน/การเรยี นรู้
• ด้านความรู้(ทฤษฎี)
5.1 การวดั แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับด้วยดีซโี วลตม์ เิ ตอร์
ดีซีโวลต์มิเตอรแ์ บบเขม็ ช้ี ทสี่ ร้างขนึ้ จากดารส์ ันวาลม์ ิเตอร์ เปน็ มาตรวัดทใ่ี ช้ได้กบั แรงดันไฟฟา้ กระแสตรง
(VDC) เท่านั้น เพราะส่วนเคลื่อนไหวชนิดขดลวดเคล่ือนท่ีสามารถบ่ายเบนค่าไปได้ ต้องได้รับกระแสไฟฟ้า
กระแสตรงเท่านั้น ซ่งึ จะทำให้ขดลวดเคล่อื นที่เกิดสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้ามีขั้วแม่เหลก็ ถกู ตอ้ งตายตวั ตามต้องการ จึง
จะเกิดแรงผลักดนั กับสนามแมเ่ หลก็ ถาวรท่ีอยโู่ ดยรอบ ดังนน้ั มาตรวัดทส่ี รา้ งขึ้นจากดาร์สนั วาลม์ ิเตอร์เป็นมาตรวัด
ท่ีใชไ้ ดเ้ ฉพาะไฟฟ้ากระแสตรงเทา่ น้ัน มขี ้วั แหลง่ จา่ ยแรงดันไฟฟา้ กระแสตรงถูกต้องตามข้ัวของดาร์สันวาลม์ ิเตอรท์ ่ี
ต้องการหากสลบั ขั้ววดั ทำให้ขัว้ ที่ทำการวดั ไมถ่ ูกตอ้ งตรงกัน ดาร์สันวาลม์ ิเตอรจ์ ะไมส่ ามารถแสดงคา่ ออกมาได้
จากรูปที่ 5.1 แสดงการใช้ดีซโี วลต์มิเตอร์วดั แรงดันไฟฟ้ากระแสตรงแบบถูกข้ัวและไมถ่ ูกขั้ว ผลที่เกิดขึ้น
คอื ดีซโี วลต์มิเตอร์แสดงคา่ การวัดออกมาแตกต่างกันไป รปู ท่ี 5.1 (ก) เปน็ การนำดีซโี วลตม์ ิเตอร์ไปวดั แรงดันไฟฟ้า
กระแสตรงมีข้ัวถกู ต้อง มีผลตอ่ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้ามาตรวัดถูกทศิ ทาง ทำใหเ้ ข็มชีบ้ ่ายเบนไปทางด้านขวามือ
ชค้ี า่ ปรมิ าณไฟฟา้ ท่วี ัดไดอ้ อกมา สว่ นรูปที่ 5.1 (ข) เปน็ การนำดซี ีโวลต์มเิ ตอรไ์ ปวัดแรงดันไฟฟา้ กระแสตรงมขี ัว้ ไม่
ถกู ต้อง มีผลต่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้ามาตรวัดไมถ่ ูกทิศทาง ทำให้เขม็ ช้ีบ่ายเบนไปทางด้านซ้ายมือ เข็มช้ีบ่าย
เบนไปชี้ค่าต่ำกวา่ ศนู ย์ ไม่สามารถแสดงคา่ ปริมาณไฟฟา้ ทวี่ ัดไดอ้ อกมา และยังอาจทำใหม้ าตรวดั ชำรุดเสยี หายได้
การใช้ดีซีโวลต์มิเตอร์หรือดาร์สันวาล์มิเตอร์ไปวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Voltage)ซึ่งอาจเป็น
แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าต่างๆ เช่น แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับตามบ้านเรือนที่มีความถ่ี 50
Hz คือมีการสลับขว้ั ของสญั ญาณไฟฟา้ ไปมาเปลยี่ นแปลง 50 ครัง้ ต่อวินาที การสลบั ขว้ั ของสญั ญาณไฟฟ้าดงั กล่าว
ถือวา่ เร็วมากจนดีซีโวลต์มิเตอร์หรือดาร์สันวาล์มิเตอร์มิเตอร์วัดค่าไม่ทัน เข็มช้ีของมิเตอร์บ่ายเบนค่าไม่ทัน ไม่
สามารถบ่ายเบนค่าออกมาได้แต่จะเกิดอาการสั่นหรือแกว่งไปมาเล็กน้อยท่ีบริเวณใกล้เลขศูนย์ นั่นคือดีซีโวลต์
มเิ ตอร์ไม่สามารถนำไปวัดคา่ แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับได้
5.2 สญั ญาณไฟฟ้ากระแสสลบั
ไฟฟ้ากระแสสลับ คือไฟฟ้าที่มีข้ัวสัญญาณไฟฟ้าจ่ายออกมาสลับไปสลับมาตลอดเวลาไม่มีขั้วแน่นอน
ตายตัว ทำให้สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับท่ีป้อนออกมาจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้ามีขั้วสัญญาณไฟฟ้าสลับบวกลบ
เปล่ียนแปลงตลอดเวลา จึงไม่สามารถกำกับขั้วไว้ตายตัวได้เหมือนแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง และทิศทาง
กระแสไฟฟ้าท่ไี หลในวงจรไหลกลับทศิ เปลีย่ นแปลงไปมาตลอดเวลาเชน่ กนั
ไฟฟ้ากระแสสลับมีลักษณะรูปคล่ืนสัญญาณเป็นแบบคลื่นไซน์ (Sine Wave) คล่ืนสัญญาณไฟฟ้าที่ถูก
กำเนิดข้ึนมา ได้มาจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับต่างๆ เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า(Generator) คล่ืนไซน์เป็น
คลื่นท่ถี ูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างกวา้ งขวาง และมคี วามสำคัญต่อการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนิกส์
เครือ่ งมือและเครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนกิ สต์ ่างๆคลนื่ ไซนม์ ีคา่ ทถี่ กู นำไปใชง้ านแตกตา่ งกัน แต่ละค่ามีช่อื เรียก
แตกตา่ งกัน ถูกนำไปใชป้ ระโยชนแ์ ตกต่างกัน และมีระดับสัญญาณทบ่ี อกค่าไวแ้ ตกตา่ งกัน
จากรปู ท่ี 5.3 แสดงสัญญาณคล่ืนไซน์คา่ ตา่ งๆ สญั ญาณแต่ละตำแหนง่ บอกค่าไว้แตกต่างกนั ไป แต่ละค่า
ตามรูปอธบิ ายได้ดังนี้
1. ค่าสัญญาณยอดถึงยอด (Peak to Peak Value) ถ้าเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับยอดถึงยอด (Peak
to Peak Voltage) ใช้อักษรย่อ EPP หรือ VPP และถ้าเป็นกระแสไฟฟ้ากระแสสลับยอดถึงยอด (Peak to Peak
Current) ใชอ้ ักษรยอ่ IPP เป็นค่าสูงสดุ ของสัญญาณคลื่นไซน์ ทีว่ ัดจากยอดสญั ญาณสงู สุดถงึ ยอดสัญญาณตำ่ สดุ
2. ค่าสัญญาณยอด (Peak Value) แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือค่ายอดบวก (Positive PeakValue) และค่า
ยอดลบ (Negative Peak Value) ถ้าเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับใช้อักษรย่อ +EPหรือ –EP และถ้าเป็น
กระแสไฟฟ้ากระแสสลับใช้อักษรย่อ +IP หรือ –IP เป็นค่าสูงสุดของสัญญาณท่ีเทียบค่ากับตำแหน่งศูนย์ของ
สัญญาณ คา่ สญั ญาณยอดมรี ะดบั ความแรงเป็น 100 %
3. ค่ารูท มี น สแควร์ (Root Mean Square Value) ห รือ ค่าอ าร์เอ็ มเอส (RMS Value) ถ้าเป็ น
แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับใช้อักษรย่อ ERMS และถ้าเปน็ กระแสไฟฟ้ากระแสสลับใช้อักษรย่อ IRMSเป็นค่าที่เกดิ จาก
รากที่ 2 ของ 2 คณู ดว้ ยสญั ญาณยอด หรือคณู ดว้ ยสญั ญาณยอดถงึ ยอดหารดว้ ย2 มีค่าประมาณ 70.7 % เปน็ ค่าที่
ถูกบอกไว้ใชง้ านของสัญญาณไฟฟา้ กระแสสลบั ค่าต่างๆ เชน่ แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับทีใ่ ชต้ ามบ้านเรอื นมคี ่า 220
V ค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับท่ีบอกค่าไว้ตามอุปกรณ์ไฟฟ้าใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ และเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ไฟฟ้า
กระแสสลบั เปน็ ตน้
4. ค่าเฉลี่ย (Average Value) ถ้าเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับใช้อักษร EAV และถ้าเป็นกระแสไฟฟ้า
กระแสสลับใช้อักษรย่อ IAV เป็นค่าเฉลี่ยของคล่ืนไซน์ ท่ีเกิดจากการเรียงกระแสไฟฟ้าของวงจรเรียงกระแส
(Rectifier Circuit) ได้สัญญาณออกมาเป็นไฟฟ้ากระแสตรงแบบกระเพื่อมมี 2 ค่า คือค่าเฉล่ียคร่ึงคลื่น (Half
Wave Average Value) และคา่ เฉล่ยี เตม็ คลื่น (Full Wave
Average Value)
ก. ค่าเฉลี่ยครึ่งคล่ืน เกิดจากวงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น ทำการเรียงแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
ออกเอาต์พุต เปลี่ยนไปเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงกระเพอ่ื มขาดชว่ ง เม่อื ทำการเฉล่ียค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง
กระเพื่อมขาดช่วง ออกมาเป็นค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงโดยประมาณ ได้ค่าออกมา 31.8 % แรงดันไฟฟ้า
กระแสตรงกระเพ่อื มเฉลีย่ ครงึ่ คลืน่ (EAV(HW
ข. ค่าเฉล่ียเต็มคล่ืน เกดิ จากวงจรเรยี งกระแสแบบเต็มคลน่ื ทำการเรียงแรงดันไฟฟา้ กระแสสลับออก
เอาต์พุต เปล่ียนไปเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงกระเพ่ือมเต็มช่วง เม่ือทำการเฉล่ียค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง
กระเพ่ือมเต็มช่วง ออกมาเป็นค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงโดยประมาณ ได้ค่าออกมา 63.6 % แรงดันไฟฟ้า
กระแสตรงกระเพ่อื มเฉล่ยี เตม็ คล่นื (EAV(FW))
จากรูปท่ี 5.4 แสดงแรงดนั ไฟฟ้ากระแสตรงกระเพ่อื มเฉล่ีย เกิดข้ึนจากการจ่ายแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลับ
เข้าวงจรเรียงกระแสท่ียังไม่ผ่านวงจรกรอง (Filter) สัญญาณ ค่าแรงดนั ไฟฟ้ากระแสตรงกระเพ่ือมดังกล่าว เป็น
แรงดันไฟฟ้าท่ีถูกนำไปใช้ในโวลต์มิเตอร์วัดไฟฟ้ากระแสสลับแบบขดลวดเคลื่อนที่หรือดาร์สันวาล์มิเตอร์ ผลิต
ออกมาเป็นมาตรวัดวัดสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับเช่น โวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current
Voltmeter) หรอื เอซีโวลตม์ ิเตอร์ (ACVoltmeter) สามารถทำให้เข็มช้ีมาตรวดั บา่ ยเบนชี้ค่าออกมาได้ ค่าเฉลีย่ นี้
เป็นค่าทม่ี าตรวัดไฟฟา้ กระแสสลับแสดงคา่ ออกมาได้จรงิ จากการวัดสัญญาณไฟฟา้ กระแสสลบั
5.3 เอซโี วลต์มเิ ตอร์
ดาร์สันวาล์มิเตอร์เป็นมาตรวัดที่ทำงานได้กับไฟฟ้ากระแสตรงเท่านั้น ข้ัวแรงดันไฟฟ้าหรือทิศทาง
กระแสไฟฟ้าทจี่ ่ายเข้ามาตอ้ งถูกต้องตามกำหนด ดาร์สันวาล์มิเตอร์จงึ สามารถทำงานได้ แสดงค่าการวัดปรมิ าณ
ไฟฟา้ ออกมาได้ ดังนั้นไมว่ า่ ดาร์สันวาล์มิเตอร์จะถกู นำไปวัดปรมิ าณไฟฟา้ อะไรกต็ าม ปริมาณไฟฟ้าเหล่าน้ันต้องถกู
เปล่ียนเปน็ ไฟฟา้ กระแสตรงเทา่ น้นั เมอื่ ทราบคณุ สมบตั ขิ องดาร์สนั วาลม์ เิ ตอรด์ งั กล่าว การจะปอ้ นแหลง่ จา่ ยไฟฟ้า
ใหด้ ารส์ ันวาล์มิเตอร์ ต้องเปลย่ี นแหลง่ จ่ายไฟฟ้าเหล่านนั้ ให้เป็นไฟฟา้ กระแสตรงเสียก่อน
การเปล่ยี นไฟฟา้ กระแสสลับให้เปน็ ไฟฟ้ากระแสตรง ทำไดโ้ ดยใชอ้ ุปกรณส์ ารกึ่งตัวนำ(Semiconductor)
เข้ามาช่วยในการเปล่ียน อุปกรณ์ตัวนี้เรียกว่าตัวเรียงกระแส (Rectifier) ตัวเรียงกระแสท่ีใช้เป็นผลึกไดโอด
(Crystal Diode) ช่วยในการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงกระเพ่ือม ก่อนจ่ายให้ดาร์สันวาล์
มเิ ตอร์แสดงค่าการวดั ปรมิ าณไฟฟา้ ค่านัน้ ออกมามาตรวัดใช้วัดปริมาณไฟฟา้ กระแสสลบั เบ้ืองต้น
จากรูปท่ี 5.5 แสดงมาตรวัดวัดแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลับเบือ้ งต้น โดยใช้ดีซโี วลตม์ ิเตอร์ต่ออนุกรมร่วมกับ
ไดโอด (D) ตัวไดโอดทำหน้าท่ีแปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงให้ได้ข้ัวถูกต้องตามท่ีมาตรวัด
ต้องการ ส่งผ่านแรงดันไฟฟ้าไปให้ดีซีโวลต์มิเตอร์แสดงค่าออกมาการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นไฟฟ้า
กระแสตรงของไดโอด สามารถกำหนดจ่ายแรงดนั ไฟฟ้าออกมาได้ซีกใดซกี หนง่ึ จะเป็นซกี บวกหรือซีกลบได้ โดย
กำหนดจากขาของตัวไดโอดที่ต่อเข้ากบั ดาร์สนั วาล์มเิ ตอรถ์ ้ากำหนดให้ขาแคโทด (K) จ่ายออก จะได้แรงดันไฟฟ้า
ซีกบวกออกมาจ่ายเข้าข้ัวบวกของดาร์สันวาลม์ ิเตอร์ หรอื กำหนดให้ขาแอโนด (A) จ่ายออก จะได้แรงดันไฟฟ้าซี
กลบออกมา จ่ายเข้าขว้ั ลบของดาร์สันวาล์มิเตอร์
จากรูปท่ี 5.6 แสดงเอซีโวลต์มิเตอร์แบบไดโอดจ่ายแรงดันไฟฟ้าซีกบวกให้วงจร เม่ือจ่ายแรงดันไฟฟ้า
กระแสสลับคลื่นไซน์เข้ามา คลื่นไซน์ซีกบวกสามารถจ่ายผ่านไดโอดไปให้ขั้วบวกของดารส์ ันวาล์มิเตอร์ได้ ส่วน
คลนื่ ไซน์ซีกลบไม่สามารถจ่ายผา่ นไดโอดได้ ไม่มคี ล่นื ไซน์ซีกลบจ่ายออกมา ได้แรงดนั ไฟฟา้ กระแสตรงกระเพ่ือม
เฉพาะคร่ึงซีกบวก จ่ายไปให้ดาร์สันวาล์มเิ ตอร์ขั้วบวก ตัวต้านทานอนุกรมต่อในวงจรทำหนา้ ท่เี ปลี่ยนดาร์สันวาล์
มเิ ตอร์ใหเ้ ปน็ เอซโี วลตม์ เิ ตอร์
จากรูปท่ี 5.7 แสดงเอซีโวลต์มิเตอร์แบบไดโอดจ่ายแรงดันไฟฟ้าซีกลบให้วงจร เมื่อจ่ายแรงดันไฟฟ้า
กระแสสลับคล่นื ไซน์เข้ามา คลื่นไซน์ซีกลบสามารถจ่ายผ่านไดโอดไปให้ข้ัวลบของดาร์สันวาล์มิเตอรไ์ ด้ ส่วนคล่ืน
ไซน์ซีกบวกไม่สามารถจ่ายผ่านไดโอดได้ ไม่มีคลื่นไซน์ซีกบวกจ่ายออกมา ได้แรงดันไฟฟ้ากระแสตรงกระเพ่ือม
เฉพาะคร่ึงซีกลบ จ่ายไปให้ดาร์สันวาล์มิเตอร์ข้ัวลบ ตัวต้านทานอนุกรมต่อในวงจรทำหน้าที่เปลี่ยนดาร์สันวาล์
มเิ ตอร์ให้เป็นเอซีโวลตม์ ิเตอร์
5.4 วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่นในเอซโี วลต์มเิ ตอร์
วงจรเรียงกระแสแบบครึ่งคลื่น (Half Wave Rectifier Circuit) เป็นวงจรเรียงกระแสที่นิยมใช้งานใน
วงจรมาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลับ เพราะใช้อุปกรณ์ประกอบร่วมวงจรน้อย สะดวกในการใช้งาน วงจรเบ้ืองต้น
ประกอบด้วยไดโอดเรยี งกระแสเพียงตัวเดียว ทำหน้าทีเ่ ป็นสวิตช์ตัดต่อวงจร ทำให้สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลบั คลื่น
ไซน์ผ่านขดลวดเคล่ือนท่ีของดาร์สันวาล์มิเตอร์เพียงทิศทางเดียว ไดโอดทำหน้าท่ีเป็นสวิตช์ต่อวงจรเมื่อไดโอด
ได้รับไบแอสตรง และไดโอดทำหนา้ ทีเ่ ป็นสวติ ช์ตัดวงจรเม่ือไดโอดได้รับไบแอสกลับ วงจรเอซีโวลตม์ ิเตอร์แบบใช้
ไดโอดเรยี งกระแสครงึ่ คล่ืนเบื้องตน้
จากรปู ท่ี 5.8 แสดงวงจรเอซีโวลต์มิเตอร์แบบใช้ไดโอดเรียงกระแสครึง่ คลื่นเบ้ืองต้น วงจรประกอบด้วย
ไดโอด ดารส์ ันวาล์มิเตอร์ และตวั ต้านทานอนุกรม การทำงานอธิบายได้ดังนี้ ขณะจ่ายแรงดนั ไฟฟา้ กระแสสลับเข้า
มาดา้ นบนเปน็ บวกด้านล่างเปน็ ลบ ไดโอดได้รบั ไบแอสตรงยอมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน มีกระแสไฟฟา้ กระแสตรง
กระเพ่ือมคา่ สูงสุด (IP) ไหลผ่านดาร์สนั วาล์มเิ ตอร์ ตัวดาร์สนั วาล์มิเตอรท์ นกระแสไฟฟา้ กระแสตรงได้เต็มสเกล IM
มคี วามตา้ นทานภายใน RM
กระแสไฟฟ้ากระแสตรงที่ไหลผ่านดาร์สันวาล์มิเตอร์จากการจ่ายแรงดันไฟฟ้ ากระแสสลับเป็น
กระแสไฟฟ้ากระแสตรงกระเพื่อม มคี ่ากระแสไฟฟ้าไมค่ งทม่ี ีบ้างไมม่ ีบา้ งสลับกันไป คา่ กระแสไฟฟา้ ทจี่ า่ ยออกมา
เป็นกระแสไฟฟ้ากระแสตรงค่าเฉล่ียแบบครึ่งคล่ืน (IAV(HW)) มีค่าประมาณ31.8 % ของค่ากระแสไฟฟ้าสงู สุด (IP)
กระแสไฟฟ้ากระแสตรงเฉลย่ี คร่ึงคล่นื (IAV(HW)) เปน็ ค่ากระแส
ไฟฟา้ ท่เี อซีโวลต์มเิ ตอร์แสดงค่าออกมาไดจ้ รงิ ถา้ ต้องการใหก้ ระแสไฟฟ้ากระแสตรงเฉลี่ยครึ่งคลื่น(IAV(HW)) ไหลผา่ น
เอซีโวลต์มิเตอร์ได้สูงสุด กระแสไฟฟ้ากระแสตรงเฉลี่ยครึ่งคล่ืน (IAV(HW)) น้ันจะต้องมีค่าเท่ากับกระแสไฟฟ้าเต็ม
สเกล ของดาร์สันวาล์มิเตอร์เดิม (IM) โดยการตอ่ เพิ่มตัวต้านทานอนุกรม RS ต่ออนุกรมจำกดั กระแสไฟฟ้าให้ไหล
ผ่านดารส์ ันวาล์มเิ ตอรเ์ ทา่ กบั IM ตามเดมิ
วงจรเอซีโวลต์มิเตอร์ตามรูปที่ 5.8 มีข้อเสีย คือขณะช่วงจ่ายไบแอสกลับให้ไดโอด ถึงแม้ไดโอดไม่
นำกระแสไฟฟ้า แต่ก็มกี ระแสไฟฟ้าร่วั ไหล (Leakage Current) ไหลสวนทางผ่านเข้าวงจร และในขณะช่วงจ่าย
ไบแอสกลับให้ไดโอดสัญญาณไฟฟา้ ทป่ี ้อนเข้ามาไม่มีทางไหลกลับได้เพ่อื ทำให้กระแสไฟฟ้าร่ัวไหลไม่ผ่านเข้าวงจร
และชว่ งไบแอสกลับสัญญาณไฟฟ้ามีทางไหลกลับได้ครบวงจร จึงจัดวงจรเรยี งกระแสให้วงจรใหม่โดยเพิม่ ไดโอด
อกี หนึ่งตัวตอ่ ขนานเขา้ วงจรตอ่ อยรู่ ะหว่างไดโอดตวั แรกและดารส์ ันวาล์มเิ ตอร์
จากรปู ที่ 5.9 (ก) แสดงขณะจ่ายสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับด้านบนเป็นบวกและด้านล่างเป็นลบ ไดโอด
D1 ได้รบั ไบแอสตรง มีกระแสไฟฟ้ากระแสตรงกระเพ่ือม IP ไหลผ่านไดโอด D1 และผ่านดาร์สันวาล์มิเตอร์ เขม็ ชี้
ของดารส์ นั วาลม์ ิเตอรบ์ า่ ยเบนชีค้ า่ เฉลี่ยครึง่ คล่นื (IAV(HW)) ออกมา
ส่วนรูปท่ี 5.9 (ข) แสดงขณะจ่ายสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับด้านบนเป็นลบและด้านล่างเป็นบวก ไดโอด
D1 ได้รับไบแอสกลับไมน่ ำกระแสไฟฟ้า แตไ่ ดโอด D2 ได้รับไบแอสตรงนำกระแสไฟฟ้า มีกระแสไฟฟ้ากระแสตรง
กระเพอื่ ม IP ไหลผ่าน D2 ย้อนกลับมาเข้าแหล่งจ่ายอินพุต ไมม่ ีกระแสไฟฟ้าผ่านดาร์สนั วาล์มิเตอร์ ทำให้สภาวะ
การชค้ี ่าของดาร์สันวาล์มิเตอรไ์ ด้ค่าเฉลย่ี ออกมาถูกตอ้ ง
5.5 วงจรเรียงกระแสแบบเตม็ คลืน่ ในเอซีโวลต์มเิ ตอร์
วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น (Full Wave Rectifier Circuit) เปน็ วงจรเรียงกระแสที่พฒั นามาใช้ในเอซี
โวลตม์ ิเตอร์ เพ่ือทำให้ประสิทธิภาพของมาตรวัดสูงขน้ึ เพราะวงจรเรยี งกระแสแบบครึ่งคล่ืนนำมาใช้ในเอซีโวลต์
มเิ ตอร์ จะมีกระแสไฟฟ้ากระแสตรงเฉลย่ี ผ่านดารส์ ันวาลม์ เิ ตอร์เพียง 31.8 % ซึ่งมีคา่ ต่ำทำให้ประสิทธิภาพมาตร
วดั ต่ำลง วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลนื่ ที่ใชใ้ นเอซโี วลตม์ เิ ตอร์เป็นชนิดวงจรบริดจ์ เพือ่ หลกี เล่ียงการใช้หม้อแปลง
ในการต่อวงจรเรียงกระแสและใชข้ ัว้ วัดตอ่ วงจรเพยี ง 2 ขว้ั วงจรเรียงกระแสชนิดบริดจ์แบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 แบบ คือ
แบบเรียงกระแสเตม็ บรดิ จ์ (Full Bridge Rectifier) และแบบเรียงกระแสครึง่ บริดจ์ (Half Bridge Rectifier)
5.5.1 วงจรเรียงกระแสเตม็ บรดิ จ์
วงจรเรยี งกระแสเตม็ บริดจ์เป็นวงจรเรยี งกระแสชนิดบรดิ จ์ทใ่ี ชง้ านท่ัวไป วงจรประกอบดว้ ยไดโอด
ทำหน้าท่ีเรียงกระแสจำนวน 4 ตวั แต่ละซกี ของสัญญาณไฟฟา้ กระแสสลบั ทป่ี ้อนเขา้ มา ไดโอดทำงานซีกละ 2 ตัว
มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านดาร์สันวาล์มิเตอร์เต็มคร่ึงซีก ไม่มีซีกสัญญาณหายไป มีผลให้ค่าเฉลี่ยของกระแสไฟฟ้า
กระแสตรงท่ผี ่านดาร์สนั วาล์มิเตอร์มีค่าพิ่มข้ึนอีก 1 เท่าตัว เพิ่มจาก 31.8 % เป็น 63.6 % คือเพม่ิ ประสิทธภิ าพ
ของมาตรวัดขึ้นอีกเทา่ ตัวลักษณะวงจรเรยี งกระแสเต็มคลื่นเตม็ บรดิ จ์
จากรูปที่ 5.10 แสดงวงจรเอซีโวลต์มิเตอร์แบบใช้ไดโอดเรียงกระแสเต็มคลื่นเต็มบริดจ์ เม่ือมี
สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับจ่ายเข้าวงจรด้านบนเป็นบวกด้านล่างเป็นลบ ไดโอด D1และ D3 ได้รับไบแอสตรงนำ
กระแสไฟฟา้ มีกระแสไฟฟ้ากระแสตรงกระเพอื่ ม IP ครึ่งซกี บวกไหลผา่ น D1 ดารส์ นั วาลม์ เิ ตอร์ และ D3 ครบวงจร
เม่ือมสี ัญญาณไฟฟ้ากระแสสลบั จา่ ยเข้าวงจรด้านบนเป็นลบด้านล่างเป็นบวก ไดโอด D2 และ D4 ได้รบั ไบแอสตรง
นำกระแสไฟฟ้า มกี ระแสไฟฟ้ากระแสตรงกระเพื่อม IP คร่ึงซีกบวกท่ีสองไหลผ่าน D4 ดาร์สันวาล์มิเตอร์ และ D2
ครบวงจร เข็มช้ขี องดาร์สันวาลม์ เิ ตอรบ์ า่ ยเบนไป ชีค้ ่ากระแสไฟฟ้ากระแสตรงเฉล่ยี เต็มคล่นื (IAV(FW)) ออกมา
5.5.2 วงจรเรยี งกระแสครงึ่ บรดิ จ์
วงจรเรียงกระแสเต็มบริดจม์ ีข้อเสยี คอื ใช้ไดโอดในการทำงาน 4 ตัว โดยที่การทำงานแตล่ ะซีก
สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับต้องใช้ไดโอดในการทำงาน 2 ตัว ดังนั้นเมื่อนำเอซีโวลต์มิเตอร์ไปวัดสัญญาณไฟฟ้า
กระแสสลับค่าต่ำ เข็มชี้ของเอซีโวลต์มิเตอร์จะเกิดการบ่ายเบนไปไม่เป็นเชิงเส้น เพราะค่าความต้านทานในตัว
ไดโอดเปล่ียนแปลงค่าไปตามค่ากระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่าน กระแสไฟฟ้าไหลมากค่าความต้านทานในตัวไดโอดต่ำ
กระแสไฟฟา้ ไหลนอ้ ยค่าความตา้ นทานในตวั ไดโอดสูง กระแสไฟฟ้าย่งิ ไหลนอ้ ยลงความต้านทานในตัวไดโอดยงิ่ สูง
มากข้ึน เมื่อใช้งานกับไดโอด 2 ตัว ย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานในตัวไดโอดยิ่งมากข้ึนทำให้
สเกลของเอซีโวลต์มเิ ตอร์ในย่านต่ำไม่เป็นเชิงเส้น การดัดแปลงวงจรเรียงกระแสชนิดเต็มบริดจ์มาเปน็ วงจรเรียง
กระแสชนิดคร่ึงบริดจ์ ทำได้โดยใช้ตวั ต้านทานค่าคงทต่ี ่อแทนไดโอดบรดิ จ์2 ตัว วงจรยังสามารถทำงานได้เหมอื น
วงจรเรียงกระแสเตม็ บริดจ์ คือได้สัญญาณไฟฟา้ กระแสสลับจ่ายผ่านดาร์สันวาลม์ ิเตอร์เป็นแบบเต็มคล่ืน เพียงแต่
การทำงานในแตล่ ะครึ่งสัญญาณใช้ไดโอดทำงานเพียงตัวเดยี ว ลกั ษณะวงจรเรยี งกระแสเตม็ คลืน่ ครงึ่ บริดจ์
จากรปู ที่ 5.11 แสดงวงจรเอซีโวลต์มิเตอรแ์ บบใช้ไดโอดเรยี งกระแสเต็มคลนื่ คร่งึ บริดจ์ โดยตัดไดโอด D3
และ D4 ในวงจรบริดจ์ออก และใส่ตัวต้านทาน R1 และ R2 มีค่าความต้านทานคงท่ีต่ำๆ ค่าหน่ึงเขา้ แทนท่ีไดโอด
การทำงานของไดโอดตอ่ การเรยี งกระแสแต่ละครัง้ ใช้ไดโอดเพียงตัวเดยี ว ทำใหค้ ่าความตา้ นทานในตัวไดโอดขณะ
ทำการวัดค่ากระแสไฟฟ้าต่ำๆเปลี่ยนแปลงค่าลดลง ช่วยทำให้สเกลของเอซีโวลต์มิเตอร์เป็นเชงิ เส้นมากขนึ้ วงจร
เอซโี วลตม์ ิเตอรม์ ปี ระสทิ ธิภาพเพมิ่ มากขน้ึ สง่ ผลตอ่ การปรับเปลย่ี นสเกลของเอซโี วลต์มเิ ตอร์ง่ายขนึ้
การทำงานของวงจรอธิบายได้ดังน้ี เมื่อมีสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับจ่ายเข้าวงจรมีด้านบนเป็นบวก
ดา้ นล่างเป็นลบ ไดโอด D1 ได้รับไบแอสตรงทำงาน มีกระแสไฟฟ้ากระแสตรงกระเพื่อม IP คร่ึงบวกไหลผ่าน D1
ผา่ นดาร์สันวาลม์ ิเตอร์ และ R2 ครบวงจร เกิดสัญญาณไฟฟ้ากระแสตรงกระเพ่ือมซีกบวกหนึ่งซีกจา่ ยให้ดาร์สัน
วาล์มิเตอร์ เม่ือมีสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับจ่ายเข้าวงจร มีด้านบนเป็นลบด้านล่างเป็นบวก ไดโอด D2 ได้รับ
ไบแอสตรงทำงาน มกี ระแสไฟฟ้ากระแสตรงกระเพอื่ ม IP คร่ึงบวกท่สี องไหลผา่ น R1 ผ่านดาร์สนั วาลม์ ิเตอร์ และ
D2 ครบวงจร เกิดสัญญาณไฟฟ้ากระแสตรงกระเพื่อมซีกบวกอีกหนงึ่ ซีกจ่ายให้ดารส์ ันวาล์มิเตอร์ ทำให้เข็มช้ีของ
ดารส์ นั วาลม์ ิเตอร์บา่ ยเบนไป ชี้ค่ากระแสไฟฟา้ กระแสตรงเฉลี่ยเตม็ คลืน่ (IAV(FW)) ออกมา
5.6 สเกลหนา้ ปดั และย่านวดั เอซีโวลตม์ เิ ตอร์
สเกลหนา้ ปัดของเอซีโวลต์มเิ ตอร์ ถกู สรา้ งข้นึ มาใหส้ ามารถแสดงคา่ ปรมิ าณแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลับท่วี ัด
ได้ออกมาโดยตรง สามารถแสดงค่าปริมาณแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลับจากคา่ น้อยไปจนถึงค่ามากได้ สเกลหน้าปัด
ของเอซีโวลต์มเิ ตอร์มเี ลขศนู ย์อยู่ด้านซา้ ยของสเกล และตวั เลขค่อยๆ เพ่ิมขึ้นเป็นลำดบั ตามตำแหนง่ สเกลที่เล่ือน
มาทางด้านขวามือ ขณะปกติท่เี อซีโวลต์มิเตอรไ์ มใ่ ชง้ าน เขม็ ชตี้ ้องชี้ที่เลขศูนย์เสมอ เม่อื มีแรงดนั ไฟฟา้ กระแสสลับ
ปอ้ นให้เอซีโวลต์มเิ ตอร์ เข็มชี้จึงเร่ิมบ่ายเบนไปทางขวามือ การบ่ายเบนไปของเข็มช้มี ีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
ปรมิ าณของแรงดันไฟฟ้ากระแสสลบั ที่ป้อนเข้ามา ปอ้ นแรงดนั ไฟฟ้ากระแสสลับให้น้อยเข็มช้บี า่ ยเบนไปนอ้ ยปอ้ น
แรงดันไฟฟา้ กระแสสลับให้มากเขม็ ชบ้ี ่ายเบนไปมาก แสดงค่าที่วัดได้ออกมาบนสเกลหน้าปัดสเกลหน้าปัดของเอซี
โวลต์มิเตอร์
จากรปู ท่ี 5.12 แสดงสเกลหนา้ ปัดของเอซีโวลต์มเิ ตอร์แบบหนึ่ง แสดงค่าแรงดันไฟฟ้าที่วัดได้ออกมาใน
หน่วยโวลต์ (V) ช่องสเกลถกู แบ่งออกย่อยๆ ในระยะห่างเท่ากันจากค่าน้อยด้านซา้ ยไปคา่ มากด้านขวา โดยมียา่ น
วดั คา่ ได้เต็มสเกลแบง่ ออกเปน็ 3 ยา่ น คอื ย่าน 0 – 10 V ย่าน0 – 50 V และย่าน 0 – 250 V ย่านวัดแตล่ ะย่าน
ใช้แสดงคา่ แรงดันไฟฟา้ สงู สุดท่ีวดั ได้ออกมา
เนอ่ื งจากแรงดนั ไฟฟา้ ที่ป้อนใหว้ งจรไฟฟ้ามีค่าที่แตกต่างกัน ต้งั แต่แรงดันไฟฟ้าค่าตำ่ มากเปน็ มิลลิโวลต์
(mV) แรงดนั ไฟฟ้าคา่ ต่ำเปน็ โวลต์ (V) และแรงดนั ไฟฟา้ ค่าสงู เป็นกิโลโวลต์(kV) ทำใหเ้ อซีโวลต์มิเตอร์ที่สร้างขน้ึ มา
ใชง้ าน แสดงค่าปรมิ าณแรงดันไฟฟา้ ออกมาแตกต่างกันไป เพอื่ ความสะดวกในการเลอื กขนาดของเอซีโวลตม์ เิ ตอร์
มาใช้งานได้เหมาะสมกับปริมาณแรงดันไฟฟ้าท่ีวัดค่า โดยท่ัวไปแบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ มิลลิโวลต์มิเตอร์ โวลต์
มิเตอร์ และกโิ ลโวลตม์ ิเตอร์ ลักษณะหน้าปัดและสัญลกั ษณ์ของเอซีโวลตม์ เิ ตอร์
5.7 การวดั และอ่านคา่ เอซีโวลตม์ เิ ตอรว์ ดั แรงดันไฟฟ้า
เอซีโวลต์มิเตอร์ เป็นโวลตม์ เิ ตอรท์ ี่สร้างขึน้ มาเพอื่ ใชว้ ัดแรงดันไฟฟา้ กระแสสลบั คลื่นไซน์ท่ีกำเนดิ ขนึ้ มาใช้
งานตามที่ต่างๆ ท้งั ตามบา้ นเรือนที่อยู่อาศัย หรอื ในโรงงานอุตสาหกรรม มีคา่ แรงดันไฟฟ้าหลายคา่ เช่น 110 VAC
220 VAC หรือ 380 VAC เป็นต้น แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับจ่ายออกมาจากหม้อแปลงไฟฟ้า ท้ังชนิดแปลงลงมี
แรงดันไฟฟา้ 6 VAC 9 VAC และ 12 VAC หรือเป็นชนิดแปลงขนึ้ มีแรงดันไฟฟ้า 250 VAC 300 VAC และ 350
VAC รวมถงึ แรงดันไฟฟา้ กระแสสลับจากแหลง่ กำเนดิ อ่ืนๆ มคี วามถี่ตั้งแต่ค่าต่ำ 45 Hz ถึง 65 Hz หรืออาจมีค่าสงู
ถงึ 10 kHz ไมว่ า่ เอซโี วลต์มเิ ตอร์ไฟสลับจะวดั แรงดันไฟฟา้ ความถ่ใี ดกต็ าม แรงดันไฟฟา้ กระแสสลับท่วี ัดออกมาได้
จะวัดออกมาเป็นคา่ แรงดันไฟฟา้ อารเ์ อ็มเอส (RMS) เหมือนกนั
การนำเอซีโวลต์มิเตอร์ไปวัดแรงดันไฟฟา้ กระแสสลบั ในวงจรต่างๆ หรืออปุ กรณ์ตา่ งๆจะต้องต่อเอซีโวลต์
มิเตอร์คร่อมขนานกับวงจรหรืออุปกรณ์เหล่านั้น เหมือนกับดีซีโวลต์มิเตอร์วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงเช่นกัน
แตกต่างเพียงเอซีโวลตม์ ิเตอร์วัดแรงดันไฟฟา้ กระแสสลบั ไม่ต้องคำนึงถึงขวั้ แรงดันและขวั้ ของเอซีโวลต์มเิ ตอร์ ต่อ
วดั อยา่ งไรกไ็ ด้ ลกั ษณะการตอ่ เอซีโวลต์มิเตอร์วดั แรงดนั ไฟฟา้ กระแสสลับ
เอซีโวลต์มิเตอร์ท่ีสร้างมาใช้งานจริงมีหลายย่านวัดและหลายสเกล การนำเอซีโวลต์มิเตอร์ไปวัด
แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ ไม่ต้องคำนึงถึงข้ัวขณะวัดแรงดันไฟฟ้า แต่ต้องคำนึงถึงการตั้งย่านวัดค่าให้ถูกต้อง
เหมาะสม การตั้งยา่ นวดั ค่าหากไมท่ ราบค่าแรงดันไฟฟ้าท่ีทำการวัดควรตั้งย่านวัดค่าให้สูงไว้ก่อน เม่ือวัดค่าแล้ว
เข็มชี้ไม่บ่ายเบนจึงค่อยๆ ลดย่านวัดลงมาจนอยู่ในย่านท่ีเหมาะสม อ่านค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับบนสเกลเอซี
โวลต์มิเตอรไ์ ดช้ ดั เจน
• ด้านทกั ษะ+ด้านจิตพิสัย (ปฏบิ ตั +ิ ด้านจิตพสิ ยั ) (จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 3-6)
1. แบบฝึดหดั หน่วยท่ี 5
2. ใบปฏิบัตงิ าน 5 การใช้งานเอซโี วลต์มิเตอร์
• ด้านคณุ ธรรม/จรยิ ธรรม/จรรยาบรรณ/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง (จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมข้อ
ท่ี 7)
1. วดั และอ่านคา่ เอซโี วลตม์ เิ ตอร์
กิจกรรมการเรียนการสอนหรอื การเรยี นรู้
ข้ันตอนการสอนหรือกิจกรรมของครู ขัน้ ตอนการเรียนร้หู รอื กิจกรรมของนกั เรยี น
1. ข้นั นำเขา้ สูบ่ ทเรียน ( 15 นาที ) 1. ขัน้ นำเข้าสบู่ ทเรยี น ( 15 นาที )
1. ผู้สอนให้ผู้เรียนสาระการเรียนรู้ หน่วยท่ี 5 1. ผู้เรียนอ่านสาระการเรียนรู้ หน่วยที่ 5 เร่ือง
เร่ือง โวลตม์ เิ ตอร์ไฟฟ้ากระแสสลบั หนา้ 83 โวลตม์ ิเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสสลบั หน้า 83
2. ผ้สู อนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของหน่วยท่ี 5 2. ผู้เรียนทำความเข้าใจเก่ียวกับจุดประสงค์การ
เรือ่ ง โวลต์มิเตอร์ไฟฟา้ กระแสสลับ เรียนของหน่วยเรียนท่ี 5 เรื่อง 5 เร่ือง โวลต์มิเตอร์
ไฟฟ้ากระแสสลบั
3. ผู้สอนให้ผ้เู รียนเปรียบเทียบวงจรเรยี งกระแส 3. ผู้เรียนเปรียบเทียบวงจรเรียงกระแสแบบครึ่ง
แบบครึง่ คลนื่ และเตม็ คล่นื ในเอซีโวลต์มิเตอร์ คลนื่ และเต็มคล่นื ในเอซโี วลต์มิเตอร์
2. ข้นั ใหค้ วามรู้ ( 120 นาที ) 2. ขน้ั ใหค้ วามรู้ (120 นาที )
1. ผู้สอนแนะนำให้ผู้เรียนเปิด PowerPoint 1. ผู้เรียนศึกษาจาก PowerPoint และให้ผู้เรียน
และให้ผู้เรียนเปิดเอกสารประกอบการสอนวิชา เปดิ เอกสารประกอบการสอนวชิ า เครอ่ื งมอื วัดไฟฟ้าและ
เครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หน่วยที่ 5 อิเล็กทรอนิกส์ หน่วยที่ 5 เร่ือง โวลต์มิเตอร์ไฟฟ้า
เร่ือง โวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับและให้ผู้เรียน กระแสสลับโดยเลอื กจดบนั ทึกเนื้อหาทส่ี ำคัญ
ศกึ ษารายละเอยี ดด้วยตนเอง
2. ผู้สอนเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนถามปัญหา และ 2. ผู้เรียนซักถามข้อสงสัยท่ีเกิดขึ้นและผู้เรียน
ข้อสงสัยจากเนื้อหา โดยครูเป็นผู้ตอบปัญหาท่ีเกิดข้ึน รว่ มมอื กบั ผสู้ อน พรอ้ มฝกึ วัดและอา่ นค่าเอซโี วลตม์ เิ ตอร์
ระหว่างการเรียนการสอน พร้อมฝกึ วดั และอ่านค่าเอ วัดแรงดันไฟฟ้า
ซีโวลต์มิเตอร์วัดแรงดนั ไฟฟ้า
3. ขนั้ ประยกุ ตใ์ ช้ (60 นาที ) 3. ขนั้ ประยุกตใ์ ช้( 60 นาที )
1. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำใบปฏิบัติงาน 5 การใช้ 1. ผู้เรียนทำใบปฏิบตั ิงาน 5 การใชง้ านเอซีโวลต์
งานเอซโี วลตม์ ิเตอร์ หนา้ 102-105 มเิ ตอร์ หนา้ 102-105
2. ผ้สู อนให้ผ้เู รยี นสืบค้นขอ้ มลู จากอนิ เทอรเ์ นต็ 2. ผ้เู รยี นสืบคน้ ข้อมูลจากอนิ เทอรเ์ น็ต
กิจกรรมการเรียนการสอนหรอื การเรียนรู้
ขั้นตอนการสอนหรือกิจกรรมของครู ข้ันตอนการเรยี นรหู้ รือกจิ กรรมของนักเรยี น
4. ข้นั สรปุ และประเมนิ ผล ( 45 นาที ) 4. ขนั้ สรปุ และประเมินผล ( 45 นาที )
1. ผสู้ อนและผ้เู รียนร่วมกนั สรปุ เนื้อหาท่ไี ดเ้ รยี นให้ 1. ผู้เรยี นรว่ มกนั สรุปเน้ือหาทไ่ี ด้เรียนให้มคี วาม
มีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกนั เข้าใจในทิศทางเดียวกัน
2. ผู้สอนให้ผูเ้ รียนทำแบบฝึดหัดหน่วยท่ี 5 หน้าท่ี 2. ผเู้ รยี นทำแบบฝึดหัดหน่วยที่ 5 หน้าที่ 99-101
99-101
1. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียน 3. ผู้เรียนศึกษ าเพ่ิมเติมนอกห้องเรียน ด้วย
ด้วย PowerPoint ที่จัดทำขึน้ PowerPoint ที่จดั ทำขึน้
(บรรลุจุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมข้อท่ี 1-6) (บรรลุจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมข้อที่ 1-6)
(รวม 240 นาที หรือ 4 คาบเรยี น)
งานทม่ี อบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมินผล
ก่อนเรียน
1. จดั เตรยี มเอกสาร สื่อการเรียนการสอนหน่วยที่ 5
2. ทำความเข้าใจเก่ยี วกับจดุ ประสงค์การเรยี นของหนว่ ยที่ 5 และใหค้ วามรว่ มมอื ในการทำกิจกรรมใน
หน่วยที่ 5
ขณะเรยี น
1. ทำใบปฏิบัติงาน 5 การใชง้ านเอซีโวลตม์ เิ ตอร์
2. ร่วมกันสรปุ “โวลต์มเิ ตอร์ไฟฟา้ กระแสสลบั ”
หลังเรยี น
1. สรุปเนื้อหา
2. ทำแบบฝดึ หดั หนว่ ยท่ี 5
ผลงาน/ชนิ้ งาน/ความสำเรจ็ ของผเู้ รยี น
ใบปฏิบัตงิ าน 5 การใชง้ านเอซโี วลตม์ เิ ตอร์, แบบฝึดหดั หน่วยท่ี 5
สื่อการเรียนการสอน/การเรียนรู้
ส่อื สง่ิ พมิ พ์
1. เอ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส อ น วิ ช า เ ค รื่ อ ง มื อ วั ด ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์
(ใช้ประกอบการเรยี นการสอนจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรมขอ้ ท่ี 1-6)
2. ใบความรู้ที่ 5 เรื่อง โวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (ใช้ประกอบการเรียนการสอนข้ันให้ความรู้
เพือ่ ใหบ้ รรลจุ ุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 1-6)
3. ใบปฏิบตั ิงาน 5 การใชง้ านเอซีโวลต์มิเตอร์ ขัน้ ประยุกตใ์ ช้ ขอ้ 1
4. แบบฝกึ หัดหน่วยที่ 5 สรุปและประเมนิ ผล ข้อ 2
5. แบบประเมินผลงานตามใบงาน ใช้ประกอบการสอนขน้ั ประยกุ ต์ใช้ ข้อ 1
6. แบบประเมินพฤติกรรมการทำงาน ใชป้ ระกอบการสอนขน้ั ประยกุ ตใ์ ช้ ข้นั สรุปและประเมินผล
ส่ือโสตทศั น์ (ถ้าม)ี
1. เครอ่ื งไมโครคอมพิวเตอร์
2. PowerPoint เรือ่ ง โวลต์มเิ ตอรไ์ ฟฟา้ กระแสสลับ
สอ่ื ของจริง
โวลตม์ เิ ตอรไ์ ฟฟ้ากระแสสลบั (ใช้ประกอบการเรยี นการสอนจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมขอ้ ที่ 1-6)
แหลง่ การเรียนรู้
ในสถานศกึ ษา
1. ห้องสมุดวทิ ยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร
2. ห้องปฏบิ ตั กิ ารคอมพิวเตอร์ ศึกษาหาขอ้ มลู ทางอนิ เทอรเ์ นต็
นอกสถานศึกษา
ผูป้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่ินจังหวัดสมทุ รสาคร
การบูรณาการ/ความสัมพันธ์กบั วิชาอ่นื
1. บูรณาการกับวชิ าอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์เบือ้ งตน้
2. บูรณาการกับวิชาวงจรไฟฟ้าเบ้ืองต้น
3. บูรณาการกบั วชิ าเคร่ืองวัดไฟฟ้า
การประเมนิ ผลการเรียนรู้
• หลกั การประเมนิ ผลการเรียนรู้
ก่อนเรยี น
ความรู้เบื้องตน้ ก่อนการเรยี นการสอน
ขณะเรียน
1. ตรวจใบปฏิบตั ิงาน 5 การใช้งานเอซีโวลต์มิเตอร์
2. สงั เกตการทำงาน
หลังเรยี น
1. ตรวจแบบฝึดหัดหนว่ ยที่ 5
คำถาม
1. จงอธิบายการวดั แรงดันไฟฟา้ กระแสสลับด้วยดซี โี วลต์มเิ ตอร์
2. เอซโี วลตม์ ิเตอร์ คอื
3. วงจรเรียงกระแสแบบครง่ึ คล่นื และเตม็ คลนื่ ในเอซีโวลต์มเิ ตอร์ ต่างกนั อยา่ งไร
4. วัดและอ่านค่าเอซโี วลต์มิเตอรว์ ัดแรงดนั ไฟฟา้ ทำอยา่ งไร
5. สัญลกั ษณ์ไฟฟ้ากระแสสลบั มอี ะไรบา้ ง
ผลงาน/ชิน้ งาน/ผลสำเร็จของผูเ้ รียน
ใบปฏิบตั งิ าน 5 การใชง้ านเอซีโวลตม์ เิ ตอร์, แบบฝดึ หดั หน่วยที่ 5
สมรรถนะทีพ่ ึงประสงค์
ผเู้ รียนสร้างความเข้าใจเก่ยี วกับโวลตม์ ิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
1. วเิ คราะห์และตีความหมาย
2. ต้งั คำถาม
3. อภิปรายแสดงความคิดเหน็ ระดมสมอง
4. การประยุกต์ความร้สู ่งู านอาชพี
สมรรถนะการปฏิบตั งิ านอาชพี
1. วัดและอ่านคา่ เอซโี วลตม์ เิ ตอร์
สมรรถนะการขยายผล
ความสอดคล้อง
จากการเรียน เร่ือง โวลต์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับการต่อเอซี
โวลต์มิเตอร์วัดค่าแรงดันไฟฟ้าในวงจร เอซีโวลต์มิเตอร์ต้องต่อขนานกับวงจรไฟฟ้าเสมอ การวัดแรงดันไฟฟ้า
กระแสสลับนั้น ขณะตอ่ เอซีโวลตม์ เิ ตอร์คร่อมจุดวัดไมต่ ้องคำนงึ ถึงขัว้ เอซีโวลต์มิเตอร์ ตอ่ วดั ขวั้ ใดเขา้ วงจรก็ได้
แบบประเมินผลการนำเสนอผลงาน
ชอื่ กลุม่ ……………………………………………ช้ัน………………………หอ้ ง...........................
รายชอื่ สมาชกิ
1……………………………………เลขท่ี……. 2……………………………………เลขท…่ี ….
3……………………………………เลขที่……. 4……………………………………เลขท่…ี ….
ท่ี รายการประเมนิ คะแนน ขอ้ คิดเห็น
32 1
1 เน้อื หาสาระครอบคลมุ ชัดเจน (ความร้เู กี่ยวกบั เนอื้ หา ความถกู ต้อง
ปฏภิ าณในการตอบ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้ )
2 รูปแบบการนำเสนอ
3 การมสี ่วนรว่ มของสมาชกิ ในกลมุ่
4 บคุ ลิกลกั ษณะ กิริยา ทา่ ทางในการพดู น้ำเสียง ซึ่งทำใหผ้ ู้ฟงั มีความ
สนใจ
รวม
ผู้ประเมนิ …………………………………………………
เกณฑ์การให้คะแนน
1. เนือ้ หาสาระครอบคลุมชดั เจนถูกต้อง
3 คะแนน = มีสาระสำคญั ครบถว้ นถกู ตอ้ ง ตรงตามจดุ ประสงค์
2 คะแนน = สาระสำคัญไมค่ รบถว้ น แต่ตรงตามจดุ ประสงค์
1 คะแนน = สาระสำคัญไม่ถกู ตอ้ ง ไมต่ รงตามจุดประสงค์
2. รูปแบบการนำเสนอ
3 คะแนน = มรี ูปแบบการนำเสนอทเี่ หมาะสม มีการใชเ้ ทคนคิ ท่แี ปลกใหม่ ใช้ส่ือและเทคโนโลยี
ประกอบการ นำเสนอที่นา่ สนใจ นำวัสดุในทอ้ งถ่นิ มาประยกุ ตใ์ ช้อยา่ งคุม้ คา่ และประหยัด
2 คะแนน = มเี ทคนิคการนำเสนอท่แี ปลกใหม่ ใชส้ ่ือและเทคโนโลยีประกอบการนำเสนอทน่ี า่ สน ใจ แต
ขาดการประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถ่ิน
1 คะแนน = เทคนคิ การนำเสนอไม่เหมาะสม และไมน่ า่ สนใจ
3. การมสี ่วนร่วมของสมาชิกในกลมุ่
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนมบี ทบาทและมสี ่วนรว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญ่มบี ทบาทและมีสว่ นรว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชิกสว่ นน้อยมบี ทบาทและมีสว่ นรว่ มกิจกรรมกลุ่ม
4. ความสนใจของผฟู้ งั
3 คะแนน = ผู้ฟงั มากกวา่ รอ้ ยละ 90 สนใจ และให้ความร่วมมือ
2 คะแนน = ผู้ฟังร้อยละ 70-90 สนใจ และให้ความร่วมมือ
1 คะแนน = ผฟู้ ังนอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 70 สนใจ และใหค้ วามรว่ มมือ
แบบประเมินกระบวนการทำงาน
ชอื่ กลมุ่ ……………………………………………ช้ัน………………………หอ้ ง...........................
รายชื่อสมาชิก 2……………………………………เลขที่…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท…่ี ….
3……………………………………เลขท…่ี ….
ที่ รายการประเมนิ คะแนน ข้อคดิ เห็น
1 การกำหนดเปา้ หมายร่วมกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ทร่ี บั ผิดชอบและการเตรยี มความพรอ้ ม
3 การปฏิบตั หิ น้าท่ีท่ีได้รบั มอบหมาย
4 การประเมนิ ผลและปรบั ปรงุ งาน
รวม
ผ้ปู ระเมนิ …………………………………………………
วนั ที่…………เดอื น……………………..พ.ศ…………...
เกณฑก์ ารให้คะแนน
1. การกำหนดเปา้ หมายร่วมกัน
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมสี ว่ นรว่ มในการกำหนดเป้าหมายการทำงานอย่างชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกสว่ นใหญม่ สี ่วนร่วมในการกำหนดเปา้ หมายในการทำงาน
1 คะแนน = สมาชกิ ส่วนน้อยมีส่วนร่วมในการกำหนดเปา้ หมายในการทำงาน
2. การหน้าทรี่ ับผดิ ชอบและการเตรยี มความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ ั่วถงึ และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจดั เตรียมสถานที่ สอื่ /
อุปกรณไ์ วอ้ ยา่ งพร้อมเพรยี ง
2 คะแนน = กระจายงานได้ทั่วถงึ แต่ไม่ตรงตามความสามารถ และมีส่อื / อุปกรณ์ไว้อย่างพร้อมเพรียง แตข่ าด
การจัดเตรียมสถานที่
1 คะแนน = กระจายงานไมท่ ัว่ ถงึ และมีสอ่ื / อุปกรณไ์ มเ่ พยี งพอ
3. การปฏบิ ตั ิหน้าท่ีท่ีได้รบั มอบหมาย
3 คะแนน = ทำงานได้สำเรจ็ ตามเป้าหมาย และตามเวลาทกี่ ำหนด
2 คะแนน = ทำงานไดส้ ำเร็จตามเปา้ หมาย แตช่ ้ากว่าเวลาท่ีกำหนด
1 คะแนน = ทำงานไมส่ ำเรจ็ ตามเปา้ หมาย
4. การประเมนิ ผลและปรบั ปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชกิ ทกุ คนร่วมปรกึ ษาหารอื ตดิ ตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็นระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีสว่ นรว่ มปรึกษาหารือ แตไ่ มป่ รบั ปรงุ งาน
1 คะแนน = สมาชิกบางสว่ นมสี ว่ นร่วมไม่มสี ว่ นรว่ มปรึกษาหารอื และปรับปรงุ งาน
บนั ทึกหลงั การสอน
หนว่ ยท่ี 5 โวลตม์ เิ ตอรไ์ ฟฟ้ากระแสสลบั
ผลการใช้แผนการสอน
1. เนือ้ หาสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
2. กจิ กรรมการสอนเหมาะสมกับเน้อื หาและเวลาทีก่ ำหนด
3. ส่อื การสอนเหมาะสมดี
ผลการเรียนของนักเรยี น งานท่ี
1. นักศกึ ษาส่วนใหญม่ คี วามเข้าใจในบทเรยี น อภปิ รายตอบคำถามในกลุม่ และร่วมกันปฏบิ ตั ิ
ได้รบั มอบหมาย
2. นักศกึ ษากระตอื รือร้นและรบั ผดิ ชอบในการทำงานกลมุ่ เพื่อให้งานสำเรจ็ ทนั เวลาทกี่ ำหนด
3. นกั ศึกษาฝึกวดั และอ่านคา่ เอซีโวลตม์ ิเตอรว์ ดั แรงดนั ไฟฟ้าได้
ผลการสอนของครู
1. สอนเนือ้ หาไดค้ รบตามหลักสูตร
2. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเน้ือหาการสอนทำให้ผู้สอนสอนได้อย่างม่ันใจ
3. สอนทันตามเวลาทกี่ ำหนด
แผนการสอน/แผนการเรยี นรู้ภาคทฤษฎี
แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 6
ชือ่ วิชา เครอ่ื งมอื วดั ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนิกส์ สอนสัปดาหท์ ่ี 8
ชือ่ หน่วย ชนดิ มาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลบั คาบรวม 32
ชอื่ เรือ่ ง ชนดิ มาตรวดั ไฟฟา้ กระแสสลบั จำนวนคาบ 4
หวั ขอ้ เรอื่ ง
ด้านความรู้
1. มาตรวดั ไฟฟ้ากระแสสลบั
2. ดารส์ นั วาลม์ เิ ตอรใ์ ชง้ านวงจรเรียงกระแส
ด้านทกั ษะ
1. วัดและอ่านคา่ เอซีแอมมิเตอร์วดั กระแสไฟฟ้า
ดา้ นจิตพสิ ยั
1. มาตรวัดชนดิ ต่างๆ
ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม
1. วัดและอ่านค่าเอซีแอมมเิ ตอรด์ ว้ ยความถูกต้อง ถูกหลักการ
สาระสำคญั
มาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลับแบ่งออกได้หลายชนิดแตกต่างกันไป มาตรวัดชนิดไดนาโมไฟฟ้า ใช้หลักการ
ทำงานของสนามแม่เหล็ก 2 ชุด ชุดอยู่กับที่ และชุดเคล่ือนที่ ชุดแม่เหล็กอยู่กับท่ีใช้แม่เหล็กไฟฟ้าแท นแม่เหล็ก
ถาวร ขดลวดแม่เหล็กท้ังหมดต่อเป็นอนุกรมกัน มาตรวัดชนิดแผ่นโลหะผลักเคลื่อนที่ ใช้ผลของสนามแม่เหล็ก
ผลกั ดันให้แผ่นโลหะเคล่อื นท่ี เคล่ือนตัวไปตามแนวเสน้ แรงแมเ่ หล็ก การเคล่ือนตัวไปของแผ่นโลหะเคลือ่ นท่ขี ้ึนอยู่
กบั ความเข้มของสนามแม่เหล็ก มาตรวัดชนิดขดลวดเอียง มีส่วนเคล่ือนไหวเป็นแบบแผ่นแม่เหล็กเคล่ือนท่ี การ
เคลื่อนที่ของแผ่นเหลก็ เกดิ จากความเข้มสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของขดลวดเอยี ง ทจ่ี า่ ยกระแสไฟฟา้ เข้ามา
สมรรถนะอาชีพประจำหน่วย
1. วัดและอา่ นคา่ เอซแี อมมิเตอร์
คำศพั ทส์ ำคญั
-
จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้
• จุดประสงค์ท่ัวไป / บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง
1. เพ่อื ใหม้ ีความรเู้ กย่ี วกบั การอธิบายมาตรวดั ไฟฟ้ากระแสสลบั (ดา้ นความรู้)
2. เพ่ือใหม้ คี วามรู้เก่ียวกับการบรรยายดาร์สนั วาลม์ ิเตอร์ใชง้ านวงจรเรียงกระแส (ดา้ นความร)ู้
3. เพื่อให้มที กั ษะในการวดั และอ่านคา่ เอซีแอมมเิ ตอรว์ ดั กระแสไฟฟา้ (ดา้ นทกั ษะ)
4. เพือ่ ให้มีเจตคติทดี่ ีในการจำแนกมาตรวดั ชนดิ ต่างๆ (ด้านจิตพสิ ยั )
5. เพอื่ วดั และอา่ นคา่ เอซแี อมมิเตอรด์ ้วยความถกู ตอ้ ง ถูกหลกั การ (ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม)
• จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม / บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง
1. อธิบายมาตรวดั ไฟฟา้ กระแสสลับได้ (ด้านความรู้)
2. บรรยายดาร์สนั วาล์มเิ ตอรใ์ ช้งานวงจรเรยี งกระแสได้ (ด้านความร)ู้
3. วดั และอา่ นคา่ เอซแี อมมิเตอรว์ ดั กระแสไฟฟา้ ได้ (ด้านทักษะ)
4. จำแนกมาตรวัดชนดิ ต่างๆ ได้ (ดา้ นจิตพสิ ยั )
5. วดั และอา่ นค่าเอซีแอมมิเตอร์ด้วยความถูกตอ้ ง ถูกหลกั การ (ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม)
เน้ือหาสาระการสอน/การเรียนรู้
• ดา้ นความรู้(ทฤษฎี)
6.1 มาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลบั
การวัดปริมาณไฟฟ้ากระแสสลับ ไมว่ ่าเป็นแรงดันไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าก็ตาม จะต้องใช้มาตรวัดแบบ
เข็มช้ีแสดงค่าท่ีสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานกับไฟฟ้ากระแสสลับโดยเฉพาะเท่านั้นมาใช้วัดค่า มาตรวัดจึงจะสามารถ
แสดงค่าปริมาณไฟฟ้าเหล่านัน้ ออกมา มาตรวัดไฟฟา้ กระแสสลับท่ีสร้างขึ้นมาใช้งาน มีสว่ นเคล่ือนไหวผลิตข้ึนมา
ใช้งานแตกต่างกันไปหลายชนิด บางชนิดนำไปใช้งานได้ทั้งไฟฟ้ากระแสตรงและไฟฟ้ากระแสสลับ โดยไม่ต้อง
ดดั แปลงหรือเพ่ิมเติมอุปกรณ์ใดเลย แต่บางชนิดใช้งานได้กับไฟฟ้ากระแสตรงเท่านั้น เมื่อนำไปใช้งานกับไฟฟ้า
กระแสสลบั จะต้องทำการดดั แปลงและเพ่ิมเตมิ อปุ กรณ์เขา้ ไปช่วยแปลงไฟสลบั ให้เปน็ ไฟตรงก่อนการวัดคา่
ส่วนเคลื่อนไหวของมาตรวัดถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน เพราะจะทำให้เกิดการแสดงค่าปริมาณ
ไฟฟา้ ท่ีวดั ได้ออกมา การบา่ ยเบนของเข็มช้ีมาตรวัดขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าไปในสว่ นเคลื่อนไหว
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านน้อยเข็มชี้บ่ายเบนไปน้อย กระแสไฟฟ้าไหลผ่านมากเข็มช้ีบ่ายเบนไปมาก การกำหนดค่า
ปริมาณไฟฟ้าต่างๆ บนสเกลมาตรวัด ขน้ึ อยู่กับจุดประสงค์ในการนำมาตรวัดไปใชว้ ัดค่าปริมาณไฟฟ้าท่ีต้องการ
เชน่ โวลต์ (V) แอมแปร์ (A)โอหม์ (Ω) และวัตต์ (W) เป็น
มาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลับแบบเข็มช้ีท่ีสร้างข้ึนมาใช้งานมีด้วยกันหลายชนิด หลายลักษณะมีส่วน
โครงสรา้ งและชอื่ เรยี กแตกต่างกนั แบ่งออกได้เป็น 8 ชนดิ ดงั นี้
1. ดาร์สันวาลม์ ิเตอรใ์ ช้วงจรเรียงกระแส (D’Arsonval Meter use with Rectifier)
2. มาตรวัดชนิดไดนาโมไฟฟ้า (Electrodynamometer)
3. มาตรวัดชนดิ แผ่นโลหะผลกั เคล่อื นที่ (Repulsion Vane Meter)
4. มาตรวัดชนดิ ขดลวดเอยี ง (Inclined Coil Meter)
5. มาตรวดั ชนดิ โซลนิ อยด์ (Solenoid Meter)
6. มาตรวดั ชนิดเทอร์โมคัปเปลิ (Thermocuple Meter)
7. มาตรวดั ชนิดไฟฟา้ สถิต (Electrostatic Meter)
8. มาตรวัดชนดิ แคลมป์ (Clamp Meter)
6.2 ดาร์สนั วาล์มเิ ตอร์ใชว้ งจรเรียงกระแส
ดาร์สันวาล์มเิ ตอร์เปน็ มาตรวดั ใช้งานไดเ้ ฉพาะวัดปริมาณไฟฟา้ กระแสตรงเท่าน้ัน แตส่ ามารถนำไปใช้งาน
ได้กับไฟฟ้ากระแสสลับ โดยการเพ่ิมอุปกรณ์เปล่ียนไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง ได้แก่ไดโอดเรียง
กระแส ผลิตขึ้นมาจากสารก่ึงตัวนำชนิดซิลิคอน (Si) ลักษณะการต่อวงจรเรียงกระแสที่นิยมใช้งานเป็นชนิดคร่ึง
คลนื่ ใช้ไดโอดต่อร่วมวงจร 2 ตัวเพือ่ กำหนดศักยไ์ ฟฟา้ ท่ีตอ้ งการใหผ้ า่ นดาร์สนั วาล์มิเตอร์
จากรูปท่ี 6.2 แสดงดาร์สนั วาล์มเิ ตอร์ต่อวงจรรว่ มกับวงจรเรียงกระแสสร้างเป็นมาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลับ
มีไดโอด D1 เปน็ ตวั เรยี งกระแสแปลงไฟฟ้ากระแสสลบั เป็นไฟฟา้ กระแสตรงกระเพือ่ มซีกบวกป้อนให้ขั้วบวกดาร์
สันวาล์มิเตอร์ และไดโอด D2 เปน็ ตวั กำจัดสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลบั ซีกลบใหผ้ ่านกลับออกไป ไมใ่ หผ้ า่ นเขา้ ดาร์
สันวาล์มิเตอร์ มตี ัวต้านทาน RS ของวงจรตามรปู ท่ี 6.2 (ก) เป็นตัวต้านทานค่าสูงต่ออนกุ รมกับวงจร ชว่ ยเปลย่ี น
ดาร์สันวาล์มิเตอร์ให้กลายเป็นเอซีโวลต์มิเตอร์ และมีตัวต้านทาน RSH ของวงจรตามรูปท่ี 6.2 (ข) เป็นตัว
ต้านทานค่าต่ำต่อขนานกับวงจร ช่วยเปล่ียนดาร์สันวาล์มิเตอร์ให้กลายเป็นเอซีแอมมิเตอร์ โดยเลือกค่าความ
ตา้ นทานทีเ่ หมาะสมมาต่อใชง้ าน
6.3 มาตรวดั ชนดิ ไดนาโมไฟฟ้า
มาตรวัดชนิดไดนาโมไฟฟ้า เป็นมาตรวัดท่ีมีส่วนเคล่ือนไหวแบบขดลวดเคล่ือนที่ทำงานคล้ายกับดาร์สัน
วาลม์ ิเตอร์ คือใชก้ ารทำงานของสนามแมเ่ หล็ก 2 ชุด ชดุ หนึง่ อยู่กับที่ อกี ชดุ หน่ึงเคล่ือนที่ แต่มาตรวดั ชนิดไดนาโม
ไฟฟ้าแตกต่างกบั ดาร์สันวาล์มิเตอร์ตรงที่ ส่วนสนามแม่เหล็กอยู่กับที่ ไม่ได้ใช้แม่เหล็กถาวรไปใช้แม่เหล็กไฟฟ้า
แทน สร้างจากขดลวดอยู่กับท่ี (Fixed Coil)จำนวน 2 ชุด วางขนานแยกห่างกัน ล้อมขดลวดเคลื่อนที่จำนวน 1
ชุดไว้ ขดลวดทงั้ 3 ชดุ ตอ่ กนั อยา่ งอนุกรม โครงสร้างของมาตรวัดชนดิ ไดนาโมไฟฟ้าเบอ้ื งตน้
จากรูปท่ี 6.3 แสดงมาตรวัดชนิดไดนาโมไฟฟ้าเบ้ืองต้น รูปที่ 6.3 (ก) เป็นโครงสร้างของมาตรวัดชนิด
ไดนาโมไฟฟ้า สว่ นประกอบหลักประกอบด้วยขดลวดอยกู่ ับที่ 2 ชดุ วางขนานล้อมขดลวดเคลื่อนท่ีจำนวน 1 ชุด
และมีเข็มช้ียึดติดอยู่ โดยมีสปริงบังคับการบ่ายเบนต่อร่วมด้วย ส่วนรปู ที่ 6.3 (ข) เป็นการต่อวงจรมาตรวัดชนิด
ไดนาโมไฟฟา้ โดยตอ่ ขดลวดสนามแม่เหล็กทงั้ 3 ชดุ เขา้ ดว้ ยกันแบบอนุกรม มขี ั้วอินพตุ ใชส้ ำหรับวัดปริมาณไฟฟ้า
เมื่อจ่ายกระแสไฟฟา้ ไหลเข้าวงจรมาตรวัดชนิดไดนาโมไฟฟา้ ที่อนิ พตุ มกี ระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดทั้ง 3 ชุด ทำ
ให้ขดลวดทุกชุดผลกั ดันข้นึ ระหวา่ งสนามแมเ่ หลก็ ของขดลวดอยู่กบั ท่ี และสนามแม่เหล็กของขดลวดเคลอ่ื นท่ี เกิด
การบ่ายเบนไปของขดลวดเคลอ่ื นท่ีชค้ี า่ การวัดปรมิ าณไฟฟา้ ออกมา
ปรมิ าณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านขดลวดทั้ง 3 ชุด มีผลตอ่ การบ่ายเบนไปของเข็มช้กี ระแสไฟฟ้าไหลเข้ามา
นอ้ ย ขดลวดท้ัง 3 ชุดเกิดสนามแม่เหล็กนอ้ ย มีอำนาจแม่เหล็กผลกั ดนั น้อยเขม็ ช้ีบ่ายเบนไปนอ้ ย กระแสไฟฟ้าไหล
เข้ามามาก ขดลวดทั้ง 3 ชดุ เกิดสนามแม่เหลก็ มาก มีอำนาจแม่เหล็กผลักดนั มาก เขม็ ช้ีบา่ ยเบนไปมาก
โครงสรา้ งของมาตรวดั ชนดิ ไดนาโมไฟฟ้า เป็นโครงสร้างพ้ืนฐานในสว่ นเคลื่อนไหวของมาตรวัดทีน่ ำไปใช้
งาน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ โดยสร้างเปน็ มาตรวัดได้หลายชนิดเช่น วตั ต์มิเตอร์ วาร์มิเตอร์ เพาเวอร์
แฟกเตอร์มิเตอร์ และมเิ ตอรว์ ัดความถี่ เปน็ ตน้
6.4 มาตรวดั ชนิดแผ่นโลหะผลักเคล่ือนที่
มาตรวัดชนิดแผน่ โลหะผลกั เคลื่อนที่ เป็นมาตรวัดที่ใช้ผลของสนามแม่เหล็กผลักดนั ให้แผน่ โลหะเคล่ือนที่
เคล่ือนตัวไปตามแนวเส้นแรงแม่เหล็ก การเคล่ือนตัวไปของแผ่นโลหะเคล่ือนที่ขึ้นอยู่กับความเข้มของ
สนามแม่เหล็กท่ีเกิดขึ้นโดยรอบ การเคลือ่ นตัวไปของแผ่นโลหะเคล่ือนท่ีทำให้เข็มชี้บ่ายเบนไปด้วยชี้ค่าปริมาณ
ไฟฟ้าออกมา
จากรปู ท่ี 6.4 แสดงโครงสร้างมาตรวัดชนิดแผ่นโลหะผลักเคล่ือนที่ เป็นมาตรวัดที่นำไปสร้างเป็นโวลต์
มิเตอร์และแอมมิเตอร์ได้ โครงสร้างประกอบด้วยแผ่นเหล็กอ่อนโค้งทรงกระบอก(Soft Iron Vane) 2 แผน่ แผ่น
เหล็กแผ่นหนึ่งอยู่กับท่ี ส่วนอีกแผ่นหน่ึงเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระแผ่นเหล็กเคลื่อนท่ีได้ถูกยึดติดเข้ากับท่อนโลหะ
ทรงกระบอก พร้อมเขม็ ช้ี และสปรงิ ควบคมุ การบ่ายเบน ตอนนอกสดุ มขี ดลวดทรงกระบอกพนั ลอ้ มรอบ
เมอ่ื มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเขา้ ขดลวดท่ีอนิ พุต แผน่ เหลก็ ท้งั สองจะกลายเป็นแมเ่ หลก็ ท้งั คู่ เกดิ ขว้ั แม่เหล็ก
ขนึ้ เหมือนกัน เช่น ขั้วเหนือ (N) ทั้งคู่ หรือขั้วใต้ (S) ท้ังคู่ เกิดการผลักดันกันทำให้แผ่นเหล็กเคล่ือนที่ได้หมุนไป
รอบแผ่นเหล็กอยูก่ ับที่ เขม็ ชที้ ีย่ ดึ ตดิ อยู่บา่ ยเบนตามไปด้วยพร้อมสปริงบังคับการบา่ ยเบน
ถ้าจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ขดลวดมาก จะเกิดสนามแม่เหล็กมาก ทำให้แผ่นเหล็กท้ังสองเกิดสนามแม่เหล็ก
มาก เกดิ แรงผลกั ดันมาก เข็มชีบ้ ่ายเบนไปมาก ถ้าจ่ายกระแสไฟฟา้ ให้ขดลวดน้อย จะเกดิ สนามเหล็กน้อย ทำให้
แผน่ เหล็กทัง้ สองเกิดสนามแมเ่ หล็กนอ้ ย เกดิ แรงผลักดันนอ้ ยเขม็ ชบ้ี า่ ยเบนไปนอ้ ย
6.5 มาตรวัดชนิดขดลวดเอยี ง
มาตรวัดชนิดขดลวดเอียง เป็นมาตรวัดท่ีมีส่วนเคล่ือนไหวเป็นแบบแผ่นเหล็กเคลื่อนที่โดยอาศัย
สนามแม่เหล็กเกิดจากกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นไปผลักดันให้แผ่นเหล็ก
เคลื่อนท่ีบ่ายเบนไป ควบคุมให้เข็มชี้บ่ายเบนตามไปด้วย ความเข้มของสนามแม่เหล็กขึ้นอยู่กับจำนวนรอบของ
ขดลวด และจำนวนกระแสไฟฟา้ ที่ไหลผา่ นเขา้ ขดลวดโครงสรา้ งมาตรวัดชนิดขดลวด
จากรูปท่ี 6.5 แสดงโครงสร้างมาตรวัดชนิดขดลวดเอียง เป็นมาตรวัดท่ีสร้างขึ้นมาใช้งานโดยให้
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเช่นเดียวกับดาร์สนั วาล์มิเตอร์ สามารถสร้างเปน็ โวลต์มิเตอร์หรอื แอมมิเตอร์ได้ โครงสร้าง
ประกอบด้วยแผ่นเหล็กอ่อนเคล่ือนที่ ถกู ยึดตดิ แน่นอยู่บนท่อนโลหะทรงกระบอก พรอ้ มเข็มช้ี และสปริงควบคุม
การบ่ายเบน สามารถหมุนเคลื่อนที่ไดร้ อบตัว การบ่ายเบนของเข็มช้ีถูกบังคับด้วยสปริงก้นหอย แผ่นเหล็กอ่อน
เคลอื่ นที่สำหรับรองรบั ความเข้มของสนามแมเ่ หล็กถกู วางอย่ใู นขดลวดเอียงทรงกระบอก
เม่ือมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดเอียง ทำให้ขดลวดเอียง เกิดสนามแม่เหล็กข้ึน มีเส้นแรงแม่เหล็ก
เกิดข้ึนในแนวขนานกับท่อนโลหะทรงกระบอก ส่งผลให้แผ่นเหล็กอ่อนเคล่ือนที่ถูกผลักดันอยู่ในแนวเส้นแรง
แม่เหลก็ ทำให้เกิดการเคล่ือนทไ่ี ปตามทิศทางของเส้นแรงแม่เหล็กของขดลวดเอียง ควบคมุ เข็มช้ีให้บา่ ยเบนไปชี้
ค่าปรมิ าณไฟฟา้ ออกมา
ถ้าจ่ายกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดเอียงมาก ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กและเส้นแรงแม่เหล็กมาก แผ่น
เหล็กอ่อนเคลื่อนที่ถูกผลกั ให้เคลอ่ื นท่ีไปมาก เข็มชบ้ี ่ายเบนไปมาก และถา้ จา่ ยกระแสไฟฟา้ ไหลผ่านขดลวดเอียง
น้อย ทำใหเ้ กดิ สนามแม่เหล็กและเสน้ แรงแม่เหล็กน้อย แผน่ เหล็กอ่อนเคลอ่ื นท่ถี ูกผลักให้เคลื่อนที่ไปนอ้ ย เขม็ ชี้
บ่ายเบนไปน้อย
6.6 มาตรวดั ชนดิ โซลนิ อยด์
มาตรวัดชนิดโซลินอยด์ เป็นมาตรวัดท่ีส่วนเคล่ือนไหวสามารถใช้วัดค่าปริมาณไฟฟ้าได้ทั้งไฟฟ้า
กระแสตรง (DC) และไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ถูกสร้างมาใช้ในแอมมิเตอรแ์ ละโวลตม์ ิเตอร์มาตรวัดชนิดนี้ใช้ส่วน
เคล่ือนไหวเปน็ โซลินอยด์หรือทอ่ นเหล็กอ่อนเคลื่อนท่ี โดยอาศัยผลของสนามแม่เหล็กผลักดัน ทำให้เกดิ การบ่าย
เบนของเขม็ ช้ี โครงสร้างมาตรวัดชนิดโซลินอยด์
จากรปู ท่ี 6.6 แสดงโครงสรา้ งมาตรวัดชนิดโซลินอยด์ โครงสร้างประกอบดว้ ยขดลวดโซลนิ อยด์ เปน็ ตัวรับ
กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ตอนกลางขดลวดมีท่อนเหล็กอ่อนวางอยู่ ท่อนเหล็กอ่อนนี้เคลื่อนท่ีเข้าไปในขดลวดโซลิ
นอยด์ได้ เม่ือมีสนามแม่เหล็กจากขดลวดโซลินอยด์ผลักดนั ตอนปลายสุดของท่อนเหล็กอ่อนเคล่อื นที่ถูกยดึ ติดกับ
จุดหมุนและเข็มชี้
เมือ่ มีกระแสไฟฟา้ ไหลผ่านขดลวดโซลินอยด์ ทำให้ขดลวดโซลินอยด์เกิดสนามแมเ่ หล็กผลักดนั ท่อนเหล็ก
ออ่ นเคล่อื นท่ี ใหเ้ คลื่อนทเ่ี ข้าไปในขดลวดโซลนิ อยด์ เขม็ ชีถ้ กู บ่ายเบนไปชคี้ ่าปริมาณไฟฟ้าที่วดั ได้ออกมาบนสเกล
ถ้าจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ขดลวดโซลินอยด์มาก ขดลวดโซลินอยด์เกิดสนามแม่เหล็กมากท่อนเหล็กอ่อน
เคลื่อนท่ีเข้าไปในขดลวดโซลินอยด์มาก เข็มช้ีบ่ายเบนไปมาก และถ้าจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ขดลวดโซลินอยด์น้อย
ขดลวดโซลินอยด์เกดิ สนามแม่เหล็กนอ้ ย ทอ่ นเหลก็ อ่อนเคล่อื นทเี่ ข้าไปในขดลวดโซลินอยด์น้อย เขม็ ชบ้ี ่ายเบนไป
น้อย
มาตรวดั ชนิดโซลินอยด์จะสรา้ งขึ้นเป็นโวลต์มิเตอร์หรอื แอมมิเตอร์ ข้นึ อยกู่ บั ชนดิ ของขดลวดโซลนิ อยด์ที่
ใช้ ถา้ ทำเป็นแอมมเิ ตอรใ์ ช้ขดลวดโซลินอยด์เส้นใหญ่ พนั จำนวนรอบน้อยและถา้ ทำเป็นโวลต์มเิ ตอร์ใช้ขดลวดโซลิ
นอยด์เสน้ เล็ก พนั จำนวนรอบมาก
6.7 มาตรวดั ชนดิ เทอร์โมคปั เปิล
มาตรวัดชนิดเทอร์โมคัปเปิล เป็นมาตรวัดที่สามารถสร้างข้ึนมาให้วัดกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าได้
นำไปวัดได้ท้ังไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) นอกจากน้ันยงั สามารถวัดไฟฟ้ากระแสสลับท่ี
ความถ่ีสูง ไดเ้ ป็นเมกเฮิรตซ์ (MHz) การวดั ค่าปริมาณไฟฟา้ ของเทอรโ์ มคปั เปิล ตอ้ งเปล่ียนปรมิ าณไฟฟา้ ทจี่ ะวดั ให้
เป็นความร้อนเสียก่อน โดยใช้ลวดความร้อนส่งผ่านความร้อนไปให้เทอร์โมคัปเปิล เทอร์โมคัปเปิลเปล่ียนความ
รอ้ นเปน็ แรงดันไฟฟ้า ป้อนไปใหด้ าร์สันวาล์มเิ ตอร์แสดงคา่ การวดั ออกมา มาตรวัดชนิดเทอรโ์ มคัปเปลิ เบือ้ งตน้
จากรปู ที่ 6.7 แสดงมาตรวัดชนิดเทอร์โมคัปเปิล มาตรวดั ชนิดนอี้ าศัยปริมาณความร้อนในการแสดงผล
การวัดปรมิ าณไฟฟ้าออกมา โดยใช้ตัวเทอรโ์ มคัปเปลิ ทเี่ ปน็ อุปกรณ์ทรานส์ดิวเซอร์(Transducer) มีคุณสมบตั ิทำ
หน้าท่ีเปลี่ยนความร้อนท่ีรับเข้ามา ให้จ่ายออกเป็นแรงดันไฟฟ้าโครงสร้างของเทอร์โมคัปเปิลประกอบด้วยลวด
โลหะ 2 ชนิด ท่ีทำมาจากโลหะต่างชนิดกัน ปลายด้านหนึ่งของโลหะทั้งสองจะต่อเชื่อมติดกัน ปลายอีกด้านหน่ึง
ของโลหะทัง้ สองแยกออกจากกันเป็นรูปตัววี (V) นำไปต่อเข้ากับส่วนเคล่ือนไหวของดารส์ ันวาล์มิเตอร์ ด้านปลาย
ทต่ี อ่ ชนกันของเทอรโ์ มคัปเปลิ วางอย่ใู กลข้ ดลวดความร้อนภายในกลอ่ งฉนวนเก็บความร้อน
ถา้ นำปลายข้ัวตอ่ อินพุตไปวดั แรงดนั ไฟฟา้ หรือกระแสไฟฟา้ จะเกิดความร้อนขึ้นท่ขี ดลวดความร้อน เทอร์
โมคัปเปิลได้รับความร้อนเกดิ แรงดันไฟฟ้าข้ึน จา่ ยไปให้ดารส์ ันวาล์มเิ ตอร์ แรงดันไฟฟา้ ท่ีเกดิ จากเทอร์โมคัปเปลิ มี
ค่ามากหรอื น้อยขึน้ อยู่กับอุณหภมู ิของขดลวดความร้อน อณุ หภมู ิของขดลวดความร้อนขนึ้ อยู่กับแรงดนั ไฟฟ้าและ
กระแสไฟฟ้าท่ีป้อนให้ขดลวดความรอ้ น แรงดันไฟฟา้ ท่ีเกิดขึ้นในเทอรโ์ มคัปเปิลมีค่ามากน้อยตามชนิดของเทอร์
โมคัปเปิลทน่ี ำมาใชง้ าน
6.8 มาตรวัดชนิดไฟฟ้าสถิต
มาตรวัดชนิดไฟฟ้าสถิต เป็นมาตรวัดท่ีสร้างข้ึนมาเพ่ือใช้วัดแรงดันไฟฟ้าในรูปโวลต์มิเตอร์ไฟฟ้าสถิต
(Electrostatic Voltmeter) การวัดค่าแรงดันไฟฟา้ ใช้วัดความต่างศักย์ที่เกิดข้ึนระหว่างแผน่ เพลตตัวนำ 2 แผ่น
ซ่งึ กค็ ือสนามไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นจากการป้อนแรงดันไฟฟ้าเข้ามา การใช้งานจะใช้เป็นโวลต์มเิ ตอร์วัดแรงดนั ไฟฟ้า
ค่าสูงเป็นกิโลโวลต์ขึ้นไป สามารถสร้างเป็นโวลต์มิเตอร์วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และแรงดันไฟฟ้า
กระแสสลบั (AC) รูปร่างและโครงสรา้ งของโวลต์มเิ ตอรไ์ ฟฟ้าสถิต
จากรูปที่ 6.8 แสดงโวลต์มิเตอร์ไฟฟ้าสถิต ใช้หลักการทำงานเช่นเดียวกับตัวเก็บประจุปรับค่าได้
แรงดันไฟฟ้าท่ีเกดิ ข้ึนระหวา่ งแผ่นเพลตตัวนำทง้ั สองที่ขนานกัน ขนึ้ อยกู่ ับคา่ ความต่างศักยไ์ ฟฟ้าที่ปอ้ นเขา้ มา รูป
ที่ 6.8 (ก) เป็นโวลตม์ ิเตอรไ์ ฟฟ้าสถติ จรงิ ทีส่ รา้ งข้ึนมาใช้งาน
สว่ นรูปท่ี 6.8 (ข) เปน็ โครงสร้างเบ้ืองต้น ประกอบด้วยแผน่ เพลต 2 แผ่นวางขนานกนั แผน่ เพลต Y เป็น
แผ่นเพลตอยู่กับที่ แผ่นเพลต X เป็นแผ่นเพลตเคล่ือนท่ี เหมือนกับตัวเก็บประจุปรับค่าได้มีอากาศเป็นฉนวน ที่
แผ่นเพลต X มีสปริงและเขม็ ชี้ยดึ ตดิ อยูด่ ้วย สปริงทำหน้าท่ีบังคับแผ่นเพลต X ให้เคลือ่ นทีก่ ลบั ที่เดิมขณะเลิกใช้
โวลตม์ ิเตอรไ์ ฟฟา้ สถิต
การทำงาน เม่ือมีแรงดันไฟฟ้าปอ้ นเข้ามาทีข่ ั้วตอ่ A และ B ทำใหเ้ กดิ ความต่างศักย์ไฟฟ้าขึ้นที่แผ่นเพลต
ท้ังสองในรปู ของสนามไฟฟ้าสถิต โดยมขี ั้วตา่ งกันระหว่างแผน่ เพลตท้งั สอง เกดิ อำนาจดึงดูดกัน ทำใหแ้ ผน่ เพลต X
หมุนเคล่ือนท่ีไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกาจนเกิดความสมดุลของสนามไฟฟ้าสถิตท่ีแผ่นเพลตท้ังสอง และเกิด
ความสมดุลระหว่างแผน่ เพลต X กับแรงต้านทานของสปริง เข็มช้ีจะช้ีค่าแรงดันไฟฟ้าบนสเกลออกมา ค่าการบิด
ตวั ของแผ่นเพลต X จะขนึ้ อยูก่ ับคา่ แรงดันไฟฟ้าที่ป้อนเข้ามา
โวลต์มิเตอร์ไฟฟ้าสถิตนี้สามารถนำไปใช้วัดได้ท้ังแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง และแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
โดยใชส้ เกลการวัดคา่ ร่วมกนั ได้ เพราะการบ่ายเบนของเขม็ ช้ีไม่ได้ข้ึนอยู่กบั รูปคล่นื และความถ่ขี องแรงดันไฟฟ้าที่
ปอ้ นให้แผ่นเพลตทง้ั สอง แตจ่ ะข้ึนอยู่กบั ค่าสนามไฟฟา้ สถติ ท่ีเกิดขน้ึ ระหว่างแผ่นเพลตท้ังสอง
6.9 มาตรวดั ชนดิ แคลมป์
มาตรวัดชนิดแคลมป์ เปน็ มาตรวัดที่สร้างข้ึนมาเพอื่ ใชว้ ัดปรมิ าณไฟฟา้ กระแสสลับได้ทั้งโวลตม์ ิเตอร์และ
แอมมเิ ตอร์ การใช้งานมาตรวดั ชนดิ แคลมป์แตกตา่ งไปจากโวลต์มิเตอร์ และแอมมิเตอร์ทวั่ ไป โดยมสี ว่ นตอนปลาย
ของมาตรวัดเป็นแคลมป์ เม่ือต้องการวัดกระแสไฟฟ้าก็เพียงนำส่วนแคลมป์ไปเกี่ยวคร่อมสายไฟในวงจรไฟฟ้า
บริเวณที่ต้องการวดั ค่า โดยไม่ต้องตัดวงจรออกเพื่อนำแอมมิเตอร์ไปต่ออนุกรมกับวงจร รูปร่างมาตรวดั ชนิดแค
ลมป์
จากรูปท่ี 6.9 แสดงมาตรวัดชนิดแคลมป์แบบต่างๆ ส่วนประกอบท่ีอยู่ตอนปลายมาตรวัดถูกเรียกว่า
แคลปห์ รอื แกนแยก (Split Core) เป็นสว่ นท่สี ามารถแยกตวั ออกจากกันได้ ภายในโครงสรา้ งแคลปท์ ำมาจากเหล็ก
อ่อนซ้อนกันหลายชั้น ทำหน้าที่เป็นขดลวดปฐมภูมิ (PrimaryWire) ของหม้อแปลง ตอนล่างของแคลป์มีลวดพัน
อยู่ชดุ หนึ่งเป็นขดลวดทุติยภูมิ (SecondaryWire) ของหม้อแปลง ซ่อนอยู่ภายในมาตรวดั ปลายลวดของขดทุติย
ภมู ติ ่อไปยังวงจรมาตรวดั โครงสร้างแคลปแ์ ละการใชง้ านมาตรวัดชนิดแคลมป์
จากรปู ที่ 6.10 แสดงโครงสร้างและการใชง้ านมาตรวัดชนิดแคลมป์ รปู ที่ 6.10 (ก) เปน็ โครงสร้างของแค
ลมป์ทำหน้าท่ีเช่นเดียวกับหม้อแปลงตัวหนึ่ง ส่วนรูปที่ 6.10 (ข) เป็นการใช้งานมาตรวัดชนิดแคลมป์ เพื่อวัด
กระแสไฟฟา้ ในระบบไฟฟ้าที่ทำงานอยู่ โดยนำสว่ นแคลมป์ไปคล้องเข้าสายไฟเส้นที่ต้องการวัดกระแสไฟฟ้า การ
ทำงานอาศัยการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายไฟส่งไปยังขดลวดปฐมภูมิของแคลมป์ และส่งต่อ
สนามแม่เหลก็ ไปยงั ขดลวดทุติยภูมิทำให้เกิดแรงเคล่ือนไฟฟ้าชักนำ และเกิดกระแสไฟฟ้าชักนำส่งตอ่ ไปเข้าวงจร
มาตรวัด แสดงค่าการวดั ปรมิ าณไฟฟา้ ออกมา
ในกรณีท่ีสายไฟเส้นที่นำมาตรวัดชนิดแคลมป์ไปคล้องวัดค่าปริมาณไฟฟ้ามีค่าสนามไฟฟ้าต่ำ มาตรวัด
ชนดิ แคลมปอ์ าจไม่สามารถแสดงคา่ ปรมิ าณไฟฟ้าท่วี ดั ออกมา หรืออาจวดั คา่ ไดต้ ่ำอา่ นคา่ ได้ลำบาก สามารถวัดค่า
ปริมาณไฟฟ้านัน้ ได้สงู ขนึ้ โดยพนั สายไฟเส้นที่ต้องการวัดคลอ้ งกับแคลมป์มากกวา่ หนึง่ รอบ ย่ิงพันสายไฟมากรอบ
ยิ่งวัดคา่ ปรมิ าณไฟฟ้าไดส้ งู ขนึ้ เป็นลำดบั คา่ ปริมาณไฟฟา้ จริงทีว่ ัดไดใ้ ห้ลดค่าลงเป็นลำดับตามจำนวนรอบสายไฟท่ี
พนั รอบแคลมป์ ค่าจริงคือคา่ ที่แคลมปว์ ัดครอ่ มสายไฟเพียงเสน้ เดียว
6.10 การวัดและอ่านค่าเอซีแอมมเิ ตอร์วัดกระแสไฟฟ้า
เอซแี อมมิเตอร์ (AC Ammeter) เป็นแอมมเิ ตอรท์ ส่ี รา้ งขึน้ มาเพอื่ ใช้วัดกระแสไฟฟ้ากระแสสลบั คลื่นไซน์
จากแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับทั่วไป เช่น ตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัย และใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
กระแสไฟฟ้ากระแสสลบั ทว่ี ัดออกมาได้ จะวดั ออกมาเป็นค่ากระแสไฟฟา้ RMS
การนำเอซีแอมมิเตอร์ไปวัดกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า จะต้องต่อเอซีแอมมิเตอร์อนุกรมกับวงจรที่
ต้องการวัดค่า เช่นเดียวกับดีซีแอมมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้ากระแสตรงในวงจร เพียงแต่ขณะต่อวัดกระแสไฟฟ้า
กระแสสลับดว้ ยเอซีแอมมิเตอร์ ไม่ต้องคำนงึ ถึงขั้ววัดของเอซแี อมมเิ ตอร์ต่อวดั สลับข้วั อย่างไรกไ็ ด้ กรณีทก่ี ล่าวมา
ไมร่ วมการใช้งานมาตรวัดชนดิ แคลมป์วัดกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ เพราะมาตรวัดชนิดแคลมปเ์ พียงใช้แคลมป์ไป
คลอ้ งสายไฟเท่านั้น ลกั ษณะการตอ่ เอซีแอมมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้
เอซีแอมมิเตอร์ที่สร้างมาใช้งานจริงมีหลายย่านวัดและหลายสเกล การนำเอซีแอมมิเตอร์ไปวัด
กระแสไฟฟ้ากระแสสลับ ไม่ต้องคำนึงถึงข้ัวขณะวัดกระแสไฟฟ้า แต่ต้องคำนึงถึงการต้ังย่านวัดค่าให้ถูกต้อง
เหมาะสม การตั้งย่านวัดค่าหากไม่ทราบค่ากระแสไฟฟ้าท่ีทำการวัดควรต้ังย่านวัดค่าให้สูงไว้ก่อน เมื่อวัดคา่ แล้ว
เข็มช้ีไม่บ่ายเบนจึงค่อยๆ ลดย่านวัดลงมาจนอยใู่ นย่านทเี่ หมาะสม อ่านค่ากระแสไฟฟ้ากระแสสลับบนสเกลเอซี
แอมมิเตอร์ไดช้ ัดเจน
ตัวอย่างท่ี 6.1 นำเอซีแอมมเิ ตอร์ไปวดั กระแสไฟฟ้า เขม็ ชช้ี ้แี สดงคา่ ออกมาตามรปู ท่ี 6.12 จงอา่ นค่ากระแสไฟฟ้า
กระแสสลับท่วี ัดไดท้ ุกย่านวัดบนหน้าปัด
คา่ ท่ีอา่ นได้
ยา่ น 0 – 3 A อา่ นคา่ ได้ = 0.85 A
ยา่ น 0 – 12 A อา่ นคา่ ได้ = 3.4 A
ย่าน 0 – 60 A อา่ นค่าได้ = 17 A ตอบ
การอ่านคา่ อธบิ ายไดด้ งั นี้
ยา่ น 0 – 3 A ค่าระหว่าง 0.5 ถึง 1 แบ่งออกเป็น 5 ส่วนย่อย แต่ละส่วนย่อยมีค่า 0.1 ขดี ที่อยู่ดา้ นซ้าย
และขวาของเข็มชี้มคี า่ 0.8 และ 0.9 ก่ึงกลางของค่า 0.8 และ 0.9 มีค่าเปน็ 0.85
ย่าน 0 – 12 A ค่าระหว่าง 2 ถึง 4 แบ่งออกเป็น 10 ส่วนย่อย แต่ละส่วนย่อยมีค่า 0.2ก่ึงกลางของ 2
และ 4 คอื 3 จาก 3 ไปอีก 2 ขีด เปน็ ตำแหน่งเขม็ ชช้ี ้คี ่า จะอา่ นค่าออกมาได้ 3.4
ย่าน 0 – 60 A ค่าระหว่าง 10 ถึง 20 แบ่งออกเป็น 10 ส่วนยอ่ ย แต่ละส่วนย่อยมีค่า 1ก่ึงกลางของ 10
และ 20 คอื 15 จาก 15 ไปอกี 2 ขดี เปน็ ตำแหน่งเขม็ ชช้ี ค้ี ่า จะอา่ นคา่ ออกมาได้ 17
ตัวอย่างที่ 6.2 นำเอซีแอมมเิ ตอร์ไปวัดกระแสไฟฟา้ เขม็ ชี้ช้แี สดงคา่ ออกมาตามรปู ที่ 6.13 จงอ่านค่ากระแสไฟฟ้า
กระแสสลับที่วดั ได้ทกุ ย่านวัดบนหนา้ ปดั
คา่ ทอี่ า่ นได้
ย่าน 0 – 3 A อ่านค่าได้ = 1.675 A
ย่าน 0 – 12 A อ่านคา่ ได้ = 6.7 A
ย่าน 0 – 60 A อ่านค่าได้ = 33.5 A ตอบ
การอา่ นคา่ อธบิ ายไดด้ งั น้ี
ย่าน 0 – 3 A ค่าระหว่าง 1.5 ถึง 2 แบ่งออกเป็น 5 ส่วนย่อย แต่ละส่วนย่อยมีค่า 0.1ขีดท่ีอยู่ด้านซ้าย
และขวาของเข็มช้ีมีคา่ 1.6 และ 1.7 คา่ ก่ึงกลางของ 1.6 และ 1.7 มีค่า 1.65แบ่งย่อยค่าก่ึงกลาง 1.65 และ 1.7
คือ 1.675 จะอา่ นค่าได้จรงิ 1.675
ย่าน 0 – 12 A ค่าระหว่าง 6 ถึง 8 แบ่งออกเป็น 10 ส่วนย่อย แต่ละส่วนย่อยมีค่า 0.2ขีดที่อยู่ด้านซ้าย
และขวาของเข็มชี้มีค่า 6.6 และ 6.8 ก่ึงกลางของคา่ 6.6 และ 6.8 มคี า่ เปน็ 6.7
ย่าน 0 – 60 A ค่าระหว่าง 30 ถึง 40 แบ่งออกเป็น 10 ส่วนย่อย แต่ละสว่ นยอ่ ยมีค่า 1ขีดทอี่ ยู่ด้านซ้าย
และขวาของเขม็ ชมี้ คี ่า 33 และ 34 กง่ึ กลางของคา่ 33 และ 34 มคี ่าเป็น 33.5
• ดา้ นทกั ษะ+ด้านจติ พิสยั (ปฏิบัต+ิ ด้านจิตพสิ ยั ) (จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมข้อที่ 3-4)
1. แบบฝกึ หดั หนว่ ยที่ 6
2. ใบปฏิบัติงาน 6 การใชง้ านเอซแี อมมิเตอร์
• ด้านคุณธรรม/จรยิ ธรรม/จรรยาบรรณ/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง (จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมขอ้
ท่ี 5)
1. วดั และอา่ นคา่ เอซแี อมมิเตอรด์ ว้ ยความถกู ต้อง ถกู หลักการ
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรอื การเรียนรู้
ขน้ั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้ันตอนการเรยี นรูห้ รือกจิ กรรมของนักเรยี น
1. ข้ันนำเขา้ สบู่ ทเรียน ( 15 นาที ) 1. ขน้ั นำเข้าส่บู ทเรยี น ( 15 นาที )
1. ผสู้ อนแจง้ วตั ถปุ ระสงค์ของการเรียน หนว่ ยท่ี 1. ผเู้ รียนทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของ
6 เรือ่ ง ชนดิ มาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลบั การเรียน หน่วยที่ 6 เรื่อง ชนิดมาตรวัดไฟฟ้า
กระแสสลับ
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนบรรยายดารส์ ันวาล์มิเตอร์ใช้ 2. ผู้เรียนร่วมมือกับผู้สอนผู้เรียนบรรยายดาร์สัน
งานวงจรเรยี งกระแส วาลม์ ิเตอร์ใชง้ านวงจรเรียงกระแส
2. ขนั้ ใหค้ วามรู้ (120 นาที ) 2. ขน้ั ใหค้ วามรู้ ( 120 นาที )
1. ผู้สอนเปิด PowerPoint และให้ผู้เรียนเปิด 1. ผู้ เรีย น ศึ ก ษ าวิธีก ารใช้ PowerPoint กั บ
เอกสารประกอบการสอนวิชา เคร่ืองมือวัดไฟฟ้าและ เอกสารประกอบการวิชา เครื่องมือวัดไฟฟ้าและ
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ หนว่ ยท่ี 6 เรื่อง ชนดิ มาตรวัดไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ หน่วยท่ี 6 เรื่อง ชนิดมาตรวัดไฟฟ้า
กระแสสลับ หนา้ ที่ 108-120 พรอ้ มอธบิ ายเน้อื หาที กระแสสลับ หน้าท่ี 108-120 พร้อมอธิบายเน้ือหาที
ละส่วน ละส่วนโดยเลอื กจดบันทึกเนื้อหาท่ีสำคัญ
2. ผู้สอนอธิบายความรู้เพ่ิมเติมนอกเหนือจาก 2. ผเู้ รียนฟังอธิบายความรู้เพ่ิมเติมนอกเหนือจาก
เอกสารประกอบการสอนวชิ า เคร่ืองมอื วดั ไฟฟ้าและ เอกสารประกอบการสอนวิชา เคร่ืองมือวัดไฟฟ้าและ
อิเล็กทรอนิกส์ และให้ผู้เรียนวัดและอ่านค่าเอซี อิเล็กทรอนิกส์ และให้ผู้เรียนวัดและอ่านค่าเอซี
แอมมิเตอรว์ ดั กระแสไฟฟา้ แอมมิเตอร์วดั กระแสไฟฟา้
3. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามข้อสงสัยที่ 3. ผเู้ รยี นซักถามขอ้ สงสัยทีเ่ กดิ ขน้ึ
เกิดขนึ้ ระหวา่ งการเรียนการสอน และตอบข้อซกั ถาม
3. ขั้นประยุกตใ์ ช้ (60 นาที )
1. ผู้สอนให้ผเู้ รียนทำใบปฏิบัตงิ าน 6 การใช้ 3. ขั้นประยุกต์ใช้( 60 นาที )
งานเอซแี อมมเิ ตอร์ หน้า 123-125 1. ผู้เรียนทำใบปฏิบัติงาน 6 การใช้งานเอซี
2. ผสู้ อนใหผ้ ูเ้ รยี นสบื คน้ ขอ้ มูลจากอินเทอรเ์ นต็ แอมมิเตอร์ หนา้ 123-125
2. ผ้เู รียนสบื ค้นข้อมูลจากอินเทอรเ์ น็ต
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรยี นรู้
ข้นั ตอนการสอนหรือกิจกรรมของครู ขน้ั ตอนการเรยี นรู้หรอื กจิ กรรมของนกั เรยี น
4. ขัน้ สรปุ และประเมนิ ผล ( 45 นาที ) 4. ขั้นสรปุ และประเมินผล ( 45 นาที )
1. ผูส้ อนและผ้เู รยี นรว่ มกนั สรุปเนอ้ื หาทไี่ ด้เรียนให้ 1. ผเู้ รียนรว่ มกันสรปุ เนือ้ หาทไี่ ดเ้ รียนใหม้ ีความ
มีความเข้าใจในทศิ ทางเดียวกัน เขา้ ใจในทศิ ทางเดียวกัน
2. ผสู้ อนให้ผเู้ รียนทำแบบฝึกหดั หน่วยท่ี 6 หนา้ ท่ี 2. ผู้เรยี นทำแบบฝึกหดั หน่วยท่ี 6 หนา้ ท่ี 121-
121-122 122
3. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเพ่ิมเติมนอกห้องเรียน 3. ผู้เรียนศึกษ าเพิ่มเติมนอกห้องเรียน ด้วย
ดว้ ย PowerPoint ทจ่ี ดั ทำขนึ้ PowerPoint ทีจ่ ัดทำข้นึ
(บรรลุจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมข้อท่ี 1-5) (บรรลจุ ุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมขอ้ ท่ี 1-5)
(รวม 240 นาที หรอื 4 คาบเรยี น)
งานทม่ี อบหมายหรือกิจกรรมการวดั ผลและประเมนิ ผล
กอ่ นเรยี น
1. จดั เตรยี มเอกสาร สือ่ การเรยี นการสอนหนว่ ยท่ี 6
2. ทำความเข้าใจเก่ยี วกับจุดประสงคก์ ารเรยี นของหน่วยท่ี 6 และใหค้ วามรว่ มมือในการทำกิจกรรมใน
หนว่ ยท่ี 6
ขณะเรียน
1. ทำใบปฏิบตั งิ าน 6 การใชง้ านเอซแี อมมิเตอร์
2. ร่วมกันสรุป “ชนดิ มาตรวดั ไฟฟ้ากระแสสลับ”
หลงั เรยี น
1. สรปุ เน้ือหา
2. ทำแบบฝึกหดั หน่วยท่ี 6
ผลงาน/ชิน้ งาน/ความสำเร็จของผูเ้ รยี น
ใบปฏิบตั งิ าน 6 การใช้งานเอซีแอมมเิ ตอร์, แบบฝึกหดั หนว่ ยท่ี 6
สื่อการเรียนการสอน/การเรียนรู้
สื่อสิง่ พมิ พ์
1. เอ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส อ น วิ ช า เ ค ร่ื อ ง มื อ วั ด ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์
(ใชป้ ระกอบการเรียนการสอนจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมขอ้ ท่ี 1-5)
2. ใบความรู้ที่ 6 เรื่อง ชนิดมาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลับ (ใช้ประกอบการเรียนการสอนขัน้ ให้ความรู้
เพ่อื ให้บรรลุจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ขอ้ ท่ี 1-5)
3. ใบปฏิบตั งิ าน 6 การใชง้ านเอซีแอมมิเตอร์ ขนั้ ประยกุ ต์ใช้ ขอ้ 1
4. แบบฝึกหัดหนว่ ยที่ 6 สรปุ และประเมนิ ผล ขอ้ 2
5. แบบประเมินผลงานตามใบงาน ใชป้ ระกอบการสอนขนั้ ประยกุ ตใ์ ช้ ขอ้ 1
6. แบบประเมินพฤติกรรมการทำงาน ใช้ประกอบการสอนขน้ั ประยกุ ต์ใช้ ขน้ั สรุปและประเมนิ ผล
ส่ือโสตทัศน์ (ถา้ ม)ี
1. เครือ่ งไมโครคอมพิวเตอร์
2. PowerPoint เรอ่ื ง ชนดิ มาตรวดั ไฟฟ้ากระแสสลับ
สอ่ื ของจริง
ชนิดมาตรวัดไฟฟา้ กระแสสลบั (ใช้ประกอบการเรียนการสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 1-5)
แหล่งการเรยี นรู้
ในสถานศึกษา
1. หอ้ งสมดุ วิทยาลยั เทคนิคสมทุ รสาคร
2. หอ้ งปฏิบตั กิ ารคอมพวิ เตอร์ ศกึ ษาหาข้อมูลทางอินเทอร์เนต็
นอกสถานศึกษา
ผปู้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่นิ จังหวดั
การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กับวิชาอ่นื
1. บูรณาการกับวชิ าอปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกสเ์ บือ้ งตน้
2. บรู ณาการกบั วิชาวงจรไฟฟ้าเบอื้ งต้น
3. บรู ณาการกับวิชาเครอ่ื งวัดไฟฟ้า
การประเมนิ ผลการเรยี นรู้
• หลกั การประเมินผลการเรียนรู้
ก่อนเรียน
ความรู้เบื้องตน้ ก่อนการเรยี นการสอน
ขณะเรียน
1. ตรวจใบปฏิบตั ิงาน 6 การใช้งานเอซีแอมมิเตอร์
2. สงั เกตการทำงาน
หลงั เรยี น
1. ตรวจแบบฝกึ หัดหน่วยท่ี 6
คำถาม
1. จงอธิบายมาตรวัดไฟฟา้ กระแสสลบั
2. ดารส์ นั วาล์มิเตอรใ์ ช้งานวงจรเรยี งกระแส คือ
3. วัดและอ่านค่าเอซีแอมมเิ ตอรว์ ัดกระแสไฟฟ้า อย่างไร
4. มาตรวดั มี ก่ชี นิด อะไรบา้ ง
ผลงาน/ช้นิ งาน/ผลสำเร็จของผู้เรียน
ใบปฏิบัติงาน 6 การใชง้ านเอซีแอมมเิ ตอร์, แบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี 6
สมรรถนะท่พี งึ ประสงค์
ผเู้ รยี นสรา้ งความเขา้ ใจเก่ยี วกับชนดิ มาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลบั
1. วิเคราะห์และตคี วามหมาย
2. ตั้งคำถาม
3. อภปิ รายแสดงความคิดเหน็ ระดมสมอง
4. การประยุกตค์ วามร้สู ่งู านอาชีพ
สมรรถนะการปฏบิ ตั ิงานอาชพี
1. วดั และอ่านคา่ เอซีแอมมิเตอร์
สมรรถนะการขยายผล
ความสอดคล้อง
จากการเรียน เรื่อง ชนิดมาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลับ ทำให้ผู้เรยี นมีความรู้เพิ่มเกี่ยวกับมาตรวัดไฟฟ้า
กระแสสลับแบ่งออกได้หลายชนดิ แตกตา่ งกนั ไป มาตรวดั ชนิดไดนาโมไฟฟา้ ใชห้ ลกั การทำงานของสนามแมเ่ หล็ก
2 ชุด ชุดอยู่กับที่ และชุดเคล่ือนที่ ชุดแม่เหล็กอยู่กับที่ใช้แม่เหล็กไฟฟ้าแทนแม่เหล็กถาวร ขดลวดแม่เหล็ก
ท้ังหมดต่อเป็นอนุกรมกัน มาตรวัดชนิดแผ่นโลหะผลักเคล่ือนท่ี ใช้ผลของสนามแม่เหล็กผลักดันให้แผ่นโลหะ
เคล่ือนที่ เคล่ือนตัวไปตามแนวเสน้ แรงแม่เหล็ก การเคล่ือนตัวไปของแผ่นโลหะเคล่ือนท่ีขน้ึ อยกู่ ับความเขม้ ของ
สนามแมเ่ หล็ก มาตรวัดชนิดขดลวดเอียง มสี ่วนเคล่ือนไหวเป็นแบบแผ่นแม่เหลก็ เคลื่อนท่ี การเคลอื่ นที่ของแผ่น
เหลก็ เกดิ จากความเขม้ สนามแม่เหล็กไฟฟา้ ของขดลวดเอยี ง ทีจ่ ่ายกระแสไฟฟา้ เขา้ มา
รายละเอียดการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
• จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อที่ 1 อธิบายมาตรวดั ไฟฟ้ากระแสสลับได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ทดสอบ
2. เครือ่ งมอื : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การใหค้ ะแนน : อธบิ ายมาตรวัดไฟฟ้ากระแสสลับได้ จะได้ 1 คะแนน
• จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ข้อที่ 2 บรรยายดาร์สันวาลม์ เิ ตอร์ใชง้ านวงจรเรียงกระแสได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : บรรยายดารส์ นั วาล์มิเตอรใ์ ชง้ านวงจรเรียงกระแสได้ จะได้ 1
คะแนน
• จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ขอ้ ท่ี 3 วัดและอ่านค่าเอซแี อมมเิ ตอร์วัดกระแสไฟฟ้าได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ทดสอบ
2. เครอ่ื งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การใหค้ ะแนน : วัดและอา่ นค่าเอซีแอมมเิ ตอร์วัดกระแสไฟฟ้าได้ จะได้ 4 คะแนน
• จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม ข้อท่ี 4 จำแนกมาตรวดั ชนดิ ต่างๆ ได้
1. วธิ กี ารประเมิน : ทดสอบ
2. เครอื่ งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : จำแนกมาตรวัดชนดิ ตา่ งๆ ได้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ข้อท่ี 5 วัดและอ่านค่าเอซีแอมมิเตอร์ดว้ ยความถูกต้อง ถูกหลกั การ
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครอ่ื งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การใหค้ ะแนน : วัดและอ่านคา่ เอซแี อมมเิ ตอรด์ ว้ ยความถูกตอ้ ง ถกู หลกั การ จะได้
3 คะแนน
แบบประเมินผลการนำเสนอผลงาน
ช่อื กลุ่ม……………………………………………ชั้น………………………หอ้ ง...........................
รายชอื่ สมาชิก
1……………………………………เลขที่……. 2……………………………………เลขที่…….
3……………………………………เลขท่ี……. 4……………………………………เลขที่…….
ที่ รายการประเมิน คะแนน ข้อคดิ เหน็
32 1
1 เน้ือหาสาระครอบคลุมชัดเจน (ความรเู้ ก่ียวกบั เนอ้ื หา ความถกู ต้อง
ปฏภิ าณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ )
2 รปู แบบการนำเสนอ
3 การมีสว่ นร่วมของสมาชกิ ในกลุ่ม
4 บคุ ลิกลกั ษณะ กิริยา ท่าทางในการพูด น้ำเสียง ซึ่งทำให้ผู้ฟังมีความ
สนใจ
รวม
ผู้ประเมิน…………………………………………………
เกณฑก์ ารให้คะแนน
1. เนอ้ื หาสาระครอบคลุมชดั เจนถกู ต้อง
3 คะแนน = มสี าระสำคญั ครบถว้ นถูกต้อง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระสำคัญไมค่ รบถว้ น แต่ตรงตามจดุ ประสงค์
1 คะแนน = สาระสำคญั ไมถ่ กู ตอ้ ง ไมต่ รงตามจุดประสงค์
2. รูปแบบการนำเสนอ
3 คะแนน = มีรูปแบบการนำเสนอท่ีเหมาะสม มกี ารใชเ้ ทคนคิ ทแ่ี ปลกใหม่ ใชส้ อื่ และเทคโนโลยี
ประกอบการ นำเสนอทีน่ า่ สนใจ นำวสั ดใุ นทอ้ งถ่ินมาประยกุ ต์ใชอ้ ย่างคุ้มคา่ และประหยดั
2 คะแนน = มเี ทคนิคการนำเสนอทีแ่ ปลกใหม่ ใชส้ ่อื และเทคโนโลยปี ระกอบการนำเสนอที่น่าสน ใจ แต่
ขาดการประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในท้องถิน่
1 คะแนน = เทคนคิ การนำเสนอไมเ่ หมาะสม และไมน่ ่าสนใจ
3. การมสี ่วนร่วมของสมาชกิ ในกล่มุ
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนมีบทบาทและมสี ว่ นร่วมกิจกรรมกลมุ่
2 คะแนน = สมาชกิ สว่ นใหญม่ ีบทบาทและมสี ่วนรว่ มกิจกรรมกล่มุ
1 คะแนน = สมาชิกส่วนน้อยมีบทบาทและมสี ่วนรว่ มกจิ กรรมกลมุ่
4. ความสนใจของผ้ฟู ัง
3 คะแนน = ผูฟ้ งั มากกว่ารอ้ ยละ 90 สนใจ และใหค้ วามร่วมมือ
2 คะแนน = ผู้ฟงั ร้อยละ 70-90 สนใจ และใหค้ วามรว่ มมอื
1 คะแนน = ผู้ฟงั น้อยกวา่ ร้อยละ 70 สนใจ และให้ความรว่ มมอื
แบบประเมินกระบวนการทำงาน
ชอื่ กลมุ่ ……………………………………………ชนั้ ………………………หอ้ ง...........................
รายชื่อสมาชิก 2……………………………………เลขที่…….
4……………………………………เลขที่…….
1……………………………………เลขท…ี่ ….
3……………………………………เลขท…่ี ….
ที่ รายการประเมิน คะแนน ข้อคดิ เห็น
1 การกำหนดเปา้ หมายร่วมกนั 321
2 การแบ่งหนา้ ทร่ี บั ผิดชอบและการเตรียมความพรอ้ ม
3 การปฏิบตั หิ น้าทท่ี ่ีได้รบั มอบหมาย
4 การประเมนิ ผลและปรบั ปรงุ งาน
รวม
ผ้ปู ระเมนิ …………………………………………………
วนั ที่…………เดอื น……………………..พ.ศ…………...
เกณฑก์ ารให้คะแนน
1. การกำหนดเปา้ หมายร่วมกัน
3 คะแนน = สมาชกิ ทุกคนมสี ่วนรว่ มในการกำหนดเปา้ หมายการทำงานอย่างชดั เจน
2 คะแนน = สมาชกิ สว่ นใหญ่มีสว่ นร่วมในการกำหนดเปา้ หมายในการทำงาน
1 คะแนน = สมาชกิ ส่วนนอ้ ยมีสว่ นรว่ มในการกำหนดเปา้ หมายในการทำงาน
2. การหน้าทรี่ ับผดิ ชอบและการเตรยี มความพรอ้ ม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ วั่ ถึง และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจดั เตรียมสถานที่ สอื่ /
อปุ กรณไ์ วอ้ ย่างพรอ้ มเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานได้ทวั่ ถงึ แต่ไม่ตรงตามความสามารถ และมีส่อื / อุปกรณ์ไว้อย่างพร้อมเพรียง แตข่ าด
การจดั เตรยี มสถานที่
1 คะแนน = กระจายงานไม่ทัว่ ถงึ และมีส่ือ / อุปกรณ์ไม่เพียงพอ
3. การปฏบิ ตั ิหน้าทีท่ ่ีได้รบั มอบหมาย
3 คะแนน = ทำงานไดส้ ำเร็จตามเป้าหมาย และตามเวลาทก่ี ำหนด
2 คะแนน = ทำงานได้สำเร็จตามเปา้ หมาย แตช่ ้ากว่าเวลาทกี่ ำหนด
1 คะแนน = ทำงานไม่สำเร็จตามเปา้ หมาย
4. การประเมนิ ผลและปรบั ปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนร่วมปรึกษาหารอื ตดิ ตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็นระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมสี ว่ นรว่ มปรึกษาหารอื แต่ไมป่ รบั ปรงุ งาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีสว่ นรว่ มไม่มสี ่วนรว่ มปรึกษาหารอื และปรับปรงุ งาน
บันทกึ หลงั การสอน
หน่วยที่ 6 ชนิดมาตรวดั ไฟฟา้ กระแสสลบั
ผลการใชแ้ ผนการสอน
1. เนือ้ หาสอดคล้องกับจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
2. กิจกรรมการสอนเหมาะสมกบั เนอื้ หาและเวลาท่กี ำหนด
3. ส่ือการสอนเหมาะสมดี
ผลการเรยี นของนักเรยี น
1. นักศึกษาส่วนใหญ่มีความเข้าใจในบทเรียน อภิปรายตอบคำถามในกลุ่ม และร่วมกันปฏิบัติ
ใบงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย
2. นักศึกษากระตอื รอื รน้ และรบั ผิดชอบในการทำงานกลมุ่ เพ่อื ให้งานสำเรจ็ ทนั เวลาท่ีกำหนด
3. นักศกึ ษาวดั และอา่ นค่าเอซแี อมมิเตอร์วัดกระแสไฟฟา้ ได้
ผลการสอนของครู
1. สอนเนื้อหาได้ครบตามหลกั สตู ร
2. แผนการสอนและวธิ ีการสอนครอบคลุมเนอื้ หาการสอนทำให้ผู้สอนสอนได้อยา่ งมั่นใจ
3. สอนทนั ตามเวลาทีก่ ำหนด
แผนการสอน/แผนการเรียนรูภ้ าคทฤษฎี
แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 7
ชอ่ื วิชา เครือ่ งมือวัดไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์ สอนสัปดาห์ท่ี 9-10
ชือ่ หน่วย โอหม์ มเิ ตอร์ คาบรวม 40
ชือ่ เร่อื ง โอห์มมเิ ตอร์ จำนวนคาบ 4
หวั ข้อเรื่อง
ดา้ นความรู้
1. เครือ่ งวัดความต้านทานแบบบริดจ์
2. เมกโอหม์ มเิ ตอร์
ด้านทักษะ
3. วัดวา่ ความตา้ นทาน
4. หาสเกลโอห์มมิเตอร์
5. ใช้งานโอห์มมอเตอร์
ดา้ นจติ พสิ ัย
6. โครงสรา้ งโอห์มมเิ ตอร์เบือ้ งตน้
ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม
7. ใชง้ านโอหม์ มิเตอร์ไดอ้ ยา่ งถูกต้องเหมาะสม
สาระสำคญั
การหาค่าความต้านทานที่ต้องการสามารถใชก้ ฎของโอห์มคำนวณได้ แต่มีความยุ่งยากมาก จึงดัดแปลง
มาตรวัดให้สามารถวัดค่าความต้านทานออกมาได้โดยตรง เรียกมาตรวัดชนิดนี้ว่าโอห์มมิเตอร์ โครงสร้างโอห์ม
มเิ ตอร์ประกอบดว้ ย ดซี ีไมโครแอมมิเตอร์ แบตเตอรี่ และตัวต้านทานปรบั ค่าได้
สมรรถนะอาชพี ประจำหนว่ ย
1. นำโอห์มมเิ ตอร์ไปใชง้ าน
คำศพั ทส์ ำคัญ
1. โอห์มมิเตอร์ คือ เป็นมาตรวัดไฟฟ้ากระแสตรง ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้วัดหาค่าความต้านทานของตัว
ต้านทานค่าต่างๆ โดยสามารถวัดค่าความต้านทานและอ่านค่าความต้านทานออกมาได้โดยตรงจากตัว
มาตรวดั โอหม์ มิเตอร์เปน็ มาตรวัดท่ีถกู ดัดแปลงมาจากมาตรวัดพื้นฐานจำพวกดาร์สันวาล์มิเตอร์ หรือดีซี
แอมมเิ ตอร์ ทำให้สามารถวัดคา่ และแสดงคา่ การวัดออกมาเป็นคา่ ความตา้ นทานโดยตรง
จุดประสงค์การสอน/การเรยี นรู้
• จดุ ประสงค์ทวั่ ไป / บูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง
1. เพ่อื ใหม้ คี วามร้เู กย่ี วกบั การอธิบายเครอ่ื งวัดความตา้ นทานแบบบริดจ์ (ดา้ นความร)ู้
2. เพ่ือให้มคี วามร้เู ก่ยี วกับการสรุปเมกโอหม์ มิเตอร์ (ดา้ นความร)ู้
3. เพอ่ื ให้มที ักษะในการฝกึ วดั ว่าความต้านทาน (ด้านทักษะ)
4. เพอ่ื ให้มีทกั ษะในการหาสเกลโอหม์ มเิ ตอร์ (ด้านทกั ษะ)
5. เพอื่ ให้มีทักษะในการใช้งานโอห์มมิเตอร์ (ด้านทักษะ)
6. เพ่อื ใหม้ เี จตคตทิ ดี่ ีในการช้ีแจงโครงสร้างโอหม์ มเิ ตอร์เบอื้ งตน้ (ดา้ นจิตพิสยั )
7. เพื่อใชง้ านโอหม์ มิเตอร์ไดอ้ ยา่ งถูกต้องเหมาะสม (ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม)
• จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. อธิบายเคร่อื งวดั ความตา้ นทานแบบบริดจไ์ ด้ (ด้านความรู้)
2. สรุปเมกโอห์มมิเตอรไ์ ด้ (ดา้ นความร)ู้
3. ฝึกวดั ว่าความตา้ นทานได้ (ด้านทักษะ)
4. หาสเกลโอห์มมเิ ตอรไ์ ด้ (ด้านทกั ษะ)
5. ใชง้ านโอห์มมเิ ตอร์ได้ (ด้านทกั ษะ)
6. ชี้แจงโครงสรา้ งโอหม์ มิเตอรเ์ บือ้ งต้นได้ (ด้านจิตพสิ ัย)
7. ใชง้ านโอหม์ มิเตอร์ได้อย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม (ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม)
เน้อื หาสาระการสอน/การเรยี นรู้
• ดา้ นความรู้(ทฤษฎี)
7.1 การวัดค่าความต้านทาน
เราสามารถหาค่าความต้านทานของตัวต้านทานหรือตัวอุปกรณ์อื่นๆ ได้โดยใช้กฎของโอห์ม (Ohm’s
Law) มาคำนวณหาค่าความตา้ นทาน โดยใช้วิธีวัดแรงดนั ไฟฟา้ ในวงจรทต่ี ้องการหาค่าด้วยโวลต์มเิ ตอร์ และใช้วิธี
วัดกระแสไฟฟา้ ในวงจรทตี่ ้องการหาค่าด้วยแอมมเิ ตอร์ นำคา่ ท่ีวัดได้จากมาตรวัดท้ังสองไปคำนวณหาด้วยสูตรกฎ
ของโอห์ม การวัดหาคา่ ความต้านทานตัวทตี่ อ้ งการดว้ ยโวลตม์ เิ ตอรแ์ ละแอมมิเตอร์
จากรูปที่ 7.1 แสดงการวัดหาค่าความต้านทานด้วยโวลต์มิเตอร์และแอมมิเตอร์ ของตัวต้านทานที่
ต้องการทราบคา่ ต่อแอมมเิ ตอรเ์ ป็นอนกุ รมกับตวั ตา้ นทานทีต่ ้องการวัดค่า และตอ่ โวลต์มิเตอร์ครอ่ มขนานกับตัว
ต้านทานท่ีต้องการวัดค่า ขณะต่อวัดโวลต์มิเตอร์และแอมมิเตอร์ต้องคำนึงถึงขั้วมาตรวัดให้ถูกต้องตามขั้ว
แหล่งจ่ายไฟฟา้ นำค่าแรงดนั ไฟฟา้ (E) และกระแสไฟฟ้า (I) ที่วดั ได้ไปคำนวณหาค่าความตา้ นทาน (R) ที่ต้องการ
ทราบคา่ โดยใชก้ ฎของโอห์มดังนี้
R =E
I
....(7-1)
เม่ือ R = ความต้านทาน หนว่ ย Ω
E = แรงดนั ไฟฟา้ หนว่ ย V
I = กระแสไฟฟา้ น่วย A
ตัวอย่างที่ 7.1 วงจรวัดค่าความต้านทานตามรูปท่ี 7.1 วัดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวต้านทานได้60 mA วัด
แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมตัวตา้ นทานได้ 12 V จงหาคา่ ความตา้ นทานของตัวตา้ นทานตวั น้ี
วิธที ำ
สตู ร R = E
I
เมอื่ R = ?
E = 12 V
I = 60 mA = 60 x 10–3 A
แทนคา่ R = 12 = 12x103 = 200 Ω
6x103 60
˳˚˳ ตัวต้านทานมีคา่ 200 Ω ตอบ
การหาค่าความตา้ นทานของตวั ตา้ นทานด้วยวิธีวัดแรงดันไฟฟ้าและวดั กระแสไฟฟา้ นำคา่ มาคำนวณดว้ ย
กฎของโอหม์ ดงั กล่าวสามารถทำได้ แตเ่ กิดความยุ่งยากมากในการวัดหาคา่ เพราะทกุ คร้ังของการวัดหาค่าต้องวัด
แรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าใหม่ทุกคร้ัง นำมาคำนวณด้วยกฎของโอห์มทุกค่า หากต้องการทราบค่าความ
ต้านทานจำนวนมาก จะต้องเสยี เวลาในการวัดแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ ใหมท่ ุกครั้ง นอกจากนน้ั ยังอาจเกิด
ความผิดพลาดจากการวัดค่าและการคำนวณค่าได้ง่าย จากความลำบากและไม่สะดวกดังกล่าวจึงได้มีการสร้าง
มาตรวัดชนดิ ใหม่ข้ึนมาใช้งาน เพอื่ ใช้วัดค่าความต้านทานโดยตรง เรียกวา่ โอหม์ มเิ ตอร์ (Ohmmeter)
7.2 โครงสรา้ งโอหม์ มเิ ตอร์เบ้ืองตน้
โอห์มมิเตอร์เป็นมาตรวดั ไฟฟา้ กระแสตรง ที่สรา้ งข้ึนมาเพื่อใช้วดั หาคา่ ความตา้ นทานของตวั ต้านทานค่า
ตา่ งๆ โดยสามารถวัดค่าความต้านทานและอ่านคา่ ความต้านทานออกมาได้โดยตรงจากตวั มาตรวัด โอห์มมเิ ตอร์
เป็นมาตรวัดท่ีถกู ดดั แปลงมาจากมาตรวัดพ้นื ฐานจำพวกดารส์ นั วาล์มิเตอร์ หรอื ดีซแี อมมิเตอร์ ทำใหส้ ามารถวัดค่า
และแสดงค่าการวัดออกมาเปน็ ค่าความต้านทานโดยตรง
การทำงานของโอห์มมิเตอร์ อาศัยคุณสมบัติของค่าความต้านทานท่ีนำมาต่อวัด ที่จะคอยต้านการไหล
ของกระแสไฟฟ้าในวงจร คา่ ความต้านทานท่วี ัดค่าแตกตา่ งกนั ตา้ นการไหลของกระแสไฟฟา้ ไดแ้ ตกต่างกันตามกฎ
ของโอห์มน่ันเอง ค่าความตา้ นทานในวงจรน้อยกระแสไฟฟ้าไหลผ่านวงจรมาก และคา่ ความต้านทานในวงจรมาก
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านวงจรนอ้ ย สภาวะกระแสไฟฟ้าทไี่ หลผ่านแอมมิเตอร์แตกตา่ งกัน ทำให้เข็มชี้ของแอมมิเตอร์
บ่ายเบนไปแตกต่างกันเม่ือปรับแต่งสเกลหน้าปัดจากเดิมเป็นสเกลกระแสไฟฟ้าให้เป็นสเกลความต้านทาน ก็
สามารถนำแอมมิเตอร์นั้นมาวัดความต้านทานได้ โดยเปลี่ยนชื่อมิเตอร์เป็นโอห์มมิเตอร์แทน โครงสร้างโอห์ม
มเิ ตอร์เบ้อื งตน้
จากรปู ท่ี 7.2 แสดงโครงสร้างโอห์มมิเตอร์เบ้ืองต้น ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 สว่ นได้แก่ ดีซีไม
โครแอมมิเตอร์ (μA) แบตเตอรี่ (E) และตัวต้านทานปรับค่าได้ (Radj) ส่วนประกอบท้ัง 3 ส่วนต่อร่วมกันแบบ
อนุกรม ตัวต้านทานปรับค่าได้ Radj ทำหน้าที่จำกัดกระแสไฟฟ้าไม่ให้ไหลผ่านดีซีไมโครแอมมิเตอร์มากเกินกว่า
ค่าสูงสุดที่ดีซีไมโครแอมมิเตอร์ทนได้ ขั้วต่อวัดความต้านทานบวก (+) และลบ (–) เป็นข้ัวต่อสำหรับต่อวัดตัว
ต้านทานที่ตอ้ งการวัดค่า และใช้เป็นส่วนร่วมในการปรบั แต่งสเกลหน้าปัดของดซี ีไมโครแอมมิเตอร์ให้เป็นโอห์ม
มิเตอร์ด้วย
การจะนำโอหม์ มิเตอร์ไปใช้งาน ต้องทำการปรับแตง่ โอหม์ มิเตอร์ให้พรอ้ มใช้งานก่อนเสมอ โดยการนำข้ัว
วัดบวก (+) และขั้ววัดลบ (–) ของโอห์มมิเตอร์มาต่อถึงกัน และปรับแต่งที่ตัวต้านทานปรับค่าได้ Radj ให้มี
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านดซี ีไมโครแอมมิเตอร์ท่ีค่ากระแสสูงสุด คือเข็มช้ีบ่ายเบนช้ีค่าเต็มสเกลพอดี (ชี้ที่เลข 0 ของ
สเกลโอห์มมเิ ตอร์พอดี ทางขวามือสุดของสเกล)ซึ่งเป็นคา่ พอเหมาะของตวั ตา้ นทานปรบั คา่ ได้ Radj ท่ีต้องการใช้
ในวงจร คา่ ความตา้ นทาน Radjท่ีพอเหมาะหาไดจ้ ากการคำนวณดว้ ยกฎของโอหม์ แสดงดงั ตัวอยา่ งที่ 7.2
ตัวอย่างท่ี 7.2 วงจรโอห์มมิเตอร์เบ้ืองต้นตามรูปท่ี 7.2 ใช้ค่าดังน้ี แบตเตอรี่ 3 V ดีซีไมโครแอมมิเตอร์ มี
คา่ กระแสเต็มสเกล 50 μA มีค่าความต้านทานภายในมิเตอร์ 100 Ω จงหาคา่ ความต้านทานปรบั ค่าได้ Radj ท่ี
พอดที ำให้มกี ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นดีซไี มโครแอมมเิ ตอร์เต็มสเกล
วิธีทำ นำข้วั วัดบวกและลบของโอหม์ มเิ ตอร์ตามรูปที่ 7.2 มาตอ่ ถึงกนั ปรบั เปลย่ี นคา่ Radj จน
เข็มช้ขี องดซี ไี มโครแอมมิเตอร์ช้ีทต่ี ำแหน่งเตม็ สเกลพอดี
สตู ร R = E
I
7.3 การหาสเกลโอห์มมเิ ตอร์
โอห์มมิเตอร์ที่สร้างมาใชง้ าน สร้างข้ึนมาจากดีซีแอมมเิ ตอร์ โดยอาศัยสภาวะการจำกดั กระแสไฟฟา้ ของ
ตัวต้านทานทม่ี ีค่าแตกต่างกนั ควบคุมให้มีกระแสไฟฟ้าไหลผา่ นดซี ีแอมมิเตอร์แตกต่างกัน การปรบั เปล่ียนสเกล
ของดีซแี อมมเิ ตอรใ์ หเ้ ป็นสเกลของโอหม์ มิเตอร์ ทำไดโ้ ดยการกำหนดคา่ ความต้านทานของตัวต้านทานหลายๆ ค่า
จากค่าน้อยไปหาค่ามากตามลำดับ นำไปต่อเข้าทจ่ี ุดต่อวัดขั้วบวก (+) และข้ัวลบ (–) ของโอห์มมิเตอร์ท่ีปรับแต่ง
ให้พร้อมใช้งานแล้ว และใช้กฎของโอห์มคำนวณหาค่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านดีซีแอมมิเตอร์ แต่ละค่าท่ีต่อตัว
ตา้ นทานเขา้ วัดค่าในวงจร วงจรใชค้ ำนวณสเกลของโอหม์ มิเตอร์
จากรูปที่ 7.3 แสดงโอห์มมิเตอร์ต่อเพ่ิมตัวต้านทานทราบค่าความต้านทานเพื่อปรับเปลี่ยนสเกลดีซีไม
โครแอมมิเตอรใ์ ห้เป็นสเกลโอห์มมิเตอร์ ต่อตัวต้านทาน R มีค่าความต้านทานตำ่ เข้าวงจร เขม็ ช้ีของดีซีไมโครแอม
มเิ ตอร์บา่ ยเบนไปทางขวามาก ทำใหต้ ำแหน่งความตา้ นทานค่าต่ำสเกลของโอห์มมิเตอรอ์ ย่ทู างขวามือ เม่ือต่อตัว
ต้านทาน R มีค่าความต้านทานค่อยๆ สูงข้ึนเข้าวงจร เข็มช้ีของดีซีไมโครแอมมิเตอรบ์ ่ายเบนไปทางขวาน้อยลง
เคลื่อนตัวอยู่ประมาณกลางสเกลทำให้ตำแหน่งความต้านทานที่สูงขึ้นสเกลของโอห์มมิเตอร์ค่อยๆ เคลือ่ นตัวมา
ทางซ้ายของสเกลถ้าต่อตัวตา้ นทาน R มคี ่าความต้านทานสูงเพมิ่ ข้ึนไปอกี เข้าวงจร เข็มช้ีของดีซไี มโครแอมมเิ ตอร์
ยงิ่ บา่ ยเบนน้อยลงชี้ค่าอยูท่ างซ้ายของสเกลมากขึ้น จนอาจทำใหเ้ ข็มชี้ของดีซีไมโครแอมมิเตอร์ไม่บ่ายเบนชี้คา่ ท่ี
ตำแหนง่ ซ้ายสุดของสเกล เม่อื ตัวต้านทานทน่ี ำตอ่ มคี ่าความตา้ นทานมากเกินไปเขา้ วงจร นำค่าความต้านทานทไ่ี ด้
แตล่ ะคา่ เขยี นแทนคา่ กระแสไฟฟ้าทบี่ อกไว้ กจ็ ะได้สเกลของโอหม์ มเิ ตอร์ออกมา
จากรูปท่ี 7.4 แสดงสเกลหน้าปัดโอห์มมิเตอร์ เป็นสเกลบอกปริมาณไฟฟ้าท่ีวัดได้ออกมาเป็นค่าโอห์ม
(Ω) ที่มีช่องสเกลห่างไม่เท่ากัน ลักษณะสเกลไม่เป็นเชงิ เส้น (Non – Linear) สาเหตุเกิดจากการต่อตวั ต้านทาน
เพมิ่ เขา้ ไปในวงจรโอหม์ มิเตอร์ มีผลต่อคา่ ความต้านทานรวมในวงจรโอหม์ มิเตอรเ์ ปลยี่ นแปลง ค่าความตา้ นทานที่
ต่อเพมิ่ เข้าไปจำกัดกระแสไฟฟ้าให้ไหลในดีซีไมโครแอมมิเตอร์เปล่ียนแปลงไม่เป็นเชงิ เส้นตามค่าความต้านทานที่
ตอ่ เพิม่ เขา้ วงจร จึงสง่ ผลให้สเกลของโอห์มมเิ ตอร์ไม่เป็นเชงิ เสน้ ตามไปด้วย
ค่าความต้านทานที่แสดงไว้บนสเกลโอห์มมิเตอร์ แตกต่างไปจากสเกลของโวลต์มิเตอร์หรือแอมมิเตอร์
เพราะจะมีตำแหน่งคา่ ต่ำสุดอยูท่ างขวา (0 Ω) และมีตำแหน่งคา่ สูงสุดอยู่ทางซ้าย(∞Ω) สเกลไม่เปน็ เชิงเสน้ และ
มสี เกลใชใ้ นการอ่านค่าความต้านทานเพยี งสเกลเดยี ว
7.4 การใชง้ านโอห์มมิเตอร์
โอห์มมิเตอรท์ ี่ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานจริง จะมีย่านปรับวดั ค่าความต้านทานหลายย่านวัดตั้งแต่ย่านวัดค่า
ความต้านทานต่ำเป็นโอห์ม (Ohm ; Ω) ไปจนถึงย่านวัดค่าความต้านทานสูงเป็นเมกโอห์ม (Megohm ; MΩ)
โดยมีสเกลแสดงคา่ ความต้านทานที่วัดได้เพยี งสเกลเดียว ค่าที่อ่านได้จะมคี วามถูกต้องเป็นค่าความต้านทานจริง
การอ่านคา่ ความต้านทานต้องปฏิบตั ิ 2 ประการดังนี้คือ ประการแรกอ่านคา่ ความต้านทานบนสเกลที่ตำแหน่งเข็ม
ชช้ี ้ีค่าออกมา ประการทีส่ องดูหน้าปัดท่ีสวิตช์เลอื ก (Selector Switch) ตั้งย่านวัดไวท้ ่ียา่ นใด นำคา่ ท้งั สองมาคูณ
กนั คา่ ผลคณู ท่ไี ด้ออกมาคือคา่ ความต้านทานจริงทวี่ ดั ไดจ้ ากตวั ต้านทานตัวนัน้ โอหม์ มเิ ตอร์ผลติ ออกมาใชง้ าน
จากรูปที่ 7.5 แสดงลักษณะของโอห์มมิเตอรท์ ่ีผลิตขึ้นมาใช้งาน จะเห็นว่าโอห์มมิเตอรท์ ่ีสร้างข้ึนมาใช้
งาน มีย่านตั้งวัดค่าความต้านทานหลายย่านวัด แต่มีสเกลแสดงค่าท่ีวัดได้เพียงสเกลเดียว การอ่านค่าความ
ตา้ นทานออกมา ทำได้โดยใช้วิธีการวัดค่าแบบเพ่ิมทวีคูณ โอห์มมิเตอรจ์ ะแสดงคา่ ออกมาแบบเพิ่มข้ึนเป็นเทา่ ตัว
โดยทวีคูณเพ่ิมขึ้นตามย่านวัดท่ีต้ังไว้ เช่น x1, x10,x100, x1k, x10k และ x100k เป็นต้น การอา่ นค่าจึงไมย่ ุ่งยาก
เพียงอ่านค่าบนสเกลที่เข็มช้ชี ี้ค่านำมาคูณกับย่านวัดท่ีตั้งไว้ ก็จะได้คา่ ความต้านทานท่ีวัดได้ออกมา ตวั อย่างเช่น
เข็มชชี้ ้คี า่ ที่เลข15 สามารถอ่านคา่ ความต้านทานออกมาไดด้ ังนี้
ต้งั ย่าน R x1 อ่านคา่ ได้ 15 x 1 = 15 Ω
ตง้ั ย่าน R x10 อ่านคา่ ได้ 15 x 10 = 150 Ω
ตั้งย่าน R x100 อ่านค่าได้ 15 x 100 = 1,500 Ω = 1.5 kΩ
ตง้ั ย่าน R x1k อ่านค่าได้ 15 x 1 k = 15 kΩ
ตงั้ ย่าน R x10k อ่านค่าได้ 15 x 10 k = 150 kΩ
และ ต้งั ย่าน R x100k อ่านค่าได้ 15 x 100 k = 1,500 kΩ = 1.5 MΩ
สง่ิ สำคญั ของการใช้โอห์มมิเตอรอ์ ยู่ที่การปรับแตง่ โอหม์ มเิ ตอร์ให้พร้อมกอ่ นการใชง้ านทุกครั้งกอ่ นการนำ
โอห์มมิเตอรไ์ ปวัดค่าความต้านทานของตัวต้านทาน จะต้องตรวจสอบความพร้อมใช้งานของโอห์มมิเตอร์เสียกอ่ น
ทกุ คร้ัง โดยการนำปลายสายวัดท้ังสองของโอห์มมิเตอร์มาแตะสัมผัสกัน และปรบั ทีป่ ุ่มปรบั โอห์ม (OHMS ADJ.)
หรือปุ่มปรับศูนย์โอห์ม (ZERO OHMS)อยู่ด้านหน้ามาตรวัด ให้เข็มช้ีบ่ายเบนไปช้ีค่าที่ตำแหน่ง 0 Ω พอดี
เสียก่อน เป็นการบอกให้ทราบว่าแบตเตอร่ีภายในตัวโอห์มมิเตอร์ยังอยู่ในสภาพปกติใช้งานได้ การปรับเปล่ียน
สวิตชเ์ ลอื กยา่ นวัดใหม่ทกุ ครั้ง ต้องทำการตรวจสอบความพร้อมใช้งานของโอห์มมิเตอร์ใหม่ทกุ คร้งั จะช่วยให้การ
นำโอห์มมิเตอร์ไปใชว้ ดั ค่าความต้านทานมีความถูกต้องเสมอ
การนำโอหม์ มเิ ตอรไ์ ปวัดคา่ ความตา้ นทานของตัวต้านทาน ปฏบิ ตั ดิ ังนี้
1. ปรับสวติ ช์เลอื กย่านวัดไปในยา่ นท่ีตอ้ งการ หากไม่ทราบคา่ ความต้านทานที่จะวัดค่าใหต้ ้ังย่านวดั ยา่ น
ต่ำสดุ ไวก้ อ่ นเสมอ
2. นำปลายสายวัดทงั้ สองของโอห์มมิเตอรม์ าสัมผัสเข้าด้วยกัน สังเกตเข็มช้ีบ่ายเบนชี้ค่าทีต่ ำแหน่ง 0 Ω
หรือไม่ ถ้าเขม็ ชีช้ ้ีไม่ตรงตำแหน่ง 0 Ω ต้องปรบั แต่งปุ่มปรับโอห์ม หรือปุ่มปรับศูนย์โอหม์ ทหี่ น้าปัด ใหเ้ ขม็ ชบ้ี ่าย
เบนไปชท้ี ี่ตำแหน่ง 0 Ω พอดี การปรับแตง่ โอห์มมเิ ตอร์ แสดงดงั รูปที่ 7.6 (ก)
3. นำโอห์มมเิ ตอรท์ ป่ี รบั แตง่ เรียบร้อยแล้วไปวัดค่าความตา้ นทานได้ตามต้องการ โดยตอ่ วดั คา่ ดงั รูปท่ี 7.6
(ข)
4. กรณีวัดแล้วเข็มชไ้ี ม่ข้นึ หรือข้ึนเล็กนอ้ ย เขม็ ชี้ชี้บริเวณความต้านทานสูงใกล้หรือชที้ ี่ค่า ∞แสดงวา่ ตั้ง
ย่านวัดต่ำเกนิ ไป ตอ้ งเปล่ียนย่านวัดความต้านทานใหม่ในย่านวัดสูงขึ้นใหม้ คี วามเหมาะสม ทุกคร้ังทีเ่ ปลีย่ นยา่ นวัด
ควรปรบั แต่งโอหม์ มเิ ตอร์ให้พร้อมใช้งานใหมเ่ สมอ
5. กรณีวัดแล้วเข็มชขี้ น้ึ มาก เข็มชี้ชบ้ี รเิ วณความตา้ นทานต่ำใกล้หรือชี้ที่ค่า 0 แสดงวา่ ตงั้ ยา่ นวดั สงู เกนิ ไป
ตอ้ งเปลีย่ นย่านวัดความตา้ นทานใหม่ในยา่ นวัดต่ำลงให้มีความเหมาะสมทกุ ครัง้ ที่เปลีย่ นย่านวดั ควรปรับแตง่ โอห์ม
มิเตอรใ์ ห้พรอ้ มใช้งานใหมเ่ สมอ
ตัวอย่างท่ี 7.3 โอห์มมิเตอร์นำไปวดั ค่าความต้านทานของตัวตา้ นทาน เขม็ ช้ีชค้ี ่าออกมาตามรูปท่ี 7.7 ตัง้ ย่านวดั ไว้
ท่ี R x1 จงอ่านค่าความต้านทานท่ีวดั ได้บนสเกล
คา่ ทอ่ี ่านได้
อา่ นคา่ ได้ = 8 Ω
ตอบ
การอา่ นค่าอธบิ ายได้ดังนี้
เขม็ ช้ีชค้ี า่ อยูร่ ะหวา่ ง 5 และ 10 จากคา่ 5 ถึง 10 แบ่งออกเป็น 5 สว่ นย่อย แต่ละส่วนยอ่ ย
มคี า่ 1 เขม็ ช้ีช้เี ลยจาก 5 มาอีก 3 ขีด อ่านคา่ ออกมาได้ 8 พอดี
ตัวอยา่ งท่ี 7.4 โอหม์ มิเตอร์นำไปวดั คา่ ความต้านทานของตวั ตา้ นทาน เข็มชชี้ ค้ี ่าออกมาตามรูปท่ี 7.8 ต้ังยา่ นวดั ไว้
ท่ี R x10 จงอ่านคา่ ความตา้ นทานท่ีวัดได้บนสเกล
ค่าทอ่ี ่านได้
อา่ นค่าได้ = 115 x 10 Ω = 1,150Ω= 1.15 kΩ ตอบ
การอ่านค่าอธิบายไดด้ งั นี้
เข็มชช้ี ้ีคา่ อยู่ระหว่าง 100 และ 200 จากค่า 100 ถึง 200 แบ่งออกเป็น 10 สว่ นย่อยแต่ละสว่ นย่อยมีค่า
10 เข็มช้ีชี้ระหว่างกึ่งกลางค่า 110 และ 120 อ่านค่าออกมาได้ 115 นำไปคูณกับย่านต้ังวัดที่ x10 ค่าความ
ตา้ นทานทีอ่ ่านไดจ้ รงิ คอื 1,150Ω หรอื 1.15 kΩ
ตวั อย่างท่ี 7.5 โอห์มมเิ ตอร์นำไปวดั คา่ ความต้านทานของตวั ตา้ นทาน เขม็ ชช้ี ค้ี า่ ออกมาตามรปู ท่ี 7.9 ต้งั ยา่ นวดั ไว้
ท่ี R x1k จงอ่านคา่ ความตา้ นทานท่ีวัดได้บนสเกล
คา่ ทอี่ ่านได้
อา่ นคา่ ได้ = 23 x 1 kΩ = 23 kΩ ตอบ
การอ่านค่าอธบิ ายไดด้ งั นี้
เข็มชช้ี ี้ค่าอยู่ระหวา่ ง 20 และ 30 จากค่า 20 ถึง 30 แบ่งออกเป็น 5 ส่วนย่อย แต่ละส่วนย่อยมีค่า 2 เข็ม
ช้ีชีร้ ะหวา่ งกึง่ กลางค่า 22 และ 24 อ่านค่าออกมาได้ 23 นำไปคณู กับยา่ นตัง้ วดั ที่ x1k ค่าความต้านทานท่ีอ่านได้
จรงิ คอื 23 kΩ
7.5 เครือ่ งวัดความต้านทานแบบบริดจ์
วตี สโตนบริดจ์ (Wheatstone Bridge) เป็นวงจรบริดจ์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Bridge) ท่ีสรา้ งขึ้นมาเพื่อ
วัดค่าความต้านทานที่ไม่ทราบค่า ถูกเรียกว่าเคร่ืองวัดความต้านทานแบบบริดจ์ด้วยหลักการทำงานของวงจร
บริดจ์สมดุล (Balance Bridge Circuit) โดยการเปรียบเทียบความต้านทานท่ีไม่ทราบค่ากับความต้านทาน
มาตรฐานทราบค่าที่ปรับเปลี่ยนค่าได้ เพื่อทำให้วงจรบริดจ์อยู่ในสภาวะสมดุล และใช้กัลวานอมิเตอร์
(Galvanometer) เป็นตัวแสดงค่าความสมดุลของวงจรบริดจ์ สามารถวัดค่าความต้านทานได้กว้างตั้งแต่ความ
ต้านทาน 1 Ω ถงึ 10 MΩ ไดอ้ ย่างแมน่ ยำ วีตสโตนบริดจ์
จากรูปท่ี 7.10 แสดงวีตสโตนบริดจ์ รปู ที่ 7.10 (ก) เป็นเครอื่ งวัดไฟฟ้าวีตสโตนบริดจ์ที่ผลิตออกมาใชง้ าน
สว่ นรูปท่ี 7.10 (ข) เป็นวงจรวตี สโตนบรดิ จ์แบบเบ้ืองต้น วงจรประกอบดว้ ยตัวตา้ นทานตอ่ รว่ มกนั 4 ตวั ประกอบ
ขึน้ เป็นวงจรบรดิ จ์ 4 ดา้ น โดยมคี วามต้านทานคงทที่ ราบคา่ 2 ดา้ น R1, R2 กำหนดค่าความตา้ นทานทง้ั สองใหเ้ ป็น
อตั ราส่วนกัน เชน่ 1 : 1, 1 : 10 และ1 : 100 เป็นต้น ความต้านทานด้านที่สาม R3 เปน็ ความต้านทานมาตรฐานท่ี
ทราบคา่ ปรบั เปล่ียนคา่ ได้ เพือ่ ปรบั สมดุลของวงจรวีตสโตนบริดจ์ สว่ นด้านสุดทา้ ย R4 ใช้ต่อคา่ ความตา้ นทานที่ไม่
ทราบค่าตอ้ งการวดั หาค่า แรงดันไฟฟา้ ท่ีจา่ ยให้วงจรเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (E) โดยมีตวั กลั วานอมิเตอร์ (G)
ประกอบรว่ มวงจรใชแ้ สดงผลความสมดลุ ของวงจรบริดจ์
เม่อื จา่ ยแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง E เข้าวงจรที่จุด A และ C ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า I ไหลเข้าวงจรเป็น I1
และ I2 สังเกตท่ีเข็มกัลวานอมิเตอร์ G ถ้าเข็มกัลวานอมิเตอร์ G บ่ายเบนไปจากตำแหน่งเลข 0 แสดงว่าวงจร
บริดจ์ยังไม่สมดุล ให้ปรับความต้านทาน R3 เปล่ียนแปลงไปมาจนทำให้เข็มกัลวานอมิเตอร์ G ชี้ท่ีเลข 0 พอดี
แสดงว่าวงจรบริดจ์อยใู่ นสภาวะสมดลุ เมอ่ื วงจรบริดจ์สมดลุ จะได้สมการวงจรบริดจ์ดงั นี้
ตำแหนง่ ของแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง E และกลั วานอมเิ ตอร์ G สามารถสลับที่กันได้ เม่ือวงจร
บริดจ์สมดลุ สมการของวงจรบรดิ จ์ยังคงเหมือนเดิม
ตวั อย่างที่ 7.6 วงจรวีตสโตนบริดจ์ประกอบด้วยความต้านทานคงที่ R1 = 50 Ω, R2 = 200 Ωและเมื่อปรับค่า
ความต้านทานมาตรฐานจนวงจรบริดจ์เกิดความสมดุลได้ค่า R3 = 40 Ω จงหาค่าความต้านทานไม่ทราบค่า R4
ของวงจรวีตสโตนบริดจ์
7.6 เมกโอหม์ มิเตอร์
เมกโอห์มมิเตอร์ (Megohmmeter) เป็นโอห์มมิเตอร์อีกชนิดหน่ึงท่ีใช้วัดค่าความต้านทานของอุปกรณ์
ต่างๆ ท่ีมีค่าความต้านทานสูงมากเป็นเมกโอห์มขึ้นไป หรือไวส้ ำหรับวัดความเป็นฉนวนของฉนวนไฟฟา้ ทน่ี ำมาใช้
งาน นิยมเรียกวา่ เมกเกอร์ (Megger) หรือเครือ่ งทดสอบความเปน็ ฉนวน (Insulation Testers) เมกโอหม์ มเิ ตอรม์ ี
สเกลหน้าปดั บอกคา่ สเกลไวเ้ ปน็ เมกโอหม์ (MΩ) โดยตรง รูปรา่ งและโครงสรา้ งเมกโอห์มมเิ ตอร์
จากรูปท่ี 7.12 แสดงเมกโอห์มมิเตอร์ รูปที่ 7.12 (ก) เป็นรูปร่างเมกโอห์มมิเตอร์ท่ีผลิตออกมาใช้งาน
ส่วนรูปท่ี 7.12 (ข) เป็นโครงสร้างภายในเมกโอห์มมิเตอร์ ประกอบด้วยเคร่ืองกำเนิดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง
กำเนิดแรงดันไฟฟ้าค่าสูงขึ้นมาประมาณ 500 V และ 1,000 Vแม่เหล็กถาวร แกนเหล็กรูปวงแหวน ขดลวด
แรงดันไฟฟ้า A (Potential Coil) ขดลวดกระแสไฟฟ้าB (Current Coil) และตัวต้านทาน R1, R2 ขดลวด A และ
ขดลวด B สามารถหมุนรอบแกนเหล็กรปู วงแหวนได้และมีเข็มชี้ยดึ ติดอยู่ดว้ ย ปกติเข็มช้ีจะช้ีทตี่ ำแหน่งใดก็ไดไ้ ม่
จำเป็นต้องชี้ทต่ี ำแหนง่ 0 Ω เพราะส่วนเคลื่อนไหวของมาตรวัดชนิดนี้ไมม่ ีสปริงคอยควบคุมการบ่ายเบนกลับของ
เข็มชด้ี งั นน้ั ก่อนการใชง้ านทุกครัง้ ควรปรบั เขม็ ชใ้ี หช้ ที้ ่ตี ำแหนง่ 0 Ωกอ่ นเสมอ
กรณีไม่ไดต้ ่อตัวตา้ นทาน Rx เขา้ จุดวัด A, B และเปดิ จุดวัด A, B ออก เมือ่ หมุนเคร่ืองกำเนดิ แรงดนั ไฟฟ้า
จะมีแรงดันไฟฟ้ากำเนิดข้ึนมาป้อนให้ตัวต้านทาน R1 และขดลวดแรงดันไฟฟ้า A ทำให้ขดลวดแรงดันไฟฟ้า A
เกิดอำนาจแม่เหล็กผลักดันกับอำนาจแม่เหล็กถาวร ส่วนขดลวดกระแสไฟฟ้า B ไม่เกิดอำนาจแม่เหล็ก อำนาจ
แม่เหล็กท้ังสองผลักดันกัน ทำให้เข็มช้ีบ่ายเบนไปชี้ท่ีตำแหน่ง ∞ตัวต้านทาน R1 ท่ีต่ออนุกรมกับขดลวด
แรงดันไฟฟา้ A ทำหน้าทีจ่ ำกดั กระแสไฟฟ้าให้ไหลผ่านขดลวดแรงดันไฟฟา้ A พอเหมาะไม่มากเกนิ ไป
กรณีช็อตจุดตอ่ ตัวตา้ นทาน Rx เขา้ ด้วยกัน เม่ือหมุนเคร่ืองกำเนดิ แรงดันไฟฟา้ มกี ระแสไฟฟา้ ไหลผ่านทั้ง
ขดลวดแรงดันไฟฟ้า A กับ R1 และขดลวดกระแสไฟฟ้า B กับ R2 เกิดอำนาจแม่เหล็กขึ้นท่ีขดลวดท้ังสองชุด
ผลักดันกบั อำนาจแม่เหล็กถาวร แตเ่ นื่องจากอำนาจแมเ่ หลก็ ของขดลวดกระแสไฟฟ้า B มีอำนาจแมเ่ หล็กมากกว่า
ขดลวดแรงดันไฟฟ้า A ทำให้เข็มช้บี ่ายเบนชค้ี า่ ท่ี 0 Ω ตัวตา้ นทาน R2 ทต่ี ่ออนุกรมกบั ขดลวดกระแสไฟฟ้า B ทำ
หน้าทจ่ี ำกดั กระแสไฟฟ้าใหไ้ หลผา่ นขดลวดกระแสไฟฟ้า B พอเหมาะไม่มากเกินไป
เม่ือต่อตัวต้านทาน Rx เข้าที่จุดต่อวัด และหมุนเครื่องกำเนิดแรงดันไฟฟ้า มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านทั้ง
ขดลวดแรงดนั ไฟฟ้า A และขดลวดกระแสไฟฟ้า B อำนาจแม่เหล็กของขดลวดแรงดันไฟฟ้า A พยายามผลักดนั ให้
เขม็ ช้ีบา่ ยเบนไปทตี่ ำแหนง่ ∞ส่วนขดลวดกระแสไฟฟ้า B พยายามผลักดันให้เข็มช้ีบ่ายเบนไปท่ีตำแหน่ง 0Ωการ
บ่ายเบนของเขม็ ช้ีนี้จะบ่ายเบนไปทาง ∞ ได้มากหรือน้อย ขึน้ อยกู่ ับความต้านทาน Rx ที่นำมาตอ่ วัด ถา้ Rx มีค่า
ความต้านทานมาก มีกระแสไฟฟ้าไหลผา่ นขดลวดกระแสไฟฟา้ B นอ้ ย อำนาจแมเ่ หล็กของขดลวดกระแสไฟฟ้า B
เกิดน้อยเข็มชี้ถูกบ่ายเบนไปทาง ∞มาก ถ้า Rx มีค่าความต้านทานน้อย มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด
กระแสไฟฟา้ B มาก อำนาจแม่เหล็กของขดลวดกระแสไฟฟ้า B เกิดมาก เขม็ ชถ้ี ูกบ่ายเบนไปทาง 0 Ω มาก น่ัน
คอื การแสดงค่าความต้านทานท่วี ดั ออกมาไดใ้ นหน่วยเมกโอหม์ (MΩ)
• ดา้ นทกั ษะ(ปฏบิ ัต)ิ (จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมข้อท่ี 3-6)
1. แบบฝกึ หดั หน่วยท่ี 7
2. ใบปฏิบัตงิ าน 7 การใชโ้ อห์มมิเตอร์วดั หาคา่ ความตา้ นทาน
• ด้านคณุ ธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง
(จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมขอ้ ที่ 7)
1. นำโอห์มมิเตอร์ไปใชง้ าน
กิจกรรมการเรยี นการสอนหรอื การเรยี นรู้
ขั้นตอนการสอนหรือกิจกรรมของครู ข้ันตอนการเรยี นรูห้ รือกิจกรรมของนกั เรียน
1. ขั้นนำเขา้ สู่บทเรยี น ( 15 นาที ) 1. ขั้นนำเขา้ สบู่ ทเรียน ( 15 นาที )
1. ผสู้ อนสรุปเมกโอหม์ มเิ ตอร์ใหผ้ ้เู รียนเขา้ ใจ 1. ผู้เรียนฟังผู้สอนสรุปเมกโอห์มมิเตอร์ให้ผู้เรียน
เข้าใจใหเ้ ข้าใจ
2. ผู้สอนแจ้งวัตถปุ ระสงค์ของการเรียน หนว่ ยท่ี 2. ผู้เรียนทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของ
7 เรอื่ ง โอหม์ มเิ ตอร์ หน้า 127 การเรยี น หนว่ ยท่ี 7 เรื่อง โอห์มมเิ ตอร์ หนา้ 127
3. ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นฝกึ วดั ว่าความตา้ นทาน 3. ผู้เรียนร่วมมือกับผู้สอนผู้เรียนฝึกวัดว่าความ
ตา้ นทาน
2. ข้นั ให้ความรู้ ( 240 นาที ) 2. ขน้ั ให้ความรู้ (240 นาที )
1. ผสู้ อนให้ผเู้ รียนเปิดเอกสารประกอบการสอน 1. ผู้เรียนศึกษาเอกสารประกอบการสอน วิชา
วิชา เครื่องมอื วัดไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์ หน่วยท่ี 7 เครือ่ งมือวดั ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์ หน่วยที่ 7 เรือ่ ง
เรื่อง โอห์มมิเตอร์ หน้าที่ 128-141 พร้อมอธิบาย โอห์มมิเตอร์ หน้าท่ี 128-141 พร้อมอธิบายเนื้อหาที
เน้อื หาทลี ะส่วน ละส่วน
2. ผู้สอนอธิบายความรู้เพ่ิมเติมนอกเหนือจาก 2. ผูเ้ รียนฟังอธิบายความรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจาก
เอกสารประกอบการสอนวชิ า เครื่องมือวดั ไฟฟา้ และ เอกสารประกอบการสอนวิชา เครื่องมือวัดไฟฟ้าและ
อิเล็กทรอนิกส์ และให้ผู้เรียนช่วยกันใช้งานโอห์ม อเิ ล็กทรอนกิ ส์ และใหผ้ ูเ้ รียนชว่ ยกนั ใช้งานโอห์มมเิ ตอร์
มเิ ตอร์ 3. ผู้เรียนซกั ถามขอ้ สงสัยทเี่ กิดข้ึน
3. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามข้อสงสัยท่ี
เกดิ ขึน้ ระหวา่ งการเรยี น และตอบข้อซักถาม 3. ข้นั ประยกุ ตใ์ ช้( 180 นาที )
3. ขัน้ ประยุกต์ใช้ (180 นาที ) 1. ผู้เรียนทำใบปฏิบัติงาน 7 การใช้โอห์มมิเตอร์
1. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำใบปฏิบัติงาน 7 การใช้ วัดหาคา่ ความตา้ นทาน หนา้ 145-147
โอหม์ มเิ ตอรว์ ดั หาค่าความต้านทาน หน้า 145-147 2. ผเู้ รียนสบื ค้นขอ้ มลู จากอนิ เทอรเ์ นต็
2. ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนสบื คน้ ขอ้ มูลจากอินเทอรเ์ น็ต
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรอื การเรียนรู้
ข้ันตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ขั้นตอนการเรยี นร้หู รอื กจิ กรรมของนกั เรยี น
4. ขน้ั สรปุ และประเมินผล ( 45 นาที ) 4. ขนั้ สรุปและประเมินผล ( 45 นาที )
1. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปเน้ือหาท่ีได้เรียน 1. ผูเ้ รยี นรว่ มกนั สรุปเน้อื หาท่ไี ดเ้ รียนใหม้ คี วาม
ให้มคี วามเข้าใจในทิศทางเดยี วกนั เขา้ ใจในทิศทางเดยี วกนั
2. ผสู้ อนให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดหนว่ ยที่ 7หน้าที่ 2. ผู้เรยี นทำแบบฝึกหัดหน่วยที่ 7หนา้ ท่ี 142-
142-143 143
3. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียน
ด้วยเอกสารประกอบการสอนที่จดั ทำข้ึน 3. ผูเ้ รยี นศกึ ษาเพ่มิ เติมนอกหอ้ งเรียน ด้วย
เอกสารประกอบการสอนทจ่ี ัดทำขนึ้
(บรรลุจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-7)
(รวม 480 นาที หรือ 8 คาบเรยี น) (บรรลจุ ดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมขอ้ ที่ 1-7)
งานที่มอบหมายหรอื กจิ กรรมการวัดผลและประเมนิ ผล
กอ่ นเรยี น
1. จัดเตรียมเอกสาร สอ่ื การเรียนการสอนหน่วยที่ 7
2. ทำความเข้าใจเก่ียวกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นของหน่วยที่ 7 และใหค้ วามรว่ มมอื ในการทำกจิ กรรมใน
หน่วยท่ี 7
ขณะเรยี น
1. ทำใบปฏิบตั งิ าน 7 การใชโ้ อห์มมิเตอรว์ ดั หาค่าความตา้ นทาน
2. ร่วมกันสรปุ “โอหม์ มิเตอร”์
หลงั เรียน
1. สรปุ เนอื้ หา
2. ทำแบบฝึกหดั หน่วยที่ 7
ผลงาน/ชน้ิ งาน/ความสำเรจ็ ของผ้เู รียน
ใบปฏิบัติงาน 7 การใชโ้ อห์มมิเตอร์วัดหาคา่ ความต้านทาน, แบบฝกึ หดั หน่วยท่ี 7
ส่ือการเรยี นการสอน/การเรยี นรู้
ส่อื ส่งิ พิมพ์
1. เอ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส อ น วิ ช า เค รื่ อ ง มื อ วั ด ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ อิ เล็ ก ท ร อ นิ ก ส์
(ใช้ประกอบการเรียนการสอนจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมข้อที่ 1-7)
2. ใบความรู้ที่ 7 เรื่อง โอห์มมิเตอร์ (ใช้ประกอบการเรียนการสอนข้ันให้ความรู้ เพ่ือให้บรรลุ
จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ขอ้ ที่ 1-7)
3. ใบปฏิบตั งิ าน 7 การใชโ้ อห์มมเิ ตอรว์ ัดหาคา่ ความต้านทาน ขั้นประยุกต์ใช้ ขอ้ 1
4. แบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ 7 สรุปและประเมนิ ผล ขอ้ 2
5. แบบประเมินผลงานตามใบงาน ใชป้ ระกอบการสอนขั้นประยุกตใ์ ช้ ข้อ 1
6. แบบประเมินพฤตกิ รรมการทำงาน ใช้ประกอบการสอนขัน้ ประยกุ ตใ์ ช้ ขั้นสรปุ และประเมนิ ผล
สื่อโสตทศั น์ (ถ้าม)ี
1. เครือ่ งไมโครคอมพิวเตอร์
2. PowerPoint เรอื่ ง โอห์มมิเตอร์
สื่อของจริง
โอหม์ มเิ ตอร์(ใช้ประกอบการเรียนการสอนจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมข้อที่ 1-7)