ประเพณสี บื ชะตา : คติธรรมความเชอื่ และอทิ ธพิ ลตอ่ สงั คม
ล้านนาในจังหวดั เชยี งราย
พระกศุ ล ทนฺตจติ โฺ ต (จนั ทรา)
วทิ ยานพิ นธน์ ี้เป็นสว่ นหน่งึ ของการศกึ ษา
ตามหลักสูตรปรญิ ญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาพระพทุ ธศานา
บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ลขิ สทิ ธิเ์ ปน็ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ)
Renewal : Morals, Beliefs, And Influence On The Lanna Society In
Chiang Rai
Phra Kusol Thantajitto (Juntar)
A Thesis Submitted in Partial Fulfilment of
The Requirement for The Deqree of
Master of Arts
(Buddhist Studies)
Graduate School
Mahachulalokngkornrajavidyalaya University
Bangkok, Thailand
C.E. 2021
(Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)
บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั อนุมตั ใิ หน้ บั วทิ ยานพิ นธ์
เรอ่ื ง “ประเพณีสืบชะตา : คตธิ รรม ความเชอื่ และอทิ ธพิ ลตอ่ สังคมล้านนาในจงั หวัดเชียงราย”
เป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษาตามหลกั สตู รปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา
………………………………………………………………….
(พระมหาสมบรู ณ์ วฑุ ฺฒกิ โร,รศ.ดร.)
คณบดีบณั ฑติ วิทยาลยั
คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานพิ นธ์ ………………………………………………ประธาน
กรรมการ ………………………………………..กรรมการ
(………………………………..)
……………………………………………….กรรมการ
(………………………………..)
………………………………..กรรมการ
(ดร.กจิ ชยั วงศร์ าช)
…………………………………….กรรมการ
(พระครูศรรี ัตนกร, ผศ.ดร.)
คณะกรรมการควบคมุ วทิ ยานพิ นธ์
๑.ดร.กิจชัย วงศร์ าช ประธานกรรมการ
๒.พระครศู รรี ตั นกร, ผศ.ดร. กรรมการ
ผวู้ ิจยั ………………………………………
(พระกศุ ล ทนตฺ จิตฺโต)
ก
ช่อื วิทยานพิ นธ์ : ประเพณสี ืบชะตา : คตธิ รรม ความเชอ่ื และอิทธพิ ลตอ่ สังคมล้านนาใน
จงั หวดั เชยี งราย
ผวู้ จิ ัย : พระกศุ ล ทนตฺ จติ ฺโต (จนั ทรา)
ปรญิ ญา : พุทธศาสตรมหาบณั ฑติ (พระพทุ ธศาสนา)
คณะกรรมการควบคุมวทิ ยานพิ นธ์
: ดร.กจิ ชยั วงศร์ าช
ป.ธ.๕ ปวค. ศน.บ (สงั คมวทิ ยา) ศศ.ม. (การพฒั นาภมู ภิ าคและท้องถ่ิน)
พธ.ด. (พระพทุ ธศาสนา)
: พระครูศรีรัตนากรกร,ผศ.ดร.
ป.ธ.๖ ป.บณั ฑติ พธ.บ. (ภาษาองั กฤษ)
M.A. (Philosophy&Relogion), M.A.(English Lierature)
Ph.D. (Buddhish Studies)
วันสำเรจ็ การศกึ ษา : ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๕
บทคัดยอ่
ประเพณีสืบชะตา : คติธรรม ความเชื่อ และอิทธิพลต่อสังคมล้านนาในจังหวัดเชียงราย
วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑ เพื่อศึกษาประวัติ ความเป็นมาของประเพณีสืบชะตาที่ปรากฏใน
พระพุทธศาสนา ๒ เพื่อศึกษาอิทธิพลของประเพณีสืบชะตาที่มีต่อสังคมล้านนาในจังหวัดเชียงราย
๓ เพื่อวิเคราะห์คติธรรม ความเชื่อ และอิทธิพลของพิธีสืบชะตาที่มีอิทธิพลต่อสังคมล้านนาของ
จังหวัดเชียงราย งานวิจัยเรื่องนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)และการสัมภาษณ์
แบบเจาะลกึ (In-depth interview) มผี ูใ้ หข้ อ้ มูลที่สำคญั จำนวน ๓๐ คน จากการศกึ ษาพบว่า
ความเป็นมาของประเพณีสืบชะตา ปรากฏหลักฐานมีความเป็นมาจากฐานความเช่ือ
๓ ประการคือ ๑. มีตำนานปรากฏในคัมภีร์สืบชะตา ๒. จากเรื่องทีฆายุกุมารและ ๓. จากเรื่องอายุ
วฒั นกุมาร
อิทธพิ ลของประเพณีสืบชะตาท่มี ีต่อสังคมล้านนาในจงั หวดั เชียงราย พบว่า มอี ทิ ธิพลต่อการ
ปฏิบัติในชีวิตด้านความคิดเชิงบวก (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ) มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตทุกยุค
ทุกสมยั โดยพิธสี บื ชะตาไดแ้ ทรกซมึ เข้าไป ในระบบความเชอ่ื และวิถีชวี ติ มาตงั้ แตโ่ บราณจนถึงปัจจุบัน
ในคราวชีวติ มคี วามสขุ และความทุกข์
ข
คติธรรม ความเชื่อของประเพณีสืบชะตา ที่มีอิทธิพลต่อสังคมล้านนาในจังหวัดเชียงราย
พบว่าผู้ให้ข้อมูลสำคัญทั้งหมด มีความเชื่อในพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพ สังฆานุภาพและพระปริตร
ท้ังหมดที่มาจากพระสูตรหรือพุทธพจน์ ปริตรที่รจนาขึ้นด้วยพระสงฆ์เถระชาวล้านนา และพิธีสืบ
ชะตาเชื่อว่าเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธ์ิ มีผลต่อชีวิตคือการมีอายุยืนยาว มีความโชคดี ความเจริญรุ่งเรือง
โดยมีคตธิ รรมสอนใจคอื เร่ืองหลกั ธรรม บญุ กริ ยิ าวตั ถุ ๓ ศลี ๕ ธรรม ๕ พรหมวหิ าร ๔ เป็นตน้
ค
Thesis Title : Renewal : Morals, Beliefs, Values, And Influence
Researcher On The Lanna Culture In Chiang Rai
Degree : Phra Kusol Thantajitto (Juntar)
: Master of Arts (Buddhist Studies)
Date of Graduation Thesis Supervisory Committee
: Dr. Kijchai Wongrach
: Pali V, B.A., M.A., Ph.D. (Buddhist Studies)
: Ass.Prof. Dr.Phrakrusrirattanakorn
: Pali VI, B.A., M.A.(Philosophy&Relogion), M.A.(English
Lierature) Ph.D. (Buddhist Studies)
: August 30, 2022
Abstract
This Thesis is a study of Renewal: Morals, Beliefs, Values and Influence on the
Lanna society in Chiang Rai. It is qualitative research with the following objectives: 1)
To study the History of the Tradition of Renewal (Prolong the life) in Buddhism script;
2) To study the influence of (Prolong the life) traditions on Lanna society in Chiang Rai
province. 3) To analyze morals, beliefs, ceremonies, and an influence on Lanna society
in Chiang Rai Province. It draws on documents, together with in-depth interviews
conducted with key informants total of 30 persons.
The research findings are as follows: History of the Renewal Tradition that has
evidence appears on three beliefs, namely: from the legend of the scriptures Suep
sha-ta(Renewal) of Lanna; the story of Dikhayu Kuman and the story of
longevity(âyuvaddhanakumara).
To influence positive thinking in life (Sammàditñhi, Sammàsaïkappa) influencing
life in every era by the ceremonies of renewal infiltrating in the belief system and way
of life from ancient times to the present while human was happy and suffered.
ง
All key informants have faith in the power of triple gems and all mantras
(Paritta) derived from the Sutra or the Buddha's words, in addition, they believe the
mantra that was composed by Mahathera monks of Lanna and the ceremony of
renewal that it is a sacred ceremony that can affect one's life namely: Longevity; good
luck and prosperity with moral principles, which is the principle of Kamma, 3 basses
of meritorious action, 5 precepts, 5 virtues, 4 holy abidings, etc.
จ
กติ ติกรรมประกาศ
งานวิทยานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพราะได้รับเมตตาอนุเคราะห์ช่วยเหลือจาก
อาจารย์ …………………………………… ประธานกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ อาจารย์ ดร.กิจชัย วงศ์
ราช และ อาจารย์ พระครูศรีรัตนากร ผศ,ดร. กรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ ผู้วิจัยต้องขอกราบ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งที่ให้การดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ ชี้แนะในการศึกษาวิจัย
เปน็ อย่างดมี าโดยตลอด และขอขอบพระคุณ อนุโมทนาตอ่ คณาจารย์ เจา้ นาทขี่ องศูนย์บัณฑิตศึกษา
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาลัยสงฆ์เชียงราย ตลอดถงึ เพอ่ื นนิสติ ปริญญาโท รุ่นท่ี
๑/๒๕๖๕ ที่ให้การชว่ ยเหลอื ดา้ นข้อมูล เอกสาร ให้กำลังใจเป็นอย่างดเี สมอมา
ขอน้อมระลึกในอุปการะคุณของ พระครูวิสิฐวรนาถ เจ้าคณะอำเภอเวียงเชียงรุ้งและคณะ
คุณครูวัดดงชัยพิทยาที่คอยช่วยเหลือให้กำลังใจ พระครูพิศาลนวกรรม เจ้าคณะตำบลทุ่งก่อเขต ๒
ผ้เู ปน็ พระอุปชั ฌาย์ในการอุปสมบทและใหท้ พ่ี กั อาศยั ให้ทุนเลา่ เรยี นและพระเถระผ้ใู หญผ่ ้ใู หข้ ้อมูลใน
การทำวทิ ยานพิ นธใ์ นคร้ังนี้ มพี ระเดชพระคณุ ทา่ นเจา้ คณุ พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจงั หวัดเชยี งราย
เป็นประธานสงฆ์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญและท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเถรโกศล วิ. ปราชญ์ท้องถิ่น ผู้นำ
ชุมชน ศรัทธาญาตโิ ยมชาวบ้านทีม่ สี ว่ นเก่ียวขอ้ งคอ่ ยช่วยเหลอื ตอบแบบสัมภาษณ์
ขออนุโมทนาบุญศรัทธาญาติโยม นางทัศนีย์ จินดายกและศรัทธาบ้านดงป่าสักทุกหลังคา
เรอื นทีช่ ่วยเหลือทนุ การศึกษาเล่าเรียนและ มอบส่ิงของให้เป็นขวัญให้กำลังใจ ในการศึกษาเล่าเรียน
ครั้งนี้ ขออนุโมทนาต่อโยมพ่ออทุ ัย โยมแม่บัวผัน จันทรา และญาติพี่น้องทกุ คน ตลอดถึงญาติโยมท่ี
คอยเปน็ กำลงั ใจ ให้การสนับสนนุ ในการศึกษาวิจยั เปน็ อยา่ งดีย่ิง
ผู้วิจัยหวงั เปน็ อย่างยิ่งวา่ งานวิทยานพิ นธ์เล่มนจี้ ักเปน็ ประโยชนต์ อ่ การศกึ ษาค้นคว้าและการ
วิจัย เป็นข้อมูลความรู้ในการส่งเสริมประเพณีสืบชะตา และวัฒนธรรมการสืบชะตาในล้านนา ใน
แนวทางที่ถูกต้องของจุดมุ่งหมายในการสืบชะตา อนุรักษ์ให้เป็นมรดกทางประเพณีวัฒนธรรม อัน
ทรงคณุ คา่ ของลา้ นนาสืบไป
พระกุศล ทนฺตจิตโฺ ต (จันทรา)
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕
สารบญั ฉ
เรื่อง หน้า
บทคดั ยอ่ ก
Abstract ข
กิตติกรรมประกาศ ค
สารบัญ ฉ
สารบัญตาราง
คำอธบิ ายสญั ญาลกั ษณแ์ ละคำยอ่ ซ
บทท่ี ๑ บทนำ
๑
๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา ๔
๑.๒ คำถามวจิ ัย ๔
๑.๓ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั ๔
๑.๔ ขอบเขตการวจิ ยั ๖
๑.๕ นยิ ามศพั ท์เฉพาะที่ใชใ้ นการวจิ ัย/นยิ ามเชงิ ปฏิบตั กิ าร ๙
๑.๖ ประโยชนท์ ่ีไดร้ บั จากการวจิ ัย
๑๐
บทท่ี ๒ แนวคดิ และทฤษฎงี านวิจัยท่ีเกย่ี วข้อง ๒๒
๒.๑.แนวคดิ เกี่ยวกับอำนาจพระปริตร ๓๒
๒.๒ แนวคดิ เกย่ี วกับวฒั นธรรม ความเช่อื และพิธกี รรม ๕๖
๒.๓ แนวคดิ เก่ียวกบั เรือ่ งการสบื ชะตา ๕๙
๒.๔ แนวคิดเกี่ยวกบั เรือ่ ง วฒั นธรรมประเพณีลา้ นนา ๖๒
๒.๕ แนวคดิ เก่ียวกบั เรื่อง ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ๖๔
๒.๖ ทฤษฎีเกี่ยวกบั จติ วิทยาด้านสังคม ๖๘
๒.๗ แนวคดิ การประยุกต์ใช้หลักธรรมในการสบื ชะตา ๗๒
๒.๘ หลักธรรมในพระพุทธศาสนา
๒.๙ งานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง ๘๕
๘๕
บทท่ี ๓ ระเบียบวธิ วี ิจยั ๘๖
๓.๑ รูปแบบการวิจยั
๓.๒ พ้ืนที่การวิจัย ประชากรกล่มุ ตัวอย่าง ผู้ใหข้ อ้ มูล
๓.๓ เคร่ืองมือการวจิ ยั
ช
๓.๔ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ๘๘
๓.๕ การวเิ คราะหข์ ้อมลู ๘๙
๓.๖ สรุปกระบวนการวิจัย ๘๙
บทท่ี ๔ ผลการศึกษา ๙๒
๔.๑ ข้อมูลพน้ื ฐานของผใู้ ห้ข้อมูลท่ีสำคญั ๙๒
๔.๒ ความเปน็ มาของประเพณสี ืบชะตา ๑๐๗
๔.๓ คติธรรมจากประเพณสี บื ชะตา ๑๑๒
๔.๔ ความเชือ่ จากประเพณสี ืบชะตา ๑๒๑
๔.๕ อทิ ธิพลของประเพณสี ืบชะตาท่มี ตี ่อสังคมลา้ นในจังหวดั เชยี งราย ๑๔๑
๔.๖ ขอ้ เสนอแนะ
บทท่ี ๕ สรุปผลการศกึ ษาและข้อเสนอแนะ
๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๑๕๙
๑๖๖
๕.๒ ขอ้ เสนอแนะ ๑๖๖
๑๖๗
๕.๓.๑ ขอ้ เสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้ ๑๖๘
๑๗๔
๕.๓.๒ ขอ้ เสนอแนะสำหรับการนำผลวิจัยไปใช้
๒๐๖
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายนามผเู้ ช่ยี วชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒใิ นการตรวจสอบเครอ่ื งมอื วจิ ัย
ภาคผนวก ข หนังสือขอความอนุเคราะห์ในการเกบ็ ข้อมลู
ภาคผนวก ค ตัวอย่างเคร่อื งมอื วิจยั ทง้ั เชงิ คุณภาพ
ประวัตผิ วู้ จิ ัย ๒๒๔
ซ
คำอธบิ ายสัญญาลกั ษณ์และคำยอ่
งานวิจัยฉบบั นี้ ผู้วิจัยได้ค้นคว้าอา้ งองิ คมั ภีร์ได้ใช้พระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งได้กล่าวถึงแหล่งที่มาระบุ เล่ม/ข้อ/หน้า/ ตามลำดับ
เชน่ ข.ุ สุ. (ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๘. หมายถงึ สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕
ข้อ ๔๓ หนา้ ๒๕๘ ภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๒๕๓๙ ดังนี้
คำอธิบายสัญญาลักษณ์และคำย่อ
งานวิจัยฉบบั นี้ ผู้วิจัยได้ค้นคว้าอ้างอิงคัมภีร์ได้ใช้พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลยั
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งได้กล่าวถึงแหล่งที่มาระบุ เล่ม/ข้อ/หน้า/ ตามลำดับ
เช่น ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๘. หมายถึง สุตตันตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๒๕
ข้อ ๔๓ หน้า ๒๕๘ ภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๒๕๓๙ ดงั นี้
พระสุตตันตปฎิ ก
วิ.จู. (ไทย) = วนิ ยั ปฎิ ก จฬู วรรค (ภาษาไทย)
ที.สี. (ไทย) = สตุ ตนั ตฺ ปฎิ ก ทฆี นกิ าย สีลขนั ฺธวรรคค (ภาษาไทย)
ท.ี ปา. (ไทย) = สุตตนั ฺตปฎิ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย)
ที.ม. (ไทย) = สุตตันฺตปฎิ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย)
ม.ม. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณั ณาสก์ (ภาษาไทย)
ส.ํ ส. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย)
ส.ํ นิ. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก สงั ยุตตนิกาย นิทานวรรค (ภาษาไทย)
ส.ํ ข. (ไทย) = สตุ ตฺ นฺตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค (ภาษาไทย)
ส.ํ ม. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค (ภาษาไทย)
ข.ุ ขุ. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ (ภาษาไทย)
ข.ุ เถรี. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย เถรีคาถา (ภาษาไทย)
ข.ุ ชา.เอกก. (ไทย) = สตุ ฺตนตฺ ปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย เอกกนิบาตชาดก (ภาษาไทย)
ข.ุ อป. (ไทย) = สตุ ฺตนตฺ ปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย อปทาน (ภาษาไทย)
ฌ
ปกรณวิเสส
มิลนิ ฺท. (ไทย) = มลิ ินทปญั หปกรณ์ (ภาษาไทย)
ขุ.ขุ.อ. อรรถกถาพระสุตตนั ตปิฎก
ข.ุ อติ ิ.อ.
ข.ุ เถร.อ. (ไทย) = ขุททกนิกาย ปรมัตถโชตกิ า ขุททกปาฐอรรถกถา (ภาษาไทย)
ท.ี ปา.อ. (ไทย) = ขุททกนิกาย ปรมัตถทีปนี อติ วิ ตุ ตกอรรถกถา (ภาษาไทย)
องฺ.จตกุ กฺ (ไทย) = ขุททกนกิ าย ปรมัตถทีปนี เถรคาถาอรรถกถา (ภาษาไทย)
องฺ.จตกุ กฺ (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิสาสนิ ี ปฏิกวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย)
(ไทย) = อังคุตตรนกิ าย มโนรถปูรณี จตกุ กนบิ าตรอรรถ (ภาษาไทย)
ม.ม.อ. (ไทย) = อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี สัตตกนบิ าตรอรรถ (ภาษาไทย)
ที.ส.ี ฎีกา. อรรถกถาพระสตุ ตันตปฎิ ก ภาษาไทย ฉบบั มหามกุฏราชวิทยาลัย
(ไทย) = มัชฌิมนิกาย ปปญั จสูทนี มัชฌิมปณั ณาสกอรรถกถา (ภาษาไทย)
ฎกี าพระสตุ ตันตปิฎก (ภาษาบาลี)
(บาล)ี = ทีฆนิกาย ลีนตฺถปฺปกาสนี สีลกฺขนฺธวคฺคฎกี า
บทที่ ๑
บทนำ
๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา
การสืบชะตาในสมัยครั้งพุทธกาล การสืบชะตานี้แมจ้ ะไม่ ใช่แก่นแท้ในทางพระพุทธศาสนา
ว่ากันว่าเป็นศาสนาพราหมณ์ ก็ตามแต่ก็ได้สารประโยชน์ในด้านจิตใจ อย่างสำคัญดังปรากฏอยู่ ใน
ตำนานคมั ภรี ์สบื ชะตาว่าเม่ือ ครง้ั พุทธกาลมสี ามเณรติสสะอายุ ๗ ปี อยูใ่ นสำนกั พระสารีบุตรมีสีหน้า
โศกเศร้าหม่นหมองและ ผิวพรรณหมองคล้ำวันหน่ึงพระสารบี ตุ ร พบเขาและเข้าฌานสมาบัติตรวจดูรู้
วา่ สามเณรติสสะ จะมชี ีวิตอยไู่ ด้อีกเพียง ๗ วนั เท่านนั้ ก็จะมรณภาพพระสารีบุตรจงึ แจ้ง ให้สามเณร
ตสิ สะได้ทราบ สามเณรติสสะรวู้ ่าตนเองจะมรณภาพภายใน ๗ วนั กม็ คี วามทกุ ขใ์ จจงึ ไดก้ ราบลาพระ
สารีบุตร เพื่อไปบอกลาบิดามารดาและญาติที่บ้านเกิด ขณะเดินทางมุง่ หน้าไปหาพ่อแม่ ได้เดินผ่าน
สระน้ำท่ีกำลังแหง้ ขอด ฝูงปลาใหญน่ ้อยตา่ งพากนั กระเสอื กกระสน หาแหลง่ น้ำอ่ืนเพ่อื หนีตาย ๑
สามเณรติสสะได้พบเหน็ แล้วให้นึกถึงตัวเองว่า “เออเรานีก้ ็จะตายภายใน ๗ วัน ปลานี้หาก
ไม่มีน้ำก็จะต้องตายวันนีแ้ นน่ อน อย่ากระนัน้ เลยถึงแม้เราจะตายไป ก็ควรที่จะปล่อยปลาเหล่าน้ใี ห้
พ้นจากความตายเถิด” บังเกิดความกรุณาขึ้นในใจจึงช่วย จับเอาปลาทั้งหลายใส่บาตรแล้วนำไป
ปล่อย ณ แม่น้ำใหญ่ สามเณรติสสะเดินทางไปอีกสักระยะหนึ่ง ก็พบอีเก้งถูกแร้วของนายพรานดนิ้
ทรุ นทรุ ายสามเณรก็เลยปล่อยอีเกง้ ให้รอดพ้นจากความตายอีก สตั วเ์ หลา่ นั้นจึงสืบชีวิตยืนยาวต่อไป
อกี เม่ือไดพ้ บพ่อแมแ่ ละญาติพี่น้องก็เลา่ เรื่อง ท่ีตนจะต้องมรณภาพภายใน ๗ วัน เมอ่ื ทกุ คนทราบเรอ่ื ง
ต่างก็ร่ำไห้ด้วยความสงสารและรอเวลา ที่สามเณรจะมรณภาพเมื่อครบกำหนด ๗ วัน ปรากฏว่า
สามเณรติสสะยังไม่มรณภาพ แถมยังมีชีวิตอยู่เลยต่อมาได้อีก ๗ วัน ก็ยังไม่เป็นอะไร กลับกลาย
เป็นผู้มีวรรณะผ่องใสยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก สามเณรติสสะจึงได้เดินทางกลับไปหา พระสารีบุตรและ
เล่าเรื่องที่ตนได้ปล่อยปลาน้อยใหญ่ ให้พระสารีบุตรฟังทุกประการ พระสารีบุตรฟังแล้วกล่าวว่า
“การกระทำของสามเณรน้อยนี้ หากเป็นกุศลกรรมทำให้เกิดพลัง ให้พ้นจากหายนะคือความเสื่อม
ความตายและยังใหม้ ชี วี ิตยนื ยาวอีกต่อไป” พิธสี ืบชะตาเป็นประเพณีสำคัญ อย่างหน่ึงของชาวลา้ นนา
ที่เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุหรือต่อชีวิต ของบ้านเมืองหรือของคนให้ยืนยาว มีความสุขความเจริญ
ตลอดจนเป็นการขจัดภยันตรายต่าง ๆ ที่จะบังเกิดขึ้นให้แคล้วคลาดปลอดภัย พิธีสืบชะตา
แบบพน้ื เมอื งของคนลา้ นนา ได้ยึดถือและปฏิบัติสบื ต่อกนั มาชา้ นาน เพราะเชื่อวา่ ทุกขภ์ ัยทั้งหลาย
๑ ขุ.ขุ (ไทย) ๒๕/๘๘/๒๔-๒๖.
๒
ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองและญาติพี่น้อง จะหมดหายไปชีวิตก็จะยืนยาวยิ่งขึ้น อีกทั้งเชื่อว่า
ก่อให้เกิดขวัญและกำลังใจ ในการปฏิบัติหน้าที่การงานพร้อมที่ จะสู้กับชะตาชีวิตต่อไปชาวล้านนา
นับถือพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จากการเผยแผ่เข้ามาหลาย ๆ ทาง เช่น สมัยของ
พระนางจามเทวีที่ได้ครองเมืองหริภุญไชย ได้นำเอาอารยธรรมแบบทวารวดี ขึ้นมาด้วยและนำเอา
พุทธศาสนาเถรวาทเข้ามา ในสมัยของพระเจ้ากือนาก็มีพระสงฆ์ ที่เผยแผ่ลัทธิลังกาวงศ์
คือพระสุมนเถระและพระอโนมทัสสี ทำให้วิถีชีวิตของชาวล้านนา ผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่าง
แนบแน่น๒
ชาวล้านนาถือกันว่าเมืองมีวันเกิด คือวันที่วางเสาหลักเมือง หรือลูกกัลปบาตร (ลูกหิน)
บา้ นก็มีวันเกดิ คือวันท่ีฝงั เสาบ้าน ท่เี รียกวา่ ใจบ้านจะฝงั ๓ แหง่ ท่ีเรียกว่าตรีมรู ติหมายถึงเทพเจ้า ๓
คือพระพรหม พระอิศวรและพระนารายณ์ เพื่อเป็นเครื่องหมายการสร้างและการบำรุงรักษาให้
บา้ นเจริญมน่ั คงคนเราก็ตอ้ งมวี นั เกิด เฉพาะของแต่ละคนทลี่ ืมตามาดโู ลก คนบ้านเมืองภายใน ๗ วัน
หรือภายในรอบปีของจักรราศี อาจจะมีเคราะห์รา้ ยจะทำให้เกดิ โรคภยั ไขเ้ จ็บ ทำให้ชะตาชีวิตตดิ ขัด
ไม่ราบรื่นเพื่อเป็นการปอ้ งกนั เหตรุ า้ ย อันอาจจะเกิดขึน้ และเพื่อเสริมสร้างชะตาชีวิต ที่ขาดจึงมกี าร
ต่อหรือเชื่อมชะตา มีพิธีสืบชะตาโดยมีกฤตยามนต์หรืออำนาจพระพุทธมนต์ ทำให้เมือง บ้าน คน
มีชีวิตยืนยาวสบื ออกไป
ประเพณีสืบชะตานับเป็นประเพณี ที่สำคัญของล้านนามาแต่โบราณ มีผู้นิยมตั้งแต่ชาวบ้าน
ทัว่ ไปกระทั้งบุคคลชน้ั สูง พระสงฆ์ พระราชามหากษัตรยิ ์ ก็กระทำพิธีกรรมนเี้ พ่ือความสุข ความเจริญ
และสืบอายุให้ยืนยาวออกไป เป็นพิธีบำรุงขวัญเสริมกำลังใจ สร้างกตัญญูกตเวที ให้ลูกหลานทำแก่
บิดา มารดา ปู่ ยา่ ตา ยาย ของตนเองลูกศิษยท์ ำให้ ครบู าอาจารย์สร้างความสามัคคีแก่ชมุ ชนมีความ
รักโยงใย เพราะได้ร่วมพธิ กี ันเป็นพิธีที่สำคัญ ในการให้กำลังใจกำลงั ขวญั แกผ่ ูค้ นในบ้านเมือง พิธีสบื
ชะตาทั่วไปพิธีสืบชะตาของชาวบ้าน หรือของพระสงฆ์ที่ยังยึดมั่นปฏิบัติอยู่ เพราะมีความเชื่อว่าผล
จากการปฏิบัติ เช่น นจี้ ะทำให้ตนเอง ครอบครวั ญาตมิ ติ ร บริวารที่อยู่รว่ มกันใหม้ คี วามสุขปราศจาก
ทกุ ข์กังวลต่าง ๆ พน้ จากภยั พบิ ตั ิอนั ตรายทั้งปวงและมีอายุยนื ยาว ในสมัยปจั จบุ ันพิธีสืบชะตานี้นิยม
ทำเนื่องใน วันครบรอบอายุทำในพิธีขึ้นบ้านใหม่ หรือทำในพิธีแต่งงานของคู่บ่าวสาว พิธีสืบชะตา
หลวงหรือพิธีสืบชะตาเมือง เป็นพิธีที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ของชุมชนเมืองทีเดียว เพราะต้องอาศัยความ
ศรัทธาสามัคคีร่วมกนั ของคนในชุมชนจึงจะสำเรจ็ เพราะเคร่ืองสบื ชะตา ที่ใช้ประกอบในพิธตี ้องใช้
เป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้น ซึ่งเครื่องสบื ชะตาธรรมดานั้น นิยมใช้เครื่องร้อยเก้าหมายถงึ เครื่องประกอบ
๒ ขุ.ขุ (ไทย) ๒๕/๘๘/๒๔-๒๖.
๓
พิธี หมาก พลู เมี่ยง ข้าวตอก ดอกไม้ ตุงเล็ก ตุงช่อเป็นต้น นิยมใช้อย่างละ ๑๐๙ อัน ส่วนพิธีสืบ
ชะตาหลวง เครื่องใชป้ ระกอบพธิ ีบางอยา่ งตอ้ งเพ่ิมเปน็ ๑๐๐๙ ซง่ึ ชาวล้านนานิยมเรียกวา่ เคร่อื งพนั ๓
แนวคิดและต้นเค้าในสมัยพระนางจามเทวี การสืบชะตาในยุคแรกนี้มีฐานความคิด
และความเชื่อมาจากพระพุทธศาสนา คือการที่เป็นผู้มีบารมีหรือผู้ปกครองที่ดีนั้น ต้องมีแก้ว
๓ ประการ คือ แก้วกาย แก้ววาจาและแก้วใจ การประพฤติดีปฏิบัติชอบ ๓ ประการนี้จะส่งผล
ให้ผู้ปฏิบัติพบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้าในตนเอง หน้าที่การงานและบริวารแวดล้อม
ในขณะเดยี วกัน การที่ตัง้ มน่ั อยู่ในศลี ธรรมและสัจธรรม ก็ยิ่งสง่ เสรมิ กาย วาจาและใจให้มีพลังงดงาม
ประสบความสำเร็จในชวี ิตมากย่ิงขึ้น เพือ่ ใหเ้ กิดความขลงั และความนา่ เช่ือถอื ในผลแหง่ การกระทำดี
ทั้งปวงทั้งหลายดังกล่าว ก็เสริมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นการเสริมสิริมงคลทำให้ทราบว่า
“คน ศาสนาและพิธีกรรม” เป็นฐานคิดชีวิตการดำรงอยู่ เป็นศูนย์รวมจิตใจของทุกชุมชนล้านนา
มาแต่อดีตกาล แนวคิดของคนล้านนาเกิดมาจากความศรัทธา ในพระพุทธศาสนาจากการได้ศึกษา
พระธรรมคําสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้มีความคิด ที่จะทำให้บ้านเมืองผู้คนในสังคม
ได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขดำรงตน อยู่ในศีลธรรมจึงน้อมนําเอาคำสั่งสอน ตามหลักธรรม
ของพระพุทธเจ้า มีพระรัตนตรัยทั้งสามประการคือ พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพและสังฆานุภาพ
มาผสมผสานเป็นพิธีสืบชะตาขึ้นมา เป็นความเชื่อที่ฝังลึกมาแต่พระพุทธศาสนา พิธีสืบชะตาหรือ
การสืบชะตาของล้านนา เป็นเรอ่ื งทฝ่ี ังแนน่ อยู่ในตัวบุคคลของล้านนา ถา้ หากว่าบคุ คลมีความเชื่ออยู่
ในตวั เองวา่ ส่ิงน้ันมปี ระโยชน์ กจ็ ะยดึ ถอื และดำรงความเชอื่ นั้นไว้ให้อยู่กบั สงั คมในชมุ ชน
ด้วยสาเหตุนี้ผู้วิจัยมีความสนใจ ที่จะศึกษางานวิจัยเรื่องสืบชะตา คติธรรม ความเช่ือ
และมีอิทธิพลต่อสังคมล้านนา โดยมีเหตุผลดังนี้จะศึกษาประเพณี ความเชื่อของชาวล้านนา
ที่ประชาชนชาวภาคเหนอื เช่น จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำพูน มีความแตกต่าง
หรือปฏิบัติในทิศทางเดียวกันหรือไหม ได้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นสมบัติ
อันล้ำค่าที่ชาวภาคเหนือ ได้รับเป็นมรดกตกทอดมาประเพณีและความเชื่อต่าง ๆ เหล่านนี้ได้แก่
ประเพณีสืบชะตาและความเชื่อในเรื่องคติธรรม ความเชื่อและมีอิทธิพลต่อสังคมล้านนา ความเชื่อ
ทางพระพุทธศาสนา ความเชื่อเร่อื งไสยศาสตร์ ความเช่อื ทางโหราศาสตร์ซง่ึ ประเพณีความเชื่อต่าง ๆ
แสดงให้เห็นถึงความ เป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือได้อย่างสมบูรณ์ ปฏิบัติเชื่อถือมานานจนกลาย
เป็นแบบอย่างความคิดหรือการกระทำ ที่ได้สืบต่อกันมาและยังมีอิทธิพล อยู่ในปัจจุบันซึ่งเป็น
ทย่ี อมรบั ของสว่ นรวมส่ิงใดเม่ือประพฤตซิ ้ำ ๆ กนั อยบู่ ่อย ๆ จนเป็นระเบยี บแบบแผนและสืบตอ่ กันมา
๓ ชัยปฐมพร ธนพฒั นป์ วงวัน, วัฒนธรรมศึกษา “เวียงเจ็ดลิน ”, ปที ่ี ๘ ฉบับท่ี ๑ (พฤษภาคม ๒๕๖๑),
หนา้ ๔.
๔
จนเป็นพมิ พเ์ ดียวกนั และยังคงอย่ไู ด้ เพราะมสี ง่ิ ใหม่เขา้ มาช่วยเสริมสร้าง สิ่งเก่าอยเู่ สมอและกลมกลืน
เขา้ กันไดด้ ีจนทำใหป้ ระเพณีเดมิ ยงั คงอยตู่ ่อไปได้๔
๑.๒ คำถามวจิ ัย
๑.๒.๑ การสบื ชะตาท่ีปรากฏในคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนา มีประวัติและความเปน็ มาอยา่ งไรบา้ ง
๑.๒.๒ การสบื ชะตามอี ิทธพิ ลต่อสังคมล้านนาในจงั หวัดเชยี งราย อย่างไรบ้าง
๑.๒.๓ การสบื ชะตา คติธรรม,ความเชอ่ื ในพิธสี ืบชะตามอี ย่างไรและในดา้ นไหนบา้ ง
๑.๓ วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั
๑.๓.๑ เพื่อศึกษาประวัติ ความเปน็ มาของประเพณีสบื ชะตาท่ปี รากฏในพระพุทธศาสนา
๑.๓.๒ เพ่ือศกึ ษาอทิ ธพิ ลของประเพณสี ืบชะตาที่มีต่อสังคมลา้ นนาในจงั หวดั เชยี งราย
๑.๓.๓ เพื่อวิเคราะห์คติธรรม ความเชื่อของพิธีสืบชะตาที่มีอิทธิพลต่อสังคมล้านนาของ
จงั หวดั เชียงราย
๑.๔ ขอบเขตการวจิ ยั
การวิจัยเรื่อง ประเพณีสืบชะตา : คติธรรม ความเชื่อและอิทธิพลต่อสังคมล้ านนา
ในจังหวัดเชียงรายเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Reserch) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจาก
เอกสาร (Document) และการเกบ็ ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณ์ มีรายละเอยี ดการวิจยั ดังต่อไปน้ี
๑.๔.๑ ขอบเขตด้านพน้ื ที่ อำเภอแมส่ าย จังหวดั เชยี งราย
๑. วัดพระธาตุดอยเวา อำเภอเมอื ง จังหวัดเชียงราย
๒. วดั ศรีเกดิ อำเภอเมือง จังหวดั เชยี งราย
๓. วัดดงหนองเปด็ อำเภอเมอื ง จังหวัดเชียงราย
๔. วดั พระสิงห์ อำเภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งราย
๕. วดั พระแกว้
๑.๔.๓ ขอบเขตดา้ นประชากร
๔ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ศาสนและความเช่ือของชาวล้านนา: สานักงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://art-culture.cmu.ac.th/Lanna/articleDetail/๘๕๗
[๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔].
๕
ประชากรท่เี กี่ยวข้องในการให้ขอ้ มูลในการวิจยั ไดแ้ ก่
๑. พระสงฆ์ จำนวน ๑๐ รูป
ก. พระรตั นมนุ ี,ผศ.ดร. ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย
ข. พระพุทธญิ าณมุนี เจา้ คณะจังหวดั เชยี งราย
ค. พระพทุ ธิวงศ์ววิ ัฒน์ ทป่ี รกึ ษาเจ้าคณะจงั หวัดเชียงราย
ง. พระครขู นั ติพลาธร เจ้าคณะอำเภอเมืองจังหวดั เชยี งราย
จ. พระครสู ิริธรรมนวิ ฐิ รองเจา้ คณะอำเภอเมอื งจังหวัดเชียงราย
ฉ. พระครปู ระยทุ ธ์เจติยานกุ าร เจา้ อาวาสวัดพระธาตุดอยเวา
ช. พระภาวนาโกศลเถร ว.ิ รองเจ้าคณะจงั หวดั เชยี งราย
ซ. พระครสู ริ ิกจิ จาทร รองเจ้าคณะอำเภอเมอื งเชยี งราย
ฌ. พระครูปรยิ ัตโิ กวิท เจา้ อาวาสวดั เจด็ ยอดพระอารามหลวง
ญ. พระครูบัณฑิตวราภมิ ณฑ์ เจา้ อาวาสวดั ดงหนองเป็ด
๒. ปราชญท์ ้องถ่ิน จำนวน ๕ คน
๑. พอ่ หนานทองอินทร์ คำไชยเทพ วัดพระสิงห์
๒. พ่อหนานนิพนธ์ อ้ายไชย วดั ศรีทรายมูล
๓. พ่อหนานบรพิ ัตร สุตะวงค์ วัดเชตุพน
๔. พ่อหนานธรี ะพงษ์ พิทกั ษ์กำพล วัดเชยี งยืน
๕. พอ่ หนานสมเกยี รติ ทิพย์ปา่ โมกข์ วัดศรีบญุ เรอื ง
๓. ผู้นำชุมชน จำนวน ๕ คน
๑. วัดพระธาตุดอยเวา อำเภอแม่สาย จังหวดั เชียงราย
๒. วดั ศรีเกิด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
๓. วัดดงหนองเปด็ อำเภอเมือง จงั หวดั เชียงราย
๔. วัดพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชยี งราย
๕. วัดพระแกว้ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
๔. ชาวบา้ นท่ีรว่ มทำพิธีสืบชะตา จำนวน ๑๐ คน
รวมทั้งหมด จำนวน ๓๐ รูป/คน
๑.๔.๕ ขอบเขตด้านระยะเวลา
ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาเริ่มทำการศึกษาและใช้ข้อมูลตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ –
พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ รวมระยะเวลาท่ศี ึกษา ๑๐ เดือน
๖
๑.๕ นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะที่ใช้ในการวิจัย
การวิจัยเรื่อง ประเพณีสืบชะตา : คติธรรม ความเชื่อและอิทธิพลต่อสังคมล้านนาใน
จังหวดั เชียงรายครงั้ นี้ ผู้วจิ ยั ได้นยิ ามศพั ทส์ ำหรบั การวิจัยไว้ดงั นี้
๑.๕.๑ การสืบชะตา หมายถงึ ประเพณีสบื ชะตาหรือสืบชาตา เป็นพธิ กี รรมท่ชี าวล้านนา
นิยมทำในโอกาสต่าง ๆ เพื่อต่อดวงชะตาหรือต่ออายุให้ยืนยาว มุ่งหวังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีความเจริญรุ่งเรืองและเพื่อความเป็นสิริมงคล พิธีสืบชะตาเป็นพิธีใหญ่
ที่ต้องอาศัยคนและเครื่องประกอบ พิธีจำนวนมากพิธีหนึ่งชาวบ้านอาจทำพิธีนี้ โดยเฉพาะหรือ
จัดร่วมกบั พธิ อี ื่น ๆ กไ็ ดแ้ ละอาจจัดข้ึนเพือ่ สืบชะตา ใหแ้ กค่ นทั้งฆราวาสหรือภกิ ษุหรือหมู่บ้าน เมือง
แม้กระทั่งยุ้งข้าวหรือเหมืองฝายก็ได้ แต่ต้องจัดขึ้นเพื่อสืบชะตาสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงอย่างเดียว
การสบื ชะตาแต่ละสิ่งอาจมีพิธีกรรม ท่แี ตกตา่ งกันออกไปบ้าง
๑.๕.๒ คติธรรม หมายถึง หลักธรรมที่ปรากฏในพิธีการสืบชะตา ประกอบไปด้วย
กรรม มงคล ๓๘ ประการ มงคลคอื เหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนนิ ชีวติ ซง่ึ พระพุทธเจ้า
ได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชน ได้พึงปฏิบัตนิ ำมาจากบทมงคลสูตร ที่พระพทุ ธเจ้าตรัสตอบปญั หา
เทวดาทถ่ี ามว่า คุณธรรมอันใดทที่ ำให้ชวี ติ ประสบความเจรญิ หรอื มี “มงคลชวี ติ ” ซงึ่ มี ๓๘ ประการ
๑.๕.๓ ความเชื่อ หมายถึง ความเชื่อในพุทธานุภาพและความเชื่อในธรรมมานุภาพ
ตลอดจนถึงความเชื่อในสังฆานุภาพ การเจริญน้ำพุทธมนต์นั้นเกิดจาก พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรง
ให้พระอานนท์ได้เจริญน้ำพุทธมนต์ ที่เมืองเวสาลีด้วยการประพรมน้ำพุทธมนต์ ทั่วพระนคร
เพื่อขจัดทุพภิกขภัย ที่เกิดขึ้นให้หมดไปและเพื่อให้เกิดสิริมงคลต่อชวี ติ โดยเชื่อว่าพระพทุ ธองคท์ รง
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง หมดกิเลสอาสวะทั้งปวง เป็นผู้มีอานุภาพมากดังนั้น พุทธศาสนิกชนที่มี
ความเชอื่ ศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา จงึ เชอื่ วา่ อานภุ าพของพระรัตนตรัย ๓ ประการ คอื
๑. อานภุ าพพระพุทธคุณ คตคิ วามเชื่อพุทธคุณในสงั คมไทย เชื่อว่าคาถาที่ใช้ในการเจริญ
นำ้ พทุ ธมนต์ทก่ี ล่าวถึงพทุ ธคณุ
๒. อานุภาพพระธรรมคุณ คติความเชื่อในธรรมคุณ ว่าหลักธรรมคำสั่งสอนของ
ว่าพระธรรมสามารถปกป้องคุ้มครองชีวิต ให้รอดปลอดภัยจากโรคภัย ที่เกิดขึ้นได้ซึ่งพระธรรมคุณ
มี ๖ ประการ
๓. อานุภาพพระสงั ฆคุณ คติความเช่ือต่อพระสงฆ์ในขอ้ วัตรปฏิบัติ ว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบตามหลักคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์นั้นถือว่าเป็นผู้สืบทอด
พระพุทธศาสนาซ่ึงคณุ พระสงฆม์ อี ยู่ ๙ ประการ
๑.๕.๔ มีอิทธิต่อสังคมล้านนา หมายถึง กลุ่มสังคมที่มีความเชือ่ ทางด้าน พุทธานุภาพและ
ความเชื่อทางด้านธัมมานุภาพ ตลอดจนถึงความเชื่อในสังฆานุภาพ ทางด้านพิธีการสืบชะตาที่จะ
เสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้หายป่วยจากโรคภัยไข้เจบ็ ในล้านนาประกอบไปด้วยจังหวัดเชียงราย
๗
ความเชื่อ เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นกบั มนุษย์และถือว่า เป็นวัฒนธรรมของมนุษย์อย่างหนึง่ ความเช่ือ
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นการบันดาลให้เกิดขึ้น จากอำนาจของ
เทวดาพระเจ้าหรือภูตผีปีศาจ ดังนั้นเมื่อเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ขึ้น เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด อุทกภัยและวาตภัยต่าง ๆ ขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตหรือความ
เป็นอยขู่ องมนุษย์เปน็ ต้น
๑.๖ ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ บั
๑.๖.๑ ได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของการสืบชะตา ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา
๑.๖.๒ ไดท้ ราบถงึ พิธกี ารสืบชะตา ท่มี อี ทิ ธิพลตอ่ สงั คมล้านนาในจังหวัดเชียงราย
๑.๖.๓ ได้วิเคราะห์คติธรรมความเชื่อของการสืบชะตา ที่มีต่อสงั คมล้านนาไปประยุกต์ใช้ใน
การดำเนนิ ชีวติ ของประชาชนในจงั หวดั เชยี งราย
บทที่ ๒
แนวคดิ และทฤษฎีงานวิจยั ท่ีเก่ยี วข้อง
ในบทที่ ๒ นี้ได้นำเสนอเกี่ยวกับแนวคิด และทฤษฎีงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่มีต่อประเพณี
และพิธกี รรมของล้านนาจำเปน็ อยา่ งยิง่ ท่ตี อ้ งศกึ ษาพระไตรปิฎก เพราะเปน็ ทีบ่ รรจพุ ระธรรมคำสอน
ของพระพุทธเจ้า นอกจากนั้นยังมีคัมภีร์สำคัญอื่น ๆ ที่หล่อหลอมให้เกิดเป็นประเพณีและพิธีกรรม
ท่เี นือ่ งดว้ ยวิถีชีวติ เกี่ยวขอ้ งซง่ึ มรี ายละเอยี ดดังนคี้ อื
๒.๑.แนวคดิ เก่ียวกับอำนาจพระปริตร
๒.๒ แนวคดิ เกย่ี วกับวฒั นธรรม ความเช่ือ และพิธกี รรม
๒.๓ แนวคดิ เกีย่ วกบั เรื่องการสืบชะตา
๒.๔ แนวคดิ เกย่ี วกบั เรื่อง วัฒนธรรมประเพณีลา้ นนา
๒.๕ แนวคดิ เกย่ี วกบั เรื่อง ภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่นิ
๒.๖ แนวคิดการประยกุ ต์ใช้หลกั ธรรมในการสืบชะตาฯ
๒.๗ แนวคิดหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
๒.๘ ทฤษฎีเกยี่ วกบั จติ วิทยาดา้ นสังคม
๒.๙ งานวจิ ัยท่เี ก่ียวขอ้ ง
๒.๑.แนวคิดเก่ยี วกบั อำนาจพระปริตร
แตเดิมคําวา “มนต” เป็นแตการบริกรรมหรอื พร่ำบนภาวนาเฉพาะตัว เพื่อคุมครองปองกัน
ตนเองของพระภกิ ษุสามเณรเทานนั้ ดงั ปรากฏในพระสุตตันตปฎก อังคุตตรนกิ ายวา เมอ่ื ภกิ ษรุ ปู หนึ่ง
ถูกงูกัดมรณภาพ จึงมีพุทธานุญาตใหแผเมตตา (เมตฺเตน จิตฺเตน ผรตุ) ไปยังพญางูทั้ง ๔ ตระกูล
เพื่อเปนการคุ้มครองปองกันตนเอง๕ หรือในพระสุตตันตปฎก ขุททกนิกายชาดกวา นกยูงทองคํา
ทำพระปริตรคุมครองตนเอง โดยใชคําวา ร่ายวิชชา (วชิ ชฺ ํ ปริชปปฺ ตวฺ า) หรอื ร่ายวิทยามนต (มนฺตวิชฺชํ
ปรวติ ฺเตตวาฺ )๖
คําวา “มนต” มาจากภาษาบาลีวา มนฺต ภาษาสันสกฤตวา มนฺตร เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ที่ตอง
อาศยั การสวดหรือบริกรรมพร่ำบน จงึ จะทำใหเกดิ ฤทธานุภาพ๗
๕ อ.ํ จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๖๗/๑๑๐-๑๑๒.
๖ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๑๗/๒๖.
๗ พระมหาชลทิช จันทรหอม, “การศึกษาวิเคราะหพิธีสวดมนตในพระพุทธศาสนาเถรวาท : ศึกษา
เปรียบเทียบความเช่ือของนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหิดล”, วิทยานิพนธอักษรศาสตรมหาบัณฑิต.
(สาขาวิชาศาสนาเปรยี บเทยี บ บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๗), หนา ๑๔.
๙
“มนต” ในพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน ใหความหมายไววา “มนต คือคํา ศกั ด์ิสิทธ์ิ
คําสำหรับสวด คาํ สำหรับเสกเปา่ ”๘
พระธรรมปฎก ไดใหความหมายไวในพจนานุกรมฉบับประมวลศัพทวา มนต หมายถึง
คําที่เชอ่ื ถอื วาศกั ดส์ิ ิทธิ์ คําสำหรับสวด คาํ สำหรบั เสกเปา (มักใชกบั ศาสนาพราหมณ)๙
หลวงวิจิตรวาทการ ได้ใหความหมายของมนต ไว ว า “มนต ” หมายถึง มนต คาถา
ของพระพุทธศาสนาที่เรียกวา “พุทธมนต” ขอความหรือวิธีการใชนั้น เปนไปในทางที่ดีงามในทาง
ที่จะใหเกิดความเมตตาอารีมีไมตรีจติ ซึ่งกันและกันไมประทุษรายเบียดเบียนกัน เปนไปเพื่อสันติสขุ
ของมนษุ ยและสัตวทง้ั หลายท่ัวหนา๑๐
นอกจากน้ี พธิ สี วดมนตหรือการสวดมนต์ยังหมายถงึ พลังอำนาจ ดงั มีคําวิเคราะห ที่ปรากฏ
ในคัมภีรสัททนีติปกรณ (ธาตมาลา) วา มหาเตชวนตตาย ฺ สมนฺโต สตฺตานํ ภยํ อุปทฺทวํ อุปสคฺค ฺจ
ตายติ รกฺขตีติ ปรติ ฺต๑ํ ๑.แปลวา ทีเ่ รยี กวา “ปริตต” เพราะมีวเิ คราะหวา สิ่งที่ปองกนั รกั ษา ความกลวั
อันตรายและอุปสรรคของสัตวท้ังหลายโดยรอบ เพราะความมีเดชานภุ าพ
พิธีสวดมนต หมายถึง การสาธยายมนต ของพระภิกษุและสามเณร โดยสาธยาย
เปนภาษาบาลีที่ปรากฏในพิธีกรรม ทางพระพุทธศาสนา ทั้งท่ีเปนงานมงคลและงานอวมงคล
ทางพระพุทธศาสนาถือกันวาเปน “การสวดพระปริตร” ซง่ึ เปนบทสวดท่ีปรากฏในคมั ภีรจตุภาณวาร
บาลี๑๒
พระปริตร เป นช่ือของพระพุทธมนต ที่มีอานุภาพ เพื่อปองกันรักษาตานทาน ดังที่
พระโบราณจารย ไดเลือกสรรพระสตรู พระคาถาและพระพุทธวจนะ จากพระสุตตันตป ฎก
รวมเป็นคัมภีรปริตร สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ไดแสดงทัศนะวา
บทสวดมนตเจ็ดตํานานและสิบสองตํานาน ที่ใชกันอยู่ในปจจุบันสันนิษฐานวา คงเกิดหลังคัมภีร์
สารัตถสมุจจัยและมีเคาเงื่อน ท่ีจะสันนิษฐานไดอีกวาคงจะเกิดขึ้น โดยพระประสงคของพระเจา
แผนดิน จงึ ไดเรยี กนามตามภาบาลีวา “ราชปริตฺต” มปี รากฏสองอยางคือ จลุ ราชปรติ ต (เจ็ดตํานาน)
๘ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕, พิมพครั้งท่ี ๒,(กรุงเทพฯ : อักษรเจริญ ทัศน), หนา
๖๒๘.
๙ พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมฉบบั ประมวลศพั ท. (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั ,๒๕๓๘), หนา ๒๑๓.
๑๐ พลตรหี ลวงวิจิตรวาทการ.“มหัศจรรยทางจิต”, พมิ พครั้งที่ ๗, (กรงุ เทพมหานคร : เสรมิ วิทยบรรณา
คาร๒๕๐๗), หนา ๖๙.
๑๑ พระอัครวงศาจารย. “สัททนีติปกรณํ (ธาตุมาลา)”, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพภูมิพโลภกิ ขุ, ๒๕๒๓), หนา
๓๐๑.
๑๒ พระมหาชลทิช จันทรหอม, “การศึกษาวิเคราะหพิธีสวดมนตในพระพุทธศาสนาเถรวาท :ศึกษา
เปรยี บเทียบความเช่อื ของนกั ศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหิดล”,หนา ๗
๑๐
และมหาราชปริตต (สิบสองตำนาน)๑๓ ประเทศพม่าเรียกคัมภีรปริตต ประเทศไทยเรียกเจ็ดตํานาน
และสบิ สองตาํ นานประกอบดวย
๑) มงคลสตรู ๒) รัตนะปริตต ๓) กรณียเมตตาปริตต ๔) ขันธะปรตติ ๕) โมระปริตต
๖) ธะชคั คะปรตติ ๗) อาฎานาฎยิ ะปริตต
ถาเปน ๑๒ ตํานาน จะมีบทสวดประกอบดวย ๑) มงคลสูตร ๒) รัตนะปริตต๓) กะระณียะ
เมตตาปริตต ๔) ขันธะปรตติ ๕) โมระปริตต ๖) วัฏฏะกะปรตติ ๗) ธะชัคคะปริตต ๘) อาฎานาฎิยะ
ปริตต ๙) องคุลีมาละปรติ ต ๑๐) โพชฌังคะปริตต ๑๑) อะภะยะปรตติ ๑๒) ชะยะปริตต
๒.๑.๑.บทสวดพระปริตรในพิธีสบื ชะตาอายุวฒั นกุมาร
บทสวดต างๆ ในสมัยพุทธกาล นอกจากจะเน นถึงบทสวดระลึกถึง พระพุทธคุณ
พระธรรมคุณ พระสังฆคุณหรือพระรัตนตรัยแลว ตามหลักฐานที่ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก
อังคุตตรนิกาย บทสวดพระปริตรในครั้งพุทธกาลนั้น คงเปนแตการบริกรรมหรือพร่ำบนภาวนา
เฉพาะตัวเพื่อคุ้มครองปองกันตนเอง กลาวคือเมื่อภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดมรณภาพ จึงมีพุทธานุญาต
ใหแผ่เมตตา (เมตฺเตน จิตฺเตน ผรตุ) ไปยังพญางทู ั้ง ๔ ตระกูล เพื่อเป็นการคุมครองปองกันตนเอง๑๔
และปรากฏในพระสุตตันตปฎกชาดกวา นกยูงทองคําทำพระปริตรคุมครองตนเอง โดยใชคําวา
รายวิชชา (วิชฺชํ ปริชปฺปตฺวา) หรือรายวิทยามนต (มนฺตวิชฺชํ ปริวตฺเตตฺวา)๑๕ หรือในอรรถกถา
ไดกลาวถึงวิธีสวดพระปริตรวา เปนการกลาวบริกรรม (ปริตฺเตสฺส ปริกมฺมํ กเถตพฺพํ)๑๖ ภายหลัง
การสวดมนตที่เปนพระปริตร เปนไปในลักษณะการกลาว ธรรม (ธมฺมํ ภณติ) ใหผูอื่นฟง เชน
ในอรรถกถาอาฏานาฏิยสูตร ไดกลาวไววาไมพึงสวดอาฏานาฏิยสูตร กอนพึงสวดสูตรเหลานี้
คือ เมตตสตรู ธชัคคสูตรและรตนสูตร ตลอดเจ็ดวัน (ปฐมเมว หิ อาฏานาฏิยสตุ ฺตํ น ภณิตพฺพํ เมตฺต
สุตฺตํ ธชคฺคสุตฺตํ รตนสุตฺตนตฺ ิ อิมานิ สตฺตาหํ ภณิตพฺพํ)๑๗ ดังนั้น การสวดพระปริตรในสมัยพุทธกาล
นาจะเปนไปในลักษณะการกลาวบรกิ รรม การสรรเสรญิ คณุ พระรตั นตรัยและ การกลาวธรรมดงั กลาว
นอกจากนี้ในคัมภรี มิลินทปัญหา ซึ่งเป็นคัมภีรท่ีทานติปฏกจูฬาภยเถระ รวบรวมการปุจฉา
วิสัชชนาของทานพระนาคเสน และพระเจามิลินทบันทึกไว เมื่อราว พ.ศ. ๕๐๐ มีการกลาวถึง
พระสูตร ๖ พระสูตรที่สําคัญ คือ ตันตสูตร ขันธสูตร โมรสูตร ธชัคคสูตร อาฏานาฏิยสูตรและ
๑๓ อ.ํ จตกกฺ . ๒//๖๗/๑๑๐-๑๑๒.
๑๔ อ.ํ จตกกฺ . ๒//๖๗/๑๑๐-๑๑๒.
๑๕ ขุ.ชา. ๒๗/๑๗/๒๖.
๑๖ ท.ี อ. ๓/๒๘๒/๑๖๑.
๑๗ ท.ี อ. (ไทย) ๓/๒๘๒/๑๖๑
๑๑
อังคุลิมาลสูตร วาเปนบทสวดมนตท่ี พระพุทธองคทรงรับรอง๑๘ อนึ่งการที่พระพุทธเจาทรงอนุญาต
ใหสวดมนตเพ่ือปองกันรักษาไดแลว ยังแสดงใหเห็นถึงอำนาจทางบวก ในเรื่องเมตตาท่ีปรากฏ
ในบทสวดมนตอีกดวย อํานาจทางจิตนี้มีพลานุภาพทำใหแมแตศัตรูที่โหดราย ยอมออนนอมลงได
ประสิทธิภาพน้ีได้ รับการรบั รองเปนอยางดีในหลายๆ ตอนของพระไตรปฎกเมตตา เปนขอหน่ึงของ
พรหมวหิ าร ๔ และพระพทุ ธองคทรงยกยอง
คณุ คาของการเจรญิ เมตตาอยูเสมอๆ ความจริงเมตตานสิ ังสสตู ร กลาวถึงอานิสงสของเมตตา
ไว ๑๑ ประการ๑๙ หน่ึงในนั้นกค็ ือ คนผูเจริญเมตตาจะไมถูกทําราย ใหไดรับอันตรายจาก ไฟ ยาพษิ
และอาวุธ ซึ่งมีความหมายตรงกับขันธสูตรเชนกัน ดังมีหลายตัวอยางที่ภิกษุพนอันตรายดวย
อํานาจของเมตตา เชน คัมภีรวินัยปฎกไดกลาวถึงอานิสงส ของเมตตาวาชางนาฬาคิรีตัวดุราย
ที่พระเทวทัตปลอยมา เพื่อหวังใหทํารายพระพุทธเจา วิ่งตรงไปยังพระองคที่กําลังบิณฑบาตอยู
ทำใหพระสาวกทั้งหลายมีพระอานนทเปนตน หวาดกลัวกราบทูลขอใหพระองค ทรงหลบไปแต่
พระองคก็ไมหลบไปโดยให้เหตุผลวา พระพุทธเจายอมไมปรินิพพาน ดวยการทํารายของผูอื่น
พรอมกับทรงแผพระเมตตา ไปยงั ชางน้ันดวยพระเมตตา ทาํ ใหชางเชื่องลงอยางฉับพลนั ๒๐
ดังกล่าวนี้แสดงใหเห็นวา การเจริญเมตตามีผลจากการสวดพระพุทธมนต นอกจากนี้
ขันธสูตรที่พระพุทธองคทรงแนะนํา ใหภิกษุใชสวดเพ่ือเจริญเมตตา อันมีประสิทธิภาพแผ่ไปยัง
ตระกูลงูทั้งหมดทุกชนิด เพื่อสร้างความม่ันใจใหกับเหลาภิกษุ ผูอยูปาที่ตองการความคุมครอง
ปองกันเปนอยางดีจากอันตรายซึ่งไดพบอยูเสมอๆ นั้น ครั้นเวลาผานไปพระดํารัส ที่ตรัสตักเตือนนี้
ไดกลายเปนส่ิงที่นิยมกันอยางแพรหลาย ในปจจุบันถึงแมบทสวดของขันธสตรู จะเปนพระสูตร
ท่ีมีความเก าแก ที่สุด ในบรรดาพุทธมนต แตกรณีเมตตาสูตร กลับมีความสําคัญมากกว า
เพราะกําหนดการเจริญเมตตา อันไมมีพรมแดนไปสูสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไมวาจะเปนมนุษย อมุษย์สัตว
ท้งั ที่รูและไมรู ไกลและใกล เช่อื งหรือดุราย
ท่มี ีในอดีตปจจุบันและอนาคต โดยไมมีขีดจํากัดในขณะที่บทสวด ของขนั ธสูตรกำหนดเพียง
สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวเทานั้นคือ สัตว์เลือยคลานดังน้ันดวยความกวางขวาง ของกรณียเมตตสูตรน้ี
จึงไดกลายเป็นบทสวดสำคัญ ในพิธีสวดมนตในพิธีกรรมทั้งปวง ในกาลตอมาเก่ียวกับบทสวดมนต์
ของพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา บทสวดมนตสามารถป้องกันความตายไดหรือไมนั้น ในคัมภีร์
มิลินทปัญหา พระเจ ามิลินทไดตรัสถามถึงอานุภาพ ของบทสวดมนต ตางๆ ในพิธีกรรมวา
๑๘ มลิ นิ ฺทป หฺ า ๔/๑๖๓-๑๖๖.
๑๙ อ.ํ อ. (ไทย) ๓/๑๕/๓๔๘
๒๐ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๕๒/๑๙๖.
๑๒
มีประสิทธิภาพในการสงเสริมและคุมครองทั้งแกตนเองและบุคคลอื่นอย่างไร ดังคําถามใน
มิลนิ ทปญหา ๓ ประเด็น ที่พระเจามลิ นิ ท์ตรัสถามคือ๒๑
๑. พิธสี วดมนตสามารถปองกนั ความตายไดหรือไม
๒. พธิ ีสวดมนตมปี ระสิทธภิ าพไดอยางไร
๓. พธิ ีสวดมนตใชไดผลเมอื่ ใดและเม่ือใดท่ีใชไมไดผล๒๒
ผูที่เช่ือถือตามเหตุผลตางๆ ก็ยังคงมีขอสงสัยตอความสัมพันธ ระหวางพิธสี วดมนตและกรรมดังนนั้
จึงมีคาํ ถามวาพิธีสวดมนตและพิธีสืบชะตา ในพระพทุ ธศาสนาสามารถ จะหลกี เลี่ยงความตายไดหรือ
ไมและหากทําไดจะทําไดอยางไร ผูมีความสงสัยจึงไดพากันสืบคนกลไก ของการประกอบพิธี
กรรมการตอ อายุและการสืบชะตา แตดูเหมือนวาคนผูซ่ึงไดสวดมนต จะไดรับผลตามความเชื่อใน
ประสทิ ธภิ าพของพธิ กี รรมอยูบาง สวนผูที่ปรารถนาจะรูวาภายใตสถานการณเชนใด พธิ กี รรมจึงมีผล
และไมมีผลการแสวงหาคําตอบ พรอมกับคําอธิบายทางประเพณีนิยม ที่ไดใหไวแสดงใหเห็นวา
พิธีสืบชะตาไดกลายเปนพิธีกรรมทางศาสนา ท่ีประกอบขึ้นในชวงเวลาที่วิกฤติ เก่ียวกับชีวิตดัง
เชน อายุวัฒกุมารเปนตน ผูที่มีความตองการพนทุกข หรือกําลังประสบทุกขตางก็ตองการ ดังนั้น
ปญหาทงั้ ๓ ประเดน็ พระนาคเสนจงึ ตอบไว ดงั นี้
๑. พิธีสวดมนตสามารถปองกันความตาย ที่ยังไมถึงเวลาไดเปรียบเหมือนขาวตนออน
ตองหมนั่ รดน้ำจึงจะงอกงามมสี เี ขียวชะอุมได
๒. พิธีสวดมนตมีประสิทธิภาพไดดวย การสวดภาวนาและผูสวดตองไมมีกรรมมาขัดขวาง
ไมมกี ิเลสเกดิ ขนึ้ ในขนั ธสันดานและตองมจี ติ เชื่อมนั่ ในประสิทธภิ าพ
๓. พิธีสวดมนตก็เปรียบเหมือนยา มีประโยชนทั้งการปองกันและรักษา ดังนั้นในขณะที่
อันตรายจะเกดิ หรอื ไมก็ใชไดผล แตจะใชไมไดผลเมอ่ื บุคคลที่ใชเปนคนทุศลี
๒.๑.๒. จดุ มุงหมายของการสวดมนต์พระปรติ ร
การสาธยายมนตมีจุดมุงหมาย ทั้งภายนอกและภายใน การสวดเพื่อเปนเคร่ืองคุมครองปอง
กันอนั ตรายภายนอก เปนตนวา โจร ยกั ษ สตั วเดรัจฉาน เปนการสวดเพื่อปองกนั ภยั ภายนอก สวนป
องกันอันตรายภายใน คอื โรคภัยไขเจ็บ จึงมีชอ่ื เรยี กวา “พระปรติ ร” พระปริตรเปนชื่อของพระพุทธ
มนต ที่มีอานุภาพเพ่ือปองกัน รักษา ตานทาน กลาวได วามีปรากฏในยุคกําเนิดแรกของพิธีกรรม
เชน ในวนิ ัยปฎก จฬู วรรค กลาวถงึ พิธีสวดมนตไว้วา ภิกษุรูปหนึ่งถกู งูกัดมรณภาพและเมื่อเรื่องราวนี้
๒๑ ขุ.ขุ.อ. (ไทย) ๙/๒๒๓/๒๐-๒๑.
๒๒ มิลนิ ฺทป ฺหา, ๔/๑๖๓/-๑๖๖.
๑๓
ไดทราบถงึ พระศาสดาพระองคตรัสวาเร่ืองอนั โชครายน้ี ไมควรเกิดขน้ึ เลย หากวาพระภิกษรุ ปู นน้ั จะ
ไดฝกฝนการแผเมตตาแกงทู งั้ มวล๒๓
ดงั นน้ั พระองคจึงทรงมพี ระบญั ชาวา ภิกษุพงึ ฝกแผเมตตาแกงูทุกประเภท และแกตนเองดวย
ดวงจิตอันประกอบดวยเมตตา เพื่อประโยชนแกการคุมครองตนเอง และมีอีกเหตุการณหนึ่งดังท่ี
ปรากฏในพระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรควา ทาวเวสสวัณมหาราชกราบทูลพระผูมีพระภาค
ใหทรงทราบมียักษเปนจํานวนมาก ที่ไมเลื่อมใสพระองคเพราะประพฤติตามคําสอนของ
พระองคไมไดอาจทํารายพระสาวกของพระองค์ ที่อาศัยเสนาสนะปาบาง ปาทึบอันสงัดบาง ดังนน้ั
ทาวเวสสวัณมหาราช จึงขออนุญาตใหพระภิกษุทั้งหลาย เรียนมนตเครื่องรักษาช่ือวาอาฏานาฏิยะ
เพื่อใหยักษเกิดความเลื่อมใส หันมาคุมครองรักษาไมมาเบียดเบียน พระองคทรงอนุญาตตามท่ี
ทาวเวสสวัณขอ๒๔
ทําใหเห็นวามนตเพื่อปองกันรักษา ได้รับอนุญาตจากพระพุทธเจา ใหมีการเรียนการสอนได
จึงเปนที่มาของการสวดพระปริตร เพ่ือปองกันรักษาปรากฏจนถึงปจจุบัน ดังท่ีพระโบราณจารย์ได
เลือกสรรพระสูตร พระคาถาและพระพุทธวจนะ จากพระสุตตันตปฎกรวมเปนคัมภีรปริตร เชน
ที่ลังกาเรียกวาจุลราชปริตรและมหาราชปริตร ประเทศพมาเรียกคัมภีรปริตต ประเทศไทยเรียก
เจ็ดตํานานและสิบสองตํานาน การสาธยายมนตยังเปนการกลาวถึง คุณของพระรัตนตรัยและ
การเจริญเมตตาภาวนา ผูหมั่นสาธยายจึงไดรับผลานิสงสเปนตนวา ประสบความสวัสดี ความเจริญ
รงุ เรือง ไดรบั ชยั ชนะ แคล้วคลาดจากอุปสรรคอันตราย มสี ุขภาพดี มีอายุยืน ดงั ที่พระพุทธเจ้าปทุมุต
ตระตรัสสอน พระสุภตู ิวา “บรรดาภาวนาทั้งหลาย เธอจงเจริญพุทธานุสสติภาวนาที่ยอดเยีย่ ม คร้ัน
เจริญพุทธานุสสติแลวจักทําใจใหบริสุทธิ์ได”๒๕ และพระพุทธเจาตรัสอีกวา “อมนุษยที่ตองการจะ
ทํารายผูเจริญเมตตา ยอมประสบภัยพบิ ตั เิ องเหมือนคนใชมือจับหอกคม จะไดรบั อนั ตรายจากการจับ
หอกนนั้ ”๒๖
จะอยางไรก็ตามพึงเขาใจวา พระพุทธศาสนาไมไดยอมรับอํานาจ ของบทสวดมนตหรือ
เวทมนตโดยตรงดังมีหลกั ฐานปรากฏ ในเตวชชสูตร ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค๒๗ ทแ่ี สดงใหเห็นถึงความ
ไรผลของบทสวดดวยการเปรียบเทียบอปุ มาวา บทสวดทกลาวถึงเทพเจา เชน พระอินทร พระโสมะ
พระวรุณ พระอิสานะ พระปชาปติ พระพรหม พระมหิทธและพระยะมะ เป็นสิ่งไรประโยชนบุคคล
ผูปรารถนาจะเข้าถึงความเปนเทวดา จําเป็นตองปฏิบัติคุณงามความดีท่ีเหลาเทวดา ไดเคยประกอบ
๒๓ ว.ิ จู. ๗/๒๕๑/๑๔-๑๕.
๒๔ ที.ปา.๑๑/๒๗๖/๒๑๙-๒๒๐.
๒๕ ขุ.อป. ๓๒/๓๖/๑๒๗.
๒๖ สํ.นิ. ๑๖/๒๒๗/๒๕๑.
๒๗ ที.ส.ี ๙/๓๗๖/๓๖๕.
๑๔
ไวการสวดมนต์ถึงความเปนเทวดา ไมไดทําใหคนเปนเทวดาไดเลย แตสามารถเป็นเทวดาไดดวย
การประพฤติตามคุณธรรมของเทวดา แมจะมีทัศนคติเปนเชนนี้ กับบทสวดมนตพระพุทธศาสนา
ก็ไมไดปฏิเสธพลังอํานาจ ของคําสวดที่เปลงออกมาจากจิต ที่เปนสมาธิซึ่งจัดไดวาเปนมงคลการ
สวดขอธรรมโดยมีจุดประสงค เพ่ือการรักษาข้อความในพระคัมภรี เพือ่ ฝกสมาธิจิต เพื่อเจริญเมตตา
ภาวนา เป นสิ่งที่พระสงฆ ได ทํามานับแต โบราณกาล จะเห็นได ว าลักษณะและพิธีกรรม
ในพระพุทธศาสนามีจุดเริ่มตน ตั้งแตสมัยพุทธกาลแตเปนพิธีกรรม ที่ยังไมสลับซับซอนมากนักและ
มงุ เน้นใหเกดิ ความเปนมงคลแกชวี ิตผูประกอบพธิ ีซ่ึงตองใช
ความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของผูประกอบพิธี รวมถึงสาระของบทสวดต่างๆ ลวนสงผลใหเกิด
พลังอำนาจดวย เชน ขันธสูตร สวดเพื่อเจริญเมตตาไปยังตระกูลงูทุกชนิด รตนสูตรสวดเพื่อปองกัน
เมืองเวสาลีจากภยันตราย กรณียเมตตสูตร สวดเพ่ือแผเมตตาไปยังเทวดาทั้งหลาย โพชฌังคสูตร
สวดเพ่ือรกั ษาความป่วยไข้ ของพระเถระคิริมานันทสูตร สวดเพ่ือรักษาอาการไขของคริ ิมานันทเถระ
เป็นตน ซึ่งลักษณะของพิธีกรรมการสวดมนตน้ี เปนเพียงการสาธยายคุณของ พระพุทธ พระธรรม
และพระสงฆ เพ่ือให้เกิดอนุสสติแกผูฟงมุงเนนใหเกิดสมาธิจิต เปนเอกัคคตารมณ์คือมีอารมณ
เปนหนึ่งเดียวแนวแน่อันจะก่อใหเกิด อานุภาพสัมฤทธิ์ผลได้ สำหรับการสวดมนตนั้น กลาวโดยสรปุ
มีวัตถปุ ระสงค ๒ ประการ คอื
๑. สวดธรรม เพื่อรักษาพระธรรมวนิ ยั (ศาสนา)
๒. สวดพระปรติ ร เพ่ือคุมครองปองกันอนั ตราย๒๘
๒.๑.๓ เหตุปจจยั ทส่ี งผลใหอายุวฒั นกมุ ารรอดพนจากความตาย
๒.๑.๓.๑ ปริตรตานุภาพ การสวดพระปริตตในพิธีกรรมสืบตออายุ ใหอายุวัฒน
กุมารนอกจาก จะมีการสวดมนต์ เพื่อรักษาธรรมของพระพุทธเจาแลว ยังเปนการสวดเพ่ือปองกัน
คุมครองรักษาดังกลาว ดวยสําหรับผูสวดและผูฟงนั้น การสวดตองมีคุณสมบัติตามหลักการ
ของพระพุทธศาสนาจึงจะมีอานุภาพไดเต็มท่ี ดังหลักฐานวาคุณสมบัติของผูสวดมนต์ ในพิธีกรรม
ตางๆ จะตองประกอบดวยองค ๓ ประการ คือ
๑. ผสู วดจะตองตงั้ จิตใจใหมัน่ คง สวดมนตไมเห็นแกลาภสกั การะ
๒. ผูสวดจาํ เปนตองสวดใหถกู อกั ขระ บท พากย อยางชดั เจนไมผดิ เพยี้ น
๓. ผูสวดจะตองรูและเขาใจความหมายของบทที่นํามาสวดอยางแจมแจง๒๙
สวนคุณสมบตั ิของผูฟงสวดมนต จะตองประกอบดวยองค ๓ ประการ คอื
๒๘ สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ, ประชุมพระนิพนธเกี่ยวกับตํานานทางพระพุทธศาสนา. ตํานาน
พระปรติ ร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พรุงเรอื งธรรม , ๒๕๑๔ ), หนา ๒๐๗
๒๙ ท.ี อ. (ไทย) ๓/๒๘๒/๑๖๐.
๑๕
๑. โรคภัยและอันตรายที่เกิดข้ึนแกผูฟงสวดมนตนั้น จะตองไมใชโรคภัยและอันตราย
ที่เกิดจากกรรม คือไมใชเกิดมาจากวิบากของกรรม ท่ีตนทําไวในอดีตเพราะกรรมท่ีทาํ ไวน้ัน ไมมีใคร
สามารถหามได
๒. ผฟู งนะนจะตองเปนสมั มาทิฏฐบิ คุ คล
๓. ผูฟงจะตองเปนผูที่มีศรัทธาอย่างแน่วแนวา อานุภาพของพุทธมนตที่ฟงนั้น จะสามารถ
กาํ จดั โรคภยั และอันตรายใหหายไดจรงิ ๓๐
ดวยคุณสมบัติดังกลาวนี้จะเห็นไดวา มีลักษณะที่ทั้งผูสวดและผูฟงสวด ตองมีจิตเปนสมาธิ
และตั้งมั่นในธรรม โดยผูสวดจะตองมีความมัน่ คงเปลงเสียงสวด ดวยจิตที่มุงมั่นอยางจรงิ ใจแสดงถึง
ความเมตตาและสัตยาธิษฐาน เพราะการสวดและบริกรรมตามหลัก ของพิธีสวดมนตนั้นเทากับ
เปนการนําเอาอานุภาพและพระพุทธคุณ ของพระพุทธเจานําเอาสัจจะ ของพระธรรมและนําเอา
เมตตากรุณา ของพระอริยสงฆทั้งปวง ซึ่งเปรียบเสมือนมหามิตรผูยิ่งใหญ ใหมาปรากฏแกใจและ
ใหกําลังใจแกเราดวย เมื่อดวงใจประกอบดวย พระพุทธคุณและสัจจธรรม ทั้งมีความเมตตากรุณา
แผออกไปกวางขวาง โดยไมมขี อบเขตเชนนนั้ ก็ยอมทรงอานุภาพ สามารถเปล่ียนใจศตั รูใหกลับกลาย
เปนมติ รหรือทาํ ศัตรูใหหมดฤทธิ์ หมดอํานาจไมอาจทําอันตรายได กอใหเกดิ ความปลอดภยั ไปชั่วกาล
นานดังนัน้ พระปริตรจึงตองอยูบนอานภุ าพของสง่ิ ตอไปน้คี ือ
๑. อานุภาพของสจั จะ
สัจกิริยา แปลวา การกระทําสัจจะ หมายถึงการอางพลังสัจจะหรือการอาง เอาความจริง
เปนพลังบันดาล๓๑ เปนแรงดลบันดาลหรืออํานาจอัศจรรย์ สําหรับชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ในขณะที่ไดทําการสิ่งใดๆ ก็ตามเมื่อมุงหวัง จึงอธิษฐานยกเอาคุณธรรมที่ตน ไดประพฤติบําเพ็ญมา
หรือมีอยูตามความเปนจริงขึ้นอางเปนพลังอํานาจ สําหรับขจัดปดเปาภยันตราย ที่ไดประสบในเมื่อ
หมดหนทาง แกไขซึ่ง เปนวิธีการที่ถือวาไมเสียหายตอสัมมาวายามะ แตประการใดและไมเปนการ
ขอรองวิงวอนต่ออํานาจศักด์ิสิทธิ์นอกศาสนา ในทางตรงกันขามกลับเปนการเสริมย้ำ ความมั่นใจใน
คุณธรรมและความเพียรพยายามของตนและทําใหมีกําลังใจเขมแข็งย่ิงขึ้น อีกท้ังไมตองยุงเกี่ยวกับ
วัตถุหรือ พิธีที่จะเปนชองทาง ใหขยายกลายเปนรูปแบบที่ฟนเฝอออกไปได สัจกิริยามีตัวอยาง
ปรากฏ ในบทสวดมนตหลายๆ บทดังตัวอยางตอไปน้ี
๑) โพชฌังคสูตร เปนบทสวดที่กลาวถึงองคแหงการรูแจง มีการอางสัจวาจานั้นมาพิทักษ์คุ
มครองใหมีความสวัสดี บันทึกวาสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยูท่ี วัดเวฬุวันกรุงราชคฤห
๓๐ มิลินทฺ ป หฺ า. ๔/๒/๑๖๖.
๓๑ พระราชวรมุนี (ประยุทธ ปยุตฺโต), พุทธธรรม, (กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๒๙.),
หน้า ๔๘๑.
๑๖
พระมหากัสสปเถระไดอาพาธหนกั ทถ่ี ำ้ ปิปผลิคหู าพระพุทธเจา ไดเสดจ็ เยีย่ มและแสดงโพชฌงคเจ็ด
เมื่อพระเถระสดับโพชฌงคเหลานี้ไดเกิดปติ วาโพชฌงคเจ็ดเคยปรากฏแกเรา ดังมีขอความแสดงถงึ
การอางสจั จวาจาดงั นี้ “ผูบําเพ็ญยอมรูแจงบรรลุนิพพานและตรัสรูไดดวยสัจวาจาน้ี ขอขาพเจาจงมี
ความสวสั ดที ุกเมอื่ เทอญ”๓๒
๒) อังคุลิมาลสูตร พระผูมีพระภาคทรงแนะนําทานวา เปนผูที่สามารถบรรเทาความทุกข
ของหญิงนั้นไดทานจึงไปชวยเหลือ โดยการอางสัจจวาจาว่า “ดูกอนนองหญิงนับแตเราเกิดโดย
อรยิ ชาติน้แี ลวเราไมเคยคดิ ปลงชีวติ สัตว์เลย ดวยสจั วาจาน้ีขอความสวสั ดีจงมีแก่เธอ”๓๓
๓) วัฏฏกปริตร เปนบทสวดมนตที่กล่าวถึงสัจจวาจา ของพระพุทธเจาท่ีเคยกระทํา
เมื่อเสวยพระชาติเปนนกคุม แลวอางสัจวาจานั้นมาพิทักษคุมครอง ใหพนจากอัคคีภัยบันทึกไววา
สมัยหนึ่งพระพุทธเจารวมกับภิกษุสงฆ์ เสด็จจาริกอยูแควนมคธ พระพุทธเจาตรัสวาไฟปานี้มิใช่
ดบั ลงดวยอานุภาพของตถาคตในภพนี้ แตดบั ลงดว้ ยอานภุ าพสัจจวาจา ทเ่ี ราเคยกระทำในชาติที่เกิด
เปนนกคุมแล้วตรัสบอกแกภิกษุทั้งหลายว่า “ เมื่อเราทําสัจวาจาเชนนแลว ไฟที่ลุกโชติชวงอยูก็ดับ
ไปเปนพ้ืนที่ถึง ๑๖ กรีสะในทันที ดังไฟถูกน้ำดับไปฉะนั้น สิ่งที่เสมอกับความสัตยของเราไมมีน้ี
เปนสจั บารมขี องเรา”๓๔
การอางสจั กิริยาเปนเครื่องแสดง ใหเ้ ห็นวาทกุ คนตองพ่ึงตนเองฝกฝนตนเอง ใหเปนที่พ่ึงของ
ตนเพราะหากทุกคนกลับไปอา้ งถงึ ส่ิงศักดส์ิ ิทธิ์ ซึง่ เปนทพี่ ง่ึ ในระบบเดมิ เชน การบนบานการออนวอน
การสาปแชง ซงึ่ เปนอำนาจนอกพระพุทธศาสนา จะกลายเปนการเพอฝนหรอื นกั สรางวมิ านในอากาศ
พระพุทธศาสนาสอนใหรูจัก ประกอบเหตุให้สมกับผลท่ีไดรับความดี ที่เราทำยอมสงผลดีตอตนเอง
ดังมพี ระพุทธพจนแสดงสรุปไว้วา “ลำพงั ความปรารถนาจะทำใหจิตใจพนจากอาสวะ คือ กิเลสท่ีดอง
ในสันดานไมไดเหมอื น แมไกกกไขปรารถนาลกู ไก ออกจากฟองอยางเดียวยอมไมสําเร็จ”๓๕
๒. อานุภาพของเมตตา
พระผูมีพระภาคเจ้าทรงสอนภิกษุทั้งหลายเสมอวา “การเจริญเมตตาของภิกษุแมเพียง
ระยะเวลาลัดนิ้วมือเดียว ชื่อวาไดทําตามคําสอนของพระองค ไดกระทําตามโอวาทของพระองค
อาหารของชาวเมืองท่ีบริโภคไปไมเสียเปลา ไมตองกลาวถึงวาทํามาก”๓๖ ดังนั้นพิธีสวดมนตจึง
๓๒ ส.ํ ม. ๑๙/๑๙๕/๑๒๘.
๓๓ ม.ม. ๑๓/๓๔๗/๔๒๑.
๓๔ ขุ.ชา. ๒๗/๓๕/๙.
๓๕ ส.ํ ข. ๑๗/๑๐๑/๑๙๓.
๓๖ อํ.เอก. (ไทย) ๒๐/๑๒/๕๔.
๑๗
เปนการเจริญเมตตาที่แผไปยังสรรพสัตว ซึ่งมีเหตุการณจํานวนมากท่ีปรากฏในคัมภีร บาลี
ที่พสิ ูจนประสทิ ธิภาพการเจรญิ เมตตา
๑) กรณียเมตตสูตร ไดอธิบายวิธีการปฏิบัติในการแผเมตตาไววา สมัยหนึ่งเมื่อพระพุทธเจา
ประทบั อยูทว่ี ดั พระเชตวนั กรุงสาวัตถี มีภกิ ษุ ๕๐๐ รูป เรียนกรรมฐานจากพระพทุ ธองค์แลว เดนิ ทาง
ไปแสวงหาสถานทีป่ ฏบิ ตั ิธรรม พวกทานไดถามถงึ ไพรสณฑแหงหนึ่ง ปรกึ ษากันวาสถานท่ีนี้เหมาะสม
แก่การเจริญสมณธรรม จึงตกลงใจอยูจำพรรษาในที่นัน้ ชาวบานมีจิตศรัทธาสรางกุฏิถวายใหพํานกั
รูปละหลังและอุปฏฐากดวยปจจัยส่ี มิไดขาดแคลนเม่ือฝนตกพวกทาน จะเจริญกรรมฐานที่กุฏิ
คร้ันฝนไมตกก็จะมาปฏิบัติธรรมที่โคนไม รุกขเทวดาที่สิงสถิตอยูที่ตนไม ไมสามารถอยูในวิมานได
เพราะผูทรงศีลมาอยูใตวิมานของตน จึงตองพาบุตรธิดามาอยูบนพื้น เบื้องแรกคิดวาพระภิกษุ
คงจะอยูชั่วคราวก็ทนรอดูอยู เมื่อรูวามาจำพรรษาตลอดเดือน จึงไมพอใจคิดจะขับไลใหกลับไป
ในระหวางพรรษา ฉะน้ันจงึ พยายามหลอกหลอนดวยวิธตี างๆ พวกภกิ ษไุ ดหวาดหว่ันตกใจตออารมณ
ที่นากลวั เหลานน้ั ไมสามารถปฏิบตั ิธรรมโดยสมควรได จงึ ปรกึ ษากนั วา ไมควรจะอยู่ในสถาน
ทน่ี ตี้ อไปควรจะกลับไปจำพรรษาหลัง ในสถานท่อี น่ื จากนั้นจึงรบี เดนิ ทางกลบั เมื่อมาถึงวัดพระเชตวนั
ไดเขาเฝาพระพุทธเจากราบทูลเร่ืองนี้ แต่พระพทุ ธเจาทรงเล็งเหน็ วา สถานที่เดมิ เหมาะสมแลวจึงทรง
แนะนาํ ใหพวกทานกลบั ไปพรอมกบั ใหพ้ ุทธมนตเพ่อื เจริญเมตตาแกรกุ ขเทวดา เมอ่ื ภิกษไุ ดเรียนมนต
จากพระพุทธเจาแลว จึงเดินทางกลับไปยังสถานที่เดิมกอน จะเขาราวปาพวกทานไดเจริญเมตตา
โดยสาธยายมนตนี้ อานุภาพแหงเมตตานี้ทำให้รุกขเทวดา มีจิตออนโยนมีไมตรีจึงไมเบียดเบียน
เหมอื นกอน ทั้งยงั ชวยปรนนิบัติและคุมครองภยั อน่ื ๆ อกี ดวยภกิ ษุเหลาน้ันไดพากเพียรเจริญเมตตา
ภาวนาแลว เจรญิ วปิ สสนาภาวนา จนไดบรรลุอรหัตตผลภายในพรรษานนั้ เอง๓๗
๒) ขันธสูตร เป นบทสวดมนต ที่กล าวถึงการเจริญเมตตาแก พญางูทั้ง ๔ ตระกูล
และเจริญเมตตาแกสรรพสัตว์มีบันทึกไววา เพ่ือพระพุทธเจาประทับอยูทีว่ ัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี
มีภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัด ภิกษุทั้งหลายไดกราบทูลพระพุทธเจา เม่ือพระองคทรงทราบจึงรับสั่งวา
ภิกษุถูกงูกัดเพราะไมไดแผเมตตา แกพญางูทั้ง ๔ ตระกูล ผูแผเมตตาแกพญางูเหลานั้นจะไมถูกงูกัด
และตรัสสอนใหแผเมตตาแกพญางูทั้ง ๔ คือ งูตระกูลวิรูปกษ งูตระกูลเอราบถ งูตระกูลฉัพยาบุตร
และงตู ระกูลกัณหาโคดม๓๘
ดวยเหตทุ ี่พระปริตรมอี านุภาพมาก ดังกลาวในเร่ืองนม้ี ีคาํ อธบิ าย ทพี่ ระนาคเสนไดกลาวไววา
บทสวดพระปรติ รมไิ ดคุมครองไดทกุ คนไป โดยเฉพาะคน ๓ จาํ พวก คอื คนท่ีกรรมเขามาขัดขวางคน
ที่มีกิเลสเขามาขัดขวางและคนที่ไมเช่ือ ในพุทธมนตนี้ยอมไมไดรับการคุมครองจากมนตเลย๓๙
๓๗ อํ.เอก. (ไทย) ๒๐/๑๒/๕๔.
๓๘ อ.ํ จตกุ ฺก. (บาลี) ๒๑/๖๗/๑๑๐-๑๑๒, วิ.จู. (ไทย) ๗/๒๕๑/๘.
๓๙ มลิ นิ ท. ๔/๒/๑๖๖.
๑๘
และทานพระพุทธโฆษาจารย ไดกลาวไวเชนกันวาผูสวดมนต์กลาวผิดอรรถบาง ผิดบาลีบางหรือ
วาสวดไมคลองพทุ ธมนต์ จึงไมมีอานุภาพถงึ แมผูท่ีเลาเรียนมนตแล้ว สวดเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ
พุทธมนตก็หาอํานวยประโยชนไม ทานผูที่ตั้งใจจะชวยใหพนทุกข มีเมตตาจิตเปนเบื้องหนาแลว
สวดนั่นแลพุทธมนตจึงมีอานุภาพมาก๔๐ นอกจากน้ีทานยังไดอธิบายถึงอานุภาพ ของพิธีสวดมนตไว
ในคัมภีรวิสทุ ธิมรรควา “ธรรมดาวาพทุ ธเขต มี ๓ อยาง คือ ชาติเขต อาณาเขตและวิสัยเขต.สำหรบั
อาณาเขตเกิดมีได้ หมน่ื แสนโกฏจิ กั รวาลเปนที่สดุ ทเี ดียว”๔๑
เพราะฉะนั้น เขตของพิธีสวดพระปริตรทั้งหลาย ที่จะแผไปนั้นนอกเหนือไปจากมณฑล
พิธีแลวสามารถแผอานุภาพปกปกรักษา ไปได้ถึงแสนโกฏิจักรวาลทีเดียว การสวดหรือบริกรรม
พร่ำบนภาวนาพระพุทธมนต จงึ มุงหมายใหเกิดประสิทธภิ าพมอี ำนาจมเี ดช มอี านุภาพปองกนั อปุ ทวนั
ตรายภัยพบิ ตั ิ ๓ ประการ คอื
๑. ทุกข คือ โทษที่เข้าไปเบียดเบียน ไดแก ทุกขจากความเกิด ทุกขจากอินทรียมีตา
เปนตน ทุกข์จากความหายนะของโภคสมบัติ หมูญาติ ทุกข ที่เกิดจากโรคภัยไขเจ็บ ทุกขที่เกิดจาก
พระราชาบีบคนั้ กดข่ี ทกุ ขจากทเี่ กดิ จากโจรภยั จากน้ำทวม จากลม จากไฟ จากสัตว เปน็ ตน
๒. ภัย คือ ความนากลัวตาง ๆ ไดแก ราชภัย โจรภัย ภัยจากคนราย ภัยจากปศาจ
อัคคีภัย อุทกภัย ภัยจากศาสตราวุธ ภัยจากการทุจริต ภัยคือมิจฉาทิฏฐิ ภัยจากสัตวดุรายตาง ๆ
มีชางดุ ววั ดุ เปนตน
๓. โรค คือ สิ่งที่เสียดแทงรางกาย ไดแก โรคที่เกิดจากอวัยวะตาง ๆ มีโรคหูเปนตน
โรคไอ โรคทมี่ ดี เี ปนสมุฏฐาน โรคที่เกดิ ตามฤดกู าล โรคท่เี กิดจากอดตี กรรม เปนตน๔๒
๓.อานุภาพของพระรัตนตรัย
พระปรติ รเปนชื่อของพระพุทธมนต์ ทม่ี ีอานุภาพเพ่ือปองกนั รักษา ตานทาน ดงั ที่กลาวแลว
โดยเป นบทสรรเสริญคุณของ พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ รวมเรียกวา พระรัตนตรัย
ซึ่งแปลวาวัตถุที่บันดาล ความช่ืนชมยินดีอยางยิ่ง ใหเกิดแกจิตของสัปบุรุษทั้งหลาย ชื่อวา “รตน”
สามารถแยกวเิ คราะหออกได ๓ ศัพท คือ ร-ต-น คือ “ วัตถุชื่อวา ร เพราะวา อันบุคคลพึงยินดหี รอื
เปนเหตุยินดีของบุคคล ชื่อวา ต เพราะวา ขามคือลวงเลยทุคคติไดแกเปนเหตุใหถึงสรณะ ชื่อวา น
เพราะวาเม่ือบุคคลถึงสรณะแลว ยอมนําไปสูสุคติและนิพพาน รวมความวา ชื่อวา รตนะ เพราะ
เปนวัตถุที่นายินดีเปนเครื่องขามทุคติ ใหถึงสรณะและนําไปสูสุคติและนิพพานได”๔๓ ดังน้ัน
๔๐ ท.ี อ. (ไทย) ๓/๒๘๒/๑๖๑.
๔๑ วสิ ุทธ.ิ ๒/๔๔.
๔๒ ปรติ ตทปี นี, ๒๕๑๗ : ๔๖-๔๙.
๔๓ มณสิ ารมฺชสุ า. ๑/๑/๒๗.
๑๙
พระรัตนตรยั น้ี จึงเปนสรณะอันประเสริฐ นาเคารพสักการะทรงคณุ านุภาพ ดังปรากฏในคัมภีรฎกี า
แหงทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ไวถึง ๕ ประการ คือ “พระรัตนตรัยทรงคุณานุภาพ ๕ ประการ คือ
เปนวัตถุที่นาเคารพ มีคุณคามาก ไมมีรตนะใดจะเทียมเทาประสบพบเหน็ ไดยากยิ่ง มิใชวิสยั ของคน
ชั้นต่ำจะถงึ ได ดังน้ัน ทานจึงเรยี กวา รตนะ”๔๔
ผูเขาถึงพระรตนตรัยเปนสรณะ ยอมไดรับภวสมบัติและโภคสมบัติ เปนอานิสงสตามท่ี
พระผูมีพระภาคตรัสไวในขุททกนิกายวา “ผูใดถึงแลวซ่ึงพระพุทธเจา พระธรรมและพระสงฆ
วาเปนสรณะผูนั้นยอมเห็นอริยสัจจ ๔ ดวยปญญาอันชอบ กลาวคือ ทุกข เหตุใหเกิดทุกข์
อสงั ขตธรรมอนั เปนที่กาวล่วงเสีย ซ่ึงทกุ ข์และอริยมรรคอันประกอบดวยองค์ ๘ อัน ชวยใหเขาถึงซึ่ง
ธรรมอันเปนท่ดี บั ทกุ ข สรณะน้ีแลเป็นสรณะอันเกษม สรณะนี้เปนสรณะอันสงู สดุ บคุ คลอาศัยสรณะน้ี
แลวยอมหลดุ พนจากทุกขท้งั ปวงได้”๔๕
บทสวดมนตที่กลาวถึงพระรัตนตรัย ก็เพ่ือใหเกิดความเปนสิริมงคลและเพ่ือให เกิด
พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติและสังฆานุสสติ ตอผูสวดและผูฟงแตละบท ไดยกเอาพระพุทธพจน
ในพระไตรปฎกมาสวดหลายตัวอยางไดแก บทนมัสการ คําวา “นโม” หมายถึงกิริยาอาการที่แสดง
ความนอบนอมท่ี แสดงออกทางไตรทวารหมายถึง พระพุทธรัตนโดยเฉพาะไมวาในพิธีใดก็ตาม
กอนอื่นก็จะตองต้ังนโมกอนแลว จึงสวดบทอ่ืนตอไปเปนการแสดงออกในแง ของความเคารพบูชา
อยางสูงสุด โดยการเปลงอุทานวาจาวา “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส” ๓ ครั้ง
ดังมตี วั อยางในพระไตรปฎก ท่ีแสดงใหเหน็ ถึงความนอบนอมโดยการต้งั นโม เชน พรหมายุพราหมณ
พอไดรับทราบถึงกิตติศัพทวา พระพุทธเจามีพระมหาปุริสลักษณะครบ ๓๒ จากอุตตรมานพศิษย์
ของตนถึงกับเปลงอุทานวาจาวา นโมถึง ๓ ครั้ง ๑๒๐ หรืออารมทัณฑพราหมณ พอไดทราบถึง
กิตติศัพท์ของพระพุทธเจา จากพระมหากัจจายนเถระถึงกับแสดงคารวะ ดวยการเอาผาเฉวียงบา
คุกเขานอมอัญชลี พรอมกับเปลงอุทานวาจาวา “นโม” ถึง ๓ ครั้ง ๑๒๑ และโดยเฉพาะในรตนสูตร
ซึ่งเปนบทสวดมนต ที่แสดงใหเห็นถึงคุณความดีของพระรัตนตรัย คือ ความดีของพระพุทธเจา
พระธรรมและพระสงฆและนํามาซึ่ง ความเปนสิริมงคลดวยอานุภาพพระรัตนะนั้น รตนสูตรแสดง
ใหเห็นถึงการยกยองความศักดิ์สิทธิ์ ของพลังอํานาจคุณความดีที่บริสุทธิ์ของ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ ที่มีอานุภาพในการทำใหเมืองเวสาลีพนจากภัยทั้ง ๓ คือ ทุพภิกภัยขาวยากหมากแพง
ภัยจากอมนุษยและภัยจากโรคระบาด ดวยเหตุที่อายุวัฒนกุมาร อยูทามกลางอานุภาพแหง
พระรัตนตรัยเปนเวลาถึง ๗ วัน ๗ คืน ยักษและภยันตรายทั้งปวง จึงไมอาจจะกล้ำกรายคุกคาม
ชวี ติ ของอายวุ ฒั นกมุ ารได้ จึงสงผลใหอายวุ ัฒนกุมารรอดพนจากมรณภยั
๔๔ ท.ี สี.ฎกี า. (ไทย) ๑/๑๗.
๔๕ ขุ.เถรี. (ไทย) ๒๖/๔๓๔/๓๙๑.
๒๐
๔.ปุญญานภุ าพ
การนิมนตพระสงฆหมนุ เวยี น มาสวดพระปริตตลอดท้ัง ๗ วนั ยอมมีการทำบญุ ใหญกลาวคือ
ไดถวายอาหารบิณฑบาตแดพระสงฆ ไดฟงสวดพระปริตตซ่ึงเปนบทสวด สรรเสริญคุณพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ อาศัยความเมตตาของพระพุทธเจ า ไดทราบขอปฏิบัติที่ดีงามของชีวิต
ในพระสูตรต างๆ ได รับความอนุเคราะห จากพระสงฆ ผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงกล าวไดวา
อายุวฒั นกมุ ารอยูทามกลางอานุภาพแหงบุญ ดวยพลังอาํ นาจผลแหงกุศลกรรมใหม่ ที่ทุกฝายไดรวม
กันอนเุ คราะหแกทารกนอยจึงไดอานสิ งส คือ รอดชีวิตและพนเงื่อนไขเวลา ที่อวรุทธกยักษ ที่มีสิทธ์ิ
จะจบั ทารกกนิ ไดในท่สี ดุ
๒.๒ แนวคดิ เกีย่ วกบั วฒั นธรรม ความเชอื่ และพธิ กี รรม
ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕ วัฒนธรรม หมายถึง ลักษณะ
ที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติและ
ศีลธรรมอันดีของประชาชน ๔๖
ฉลอง ภิรมย์รัตน์ ได้ให้ความหมายของคำว่า วัฒนธรรม หมายถึง ผลผลิตของสังคมที่มี
ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ที่สามารถให้คนเรียนรู้ได้ถ่ายทอดได้ เป็นอุดมคติได้ตอบสนอง
ความต้องการของมนุษย์ได้ วัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม๔๗ ได้แก่ ความเชื่อ ค่านิยม ขนบธรรมเนียม
ประเพณี ปทัสถานของสังคม ภาษา นิสัยในรูปแบบต่าง ๆ ฯลฯ ที่เป็นรูปธรรม๔๘ ได้แก่การก่อสร้าง
ต่าง ๆ เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย ศิลปะต่าง ๆ ทรัพย์สิน สมบัติต่าง ๆ จะเสื่อมไปตาม
กาลเวลาและส่งิ แวดล้อมเสมอ หรืออาจมีการปรับปรงุ ให้เหมาะสมกับสภาพสงั คม ในชว่ งใดช่วงหน่ึง
ของเวลา๔๙ วัฒนธรรม หมายถึง ความประพฤตทิ ่ีสบื ทอดต่อกนั มา เป็นแนวทางสำหรับคนทจ่ี ะปฏิบัติ
วัฒนธรรมอาจอยู่ ในรปู ของสญั ลักษณห์ รอื ประเพณีหลายเรือ่ ง ไมว่ ่าการใส่บาตร การบวชการนับถือ
เจ้า นับถือผีหรือดา้ นศาสนาทุกอย่าง บ่งชี้ให้เห็นว่าคนหนึ่งควรจะทำอะไร ในสังคมมีหนา้ ที่อย่างไร
๔๖ พระราชบญั ญัติ วฒั นธรรมแห่งชาตพิ ุทธศกั ราช พ.ศ. ๒๔๘๕ ,ราชกิจจานุเบกษา ๒ (กันยายน ๒๔๘๕)
: ฉบบั ที่ ๒, หนา้ ๕๕.
๔๗ สพุ ตั รา สภุ าพ, สังคมและวัฒนธรรมไทย : คา่ นยิ ม ครอบครวั ศาสนา ประเพณี, (กรุงเทพมหานคร :
ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๒๘), หน้า ๘.
๔๘ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๕๗/๓๒-๓๓, ๕๘/๓๓, ข.ุ อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๗๓/๔๓๐.
๔๙ ฉลอง ภริ มยร์ ตั น์, จติ วทิ ยาสังคม, (กรงุ เทพมหานคร : ประจักษ์การพิมพ์, ๒๕๒๑), หนา้ ๒๔.
๒๑
มีแบบแผนความประพฤติอย่างไร เมื่อรวมกันแล้วจะต้องเป็นระบบ เพราะถ้าไม่เป็นระบบเรา
จะปฏบิ ัตไิ ม่ได้๕๐
สุพตั รา สุภาพ กล่าวว่าวัฒนธรรม มีความหมายครอบคลมุ ถงึ ทุกส่ิงทุกอย่างอันเป็นแบบแผน
ในความคิดและการกระทำ ที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือ
สังคมใดสังคมหน่ึงมนุษย์ ได้คิดสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ วิธีการในการปฏิบัติการจัดระเบียบตลอดจน
ความเชอ่ื ความนิยม ความร้แู ละเทคโนโลยตี า่ ง ๆ ในการควบคุมและใช้ประโยชนจ์ ากธรรมชาติ ๕๑
ส่วนความหมายประเภทหนึ่ง ของวัฒนธรรมในสาขามนุษยศาสตร์ คำว่า “ประเพณี”
พระยาอนุมาน ราชธน ไดน้ ิยามความหมายไวด้ ังน้ี ๑. ประเพณี คือ ความประพฤติทชี่ นหมู่หน่ึงอยู่ใน
ทแ่ี หง่ หนง่ึ ถอื เปน็ แบบแผนกันมาอย่างเดียวกันและ สบื ตอ่ มาช้านาน ถ้าใครในหมู่ประพฤติออกนอก
แบบ ก็ผิดประเพณีหรือผิดจารีตประเพณี ๒. ประเพณี คือแบบมาตรฐานของพฤติกรรม ที่สมาชิก
ในสงั คมถูกบังคับให้ปฏิบตั ิตามสบื ตอ่ กันมา ๓. ประเพณีไทยหมายถึงนสิ ัย ของสงั คมชาวไทยซึ่งได้รับ
มรดกตกทอดกนั มาแต่เกา่ กอ่ นเรียกว่า ประเพณเี ดมิ หรอื ประเพณี ปรมั ปราคือประเพณีสืบตอ่ ฯ กัน
มาตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Tradition” ส่วนประกอบของประเพณีประเพณีมีพิธีการ เป็นระเบียบ
แบบแผน ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ๔ ประการคือ
๑. แนวคิด (Ideal) คือหลักการความเชื่อ อันเปรียบเสมือนปรัชญาแห่งสังคมนั้น ฯ ซึ่ง
แนวคิดเหล่านี้ เป็นท่ียอมรบั และเชื่อถอื กันมาหลายช่ัวคน วา่ เปน็ สงิ่ ดงี ามท่ีจะต้องกระทำ เพื่อความ
สงบสุขและความเป็นสิริมงคล ของบุคคลครอบครัวและสังคม ซึ่งแนวคิดน้ีอาจเป็นปรัชญาทางลัทธิ
ศาสนาความเชอ่ื ในภูติผีวิญญาณ ความเช่อื ในอำนาจเหนือธรรมชาติ
๒. พิธีกรรม (Ritual) เป็นแบบแผนของกิจกรรม เพื่อให้เป็นไปตามแนวความคิด (Ideal)
พิธีกรรมแต่ละพธิ ีจะมกี รรมวธิ ีเฉพาะกิจ ซ่ึงไม่เหมอื นกันในพิธมี กั ประกอบด้วย
- เจา้ พิธกี รรม คือผูด้ ำเนินกรรมวธิ ีได้แก่ พระภกิ ษุ หมอผี คนทรง เจ้าพิธีน้ีจะเป็นผดู้ ำเนนิ
พิธกี รรม ให้ไปส่จู ุดมงุ่ หมายอยา่ งมแี บบแผน เป็นตวั กลางในการตดิ ต่อระหว่างวิญญาณกบั มนษุ ย์
- กรรมวิธี คือขบวนการในการจัดพิธกี รรมนั้น ฯ
๓. สมาชกิ (Member) ในกิจประเพณีแต่ละอย่างจะต้องมีสมาชิกรว่ มในกิจประเพณี
๕๐ อคนิ ระพพี ฒั น,์ ม.ร.ว., วฒั นธรรมพนื้ บ้าน : กรณอี ีสาน, (กรุงเทพมหานคร : พรนิ้ ตงิ้ กรุฟ๊
,๒๕๓๒), หนา้ ๒๒.
๕๑ สพุ ตั รา สภุ าพ, สงั คมและวฒั นธรรมไทย ค่านิยม ครอบครวั ประเพณี, กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นา
พานิช ,หนา้ ๑๖.
๒๒
๔. การเฉลิมฉลอง (Celebration) กิจประเพณีบางอย่างอาจมีไม่ครบทั้งองค์ประกอบ
ทั้ง ๔ อย่าง สำหรับประเพณีที่มีสมาชิกมาก ฯ เจ้าพิธีอาจลดความสำคัญลงไป จนเกือบไม่ต้อง
มีเจ้าพิธรี ปู แบบของประเพณีอาจแบ่งได้ดังนี้
๔.๑ พิธีกรรมชีวิต ได้แก่พิธีกรรมของบุคคลตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น การแต่งงาน การ
ฌาปนกิจ
๔.๒ พิธีกรรมสำหรับอาชีพ ส่วนใหญ่เป็นวัฒนธรรมประเพณี ที่เกี่ยวกับการเพาะปลูก
เพราะเป็นอาชีพดง้ั เดมิ ของคนในท้องถนิ่ ชุมชนโดยเฉพาะการทำนา ซ่งึ ถือเป็นอาชพี หลักของคนไทย
มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทำให้เกิดประเพณีต่าง ๆ ขึ้นมากมาย เช่น ประเพณีทำขวัญข้าวซ่ึง
เปน็ ประเพณีท่สี ำคัญตอ่ ชาวนา เพราะเป็นการบูชาพระแมโ่ พสพ ขอให้ขา้ วในนามคี วามอุดมสมบูรณ์
ไดผ้ ลผลติ ดี ประเพณีการละเล่น เกย่ี วกบั อาชีพทำนาหลังจากทำนา จะมกี าร้องเพลงและการละเล่น
เพื่อเป็นการผ่อนคลาย จากการทำงานหนักจึงเกิดการละเล่นต่าง ๆ เช่น การเต้นกำรำเคียว เพลง
เกยี่ วขา้ ว
๔.๓ พิธีกรรมทางศาสนา ในแต่ละศาสนาจะ มีวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกันทำให้
คนในแต่ละชมุ ชนที่นับถอื ศาสนาตา่ งกัน มีการดำเนนิ ชีวิตและวัฒนธรรมแตกตา่ งกัน ชุมชนที่นับถือ
พระพุทธศาสนา จะมีการทำบุญตักบาตรในตอนเช้าหรือการไปทำบุญที่วัด ในวันสำคัญทางศาสนา
นอกจากนี้ยงั มีประเพณีเกี่ยวกบั พระพุทธศาสนา เช่น ประเพณีวันวิสาขบูชา ประเพณีตักบาตรเทโว
ประเพณแี หเ่ ทยี นพรรษา
๔.๔ งานเทศกาลต่าง ประเพณีไทยเกี่ยวกับเทศกาลลอยกระทง ประเพณีในการสร้าง
บ้านปลูกเรอื นวตั นธรรมและประเพณตี า่ ง ๆ ของไทย ฯ ๕๒
ความเชื่อและพิธีกรรมประเพณีความเชื่อ เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ความ
โดดเด่นของภาคนั้น ๆ และประเพณีความเชื่อเป็นรากฐานความมั่นคงของชาติ เพื่อเป็นสิ่งที่จะ
แสดงออกถึงความเป็นสังคมที่มีการอยู่ร่วมกัน และการอยู่ร่วมกันโดยมีวัฒนธรรมประเพณี
เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ การปฏิบัติตนในสังคมและสังคมสามารถ ปฏิบัติยึดถือปฏิบัติตามประเพณี
ในภาคนั้น ๆ เป็นสิ่งที่แสดงถึงขนบธรรมเนียมที่ดี ที่คนไทยต้องปฏิบัติสืบต่อกันไป สืบเนื่องมาจาก
อดีตจนถึงปัจจุบันและประเพณีในภาคเหนือ ของชาวล้านนานั้น มักมีประเพณีที่หลากหลาย
เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของภาคเหนือที่มีความภาคภูมิใจในภาคที่มีวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามสืบ
ทอดความเป็นชาติ อันยาวนานจึงมีศิลปะ วัฒนธรรมประเพณีความเชื่ออันมากมาย ที่ต้องอนุรักษ์
ฟื้นฟูและสืบทอด ให้คงความเป็นมรดกคู่ภาคเหนือ วัฒนธรรมความเชื่อประเพณี จะมีส่วนประกอบ
๕๒ สุพัตรา สุภาพ, สังคมและวฒั นธรรมไทย ค่านยิ ม ครอบครวั ประเพณ,ี กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ
,หนา้ ๑๖.
๒๓
ของความเชื่อและเป็นความเกี่ยวเนื่องกัน อย่างแยกออกจากกันไม่ได้ ประเพณีความเช่ือ
ของชาวล้านนาท่ีสำคัญและเปน็ เอกลกั ษณ์ ของชาวล้านนาคือประเพณีงานปอย ประเพณีส่งเคราะห์
ประเพณีสืบชะตาและความเชื่อในเร่ือง การปลูกบ้าน ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ความเชื่อเรื่อง
ไสยศาสตร์๕๓
ความเช่อื ทางโหราศาสตร์และยังมี ประเพณคี วามเชือ่ อีกมากมาย ที่โดดเดน่ ของชาวล้านนา
ที่ประชาชนในภาคเหนือ จะต้องสืบทอดประเพณีและอนุรักษ์ประเพณีน้ี ให้คงความเป็นเอกลักษณ์
ของภาคเหนือชาวลา้ นนาสืบตอ่ ไป ประเพณีความเชื่อเปน็ สง่ิ ท่ีเก่ียวพัน กบั มนษุ ย์ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย
ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมีประเพณี ความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและการ
ดำรงชวี ิตของประชนในพ้นื ท่ี โดยเฉพาะในพื้นท่ขี องภาคเหนือ ของชาวล้านนามปี ระเพณีความเชื่อที่
มีการสบื ทอดตอ่ กันมาแต่ช้านาน คอื ประเพณคี วามเชอ่ื ของชาวลา้ นนา ประเพณีของชาวลา้ นนา เช่น
ประเพณีงานปอย ประเพณีสง่ เคราะห์ ประเพณีสืบชะตา เปน็ ตน้ ซึง่ ทุกประเพณลี ้วนเกยี่ วข้องกับการ
ดำรงชีวิตประจำวัน ของมนุษย์ในส่วนของความเชื่อ ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ เช่น การปลูกบ้าน
ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ความเชอื่ เร่อื งไสยศาสตร์ ความเช่อื ทางโหราศาสตร์เป็นตน้ จะเห็นได้
ว่าประเพณคี วามเช่อื นน้ั ลว้ นแลว้ แตม่ คี วามสำคัญตอ่ การดำรงชวี ิตของมนุษย์ เปรยี บเสมือนเป็นสิ่งท่ี
ยึดเหนี่ยวรั้งจิตใจ ของมนุษย์ไว้และประเพณีความเชื่อ ยังเป็นเครื่องบ่งบอกถึงชนชาติเผ่าพันธ์ุ
แต่ดั้งเดิมของมนุษย์ ประเพณีเป็นกิจกรรม ที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เป็นเอกลักษณ์และ
มีความสำคัญต่อสังคม เช่น การแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรม ศาสนา ศิลปกรรม กฎหมาย คุณธรรม
ความเชือ่ ฯลฯ อันเปน็ บ่อเกิด
ของวัฒนธรรมของสังคมเชื้อชาติต่าง ๆ กลายเป็นประเพณีประจำชาติและถ่ายทอดกันมา
โดยลำดบั ประเพณมี ีบอ่ เกิดมา จากสภาพสงั คมธรรมชาติ ทศั นคติ เอกลกั ษณ์ ค่านิยม โดยความเชื่อ
ของคนในสังคม ต่อสิ่งที่มีอำนาจเหนือมนุษย์นั้น ๆ เช่น อำนาจของดินฟ้าอากาศและเหตุการณ์ ที่
เกิดข้นึ โดยไมท่ ราบสาเหตุต่าง ๆ ฉะนนั้ เมือ่ เวลาเกดิ ภัยพิบัตขิ นึ้ มนษุ ย์ จงึ ต้องออ้ นวอนร้องขอ ในสิ่งท่ี
ตนคิดว่าจะชว่ ยได้พ้นภัยนั้นผ่านพ้นไปแล้ว มนุษย์กแ็ สดงความรู้คุณต่อสิ่งนั้น ๆ ด้วยการทำพธิ บี ูชา
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ตามความเชื่อประเพณี ความเชื่อเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความ เป็น
เอกลักษณ์ความโดดเด่นของภาคน้นั ๆ และประเพณี
ความเชื่อเป็นรากฐานความมั่นคงของชาติ เพื่อเป็นสิ่งที่จะแสดงออกถึง ความเป็นสังคม
ท่ีมกี ารอย่รู ่วมกนั และการอยู่ร่วมกัน โดยมีวัฒนธรรมประเพณี เป็นสง่ิ ยดึ เหน่ียวจิตใจและการปฏิบัติ
ตนในสงั คมและสังคมสามารถปฏบิ ตั ยิ ดึ ถือ ปฏบิ ัตติ ามประเพณีในภาคนั้น ๆ เปน็ สง่ิ ทแ่ี สดงถึง
๕๓ จรูญ แดนนาเลิศ, “ประเพณี ความเช่อื ของวถิ ชี ุมชนลา้ นนา”, โปรแกรมวิชารัฐประศาสน
ศาสตร์ สานักวิชาบริหารรัฐกจิ , (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย, ๒๕๖๒), (อดั สาเนา).
๒๔
ขนบธรรมเนยี มท่ดี ี ทคี่ นไทยต้องปฏบิ ตั ิสืบต่อกันไป สบื เนือ่ งมาจากอดีตจนถึงปจั จุบนั และประเพณี
ในภาคเหนือของชาวล้านนาน้ัน มักมีประเพณีทีห่ ลากหลายเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะของภาคเหนือที่มี
ความภาคภูมิใจในภาค ที่มีวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาน สืบทอดความเป็นชาติอันยาวนาน จึงมี
ศลิ ปะวัฒนธรรมประเพณีความเชือ่ อนั มากมาย ที่ตอ้ งอนรุ กั ษ์ฟ้ืนฟแู ละสบื ทอด ให้คงความเป็นมรดก
คภู่ าคเหนอื วฒั นธรรม ความเช่ือประเพณจี ะมสี ว่ นประกอบ ของความเชอ่ื และเปน็ ความเก่ยี วเนอ่ื งกัน
อย่างแยกออกจากกันไม่ได้ ประเพณีความเชื่อของชาวล้านนา ที่สำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของชาว
ล้านนา คือ ประเพณีงานปอย ประเพณีส่งเคราะห์ ประเพณีสืบชะตาและความเชือ่ ในเร่ือง การปลกู
บ้าน ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ความเชื่อทางโหราศาสตร์และยังมี
ประเพณีความเชื่ออีกมากมายที่โดดเด่น ของชาวล้านนา ที่ประชาชนในภาคเหนือ จะต้องสืบทอด
ประเพณแี ละอนรุ กั ษ์ประเพณนี ี้ ให้คงความเปน็ เอกลกั ษณ์ของ๕๔
ภาคเหนอื ชาวลา้ นนาสบื ต่อไป ประเพณคี วามเชอ่ื เป็นสงิ่ ทีเ่ กยี่ วพันกบั มนษุ ย์ ต้งั แตเ่ กิดจนถึง
ตาย ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมีประเพณีความเชื่อ ที่แตกต่างกนั ออกไปขึน้ อยู่ กับสภาพแวดล้อมและการ
ดำรงชีวิตของประชนในพ้นื ที่ โดยเฉพาะในพ้นื ท่ีของภาคเหนอื ของชาวล้านนา มีประเพณีความเช่ือที่
มีการสืบทอดตอ่ กันมา แตช่ ้านานคอื ประเพณีความเชื่อของชาวล้านนา ประเพณีของชาวลา้ นนา เช่น
ประเพณงี านปอย ประเพณสี ่งเคราะห์ ประเพณีสบื ชะตา เป็นต้น ซง่ึ ทกุ ประเพณลี ว้ นเกี่ยวขอ้ งกับการ
ดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ ในส่วนของความเชื่อก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ เช่น การปลูกบ้าน
ความเชอื่ ทางพระพุทธศาสนา ความเช่ือเร่ืองไสยศาสตร์ ความเชอ่ื ทางโหราศาสตร์เปน็ ตน้ จะเห็นได้
ความรู้ของตน เมื่อความประพฤตินั้นคนส่วนใหญ่ ในสังคมยึดถือปฏิบัติกันเป็นธรรมเนียมหรือเป็น
ระเบียบ แบบแผนและทำจนเป็นพิมพ์เดียวกัน จนเกิดความเคยชินเรียกว่านิสัยสังคมหรือประเพณี
ความเชื่อเป็นธรรมชาตทิ เ่ี กดิ ขึ้นกบั มนุษย์และถือวา่ เปน็ วฒั นธรรมของมนุษยอ์ ยา่ งหน่ึง ความเชอื่ เกิด
จากการเปลี่ยนแปลง ของธรรมชาติที่มนุษย์เชื่อว่า เป็นการบันดาลให้เกิดขึ้นจากอำนาจของเทวดา
พระเจ้าหรอื ภูตผีปีศาจ ดังนั้นเม่ือเกดิ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ขึ้น เช่น ฝนตกฟ้ารอ้ ง ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว
ภูเขาไฟระเบิด อุทกภัยและวาตภัย ต่าง ๆ ขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตหรือความเป็นอยู่ของ
มนุษย์ ซึง่ ยากท่ีจะป้องกนั หรือ แกไ้ ขได้ด้วยตวั เองบางอยา่ งเป็นเหตกุ ารณ์ทอ่ี ำนวย
ประโยชน์แต่บางเหตุการณ์ ก็เป็นอันตรายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ มนุษย์จึง
พยายามทจ่ี ะคดิ หาวิธกี าร ท่ีจะก่อให้เกิดผลในทางทดี่ ีและเกดิ ความสขุ ใหก้ ับตนเอง เพื่อกระทำต่อสิ่ง
ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติเหล่านั้น ทำให้เกิดเป็นแนวทางปฏิบัติ ที่เป็นพิธีกรรมหรือศาสนาเกิดขึ้น
ความเช่ือของมนุษย์สว่ นใหญ่เกิดจาก ความสมั พนั ธร์ ะหว่างมนษุ ย์กับธรรมชาติ เมื่อส่ิงท่ีเกิดขึ้นนั้นมี
ผลต่อวิถชี วี ติ มนุษย์ทั้งใหค้ ณุ ประโยชน์และให้โทษ แลว้ มนุษยไ์ มส่ ามารถคน้ หาสาเหตุมาอธบิ ายได้ ทำ
๕๔ อุรณี ตันศริ ิ, วฒั นธรรมถิ่นวฒั นธรรมไทย, พิมพ์ครัง้ ท่ี ๑. กรงุ เทพมหานคร : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช,
๒๕๔๙),หนา้ ๓๓.
๒๕
ใหเ้ กิดความหวาดกลัว อันเปน็ ทีม่ าของความเชอื่ พิธกี รรมตาม ประเพณีมีธรรมเนยี มและรูปแบบการ
ปฏิบัติทแี่ ปลกแตกต่างกัน๕๕
๒.๓ แนวคิดเก่ยี วกบั เรือ่ งการสบื ชะตา
ความเชื่อ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ โดยมีสาเหตุหรือมูลเหตุอันหลากหลาย
มีนักวชิ าการหลายคนได้ใหท้ ศั นะไว้ ดังนี้
พระอริยานุวัตร เขมจารีเถระ กล่าวว่า ความเชื่อเกิดมาจากศาสนา บุคคลใดที่ยึดมั่นใน
ศาสนาบคุ คลนัน้ จะมากไปด้วยความเชอ่ื ต่าง ๆ อนั เปน็ ความเช่ือทางศาสนาน่นั เอง๕๖
ชำนาญ รอดเหตุภัย กล่าวถึงที่มาของความเชื่อว่า ความเชื่อเกิดจากการยอมรบั ในอำนาจ
เหนอื มนุษย์ เช่น อำนาจดนิ ฟา้ อากาศและเหตุการณท์ ่ีเกิดขึ้น โดยไม่ทราบสาเหตดุ ังน่นั เมื่อมภี ยั พิบัติ
เกิดขึ้นก็วิงวอนขอความช่วยเหลือ เมื่อพ้นภัยก็แสดงความกตัญญูรู้ คุณทัศนีย์ ทานตวณิช กล่าวถึง
สาเหตกุ ารเกดิ ความเช่อื วา่ ความเช่อื มีสาเหตุ ๒ ประการ คอื ประการแรกมาจากความกลัวและความ
ไม่รู้ของมนุษย์ ประการท่ีสองมาจากประสบการณ์และความฉลาดของมนุษย์ อันแฝงด้วยเหตุผล
มากมาย
จารุวรรณ ธรรมวัตร กล่าวว่า ความเชื่อของมนุษย์เกิดจากมนุษย์ แต่ละท้องถิ่นมีปัญหา
ในการดำรงชีวิตประจำวนั เชน่ เมอื่ ชีวติ ถึงคราววิบตั ิเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกิดภยั ธรรมชาติปัญหาเหล่านี้
เกินขีดความสามารถ ที่คนธรรมดาจะสามารถจะแก้ไขได้ มนุษย์จึงคิดว่าน่าจะมีอำนาจลึกลับเห
ธรรมชาติบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น อำนาจเหล่านั้นอาจจะเป็น ภูต ผี ปีศาจวิญญาณหรือเทพเจ้า
เปน็ ต้น
สุนทรี โคมนิ กลา่ วว่า ความเชอ่ื เป็นความนึกคิดยึดถอื โดยท่ีเจา้ ตวั จะรตู้ วั หรอื ไมก่ ต็ าม เป็น
สิง่ ทส่ี ามารถจะศกึ ษาและวัดไดจ้ ากคำพดู และการกระทำของคน๕๗
๕๕ ณรัฐ สวาสดิ์รัตน์, “วารสารชัยภูมิปริทรรศน์”, ความเชื่อและพิธีกรรม : อารยธรรมและความ
เชื่อมโยงพระพุทธศาสนาของคนไทยในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนกลาง,ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒ (พฤษภาคม-สิงหาคม
๒๕๖๒).
๕๖ อ้างในเชิด ขันตี ณ พล, อริยะโลกที่ ๖: ปราชญ์ภาคอีสาน, [ Khaosod online], แหล่งที่มา
:https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/amulets/news_๒๒๐๖๓๘๕, [ ๑๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๔ ].
๕๗ สนุ ทรี โคมิน, ความเชื่อ, [ออนไลน์], แหลง่ ทมี่ า
:http://www.stou.ac.th/Offices/rdec/udon/upload/socities๙_๑๐.html#a๑.Accessed [ ๑๗ มนี าคม
๒๕๖๑].
๒๖
สถาพร ศรสัจจัง ให้ความหมายของความเชื่อไว้ว่า ความเชื่อหมายถึงการยอมรับข้อเสนอ
อย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นความจริง การยอมรับนี้อาจจะเกิดจากสติปัญญาเหตุผล หรือศรัทธาโดย
ไม่ตอ้ งมเี หตผุ ลใด ๆ รอรบั ก็ได้๕๘
พระยาอนุมาราชธน กลา่ ววา่ ความเช่อื ถอื ของชนชาติไทยแต่ดั้งเดิม กไ็ มแ่ ตกต่างกับของชน
ชาติอื่น ๆ คือมีความเชือ่ ถอื สิง่ ปกติ มองไมเ่ ห็นตวั แต่ถือหรือเข้าใจว่ามีฤทธิ์ หรืออำนาจอยู่เหนือคน
อาจบันดาลให้ดีหรือรา้ ยหรอื ใหค้ ุณใหโ้ ทษ ได้ความเชือ่ อย่างนีเ้ รียกวา่ ลัทธิผีสางเทวดา (Animism)
อันเป็นคติศาสนามาตั้งแต่เดิมของมนุษย์ ก่อนที่จะพัฒนาการมาเป็นคติศาสนาอันประณีตขึ้น ใน
ปจั จุบนั ความเชือ่ ของชาวล้านนา ทม่ี ีการเคารพนบั ถอื ปฏบิ ตั กิ นั มนั ถงึ ปัจจุบัน ความเช่ือเปน็ ธรรมชาติ
ที่เกิดกับมนุษย์ทุกรูปนาม เป็นของคู่กันกับความไม่เชื่อในทางพุทธศาสนา เรียกว่าศรัทธาแปลว่า
ปสาทะความเล่ือมใสเห็นดีเห็นงามด้วย ส่วนศรัทธาความไม่เชื่อปสาทะ ความไม่เลื่อมใสก็เกิดกับ
คนอีกกลุ่มหนึ่งตรงกันข้ามกับ ผู้ที่เชื่อเลื่อมใสสิ่งต่าง ๆ ที่คนเราสัมผัสได้ด้วยอินทร์ทั้ง ๖ คือ
ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส ร่างกายสัมผัส ใจกระทบเกิดอารมณ์ความรู้สึกขึ้น
กลายเป็นสญั เจตนาจดุ เบือ้ งตน้ แห่งนามธรรม เมอื่ ไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ัติทกุ วัน๕๙
จะเหน็ ไดว้ ่าเปน็ การยำ้ ใหค้ วามเช่อื มั่นฝังแนน่ อยภู่ ายในขันธ์สันดานจนอยากท่ีจะถ่ายถอน
ออกได้ต่อมาความคิด ที่จะสร้างสัญลักษณ์ขึ้นให้เป็นเครื่องทดแทนสิ่งที่ตน เชื่อถือจึงสร้างส่ิง
ที่เป็นรูปธรรมตา่ ง ๆ ขึ้นมาอยู่ความเช่ือและการยึดถือของชาวลา้ นนา ความเชื่อและการถือของชาว
ล้านนาไทยแตล่ ะทอ้ งถนิ่ มคี วามแตกต่างกันไป ตามพน้ื ฐานของความรทู้ ่ีไดร้ บั สืบๆ มาจากบรรพบุรุษ
ของตน หากจะกล่าวถงึ ความเช่ือแต่ดั้งเดิมมานัน้ ชาวล้านนาเชือ่ ว่าในจักรวาลนีม้ ีโลกหนึ่งท่เี รียกว่า
โลกราหคู อื ท่ีอยขู่ องคนเราทีเ่ ข้าใจวา่ โลกเปน็ แกนกลางมีทางเดนิ ไปสดุ ขอบจักรวาล มพี ระอาทิตย์
พระจันทร์เป็นบริวารอยู่ในจักรวาลรวมกัน จึงมีคัมภีร์นพคาธทั้ง ๙ ดวง ที่รอบโลกไว้ดาว
พระเคราะห์ มคี วามสำคัญต่อชะตาและชวี ิตของสัตวท์ งั้ หลาย มมี นษุ ยเ์ ป็นตน้ ในการจะผลักดันชีวิต
ให้เจริญก้าวหน้าหรือมีความอับเฉา จึงเกิดคัมภีร์โหราศาสตร์ขึ้นมาทำนายทายทัก ให้ประชาชน
ประพฤติปฏิบัติตาม เป็นเครื่องปรับปรุงสังคมให้อยู่ ได้อย่างสงบราบรื่นและเป็นเครื่องบำรุงหัวใจ
การวิจัยวรรณกรรมลา้ นนาไทย ๒ เรื่อง คือ พรหมจักรและโครงพรหมทัต ได้ประมวลเกีย่ วกับความ
๕๘ อ้างในศศิพิสิฐ นิวัธน์มรรคา, “ความสัมพันธ์ของวิถีความเชื่อล้านนาและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
ประวัติศาสตร์ในเขตเมืองเก่าเชียงใหม่”,วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม, (บัณฑิต
วิทยาลยั : มหาวิทยาลยั ธรุ กิจบณั ฑิต, ๒๕๖๑).
๕๙ อ้างในจรูญ แดนนาเลิศ, “ประเพณี ความเชื่อ ของวิถีชุมชนล้านนา”,วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต
โปรแกรมวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สำนกั วิชาบริหารรัฐกิจ, (บัณฑติ วิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัยาชภฏั เชียงราย, ๒๕๖๒),
หน้า ๙๗๑.
๒๗
เชอื่ ของประชาชน ในล้านนาไทยไวห้ ลายประการ คือ ๑. ความเชอ่ื ทางพทุ ธศาสนา ๒. ความเช่ือทาง
ไสยศาสตร์ ๓. ความเชือ่ ทางโหราศาสตร์๖๐
๑. ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ประชาชนในล้านนาไทย ได้รับเอาพระพุทธศาสนา
นับเป็น ๒ ระยะด้วยกัน คือ ในสมัยแรกนับแต่การเผยแพร่พระพุทธศาสนา ของโสณเถระและ
พระอุตรเถระสมทูต ของพระเจ้าอโศกมหาราช นำศาสนามาเผยแพร่ทางสุวรรณภูมิ หมายถึง พม่า
ไทย ลาว กัมพูชา ซึ่งในแต่ละประเทศต่างก็อ้างว่าเป็นของตนระยะ ๒ ในสมัยพระนางจามเทวี
แห่งหริภุญชัย นำเอาพระสงฆ์มาจากลพบุรีและมาประสานกับพระสงฆ์ ที่มีอยู่แต่เดิมในอาณาจักร
โยนกเชียงแสน ระยะที่ ๓ ในสมัยอาณาจักรล้านนาไทย ได้รับพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาอีก
การนับถือศาสนาพุทธของชาวล้านนาไทย จึงมีพื้นฐานมาจากไสยศาสตร์ นับเนื่องด้วยศาสนา
พราหมณ์แล้ว มารับเอาพุทธศาสนาที่ต่าง ๆ จึงเกิดการผสมผสานจนแนบแน่น การปฏิบัติพิธีกรรม
ทางศาสนา จึงปนเปกันหมดระหวา่ งศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณต์ ลอดถงึ ความเช่อื ท่ีมีมาแต่ด้ังเดิม
ความเชอื่ ทางพทุ ธศาสนา จึงแยกออกเป็นประเด็นย่อยออกไปอกี ดังน้ี
๑.๑ ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม คือ หลักธรรมที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนาว่าหว่านพืช
เช่นไรไดผ้ ลเช่นน้นั ทำกรรมใดไว้ ดีช่วั ก็ตาม จะไดร้ บั ผลอยา่ งเดียวกัน ความเชื่อเร่อื งกรรมนี้ ปรากฏ
อยู่ในวรรณกรรมท้ังหลายมากมาย เช่น ในโคลงนิราศหริภุญชยั โคลงพรมมทัต โคลงอมรา ตลอดถึง
ครา่ ว พระยาพรหมโวหาร คร่าวหงสห์ ิน ตา่ งกก็ ลา่ วถึงกรรมในรปู ตา่ ง ๆ๖๑
๑.๒ ความเชื่อในเรื่องบุพเพสันนิวาส ความเชื่อนี้เป็นเงื่อนไขหน่ึงของพระพุทธศาสนา
ที่ได้คติมาจากพราหมณ์ ที่กล่าวว่าคนตายแล้วจะตอ้ งกับมาเกิดอีก เชื่อว่าหากไดอ้ ยู่ด้วยกันในชาตนิ ้ี
ต่อไปในชาติหน้าจะได้อยู่ร่วมกันอีก จึงเกิดจากความเชื่อเกี่ยวกับเนื้อคู่ชายหญิง ว่ามีความสมพงศ์
กันเพยี งไรหากเปน็ คู่กรรมคูเ่ วรกัน อยู่ที่ใดจะตอ้ งมาสมสกู่ ันจนได้๖๒
๑.๓. ความเชื่อเรื่องอานิสงส์ผลบุญ การสร้างคัมภีร์ธรรมต่าง ๆ ไว้ในพระพุทธศาสนา
หากใครถวายคัมภีร์พระไตรปิฎก เกิดมาชาติหน้าจะเฉลียวฉลาดรู้ธรรมวิเศษ มีสติปัญญามากจึงมี
๖๐ เจ้าอธิการภานุวัฒน์ ปญฺญาวชิโร (ตุ่นคำ), “ศึกษาวิเคราะห์ความเชื่อการสืบชะตาของชาวล้านนา”,
วทิ ยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๖).
๖๑ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาม, [ออนไลน์], แหลง่ ท่ีมา: https://sites.google.com/site/peerapat
๓๓๕๘/hlak-thrrm-thang-phraphuthth-sasna [๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕].
๖๒ เทวากร คำสัตย์, “บุพเพสันนิวาส”, ภาพสะท้อนด้านการถ่ายทอดข้อมูลทางวัฒนธรรม, ปีที่ ๑๐
ฉบบั ที่ ๑ (มกราคม - เมษายน ๒๕๖๓),หนา้ ๑๒๗.
๒๘
ความนิยมชมชอบสร้างคัมภีร์กนั มากมาย ในล้านนาไทยชายนิยมเขียนจารลงไปใบลาน หญงิ นิยมเอา
เส้นผมมาครั่นเปน็ เชือกรอ้ ยคัมภีร์ ถือวา่ ได้บญุ มากจากการเกิดมา จะเป็นคนสวยและมีปัญญา๖๓
๒. ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ นับถือเป็นวิชาลึกลับ เกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์เวทมนต์คาถา
และอำนาจจิตมีอยู่ในคัมภีร์อาถรรพเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ ๔ ในไตรเทพของพวกพราหมณ์ในอินเดีย
เรื่องเกี่ยวกับอาถรรพณ์นี้ เป็นที่นิยมชมชอบในสังคมมนุษย์ มานานนับพันปีมาแล้วไสยศาสตร์เป็น
ความเชอื่ ท้งั ทางดีและทางรา้ ย มีความตอ้ งการ ๒ ประการ คอื ๑. ปยิ ะ ทำใหเ้ กดิ ความรกั ความโชคดี
สำเรจ็ ประโยชน์ มคี วามสุขปลอดภัย ๒. กายะ เป็นเครอื่ งทำลาย เคร่อื งปอ้ งกนั กำจัดอัปมงคลต่าง ๆ
ให้หมดทั้งสิ้นความเชื่อ เรื่องไสยศาสตร์ปรากฏในหนังสือวรรณคดีล้านนาไทย มากมายหลายแห่ง
เช่น ในคร่าวหงส์หิน คร่าวสุวัตร คร่าวสุธน คร่าวโปราพญาบ่าว เป็นต้น ความเชื่อทั้ง ๒ ประการน้ี
ยังมีคนนิยมชมชอบอยู่แมใ้ นปจั จุบัน๖๔
๒.๑ การใช้ไสยศาสตร์ ความนิยมไสยศาสตร์ของคนล้านนาไทย มีอยู่เป็นอันมาก
ทั้งที่ปรากฏในวรรณกรรมและความเป็นอยู่ของชาวบ้าน มีการตู้คือการทำคุณไสย มีการรทำเสน่ห์
หลายวิธีจะขอนำพิธีส่งสลาเหินมาเล่าไว้ทนี ี้คือ ชายหนุ่ม ๒ คน ชื่อคำมา กับบุญทำ เป็นชาวลำปาง
เดินทางออกจากบ้านเพือ่ ไปขายผ้าในหมูบ่ ้านชนบท จังหวัดน่านหนุ่มทั้งเดนิ เข้าไปในหมู่บ้านชนบท
ของชาวน่านหนุ่มทั้งสองเดินเข้าไปในหมู่บ้าน พบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังขึ้นไปเก็บดอกกระดังงา
หนุ่มจึงทักทายพูดยั่วเย้าดอกไม้ หญิงสาวถามว่าจะเอาจริงหรือ หนุ่มบอกว่าหากน้องเต็มใจให้อ้าย
ก็มีความยินดีอย่างยิ่ง สาวถามว่า พี่อ้ายพักนอนที่ไหน หนุ่มทั้งสองบอกว่า นอนที่บ้านพ่อหลวง
(ผู้ใหญบ่ ้าน) สาวบอกวา่ ตอนค่ำ ๆ น้องจะสง่ ไปให้หน่มุ ทัง้ สองไดไ้ ปขอนอนท่ีบ้านผใู้ หญ่บ้าน หลงั จาก
ที่ได้รับประทานอาหารเย็น กับครอบครัวของผู้ใหญ่แล้วนั่งคุยกันอยู่ ผู้ใหญ่จึงถามหนุ่มทั้งสองว่า
ไอ้น้อยตอนใกล้ค่ำนี้มึงไปขอดอกไม้กับไผก๊า หนุ่มบอกว่าได้ขอดอกกระดังงา กับสาวท้ายบ้านไว้
ผู้ใหญ่บ้านจึงบอกว่านั้นคือพวกดอกกระดังงา รับเอาซี่พอผู้ใหญ่บ้านพูดดังนั้น รูปอีแร้งก็กลายเปน็
ใบตองห่อดอกกระดงั งา หนุ่มท้ังสองจึงรับเอามาด้วยความอกสน่ั ขวัญหาย๖๕
๒.๒ การใช้เวทมนต์คาถาคนล้านนาไทย ในสมัยโบราณมีความเชื่อเรื่องคาถาอาคม
อันเป็นส่วนหนึ่งของไสยศาสตร์ ปรากฏในวรรณกรรมหลายเรื่อง เช่น ในเครื่องพรหมจักร
๖๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), อานิสงส์ของการสร้างคัมภีร์ ในพระพุทธศาสนา : พจนานุกรม
พทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://๘๔๐๐๐.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=
นวังคสัตถสุ าสน์ [๒๔ เมษายน ๒๕๖๔].
๖๔ จรญู แดนนาเลิศ, “ประเพณี ความเช่อื ของวถิ ีชุมชนลา้ นนา”,วิทยานพิ นธ์มหาบัณฑิต โปรแกรมวิชา
รัฐประศาสนศาสตร์ สำนกั วชิ าบรหิ ารรฐั กจิ , (บัณฑติ วิทยาลัย : มหาวทิ ยาลยั าชภัฏเชียงราย,๒๕๖๒), หน้า ๙๗๘.
๖๕ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๙๗๘.
๒๙
เรอื่ งโปราพญาบ่าว เรื่องชิวหาลิน้ ดาเปน็ ต้น โดยเฉพาะเรอ่ื งพรหมจักรตอนที่พระยาวิโลหราช เหาะไป
เท่ียวเมืองสวรรค์และมจี ิตปฏพิ ัทธ์ ตอ่ นางสธุ รรมมาชายยาของพระอินทร์ ได้ใช้ความรู้ทางเวทมนตร์
ที่ตนมีอยู่แปลงกายเป็นแมลงสาบ ไปเกาะอยู่ที่ประตูปราสาทของนางสุธรรมา เมื่อพระอินทร์
จะเข้าไปร่วมอภิรมย์กบั นางสุธรรมา ก็ต้องสาธยายมนต์ทิพย์ เพื่อให้กุญแจพันชั้นตดิ ประตูปราสาท
หลุดออก พระยาวิโลหราช ซึ่งแปลงกายเป็นแมลงสาบ ก็จดจำมนต์ไว้เมื่อได้โอกาสก็แปลงกาย
เป็นพระอนิ ทร์เข้าไปหานางสุธรรมา๖๖
๒.๓ เป็นความเชื่อต่อสิ่งทีม่ ีอำนาจลึกลับเหนือมนุษย์ธรรมดา จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของ
ไสยศาสตร์คนโบราณทุกชาติ มีความเชื่ออย่างนี้โดยเฉพาะคนในล้านนาไทย นิยมนับถือมากปรากฏ
วรรณกรรมแทบทุกเรื่อง การบนบานศาลกล่าว การอ้อนวอนขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่เสมอ
ส่วนมากจะเป็น พระอินทร์และเทวดาช่วยเหลือ เมื่อตัวละครฝ่ายดีได้รับความทุกข์และถูกฝ่าย
ที่มีอำนาจสูงขู่เข็ญเบียดเบียน ความคิดเรื่องเทพดา มีพระอินทร์เป็นต้นนี้ ชาวล้านนาไทยเชื่อถือ
ตามวัฒนธรรมอินเดียที่เป็นเค้าโครง ทางพระพุทธศาสนา โดยพระอินทร์มีสหัสนัยคือมีตาตั้งพัน
สามารถจะสอดส่องดูแลลงมา จากสวรรค์ความสุขและทุกข์ของมนุษย์อยู่เสมอ ใครทำความดีมัก
จะได้รับการช่วยเหลือและให้พร ถ้าทำชั่วจะได้รับโทษ พระอินทร์ของพระพุทธศาสนาเป็นเทพเจ้า
ผู้ทรงธรรมทรงชา้ งเอราวัณ มีอาวุธประจำพระวรกาย คือ พระขรรค์ ธนู ตะบอง จักรและตรี๖๗
๓. ความเชื่อทางโหราศาสตร์ ในวิถีของชาวล้านนาไทยคนส่วนมาก เชื่อโหราศาสตร์
เชื่อการทำนายทายทักว่า อนาคตของตนจะเป็นอย่างไร ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทำนายของโหร
เป็นความจรงิ ที่ต้องเชือ่ ถอื ในวรรณกรรมทั้งหลายของลา้ นนาไทย กล่าวถึงโหราศาสตร์ไว้หลายแห่ง
นับว่าปุโรหิตจารย์มีความสำคัญมาก ต่อราชสำนักและต่อมวลชนดัง ในคร่าวหงส์หินกล่าวถึง
การทำนายทายทักของ ปุโรหิตและคนอื่นไว้หลายตอน เช่น ตอนปุโรหิตทำนายว่าพระครรภ์
ของพระนางวมิ าลา ผูม้ บี ญุ มาเกดิ จะได้ปราบ สิง่ ช่วั รา้ ยทัง้ หลายและตอนประสูติ กจ็ ะเป็นโอรสจริงๆ
อีกตอนหน่งึ กลา่ วถึงการเดินทางไปตามหาพระเจ้ายา่ ที่เมืองยกั ษค์ นรักษาส่วนอุทยานทำนายวา่
ต้นดี ปลายดี แต่ตอนกลางร้ายให้รักษาอันตรายระหว่างเดินทาง ปรากฏว่าทุกขิตกุมาร
ได้ไปพบคู่คอื นางทง้ั สามซง่ึ เปน็ ธดิ า ของพระยายักษเ์ จ้าเมืองท้ัง ๓ นาง คอื มุขวดี จุลคันธา ศรีจันทรา
เมื่อรับเอาพระเจ้าย่ากลับมาส่ง ให้พระกุมารทั้ง ๖ กลับถูกจับประหารชีวิต ชนิดฆ่าปิดปากร้อนถึง
พระอินทร์มาช่วยไว้ ในตอนสุดท้ายได้เป็นเจ้าเมือง การทำทายทักในวรรณกรรมต่าง ๆ กลายเป็น
๖๖ เร่อื งเดยี วกนั หนา้ ๙๗๘.
๖๗ เรอ่ื งเดยี วกนั หน้า ๙๗๙.
๓๐
ค่านิยมทางความเชื่อสุดท้าย ได้เป็นเจ้าเมืองการทำนายทายทักในวรรณกรรมต่าง ๆ กลายเป็น
ค่านิยมทางความเชื่อถือสำหรบั คนล้านนาไทย ต่อมาตราบเท่าทกุ วันนี้๖๘
๓.๑. ความเชื่อในเร่ืองฤกษ์ยาม เป็นความเช่ือมาตง้ั แต่โบราณกาลมา จนกระทัง่ จนทุกวันน้ี
จากการศึกษาพบว่าความเชื่อในเรื่องฤกษ์ มีผลต่อพุทธศาสนิกชนไทยแต่ เป็นไปในรูปแบบของการ
ผสมผสานกันวิถีชีวิตของคนไทย มีความผูกพันใกล้ชิดอยู่กับพระศาสนาและวัด มาทุกยุคทุกสมัย
เพราะวดั เป็นสถานที่ ๆ รวบรวมความรแู้ ละเป็นจุดศูนย์กลาง ของชมุ ชนทุกระดับ ผคู้ นจึงมีพระภิกษุ
เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ประกอบกับความเชื่อขั้นพื้นฐานของมนุษย์ คือเชื่อในเรื่องของอำนาจลี้ลับ
เหนอื ธรรมชาติ ผบี ้าน ผีเรอื น ผีบรรพบุรุษ รวมถึงเหลา่ เทวดาอารักษ์ด้วย ความเชื่อในส่ิงนอกเหนือ
ธรรมชาติที่ไม่มีตวั ตนแต่เสมือนมีตัวตน เป็นระบบของความเชื่อแขนงหนึ่ง ในการจัดระเบียบสังคม
ในระดบั ครอบครวั และระดับชุมชน ทำให้เกดิ พลังของความสามคั คี ๖๙
มีความร่วมมอื กนั ในการรกั ษา และดำเนินชีวิตให้อยูร่ อดปลอดภัย เจริญรุ่งเรืองจึงนำมาถึง
ความเชื่อในฤกษ์ยามที่ดี สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สูญหายไปจากสังคมไทย ดังนั้นพระภิกษุตั้งแต่อดีตจนถึง
ปัจจบุ ัน จำเปน็ ต้องเปน็ ผู้มคี วามรู้ ประกอบกนั หลายอย่างเพอ่ื จะไดเ้ ป็นทีพ่ ง่ึ ของพุทธบริษัทและถือ
เป็นกศุ โลบายในการอบรมสง่ั สอน ให้บคุ คลท้งั หลายมั่นคงอย่ใู นคุณงามความดี มกี ำลังใจในการต่อสู้
กับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดังจะเห็นได้จาก การที่มีผู้มาขอฤกษ์ในการเปิดกิจการ
ฤกษ์มงคลสมรสท้ังน้ีพุทธศาสนิกชน มีความเชื่อว่ามงคลทีไ่ ด้จากพระภกิ ษุนัน้ ถือ เป็นสิริเป็นความดี
งามที่จะส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จในกิจการหรือการดำเนินชีวิต ส่วนการให้ฤกษ์โดยโหราจารย์นั้น
ถือเป็นศิลปะทางโหราศาสตร์ชั้นสูงเกี่ยวกับกลุ่มดาวฤกษ์ อันจะส่งผลในทางที่ดี หรือทางเสื่อมเสีย
ย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบและกฎเกณฑ์ ในการวางฤกษ์ตามตำราของการ ให้ฤกษ์อย่างถูกต้อง
เพราะฤกษ์คือคราวหรือเวลาที่เหมาะเป็นชัยมงคลอันต้องสอดคล้องกัน ทั้งฤกษ์บนและฤกษ์ล่างที่
เรียกว่า นภดลและภูมิดลพลังงานที่บังเกิดขึ้นในขณะนั้นจะส่งผลใหม้ ีความวัฒนาถาวร ความสำเร็จ
ผลและประสทิ ธิความเจริญ ให้ไดต้ ามความตอ้ งการนน้ั ๆ โหรผู้ให้ฤกษ์จะตอ้ งทราบวตั ถุประสงค์ ของ
ผ้มู าขอฤกษว์ ่าจะนำฤกษน์ ัน้ ไปก่อใหเ้ กิดประโยชน์ ในทางใด เชน่ การใหฤ้ กษก์ ำเนิดผลที่เกิด เรยี กวา่
ฤกษ์ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของมนุษย์ เพราะสามารถใช้การคำนวณตามหลกั วิชาการ ให้ฤกษ์
เลือกวนั และเวลาท่ีเหมาะสม เป็นชยั มงคลท้งั ตอ่ ตวั บุคคลที่จะถอื กำเนิดขนึ้ มา ฤกษ์กำเนิดยังถือเป็น
ฤกษท์ เี่ กิดขึน้ ด้วยอำนาจของกรรม เพราะในขณะทีบ่ ุคคลจะถือกำเนิดมานน้ั ไมว่ ่าจะเป็นวัน เดือน ปี
๖๘ เรอ่ื งเดยี วกนั ๙๗๙.
๖๙ นางพัชรี แก้วผลึก, “ศึกษาความเชื่อเรื่องฤกษ์ตามคัมภีร์โหราศาสตร์ไทยทีม่ ีผลต่อพุทธศาสนิกชน”,
วิทยานิพนธพ์ ุทธศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๖๒), หนา้ ๘๑๘.
๓๑
เวลาใดก็ตามการโคจร ของพระจันทร์และดาวเคราะห์ต่าง ๆ บนท้องฟ้าได้โคจรไปอยู่เป็นที่
ท่เี หมาะทางเบอ้ื งสงู ส่งกระแสอทิ ธพิ ลเปน็ คล่นื เคลอื่ นตกลงมาตอ้ งรา่ งกายของคน๗๐
เกิดขณะนั้นถ้าเป็นกระแสอิทธิพลดี ก็เรียกว่าคนๆ นั้นเกิดมาฤกษ์บนดี หากตรงกันข้ามก็
หมายถึงคนๆ นัน้ เกดิ มาไมด่ นี ั่นเอง ในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธองค์ ไมท่ รงสนบั สนนุ ให้ยึดถือใน
เรื่องฤกษ์ยามแต่ให้ยึดมั่นในกรรมคือการกระทำอันประกอบด้วยเจตนาเป็นสำคัญ ดวงดาวไม่ได้มี
อิทธิพลโดยตรงที่จะ กำหนดชีวิตคนให้เป็นคนดีหรือชั่วได้ แต่การจะเป็นคนดีหรือชั่วนั้น อยู่ที่การ
กระทำน้เี ป็นโลกทศั น์โหราศาสตร์เชงิ พทุ ธ (Buddhist Astrology) ในทางพระพทุ ธศาสนาคือ กรรมท่ี
ดำเนินไปการให้ผลของกรรม จะบังเกิดขึ้นตามจังหวะ ของเวลาตามความแรงและตามหน้าที่
พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงกฎแห่งกรรม ในฐานะเป็นกฎทางศีลธรรม มีปรากฏในพระไตรปิฎกว่า
“คนทำกรรมใดไว้ย่อมเห็นกรรมนั้น” ในตนคนทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี คนทำกรรมชั่วย่อมได้รับ
ผลชัว่ คนหวา่ นพชื เชน่ ใดย่อมได้รบั ผลเชน่ น้ัน กรรมเป็นเรื่องทใี่ กล้ตวั ที่สดุ ของทุกคนเพราะทุกคนมี
กรรมเป็นของตน แตล่ ะบคุ คลจะทำความเข้าใจ เรือ่ งกรรมของตนยากทส่ี ดุ เพราะไมเ่ ข้าใจผลกรรมที่
ไดส้ ่งั สมไว้ ตัง้ แต่อดีตและตดิ ตามมาให้ผลในปัจจุบัน การท่ีเราจะไดร้ ับความสุขหรือความทกุ ข์ อยู่ใน
ปัจจุบันไมใ่ ช่ขึ้นอยู่กับกรรม ที่เราได้สรา้ งไว้ในปจั จุบนั อย่างเดียว อาจจะขึ้นอยูก่ ับกรรมในอดตี ด้วย
เราตอ้ งยอมรบั อดตี ชาติ ต้องยอมรับการกระทำของเราในวันในเดือนในปี ในชาติท่ีผา่ นมา วา่ เป็นส่ิงท่ี
เราทำไว้เองและส่งิ ที่เราทำในปัจจุบนั เราต้องยอมรับด้วยว่าน้นั คือส่งิ ท่ีบนั ดาลชีวิตของเราให้เป็นใน
อนาคต และเปน็ ไปตามกฎแห่งกรรมนั้น ดังนน้ั กรรมจงึ เปน็ ส่ิงท่ีเที่ยงตรงไมม่ ผี ู้ใดหลีกเลยี่ งได้ คำสอน
ในศาสนาพุทธมุ่งด้านจริยธรรมและการใช้เหตุผล เน้นการพึ่งตนเอง หรือสติปัญญาเป็นหลัก มิให้
ยึดถือในฤกษ์ยาม๗๑
ดงั ทกี่ ล่าวมาแล้วในสภาพสงั คม โดยท่วั ไปของทุกทอ้ งถน่ิ ส่ิงทมี่ คี วามคล้ายคลึงกันคือความ
เชื่อดั้งเดิมความเชื่อในศาสนา ความเชื่อในเรื่องพิธีกรรมและฤกษ์ยาม ที่ดีอันจะนำความเจริญ
ความผาสุกมาสู่ชีวิตเพราะมนุษย์ จะต้องเผชิญกับภาวะ ที่ไม่สบายใจเกิดความไม่มั่นคงในจิตใจ
เมอ่ื ถึงเวลาน้ันคนมักจะมุ่งเข้าหา พิธกี รรมและศาสนาเพือ่ ช่วยบำบัดรกั ษาจติ ใจ ใหม้ ีความเข้มแข็งขึ้น
ความไม่มั่นคงทางจิตใจของมนุษย์นี้เป็นสากล แต่วิธีการที่จะบำบัดรักษาใจนี้ เป็นเรื่องเฉพาะของ
แต่ละวัฒนธรรม แต่ละสังคมไม่มีประเพณีพิธีกรรม ของสังคมใดดีกว่าอีกสังคมหนึ่งทุกสังคม
มีวัฒนธรรมมีวิธีการจดั การ กับภาวะทีไ่ ม่ม่ันคงทางจิตใจของบุคคล ที่แตกต่างกนั ออกไปตามความ
เชื่อ ของสังคมนั้นๆ ถ้าบุคคล มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ในเรื่องของกรรมและการให้ผล ที่มีทั้งดี
และไม่ดีตามเหตุท่ีตนกระทำมา ประกอบกับมีความเข้าใจอย่างดี ในเรื่องของฤกษ์อันหมายถึงคราว
๗๐ เรือ่ งเดียวกนั , หนา้ ๘๑๙.
๗๑ นางพัชรี แก้วผลึก, “ศึกษาความเช่ือเรอ่ื งฤกษ์ตามคัมภรี โ์ หราศาสตรไ์ ทยท่มี ีผลต่อพทุ ธศาสนิกชน”,
วทิ ยานิพนธพ์ ุทธศาสตร์มหาบณั ฑิต ๒๕๖๒, หนา้ ๘๑๘.
๓๒
หรือเวลาท่ีเหมาะสม ในการเสริมสรา้ งส่ิงทก่ี ระทำอยใู่ หด้ ีขึ้น กจ็ ะเป็นการประสานประโยชน์ให้เกดิ ขึ้น
ในทางทดี่ ีได้๗๒
ผลจากการศกึ ษาแนวคิด ความเชอื่ เรือ่ งฤกษใ์ นวิชาโหราศาสตร์ โดยการอ่านแผนทช่ี ีวติ ทเ่ี ปน็
ไปตามครรลองของความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นประกอบด้วยหลกั ของเหตุและผล ความเช่อื แบบไม่งมงาย
ไม่กลายเปน็ เร่อื งอิทธฤิ ทธิ์หรอื ปาฏิหาริย์ เป็นความเชื่อท่ปี ระกอบไปดว้ ยศรัทธาและปัญญา จะทำให้
เราเข้าใจในหลักคำสอน ของพระพุทธศาสนาได้อย่างถ่องแท้ มากยิ่งขึ้นเพราะหลักการของ
พระพุทธศาสนาคือต้องเข้าใจความจริงที่ปรากฏข้นึ มเี กิดขึน้ ตั้งอยูแ่ ละสูญสนิ้ ไปและความเช่ือ ในวิชา
โหราศาสตร์ก็ยังคงเกบ็ เป็นสถิติไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง ได้ศึกษาเล่าเรียนมาจนยุคปัจจุบัน จากประเดน็
ข้างต้นในฐานะท่ีเปน็ พุทธศาสนิกชนผู้ศึกษาตอ้ ง การศึกษาวิเคราะหถ์ ึงความสอดคล้อง ของการใช้
ฤกษ์ที่ปรากฏในคัมภีร์โหราศาสตร์ ซึ่งจะมีอิทธิพลเช่นไรต่อมนุษย์ ในฐานะพุทธศาสนิกชนที่อยู่ใน
บวรพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นการเปรียบเทียบ ให้เห็นหลักการใช้ในศาสตร์แขนงนี้อย่างถูกต้อง
อย่างมีหลักเกณฑ์ ตามคัมภีร์และต้องการศึกษาถึงทัศนะ ที่พระพุทธศาสนามีต่อฤกษ์ที่ใช้อยู่
ในสงั คมไทยปจั จุบนั ซง่ึ ประโยชน์ส่วนใหญ่ ที่ผูค้ นตอ้ งการจากโหราศาสตร์ การใหฤ้ กษ์คอื การตอ้ งการ
ความสำเรจ็ ในทางโลก๗๓
ความเชื่อในเรื่องฤกษ์ยาม เป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบราณกาลมาจนกระทั่งจนทุกวันน้ี
เปน็ ความเชื่อที่อาศัยการคำนวณทศิ ทาง ของดวงดาววา่ จะมีผลต่อชวี ิตมนษุ ย์ ในเวลาท่ีกระทำมงคล
หรอื จะออกเดนิ ทางมกั นยิ ม ดูฤกษย์ ามเสยี ก่อนเพ่ือความเปน็ สริ ิมงคลและ มโี ชคปราศจากภยันตราย
ทง้ั ปวงความเช่ือในเร่ืองโชคชะตาเรามกั จะเชือ่ กันว่า คนจะโชคดหี รอื รา้ ยข้นึ อยกู่ บั ชวี ิตของตน โหรจะ
เปน็ ผมู้ บี ทบาทในการทำนายโชคชะตา สิง่ นี้จึงฝัง่ แน่นอยูใ่ นใจของคนลา้ นนาไทยตลอดมา การทำงาน
ทกุ อยา่ งตอ้ งหาฤกษ์ยามและเกย่ี วขอ้ งกับโชคชะตาเสมอ ความเชอ่ื เรอื่ งความฝนั ชาวบ้าน มีความเชื่อ
เรื่องความฝันว่าเป็นเครื่องบอกเหตุล่วงหน้า เมื่อจะเกิดเหตุการณ์สำคัญแก่ตน ลักษณะความฝัน
เกิดขนึ้ หลายประการ คอื ๑. บุพพนิมติ ท่ีเกิดขึน้ ส่อให้เห็นก่อนเป็นลางบอกเหตุ ๒ .เทพสังหรณ์เทวดา
บอกหรือเทวดาดลใจ ๓. จิตอาวรณ์จิตคำนึงคิดถึงจึงฝัน ๔. ธาตุโขภธาตุพิการร่างกายไม่ปกติ
ลกั ษณะที่ ๑-๒ เปน็ เรอื่ งเกย่ี วกับความเชอื่ ที่มมี าต้ังแตด่ ้งั เดมิ คอื เชอ่ื ลางบอกเหตแุ ละเชือ่ ผีสางเทวดา
ดลใจ ส่วนลักษณะที่ ๓ – ๔ เป็นเรื่องความเชื่อตามความเป็นจริงทางร่างกาย ความเชื่อที่กล่าวมา
ข้างต้น พอสรุปได้ว่ามีขึ้นในลักษณะแตกต่างกันตามสภาพของท้องถิ่นและวัฒนธรรม ของแต่ละ
ชุมชนแตพ่ น้ื ฐานแห่งความเชอ่ื มีความเหมอื นกันเป็นสว่ นใหญ่ เช่น ความเช่ือทางไสยศาสตร์
๗๒ เรื่องเดียวกัน หนา้ ๘๒๐.
๗๓ เร่อื งเดียวกนั หนา้ ๘๒๐.
๓๓
ความเชื่อที่เกิดจากศาสนาและ ความเชอื่ ทีเ่ กิดจากสง่ิ แวดล้อม เชน่ โหราศาสตร์เป็นตน้ เป็นพ้ืนฐาน
ให้มกี ารยดึ ถือส่ิงท่ตี นเชือ่ อย่างมัน่ คงสืบตอ่ มา๗๔
๓.๒ ความเชื่อเก่ียวกับโหราศาสตร์ ชาวล้านนาเม่ือจะประกอบพิธี ทำบุญทำกุศลซึ่งถือวา่
เป็นสิ่งที่ดีงามก็จะดูฤกษ์ยาม ที่เป็นมงคลควบคู่กันไปซึ่งความเชื่อน้ี จะปรากฏให้เห็นในดวงฤกษ์
ที่จารึกในตอนบนสุดและจารึกที่บอก ปี เดือน วัน ดิถี นาที ฤกษ์ ของการทำกิจกรรมนั้น ๆ ทั้งน้ี
รวมถึงดวงชะตาของโบสถ์ วิหารหรือวัด อันแสดงให้เห็นว่าความเชื่อทางโหราศาสตร์ สามารถ
ผสมผสานผนวกกับความเชือ่ ทางพุทธศาสนาอย่างลงตวั ๗๕
๑. วิธีหาวันที่เป็นมงคล ชาวล้านนามีความเชื่อ เรื่องวันที่เป็นมงคลและวันที่ไมเ่ ป็นมงคล
สำหรับประกอบกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่จะทำให้ การจัดพิธีสำเร็จไปด้วยความเรียบร้อย
เช่น ปลูกสร้างบ้าน ย้ายที่อยู่ การเดินทาง ทำบุญขึ้นบา้ นใหม่ จัดงานมงคลสมรสมกั จะหา วันที่เป็น
มงคลเรียกวา่ “วนั ไชยฤกษ์”พระเทพรัตนมุนี (สุทศั น์ สทุ สสฺ โน) ได้กล่าวถงึ วันไชยฤกษ์ ในสทาโสตถี
ภวันตุ เม สวัสดีปี ใหม่ พ.ศ. ๒๕๔๖ ว่า วันข้างขึ้น หรือวันข้างแรม ที่เป็นวันมงคลและวันที่เป็น
อัปมงคล ๒๔ ซ่ึงผจู้ ะจัดงานหรือทำพิธีการมงคล ควรพจิ ารณาเลือกวันตามคติโบราณล้านนาได้กล่าว
ไว้ดงั นี้๗๖
ข้นึ – แรม ๑ ค่ำ ช้างแกว้ ขึ้นสูโ่ รงธรรม ดี
ขน้ึ – แรม ๒ ค่ำ ฟงั ธรรมกลางป่าชา้ ไมด่ ี
ขน้ึ – แรม ๓ ค่ำ ลา้ งมือถา้ ดากิน ดี
ขึ้น – แรม ๔ คำ่ นอนปลายตีนตากแดด ไม่ดี
ข้นึ – แรม ๕ คำ่ ผีแวดล้อมปองเอา ไม่ดี
ขึ้น – แรม ๖ คำ่ ลงสำเภาไปค้า ดี
ขึ้น – แรม ๗ คำ่ เคราะห์อยู่ถา้ คอยชน ไมด่ ี
ขึ้น – แรม ๘ ค่ำ สาระวนบ่เมยี้ น (ไม่เสรจ็ ) ไมด่ ี
ขึ้น – แรม ๙ ค่ำ ถกู เสยี้ นพระยาราม ไมด่ ี
ขึ้น – แรม ๑๐ คำ่ หาความงามบ่ได้ ไมด่ ี
ขน้ึ – แรม ๑๑ ค่ำ ขี้ไร้กลายเปน็ ดี ดี
ขน้ึ – แรม ๑๒ ค่ำ บม่ สี งั ดสี กั คาบ ไมด่ ี
๗๔ จรูญ แดนนาเลิศ, “ประเพณี ความเชอ่ื ของวถิ ีชุมชนลา้ นนา”,วิทยานพิ นธ์มหาบัณฑิต โปรแกรมวิชา
รัฐประศาสนศาสตร์ สำนักวิชาบริหารรัฐกจิ , (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยาชภัฏเชยี งราย,๒๕๖๒), หน้า ๙๗๙-
๙๘๐.
๗๕ พระเทพรัตนมุนี (สทุ ศั น์ สุทสฺสโน ป.ธ.๖), “๒๕๔๖., หนา้ ๓๒.
๗๖ ดูรายละเอียดใน ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๐๖/๒๔๕, ดรู ายละเอยี ดใน ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๒๕/๑๐๕.
๓๔
ขึ้น – แรม ๑๓ ค่ำ ไชยะปราบชมพู ดี
ขึ้น – แรม ๑๔ ค่ำ ศตั รปู องร้าย ไมด่ ี
ข้ึน – แรม ๑๕ ค่ำ ถกู แม่วายหลวงปองเอา ไม่ดี
๒. วันเสียประจำเดือน นอกจากวันไชยฤกษ์แล้ว ยังได้กล่าวถึงวันเสียประจำเดือนซึ่ง
เปน็ ตำราล้านนา (นบั เดอื นทางภาคเหนือ) อกี เช่นกัน หมายความว่านบั เดอื นเรว็ กวา่ เดือนตามปฏทิ นิ
สากลไป ๒ เดอื น โดยนบั ตามจนั ทรคติ เช่น เดือน เกีย๋ ง (เดอื น ๑) จะเร่ิมในเดอื นพฤศจิกายนเดือนย่ี
(เดือน ๒) เดือน ธันวาคม เดือน ๓ เดือน มกราคม จนถึงเดือน ๑๒ เป็นต้น ซึ่งมีตำราวันเสีย
ประจำเดือน ดงั นี้
เดือน เกย๋ี ง (๑), ๕, ๙ ระวิ-จันทัง เสีย อาทิตย์- จนั ทร์
เดอื น ย่ี (๒), ๖,๑๐ อังคารัง เสยี อังคาร
เดือน ๓, ๗, ๑๑ โสรี-ครุ ุ เสยี เสาร์ –พฤหัสบดี
เดือน ๔, ๘, ๑๒ สโุ ข-พุธา เสยี ศกุ ร์ –พุธ
กล่าวโดยสรุป ชาวล้านนามีความเชื่อในคำสอน ของพุทธศาสนาเป็นหลักผสมผสานกับ
หลักการของศาสนาพราหมณ์ ใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตอีกทั้งใช้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
จึงส่งผลให้ชาวล้านนามุ่งเน้น ที่จะประกอบการบุญการกุศล เพื่อความสุขส่วนตนและสิ่งรอบข้าง
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อ ในสิ่งเหนือธรรมชาติ การคุ้มครองธรรมชาติโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เทพา
อารักษป์ ระจำภูเขา ป่าไม้ แม่นำ้ ลำคลอง ตลอดจนเหมืองฝายหรือแหล่งน้ำ สำหรบั หล่อเล้ียง เรือก
สวน ไร่ นา หรือการเกษตรอื่นๆ จึงมีพิธีกรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เสมอ การศึกษาวิเคราะห์อิทธิพล
ความเชือ่ การสบื ชะตาของชาวล้านนาจำเปน็ จะต้อง มคี วามรเู้ กย่ี วกบั ความเชือ่ ดัง้ เดมิ ของคนล้านนา
วา่ มพี ้นื ฐานอยา่ งไรดังน้นั ความเชอื่ ในคำสอนของพระพุทธศาสนา ความเชอ่ื ในสง่ิ เหนือธรรมชาติและ
ความเชื่อ เรื่องโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นความเชือ่ ดั้งเดิมของคนล้านนา สามารถอธบิ ายพฤติกรรมตา่ งๆ
ท่ีเกดิ ข้นึ ขณะปฏิบัติพธิ กี รรมสืบชะตา๗๗
โหราศาสตร์เป็นวิชา ที่ว่าด้วยการพยากรณ์โดยอาศัย ดาราศาสตร์เป็นหลักมีโหราจารย์
เป็นผูใ้ หค้ ำพยากรณ์โชคชะตาชวี ิต และให้ฤกษ์ยามเปน็ ต้น เป็นความเชือ่ ดงั้ เดมิ ของชนในแถบเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ ที่เข้ามาเผยแผ่ก่อนพระพุทธศาสนาจะ
เผยแผ่เข้ามาถึงแม้ จะนับถือพระพุทธศาสนาแล้วชาวล้านนา ก็คงนับถือโหราศาสตร์ควบคู่
กับพระพุทธศาสนา เพราะหลักการของศาสนาพุทธ มิได้บังคับศรัทธาหากไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี
ผู้วิจัยพบความเชื่อโหราศาสตร์ของชาวล้านนา จากวรรณคดีบาลีมากแหง่ เช่น (๑) ฤกษ์ยามในจาม
เทวีวงศ์โหราศาสตร์เกีย่ วข้องหลายตอน มีโหราจารย์ประจำราชสำนักให้คำปรึกษา ทั้งในเรื่องทั่วไป
และพยากรณเ์ หตุการณ์ชีวิตและบา้ นเมอื งในอนาคต หรอื ใหฤ้ กษ์ยามก่อนจะประกอบพิธีกรรมต่างๆ
๗๗ พระเทพรตั นมุนี (สุทัศน์ สุทสสฺ โน ป.ธ.๖), ๒๕๔๖., หน้า ๓๒
๓๕
แม้กระทัง่ ฤกษย์ ามกอ่ นออกศึกสงคราม ดังตอนทพี่ ระเจา้ มหันตยศกับพระเจ้าอนตั ยศเมืองหริภุญชัย
นำกองทัพออกสู้รบกบั เจ้ามลิ กั ขะ ก็ตอ้ งออกรบตามกำหนดฤกษ์ ที่โหราจารย์ใหไ้ วก้ ็รบชนะ๗๘
ความว่า “ลำดับนั้น พระอนันตยศได้ถาม พระโหราธิบดีผู้อาจารย์ของตนว่า ข้าแต่อาจารย์
ในยามนี้ความมีชัยจะมีแก่เราทั้งหลายหรอื ไม่มี พระโหราธิบดี ทูลว่าจะมีชัย” ในชินกาลมาลีปกรณ์
ก็พบความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่กิจกรรม ที่จะต้องประกอบหลายกรณี เช่น
การบวชพระ “ พระมหากษตั ริยท์ รงปรารถนาอานิสงส์บญุ อันยิ่งใหญ่ เพอ่ื อทุ ศิ ถวายแก่พระราชบิดา
พระราชมารดาของพระองค์ จึงเผดียงพระภิกษุสงฆ์ให้ทำอุปสมบทกรรม ในวัดมหาโพธารามนั้น.
เมื่อวันพุธขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม จุลศักราช ๘๗๓ (พ.ศ. ๒๐๕๕) ประกอบด้วย โรหิณีนักษัตร
ฤกษ์” และปรากฏเรื่องฤกษ์ยาม ของการบวชพระในที่อื่นๆ อีกการหล่อพระพุทธรูป ในการหล่อ
พระพุทธรูปก็มีการกำหนดฤกษ์ยาม เมื่อพระเจ้าติลกปนัดดาให้หล่อพระพุทธรูปทองคำ ขนาดเท่า
พระวรกายของพระองค์ในวันศุกรข์ ึ้น ค่ำเดือน ๑๒ พ้นเวลาเที่ยงคืนพระจันทร์เสวยเพชฌฆาตฤกษ์
การสร้างอาคารสถานที่ มีการดูฤกษ์ยาม ในการสร้างอาคารสถานที่ เช่น การสร้างวิหารวัดพระธาตุ
หรภิ ญุ ชัย มณฑปท่วี ัดป่าแดงมหาวิหาร กฏุ สิ งฆ์เรอื นหลวง ท่ปี ระทบั กอ่ กำแพงรอบพระธาตุและรอบ
เมืองเชยี งใหม่
การแต่งตั้งสมณศักดิ์พระสัทธธัมมสัณฐิระ เป็นพระราชครู (๒) การพยากรณ์เหตุการณ์ใน
อนาคต ในจามเทวีวงศ์ กล่าวถึงสมณพราหมณ์และโหราจารย์ ได้พยากรณ์ถึงความเจริญในอนาคต
ของเมืองหริภุญชัยหลังจาก รบชนะสงครามกับละโว้ (กัมโพช) แด่พระเจ้าอาทิตยราชว่า “ข้าแต่
มหาราชเบื้องหน้าแต่นี้ไปหริภุญชัยนครของเรา ทั้งหลายจะเป็นมหานครศุขเกษม โดยไม่ต้องสงสัย
เทพยดาผู้มีศักดาใหญ่ก็ยิ่งยินดี ไม่นานนักเทพยดาเหล่านั้น จะมาอภิบาลบำรุงรักษาพระนคร
ใหเ้ ปน็ สขุ ” ๗๙
๓.๓. ความเชื่อเรื่องอทิ ธิฤทธิป์ าฏิหาริย์ เร่ืองอิทธฤิ ทธป์ิ าฏิหารยิ ์ เปน็ ความเชื่อเก่ียวกับบุญ
บารมีของบุคคลหรือพลังอำนาจวิเศษ ที่มีอยู่ในผู้มีบุญบารมี เช่น ในพระพุทธเจ้า เทพเจ้า อมนุษย์
๗๘ จรญู แดนนาเลิศ, “ประเพณี ความเช่อื ของวิถชี มุ ชนลา้ นนา”,วทิ ยานพิ นธ์มหาบณั ฑิต โปรแกรมวิชา
รัฐประศาสนศาสตร์ สำนักวิชาบริหารรัฐกิจ, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยาชภัฏเชียงราย,๒๕๖๒), หน้า ๙๗๙-
๙๘๐.
๗๙ พิสฏิ ฐ์ โคตรสุโพธ์ิ, “พระพทุ ธศาสนาในอาณาจักรลา้ นนา”, เอกสารเรียบเรยี งประกอบการบรรยาย
เรื่องพระพุทธศาสนาในล้านนา โครงการอบรมมัคคุเทศก์.,( บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๖๐.
(อัดสำเนา).
๓๖
ผู้มีฤทธิ์เดชเป็นพลังเหนือธรรมชาติ ทั้งทำให้เกิดอาการเกรงกลัว หรือเป็นสิ่งอัศจรรย์เสริมสร้าง
ปสาทะศรทั ธาในสิง่ ศักด์ิสิทธนิ์ ั้นๆ ยง่ิ ขน้ึ ไปมปี รากฏอยใู่ นวรรณคดีบาลีท้ัง ๕ เรอ่ื ง ซ่งึ จะขอยกมาพอ
เป็น
ตัวอย่างดังนี้ (๑) ปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูปในรัตนพิมพวงส์ หลังจากสร้างพระพุทธรูปดว้ ย
แก้วอมรโกฏ สีเขียวเป็นสายรุ้งเสร็จแล้ว ทำการบูชาด้วยมนุษย์และเทวดา พระพุทธรูปก็แสดง
ปาฏิหาริย์ ดังความวา่ “พระพทุ ธรปู อนั ประเสริฐซง่ึ ไมม่ ีชีวติ กส็ ำแดงปาฏิหารยิ ์ตา่ ง ๆ หลายประการ
อันประเสริฐยิ่งเหมือนมีชีวิตสำแดงอยู่ตลอด ๗ วัน ไม่ว่างเว้นรศั มีแผ่ซ่านออกจากองค์พระพุทธรูป
รัศมีนั้นมีสีเขียวเหมือนปีกแมลงภู่ สีเหลือง สีแดง สีขาว สีแสดและสีเลื่อมเหมือนสีแก้วไพฑูรย์หรือ
แก้วผลึก แผ่ซ่านออกจากพระพุทธรูป” (๒) ปฏิหาริย์พระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้าใน
รัตนพิมพวงส์ครั้นบูชาพระแก้วมรกต ครบ ๗ วัน พระนาคเสนจึงได้อัญเชิญพระบรมธาตุ ๗ องค์
ของพระพุทธเจ้ามาบรรจุใส่ไว้ตามส่วนต่างๆ ในองค์พระพุทธรูป พระบรมธาตุก็ได้แสดงปาฏิหาริย์
โดยลอยขึ้นไปบนอากาศจากที่บรรจุฃมีรัศมีรุ่งเรืองเปล่งแสงสว่างโชติช่วง แล้วลงมาฝังลงในองค์
พระพทุ ธรปู อีก๘๐
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยก์ ับสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ ชาวล้านนาเมื่อเชื่อใน ภูต ผีวิญญาณ วิญญาณ
บรรพบุรุษ สิ่งศกั ดิ์สิทธ์ิ อทิ ธิฤทธ์ปิ าฏหิ าริย์ เป็นต้น เปน็ ทพี่ ึง่ พงิ หรอื ยดึ เหนยี่ วทางจติ ใจ ก็ไดก้ ำหนด
วิธีการที่ตนจะแสดงออก ถึงความเคารพนับถือด้วยพิธีกรรมต่างๆ ที่คิดว่าด้วยการประกอบพธิ กี รรม
เช่นนี้จะเป็นสือ่ สร้างความสัมพนั ธ์ ที่ดีระหว่างตนกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิมีการกราบไหว้บูชา อ้อนวอนด้วย
เครือ่ งพลีกรรมตา่ งๆ ดงั น้นั พธิ ีกรรมจงึ เปน็ ส่ือเชอ่ื มโยงศรทั ธา ของมนษุ ย์กบั สงิ่ ศักดิ์สิทธิ์ให้แนบแน่น
ยิ่งขึ้นแนวคิดและต้นเค้าในสมยั พระนางจามเทวีการสืบชะตาในยคุ แรกนี้ มีฐานความคิดและความ
เชื่อมาจากพระพุทธศาสนา คอื การท่ีเป็นผมู้ ีบารมหี รือผ้ปู กครองทีด่ นี ้นั ตอ้ งมแี ก้ว ๓ ประการ คอื แก้ว
กาย แกว้ วาจาและแก้วใจ การประพฤติดปี ฏิบตั ิชอบ ๓ ประการน้ีจะส่งผลให้ผปู้ ฏิบัติ พบแตค่ วามสุข
ความเจริญก้าวหน้าในตนเองหน้าที่การงานและบริวารแวดล้อม ในขณะเดียวกันการที่ตั้งมั่นอยู่ ใน
ศีลธรรมและสัจธรรมก็ยิ่งส่งเสริมกาย วาจาและใจให้มีพลังงดงามประสบความสำเร็จในชีวิตมาก
ย่งิ ข้ึน
เพื่อให้เกิดความขลังและความน่าเชื่อถือ ในผลแห่งการกระทำดีทั้งปวงทั้งหลายดังกล่าว ก็
เสริมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นการเสริมสิริมงคลทำให้ทราบวา่ “คน ศาสนาและพิธีกรรม”
เป็นฐานคิดชีวิตการดำรงอยู่เป็นศูนย์รวมจิตใจ ของทุกชุมชนล้านนามาแต่อดีตกาล ตามหลักฐานที่
ปรากฏเกยี่ วกบั พิธกี รรมการสืบชะตาในสมยั โบราณ โดยเฉพาะพธิ สี ืบชะตาเมอื งใน สมยั พระเมืองแก้ว
ราชวงศ์มังราย (พ.ศ. ๒๐๓๙-๒๐๖๘) ได้กล่าวถึงพิธีสืบชะตาเมือง ไว้อย่างละเอียดโดยกล่าวว่า
พระมหากษตั ริย์แห่งนครเชยี งใหมจ่ ะทรงเป็นประธาน ในพธิ สี บื ชะตาเมืองเพอ่ื ใหเ้ กิดความสขุ สวัสดี
๘๐ มณี พะยอมยงค,์ ล้านนาไทย, (เชียงใหม่ : ส.ทรัพยก์ ารพมิ พ์, ๒๕๔๓), หน้า ๘๙
๓๗
แก่บ้านเมืองและประชาชนโดยทั่วหน้าและ สมัยพญามังรายได้รวบรวมแคว้นโยนก
คือเชยี งราย เชยี งแสนและแคว้นพิง คือเมอื งลำพนู เชยี งใหม่ เข้าดว้ ยกนั ทำให้เป็นเมืองใหญ่ ดินแดน
แห่งน้มี ีประเพณีพิธกี รรมและความเช่อื ทีห่ ลากหลาย “คนเรากลวั ความตาย” อาจเป็นสาเหตแุ รกเริ่ม
ของการสืบชะตา ให้ยืนยาวขึ้นในการสร้างพิธีกรรมต่างๆ ขึ้นมารองรับเพื่อให้ตนเองมีอายุยืนยาว
เช่น การเรียกขวัญเป็นเบื้องต้น สืบชะตาในขั้นปลายนอกจากน้ี ความรู้ทางโหราชะตาก็เป็นตัว
ตอบสนอง ตอ่ ความกลัวตายน้ี เมื่อเกิดการทำนายทายทกั ถงึ โหราชะตาตนเองวา่ หกั หรอื ขาดจึงต้อง
ต่อชะตาให้ยืนยาวต่อไป จนความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเข้ามาคนสมัยก่อนมีความศรัทธาต่อ
พระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแตกฉาน
ลึกซ้งึ กเ็ ลยมคี วามคดิ ทีจ่ ะชว่ ยทำให้บ้านเมอื ง และคนในสังคมอยรู่ ว่ มกนั อย่างสงบสุขดำรงตนอยู่ ใน
ศีลธรรมอันดีจึงได้นำเอาพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพ สังฆานุภาพ มาผสมผสานเป็นพิธีสืบชะตาข้ึน
ทั้งนี้เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ใจความกังวลใจ ต่อบาปเคราะห์ต่างๆ ของมนุษย์ให้จางหาย ให้
ประสบแต่เร่อื งดเี รื่องเจรญิ เพราะยึดหลกั ท่วี า่ ผู้ใดหมัน่ ฟังธรรมเปน็ นิจรจู้ ักอ่อนนอ้ มถ่อมตนและเป็น
ผูร้ กั ษาตนไมป่ ระมาท ยอ่ มจะมีชีวิตทีย่ นื ยาว ตำนานทมี่ าของความเชื่อ๘๑
เรื่องการสืบชะตาปรากฏ ในอรรถกถาธรรมบทยมกวรรค เรื่อง “อายุวัฒนกุมาร” ที่กล่าว
โดยย่อว่าในสมัยพุทธกาล ณ เมืองทีฆลัมพกิ ะมีชาววรรณะพราหมณ์ ๒ คน บวชเป็นฤาษี ต่อมาฤาษี
ตนหนึ่งลาเพศไปมีครอบครัว แต่อีกตนหนึ่งยังบำเพ็ญพรตจนได้คณุ วเิ ศษ สามารถอ่านชะตาชีวิตคน
ได้ครน้ั คนทล่ี าเพศไปมบี ุตรได้พาบุตรของตน ไปกราบเยย่ี มฤาษีผเู้ ปน็ เพอ่ื น เม่ือตนแสดงความเคารพ
ฤาษีก็ให้พรว่า “ขอให้อายุยืน” แต่พอให้บุตรของตนแสดงความเคารพบ้าง ฤาษีตนนั้นกลับนิ่งเงียบ
พราหมณ์จึงถามถึงสาเหตุ ที่นิ่งเงียบฤาษีก็ตอบว่า “ลูกของท่านชะตาขาดและจะตายภายใน ๗ วัน”
พร้อมกับแนะนำใหไ้ ปหาพระพุทธเจา้ เม่ือพระพทุ ธเจ้าทรงทราบ พระองคจ์ งึ ใหพ้ ราหมณป์ ระกอบพิธี
สบื ชะตา โดยให้ต้งั ประจำพธิ ที ี่หน้าประตบู ้าน จดั เตยี งให้เดก็ นอนตรงกลาง พร้อมจดั เตรยี มอาสนะไว้
๘ หรอื ๑๖ ที่ ล้อมรอบเตียงนัน้ ไว้แล้วให้พระสงฆ์ มานัง่ สวดพระปรติ รต์ ลอด ๗ วนั ๗ คืนและในวนั ที่
๗ ซ่ึงเปน็ วันสดุ ทา้ ยน้นั พระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จไป เป็นประธานสงฆส์ วดพระปรติ รต์ ลอดทั้งคืน จน
รุ่งเช้าและพราหณ์ไดน้ ำเดก็ ไปแสดงความเคารพ ต่อพระพุทธเจ้าพระองค์ได้ให้พรว่า "ขอให้อายุยนื
๑๒๐ ปี" พราหมณจ์ งึ ตง้ั ชอ่ื เด็กวา่ “อายวุ ฒั นกมุ าร” เหตุทบี่ ตุ รนอ้ ยของพราหมณ์จะต้องตายภายใน
๗ วนั นัน้ เน่อื งมาจากว่า มยี ักษต์ นหนงึ่ ชื่อ “อวรทุ ธกะ” ไดท้ ำการปรนนิบตั ิเจา้ นายมานานถึง ๑๒ ปี
เจ้านายของยักษ์จึงไดใ้ ห้พรวา่ ให้ไปจับบุตรของพราหมณเ์ กดิ ใหม่ มากินเป็นอาหารได้ภายใน ๗ วัน
และเมื่อยักษ์ตนน้ันได้ไปตามหาเด็กเพื่อจับกนิ จนถึงวันที่ ๗ แต่เม่ือไปแล้วกลับไม่สามารถเข้าถึงตัว
เด็กได้๘๒
๘๑ เร่ืองเดียวกนั , หน้า ๘๙.
๘๒ เรอื่ งเดียวกัน, หนา้ ๘๙.
๓๘
การประยุกต์ใช้สบื ชะตา การสบื ชะตาในอดตี ถงึ ปัจจบุ ัน พบว่ามกี ารเปลยี่ นแปลงที่ทำให้เห็น
ได้อย่างชัดเจน คือ ในอดีตจะจัดพิธีสืบชะตา ในกรณีเฉพาะผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้น แต่ปัจจุบันได้
เปลี่ยนไปตามเหตุการณ์และตามความเหมาะสม ของสมัยนิยม เช่น เมื่อครบรอบวันอายุวันเกิด
ทำในพิธีแต่งงาน ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ การได้เลื่อนยศตำแหน่ง ฯลฯ จากหลักฐานปั๊บสาฉบับ
ครูบาจารย์ได้จารึกไว้ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๒ ตรงกับวันพุธเดือน ๑๑ แรม ๒ ค่ำ จารึกโดยครูบา
กาวิชยั มรี ูปแบบการสบื ชะตาอยู่ ๒ รปู แบบ
รูปแบบที่ ๑ จำนวนผู้ทำพิธีหรือเจ้าพิธี จะนิยมเป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้ทรงศีลเป็นที่ตงั้
แห่งความเคารพนอบนบบูชา ของพุทธศาสนิกชนโดยการสืบทอด เป็นเวลายาวนานตั้งแต่อดีต
ถึงปัจจุบันมีการประกอบพิธีสืบชะตา ๒ อย่าง ได้แก่การสืบชะตาใช้พระสงฆ์เพียงรูปเดียวหรือ
ทีเ่ รยี กว่า “สืบชะตาเด่ียว” และการสบื ชะตาด้วยจำนวนพระสงฆ์ จำนวน ๕ รูปบา้ ง ๙ รปู บ้าง หรือ
มากกวา่ นัน้ ตามยศตำแหนง่ หรอื ฐานะ ของบุคคลท่ีเป็นเจา้ ภาพซ่งึ นยิ มนิมนต์ พระสงฆเ์ ปน็ จำนวนคีย์
รูปแบบที่ ๒ สถานการณ์ที่มีการประกอบพิธี สืบชะตาทีม่ ีความแตกต่างกัน ซ่งึ แบ่งได้
๓ อย่าง ได้แก่สถานการณ์ที่มีความสุข ความสมหวังและความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต สถานการณ์ที่มี
ความห่อเหี่ยวใจรู้สึกสิ้นหวังหรือเจ็บป่วย และสถานการณ์ทั่วไป เช่น เทศกาลขึ้นปีใหม่ตาม
ปฏิทินสากลคอื ที่ ๑ เดอื นมกราคมของทกุ ปหี รือเทศกาลวนั สงกรานต์ คือ วันท่ี ๑๓-๑๕ เมษายนของ
ทกุ ป๘ี ๓
ประเภทของการสืบชะตา การสืบชะตาในล้านนาเป็นพิธีกรรมที่สำคัญพิธีหนึ่ง ที่พบว่า
คนในล้านนาปฏิบัติ ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน เป็นการแสดงความผูกพัน
ระหว่างคนในครอบครัวและเครือญาติ คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ คนกับสังคมในชุมชน โดยสามารถ
จำแนกพิธีและรูปแบบของการสืบชะตา แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ การสืบชะตาคน การสืบชะตา
บ้านและการสืบชะตาเมือง สืบชะตาแม่น้ำ กระบวนการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมและ
จิตวิญญาณของประเพณีสืบชะตา ที่มีต่อชุมชนในล้านนาพบว่า กระบวนการขั้นตอนของพิธีกรรม
สืบชะตาล้านนายังคงความสำคัญอยู่ ที่รูปแบบขั้นตอนของพิธีกรรมบถสวดมนต์และ ผู้ที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบการสืบชะตานั้นยังคงปฏิบัติตามจารีตดั้งเดิม ของล้านนาและองค์ประกอบสำคัญอยู่
ทก่ี ารเตรียมเครอื่ งสบื ชะตา ตามประเภทของการสบื ชะตาน้นั ๆ ซ่ึงมเี คร่ืองประกอบหลายอย่าง แต่ละ
อย่างต้องเตรียมไว้จำนวนมาก ในขณะที่เตรียมสืบชะตานั้นต้อง ใช้คนจำนวนมากช่วยกันส่วนใหญ่
จะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ในท้องถิ่น ที่มีความรู้เกี่ยวกับการเตรียมเครื่องพิธีสืบชะตา จากการรวมตัวกัน
จึงเปน็ บ่อเกดิ ของความสามัคคี ในชมุ ชนที่ตา่ งใหค้ วามช่วยเหลือซงึ่ กันและ กนั อยู่มากจากประเดน็ น้ี
๘๓ รองศาสตราจารย์พูนทรพั ย์ เกตวุ รี ะพงศ์, “สืบชะตาลา้ นนา: แนวคิดและการเสรมิ สรา้ งความสมั พันธ์”,
รายงานการวจิ ัยฉบบั รา่ งสมบรู ณ์, (สำนักบรหิ ารโครงการวจิ ัยอดุ มศึกษาและพัฒนามหาวทิ ยาลยั แห่งชาติสำนักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษา,๒๕๕๗), หนา้ ๓๔.