พระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจา้
พระพทุ ธเจา้ ทกุ พระองคท์ รงมพี ระฉพั พรรณรงั สที สี่ วา่ งไสวและแผอ่ อกไปรอบทศิ ทางตลอดเวลา
ทง้ั กลางวนั และกลางคนื จนสามารถกลบแสงจากพระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทรไ์ ด้ ทงั้ นี้ พระฉพั พรรณรงั สี
ของพระพทุ ธเจา้ แตล่ ะพระองคจ์ ะมรี ศั มที แี่ ผอ่ อกไปไกลไดแ้ ตกตา่ งกนั ดงั นี้
- พระพทุ ธเจา้ โคดมทรงมพี ระรศั มี ๑ วา
- พระพทุ ธเจา้ เรวตะ พระพทุ ธเจ้านารทะ พระพุทธเจ้าสเุ มธะ พระพุทธเจ้าอตั ถทัสสี
ทรงมีพระรัศมี ๑ โยชน์
- พระพทุ ธเจา้ สิขี ทรงมีพระรัศมี ๓ โยชน์
- พระพทุ ธเจ้าวปิ ัสสี ทรงมีพระรัศมี ๗ โยชน์
- พระพุทธเจ้ากกุสนั ธะ ทรงมพี ระรศั มี ๑๐ โยชน์
- พระพุทธเจา้ ทีปังกร และพระพทุ ธเจ้าปทุมุตตระ ทรงมีพระรัศมี ๑๒ โยชน๘์ ๒
สัญลกั ษณพ่์ ระฉพั พรรณรงั สี 199
จิตรกรรมสมุดภาพไตรภมู ิ ฉบบั อกั ษรธรรมล้านนา
พระฉพั พรรณรงั สีของพระพทุ ธเจา้ สมุ งั คละ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์จะทรงสามารถแผ่พระรัศมีไปได้ไกลถึงแสนจักรวาล
หากมพี ระประสงค์ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ พระฉพั พรรณรงั สขี องพระพทุ ธเจา้ สมุ งั คละนน้ั จะแผไ่ ปไกล
หมื่นจักรวาลตลอดเวลา อนั มลี ักษณะพิเศษย่ิงกวา่ พระฉพั พรรณรังสขี องพระพทุ ธเจ้าองค์อน่ื ๆ
ซงึ่ มสี าเหตมุ าจากคำ� อธษิ ฐานของพระองค์ เมอ่ื เกดิ เปน็ พระโพธสิ ตั วเ์ พอ่ื บำ� เพญ็ ทานบารมี โดยมี
ยกั ษแ์ ปลงกายมาเปน็ พราหมณ์ มาทลู ขอบตุ รทง้ั สองคน พระองคท์ รงบรจิ าคใหโ้ ดยถอื วา่ เปน็ บารมี
ไปสโู่ พธญิ าณ เมื่อพระองคท์ รงมอบให้เปน็ ทาน พอยกั ษ์ได้เดก็ จงึ แปลงกายกลับเปน็ ร่างเดมิ และ
จบั เดก็ ทง้ั สองคนกนิ ตอ่ หนา้ พระโพธสิ ตั ว์ พระโพธสิ ตั วเ์ หน็ แลว้ ไมม่ คี วามเสยี พระทยั แมแ้ ตน่ อ้ ย กลบั ยงั
มคี วามเขม้ แขง็ ปติ โิ สมนสั แลว้ เปลง่ อทุ านวา่ “ทานอนั ใดทใี่ หโ้ ดยดแี ลว้ ยงั ผลใหส้ น้ิ อาสวะกเิ ลสเปน็
ปัจจัยให้บรรลุพระนิพพาน” พระโพธิสัตว์ได้ทรงตั้งพระทัยปรารถนาว่า เม่ือพระองค์ตรัสรู้เป็น
พระพทุ ธเจา้ แลว้ ขอใหม้ รี ศั มแี ผไ่ ปไกลถงึ แสนจกั รวาลตลอดพระชนมช์ พี ของพระองค์
นอกจากน้ี ยังมีอีกชาติหน่ึงที่เป็นเหตุท�ำให้พระพุทธเจ้าสุมังคละทรงมีรัศมีแผ่ไป
แสนจกั รวาล คอื ในสมยั ทพี่ ระองคย์ งั เปน็ พระโพธสิ ตั ว์ ทา่ นไดเ้ หน็ เจดยี ข์ องพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
พระองคห์ นงึ่ แลว้ เกดิ ความศรทั ธาเปน็ อยา่ งมาก จงึ ไดต้ งั้ จติ จะสละชวี ติ เพอื่ บชู าพระพทุ ธเจา้ จงึ ได้
พันกายของตนเป็นคบเพลิง และเอาเนยใสใส่ถาดทองค�ำสูงประมาณ ๑ ศอกเทินไว้บนศีรษะ
แลว้ จดุ ไสป้ ระทปี ทพ่ี นั ไวใ้ หล้ กุ โพลงทว่ั รา่ งกาย ทำ� ประทกั ษณิ เวยี นขวารอบพระเจดยี ต์ ลอดทง้ั คนื
ด้วยบุญบารมีและความศรัทธาท่ีมีต่อพระพุทธเจ้า ไฟน้ันจึงไม่สามารถท�ำอันตรายได้ แม้ขุมขน
สกั เสน้ หนงึ่ กไ็ มไ่ หม้ ดว้ ยเหตนุ ้ี จงึ ทำ� ใหพ้ ระฉพั พรรณรงั สขี องพระสมุ งั คละพทุ ธเจา้ แผอ่ อกไปไกลมากถงึ
แสนจกั รวาลตลอดเวลา๘๓
200
พระฉพั พรรณรังสีของพระพทุ ธเจ้า 201
จิตรกรรมฝาผนัง วหิ ารวัดภูมินทร์
อ�ำ เภอเมอื ง จังหวัดน่าน
พระฉัพพรรณรงั สใี นพุทธประวตั ิ ตอน เสวยวมิ ุติสขุ
พระฉัพพรรณรังสี มีเน้ือหาปรากฏในพุทธประวัติ ครั้งเม่ือสมเด็จ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั ไดต้ รสั รแู้ ลว้ พระองคท์ รงประทบั เสวยวมิ ตุ สิ ขุ
อยใู่ ตร้ ม่ พระศรมี หาโพธเ์ิ ปน็ เวลา ๗ วนั และเสดจ็ ไปเสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ ในสถานทตี่ า่ ง ๆ ใน
บรเิ วณนนั้ อกี ๖ แหง่ สว่ นชว่ งเวลาทเี่ กดิ ฉพั พรรณรงั สี เปน็ สถานที่ ๔ ซง่ึ อยทู่ าง
ดา้ นทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของตน้ พระศรมี หาโพธ์ิ โดยมเี ทวดามาเนรมติ เรอื นแกว้
ถวายให้เป็นท่ีประทับเรียกว่า “รัตนฆรเจดีย์” ในสถานท่ีนั้นพระพุทธองค์
ทรงพิจารณาพระอภธิ รรมปฎิ กอยเู่ ป็นเวลา ๗ วนั ทัง้ นี้ แสงรศั มีทั้ง ๖ ประการ
จะเกดิ ขนึ้ แตเ่ ฉพาะพระพทุ ธเจา้ และเทวดาเทา่ นน้ั แสงรศั มจี ะไมท่ ำ� ใหเ้ กดิ เงาและ
ความร้อน โดยพระฉัพพรรณรังสีทั้ง ๖ สีนั้น มิได้พุ่งออกจากพระวรกายของ
พระพทุ ธองคแ์ ยกเปน็ สี แตม่ ลี กั ษณะแผซ่ า่ นออกมาทกุ สพี รอ้ ม ๆ กนั ๘๔
202
พระฉพั พรรณรังสขี องพระพทุ ธเจ้า 203
พทุ ธประวตั ิ ตอน มารผจญ
จิตรกรรมฝาผนัง วหิ ารวดั บวกครกหลวง
อ�ำ เภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่
204
พระฉพั พรรณรงั สีในวรรณกรรมพทุ ธศาสนา
พระฉัพพรรณรังสีปรากฏเนื้อหาในหนังสือปฐมสมโพธิ ตอน การเกิดพระฉัพพรรณรังสี
เมอื่ พจิ ารณาพระอภธิ รรมปฎิ ก คมั ภรี ท์ ี่ ๗ วา่ ดว้ ยมหาปฏั ฐาน๘๕ ความวา่
“...ในล�ำดบั นน้ั พระฉพั พรรณรงั สกี โ็ อภาสแผอ่ อกจากพระสรรี กายา อนั วา่ นลิ ประภากเ็ ขยี วสด เสมอดว้ ย
สีแห่งดอกอัญชัญ มิฉะน้ัน ดุจพ้ืนแห่งเมฆดลและดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ ผุดออกจาก
พระองั คาพยพในทอี่ นั เขยี วแลน่ ไปจบั เอาราวปา่ และพระรศั มที เ่ี หลอื งนนั้ มคี รวุ นาดจุ สหี รดารทอง
แลดอกกรรณกิ ารแ์ ลกาญจนปฏั อนั แผไ่ ว้ พระรศั มอี อกจากพระสรรี ะประเทศในทอ่ี นั เหลอื งแลว้ แลน่
ไปสทู่ ศิ านทุ ศิ ตา่ ง ๆ พระรศั มที แี่ ดงอยา่ งพาลทพิ ากร แลแกว้ ประพาฬแลกมทุ ประทมุ กสุ มุ ชาตโิ อภาส
ออกจากพระสรรี อนิ ทรยี ใ์ นที่อนั แดง แล้วแล่นฉวดั เฉวียนไปในประเทศท่ที ้ังปวง พระรัศมที ข่ี าว
ดจุ ดวงรชั นกิ ร แลแกว้ มณี แลสสี งั ข์ แลแผน่ เงนิ แลดวงผกาพรกึ พงุ่ ออกจากพระสรรี ประเทศในท่ี
อนั ขาวแลว้ ไปในทศิ โดยรอบ พระรศั มหี งสบาทกพ็ ลิ าสเลห่ ป์ ระดจุ สดี อกเซง่ แลดอกชบา แลดอกหงอนไก่
ออกจากพระกรชั กายรงุ่ เรอื งจ�ำรสั พระรศั มปี ระภสั สรประภาครวุ นาดจุ สแี กว้ ผลกึ แลแกว้ ไพฑรู ย์
เลอ่ื มประพรายออกจากพระบวรกาย แลว้ แลน่ ไปในทศทศิ วจิ ติ รรจุ โี อฬาร แลพระฉพั พรรณรงั สที งั้
๖ ประการ แผ่ไพศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายินทรีย์ก�ำหนดท่ี ๑๒ ศอกโดยประมาณ
อนั วาศศสิ รุ ยิ ประภา แลดารากว็ กิ ลวกิ าร อนั แสงเศรา้ สดี จุ หงิ่ หอ้ ยเหอื ดสน้ิ สญู มไิ ดจ้ �ำรญู ไพโรจน์
โชตชิ ชั วาล...”
พระพุทธชนิ ราช 205
วัดพระศรรี ตั นมหาธาตวุ รมหาวิหาร
อำ�เภอเมือง จังหวัดพิษณโุ ลก
พระฉพั พรรณรงั สีของเทวดา
พระฉัพพรรณรังสีจะแผ่ออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้าและเทวดาเท่านั้น ท้ังนี้
ฉพั พรรณรงั สที แี่ ผอ่ อกจากกายเทวดาจะเหน็ ไดด้ งั ทพ่ี รรณนาไวใ้ นพระสตู รตา่ ง ๆ ในเวลาทเ่ี ทวดา
มาเฝา้ พระพทุ ธเจา้ อาทิ สมยั หนงึ่ มเี ทวดาซง่ึ มรี ศั มสี วา่ งจา้ เขา้ มายงั พระเชตวนั มหาวหิ าร เปน็ เหตใุ ห้
พระเชตวนั สวา่ งไสวไปทวั่ ทงั้ บรเิ วณ ความสวา่ งของรศั มนี นั้ ไมเ่ หมอื นแสงเดอื นแสงตะวนั หรอื ไมเ่ หมอื น
แสงไฟ เปน็ แสงสวา่ งทเี่ สมอกนั ทง้ั หมด และเปน็ แสงสวา่ งทไี่ มม่ เี งาเหมอื นแสงอน่ื เปน็ แสงทแี่ ผไ่ ป
ตดิ อยทู่ ว่ั บรเิ วณ โดยมตี วั อยา่ งปรากฏอยใู่ นหนงั สอื ปฐมสมโพธกถา ปรเิ ฉทที่ ๑๓ ธรรมจกั รปรวิ รรต๘๖
ความวา่
“...ฝ่ายอุปกาชีวกเดินมาโดยทุราคมวิถีทางไกลระหว่างคยาประเทศเขตเมืองราชคฤห์กับมหา
โพธญิ าณตดิ ตอ่ กนั แลเหน็ ไพสณฑส์ ถานอนั โอฬารไพโรจนพ์ รรณราย ดว้ ยขา่ ยฉพั พรรณรงั สโี สณวิ ลิ าส
ปรากฏโดยทวิ าทศั นาการทงั้ พสธุ ารแลอากาศโอภาสดว้ ยพระรศั มมี พี รรณแหง่ ละ ๖ อยา่ ง ทว่ั ทง้ั ทศิ
ลา่ งและทศิ บน มาสมั ผสั กายตนประหลาดมหศั จรรยไ์ มเ่ คยไดพ้ บเหน็ เปน็ เชน่ นมี้ าแตก่ อ่ น ถา้ จะเปน็
เพลงิ ไฉนกายอาตมาจงึ ไมร่ อ้ นกระวนกระวายแมจ้ ะเปน็ นำ้ ไฉนกายอาตมาจะไมช่ มุ่ ชน้ื เยน็ นจ่ี ะเปน็
สง่ิ อนั ใดยง่ิ สงสยั สนเทห่ จ์ ติ จงึ เพง่ พศิ ไปขา้ งโนน้ ขา้ งนี้ กเ็ หน็ องคพ์ ระผทู้ รงสวสั ดภิ์ าคยเ์ สดจ็ บทจร
มา รงุ่ เรอื งดว้ ยพระสริ ฉิ นั ธมหาสวา่ งตสิ สรุ ะ ลกั ษณะแลพระพยามประภาโอภาสเบอ้ื งบน พระสรุ ยิ ะ
กช็ ว่ งโชตดิ ว้ ยพระเกตมุ าลา ครนุ าดจุ ทองทงั้ แทง่ ประดบั ดว้ ยฉพั พรรณรงั สี รงั สแี สงไพโรจนจ์ �ำรสั ...”
เทวดา ประตมิ ากรรมปนู ป้นั
หอพระไตรปฎิ ก วดั พระสงิ หว์ รมหาวิหาร
206 อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั เชียงใหม่
207
สญั ลกั ษณ์ดอกบัวกับพระฉพั พรรณรงั สี
ภาพสญั ลกั ษณด์ อกบวั บาน มพี ระฉพั พรรณรงั สลี อ้ มรอบกลบี และเกสรดอกบวั มจี ำ� นวน
เป็นตัวเลขศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือ มีกลีบ ๑๒ กลีบ, เส้นเกสร ๓๖ เส้น, จุดเกสรตัวเมีย ๗ จุด,
รศั มฉี พั พรรณรงั สี รอบนอก ๓๖ เสน้ ฉพั พรรณรงั สี หมายถงึ สี ๖ สี ในทน่ี ม้ี ี ๓๖ ชดุ หรอื กลบี ละ ๑
ชดุ สี ทง้ั น้ี การสลกั ภาพของสที งั้ หกลงในหนิ รปู ทรงกลมรปู ดอกบวั เปน็ ความคดิ ทแ่ี ยบคายทส่ี ดุ
เน่ืองจากฉัพพรรณรังสีเป็นเครื่องหมายของปัญญาและอ�ำนาจ เม่ือรวมเข้าด้วยกันแล้วแผ่ซ่าน
ออกจากสงิ่ ใด หมายความวา่ สง่ิ นน้ั ยอ่ มเปน็ สงิ่ สงู สดุ ในทางปญั ญาหรอื ความประเสรฐิ ๘๗
208
พระฉัพพรรณรังสลี ้อมรอบดอกบวั บาน 209
ประตมิ ากรรมหินสลักแบบภารหตุ สมยั สงุ คะ
ศลิ ปะอนิ เดีย
สัญลกั ษณ์ดอกบัวกบั พระฉัพพรรณรังสี
สัญลักษณ์พระฉัพพรรณรังสี เป็นแรงบันดาลใจส�ำคัญในการสร้างสรรค์
ผลงานศลิ ปกรรมแขนงตา่ ง ๆ ตลอดมาทุกยุคสมยั อาทิ สัญลกั ษณ์ประภามณฑล ซง่ึ
หมายถงึ รศั มที ป่ี รากฏอยรู่ อบเศยี รของเทพ เทพี อนั แสดงถงึ ปญั ญาหรอื อำ� นาจทแี่ ผ่
กระจายออกมา ในงานประตมิ ากรรมมกั ทำ� เปน็ แผน่ กลมรอบเศยี ร หรอื บางครงั้ ทำ� เปน็ รปู
เปลวไฟหรอื บวั บาน๘๘ นอกจากนใี้ นงานพทุ ธศลิ ป์ หมายถงึ แผงหรอื แผน่ หลงั เศยี ร
พระพทุ ธรปู ทำ� เปน็ รปู รศั มี เชน่ ประภามณฑลพระพทุ ธรปู ศลิ าจำ� หลกั สมยั ทวารวดี
วหิ ารนอ้ ย วดั หนา้ พระเมรุ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ประภามณฑลเปน็ รปู โคง้ รี แตกตา่ งกบั
ศลิ ปะอนิ เดยี ทท่ี ำ� เปน็ แผน่ ทรงกลม สว่ นในงานศลิ ปกรรมไทยนยิ มทำ� รปู วงไข่ เพอ่ื ให้
เข้ารูปกับพระเศียรเป็นรัศมีออกโดยรอบ อาทิ พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เชียงแสน
และอยุธยาตอนตน้ งานประติมากรรมและจติ รกรรม อโยธยา ทำ� ประภามณฑลเปน็
รูปวงไข่ ต่อมาสมัยอยุธยาตรงวงไข่ส่วนบนท�ำเป็นเส้นแหลมข้ึน จนมีรูปทรงคล้าย
ดอกบวั ตมู ตอ่ มาไดพ้ ฒั นาใหข้ อบรมิ ดา้ นขา้ งมหี ยกั ทำ� ใหม้ ลี กั ษณะเปน็ เปลวไฟใหญ๘่ ๙
นอกจากนี้ หากปรากฏในงานจติ รกรรมไทย ชา่ งเขยี นโบราณมกั นยิ มเขยี นเปน็ ลาย
กระหนกเปลวสอดสลบั สหี ลายสี เชน่ แดง นำ้ เงนิ ขาว เขยี ว เปน็ ตน้ อนั เปน็ สญั ลกั ษณ์
ของรัศมีท้ังหกประการของพระพุทธเจ้า หมายถึง พระฉัพพรรณรังสี นอกจาก
ประภามณฑลแลว้ หากทำ� เปน็ รปู ทรงเปลวไฟยอดแหลมตดิ บนสว่ นยอดเศยี รพระพทุ ธรปู
จะเรยี กวา่ ศริ ประภา๙๐
210
พระฉพั พรรณรงั สี
จติ รกรรมฝาผนังวหิ ารวัดหนองบวั
อำ�เภอทา่ วังผา จังหวัดน่าน 211
สญั ลักษณด์ อกบวั ในแนวคดิ ปรู ณฆฏะ
ความหมายของลายหม้อปูรณฆฏะ
ลายหมอ้ ปรู ณฆฏะ หมายถงึ ลวดลายหมอ้ นำ้ รปู รา่ งคลา้ ยแจกนั มี กา้ น ใบ
และดอก สูงพ้นปากหม้อลดหล่ันกันเป็นพุ่ม สร้างขึ้นเพ่ือเป็นการสักการบูชา
องคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หรอื พระประธานภายในวหิ าร ในประเทศไทยจะพบมาก
ในศลิ ปะลา้ นนา โดยนยิ มสรา้ งดว้ ยงานศลิ ปะลายคำ� ลายปนู ปน้ั สำ� หรบั ตกแตง่ อโุ บสถ
วหิ าร และหอพระไตรปฎิ ก ทงั้ น้ี หมอ้ ปรู ณะฆฏะมตี น้ กำ� เนดิ ในประเทศอนิ เดยี ซง่ึ มคี วามหมาย
วา่ เปน็ หมอ้ นำ้ อนั มนี ำ้ เตม็ บรบิ รู ณ์ ในภาษาบาลี หมายถงึ การกระทำ� ใหส้ มบรู ณต์ าม
หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา การมไี มเ้ ลอ้ื ยออกมาทง้ั สองขา้ งนน้ั แสดงสญั ลกั ษณ์
ของความเจรญิ งอกงามและความรม่ เยน็ ๙๑
212
หมอ้ ปูรณฆฏะ ประตมิ ากรรมปนู ปัน้ 213
หอพระไตรปิฎก วัดพระสงิ ห์วรมหาวหิ าร
อำ�เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่
214
หม้อปูรณฆฏะในศิลปะอนิ เดีย
หมอ้ ปรู ณฆฏะในศลิ ปะอนิ เดยี เปน็ ลวดลายรปู ภาชนะหมอ้ นำ้ มกี อบวั ผดุ ขนึ้ มาทงั้ กา้ นใบ
และดอกบวั ในลกั ษณะเบกิ บาน ซง่ึ เปน็ สญั ลกั ษณแ์ หง่ การเกดิ (Nativity) ของพระพทุ ธองค์ เชน่ เดยี วกบั
ตน้ โพธเ์ิ ปน็ สญั ลกั ษณข์ องการตรสั รู้ วงลอ้ เปน็ สญั ลกั ษณข์ องการแสดงธรรมจกั ร และสถปู รปู เนนิ ดนิ
เปน็ สญั ลกั ษณแ์ หง่ การปรนิ พิ พาน๙๒ ภาพหมอ้ นำ้ ปรู ณะฆฏะมตี น้ กำ� เนดิ จากศลิ ปะอนิ เดยี สมยั โบราณ
โดยเฉพาะหลกั ฐานทปี่ รากฏอยใู่ นภาพหนิ สลกั แบบอมราวดี สมยั คนั ธาระ (พ.ศ.๕๐๐-๖๐๐) ซง่ึ เปน็
แบบอมราวดสี มยั กลาง และมคี วามสำ� คญั มากกวา่ แบบอนื่ ๆ เนอ่ื งจากปรากฏอยใู่ นตำ� แหนง่ ทตี่ อ้ งแสดง
เปน็ ภาพสัญลักษณก์ ารประสูตขิ องพระพทุ ธองค์ ซง่ึ เคยี งคูไ่ ปกับภาพท่แี สดงการตรสั รู้ การแสดง
ธรรมจกั ร และการปรนิ พิ พานโดยตรง ซงึ่ มปี รากฏทง้ั ในศลิ ปะอนิ เดยี แบบมถรุ าและอมราวดี โดยการ
จดั ภาพเรียงแถวไปตามแนวนอนหรือแนวต้ัง ด้วยกันกับภาพสัญลักษณ์อีก ๓ เหตุการณ์ส�ำคัญ
ในพทุ ธประวตั ๙ิ ๓
หม้อปูรณฆฏะหนิ สลกั 215
ศลิ ปะอินเดยี สถูปสาญจี
รัฐมธั ยประเทศ ประเทศอินเดีย
ลายหม้อนำ้ �ปูรณะฆฏะในศลิ ปะล้านนา
ลายหม้อน้ำปูรณะฆฏะปรากฏในศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในประเทศไทย
มาชา้ นาน ดงั เชน่ เปน็ ลายบนเหรยี ญเงนิ ในสมยั ทวารวดี ซงึ่ คน้ พบจากแหลง่ โบราณคดี
ทอี่ ทู่ อง นครปฐม สงิ หบ์ รุ ี และชยั นาถ และลายหมอ้ นำ้ ปรู ณะฆฏะ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของ
สญั ลกั ษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ บนรอยพระพุทธบาทศิลปะสโุ ขทัย ที่สร้างขน้ึ สมยั
พระเจ้าลิไท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศิลปกรรมล้านนา ลายหม้อน้ำปูรณฆฏะยังเป็น
สญั ลกั ษณข์ องชวี ติ และการสรา้ งสรรค์ ใหค้ วามรม่ เยน็ ความอดุ มสมบรู ณ์ อกี ทง้ั ยงั มี
ความเชื่อว่าจะสามารถช่วยให้ผู้ที่เป็นเจ้าของประสบความส�ำเร็จในสิ่งท่ีปรารถนา
ทกุ ประการ ตลอดจนชว่ ยดลบนั ดาลทรพั ยส์ มบตั ทิ งั้ ปวง ทง้ั นี้ ลวดลายหมอ้ นำ้ ปรู ณฆฏะ
ในภาษาทอ้ งถน่ิ ลา้ นนาจะเรยี กวา่ หมอ้ ดอก โดยปรากฏครงั้ แรกในงานศลิ ปกรรมลายคำ�
ประดบั ในวหิ ารพระพทุ ธ วดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง อำ� เภอเกาะคา จงั หวดั ลำ� ปาง ในราว
ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ ซง่ึ มลี กั ษณะเปน็ ลายคำ� ปดิ ทองลายฉลุ แสดงภาพกอดอกบวั มี
กา้ น ๗ กา้ น ผดุ ออกมาจากหมอ้ นำ้� ปากกวา้ ง และมเี ถาไมเ้ ลอื้ ยออกมาจากปากหมอ้ ทงั้ สอง
ขา้ ง ดา้ นบนมรี ปู นกบนิ อยู่ เปน็ ลกั ษณะลวดลายจากธรรมชาติ โดยมขี อ้ สนั นษิ ฐานวา่ ได้
รบั คตมิ าจากลายหมอ้ นำ้ ปรู ณฆฏะศลิ ปะลงั กา ซงึ่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากศลิ ปะอนิ เดยี สมัย
ปลายอนรุ าชปรุ ะ ทป่ี รากฏในทวารบาลหรอื นาคราชยกหมอ้ ปรู ณฆฏะ เปน็ สว่ นประกอบ
ของประตมิ ากรรมนนู สงู ภาพทวารบาล๙๔
216
ลายคำ�หม้อปรู ณฆฏะ 217
วหิ ารพระพทุ ธ วดั พระธาตุล�ำ ปางหลวง
อ�ำ เภอเกาะคา จังหวดั ลำ�ปาง
ลายคำ�หม้อปรู ณฆฏะ
วหิ ารน�ำ้ แตม้ วัดพระธาตุล�ำ ปางหลวง
218 อ�ำ เภอเกาะคา จังหวัดลำ�ปาง
ลายหมอ้ นำ้ �ปูรณฆฏะ วหิ ารนำ้ �แต้ม วดั พระธาตลุ ำ�ปางหลวง
ลายหมอ้ นำ้� ปรู ณฆฏะทว่ี หิ ารนำ�้ แตม้ วดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง ซงึ่ มพี ฒั นาการทางดา้ นรปู แบบ
ทแ่ี ตกตา่ งออกไป กลา่ วคอื มลี กั ษณะเปน็ ลวดลายจากธรรมชาตผิ สมกบั ลายประดษิ ฐ์ มลี ายกระหนก
เปน็ สว่ นประกอบดว้ ย รปู ทรงหมอ้ ดอกทวี่ หิ ารนำ้ แตม้ ประกอบดว้ ยลายชอ่ ดอกบวั กา้ นยาวจำ� นวน
๗ ดอก ปกั อยใู่ นหมอ้ ทรงสงู มลี ายเครอื เถาทำ� ใบเปน็ ลายกระหนกทง้ิ ตวั มาจากปากหมอ้ ลงมาทฐี่ าน
ประกอบอยขู่ า้ งหมอ้ ทง้ั สองดา้ น ดอกบวั ทอี่ ยแู่ กนกลางเปน็ ดอกบวั บานหนง่ึ ดอก สว่ นชอ่ ดอกบวั
ดา้ นขา้ งเปน็ ดอกบวั ตมู ขา้ งละสามดอก๙๕
219
ลายคำ�หม้อนำ้ �ปูรณฆฏะ บนหบี ธรรมศลิ ปะล้านนา
หีบธรรม หมายถงึ หบี ส�ำหรับเก็บคัมภรี ์ใบลานในลา้ นนา คัมภีร์ส�ำคัญทางพุทธศาสนา
จะไดร้ บั การเกบ็ รกั ษาโดยการหอ่ ดว้ ยผา้ หอ่ คมั ภรี ท์ มี่ ปี า้ ยชอื่ ของคมั ภรี ใ์ บลานผกู ตดิ อยแู่ ลว้ บรรจลุ ง
ในหบี ธรรมเพอ่ื ใหร้ อดพน้ จากแมลงและฝนุ่ ละอองตา่ ง ๆ จากนน้ั จงึ นำ� หบี ธรรมไปเกบ็ รกั ษาไวภ้ ายใน
หอธรรมของวดั อกี ครงั้ หนงึ่ วสั ดทุ นี่ ยิ มนำ� มาสรา้ งหบี ธรรมสว่ นมากคอื ไมส้ กั รปู ทรงของหบี มลี กั ษณะ
เปน็ สเ่ี หลย่ี มตงั้ อยบู่ นฐาน ปากผายออกดา้ นบนมฝี าปดิ สนทิ ทงั้ น้ี ลกั ษณะของฝาหบี ธรรมมสี องแบบ
ไดแ้ ก่ ฝาทมี่ ลี กั ษณะแบนราบ เรยี กวา่ “ฝาตดั ” และฝาทมี่ ลี กั ษณะเปน็ ยอดแหลมคลา้ ยโกศ เรยี กวา่
“ฝาเรอื นยอด” ผวิ ดา้ นนอกของหบี ธรรมลา้ นนา จะลงรกั ปดิ ทองลอ่ งชาดสแี ดง หรอื เขยี นลายรดนำ้ ปดิ ทอง
แสดงภาพพทุ ธประวตั ิ เทวดา พระธาตเุ จดยี ์ ลายหมอ้ นำ้ ปรู ณฆฏะ ลายดอกไมห้ รอื ลายเครอื เถา
นอกจากนี้ บางหบี จะแกะสลกั ลวดลายและประดบั ดว้ ยกระจกสตี า่ ง ๆ ดา้ นลา่ งของหบี ธรรมจะมี
หว่ งเหลก็ กลม สำ� หรบั ใชไ้ มส้ อดแลว้ หามหบี เคลอื่ ยนยา้ ยไปไดโ้ ดยงา่ ย๙๖
220
สญั ลักษณด์ อกบวั ในหมอ้ น�ำ้ ปูรณฆฏะ 221
ลายค�ำ บนหีบธรรม ศลิ ปะล้านนา
วัดปงสนุก อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั ล�ำ ปาง
หมอ้ ปรู ณฆฏะ
ประติมากรรมปนู ปน้ั
วหิ ารน�ำ้ แต้ม วัดพระธาตุล�ำ ปางหลวง
222 อำ�เภอเกาะคา จังหวัดลำ�ปาง
หม้อปูรณฆฏะ 223
ลายค�ำ บนแผงไม้คอสอง
วหิ ารจามเทวี วัดปงยางคก
อำ�เภอห้างฉัตร จงั หวัดล�ำ ปาง
สัญลกั ษณด์ อกบวั ในแนวคิดมงคล ๑๐๘
บนรอยพระพุทธบาท
คติการสรา้ งรอยพระพทุ ธบาท
คติการเคารพสักการบูชาสถานที่และวัตถุอันมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเป็นส่วน
พระองคน์ น้ั คงจะเรมิ่ มขี น้ึ แลว้ เมอ่ื สมยั พทุ ธกาล สถานทหี่ ลายแหง่ ในอนิ เดยี ซง่ึ เชอ่ื กนั วา่ พระพทุ ธองค์
เคยประทบั หรอื เคยเสดจ็ ไป ในปจั จบุ นั ไดก้ ลายเปน็ ปชู นยี สถานทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนเดนิ ทางไปนมสั การ
สกั การบชู าแทนองคพ์ ระบรมศาสดา นอกจากน้ี ในสถานทบ่ี างแหง่ ยงั มคี วามเชอ่ื วา่ ปรากฏรอ่ งรอย
การประทบั รอยพระบาทของพระพทุ ธเจา้ ไวอ้ ยา่ งถาวร เพอ่ื ใหเ้ ปน็ สกั ขพี ยานถงึ การไดเ้ สดจ็ มายงั
สถานทแ่ี หง่ นน้ั และเปน็ ทร่ี ะลกึ ถงึ พระพทุ ธองค์ ตลอดจนยงั เปน็ สญั ลกั ษณข์ องพระธรรมอนั พระองค์
ไดป้ ระทานไวแ้ กเ่ วไนยสตั วใ์ นโลก
224
รอยพระพุทธบาท
ประตมิ ากรรมแกะสลกั หิน
ศิลปะอนิ เดยี
225
รอยพระพุทธบาทในคมั ภีรพ์ ุทธศาสนา
ในคมั ภรี ป์ ณุ โณวาทสตู ร พระอรรถกถาของพระสตู รหมวดสงั ยตุ ตนกิ าย กลา่ ววา่ พระพทุ ธ
องคไ์ ดเ้ จตนาประทบั รอยพระบาทไว้ ๓ ครงั้ ครง้ั แรกประทบั รอยพระบาทบนฝง่ั แมน่ ำ้ นมั มทา ตามคำ� ขอ
ของพระยานาคผอู้ าศยั อยใู่ นแมน่ ำ้ แหง่ นนั้ และครง้ั ทสี่ องบนภเู ขาสจั จพนั ธ์ เพอื่ ประทานแกฤ่ าษซี งึ่
มคี วามศรทั ธา จนเปลยี่ นศาสนามายอมรบั พระธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธองค์ ในครง้ั ท่ี ๓ ปรากฏใน
พงศาวดารมหาวงศ์ของลังกา ทรงประทบั รอยพระบาทบนยอดภเู ขาสมุ นกูฏ เพอ่ื ประทานใหแ้ ก่
เหล่าเทพเจ้าในท้องถ่ิน รวมท้ังวิญญาณธรรมชาติที่ท�ำหน้าที่พิทักษ์รักษาเกาะลังกา นอกจากน้ี
เนอื้ หาในวรรณกรรมภาษาบาลรี นุ่ หลงั ในประเทศไทย ไดเ้ พม่ิ เตมิ จำ� นวนสถานทที่ พ่ี ระพทุ ธองคไ์ ด้
ประทบั รอยพระบาท ประทานใหแ้ กส่ ตั วโ์ ลกรวมเปน็ ๕ แหง่ ไดแ้ ก่ สวุ ณั ณมาลกิ สวุ ณั ณปพั พต สมุ นกฏู
โยนกปรุ และแมน่ ำ้ นมั มทา นอกจากนน้ั เรอื่ งราวการเสดจ็ มายงั สถานทตี่ า่ ง ๆ ซงึ่ ปรากฏในตำ� นาน
พน้ื เมอื งของพมา่ ไทย เขมร และลาว ยงั กลา่ วถงึ การประทบั รอยพระบาทไวใ้ นสถานทหี่ ลายแหง่
เพอ่ื ความเปน็ สวสั ดมิ งคล และเปน็ เครอ่ื งเตอื นใจแกช่ าวพทุ ธในดนิ แดนแหง่ นนั้ ๙๗
พระพุทธบาท ๔ รอย
226 จิตรกรรมสมุดภาพไตรภูมิฉบบั อักษรธรรมล้านนา
227
ความหมายของรอยพระพทุ ธบาท
ชาวพทุ ธในดนิ แดนตา่ ง ๆ ยงั มคี วามเชอ่ื เรอ่ื งการเสดจ็ มาของพระพทุ ธเจา้ เพอื่ ประกาศ
พระศาสนาและโปรดเวไนยสตั วใ์ หล้ ว่ งพน้ ความทกุ ข์ โดยมรี อยพระพทุ ธบาททพี่ ระองคท์ รงประทบั ไว้
เปน็ สกั ขพี ยาน และเปน็ เสมอื นตราประทบั เพอ่ื ยนื ยนั ชยั ชนะของพระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์
ทมี่ ตี อ่ ความเชอ่ื ดง้ั เดมิ ของทอ้ งถนิ่ อกี ทง้ั ยงั เปน็ สญั ลกั ษณข์ องการประดษิ ฐานของพระพทุ ธศาสนา
อยา่ งมน่ั คงในดนิ แดนแหง่ นน้ั อยา่ งไรกด็ ี ในปจั จบุ นั รอยพระบาทของพระพทุ ธเจา้ จดั เปน็ ปชู นยี วตั ถุ
ทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชน กระทำ� การสกั การบชู าอยา่ งแพรห่ ลายมาแตค่ รงั้ สมยั พทุ ธกาล อนั มคี วามหมาย
เปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนพระพทุ ธองค์ เชน่ เดยี วกบั พระพทุ ธรปู และพระสถปู เจดยี ๙์ ๘
พระพทุ ธบาท ๔ รอย
วดั พระศรรี ัตนมหาธาตุวรวหิ าร
อ�ำ เภอเมือง จงั หวัดพิษณุโลก
228
รอยพระพทุ ธบาทไม้ 229
ลงรักปิดทองประดับมุก
วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร
อำ�เภอท่ามะกา จงั หวดั กาญจนบุรี
สญั ลกั ษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ
รอยพระพทุ ธบาท วัดพระแท่นดงรงั วรวหิ าร
230 อำ�เภอทา่ มะกา จงั หวดั กาญจนบุรี
สญั ลกั ษณม์ งคล ๑๐๘ ประการ
รปู สญั ลกั ษณม์ งคล ๑๐๘ ประการ ทพ่ี บบนรอยพระพทุ ธบาท มคี วามหมายตามคำ� บรรยายลกั ษณะ
พระบาทของพระพทุ ธองค์ ทปี่ รากฏในคมั ภรี อ์ รรถกถาและฎกี าภาษาบาลที รี่ จู้ กั กนั ในพมา่ มอี ายปุ ระมาณ
พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๖ ทัง้ นี้ สญั ลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ มีองค์ประกอบที่แสดงถงึ ความมสี ภาวะ
ครอบจกั รวาลของพระพทุ ธเจา้ และบารมอี นั คมุ้ ครอง รวมทงั้ เปน็ สริ มิ งคลตอ่ ผทู้ เ่ี คารพศรทั ธาพระพทุ ธองค์
โดยมลี กั ษณะสำ� คญั ๓ ประการ๙๙ ดงั นี้
๑. มงคลทเ่ี ปน็ สญั ลกั ษณแ์ หง่ โชคลาภ ความเจรญิ และความอดุ มสมบรู ณ์
๒. มงคลประเภททเ่ี ปน็ เครอื่ งประกอบบารมขี องกษตั รยิ ์ และพระเจา้ จกั รพรรดิ
๓. มงคลประเภททเ่ี ปน็ สว่ นประกอบทางรปู ธรรม และนามธรรมของสคุ ตภิ มู ใิ นจกั รวาล
สญั ลกั ษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ 231
รอยพระพทุ ธบาท วัดพระแทน่ ดงรังวรวหิ าร
อ�ำ เภอทา่ มะกา จงั หวดั กาญจนบุรี
องคป์ ระกอบและความหมายของสญั ลกั ษณ์มงคล ๑๐๘
๑. พระแสงหอก (สนั ต)ิ เปรยี บเสมอื นพระอรหตั มรรคญาณและพระอรหตั ผลญาณทสี่ ามารถ
กำ� จดั หมมู่ าร คอื กเิ ลสทงั้ ปวงได้ เรยี กวา่ ธรรมรตั นะหรอื รตั นมงคล
๒. แวน่ สอ่ งพระพกั ตร์ (สริ วิ จั โฉ) มคี วามหมายวา่ รตั นอสุ ภราช ซงึ่ เปน็ สริ มิ งคลทำ� ใหเ้ จรญิ ได้
โดยลำ� ดบั เกดิ ขน้ึ ทฝ่ี า่ พระบาททงั้ สองของพระพทุ ธเจา้
๓. ดอกพดุ ซอ้ น (นนั ทยิ าวตั ตงั ) ความวา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงเปรยี บเสมอื นพญาราชสหี ์
บนั ลอื สหี นาทยง่ิ ใหญ่ สหี ราชนน้ั ทำ� พทุ ธสริ มิ งคลใหเ้ จรญิ
๔. สายสรอ้ ย (โสวตั ถกิ งั ) ทา่ นอธบิ ายวา่ เปน็ รตั นะชอื่ วา่ รตั นโสตถมิ งคล กลา่ วคอื ผา้ รตั นบงั สกุ ลุ
สามารถกำ� จดั เครอื่ งเศรา้ หมองทงั้ ปวง รตั นโสตถมิ งคลเปน็ ใยแกว้ สามารถจะใหส้ ำ� เรจ็ การชวน
ดชู วนเหน็ แกเ่ ทวดาและมนษุ ยไ์ ดต้ ามสมควร
๕. ตา่ งหู (วฎั ฎงั สกงั ) ไดแ้ ก่ การแทงตลอดมรรคผลดว้ ยวชริ ญาณดจุ การคลอ้ งพวงดอกไมแ้ กว้
ใหเ้ ปน็ สริ มิ งคลทบี่ า่ และศรี ษะอนั ทำ� ใหพ้ ระพทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๖. ถว้ ยภาชนะ(วทั ธมานงั )ไดแ้ ก่ภาชนะทองชอ่ื วา่ ของทรี่ องรบั นำ้ นมเปน็ สงิ่ ทที่ ำ� ใหพ้ ระพทุ ธมงคล
เจรญิ ได้ เกดิ ขนึ้ ทฝ่ี า่ พระบาททงั้ สองของพระพทุ ธเจา้
๗. ปราสาท (ปาสาโท) ชอ่ื วา่ ปราสาทแกว้ เปน็ พระมหานพิ พานนคร คอื รตั นปราสาท อนั ทำ� ให้
พทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๘. ขอช้าง (อังสุโส) ได้ช่ือเป็นขอแก้วเป็นอรหัตมรรคญาณและอรหัตผลญาณ ท�ำให้
พทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๙. ซมุ้ ประตู (โตรณงั ) ไดแ้ ก่ ประตแู กว้ ทง้ั ๒ คอื อรหตั มรรค และอรหตั ผล เพอื่ ปดิ ประตเู มอื ง
ปอ้ งกนั กเิ ลส
๑๐. เศวตฉตั ร (เสตจั ฉตั ตงั ) เปน็ เศวตฉตั รแกว้ อนั ทำ� ใหพ้ ระพทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๑๑. พระขรรคแ์ กว้ (รตั นขคั คงั ) คอื พระขรรคแ์ กว้ สามารถกำ� จดั กเิ ลสความเศรา้ หมองเปน็
พทุ ธสริ มิ งคลทเ่ี จรญิ
๑๒. กำ� หางนกยงู (โมรหตั ถงั ) ไดแ้ ก่ พดั กำ� หางนกยงู ทต่ี กแตง่ สวยงาม ทำ� ใหพ้ ระพทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๑๓.พระแทน่ ทปี่ ระทบั (ภทั ทปฎิ ฐงั )ไดแ้ ก่พระแทน่ บณั ธกุ มั พลรตั นศลิ าอาสนโ์ คนตน้ ไมป้ ารฉิ ตั ตกะ
(ไมท้ องหลาง ทองกวาว) ในภพดาวดงึ ส์ เปน็ สริ มิ งคลเจรญิ
232
๑๔. พระมงกฎุ (อณุ หสิ งั ) ไดแ้ ก่ มงกฎุ แกว้ เปน็ สงิ่ ทำ� ใหส้ ริ มิ งคลเจรญิ ในโลกทงั้ สาม
๑๕. เถาวลั ยแ์ กว้ (รตั นวลั ล)ี เปน็ พวงมาลยั แกว้ ใหเ้ ถาวลั ยท์ องรอ้ ยอยา่ งดสี วยงามมาก เปน็ สงิ่ ที่
ทำ� ใหพ้ ทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๑๖. พดั แกว้ วาลวชิ ชนี (มณกิ าลวชิ ชน)ี เปน็ พดั ขนทรายทที่ ำ� ดว้ ยจามรี เปน็ ของงดงามดว้ ย รตั นะ
ทงั้ ปวง ทำ� ใหพ้ ระพทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ ยง่ิ
๑๗. พวงดอกมะลิ (สมุ นทามงั ) พวงดอกมะลแิ กว้ ใชด้ า้ ยทองคำ� ผกู หอ้ ยรอ้ ยรดั อยา่ งดี เปน็ เหมอื น
พระพทุ ธผปู้ ระเสรฐิ ทำ� ใหพ้ ทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๑๘. ดอกบัวแดง (รตั ตุปปะลัง) ไดแ้ ก่ ดอกอบุ ลแกว้ สแี ดง ทำ� ใหพ้ ทุ ธสริ ิมงคลเจริญ อนั เกิดข้นึ ท่ี
ฝา่ พระบาททงั้ สองของพระพทุ ธเจา้
๑๙. ดอกบวั ขาบ (นลี ปุ ปะลงั ) ไดแ้ ก่ ดอกอบุ ลแกว้ สเี ขยี ว ทำ� ใหพ้ ทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๒๐. ดอกบัวขาว (เสตุปปะลัง) เป็นดอกบัวแก้วสีขาว เหมือนแก้วมณีและแก้วมุกดา ท�ำให้
พทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๒๑. ดอกบวั หลวงชมพู (ปทมุ งั ) เปน็ ดอกบวั หรอื ปทมุ แกว้ สเี หมอื นแกว้ มณี ทำ� ใหส้ ริ มิ งคลเจรญิ
๒๒. ดอกบวั หลวงขาว (ปณุ ฑรกิ งั ) เปน็ ดอกปทมุ แกว้ สขี าวเหมอื นแกว้ มกุ ดา ชอ่ื วา่ บณุ ฑรกิ า ทำ� ให้
พทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๒๓. กระออมมนี ำ้ เตม็ (ปณุ ณมโฎ) หมายความถงึ ภาชนะสำ� หรบั รองรบั นำ้ นม ภาชนะแกว้ มณที ำ� ให้
พทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
๒๔. ถาดมนี ำ้ เตม็ (ปณุ ณจาฏ)ิ เปน็ ภาชนะถาดทองคำ� สำ� หรบั ใสเ่ ครอ่ื งบชู าของเทวดา และมนษุ ย์
ยอ่ มเปน็ ทพี่ ง่ึ แหง่ ตน
๒๕. มหาสมทุ รทงั้ ๔ (จตสุ มทุ โท) มคี วามหมายวา่ ศลี ๔ อยา่ งเปน็ สจั ธรรม ๔ ประการ ใหส้ ตั วไ์ ด้
บรรลมุ รรคผลนพิ พาน (อาจสรา้ งภาพ ๑ ถงึ ๔ ภาพ)
๒๖. จกั รวาล (จกั กวาโฬ) หมายความวา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงมพี ทุ ธญาณอนั วเิ ศษ ทรงรนู้ สิ ยั
แหง่ พระองค์ ชอื่ วา่ เปน็ สพั พญั ญตุ ญาณ
๒๗. ปา่ หมิ พานต์ (หมิ วา) ชอื่ วา่ เปน็ พระรปู กายของพระพทุ ธเจา้ ทม่ี พี ระฉววี รรณดจุ ทอง สวยงาม
รงุ่ เรอื งเกนิ กวา่ มนษุ ยเ์ ทวดา
๒๘. ภเู ขาสเุ นรุ (สเุ นร)ุ ชอื่ วา่ เปน็ พระรปู กายของพระพทุ ธเจา้ ทมี่ หิ วนั่ ไหวดว้ ยโลกธรรม ๘ ประการ
ดงั เชน่ ภเู ขาสเุ นรุ
233
๒๙. ดวงอาทติ ย์ (สรุ โิ ย) คำ� นเี้ ปน็ พระนามของพระพทุ ธเจา้ อยา่ งแทจ้ รงิ ทรงกำ� จดั ความมดื มดิ
คอื กเิ ลสทงั้ ปวง
๓๐. ดวงจนั ทร์ (จนั ทมิ า) เปน็ ชอ่ื วา่ พระหฤทยั ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เยน็ ฉำ่ ยง่ิ นกั เปรยี บดงั
นำ้ ในมหาสมทุ ร ทรงมเี มตตาธรรม และเยอื กเยน็ ดจุ พระจนั ทร์
๓๑. ดวงดาว (นักขัตตา) เปน็ ช่อื วา่ พระหฤทัยของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ท่เี ย็นฉ่ำ และร่งุ เรือง
สอ่ งสวา่ งกระจา่ งแจง้ เหมอื นดวงดาวนกั ขตั ฤกษ์
๓๒. ทวีปใหญท่ ั้ง ๔ ประการ (จัตตาโรมหาทีป ๔) ความว่า ทวปี ใหญท่ งั้ ๔ เปรียบเสมือน
สจั ธรรม ๔ ประการ เปน็ ทพี่ งึ่ ของสตั วท์ ง้ั ปวงดง่ั องคพ์ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ (อาจสรา้ งภาพ
๑ ถงึ ๔ ภาพ)
๓๓. ทวปี นอ้ ย ๒,๐๐๐ ซงึ่ เปน็ บรวิ าร (ทวสิ หสั สปรติ ตทปี ปรวิ ารา) มคี วามหมายถงึ ทวปี นอ้ ย
ทงั้ ๒,๐๐๐ ทเี่ ปน็ บรวิ ารของทวปี ใหญท่ ง้ั ๔ เหมอื นเปน็ ทพ่ี งึ่ ของสตั วท์ งั้ ปวง
๓๔. พระเจ้าจกั รพรรดิพรอ้ มดว้ ยขา้ ราชบรพิ าร (สปรวิ าโร จกั กวัตติราชา) เปรียบเหมือน
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงเปน็ ใหญใ่ นโลกทงั้ ๓ ฉนั ใด พระเจา้ จกั รพรรดกิ ท็ รงมบี รวิ ารของ
พระองคฉ์ นั นน้ั
๓๕. สงั ขข์ าวทกั ษณิ าวรรต (ทกั ขณิ าวฏั ฏเสตสงั โข) พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงแสดงกศุ ลธรรมอนั
บริสทุ ธแิ์ ก่ชาวโลกท้ัง ๓ เพื่อให้เวน้ จากธรรมที่ไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ คอื อกุศกรรมบถ ๑๐ ประการ
ทรงเปน็ ผรู้ งุ่ โรจนโ์ ชตชิ ว่ งดว้ ยพระสรุ เสยี งกกึ กอ้ งของพระองค์ เหมอื นเสยี งสงั ขเ์ สยี งจกั ร
เรยี กวา่ สงั ขข์ าวทกั ษณิ าวฎั
๓๖. ปลาทองคู่ (สวัณณมัจฉกยุคคะลัง) ความหมายว่า เป็นพระอัครสาวกท้ังสองประดับ
เบอื้ งซา้ ย เบอื้ งขวา ทสี่ มบรู ณด์ ว้ ยปญั ญาและฤทธ์ิ คอื พระสารบี ตุ รเถระ และพระ
มหาโมคคลั ลานเถระ
๓๗. กงจกั รคู่ (ยคุ คละจกั กงั ) เปน็ จกั รแกว้ ชอ่ื วา่ พทุ ธรตั นจกั ร คอื พทุ ธรตั นจกั ร สงั ฆรตั นจกั ร
๓๘. แมน่ ำ้ ใหญ่ ๗ สาย (สตั ตมหาคงั คา) เปน็ มหาคงคาทงั้ ๗ หมายถงึ สมั โพชฌงคท์ ง้ั ๗ ประการ
ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงไวแ้ ลว้ ดจุ มหาคงคาทไี่ หลมาไมข่ าดสาย (อาจสรา้ งภาพ ๑ ถงึ
๗ ภาพ)
๓๙. สระใหญ่ ๗ สระ (สตั ตมหาสรา) อนั เปรยี บเสมอื นอรยิ ทรพั ย์ ๗ ประการ ทพ่ี ระพทุ ธองค์
ทรงแสดงไวแ้ ลว้ แกส่ ตั วท์ งั้ ปวง (อาจสรา้ งภาพ ๑ ถงึ ๗ ภาพ)
234
๔๐. ภเู ขาใหญ่ ๗ เทอื ก (สตั ตมหาเสลา) หมายถงึ วญิ ญาณฐติ ิ ๗ ประการ ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงดำ� รงอยู่
ในญาณวสิ ยั ของพระองค ์ แมน่ ำ้ ใหญ่ ๗ สาย หรอื มหาคงคา ๗ ไดแ้ ก่ ชาตคิ งคา ยมนุ าคงคา
สรภคู งคา สรุ สั ดคี งคา อจริ ดคี งคา มหคิ งคา และมหานทคี งคา (อาจสรา้ งเปน็ ภาพไดจ้ ำ� นวน
๑ ถึง ๗ ภาพ) ส่วนโพชฌงค์ ๗ คอื สตสิ มั โพชฌงค์ ธรรมวจิ ยสมั โพชฌงค์ วิริยสมั โพชฌงค์
ปติ สิ งั โพชฌงค์ ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค์ สมาธสิ งั โพชฌงค์ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ สระใหญ่ ๗ สระ คอื
สระอโนดาต สระกมัณฑมุณฑะ สระรถกาละ สระกณุ าละ สระฉัททนั ต์ สระมัณฑากนิ ี และ
สระสหี ปปาตะ อรยิ ทรพั ย์ ๗ ประการ คอื ทรพั ย์ คอื ศรทั ธา ทรพั ยค์ อื ศลี ทรพั ยค์ อื สตุ ะ ทรพั ย์
คอื จาคะ ทรพั ยค์ อื ปญั ญา ทรพั ยค์ อื หริ ิ และทรพั ยค์ อื โอตตปั ปะ ภเู ขาใหญ่ ๗ เทอื ก มี ภเู ขายุ
คนั ธร ภเู ขาอสิ นิ ธร ภเู ขากรวกิ ภเู ขาสทุ สั สนะ ภเู ขาเนมนิ ธร ภเู ขาวนิ ตกะ และภเู ขาอสั สกณั ณะ
วญิ ญาณฐติ ิ ๗ ประการ คอื อาวชั ชนวญิ ญาณ ฉนั นวญิ ญาณ ทสั สนวญิ ญาณ สมั ปฏจิ ฉนั วญิ ญาณ
โผฏฐพั พนวญิ ญาณ ชวนะวญิ ญาณ และอาลมั พนวญิ ญาณ เรยี กวา่ วญิ ญาณฐติ ิ ๗ อยา่ ง
๔๑. พญาครฑุ (สปุ ณั ณราชา) เป็นความหมายท่วี า่ พระพุทธเจ้าทรงใชพ้ ระวชริ ญาณกำ� จดั กิเลส
๑,๕๐๐ เหมอื นพญาครฑุ กำ� จดั พญานาค ซงึ่ เปน็ คอู่ รกิ นั
๔๒. พญาจระเข้ (สงุ สมุ ารราชา) ในความหมายวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงดำ� รงอยใู่ นพระสพั พญั ญตุ ญาณ
อันเป็นพระรูปกายของพระองค์เพ่ือจะรักษาพระองค์และรักษาชาวโลกท้ัง ๓ ไว้มิให้
ไปตกอบายภูมิท้ัง ๔ เหมือนพญาจระเข้ รักษาตนและหมู่ญาติของตนในเภสกลาวัน หรือ
สระบวั นนั่ เอง
๔๓. ธงชยั ธงแผน่ ผา้ (ธชะปฏาณ) คอื ธงชัยแผ่นผา้ ทอง ประดับดว้ ยธรรม คือ อรหตั มรรคญาณ
และอรหตั ผลญาณ ประดบั ดว้ ยเครอื่ งบชู าพระพทุ ธเจา้
๔๔. พระเก้าอ้ีแก้ว (รัตนปาฏังกิ) เป็นความหมายถึง พระที่น่ังรัตนบัลลังก์ของพระพุทธเจ้า
ใตต้ น้ ศรมี หาโพธท์ิ ท่ี รงตรสั รพู้ ระสพั พญั ญตุ ญาณ
๔๕. พัดโบกทอง (สุวัณณจามโร) สุวรรณจามรเป็นพัดโบกทองค�ำ ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ
สวุ รรณจามรมี ๒ ชนดิ คอื ทำ� ดว้ ยขนหางจามรกี บั ทำ� ดว้ ยผา้ และใบไม้ เปน็ ตน้
๔๖. ภเู ขาไกรลาส (เกลาสปพั พโต) เปรยี บเปน็ ภเู ขาทองทง่ี ดงามยอดยงิ่ กวา่ ภเู ขาใดๆ ดงั พระพทุ ธเจา้
ทท่ี รงสมบรู ณง์ ดงามยง่ิ นกั
235
๔๗. พญาราชสหี ์ (สหี ราชา) พระพทุ ธองคเ์ ปรยี บดงั พญาราชสหี ์ ทรงประกอบดว้ ย
พระเวสารชั ชญาณ ๔ ประการ เสด็จเข้าไปกลางบริษทั ท้ัง ๔ เพ่ือทรงแสดง
สจั ธรรม ๔ ดว้ ยพระพทุ ธลลี าอนั งดงามยง่ิ เสมอื นพญาราชสหี ท์ ป่ี ระกอบดว้ ย
บนั ลอื สีหนาทของตน
๔๘. พญาเสอื โครง่ (พยคั ฆราชา) พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปรยี บเหมอื นพยคั ฆราชทรง
ประดับด้วยพระสัพพัญญุตญาณ พระองค์ทรงตรัสรู้พระญาณที่ ๑ คือ
ปุพเพนวิ าสานสุ ตญิ าณ (ระลกึ ชาติได้) ในปฐมยาม ทรงตรสั รพู้ ระญาณท่ี ๒
คือ ทิพพจักขุญาณ (ตาทิพย์) ในมัชฌิมยาม ทรงตรัสรู้พระญาณที่ ๓
คือ อาสวักขยญาณ (ทำ�ให้กิเลสหมดไป) ในปัจฉิมยาม ญาณทั้ง ๓ อย่างนี้
จึงเปน็ พระสัพพญั ญุตญาณ
๔๙. พญาเสอื เหลอื ง (ทปี ริ าชา) พระพทุ ธเจา้ ไมท่ รงยนิ ดใี นกามคณุ ทง้ั ๕ อนั เปน็ วสิ ยั
ในโลกทง้ั ๓ คอื พระองคไ์ มท่ รงยนิ ดอี ะไรทเ่ี กดิ ขน้ึ ในโลกทง้ั ๓ น้ี แตพ่ ระองค์
ทรงยินดีในนวโลกุตรญาณธรรม คือ พระสัพพัญญุตญาณ เพื่อประโยชน์
ดว้ ยมรรคผลนิพพาน จึงได้รับพระนามวา่ ทีปริ าชา หรือพญาเสอื เหลอื ง
๕๐. พญามา้ พลาหก (พลาหโกอสั สราชา) มา้ พลาหกประกอบดว้ ยการกา้ วเดนิ ทส่ี งา่
สวยงามกวา่ สตั วช์ นดิ ใด พระผมู้ พี ระภาคเจา้ กท็ รงประกอบไปดว้ ยพละกำ�ลงั มาก
ทรงกำ�ลงั กายถงึ ๑๐ ประการ สวยงามกวา่ สตั วใ์ ด ๆ ทง้ั หมด จงึ ไดร้ บั การถวาย
พระนามว่า พลาโหอสั สราชา คอื ม้าพลาหกนนั่ เอง
๕๑. พญาช้างอุโบสถ (อุโปสโต วารณราชา) พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงยินดี
ในอารมณ์วิสัยกามคุณ ๕ ตลอดกาล แต่จะทรงยินดีอารมณ์พระนิพพาน
อันเป็นนวโลกุตรญาณธรรม จึงได้รับการถวายนามเป็นช้างอุโบสถ
หรอื อุโบสโถวารณราชา
๕๒. พญาช้างฉัททนั ต์ (ฉทั ทันโตวารณราชา) พระผู้มีพระภาคเจา้ ทรงมพี ระรศั มี
มีพรรณ ๖ ประการ ประดบั อยูท่ ่วั พระวรกายของพระองค์
๕๓. พญานาควาสุกรี (วาสุกีอุรคราชา) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประดับด้วย
พระสพั พญั ญตุ ญาณ พญากาลนาคราชไดถ้ วายอาสนะบลั ลงั กแ์ กว้ ของตนแดพ่ ระองค ์
ครง้ั นน้ั พระองคป์ ระทบั นง่ั เสวยวมิ ตุ สิ ขุ เหนอื บลั ลงั กน์ น้ั เพอ่ื ประโยชนเ์ กอ้ื กลู
แดพ่ ญากาลนาคราชวาสกุ อี รุ คราชา มี ๒ อยา่ ง คอื โลกยิ ราชา กบั โลกตุ รราชา
236
๕๔. พญาหงส์ (หังสราชา) มีความหมายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไม่ทรงยินดีโลกิยสาระ
คือ เงินทองมแี กว้ ๗ ประการ เป็นตน้ แต่พระองค์ทรงยนิ ดใี นโลกุตรธรรม คือ มรรคผล
นิพพานจงึ ไดร้ ับการถวายพระนามว่า หงั สราชา
๕๕. พญาไก่เถื่อน พญาโคอุสภราช (พลกุกกุฏอุสภราชา) มีความว่าเมื่อครั้งก่อน
พระผมู้ พี ระภาคเจ้าเสวยพระชาตเิ ปน็ โคอุสภราช มีนามวา่ สุมังคละ ไม่ทรงสนพระทัย
ศัตรูที่จะทำ�ให้พระองค์หวั่นไหวกลางคัน คือ ทรงละศัตรูที่จะทำ�การประทุษร้าย
พระองคเ์ สียแลว้ ทรงสนพระทยั จะแสดงธรรมโปรดสตั ว์ทง้ั หลายเท่านน้ั เพราะเหตุน้ี
พระองค์จึงได้รบั การถวายพระนามวา่ พลกุกกุฏอสุ ภราชา
๕๖. พญาช้างเอราวัณ (เอราวัณโณนาคราชา) มีความว่า พระพุทธองค์ทรงตั้งอยู่
ในอริยธรรม ทรงยินดีในศีลสาระ ดุจพญาช้างที่ตั้งอยู่ในอริยมรรค พระองค์
จึงได้รับการถวายพระนามว่า เอราวัณโณนาคราชา คำ�ว่า เอ เป็นการแสวงหา
รา เป็นความยินดี เอรา จึงเป็นการค้นหาสาระในอริยธรรมอันยิ่งใหญ่ตลอดกาล
เปน็ เนืองนิตย์
๕๗. มังกรทอง (สุวัณโณมังกโร) เปรียบดังพระพุทธองค์ทรงมีความประพฤติที่กล้าแข็ง
ในอรหัตมรรคญาณ และอรหัตผลญาณ คือ วชิรญาณ สามารถตัดกิเลสทั้งปวงได้
ประดุจเลอ่ื ยเพชร จงึ ไดร้ บั การถวายพระนามว่า สวุ ณั โณมงั กโร
๕๘. แมลงภู่ทอง (สุวัณโณภมโร) พระพุทธองค์เปรียบดั่งผึ้ง เคล้าคลึงละอองเกสรใหม่
จากดอกไม้ทั้งหลาย โดยไม่ทำ�ลายต้นให้เสียหาย ประดุจที่ทรงคบหาบริษัท ๔
ทรงกำ�จัดมานะในใจของบริษัทเหล่านั้นให้ขาดได้ จึงได้รับการถวายพระนามว่า
สุวณั โณภมโร
๕๙. ท้าวมหาพรหมสี่พักตร์ (จตุมุโขมหาพรหมา) พระพุทธองค์ทรงประกอบไปด้วย
พรหมวิหาร ๔ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทรงแสดงพรหมวิหารให้สัตว์ทั้งหลาย
จึงไดร้ ับการถวายพระนามว่า จตมุ โุ ขมหาพรหมา
๖๐. เรือทอง (สวัณณนาวา) มีความหมายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบดังเรือทอง
ที่ทรงช่วยสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามมหาสมุทรอันลึกล้ำ� คือ สงสาร ให้ไปถึงฝั่ง คือ นิพพาน
เรอื ทองจึงเปน็ อรหตั มรรคญาณ และอรหัตผลญาณ ฉะนี้
๖๑. บลั ลงั ก์แก้ว (รันตปลั ลังโก) เป็นบัลลงั กแ์ กว้ คือ รตั นบลั ลงั ก์ทโ่ี คนตน้ พระศรีมหาโพธิ์
ซงึ่ พระพุทธเจา้ ทรงกำ�จดั หมู่มารไดด้ ้วยอานุภาพบารมี ๑๐ ของพระองค์
237
๖๒. พัดใบตาล (ตาลปัณณัง) ท่านหมายวา่ ใบตาลแกว้ คอื พระผู้มพี ระภาคเจ้า
ทรงแสดงเมตตาธรรมอันเยือกเย็นไว้ในหัวใจของชาวโลกทั้ง ๓ โลก
ด้วยพระมหากรณุ าของพระองค์
๖๓. เต่าทอง (สุวณั โณกจั ฉโป) มคี วามหมายว่า พระผูม้ พี ระภาคเจ้าทรงตดั กเิ ลส
ดว้ ยวชริ ญาณ เพราะเหตนุ ้ี พระองคจ์ งึ ไดร้ บั การถวายพระนามวา่ สวุ ณั โณกจั ฉโป
๖๔.แม่โคลูกออ่ น(สวุ จั ฉกาคาว)ี หมายถึงพระพทุ ธองคท์ รงแสดงโลกตุ ตรธรรม๙
มชี อื่ วา่ อมตมหานิพพาน แก่ชาวโลกทง้ั ๓ ดว้ ยพระมหากรณุ าของพระองค์
ดจุ แมโ่ คที่มีใจเมตตารักลูกของตน
๖๕. กินนร (กนิ นโร) มคี วามหมายวา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดท้ รงประกอบด้วย
พ ระมหากรุณาของพระองค์ ไม่ทรงเบียดเบียนสัตว์ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้
พระองค์จงึ ได้รบั การถวายพระนามว่า กินนโร
๖๖. กินนรี (กินนรี) พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา
ไม่เบียดเบยี นสัตวอ์ ่ืน ๆ ท้งั หมด จึงได้รบั การถวายพระนามว่า กินนรี
๖๗. นกการเวก (กรวิโก) พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม คือ มรรคผลนิพพาน
คือ โลกุตตรธรรม ๙ แก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะยิ่งนัก
ดงั น้ี พระองค์จึงไดร้ ับการถวายพระนามว่า กรวิโก หรอื การะเวก
๖๘. พญานกยูง (มยุรราชา) มีความหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงประกอบด้วย
มหาปรุ ิสลกั ษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยญั ชนะ ๘๐ ประการ ดว้ ยเหตนุ ้ี
พระองค์จงึ ไดร้ บั การถวายพระนามว่า มยรุ ราชา
๖๙.พญานกกระเรยี น(โกญจราชา)หมายถงึ การทพ่ี ระพทุ ธองคไ์ มท่ รงเหยยี บถกู พน้ื ดนิ
เมอ่ื คราวเสดจ็ ไปไกล ๆ ทรงเหาะไปทางอากาศดว้ ยฤทธ์ิ ดงั นน้ั จงึ ไดร้ บั การถวาย
พระนามว่า โกญจราชา หรอื พญานกกระเรียน
๗๐. พญานกจากพราก (จากวากราชา) ด้วยทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงบันลือสหี นาทใหญ่
ท่ีประกอบด้วยการแสดงธรรม คือ ทศพลญาณแก่ชาวโลกทัง้ ๓ เพ่อื ให้บรรลุ
มรรคผลนพิ พาน พระองค์จึงไดร้ บั การถวายพระนามวา่ จากวากราชา
คือ พญานกจากพราก
238
๗๑. พญานกพริก (ชีวัญชีวกราชา) หมายความถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงปลดเปลื้องสัตว์
ให้พ้นไปจากมิจฉาชีพ ให้เลี้ยงตนด้วยสัมมาชีพ พระองค์จึงได้รับการถวายพระนามว่า
ชวี ญั ชีวกราชา คอื พญานกพริก
๗๒. รปู พรหมชั้นสูงสดุ คอื อกนิฏฐาพรหม ชน้ั ท่ี ๑๖
๗๓. รูปพรหมชน้ั ที่ ๑๕ คือ สทุ สั สีพรหม
๗๔. รูปพรหมช้ัน ๑๔ คือ สุทัสสาพรหม
๗๕. รปู พรหมชั้น ๑๓ คอื อตปั ปาพรหม
๗๖. รปู พรหมชน้ั ๑๒ คอื อวิหาพรหม
๗๗. รปู พรหมช้นั ๑๑ คือ เวหัปผลาพรหม
๗๘. รปู พรหมช้ัน ๑๐ คอื อสญั ญสี ตั ตพรหม (หรอื พรหมลกู ฟกั )
๗๙. รูปพรหมชน้ั ๙ คือ สภุ กณิ หาพรหม
๘๐. รูปพรหมชน้ั ๘ คอื อปั ปมาณสภุ าพรหม
๘๑. รูปพรหมชั้น ๗ คือ ปริตตสุภาพรหม
๘๒. รูปพรหมช้ัน ๖ คอื อาภัสสราพรหม
๘๓. รูปพรหมชั้น ๕ คอื อัปปมาณาภาพรหม
๘๔. รปู พรหมชัน้ ๔ คอื ปรติ ตาภาพรหม
๘๕. รปู พรหมชั้น ๓ คอื มหาพรหมาพรหม
๘๖. รูปพรหมชั้น ๒ คือ พรหมปโุ รหติ าพรหม
๘๗. รูปพรหมชั้น ๑ คือ พรหมปาริสชั ชาพรหม
๘๘. สวรรค์ชัน้ ท่ี ๖ คือ ปรนิมมติ วสวตั ตี
๘๙. สวรรค์ชนั้ ท่ี ๕ คอื สวรรคช์ ้นั นมิ มานรดี
๙๐. สวรรค์ชั้นท่ี ๔ คอื สวรรค์ชัน้ ดุสติ ตา
๙๑. สวรรคช์ ั้นที่ ๓ คอื สวรรค์ชั้นยามา
๙๒. สวรรคช์ ้นั ที่ ๒ คอื สวรรค์ชน้ั ดาวดึงสา
๙๓. สวรรค์ชัน้ ท่ี ๑ คือ สวรรค์ชนั้ จาตมุ หาราชิกา
๙๔. สัญลกั ษณ์ของสวรรคช์ ัน้ ดาวดงึ สน์ ้ันต้ังอยู่บนยอดประธาน
๙๕. มสี วรรคช์ นั้ จาตุมหาราชิกาอย่บู นยอดรองทง้ั ๔ ยอด ของเขาพระสเุ มรอุ นั เปน็ แกน
ของจกั รวาล
239
อยา่ งไรกต็ าม ในการนบั จำ� วนวนภาพสญั ลกั ษณข์ องมงคล ๑๐๘ ประการดงั รายละเอยี ดทกี่ ลา่ วมา
ข้างตน้ นั้น จะนับจ�ำนวนไดเ้ พียง ๙๕ ภาพเทา่ นน้ั ยังขาดไป ๑๓ ภาพ จงึ จะครบ ๑๐๘ เนื่องจากจะตอ้ ง
นบั รวมกบั ภาพทวปี ภาพมหาสมทุ ร ภาพสระใหญ่ และภาพภเู ขาใหญ ่ เมอื่ รวมกนั กจ็ ะทำ� ใหไ้ ดค้ รบ ๑๐๘ ภาพ๑๐๐
240
สัญลกั ษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ 241
รอยพระพทุ ธบาทบนผ้า
สญั ลกั ษณม์ งคล ๑๐๘ ในวฒั นธรรมล้านนา
ความหมายของสัญลกั ษณ์มงคล ๑๐๘ ทปี่ รากฏในพธิ ีกรรมของชาวพทุ ธในล้านนา เช่น
พธิ สี บื ชะตา ประเพณกี ารถวายเจดยี ท์ ราย ๑๐๘ การทำ� พธิ บี ชู านพเคราะห์ เปน็ ตน้ ผปู้ ระกอบพธิ ี
จะทำ� ชอ่ ธงจำ� นวน ๑๐๘ ผนื เพอื่ แทนความหมายแหง่ สริ มิ งคล นอกจากน้ี ศาสตราจารยเ์ กยี ตคิ ณุ
มณี พยอมยงค์ ไดส้ นั นษิ ฐานวา่ ตวั เลข ๑๐๘ มเี หตผุ ลในการคำ� นวณจกั รราศใี นวชิ าโหราศาสตร์
และถอื วา่ เปน็ การรวมกำ� ลงั แหง่ ดาวนพเคราะหแ์ ละกำ� ลงั แหง่ พทุ ธคณุ ธรรมคณุ สงั ฆคณุ ซงึ่ เปน็
เครอ่ื งหมายแหง่ สริ สิ วสั ดที ง้ั หลาย ไดแ้ ก่
๑. สริ มิ งคล อนั เกดิ จากกำ� ลงั นพเคราะห์ ไดแ้ ก่ พระอาทติ ย์ ๖ พระจนั ทร์ ๑๕ พระองั คาร
๘ พระพธุ ๑๗ พระพฤหสั บดี ๑๙ พระศกุ ร์ ๒๑ พระเสาร์ ๑๐ พระราหู ๑๒ พระเกตุ ๙ (รวมเปน็
๑๐๘ โดยไมน่ บั พระเกต)ุ
๒. สริ มิ งคลในพระคณุ ของพระพทุ ธมี ๕๖ คณุ พระธรรม ๓๘ คณุ พระสงฆ์ ๑๔ โดยนบั ตาม
พยางคข์ องอกั ขระสรรเสรญิ พระพทุ ธคณุ รวมเปน็ ๑๐๘
๓. สริ มิ งคลจากการนบั วตั ถมุ งคลตา่ ง ๆ ในหตั ถศาสตร์ บาทศาสตร์ ของพราหมณ์ อาทิ
หอย ธนู บว่ งบาศ เปน็ ตน้ รวมเปน็ ๑๐๘
๔.สริ มิ งคลจากการนบั ดวงจติ ๑๐๘ดวงการนบั ตณั หา๑๐๘จำ� พวกในพระอภธิ รรมมตั ถะสงั คหะ
นบั เปน็ จำ� นวน ๑๐๘
๕. สริ มิ งคลจากการโคจรรปู ดวงอาทติ ยข์ องดาวนพเคราะห์ ๙ ดวงใน ๑๒ ราศี รวมกนั เปน็
๑๐๘๑๐๑
รอยพระพทุ ธบาทไม้ ลงรกั ปิดทองประดับมกุ
242 วดั พระสงิ ห์วรมหาวิหาร อำ�เภอเมือง จงั หวัดเชียงใหม่
243
ดอกบวั ในสญั ลกั ษณม์ งคล ๑๐๘ ประการ
สญั ลกั ษณภ์ าพดอกบวั ปรากฏอยใู่ นองคป์ ระกอบของสญั ลกั ษณม์ งคล ๑๐๘ ประการ บนรอย
พระพุทธบาท ได้แก่ ๑. สัญลกั ษณ์ดอกบวั แดง (รัตตปุ ปะลงั ) ได้แก่ ดอกอุบลแกว้ สีแดง ทำ� ให้
พุทธสิริมงคลเจริญ อันเกิดขึ้นที่ฝ่าพระบาททั้งสองของพระพุทธเจ้า ๒. สัญลักษณ์ดอกบัวขาบ
(นีลุปปะลัง) ได้แก่ ดอกอุบลแก้วสีเขียว ท�ำให้พุทธสิริมงคลเจริญ ๓. สัญลักษณ์ดอกบัวขาว
(เสตุปปะลัง) เป็นดอกบัวแก้วสีขาว เหมือนแก้วมณีและแก้วมุกดา ท�ำให้พุทธสิริมงคลเจริญ
๔. สญั ลกั ษณด์ อกบวั หลวงชมพู (ปทมุ งั ) เปน็ ดอกบวั หรอื ปทมุ แกว้ สเี หมอื นแกว้ มณี ทำ� ใหส้ ริ มิ งคลเจรญิ
และ ๕. สญั ลกั ษณด์ อกบวั หลวงขาว (ปณุ ฑรกิ งั ) เปน็ ดอกปทมุ แกว้ สขี าวเหมอื นแกว้ มกุ ดา ชอื่ วา่
บณุ ฑรกิ า ทำ� ใหพ้ ทุ ธสริ มิ งคลเจรญิ
244
สัญลกั ษณด์ อกบัว
บนรอยพระพุทธบาท 245
“...บวั มีรากขาวเกดิ แตน่ ำ้ �สะอาดในสระโบกขรณี
เปอื กตม ฝ่นุ ละออง และนำ้ �
ย่อมไมต่ ิดดอกบัวที่บานเพราะดวงอาทิตย์ ฉนั ใด
พระราชาผมู้ ีความสะอาดในการวินิจฉยั คดี
มีการงานบรสิ ุทธ์ิ ปราศจากบาปก็ฉันน้นั เหมอื นกนั
กรรมกิเลส ย่อมไม่แปดเป้อื น
เพราะพระราชาเช่นนน้ั เปรียบเหมือนบัวทเี่ กดิ ในสระโบกขรณี...”
พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
246
บทสรปุ
247
บทสรุป
คติความเช่ือเรื่องดอกบวั ในพุทธศาสนา
คตคิ วามเชอ่ื เรอ่ื งสญั ลกั ษณด์ อกบวั มเี นอื้ หาปรากฏในคมั ภรี พ์ ทุ ธศาสนาทงั้ ภาษาบาลแี ละ
ภาษาสนั สกฤต อาทิ พระไตรปฎิ กและอรรถกถา ซงึ่ นำ� มาใชเ้ ปน็ สญั ลกั ษณข์ องความบรสิ ทุ ธิ์ สะอาด
เปรยี บไดด้ งั องคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในคมั ภรี เ์ รอื่ งโลกสนั ฐานมเี นอื้ หากลา่ วถงึ เรอ่ื ง การเกดิ ขนึ้
ของโลกและจกั รวาล โดยระบวุ า่ ตน้ ไมท้ เ่ี กดิ ขน้ึ ตน้ แรกคอื กอบวั ซงึ่ เปน็ สญั ลกั ษณก์ ารเรม่ิ ตน้ ของ
กปั ใหม่ ทั้งนี้ จ�ำนวนดอกบัวทีเ่ กดิ ขึน้ ยงั เป็นนมิ ติ หมายถึงจำ� นวนของพระพทุ ธเจา้ ทีจ่ ะอบุ ตั ขิ ้นึ
ในกปั นนั้ ๆ นอกจากนี้ ในมหาปรุ สิ ลกั ษณะและอนพุ ยญั ชนะกน็ ำ� ลกั ษณะของดอกบวั มาเปรยี บกบั
ลกั ษณะมหาบรุ ษุ ของพระพทุ ธองคแ์ บบบคุ ลาธษิ ฐาน
สญั ลกั ษณด์ อกบวั ยงั มคี วามหมายเกย่ี วขอ้ งกบั เรอื่ งราว และเหตกุ ารณใ์ นพทุ ธประวตั ติ อนตา่ ง ๆ
อยเู่ สมอ ตง้ั แตใ่ นพระอดตี ชาตติ ลอดมาจนกระทงั่ ตอนพระโพธสิ ตั วจ์ ตุ จิ ากสวรรคช์ น้ั ดสุ ติ ตอนประสตู ิ
แลว้ เสจ็ ดำ� เนนิ ไป ๗ กา้ ว แตล่ ะกา้ วมดี อกบวั ผดุ ขน้ึ มารองรบั ตอนตรสั รแู้ ลว้ ทรงพจิ ารณาอธั ยาศยั
ของเวไนยสตั ว์ โดยเปรยี บเทยี บกบั บวั ๓ เหลา่ ในชว่ งของการเผยแผธ่ รรมะ เชน่ เมอื่ ทรงตรสั ตอบ
คำ� ถามของโทณพราหมณ์ และการแสดงปาฏหิ ารยิ โ์ ปรดครหทนิ เปน็ ตน้ นอกจากน้ี ยงั ปรากฏเรอ่ื งราว
ของการใชด้ อกบวั เปน็ เครอ่ื งสกั การบชู าพระทปี งั กรพทุ ธเจา้ โดยพระโพธสิ ตั วน์ ามวา่ สเุ มธดาบส
ซึ่งได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า พระสมณโคดมใน
อนาคตกาล สว่ นคตเิ รอ่ื งพระอดตี พทุ ธเจา้ กม็ สี ญั ลกั ษณข์ องดอกบวั เขา้ มาเกยี่ วขอ้ ง เชน่ เรอ่ื งราว
ประวตั ขิ องพระปทมุ พทุ ธเจา้ เนอื่ งจาก ในวนั ประสตู ขิ องพระองคน์ น้ั มดี อกบวั ตกลงมาจากฟากฟา้
ดจุ ดงั หา่ ฝนทวั่ ทง้ั ชมพทู วปี ดว้ ยเหตนุ ี้ พระญาตวิ งศจ์ งึ ขนานพระนามวา่ “ปทมุ ” เปน็ ตน้
สญั ลักษณ์ดอกบัวในศิลปกรรมล้านนา
รปู ทรงและสสี นั ทม่ี คี วามงดงามตามธรรมชาตขิ องดอกบวั ยงั เปน็ แรงบนั ดาลใจใหแ้ กน่ ายชา่ ง
และศลิ ปนิ ในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปกรรมลา้ นนาแขนงตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ สถาปตั ยกรรม ประตมิ ากรรม
และจติ รกรรม ในงานสถาปตั ยกรรมไทยนยิ มนำ� สว่ นตา่ ง ๆ ทง้ั รปู ทรง กลบี ดอก เกสร ใบ และเครอื กา้ น
ของบวั มาประดบั ตง้ั แตฐ่ านลา่ งไปจนถงึ สว่ นยอด โดยมชี อ่ื เรยี กองคป์ ระกอบสถาปตั ยกรรมสว่ นตา่ ง ๆ
เช่น ฐานปัทม์ หรือฐานบวั บวั ถลา บัวกลมุ่ บัวเชิง บวั รัดเกล้า บัวฝาละมี บัวคอเส้ือ บัวปากฐาน
บวั ปากระฆงั บวั ฟนั ยกั ษ์ บวั หลงั เบยี้ บวั หวั เสา บวั เกสร หรอื บวั แวง เปน็ ตน้
248