คตไิ ตรภูมิและจักรวาลวทิ ยาในพุทธศาสนาในศลิ ปะล้านนา
หลกั ฐานจากงานวรรณกรรมเกย่ี วกบั เรอ่ื งคตจิ กั รวาลในวฒั นธรรมลา้ นนา ซง่ึ พระภกิ ษทุ ี่
เปน็ ปราชญใ์ นพระพทุ ธศาสนาไดร้ จนาคมั ภรี ต์ า่ ง ๆ ไวเ้ ปน็ จำ� นวนมาก อาทิ จกั กวาฬทปี นี อรณุ วดสี ตู ร
สงั ขยาโลก โลกจนิ ตา และโลกสณั ฐาน เปน็ ตน้ สว่ นงานศลิ ปกรรมลา้ นนาทเ่ี นอื่ งในพระพทุ ธศาสนา
สว่ นมาก กจ็ ะอาศยั เรอ่ื งราวและรปู สญั ลกั ษณท์ เี่ กดิ จากการตคี วามเนอื้ หาจากคตจิ กั รวาลวทิ ยาใน
พุทธศาสนา น�ำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ ได้แก่
สถาปตั ยกรรม จติ รกรรม ประตมิ ากรรม และงานพทุ ธศลิ ปอ์ นื่ ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ จติ รกรรม
ประเพณที ปี่ รากฏในเขตวฒั นธรรมลา้ นนา ทถ่ี า่ ยทอดแนวคดิ และสญั ลกั ษณจ์ ากคตคิ วามเชอ่ื เรอ่ื ง
ไตรภมู แิ ละจกั รวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนารปู แบบตา่ งๆ เชน่ แนวคดิ คตไิ ตรภมู ิ แนวคดิ เรอ่ื งอายตนะโลก
แนวคดิ เรอ่ื งสงั สารวฏั และแนวคดิ อนนั ตจกั รวาล เปน็ ตน้
สัตตภณั ฑ์
วหิ ารวดั บ้านก่อ
อำ�เภอวังเหนอื จังหวดั ลำ�ปาง149
สญั ลกั ษณดอกบัว
จิตรกรรมบนเพดานถำ้�อชันตา
เมอื งออรังกาบาด รัฐมหาราษฎร์
150 ประเทศอินเดีย
แนวคิดอนันตจักรวาลในพุทธศาสนา
ความหมายของ อนนั ตจกั รวาล คอื จกั รวาลจำ� นวนมากมายนบั ไมถ่ ว้ น โลกจกั รวาลทเี่ รา
อาศยั อยเู่ ปน็ เพยี งสว่ นหนงึ่ ของอนนั ตจกั รวาล ซง่ึ มขี นาดกวา้ งใหญไ่ มอ่ าจหาขอบเขตได้ และประกอบดว้ ย
จกั รวาลตา่ ง ๆ เปน็ จำ� นวนมาก โดยแตล่ ะจกั รวาลมลี กั ษณะและองคป์ ระกอบสว่ นตา่ ง ๆ เหมอื นกนั ทง้ั สนิ้
แมก้ ระนน้ั จกั รวาลทงั้ ปวงกย็ งั มคี วามเปลย่ี นแปลงอยเู่ สมอ ไมม่ จี กั รวาลหรอื โลกธาตใุ ดคงทถ่ี าวร
แนวคดิ เรอ่ื งอนนั ตจกั รวาล ยงั ทำ� หนา้ ทเ่ี ชอื่ มโยงกบั หลกั ธรรมเรอ่ื ง ไตรลกั ษณ์ กลา่ วคอื โลกและ
จกั รวาลทง้ั หมดลว้ นแลว้ แตอ่ ยภู่ ายใตก้ ฎไตรลกั ษณ์ หรอื สามญั ลกั ษณะ เนอื่ งจากสรรพสงิ่ ทง้ั หลาย
ตอ้ งมคี วามเปลย่ี นแปลงไปตามเหตตุ ามปจั จยั (อนจิ จงั ) ไมส่ ามารถดำ� รงคงอยใู่ นสภาพเดมิ ไดต้ ลอดกาล
(ทกุ ขงั ) และไมม่ ตี วั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ ดงั นนั้ จงึ ไมส่ ามารถบงั คบั หรอื กำ� หนดใหเ้ ปน็ ไปตามความตอ้ งการ
ของเราได้ (อนัตตา) โลกและจักรวาลย่อมมีการเกิดขึ้น ต้ังอยู่ และดับไป อยู่เสมอเป็นธรรมดา
ด้วยเหตุนี้ การอธิบายคติจักรวาลในเชิงวัตถุวิสัย จึงเป็นเคร่ืองมือส�ำคัญที่ช่วยให้เรียนรู้และเกิด
ความเขา้ ใจความจรงิ ตามธรรมชาตไิ ดไ้ มย่ าก เพอ่ื ใหค้ ลายความยดื มน่ั ถอื มน่ั ในสง่ิ ทง้ั หลายทงั้ ปวง๖๕
คตจิ กั รวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา 151
จิตรกรรมสมุดภาพไตรภูมิ
ฉบบั อกั ษรขอม
แนวคดิ อนนั ตจักรวาลในพุทธศาสนา
จกั รวาลมีจ�ำนวนมากมายนบั ไมถ่ ้วน เปรียบดังเชน่ ถา้ แสนโกฏจิ กั รวาลเป็นพืน้ ทว่ี ่าง ๆ
เมอ่ื นำ� เมลด็ พนั ธผ์ุ กั กาดใสไ่ ปใหเ้ ตม็ แสนโกฏจิ กั รวาลสงู ขนึ้ ไปจนถงึ ชน้ั พรหมโลก เมลด็ พนั ธผ์ุ กั กาด
เมลด็ หนงึ่ เปรยี บเสมอื นเปน็ หนงึ่ จกั รวาล จากนนั้ นำ� เมลด็ ผกั กาดออกทลี ะเมลด็ ไปวางเรยี งไวท้ าง
ทิศเหนือ จนกระทั่งเมล็ดผักกาดหมด จักรวาลทางทิศเหนือก็ยังมีอยู่อีกมากมาย ไม่มีท่ีสิ้นสุด
สว่ นในทศิ ใต้ ทศิ ตะวนั ออก และทศิ ตะวนั ตก กท็ ำ� แบบเดยี วกนั กบั ทางทศิ เหนอื คอื หยบิ เมลด็ ผกั กาด
ซง่ึ เตม็ ทง้ั แสนโกฏจิ กั รวาลออกทลี ะเมลด็ วางเรยี งออกไป จนกระทงั่ เมลด็ ผกั กาดหมด จกั รวาลกย็ งั มอี ยู่
เปน็ จำ� นวนมากมาย จงึ เรยี กรวมกนั วา่ “หมน่ื โลกธาตอุ นนั ตจกั รวาล” แมก้ ระนน้ั จกั รวาลทงั้ ปวงกย็ งั มี
การเกิดข้ึน ต้ังอยู่ และดับไป หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยไม่มีจักรวาลหรือโลกธาตุใด
อยู่คงทถี่ าวร
ในชาตสิ ดุ ทา้ ยของพระโพธสิ ตั ว์วนั ทพ่ี ระองคเ์ สดจ็ จตุ จิ ากเทวโลกสวรรคช์ น้ั ดสุ ติ ทรงถอื ปฏสิ นธิ
ในพระครรภข์ องพระนางสริ มิ หามายาพทุ ธมารดา วนั ประสตู เิ ปน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ วนั เสดจ็ ออกผนวช
วนั ตรสั รอู้ นตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณวนั ทรงแสดงปฐมเทศนาวนั ทรงปลงอายสุ งั ขารและวนั ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน
ไดเ้ กดิ เหตกุ ารณส์ ำ� คญั คอื โลกธาตจุ ำ� นวนมากเปน็ แสนโกฏจิ กั รวาลหวนั่ ไหวนนั้ หมายถงึ มหาสหสั สโี ลกธาตุ
ซ่ึงมีขนาดใหญ่ที่สุด และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพุทธประสงค์จะทรงเปล่งพระรัศมีออกจาก
พระพทุ ธสรรี ะ ใหเ้ ทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลายไดเ้ หน็ หรอื ไดย้ นิ พระสรุ เสยี งไกลออกไปทว่ั ทกุ จกั รวาล
กส็ ามารถทำ� ไดเ้ ชน่ เดยี วกนั
152
สัญลักษณดอกบัวในดาวเพดาน
พระอุโบสถ วดั พระฝาง
อำ�เภอเมือง จงั หวดั อุตรดติ ถ์ 153
ดาวเพดานสัญลกั ษณ์ “อนนั ตจกั รวาล”
ดาวเพดานทสี่ ะทอ้ นสญั ลกั ษณอ์ นนั ตจกั รวาล ไดแ้ ก่ ดาวเพดานไมจ้ ำ� หลกั ศลิ ปะสโุ ขทยั บน
เพดานหอ้ งปรางคว์ ดั พระศรมี หาธาตเุ ชลยี ง อำ� เภอศรสี ชั นาลยั จงั หวดั สโุ ขทยั ออกแบบเปน็ วงกลม
เตม็ พน้ื ทเี่ พดาน ลวดลายภายในตรงจดุ ศนู ยก์ ลางเปน็ รปู ดอกบวั บานขนาดใหญ่ แบง่ รศั มอี อกเปน็
๓ ชน้ั ซอ้ นกนั แตล่ ะชนั้ มลี วดลายรปู ทรงกลบี บวั ทม่ี รี ปู ดอกบวั บานบรรจอุ ยภู่ ายในโดยมขี นาดลดหลนั่
กนั ตามชนั้ รศั มี บรเิ วณมมุ ทง้ั ๔ เปน็ ลายเทพพนมครงึ่ องคเ์ หนอื กลบี บวั อยทู่ า่ มกลางลายเครอื เถา
มดี อกบวั รปู ทรงรที ด่ี ดั แปลงมาจากลายบวั ตรงกลาง นบั วา่ เปน็ ลายดาวเพดานทมี่ คี วามงดงามวจิ ติ ร
อลงั การ ซง่ึ เปน็ การแสดงถงึ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งของงานศลิ ปะในยคุ สมยั สโุ ขทยั อยา่ งแทจ้ รงิ
154
สัญลักษณดอกบวั ในดาวเพดาน 155
เพดานหอ้ งปรางค์วัดพระศรีมหาธาตเุ ชลยี ง
อ�ำ เภอศรสี ชั นาลยั จังหวดั สโุ ขทยั
ดาวเพดานสัญลกั ษณ์ “อนนั ตจกั รวาล”
จติ รกรรมลายดาวเพดานภายในวหิ ารวดั บา้ นกอ่ ตำ� บลวงั ทรายคำ� อำ� เภอเวยี งเหนอื จงั หวดั
ลำ� ปาง มลี กั ษณะเปน็ ดาวเพดานบนพนื้ กระดานไม้ ทำ� เปน็ ตารางจำ� นวน ๓๖ ชอ่ ง ตดิ ตง้ั บนเพดาน
ของวหิ ารบรเิ วณเหนอื เศยี รพระพทุ ธรปู ประธาน เปน็ งานจติ รกรรมเขยี นสแี ละตดั เสน้ รปู ทรงดว้ ย สฟี า้
สชี มพู สขี าว บนพนื้ ไมส้ แี ดงเลอื ดหมู รปู ทรงดาวเพดานแตล่ ะชอ่ งออกแบบใหม้ คี วามแตกตา่ งกนั ไป
จดั เปน็ งานจติ รกรรมสกลุ ชา่ งพน้ื บา้ นทสี่ ะทอ้ นถงึ อตั ลกั ษณข์ องตนเองดว้ ยความงามแบบเรยี บงา่ ย
ตรงไปตรงมา ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงคุณค่าทางศิลปะ อันเกิดจากความมีเอกภาพใน
งานสถาปตั ยกรรม ประตมิ ากรรม และจติ รกรรม ภายในวหิ ารแหง่ น๖้ี ๖
วหิ ารวัดบา้ นก่อ
156 อ�ำ เภอวังเหนอื จังหวดั ล�ำ ปาง
จิตรกรรมลายดาวเพดาน 157
วิหารวัดบ้านกอ่
อ�ำ เภอวงั เหนือ จงั หวัดลำ�ปาง
158
จิตรกรรมลายดาวเพดาน
วิหารวัดบ้านกอ่
อ�ำ เภอวงั เหนือ จงั หวัดลำ�ปาง
159
ดาวเพดานสัญลักษณ์ “อนนั ตจักรวาล”
ลายดาวเพดานภายในวหิ ารวดั ตน้ เกวน๋ ตำ� บลหนองควาย อำ� เภอหางดง จงั หวดั เชยี งใหม่
มีลักษณะเป็นงานประติมากรรมผสมกับงานจิตรกรรมเขียนสีบนพ้ืนกระดานไม้ ท�ำเป็นตาราง
สี่เหล่ียมจตุรัส โดยก�ำหนดต�ำแหน่งการติดต้ังบนเพดานของวิหารบางส่วนที่มีความหมายและ
ความสำ� คญั เทา่ นน้ั ไดแ้ ก่ บรเิ วณดา้ นบนหอ้ งทา้ ยวหิ ารเหนอื เศยี รพระพทุ ธรปู ประธาน และบรเิ วณ
ดา้ นขา้ งวหิ ารบรเิ วณทเ่ี ปน็ อาสนะของพระสงฆท์ งั้ ดา้ นทศิ เหนอื และทศิ ใตข้ องวหิ าร ซง่ึ ไมป่ ดิ พนื้ ที่
เพดานวหิ ารทง้ั หมด ยงั เปดิ ใหเ้ หน็ โครงสรา้ งแบบมา้ ตา่ งไหม อนั เปน็ ลกั ษณะพเิ ศษของวหิ ารลา้ นนา
ไดอ้ ยา่ งชดั เจน สว่ นรปู ทรงดาวเพดานภายในวหิ ารวดั ตน้ เกวน๋ นน้ั มอี งคป์ ระกอบ ๒ สว่ น ทง้ั ทเ่ี ปน็
รปู แบบงานจติ รกรรม และประตมิ ากรรม กลา่ วคอื สว่ นแรกคอื รปู ทรงดาวมกี ลบี เลก็ ๆ ซอ้ นกนั ๒
ชน้ั เปน็ งานแกะสลกั ไม้ ลงรกั ปดิ ทองประดบั กระจกสี สว่ นทสี่ องเปน็ พน้ื เพดานไมท้ ลี่ งสหี างและรกั
เขียนเป็นลวดลายประดิษฐ์จากลายพรรณพฤกษา ขดเป็นวงกลมลงในช่องตารางส่ีเหล่ียมจัตุรัส
โดยลวดลายในแต่ละช่องมีรูปแบบเฉพาะท่ีไม่ซ้ำกัน นับว่าเป็นจิตรกรรมลายดาวเพดานที่มี
ความงดงามและคณุ คา่ ทางศลิ ปะ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ภมู ปิ ญั ญาและจนิ ตนาการความคดิ สรา้ งสรรค์
ของชา่ งเขยี นชาวลา้ นนาในอดตี ไดเ้ ปน็ อยา่ งด๖ี ๗
160
จติ รกรรมและประตมิ ากรรมดาวเพดาน 161
วหิ ารวัดต้นเกว๋น (วัดอนิ ทราวาส)
อำ�เภอหางดง จงั หวดั เชยี งใหม่
สญั ลักษณด์ อกบัวในนรกภูมิ
สญั ลกั ษณด์ อกบวั ยงั ปรากฏอยใู่ นคตคิ วามเชอ่ื เรอ่ื งไตรภมู ใิ นสว่ นทเี่ ปน็ รายละเอยี ดของ
นรกภูมิอกี ด้วย กล่าวคือ นรกภมู ิ เปน็ โลกทป่ี ราศจากความสุขโดยสิน้ เชิง เตม็ ไปด้วยทุกขเวทนา
มากเหลอื ประมาณ อนั เนอื่ งมาจากความเรา่ รอ้ นของไฟนรกและการทรมานสตั วน์ รกดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ
โดยนายนิรยบาล นรกภูมมิ ีอาณาบรเิ วณกวา้ งใหญ่ไพศาลมาก แบง่ เป็นนรกขมุ ใหญ่ ๘ ขมุ ไดแ้ ก่
สญั ชวี นรก กาฬสตุ ตนรก สงั ฆาฏนรก โรรวุ นรก มหาโรรวุ นรก ตาปนรก มหาตาปนรก และอเวจี
มหานรก และยงั มนี รกบรวิ ารอกี ๑๖ ขมุ
162
นรกภมู ิ
จติ รกรรมสมดุ ภาพไตรภูมิ
ฉบับกรงุ ธนบุรี
163
โรรวุ นรก
จติ รกรรมสมดุ ภาพไตรภมู ิ
164 ฉบับกรงุ ธนบรุ ี
สัญลกั ษณ์ดอกบัวในโรรวุ นรก
สญั ลกั ษณด์ อกบวั ใน โรรวุ นรก ซึง่ เปน็ นรกใหญ่ขมุ ท่ี ๔ โรรวุ นรกเตม็ ไปดว้ ยต้นบัวเหลก็
มหี นามยาวขนาดใหญ่ ลกุ โชตชิ ว่ งดว้ ยเปลวไฟ สตั วน์ รกนงั่ อยบู่ นตน้ บวั เหลก็ นน้ั ตน้ ละ ๑ ตวั บางตวั
มกี ายทอ่ นบนจมอยใู่ นตน้ บวั เหลก็ เหน็ แตล่ ำ� ตวั ทอ่ นลา่ ง บางตวั มกี ายทอ่ นลา่ งจมอยเู่ หน็ แตท่ อ่ นบน
ของรา่ งกาย โดยมเี ปลวเพลงิ นรกลกุ ไหมท้ ว่ มกายของสตั วน์ รก เปลวไฟวบู เขา้ ทางหขู วาทะลอุ อกหซู า้ ย
วบู เขา้ หซู า้ ยทะลอุ อกทางหขู วา วบู เขา้ ทางทวารหนกั ไปออกทางปาก สตั วน์ รกไดร้ บั ทกุ ขท์ รมาน
อยา่ งแสนสาหสั ทนไมไ่ หวกข็ าดใจตาย แตก่ ต็ อ้ งกลบั ฟน้ื คนื ชพี ขนึ้ ใหมด่ ว้ ยแรงกรรม เพอื่ รบั ทกุ ขท์ รมาน
ต่อไปอีกวนเวียนอยู่อย่างน้ีจนกว่า บาปกรรมจะเบาบางลง จากนั้นก็จะไปเกิดในอุสสทนรก
และยมโลกกิ นรกและขมุ อน่ื ๆ ตามลำ� ดบั ครน้ั ใชก้ รรมในนรกหมดสนิ้ แลว้ ยงั เหลอื เศษกรรมไดเ้ กดิ มา
เปน็ มนษุ ย์ กจ็ ะเปน็ คนอนาถา คนกำ� พรา้ หาทพี่ ง่ึ ไมไ่ ด้ ยากจนเขญ็ ใจ ไมส่ ามารถรกั ษาทรพั ยส์ มบตั ิ
ที่บิดา มารดา หรือญาตมิ ิตรใหไ้ วไ้ ด้ สาเหตุของบาปทีส่ ง่ ใหไ้ ปเกดิ ในนรกขมุ น้ี ก็เพราะกรรมชวั่
อย่างใดอย่างหน่ึง คือ ในสมัยเป็นมนุษย์ ได้เป็นพยานเท็จใส่ความคนบริสุทธิ์ หรือการคดโกง
เอาทรพั ยส์ นิ ของผอู้ นื่ และการแยง่ ชงิ คคู่ รองของคนอน่ื มาเปน็ ของตน๖๘
165
สญั ลกั ษณ์ดอกบัวในมหาโรรวุ นรก
สญั ลกั ษณด์ อกบวั ใน มหาโรรวุ นรก ซง่ึ เปน็ นรกใหญข่ มุ ที่ ๕ มหานรกขมุ นอ้ี ยใู่ ตโ้ รรวุ นรก
ลงไป ในมหาโรรวุ นรกเตม็ ไปดว้ ยตน้ บวั เหลก็ ตดิ แนน่ กนั เตม็ ไปหมดจนไมม่ ที วี่ า่ ง หนามของบวั เหลก็
แตล่ ะตน้ นน้ั มคี วามแหลมคม ยาวและใหญม่ าก ทงั้ เปน็ ไฟลกุ โชตชิ ว่ งอยเู่ ปน็ นติ ย์ โดยตน้ บวั เหลก็
แตล่ ะตน้ จะมสี ตั วน์ รกอยู่ ๑ ตวั กำ� ลงั ถกู เปลวไฟเผาผลาญอยู่ สตั วน์ รกเหลา่ นนั้ ทนความรอ้ นไมไ่ หว
กจ็ ะพลดั ตกลงจากตน้ บวั เหลก็ แลว้ ถกู นายนริ ยบาลซง่ึ รอคอยอยดู่ า้ นลา่ งกระหนำ่ แทงดว้ ยหอกและ
ฉมวก ตดี ว้ ยฆอ้ นเหลก็ ใหญจ่ นกระโหลกศรี ษะของสตั วน์ รกแตกละเอยี ด สตั วน์ รกบางตวั ถกู เปลวไฟ
วบู เขา้ ไปทางตา หู จมกู ปาก ทวารเบา และทวารหนกั ไฟนรกลกุ ลามไปทวั่ ทงั้ รา่ งกาย เผาสตั วน์ รก
จนสกุ สตั ว์นรกไดร้ บั ทกุ ขเวทนาอย่างแสนสาหสั กร็ อ้ งไห้โอษครวญดงั ไปทวั่ ยงิ่ ไปกว่าโรรุวนรก
เมอ่ื สตั วน์ รกทนทกุ ขเวทนาไมไ่ หวกข็ าดใจตาย แตก่ ต็ อ้ งกลบั มามชี วี ติ อกี เพอื่ รบั ทกุ ขท์ รมานตอ่ ไป
เพราะแรงของกรรมชว่ั วนเวยี นอยอู่ ยา่ งนจ้ี นกวา่ บาปกรรมจะเบาบางลงไป กจ็ ะไดไ้ ปเกดิ ในอสุ สทุ นรก
และยมโลกกิ นรก ตลอดจนทคุ ตภิ มู อิ น่ื ๆ ตอ่ ไป ครน้ั ไดเ้ กดิ มาเปน็ มนษุ ยก์ จ็ ะเปน็ คนกำ� พรา้ หาทพี่ ง่ึ มิได้
ไร้ซ่ึงทรัพย์และอัปปัญญา ส่วนผลของบาปกรรมที่ท�ำให้ไปเกิดในนรกขุมน้ี เช่น ในสมัยที่เกดิ
เปน็ มนษุ ยม์ ใี จบาปหยาบชา้ ชอบทบุ หวั สตั วจ์ นตาย บางคนโบกควนั เขา้ ไปในรงั หรอื โพรงทมี่ สี ตั ว์
อาศยั อยู่ แลว้ คอยดกั ทำ� รา้ ยสตั วท์ ที่ นควนั ไมไ่ หวตอ้ งคลานออกมา บางคนชอบลกั ขโมยของพระ
ภกิ ษสุ งฆ์ เปน็ ตน้ ๖๙
166
มหาโรรุวนรก
จิตรกรรมสมุดภาพไตรภูมิ
ฉบบั กรงุ ศรีอยธุ ยา
167
สัญลกั ษณด์ อกบวั ในเทวภมู ิ
คมั ภรี ท์ างพทุ ธศาสนาทมี่ เี รอ่ื งราวเกย่ี วกบั เทวภมู มิ กั กลา่ วถงึ สระบวั ในสวรรคอ์ ยเู่ สมอ กลา่ วคอื
สระบัวในสวรรค์ช้ันต่าง ๆ ซ่ึงเป็นสถานที่ส�ำหรับพักผ่อนหย่อนใจของเหล่าเทวดาท้ังหลาย
ในทา่ มกลางพระนครสทุ สั สนะ มปี ราสาทเวชยนั ต์ อนั เปน็ ทอี่ ยขู่ องทา้ วสกั กะ ตง้ั อยทู่ างทศิ ตะวนั ออก
ของพระนคร มสี วนดอกไมช้ อ่ื วา่ สวนนนั ทวนั กวา้ ง ๑,๐๐๐ โยชน์ ภายในมสี ระโบกขรณอี ยู่ ๒ สระ ชอื่
มหานนั ทา และ จฬู นนั ทา บรเิ วณสระกบั ขอบสระปลู าดดว้ ยแผน่ ศลิ า ทางดา้ นทศิ ตะวนั ตกมสี วน
ชอื่ จติ รลดา กวา้ ง ๕๐๐ โยชน์ มสี ระโบกขรณอี ยู่ ๒ สระ ชอ่ื วา่ วจิ ติ รา และ จฬู จติ รา ทางทศิ เหนอื
มสี วนชอ่ื วา่ มสิ สกวนั กวา้ ง ๕๐๐ โยชน์ มสี ระโบกขรณอี ยู ๒ สระ ชอื่ วา่ ธมั มา และสธุ มั มา ทางทศิ ใต้
มีสวนช่อื ว่า ผารสุ กวัน กว้าง ๗๐๐ โยชน์ มีสระโบรขรณอี ยู่ ๒ สระ ช่ือวา่ ภัททา และสภุ ทั ทา
สวนทงั้ ๔ นี้ เปน็ สถานทส่ี ำ� หรบั เทยี่ วพกั ผอ่ นรน่ื เรงิ ของเทวดาทง้ั หลายทส่ี ถติ อยใู่ นสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส์
168
จิตรลดาวันอุทยาน สวรรค์ชน้ั ดาวดึงส์ 169
จิตรกรรมสมดุ ภาพไตรภูมฉิ บบั กรุงธนบรุ ี
สญั ลักษณ์ดอกบัวกับพระอริยบคุ คล ๔
สญั ลกั ษณด์ อกบวั จากภาพปรศิ นาธรรมของพระอรยิ บคุ คลในสมดุ ภาพไตรภมู ิ พระอรยิ บคุ คล
แปลวา่ บคุ คลผปู้ ระเสรฐิ , ผไู้ กลจากขา้ ศกึ , ผหู้ กั กำ� ลอ้ สงั สารวฏั ไดแ้ ลว้ แบง่ ไดห้ ลายประเภทคอื แบง่ อยา่ ง
ใหญไ่ ดเ้ ปน็ พระเสขะและพระอเสขะ แบง่ ตามประเภทบคุ คลมี ๔ ประเภทดว้ ยกนั คอื พระโสดาบนั
พระสกทิ าคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต์ และยงั แบง่ ยอ่ ยเปน็ ๘ ประเภท คอื โสดาปตั ตมิ รรค
โสดาปตั ตผิ ล สกทิ าคามมี รรค สกทิ าคามผี ล อนาคามมี รรค อนาคามผี ล อรหตั มรรค อรหตั ผล๗๐
โดยมสี ญั ลกั ษณด์ อกบวั เปน็ เครอ่ื งหมายทแี่ สดงถงึ พระนพิ พาน หรอื สภาวะของความหลดุ พน้ จาก
กเิ ลสทง้ั ปวงนนั่ เอง
170
สญั ลักษณ์ดอกบวั ในภาพพระอริยบุคคล ๔ 171
จิตรกรรมสมดุ ภาพไตรภมู ฉิ บับกรุงธนบรุ ี
สัญลกั ษณ์ดอกบวั ในมหานครนิพพาน
ภาพปรศิ นาธรรมแสดงสญั ลกั ษณม์ หานครนพิ พานในสมดุ ภาพไตรภมู ิปรากฏภาพดอกบวั บาน
อยู่ในสระโบกขรณี โดยอ้างจากค�ำบรรยายพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรอ่ื งพระนครนพิ พาน ความวา่
“...เมอื งนครนพิ พาน บมใิ กลบ้ มไิ กลบมติ ำ่ บมสิ งู แตจ่ ะเอายากนกั มกี �ำแพง ๕ ชนั้ มกี �ำแพง ๘ ชนั้
๑๐ ชน้ั มปี ระตเู มอื งแลหอเมอื ง มคี ู ๔ ชน้ั มหี นทางถนนหลวง ๒๔ มตี ลาด ๓๗ มคี า่ ยมเี ขอ่ื นขนั หมน้ั คง
มีปราสาท ๗ ชั้น มีแท่นที่นอนปัจลงลาดปูห้องที่นอน มีประทีปตามทุกเมื่อ มีพ้ืนแผ่นดินย้อม
เรี่ยรายไปด้วยทรายแก้ว มีสระโบกขรณีเตมบริบูรรณด้วยน้ำอันเยน มีดอกบัวบานอยู่บมิขาด
มหี มแู่ มลงผง้ึ แมลงภเู อาชาตเิ กสรดอกบวั บมขิ าดมหี มนู่ กยงู นกกเรยี นนกจากพรากแลราชหงษ แดง ขาว
มารอ้ งไพเราะทกุ เมอ่ื แล...”๗๑
172
สญั ลกั ษณดอกบัวมหานครนพิ พาน 173
จิตรกรรมสมดุ ภาพไตรภมู ิฉบับกรุงธนบรุ ี
สัญลกั ษณด์ อกบวั ในแนวคดิ มหาปรุ ิสลกั ษณะ
ความหมายของมหาปุริสลักษณะ
มหาปรุ สิ ลกั ษณะ หมายถงึ ลกั ษณะของมหาบรุ ษุ มี ๓๒ ประการ ศพั ทค์ ำ� วา่ มหา แปลวา่
มาก, ใหญ,่ ยงิ่ ใหญ่ และคำ� วา่ ปรุ สิ แปลวา่ ผชู้ ายหรอื บรุ ษุ ซง่ึ เปน็ ความรทู้ ไ่ี ดร้ บั การถา่ ยทอดมาจาก
ตำ� ราทแี่ ตง่ ขน้ึ โดยพราหมณค์ ณาจารยผ์ ทู้ รงคณุ วฒุ หิ ลายสำ� นกั เมอ่ื ประมาณ ๑,๐๐๐ ปกี อ่ นสมยั
พทุ ธกาล ตำ� รานตี้ า่ งคนตา่ งแตง่ ขน้ึ มาตามความคดิ เหน็ ของตนมไิ ดป้ รกึ ษาหารอื กนั แตม่ เี นอ้ื หาตรงกนั
เปน็ ทนี่ า่ อศั จรรย์ โดยกลา่ วถงึ บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยลกั ษณะของบรุ ษุ ผยู้ ง่ิ ใหญ่ อนั เปน็ คตขิ องบคุ คลเพยี ง
๒ ประเภท คอื ถา้ อยคู่ รองฆราวาส ผนู้ น้ั จกั ไดเ้ ปน็ พระเจา้ จกั รพรรดริ าชผทู้ รงธรรมมมี หาสมทุ รทง้ั
๔ เปน็ ขอบเขต ประการหนงึ่ และถา้ ออกบวช ผนู้ นั้ จกั ไดต้ รสั รพู้ ระอนตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณเปน็
ศาสดาเอกในโลก เวลาผา่ นไปหลายรอ้ ยปกี ห็ าไดม้ ใี ครเกดิ มามลี กั ษณะตรงตามตำ� รานนั้ ไม่ แตม่ ไิ ด้
ท�ำลายต�ำรานั้นเพราะเชื่อว่าเป็นต�ำราศักดิ์สิทธิ์ อีกท้ังได้เก็บรักษาเป็นมรดกตกทอดต่อกันมา
หลายชั่วอายุคน เพราะมีความเช่ือม่ันว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งข้างหน้า บุคคลผู้มีลักษณะมหาบุรุษ
ตรงตามตำ� ราจะอบุ ตั ขิ นึ้ ในโลก เพอ่ื ขจดั ความมดื มนของสตั วโ์ ลกใหห้ มดไป๗๒
พระเจ้าเกา้ ตือ้
วดั บปุ ผาราม (วัดสวนดอก)
174 อำ�เภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่
175
มหาปุรสิ ลกั ษณะของพระพทุ ธเจา้
ในทางพระพทุ ธศาสนาไดก้ ลา่ วถงึ มหาปรุ สิ ลกั ษณะของพระพทุ ธเจา้ ซงึ่ เกดิ ขนึ้ ดว้ ยการ
บำ� เพญ็ บารมใี นชาตปิ างกอ่ น จากอานสิ งสแ์ หง่ การสรา้ งกศุ ลกรรมแตล่ ะอยา่ งสง่ ผลใหเ้ กดิ ลกั ษณะ
ของมหาบรุ ษุ ๓๒ประการรวมทงั้ ยงั ปรากฏองคป์ ระกอบยอ่ ยเรยี กวา่ อสตี ยานพุ ยญั ชนะหรอื อนพุ ยญั ชนะ
๘๐ ประการ โดยมเี นอ้ื หาปรากฏในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ มหาปทานสตู ร แหง่ ทฆี นกิ าย
มหาวรรคและลกั ขณสตู รแหง่ ทฆี นกิ ายปาฏกิ วรรคพระสตุ นั ตปฎิ กและในอรรถกถาคอื สมุ งั คลวลิ าสนิ ี
อรรถกถามหาปทานสูตร แห่งทีฆนิกาย โดยพระพุทธโฆษาจารย์ ตลอดจนในปกรณ์วิเสส เช่น
คมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หา เปน็ ตน้
พระพุทธรปู ทรงเครอื่ ง
ศิลปะพม่าสกุลชา่ งไทใหญ่
Nga Phe Chaung Monastery
176 ทะเลสาบอินเล รัฐฉาน ประเทศเมยี นมา
177
องคป์ ระกอบของมหาปุริสลกั ษณะ
องคป์ ระกอบของมหาปรุ สิ ลกั ษณะ ๓๒ ประการ อาท ิ มฝี า่ พระบาทราบเสมอกนั มลี ายพน้ื
พระบาทเปน็ จกั ร มนี ว้ิ ยาวเรยี ว พระชงฆ์ (แขง้ ) เรยี วดจุ แขง้ เนอ้ื ทราย พระวรกายตงั้ ตรงดจุ เทา้
มหาพรหม ดวงพระเนตรแจม่ ใสดจุ ตาลกู โคเพงิ่ คลอด และมฉี ววี รรณดจุ สที อง เปน็ ตน้ ๗๓ นอกเหนอื จาก
ลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการยังปรากฏองค์ประกอบย่อยเรียกว่า อสีตยานุพยัญชนะ
หรอื อนพุ ยญั ชนะ ๘๐ ประการ อาทิ พระกรรณ (ห)ู ยาวเหมอื นกลบี ดอกบวั พระนาสกิ (จมกู ) สงู โดง่
สวยงาม พระโขนง (ควิ้ ) โกง่ งามดจุ คนั ธนู พระโอษฐ์ (ปาก) มสี ณั ฐานงามดจุ ดอกบวั แยม้ มพี ระทนต์
(ฟนั ) ขาวบรสิ ทุ ธด์ิ จุ เปลอื กหอยสงั ข์ พระวรกายมรี ศั มสี วา่ งเปน็ ปรมิ ณฑล พระเกศา (ผม) เวยี นเปน็
ทกั ษณิ าวรรต เสน้ พระเกศาขอดเปน็ ปลายแหลมเหมอื นกน้ หอย และพระรศั มโี ชตชิ ว่ งเหนอื พระเศยี ร
เปน็ ตน้ ๗๔ จากลกั ษณะของมหาบรุ ษุ ดงั กลา่ ว ไดเ้ ปน็ ปทฏั ฐานในการสรา้ งพระพทุ ธรปู นบั จากอดตี
สบื เนอื่ งมาจนถงึ ในปจั จบุ นั
178
พระรัศมีรปู ทรงดอกบวั ตูม 179
พระพทุ ธสหิ งิ ค์ วดั พระสิงหว์ รมหาวหิ าร
อ�ำ เภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่
มหาปรุ สิ ลักษณะในคัมภีร์ทางพทุ ธศาสนา
ความหมายของมหาปรุ สิ ลกั ษณะ ในคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาท พบวา่ มเี นอ้ื หา
ปรากฏอยใู่ น ลกั ขณสตู ร พระไตรปฎิ ก ฉบบั บาลสี ยามรฐั (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๑๑ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก
เลม่ ท่ี ๓ ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค๗๕ ความวา่
“...ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย พระมหาบรุ ษุ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยมหาปรุ สิ ลกั ษณะ ๓๒ ประการเหลา่ น้ี ยอ่ มมคี ติ
เป็นสองเท่าน้ัน ไม่เป็นอย่างอ่ืน คือ ถ้าครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรมเป็น
พระราชาโดยธรรม เปน็ ใหญใ่ นแผน่ ดนิ มมี หาสมทุ ร ๔ เปน็ ขอบเขต ทรงชนะแลว้ มรี าชอาณาจกั ร
มนั่ คง สมบรู ณด์ ว้ ยแกว้ ๗ ประการ คอื จกั รแกว้ ชา้ งแกว้ มา้ แกว้ แกว้ มณี นางแกว้ คฤหบดแี กว้
ปรณิ ายกแกว้ เปน็ ท่ี ๗ พระราชบตุ รของพระองคม์ กี วา่ พนั ลว้ นกลา้ หาญ มรี ปู ทรงสมเปน็ วรี กษตั รยิ ์
สามารถยำ่ ยเี สนาของขา้ ศกึ ได้ พระองคท์ รงช�ำนะโดยธรรม โดยเสมอมติ อ้ งใชศ้ สั ตรา มติ อ้ งใชอ้ าชญา
มไิ ดม้ เี สนยี ด ครอบครองแผน่ ดนิ มสี าครเปน็ ขอบเขต มไิ ดม้ เี สาเขอื่ น มไิ ดม้ นี มิ ติ ไมม่ เี สย้ี นหนาม
ส�ำเรจ็ แพรห่ ลาย มคี วามเกษม ส�ำราญ ถา้ เสดจ็ ออกผนวชเปน็ บรรพชติ จะไดเ้ ปน็ พระอรหนั ตสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ มหี ลงั คา คอื กเิ ลสอนั เปดิ แลว้ ในโลก ดกู รภกิ ษทุ ง้ั หลาย มหาปรุ สิ ลกั ษณะ ๓๒ ประการนน้ั
เปน็ ไฉน ซงึ่ พระมหาบรุ ษุ ประกอบแลว้ ยอ่ ม มคี ตเิ ปน็ สองเทา่ นน้ั ไมเ่ ปน็ อยา่ งอนื่ คอื ถา้ ครองเรอื น
จะไดเ้ ปน็ พระเจา้ จกั รพรรดิ ฯลฯ อนง่ึ ถา้ พระมหาบรุ ษุ นนั้ เสดจ็ ออกผนวชเปน็ บรรพชติ จะไดเ้ ปน็
พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มหี ลงั คา คอื กเิ ลสอนั เปดิ แลว้ ในโลก…”
พระมหามยั มนุ ี
วดั พระมหามยั มุนี
180 เมอื งมณั ฑเลย์ ประเทศเมยี นมา
181
มหาปุริสลกั ษณะ ๓๒ ประการ
มหาปรุ สิ ลกั ษณะทง้ั ๓๒ ประการ ของพระพทุ ธเจา้ ซง่ึ ปรากฏอยใู่ นลกั ขณสตู ร พระไตรปฎิ ก
ฉบบั บาลสี ยามรฐั เลม่ ที่ ๑๑ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก เลม่ ที่ ๓ ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค พบวา่ มเี นอ้ื หาเกยี่ วกบั
องค์ประกอบของมหาปุริสลักษณะ แสดงไว้อย่างละเอียดครบถ้วน โดยสามารถแบ่งออกเป็น
ลกั ษณะตา่ ง ๆ ได้ ๓๒ ประการ๗๖ ดงั น ้ี
๑. สปุ ตฏิ ฐฺ ติ ปาโท มฝี า่ พระบาทราบเสมอกนั
๒. เหฏฐฺ าปทตเลสุ จกกฺ านิ ชาตานิ ลายพน้ื พระบาทเปน็ จกั ร
๓. อายตปณหฺ ิ มสี น้ พระบาทยาว
๔. ทฆี งคฺ ลุ ี มนี ว้ิ ยาวเรยี ว
๕. มทุ ตุ ลนหตถฺ ปาโท ฝา่ พระหตั ถแ์ ละฝา่ พระบาทออ่ นนมุ่
๖. ชาลหตถฺ ปาโท ฝา่ พระหตั ถแ์ ละฝา่ พระบาทมลี ายดจุ ตาขา่ ย
๗. อสุ สฺ งขฺ ปาโท มพี ระบาทเหมอื นสงั ขค์ วำ่ อฐั ขอ้ พระบาทตง้ั ลอยอยหู่ ลงั พระบาท
กลอกไดค้ ลอ่ ง เมอ่ื ทรงดำ� เนนิ ผดิ กบั สามญั ชน
182
๘. เอฌชิ งโฺ ฆ พระชงเรยี วดุจแขง้ เนอื้ ทราย
๙. ฐติ โก ว อโนนมนโฺ ต อุโภหิ ปานิตเลหิ ชณณฺ กุ านิ ปรามสติ เม่ือยืนตรงพระหตั ถท์ ั้งสองลบู จับถึงพระชานุ
๑๐. โกโสหิตวตฺถคยุ ฺโห มีพระคุยหะเร้นอยใู่ นฝกั
๑๑. สุวณฺณวณโฺ ณ มฉี ววี รรณดจุ สที อง
๑๒. สุขมุ จฺฉวิ พระฉวีละเอยี ด ธุลีละอองไมต่ ดิ กาย
๑๓. เอเกกโลโม เส้นพระโลมาเฉพาะขุมละเส้น ๆ
๑๔. อุทธฺ คฺคโลโม เส้นพระโลมาดำ�สนิทเวยี นเปน็ ทักษณิ าวรรต มีปลายงอนข้นึ ข้างบน
๑๕. พฺรหมฺ ุชุคตโฺ ต พระกายตั้งตรงดจุ เท้ามหาพรหม
๑๖. สตฺตสุ ฺสโท มพี ระมงั สะอมู ในที่ ๗ แหง่ คอื หลังพระหตั ถ์ท้งั ๒ หลังพระบาททง้ั ๒
พระองั สาทัง้ ๒ ลำ�พระศอ
๑๗. สหี ปพุ พฺ ฑฺฒกาโย มพี ระสรรี กายบริบรู ณด์ ุจกึง่ ทอ่ นหนา้ แห่งพระยาราชสหี ์
๑๘. ปตี นฺตรโํ ส พระปฤษฎางค์ราบเสมอกนั
๑๙. นโิ ครฺ ธปริมณฑฺ โล ส่วนพระกายเป็นปริมณฑลแห่งต้นไทร (ความสงู เทา่ กับวาของพระองค์)
๒๐. สมวฏฺฏกฺขนโฺ ธ มลี ำ�พระศอกลมงามตลอด
๒๑. รสคคฺ สคฺค ี มีเส้นประสาทรบั รสพระกระยาหารอันดี
๒๒. สีหหนุ มพี ระหนดุ ุจคางแห่งราชสีห์ (โคง้ เหมือนวงพระจนั ทร)์
๒๓. จตฺตาฬสี ทนฺโต พระทนต์ ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่)
๒๔. สมทนฺโต พระทนต์เรยี บเสมอกัน
๒๕. อวิวรทนโฺ ต พระทนตเ์ รียบสนทิ มิไดห้ ่าง
๒๖. สสุ ุกฺกทาโฐ เขย้ี วพระทนตท์ งั้ ๔ ขาวงามบริสุทธ์ิ
๒๗. ปหตู ชวิ ฺโห พระชิวหาอ่อนและยาว
๒๘. พรฺ หมฺ สโร กรวกิ ภาณี พระสุรเสียงดจุ เทา้ มหาพรหม ตรสั มีสำ�เนียงดจุ นกการเวก
๒๙. อภินีลเนตฺโต พระเนตรดำ�สนทิ
๓๐. โคปขุโม ดวงพระเนตรแจม่ ใสดจุ ตาลกู โค
๓๑. อณุ ฺณา ภมกุ นตฺ เร ชาตา มพี ระอุณาโลมระหวา่ งพระโขนงเวียนขวา
๓๒. อณุ ฺหสิ สีโส มพี ระเศยี รงามบรสิ ุทธดิ์ ุจประดับด้วยกรอบพระพกั ตร์
183
อนพุ ยัญชนะ ๘๐ ประการ
๑. น้ิวพระหัตถแ์ ละนิ้วพระบาทเรยี วแหลมตง้ั แตโ่ คนจนถงึ ปลายน้วิ
๒. นว้ิ พระหตั ถแ์ ละนว้ิ พระบาทกลมงามดุจกลงึ ไว้
๓. พระนขา (เลบ็ ) มีสแี ดงสวยงาม
๔. ปลายเลบ็ พระหตั ถ์ ๑๐ นิ้ว มีปลายงอนขนึ้ สวยงาม
๕. พระโขนง (คว้ิ ) มีวรรณะเกลย้ี งกลมดำ�สนิทสวยงาม
๖. พระบาทและพระหตั ถซ์ อ่ นอยใู่ นพระมงั สะไมป่ รากฏนนู ข้นึ
๗. ขอ้ พระบาทและขอ้ พระหัตถซ์ ่อนอยู่ในพระมังสะไม่ปรากฏนนู ขึ้น
๘. ทรงพระดำ�เนินสง่างามดจุ โคอสุภะ
๙. ขณะพระดำ�เนินจะยกพระบาทขวาก่อน พระกายเบื้องขวายักยา้ ยตาม
๑๐. พระชานุ (หัวเขา่ ) เกลยี้ งกลม ไม่ปรากฏลกู สะบ้า
๑๑. มลี กั ษณะบรุ ุษสมบูรณ์ไมม่ ีกริ ยิ าสตรี
๑๒. มีพระนาภี (สะดือ) กลมงามไมบ่ กพรอ่ ง
๑๓. หน้าพระอุทร (ทอ้ ง) สณั ฐานลกึ
๑๔. หน้าพระอุทร มลี ายเวียนเป็นทักษิณาวรรต (เวียนขวา)
๑๕. ลำ�พระเพลาท้ัง ๒ (ทอ่ นขา) กลมงามเหมอื นทอ่ นกลว้ ย
๑๖. ลำ�พระกรทัง้ ๒ (ท่อนแขน) กลมงามเหมอื นงาชา้ ง
๑๗. พระอวยั วะน้อยใหญบ่ รบิ ูรณห์ าทต่ี มิ ิได้
๑๘. พระมงั สะที่ควรหนากห็ นา ทค่ี วรบางก็บาง
๑๙. พระมงั สะมไิ ด้หดและเห่ยี วยน่ ในทีใ่ ดทหี่ นึง่
๒๐. มพี ระสรรี ะทง้ั ปวงปราศจากไฝและปาน
184
๒๑. มีพระสรีระทง้ั ปวงปราศจากมูลแมลงวนั
๒๒. พระวรกายบริสุทธท์ิ ง้ั เบื้องบนและเบือ้ งล่าง
๒๓. พระวรกายบรสิ ทุ ธิป์ ราศจากมลทนิ ทงั้ ปวง
๒๔. ทรงมีพระกำ�ลงั มากเทา่ กับช้างลา้ นเชือก
๒๕. พระนาสิก (จมกู ) โด่งสวยงาม
๒๖. สณั ฐานพระนาสกิ งามแฉล้มแช่มชอ้ ย
๒๗. ริมพระโอษฐ์เบอ้ื งบนเบื้องลา่ งเสมอกนั ดี
มสี ีแดงดจุ ผลตำ�ลงึ สกุ
๒๘. มีพระทนต์บรสิ ุทธิ์ปราศจากมลทินท้ังปวง
๒๙. มีพระทนต์ขาวบริสทุ ธด์ิ จุ เปลือกหอยสังข์
๓๐. มพี ระทนต์เกลยี้ งสนิทไม่มรี วิ้ รอย
๓๑. มีพระอนิ ทรยี ์ ๕ มีพระจกั ขุนทรยี เ์ ป็นตน้ งามบรสิ ุทธิ์
๓๒. มีพระเขย้ี วแก้วทั้ง ๔ กลมสมบูรณ์ดี
๓๓. ดวงพระพกั ตรส์ ณั ฐานยาวรปู ไข่
๓๔. พระปรางทั้ง ๒ เต็มอ่ิมบริบูรณ์
๓๕. ลายพระหัตถ์ทั้งสองมรี อยลึก
๓๗. ลายพระหตั ถ์ทัง้ สองมรี อยยาว
๓๘. ลายพระหัตถ์ทงั้ สองมรี อยสแี ดงรุง่ เรือง
๓๙. พระวรกายมรี ัศมสี ว่างรอบเปน็ ปริมณฑล
๔๐. กระพุ้งพระปรางทงั้ ๒ เตม็ อ่ิมบริบรู ณ์
๔๑. กระบอกพระเนตรทงั้ ๒ ขา้ ง กวา้ งและยาวเสมอกนั
๔๒. ดวงพระเนตรประกอบดว้ ยประสาทท้ัง ๔ ผอ่ งใสบรสิ ทุ ธ์ิ
๔๓. ปลายเสน้ พระโลมา (ขน) ตรงไมค่ ดงอ
๔๔. พระชิวหา (ลน้ิ ) มสี ัณฐานสวยงาม
๔๕. พระชวิ หาอ่อนไมก่ ระด้าง
๔๖. พระชวิ หามีสแี ดงเขม้ สวยงาม
๔๗. พระกรรณ (หู) ทั้ง ๒ ข้างมีสณั ฐานยาวเหมือนกลบี ดอกบวั
๔๘. พระกรรณ ทั้งสองมสี ณั ฐานกลมงาม
๔๙. พระเส้น (เอ็น) ท้ังหลายเปน็ ระเบียบดีงาม
๕๐. พระเส้นท้ังหลายไม่หดขอด
185
๕๑. พระเสน้ ทงั้ หลายฝงั อยู่ในพระมงั สะไม่นูนข้นึ ให้เหน็
๕๒. มพี ระเศยี รสัณฐานงามเหมือนฉัตรแกว้
๕๓. พระนลาฏ (หน้าผาก) กวา้ งยาวเสมอกันสวยงาม
๕๔. พระนลาฏ มสี ัณฐานกลมสวยงาม
๕๕. พระโขนง (ค้ิว) โก่งงามเหมอื นคนั ธนู
๕๖. เสน้ พระโขนงละเอียดสวยงาม
๕๗. เส้นพระโขนงราบเรียบโดยลำ�ดับสวยงาม
๕๘. พระโขนงท้ังสองใหญ่พองาม
๕๙. พระโขนงยาวจนสุดหางพระเนตร
๖๐. ผวิ พระมงั สะละเอยี ดเหมอื นเนือ้ ทอง
๖๑. พระวรกายร่งุ เรืองไปดว้ ยพระสริ ิ
๖๒. พระวรกายมิได้มวั หมอง ผอ่ งใสอยู่เป็นนิตย์
๖๓. มพี ระวรกายสดช่ืนอยู่ตลอดเวลาดจุ ดอกปทุมชาติ
๖๔. พระวรกายออ่ นนุ่มสนิทไมแ่ ขง็ กระด้าง
๖๕. พระวรกายมีกล่นิ หอมฟงุ้ ดุจกล่ินสคุ นั ธชาติกฤษณา
๖๖. พระโลมา (ขน) เสมอกนั หมด
๖๗. เส้นพระโลมาละเอยี ดเสมอกันหมดท่ัวสรรพางค์กาย
๖๘. ลมอัสสาสะ ปสั สาสะ หายพระทยั เขา้ ออกเดินสะดวก
๖๙. พระโอษฐ์มีสัณฐานงามดุจดอกบวั แย้ม
๗๐. กลน่ิ พระโอษฐ์หอมเหมอื นดอกอบุ ล
๗๑. พระเกศาดำ�สนิทเปน็ เงางาม
๗๒. กล่ินพระเกศามกี ล่นิ หอม
๗๓. กลิ่นพระเกศาหอมดุจดอกโกมลบปุ ผาชาติ
๗๔. พระเกศามีสณั ฐานกลมสลวยทกุ เสน้
๗๕. เส้นพระเกศาดำ�สนิทเหมือนกนั ทกุ เส้น
๗๖. เส้นพระเกศาละเอียดอ่อนทุกเสน้
๗๗. เสน้ พระเกศาขอดเป็นทกั ษิณาวรรตทกุ เสน้
๗๘. เส้นพระเกศาขอดเปน็ ปลายแหลมเหมือนก้นหอย
๗๙. เส้นพระเกศามพี ระรัศมรี งุ่ เรอื ง พระพุทธรูปศิลปะพมา่ สกุลช่างไทใหญ่
Nga Phe Chaung Monastery
๘๐. เส้นพระเกศาม้วนเป็นขอดยอดแหลมบนพระเศยี ร ทะเลสาบอนิ เล รฐั ฉาน ประเทศเมยี นมา
186
187
188
สัญลกั ษณ์ดอกบัวในอนพุ ยญั ชนะ ๘๐ ประการ
สญั ลกั ษณด์ อกบวั มปี รากฏในลกั ษณะของมหาบรุ ษุ ของพระพทุ ธเจา้ หรอื เรยี กวา่ มหาปรุ สิ ลกั ษณะ
ซึ่งมีรายละเอียดของลกั ษณะปลีกยอ่ ยอน่ื อกี เรียกว่า อนพุ ยญั ชนะ ๘๐ ประการ เชน่ พระกรรณ
ทงั้ สองขา้ งมสี ณั ฐานอนั ยาวเรยี วอยา่ งกลบี ปทมุ ชาติ พระสรรี ะกายสดชน่ื ดจุ ดอกปทมุ ชาติ พระโอษฐ์
มสี ณั ฐานงามดจุ ดอกบวั แยม้ กลน่ิ พระโอษฐห์ อมฟงุ้ เหมอื นกลนิ่ ดอกอบุ ล และกลนิ่ พระเกศาหอมดจุ
ดอกโกมลบปุ ผาชาติ เปน็ ตน้
พระพทุ ธรูปเกสรดอกไม้ 189
ปางมารวชิ ยั ลงรักปดิ ทอง
สญั ลกั ษณด์ อกบวั ในแนวคิดพระอดตี พุทธเจา้
แนวคิดพระอดตี พทุ ธเจา้
แนวคดิ พระอดตี พทุ ธเจา้ หมายถงึ คตใิ นพระพทุ ธศาสนาเกย่ี วกบั เรอื่ งพระพทุ ธเจา้ ทเ่ี สดจ็
มาตรสั รกู้ อ่ นพระศากยโคดมหรอื พระพทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั ๗๗ ตามคตคิ วามเชอื่ ในพระพทุ ธศาสนา
ไดก้ ลา่ วถงึ เรอื่ งราวของพระพทุ ธเจา้ ทอ่ี บุ ตั ขิ น้ึ ในกาลกอ่ น และมจี ำ� นวนมากมายทเี่ สดจ็ มาตรสั รกู้ อ่ น
พระพทุ ธเจา้ องคป์ ัจจุบัน ทั้งนี้ องคพ์ ระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าและพระปจั เจกพุทธเจ้าที่เสดจ็ มาตรัสรู้
ในแตล่ ะกปั นนั้ มจี ำ� นวนมากจนไมอ่ าจจะประมาณได้ เปรยี บเหมอื นกบั จำ� นวนเมด็ ทรายในมหาสมทุ ร
หรอื เรยี กวา่ คตคิ วามเชอื่ เรอ่ื ง อนนั ตพทุ ธเจา้ ๗๘ ตามเนอ้ื หาจากพทุ ธประวตั ขิ องพระโคตมพทุ ธเจา้
กอ่ นทพี่ ระองคจ์ ะเสดจ็ มาเสวยพระชาตเิ ปน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ จนกระทงั่ เสดจ็ ออกผนวชจนไดต้ รสั รู้
เป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปน้ี พระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ร่วมยุคสมัยกับ
พระอดตี พทุ ธเจา้ ทงั้ หลายมากอ่ น ซงึ่ ปรากฏเนอื้ หาในคมั ภรี พ์ ทุ ธวงศ์ กลา่ ววา่ พระพทุ ธองคต์ รสั เลา่ แก่
พระสารบี ตุ ร ทท่ี ลู ถามถงึ พทุ ธบารมอี นั ยง่ิ ใหญท่ ท่ี รงไดบ้ ำ� เพญ็ มาในอดตี ชาต๗ิ ๙ นอกจากนี้ ยงั มคี ติ
เรอ่ื งพระอนาคตพทุ ธเจา้ หมายถงึ พระพทุ ธเจา้ องคท์ จี่ ะมาตรสั รตู้ อ่ ไปภายภาคหนา้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่
ในภทั รกปั นี้ ยงั มพี ระศรอี ารยิ เมตไตรยพทุ ธเจา้ จะเสดจ็ มาตรสั รเู้ พอ่ื โปรดสตั วต์ อ่ จากพระโคตมพทุ ธเจา้
ซงึ่ เปน็ พทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั
พระพุทธเจา้ ๔ พระองค์
190 วัดภมู ินทร์ อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวัดน่าน
พระพุทธรปู และจิตรกรรมฝาผนง้ั จงั หวดั น1่า9น1
วิหารวัดหนองบัว อ�ำ เภอท่าวงั ผา
ดอกบัวสัญลกั ษณข์ องการเรมิ่ ต้นกปั ใหม่
คมั ภีรโ์ ลกสัณฐานในพุทธศาสนามเี นอื้ หากล่าวถงึ การเกดิ โลกและจกั รวาลว่า หลงั จาก
ไฟประลยั กลั ปท์ เ่ี ผาไหมโ้ ลกจกั รวาลดบั ลงแลว้ อากาศกม็ ดื มดิ และปกคลมุ ดว้ ยหมอกควนั หนาทบึ
ตอ่ จากนนั้ กเ็ กดิ มฝี นตกลงมาและตกหนกั มากขนึ้ จนเมด็ ฝนมขี นาดใหญเ่ ขาภเู ขา ทำ� ใหเ้ กดิ นำ้ ทว่ ม
จนเตม็ ทง้ั แสนโกฏจกั รวาล ตอ่ มาเกดิ มกี ระแสลมพดั ตะลอ่ มใหน้ ำ้ รวมตวั กนั เปน็ กอ้ นเหมอื นหยดนำ้
บนใบบวั แลว้ นำ้ กแ็ หง้ งวดลงแลว้ เกดิ เปน็ แผน่ ดนิ สวรรคต์ อนตอ่ ลงมายบุ ตวั ลงมลี กั ษณะเปน็ วนุ้
กลายเปน็ กอ้ นดนิ ทผี่ ดุ ขนึ้ คลา้ ยดอกเหด็ สง่ กลนิ่ หอมและมรี สชาตดิ ี โลกทมี่ ดื มดิ กม็ แี สงสวา่ งจาก
การเกดิ ของพระอาทติ ย์ พระจนั ทร์ ตน้ ไมท้ เ่ี กดิ ขนึ้ เปน็ ตน้ แรกกค็ อื กอบวั ดว้ ยเหตนุ ้ี กอบวั จงึ เปน็
สญั ลกั ษณข์ องการเรมิ่ ตน้ ของกปั ใหม่
สญั ลักษณดอกบวั
จิตรกรรมสมดุ ภาพไตรภูมิ
192 ฉบบั อักษรธรรมลา้ นนา
สญั ลกั ษณดอกบวั ในดาวเพดาน
วหิ ารวัดม่อนสันฐาน (มอ่ นปู่ยกั ษ)์
อ�ำ เภอเมือง จังหวดั ล�ำ ปาง
193
ดอกบวั กบั จำ�นวนพระพทุ ธเจา้ ท่จี ะมาตรสั รู้
เมอื่ มกี อบวั เกดิ ขน้ึ บรรดาพรหมทอ่ี ยบู่ นชน้ั สทุ ธาวาสจะพากนั เหาะลงมา
ดนู ิมติ แห่งดอกปทมุ วา่ จะบังเกดิ พระพุทธเจา้ มาตรสั รใู้ นกปั ใหม่หรอื ไม่ ถ้ากอบัว
ท่เี กดิ ขึน้ ไม่มดี อกบวั เรียกว่า สญู กัป หมายความวา่ ในกปั น้ันจะไมม่ พี ระพุทธเจ้า
มาบงั เกดิ เหลา่ พรหมชน้ั สทุ ธาวาสจะเศรา้ โศกเสยี ใจ เนอื่ งจากมนษุ ยท์ เ่ี กดิ ในกปั นนั้
จะลุ่มหลงมัวเมา ไม่มีโอกาสได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม หมดหนทางพ้นทุกข์ได้
หากกอบวั นน้ั มดี อกบวั เกดิ ขน้ึ กเ็ หลา่ พรหมกจ็ ะชนื่ ชมยนิ ดี ดว้ ยมหี นทางทจ่ี ะบรรลธุ รรม
ใหถ้ งึ ซงึ่ พระนพิ พาน จงึ เรยี กวา่ อสญู กปั หมายถงึ กปั ทไ่ี มว่ า่ งเปลา่ อกี ตอ่ ไป จำ� นวน
ดอกบวั ทเี่ กดิ ขน้ึ ในกอบวั จะแทนจำ� นวนพระพทุ ธเจา้ ทจ่ี ะบงั เกดิ ในกปั นน้ั หากมดี อกบวั
หนงึ่ ดอกเรยี กวา่ สารกปั สองดอกเรยี ก มณั ฑกปั สามดอกเรยี ก วรกปั สด่ี อกเรยี ก
สารมณั ฑกปั สว่ นกปั ทเ่ี ปน็ ชว่ งเวลานเี้ รยี กวา่ ภทั รกปั เนอื่ งจากมดี อกบวั เกดิ ขน้ึ ๕
ดอก ปรากฏอยบู่ นกา้ นเดยี วกนั ดว้ ยเหตนุ ี้ จงึ มพี ระพทุ ธเจา้ มาตรสั รใู้ นกปั นจ้ี ำ� นวน
๕ พระองค์ด้วยกัน โดยบังเกิดแล้ว ๔ พระองค์ ได้แก่ พระกกุสันโธพุทธเจ้า
พระโกนาคมนพทุ ธเจา้ พระกสั สปพทุ ธเจา้ และพระโคตมพทุ ธเจา้ สว่ นพระพทุ ธเจา้
ทจี่ ะมาตรสั รใู้ นภายภาคหนา้ คอื พระศรอี ารยิ เมตไตรยพทุ ธเจา้ ๘๐
194
สญั ลักษณ่์ดอกบวั ในภาพพระอดตี พุทธเจา้
จิตรกรรมฝาผนงั วิหารวัดหนองบวั
อำ�เภอท่าวงั ผา จังหวัดนา่ น
195
สญั ลกั ษณ์ดอกบวั ในแนวคิดพระฉัพพรรณรงั สี
ความหมายของพระฉพั พรรณรงั สี
ฉพั พรรณรงั สี หมายถงึ รศั ม ี ๖ ประการ ซง่ึ เปลง่ ออกจากพระวรกายขององคพ์ ระสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ ไดแ้ ก่ สเี ขยี ว สเี หลอื ง สแี ดง สขี าว สสี ม้ และสเี ลอื่ มพราย ซง่ึ มรี ายละเอยี ด ดงั น๘ี้ ๑
๑. นีล เขยี วเหมือนดอกอญั ชนั
๒. ปตี เหลอื งเหมอื นหรดาลทอง
๓. โลหติ แดงเหมอื นตะวันอ่อน
๔. โอทาต ขาวเหมอื นแผ่นเงนิ
๕. มญั เชฐ สหี งสบาท เหมอื นดอกเซ่งหรือหงอนไก่
๖. ประภสั สร เลอ่ื มพรายเหมอื นแกว้ ผลกึ
พระฉพั พรรณรงั สขี องพระพุทธเจา้
จิตรกรรมฝาผนงั วหิ ารวัดหนองบัว
196 อ�ำ เภอท่าวังผา จังหวดั นา่ น
197
198