The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สัญลักษณ์ดอกบัวในจิตรกรรมล้านนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chadej9, 2020-05-14 01:15:17

สัญลักษณ์ดอกบัวในจิตรกรรมล้านนา

สัญลักษณ์ดอกบัวในจิตรกรรมล้านนา

Keywords: สัญลักษณ์ดอกบัว,จิตรกรรม,ล้านนา

จติ รกรรมล้านนาแบบประเพณี

จติ รกรรมลา้ นนา คอื งานจติ รกรรมทสี่ รา้ งขนึ้ โดยเงอ่ื นไขทางสงั คมวฒั นธรรมไทยลา้ นนา เปน็ งาน
ศิลปกรรมทป่ี รากฏในงานสถาปตั ยกรรมและศาสนสถาน ซงึ่ ไดร้ บั แรงบนั ดาลใจมาจากคตคิ วามเชอ่ื และ
เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ เกยี่ วกบั พทุ ธศาสนา สำ� หรบั งานจติ รกรรมในยคุ สมยั ลา้ นนาระหวา่ งตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙
ถงึ ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ มหี ลกั ฐานหลงเหลอื ใหศ้ กึ ษานอ้ ยมาก ทงั้ หมดเปน็ งานทสี่ รา้ งขน้ึ ดว้ ยคตคิ วามเชอ่ื
ทางพทุ ธศาสนา เพอื่ ใชป้ ระดบั ศาสนสถานและประกอบพธิ กี รรม ไดแ้ ก่ พระบฏ จติ รกรรมสมดุ ภาพไตรภมู ิ
จติ รกรรมฝาผนงั และลายคำ� ลา้ นนา๔๑
จิตรกรรมล้านนาแบบประเพณีท่ีสะท้อนสัญลักษณ์ดอกบัวมีปรากฏอยู่ในรูปแบบและเทคนิค
การสรา้ งสรรคท์ หี่ ลากหลาย เชน่ จติ รกรรมฝาผนงั สมดุ ภาพไตรภมู ฉิ บบั อกั ษรธรรมลา้ นนา พระบฏ จติ รกรรม
ลายดาวเพดาน จติ รกรรมลายคำ� เปน็ ตน้ โดยเฉพาะในงานจติ รกรรมฝาผนงั อาทิ จติ รกรรมฝาผนงั ภายใน
วหิ ารลายคำ� วดั พระสงิ ห์ วหิ ารวดั บวกครกหลวง อำ� เภอเมอื ง และวหิ ารวดั ทา่ ขา้ ม อำ� เภอแมแ่ ตง จงั หวดั
เชยี งใหม ่ รวมทง้ั จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารและอโุ บสถจตั รุ มขุ วดั ภมู นิ ทร์ อำ� เภอเมอื ง และจติ รกรรม
ฝาผนงั ภายในวหิ ารวดั หนองบวั อำ� เภอทา่ วงั ผา จงั หวดั นา่ น เปน็ ตน้

จิตรกรรมฝาผนัง วิหารวัดภูมนิ ทร์ 99
อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั นา่ น

“...มุนีไม่ตดิ พันในรูปทเ่ี ห็น
เสียงทีไ่ ด้ยินและอารมณ์ท่ีรบั รู้
เหมอื นหยาดนำ้ �ไม่ตดิ บนใบบัว
เหมือนหยาดนำ้ �ไม่ติดบนดอกบวั ฉะน้ัน...”

พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั

100

สัญลักษณ์ดอกบัวในจติ รกรรมลา้ นนา

101

สัญลกั ษณ์ดอกบวั ในจิตรกรรมฝาผนัง

จติ รกรรมฝาผนงั ไทย
จติ รกรรมฝาผนงั หรอื ภาพวาดขนาดใหญ่ ซง่ึ วาดไวบ้ นฝาผนงั ของอาคารศาสนสถาน ทง้ั แบบ
ผนงั ปนู และไม้ อาทิ วหิ าร อโุ บสถ หอธรรม หรอื หอพระไตรปฎิ ก เนอื้ หาของงานจติ รกรรมไทย
ประเพณนี น้ั มลี กั ษณะเปน็ ภาพเลา่ เรอื่ งราวเกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา ทง้ั น้ี จติ รกรผสู้ รา้ งสรรคผ์ ลงาน
จติ รกรรมฝาผนงั นบั แตอ่ ดตี มจี ดุ ประสงคใ์ นการสรา้ งงานจติ รกรรม เพอื่ เปน็ สอื่ หรอื อปุ กรณใ์ นการ
สอนธรรมะแกพ่ ทุ ธศาสนกิ ชนทเ่ี ขา้ มาในอาคาร และยงั เปน็ การตกแตง่ พน้ื ผนงั ใหม้ คี วามสวยงาม๔๒
การถ่ายทอดเน้ือหาและจินตนาการของช่างเขียนในผลงานจิตรกรรมแต่ละแห่งน้ัน ย่อมมี
ความสมั พนั ธเ์ ชอื่ มโยงกบั สถานทแ่ี ละวตั ถปุ ระสงคข์ องสถาปตั ยกรรมอยา่ งไมอ่ าจจะแยกออกจากกนั ได้
โดยเฉพาะภายในอาคารศาสนสถาน ดงั เชน่ พระอโุ บสถและวหิ ารนน้ั จำ� เปน็ จะตอ้ งสรา้ งบรรยากาศ
ทใ่ี หค้ วามรสู้ กึ อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ อาการสงบสำ� รวมเพอ่ื เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ สมาธ ิ โบสถว์ หิ ารเปน็ สถานทซ่ี ง่ึ
จะชว่ ยใหผ้ ทู้ ไ่ี ดส้ มั ผสั จะสามารถนอ้ มนำ� จติ ใจไปในทางทเี่ ปน็ บญุ กศุ ล ตลอดจนชว่ ยใหผ้ ทู้ เ่ี ขา้ ไปอยู่
ภายในอาคาร ซงึ่ เปน็ สถานทอ่ี นั ศกั ดส์ิ ทิ ธเ์ิ กดิ ความรสู้ กึ ถงึ สภาวะธรรม ดว้ ยการปลกี ตนออกไปเสยี
จากโลกภายนอก เพราะเหตนุ ้ี งานจติ รกรรมฝาผนงั ภายในโบสถว์ หิ าร จงึ ใหค้ วามรสู้ กึ สงบ ลลี้ บั
โดยไมม่ บี รรยากาศทแี่ สดงระยะใกลไ้ กลแบบทต่ี าเหน็ ไดต้ ามความเปน็ จรงิ ลกั ษณะพเิ ศษขอ้ นชี้ า่ งเขยี น
ในสมยั โบราณเขา้ ใจความหมายของทต่ี ง้ั สมาธดิ มี าก จงึ ออกแบบชอ่ งหนา้ ตา่ งโบสถว์ หิ ารใหม้ ขี นาดเลก็
และในบางแหง่ กไ็ มเ่ จาะชอ่ งหนา้ ตา่ งเลย ดว้ ยสญั ชาตญาณในการวนิ จิ ฉยั ทถ่ี กู ตอ้ ง และภมู ปิ ญั ญา
อนั ลมุ่ ลกึ ของชา่ งเขยี นในอดตี ทา่ นไดร้ งั สรรคง์ านจติ รกรรมฝาผนงั ขน้ึ โดยมไิ ดต้ ง้ั ใจจะสรา้ งระยะทาง
ในหลกั ทศั นยี วสิ ยั (Perspective) ตามความเปน็ จรงิ ทง้ั ในภาพเขยี นสแี ละภาพลายเสน้ ดว้ ยเหตนุ ้ี
จิตรกรรมฝาผนังของไทยจึงมีความถูกต้องสมบูรณ์ ตามความมุ่งหมายของนายช่างศิลปิน
ผสู้ รา้ งสรรค๔์ ๓

102

จติ รกรรมฝาผนัง วิหารลายคำ� 103
วดั พระสงิ ห์วรมหาวิหาร
อำ�เภอเมือง จงั หวัดเชียงใหม่

104

จติ รกรรมฝาผนงั ล้านนา
จติ รกรรมฝาผนงั ลา้ นนา มกั จะปรากฏอยใู่ นวหิ าร อโุ บสถ และหอพระไตรปฎิ ก โดยเฉพาะ
อาคารทมี่ ลี กั ษณะเปน็ วหิ ารโถง (ไมม่ ฝี าผนงั ) จะนยิ มวาดภาพไวบ้ นแผงไมค้ อสองบรเิ วณดา้ นขา้ ง
ของวหิ าร เชน่ วหิ ารหลวงและวหิ ารนำ้ แตม้ วดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง เปน็ ตน้ เนอ้ื หาของจติ รกรรม
เปน็ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา อาทิ พทุ ธประวตั ิ ทศชาติ ชาดก ปญั ญาสชาดก นทิ านธรรมบท
อดตี พทุ ธ และไตรภมู ิ ประวตั คิ วามเปน็ มาของงานจติ รกรรมฝาผนงั ในลา้ นนาทมี่ อี ายเุ กา่ แกม่ ากทสี่ ดุ
คอื จติ รกรรมฝาผนงั ภายในอโุ มงค์ วดั อโุ มงคเ์ ถรจนั ทร์ เชงิ ดอยสเุ ทพ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่
เขยี นภาพสญั ลกั ษณพ์ ระอดตี พทุ ธเจา้ ประทบั นง่ั ขดั สมาธริ าบ แสดงปางมารวชิ ยั พระพกั ตรค์ อ่ นขา้ ง
ใหญ่ เมด็ พระศกใหญ่ รศั มรี ปู ดอกบวั ตมู พระวรกายมปี ระภามณฑล และซมุ้ โพธพิ์ ฤกษ์ นอกจากนี้
ยงั พบงานจติ รกรรมบนผนงั อโุ มงค์ ซงึ่ มลี กั ษณะเปน็ อาคารกอ่ อฐิ เชอื่ มตอ่ จากฐานเจดยี ป์ ระธานออกมา
ทางดา้ นทศิ เหนอื ทำ� เปน็ ชอ่ งอโุ มงคห์ ลงั คาโคง้ เชอื่ มตดิ ตอ่ กนั หลายชอ่ ง บนผนงั และเพดานของ
อโุ มงคม์ งี านจติ รกรรมเขยี นสี โดยใชล้ วดลายดอกไมแ้ ละใบไมท้ ซ่ี ำ้ ๆ ตอ่ เนอื่ งกนั ไปตลอดทง้ั พน้ื ที่
ดอกไมท้ เ่ี ปน็ แมล่ ายไดแ้ ก่ ดอกโบตน๋ั ซง่ึ เหมอื นกบั ลายดอกโบตน๋ั ในเครอ่ื งถว้ ยจนี สมยั ราชวงศห์ มงิ
ชอ่ งไฟระหวา่ งรปู ทรงดอกไมแ้ ละใบไม้ เขยี นภาพสตั วม์ งคลตามคตแิ บบจนี เชน่ หงส์ นกยงู นกกระยาง
และหา่ นปา่ เปน็ ตน้ จติ รกรรมลา้ นนาซงึ่ มคี วามเกา่ แกอ่ กี แหง่ หนง่ึ คอื จติ รกรรมเขยี นสบี นแผน่ ไม้
คอสอง ภายในวหิ ารนำ้ แตม้ วดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง อำ� เภอเกาะคา จงั หวดั ลำ� ปาง ดา้ นทศิ เหนอื
แสดงเรอื่ ง มาฆะมานพหรอื ประวตั ขิ องพระอนิ ทร์ ดา้ นทศิ ใตแ้ สดงเรอื่ งนางสามาวดี พทุ ธสาวกิ าใน
สมยั พทุ ธกาล ทง้ั สองเรอื่ งเปน็ นทิ านธรรมบทในอรรถกถาบาลี หมวดอปั ปมาทวรรค ในพระไตรปฎิ ก
จิตรกรรมบนคอสองที่วิหารน้ำแต้ม ได้รับอิทธิพลจากงานศิลปกรรมของพม่า เช่น การจัดวาง
องคป์ ระกอบ ลกั ษณะของเสน้ สนิ เทา การเขยี นภาพบคุ คลชน้ั สงู เปน็ ตน้ ๔๔

จติ รกรรมฝาผนัง วิหารวดั หนองบัว 105
อำ�เภอท่าวังผา จังหวดั น่าน

ลกั ษณะพเิ ศษของจิตรกรรมฝาผนังลา้ นนา
ลกั ษณะพเิ ศษของจติ รกรรมฝาผนงั ลา้ นนา คอื ผลงานจติ รกรรมในแตล่ ะแหง่ ลว้ นแลว้ แต่
มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองตามแบบฉบับของท้องถิ่น ช่างเขียนชาวล้านนาในอดีตมีอิสระใน
การแสดงออกถึง ความคิด จินตนาการ และอารมณ์ความรู้สึกที่มีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง
โดยมไิ ดท้ ำ� ใหเ้ รอื่ งราวอนั เปน็ หลกั ในทางพทุ ธศาสนาผดิ เพย้ี นไป๔๕ นอกจากนี้ ยงั พบวา่ มจี ติ รกรรมฝาผนงั
ประเภทที่ไม่น�ำเสนอเร่ืองราวแบบภาพเล่าเร่ือง แต่แสดงออกเป็นภาพเชิงสัญลักษณ์ปรากฏอยู่
เปน็ จ�ำนวนมาก เช่น ภาพพระพทุ ธเจ้า ภาพต้นโพธ์ิ ภาพเทวดา ภาพดอกไมใ้ นแจกัน ลวดลาย
พรรณพฤกษา และลวดลายหมอ้ นำ้ ปรู ณฆฏะ เปน็ ตน้ จากการศกึ ษาสญั ลกั ษณด์ อกบวั ทปี่ รากฏอยู่
ในงานจิตรกรรมฝาผนังล้านนา พบว่า จะมคี วามหมายเกีย่ วขอ้ งกับพระพุทธเจา้ แทบท้ังสนิ้ เชน่
ภาพฐานบวั ควำ่ บวั หงายทร่ี องรบั พระวรกายของพระพทุ ธองคใ์ นอริ ยิ าบถตา่ ง ๆ ภาพประภามณฑล
และประภาวลที ลี่ อ้ มรอบพระเศยี รและพระวรกายของพระพทุ ธเจา้ กน็ ยิ มเขยี นเปน็ รปู ทรงดอกบวั ตมู
ซอ้ นกนั เปน็ ชนั้ ๆ ดงั ตวั อยา่ งสญั ลกั ษณด์ อกบวั ทป่ี รากฏอยใู่ นงานจติ รกรรมฝาผนงั วหิ ารวดั หนองบวั
อำ� เภอทา่ วงั ผา และวดั ภมู นิ ทร์ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั นา่ น จติ รกรรมฝาผนงั วหิ ารลายคำ� วดั พระสงิ ห์
อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่ เปน็ ตน้

จติ รกรรมฝาผนัง วหิ ารวัดภมู นิ ทร์
106 อำ�เภอเมอื ง จงั หวดั น่าน

107

เทวดาถือดอกบวั รองรับเทา้ ม้ากณั ฐกะ
พทุ ธประวตั ิ ตอน เสดจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณ์
จิตรกรรมฝาผนงั วิหารวัดบวกครกหลวง
อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั เชียงใหม่
108

109

สญั ลักษณ์ดอกบัวในจติ รกรรมสมุดภาพไตรภูมิ

สมุดภาพไตรภมู ิฉบับอักษรธรรมล้านนา
สมดุ ภาพไตรภมู ิ เปน็ ผลงานจติ รกรรมไทยประเพณที เี่ ขยี นบนเอกสารโบราณประเภท
หนงั สอื สมดุ ไทย กรรมวธิ กี ารเขยี นภาพใชเ้ ทคนคิ สฝี นุ่ บนกระดาษสา รองพนื้ ดว้ ยดนิ สอพอง
ผสมกาวธรรมชาติ สมดุ ภาพไตรภมู ไิ ดท้ ำ� หนา้ ทร่ี วบรวมองคค์ วามรแู้ ละความเลอ่ื มใสศรทั ธาใน
พระพทุ ธศาสนา เปน็ งานศลิ ปกรรมทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ภมู ปิ ญั ญาของบรรพชนในแตล่ ะทอ้ งถนิ่ ท่ี
ถา่ ยทอดความรคู้ วามเขา้ ใจเรอื่ งโลกและจกั รวาล ออกมาเปน็ ภาพเขยี นทม่ี คี ณุ คา่ ดา้ นความงาม
ในเชิงศิลปะ และมีความหมายทางสัญลักษณ์อันลึกซึ้งในทางปรัชญาและศาสนา ตลอดจน
รายละเอียดในภาพยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สังคมวัฒนธรรม และ
ขนบธรรมเนยี มประเพณตี า่ ง ๆ ของไทย ในยคุ สมยั ของจติ รกรรมผสู้ รา้ งสรรคผ์ ลงานชน้ิ นน้ั ได้
เปน็ อยา่ งด ี นบั เปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม เปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดี
ทส่ี ำ� คญั ของชาติ

สระอโนดาต ศนู ยก์ ลางของปา่ หมิ พานต์
110 สมุดภาพไตรภูมิฉบับอกั ษรธรรมล้านนา

111

สมุดภาพไตรภมู ฉิ บบั อกั ษรธรรมล้านนา
นอกจากความรเู้ รอ่ื งจติ รกรรมแบบประเพณ ี ทเี่ กย่ี วเนอ่ื งกบั คตคิ วามเชอื่ ทางพทุ ธศาสนา
ประวตั ศิ าสตร์ และโบราณคดแี ลว้ สมดุ ภาพไตรภมู ิ ฉบบั อกั ษรธรรมลา้ นนา ยงั เปน็ แหลง่ ใหค้ วามรู้
เรอ่ื งภาษาและอกั ษรธรรมลา้ นนาไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี กลา่ วคอื สมดุ ภาพไตรภมู ฉิ บบั อกั ษรธรรมลา้ นนา
ใชต้ วั อกั ษรพน้ื เมอื ง ทเ่ี รยี กชอ่ื ในทอ้ งถน่ิ วา่ ตวั เมอื งหรอื หนงั สอื เมอื ง ชา่ งเขยี นชาวลา้ นนา ไดท้ ำ� การ
บนั ทกึ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั คตไิ ตรภมู ปิ ระกอบกบั เนอ้ื หาสาระทางธรรมะ โดยจดั เรยี งลำ� ดบั ภาพอยา่ งอสิ ระ
ซงึ่ แตกตา่ งจากสมดุ ภาพไตรภมู ฉิ บบั กรงุ ศรอี ยธุ ยาและกรงุ ธนบรุ ี ทม่ี รี ะเบยี บแบบแผนในการลำ� ดบั ภาพ
และเนอ้ื หา นอกจากนี้ ดา้ นเนอ้ื หาสาระและภาพในเลม่ นนั้ ยงั มคี วามหลากหลายมากกวา่ สมดุ ภาพ
ไตรภมู เิ ลม่ อนื่ ๆ

112

สญั ลกั ษณ์ดอกบัวแสดงกลบทในผัง
วา่ ดว้ ยบทสวดภาวนาระลกึ ถงึ คุณพระรตั นตรยั

สัญลักษณ์ดอกบวั แสดงแผนผังสัตตมหาสถานและโสฬสมหานคร
สมดุ ภาพไตรภูมฉิ บับอักษรธรรมลา้ นนา
113

สญั ลกั ษณ์ดอกบวั ในสมุดภาพไตรภมู ฉิ บับอกั ษรธรรมล้านนา
การใช้รูปแบบตัวอักษรในการบันทึกข้อความยังมีหลากหลายชนิด และใช้เส้นตัวอักษร
ตา่ งสกี นั ดว้ ย คอื อกั ษรธรรมลา้ นนาใชเ้ สน้ สแี ดง อกั ษรขอมสว่ นใหญใ่ ชเ้ สน้ หมกึ มอี กั ษรไทยบางสว่ น
เปน็ เสน้ ดนิ สอ สว่ นรปู ทรงของสรรพสตั วใ์ นภพภมู ติ า่ ง ๆ สถาปตั ยกรรม และทวิ ทศั นต์ ามธรรมชาติ
ในสมดุ ภาพไตรภมู ิ สนั นษิ ฐานวา่ มกี ารผสมผสานระหวา่ งความเปน็ จติ รกรรมลา้ นนา และยงั ไดร้ บั
อทิ ธพิ ลจากงานจติ รกรรมศลิ ปะพมา่ รายละเอยี ดของเนอ้ื หาภายในเลม่ ประกอบดว้ ยความรหู้ ลากหลาย
สาขาวิชา ซึ่งประกอบด้วย เรื่องลักษณะของเจดีย์ทรงต่าง ๆ สีมาและขอบเขตของสีมา ไตรภูมิ
ผงั จกั รวาล แผนผงั บา้ นเมอื งในสมยั พทุ ธกาล การเยบ็ จวี รตามพทุ ธบญั ญตั ิ พทุ ธประวตั ิ ไวยกรณ์
กลบทในผงั จักรราศี และดาวนักษตั ร ตามล�ำดับ โดยมีค�ำบรรยายเน้อื หาทัง้ เลม่ เปน็ ภาษาบาลี
เขียนด้วยตัวอักษรธรรมล้านนา และมีอักษรขอมกับอักษรไทยอธิบายขยายความเป็นภาษาไทย
จดแทรกอยใู่ นเนอ้ื หาบางสว่ นดว้ ย๔๖
สมดุ ภาพไตรภมู ฉิ บบั อกั ษรธรรมลา้ นนา มกี ารนำ� สญั ลกั ษณด์ อกบวั มาถา่ ยทอดเนอื้ หาสาระ
ในสมดุ ภาพไดแ้ ก่ภาพกอบวั ในสระอโนดาตศนู ยก์ ลางปา่ หมิ พานต์ภาพขบวนแหพ่ ระราชกมุ ารสทิ ธตั ถะ
หลงั ทรงประสตู ิ โดยฝา่ ยหญงิ กำ� ลงั อญั เชญิ ดอกไมเ้ ครอื่ งบชู า (ดอกบวั ) ภาพกลบท วา่ ดว้ ยบทสวด
ภาวนาระลกึ ถงึ คณุ พระรตั นตรยั ชอื่ จตปุ ปุ ผกิ ะปทมุ ชาติ และปญั จปปุ ผลกิ ะปทมุ ชาตยิ นั ต์ เรยี งตาม
ลำ� ดบั เลขทปี่ รากฏในผงั ปทมุ ชาติ ภาพแผนผงั สตั ตมหาสถานและโสฬสมหานคร และภาพแสดง
แผนผงั จกั รราศี และกลมุ่ ดาวนกั ษตั ร ทเ่ี ขยี นอยใู่ นรปู ทรงดอกบวั บาน

114

สญั ลักษณด์ อกบวั กลบทในผัง
ว่าดว้ ยบทสวดภาวนาระลึกถึงคณุ พระรัตนตรยั
สมดุ ภาพไตรภูมิฉบบั อกั ษรธรรมลา้ นนา 115

สญั ลักษณ์ดอกบวั ในพระบฏ

ความหมายของพระบฏ
ความหมายของคำ� วา่ พระบฏ รปู คำ� เดมิ มาจากภาษาบาลี คอื ปฏ อา่ นออกเสยี งวา่ ปะ-ฏะ
หมายถงึ แผน่ ผา้ หรอื ผนื ผา้ ดงั นน้ั พระบฏ จงึ มคี วามหมายไดว้ า่ รปู ของพระพทุ ธเจา้ หรอื เรอื่ งของ
พระพทุ ธเจา้ ทเี่ ขยี นลงบนผนื ผา้ หรอื แผน่ ผา้ ดว้ ยเหตนุ เี้ อง พระบฏ จงึ หมายถงึ งานจติ รกรรมประเภทหนง่ึ
ในบรรดางานพทุ ธศลิ ปป์ ระเภทตา่ ง ๆ ทงั้ นี้ จดุ ประสงคใ์ นการสรา้ งพระบฏในคตดิ ง้ั เดมิ ของไทย มกั ใช้
พระบฏในการประดบั หรอื แขวนหอ้ ยในอาคารศาสนสถาน โดยมปี ระโยชนใ์ นแงเ่ ปน็ สอ่ื ทช่ี ว่ ยในการ
สงั่ สอนธรรมะแกพ่ ทุ ธศาสนกิ ชน และเปน็ การถา่ ยทอดเรอ่ื งราวในพระพทุ ธศาสนา ตลอดจนยงั เปน็
งานศลิ ปกรรมทปี่ ระดบั ตกแตง่ สถานทใ่ี หส้ วยงามโนม้ นำ� จติ ใจใหเ้ กดิ ความศรทั ธาปสาทะ จงึ เกดิ เปน็
คตินิยมของพุทธศาสนิกชนในระยะเวลาต่อมา ที่มีความต้องการสืบทอดพระศาสนา หรืออุทิศ
บุญกุศลให้แก่บุพการีผู้ล่วงลับ และท่ีส�ำคัญก็ยังเช่ือว่าจะเป็นอานิสงส์แก่ตนเอง และบุคคลใน
ครอบครวั ของผสู้ รา้ งพระบฏเพอ่ื ถวายเปน็ พทุ ธบชู าอกี ดว้ ย๔๗

116

พระบฏ
พระพุทธเจา้ และพระอัครสาวก 117

คตกิ ารสรา้ งพระบฏในล้านนา
คตกิ ารสรา้ งพระบฏมกี ารสบื ทอดตอ่ กนั มาตงั้ แตค่ รง้ั อาณาจกั รสโุ ขทยั ลา้ นนา อยธุ ยา และ
รตั นโกสินทร์ จากหลกั ฐานทางโบราณคดขี องไทย พระบฏท่ีเกา่ แกท่ ีส่ ดุ คอื พระบฏที่พบไดจ้ าก
กรพุ ระเจดยี ์ วดั ดอกเงนิ อำ� เภอฮอด จงั หวดั เชยี งใหม่ ขนาดสงู ๓.๔๐ เมตร และกวา้ ง ๑.๘๐ เมตร
เปน็ ฝมี อื จติ รกรสกลุ ชา่ งลา้ นนา ซงึ่ นา่ จะมอี ายอุ ยใู่ นราวพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ คอื สมยั อยธุ ยาตอนกลาง
เนอื้ หาของภาพเปน็ เรอ่ื งราวพทุ ธประวตั ิ ตอน เสดจ็ ลงจากสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ เขยี นดว้ ยสฝี นุ่ หลายสี
เชน่ สแี ดง สดี นิ เหลอื ง สนี ำ้ เงนิ สเี ขยี ว สขี าว และสดี ำ� ปดิ ทองคำ� เปลวเฉพาะสว่ นพระวรกายของ
พระพทุ ธเจา้ เทา่ นนั้ จดั องคป์ ระกอบของภาพ โดยวางตำ� แหนง่ รปู ทรงพระพทุ ธเจา้ อยใู่ นอริ ยิ าบถยนื
หรอื ปางลลี า ดว้ ยบนั ไดแกว้ ทพี่ ระอนิ ทรเ์ นรมติ ถวาย ใหอ้ ยกู่ งึ่ กลางผนื ผา้ รปู สเ่ี หลย่ี มแนวตงั้ ซง่ึ เปน็
ประธานของรปู ทรงทง้ั หมด บรเิ วณฝา่ พระบาททง้ั ๒ ขา้ งมดี อกบวั บานรองรบั อยู่ มภี าพดอกไม้
สวรรคห์ ลายชนดิ โปรยปรายอยทู่ ว่ั ไปดา้ นหลงั พระพทุ ธองค์ ดา้ นขา้ งของภาพพระพทุ ธเจา้ ขนาบขา้ งดว้ ย
ขน้ั บนั ไดเงนิ สำ� หรบั พระพรหม และบนั ไดทองสำ� หรบั พระอนิ ทร์ รวมทง้ั เหลา่ วทิ ยาธร ถดั ออกไป
เป็นภาพเทพชุมนุมที่เหาะตามส่งเสด็จ ส่วนพ้ืนที่ว่างทางด้านบนของภาพเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
แสดงรายละเอยี ดของสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส์ ทพี่ ระพทุ ธองคเ์ สดจ็ จากมาหลงั จากทรงเสดจ็ มาเทศนา
พระอภธิ รรมถวายพระพทุ ธมารดา ซงึ่ ประกอบดว้ ย พระเจดยี จ์ ฬุ ามณี ไพชยนตม์ หาปราสาท และ
เทวดาทมี่ านมสั การ สว่ นพนื้ ทส่ี เี่ หลยี่ มผนื ผา้ แนวนอนดา้ นลา่ งเปน็ แถวของภกิ ษสุ งฆส์ าวก ทหี่ นา้ ประตู
เมอื งสงั กสั สะ และภาพบคุ คลชนั้ สงู พระราชา พระราชวงศ์ และชาวเมอื งทก่ี ำ� ลงั รอรบั เสดจ็ นบั วา่
เปน็ พระบฏทม่ี กี ารวางองคป์ ระกอบของภาพอนั มลี กั ษณะพเิ ศษทไ่ี มเ่ คยพบมากอ่ นในจติ รกรรมสมยั อน่ื ๔๘
วธิ กี ารเกบ็ รกั ษาพระบฏผนื น้ี คนโบราณมว้ นใสใ่ นหมอ้ ดนิ แลว้ นำ� ไปบรรจไุ วใ้ นกรเุ จดยี ์ มขี อ้ สนั นษิ ฐานวา่
พระบฏผนื นค้ี งจะมอี ายเุ กา่ แกก่ วา่ เจดยี ท์ บ่ี รรจุ หรอื ในชว่ งกอ่ นพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒๔๙

118

พระบฏ
พุทธประวตั ิ ตอน เสดจ็ ลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พบในกรุเจดีย์ วัดดอกเงิน อ�ำ เภอฮอด จงั หวัดเชยี งใหม่ 119

พระบฏศิลปะล้านนา
พระบฏศลิ ปะลา้ นนาอกี ชนิ้ หนง่ึ ทปี่ รากฏสญั ลกั ษณด์ อกบวั คอื พระบฏ จากวดั เจดยี ส์ งู
อำ� เภอฮอด จงั หวดั เชยี งใหม่ การจดั วางองคป์ ระกอบภาพสมดลุ แบบ ๒ ขา้ งเทา่ กนั พระพทุ ธองค์
อยใู่ นอริ ยิ าบถยนื พระหตั ถท์ งั้ ๒ ทอดลงขา้ งพระวรกาย บรเิ วณฝา่ พระบาททง้ั ๒ ขา้ งมดี อกบวั บาน
รองรบั อยู่ แสดงปางเปดิ โลกทง้ั ๓ ไดแ้ ก่ สวรรค์ มนษุ ย์ และนรก พน้ื ทดี่ า้ นขา้ งของพระพทุ ธเจา้ เขยี นภาพ
พระอัครสาวกที่มีขนาดเล็กลงก�ำลังยืนประคองอัญชลี ด้านขวาคือพระสารีบุตร ด้านซ้ายคือ
พระโมคคลั ลานะ พน้ื ภาพดา้ นหลงั พระพทุ ธองคม์ ลี วดลายดอกไมร้ ว่ ง ประกอบดว้ ยดอกบวั และ
ดอกไมส้ วรรคห์ ลายชนดิ พนื้ ทสี่ ว่ นบนเขยี นภาพพระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทร์ ซงึ่ โคจรอยเู่ หนอื ยอดเขา
ยคุ นธร หนงึ่ ในเขาสตั ตบรภิ ณั ฑท์ ง้ั ๗ ซง่ึ มคี วามสงู รองลงมาจากเขาพระสเุ มรุ ศนู ยก์ ลางจกั รวาล
และเปน็ สวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ เนอื้ หาโดยรวมของพระบฏผนื นี้ แสดงถงึ พทุ ธประวตั หิ ลงั จากพระพทุ ธองค์
ทรงเทศนาพระอภธิ รรมโปรดพทุ ธมารดาบนสวรรค์ชน้ั ดาวดงึ ส์ แลว้ เสด็จกลับลงมาส่โู ลกมนษุ ย์
บริเวณชานเมืองสังกัสสะ๕๐ พระบฏท้ังสองผืนเป็นงานจิตรกรรมล้านนาในยุครุ่งเรืองที่สะท้อน
คตคิ วามเชอื่ และความศรทั ธาในพทุ ธศาสนาของชาวลา้ นนาไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

120

พระบฏ
พทุ ธประวัติ ตอน เสดจ็ ลงจากสวรรคช์ ้นั ดาวดงึ ส์
พระพุทธองค์ทรงเปดิ โลกทง้ั ๓ ไดแ้ ก่ สวรรค์ มนษุ ย์ และนรก
วัดเจดีย์สงู อ�ำ เภอฮอด จงั หวัดเชยี งใหม่
121

สญั ลกั ษณ์ดอกบวั ในพระบฏไม้ วัดพระธาตลุ ำ�ปางหลวง
ภาพสญั ลกั ษณด์ อกบวั บนพระบฏไม้ ภายในพพิ ธิ ภณั ฑ์ วดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง อำ� เภอ
เกาะคา จงั หวดั ลำ� ปาง พน้ื ทสี่ ว่ นใหญเ่ ปน็ งานศลิ ปะลายคำ� แสดงสญั ลกั ษณอ์ ดตี พทุ ธ สว่ นดา้ นลา่ ง
ทตี่ ดิ กบั ฐานทำ� เปน็ ภาพสญั ลกั ษณบ์ วั ๔ เหลา่ ซงึ่ ประกอบดว้ ย
๑. อคุ ฆฏติ ัญญู ผมู้ ีกเิ ลสนอ้ ยเบาบาง มีอนิ ทรแี ก่กลา้ สอนให้รไู้ ดโ้ ดยง่าย เมอ่ื ไดฟ้ งั ธรรม
กส็ ามารถรแู้ ละเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เปรยี บเสมอื นดอกบวั ทโี่ ผลพ่ น้ พนื้ นำ้ แลว้ เมอื่ สมั ผสั แสงอาทติ ย์
กจ็ ะบานในวนั น้ี
๒. วปิ จติ ญั ญู ผมู้ กี เิ ลสคอ่ นขา้ งนอ้ ย เมอ่ื ไดฟ้ งั ธรรมแลว้ พจิ ารณาตาม และไดร้ บั การอบรม
ฝกึ ฝน จนมอี ปุ นสิ ยั แกก่ ลา้ กจ็ ะสามารถรแู้ ละเขา้ ใจในเวลาอนั ไมช่ า้ เปรยี บเสมอื นดอกบวั ทอี่ ยเู่ สมอ
พน้ื นำ้ จะบานในวนั ถดั ไป
๓. เนยยะ ผมู้ กี เิ ลสเบาบาง เมอื่ ไดฟ้ งั ธรรมแลว้ พจิ ารณาตาม และไดร้ บั การอบรมฝกึ ฝนอยเู่ สมอ
เพื่อบ�ำรุงอุปนิสัยจนกว่าจะแก่กล้า อาศัยความเพียรไม่ย่อท้อ ก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ใน
วนั หนง่ึ ขา้ งหนา้ เปรยี บเสมอื นดอกบวั ทอี่ ยใู่ ตน้ ำ้ คอยเวลาทจ่ี ะบานในวนั ตอ่ ๆ ไป
๔. ปทปรมะ ผมู้ กี เิ ลสหนา ปญั ญาทราม เมอ่ื ไดฟ้ งั ธรรมกไ็ มส่ ามารถรตู้ ามหรอื เขา้ ใจความหมายได้
เปรียบเสมือนดอกบัวท่ีจมอยู่ในโคลนตม มีแต่จะตกเป็นอาหารของปลาและเต่า ไม่มีโอกาสได้
โผลพ่ น้ นำ้ และเบง่ บานได๕้ ๑

122

สัญลักษณด์ อกบวั ในลายคำ�บนพระบฏไม้
วดั พระธาตลุ �ำ ปางหลวง อำ�เภอเกาะคา จังหวดั ลำ�ปาง 123

สัญลกั ษณ์ดอกบวั ในลายคำ�

ลายคำ�ศลิ ปะลา้ นนา
ลวดลายลงรกั ปดิ ทองประดบั อาคารศาสนสถานในลา้ นนา นยิ มเรยี กวา่ ลายคำ� เนอ่ื งจากลกั ษณะเดน่
ประการหนง่ึ ของวหิ ารลา้ นนากค็ อื การเปดิ เพดานใหเ้ หน็ โครงสรา้ งหลงั คาโดยไมม่ ฝี า้ เพดาน แสดงใหเ้ หน็ ถงึ
โครงสรา้ งทเี่ ปน็ ระเบยี บ มคี วามประณตี งดงาม ตลอดจนการตกแตง่ ผวิ ดา้ นนอกของไมด้ ว้ ยลวดลายลงรกั ปดิ ทอง
ใหม้ คี วามกลมกลนื กนั ทง้ั ภายในและภายนอกอาคาร โดยเฉพาะภายในวหิ ารซงึ่ มบี รรยากาศมดื สลวั เมอื่ มแี สง
มาตกกระทบกบั องคพ์ ระพทุ ธรปู ทปี่ ดิ ทองคำ� เปลวและลายคำ� กอ่ ใหเ้ กดิ ความงดงามชว่ ยสรา้ งบรรยากาศ
ภายในใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ อนั เปน็ ทพิ ย์ และมพี ลงั ศกั ดส์ิ ทิ ธเ์ิ พอื่ การนอ้ มนำ� จติ ใจของพทุ ธศาสนกิ ชนใหเ้ กดิ ความ
เลอ่ื มใสศรทั ธา ตลอดจนสง่ ผลใหบ้ งั เกดิ ความสงบระงบั ของจติ ใจ อนั เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ สมาธไิ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี
การสรา้ งงานลายคำ� ในลา้ นนาเรม่ิ มขี นึ้ เมอ่ื ใดนนั้ ไมป่ รากฏหลกั ฐานแนช่ ดั สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะไดร้ บั
อทิ ธพิ ลจากงานชา่ งรกั ทมี่ ตี น้ กำ� เนดิ มาจากประเทศจนี ซงึ่ มอี งคค์ วามรใู้ นการทำ� เครอื่ งรกั มากอ่ นชนชาตอิ นื่ ๆ
เปน็ เวลามากกวา่ ๓,๐๐๐ ปี ตอ่ มาไดแ้ พรห่ ลายไปในเวยี ดนาม เกาหลี ญป่ี นุ่ และในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
อาทิ พมา่ ไทย๕๒ สำ� หรบั งานเครอ่ื งรกั ในลา้ นนา นยิ มเรยี กวา่ เครอ่ื งเขนิ ซง่ึ นยิ มทำ� เปน็ ภาชนะเครอื่ งใชต้ า่ ง ๆ
สว่ นลวดลายทป่ี ระดบั ตามพทุ ธสถาน เรยี กวา่ ลายคำ� หมายถงึ ลวดลายทส่ี รา้ งดว้ ยทองคำ�

124

วิหารลายคำ� วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่
125

ลายคำ�หมอ้ ปูรณฆฏะ
ลายหมอ้ ปรู ณฆฏะ หมายถงึ ลวดลายหมอ้ นำ้ รปู รา่ งคลา้ ยแจกนั มดี อกบวั
ก้าน และใบ ผุดข้ึนสูงพ้นปากหม้อลดหลั่นกันเป็นพุ่ม มีคติการสร้างเพื่อ
เปน็ การสกั การบชู าองคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หรอื พระประธานภายในวหิ าร
ตวั อยา่ งของศลิ ปกรรมในประเทศไทย พบมากในศลิ ปะลา้ นนา นยิ มสรา้ งดว้ ย
งานศิลปะลายค�ำ ลายปนู ป้ัน ตกแตง่ อโุ บสถ วิหาร หอพระไตรปฎิ ก ทงั้ น้ี
หมอ้ ปรู ณะฆฏะกำ� เนดิ ในประเทศอนิ เดยี หมายถงึ หมอ้ นำ้ อนั มนี ำ้ เตม็ บรบิ รู ณ์
ในภาษบาลี หมายถงึ การกระทำ� ใหส้ มบรู ณต์ ามหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา
การมีไมเ้ ลื้อยออกมาสองข้าง แสดงสัญลกั ษณข์ องความเจรญิ งอกงามและ
ความรม่ เยน็ ๕๓

126

ลายหม้อปรู ณฆฏะ
วิหารจามเทวี วดั ปงยางคก
อ�ำ เภอห้างฉัตร จงั หวัดลำ�ปาง 127

สญั ลักษณด์ อกบัวในลายดาวเพดาน

ความหมายของดาวเพดาน
ในองคป์ ระกอบสถาปตั ยกรรมไทย คำ� วา่ “ดาว” เปน็ ชอ่ื ลายชนดิ หนงึ่ ทช่ี า่ งประดษิ ฐข์ น้ึ
สำ� หรบั ประดบั บนเพดานโบสถ์ วหิ าร พระระเบยี ง หรอื อาคารราชสำ� นกั เรยี กวา่ ดาวเพดาน ลกั ษณะ
รปู ทรงของดาวเพดานมกั ทำ� เปน็ กลบี บวั ซอ้ นกนั เปน็ ชน้ั ๆ กระจายออกจากศนู ยก์ ลาง ดาวเพดาน
จะไมน่ ยิ มใชใ้ นกฏุ สิ งฆแ์ ละบา้ นเรอื นของสามญั ชน ดาวเพดานมชี อื่ เรยี กตามลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั
อาทิ ดาวจงกล ดาวรงั แตน ดาวตดุ๊ ตู่ ดาวราย ดาวกลบี บวั และ ดาวดอกจอก ทงั้ น้ี การศกึ ษาตำ� รา
ลายไทย พบวา่ ลายดาวเพดานมกี ารประดษิ ฐไ์ วห้ ลายรปู แบบ บางลายมคี วามซบั ซอ้ นดว้ ยชนั้ เชงิ
ทางศลิ ปะ ยกตวั อยา่ งเชน่ ลายดาวเพดานทท่ี ำ� เปน็ รปู ทรงกลบี บวั ธรรมชาตซิ อ้ นกนั ๔-๕ ชนั้ เรยี กวา่
ดาวรงั แตน หากเปน็ ลายทท่ี ำ� เปน็ กลบี บวั ยาวแบบเดยี วกบั บวั หวั เสาวดั พระศรรี ตั นศาสดารามนนั้
มกี ารจดั วางกลบี บวั ซอ้ นสลบั กนั มากถงึ ๕-๖ ชน้ั ลดหลนั่ กนั ไป เรยี กวา่ ดาวจงกล ซง่ึ เปน็ ทน่ี ยิ มมาก
บางครง้ั ชา่ งทำ� ปลายกลบี ใหส้ ะบดั เหมอื นกระหนกเปลว ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะพเิ ศษทม่ี คี วามงดงาม ดงั เชน่
ลายดาวเพดานสลกั ไม้ ศลิ ปะอยธุ ยาของสกลุ ชา่ งเมอื งเพชรบรุ ๕ี ๔

128

ลายดาวเพดาน
พระอุโบสถ วัดสระบัว
อ�ำ เภอเมือง จังหวดั เพชรบุรี 129

ลายดาวเพดานในศิลปะไทย
ดาวเพดานทม่ี รี ศั มพี งุ่ ออกเปน็ แฉก ทำ� นองเดยี วกบั ลายใบเทศนนั้ เรยี กวา่ ดาวราย หรอื
ดาวกระจาย ลายดาวทมี่ ดี อกรปู ทรงกลมขนาดเลก็ มหี ลกั โดยรอบ เรยี กวา่ ดาวตดุ๊ ตู่ หรอื ดอกจอก
เปน็ บรวิ าร สว่ นดาวดอกจอกนนั้ มลี กั ษณะเปน็ รปู วงกลม กลบี บวั ปลายตดั บากตรงกลาง มกั ทำ� เปน็
รูปสลักนนู ไมซ่ ้อนกัน ดาวกลีบบวั คือ ดาวแบบเดียวกับใบเทศท่มี รี ัศมีพุง่ เป็นแฉกออกโดยรอบ
แตม่ คี วามวจิ ติ รพสิ ดารมากกวา่ ดาวราย ตวั อยา่ งลายดาวเพดานดงั กลา่ ว จะเปน็ ทน่ี ยิ มใชป้ ระดบั
เพดานโบสถ์ วหิ าร ซมุ้ ปรางค์ และธรรมาสน๕์ ๕ โดยมกั พบในงานศลิ ปกรรมและสถาปตั ยกรรมไทย
อยู่เสมอ ปรากฏหลกั ฐานในงานศิลปะไทยต้งั แต่ สมัยสโุ ขทัย ล้านนา อยุธยา และรตั นโกสินทร์
โดยเฉพาะอโุ บสถและวหิ ารในศลิ ปะลา้ นนา จะสามารถพบเหน็ งานพทุ ธศลิ ปร์ ปู แบบดาวเพดานตาม
ศาสนสถานตา่ ง ๆ เปน็ จำ� นวนมาก

130

จิตรกรรมดาวเพดาน
กรพุ ระพระปรางคว์ ดั ราชบรู ณะ
อำ�เภอเมอื ง จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา 131

132

จิตรกรรมดาวเพดาน
พระอุโบสถ วัดคงคาราม
อำ�เภอโพธาราม จงั หวดั ราชบุรี

133

ลายดาวเพดานในวหิ ารลา้ นนา
จติ รกรรมลายดาวเพดานภายในวหิ ารลา้ นนา เปน็ การสะทอ้ นความหมายเชงิ สญั ลกั ษณจ์ าก
แนวคดิ อนนั ตจกั รวาล รวมไปถงึ การกำ� หนดตำ� แหนง่ ของจติ รกรรมลายดาวเพดาน ยงั มสี ว่ นสมั พนั ธ์
เชอื่ มโยงกบั งานศลิ ปกรรมรปู แบบอนื่ ในอาคาร กลา่ วคอื การสรา้ งลายดาวเพดานจำ� นวนมากจนเตม็
พน้ื ทเี่ พดานของวหิ ารนนั้ กเ็ พอื่ ใชเ้ ปน็ สญั ลกั ษณข์ องแนวคดิ เรอ่ื งจกั รวาลมอี ยเู่ ปน็ จำ� นวนมากมาย
จนนบั ไมถ่ ว้ น อาทิ วหิ ารวดั ภมู นิ ทร์ และวดั หนองบวั จงั หวดั นา่ น แตใ่ นวหิ ารลา้ นนาบางแหง่ อาจจะมี
ลายดาวเพดานเฉพาะในบรเิ วณทตี่ รงกบั ตำ� แหนง่ ทตี่ ง้ั พระพทุ ธรปู ซงึ่ เปน็ พระประธาน เพอื่ เปน็
การสะทอ้ นความหมาย เรอื่ ง พทุ ธานภุ าพของพระพทุ ธองค์ ในฐานะทที่ รงเปน็ ผคู้ น้ พบสจั ธรรมเกย่ี วกบั
จกั รวาล อกี ทง้ั ยงั เปน็ การแสดงความหมายวา่ พระพทุ ธองคท์ รงเปน็ ศนู ยก์ ลางของจกั รวาลทงั้ หลายอยา่ ง
ชดั เจน เชน่ วหิ ารวดั ตน้ เกวน๋ อำ� เภอหางดง จงั หวดั เชยี งใหม่ วหิ ารวดั คะตกึ เชยี งมน่ั อำ� เภอเมอื ง
และวหิ ารวดั บา้ นกอ่ อำ� เภอวงั เหนอื จงั หวดั ลำ� ปาง เปน็ ตน้

134

ลายค�ำ และประติมากรรมดาวเพดาน 135
วิหารวดั คะตกึ เชียงมัน่
อำ�เภอเมือง จังหวัดล�ำ ปาง

“...ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมกด็ ี ดอกบณุ ฑรกิ ก็ดี
เกดิ ในนำ้ � เจรญิ ในนำ้ �โผลพ่ น้ นำ้ �แล้วตงั้ อยู่ แตน่ ำ้ �ไม่ติด แมฉ้ ันใด
ตถาคตกฉ็ ันนน้ั เหมอื นกนั เกิดแลว้ ในโลกเจริญแลว้ ในโลก
ครอบงำ�โลกอยู่แต่ไม่ตดิ โลก...”

พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั

136

สัญลักษณด์ อกบวั กบั แนวคดิ ในจิตรกรรมล้านนา

137

สัญลักษณ์ดอกบวั ในแนวคิดคตไิ ตรภูมิ

แนวคิดคติจักรวาลวทิ ยาในพุทธศาสนา
จักรวาลวิทยา คือ วิชาท่ีว่าด้วยโลกธาตุ อันมีขอบเขตที่กว้างไกลท้ังในกาละและเทศะ
โดยมงุ่ เนน้ ทจ่ี ะศกึ ษาถงึ องคป์ ระกอบและความสมั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกนั ของสรรพสงิ่ ทง้ั หลาย ทง้ั สงิ่ ทมี่ ชี วี ติ
และไม่มีชีวิต ด้วยระบบของจักรวาลในฐานะท่ีเป็นระบบอันมีระเบียบ วิชาจักรวาลวิทยาได้มี
การศกึ ษาค้นควา้ กนั ในทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ท้ังในวัฒนธรรมตะวันออกและตะวนั ตก จากขอ้ มลู
ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของอินเดียสมัยโบราณ ระบุว่าองค์ความรู้เก่ียวกับเร่ือง
จกั รวาลวทิ ยานน้ั มกี ารศกึ ษามาตง้ั แตก่ อ่ นสมยั พทุ ธกาล ซงึ่ เปน็ การยากทจี่ ะสามารถแยกแยะให้
ชดั เจนไดว้ า่ โลกทศั นแ์ บบอนิ เดยี โบราณเกย่ี วกบั จกั รวาลทถ่ี า่ ยทอดกนั มาในคมั ภรี ข์ องพทุ ธศาสนา
สว่ นใดเปน็ ของตนเองอยา่ งแทจ้ รงิ และสว่ นใดเปน็ อทิ ธพิ ลของศาสนาฮนิ ดู พราหมณ์ และเชน๕๖
เน่ืองจากพุทธศาสนาก็มิได้ปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว ทั้งยังได้น�ำเอาวิชาจักรวาลวิทยามาใช้ให้
เปน็ ประโยชน์ ในการเทศนาสงั่ สอนประชาชนทยี่ งั ศรทั ธาในศาสนาพราหมณ์ เพยี งแตไ่ ดป้ รบั ปรงุ
แกไ้ ขหรอื ปรบั เปลยี่ นเนอื้ หาบางสว่ น เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั พระธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธองคเ์ ทา่ นน้ั ๕๗

138

คตไิ ตรภมู ิ 139
ในภาพภวจักรหรือสงั สารจักร
พทุ ธศิลปแ์ บบวชั รยาน

ความหมายของคติความเช่อื เรอ่ื งไตรภมู ิ
คำ� สอนในพระพทุ ธศาสนาอยบู่ นรากฐานการตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ ดว้ ยการถา่ ยทอดพทุ ธพจน์
ในรูปแบบพระไตรปิฎก พบว่า มเี น้อื หากล่าวถึงลักษณะของโลกธาตุหรือจกั รวาลอยู่เสมอ ท้ังน้ี
กเ็ พอื่ ใชเ้ ปน็ พน้ื ฐานของการแสดงธรรมทจ่ี ะนำ� ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ เพอื่ การหลดุ พน้ จากความทกุ ขเ์ ทา่ นน้ั
พระพทุ ธองคค์ งมไิ ดม้ พี ทุ ธประสงคท์ จ่ี ะวางรากฐานของวชิ าจกั รวาลวทิ ยาแตอ่ ยา่ งใด สว่ นขยายความ
ที่เป็นรายละเอียดเก่ียวกับโครงสร้างและลักษณะของโลกธาตุ จึงเป็นเร่ืองราวท่ีแต่งขึ้นโดย
พระอรรถกถาจารย์ และนักปราชญ์ผู้นิพนธ์คัมภีร์ชั้นรองสืบต่อกันมา๕๘ จักรวาลวิทยาใน
ศาสนาพราหมณ์ ไดก้ ำ� หนดไวว้ า่ เขาพระสเุ มรเุ ปน็ ทส่ี ถติ ของพระอศิ วร เปน็ ศนู ยก์ ลางของจกั รวาล
ทป่ี ระกอบดว้ ยโลกมนษุ ย์ นรก และสวรรค๕์ ๙ แตใ่ นทางพระพทุ ธศาสนา จกั รวาล หมายถงึ ปรมิ ณฑล
แห่งภพภูมิทั้ง ๓ หรือไตรภูมิ คือ กามภูมิ ๑๑ รูปภูมิ ๑๖ และอรูปภูมิ ๔ รวมเป็น ๓๑ ภพภูมิ
ซง่ึ เปน็ การแสดงสถานะชวี ติ ของสรรพสตั วใ์ นโลกจกั รวาล การจะไปเกดิ ในสถานะชวี ติ ระดบั ใดนน้ั
ขนึ้ อยกู่ บั กรรมดแี ละกรรมชวั่ ของตน สรรพสตั วท์ งั้ หลายยอ่ มเวยี นวา่ ยตายเกดิ อยใู่ นสามภมู นิ ้ี ไมม่ ี
ทสี่ น้ิ สดุ เรยี กวา่ “วฏั สงสาร”๖๐

เขาพระสเุ มรุ เขาสัตตบรภิ ณั ฑ์
สีทนั ดรสมทุ ร และทวปี ท้ัง ๔
140 สมดุ ภาพไตรภูมฉิ บับอกั ษรขอม

141

ความหมายของคติความเชอื่ เรื่องไตรภมู ิ
โลกทศั นแ์ บบวฒั นธรรมอนิ เดยี โบราณดงั ทปี่ รากฏในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา มเี นอ้ื หาสาระ
แตกตา่ งจากโลกทศั นแ์ บบวฒั นธรรมตะวนั ตกสมยั โบราณ และโลกทศั นแ์ บบวทิ ยาศาสตรใ์ นปจั จบุ นั
อยหู่ ลายประการดว้ ยกนั ถา้ พจิ ารณาตามรปู ลกั ษณเ์ ปน็ วตั ถใุ นโลกแหง่ รปู ธรรมแลว้ ยอ่ มจะไมถ่ กู ตอ้ ง
สอดคล้องกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับระบบของจักรวาลหรือเอกภพในวิชาดาราศาสตร์
และสณั ฐานทางกายภาพของโลกในวชิ าภมู ศิ าสตร์ แตถ่ า้ พจิ ารณาคตจิ กั รวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนา
วา่ เปน็ การสรา้ งจนิ ตภาพทส่ี ะทอ้ นถงึ รปู ลกั ษณธ์ รรมชาตฝิ า่ ยนามธรรม เพอื่ อธบิ ายโครงสรา้ งทาง
จิตของมนุษย์ โดยอาศัยเทียบเคียงให้สอดคล้องกับรูปธรรมบางส่วนของประสบการณ์ใน
โลกแหง่ วตั ถุ ดงั นนั้ การตคี วามหมายแนวคดิ เชงิ สญั ลกั ษณจ์ ากคตจิ กั รวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนาก็
คอื แผนผงั ของโครงสรา้ งทางนามธรรมหรอื ระดบั สภาวะจติ ของมนษุ ยท์ กุ คนนน่ั เอง๖๑

142

สญั ลักษณ์ดาวนักษัตรทั้ง ๒๗ 143
สมุดภาพไตรภูมิฉบบั อกั ษรธรรมลา้ นนา

คติไตรภูมกิ ับสงั คมวัฒนธรรมไทย
คตคิ วามเชอื่ เรอ่ื งไตรภมู เิ ปน็ แนวคดิ ทเ่ี ขา้ มาพรอ้ มกบั การเผยแผศ่ าสนาฮนิ ดแู ละศาสนาพทุ ธ
จนเปน็ ทย่ี อมรบั นบั ถอื ของผคู้ นในดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ไดแ้ ก่ ไทย พมา่ ลาว และกมั พชู า
มาตัง้ แต่ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๙๖๒ โดยเฉพาะในบรบิ ทของสงั คมและวัฒนธรรมไทย ความร้จู าก
คตจิ กั รวาลวทิ ยาและไตรภมู ิ มคี วามหมายอยา่ งยง่ิ ในดา้ นการสรา้ งคา่ นยิ มทางสงั คม ทศั นคติ และ
โลกทัศน์ของผู้คน๖๓ ชาวพุทธในสังคมไทยถ่ายทอดแนวคิดคติจักรวาลและเนื้อหาเรื่องไตรภูมิ
ด้วยวรรณกรรมที่เน่อื งในพระพุทธศาสนา เพื่อช่วยปลกู ฝงั ความเชอ่ื เร่ืองการละเวน้ จากความชวั่
การสรา้ งคณุ งามความดเี พอ่ื สง่ั สมบญุ บารมี ตลอดจนความเชอ่ื เรอ่ื งกฎแหง่ กรรม การรบั ผลของ
กรรมดแี ละเกรงกลวั ผลจากกรรมชวั่ ทป่ี ระกอบดว้ ย ความสขุ ความทกุ ข์ ตลอดจนความหลดุ พน้
จากความสขุ และความทกุ ข์ คอื พระนพิ พาน ซง่ึ เปน็ เปา้ หมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา

นรกภูมิ
จติ รกรรมฝาผนงั วหิ ารวดั บา้ นก่อ
144 อ�ำ เภอวงั เหนอื จังหวัดลำ�ปาง

145

คตไิ ตรภูมิกับสังคมวัฒนธรรมไทย
นอกเหนอื จากนี้ คตจิ กั รวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนายงั เปน็ รากฐานสำ� คญั ของภมู ปิ ญั ญา
ดง้ั เดมิ ทใ่ี ชอ้ ธบิ ายปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ในสงั คมและวฒั นธรรมไทย ตลอดจนเปน็ แรงบนั ดาลใจใน
การสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปกรรมในดนิ แดนแถบนด้ี ว้ ย อาจกลา่ วไดว้ า่ คตจิ กั รวาล คอื ภาพสะทอ้ นพลงั
ความศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา และความยง่ิ ใหญข่ องพระมหากษตั รยิ ์ ในรปู ของงานศลิ ปกรรมท่ี
ปรากฏให้เห็นหลากหลายรูปแบบตามสภาวะของบุคคล กล่าวคือ งานศิลปกรรมท่ีสะท้อนเร่ือง
คตจิ กั รวาลทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั พระพทุ ธเจา้ มกั พบเปน็ งานพทุ ธศลิ ปอ์ ยตู่ ามวดั วาอารามสว่ นคตจิ กั รวาล
ท่เี กี่ยวขอ้ งกับพระมหากษัตรยิ ์ มกั พบในงานศิลปะสถาปัตยกรรมในพระบรมมหาราชวัง รวมทั้ง
กฎระเบียบในการปฏิบัติยกย่องบุคคลให้เปรียบเสมือนพระอินทร์ หรือพระโพธิสัตว์ตามคติใน
พุทธศาสนา และเป็นสมมุติเทพตามคติความเชื่อของพราหมณ์๖๔ โดยเฉพาะในเขตวัฒนธรรม
ลา้ นนาหรอื บรเิ วณภาคเหนอื ตอนบนของประเทศไทย ซง่ึ เปน็ ดนิ แดนแหง่ พระพทุ ธศาสนาทมี่ คี วาม
เจรญิ รงุ่ เรอื งสบื เนอื่ งมาอยา่ งยาวนาน

146

ไตรภมู ิ
จิตรกรรมฝาผนงั อโุ บสถวดั ดุสดิ าราม
เขตบางกอกน้อย กรงุ เทพฯ
147

สวรรค์ชั้นดาวดงึ สบ์ นยอดเขาพระสเุ มรุ
148 สมุดภาพไตรภมู ิฉบับอักษรธรรมล้านนา


Click to View FlipBook Version