The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อดีตพุทธ สัญลักษณ์ในศิลปะล้านนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chadej9, 2020-05-14 01:46:21

อดีตพุทธ สัญลักษณ์ในศิลปะล้านนา

อดีตพุทธ สัญลักษณ์ในศิลปะล้านนา

Keywords: อดีตพุทธ, สัญลักษณ์,ศิลปะล้านนา

พระพทุ ธรูปภายในซุ้มจระนำ�
มณฑปปราสาททา้ ยวหิ าร 99

สญั ลักษณพ์ ระพทุ ธเจ้า ๔ พระองค์

เจดยี ์ทรงปราสาทแบบล้านนา

เจดีย์ทรงปราสาทในล้านนามีการสร้างมาต้ังแต่สมัยหริภุญชัยตอนปลายและระยะแรก
ของล้านนา ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงปราสาทห้ายอดหรือทรงปราสาทยอด ต่อมา
ราวตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ เจดยี ล์ า้ นนาไดม้ พี ฒั นาการเปน็ เจดยี ย์ อดเดยี ว องคป์ ระกอบของเจดยี ์
ทรงนี้ คอื สว่ นฐานสรา้ งเป็นฐานเขยี ง ๒-๓ ฐาน รองรบั ฐานบวั ๑ ฐาน นิยมเพ่ิมมุมหรือยกเก็จ
เพอื่ รองรบั จระนำ� ทป่ี ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ซงึ่ เปน็ สว่ นเรอื นธาตุ โดยสรา้ งเปน็ อาคารสเี่ หลย่ี มเพมิ่ มมุ
ประดบั ซมุ้ จระนำ� ทปี่ ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ทงั้ ๔ ดา้ น อนั เปน็ เปน็ สญั ลกั ษณข์ องพระพทุ ธเจา้ ทม่ี า
ตรสั รแู้ ลว้ ในภทั รกปั ทง้ั ๔ พระองค์ ไดแ้ ก่ พระกกสุ นั โธ พระโกนาคม พระกสั สปะ และพระโคตม
ส่วนยอดเหนือช้ันหลังคาขึ้นไปเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ประกอบด้วยชุดฐานบัวรองรับองค์ระฆัง
มีบัลลังก์ ปล้องไฉน และปลียอด ตามล�ำดับ ทัง้ นี้ เจดีย์ทรงปราสาทแบบลา้ นนาไดร้ บั ความนยิ ม
ในช่วงยคุ ทองของลา้ นนา ตงั้ แต่ตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ เร่ือยมาจนกระท่งั ช่วงตน้ พุทธศตวรรษที่
๒๒ ซึง่ หมดยุคอาณาจกั รลา้ นนา๓๙

100

เจดยี ท์ รงปราสาท 101
วัดโพธารามมหาวิหาร (วดั เจ็ดยอด)
อำ�เภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่

สญั ลกั ษณ์พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์

เจดีย์หลวง วดั เจดยี ห์ ลวง เมืองเชยี งใหม่

วดั เจดยี ์หลวง เมอื งเชียงใหม่ มชี อ่ื เรยี กว่า “ราชกูฏ” วัดเจดยี ห์ ลวงโชติการาม ตัง้ อยู่
บริเวณใจกลางเวียงเชียงใหม่ มีเจดีย์ท่ีมีความส�ำคัญและมีขนาดใหญ่ท่ีสุดในอาณาจักรล้านนา
สร้างข้ึนในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมาเพ่ืออุทิศถวายแด่พระเจ้ากือนา ซ่ึงเป็นพระราชบิดา
แตส่ ร้างยังไมแ่ ล้วเสรจ็ กท็ รงสวรรคตเสยี กอ่ น พระนางตโิ ลกจฑุ าราชเทวผี เู้ ปน็ พระมเหสขี องพระเจา้
แสนเมอื งมา ได้สร้างต่อในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนโดยใช้เวลาในการก่อสร้าง ๕ ปีจึงแล้วเสร็จ
พระธาตุเจดยี ์หลวงมคี วามสูง ๓๙ วา มซี ้มุ จระน�ำหรอื โขงประตูประดิษฐานพระพทุ ธรปู ภายใน
ทั้ง ๔ ทศิ ตามคติเรือ่ งพระพุทธเจา้ ทม่ี าตรัสรู้แลว้ ในภัทรกัปทั้ง ๔ พระองค์ มพี ญานาคปนู ปนั้
เต็มตวั และหวั รวม ๕ หวั มรี ปู ปน้ั ราชสหี ์ ๔ ตวั ตง้ั อยทู่ งั้ ๔ มมุ ๔๐ เจดยี ห์ ลวงองคท์ ปี่ รากฏในปจั จบุ นั
ไดร้ บั การปฏสิ งั ขรณโ์ ดยแปลงแบบสรา้ งครอบทบั พระเจดยี อ์ งคเ์ ดมิ ใหม้ ขี นาดใหญข่ นึ้ เพม่ิ ปนู ปน้ั
ชา้ งประดบั บนลานประทกั ษณิ และเปลย่ี นสว่ นยอดพรอ้ มทง้ั สถาปนาขนึ้ ใหม่ ในสมยั พระเจา้ ตโิ ลกราช
ในปี พ.ศ. ๒๐๒๒ ทง้ั นี้ ตามประวตั พิ ระเจา้ ตโิ ลกราชทรงอญั เชญิ พระแกว้ มรกตมาจากเมอื งลำ� ปาง
แลว้ น�ำมาประดิษฐานไวภ้ ายในซมุ้ จระนำ� ทางด้านทศิ ตะวันออก ตอ่ มาในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐา
ในฐานะพระอุปราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้มาปกครองอาณาจักรล้านนา เมื่อพระราชบิดา
ของพระองคส์ วรรคตจงึ เสดจ็ กลับไปปกครองอาณาจกั รล้านช้าง โดยทรงอญั เชญิ พระแกว้ มรกต
ไปประดษิ ฐานยังเมืองหลวงพระบางและเวยี งจันทน์ในเวลาต่อมา๔๑

102

พระธาตุเจดียห์ ลวง
วัดเจดีย์หลวงวรวหิ าร
อำ�เภอเมอื ง จังหวดั เชยี งใหม่ 103

สญั ลักษณพ์ ระพทุ ธเจ้า ๔ พระองค์

เจดยี ์วัดเชยี งมนั่ เมอื งเชยี งใหม่

ตามตำ� นานกลา่ วว่า วัดเชียงมน่ั สรา้ งข้ึนในสมยั พญามงั ราย จากรูปแบบทางศิลปกรรม
ขององคพ์ ระธาตเุ จดยี จ์ ดั เปน็ เจดยี ท์ รงปราสาทแบบลา้ นนา ประกอบดว้ ยฐานเขยี ง ๑ ฐาน รองรบั ฐาน
ชา้ งลอ้ ม เรอื นธาตุประดับซุ้มจระนำ� ท้งั สด่ี ้าน ๆ ละ ๓ ซ้มุ แตกต่างจากเจดีย์ทรงปราสาทยอด
ทั่วไปในล้านนาท่ีมีซุ้มจระน�ำเพียงด้านละ ๑ ซุ้ม ภายในนิยมประดิษฐานพระพุทธรูป ที่แสดง
สญั ลกั ษณพ์ ระพทุ ธเจา้ ทมี่ าตรสั รแู้ ลว้ ในภทั รกปั ทง้ั ๔ พระองค์ สนั นษิ ฐานวา่ เปน็ การบรู ณะเพม่ิ เตมิ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ ส่วนยอดประกอบด้วยช้ันหลังคาเอนลาดในผังยกเก็จ ๒ ชั้น ถัดขึ้นไป
เป็นเจดีย์ทรงระฆังที่มีส่วนรองรับองค์ระฆังแบบบัวถลาในผังแปดเหลี่ยม ๓ ชั้นและองค์ระฆัง
ถดั ขนึ้ ไปเปน็ บลั ลงั กใ์ นผงั ยอ่ มมุ ไมส้ บิ สอง และสว่ นยอดทมี่ กี า้ นฉตั ร ปลอ้ งไฉน และปลี ตามแบบแผน
ของเจดยี ์ทรงระฆัง๔๒

พระธาตุเจดีย์
วัดเชยี งม่ัน
104 อ�ำ เภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่

105

สญั ลกั ษณ์พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์

สัญลักษณ์พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ในงานศลิ ปะล้านนา
สัญลักษณ์พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ มีความหมายเช่นเดียวกันกับกลุ่มท่ีมีพระพุทธเจ้า
๔ พระองค์ อันประกอบด้วย พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า
และพระโคตมพทุ ธเจา้ และเพม่ิ พระศรอี ารยิ เมตไตรยพทุ ธเจา้ ผเู้ ปน็ พระอนาคตพทุ ธเจา้ เขา้ ไวด้ ว้ ย
อกี พระองคห์ น่งึ
งานศิลปกรรมล้านนาท่ีสะท้อนแนวคดิ สัญลักษณพ์ ระพทุ ธเจ้า ๕ พระองค์ ได้แก่
พระบฏ พทุ ธประวตั ิ ตอน พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ลงจากสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส์ ตอนบนเขยี นภาพ
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์
จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารลายคำ� วดั พระสงิ ห์ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่ แสดงภาพ
พระพุทธเจา้ ๕ พระองค์ บนฝาผนงั ทิศเหนอื ด้านในวหิ ารตดิ กับฐานชุกชี
จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารวดั ทา่ ขา้ ม อำ� เภอแมแ่ ตง จงั หวดั เชยี งใหม่ แสดงภาพเลา่ เรอ่ื ง
ต�ำนานแม่กาเผือก
พระพทุ ธรปู ภายในวิหารวัดพระธาตุแชแ่ ห้ง อำ� เภอเมือง จังหวดั นา่ น แสดงสัญลักษณ์
พระพุทธเจา้ ๕ พระองค์ดว้ ยจำ� นวนพระพทุ ธรปู ท่ีประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีดา้ นในของวิหาร

106

สัญลักษณ์พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ 107
ท่ีจะมาตรสั รู้ในภทั รกัป

คติการสร้างพระบฏในพทุ ธศาสนา
จุดประสงคใ์ นการสรา้ งพระบฏในคติดัง้ เดิม มักใช้พระบฏในการประดบั หรอื แขวนห้อย
ในศาสนสถาน โดยใช้เป็นสื่อการสอนธรรมะแก่พุทธศาสนิกชน และเป็นการถ่ายทอดเร่ืองราว
ในพุทธศาสนา ตลอดจนยังเป็นงานศิลปกรรมท่ีประดับตกแต่งสถานที่ให้สวยงามโน้มน�ำจิตใจ
ให้เกิดความศรทั ธาปสาทะ ด้วยเหตนุ ้ี จึงเปน็ คตนิ ิยมของพุทธศาสนิกชนในระยะเวลาต่อมา ทมี่ ี
ความต้องการสืบทอดพระพุทธศาสนา หรอื อทุ ศิ บญุ กศุ ลใหแ้ ก่บพุ การีผูล้ ว่ งลับ และทส่ี ำ� คญั ก็ยัง
เช่ือว่าจะเป็นอานิสงส์แก่ตนเอง และบุคคลในครอบครัวของผู้สร้างพระบฏ เพื่อถวายเป็นพุทธ
บชู าอกี ด้วย๔๓

108

พระบฏ
พระพุทธบาท ๔ รอย
วดั มหาธาตุ จังหวัดเพชรบุรี

109

คติการสรา้ งพระบฏในพุทธศาสนา
คติการสร้างพระบฏมีมาตั้งแต่คร้ังสมัยสุโขทัย โดยมีการสืบทอดกันมาในสมัยอยุธยา
และรตั นโกสนิ ทร์ ทง้ั นี้ พระบฏทม่ี อี ายเุ กา่ แกท่ ส่ี ดุ ทพี่ บในประเทศไทย คอื พระบฏจากกรพุ ระเจดยี ์
วดั ดอกเงนิ อำ� เภอฮอด จงั หวดั เชยี งใหม่ เปน็ พระบฏสกลุ ชา่ งลา้ นนา อายอุ ยใู่ นราวพทุ ธศตวรรษท่ี
๒๑ คอื สมยั อยธุ ยาตอนกลาง แสดงภาพเลา่ เรอื่ งพทุ ธประวตั ิ ตอนเสดจ็ ลงจากสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์
เขียนด้วยเทคนิคสีฝุ่น ปิดทองค�ำเปลว การเก็บรักษาพระบฏผืนนี้คนโบราณม้วนใส่ในหม้อดิน
แลว้ นำ� ไปบรรจไุ วใ้ นกรเุ จดยี ์ สนั นษิ ฐานวา่ พระบฏผนื นคี้ งจะมอี ายเุ กา่ แกก่ วา่ องคเ์ จดยี ท์ พ่ี ระบฏ
บรรจอุ ยู่ หรอื ในชว่ งก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๒๒๔๔

110

พระบฏ
สญั ลกั ษณม์ งคล ๑๐๘​ประการ 111

สัญลักษณพ์ ระพทุ ธเจา้ ๕ พระองคใ์ นพระบฏ
พระบฏ พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตอนบนเขียนภาพ
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน พระกัสสปะ พระสมณโคดม
และพระศรีอาริยเมตไตรย ขนาดกว้าง ๗๖ เซนติเมตร ยาว ๑๖๖ เมตร สมัยรัตนโกสินทร์
ตามประวตั ิ นายจมิ ทอมปส์ นั ไดม้ าจากเมอื งเชยี งใหมแ่ ละมอบใหก้ รมศลิ ปากร ปจั จบุ นั จดั แสดงอยทู่ ่ี
พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ หอศลิ ป ถนนเจา้ ฟา้ กรงุ เทพฯ๔๗ ทงั้ น้ี สญั ลกั ษณพ์ ระพทุ ธเจา้ ๕ พระองค์
เปน็ ภาพทนี่ ยิ มเขยี นในงานจติ รกรรมฝาผนงั และพระบฏ โดยการจดั วางภาพพระพทุ ธเจา้ ไวต้ อนบน
ของผนังหรือผนื ผา้ ซง่ึ ประกอบด้วย พระอดีตพทุ ธเจ้า ๓ พระองค์ พระกกสุ นั ธะ พระโกนาคมน
พระกสั สปะ พระพทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั คอื พระสมณโคดม และพระอนาคตพทุ ธเจา้ คอื พระศรอี ารยิ เมตไตรย
(ตามคตใิ นพทุ ธศาสนาเถรวาทระบวุ า่ ทรงเกดิ เปน็ เทพบตุ รอยบู่ นสวรรคช์ นั้ ดสุ ติ เพอ่ื รอการจตุ มิ า
ตรสั รู้เปน็ พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภทั รกัป) นอกจากนี้ ด้านลา่ งภาพพระพทุ ธเจา้ ท้ัง ๕ พระองค์
ยงั แสดงภาพสตั วอ์ นั เปน็ สญั ลกั ษณต์ ามคตเิ รอ่ื งแมก่ าเผอื ก ซงึ่ มเี นอ้ื หากลา่ วถงึ ตำ� นานการกำ� เนดิ
พระพุทธเจา้ ๕ พระองค์ ท่ีเกดิ จากไข่ของกาเผอื ก ๕ ฟอง ท่ีพลัดหลงกันไปโดยมแี มไ่ ก่ นาค เต่า
โค และสงิ ห์ เกบ็ ไปฟกั กลา่ วคอื พระกกสุ นั ธะ เกดิ จากไขท่ แี่ มไ่ กน่ ำ� ไปฟกั พระโกนาคมน เกดิ จาก
ไขท่ แี่ มน่ าคนำ� ไปฟกั พระกสั สปะ เกดิ จากไขท่ แ่ี มเ่ ตา่ นำ� ไปฟกั พระโคตม เกดิ จากไขท่ แี่ มโ่ คนำ� ไปฟกั
และพระศรีอารยิ เมไตรย เกดิ จากไขท่ ่แี ม่สิงหน์ �ำไปฟัก๔๘

112

พระบฏ
พระพทุ ธเจ้า ๕ พระองค์ 113

จติ รกรรมฝาผนงั วิหารลายคำ� วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เมืองเชยี งใหม่

พระวิหารลายค�ำ วัดพระสิงค์ เป็นวิหารส�ำคัญของเมืองเชียงใหม่ เป็นท่ีประดิษฐาน
องค์พระพุทธสิหิงค์ (พระสิงห์) มีความงดงามตามแบบแผนทางด้านศิลปสถาปัตยกรรมล้านนา
รวมท้ังลายปิดทองล่องชาด หรือลายค�ำที่ประดับตกแต่งท้ังภายนอกและภายในพระวิหาร
โดยเฉพาะอย่างย่ิงงานจิตรกรรมฝาผนัง ที่มีความโดดเด่นและสามารถสะท้อนภาพของ
ความเปน็ เชยี งใหมไ่ ดอ้ ยา่ งชดั เจนทสี่ ดุ ๔๙ จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารลายคำ� วดั พระสงิ ห์ นบั วา่
เปน็ ภาพเขยี นทสี่ ามารถแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความรสู้ กึ และการแสดงออกของศลิ ปะลา้ นนาไดอ้ ยา่ งเดน่ ชดั
สิ่งที่ส�ำคัญที่สุดส�ำหรับจิตรกรรมฝาผนังท่ีวิหารแห่งน้ี ก็คือภาพที่เขียนเล่าเรื่องวิถีชีวิตความเปน็
อยขู่ องผคู้ น ซงึ่ ดรู าวกบั วา่ จติ รกรรสู้ กึ ชน่ื ชมเปน็ อนั มาก ในการบนั ทกึ เรอ่ื งราวความเปน็ จรงิ และ
ลกั ษณะเฉพาะของทอ้ งถิน่ ซึง่ เป็นส่วนหนง่ึ ของความเป็นอยู่ของตวั จติ รกร๕๐

จิตรกรรมฝาผนัง
วิหารลายค�ำ วดั พระสิงห์
114 อ�ำ เภอเมือง จังหวัดเชยี งใหม่

115

จติ รกรรมฝาผนงั วหิ ารลายคำ� วดั พระสิงหว์ รมหาวิหาร เมอื งเชียงใหม่

ลกั ษณะทนี่ า่ สนใจประการหนง่ึ ของงานจติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารลายคำ� วดั พระสงิ ห์
เมอื งเชยี งใหม่ กค็ อื ความหลากหลายของรูปแบบทางศิลปะที่พบว่ามอี ยถู่ งึ ๓ แบบดว้ ยกนั ไดแ้ ก่
ส่วนแรกคือจิตรกรรมลายค�ำบนผนังด้านหลังพระประธาน ท่ีสะท้อนถึงการผสมผสานกันของ
อทิ ธพิ ลในศลิ ปะจนี กบั แบบศลิ ปะไทยภาคกลางอยา่ งชดั เจน สว่ นทสี่ อง เปน็ งานจติ รกรรมสฝี นุ่ บนผนงั
หรอื ภาพเลา่ เรอื่ งนนั้ การศกึ ษาทผี่ า่ นมาไดก้ ำ� หนดใหจ้ ติ รกรรมเรอื่ งสงั ขท์ องบนผนงั ดา้ นทศิ เหนอื
เป็นแบบอย่างของงานสกุลช่างเชียงใหม่ ที่แม้ว่าจะมีอยู่เพียงช้ินเดียว แต่ก็แสดงให้เห็นถึง
สภาพชีวิตและสังคมวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจนที่สุด ส่วนที่สาม คือจิตรกรรม
เร่ืองสุวรรณหงส์บนผนังด้านทิศใต้ ซ่ึงจัดว่าเป็นแบบแผนของงานจิตรกรรมท่ีได้รับอิทธิพลตาม
แบบศลิ ปะกรุงเทพฯ๕๑

จิตรกรรมฝาผนัง
วิหารลายค�ำ วดั พระสิงห์
116 อ�ำ เภอเมือง จังหวดั เชียงใหม่

117

สญั ลักษณพ์ ระพทุ ธเจ้า ๕ พระองค์

จติ รกรรมฝาผนัง วหิ ารลายคำ� วัดพระสิงห์วรมหาวหิ าร เมืองเชียงใหม่

งานจิตรกรรมฝาผนัง เทคนิคสีฝุ่นบนผนังด้านข้างของอาคารวิหารลายค�ำ วัดพระสิงห์
มีลักษณะเป็นรูปแบบของภาพเล่าเรื่องขนาดยาวต่อเนื่องกันไปตลอด ตั้งแต่ผนังด้านหน้าของ
วหิ ารไปจนสดุ ผนังดา้ นขา้ งฐานพระประธาน เร่อื งราวที่จิตรกรนำ� มาเขยี นภาพนั้น เปน็ เรอื่ งใน
วรรณกรรมพนื้ บา้ นและเปน็ บทละครทนี่ ยิ มเลน่ กนั ทว่ั ไป ไดแ้ ก ่ เรอื่ งสงั ขท์ อง ซงึ่ เขยี นอยบู่ นผนงั
ดา้ นทศิ เหนอื และเรอ่ื งสวุ รรณหงสบ์ นผนงั ดา้ นทศิ ใต้ ซงึ่ มที ม่ี าจากเนอื้ หาในคมั ภรี ป์ ญั ญาสชาดก
ชาดกนอกนบิ าตทีแ่ ต่งขนึ้ โดยพระภิกษุชาวเชียงใหม่ ส่วนภาพทเี่ ป็นคตทิ างพุทธศาสนาโดยตรง
กค็ อื ภาพสญั ลกั ษณพ์ ระพทุ ธเจา้ ๕ องค์ ไดแ้ ก่ พระกกสุ นั โธ พระโกนาคมน พระกสั สปะ พระสมณโคตม
และพระศรอี ารยิ เมตไตรย โดยเขยี นภาพพระพทุ ธเจา้ เรยี งตดิ ตอ่ กนั เปน็ แถว บรเิ วณสว่ นบนของผนงั
ห้องท้ายวิหารเฉพาะทางด้านทิศเหนือ ภาพพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์นี้ แม้ว่าจะเขียนอยู่ใน
ต�ำแหน่งที่เคยนิยมกันมาแต่เดิมก็ตาม แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีการเปล่ียนจากคติพระอดีตพุทธเจ้า
๒๔-๒๘ พระองค์ มาเป็นชุดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ซ่ึงเป็นพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในภัทรกัป
แทน ขณะทคี่ วามนยิ มเรอ่ื ง พระอนนั ตพทุ ธเจา้ หรอื พระอดตี พทุ ธเจา้ จำ� นวนมากจนไมอ่ าจประมาณ
ไดน้ นั้ มกั จะปรากฏในรปู พระพมิ พข์ นาดเลก็ ประดบั ผนงั วหิ าร และพระพมิ พบ์ นแผงไม้ หรอื ทน่ี ยิ ม
เรียกว่า “พระแผง” ซ่ึงจะพบอยูท่ ว่ั ไปภายในวิหารในเมืองเชียงใหมใ่ นยุคสมัยนัน้ ๕๒

118

พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ 119
จิตรกรรมฝาผนัง
วิหารลายคำ� วัดพระสงิ ห์

สญั ลักษณพ์ ระพทุ ธเจา้ ๕ พระองค์

จิตรกรรมฝาผนงั วหิ ารวัดทา่ ข้าม เมืองเชียงใหม่

วดั ทา่ ขา้ ม หรอื วดั สปุ ตั ตนาราม สรา้ งขน้ึ ราวปี พ.ศ.๒๔๐๘ โดยมที า่ นครบู าพรหมสรวจิ า
เป็นประธานในการก่อสร้าง ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันท่ี ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๔๙๓ ภายในวหิ ารเขียนภาพจติ รกรรมฝาผนังท้งั ดา้ นทิศเหนือและทศิ ใต้ ด้านละ ๕ หอ้ งภาพ
โดยมเี สาวหิ ารทำ� หนา้ ทแ่ี บง่ หอ้ งภาพ๕๓ จติ รกรรมทว่ี ดั ทา่ ขา้ มเปน็ ฝมี อื ของชา่ งพน้ื บา้ นชาวไทยใหญ่
แสดงเน้ือหาหลักเก่ียวกับพุทธประวัติ เวสสันดรชาดก และวรรณกรรมพุทธศาสนาท่ีสะท้อน
คตินิยมของท้องถ่ิน การจัดวางองค์ประกอบของภาพใช้แถบสีระบายด้วยแปรงขนาดใหญ่ไป
ตามแนวนอน เรียงหนา้ กระดานซ้อนกัน ท�ำหน้าทีก่ �ำหนดต�ำแหน่งและจัดระเบียบภาพคน สัตว์
และสภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาติ จติ รกรแสดงออกถงึ ความเรยี บงา่ ยไมซ่ บั ซอ้ น ดว้ ยการใชส้ เี พยี ง
๔ สี ไดแ้ ก่ สคี ราม สแี ดงอมสม้ สดี ำ� และสขี าว ประกอบกบั การตดั เสน้ ดว้ ยพกู่ นั ขนาดคอ่ นขา้ งใหญ่
ทสี่ ะทอ้ นอารมณค์ วามรสู้ กึ ดว้ ยเสน้ ทเี่ รยี บงา่ ย ตรงไปตรงมา อนั เปน็ เสนห่ ข์ องงานจติ รกรรมแบบ
ศิลปะพ้ืนถ่ิน ท้ังนี้ รูปแบบท่ีได้รับอิทธิพลจากศิลปะพม่าสกุลช่างไทใหญ่ค่อยๆ ผสมกลมกลืน
เขา้ กบั ความเปน็ ลา้ นนา โดยมสี ภาพแวดลอ้ ม วถิ ชี วี ติ ของชาวบา้ นในฐานะผอู้ ปุ ถมั ภเ์ ปน็ เงอ่ื นไข
สำ� คญั โดยเฉพาะจติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารวดั ทา่ ขา้ มกม็ ลี กั ษณะเชน่ เดยี วกนั นน่ั คอื จะมรี ปู แบบ
ศิลปะพม่าน้อยลง ขณะที่ความเป็นท้องถิ่นด้านต่างๆ ปรากฏอยู่อย่างเด่นชัด เช่น เร่ืองราว
ท่ีปรากฏในภาพเขียน การจัดองค์ประกอบของภาพ ฝีมือช่าง และการแสดงออกทางศิลปะ
เปน็ ตน้ ๕๔

120

วิหารวัดทา่ ขา้ ม
อ�ำ เภอแม่แตง จงั หวัดเชียงใหม่ 121

สัญลกั ษณ์พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์

จิตรกรรมฝาผนงั วิหารวดั ท่าขา้ ม เมืองเชยี งใหม่

การนำ� เสนอเรอ่ื งราวในจติ รกรรมฝาผนงั วดั ทา่ ขา้ ม เปน็ การแสดงพทุ ธประวตั เิ ปน็
เนอ้ื หาหลกั โดยมกี ารดำ� เนนิ เรอ่ื งตอ่ เนอ่ื งกนั หลายผนงั สว่ นเนอื้ หาเรอ่ื งอนื่ ๆ จะเขยี นใหจ้ บ
ภายในหนง่ึ หอ้ งภาพเทา่ นนั้ และยงั คงรกั ษาเอกลกั ษณข์ องงานจติ รกรรมแบบไทใหญเ่ อาไว้
คอื เรอื่ งยอ่ ยอนื่ ๆ มกั จะสอดแทรกอยรู่ ะหวา่ งเรอื่ งพทุ ธประวตั ิ โดยเรม่ิ ตง้ั แตต่ อนเจา้ ชาย
สิทธัตถะเสด็จประพาสอุทยาน และทรงพบเหน็ เทวทูตทง้ั ส่ ี ไดแ้ ก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย
และสมณะ จากน้ันก็ด�ำเนินเร่ืองต่อเน่ืองไป จนถึงตอนพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพาน
ซงึ่ มคี วามสมบรู ณข์ องเรอ่ื งราวมากกวา่ แหง่ อนื่ อยา่ งไรกต็ าม สงิ่ ทนี่ า่ สนใจเกย่ี วกบั เรอ่ื งราว
ในจิตรกรรมฝาผนังแห่งน้ี ก็คือ การถ่ายทอดเนื้อหาวรรณกรรมพุทธศาสนาท่ีสะท้อน
คตินิยมของท้องถิ่นล้านนา เช่น เร่ืองแสงเมืองหลงถ้�ำในปัญญาสชาดก เร่ืองแม่กาเผือก
ซ่ึงเป็นประวัติของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ในภัทรกัป ได้แก่ พระกกุสันโธพุทธเจ้า
พระโกนาคมนพทุ ธเจา้ พระกสั สปพทุ ธเจา้ พระโคตมพทุ ธเจา้ และพระศรอี ารยิ เมตไตรยพทุ ธเจา้
นอกจากน้ี ยงั พบวา่ มพี ทุ ธประวตั ติ อนปราบทา้ วมหาชมพบู ดี สว่ นทศชาตชิ าดกนนั้ ปรากฏ
แคเ่ พยี งเวสสนั ดรชาดกเพียงเร่ืองเดียว๕๕

จติ รกรรมฝาผนัง
วิหารวัดท่าขา้ ม
122 อ�ำ เภอแม่แตง จงั หวัดเชียงใหม่

123

จิตรกรรมฝาผนัง วิหารวดั ทา่ ขา้ ม เมืองเชียงใหม่

การจดั วางตำ� แหนง่ ภาพยงั คงเปน็ ไปตามแบบแผนดงั้ เดมิ คอื กำ� หนดขอบเขตเปน็ กรอบภาพ
ระหวา่ งชว่ งเสาครง่ึ บนผนงั แตไ่ มม่ ลี ายกรอบและลายเชงิ ผา้ ประกอบเหมอื นจติ รกรรมฝาผนงั สกลุ
ช่างไทใหญ่ที่วิหารวัดบวกครกหลวง นอกจากนี้ การใช้สีนิยมคู่สีน�้ำตาลแดงและครามระบาย
เป็นพ้ืนหลังของตัวภาพสลับกันไปโดยตลอด แต่จุดที่น่าสนใจท่ีนับว่าเป็นลักษณะเฉพาะของ
จิตรกรรมฝาผนังแห่งน้ีก็คือ แถบสีดังกล่าวจะเป็นแถบเส้นตรงแนวนอนมากกว่าจะเป็นแถบสี
คดโค้งหรืออิสระ แถบสีแนวนอนน้ีจะเป็นตัวก�ำหนดระเบียบของภาพคน สัตว์ สถาปัตยกรรม
และทวิ ทศั นต์ ามธรรมชาตใิ หเ้ รยี งเปน็ แถวหนา้ กระดานซอ้ นกนั นบั เปน็ การแสดงออกทเ่ี รยี บงา่ ย
ตรงไปตรงมาไมซ่ บั ซอ้ น ทงั้ นี้ ภาพทเี่ ขยี นดว้ ยแปรงและตดั เสน้ ดว้ ยพกู่ นั ขนาดคอ่ นขา้ งใหญอ่ ยา่ งอสิ ระ
รวมถึงองค์ประกอบภาพที่มีลักษณะของโครงสร้างแบบเรขาคณิตน้ี ท�ำให้ผลงานโดยรวมมี
การแสดงออกทบ่ี รสิ ทุ ธิ์ ซอื่ ๆ และจรงิ ใจ อนั เปน็ อารมณค์ วามรสู้ กึ และเสนห่ ท์ ป่ี รากฏในงานศลิ ปะ
แบบพื้นบา้ น นอกจากคุณคา่ ทางศลิ ปะทม่ี ีอยใู่ นผลงานจติ รกรรมแลว้ ลักษณะทแ่ี สดงใหเ้ ห็นถึง
การผสมผสานของรูปแบบศิลปะพม่ากับล้านนาเข้าด้วยกัน ก็ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่มี
ความโดดเด่นของงานจิตรกรรมสกลุ ช่างไทยใหญ่ได้เปน็ อย่างด๕ี ๖

จิตรกรรมฝาผนงั
วิหารวัดทา่ ข้าม
124 อำ�เภอแม่แตง จงั หวดั เชยี งใหม่

125

สญั ลกั ษณ์พระพุทธเจา้ ๕ พระองค์

จติ รกรรมฝาผนัง วหิ ารวดั ท่าขา้ ม เมอื งเชียงใหม่

เรอื่ งราวในจติ รกรรมฝาผนงั วหิ ารวดั ทา่ ขา้ ม ทส่ี ะทอ้ นถงึ สญั ลกั ษณพ์ ระอดตี พทุ ธเจา้ กค็ อื
เรอ่ื งแมก่ าเผอื ก ทม่ี เี นอื้ หากลา่ วถงึ การกำ� เนดิ ของพระพทุ ธเจา้ ๕ พระองคใ์ นภทั รกปั เรอ่ื งราวดงั กลา่ ว
ยงั พบในคตคิ วามเชอื่ ของชาวพทุ ธในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ของไทย เชน่ ในภาคอสี านบางทอ้ งถน่ิ เรยี กวา่
ต�ำนานพระธาตุเชิงชุม ในภาคกลางบางท้องถ่ินเรียกว่า กาขาว ปัญจพุทธพยากรณ์ ภาค
ใต้บางทอ้ งถน่ิ เรยี กวา่ พระเจา้ สามเณร และภาคเหนอื บางทอ้ งถน่ิ เรยี กวา่ อานสิ งสผ์ างประทปี แมก่ าเผอื ก
ก๋าเผือก พระเจ้าห้าตน ต�ำนานเวียงกาหลง และต�ำนานดอยสิงคุตตระ เป็นต้น โดยเฉพาะ
วรรณกรรมพนื้ บา้ น เรอื่ ง ตำ� นานแมก่ าเผอื ก ในวฒั นธรรมลา้ นนา ซง่ึ มเี นอ้ื หาโดยสงั เขป กลา่ ววา่
ในครง้ั พทุ ธกาล มพี น่ี อ้ งสองคนเปน็ พอ่ คา้ จากเมอื งอตุ ตรธญั ญวตนิ คร ตอ้ งการจะนำ� ขา้ วสารไปขาย
ยงั เมอื งสวุ ณั ณภมู ิ แตห่ ลงทางในปา่ จนไดม้ าพบกบั พระพทุ ธเจา้ จงึ เกดิ ความเลอ่ื มใสศรทั ธา จงึ ไดน้ ำ�
อาหารมาถวาย พระพทุ ธเจา้ ทรงประทานเสน้ พระเกศาแก่พอ่ ค้า คนละ ๔ เสน้ แลว้ ใหน้ �ำไปบูชา
ไวท้ ่ีดอยสิงคตุ ตระ อันเปน็ ที่ซงึ่ พระพุทธองค์และพ่ีน้องอกี ๔ คน รวม ๕ คน ไดท้ �ำสจั จาอธษิ ฐาน
ร่วมกันไว้ จึงได้มาเกิดเปน็ ลกู แมก่ าเผอื ก ในสมยั เร่ิมต้นกปั ใหม๕่ ๗

126

จติ รกรรมฝาผนัง เรือ่ ง แมก่ าเผือก
สัญลกั ษณ์พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์
วิหารวัดทา่ ข้าม
127

จติ รกรรมฝาผนงั เรอ่ื ง แม่กาเผอื ก
สญั ลักษณพ์ ระพทุ ธเจ้า ๕ พระองค์
128 วิหารวดั ทา่ ข้าม

สญั ลักษณ์พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์

จติ รกรรมฝาผนัง วหิ ารวัดท่าข้าม เมืองเชยี งใหม่

ในครง้ั นน้ั แมก่ าเผอื กทำ� รงั อยบู่ นตน้ มะเดอื่ ใกลฝ้ ง่ั แมน่ ำ�้ คงคาไดอ้ อกไขไ่ ว้ ๕ ฟอง วนั หนงึ่
ขณะออกไปหาอาหาร ได้เกิดพายุใหญ่ลมฝนพัดไข่ท้ังหมดตกลงในแม่น้�ำกระแสน้�ำพัดไข่ท้ัง ๕
ฟอง ไปคนละทศิ ละทางเมอื่ แมก่ ากลบั มาถงึ รงั กไ็ มพ่ บลกู จงึ ไดเ้ ทยี่ วตามหากย็ งั ไมพ่ บดว้ ยความเศรา้ โศก
จึงตรอมใจตายดว้ ยความรกั ความเมตตาอันบรสิ ุทธ์ิ ด้วยบญุ บารมขี องแมก่ าเผือก จึงได้ไปจุตยิ งั
พรหมโลกช้ันสุทธาวาส มนี ามวา่ ฆติกามหาพรหม ส่วนไขท่ ้ัง ๕ ฟองกไ็ ดร้ บั การอปุ การะเลี้ยงดู
จากสัตว์ทม่ี าพบ ๕ ชนิดดว้ ยกนั ได้แก่ แม่ไก่ช่ือ กกสุ ันธตาทสิ วาที แมน่ าคชือ่ โกนาคมโน แมเ่ ตา่
ช่อื กสั สโป แมโ่ คชือ่ โคตโม และแม่ราชสีหช์ ื่อ อริยเมตไตยโย โดยไข่ทง้ั หมดฟกั ออกเป็นเด็กชาย
ในกาลตอ่ มา ดว้ ยบญุ กศุ ลเดก็ หนมุ่ ทง้ั ๕ กเ็ ตบิ โตขนึ้ จนอายไุ ด้ ๑๒ ปี กม็ จี ติ คดิ ออกบวชเปน็ ฤาษใี นปา่
แมเ่ ลย้ี งทงั้ ๕ เขา้ ใจในปณธิ านอนั แนว่ แนข่ องลกู ทต่ี อ้ งการบำ� เพญ็ บารมพี ระโพธญิ าณ เพอ่ื ตรสั รู้
เป็นพระพุทธเจ้า โปรดสัตว์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ แม่เลี้ยงจึงขอฝากนามของตนไว้กับลูก
เพอื่ เปน็ อนสุ รณใ์ นภายภาคหนา้ เมอ่ื ลกู ไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ แลว้ โดยเรยี งลำ� ดบั พระนามของ
พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ดังน้ี พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคตโม และ
พระศรีอรยิ เมตไตยโย ตามล�ำดับ๕๘

129

วิหารวดั พระธาตุแช่แหง้ เมอื งนา่ น

วดั พระธาตแุ ชแ่ หง้ เปน็ ปชู นยี สถานทส่ี ำ� คญั ทสี่ ดุ ของเมอื งนา่ น ตง้ั อยบู่ รเิ วณบา้ นหนองเตา่ ตำ� บล
ฝายแกว้ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั นา่ น ไดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสมี าเมอื่ พ.ศ.๒๑๐๓ มปี ระวตั กิ ารสรา้ งวดั
ในสมยั พระยาการเมอื ง เจา้ ผคู้ รองนครปวั ทรงเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา และทรงมสี มั พนั ธไมตรี
กับอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา พระองค์จึงได้อัญเชิญ
พระธาตเุ จา้ พระพมิ พท์ องคำ� และพระพมิ พเ์ งนิ จากเจา้ เมอื งสโุ ขทยั มาอยา่ งละ ๒๐ องค์ เพอื่ นำ� มา
ประดษิ ฐานไดท้ เ่ี จดยี บ์ นดอยภเู พยี งแชแ่ หง้ ในสมยั ตอ่ มาพระธาตแุ ชแ่ หง้ กไ็ ดร้ บั การอปุ ถมั ภแ์ ละ
บูรณปฏิสังขรณ์จากเจ้าผู้ครองเมืองน่านมาโดยตลอด ในปัจจุบันองค์พระธาตุแช่แห้งได้รับ
การปฏิสังขรณ์ให้เป็นสถูปเจดีย์พื้นเมือง ทรงระฆังคว�่ำ ต้ังอยู่บนฐานส่ีเหลี่ยมจัตุรัสย่อเก็จแบบ
ศิลปะล้านนา ภายนอกหุ้มด้วยแผ่นทองเหลือง ลงรักปิดทอง มีสถูปจ�ำลองท้ัง ๔ มุมของฐาน
ถัดลงมาทพ่ี ้นื ประดบั ดว้ ยฉัตรแบบพมา่ ทัง้ ๔ มมุ ๕๙

130

วิหารวัดพระธาตุแช่แห้ง
อ�ำ เภอเมือง จงั หวัดนา่ น 131

สญั ลักษณ์พระพุทธเจา้ ๕ พระองค์
วิหารวัดพระธาตแุ ช่แห้ง
132 อำ�เภอเมือง จงั หวดั น่าน

สัญลกั ษณพ์ ระพทุ ธเจ้า ๕ พระองค์

พระพทุ ธรูปภายในวิหารวดั พระธาตแุ ช่แหง้ เมืองน่าน

พระวหิ ารของวดั พระธาตแุ ชแ่ หง้ มขี นาดคอ่ นขา้ งใหญ่ บรเิ วณเหนอื ประตทู างเขา้ ดา้ นหนา้
มีลวดลายปูนปั้นรูปนาคไขว้ หลังคาประดับด้วยตัวนาคยาวจากด้านหน้าจดด้านท้ายวิหาร
นับเป็นลักษณะเฉพาะอันเป็นจุดเด่นของพุทธศิลป์เมืองน่าน ที่นิยมน�ำรูปทรงพญานาคมาใช้
เป็นองค์ประกอบทางรูปแบบศิลปกรรม๖๐ ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปบนฐานชุกชี
ซ่ึงมีขนาดแตกตา่ งกนั จำ� นวน ๕ องค์ ซึง่ นา่ จะเปน็ ความตัง้ ใจของผู้ออกแบบจดั วางพระพุทธรปู
เพื่อเป็นพระประธานภายในวิหาร อันเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนความหมายเรื่องคติพระพุทธเจ้า
๕ องค์ ท่จี ะมาตรัสรูใ้ นภทั รกปั ไดแ้ ก่ พระกกสุ นั โธ พระโกนาคมน์ พระกสั สปะ พระสมณโคตม
และพระศรอี าริยเมตไตรย

133

สัญลักษณ์พระพทุ ธเจ้า ๒๔ พระองค์

สัญลกั ษณ์พระพทุ ธเจา้ ๒๔ พระองคใ์ นงานศิลปะล้านนา
สญั ลักษณพ์ ระพุทธเจา้ ๒๔ พระองค์ หมายถึง พระอดีตพทุ ธเจ้า ๒๔ พระองค์ท่ีทรงมี
พุทธท�ำนายว่าพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระโคตมพุทธเจ้า บางคร้ังอาจเพ่ิมพระโคตมพุทธเจ้า
เขา้ ไปในกลุม่ ด้วย ทำ� ให้มีพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์
งานศลิ ปกรรมลา้ นนาทีส่ ะท้อนแนวคดิ สัญลักษณพ์ ระพทุ ธเจา้ ๒๔ พระองค์ ได้แก่
จิตรกรรมฝาผนังและจิตรกรรมบนแผงไม้คอสอง ภายในวิหารวัดหนองบัว อ�ำเภอ
ท่าวังผา จังหวดั นา่ น

สัญลกั ษณพ์ ระพุทธเจา้ ๒๔ พระองค์
จติ รกรรมฝาผนงั วหิ ารวัดหนองบวั
134 อำ�เภอท่าวังผา จงั หวดั น่าน

135

สญั ลักษณ์พระพุทธเจา้ ๒๔ พระองค์

จิตรกรรมฝาผนงั และจิตรกรรมบนแผงไม้คอสอง วหิ ารวดั หนองบวั เมอื งนา่ น

วดั หนองบวั ตงั้ อยใู่ นหมบู่ า้ นหนองบวั ซง่ึ เปน็ วดั ของกลมุ่ ชน
ชาวไทล้ือเมืองน่าน ท่ีถูกพระเจ้ากาวิละกวาดต้อนมาจากเมืองลา
ปจั จบุ นั อยใู่ นแควน้ สบิ สองปนั นา ประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจนี
เมอ่ื ประมาณปี พ.ศ.๒๓๔๕ ตามประวตั กิ ารสรา้ งวดั กลา่ ววา่ ทา่ นสนุ นั ตะ๊
หรอื ครบู าหลวง เจา้ อาวาสองคแ์ รกของวดั เปน็ ผนู้ ำ� ชาวบา้ นใหร้ ว่ มกนั
สร้างวัดขึ้นเป็นวัดประจ�ำหมู่บ้านหนองบัว วิหารของวัดหนองบัว
มรี ปู แบบเปน็ วหิ ารไทลอ้ื ผงั เปน็ รปู สเี่ หลยี่ มผนื ผา้ เปน็ วหิ ารทรงเตยี้
ฐานวหิ ารตดิ กบั พน้ื ดนิ ผนงั ทง้ั ทศิ เหนอื และใตเ้ จาะเปน็ ชอ่ งหนา้ ตา่ ง
หลงั คาซอ้ นกนั ดา้ นหนา้ ๒ ชน้ั ดา้ นขา้ ง ๒ ตบั ชายหลงั คาทอดยาว
คลุมต�่ำลงมาทั้งสองข้าง หน้าบันเป็นงานแกะสลักไม้ จัดวาง
องค์ประกอบเปน็ ช่องตารางส่ีเหลีย่ ม เรยี กว่า “ภควมั ” ช่อฟ้าและ
หลงั คาตกแตง่ ดว้ ยรปู ปน้ั นกหสั ดลี งิ ค์ สหี ปกั ษี และนกการวกิ ดา้ นหนา้
ประตูทางเขา้ สู่วหิ ารมปี นู ปนั้ รูปสงิ ห์ ๒ ตวั ๖๑

ธรรมมาสน์
วิหารวดั หนองบัว
136 อ�ำ เภอทา่ วงั ผา จงั หวัดนา่ น

วิหารวัดหนองบัว 137
อำ�เภอท่าวงั ผา จังหวัดนา่ น

สญั ลกั ษณพ์ ระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์

จิตรกรรมฝาผนังและจติ รกรรมบนแผงไมค้ อสอง วิหารวัดหนองบวั เมอื งน่าน

งานจติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารวดั หนองบวั เปน็ ภาพชาดกนอกนบิ าต เรอื่ ง
จันทคาธชาดก ซ่งึ มปี รากฏในปญั ญาสชาดกวรรณกรรมพื้นเมอื งของล้านนา หลงั จาก
สรา้ งพระวหิ ารเสรจ็ ไดไ้ มน่ าน จงึ มกี ารเขยี นภาพจติ รกรรมฝาผนงั ขน้ึ โดยการรว่ มมอื กนั
ระหวา่ งชา่ งชาวเมอื งพวน ซง่ึ เปน็ เมอื งในเขตปกครองของหลวงพระบาง ชอ่ื ทดิ บวั ผนั
กบั ชา่ งทอ้ งถนิ่ ชาวไทลอ้ื ชว่ งทมี่ กี ารเขยี นภาพนน้ี า่ จะเปน็ ระยะเวลาใกลเ้ คยี งกนั กบั การเขยี น
ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ทว่ี หิ ารวดั ภมู นิ ทร์ ซง่ึ ไดร้ บั การอปุ ถมั ภจ์ ากเจา้ เมอื งนา่ นในยคุ นน้ั
เนื่องจากจิตรกรรมฝาผนังของเมืองน่านท้ังสองแห่งนี้ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์
กันโดยตรงทั้งในด้านแนวคิดในการจัดองค์ประกอบ เน้ือหาเร่ืองราวที่น�ำมา
ถ่ายทอด และรูปแบบทางศิลปกรรม๖๒ ต�ำแหน่งล่างสุดของจิตรกรรมฝาผนังภายใน
วหิ ารจะอยสู่ งู จากพน้ื ประมาณ ๑.๕ เมตร การวางองคป์ ระกอบของภาพเปน็ แบบตอ่ เนอื่ ง
ข้ึนไปจนเต็มจรดขอบผนังท้ังส่ีด้าน ผนังด้านหลังพระประธานเขียนภาพ
พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ ในปางมารวิชัย ไว้เป็นแถวตอนบนของผนัง และเขียน
พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ในรูปทรงเคร่ืองกษัตริย์ ประทับยืน ท้ิงพระหัตถ์ลงมา
แนบพระองค์ท้ังสองข้าง ซ่ึงเป็นปางที่นิยมกันมากในพระพุทธปฏิมาศิลปะลาว๖๓

จติ รกรรมฝาผนัง วหิ ารวดั หนองบัว
138 อำ�เภอทา่ วงั ผา จังหวัดนา่ น

139

สญั ลกั ษณ์พระอดีตพุทธเจา้
จิตรกรรมบนแผงไมค้ อสอง วิหารวดั หนองบัว
อำ�เภอท่าวงั ผา จงั หวัดน่าน

นอกจากน้ี ภายในวหิ ารวดั หนองบวั ยงั ปรากฏจติ รกรรมภาพสญั ลกั ษณพ์ ระอดตี พทุ ธเจา้
บรเิ วณแผงไมค้ อสอง ด้านบนตดิ กับหลงั คาวิหารทัง้ ดา้ นทศิ เหนอื และทศิ ใต้ มฝี ัง่ ละ ๘ พระองค์
รวมเป็น ๑๖ พระองค์ เมื่อน�ำมารวมกับภาพพระพุทธเจ้าบนผนังด้านหลังพระประธานอีก ๘
พระองค์ จงึ นบั รวมภาพพระพทุ ธเจา้ ภายในวหิ ารไดท้ งั้ สน้ิ ๒๔ พระองค์ ตามคตเิ รอ่ื งพระอดตี พทุ ธเจา้
๒๔ พระองค์ ทที่ รงมพี ทุ ธทำ� นายวา่ พระโพธสิ ตั วไ์ ดจ้ ะตรสั รเู้ ปน็ พระโคตมพทุ ธเจา้ ทง้ั น้ี ถา้ นบั รวม
พระพุทธรูปประธาน ซ่ึงหมายถึงพระสมณโคตม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน จะได้จ�ำนวน ๒๕
พระองค ์ สว่ นพน้ื ภาพเบอื้ งหลงั พระประธานเปน็ ภาพภเู ขาขนาดใหญ่ สนั นษิ ฐานวา่ ชา่ งเขยี นตงั้ ใจให้
เป็นสัญลกั ษณ์ของเขาพระสเุ มรุ ศูนย์กลางของจักรวาล พน้ื ทดี่ ้านบนของผนังเป็นภาพท้องฟา้ มี
ต้นไมแ้ ละนกชนดิ ต่าง ๆ แทรกตัวอยู่อยา่ งงดงาม ภาพพระพทุ ธเจ้าดงั กลา่ วมีขนาดคอ่ นขา้ งใหญ่
มีการจัดวางอย่างองค์ประกอบได้เหมาะสมลงตัวในหน่ึงผนัง ด้วยการค�ำนึงถึงความเช่ือมโยง
สมั พนั ธก์ นั อยา่ งดกี บั จติ รกรรมบนแผงไมค้ อสอง และองคพ์ ระพทุ ธรปู ประธานซงึ่ เปน็ งานปฏมิ ากรรม๖๔

140

141

จิตรกรรมฝาผนงั
วิหารวดั หนองบัว
142 อำ�เภอเมือง จงั หวดั นา่ น

สัญลักษณ์พระพทุ ธเจ้า ๒๔ พระองค์

จติ รกรรมฝาผนังและจิตรกรรมบนแผงไม้คอสอง วิหารวัดหนองบัว เมอื งนา่ น

ผนงั ถดั จากภาพพระอดตี พทุ ธเจา้ และเขาพระสเุ มรบุ นผนงั ดา้ นหลงั พระประธานออกมา
จะมภี าพเขยี นทส่ี ำ� คญั ปรากฏอยู่ ๒ สว่ น คอื สว่ นแรกเปน็ เรอ่ื งจนั ทคาธชาดก ซง่ึ เปน็ ภาพขนาดเลก็
ทเี่ ขยี นตอ่ เนอ่ื งกนั จนเตม็ ทง้ั สามผนงั เรม่ิ จากผนงั ดา้ นทศิ เหนอื ตอนในสดุ ดำ� เนนิ เรอ่ื งยอ้ นออกมา
ทางด้านทิศตะวันออกผ่านผนังด้านหน้าวิหาร แล้วอ้อมไปด้านทิศใต้เร่ือยไปจนสุดผนังด้านใน
จันทคาธชาดกเป็นเร่ืองหน่ึงในปัญญาสชาดก เนื้อเร่ืองค่อนข้างยาว ตัวละครมากมีทั้งเรื่องราว
ความรกั การผจญภยั และการบำ� เพญ็ บารมขี องพระโพธสิ ตั วใ์ นอดตี ชาติ จงึ เปน็ ชาดกนอกนบิ าต
เรอื่ งหนง่ึ ทแี่ พรห่ ลายมากในหมชู่ าวพทุ ธในลา้ นนา๖๕ สว่ นทสี่ องเปน็ ภาพเหตกุ ารณใ์ นพทุ ธประวตั ิ
ซงึ่ เขยี นเปน็ ภาพขนาดใหญม่ ากอยสู่ ว่ นบนของผนงั ดา้ นทศิ ตะวนั ออกตรงกนั ขา้ มกบั พระประธาน
คือภาพพระโพธิสัตว์ทรงประทับไสยาสน์ ตอน ทรงบ�ำเพ็ญทุกรกิริยา เบื้องปลายพระบาท
มีภาพพระอินทร์มาดีดพิณสามสายแสดงนิมิตถวาย นอกจากนี้ ยังมีภาพสอดแทรกที่มีขนาด
และตำ� แหนง่ ทแี่ ยกออกจากเรอื่ งราวหลกั ทำ� นองเดยี วกบั ทว่ี ดั ภมู นิ ทร์ ไดแ้ ก่ ภาพบคุ คลและภาพสตั ว์
ตามจดุ ตา่ งๆ ของอาคาร เชน่ ภาพหนมุ่ สาวบรเิ วณมมุ ผนงั ดา้ นทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื และภาพที่
สะทอ้ นให้เหน็ ถงึ วิถชี วี ิตความเป็นอยขู่ องชาววดั ในวฒั นธรรมล้านนา๖๖

143

สญั ลักษณ์พระพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์

สญั ลกั ษณพ์ ระพทุ ธเจ้า ๒๗ พระองค์ในงานศิลปะลา้ นนา
สญั ลกั ษณพ์ ระพทุ ธเจา้ ๒๗ พระองค์ มคี วามหมายเชน่ เดยี วกบั กลมุ่ ทม่ี พี ระพทุ ธเจา้
๒๕ พระองค์ หากแต่ได้เพ่ิมพระอดีตพุทธเจ้า ๓ พระองค์แรกท่ีไม่ได้มีพุทธท�ำนายว่า
พระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระโคตมพุทธเจ้าเข้าไปด้วย ได้แก่ พระตัณหังกรพุทธเจ้า
พระเมธังกรพุทธเจ้า พระสรณังกรพุทธเจ้า จึงท�ำให้พระพุทธเจ้ากลุ่มนี้ประกอบด้วย
พระอดตี พทุ ธเจา้ ๒๗ พระองค์
งานศิลปกรรมล้านนาท่ีสะท้อนแนวคิดสัญลักษณ์พระพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์
ได้แก่
ลายคำ� ภายในวหิ ารพระพทุ ธ วดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง ตำ� บลลำ� ปางหลวง อำ� เภอ
เกาะคา จังหวดั ล�ำปาง
ลายคำ� ภายในวหิ ารจามเทว่ี วดั ปงยางคก อ�ำเภอหา้ งฉตั ร จงั หวดั ลำ� ปาง
ลายค�ำ ภายในวหิ ารวัดเวยี ง อ�ำเภอเถนิ จงั หวดั ลำ� ปาง

ลายค�ำ สญั ลกั ษณ์พระพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์
144 วิหารวัดเวยี ง อ�ำ เภอเถนิ จงั หวัดล�ำ ปาง

145

146

สญั ลักษณ์พระพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์

ลายคำ�ภายในวหิ ารพระพุทธ วดั พระธาตลุ ำ�ปางหลวง เมืองลำ�ปาง

วิหารพระพุทธไม่มีหลักฐานเอกสารต�ำนานการสร้างท่ีแน่ชัด แต่ในต�ำนาน
พระธาตลุ ำ� ปางหลวงและศลิ าจารกึ ทพี่ บภายในวดั สนั นษิ ฐานวา่ วหิ ารสรา้ งขน้ึ ในชว่ ง
ต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ โดยเจ้าหมื่นค�ำเพชร ผู้มีเชื้อสายขุนนางซ่ึงมาสวามิภักด์ิต่อ
พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์แห่งเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราชทรงโปรดฯ ให้เป็น
เจ้าเมืองล�ำปาง ด้วยจิตศรัทธาของเจ้าหมื่นค�ำเพชร จึงได้สร้างพระพุทธรูป วิหาร
และกอ่ กำ� แพงขน้ึ ในวดั แหง่ นเ้ี มอ่ื ปี พ.ศ.๒๐๑๙ ตอ่ มาวหิ ารพระพทุ ธไดร้ บั การบรู ณะ
ซ่อมแซมหลายครั้ง ปรากฏจารกึ อกั ษรธรรมล้านนาที่เสาหลวงภายในวหิ าร กลา่ วว่า
มีการซ่อมแซมงานศิลปกรรมลายค�ำประดับเสาภายในวิหารคู่หน่ึงเมื่อ พ.ศ.๒๓๔๕
จากนนั้ ในชว่ งกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ ไดม้ กี ารบรู ณปฏสิ งั ขรณว์ ดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง
ครั้งใหญ่ ด้วยเหตุน้ี วิหารพระพุทธก็คงจะได้รับการบูรณะอีกคร้ังในช่วงเวลา
ดังกล่าว๖๗

วหิ ารพระพทุ ธ วัดพระธาตุล�ำ ปางหลวง 147
อำ�เภอเกาะคา จังหวดั ล�ำ ปาง

สัญลกั ษณพ์ ระพทุ ธเจ้า ๒๗ พระองค์

ลายคำ�ภายในวิหารพระพทุ ธ วัดพระธาตลุ ำ�ปางหลวง เมอื งลำ�ปาง

งานลายค�ำภายในวิหารพระพุทธ ปรากฏอยู่ท้ังส่วนภายในและภายนอกวิหารบริเวณ
หนา้ มขุ สว่ นภายในมงี านลายคำ� อยใู่ นบรเิ วณผนงั ระหวา่ งเสาของหอ้ งทปี่ ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ประธาน
โดยประดับที่โครงสร้างไม้เคร่ืองบน เพดาน คอสอง อุดจ่ัว อุดปีกนก รวมท้ังฝาไม้ด้านหลัง
พระประธานกบั หนา้ แหนบดา้ นหนา้ ตลอดจนบนเสาหลวงทกุ ตน้ ในหอ้ งดา้ นหนา้ วหิ าร๖๘ งานศลิ ปะ
ลายคำ� ภายในวหิ ารพระพทุ ธสามารถจำ� แนกออกเปน็ กลมุ่ ตามชว่ งเวลาการสรา้ งทแ่ี ตกตา่ งกนั ได้
ดงั น้ี กลมุ่ แรกเปน็ งานลายคำ� ทป่ี ระดบั อยภู่ ายในวหิ ารและเสาหลวง มลี ายกระหนกมว้ นโคง้ ปลาย
แหลม ลายเครอื เถา ลายชอ่ ดอกบวั ลายกลบั บวั และรปู สตั วใ์ นกรอบกระจก คาดวา่ เปน็ งานทสี่ รา้ ง
ขนึ้ ในชว่ งเวลาเดียวกบั การสร้างวหิ ารหลงั นี้ ซง่ึ อยใู่ นชว่ งระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ กลุม่ ทสี่ อง
เปน็ ลายคำ� ประดับฝาผนังไมบ้ รเิ วณหน้ามุขและบานประตูวิหาร มหี ลกั ฐานวา่ น่าจะสร้างขน้ึ ภาย
หลงั ในชว่ งครึ่งแรกของพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ กลุ่มสดุ ทา้ ย คอื ลายคำ� ประดบั ทอ้ งเสาหลวงค่หู น่ึงใน
วิหาร ซง่ึ มจี ารึกอยู่ท่เี สาระบวุ ่าสรา้ งโดยพระเถระสององค์ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๓๔๕๖๙

148


Click to View FlipBook Version