หลกั การวิเคราะหจุลนิ ทรีย
รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี
ภาควชิ าเทคโนโลยกี ารพฒั นาผลติ ภณั ฑ
คณะอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม
ISBN:974-657-618-6
พมิ พค รง้ั ท่ี 1
จดั พมิ พโ ดย คณะอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม
2545
คณะอตุ สาหกรรมเกษตร
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม เชยี งใหม 50100
คํานํา
หลักการวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียโดยเฉพาะในผลติ ภณั ฑอ ุตสาหกรรมเกษตร เชน อาหาร
และ ชวี มวลท้ังหลายนบั วา เขา มามบี ทบาทในอุตสาหกรรมอยา งมาก และมคี วามสําคัญยิ่งตอ
การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ กระบวนการผลติ และ ผลิตภัณฑสําเรจ็ รปู ความเขา ใจถงึ หลกั การ
วิเคราะหจ ลุ นิ ทรีย รวมท้ังวิธีการและเทคนคิ ตา งๆในการวเิ คราะหจ งึ มคี วามจาํ เปน อยา งยง่ิ ท่ี
ตองทราบและปฏิบัตจิ นมคี วามชํานาญและสามารถประยกุ ตใ ชใ นสายงานตา งๆได เพื่อสราง
ความม่ันใจในเชงิ คณุ ภาพทางดา นจลุ นิ ทรียในผลติ ภณั ฑต า งๆ
นอกจากน้ีเพ่ือเปน แนวทางในการใชพ จิ ารณาประกอบการพฒั นาผลติ ภณั ฑ การใช
หลักการและวิธีการรวมทั้งเทคนิคในการวิเคราะหจุลินทรียเปนแนวทางในการวิเคราะหคุณภาพ
ทางจุลินทรียในข้ันตอนตา งๆในระหวา งการพฒั นาผลติ ภณั ฑก ม็ คี วามสําคญั เชน กนั เพื่อใหการ
พัฒนาผลิตภัณฑเปนไปตามวัตถุประสงคของบริษัทหรือโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรตางๆ
นอกจากจะเปนความตองการของผูบริโภคในดานความปลอดภัยแลว ยังเพื่อใหเกิดความ
สอดคลองกับมาตรฐานผลติ ภณั ฑท ส่ี ากลยอมรบั และขอ จํากดั ตา งๆในขน้ั ตอนการพฒั นา
ผลิตภัณฑ
อยางไรก็ตามผูเรียบเรียงไดใชความพยายามในการรวบรวมและเรียบเรียงจากหนังสือ
ตําราตางๆ รวมทง้ั จากประสบการณเ พอ่ื ใหเ กดิ ความสมบรู ณม ากทส่ี ดุ แตก อ็ าจจะยงั มี
ขอบกพรอ งเกดิ ขน้ึ ซง่ึ ผเู รยี บเรยี งขอนอ มรบั ไว ณ ทน่ี ด้ี ว ย และผเู รยี บเรยี งขอขอบพระคณุ
คุณครูและอาจารยท ไ่ี ดใ หข อ คดิ และความรทู เ่ี กย่ี วขอ งกบั จลุ นิ ทรียจนผูเ รยี บเรยี งสามารถ
ดําเนินการทางดานนี้มาไดดวยดีโดยตลอด โดยเฉพาะ Dr. J. D. Brooks รองศาสตราจารย
ดร. ปรียา วิบูลยเศรษฐ อาจารยส นุ ทร วงศสวัสดิ์ อาจารยพ รทพิ ย อภิรักษติวงค และ
รองศาสตราจารย ดร. สายสมร ลํายอง เปน ตน
ผูเรียบเรยี งคาดหวงั วา หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียเลมน้ี สามารถใชเ ปน แนวทางในการ
วิเคราะหจ ลุ นิ ทรียโดยทว่ั ไป และสามารถประยกุ ตใ ชก บั ผลิตภณั ฑอ ุตสาหกรรมเกษตรตา งๆ ได
อยา งดี
รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วิริยจารี
ภาควชิ าเทคโนโลยกี ารพฒั นาผลติ ภณั ฑ
คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม
2545
สารบญั เรอ่ื ง
หองปฏบิ ตั ิการทางจลุ นิ ทรยี หนา
เทคนคิ ทางจลุ นิ ทรยี 1
การฆา เชอ้ื และการระงบั การตดิ เชอ้ื 5
การเจอื จางตวั อยา ง 11
การเพาะเชอ้ื จลุ นิ ทรยี 15
หลักการและวิธีการตรวจวิเคราะหปริมาณจุลินทรียโดยวิธีนับจุลินทรียที่มีชีวิต 19
ทง้ั หมด( Viable plate count) 25
หลักการและวธิ ตี รวจวเิ คราะหป รมิ าณจลุ นิ ทรียบ นพน้ื ผวิ
หลักการและวธิ ตี รวจวเิ คราะหป รมิ าณจลุ นิ ทรียด ว ยกลอ งจลุ ทรรศน 36
ห ลั ก ก า ร แ ล ะ วิ ธี ต ร ว จ วิ เ ค ร า ะ ห จุ ลิ น ทรี ย โ ด ย ก า ร ก ร อ ง ผ า น แ ผ นเมมเบรน 40
( Membrane) 51
หลักการและวธิ ตี รวจวเิ คราะหป รมิ าณจลุ นิ ทรียโดยหาคา MPN (Most Probable
Number) 56
การวิเคราะหค ณุ ภาพอาหารโดยการรดี วิ สส ี
ความหมายของการตรวจวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียด ชั นี 65
การตรวจวเิ คราะห Coliform, Faecal coliform และ E.coli 70
การวเิ คราะห Faecal streptococcus 73
การศึกษาเชื้อราทมี่ ีความสําคญั กบั อาหาร 78
การแยกยีสตจ ากอาหารและศกึ ษาคณุ สมบตั บิ างประการ 80
การหา Thermal Death Time คา D และคา Z 83
เปรียบเทยี บการทนความรอ นของจลุ นิ ทรียช นดิ ตา งๆ 88
การใชแสงอุลตราไวโอเลตทําลายจลุ ินทรยี 92
การหาความช้ืนและประมาณคา Aw ของอาหาร 95
การยับยง้ั การเจรญิ ของจลุ นิ ทรียดว ยการลด Aw ของอาหาร 97
ประสทิ ธภิ าพของสารกนั เสยี (Preservatives) ในอาหารทม่ี คี วามเปน กรดตา งๆ กัน 101
การวิเคราะหนํ้า 103
การวิเคราะหเ ครอ่ื งดม่ื บรรจขุ วด 106
108
การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียในผลติ ภณั ฑป ระเภทคารโ บไฮเดรต หนา
การวิเคราะหจุลินทรียในไขและผลิตภัณฑจากไข 111
116
การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียในอาหารหมักดอง 118
การศกึ ษาเชอ้ื จลุ นิ ทรียระหวา งการหมกั กะหล่ําปลี 120
การศกึ ษาเชอ้ื จลุ นิ ทรียและการเปลย่ี นแปลงระหวา งการหมกั ผลติ ภณั ฑแ หนม 123
การวเิ คราะหจ ลุ ินทรียในน้ํานม 126
การเกดิ เงาโลหะบน EMB agar 128
การตรวจนบั วิเคราะห Staphylococcus ในอาหาร 129
การตรวจวเิ คราะห Salmonella ในอาหาร 132
การวิเคราะหจ ลุ นิ ทรียประเภท Food poisoning bacteria 136
สารเรง ชวี ภาพหรอื เอนไซม 142
การตรวจสอบอาหารกระปอ ง 144
การวิเคราะหน มขน หวาน 160
มาตรฐานทางจลุ ินทรียของอาหารควบคมุ 162
การวิเคราะหท างจลุ นิ ทรยี ด ว ยวธิ เี รว็ 168
การประยุกตใชวิธีการวิเคราะหแบบเร็วในตัวอยางนํ้าดม่ื 185
การประยุกตใชวิธีการวิเคราะหแบบเร็วในตัวอยาง Cosmetic cleansing milk 187
การประยุกตใชวิธีการวิเคราะหแบบเร็วในตัวอยาง Pharmaceutical tablets 189
การประยุกตใชวิธีการวิเคราะหแบบเร็วในตัวอยางนมดิบ 191
การประยุกตใชวิธีการวิเคราะหแบบเร็วในตัวอยางเครื่องดื่ม Cider 193
การประยุกตใชวิธีการวิเคราะหแบบเร็วในตัวอยาง Bicarbonated apple juice 194
การประยุกตใ ชว ิธกี ารวเิ คราะหแ บบเรว็ ในการศึกษาประสทิ ธภิ าพของสารกนั เสยี 195
การประยุกตใชวิธีการวิเคราะหแบบเร็วในการศึกษาผลของสารยับยั้งการ 196
เจรญิ เติบโตของแบคทีเรยี
การตรวจสอบการปนเปอนของแบคทีเรียแกรมลบใน Drinking milk โดยใช 197
Impedance method
การตรวจสอบ Total Microbial activity ในนมและผลิตภัณฑน มโดยใช 198
Impedance method
การตรวจสอบ Coliforms ในนมและผลิตภัณฑนมโดยใช Impedance method 199
การทดสอบกลั่นกรองสาํ หรบั Enterobacteriaceae ในนมผงโดยวธิ ี Impedance 201
method
การตรวจสอบ Total Microbial activity ในเนื้อและผลิตภัณฑเนื้อโดยใช 202
Impedance method
การทดสอบกลั่นกรองสาํ หรบั Enterobacteriaceae ในเนื้อบดโดยวิธี Impedance หนา
method 203
การตรวจสอบ Salmonella กับอาหารเลย้ี งเชอ้ื Selenite-Cystine Media
(Easter-Gibson Media) โดยวิธี Impedance method 204
การตรวจสอบ Salmonella กับอาหารเล้ียงเช้ือรวมสองชนิด (Rappaport-
Vassiliadis & Easter-Gibson Media) โดยวิธี Impedance method 206
การใชแผน เพาะเชอ้ื ชนดิ แหง ในการวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี
วิธีใชแผนอาหารเลี้ยงเชื้อแหงในการตรวจสอบAerobic count plates ในอาหาร 208
วิธีใชแผนอาหารเลี้ยงเชื้อแหงในการตรวจสอบ Coliform and Escherichia coli 212
counts ในอาหาร 215
วิธีใชแผนอาหารเลี้ยงเชื้อแหงในการตรวจสอบ Yeast and Mold counts ใน
อาหาร 219
วิธีใชแผนอาหารเลี้ยงเชื้อแหงในการตรวจสอบ S.aureus counts ในอาหาร
วิธีใชแผนอาหารเลี้ยงเชื้อแหงในการตรวจสอบ Enterobacteriaceae counts ใน 224
อาหาร 227
เอกสารอา งอิง
229
สารบัญตาราง
ตาราง หนา
28
1 ตัวอยางการรายงานผลการตรวจนบั จลุ นิ ทรียในอาหาร 58
2 คา MPN ทร่ี ะดบั ความเชอ่ื มน่ั รอ ยละ 95 เมอ่ื ใชร ะดบั ความ
60
เจอื จางละ 3 หลอด
3 คา MPN ทร่ี ะดบั ความเชอ่ื มน่ั รอ ยละ 95 เมอ่ื ใชร ะดบั ความ 68
90
เจอื จางละ 5 หลอด
4 เกรดน้ํานมทม่ี กี ารตรวจสอบแบบ Methylene blue reduction test 91
5 เปรยี บเทยี บคา D และคา Z ของแบคทเี รยี ทม่ี บี ทบาทในเรอ่ื งของ
91
อาหารกระปอ ง 94
6 เปรยี บเทยี บคา D และคา Z ของจลุ นิ ทรียท่ีมบี ทบาทเกย่ี วขอ งกบั 99
100
การพาสเจอรไ รสอ าหาร 100
7 ตัวอยางขอมูลการหา Lethal rate 100
8 เปรียบเทยี บการทนความรอ นของจลุ นิ ทรียต า งๆ 104
9 คา AW ของสารละลายอม่ิ ตัวของสารตา ง ๆ ทอ่ี ณุ หภมู ติ า ง ๆ 104
10 เปรียบเทยี บระหวา ง Aw และความเขม ขน ของน้ําเกลือ 105
11 Aw ของน้ําบรสิ ทุ ธท์ิ อ่ี ณุ หภมู ติ า งๆกนั 139
12 คา Aw ตํ่าสุดสําหรบั จลุ นิ ทรียต า งๆ 144
13 การประยกุ ตใ ช Propionate และปริมาณการใชใ นอเมรกิ า 145
14 การประยกุ ตใ ช Sodium benzoate และปริมาณการใชใ นอเมรกิ า 150
15 การประยกุ ตใ ช Sorbate และปริมาณการใชใ นอเมรกิ า 151
16 ความแตกตางของ V.parahaemolyticus จากจลุ นิ ทรียอ น่ื ๆ
17 ความสมั พนั ธร ะหวา ง pH กบั จลุ นิ ทรียใ นอาหาร
18 ความสมั พนั ธร ะหวา งชนดิ จลุ นิ ทรียกบั ลกั ษณะทป่ี รากฏ
19 การวินิจฉัยการเสยี ของอาหารกระปอ ง
20 การวินิจฉัยการเสียของอาหารกระปอง (อาหารทม่ี คี วามเปน กรดต่ํา
pH≥4.5)
ตาราง หนา
21 การวินิจฉัยการเสยี ของอาหารกระปอ ง (อาหารทม่ี คี วามเปน กรดสงู 152
pH≤4.5) 159
22 ความสัมพันธระหวางอุณหภูมิและเวลาในการทําลายสปอรของ
Bacillus stearothermophilus ในสภาพเดยี วกัน
สารบญั ภาพ
ภาพ หนา
1 ลักษณะโตะ ปฏบิ ตั กิ ารจลุ นิ ทรยี 1
2 ประเภทของหลอดเลย้ี งเชอ้ื แบบตา งๆ 3
3 กระบอกใสปเปตและใสจานเลี้ยงเชื้อ 3
4 เข็มและหว งเขี่ยเชื้อ 3
5 ประเภทของปเปตตา งๆ 4
6 ขวดใสอ าหารเลย้ี งเชอ้ื ประเภทตา งๆ 4
7 ลักษณะของ Ocular micrometer และ Stage micrometer 7
8 ลักษณะการวางจานเล้ียงเช้ือเพ่ือทดสอบการฆาเชื้อดวยแสง 13
อุลตราไวโอเลท
9 การทดสอบคุณสมบัตินาํ้ ยาฆา เชอ้ื จลุ นิ ทรยี 14
10 ตัวอยางการเจอื จางและเพาะเชอ้ื จลุ นิ ทรยี 18
11 การเพาะเชอ้ื แบบ Streak plate วิธีที่ 1 20
12 การเพาะเชอ้ื แบบ Streak plate วิธีที่ 2 21
13 การเพาะเชอ้ื แบบ Pour plate 23
14 การเพาะเชอ้ื แบบ Spread plate 24
15 การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียโ ดยวธิ ี Drop plate 30
16 อุปกรณ Haemacytometer 41
17 อุปกรณ Howard mold counting chamber 46
18 การวาง Cover slip บนจานเพาะเชื้อในการศึกษาอิทธิพลของอากาศ 86
ตอ การเจริญเติบโตของยีสต
19 การเกิด การแข็งตัวของ Blood plasma 137
20 การเสื่อมเสียของอาหารกระปอ ง 158
21 วิวัฒนาการวิเคราะหจ ลุ นิ ทรยี 171
22 เทคนคิ วเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียแ บบ DEFT 172
23 การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียต ามเทคนคิ Microcolonies 173
24 การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียต ามเทคนคิ Impedance 174
ภาพ หนา
25 การลดลงของ NADH ถูกวัดที่ 340 nm ใน Autoanalyser system 174
26 การวเิ คราะหจ ลุ ินทรียตามเทคนคิ Fluorescence staining 175
27 การวเิ คราะหจ ลุ ินทรียตามเทคนคิ Radiometry 175
28 การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียตามเทคนคิ Bioluminescence 176
29 การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียต ามวธิ ี Enzyme patterns 176-177
30 เทคนคิ วเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียต ามวธิ ี Pyrolysis with GLC or mass 177
spectrophotometry
31 เทคนคิ วเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียต ามวธิ ี Light scatter 178
32 เทคนคิ วเิ คราะหจ ลุ นิ ทรียต ามวธิ ี Charm test 178
33 กราฟการเจรญิ เตบิ โตของ Listeria 2 สายพนั ธุ ทใ่ี ช M-value และ 180
E-value ท้ัง 2 สายพนั ธเุ จรญิ ในอาหารเลย้ี งเชอ้ื ทต่ี า งกนั 2 ชนดิ
Med I เปน Palcam-supplement ท่ีความเขม ขน ปกติ Med II เปน
Palcam-supplement ท่ีความเขม ขน 2 เทา
34 การเปรียบเทยี บวธิ ี Impedance method กับ Med I , Med II และ 182
FDA-broth (30 องศาเซลเซยี ส นาน 24 ชว่ั โมง) สาํ หรบั Listeria
spp. จาก 120 ตัวอยางที่ตางกัน จากอาหาร 3 ประเภท
35 การวเิ คราะห M-value และ E-value ในนํ้าด่ืมในระบบทอ 185
36 การวิเคราะห M-value และ E-value ใน Cosmetic cleansing milk 187
37 การวิเคราะห M-value และ E-value ใน Pharmaceutical tablets 189
38 การวเิ คราะห M-value และ E-value ในตัวอยา งนมดิบ 191
39 การวเิ คราะห M-value และ E-value ในตัวอยาง Cider 193
40 การวิเคราะห M-value และ E-value ในตัวอยาง Bicarbonated 194
apple juice
41 การตรวจสอบประสิทธิภาพของสารกันเสีย 195
42 การตรวจสอบประสิทธิภาพของสารยับยั้งการเจริญเติบโตของ 196
แบคทเี รยี
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 1
หอ งปฏบิ ตั กิ ารทางจลุ นิ ทรยี
หองปฏบิ ตั กิ ารจลุ นิ ทรีย เปนหอ งทีม่ ีลักษณะเฉพาะทาง สง่ิ ทต่ี อ งพงึ ระมดั ระวงั อยา งยง่ิ
ในหองปฏบิ ตั ิการคอื ความสะอาด เนอ่ื งจากเปน หอ งทต่ี อ งใชใ นการตรวจสอบเชอ้ื จลุ นิ ทรยี
ตางๆ การปฏิบัติการทุกครั้งตองสะอาด ปราศจากเชอ้ื จลุ นิ ทรยี ท ไ่ี มต อ งการหรอื มผี ลกระทบตอ
การตรวจสอบในแตละครั้ง หองปฏิบัติการถือวาเปนสิ่งแวดลอมอันดับแรกที่ตองพึงระวังเรื่อง
ความสะอาดอยา งมาก
โตะปฏิบัติการจะตอ งประกอบดว ยบรเิ วณทใ่ี ชใ นการเตรยี มตวั อยา ง สารเคมี อาหาร
เลี้ยงเชื้อที่ใชเปน ตน นอกจากนอ้ี าจจะตอ งมลี กั ษณะเปน ชน้ั ทม่ี กี ระจกสามารถปด เปด ไดส ําหรบั
เก็บอุปกรณที่จาํ เปน ตอ งใชป ฏบิ ตั กิ ารในแตล ะครง้ั เชนตะเกียงแอลกอฮอล อปุ กรณเ ขย่ี เชอ้ื
ขวดสารละลาย หรือหลอดทดลอง ผา ทําความสะอาด ไมข ดี ไฟ เปน ตน การจดั การบนโตะ
ปฏิบัติการเปนส่ิงสําคญั เชน กนั ความสะอาดบนโตะ จะตอ งเขม งวด และทําความสะอาดอยู
ตลอดเวลา และหา มมสี ง่ิ ของจดั วางไมเ ปน ระเบยี บบนโตะ ปฏบิ ตั กิ าร พน้ื โตะ อาจทําดวยวัสดุที่
สามารถทําความสะอาดไดอ ยา งดี และมปี ระสทิ ธภิ าพ มคี วามทนทานตอ สารเคมที ใ่ี ช รวมทง้ั
ความรอนดว ย อยา งไรกต็ ามบนโตะ อาจจะมกี ารตอ สายกา ซเพอ่ื ใชจ ดุ ตะเกยี งบนุ เซนได และ
อาจจะประกอบดว ยชดุ Laminar flow หรอื Biohazard เพ่ือใชใ นการเขย่ี เชอ้ื ทส่ี ําคญั รวมทง้ั
ศึกษาในรายละเอยี ดของเชอ้ื จลุ นิ ทรีย และอาจจะมีอางนาํ้ เพอ่ื ใชใ นการลา งทําความสะอาด
รวมทั้งเปน ที่ยอมสีจุลนิ ทรียดวย ดงั นน้ั อา งน้ําจะตองมีความสะอาดตลอดเวลา หา มมสี ง่ิ ของ
สกปรกติดอยู ตองสะอาดตลอดเวลา (ดงั ภาพ1)
ภาพ 1 ลกั ษณะโตะ ปฏบิ ตั กิ ารจลุ นิ ทรยี
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 2
ขอควรระวงั ในการรกั ษาความสะอาด
เพอ่ื ปอ งกนั ไมใ หจ ลุ นิ ทรียเกิดการปนเปอ น เสือ้ ผาที่ผปู ฏบิ ตั กิ ารสวมอยคู วรมเี สอื้
สําหรับงานปฏบิ ตั กิ าร (Laboratory coat) สวมทับดานนอกทุกครั้งที่ทําการปฏบิ ตั ิการ และเมอ่ื
เริ่มและเสร็จส้ินการปฏบิ ัตกิ าร ตอ งเช็ดโตะปฏบิ ตั ิการดว ยน้ํายาฆา เชอ้ื ทเ่ี ตรยี มไว เพื่อปองกัน
เช้ือท่ีไมตองการไปปนเปอ นเชอ้ื ทก่ี ําลังตรวจสอบ นอกจากนไ้ี มค วรดม่ื สบู บหุ ร่ี หรอื นําวตั ถุ
ส่ิงของใดๆเขา ไปในปากขณะทํางานปฏบิ ตั ิการทางจลุ นิ ทรีย และไมค วรนําเครอ่ื งมอื อาหาร
เลี้ยงเชื้อ และเชื้อจุลินทรียใดๆออกไปนอกหองปฏิบัติการ อยางไรก็ตามเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือ
ทําเชื้อตกหรือหก หรอื ภาชนะทมี่ เี ชือ้ ตกลงแตกในหอ งปฏบิ ตั ิการควรเอาทชิ ชูวางลงบนเชือ้ แลว
เทนํ้ายาฆาเชื้อลงบนทิชชู หลงั จากนน้ั 15 นาที จงึ นํากระดาษทชิ ชไู ปทง้ิ ยงั ทก่ี ําหนด และทํา
ความสะอาดบรเิ วณนน้ั
เครื่องมือ เครอ่ื งใชต า งๆทม่ี เี ชอ้ื ตองนําไปแชใ นน้ํายาฆา เชอ้ื ทกุ ครง้ั หลงั จากใชแ ลว
เสมอ และหลังจากปฏิบตั กิ ารแลวเสร็จทกุ คร้งั ควรลางมือดวยสบหู รอื นาํ้ ยาลา งมอื เมื่อมือแหงดี
แลวทามือใหทั่วดวยแอลกอฮอลรอยละ 70
อุปกรณที่สําคญั ในหอ งปฏบิ ตั กิ ารทางจลุ นิ ทรยี
1. ชุดตะเกียงแหลงกาํ เนดิ ความรอ น และกา ซ
สวนมากมักจะใชตะเกียงบุนเซนที่ตอติดกับทอตอกาซ แตบ างครง้ั กส็ ามารถใชต ะเกยี ง
แอลกอฮอลไดเชนกัน
2. เครอ่ื งมอื เจอื จางตวั อยา ง
การเจือจางตัวอยางอาจจะใชวิธีการเขยาในขวดอาหารเหลวปลอดเชื้อ หรอื ไมก อ็ าจจะ
ทําการปนในเครื่องปนที่ผานการฆาเชื้อแลว เชน Blenders ตางๆ นอกจากนอ้ี าจจะใชเ ครอ่ื งมอื
ทเ่ี รยี กวา Stomacher ซ่ึงเปนเครอ่ื งทใ่ี ชร ะบบตตี วั อยา งไปมา ดงั นน้ั จะตอ งมถี งุ พเิ ศษทส่ี ามารถ
ทนตอแรงตีของเครื่องมือได รวมทง้ั ถงุ ดงั กลา วตอ งผา นการฆา เชอ้ื มาแลว
3. หลอดเลี้ยงเชื้อ (Culture tube)
หลอดเล้ียงเชอ้ื มหี ลายขนาด ถา เปน หลอดทน่ี ยิ มใชจ ะเปน หลอดทไ่ี มม ขี อบทป่ี ากหลอด
อาจปดปากหลอดดวยจุกสําลี ฝาโลหะ ฝาพลาสติก ฝาเกลียว หรอื จกุ ยาง จกุ ยางหรอื ฝา
พลาสติกมักจะละลายไดถาลนปากหลอดเลี้ยงเชื้อรอนเกินไป ถา เปน ขวดนยิ มใช McCartney
bottles ขนาด 14 และ 28 มิลลิลิตร
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 3
Culture tube Durham tube Culture tube
with screw cap with plastic closure with cotton plug
ภาพ 2 ประเภทของหลอดเลี้ยงเชื้อแบบตางๆ
4. กระบอกใสปเปต (Pipette can)และกระบอกใสจ านเลย้ี งเชอ้ื (Petri dish can)
Pipette can Petri dish can
ภาพ 3 กระบอกใสป เปตและใสจ านเลย้ี งเชอ้ื
5. เข็มและหวงเขี่ยเชื้อ (Transfer or inoculating needle or loop)
ภาพ 4 เข็มและหวงเขี่ยเชื้อ
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 4
6. ปเปต (Pipette)
ภาพ 5 ประเภทของปเปตตา งๆ
7. ขวดใสอ าหารเลย้ี งเชอ้ื (Medium bottle)
7.1 Medical flat bottle
7.2 Screw cap medium bottle
7.3 McCartney vials and bottle
ภาพ 6 ขวดใสอ าหารเลย้ี งเชอ้ื ประเภทตา งๆ
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 5
เทคนคิ ทางจลุ นิ ทรยี
1.! การเอาเชื้อออกจากหลอดทดลองโดยวิธี Aseptic techniques
อาจกลา วไดว า เทคนคิ ทางจลุ ชวี วิทยาท่ีใชก นั บอ ยครง้ั ทส่ี ดุ จะเกย่ี วกบั การถา ยเชอ้ื
(Transfer of cultures) ที่เลี้ยงไวในรูปเชื้อบริสุทธิ์ (Pure cultures) ซึ่งหมายถึงเชื้อที่เลี้ยงไว
เพียงชนดิ เดียวจากสง่ิ แวดลอมหนงึ่ (เชน หลอดหรอื จานเลย้ี งเชอ้ื ) ไปยังอีกสิ่งแวดลอมหนึ่ง แต
เน่ืองจากวา ในบรรยากาศและบนผวิ (Surface) ของสง่ิ ตา งๆในสง่ิ แวดลอ มจะมจี ลุ นิ ทรยี อ ยหู รอื
ติดอยูมากมายหลายประเภท จงึ มคี วามจาํ เปน ตอ งปอ งกนั เชอ้ื บรสิ ทุ ธท์ิ ม่ี อี ยไู มใ หเ กดิ การ
ปนเปอ น (Contamination) โดยจลุ นิ ทรียเ หลา นน้ั ได (Contaminants) การทเ่ี ชอ้ื บรสิ ทุ ธน์ิ น้ั จะ
บริสุทธิ์อยูไดตลอดไป ทุกส่ิงทุกอยางทน่ี ํามาสมั ผสั กบั เชอ้ื นน้ั จะตอ งไมม เี ชอ้ื อน่ื ใดตดิ อยู
กลาวคือจะตองปราศจากเชื้อหรือปลอดเชื้อ (Sterile) นน่ั เอง
การปองกันมิใหเกดิ การปนเปอ นดงั กลา ว ในขณะทม่ี กี ารถา ยเชอ้ื นน้ั สามารถกระทําได
โดยอาศยั เทคนคิ ในการทําใหปลอดเชื้อ (Aseptic techniques) ซ่ึงมขี น้ั ตอนดงั น้ี
1.1 ถือหวงลวด (Wire loop) ระหวางนิ้วหัวแมมือและนิ้วชี้ของมือขวา
1.2 นําไปทําใหป ราศจากเชอ้ื หรอื ปลอดเชอ้ื โดยนําไปเผาดว ยเปลวไฟจากตะเกยี ง
บุนเซน ใหร อ นแดงประมาณ ! ของความยาวลวด หรอื เปน ไปไดก ท็ ําใหร อ นแดงทง้ั หมดเทา ท่ี
จะทําไดเพื่อเปนการประกันความปลอดเชื้อนั่นเอง
1.3 ทิ้งไวใหเย็นสักครู ประมาณ 10-15 วินาที
1.4 ใชนว้ิ กอยของมือขวายึดจุกสําลีของหลอดทดลอง หรือจับที่ปากปดของหลอด
ทดลอง หรือขวดทดลอง โดยยึดไวพรอมๆกับถือหลอดหรือขวดทดลองในมือซาย
1.5 ดึงจุกสําลี/ฝาปด ออกโดยการเปด แบบบดิ ไมใชดึงออกตรงๆ ถาเปนขวดฝาเกลียว
ใหเปด ฝาขวดกอ นโดยใชน้ิวหัวแมม ือและนิ้วชี้ของมอื ซา ย
1.6 ลนปากหลอด / ขวดทดลองอยางรวดเร็วบนเปลวไฟ
1.7 สอด Loop ลงไปในหลอด / ขวดทดลอง และแตะเชื้อที่ขึ้นอยูบนอาหารเลี้ยงเชื้อใน
หลอด / ขวดทดลองอยางเบาๆ
1.8 ดึง Loop ออกจากหลอด / ขวดทดลอง โดยไมใหสัมผัสกับผิวในของหลอด / ขวด
ทดลอง และเอาปากหลอด / ขวด ลนไฟอยา งรวดเรว็
1.9! ใสจุกสําลลี งไปพรอ มทง้ั บดิ ใหแ นน ถาเปนขวดฝาเกลียวก็ใหใชนิ้วหัวแมมือ
และนิ้วชี้ที่ถือฝาขวดไว ปด ฝาขวดใหแ นน ดังเดมิ
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 6
เชื้อที่ไดบน Loop โดยวิธนี จ้ี ะนําไปใสบนสไลดเพื่อดูของสด (Wet mount) ดวยวิธีการที่
จะกลาวตอไป
2.การเตรียมสไลดเพื่อดูของสด (Wet mount)
การเตรียมสไลดเพื่อดูเชื้อบริสุทธิ์ที่เขี่ยมาไดจากหลอด / ขวดทดลองนั้น มวี ธิ ีการท่ี
สามารถอธบิ ายไดด งั น้ี
2.1!เอานํ้าใสล งบนสไลดที่สะอาด 1 หยด โดยใชหวงลวดไปแตะนํ้า และนํามาแตะลง
บนสไลด
2.2!ใชหวงลวดแตะเชื้อจากหลอด / ขวดเลี้ยงเชื้อ (โดยวิธี Aseptic techniques) มา
ผสมกับหยดนํ้าบนสไลด แลวฆาเชื้อบนหวงลวดเสียกอนที่จะวางหวงลวดลง
2.3!ปดกระจกปด สไลดลงบนหยดนา้ํ
2.4!ใชกระดาษซับนาํ้ ที่มากเกินพอออก
2.5!นําไปตรวจดูดวยกลองจุลทรรศน ดวยกาํ ลงั ขยายตางๆ กัน
3.การใชห ัวนํ้ามนั ของกลอ งจลุ ทรรศน
ในการตรวจดดู ว ยกลอ งจลุ ทรรศนน้ัน บางครง้ั มคี วามจําเปนตองใชหัวนํ้ามนั ในการ
ตรวจวิเคราะห ซง่ึ มขี น้ั ตอนตา งๆ ดงั น้ี
3.1!ตั้งกลองโดยปรับแสงและหมุน Condenser ข้ึนจนเกอื บสดุ
3.2!วางสไลดท ต่ี อ งการจะดภู าพ ลงบน Stage ของกลอง
3.3!หมนุ Objective ใหเขา ที่ โดยเรม่ิ จาก Objective ท่ีมีกําลังขยายตํ่าสดุ กอ น
แลวเปลี่ยนกําลังขยายใหสูงขึ้นตามลําดบั ปรับโฟกัสและหาตาํ แหนง ทเ่ี หมาะสมท่ี
ตองการจะศึกษา โดยการเปลย่ี น Objective น้ันใหจ บั ท่ี Revolving nose-piece
3.4!หมนุ Stage ลงพอประมาณ แลวหยดน้ํามนั ลงไปบนสไลดท บ่ี รเิ วณทต่ี อ งการดู
3.5!เลื่อน Oil immersion objective ใหเ ขา ทแ่ี ละหมนุ Stage ขึ้นจนกระทั่งหยดนํ้ามนั
น้ันสมั ผสั กบั ปลาย Objective (ควรระวังอยา หมนุ Stage ข้ึนมากเกนิ ไป เพราะ
จะทําให Objective กระแทกกบั สไลด ทาํ ใหส ไลดแ ตก และทําใหก ลอ งจลุ ทรรศน
เสียหายใชก ารไมไ ดต อ ไป)
3.6!ปรับภาพใหช ดั เจนดว ยปมุ ปรบั ภาพอยา งละเอยี ด (Fine adjustment)
3.7!หลังจากดูเสร็จแลว ใหใ ชป มุ ปรบั ภาพอยา งหยาบ (Coarse adjustment) หมนุ
Stage ลงกอนดึงสไลดออก
3.8!เช็ดน้ํามันออกจากหัวนํ้ามนั ทกุ ครง้ั เมอ่ื ใชก ลอ งจลุ ทรรศนเ สรจ็ เรยี บรอ ยแลว
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 7
4. การวดั ขนาดของจลุ นิ ทรยี
การวดั ขนาดของจลุ นิ ทรียน้ัน กระทําไดโดยใชเ ครอื่ งมือทเ่ี รียกวา Micrometer ซง่ึ
ประกอบดว ย Ocular micrometer และ Stage micrometer
Ocular micrometer Stage micrometer
ภาพ 7 ลักษณะของ Ocular micrometer และ Stage micrometer
4.1! Ocular micrometer เปนแผนแกวกลม ตรงกลางจะมีสเกลแบงออกเปนสวนๆ ซง่ึ ไม
ทราบขนาดของสเกลทแี่ นนอน
4.2 Stage micrometer ลักษณะเหมือนสไลด ตรงกลางเปนสเกลที่วัดไวแนนอนแลวคือ
แตละเสน (1 ชอง) จะหา งกนั 0.01 มิลลิเมตร Stage micrometer น้ีใชเ ปน มาตรฐาน
ในการคํานวณหาระยะกวา งของสเกลบน Ocular micrometer ในการคํานวณหาขนาด
ของสเกลบน Ocular micrometer น้ันทําไดดังนี้
4.2.1 ใส Ocular micrometer โดยใสด า นทม่ี รี อยสเกลลงบนไดอาแฟรมของ Ocular
ของกลองจุลทรรศน
4.2.2! วาง Stage micrometer ลงบน Stage ของกลอง
4.2.3! ปรับปุมปรับภาพเพื่อทําใหเห็นสเกลของ Stage micrometer ชดั เจน
4.2.4! เลื่อน Ocular และ Stage micrometer ใหส เกลของทัง้ สองมาอยูขนานกนั และ
ใหบางสวนเชื่อมตอกันหรือทับกัน ดังรูปใหเสนแรกของสเกลของ Ocular
micrometer ทับกับเสนแรกของสเกลของ Stage micrometer ทางซา ยมอื
4.2.5! นับไปทางขวามอื ดูวาเสนที่เทาไรตอไปของ Micrometer ทั้งสองเสนทับกัน
4.2.6! เน่ืองจากทราบระยะระหวางเสน บน Stage micrometer จึงสามารถหาระยะ
ระหวางเสนบน Ocular micrometer ไดโดยการคํานวณ
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 8
ตวั อยา ง
20 ชองของ Ocular micrometer เทา กบั 50 ชองของ Stage micrometer
แตทราบแลววา 1 ชองของ Stage micrometer เทา กบั 0.01 มลิ ลิเมตร
ดังนน้ั 20 ชองของ Ocular micrometer เทา กบั 50 x 0.01 มิลลิเมตร
นน่ั คอื 1 ชองของ Ocular micrometer เทา กบั 50 x 0.01 มิลลิเมตร
20
เทา กบั 0.025 มิลลิเมตร
เทา กบั 25 Microns
เมื่อใช Ocular micrometer ในการวัดขนาด ขนาดจะอานออกมาเปน Micron เชน ถา
จุลินทรียที่ดูในกลองจลุ ทรรศนมีขนาดเทากับสเกลบน Ocular micrometer 5 ชอง จลุ นิ ทรยี น น้ั
จะมีขนาด 125 Microns
เมื่อใช Objectives ท่ีมีกําลงั ขยายสงู ขน้ึ สเกลบน Stage micrometer จะถกู ขยายมาก
ข้ึน ทําใหจํานวนชอ งของ Ocular micrometer ตอจาํ นวนชอ งของ Stage micrometer เปลี่ยน
ไป จึงตองคํานวณหาขนาดของสเกลของ Ocular micrometer ใหมท กุ ครง้ั ทเ่ี ปลย่ี น Objective
นอกจากนี้เมื่อนาํ Micrometer ไปใชกับกลองจุลทรรศนกลองใหม ขนาดของสเกลของ Ocular
micrometer ก็จะไมเทากับท่ีคํานวณไดจากกลองเดิมเมื่อใชกําลงั ขยายตางๆกนั จึงตองคํานวณ
หาสเกลของ Ocular micrometer ใหมด ว ยทกุ ครง้ั
5.การยอ มสแี กรม
ในการยอมสีแกรมเปนเทคนิคในการจําแนกประเภทของจุลินทรียและชวยใหเห็นเซล
ของจุลินทรียใ นกลองจลุ ทรรศนไ ดอ ยางชัดเจน เทคนคิ นม้ี ขี น้ั ตอนดงั น้ี
5.1!นําสไลดม าวางยงั ทย่ี อ ม หยดนํา้ ยา Crystal violet (ประกอบดว ย Crystal violet;
gentian violet 0.5 กรัม ในน้ํากลั่น 1ลิตร) ปลอยทง้ิ ไวน าน 30-60 วินาที
5.2!เทสีออก ลางดว ยนํ้ายาไอโอดนี และใสนํ้ายาไอโอดนี ไวน าน 1-2 นาที เพื่อชวยใหสี
ติดดีขึ้น (Mordant)
5.3!ลางดว ยน้ํากอกที่ไหลออนๆ สลัดนํ้าออกจากสไลดจนหมด
5.4!ใชนํ้ายาลา งสี (Decolorizer; ประกอบดวยเอทธานอลรอยละ 95 จํานวน 250
มลิ ลิลิตร และAcetone 250 มลิ ลิลิตร) หยดใหไหลผานสไลดจนนํ้าทห่ี ยดผา นไมม สี ี
ติดออกมาดวย ขั้นนี้ใชเวลา 20 วินาทีถึง 1 นาที ขน้ึ อยกู บั ความหนาบางของเชอ้ื ท่ี
ทาลงบนสไลด ระวังอยาลางสีออกมากเกินควร เพราะจะทําใหผลที่ไดผิดพลาด
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 9
5.5!ลางดวยนาํ้ อยา งรวดเรว็ สลัดนํ้าออกจากสไลดจ นหมด
5.6!ยอ มควบดวยสียอมควบคู (Counterstain) คือ Safranin (ทป่ี ระกอบดว ย Safranin
2.5 กรัม ในเอทธานอล 100 มิลลิลิตร เมอ่ื ตองการนํามาใชใ หเ จอื จางลงอีก 5-10
เทาโดยใชนํ้ากลั่น) นาน 30-60 วินาที
5.7!ลางออกดวยนาํ้
5.8!ซับน้ําออกและปลอยใหสไลดแหง แลวดูดวยหัวนํ้ามนั ของกลอง
แบคทีเรียท่ีเปน แกรมบวกจะตดิ สมี ว งหรอื สนี ้ําเงนิ ของ Crystal violet สวนพวกที่เปน
แกรมลบจะตดิ สแี ดงหรอื สชี มพขู อง Safranin
6. การยอ มสีสปอร
แบคทเี รยี ประเภท Bacillus และ Clostridium จะสรางสปอร ซง่ึ เปน สภาพของเซลทม่ี ี
ความทนทานสูงกวาเซลปกติ การยอมสีสปอรจะทาํ ใหเ หน็ เซลดังกลา วชดั เจนมากขน้ึ ซง่ึ มี
วธิ กี ารดงั น้ี
6.1 ใชเ ชอ้ื จลุ นิ ทรียทต่ี อ งการยอ มสปอร มา Smear บางๆ ลงบนสไลด
6.2 เอาสไลดท่ีทําใหแ บคทเี รยี ตดิ แนน บนสไลด โดยการนําไปลนไฟมาแลววางบนท่ี
ยอ ม
6.3 ใสสี Malachite green (ประกอบดว ย Malachite green รอยละ 5 ในน้ํากลั่น) ลง
บนสไลดจ นทว ม ใชเปลวไฟออนๆจากตะเกียงบุนเซนเผานานประมาณ 5 นาที คอยระวังอยา
ใหน ้าํ สแี หง ทิ้งสไลดไวใหเย็น
6.4 ใชนํ้าลา งสไลด แลวซับใหแหง
6.5 ใสสี Safranin ลงไปทิ้งไว 1 นาที
6.6 ลางดวยนํ้าและซบั ใหแ หง
6.7 สองดูดวยกลองจุลทรรศน โดยใชห วั น้ํามนั สปอรจ ะตดิ สเี ขยี ว เซลธรรมดาจะตดิ
สีแดง
7. การยอ มสเี พอ่ื แสดงแคปซลู
แบคทีเรียหลายชนดิ จะมสี ง่ิ หอ หมุ ตวั ซง่ึ เปน สารประกอบพวก Polysaccharide หรอื
Polypeptide ถาสารเหลานี้มีเปนจํานวนมากจะทําใหเ กดิ โครงสรา งทเ่ี รยี กวา แคปซลู แคปซลู
ของแบคทีเรียที่มีอยูในเลือดหรือในเนื้อสัตวนั้น มกั จะมองเหน็ ไดจ ากการยอ มสแี กรม โดยเปน
บริเวณที่ไมติดสีอยูลอมรอบตัวแบคทีเรีย ในการทจ่ี ะทําใหแ คปซลู ของแบคทีเรยี ท่จี ะศึกษาเหน็
เดนชัดขึ้นจะตองใชเทคนิคพิเศษ เทคนคิ ทใ่ี ชใ นการยอ ม Flagella สามารถนํามาใชใ นการยอ มสี
แคปซลู ได แตวิธีที่งายมีดังตอไปนี้
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 10
7.1 ใชหวงลวดแตะ Indian-ink มาใสบ นสไลด 1 หยด
7.2 ผสมเชอ้ื แบคทเี รยี 1 หยด กับ Indian-ink ใหเขากัน
7.3 ปดดวยกระจกปดสไลด ระวงั อยา ใหม ฟี องอากาศ ใชก ระดาษทชิ ชวู างบนกระจก
ปด สไลด กดใหแนน ระวังอยาใหกระจกปดสไลดแตก
7.4 ตรวจดูแคปซูลโดยใชห ัวนํ้ามนั จะเหน็ แคปซูลเปนบรเิ วณขาวใสอยูลอ มรอบตัว
แบคทเี รยี
8. การยอ มสี Acid fast
แบคทเี รยี ประเภท Mycobacterium มีลักษณะเฉพาะทางเคมี โดยมสี ารจําพวกไขมนั
ซึ่งสามารถยอมไดดวยสีที่มีฤทธิ์เปนดางและสารละลายอยูใน Phenol เน่ืองจากมนั ตดิ สยี อ มไดด ี
มากแมจะลางดวยแอลกอฮอลที่มีฤทธิ์เปนกรดก็ไมออก เนอ่ื งจาก Mycobacterium ประกอบ
ดวยแบคทีเรียที่มคี วามสําคญั ทางการแพทย เชนพวกท่ีทําใหเกิดโรควัณโรคและโรคเรื้อน
เทคนคิ การยอ มสดี ว ยวธิ นี ม้ี ดี งั น้ี
8.1 เอาสไลดท ท่ี าเชอ้ื บางๆ ไปลนไฟใหต ดิ แนน แลววางบนทย่ี อ ม ใสสี Carbonfuchsin
(ประกอบดว ย Basic fuchsin 0.25 กรมั Absoluted ethanol 10 มลิ ลิลิตร และ Phenol รอ ยละ
5 ในน้ํากลั่น 100 มิลลิลิตร) ยอ มนาน 5 นาที
8.2 ลางสีออกดวยนาํ้ และตามดวยแอลกอฮอลที่มีฤทธิ์เปนกรดอีกครั้งหนึ่ง
8.3 ใชนํ้ายา Methylene blue (ประกอบดว ย Methylene blue 0.3 กรัม ในน้าํ กลั่น 100
มลิ ลิลิตร) ยอมควบคูโดยใสลงบนสไลด 1 นาที ลางดวยนํ้าและซบั ใหแ หง
8.4 สองดูดวยกลองหัวนํ้ามนั เซลทเ่ี ปน Acid fast จะติดสีแดง ทไ่ี มเ ปน Acid fast จะ
ติดสีนาํ้ เงนิ
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 11
การฆาเช้อื และการระงบั การตดิ เชอื้
ความรเู กย่ี วกบั การฆา (Killing) การกําจดั (Removing) หรือการระงบั การเจรญิ เติบโต
(Inhibition of growth) ของจลุ นิ ทรีย นับวา เปน สว นสําคัญของจุลชีววิทยา ซ่ึงจะนําไปใชใ นการ
ปองกันการเกดิ โรคในมนษุ ย สัตว และพืช ปอ งกนั การบดู เสยี หรอื เนา เสยี ของอาหารตา งๆ และ
ปองกันการแทรกสอด (Interference) หรือปนเปอ น (Contamination) โดยจลุ นิ ทรยี ช นดิ อน่ื ใน
งานที่เกี่ยวกับเชื้อบริสุทธิ์ในหองปฏิบัติการ เชน การวนิ จิ ฉยั การคน ควา หรอื ในทางอุตสาหกรรม
เพื่อวาจะไดไมสับสนในการศึกษาและอื่นๆ วิธีการที่สําคัญในการฆา กําจดั หรอื ระงบั การเจรญิ
เติบโตดงั กลา วจะรวมอยใู นกระบวนการทเ่ี รยี กวา Sterilization และ Disinfection
Sterilization หมายถึงการทําใหป ราศจากเชอ้ื จลุ นิ ทรียท่ีมชี วี ติ ทง้ั ปวง รวมทง้ั ไวรสั
แบคทเี รยี และสปอรของเชื้อแบคทีเรีย เชอ้ื ราและสปอรข องเชอ้ื รา ทง้ั พวกทเ่ี ปน อนั ตราย
(Pathogenic organisms) และไมเ ปน อนั ตราย (Non-pathogenic organisms) ใหหมดสิ้นไป
เชนอาจกระทําไดโ ดยอาศยั กรรมวธิ ที างฟส กิ สเ ชน การใชค วามรอ น ทง้ั ความรอ นแหง (Dry heat)
และความรอ นชน้ื (Moist heat) นอกจากนอ้ี าจเปนการใชร ังสี เชน Ultraviolet หรือโดยการ
กรอง(Filtration) และอาจจะกระทําไดโ ดยกรรมวธิ ที างเคมี เชน การใชส ารเคมตี า งๆ
(Preservatives) กา ซตางๆ เปน ตน
Disinfection หมายถึง การฆา หรอื กาํ จดั จลุ ินทรียท่ีเปนหรอื อาจเปน อนั ตราย
Disinfection ไมจําเปน ตอ งรวมถงึ การ Sterilization ถึงแมวากรรมวิธีบางชนิดจะเปน การ
Sterilization อยา งไรกต็ าม Disinfection อาจจะกระทําไดโ ดยใชส ารเคมี เชน Carbolic acid,
Alcohol และ Mercuric chloride เปนตน ตัวที่กระทาํ ใหป ราศจากเชอ้ื หรอื ระงบั การตดิ เชอ้ื โดย
วิธี Disinfection เรียกวา Disinfectants
สวนการฆา หรือกําจดั จลุ นิ ทรยี ท ท่ี ําใหเ กดิ โรคภายในรา งกายของมนษุ ยแ ละสตั วน น้ั มกั
ใชสารเคมที เ่ี รยี กวา สารปฏชิ วี นะ (Antibiotics) ซ่ึงหมายถงึ สารเคมที ผ่ี ลติ ขน้ึ โดยจลุ นิ ทรยี
สวนใหญเ ปน พวกราและแบคทเี รยี ซง่ึ มผี ลในการฆา (เชน เปน Bactericidal) หรือระงบั การ
เจรญิ เติบโต (เชน เปน Bacteriostatic) ของจลุ นิ ทรียช นดิ อน่ื ตัวอยางไดแก Penicillin,
Tetracycline, Chloramphenical และ Streptomycin นอกจากนี้ยังอาจใชสารเคมีที่สังเคราะห
ข้ึนทเ่ี รยี กวา Chemotherapeutic agents เชน Sulphonamides
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 12
ความจําเปนในการฆา เชอ้ื และปอ งกนั การตดิ เชอ้ื
ใชอ าหารเลย้ี งเชอ้ื Nutrient agar 6 จาน ปฏบิ ตั ิดงั น้ี
จานอาหารเลี้ยงเชื้อที่ 1 และ 2 ใชห ว งสวดที่ยังไมไดฆา เช้ือ ลากเบาๆไปมาบน
ผิววุนในจานอาหารเลย้ี งเชอ้ื ดงั กลา ว
จานอาหารเลี้ยงเชื้อที่ 3 และ 4 ใชหวงลวดอันเดียวกัน แตนําไปฆา เชอ้ื โดยเผา
ดวยเปลวไฟจากตะเกียงบุนเซน รอสักครูใหเย็น แลว ลากเบาๆไปมาบนผวิ วนุ ในจานอาหาร
เลี้ยงเชื้อดังกลาว
จานอาหารเลี้ยงเชื้อที่ 5 และ 6 เปดฝาจานเลี้ยงเชื้อออก ปลอ ยใหว นุ ในจานไดร บั
อากาศนาน 10 นาที แลวปดฝา
นําจานอาหารเลี้ยงเชื้อทั้ง 6 จานไปบม เพาะเชอ้ื ท่ี 30-32 องศาเซลเซียส
นาน 24-48 ชว่ั โมง สงั เกตการขน้ึ โคโลนขี องเชอ้ื จลุ นิ ทรีย ซ่ึงพบวา จานอาหารเลย้ี งเชอ้ื ท่ี 1,2 ,5
และ 6 มกี ารขน้ึ ของโคโลนขี องเชอ้ื จลุ นิ ทรยี
การฆาเชื้อจุลินทรียดวยความรอน
ความรอนมีผลตอการมีชีวิตของเชื้อจุลินทรีย โดยท่ีความรอนไปทําลายการทํางาน
ของเอนไซม หรือโปรโตพลาสซึมของเซล โดยทําใหเ กดิ ความผดิ ปกตขิ องเซลไปจากธรรมชาติ
นอกจากความรอนจะเปนตัวการสําคญั ในการทาํ ลายเซลจลุ นิ ทรียแลว ปรมิ าณน้าํ ทม่ี ใี นอาหาร
ความเปนกรดเปนดาง ซง่ึ มกั จะเปน ปจ จยั รว มกบั ความรอ นในการทําลายเซลจลุ นิ ทรยี
การทดสอบการฆาเชื้อดวยความรอน
1.! ทําเครื่องหมายบนหลอดทดลองและจานเลี้ยงเชื้อ ชอ่ื จลุ นิ ทรียทใ่ี ชใ นการ
ทดลอง อุณหภมู ิที่ใชในการทดลอง ดงั น้ี
ก.! ไมไดน ําไปใหค วามรอ น (Control)
ข.! ใหค วามรอ นท่ี 30 องศาเซลเซยี ส
ค.! ใหค วามรอ นท่ี 50 องศาเซลเซยี ส
ง.! ใหค วามรอ นท่ี 75 องศาเซลเซยี ส
จ.! ใหค วามรอ นท่ี 100 องศาเซลเซียส
ฉ.! ใหค วามรอ นท่ี 121 องศาเซลเซียส
2.! เขยา ขวดทม่ี เี ชอ้ื E.coli หรอื B. subtilis ท่ีมีอยใู นอาหารเหลว เพื่อใหเชื้อมีการ
กระจายตัวที่สมาํ่ เสมอ
3.! เอาปเปต 10 มิลลิลิตรออกโดยวิธีปลอดเชื้อ และดูดเชื้อในอาหารเหลวมา 6
มลิ ลิลิตร ใสลงในหลอดทดลองทั้ง 6 หลอดหลอดละ 1 มิลลิลิตร ใสปเปตที่ใช
แลวลงในภาชนะทม่ี นี ้ํายาเชอ้ื เชอ้ื ผสมอยู
4.! นําหลอดท่ี 1 ตั้งไวที่อุณหภูมิหอง สวนหลอดที่ 2, 3, 4 และ 5 นําไปแชใ น
Water bath ทิ้งไวสักครูเพื่อรอใหอุณหภูมิของหลอดเทากับอุณหภูมิของ
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 13
Water bath แลวจับเวลาใหแตละหลอดอยูที่แตละอุณหภูมิ นาน 10 นาที สวน
หลอดท่ี 6 ใหน ําไปใหค วามรอ นใน Autoclave ท่ีอณุ หภมู ิ 121 องศาเซลเซยี ส
นาน 10 นาที
5.! เมื่อครบ 10 นาทแี ลว นําหลอดทง้ั หมดไปตรวจหาเชอ้ื จลุ นิ ทรีย โดยเชอ้ื จาก
หลอดแตละหลอดลงในจานเลี้ยงเชื้อเปลาแตละจาน ทาํ เครอ่ื งหมาย นําวนุ ท่ี
หลอมละลายใน Water bath 50 องศาเซลเซยี ส มาเทลงในจานแตล ะจาน หมนุ
ไปมา เพ่ือผสมเชอ้ื ใหเ ขา กนั ในแตล ะจาน การผสมนจ้ี ะตอ งดําเนนิ การดว ย
ความรวดเรว็ กอ นทว่ี นุ จะแขง็ ตวั
6.! เมื่อผสมกนั ดแี ลว ปลอยใหวุนแข็งตัว แลว กลบั จานจากบนเปน ลา ง สวนหลอด
ท่ีเทเช้ือออกหมดแลว ใหใ สล งในภาชนะทม่ี นี ้ํายาฆา เชอ้ื อยู
การใชแ สงอุลตราไวโอเลทในการฆา เชอ้ื และปอ งกนั เชอ้ื
การทดลองสามารถแสดงไดดังนี้
1.! ใชสําลที พ่ี นั ปลายไม จมุ เชอ้ื E.coli หรอื B.subtilis ที่เจริญอยูในอาหารเหลว
พอชุม กดสําลีที่ขางขวดแลวบิด เพื่อไมใหนํ้าโชกสาํ ลจี นเกนิ ไป
2.! นําไปกวาดบนผวิ วนุ ในจานเลย้ี งเชอ้ื จนทว่ั
3.! ทิ้งไวสักครู เพื่อใหนํ้าบนผวิ วนุ แหง โดยวนุ ดดู น้ําเขา ไป
4.! นําจานเลี้ยงเชื้อดังกลาวไปเปดรับแสงอุลตราไวโอเลท โดยใหห า งจากตน
กําเนิดแสงประมาณ 76 มิลลิเมตร นาน 10 นาที เมอ่ื เสรจ็ เอาฝาปด จาน
เลี้ยงเชื้อไวดังเดิม
แหลงกําเนดิ แสงอุลตราไวโอเลท
76 มิลลิลิมตร
ภาพ 8 ลกั ษณะการวางจานเลย้ี งเชอ้ื
เพ่ือทดสอบการฆา เชอ้ื ดว ยแสงอุลตราไวโอเลท
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 14
คุณสมบตั ขิ องยาฆา เชอ้ื จลุ นิ ทรยี
ในการทดสอบคุณสมบตั ขิ องยาฆา เชอ้ื จลุ นิ ทรยี ส ามารถดาํ เนนิ การไดด งั น้ี
1.! ใชไมที่มีสําลพี ันปลาย จมุ เชือ้ ในขวดอาหารเหลว โดยกดสําลกี บั ขา งขวด
และบิด เพื่อไมใหนํ้าโชกเกนิ ไป
2.! นําไปลากบนผิววุนในจานเล้ียงเชอื้ 1 เสน
3.! ใชไมที่มีสําลีพันปลาย จมุ เชอ้ื ใหมม าลากบนผวิ วนุ ทาํ เชน นจ้ี นครบ 4 เชอ้ื
( E.coli , B subtilis, Pseudomonas aeruginosa และ Staphylococcus
aureus) ขอ ควรระวงั คอื เช้อื Pseudomonas aeruginosa ปลอย
สารปฏิชวี นะได ดงั นน้ั ควรลากเสน ใหหา งจากเชอ้ื อืน่ เพื่อกันผลผิดพลาด
4.! ใชปากคีบจุมแอลกอฮอลแลวเผาไฟเพื่อฆาเชื้อ ปลอยใหเย็นลงแลวคีบเอา
แผนกระดาษกรองออกจากขวดที่ใสโดยวิธี Aseptic techniques นําไปจุม
ลงในน้ํายาฆา เชอ้ื จนเปย กทว่ั แผน (น้ํายาที่ตองการทดสอบ เชน
แอลกอฮอลรอยละ 70 หรอื HgCl รอ ยละ 0.1 หรอื Chlorox หรอื
Listerine) แลวดงึ แผน กระดาษกรองออกเบาๆ ระวังอยา ใหก ระดาษฉกี
แลวนําไปวางบนแผนวุนในจานโดยใหกระดาษต้ังฉากกับเสนที่ลากเพาะ
เช้ือ ทง้ิ ไวส กั ครจู งึ กลบั จานเลย้ี งเชอ้ื
เชื้อที่ 1 กระดาษกรองชุบน้ํายา
เชื้อที่ 2
เชื้อที่ 3
เชื้อที่ 4
ภาพ 9 การทดสอบคณุ สมบตั ิน้ํายาฆา เชอ้ื จลุ นิ ทรยี
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 15
การเจอื จางตวั อยา งอาหาร
1. หลกั การ
การตรวจวเิ คราะหป รมิ าณจลุ ินทรียด ว ยวิธตี า ง ๆ น้ันมีความจําเปน ตอ งทําใหต วั อยา ง
อาหารเจือจางลงไปจนถงึ ระดบั ทจ่ี ะตรวจนบั ดว ยวธิ นี น้ั ๆ ไดถูกตองและแมนยํา ซ่ึงมีขอ กําหนด
ไวในแตละวิธี และตองเขยา ใหต วั อยา งอาหารกระจายอยใู นน้ํายาสําหรบั เจอื จาง (Diluent)
อยางทั่วถึงเปนเนื้อเดียวกัน (Homogenous)
2. ปริมาณตวั อยา งอาหารทใ่ี ชว เิ คราะห
ปริมาณตัวอยางอาหารท่ีใชวิเคราะหแตละครั้งขึ้นกับวาอาหารน้ันมีลักษณะเปน
เน้ือเดยี วกนั มากนอ ยแคไ หน โดยปกตแิ ลว ไมค วรใชต วั อยา งอาหารนอ ยกวา 10 กรมั
สวนมากนยิ มใช 25-50 กรมั
3. น้ํายาสําหรบั เจอื จาง (Diluent)
น้ํายาสําหรบั เจอื จางทจ่ี ะใชข น้ึ อยกู บั วตั ถปุ ระสงค และชนดิ ของจลุ ินทรียท จ่ี ะตรวจ
วิเคราะห ดงั น้ี
วัตถุประสงคการใช นา้ํ ยาสําหรบั เจอื จาง
ตรวจวเิ คราะหท ว่ั ๆ ไป 1. Phosphate buffer
2. น้าํ เกลอื ปกติ (รอ ยละ 0.85)
อาหารทม่ี ไี ขมนั สงู 3. เปบโตนรอ ยละ 0.1 ในน้ํา
ตรวจวิเคราะห Osmophile 4. เปบโตนรอยละ 0.1 Tween 80 รอ ยละ 0.05
ตรวจวิเคราะห Halophile เปบโตนรอ ยละ 0.1 วุนรอยละ 0.15
น้ํายาซูโครสรอยละ 10
น้ําเกลือรอ ยละ 3-18
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 16
4.การเตรยี มตวั อยา งอาหาร
4.1 อาหารทแ่ี ตล ะหนว ยเปน ชน้ิ เลก็ ๆ นํามารวมกนั ชง่ั ใหไ ด 50 กรมั ในภาชนะท่ี
ปราศจากจลุ นิ ทรยี
4.2 อาหารซง่ึ แตล ะหนว ยเปน ชน้ิ ใหญม าก ใชปากคีบจุมแอลกอฮอลลนไฟจับชิ้น
อาหารไวแลวตัดอาหารใหเปนหนวยยอยดวยมีดซึ่งจุมแอลกอฮอลและลนไฟเชนเดียวกัน
ควรตัดอาหารจากหลาย ๆ บรเิ วณของอาหารกอ นนน้ั แลว จงึ นํามารวมกนั เพอ่ื ชง่ั ใหไ ด 50 กรมั
4.3 อาหารแชแข็ง กอนชั่งอาหารแชแข็งตองทาํ ใหอ าหารละลายในตเู ยน็ อณุ หภมู ิ 0-4
องศาเซลเซยี ส เปนเวลาไมเกิน 18 ชว่ั โมง แลวจึงตัดเปนหนวยยอยเพื่อนําไปชง่ั หรือใชส วาน
ซ่ึงใบสวานผา นการฆา เชอ้ื แลว เสียบผานปลายกรวยพลาสติกที่ตัดปลายแหลมออก กดปลาย
กรวยพรอมสวานลงบนชิน้ อาหารแขง็ เจาะอาหารดว ยสวาน อาหารจะยุยออกผานปลาย
กรวยข้ึนมาในกรวย นําไปชง่ั ใหไ ด 50 กรมั เชน กนั
5.การทําใหต วั อยา งอาหารเจอื จาง
5.1 การเจอื จางขน้ั ตน
การเจอื จางขน้ั ตน นโ้ี ดยทว่ั ๆ ไปนิยมทําใหอ าหารเจอื จาง 1:10 เทา เรียกวา Dilution
1:10 (หนึ่งตอสิบ)
5.1.1 สําหรบั ตวั อยา งอาหารทเ่ี ปน ของเหลว เขยา อาหารแรง ๆ อยา งนอ ย
25 ครง้ั ใชปเปตดูดตัวอยาง 10 มลิ ลิลิตร ใสใ นขวดซง่ึ มนี ้ํายาสําหรับเจือจาง 90 มิลลิลิตรโดย
เปาตัวอยางอาหารในปเปตลงในน้ํายาสําหรับเจือจางใหหมด แลวดูดน้ํายาสําหรับเจือจางกลับ
ข้ึนมาใหม ทาํ เชน นส้ี องสามครง้ั เพอ่ื ลา งตวั อยา งอาหารทต่ี ดิ อยขู า งปเปต เขยา ขน้ึ ลงอยา งแรง
25 ครง้ั
5.1.2 สําหรบั ตวั อยา งอาหารทเ่ี ปน ของแขง็ ซง่ึ อาหาร 50 กรมั ใสใน
เครื่องตีปนไฟฟา เทนํ้ายาสําหรบั เจอื จาง 450 มิลลิลิตร ลงในเครื่องตีปน ตีปน อาหารเปน เวลา
2 นาที การเตรยี มความเจอื จาง 1:10 ของอาหารแขง็ นป้ี จ จบุ นั นยิ มใชเ ครอ่ื ง Stomacher
ซึ่งตีปนอาหารในถุงพลาสติกบรรจุนาํ้ ยาสําหรบั เจอื จาง โดยใชอ าหาร 50 กรัมตอ นา้ํ ยา สาํ หรบั
เจอื จาง 450 มิลลิลิตรเชนเดียวกัน การตปี น ดว ยเครอ่ื ง Stomacher นเ้ี หมาะสมทจ่ี ะใชเ มอ่ื
ตองการตรวจวเิ คราะหต ัวอยา งอาหารครง้ั ละหลายๆ ตัวอยา ง เนื่องจากไมตองเสียเวลาฆาเชื้อ
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 17
ภาชนะสําหรับบรรจอุ าหารสาํ หรบั ตปี น ถุงพลาสติกซึ่งใชกับ Stomacher นจ้ี ะผา นการฆา เชอ้ื
แลวจากโรงงานซง่ึ ผลติ ในขนาดตา ง ๆ กัน
5.1.3 สําหรับตัวอยา งอาหารซง่ึ มลี กั ษณะเปน ผง เชน แปง ซบุ ผง หรอื อาหารท่ี
ยุยเละไดงาย ทําใหเชอื้ กระจายท่ัวถงึ ในนา้ํ ยาสําหรบั เจอื จางไดโ ดยชง่ั ตวั อยา งอาหาร 50 กรมั
ใสในน้ํายาสําหรบั เจอื จางปรมิ าตร 450 มิลลิลิตร ซง่ึ บรรจอุ ยใู นถงุ พลาสตกิ ทนรอ นสวมปากถงุ
ดวยปลอกพลาสติก ทาํ ใหเกิดลักษณะคลายคอขวด อุดจุกดวยสาํ ลี นง่ึ ฆา เชอ้ื เชน เดยี วกบั เมอ่ื
บรรจุนํ้ายาสําหรบั เจอื จางในขวด เมื่อใสตัวอยางอาหารแลวใชมือบีบถุง เพื่อขยี้ใหตัวอยาง
อาหารแตกละเอียดเปนเนื้อเดียวกัน
5.2 การทําใหเ จอื จางลงตามลําดบั (Serial dilution)
โดยทั่วๆ ไปนิยมทําใหเจือจางตัวอยางลงลําดบั ละ 10 เทา ใชป เปตดดู ตวั อยา งเจอื จาง
1:10 จากขอ 5.1 1 มลิ ลิลิตรใสในหลอดหรอื ขวดบรรจุนํ้ายาสําหรบั เจอื จาง 9 มิลลิลิตรหรือใช
ตัวอยา ง 10 มลิ ลิลิตร ใสในขวดบรรจุนาํ้ ยาสําหรบั เจอื จาง 90 มิลลิลิตร เปา ตวั อยา งอาหาร
ใหหมด แลวดูดน้ํายาสําหรบั เจอื จางขน้ึ ไปใหมส องสามครง้ั เขยาหลอดดวยเครื่องเขยาไฟฟา
ในกรณที ่ใี ชข วด เขยา ขวดขน้ึ ลง 25 ครง้ั ตวั อยา งอาหารในขน้ั น้ี จะมีความเจอื จางเปน 1:100
(10-2) เตรยี มตัวอยา ง เจอื จาง 1:1,000 (10-3), 1:10,000 (10-4) และอน่ื ๆ ตามลําดบั โดยวิธี
เดียวกัน ควรเปลย่ี นปเปตใหมท กุ ๆ ระดบั ความเจอื จางทเ่ี ตรยี ม
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 18
อาหาร + นา้ํ ยาเจอื จาง เจอื จาง 1:10 (10-1)
11 กรมั 99 มลิ ลลิ ติ ร
1 มลิ ลิลิตร (10-1) + 9 มลิ ลิลิตรน้ํายา
1 มิลลิลิตร (10-4) 1 มลิ ลิลิตร (10-3) 1 มิลลิลิตร (10-2)
+ 9มลิ ลิลิตร น้าํ ยา + 9 มลิ ลิลิตร น้าํ ยา + 9 มลิ ลิลิตร น้าํ ยา
10-2
10-5 10-4 10-3
. . . . . ....
. . . . . . . .. . . . … .. …
.
. . . . . .. . .. .. . . . .
. . . . . . . . . . .. . . .
.........
ภาพ 10 ตวั อยา งการเจอื จางและเพาะเชอ้ื จลุ นิ ทรยี
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 19
การเพาะเลย้ี งจลุ นิ ทรยี
กระบวนการหลกั ทส่ี ําคัญทางจุลชีววิทยา
ในทางปฏิบัตกิ ารทางจลุ ชวี วิทยา จะมีขั้นตอนหลักที่สาํ คัญอยู 2 ประการคอื การแยก
หรือจําแนก (Isolation) และการเพาะเลย้ี งเชอ้ื (Cultivation)
การแยกหรือจาํ แนก เปน การแยกจลุ นิ ทรียชนิดหนง่ึ ออกจากประชากรผสม (Mixed
population) ท่ีเกิดขน้ึ ในธรรมชาตใิ หเ ปน เชอ้ื บรสิ ทุ ธ์ิ (Pure culture)
สวนการเพาะเลี้ยงเชื้อ เปน การเพาะเลย้ี งเชอ้ื ในสง่ิ แวดลอ มทส่ี รา งขน้ึ เชน ในอาหาร
เลี้ยงเชื้อ (Culture medium) ในหองทดลอง
ในการแยกเชื้อใดเชื้อหนึ่งออกจากเชื้อผสม (Mixed culture) ใหไ ดเ ปน เชอ้ื บรสิ ทุ ธน์ิ น้ั
อาจจะกระทาํ ไดห ลายวิธี วิธีงายๆที่ใชกันเสมอคือวิธีที่เรียกวา Plating method มักใชก บั
จุลนิ ทรียท่ีสามารถเจรญิ เตบิ โตเปน โคโลนีบนอาหารแขง็ เชน แบคทีเรยี สวนใหญ ยสี ตแ ละรา
หลายชนิด วธิ นี เ้ี ปน การแยกและทําใหจ ลุ นิ ทรียแตล ะตวั หยดุ การเคลอ่ื นทบ่ี นหรอื ในอาหารท่ี
ทําใหแข็งดวยวุน (Agar) หรืออาหารประเภทวนุ อน่ื ๆทเ่ี หมาะสม จลุ นิ ทรียแ ตล ะตวั ทเ่ี จรญิ
เตบิ โตไดใ หโ คโลนซี ง่ึ สามารถแยก (Isolate) หรอื ถา ยเชอ้ื (Transfer) ไดง า ย
การทํา Plating method อาจทําไดห ลายวธิ คี อื
1.! Streak plate (Looping out) อาจทําไดห ลายแบบ แตหลักการที่เหมือนกันคือ
ทําใหเชื้อเจือจางลงเรื่อยๆ โดยการใชหวงลวดที่ฆาเชื้อแลวแตะเชื้อและนําไปลาก
(Streak) บนผิวของอาหารแข็ง ไมใ หเ สน ทบั กนั Streak แรกๆจะใหการเจริญที่
ติดตอกัน (Confluent growth) Streak ทายๆ จะใหเ ซลแตล ะเซลแยกหา งจากกนั
เม่ือนําไปเพาะแตล ะเซลจะเจรญิ ใหโคโลนีท่แี ยกกนั เนอ่ื งจาก 1 โคโลนีเจรญิ มาจาก
เซล 1 เซล ดงั นน้ั โคโลนีเหลา นจ้ี ะตอ งประกอบดว ยเชอ้ื ทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ
เทคนคิ ในการทํา Streak plate ใหใชจานอาหารวนุ ทม่ี ผี วิ หนา ทแ่ี หง ในการทํา
Streak plate เสมอ
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 20
วิธีที่ 1
1.1! ใชหวงลวดที่ฆาเชื้อแลวแตะเชื้อจุลินทรียที่ตองการศึกษา จากอาหารวนุ เอยี ง
(Agar slant) มาผสมกันในหยดนํ้าบนสไลด
1.2! นําหวงลวดไปลนไฟฆาเชื้อและแตะเช้ือผสมไปปายบนผิววุนในจานตําแหนง
ก. (ดงั ภาพ 5)
1.3! ลากเชอ้ื อกจากแนว ก. ตามแนว ข.
1.4! ใชหวงลวดแทงลงในวุน ณ ตําแหนง ค. หลายๆครัง้
1.5! นําหวงไปลากเชือ้ จากแนว ข. ไปตามแนว ง. แลวแทงหวงลวด ณ ตําแหนง
จ. หลายๆ ครง้ั
1.6! นําหวงไปลากเชื้อจากแนว ง. ไปตามแนว ฉ.
1.7! เอาลวดไปลนไฟฆาเชื้อ ปลอยใหเย็นลงแลวนํามาลากเชอ้ื จากแนว ฉ. ไป
แนว ช.
หมายเหตุ การทํา Streak plate โดยวิธนี ้ี แทนทจี่ ะใชห วงลวดแทงลงในวนุ หลายๆ
ครั้ง เพ่ือลา งเชอ้ื ทม่ี ากเกนิ พอ ยงั อาจทาํ ไดโ ดยการเผาหว งลวดดว ยเปลวบนุ เซน
ระหวางการลากเชื้อแตละแนว
ก. ค.
ข.
ช. ง.
จ.
ฉ
ภาพ 11 การเพาะเชอ้ื แบบ Streak plate วิธีที่ 1
วิธีที่ 2
1.1 เอาหวงลวดท่ีปา ยเชอ้ื มาแลว ลากไปมาหลายๆครง้ั ตามตําแหนง บนจาน (บริเวณ
ก.) แลว ปด ฝาจาน
1.2!นําหวงลวดไปลนไฟฆาเชื้อ เมอ่ื เยน็ ลงนํามาลากผา นกลางบรเิ วณทป่ี า ยเชอ้ื
ครง้ั แรก (บริเวณ ข.) แลว ปด จาน
1.3!นําลวดไปฆาเชื้อแลวนาํ มาลากกลมุ เสน ค. ใหตั้งฉากกับเสน ข. โดยไมจ ําเปน ตอ ง
นําลวดไปฆาเชื้อขณะนาํ มาลากกลมุ เสน ค. แตละเสน
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 21
บริเวณ ก.
ค.
ข. ค.
ค.
ค.
ภาพ 12 การเพาะเชอ้ื แบบ Streak plate วิธีที่ 2
2.! Pour plate โดยการทําเชื้อใหเจือจางลงเรื่อยๆ แลวนําไปผสมกบั อาหารเลย้ี งเชอ้ื
เฉพาะที่หลอมเหลวและเย็นลง (ประมาณ 50 องศาเซลเซียส) ในจานอาหารทผ่ี า น
การฆาเชื้อโรคแลว เมื่อทิ้งไวใหแข็งและนําไปเพาะ ( Incubate) โคโลนีก็จะเจริญใน
หรือบนอาหารเลย้ี งเชอ้ื วิธีนี้นอกจากจะใชแยกเชื้อใหบริสุทธิ์แลว ยงั สามารถใชใ น
การคํานวณหาจํานวนคราวๆของจุลินทรียอีกดวย
การใช Pour plate technique เพ่ือแยกเชอ้ื ใหบ รสิ ทุ ธห์ิ รอื นบั จํานวนจลุ นิ ทรยี
น้ัน จะตอ งมีการทําใหเ จอื จางใน Medium ที่เปนของเหลว เชน อาหารเหลว หรอื
น้ําเกลือ หรอื น้ํากลั่น โดยอาศัยปเปตเปนหลัก
2.1! เทคนคิ การใชป เ ปต
ปเปตจะไดรับการฆาเชื้อโดยใสไวในกระบอกแกว กระบอกโลหะ ถุงหรือหอ
กระดาษ ในการใชปเปตเพื่อทาํ ของใหเจือจางนี้ ปเปตทกุ อนั จะตอ งปราศจากเชอ้ื
การปอ งกนั มใิ หเ ชอ้ื ตดิ มาบนปเ ปต ควรจะเอาปเปตออกมาจากกระบอกหรือหอ
เม่ือพรอมทจ่ี ะใชง านเทา นน้ั และไมใหสัมผัสกับสิ่งอื่นๆที่วางไวบนโตะ เพราะจะ
ทําใหปนเปอนจากเชื้ออื่นๆที่ไมตองการได
วิธีการนําปเปตออกมาใช ถาอยูในกระบอกหรือหลอดแกวใหปฏิบัติดังนี้
2.1.1! เอาสวนฝากระบอกที่บรรจุปเปตออก และถือไวในมือขวา
2.1.2! ลนไฟที่ปากกระบอกและเอียงกระบอกใหปเปตเลื่อนออกมาราว 1 นว้ิ
ใชฝาดักไว เพื่อไมใหปเปตออกมามากเกินไป
2.1.3! ดงึ ปเปตออกมา 1 อัน โดยจบั ดา นทม่ี สี ําลจี กุ อยู
2.1.4! เอาปากกระบอกปเ ปตไปลนไฟพรอ มทง้ั ปด ฝา
2.1.5! ผา นปเปตไปอยา งชา ในเปลวไฟบนุ เซน 3 ครง้ั และนําไปใชท นั ทที ่ี
ปเ ปตเยน็ ลง
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 22
ถา ปเปตอยใู นถงุ หรอื กระดาษ
2.1.1 ใชมอื จบั ดวู า ปลายทใ่ี ชด ดู อยดู า นใด แลว ฉกี กระดาษทห่ี มุ ทางปลายนน้ั
ออก
2.1.2 ดงึ ปเปตออกทางปลายนน้ั แลว ผา นปเปตอยา งชา ๆ ในเปลวไฟ 3 ครง้ั
เชน กนั
2.2! วิธีการเจอื จาง
การเจอื จางตัวอยา งกอ นการ Pour plate ดําเนินการเชนเดียวกับในบทการ
เจือจางตวั อยา งทีก่ ลา วมาแลว ขา งตน
2.3! วิธี Pour plate
2.3.1 ดูดเช้ือจากขวดทเ่ี จอื จางในสดั สว นทเ่ี หมาะสม เชน 10-2 , 10-3 และ 10-4
ใสในจานเพาะเชื้อที่ฆาเชื้อมาแลว จานละ 1 มิลลิลิตร ทาํ 2 จานตอ 1 Dilution โดย
ใชป เปตอนั เดยี วกบั ทใ่ี ชด ดู เชอ้ื จากขวดทเ่ี จอื จาง 10-2 ไปทํา 10-3 และ 10-3 ไปทํา
10-4 และใชปเปตอันใหมสาํ หรบั จาก 10-4 ตามลําดบั
2.3.2 นําเอาอาหารวุน ท่ีอยใู นสภาพท่หี ลอมเหลวในขวดอาหารเลย้ี งเชือ้ จาก
Water bath มาเทลงในจานทุกจาน โดยขณะทเ่ี ทใชฝ าจานปอ งกนั สว นผสมขา งใน
มิใหเชื้อจากอากาศตกลง
2.3.3 หมนุ จานไปมาใหส ว นผสมเขา กนั ดกี บั อาหาร ระวังอยาใหกระฉอกไปติด
ฝาจานเลย้ี งเชอ้ื
2.3.4 ตง้ั ทง้ิ ไวจ นวนุ แขง็ แลว จงึ กลบั จาน เพื่อปองกันมิใหนํ้าตดิ บนฝาจาน
เล้ียงเชอ้ื หยดลงมาบนวนุ
2.4! วิธีนับจํานวนโคโลนี
ในการนับจํานวนโคโลนี เพอ่ื ความสะดวกอาจจะใชเ ครอ่ื งบนั ทกึ ทเ่ี รยี กวา
Colony counter เคร่ืองนี้ประกอบดว ยแสงและเลนซสําหรบั ชว ยขยาย เวลานับควร
ทําเครื่องหมายบนจานตรงตําแหนงโคโลนีที่นับแลว เพอ่ื ปอ งกนั การนบั ซ้ํา ถาจะ
ใหดีมีเคร่ืองนบั โดยใชม อื กดจะชว ยใหก ารนบั มปี ระสทิ ธภิ าพมากขน้ึ
จํานวนจุลนิ ทรียในตัวอยางท่ีนํามาตรวจนน้ั สามารถคํานวณไดด งั น้ี
จํานวนจลุ ินทรีย = จํานวนโคโลนีบานจานเลย้ี งเชอ้ื
(ตอ 1 มิลลิลิตร) ความเจอื จางของตวั อยา งทน่ี ํามาตรวจสอบ
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 23
เชน ถาน้ํา 1 มิลลิลิตร นําไปเจอื จาง 10-4 เม่ือนําไปผสมกบั อาหารวนุ ในจานเลย้ี งเชอ้ื
และนําไปบม เพาะเช้ือ ปรากฏวา มโี คโลนเี กดิ ขน้ึ 432 โคโลนี ดังนน้ั จํานวนจลุ นิ ทรียใ นน้ํา
1 มิลลิลิตรมจี ลุ ินทรีย เทา กบั 432/10-4 เทา กบั 4,320,000 เซล หรอื 4.32 x 106 เซล
สิ่งสําคัญท่ีตองระวังมากคอื ถา สง่ิ มชี วี ติ ไมส ามารถเจรญิ ในอาหารทก่ี ําหนดให กไ็ ม
สามารถนบั จํานวนได ซึ่งไดแก ไวรัส และแบคทเี รยี ทเ่ี พาะยากบางประเภท
จํานวนโคโลนีที่มีความเจือจางที่สูงควรนอยกวาจํานวนโคโลนีท่ีมีความเจือจางที่ตํ่า
ลงมาประมาณ 10 เทา เนอ่ื งจากวา ไดท ําใหเ จอื จาง 10 เทา ถาผลทอ่ี อกมาคลาดเคลอ่ื นไปมาก
คือไมเปน 10 เทา แสดงวา ความผดิ พลาดอาจเนอ่ื งมาจากการทผ่ี สมเชอ้ื กบั อาหารวนุ ไมด พี อ
หรือการทาํ เจอื จางไมด ี
จํานวนโคโลนีที่เหมาะสมควรอยูระหวาง 30-300 โคโลนี จานทม่ี โี คโลนี ≥ 300 โคโลนี
อาจนับจํานวนโดยการแยกแบงเนื้อที่ออกเปน 4 สวน นับเพียงสวนใดสวนหนึ่งแลวคูณดวย 4
แตม ขี อ แมว า ตอ งมกี ารกระจายของโคโลนีท่ีสม่ําเสมอ
การเจอื จางตัวอยา ง
เชื้อเริ่มตน
10-1 10-2 10-3 10-4 10-5
ภาพ 13 การเพาะเชอ้ื แบบ Pour plate
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 24
3. Spread plate นําเช้ือที่ทําใหเจือจางแลว ทค่ี วามเจอื จางทเ่ี หมาะสมมากวาด
(Spread) บนผิวของอาหารแข็ง โดยใช Spreader ท่ีทําดวยแกวหรือโลหะ วิธีนี้ก็อาจใช
นับจํานวนครา วๆของจลุ นิ ทรียไ ดเ ชน กนั
การเจอื จางตัวอยา ง
เชื้อเริ่มตน
10-1 10-2 10-3 10-4 10-5
Spreader
ภาพ 14 การเพาะเชอ้ื แบบ Spread plate
นอกจากนี้ยังอาจตรวจสอบความบริสุทธิ์ของเชื้อจุลินทรียไดโดยการนาํ ไปยอ มสี เพื่อ
ตรวจดูความแตกตา งของรปู รา ง การเรยี งตัว หรือคุณสมบัติในการติดสียอมของเซล ทใ่ี ชก ัน
มากที่สุดก็คือการยอมสีแบบแกรม (Gram stain)
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 25
หลกั การและวธิ กี ารตรวจวเิ คราะหป ริมาณจลุ นิ ทรยี
โดยวธิ นี บั จลุ นิ ทรยี ท ม่ี ชี วี ติ ทง้ั หมด( Viable plate count)
1. หลกั การ
การตรวจวิเคราะหปริมาณจุลินทรียโดยวิธีนับจุลินทรียที่มีชีวิตทั้งหมด
(Viable plate count) นเ้ี ปน การนบั จํานวนจลุ นิ ทรยี เ ฉพาะทย่ี งั มชี วี ติ อยแู ละสามารถ
เพิ่มจํานวนเจริญเติบโตเปนโคโลนีไดบนอาหารวุน (Agar media) โดยถือหลักการ
วาเซลหน่ึงเซล หรอื กลมุ ของเซลท่ีอยใู กลๆกันจะเพม่ิ จํานวนเจริญเติบโตทับถมกัน
เปน 1 โคโลนี
การตรวจนบั จะใหค วามแมน ยําทส่ี ดุ เมอ่ื
1.1 ตัวอยา งมคี วามเจอื จางพอเหมาะ คอื มปี รมิ าณจลุ นิ ทรยี ใ นระดบั ทเ่ี มอ่ื
เจริญเติบโตในอาหารวนุ แลว จะมจี ํานวนโคโลนรี ะหวา ง 30-300 โคโลนตี อ จาน
เพาะเชอ้ื
1.2 จลุ นิ ทรยี ใ นตวั อยา งมกี ารกระจายดแี ละเกาะกลมุ นอ ยทส่ี ดุ
1.3 อาหารเลย้ี งเชอ้ื เหมาะสม
1.4 อุณหภมู ิ และ สภาพแวดลอ มอน่ื ๆเหมาะสมตอการเจรญิ เตบิ โตของ
จุลนิ ทรยี
2. การตรวจวิเคราะหจํานวนโดยวธิ เี ขยา จาน (Shake plate)
2.1 หลอมอาหารเพาะเชอ้ื ใหล ะลายแลว ทง้ิ ใหเ ยน็ ประมาณ 50 องศา
เซลเซยี ส
2.2 เตรยี มตัวอยา งอาหารใหเ จอื จางตามความตองการ 3 ระดบั ความเจอื จาง
2.3 ใชปเปตดดู อาหารแตล ะความเจอื จาง โดยเรม่ิ จากตวั อยา งทเ่ี จอื จางมาก
ท่ีสุดใสใ นจานเพาะเชอ้ื จานละ 1 มิลลลิ ติ ร แตล ะระดบั ความเจอื จางควรทําอยา งนอ ย
2 จานและใชระดับลางสุดกอนแลวไลขึ้นมาจนถึงใบบนสุด เทอาหารเลี้ยงเชื้อลงใน
จานประมาณ 15-20 มิลลิลิตร โดยเรม่ิ จากจานใบลา งสดุ เชน เดยี วกนั เขยา จานท่ี
ซอนอยูท้ัง 4 ใบพรอ มกนั โดยหมนุ ไปทางขวา 3-4 ครง้ั หมนุ ไปทางซา ย 3-4 ครง้ั
ต้ังท้งิ ไวจนวนุ แขง็
การใสต ัวอยา งอาหารและการเทอาหารเพาะเชอ้ื โดยเรยี งจานซอ นกนั 4 ใบ
น้ัน ทําไดโดยควํ่ามอื ซา ยบนจานทซ่ี อ นกนั ไวใ หน ว้ิ ชก้ี ดฝาบนของจานใบบนสดุ
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 26
น้ิวกลางอยูท ข่ี อบดา นนอกของจานใบทส่ี อง นว้ิ นางอยทู ข่ี อบดา นนอกของจานใบ
ลางสุด เผยอฝาจานใบลา งสดุ โดยใชน ว้ิ หวั แมม อื และนว้ิ นาง และเลื่อนนิ้วนางและ
น้ิวหัวแมมือมาทจ่ี านใบถดั ขน้ึ มาตามลําดบั จนถงึ ใบบนสดุ เพื่อปองกันไมใหตัวอยาง
อาหารแหงตดิ จานเพาะเชือ้ ซง่ึ จะทําใหย ากตอ การกระจายของเช้อื ไมควรใส
ตัวอยางอาหารทง้ิ ไวใ นจานนานเกนิ 10 นาที กอ นทจ่ี ะเทอาหารเลย้ี งเชอ้ื และเพื่อ
ปองกันการเพิ่มจํานวนของจลุ นิ ทรียในนํ้ายาสําหรบั เจอื จาง ควรประมาณระยะเวลา
ระหวางการทําใหอาหารเจือจางในคร้ังแรกจนถึงการเทอาหารเพาะเช้ือจานสุดทาย
ไมใหเกิน 20 นาที
2.4 บมเชื้อที่อุณหภูมิและใชระยะเวลาท่ีเหมาะสมสําหรับจุลินทรียแตละ
ประเภท โดยกลับจานเพาะเชอ้ื สาํ หรบั การบม เชอ้ื ยสี ต แบคทเี รยี และการตรวจนบั
จํานวนทั้งหมด สําหรบั เชอ้ื รานน้ั บม เชอ้ื โดยไมต อ งกลบั จานเพาะเชอ้ื
2.5 นบั จํานวนโคโลนที ง้ั บนผวิ หนา ทฝ่ี ง ในอาหารเลย้ี งเชอ้ื โดยใชเครือ่ งนับ
โคโลนี (Colony counter) ในกรณที ่ตี ัวอยางอาหารมลี ักษณะเปน ผงละเอยี ด
ไมละลายในนํ้ายาสําหรบั เจอื จาง ผงละเอียดเหลานี้จะมีลักษณะคลายโคโลนีเล็ก ๆ
มาก จนในบางครง้ั ผวู เิ คราะหไ มส ามารถจะบอกความแตกตา งได ในกรณเี ชน น้ี
อาจขจัดปญหาไดโดยเตมิ 2, 3, 5 Triphenyl-tetrazolim chloride (TTC) ลงใน
อาหารเลี้ยงเชื้อโดยใชสารละลาย TTC เขม ขน รอ ยละ 0.5 ทาํ ใหป ราศจากเชอ้ื โดย
การกรอง แลว เติมในอาหารเลยี้ งเชอ้ื ทีห่ ลอมเหลวกอ นทจี่ ะเทลงในจานเพาะเชอ้ื
ใชสารละลาย TTC 1 มลิ ลิลิตรตออาหารเลี้ยงเชื้อ 100 มิลลิลิตร โคโลนีของ
แบคทีเรียสว นใหญจ ะมสี แี ดงในอาหารเลย้ี งเชอ้ื ซง่ึ เตมิ สารดงั กลา ว อยา งไรกต็ าม
เพื่อใหแนใจวา TTC จะไมยับยง้ั การเจรญิ ของจลุ นิ ทรยี ท ต่ี รวจวเิ คราะห ผูวิเคราะห
ควรไดเปรียบเทียบผลการตรวจนับจํานวนระหวางการใชอาหารท่ีเติมและไมเติม
สารนีเ้ สยี กอ น
2.6 รายงานผลการตรวจนบั จํานวนจลุ นิ ทรยี ต อ กรมั หรือมลิ ลิลิตรของ
ตัวอยางอาหารโดยคูณจํานวนที่นับไดตามหลักการท่ีจะกลาวถึงดวยระดับความ
เจือจางที่ตรวจนับ ในกรณที จ่ี ํานวนทน่ี บั ไดใ นระดบั ความเจอื จางนน้ั เปน ตวั เลข
สามหลัก ใหปดเลขหลักหนวยขึ้นเปนหลักสิบโดยอาศัยหลักการตามวิธีเลขคณิต
ดังตวั อยา งทแ่ี สดงในตาราง 1
2.6.1 สาํ หรบั การตรวจนบั ทท่ี กุ ซ้ํา หรอื ไมน อ ยกวา ครง่ึ หนง่ึ ของจํานวน
ซ้ําที่ระดับความเจือจางเดียวเทานั้น ทส่ี ามารถนบั จํานวนไดระหวาง 30-300 โคโลนี
ใหหาคาเฉล่ียของจํานวนทต่ี รวจนบั ไดข องทกุ ซ้ําทร่ี ะดบั ความเจอื จางนน้ั (ตัวอยาง
อาหารท่ี 1 และ 2)
2.6.2 สาํ หรบั การตรวจนบั ซง่ึ สามารถนบั จํานวนไดระหวาง 30-300
โคโลนีท่ีระดับความเจอื จางสองระดบั ตดิ กนั โดยทใ่ี นแตล ะระดบั จะมเี พยี งบางซ้ํา
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 27
หรือทุกซํ้าท่ีนับจํานวนไดในชวงดังกลาว และจํานวนเฉลย่ี ของทกุ ซ้ําในระดบั ความ
เจือจางที่ใหการตรวจนับไดส งู มคี าไมถ งึ สองเทา ของจํานวนเฉลย่ี ของทกุ ซ้ําใน
ระดับความเจือจางที่ใหการตรวจนับไดตาํ่ ใหหาคาเฉลี่ยของจํานวนทน่ี บั ไดข อง
ทุกซ้ําท้ังสองระดบั ความเจอื จาง (ตัวอยางอาหารที่ 3 และ 4)
2.6.3 สาํ หรบั การตรวจนบั ซง่ึ สามารถนบั จํานวนไดระหวาง 30-300
โคโลนี ทร่ี ะดบั ความเจอื จางสองระดบั ตดิ กนั และในแตละระดับนับจํานวนไดใ นชว ง
ดังกลาวทุกซํ้า แตคาเฉลี่ยของจํานวนทน่ี บั ไดจ ากระดบั ความเจอื จางทใ่ี หก ารตรวจ
นับไดสูงมีคาถงึ สองเทา หรอื มากกวา คา เฉลย่ี ของจํานวนทน่ี บั ไดจ ากระดบั ความ
เจือจางที่ใหการตรวจนับไดตํ่า ใหใชแ ตเ ฉพาะคา เฉลย่ี จากทกุ ซ้ําทร่ี ะดบั ความ
เจือจางที่ใหการตรวจนับไดตํ่า (ตัวอยางอาหารที่ 5)
2.6.4 ในการตรวจนบั ครง้ั ใดกต็ ามทไ่ี มม โี คโลนเี กดิ ขน้ึ ในจานใดจานหนง่ึ
โดยที่แนใจวาอาหารเลี้ยงเชื้อและสภาวะที่บมเชื้อถูกตองแลวใหรายงานผลวาอาหาร
นั้ น มี จุ ลินทรียอยูนอยกวาตัวเลขของระดับความเจือจางต่ํ าสุดท่ีตรวจนับโดย
ประมาณ (ตัวอยางอาหารที่ 6)
2.6.5 การตรวจนบั ทไ่ี มม จี านใดเลยทม่ี โี คโลนเี กดิ ขน้ึ ถงึ 30 โคโลนี
ใหรายงานจํานวนเฉล่ียทน่ี บั ไดจ ากระดบั ความเจอื จางต่ําสดุ โดยกํากบั คําวา โดย
ประมาณไวดวย (ตัวอยางอาหารที่ 7)
2.6.7 การตรวจนบั ทโ่ี คโลนเี กดิ ขน้ึ หนาแนน มากทกุ จาน ในทกุ ระดบั
ความเจือจาง ใหรายงานวาอาหารน้ันมีจุลินทรียมากกวาตัวเลขของระดับความ
เจือจางสูงสุดคูณดวย 300 โดยประมาณ (ตัวอยา งอาหารที่ 8)
2.6.7 ในกรณที ม่ี โี คโลนแี ผล าม (Spreader) เกิดขึ้น ถาการแผล ามนน้ั
ไมถึงคร่ึงหน่ึงของจานเพาะเชอ้ื ใหน บั จํานวนโคโลนที แ่ี ผล ามเปน หนง่ึ และนบั
จํานวนโคโลนีที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกบริเวณการแผลาม
2.6.8 ไมค วรรายงานผลการทดลองทม่ี ขี อ ผดิ พลาดดงั ตอ ไปน้ี เชน
จํานวนที่นับไดจากระดับความเจือจางสูงมีคามากกวาท่ีนับไดจากระดับความเจือจาง
ตํ่ามีโคโลนีแผลามคลมุ ทง้ั จาน มมี ดหรอื แมลงเดนิ บนผวิ หนา อาหารทําใหเ กดิ
โคโลนีเรียงตอ กนั เปน สาย หรอื จานซง่ึ โคโลนเี กาะกลมุ หนาแนน เฉพาะบรเิ วณใด
บรเิ วณหนง่ึ ซ่ึงแสดงถึงเขยา จานไมม ากพอทจ่ี ะทําใหต ัวอยา งอาหารกระจาย
ไปท่ัวถึง หรอื ทง้ิ ตวั อยา งอาหารนานเกนิ ไปจนแหง ตดิ จาน
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 28
ตาราง 1 ตวั อยางการรายงานผลการตรวจนบั จลุ นิ ทรยี ใ นอาหาร
ตวั อยา ง จํานวนโคโลนี อัตราสวน จํานวนกรมั ตอ ราย
อาหารที่ ระดบั ความ (จํานวนสูงตอ อาหาร ละเอียด
จํานวนต่าํ )
1 เจือจาง (ขอ)
เฉลี่ย -
1:100 1:1,000 19,000(1.9x104) 2.6.1
2 -
เฉลี่ย 175 16 30,000(3.0x104) 2.6.1
208 17 3.6x104/2.7x104 31,000(3.1x104) 2.6.2
3 191.5 16.5 = 1.3
เฉลี่ย (190) 33,000(3.3x104) 2.6.2
322 23 3.3x104/3.2x104
4 278 29 = 1.0 15,000(1.5x104) 2.6.3
เฉลี่ย 300 26
291 32 3.6x104/1.5x104 ประมาณ<100 2.6.4
5 250 40 = 2.4 ประมาณ 1,800 2.6.5
6 270.5 36 -
7 (270) - (1.8x103) 2.6.6
281 40 ประมาณ
378 24
329.5 32 >300,000
(330) (3.0x105)
138 42
162 30
00
18 2
8 >300 >300 -
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 29
3. การตรวจวิเคราะหดวยวิธีเกลี่ยบนผิวหนาอาหารเลี้ยงเชื้อ (Spread plate)
การตรวจวเิ คราะหด ว ยวธิ นี ม้ี ขี อ ดหี ลายประการ เชน สามารถนบั จํานวน
โคโลนใี นอาหารเลย้ี งเชอ้ื ทข่ี นุ ได สังเกตลักษณะโคโลนีไดชัดเจน เชอ้ื ไมม โี อกาส
สัมผัสกับความรอนในอาหาร ซ่ึงความรอนของอาหารวนุ ระดบั ทใ่ี ชใ นวธิ ีเขยา จาน
อาจทําใหจํานวนจลุ นิ ทรยี น อ ยลงได สามารถเตรยี มจานอาหารไวไ ดล วงหนา และ
ในกรณีที่อาหารเลี้ยงเช้ือหรือจานเพาะเชื้อมีจุลินทรียปนเปอนอยูจะสังเกตเห็นได
แตวิธีนผ้ี วู เิ คราะหจ ะตอ งใชค วามระมดั ระวงั ในขอ ผดิ พลาด ซง่ึ อาจจะเกดิ ขน้ึ ได
เน่ืองจากเปน วธิ ใี ชต วั อยา งอาหารปรมิ าณนอ ย คือ 0.1-0.2 มิลลิลิตร และไม
สามารถใชวิธีนี้กับอาหารที่มีจุลินทรียอยูนอยกวา 3,000 เซลตอมิลลิลิตรได
การตรวจวเิ คราะหด ว ยวธิ เี กลย่ี บนผวิ หนา อาหารเลย้ี งเชอ้ื มวี ธิ กี ารดงั น้ี
3.1 เทอาหารเพาะเชอ้ื ลงในจาน ทิ้งไวอยางนอย 6 ชว่ั โมง เพื่อใหผิวหนา
อาหารแหง
3.2 เตรยี มตัวอยา งอาหาร โดยใชระดบั ความเจอื จางต่ํากวา ทต่ี รวจนบั ได
โดยวธิ เี ขยา จาน 10 เทา
3.3 ใชป เ ปตดดู ตวั อยา งอาหารตามระดบั ความเจอื จางทต่ี อ งการ ลงบน
ผิวหนาอาหารเพาะเชื้อจานละ 0.1 หรอื 0.2 มิลลิลิตร โดยใช 2-4 จานในแตล ะระดบั
ความเจอื จาง
3.4 ใชแทงแกวที่ปลายหนึ่งงอจุมแอลกอฮอลลนไฟเกลี่ย (Spread) เชื้อให
กระจายไปท่ัวผิวหนา อาหารเพาะเชอ้ื ซง่ึ อาจทําไดโ ดยใชม อื หนง่ึ ชว ยหมนุ จาน
เพาะเชื้อ หรอื วางจานบนแปน หมนุ (Turn table) โดยแตะแทงแกวไวบนผิวหนา
อาหารเพาะเชื้อพรอ มทง้ั ผลักแปนใหหมนุ ไปรอบๆ
3.5 นบั จํานวนโคโลนีท่ีผิวหนา อาหารเพาะเชอ้ื โดยใชห ลักการเดียวกบั ขอ
2.6 และเนอ่ื งจากการเกลย่ี บนผวิ หนา อาหารนใ้ี ชต วั อยา งอาหารเพยี ง 0.1 มิลลิลิตร
ดังนั้นในการคํานวณหา จาํ นวนจลุ นิ ทรยี ต อ กรมั หรือมิลลิลิตรของอาหาร ระดบั
ความเจือจางที่จะใชคูณคาเฉลี่ยของโคโลนีที่นับไดตอจานจึงตองเพิ่มขึ้นอีก 10 เทา
จากระดับความเจอื จางทเี่ ตรียมไวเดิม
1.! การตรวจวิเคราะหจํานวน โดยวิธี Drop plate
วิธีการตรวจวิเคราะหโดยวิธีนี้ มีขั้นตอนดังตอไปนี้
4.1 เตรยี มจานอาหารเพาะเชอ้ื เชน เดยี วกบั ขอ 3.1
4.2 เตรยี มตวั อยา งอาหารเจอื จางเชน เดยี วกบั ขอ 3.2
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 30
4.3 ใชป เ ปตขนาด 0.1 มลิ ลลิ ติ รซง่ึ มขี ดี แบง ทจ่ี ะอา นไดช อ งละ 0.02มิลลิลิตร
หรือ Pasteur pipette ซง่ึ ปลายเลก็ ขนาดหยดน้ําไดห ยดละ 0.02 มิลลิลิตร ดูด
ตัวอยางอาหารแตละระดับความเจอื จาง หยดบนผิวหนา อาหารเพาะเชอื้ จดุ ละ 0.02
มิลลิลิตร จานละ 5 จดุ ใชต วั อยา งอาหารระดบั ความเจอื จางตา งๆ กัน 3 ระดบั
ตัวอยางอาหาร 0.02 มลิ ลลิ ติ ร
ความเจอื จางระดบั ท่ี 1 ความเจอื จางระดบั ท่ี 2 ความเจอื จางระดบั ท่ี 3
ภาพ 15 การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี โ ดยวธิ ี Drop plate
4.4 หลงั จากหยดตัวอยา งอาหารแลว รอจนน้ําจากตัวอยา งอาหารซมึ เขา ไป
ในผิววนุ จนแหง ซง่ึ ใชเ วลาประมาณ 20-30 นาที
4.5 บม เชอ้ื เชน เดยี วกบั ขอ 2.4
4.6 นับจํานวนโคโลนีเฉพาะในระดับความเจือจางที่มีโคโลนีแตละจุดไมเกิน
20 โคโลนี รวมจํานวนโคโลนีท้ัง 5 จดุ ซง่ึ จะเปน จํานวนตอ ตวั อยา งทร่ี ะดบั ความ
เจือจางนน้ั ถา ใชต ัวอยา งอาหาร 0.1 มิลลิลิตร คาํ นวณหาจํานวนจลุ นิ ทรยี ต อ กรมั
หรือมิลลิลิตร ของอาหารโดยคณู จํานวนโคโลนที น่ี บั ไดด ว ยระดบั ความเจอื จางแลว
คูณดวย 10
การตรวจนบั จํานวนโคโลนใี นแตล ะจดุ นค้ี วรใช Colony counter หรอื
แวนขยาย
5. ความถกู ตอ งของผลการวเิ คราะห
การนบั จํานวนจลุ นิ ทรยี โ ดยวธิ ี Viable plate count นย้ี อ มมขี อ ผดิ พลาด
เกิดขึ้นไดหลายประการ กอ นจะรายงานผลผวู เิ คราะหค วรตรวจสอบวา ผลนน้ั มี
ความถูกตองอยใู นขา ยทจ่ี ะยอมรบั ได ซง่ึ มหี ลกั เกณฑใ นการพจิ ารณา คือ
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 31
5.1 ในการตรวจนบั จํานวนโดยใชต วั อยา งอาหารทม่ี คี วามเจอื จางตา งกนั
ระดับละ 10 เทา จํานวนท่ีนับไดใ นแตละระดับควรจะตา งกนั ประมาณ 10 เทาดวย
5.2 จํานวนที่นับไดในแตละจานของระดับความเจือจางใดความเจือจางหนึ่ง
ควรใกลเคียงกัน ซึ่งอยูใน Range ท่ีมีระดบั ความเชอ่ื มน่ั ทางสถติ ริ อ ยละ 95 โดย
คํานวณจากสูตร
(nx) + 1.96 √( n x )
n
nx = จํานวนโคโลนรี วมทกุ จาน
n = จาํ นวนจานทน่ี บั
x = จาํ นวนโคโลนใี นแตล ะจาน
x = จาํ นวนโคโลนีเฉลี่ย
6. รายละเอยี ดทค่ี วรบนั ทกึ ในการรายงานผล
ในการรายงานผลควรบันทึกรายละเอียดของการตรวจวิเคราะหบางประการ
เชน น้ํายาที่ใชสาํ หรบั เจอื จาง อาหารเพาะเชอ้ื และอณุ หภมู ทิ บ่ี ม เชอ้ื
ตัวอยา งปฏบิ ตั กิ าร :
การตรวจวิเคราะหปริมาณจุลินทรียโดยวิธี Viable plate count
จํานวนและปรมิ าณจลุ นิ ทรียท่ีมีอยูในอาหาร และสวนประกอบของอาหารจะ
เปนตัวบงบอกถงึ คณุ ภาพของอาหารนน้ั ๆ ถาหากมจี ํานวนของจลุ นิ ทรียอยมู ากใน
อาหาร อาจแสดงถงึ วา วตั ถดุ บิ ทเ่ี ขา มาผลิตอาหารดอ ยคณุ ภาพ หรือขนสงและวิธี
การผลิตไมดพี อ ดงั นน้ั จงึ ไดม กี ารพฒั นาการตรวจหาจลุ นิ ทรียในอาหาร และสวน
ประกอบอาหารหลายๆอยาง ในวธิ กี ารวเิ คราะหด งั ตอ ไปนเ้ี ปน วธิ กี ารทน่ี ยิ มใชก นั
มากในการหาปริมาณหรือจํานวนของจลุ นิ ทรยี ท ง้ั พวก Aerobic และ Facultative
microorganisms
ตวั อยางอาหาร
เน่ืองจากจลุ นิ ทรียในอาหารนน้ั มอี ยไู มส มา่ํ เสมอกันตลอด บางสวนของ
อาหารก็มีมาก บางสว นของอาหารกม็ นี อ ย ฉะนน้ั การหาปรมิ าณของจลุ นิ ทรยี ใ น
อาหารจึงตองใชสวนของอาหารหลายๆสวนเปนตัวแทน
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 32
อุปกรณ
• ขวดบรรจุนํ้ายาสําหรบั เจอื จางปรมิ าณ 90 มลิ ลิลิตร และ99 มิลลิลิตร
• ขวดหรือหลอดบรรจนุ ้าํ ยาสําหรบั เจอื จางปรมิ าตร 9 มลิ ลิลิตร
• ปเ ปตขนาด 10 มิลลิลิตร ขนาด 1 มลิ ลิลิตร และ ขนาด 0.1 มิลลิลิตร
• จานเพาะเชื้อ และจานเพาะเชอ้ื ซง่ึ เท Plate count agar (PCA) ไวข า มคนื
รวมทั้ง PCA ขวดละ 150 มิลลิลิตร
• แทงแกวงอ
• เครอ่ื งตีปนไฟฟาหรอื Stomacher
การทดลองและรายงานผล
1. ตรวจวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี ใ นอาหารเหลว
1.1! เตรียมนมพาสเจอรไรสเ จอื จาง 1:10, 10-2, 10-3
1.2! ตรวจดวยวิธี Shake plate, Spread plate และ Drop plate โดยใช
ระดับความเจอื จาง 1:10, 10-2 และ 10-3 ระดบั 4 จาน ใช PCA เปน
อาหารเลย้ี งเชอ้ื
1.3! บมทอ่ี ณุ หภมู ิ 30 - 35 องศาเซลเซยี ส หรือที่อุณหภูมิหอง 2 - 5 วัน
1.4! รายงานผลจํานวนจุลินทรยี ต อนํ้านมหนึ่งมิลลิลิตร เปรยี บเทยี บจํานวน
ท่ีนับไดจ ากทง้ั สามวธิ ี
2.ตรวจวิเคราะหจํานวนจลุ นิ ทรยี ใ นอาหาร
ตัวอยา งไสก รอก
2.1 เตรยี มตวั อยา งไสก รอกเจอื จาง 1:10, 10-2, 10-3 และ 10-4
โดยให ตัวอยาง 50 กรมั ในการเตรยี มระดบั ความเจอื จาง 1:10
2.2 ตรวจวิเคราะหดวยวิธี Shake plate, Spread plate และ Drop
plate โดยใชร ะดบั ความเจอื จาง 10-2, 10-3 และ 10-4 ระดบั 4 จาน ใช
PCA เปน อาหารเลย้ี งเชอ้ื
2.3 บม ทอ่ี ณุ หภมู ิ 30 - 35 องศาเซลเซียส หรือที่อุณหภูมิหอง
2 - 5 วัน
2.4 รายงานผลเปน จํานวนจลุ นิ ทรียตอ กรมั ของไสก รอก โดย
เปรียบเทียบจาํ นวนทน่ี บั ไดจ ากทง้ั สามวธิ ี
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 33
ตัวอยางผลติ ภณั ฑจ ากเนอ้ื สตั วอ น่ื ๆ
2.1 เตรียมตัวอยางผลิตภัณฑจากเนื้อสัตว โดยชง่ั ตัวอยา งมา 11
กรัมใสใ น Sterile phosphate buffer 99 มลิ ลิลิตร (1:10 Dilution) ปนใน
Blender 2 นาที (หรือใช Stomacher) ในท่ีน้ีใหท ําการเจอื จางดงั น้ี
Bacon 1:10, 10-2
10-5, 10-6
Hamburger 10-3, 10-4
Bulk sausage 10-2, 10-3
Wiener
2.2 ตรวจวิเคราะหดวยวิธี Shake plate, Spread plate และ Drop
plate โดยใชร ะดบั ความเจอื จาง 10-2, 10-3 และ 10-4 ระดบั 4 จาน ใช
PCA เปน อาหารเลย้ี งเชอ้ื
2.3 บม ทอ่ี ณุ หภมู ิ 30 - 35 องศาเซลเซยี ส หรือที่อุณหภูมิหอง
2 - 5 วัน
2.4 รายงานผลเปน จํานวนจลุ นิ ทรียตอ กรมั ของผลติ ภณั ฑเ นอ้ื โดย
เปรียบเทียบจาํ นวนทน่ี บั ไดจ ากทง้ั สามวธิ ี
ตัวอยา งผลติ ภณั ฑจ ากไข
2.1 เตรยี มตวั อยา งผลติ ภณั ฑจ ากไข โดยชง่ั ตัวอยา งมา 11 กรมั ใส
ใน Sterile physiological saline (รอ ยละ 0.85 ของเกลือแกง) ทม่ี ี
Hard-glass beads (เพอ่ื ใชไ ขก ระจายตวั ดขี น้ึ ) 99 มิลลิลิตร (1:10 Dilution)
เขยา 25 ครง้ั หรือปน ใน Blender 2 นาที (หรือใช Stomacher) ในทน่ี ใ้ี หท ํา
การเจอื จางดงั นี้ ตัวอยางทั้งที่เปน Liquid, frozen หรอื dried ใหเจือจาง
ตัวอยางเปน 10-2 10-3, 10-4
2.2 ตรวจวิเคราะหดวยวิธี Shake plate, Spread plate และ
Drop plate โดยใชร ะดบั ความเจอื จาง 10-2, 10-3 และ 10-4 ระดบั 4 จาน ใช
PCA เปน อาหารเลย้ี งเชอ้ื
2.3 บม ทอ่ี ณุ หภมู ิ 30 - 35 องศาเซลเซยี ส หรือที่อุณหภูมิหอง
2 - 5 วัน
2.4 รายงานผลเปน จํานวนจลุ นิ ทรียตอ กรมั ของผลติ ภณั ฑจ ากไข
โดยเปรียบเทียบจํานวนทน่ี บั ไดจ ากทง้ั สามวธิ ี
ตัวอยา งแปง
2.1 เตรยี มตัวอยา งแปง โดยชง่ั ตัวอยา งมา 11 กรัมใสใน Sterile
water blank 99 มิลลิลิตร (1:10 Dilution) ทม่ี ี Sterile sand อยูดวย 10 กรมั
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 34
(เพ่ือตแี ปง ใหก ระจายตวั ดขี น้ึ ) เขยา 2 นาที หรือปน ใน Blender 2 นาที
(หรือใช Stomacher) และเตรยี มการเจอื จางตวั อยา งเปน 10-2
2.2 ตรวจวิเคราะหดวยวิธี Shake plate, Spread plate และ Drop
plate โดยใชร ะดบั ความเจอื จาง 1:10 และ 10-2 ระดบั 4 จาน ใช PCA เปน
อาหารเลย้ี งเชอ้ื
2.3 บม ทอ่ี ณุ หภมู ิ 30 - 35 องศาเซลเซยี ส หรือที่อุณหภูมิหอง
2 - 5 วัน
2.4 รายงานผลเปน จํานวนจลุ นิ ทรยี ต อ กรมั ของแปง โดยเปรยี บเทยี บ
จํานวนที่นับไดจากทั้งสามวิธี
ตัวอยา งผกั และผลไมแ หง
2.1 เตรยี มตวั อยา งผกั และผลไมแ หง โดยชง่ั ตวั อยา งมา 50 กรมั ใส
ใน Sterile distilled water 450 มลิ ลิลิตร (1:10 Dilution) แชไว 30 นาที
เขยา 2 นาที หรอื ปน ใน Blender 2 นาที (หรือใช Stomacher) และเตรียม
การเจอื จางตวั อยา งเปน 10-2, 10-3 และ 10-4
2.2 ตรวจวิเคราะหดวยวิธี Shake plate, Spread plate และ Drop
plate โดยใชร ะดบั ความเจอื จาง 1:10 และ 10-2 ระดบั 4 จาน ใช PCA เปน
อาหารเลย้ี งเชอ้ื
2.3 บม ทอ่ี ณุ หภมู ิ 30 - 35 องศาเซลเซยี ส หรือที่อุณหภูมิหอง
2 - 5 วัน
2.4 รายงานผลเปน จํานวนจลุ นิ ทรียต อกรมั ของผกั และผลไมแ หง
โดยเปรียบเทียบจํานวนทน่ี บั ไดจ ากทง้ั สามวธิ ี
ตัวอยา งเครือ่ งเทศ
2.1 เตรยี มตวั อยา งเครอ่ื งเทศ โดยชง่ั ตัวอยา งมา 1 กรมั ใสใน
Sterile distilled water 100 มลิ ลิลิตร (1:10 Dilution) เขยา 5 นาที หรอื ปน
ใน Blender 2 นาที (หรือใช Stomacher) ปลอยใหเครื่องเทศตกตะกอน และ
เตรียมการเจอื จางตัวอยา งเปน 10-2 , 10-3 และ 10-4
2.2 ตรวจวิเคราะหดวยวิธี Shake plate, Spread plate และ Drop
plate โดยใชร ะดบั ความเจอื จาง 1:10 และ 10-2 ระดบั 4 จาน ใช PCA เปน
อาหารเลย้ี งเชอ้ื
2.3 บม ทอ่ี ณุ หภมู ิ 30 - 35 องศาเซลเซยี ส หรือที่อุณหภูมิหอง
2 - 5 วัน
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 35
2.4 รายงานผลเปนจํานวนจลุ นิ ทรียต อกรมั ของเครอ่ื งเทศ โดย
เปรียบเทียบจาํ นวนทน่ี บั ไดจ ากทง้ั สามวธิ ี
ตัวอยา งกระหล่ําปลี
2.1 เตรยี มตัวอยา งกระหล่ําปลี โดยชง่ั ตวั อยา งมา 50 กรมั ของ
Inner หรือ Outer leaves ใสใน Sterile distilled water 450 มิลลิลิตร (1:10
Dilution) ปนใน Blender 2 นาที (หรือใช Stomacher) และเตรยี มการ
เจือจางตวั อยา งเปน 10-5 และ 10-6 (ถา วเิ คราะหส ว น Outer leaves) หรอื
เตรียมการเจอื จางตัวอยา งเปน 10-2 และ 10-3 (ถาวเิ คราะหส ว น Inner
leaves)
2.2 ตรวจวิเคราะหดวยวิธี Shake plate, Spread plate และ Drop
plate โดยใชร ะดบั ความเจอื จาง 1:10 และ 10-2 ระดบั 4 จาน ใช PCA เปน
อาหารเลย้ี งเชอ้ื
2.3 บม ทอ่ี ณุ หภมู ิ 30 - 35 องศาเซลเซียส หรือที่อุณหภูมิหอง
2 - 5 วัน
2.4 รายงานผลเปน จํานวนจลุ นิ ทรียตอ กรมั ของกระหล่ําปลี โดย
เปรียบเทียบจาํ นวนทน่ี บั ไดจ ากทง้ั สามวธิ ี
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 36
หลกั การและวธิ ตี รวจวเิ คราะหป รมิ าณจลุ นิ ทรยี บ นพน้ื ผวิ
1. หลกั การ
การตรวจวเิ คราะหป รมิ าณจลุ นิ ทรยี บ นพน้ื ทผ่ี วิ น้ี จะกระทําเมื่อตองการ
ทราบปริมาณจุลนิ ทรยี เ ฉพาะบนพน้ื ผวิ ของอาหารบางชนดิ ซ่ึงคอนขา งจะแนใ จวา
จุลินทรียมกี ารปนเปอ นและเจรญิ อยเู ฉพาะทผ่ี วิ ของอาหาร เชน หนังสัตวปก ผลไม
ตากแหงทั้งผล บริเวณผิวนอกของผลไม ไสกรอก ผิวนอกของเปลือกไข เปน ตน
และยังใชตรวจวิเคราะหป รมิ าณจลุ นิ ทรยี ใ นภาชนะทใ่ี ชบ รรจอุ าหาร เชน ถุงพลาสติก
หรือขวดทจ่ี ะใชบ รรจนุ มพลาสเจอไรส นอกจากนย้ี งั ใชต รวจวเิ คราะหป รมิ าณ
จุลินทรียในบรเิ วณตา ง ๆ ของโรงงานอตุ สาหกรรมอาหารอกี ดว ย ซง่ึ การตรวจ
วิเคราะหจุลินทรยี บ นพ้นื ผิวน้ีอาจทําไดห ลายวิธีดว ยกนั
2. การตรวจวิเคราะหโดยวิธีเลาะผิวตัวอยางอาหาร ( Surface slice)
2.1 ใชมีดบางจุมแอลกอฮอลลนไฟ กรดี ผวิ อาหารใหล กึ ประมาณ 1-2
มิลลิเมตรโดยใหม ขี นาดกวา งยาวตามตองการหรอื อาจใช Cork borer เจาะผวิ อาหาร
ตามขนาดทต่ี อ งการ
2.2 เลาะผวิ อาหารออก โดยใชป ากคบี จบั ชน้ิ อาหารไวใ นขณะทเ่ี ลาะดว ยมดี
2.3 ตปี น ชน้ิ อาหารจากขอ 2.2 ดวยเครื่องตีปนไฟฟา หรอื Stomacher โดย
ใชนํ้ายาสําหรับเจือจางปริมาณที่จะทําใหตัวอยางอาหารที่ตีปนแลวมีระดับความ
เจือจาง 1:10
3. การตรวจวิเคราะหโดยวิธีถูดวยสาํ ลพี นั ปลายไม
3.1 เตรยี ม Swab (สําลีพันปลายไม) ซง่ึ แชใ นน้ํายาสําหรบั เจอื จาง
3.2 กด Swab กับดานในของหลอดเพื่อให Swab แหง
3.3 ถู Swab บนพ้ืนผวิ ไปทางใดทางหนง่ึ ใหท ว่ั บรเิ วณทจ่ี ะตรวจนบั จลุ นิ ทรยี
3.4 จมุ Swab จากขอ 3.3 ลงในขวดนํ้ายาสําหรบั เจอื จาง 10 มิลลิลิตร กด
ปลายไมใกลๆ สําลี หักไมออกทิ้งไป ใหสําลีคงอยูในขวด เขยา ขวดแรงๆ ประมาณ
25 ครั้ง จะไดร ะดบั ความเจอื จาง 1:10
หลกั การวเิ คราะหจ ลุ นิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 37
4. การตรวจวิเคราะหโดยวิธีแชตัวอยางอาหาร
นิยมใชในการตรวจนบั จํานวนจลุ ินทรยี บ นผวิ อาหารทแ่ี ตละหนว ยของอาหาร
เปนหนวยเฉพาะ ขนาดไมใ หญเ กนิ ไปนกั เชน ไสกรอก ปกไก กลวยตาก และผลไม
แหงชนิดอื่น ๆ เปน ตน
4.1 เตรียมนํ้ายาสําหรบั เจอื จางบรรจถุ งุ พลาสตกิ ชนดิ ทนรอ นได สวมปากถุง
ดวยปลอกพลาสติกทําใหเกิดมีลักษณะคลายคอขวด อุดจุกดวยสาํ ลี ปรมิ าณน้าํ ยา
สําหรับเจือจางอาจเปน 10 หรอื 100 มลิ ลลิ ติ รขน้ึ กบั ขนาดของชน้ิ อาหาร ฆา เชอ้ื ท่ี
อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซยี ส 20 นาที
4.2 แชตัวอยางอาหารในน้ํายาสําหรบั เจอื จางประมาณ 15 นาที เขยาและ
ใชมือบีบถุงเบา ๆ เพื่อชะลางจุลินทรียใหหลุดออกจากผิวอาหาร ในขน้ั ตอนนจ้ี ะได
ระดับความเจือจาง 1:10 หรอื 1:100 เกบ็ ปรมิ าณน้ํายาสําหรบั เจอื จางทใ่ี ช
5. การตรวจวิเคราะหภ าชนะบรรจุอาหารโดยวธิ ชี ะลาง
เทน้ํายาสําหรับเจือจางปริมาณประมาณหนึ่งในสี่ของความจุของภาชนะ
เขยาภาชนะใหจุลินทรียที่ผิวภายในของภาชนะหลุดกระจายอยูในนํ้ายาสําหรับ
เจอื จาง คิดระดบั ความเจอื จางตามปรมิ าณทใ่ี ช
6. การตรวจวเิ คราะหโ ดยวธิ ี Agar sausage
วิธีนเ้ี ปน การตรวจนบั จํานวนจุลินทรียบนพื้นผิวโดยตรง ไมตองทําใหเ จอื จาง
ลงกอนนับจํานวน วธิ นี จ้ี งึ เหมาะเฉพาะกบั การตรวจนบั บรเิ วณพน้ื ผวิ ทม่ี จี ลุ นิ ทรยี
จํานวนนอ ย
6.1 เตรยี มอาหารวนุ ในถุงพลาสตกิ ทนรอ นรปู ทรงกระบอก (ลักษณะเชน
เดียวกับเตาหูหลอด)
6.2 ใชมีดจุมแอลกอฮอลลนไฟ ตดั ปลายดา นหนง่ึ ของวนุ ใหผ วิ เรยี บ
6.3 กดผวิ หนา วนุ ซง่ึ ปรบั ใหเ รยี บ (ขอ 6.2) ลงบนพน้ื ผวิ ทจ่ี ะตรวจนบั
6.4 ตัดวุนออกเปนแวน หนาประมาณ 0.5 เซนตเิ มตร วางในจานเพาะเชอ้ื
ใหดานทไ่ี ดร บั การสมั ผสั กบั พน้ื ผวิ อยดู า นบน
6.5 บมเชื้อท่ีอุณหภูมแิ ละเวลาตามตองการ ตรวจนับจํานวนจลุ นิ ทรยี ต อ
พื้นที่ผิวหนาของแผนวุน
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 38
ตัวอยา งปฏบิ ตั กิ าร :
การตรวจวิเคราะหปริมาณจลุ นิ ทรียบนพน้ื ผิว
ตัวอยา งอาหารและภาชนะ
อุปกรณ •ไขไก
•ลูกชิ้นหรือไสกรอก
•ขวดสําหรับบรรจนุ ้าํ อดั ลมหรอื ถงุ บรรจนุ มพาสเจอไรส
•จาน
•ชอน
• สําลพี นั ปลายไม (Swab) แชในขวดซึ่งมีนาํ้ ยาสําหรบั เจอื จาง
ปริมาตร 10 มิลลิลิตร
• ขวดบรรจุนํ้ายาสําหรบั เจอื จางปรมิ าตร 10 มิลลิลิตร และปรมิ าตร
9 มิลลิลิตร
• จานเพาะเชื้อซึ่งเท PCA ไวข า มคนื
• ปเปตขนาด 1 มลิ ลิลิตร และ ขนาด 0.1 มิลลิลิตร
• จานเพาะเชื้อ
• ถุงพลาสติกซึ่งมีคอขวดรวมที่ปากถุงและอุดจุกดวยสําลี บรรจุ
ดวยน้ํายาสําหรบั เจอื จาง 100 มิลลิลิตร
การทดลองผลและรายงาน
1.วธิ ถี ู (Swab technique )
1.1 ตรวจนบั จลุ นิ ทรียบนเปลอื กไข
1.1.1! วางไขบ นจานเพาะเชอ้ื ซง่ึ ฆา เชอ้ื แลว
1.1.2! ใชสําหรบั พนั ปลายไมถ เู ปลอื กไขใ หท ว่ั
1.1.3! เตรียมระดับความเจอื จาง 1:10 โดยจมุ สาํ ลพี นั ปลายไมล ง
ในขวดซ่ึงมีนํ้ายาสําหรบั เจอื จางอาหาร 10 มิลลิลิตร หกั ไม
ท้ิงเขยา ขวดอยา งนอ ย 25 ครง้ั
1.1.4! ทําตัวอยางใหเจือจางลงเปน 10-2, 10-3, 10-4 ตามลําดบั
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 39
1.1.5! ตรวจนบั จลุ นิ ทรียด ว ยวธิ ี Drop plate โดยใชร ะดบั ความ
เจอื จาง 10-2, 10-3 และ 10-4 ใช PCA เปน อาหารเลย้ี งเชอ้ื
บม ทอ่ี ณุ หภมู หิ อ ง 2 - 5 วัน
1.1.6! รายงานผล เปน จํานวนจลุ ินทรีย ตอพื้นที่เปลือกไข 1 ฟอง
1.2 ตรวจนบั จลุ นิ ทรียบ นชอ น
1.2.1 ใชสําลีพันปลายไมถ ชู อ นทง้ั ดา มในและดา นนอก
1.2.2 ทําใหเจือจางในระดับ 1:10 เชน เดยี วกบั ขอ 1.1.4
1.2.3 เตรยี มตวั อยา งใหเ จอื จางเปน 10-2
1.2.4 ตรวจนบั จลุ นิ ทรียโ ดยวธิ ี Drop plate โดยใชร ะดบั ความ
เจอื จาง 1:10 และ 10-2 ใช PCA เปน อาหารเลย้ี งเชอ้ื บม
เชื้อที่อุณหภูมิหอง 2 - 5 วัน
1.2.5 รายงานผลเปนจํานวนจลุ นิ ทรียต อ ชอ น 1 อัน
2.! วิธีลางภาชนะบรรจอุ าหาร
2.1! เตรียมระดับความเจอื จาง 1:10 โดยเทน้าํ ทป่ี ราศจากเชอ้ื
ปรมิ าตร 10 มลิ ลิลิตร ใสใ นขวดหรอื ถงุ ทจ่ี ะตรวจนบั จลุ นิ ทรยี
เขยา ขวดอยา งนอ ย 25 ครง้ั
2.2! ตรวจนบั จลุ นิ ทรยี ดวยวิธี Drop plate โดยใชร ะดบั ความเจอื จาง
1:10 ใช PCA เปน อาหารเลย้ี งเชอ้ื บม ทอ่ี ณุ หภมู หิ อ ง 2 - 5 วัน
2.3! รายงานผล เปน จํานวนจลุ นิ ทรียตอ พน้ื ทภ่ี ายในขวดหรอื ถงุ
3.! วิธีลางผวิ อาหารในถงุ พลาสตกิ
3.1! ใชปากคีบจุมแอลกอฮอลลนไฟ คีบลูกชิ้นหรือไสกรอกใสในถุง
พลาสติก
3.2! ใชมือบีบถุงเบา ๆ เพื่อลูบใหจุลินทรียหลุดออกจากผิวอาหาร
3.3! เตรยี มตัวอยา งใหเ จอื จางเปน 10-3 และ 10-4 ตามลําดบั
3.4! ตรวจนบั จลุ นิ ทรียด ว ยวธิ ี Drop plate โดยใชร ะดบั ความเจอื จาง
10-2, 10-3 และ 10-4 ใช PCA เปน อาหารเลย้ี งเชอ้ื บม เชอ้ื ท่ี
อุณหภูมิหอง 2 - 5 วัน
3.5! รายงานผล เปนจํานวนจลุ นิ ทรียตอตวั อยา งอาหารหนง่ึ หนว ย
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 40
หลกั การและวิธีตรวจวิเคราะหปริมาณจุลินทรียดวยกลองจุลทรรศน
(Direct Microscopic Count)
1. หลกั การ
วิธีการน้ีเปนการตรวจวิเคราะหปริมาณจุลินทรียโดยนับจํานวนเซลของ
แบคทีเรยี หรอื ยสี ต จํานวนเสน ใยหรอื สปอรข องเชอ้ื ราจากกลอ งจลุ ทรรศนโ ดยตรง
ซึ่งสไลดท่ีใชเปนสไลดท่ีมีชองแบง เพ่ือกําหนดปริมาตรของตัวอยางท่ีใชแตละครั้ง
จากปริมาตรดงั กลาวสามารถคํานวณ ปริมาณจุลินทรียตอกรมั หรอื มิลลิลิตรของ
อาหารได แตไมสามารถแยกไดว า จลุ นิ ทรยี ท ต่ี รวจนบั นน้ั ยงั มชี วี ติ อยหู รอื ไม และ
จะใหผลถูกตองแมน ยําเมอ่ื ตวั อยา งอาหารมจี ลุ นิ ทรยี อ ยใู นปรมิ าณมากเทา นน้ั ขอดี
ของการวิเคราะหวิธีนี้คือใหผลรวดเร็วและไมสิ้นเปลือง
2. การตรวจนบั โดยใช Haemacytometer (Petreoff-Hausser chamber)
Haemacytometer เปนเคร่ืองมอื ซง่ึ ใชส ําหรบั การนบั เมด็ เลือด แตไ ดนํา
มาประยุกตใชใ นการนบั จํานวนจลุ นิ ทรียและสปอรข องเชอ้ื รา เครอ่ื งมอื นเ้ี ปน สไลดม ี
ชองแบงไวแนนอนและมีขอบยกสูงจากบริเวณขีด เม่ือปดดวยกระจกปด สไลดข อบน้ี
จะรองรับกระจกปดสไลดไว ทาํ ใหเ กดิ ระยะหา งระหวา งกระจกและสไลดใ นบรเิ วณทม่ี ี
ขีดคดิ เปนความลึกได 0.1 หรือ 0.2 มิลลิลิตรแลวแตบริษัทผูผลิต ขดี แบง ทก่ี ําหนด
ไวประกอบดวยชองสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญ 25 ชอง แตล ะชอ งมขี นาด 0.2x0.2 ตาราง
มิลลิเมตรในแตละชองใหญน ม้ี ีขีดแบงเปน ชองเล็กอกี 16 ชอง แตละชองมีเนื้อที่
0.05x0.05 ตารางมิลลิเมตร ดงั นน้ั ของเหลวทบ่ี รรจอุ ยใู นแตล ะชอ งเลก็ จะมปี รมิ าตร
(0.05x0.05x0.1) ลูกบาศกมลิ ลิเมตร เครอ่ื งมอื นจ้ี ะมกี ระจกปด สไลดซ ง่ึ มขี นาด และ
ความหนาเฉพาะ ไมค วรใชก ระจกปด สไลดอ่ืนแทน เนอ่ื งจากน้ําหนกั ของกระจกจะมี
ผลทําใหปริมาตรภายในชอ งระหวางสไลดก ับกระจกคลาดเคลอื่ นไปได และเมื่อใช
กระจกท่ีหนาไปจะเปน อุปสรรคตอ การโฟกสั กลอง หา มใชน ้าํ มนั ในการปรบั โฟกสั
หลกั การวเิ คราะหจ ุลนิ ทรยี รองศาสตราจารย ดร. ไพโรจน วริ ิยจารี 41
0.2 มิลลิเมตร
Haemacytometer
ภาพ 16 อปุ กรณ Haemacytometer
2.1 การเตรยี มตวั อยา งอาหาร
สําหรับตัวอยางซ่ึงเปนของแข็งตองทําใหเจือจางลงโดยใชสารละลาย
ไอโอดีน ซ่ึงนอกจากจะทําใหตัวอยา งเจือจางแลวยังทําใหจ ลุ นิ ทรยี ห ยดุ การเคลอ่ื นท่ี
และตัดแสงทําใหก ารสงั เกตจลุ นิ ทรียเปนไปไดช ดั เจนยง่ิ ขน้ึ สาํ หรบั ตวั อยา งอาหาร
เหลวถามีจุลินทรียมากเกินกําหนดท่ีจะตรวจนับไดถูกตองและแมนยํา ก็ตองทําให
เจอื จางลงเชน กนั การตรวจวเิ คราะหโ ดยใช Haemacytometer นไ้ี มค วรใชก บั
อาหารซ่งึ มีความขุนหรอื เมอ่ื ละลายแลว เกิดความขุน