The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วสันต์ คําสุข, 2020-05-20 08:54:07

กำหนดการสอน-ว31104-วิทยาศาสตร์กายภาพ-ม.5

180

ท ามาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์ เทอร์มอเซตซึ่งใช ้

งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช การ
ใช้ซ้ า และการน ากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง

5. สาระการเรียนร ู้
5.1 ความรู้

คาร์โบไฮเดรต
ข้าว แปูง น้ าตาลเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบหลักซึ่งเป็นแหล่งพลังงานส าหรับ

สิ่งมีชีวิต เมื่อบริโภค ข้าวหรือแปูง ร่างกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ที่มีขนาดเล็กลง จนได้เป็น

กลูโคสซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของคาร์โบไฮเดรต ร่างกายสามารถดูดซึม กลูโคสที่เป็นโมเลกุลขนาดเล็ก เข้าส ู่
กระแสเลือดและใช้เป็นสารตั้งต้นในการท าปฏิกิริยากับ ออกซิเจน เพื่อให้พลังงาน แก่ร่างกาย ส าหรับผู้ที่มี

ระดับน้ าตาลในเลือดลดลง อย่างเร็วจากการออกก าลังกาย หรือท้องเสีย การดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มี

ส่วนผสมของกลูโคสจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยท าให้ระดับน้ าตาลในเลือดกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วกว่าการบริโภค
ข้าวแปูง









รูป 3.7 ภาพจ าลองการย่อยโมเลกุลแปูงให้เป็นกลูโคส


ในทางเคมีจัดให้คาร์โบไฮเดรตในข้าวและแปูงซึ่งมีโมเลกุลขนาดใหญ่เป็นพอลิแซกคาไรด ์

(polysaccharide) ส่วนกลูโคสเป็นน้ าตาลโมเลกุลเดี่ยวหรือมอนอแซ็กคาไรด (monosaccharide)
โครงสร้างแสดงดังรูป 3.8








รูป 3.8 โครงสร้างของพอลิแซ็กคาไรด์และมอนอแซ็กคาไรด์


สารเคมีทโมเลกุลมีโครงสร้างขนาดใหญ่ประกอบด้วยหน่วยย่อยจ านวนมากเชื่อมต่อกันเช่นเดียวกับ
ี่

พอลิแซ็กคาไรด์ เรียกว่า พอลิเมอร (polymer) ส่วนสารโมเลกลขนาดเล็กที่มารวมตัวกันเพื่อเกิดเป็น

พอลิเมอร์ เรียกว่า มอนอเมอร (monomer) ซึ่งมอนอเมอร์ของพอลิแซ็กคาไรด์ในข้าวและแปูง คือ กลูโคส


181

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)

2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้)

4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์)

5.3 คุณลักษณะและค่านิยม

ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการท างาน



6. บูรณาการ
บูรณาการเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง

เงื่อนไขความรู้: ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความ

รอบคอบที่จะน าความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวัง

ในขั้นปฏิบัต ิ

7. กิจกรรมการเรียนรู้

ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ

ู่
1.1 ครูน าเข้าสบทเรียนโดยให้นักเรียนบอกความส าคัญของคาร์โบไฮเดรต
1.2 ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างอาหารทมีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบ ขนมปัง แปูง น้ าตาล เป็นต้น
ี่
1.3 ให้นักเรียนพิจารณารูป 3.7 แล้วอภิปรายเกี่ยวกับการย่อยคาร์โบไฮเดรตในแปูงให้เป็นกลูโคส

เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า คาร์โบไฮเดรตในแปูงเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได จึงต้องย่อยให้

เป็นกลูโคสที่เป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่สุดจนร่างกายสามารถดูดซึมได


ขั้นที่ 2 ขั้นส ารวจและค้นหา
2.1 ครูให้ความรู้เกี่ยวกับพอลิแซ็กคาไรด์และมอนอแซ็กคาไรด์ จากนั้นใช้สูตรโครงสร้างจากรูป

3.8 เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างมอนอเมอร์กับพอลิเมอร์
2.2 ครูจัดกลุ่มนักเรียน โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ

2.3 นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของ

กลูโคสและแปูงมันส าปะหลัง
2.4 ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ อุปกรณ์ และขั้นตอนการทดลองอย่างละเอียด

2.5 นักเรียนรับอุปกรณ์การทดลอง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์
2.6 นักเรียนแต่ละกลุ่มท าการทดลอง สังเกตและบันทึกผลการทดลอง


ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป

3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมาน าเสนอผลการทดลองที่ได้จากการท ากิจกรรมหน้าชั้นเรียน
3.2 ครูน านักเรียนอภิปรายผลการทดลองของกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัต ิ

บางประการของกลูโคสและแปูงมันส าปะหลัง เพื่อน าไปสู่การสรุปโดยใช้ค าถามต่อไปนี้

182

1) สารกลูโคสที่อุณหภูมิห้องมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้ าอย่างไร (แนวการตอบ

ละลายน้ า ได้สารละลายใส ไม่มีส)
2) สารกลูโคสหลังต้มมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้ าอย่างไร (แนวการตอบ ไม่มีการ
เปลี่ยนแปลง)

3) สารกลูโคสการติดกันของกระดาษเป็นอย่างไร (แนวการตอบ กระดาษไม่ติดกัน)
4) แปูงมันส าปะหลังที่อุณหภูมิห้องมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้ าอย่างไร (แนวการ

ตอบ ไม่ละลายได้สารแขวนลอย สีขาวขุ่น เมื่อทิ้งไว้จะตกตะกอน)

5) แปูงมันส าปะหลังหลังต้มมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้ าอย่างไร (แนวการตอบ น้ า
แปูงใสขึ้น มีลักษณะหนืด)

6) แปูงมันส าปะหลังการติดกันของกระดาษเป็นอย่างไร (แนวการตอบ กระดาษติดกัน


แน่น ดึงออกจากกันไม่ได)
3.3 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลการทดลองและสรุปผลการท าการทดลอง จนสรุป

ได้ ดังนี้

เมื่อน ากลูโคสมาละลายในน้ าพบว่าได้สารละลายใสไม่มีสี แสดงว่ากลูโคสละลายน้ าได้ดี
หลังต้มไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนแปูงมันส าปะหลังไม่ละลายน้ าที่อุณหภูมิห้อง แต่เมื่อผ่านการต้มพบว่า

น้ าแปูงมีลักษณะใสขึ้น เมื่อน าสารทั้ง 2 ชนิดที่ผ่านการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษพบว่าน้ าแปูง
ท าให้กระดาษติดกันได้มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงว่าน้ าแปูงมีความหนืดมากกว่าสารละลายกลูโคส

และเมื่อพิจารณาลักษณะของสารละลายกลูโคสและน้ าแปูงหลังต้ม จะพบว่าน้ าแปูงมีลักษณะหนืดข้น

มากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดสอบด้วยการติดกับกระดาษ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า กลูโคสและแปูงมัน

ส าปะหลังมีสมบัติแตกต่างกัน โดยกลูโคสละลายน้ าาไดดีกว่า ส่วนแปูงมันส าปะหลังให้สารละลายที่มีความ

หนืดมากกว่า

ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ าตาลทราย ตามรายละเอียดในหนังสือเรียนหน้า 66



ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล
5.1 นักเรียนส่งใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและ

แปูงมันส าปะหลัง


ประยุกต์และตอบแทนสังคม
ครูให้นักเรียนแต่ละคนน าความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์ แล้วน าเสนอใน

ชั้นเรียน


ู้
8. สื่อการเรียนร/แหล่งเรียนร ู้
8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)

8.2 อินเทอร์เน็ต

183

8.3 ห้องสมุด
8.4 ใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและแปูงมันส าปะหลัง


9. การวัดและประเมินผล

จุดประสงค์การเรียนร ู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน

ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบ 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ

สมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และ 3.1 เรื่อง การทดลอง ท ากิจกรรม สรุปผลการทดลองได ้

มอนอเมอร์ของพอลิเมอร์ชนิดนั้นได ้ เปรียบเทียบสมบัติบาง 2) ใบกิจกรรม 3.1 ระดับดี ผ่านเกณฑ์
ประการของกลูโคส เรื่อง การทดลอง

และแปูงมันส าปะหลัง เปรียบเทียบสมบัต ิ

บางประการของ
กลูโคสและแปูงมัน

ส าปะหลัง
ด้านกระบวนการ (P)

1) นักเรียนสามารถท ากิจกรรม 3.1 การ 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ

ทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของ 3.1 เรื่อง การทดลอง ท ากิจกรรม บันทึกผลการท า
กลูโคสและแปูงมันส าปะหลังได ้ เปรียบเทียบสมบัติบาง 2) ใบกิจกรรม 3.1 กิจกรรมได้ระดับดี

ประการของกลูโคส เรื่อง การทดลอง ผ่านเกณฑ์
และแปูงมันส าปะหลัง เปรียบเทียบสมบัต ิ

บางประการของ

กลูโคสและแปูงมัน
ส าปะหลัง



ด้านคุณลักษณะ (A)
1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนท าภาระ

ท างาน 3.1 เรื่อง การทดลอง ท ากิจกรรม งานที่ได้รับมอบหมาย

เปรียบเทียบสมบัติบาง 2) ใบกิจกรรม 3.1 ไดระดับดี ผ่านเกณฑ์

ประการของกลูโคส เรื่อง การทดลอง

และแปูงมันส าปะหลัง เปรียบเทียบสมบัต ิ

บางประการของ
กลูโคสและแปูงมัน

ส าปะหลัง

184



10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการท ากิจกรรม เรื่อง คาร์โบไฮเดรต
ประเด็นการ ค่าน้ าหนัก แนวทางการให้คะแนน

ประเมิน คะแนน

3 สรุปผลการทดลองได้ถูกต้องครบถ้วน
ด้านความรู้

(K) 2 สรุปผลการทดลองค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน
1 สรุปผลการทดลองได้ค่อนข้างถูกต้อง

ด้าน 3 บันทึกผลกิจกรรมได้ถูกต้องครบถ้วน

กระบวนการ 2 บันทึกผลกิจกรรมค่อนข้างถูกต้อง
(P) 1 บันทึกผลกิจกรรมได้ค่อนข้างถูกต้อง

ด้าน 3 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน

คุณลักษณะ 2 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน
(A) 1 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน



ระดับคะแนน
คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก

คะแนน 2 หมายถึง ระดับด ี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช ้

185

การประเมินการท ากิจกรรม เรื่อง คาร์โบไฮเดรต


จุดประสงค์การเรียนร ู้
ด้าน ด้าน รวม
ด้านความรู้ ระดับ
ที่ ชื่อ - นามสกุล กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน
(K) คุณภาพ
(P) (A)
3 3 3 9

1

2
3

4

5
6

7

8
9

10

11

12
13

14

15
16

17

18
19

20

21
22

23

24

25
26

27

28

186

จุดประสงค์การเรียนร ู้
ด้าน ด้าน รวม
ด้านความรู้ ระดับ
ที่ ชื่อ - นามสกุล กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน
(K) คุณภาพ
(P) (A)

3 3 3 9

29

30
31

32

33
34

35

36
37

38

39
40



ระดับคุณภาพ

คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก

คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับด ี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง

คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง

187



บันทึกหลังการสอน

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง อาหาร ใ

แผนการสอนที่ 14 เรื่อง คาร์โบไฮเดรต .

วันที่ เดือน พ.ศ. ใ


ผลการจัดการเรียนร ู้



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อุปสรรค



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...




ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ากลุ่มสาระ
(นางสาวนิลนิกา แก้วปัญญา) (นางนพรัตน์ ครุฑเกิด)

188
ใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและแป้งมันส าปะหลัง




1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น …………………………………


ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่


ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................

ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................

ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................


ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่

2. จุดประสงค์การท ากิจกรรม
เพื่อศึกษาสมบัติการละลายและการติดกระดาษของสารละลายกลูโคสและน้ าแปูงมันส าปะหลัง


3. วัสด-อุปกรณ์

1) แปูงมันส าปะหลัง 5 g 5) แท่งแก้วคน 1 แท่ง

2) กลูโคส 5 g 6 ) เครื่องชั่ง 1 เครื่อง

3) น้ ากลั่น 25 ml 7) เตาแผ่นความร้อน 1 เครื่อง
4) บีกเกอร์ ขนาด 50 mL 2 ใบ 8) กระดาษขนาด 5 cm x 7 cm 4 แผ่น



4. วิธีท าการทดลอง

1) ใส่แปูงมันส าปะหลัง 5 g ลงในบีกเกอร์ ใบที่ 1 แล้วเติมน้ าลงในบีกเกอร์ 12.5 ml คนให้เข้ากันที่อุณหภูมิห้อง สังเกต

และบันทึกผล จากนันท าการทดลองเช่นเดียวกันแต่เปลี่ยนจากแปูงมนส าปะหลังเป็นกลูโคสในบีกเกอร์ ใบที่ 2

2) น าบีกเกอร์ ใบที่ 1 และ 2 มาต้ม เป็นเวลา 1 นาที โดยระหว่างที่ต้มต้องใช้แท่งแก้วคนตลอดเวลา จากนั้นตั้งพักไว้

ประมาณ 5 นาท ี
3) ทาสารในบีกเกอร์ ใบที่ 1 และ 2 ลงบนกระดาษแต่ละแผ่นให้ทั่ว จากนั้นติดประกอบกระดาษแต่ละแผ่นด้วยกระดาษ

อีกแผ่นที่มีขนาดเท่ากัน ตั้งไว้ให้แห้งประมาณ 10 นาที จากนั้นดึงกระดาษทั้งสองออกจากกัน สังเกตและบันทึกผล
การทดลอง

189


5. ผลการทดลอง


ตารางบันทึกผลการทดลอง

การเปลี่ยนแปลงของสารในน้ าที่สังเกตได ้
สาร การติดกันของกระดาษ
ที่อุณหภูมิห้อง หลังต้ม



กลูโคส




แปูงมันส าปะหลัง





6. ค าถามท้ายการทดลอง

1) สารละลายกลูโคสและน้ าแปูงมันส าปะหลัง มีลักษณะเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร

ตอบ กลูโคสและแปูงมันส าปะหลังมีสมบัติแตกต่างกัน กลูโคสละลายน้ าาได้ดีกว่า มีการ

2) หลังการต้ม สารทั้งสองชนิดมีความหนืดแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร

ตอบ แตกต่างกัน แปูงมันส าปะหลังให้สารละลายที่มีความหนืดมากกว่าฃ มีการ




7. สรุปผลการทดลอง

จากการทดลองพบว่า เมื่อน ากลูโคสมาละลายในน้ าพบว่าได้สารละลายใสไม่มีสี แสดงว่ากลูโคสละลายน้ าได้ดี


หลังต้มไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนแปูงมันส าปะหลังไม่ละลายน้ าที่อุณหภูมิห้อง แต่เมื่อผ่านการต้มพบว่าน้ าแปูงมี


ลักษณะใสขึ้น เมื่อน าสารทั้ง 2 ชนิดที่ผ่านการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษพบว่าน้ าแปูงท าให้กระดาษติดกันได ้


มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงว่าน้ าแปูงมีความหนืดมากกว่าสารละลายกลูโคส และเมื่อพิจารณาลักษณะของ


สารละลายกลูโคสและน้ าแปูงหลังต้ม จะพบว่าน้ าแปูงมีลักษณะหนืดข้นมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดสอบด้วยการ

ติดกับกระดาษ v


มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงว่าน้ าแปูงมีความหนืดมากกว่าสารละลายกลูโคส และเมื่อพิจารณาลักษณะของ


สารละลายกลูโคสและน้ าแปูงหลังต้ม จะพบว่าน้ าแปูงมีลักษณะหนืดข้นมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดสอบด้วยการ


ติดกับกระดาษ v

190


เฉลยใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและแป้งมันส าปะหลัง




1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น …………………………………


ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................


ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่


ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่

ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................

2. จุดประสงค์การท ากิจกรรม

เพื่อศึกษาสมบัติการละลายและการติดกระดาษของสารละลายกลูโคสและน้ าแปูงมันส าปะหลัง

3. วัสด-อุปกรณ์

1) แปูงมันส าปะหลัง 5 g 5) แท่งแก้วคน 1 แท่ง
2) กลูโคส 5 g 6 ) เครื่องชั่ง 1 เครื่อง

3) น้ ากลั่น 25 ml 7) เตาแผ่นความร้อน 1 เครื่อง

4) บีกเกอร์ ขนาด 50 mL 2 ใบ 8) กระดาษขนาด 5 cm x 7 cm 4 แผ่น


4. วิธีท าการทดลอง
1) ใส่แปูงมันส าปะหลัง 5 g ลงในบีกเกอร์ ใบที่ 1 แล้วเติมน้ าลงในบีกเกอร์ 12.5 ml คนให้เข้ากันที่อุณหภูมิห้อง สังเกต


และบันทึกผล จากนันท าการทดลองเช่นเดียวกันแต่เปลี่ยนจากแปูงมนส าปะหลังเป็นกลูโคสในบีกเกอร์ ใบที่ 2
2) น าบีกเกอร์ ใบที่ 1 และ 2 มาต้ม เป็นเวลา 1 นาที โดยระหว่างที่ต้มต้องใช้แท่งแก้วคนตลอดเวลา จากนั้นตั้งพักไว้

ประมาณ 5 นาท ี
3) ทาสารในบีกเกอร์ ใบที่ 1 และ 2 ลงบนกระดาษแต่ละแผ่นให้ทั่ว จากนั้นติดประกอบกระดาษแต่ละแผ่นด้วยกระดาษ

อีกแผ่นที่มีขนาดเท่ากัน ตั้งไว้ให้แห้งประมาณ 10 นาที จากนั้นดึงกระดาษทั้งสองออกจากกัน สังเกตและบันทึกผล

การทดลอง

191

5. ผลการทดลอง

ตารางบันทึกผลการทดลอง


การเปลี่ยนแปลงของสารในน้ าที่สังเกตได ้
สาร การติดกันของกระดาษ
ที่อุณหภูมิห้อง หลังต้ม
ละลายน้ า ได้สารละลาย
กลูโคส ไม่เปลี่ยนแปลง กระดาษไม่ติดกัน
ใส ไม่มีส ี

ไม่ละลายได้สาร
แปูงมันส าปะหลัง แขวนลอย สีขาวขุ่น น้ าแปูงใสขึ้น มีลักษณะหนืด กระดาษติดกันแน่น ดึง

เมื่อทิ้งไว้จะตกตะกอน ออกจากกันไม่ได ้




6. ค าถามท้ายการทดลอง


1) สารละลายกลูโคสและน้ าแปูงมันส าปะหลัง มีลักษณะเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร

ตอบ กลูโคสและแปูงมันส าปะหลังมีสมบัติแตกต่างกัน กลูโคสละลายน้ าาได้ดีกว่า มีการ

2) หลังการต้ม สารทั้งสองชนิดมีความหนืดแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร

ตอบ แตกต่างกัน แปูงมันส าปะหลังให้สารละลายที่มีความหนืดมากกว่า มีการ




7. สรุปผลการทดลอง


จากการทดลองพบว่า เมื่อน ากลูโคสมาละลายในน้ าพบว่าได้สารละลายใสไม่มีสี แสดงว่ากลูโคสละลายน้ าได้ดี


หลังต้มไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนแปูงมันส าปะหลังไม่ละลายน้ าที่อุณหภูมิห้อง แต่เมื่อผ่านการต้มพบว่าน้ าแปูงมี


ลักษณะใสขึ้น เมื่อน าสารทั้ง 2 ชนิดที่ผ่านการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษพบว่าน้ าแปูงท าให้กระดาษติดกันได ้

มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงว่าน้ าแปูงมีความหนืดมากกว่าสารละลายกลูโคส และเมื่อพิจารณาลักษณะของ


สารละลายกลูโคสและน้ าแปูงหลังต้ม จะพบว่าน้ าแปูงมีลักษณะหนืดข้นมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดสอบด้วยการ


ติดกับกระดาษ v

192








แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 15
เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร ์

รายวิชา ว31104 วิทยาศาสตร์กายภาพ 1 เวลา 1 ชั่วโมง

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ อาหาร รวม 13 ชั่วโมง
กลุ่มสาระการเรียนรวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1
ู้



1. มาตรฐานการเรียนรู้

ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง

และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย
และการเกิดปฏิกิริยาเคมี


2. ตัวชี้วัด

ว 2.1 ม.5/15 สืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และมอนอเมอร์ของ
พอลิเมอร์ชนิดนั้น


3. จุดประสงค์การเรียนร ู้

3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และมอนอเมอร์ของ

พอลิเมอร์ชนิดนั้นได ้

3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถท ากิจกรรม 3.2 สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ได ้

3.3 ด้านคุณลักษณะ (A)

1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการท างาน

4. สาระส าคัญ
อาหารเป็นปัจจัยส าคัญ ส าหรับการด ารงชีวิตของมนุษย์ โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น

สารประกอบอินทรีย์ ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ

ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ ไขมัน มีทั้ง
ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ

สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรต ที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น
พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรด แอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอก ซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด -เบสได ้

193

วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ท าให้บางชนิดละลายได้ในน้ ามัน บางชนิดละลายได้ในน้ ามัน ซึ่งเป็นไปตาม
หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์ส าหรับอาหารส่วนใหญ่

ท ามาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์ เทอร์มอเซตซึ่งใช ้

งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช การ
ใช้ซ้ า และการน ากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง

5. สาระการเรียนร ู้
5.1 ความรู้

คาร์โบไฮเดรต

ข้าว แปูง น้ าตาลเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบหลักซึ่งเป็นแหล่งพลังงานส าหรับ
สิ่งมีชีวิต เมื่อบริโภค ข้าวหรือแปูง ร่างกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ที่มีขนาดเล็กลง จนได้เป็น

กลูโคสซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของคาร์โบไฮเดรต ร่างกายสามารถดูดซึม กลูโคสที่เป็นโมเลกุลขนาดเล็ก เข้าส ู่

กระแสเลือดและใช้เป็นสารตั้งต้นในการท าปฏิกิริยากับ ออกซิเจน เพื่อให้พลังงาน แก่ร่างกาย ส าหรับผู้ที่มี
ระดับน้ าตาลในเลือดลดลง อย่างเร็วจากการออกก าลังกาย หรือท้องเสีย การดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มี

ส่วนผสมของกลูโคสจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยท าให้ระดับน้ าตาลในเลือดกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วกว่าการบริโภค

ข้าวแปูง








รูป 3.7 ภาพจ าลองการย่อยโมเลกุลแปูงให้เป็นกลูโคส


ในทางเคมีจัดให้คาร์โบไฮเดรตในข้าวและแปูงซึ่งมีโมเลกุลขนาดใหญ่เป็นพอลิแซกคาไรด ์


(polysaccharide) ส่วนกลูโคสเป็นน้ าตาลโมเลกุลเดี่ยวหรือมอนอแซ็กคาไรด (monosaccharide)
โครงสร้างแสดงดังรูป 3.8








รูป 3.8 โครงสร้างของพอลิแซ็กคาไรด์และมอนอแซ็กคาไรด์


สารเคมีทโมเลกุลมีโครงสร้างขนาดใหญ่ประกอบด้วยหน่วยย่อยจ านวนมากเชื่อมต่อกันเช่นเดียวกับ
ี่
พอลิแซ็กคาไรด์ เรียกว่า พอลิเมอร (polymer) ส่วนสารโมเลกลขนาดเล็กที่มารวมตัวกันเพื่อเกิดเป็น



พอลิเมอร์ เรียกว่า มอนอเมอร (monomer) ซึ่งมอนอเมอร์ของพอลิแซ็กคาไรด์ในข้าวและแปูง คือ กลูโคส

194



5.2 กระบวนการ

1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรุป)

3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ)

5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์)

5.3 คุณลักษณะและค่านิยม
ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการท างาน



6. บูรณาการ
-


7. กิจกรรมการเรียนรู้

ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง สูตรโครงสร้างของพอลิแซ็กคาไรด์ และมอนอแซ็กคาไรด์ และผล

การท ากิจกรรม 3.1

ู่
1.2 ครูตั้งค าถามเพื่อน าเข้าสการท ากิจกรรม
- พอลิเมอร์เกิดขึ้นจากมอนอเมอร์มาเชื่อมกัน นักเรียนคิดว่าพอลิเมอร์มีสมบัติเหมือน

หรือแตกต่างกันอย่างไร


ขั้นที่ 2 ขั้นส ารวจและค้นหา
2.1 ครูจัดกลุ่มนักเรียน โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ละ 3-4 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์

และพอลิเมอร์ (สามารถสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตหรือห้องสมุด)


ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป

3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมาน าเสนอผลการท ากิจกรรมของกลุ่มตัวเองหน้าชั้นเรียน
3.2 ครูน านักเรียนอภิปรายผลการสืบค้นข้อมูลของกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูลสมบัติทาง

กายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ เพื่อน าไปสู่การสรุปโดยใช้ค าถามต่อไปนี้
1) พอลิเอทิลีน มีสถานะใด (แนวการตอบ ของแข็ง)

2) พอลิโพรพิลีน มีสถานะใด (แนวการตอบ ของแข็ง)

3) พอลิไวนิลคลอไรด์ มีสถานะใด (แนวการตอบ ของแข็ง)
4) พอลิเอทิลีน มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ 115-135 °C)

5) พอลิโพรพิลีน มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ 130-170 °C)
6) พอลิไวนิลคลอไรด์ มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ 100-260 °C)

7) เอทิลีน มีสถานะใด (แนวการตอบ แก๊ส)

195

8) โพรพิลีน มีสถานะใด (แนวการตอบ แก๊ส)
9) พอลิไวนิลคลอไรด์ มีสถานะใด (แนวการตอบ แก๊ส)

10) เอทิลีน มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ -169.15 °C)
11) โพรพิลีน มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ -185.24 °C)

12) ไวนิลคลอไรด์ มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ -153.84 °C)
13) จากการสืบค้นข้อมูลสถานะและจุดหลอมเหลวของพอลิเมอร์และมอนอเมอร์

มีสถานะเหมือนกันหรือไม่ (แนวการตอบ มีสถานะไม่เหมือนกัน)

14) จากการสืบค้นข้อมูลสถานะและจุดหลอมเหลวของพอลิเมอร์และมอนอเมอร์
มีจุดหลอมเหลวเหมือนกันหรือไม่ (แนวการตอบ มีสถานะไม่เหมือนกัน)

3.3 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปผลการสืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และ

พอลิเมอร์จนสรุปได้ ดังนี้
พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์ นอกจากนี้มอนอเมอร์และพอลิเมอร์ที่เกิด

จากมอนอเมอร์มีสถานะต่างกัน


ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้

4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสมบัติด้านกายภาพของพอลิเมอร์ขึ้นอยู่กับโครงสร้าง โดยพอลิเมอร์ที่มี
โครงสร้างแบบสายยาวหรือโซ่โครงสร้างแบบสาขาหรือแขนง และโครงสร้างแบบตาข่ายหรือร่างแห จะมีสมบัติท ี่


ต่างกัน
4.2 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลลูโลส ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 69

ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล
5.1 นักเรียนส่งใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอล ิ

เมอร์
ประยุกต์และตอบแทนสังคม

ครูให้นักเรียนแต่ละคนน าความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์ แล้วน าเสนอใน
ชั้นเรียน


ู้
8. สื่อการเรียนร/แหล่งเรียนร ู้
8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอร์เน็ต

8.3 ห้องสมุด

8.4 ใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์

196



9. การวัดและประเมินผล
จุดประสงค์การเรียนร ู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน

ด้านความรู้ (K)

1) นักเรียนสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบ 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
สมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และ 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูล ท ากิจกรรม สรุปผลการสืบค้น

มอนอเมอร์ของพอลิเมอร์ชนิดนั้นได ้ สมบัติทางกายภาพของ 2) ใบกิจกรรม 3.2 ข้อมูลได้ระดับดี ผ่าน

มอนอเมอร์และ เรื่อง สืบค้นข้อมูล เกณฑ์
พอลิเมอร์ สมบัติทางกายภาพ

ของมอนอเมอร์และ

พอลิเมอร์
ด้านกระบวนการ (P)

1) นักเรียนสามารถท ากิจกรรม 3.2 เรื่อง 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ

สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอ 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูล ท ากิจกรรม บันทึกผลการสืบค้น
เมอร์และพอลิเมอร์ได้ สมบัติทางกายภาพของ 2) ใบกิจกรรม 3.2 ข้อมูลได้ระดับดี ผ่าน

มอนอเมอร์และ เรื่อง สืบค้นข้อมูล เกณฑ์
พอลิเมอร์ สมบัติทางกายภาพ

ของมอนอเมอร์และ
พอลิเมอร์

ด้านคุณลักษณะ (A)

1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนท าภาระ

ท างาน 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูล ท ากิจกรรม งานที่ได้รับมอบหมาย
สมบัติทางกายภาพของ 2) ใบกิจกรรม 3.2 ไดระดับดี ผ่านเกณฑ์

มอนอเมอร์และ เรื่อง สืบค้นข้อมูล
พอลิเมอร์ สมบัติทางกายภาพ

ของมอนอเมอร์และ

พอลิเมอร์

197









10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการท ากิจกรรม เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์
ประเด็นการ ค่าน้ าหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน
3 สรุปผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องครบถ้วน
ด้านความรู้ 2 สรุปผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องบางส่วน

(K)
1 สรุปผลการสืบค้นข้อมูล แต่ไม่ถูกต้อง

ด้าน 3 บันทึกผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องครบถ้วน
กระบวนการ 2 บันทึกผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องบางส่วน

(P) 1 บันทึกผลการสืบค้นข้อมูล แต่ไม่ถูกต้อง

ด้าน 3 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน

คุณลักษณะ 2 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน
(A) 1 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน



ระดับคะแนน
คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก

คะแนน 2 หมายถึง ระดับด ี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช ้

198

การประเมินการท ากิจกรรม เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร ์


จุดประสงค์การเรียนร ู้
ด้าน ด้าน รวม
ด้านความรู้ ระดับ
ที่ ชื่อ - นามสกุล กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน
(K) คุณภาพ
(P) (A)
3 3 3 9

1

2
3

4

5
6

7

8
9

10

11

12
13

14

15
16

17

18
19

20

21
22

23

24

25
26

27

28

199

จุดประสงค์การเรียนร ู้
ด้าน ด้าน รวม
ด้านความรู้ ระดับ
ที่ ชื่อ - นามสกุล กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน
(K) คุณภาพ
(P) (A)

3 3 3 9

29

30
31

32

33
34

35

36
37

38

39
40



ระดับคุณภาพ

คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก

คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับด ี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง

คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง

200

บันทึกหลังการสอน

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง อาหาร ใ

แผนการสอนที่ 15 เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ .

วันที่ เดือน พ.ศ. ใ


ผลการจัดการเรียนร ู้



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อุปสรรค



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...



ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ากลุ่มสาระ

(นางสาวนิลนิกา แก้วปัญญา) (นางนพรัตน์ ครุฑเกิด)

201
ใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์




1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น …………………………………


ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่

ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................


ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่

ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................

ค าสั่ง สืบค้นข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบสถานะและจุดหลอมเหลวของมอนอเมอร์กับพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์นั้น

จ านวน 3 คู่ แล้วน ามาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน


ผลการสืบค้นข้อมูล


พอลิเมอร์ มอนอเมอร์
จุดหลอมเหลว จุดหลอมเหลว
ชื่อ สถานะ ชื่อ สถานะ
(°C) (°C)

พอลิเอทิลีน เอทิลีน
พอลิโพรพิลีน โพรพิลีน

พอลิไวนิลคลอไรด์ ไวนิลคลอไรด์


สรุปผลการสืบค้นข้อมูล



พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์ พอลิเมอร์ที่สืบค้นมีสถานะเป็นของแข็ง และมอนอเมอร์มีสถานะ

เป็นแก๊ส ดังนัน้พอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ มีสถานะต่างกัน ฃ ฃ


พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์ นอกจากนี้มอนอเมอร์และพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์


มีสถานะต่างกัน v

202
เฉลยใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์




1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น …………………………………


ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่

ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................


ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................
ี่

ี่
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท...................

ค าสั่ง สืบค้นข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบสถานะและจุดหลอมเหลวของมอนอเมอร์กับพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์นั้น

จ านวน 3 คู่ แล้วน ามาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน


ผลการสืบค้นข้อมูล


พอลิเมอร์ มอนอเมอร์
จุดหลอมเหลว จุดหลอมเหลว
ชื่อ สถานะ ชื่อ สถานะ
(°C) (°C)

พอลิเอทิลีน ของแข็ง 115-135 เอทิลีน แก๊ส -169.15
พอลิโพรพิลีน ของแข็ง 130-170 โพรพิลีน แก๊ส -185.24

พอลิไวนิลคลอไรด์ ของแข็ง 100-260 ไวนิลคลอไรด์ แก๊ส -153.84


สรุปผลการสืบค้นข้อมูล



พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์ พอลิเมอร์ที่สืบค้นมีสถานะเป็นของแข็ง และมอนอเมอร์มีสถานะ

เป็นแก๊ส ดังนัน้พอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ มีสถานะต่างกัน ฃ ฃ


พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์ นอกจากนี้มอนอเมอร์และพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์


มีสถานะต่างกัน v

203







แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 16

เรื่อง โปรตีน
รายวิชา ว31104 วิทยาศาสตร์กายภาพ 1 เวลา 2 ชั่วโมง

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ อาหาร รวม 13 ชั่วโมง

กลุ่มสาระการเรียนรวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1
ู้




1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง

และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย

และการเกิดปฏิกิริยาเคมี

2. ตัวชี้วัด

ว 2.1 ม.5/16 ระบุสมบัติความเป็นกรด-เบสจากโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์


3. จุดประสงค์การเรียนร ู้

3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนระบุสารประกอบอินทรีย์มีสมบัติกรด-เบสจากสูตรโครงสร้างได ้

3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถจัดกระท าและสื่อความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได ้

3.3 ด้านคุณลักษณะ (A)

1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการท างาน

4. สาระส าคัญ
อาหารเป็นปัจจัยส าคัญ ส าหรับการด ารงชีวิตของมนุษย์ โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น

สารประกอบอินทรีย์ ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ

ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ ไขมัน มีทั้ง
ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ

สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรต ที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น

พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรด แอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอก ซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด -เบสได ้
วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ท าให้บางชนิดละลายได้ในน้ ามัน บางชนิดละลายได้ในน้ ามัน ซึ่งเป็นไปตาม

หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์ส าหรับอาหารส่วนใหญ่
ท ามาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์ เทอร์มอเซตซึ่งใช ้

204

งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช การ

ใช้ซ้ า และการน ากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง


5. สาระการเรียนร ู้

5.1 ความรู้
โปรตีนเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานและมีบทบาท อื่นทส าคัญในสิ่งมีชีวิต เช่น เป็นโครงสร้าง
ี่
กล้ามเนื้อ เอนไซม์ ฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขาดโปรตีนท าให้ร่างกายอ่อนเพลียห มดแรง
และส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ อาหารที่มีโปรตีนสูงมีทั้งพืชและสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ชีส










รูป 3.10 แหล่งอาหารที่มีโปรตีนเป็นองค์ประกอบหลัก


โปรตีนจัดเป็นพอลิเมอร์ชนิดหนึ่งที่มีกรดแอมิโนเป็นมอนอเมอร์ โปรตีนแต่ละชนิดมีล าดับของ กรด

แอมิโนในสายพอลิเมอร์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างรูป 3.11 เมื่อรับประทานอาหารที่มีโปรตีนร่างกายจะย่อย
โปรตีนซึ่งเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง จนได้เป็นกรดแอมิโนชนิดต่าง ๆ แล้วดูดซึมเข้าสู่กระแส

เลือด











รูป 3.11 โมเลกุลของไมโอโกลบินในกล้ามเนื้อ



ี่
ในธรรมชาตมีกรดแอมิโนจ านวนมากแต่กรด แอมิโนทเป็นองค์ประกอบในร่างกายมนุษย์มี 20
ชนิด กรดแอมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์เองได เรียกว่า กรดแอมิโนไม่จ าเป็น (non-essential amino


acid) แต่บางชนิดสังเคราะห์เองไม่ได ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น เรียกว่า กรดอะมิโน
จ าเป็น (essential amino acid) โปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ มี กรดแอมิโนจ าเป็นครบทุกชนิด ส่วน

โปรตีนจากพืชมีกรดแอมิโนจ าเป็นไม่ครบหรือปริมาณน้อย เช่น ถั่วลิสงมีเมไทโอนีนน้อย ข้าวโพดมีทรป

โตเฟนน้อย ขนมปังมีไลซีนน้อย ดังนั้นจึงควรบริโภคอาหารให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะขาด
โปรตีน

205

กรดแอมิโนมีโครงสร้าง โมเลกุลที่ประกอบด้วยหมู่ แอมิโน (-NH ) และหมู่คาร์บอกซิล (-COOH)
2
ี่
เชื่อมต่อกับคาร์บอนที่มีหมู่แทนท (R) ซึ่งกรดแอมิโนแต่ละชนิดแตกต่างกันที่หมู่ R ตัวอย่างกรดแอมิโนบาง
ชนิดแสดง ดังรูป 3.12


















รูป 3.12 กรดแอมิโนบางชนิด


กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นได้ทั้งกรดและเบส เนื่องจากมีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ที่สมบัติเป็น

กรด และมีหมู่ แอมิโน (-NH ) ทสมบัติเป็นเบส ในท านองเดียวกัน สารประกอบอินทรีย์ชนิดอื่นที่มีหมู่
ี่
2
คาร์บอกซิล (-COOH) เช่น กรดฟอร์มิก กรดแอซีติก กรดแล กติก สามารถแสดงสมบัติเป็นกรดได

โดยสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ แอมิโน (-NH , –NH-, –N-) เช่น พูเทรซีน เมลามีน แอมเฟตามีน อะดรี
2
นาลีน คลอเฟนิรามีน สามารถแสดงสมบัติเป็นเบสได ดังรูป














รูป 3.13 สารประกอบอินทรีย์ที่มีสมบัติเป็นกรด-เบสบางชนิด


5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)

2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรุป)

3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ)

206

5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านโทรศัพท)

5.3 คุณลักษณะและค่านิยม

ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการท างาน



6. บูรณาการ
-


7. กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ

1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต
ี่
1.2 ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างอาหารทมีโปรตีนเป็นองค์ประกอบ เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เป็นต้น
1.3 ครูน าเข้าสบทเรียนโดยให้นักเรียนบอกความส าคัญของโปรตีน
ู่
ู่
1.4 ครูน าเข้าสู่บทเรียนโดยตั้งค าถาม เพื่อน าเข้าสกิจกรรม
1) กรดแอมิโนบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองได้ เรียกว่า

2) กรดแอมิโนบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ เรียกว่า
3) กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะไรบ้าง

4) โครงสร้างทั่วไปของกรดแอมิโนเป็นอย่างไร

5) กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นกรดหรือเบส


ขั้นที่ 2 ขั้นส ารวจและค้นหา
2.1 ครูให้นักเรียนทุกคนศึกษาค้นคว้า เรื่อง โปรตีน ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน

หน้า 70 - 73

2.2 นักเรียนสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าลงในกระดาษ A4 ในรูปแบบ
Mind mapping

2.3 นักเรียนท าแบบฝึกหัด 3.2 ในหนังสือเรียน หน้า 74 ลงในสมุด

2.4 นักเรียนท าแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่ 4-5 หน้า 92 ลงในสมุด

ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครูน านักเรียนอภิปรายเพื่อน าไปสู่การสรุปโดยใช้ค าถามต่อไปนี้

1) แม้ว่าถั่วหรือผักบางชนิดมีโปรตีนในปริมาณสูง แต่มักพบว่าผู้ที่บริโภคเฉพาะ ถั่วและ
ผักยังเป็นโรคที่เกิดจากภาวะขาดโปรตีนได้ นักเรียนคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด (แนวการตอบ เพราะถั่วลิสง

มีเมไทโอนีนน้อย ข้าวโพดมีทรปโตเฟนน้อย ดังนั้นจึงควรบริโภคอาหารให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยง

จากภาวะขาดโปรตีน)
2) กรดแอมิโนบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองได้ เรียกว่า (แนวการตอบ แอมิโนไม่จ าเป็น

(non-essential amino acid))
3) กรดแอมิโนบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ เรียกว่า (แนวการตอบ กรดอะมิโนจ าเป็น

(essential amino acid))

207


4) กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะไรบ้าง (แนวการตอบ กรดแอมิโนมี

โครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยหมู่แอมิโน (-NH ) และหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) เชื่อมต่อกับคาร์บอนที่มี
2
ี่
หมู่แทนท (R) ซึ่งกรดแอมิโนแต่ละชนิดแตกต่างกันที่หมู่ R)
5) กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นกรดหรือเบส (แนวการตอบ กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นได ้
ี่
ทั้งกรดและเบส เนื่องจากมีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ที่สมบัติเป็นกรด และมีหมู่แอมิโน (-NH ) ทสมบัต ิ
2
เป็นเบส)

3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหา เรื่อง ไขมัน ดังนี้
1) กรดแอมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์เองได เรียกว่า กรดแอมิโนไม่จ าเป็น (non-

essential amino acid) แต่บางชนิดสังเคราะห์เองไม่ได ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น

เรียกว่า กรดอะมิโนจ าเป็น (essential amino acid) โปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ มีกรดแอมิโนจ าเป็น
ครบทุกชนิด ส่วนโปรตีนจากพืชมีกรดแอมิโนจ าเป็นไม่ครบหรือปริมาณน้อย เช่น ถั่วลิสงมีเมไทโอนีนน้อย

ข้าวโพดมีทรปโตเฟนน้อย ขนมปังมีไลซีนน้อย ดังนั้นจึงควรบริโภคอาหารให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยง

จากภาวะขาดโปรตีน
2) กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยหมู่แอมิโน (-NH ) และหมู่คาร์บอกซิล
2
(-COOH) เชื่อมต่อกับคาร์บอนที่มีหมู่แทนท (R) ซึ่งกรดแอมิโนแต่ละชนิดแตกต่างกันที่หมู่ R
ี่
3) กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นได้ทั้งกรดและเบส เนื่องจากมีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ท ี่

ี่
สมบัติเป็นกรด และมีหมู่แอมิโน (-NH ) ทสมบัติเป็นเบส
2


ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสารประกอบอินทรีย์ชนิดอื่นที่มีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) และ

สารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่แอมิโน
สารประกอบอินทรีย์ชนิดอื่นที่มีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) เช่น กรดฟอร์มิก กรดแอซีติก


กรดแลกติก สามารถแสดงสมบัติเป็นกรดได โดยสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่แอมิโน (-NH , –NH-, –N-)
2
เช่น พูเทรซีน เมลามีน แอมเฟตามีน อะดรีนาลีน คลอเฟนิรามีน สามารถแสดงสมบัติเป็นเบสได ้



ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล
5.1 ครูตรวจ Mind mapping เรื่อง ไขมัน ของนักเรียน


5.2 ครูตรวจสมุดของนักเรียนในการท าแบบฝึกหัด 3.2
5.3 ครูตรวจสมุดของนักเรียนในการท าแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่ 4-5


ประยุกต์และตอบแทนสังคม
ครูให้นักเรียนแต่ละคนน าความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์ แล้วน าเสนอใน

ชั้นเรียน

208

ู้
8. สื่อการเรียนร/แหล่งเรียนร ู้
8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบกิจกรรม เรื่อง องค์ประกอบในอากาศ

8.3 อินเทอร์เน็ต หรือ ห้องสมุด


9. การวัดและประเมินผล

จุดประสงค์การเรียนร ู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน
ด้านความรู้ (K)

1) นักเรียนระบุสารประกอบอินทรีย์มีสมบัต 1) ตรวจแบบฝึกหัด 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนท า

กรด-เบสจากสูตรโครงสร้างได ้ 3.2 และแบบฝึกหัด ท ากิจกรรม แบบฝึกหัด 3.2 และ
ท้ายบทที่ 3 ข้อที่ 4-5 2) แบบฝึกหัด 3.2 แบบฝึกหัดท้ายบทที่

และแบบฝึกหัดท้าย 3 ข้อที่ 4-5 ได้ระดับ

บทที่ 3 ข้อที่ 4-5 ดี ผ่านเกณฑ์
ด้านกระบวนการ (P)

1) นักเรียนสามารถจัดกระท าและสื่อ 1) ตรวจ Mind 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ

ความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได ้ mapping เรื่อง ไขมัน ท ากิจกรรม สรุปเนื้อหาที่ได้จาก
2) Mind mapping การศึกษาค้นคว้า

เรื่อง ไขมัน ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์
ด้านคุณลักษณะ (A)

1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ 1) ตรวจ Mind 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนท าภาระ

ท างาน mapping เรื่อง ไขมัน ท ากิจกรรม งานที่ได้รับมอบหมาย

2) ตรวจแบบฝึกหัด 2) Mind mapping ไดระดับดี ผ่านเกณฑ์
3.2 และแบบฝึกหัด เรื่อง ไขมัน

ท้ายบทที่ 3 ข้อที่ 4-5 3) แบบฝึกหัด 3.2
และแบบฝึกหัดท้าย

บทที่ 3 ข้อที่ 4-5

209

10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน


เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการท ากิจกรรม เรื่อง ไขมัน


ประเด็นการ ค่าน้ าหนัก
ประเมิน คะแนน แนวทางการให้คะแนน
ด้านความรู้ 3 ท าแบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่ 4-5 ได้ถูกต้องครบถ้วน

(K) จ านวน 7-9 ข้อ

2 ท าแบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่ 4-5 ได้ถูกต้องครบถ้วน
จ านวน 4-6 ข้อ

1 ท าแบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่ 4-5 ได้ถูกต้องครบถ้วน

จ านวน 1-3 ข้อ หรือไม่ถูกต้อง
ด้าน 3 สรุปเนื้อหา เรื่อง สารโคเวเลนสได้ถูกต้องครบถ้วน

กระบวนการ 2 สรุปเนื้อหา เรื่อง สารโคเวเลนสได้ค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน

(P) 1 สรุปเนื้อหา เรื่อง สารโคเวเลนสได้ แต่ไม่ครบถ้วน

ด้าน 3 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน

คุณลักษณะ 2 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน

(A) 1 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน






ระดับคะแนน
คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับด ี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช ้


หมายเหต แบบฝึกหัด 3.2 มี 7 ข้อย่อย และแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 มี 2 ข้อ รวมทั้งหมด 9 ข้อ


210

การประเมินการท ากิจกรรม เรื่อง ไขมัน


จุดประสงค์การเรียนร ู้
ด้าน ด้าน รวม
ด้านความรู้ ระดับ
ที่ ชื่อ - นามสกุล กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน
(K) คุณภาพ
(P) (A)
3 3 3 9

1

2
3

4

5
6

7

8
9

10

11

12
13

14

15
16

17

18
19

20

21
22

23

24

25
26

27

28

211

จุดประสงค์การเรียนร ู้
ด้าน ด้าน รวม
ด้านความรู้ ระดับ
ที่ ชื่อ - นามสกุล กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน
(K) คุณภาพ
(P) (A)

3 3 3 9

29

30
31

32

33
34

35

36
37

38

39
40



ระดับคุณภาพ

คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก

คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับด ี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง

คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง

212



บันทึกหลังการสอน

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง อาหาร ใ

แผนการสอนที่ 16 เรื่อง ไขมัน .

วันที่ เดือน พ.ศ. ใ


ผลการจัดการเรียนร ู้



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อุปสรรค



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...




ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ากลุ่มสาระ
(นางสาวนิลนิกา แก้วปัญญา) (นางนพรัตน์ ครุฑเกิด)

213





แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17
เรื่อง วิตามินและเกลือแร ่

รายวิชา ว31104 วิทยาศาสตร์กายภาพ 1 เวลา 1 ชั่วโมง
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ อาหาร รวม 13 ชั่วโมง

ู้
กลุ่มสาระการเรียนรวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1


1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง

และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย

และการเกิดปฏิกิริยาเคมี

2. ตัวชี้วัด

ว 2.1 ม.5/17 อธิบายสมบัติการละลายในตัวท าละลายชนิดต่างๆ ของสาร


3. จุดประสงค์การเรียนร ู้

3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนอธิบายสมบัติการละลายในตัวท าละลายชนิดต่างๆ ของสารได

3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่ก าหนดให้ได้

3.3 ด้านคุณลักษณะ (A)

1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการท างาน

4. สาระส าคัญ
อาหารเป็นปัจจัยส าคัญ ส าหรับการด ารงชีวิตของมนุษย์ โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น

สารประกอบอินทรีย์ ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ

ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ ไขมัน มีทั้ง
ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ

สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรต ที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น

พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรด แอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอก ซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด -เบสได ้
วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ท าให้บางชนิดละลายได้ในน้ ามัน บางชนิดละลายได้ในน้ ามัน ซึ่งเป็นไปตาม

หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์ส าหรับอาหารส่วนใหญ่
ท ามาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์ เทอร์มอเซตซึ่งใช ้


งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช การ
ใช้ซ้ า และการน ากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง

214

5. สาระการเรียนร ู้
5.1 ความรู้

ร่างกายต้องการวิตามินและเกลือแร่เพื่อให้การท างานของระบบต่าง ๆ เป็นไปอย่างปกต อาหารที่

มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงมักมีวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

มนุษย์จึงจ าเป็นต้องได้รับวิตามินและเกลือแร่เพิ่มเติม จากอาหารอื่น เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์บางชนิด เช่น
เหล็ก แคลเซียม

วิตามินเป็นสารประกอบอินทรีย์ มีความจ าเป็นต่อกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น วิตามิน A

ช่วยเรื่องการมองเห็น วิตามิน C ช่วยปูองกันโรคลักปิดลักเปิด วิตามิน D ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของ
กระดูก วิตามิน K ช่วยในการแข็งตัวของเลือด วิตามินบางชนิดละลายในน้ า เช่น วิตามิน C วิตามิน B1

แต่ละชนิดละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน E และวิตามิน K ดังนั้นการไม่รับประทาน

ไขมันเลย อาจท าให้เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินด้วย













รูป 3.15 สูตรโครงสร้างของวิตามิน B1 C A และ D


จากรูป 3.15 เมื่อพิจารณาโครงสร้างของวิตามิน C พบว่าเป็นโมเลกุลที่มีหมู่ไฮดรอกซิล (-OH)

หลายหมู่ซึ่งเกิดพันธะไฮโดรเจนกับน้ าได ส่วนวิตามิน B1 นอกจากมีหมู่ไฮดรอกซิลและ หมู่แอมิโนที่เกิด

พันธะไฮโดรเจนกับน้ าได้แล้ว โครงสร้างยังมีประจที่ช่วยท าให้ละลายในน้ าได้ดีขึ้นโดยการแตกตัว วิตามิน C

และ B1 จึงละลายในน้ าได้ ในทางตรงกันข้าม วิตามิน A และ D ถึงแม้จะมีหมู่ไฮดรอกซิล แต่โครงสร้างมี

ส่วนที่เป็นไฮโดรคาร์บอน อยู่มาก ท าให้เป็นสารที่มีขั้วน้อย จึงละลายในน้ าได้ไม่ดีแต่ละ ลายได้ดีในไขมัน
ซึ่งโครงสร้างมีส่วนที่เป็นไฮโดรคาร์บอนอยู่มาก

สมบัติการละลายของวิตามินดังที่กล่าวมาข้างต้น เป็นไปตามหลักการที่เรียกว่า “like dissolves

like” คือ สารละลายได้ในตัวท าละลายที่มี ขั้วใกล้เคียงกัน เนื่องจาก มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
ประเภทเดียวกัน นอกจากนี้การละลายของสารประกอบประเภทอื่น เช่น กลูโคสละลาย ในน้ า เมนทอล

ละลายในน้ ามัน น้ ามันไม่ละลายในน้ าก็เป็นไปตามหลักการเช่นกัน
หลักการ like dissolves like น ามาใช้เป็นแนวทางในการเลือกตัวท าละลายส าหรับการสกัด

สารประกอบอินทรีย์ที่ไม่มีขั้วซึ่งละลายน้ าได้น้อยจากพืช เช่น การสกัดสาระส าคัญจากสมุนไพรด้วยน้ ามัน

หรือขี้ผึ้ง การสกัดกลิ่นน้ าหอมจากดอกไม้บางชนิดด้วยเอทานอลซึ่งมีขั้วน้อยกว่าน้ า
หลักการ like dissolves like ยังใช้อธิบายกลไกการซักล้างคราบไคลและไขมัน ของสบู่

ี่
ผงซักฟอกน้ ายาล้างจาน โดยโมเลกุลของสารเหล่านี้มีทั้งส่วนมีขั้วหรือไม่มีขั้ว ซึ่งส่วนไม่มีขั้วท าหน้าทห่อหุ้ม

215

ไขมันและสารที่มีขั้วหันเข้าหาโมเลกุล เกิดเป็นไมเซลล์ (micelle) ที่กระจายตัวในน้ า ได้ของ ผสมระหว่าง
น้ าและไขมันที่เรียกว่า อีมัลชัน (emulsion) ของผสมที่เป็นอีมัลชัน ยังพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจ าวัน

เช่น น้ านมน้ าสลัด ครีมทาผิว

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)

2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรุป)

3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ)

5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านโทรศัพท)

5.3 คุณลักษณะและค่านิยม
ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการท างาน



6. บูรณาการ
-


7. กิจกรรมการเรียนรู้

ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ

1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง สมบัติความเป็นกรด-เบสของโปรตีน
1.2 ครูน าเข้าสู่บทเรียน โดยกล่าวว่า นอกจากไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนซึ่งเป็นสารที่ให้

พลังงานแก่ร่างกายกายแล้ว ร่างกายยังต้องการการวิตามินและเกลือแร่ให้การท างานของระบบต่างๆ
เป็นไปอย่างปกต ิ

1.3 ครูน าเข้าสู่บทเรียนโดยตั้งค าถาม เพื่อน าเข้าสกิจกรรม
ู่
1) นักเรียนจ าได้หรือไม่ว่า วิตามินใดบางละลายในไขมัน

2) นักเรียนจ าได้หรือไม่ว่า วิตามินใดบางละลายในน้ า

3) นักเรียนทราบหรือไม่ว่าวิตามินแต่ละชนิดมีประโยชน์อย่างไร
4) โมเลกุลของวิตามินที่ละลายในน้ าควรมีลักษณะอย่างไรและแตกต่างจากผลของวิตามิน

ที่ละลายในไขมันอย่างไร
5) นักเรียนเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่ละลายน้ าและวิตามินละลายในไขมันได ้

หรือไม่

6) นักเรียนรู้จักหลักการ like dissolves like หรือไม่

ขั้นที่ 2 ขั้นส ารวจและค้นหา
2.1 ครูให้นักเรียนทุกคนศึกษาค้นคว้า เรื่อง วิตามินละเกลือ, สูตรโครงสร้างของวิตามิน ในหนังสือ

เรียน หน้า 75 - 79

2.2 นักเรียนท าใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน
2.3 นักเรียนท าแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 ในหนังสือเรียน หน้า 77-79 ลงในสมุด

216

ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครูน านักเรียนอภิปรายเพื่อน าไปสู่การสรุปโดยใช้ค าถามต่อไปนี้

1) วิตามินใดบางละลายในไขมัน (แนวการตอบ วิตามิน A D E และ K)
2) วิตามินใดบางละลายในน้ า (แนวการตอบ วิตามิน C และ B1)

3) โมเลกุลของวิตามินที่ละลายในน้ าควรมีลักษณะอย่างไรและแตกต่างจากผลของวิตามินท ี่
ละลายในไขมันอย่างไร (แนวการตอบ โมเลกุลของวิตามินที่ละลายในในน้ าแตกต่างจากโมเลกุลของวิตามินท ี่

ละลายในไขมัน คือ มีประจุหรือมีหมู่ที่สามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนกับน้ าได้หลายหมู)

4) จงอธิบายความหมายของหลักการ like dissolves like (แนวการตอบ สารละลายได ้
ในตัวท าละลายที่มีขั้วใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลประเภทเดียวกัน)

3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหา เรื่อง วิตามินและเกลือแร่ ดังนี้

1) โครงสร้างของวิตามินที่ละลายน้ าได้ เช่น วิตามิน B1 และ C มีประจุ หรือมีหมู่ที่เกิด
พันธะไฮโดรเจนกับน้ าได้หลายหมู่ เช่น หมู่ไฮดรอกซิล (–OH) หมู่แอมิโน (–NH2) ในทางตรงกันข้ามวิตามิน

ที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A และ D มีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นไฮโดรคาร์บอน

2) หลักการ like dissolves like คือ สารละลายได้ในตัวท าละลายที่มีขั้วใกล้เคียงกัน
เนื่องจากมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลประเภทเดียวกัน นอกจากนี้การละลายของสารประกอบประเภท

อื่น เช่น กลูโคสละลายในน้ า เมนทอลละลายในน้ ามัน น้ ามันไม่ละลายในน้ า



ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ สถานการณ์ ที่มีความสัมพันธ์กับหลักการ
like dissolves like หรือการน าหลักการดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวันหรืออุตสาหกรรม เช่น

การล้างสี ทาเล็บด้วยน้ า ยาล้างเล็บที่มีตัวท าละลายอินทรีย์เป็นองค์ประกอบ การเช็ดล้างเครื่องส าอางด้วย
ครีม ที่มีน้ ามันเป็นองค์ประกอบ การสกัดสารส าคัญจากสมุนไพรด้วยน้ ามันหรือขี้ผึ้ง การสกัดกลิ่นน้ าหอม

จากดอกไม้บางชนิดด้วยเอทานอล

4.2 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการ like dissolves like ยังใช้อธิบายกลไกการซักล้างคราบ
ไคลและไขมันของสบู่ ผงซักฟอกน้ ายาล้างจาน โดยโมเลกุลของสารเหล่านี้มีทั้งส่วนมีขั้วหรือไม่มีขั้ว ซึ่งส่วน

ี่
ไม่มีขั้วท าหน้าทห่อหุ้มไขมันและสารที่มีขั้วหันเข้าหาโมเลกุล เกิดเป็นไมเซลล์ (micelle) ที่กระจายตัวใน
น้ า ได้ของผสมระหว่างน้ าและไขมันที่เรียกว่า อีมัลชัน (emulsion) ของผสมที่เป็นอีมัลชันยังพบเห็นได ้
ทั่วไปในชีวิตประจ าวัน เช่น น้ านมน้ าสลัด ครีมทาผิว





ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล
5.1 ครูตรวจใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน


5.2 ครูตรวจสมุดของนักเรียนในการท าแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4

ประยุกต์และตอบแทนสังคม
ครูให้นักเรียนแต่ละคนน าความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์ แล้วน าเสนอใน
ชั้นเรียน

217

ู้
8. สื่อการเรียนร/แหล่งเรียนร ู้
8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน

8.3 อินเทอร์เน็ต
8.4 ห้องสมุด


9. การวัดและประเมินผล
จุดประสงค์การเรียนร ู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน

ด้านความรู้ (K)

1) นักเรียนอธิบายสมบัติการละลายในตัวท า 1) ตรวจแบบฝึกหัด 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนท า
ละลายชนิดต่างๆ ของสารได ้ 3.3 และ 3.4 ท ากิจกรรม แบบฝึกหัด 3.3 และ

2) แบบฝึกหัด 3.3 3.4 ได้ระดับดี ผ่าน

และ 3.4 เกณฑ์
ด้านกระบวนการ (P)

1) นักเรียนสามารถเขียนสูตรโครงสร้างของ 1) ตรวจใบงาน เรื่อง 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ

วิตามินที่ก าหนดให้ได ้ สูตรโครงสร้างของ ท ากิจกรรม เขียนสูตรโครงสร้าง
วิตามิน 2) ใบงาน เรื่อง สูตร ของวิตามินท ี่

โครงสร้างของวิตามิน ก าหนดให้
ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์

ด้านคุณลักษณะ (A)

1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ 1) ตรวจ Mind 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนท าภาระ
ท างาน mapping เรื่อง ไขมัน ท ากิจกรรม งานที่ได้รับมอบหมาย

2) ตรวจแบบฝึกหัด 2) แบบฝึกหัด 3.3 ไดระดับดี ผ่านเกณฑ์

3.3 และ 3.4 และ 3.4
3) ตรวจใบงาน เรื่อง 3) ใบงาน เรื่อง สูตร

สูตรโครงสร้างของ โครงสร้างของวิตามิน

วิตามิน

218

10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน


เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการท ากิจกรรม เรื่อง วิตามินและเกลือแร่


ประเด็นการ ค่าน้ าหนัก
ประเมิน คะแนน แนวทางการให้คะแนน
ด้านความรู้ 3 ท าแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 ได้ถูกต้องครบถ้วน จ านวน 2 ข้อ

(K) 2 ท าแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 ได้ถูกต้องครบถ้วน จ านวน 1 ข้อ

1 ท าแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 แต่ไม่ถูกต้อง
ด้าน 3 สามารถเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่ก าหนดให้ได้ถูกต้องครบถ้วน จ านวน 5-6 ข้อ

กระบวนการ 2 สามารถเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่ก าหนดให้ได้ถูกต้องครบถ้วน จ านวน 3-4 ข้อ

(P) 1 สามารถเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่ก าหนดให้ได้ถูกต้องครบถ้วน จ านวน 1-2 ข้อ
หรือไม่ถูกต้อง

ด้าน 3 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน

คุณลักษณะ 2 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน
(A) 1 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน







ระดับคะแนน
คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับด ี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช ้

219

การประเมินการท ากิจกรรม เรื่อง วิตามินและเกลือแร ่


จุดประสงค์การเรียนร ู้
ด้าน ด้าน รวม
ด้านความรู้ ระดับ
ที่ ชื่อ - นามสกุล กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน
(K) คุณภาพ
(P) (A)
3 3 3 9

1

2
3

4

5
6

7

8
9

10

11

12
13

14

15
16

17

18
19

20

21
22

23

24

25
26

27

28

220

จุดประสงค์การเรียนร ู้
ด้าน ด้าน รวม
ด้านความรู้ ระดับ
ที่ ชื่อ - นามสกุล กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน
(K) คุณภาพ
(P) (A)

3 3 3 9

29

30
31

32

33
34

35

36
37

38

39
40



ระดับคุณภาพ

คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก

คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับด ี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง

คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง

221

บันทึกหลังการสอน

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง อาหาร ใ

แผนการสอนที่ 17 เรื่อง วิตามินและเกลือแร่ .

วันที่ เดือน พ.ศ. ใ


ผลการจัดการเรียนร ู้



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อุปสรรค



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา



……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...


……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...



ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ากลุ่มสาระ

(นางสาวนิลนิกา แก้วปัญญา) (นางนพรัตน์ ครุฑเกิด)

222
ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘


ใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน


ค าสั่ง ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับสูตรโครงสร้างวิตามินในหนังสือเรียน แล้วเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินท ี่

ก าหนดให้ให้ถูกต้อง


วิตามิน B1 (thiamine) วิตามิน C (ascorbic acid)
















วิตามิน A วิตามิน D
















วิตามิน K












วิตามิน E

223
ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘


เฉลยใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน


ค าสั่ง ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับสูตรโครงสร้างวิตามินในหนังสือเรียน แล้วเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินท ี่

ก าหนดให้ให้ถูกต้อง


วิตามิน B1 (thiamine) วิตามิน C (ascorbic acid)
















วิตามิน A วิตามิน D
















วิตามิน K












วิตามิน E

224






แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18
เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร

รายวิชา ว31104 วิทยาศาสตร์กายภาพ 1 เวลา 1 ชั่วโมง
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ อาหาร รวม 13 ชั่วโมง

กลุ่มสาระการเรียนรวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1
ู้

1. มาตรฐานการเรียนรู้

ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง

และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย
และการเกิดปฏิกิริยาเคมี


2. ตัวชี้วัด

ว 2.1 ม.5/17 อธิบายสมบัติการละลายในตัวท าละลายชนิดต่างๆ ของสาร

3. จุดประสงค์การเรียนร ู้
3.1 ด้านความรู้ (K)

1) นักเรียนอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารได ้

3.2 ด้านกระบวนการ (P)
-

3.3 ด้านคุณลักษณะ (A)
1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการท างาน


4. สาระส าคัญ
อาหารเป็นปัจจัยส าคัญ ส าหรับการด ารงชีวิตของมนุษย์ โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น

สารประกอบอินทรีย์ ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ
ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ ไขมัน มีทั้ง

ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ

สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรต ที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น
พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรด แอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอก ซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด -เบสได ้

วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ท าให้บางชนิดละลายได้ในน้ ามัน บางชนิดละลายได้ในน้ ามัน ซึ่งเป็นไปตาม

หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์ส าหรับอาหารส่วนใหญ่
ท ามาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์ เทอร์มอเซตซึ่งใช ้


งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช การ
ใช้ซ้ า และการน ากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง

225


5. สาระการเรียนร ู้
5.1 ความรู้

เกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิกที่จ าเป็นต่อการท างานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

เช่น แคลเซียมเป็นเกลือแร่ที่เป็นองค์ประกอบในกระดูกใช้ในกระบวนการท างานของกล้ามเนื้อ ระบบ
ประสาท และช่วยให้เลือดแข็งตัว โซเดียมและโพแทสเซียมเป็นเกลือแร่ ที่ส าคัญในการท างานของเซลล ์

ประสาท และรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย เหล็กเป็นเกลือแร่ ที่เป็นองค์ประกอบในฮีโมโกลบินในเม็ด
เลือดแดงที่มีความส าคัญต่อการล าเลียงออกซิเจนในร่างกาย ไอโอดีนเป็นเกลือแร่ ที่มีความส าคัญมากแต ่

ต้องการในปริมาณน้อย เพื่อการผลิตฮอร์โมน ไทรอกซิน ซึ่งท าหน้า ที่ควบคุมการท างานของระบบเมตา

บอลิซึมในร่างกาย อย่างไรก็ตามการได้รับเกลือแร่ ไม่เพียงพอหรือมากเกินไปจะส่งผลต่อระบบการท างาน
ของร่างกาย เช่น การขาดแคลเซียมท าให้เป็นโรคกระดูกพรุน การขาดเหล็กท าให้เป็นโลหิตจาง การบริโภค

โซเดียมเกินความต้องการอาจท าให้เกิดโรคไต ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และผู้บริโภคควรใส่ใจกับปริมาณ

โซเดียมและสารอาหารอื่นที่ระบุไว้ในข้อมูลโฆษณาบนฉลากอาหาร ดังรูป 3.19






















รูป 3.19 ตัวอย่างข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร


5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)

2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้)

4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ)


5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านโทรศัพท)

226

5.3 คุณลักษณะและค่านิยม
ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการท างาน



6. บูรณาการ
บูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ และอัตราส่วน


7. กิจกรรมการเรียนรู้

ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ

1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง วิตามินที่สามารถละลายในไขมันและน้ า รวมถึงประโยชน์ของ
วิตามิน
ู่
1.2 ครูน าเข้าสู่บทเรียนโดยตั้งค าถาม เพื่อน าเข้าสกิจกรรม
1) นักเรียนเคยเห็นฉลากบนถุงขนมหรือบนกล่องนมหรือไม่

2) นักเรียนเคยอ่านข้อมูลที่ระบุบนถุงขนมหรือบนกล่องนมหรือไม่
3) นักเรียนรู้หรือไม่ว่าข้อมูลโภชนาการบนฉลากระบุเกี่ยวกับอะไรบ้าง


ขั้นที่ 2 ขั้นส ารวจและค้นหา
2.1 ครูน านักเรียนศึกษา รูป 3.19 ตัวอย่างข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร

2.2 ครูถามค าถามเกี่ยวกับรูป 3.19 ให้นักเรียนตอบ ดังนี้
- อาหารชนิดนี้มีเกลือแร่อะไรบ้าง (แนวค าตอบว่า อาหารชนิดนี้มีโซเดียม แคลเซียม

ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบ)
- อาหารชนิดนี้มีวิตามินอะไรบ้าง (แนวค าตอบว่า วิตามิน B1, B2, B12)

2.3 ครูให้นักเรียนท าใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร โดยสืบค้นข้อมูลทาง

อินเทอร์เน็ต

ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครูน านักเรียนอภิปรายเพื่อน าไปสู่การสรุปโดยใช้ค าถามต่อไปนี้

1) ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ค าว่า “ข้อมูลโภชนาการ” คือ (แนวการตอบ Nutrition

Information)
2) จงอธิบายความหมายค าว่าฉลากบนโภชนาการ (แนวการตอบ ฉลากอาหารที่มีการ

แสดงข้อมูลโภชนาการ ซึ่งระบุชนิดและปริมาณสารอาหารของอาหารชนิดนั้นๆ อยู่ในกรอบ ที่เรียกว่า
“กรอบข้อมูลโภชนาการ”)

3) จงบอกประโยชน์ของฉลากบนโภชนาการ (แนวการตอบ 1. เลือกซื้ออาหารและเลือก

บริโภคให้เหมาะสมกับความต้องการหรือภาวะทาง โภชนาการของตนได้ เช่น เลือกอาหารที่ระบุว่ามี
โคเลสเตอรอลต่ า หรือ มีโซเดียมต่ า 2. เปรียบเทียบเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารชนิดเดียวกัน โดยเลือกที่มีคุณค่า

ทางโภชนาการดีกว่าได้ 3. ในอนาคตเมื่อผู้บริโภคสนใจต้องการข้อมูลโภชนาการของอาหาร ผู้ผลิตก็จะ
แข่งขันกันผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า แทนการแข่งขันกันในเรื่อง หีบห่อ สี หรือสิ่งจูงใจ

ภายนอกอื่นๆ)

227


4) จงอธิบายความหมายของค าว่า “หนึ่งหน่วยบริโภค” (แนวการตอบ ข้อมูลบอกถึง

ปริมาณอาหารแต่ละชนิดที่ควรรับประทานใน 1 ครั้ง)

5) จงอธิบายความหมายของค าว่า “จ านวนหน่วยบริโภคต่อภาชนะบรรจ” (แนวการตอบ
เป็นข้อมูลที่ช่วยให้ผู้บริโภคประมาณได้ว่า จะแบ่งอาหารในภาชนะบรรจุนั้นส าหรับการบริโภคได้กี่ครั้ง
หรือจัดแบ่งได้ส าหรับกี่คน

6) จงอธิบายความหมายของค าว่า “คุณค่าทางโภชนาการต่อ 1 หน่วยบริโภค” (แนวการ

ได้ปรากฏเป็นข้อมูลบนฉลากที่บอกให้ผู้บริโภคทราบว่า เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปใน 1 หน่วยบริโภค
จะได้รับสารอาหารมากน้อยแค่ไหน)

7) จงอธิบายความหมายของค าว่า “ร้อยละของปริมาณที่แนะน าต่อวัน” (แนวการ

เป็นข้อมูลที่ได้จากการค านวณเปรียบเทียบปริมาณสารอาหาร 1 หน่วยบริโภค กับปริมาณที่ร่างกาย
ต้องการในแต่ละวัน ข้อมูลนี้บอกให้ผู้บริโภคทราบว่า เมื่อกินอาหารใน 1 หน่วยบริโภค จะได้สารอาหาร

เป็นสัดส่วนเท่าใด ของปริมาณที่ควรได้รับใน 1 วัน)

3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหา เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร



ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารหลากหลายรูปแบบ



ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล
5.1 ครูตรวจใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร



ประยุกต์และตอบแทนสังคม
ครูให้นักเรียนแต่ละคนน าความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์ แล้วน าเสนอใน

ชั้นเรียน

ู้
8. สื่อการเรียนร/แหล่งเรียนร ู้
8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)

8.2 ใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร
8.3 อินเทอร์เน็ต

- เว็บไซต์ https://www.scimath.org/article-biology/item/507-nutrition
- เว็บไซต https://www.honestdocs.co/what-is-nutrition-facts-label


228

9. การวัดและประเมินผล
จุดประสงค์การเรียนร ู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน

ด้านความรู้ (K)

1) นักเรียนอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลโภชนาการ 1) ตรวจใบงาน เรื่อง 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนตอบ
บนฉลากอาหารได ้ ข้อมูลโภชนาการบน ท ากิจกรรม ค าถามได้ระดับดี

ฉลากอาหาร 2) ใบงาน เรื่อง ผ่านเกณฑ์
ข้อมูลโภชนาการบน

ฉลากอาหาร

ด้านกระบวนการ (P)
- - - -


ด้านคุณลักษณะ (A)

1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ 1) ตรวจใบงาน เรื่อง 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนท าภาระ
ท างาน ข้อมูลโภชนาการบน ท ากิจกรรม งานที่ได้รับมอบหมาย


ฉลากอาหาร 2) ใบงาน เรื่อง ไดระดับดี ผ่านเกณฑ์
ข้อมูลโภชนาการบน
ฉลากอาหาร



10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน

เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการท ากิจกรรม เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร


ประเด็นการ ค่าน้ าหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน

ด้านความรู้ 3 ตอบค าถามได้ถูกต้องครบถ้วน จ านวน 5-7 ข้อ

(K) 2 ตอบค าถามได้ถูกต้องครบถ้วน จ านวน 3-4 ข้อ
1 ตอบค าถามได้ถูกต้องครบถ้วน จ านวน 1-2 ข้อ หรือไม่มีข้อใดถูกต้อง

ด้าน 3 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน

คุณลักษณะ 2 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่ก าหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน
(A) 1 ท าภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน







ระดับคะแนน
คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับด ี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช ้

229

การประเมินการท ากิจกรรม เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร


จุดประสงค์การเรียนร ู้
ด้าน ด้าน รวม
ด้านความรู้ ระดับ
ที่ ชื่อ - นามสกุล กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน
(K) คุณภาพ
(P) (A)
3 - 3 6

1

2
3

4

5
6

7

8
9

10

11

12
13

14

15
16

17

18
19

20

21
22

23

24

25
26

27

28


Click to View FlipBook Version