98
กิจกรรม สอ่ื และแหลง่ เรียนรู้
จะเปลี่ยนแปลงเม่อื อะตอมเคล่อื นทเ่ี ข้าหากนั ) 3. หอ้ งปฏิบตั กิ ารกลมุ่ สาระ
- อะตอมของไฮโดรเจนเคลือ่ นท่เี ขา้ ใกลก้ นั ท่ีสดุ จะเกิด วิทยาศาสตร์
แรงดงึ ดดู และแรงผลักอยา่ งไร (เมื่ออะตอมเคลอื่ นทเ่ี ขา้ ใกลก้ ันจะ 4. จากเวบ็ ไซน์
เกิดแรงดดู ระหวา่ งอเิ ลก็ ตรอนกบั โปรตอน และเกิดแรงผลัก www.google.com
ระหวา่ งอเิ ลก็ ตรอนกับอเิ ลก็ ตรอน และแรงผลกั ระหวา่ งโปรตอน 5. หนังสอื เตรียมสอบ
กบั โปรตอนของอะตอมทั้งสอง แรงผลกั ทาให้พลังงานศักย์เพมิ่ ขึ้น O-Net และ A-Net
แรงดดู ทาใหพ้ ลงั งานศกั ยล์ ดลง)
- ความยาวพันธะหมายถงึ อะไร (ระยะห่างระหว่าง
นวิ เคลยี สของสองอะตอมทสี่ รา้ งพนั ธะกนั )
- พลังงานพนั ธะหมายถึงอะไร (พลังงานท่ีใช้สลายพันธะ
ระหว่างอะตอมภายในโมเลกลุ )
- ความยาวพนั ธะของอะตอมคู่เดยี วกัน แตช่ นดิ พันธะ
แตกตา่ งกนั มีคา่ ต่างกันอย่างไร (ความยาวพันธะเด่ยี วมคี า่ มาก
ทีส่ ุด รองลงมาคือพันธะคู่และพันธะสาม ตามลาดบั )
- พลงั งานพนั ธะของอะตอมคเู่ ดียวกนั แต่ชนิดพันธะ
แตกตา่ งกัน มีคา่ ต่างกันอย่างไร (พลงั งานพันธะสามมคี า่ มาก
ทสี่ ดุ รองลงมาคอื พันธะคูแ่ ละพนั ธะเดี่ยว ตามลาดับ)
- ชนิดของพนั ธะ ความยาวพนั ธะและพลังงานพนั ธะของ
อะตอมคเู่ ดยี่ วกัน สัมพันธ์กนั อย่างไร (พันธะสามมพี ลังงาน
พันธะสงู ท่ีสุดแตม่ คี วามยาวพนั ธะนอ้ ยท่สี ุด และพนั ธะเด่ยี วมี
พลังงานพนั ธะต่าท่สี ุด แตม่ คี วามยาวพันธะมากทส่ี ดุ )
5. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มออกมารับใบความรู้ท่ี 5 นาไปแจก
สมาชกิ ในกลุ่ม เพ่อื ศกึ ษาและสรุปเน้ือหาเก่ียวกับความยาวพันธะ
และพลงั งานพนั ธะ พร้อมท้งั ศกึ ษาโจทย์ตัวอยา่ งการคานวณหา
การเปล่ยี นแปลงพลงั งานในโมเลกุลของสาร หรือศึกษาเพ่มิ เตมิ
จากหนังสือเรียน รายวิชาเพ่ิมเตมิ เคมี เล่ม 1 ของสสวท. หนา้
72-79.
6. ครูให้นกั เรียนซักถามและอธบิ ายเพ่ิมเตมิ ในสว่ นที่
นักเรียนยงั ไม่เขา้ ใจ
กิจกรรม 99
11. เม่ือนกั เรยี นทากิจกรรมเสรจ็ แลว้ ส่มุ ตวั แทนนักเรียน สื่อและแหลง่ เรียนรู้
2 กลุ่ม นาเสนอคาตอบทไี่ ด้เพื่อให้เพอื่ นๆ ในหอ้ งร่วมกนั แสดง
ความคดิ เห็นและซกั ถามข้อสงสยั โดยครูคอยให้คาแนะนาจนได้
ขอ้ สรุปท่ถี กู ต้อง
12. ตัวแทนนักเรยี นแต่ละกลมุ่ รบั ใบงานที่ 5 เรอ่ื ง ความ
ยาวพันธะและพลงั งานพนั ธะ นาไปแจกสมาชิกในกลุ่ม
13. นักเรียนทุกคนทาใบงานที่ 5 เรือ่ ง ความยาวพนั ธะ
และพลังงานพันธะ โดยครคู อยให้คาแนะนาและดูแลอยา่ งใกล้ชิด
14. นกั เรยี นทุกคนส่งใบงานที่ 5 เรอื่ ง ความยาวพนั ธะ
และพลังงานพนั ธะ
15. ครูตรวจใบงานท่ี 5 เร่ือง ความยาวพันธะและพลงั งาน
พันธะ
การประเมนิ ผล (Evaluate)
16. นักเรยี นทุกคนรับแบบทดสอบหลงั เรยี น เรอ่ื งความ
ยาวพนั ธะและพลงั งานพันธะ ซ่งึ เป็นข้อสอบปรนัยชนดิ เลือกตอบ
4 ตวั เลอื ก จานวน 5 ข้อ
17. นกั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น เรอื่ งความยาว
พันธะและพลังงานพนั ธะ
18. นกั เรียนทกุ คนส่งแบบทดสอบหลังเรียน เร่ืองความ
ยาวพันธะและพลังงานพนั ธะ
19. ครตู รวจแบบทดสอบหลังเรียน เรื่องความยาวพนั ธะ
และพลังงานพันธะ
20. นักเรียนแต่ละกลมุ่ สรุปเนือ้ หาและความรทู้ ีไ่ ดจ้ าก
การศกึ ษาโดยการเขียนแผนผงั มโนทัศน์ ลงในกระดาษทคี่ รแู จกให้
ถูกตอ้ ง แล้วส่งครใู นชวั่ โมงต่อไป
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นักเรยี นท่ียังเรียนไม่เขา้ ใจหรอื เรียนไมท่ ันเพ่ือนสามารถศกึ ษาได้จากแหลง่ เรียนรตู้ า่ ง ๆ
เชน่ หนังสอื คู่มือเคมใี นหอ้ งสมดุ หรอื ใน เว็ปไซต์ตา่ งๆ และใหเ้ พ่อื นชว่ ยแนะนานอกเวลาเรยี น
100
9. บนั ทึกผลหลังสอน
9.1 ผลการสอน
1) นกั เรียนมีความรคู้ วามเข้าใจ
ผลการตรวจแบบทดสอบ นักเรียนผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน คดิ เป็นรอ้ ยละ 67.46
ของนักเรียนทง้ั หมด
2) นักเรียนมีความสามารถดา้ นทักษะกระบวนการ
ผลการตรวจการสรุปเนือ้ หาและความรู้ทไ่ี ด้จากการศกึ ษา โดยการเขยี นแผนผงั
มโนทศั น์ เกยี่ วกบั กฎออกเตตความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะโคเวเลนต์ นกั เรยี นผา่ น
เกณฑ์การประเมนิ ระดับดีขนึ้ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ 71.50 ของนกั เรยี นทง้ั หมด
ผลการตรวจบัตรกจิ กรรมท่ี 3 นกั เรียนผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั ดขี ้ึนไป
คดิ เป็นรอ้ ยละ 68.18 ของนักเรียนทัง้ หมด
ผลการตรวจผลงานใบงานท่ี 5 นักเรียนผา่ นเกณฑ์การประเมินระดับดีขึ้นไป
คดิ เปน็ ร้อยละ 67.92 ของนกั เรยี นทั้งหมด
3) นกั เรยี นมีคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
นกั เรียนผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 ของนกั เรยี นทั้งหมด
9.2 ปัญหา/อปุ สรรค
นกั เรยี นบางส่วนใช้เวลาในการทาความเข้าใจเกย่ี วกบั ขนั้ ตอนการเปล่ียนแปลง
พลังงานเกินเวลาทก่ี าหนด
9.3 แนวทางปรับปรุงการเรยี นการสอนคร้งั ต่อไป
ควรกระตนุ้ เตอื นและเสรมิ แรงใหก้ าลงั ใจแกน่ กั เรยี น
ลงช่ือ........................................................ นางคณุ ากร คาสุข)
( ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ
101
10. ความคดิ เหน็ ของหัวหนา้ กลุ่มบริหารวิชาการ
เปน็ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ีครบองค์ประกอบ กจิ กรรมการเรยี นรเู้ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั สอื่
การเรยี นการสอน และการวัดผลประเมินผลสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรู้ เหน็ ควรอนุญาตให้ใช้
จัดการเรียนการสอนได้
ลงช่ือ……………………………………………………
(นางพรพิรุณ แจง้ ใจ)
หวั หนา้ กลุม่ บรหิ ารวชิ าการ
11. ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียน
อนญุ าตให้ใชจ้ ดั การเรยี นการสอนได้
ลงชื่อ……………………………………………………
(นางลดั ดา ผาพนั ธ์)
ผอู้ านวยการโรงเรียนโคกโพธไิ์ ชยศกึ ษา
วนั ที่ ....... เดือน...........................พ.ศ...........
102
ส่อื Power Point
เรื่องความยาวพันธะและพลงั งานพนั ธะ
103
ใบความรู้ท่ี 5
เร่อื งความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะ
ความยาวพันธะ
ความยาวพันธะ เป็นระยะห่างระหวา่ งนวิ เคลียสของธาตุ 2 อะตอมที่สร้างพันธะตอ่ กันเกิด
เปน็ โมเลกุล เชน่ การสร้างพนั ธะระหว่างอะตอมของ H กับ Cl เกดิ เปน็ โมเลกุลของ HCl
อะตอมทเ่ี หมอื นกันค่หู น่งึ ๆ สร้างพันธะชนิดเดียวกนั ในสารประกอบโค เวเลนต์ต่างชนดิ กนั
มีความยาวพันธะใกล้เคียงกนั เช่น ความยาวพนั ธะระหว่าง O – H ในโมเลกุลของ H2O
CH3OH HNO2
ตาราง 3.1 ความยาวพันธะระหว่าง O – H ในโมเลกุลของสารต่างชนิดกัน
สาร สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบเส้น ความยาวพนั ธะ O – H
น้า (pm)
เมทานอล H2O O 95.8
กรดไนตรสั CH3OH HH
HNO2 H 95.6
H–C–O–H
H 98.0
O=N–O–H
จากตาราง 3.1 จะเหน็ วา่ ความยาวพันธะระหว่าง O – H ในโมเลกุลสารตา่ งชนดิ กนั มคี า่
ต่างกันเลก็ นอ้ ย และมีคา่ ต่างจากข้อมูลทีไ่ ด้จากการสบื ค้น (96 pm) เนอ่ื งจากขอ้ มูลทไ่ี ด้จาก
การสืบคน้ ทปี่ รากฏในตารางเปน็ ความยาวพนั ธะเฉลีย่ ซึง่ เปน็ ค่าเฉลีย่ ของความยาวพนั ธะชนิด
เดยี วกนั ในโมเลกลุ ตา่ ง ๆ ดังแสดงในตาราง 3.2
104
ตาราง 3.2 ความยาวพนั ธะเฉลย่ี ในหน่วยพโิ กเมตร (pm)
พลังงานพนั ธะ
พลงั งานพนั ธะ เป็นค่าพลงั งานทใ่ี ชแ้ ยกอะตอมท่ียึดเหนีย่ วกนั ด้วยพนั ธะโคเวเลนตอ์ อกจากกนั
ในสถานะแก๊ส หรอื เปน็ ค่าพลงั งานทีค่ ายออกมาเม่อื มกี ารสรา้ งพันธะโคเวเลนต์ของธาตคุ ่รู ว่ มพันธะ
ในสภาวะแก๊ส พลังงานพนั ธะข้นึ อยกู่ บั ความแข็งแรงของพนั ธะ พนั ธะที่แขง็ แรงมากจะมแี รงยดึ
เหนีย่ วระหวา่ งอะตอมสงู จะมีพลงั งานพนั ธะมากดว้ ย
พลงั งานที่ใช้สลายพนั ธะแต่ละพันธะในโมเลกุลไม่เท่ากันแมจ้ ะเปน็ พันธะระหว่างอะตอมชนิด
เดียวกัน เชน่ การสลายพันธะในโมเลกุลของแกส๊ มเี ทน (CH4) ต้องสลายพันธะ C – H จานวน
4 พนั ธะ ใชพ้ ลงั งานในการสลายพนั ธะ C – H แต่ละพันธะ ดังน้ี
CH4(g) + 435 KJ/mol CH3(g) + H(g)
CH3(g) + 453 KJ/mol CH2(g) + H(g)
CH2(g) + 425 KJ/mol CH (g) + H(g)
CH(g) + 339 KJ/mol C(g) + H(g)
105
การสลายพนั ธะ C – H แตล่ ะพนั ธะ ใช้พลังงานไม่เท่ากัน ผลรวมของพลังงานที่ใชส้ ลาย
พันธะC – H ทั้ง 4 พนั ธะเท่ากบั 1652KJ/mol มีค่าเฉล่ียเทา่ กบั 413KJ/mol พลังงานที่
ปรากฏในตารางข้อมลู พลังงานพนั ธะ เป็นขอ้ มูลพลังงานพันธะเฉลีย่ ซ่งึ เปน็ คา่ เฉลี่ยของพันธะชนิด
เดยี วกนั ในโมเลกลุ สารต่าง ๆ ดังตาราง 3.3
ตาราง 3.3 ค่าพลงั งานพันธะเฉลีย่ (pm)
ความสัมพันธร์ ะหว่างความยาวพันธะกบั พลังงานพันธะ
1. ค่าความยาวพันธะของอะตอมของธาตคุ ู่เดยี วกัน พันธะเดย่ี ว > พันธะคู่ > พนั ธะสาม
2. คา่ พลงั งานพนั ธะของอะตอมของธาตคุ ่เู ดียวกนั พนั ธะสาม > พันธะคู่ > พันธะเดย่ี ว
3. พันธะระหวา่ งอะตอมคู่ต่างชนิดกนั ไม่สามารถเปรียบเทยี บกันได้
106
พลังงานของปฏกิ ริ ิยา
พลงั งานของปฏกิ ิรยิ า เปน็ พลงั งานทเี่ ปลยี่ นแปลงในระบบเมอื่ เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีของสารประกอบ
โคเวเลนต์ ซง่ึ สารประกอบโคเวเลนตเ์ ป็นโมเลกลุ ท่มี แี รงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งอะตอมในโมเลกุล ดังน้นั
การสลายพนั ธะระหว่างอะตอมในโมเลกุล ระบบจะดูดพลงั งานจากส่งิ แวดล้อม แตถ่ ้าอะตอมสรา้ ง
พันธะร่วมกนั เป็นโมเลกุล ระบบจะคายพลังงานให้กับสงิ่ แวดล้อม ดงั ตวั อย่าง
ตัวอย่างที่ 1 H2O(g) + 926 KJ/mol 2H(g) + O(g)
การเปลย่ี นแปลงนด้ี ูดพลงั งานเขา้ ไปเพ่อื สลายพันธะ H – O
H2Oมพี นั ธะ H – O = 2พนั ธะ
พลงั งานพนั ธะของ H – O = 463KJ/mol
พลังงานท่ีดดู เข้าไป = 2 463KJ/mol
= +926 KJ/mol
ตวั อยา่ งที่ 2 C(g) + 4Cl(g) CCl4(g) + 1308 KJ/mol
การเปล่ยี นแปลงนี้คายพลงั งานเพ่อื สร้างพันธะเคมีระหวา่ ง C – Cl
CCl4มพี นั ธะ C – Cl = 4พันธะ
พลังงานพนั ธะของ C – Cl = 327KJ/mol
พลังงานทค่ี ายออกมา = 4 327KJ/mol
= -1308 KJ/mol
ตวั อย่างท่ี 3 N2(g) + 3H2(g) 2NH3(g)
การเปลี่ยนแปลงนีจ้ ะทราบว่าดดู หรอื คายพลงั งาน ตอ้ งคานวณหาพลังงานที่ดดู เขา้ ไป
สลายพนั ธะในโมเลกุล และพลงั งานที่คายออกเพ่ือสรา้ งพนั ธะใหม่ การเปลีย่ นแปลงใดมากกว่าให้
ระบบเปน็ ไปตามนั้น
N2(g) + 3H2(g) 2NH3(g)
N N 3(H – H ) 2(H – N – H )
H
925 + 3 436 2 3 391
+ 2253 (ดดู พลงั งาน) -2346 (คายพลังงาน)
การเปลี่ยนแปลงน้คี ายพลังงาน = -2346 + 2253 KJ/mol
= - 93KJ/mol
107
บตั รกจิ กรรมที่ 3
เร่อื งความยาวพนั ธะและพลงั งานพันธะ
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนแต่ละกล่มุ ปฏิบัติ ดงั น้ี
1. อา่ นวิธีทากจิ กรรมให้เข้าใจ
2. ทากจิ กรรมและบันทกึ ผล
จดุ ประสงค์ของกจิ กรรม สามารถแก้ปัญหาในการคานวณหาค่าพลังงานพันธะและความยาวพนั ธะได้
คาสั่ง 1. ให้นักเรียนเขียนโครงสร้างแบบเส้นแสดงการเกิดพนั ธะของสารดงั ต่อไปน้ี
สูตรโมเลกลุ โครงสร้างแบบเสน้
CS2
CH3OH
H2O
N2H4
NH3
คาส่งั 2. ใหน้ ักเรยี นพิจารณาการเปล่ียนแปลงต่อไปนวี้ ่าเป็นประเภทดดู พลงั งานหรือคายพลังงาน
ก. P (g) + 3H (g) PH3 (g) …………………………………….
ข. CI4 (g) C (g) + 4I (g) …………………………………….
ค. Cl (g) + e-Cl- (g) …………………………………….
ง. Na (g) Na+ (g) + e- …………………………………….
คาส่งั 3. ใหน้ ักเรยี นคานวณหาพลงั งานพันธะ
กาหนดให้ H – H = 436 F – F = 159 H – F = 567
C – H = 413 C = C = 614 C C = 839
Cl – Cl = 243 C – Cl = 327 H – Cl = 431
C – C = 348 Br – Br = 192 C – Br = 285
H – Br = 366 O = O = 498 C = O = 804
O – H = 463
จงหาคา่ พลงั งานในการเกิดคารบ์ อนเตตระคลอไรด์ CCl4 จากปฏิกริ ิยา
C (แกร์ไฟต)์ + 2Cl2 (g) CCl4 (g) กาหนดใหพ้ ลงั งานการระเหดิ แกรไฟตเ์ ป็นไอ = 717 kJ/mol
108
แบบบันทกึ ตอบคาถามจากกจิ กรรม
1. เขียนโครงสร้างแบบเสน้ แสดงการเกดิ พนั ธะของสารดงั ต่อไปนี้
สตู รโมเลกลุ โครงสรา้ งแบบเสน้
CS2
CH3OH
H2O
N2H4
NH3
2. จงพิจารณาการเปลยี่ นแปลงต่อไปนี้ว่าเป็นประเภทดดู พลงั งานหรือคายพลังงาน
ก. P (g) + 3H (g) PH3 (g) …………………………………….
ข. CI4 (g) C (g) + 4I (g) …………………………………….
ค. Cl (g) + e-Cl- (g) …………………………………….
ง. Na (g) Na+ (g) + e- …………………………………….
3. คานวณหาพลงั งานพนั ธะ
กาหนดให้ H – H = 436 F – F = 159 H – F = 567
C – H = 413 C = C = 614 C C = 839
Cl – Cl = 243 C – Cl = 327 H – Cl = 431
C – C = 348 Br – Br = 192 C – Br = 285
H – Br = 366 O = O = 498 C = O = 804
O – H = 463
จงหาคา่ พลังงานในการเกดิ คารบ์ อนเตตระคลอไรด์ CCl4 จากปฏกิ ริ ิยา
C (แกร์ไฟต)์ + 2Cl2 (g) CCl4 (g) กาหนดใหพ้ ลังงานการระเหดิ แกรไฟต์เปน็ ไอ = 717
kJ/mol
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
109
ใบงานท่ี 5
เร่ืองกฎออกเตตความยาวพนั ธะและพลังงานพันธะ
ตอนท่ี 1 อธบิ ายกฎออกเตตความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะ
คาชี้แจง ให้นกั เรียนเตมิ คาตอบลงในชอ่ งว่างให้ถูกต้อง
1. กฎออกเตต หมายถงึ .............................................................................................................
..................................................................................................................................................
2. ขอ้ ยกเวน้ ของกฎออกเตต ไดแ้ ก่ ...........................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
3. ความยาวพนั ธะ หมายถึง.......................................................................................................
..................................................................................................................................................
4. พลังงานพนั ธะ หมายถึง........................................................................................................
...................................................................................................................................................
5. บอกความสัมพันธร์ ะหว่างความยาวพันธะกับพลังงานพนั ธะ ไดแ้ ก่.......................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
ตอนที่ 2 เปรียบเทียบความยาวและพลงั งานพันธะ
คาชี้แจง ให้เขยี นสญั ลกั ษณ์ มากกว่า > หรอื นอ้ ยกว่า < ลงในช่องว่าง
1. เปรียบเทียบความยาวพนั ธะ ดงั น้ี
พนั ธะเดย่ี ว พันธะคู่ พนั ธะสาม
2. เปรียบเทียบพนั ธะ ดงั นี้ พันธะคู่ พนั ธะสาม
พันธะเดยี่ ว
3. เปรียบเทียบความยาวพนั ธะระหวา่ งอัตอมคาร์บอน
C2H2 C2H4 C2H6
4. เปรียบเทียบพลงั งานพนั ธะระหวา่ งอัตอมคาร์บอน
C2H2 C2H4 C2H6
แบบทดสอบ
เรอ่ื ง ความยาวพนั ธะและพลังงานพันธะ
110
คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นทาเครอื่ งหมาย ( ) ทับอักษร ก ข ค ง ขอ้ ใดขอ้ หน่ึงที่เหน็ ว่าถูกตอ้ งท่ีสดุ
เพียงขอ้ เดียว ลงในกระดาษคาตอบ
1. การท่ีอะตอมพยายามปรบั ตัวเองให้อย่ใู นสภาพเสถียรโดยทาให้อิเล็กตรอนวงนอกสดุ เทา่ กบั 8
เราเรยี กกฎนีว้ ่าอะไร
ก. กฎออกซเิ ดช่นั ข. กฎออกเตต
ค. กฎโคเวเลนต์ ง. กฎไอออนิก
2. พลังงานท่ใี ชก้ ารสลายพนั ธะในโมเลกลุ สภาวะแก๊สปริมาณ 1 โมล เทา่ กนั ของสารใดมากท่ีสุด
ก. C4H6 ข. C4H8
ค. C4H10 ง. C3H4
3. การสลายพนั ธะระหวา่ งอะตอมใดในโมเลกลุ CH3COCl ใชพ้ ลงั งานมากทีส่ ุด
ก. C กบั H ข. C กับ C
ค. C กบั Cl ง. C กับ O
4. ตารางแสดงคา่ พลังงานพันธะเฉลย่ี ในสารไฮโดรคาร์บอน
ชนดิ พันธะ พลงั งานพันธะ
C-H 413
C-C 348
การสลายพนั ธะโพรเพน (C3H8) 0.5 โมล จะต้องใชพ้ ลงั งานมากกว่าหรือน้อยกวา่ การสลาย
พันธะอเี ทน (C2H6) 0.5 โมล เท่าไร
ก. มากกว่า 587 kJ ข. น้อยกว่า 283 kJ
ค. มากกว่า 526 kJ ง. น้อยกว่า 278 kJ
5. จงพิจารณาขอ้ ความตอ่ ไปนี้
111
1. ความยาวพันธะระหว่าง S กับ O ใน SO2 และใน SO3 จะเทา่ กัน เพราะต่างเป็นสารท่ี
เกดิ เรโซแนนซเ์ หมอื นกนั
2. พันธะโคเวเลนตเ์ ปน็ พันธะทมี่ ีใช้เวเลนต์อเิ ล็กตรอนร่วมกันระหวา่ งอะตอม โดยไมค่ านงึ ว่า
อิเลก็ ตรอนค่รู ่วมพนั ธะนน้ั มาจากอะตอมใด
3. รอบอะตอม Xe ใน XeF4 จะมีเวเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอนท้งั หมด 12 อเิ ลก็ ตรอน
4. สารโคเวเลนตอ์ าจเป็นธาตุ หรือสารประกอบก็ได้
ข้อใดตอ่ ไปนี้กลา่ วถูกตอ้ ง
ก. 1, 3 ข. 2, 4
ค. 2, 3 และ 4 ง. 1, 2, 3 และ 4
112
เฉลยบัตรกิจกรรมท่ี 3
เรือ่ งความยาวพนั ธะและพลังงานพันธะ
1. เขยี นโครงสร้างแบบเส้นแสดงการเกดิ พันธะของสารดังตอ่ ไปนี้
สูตรโมเลกุล โครงสรา้ งแบบเส้น
CS2
S CS
CH3OH H
HCOH
H2O H
N2H4
HOH
NH3
HN N H
HH
HN H
H
2. จงพจิ ารณาการเปลยี่ นแปลงตอ่ ไปน้ีวา่ เป็นประเภทดูดพลังงานหรอื คายพลังงาน
ก. คายพลังงาน
ข. ดดู พลงั งาน
ค. คายพลังงาน
ง. ดดู พลงั งาน
3. คานวณหาพลังงานพนั ธะ
สูตร (สารตั ้ งต้ น) - (สารผลิ ตภั ณฑ)์
= [ H(แกรไฟต์) + 2D (Cl -Cl) ] - [4D(C - C)]
แทนคา่ H = [ 717 + 2(242)] - [ 4 (339)]
= 1201 - 1356 = -155 kJ/mol
เฉลยใบงานที่ 5
เร่อื งกฎออกเตตความยาวพันธะและพลังงานพันธะ
113
ตอนที่ 1 อธิบายกฎออกเตตความยาวพันธะและพลังงานพันธะ
ตาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาตอบลงในชอ่ งว่างใหถ้ ูกต้อง
1. กฎออกเตต หมายถึง อะตอมของธาตเุ ฉื่อยพบว่าธาตุเฉือ่ ยมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนวงนอกสดุ
เหมือนกนั คือ มี 8 เวเลนตอ์ เิ ล็กตรอน
2. ขอ้ ยกเว้นของกฎออกเตต ได้แก่ ธาตทุ ี่มีเวเลนต์อเิ ลก็ ตรอนนอ้ ยกว่า 4 เชน่ เบรลิ เลียม และ
โบรอน, ธาตุท่ีมเี วเลนต์อเิ ล็กตรอนมากกว่า 4 และอยใู่ นคาบท่ี 3 ข้ึนไป เชน่ ฟอสฟอรสั เพนตะ-คลอ
ไรด์ (PCl5)
3. ความยาวพนั ธะ หมายถึง ระยะหา่ งระหวา่ งนวิ เคลียสของธาตุ 2 อะตอมทส่ี ร้างพนั ธะตอ่ กันเกิด
เป็นโมเลกุล เชน่ การสรา้ งพันธะระหวา่ งอะตอมของ H กบั Cl เกดิ เปน็ โมเลกลุ ของ HCl
4. พลังงานพันธะ หมายถงึ ค่าพลังงานที่ใช้แยกอะตอมที่ยึดเหน่ยี วกนั ดว้ ยพนั ธะโคเวเลนต์ออกจาก
กันในสถานะแกส๊ หรือเป็นค่าพลังงานทคี่ ายออกมาเมื่อมีการสร้างพนั ธะโคเวเลนตข์ องธาตุคู่ร่วม
พันธะในสภาวะแกส๊
5. บอกความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความยาวพนั ธะกับพลังงานพันธะ ได้แก่
1. คา่ ความยาวพนั ธะของอะตอมของธาตุคู่เดยี วกัน พันธะเด่ยี ว > พันธะคู่ > พนั ธะสาม
2. ค่าพลงั งานพันธะของอะตอมของธาตุค่เู ดยี วกนั พนั ธะสาม > พันธะคู่ > พันธะเดยี่ ว
3. พนั ธะระหว่างอะตอมคูต่ า่ งชนดิ กันไม่สามารถเปรียบเทียบกนั ได้
ตอนท่ี 2 เปรยี บเทียบความยาวและพลงั งานพันธะ
คาช้ีแจง ให้เขียนสญั ลักษณ์ มากกวา่ > หรือนอ้ ยกวา่ < ลงในช่องวา่ ง
1. เปรยี บเทียบความยาวพนั ธะ ดงั นี้
พันธะเดี่ยว > พันธะคู่ > พนั ธะสาม
พนั ธะสาม
2. เปรยี บเทยี บพันธะ ดังนี้
พันธะเด่ียว < พันธะคู่ <
3. เปรียบเทยี บความยาวพันธะระหวา่ งอะตอมคารบ์ อน
C2H2 < C2H4 < C2H6
4. เปรียบเทยี บพลงั งานพันธะระหวา่ งอะตอมคารบ์ อน
C2H2 > C2H4 > C2H6
เฉลยแบบทดสอบ
เร่ืองกฎออกเตด ความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะ
114
1. ข
2. ค
3. ง
4. ก
5. ข
ตรวจคาตอบกับเฉลย
ถูกทั้งหมดก่ขี ้อค่ะ ปรบมือ
ให้คนเก่งหนอ่ ยนะคะ
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 4
115
เรื่อง รูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4
รายวชิ า ว31221 เคมี 1 ภาคเรียนท่ี 2
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 พนั ธะเคมี
ชวั่ โมงที่ 1 สอนวนั เวลา 2 ชัว่ โมง
ช่ัวโมงท่ี 2 สอนวัน
1. สาระสาคญั
รปู รา่ งของโมเลกุลโคเวเลนต์ เป็นการจดั เรียงตัวของอะตอมของธาตอุ งค์ประกอบแต่ละตัว
ซึง่ ขนึ้ อยู่กบั จานวนพันธะและจานวนอิเล็กตรอนคโู่ ดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง
2. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมบตั
ของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนภุ าค หลกั และธรรมชาติ ของการเปลย่ี นแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
ตัวชี้วัด
ว 3.1ม.4-6/4 วิเคราะห์และอธบิ ายการเกดิ พันธะเคมีในโครงผลกึ และในโมเลกุลของสาร
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 จุดประสงค์ดา้ นความรู้ (K)
3.1.1 บอกรูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ เมอื่ ทราบจานวนอิเล็กตรอนคู่รว่ มพันธะและ
อิเลก็ ตรอนคโู่ ดดเดี่ยวได้
3.1.2 อธบิ ายและสรุปเกยี่ วกบั การเกดิ มมุ พนั ธะในโมเลกลุ โคเวเลนตไ์ ด้
3.2 จุดประสงคด์ ้านทักษะ/กระบวนการ (P)
ทาการทดลองเพ่ือศึกษาการเปรียบเทยี บการจดั ตวั ของลกู โปง่ กับทศิ ทางของพันธะโคเวเลนตไ์ ด้
3.3 คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
3.3.1 ซอ่ื สตั ย์สจุ รติ
3.3.2 มวี นิ ยั
3.3.3 ใฝเ่ รยี นรู้
3.3.4 มุง่ มั่นในการทางาน
4. สาระการเรยี นรู้
116
โมเลกุลโคเวเลนต์ เปน็ การจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนในโมเลกลุ ซงึ่ อะตอมของสารประกอบ
โคเวเลนต์มตี าแหน่งท่ีแนน่ อน สามารถวัดค่าความยาวพนั ธะและมุมระหว่างพนั ธะไทด้าให้โมเลกุลมี
ลกั ษณะเป็นรปู ทรงเรขาคณิต ปัจจยั ท่มี ผี ลต่อรปู รา่ งของโมเลกุลโคเวเลนต์ ได้แก่ จานวนพันธะที่
อะตอมกลางสรา้ ง และจานวนอเิ ล็กตรอนคโู่ ดดเด่ียวของอะตอมกลาง ดงั น้ี
1. รูปรา่ งของโมเลกลุ โคเวเลนตท์ ี่อะตอมกลางไมม่ อี เิ ล็กตรอนคู่โดดเดยี่ ว ไดแ้ ก่ รปู ร่างแบบ
เสน้ ตรง, รปู รา่ งแบบสามเหลย่ี มแบนราบ, รปู รา่ งแบบทรงส่ีหนา้ , รูปรา่ งแบบพีระมิดคฐู่ านสามเหล่ยี ม
และรปู รา่ งแบบทรงแปดหน้า
2. รูปร่างของโมเลกลุ โคเวเลนต์ท่ีอะตอมกลางมีอิเล็กตรอนค่โู ดดเดีย่ วไดแ้ ก่ รูปร่างแบบมุมงอ,
รูปรา่ งแบบพรี ะมดิ ฐานสามเหลยี่ ,มรูปร่างแบบรปู ตัวท,ี รปู รา่ งแบบเส้นตรง และรูปรา่ งส่ีเหลย่ี มแบนราบ
การเกดิ มมุ พันธะในโมเลกุลโเควเลนตม์ ุมระหว่างพันธะเกิดจากแรงผลักของอเิ ล็กตรอนคูร่ ว่ ม
พันธะหรอื อิเล็กตรอนคู่โดดเดย่ี วดว้ ยกนั หรอื อิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดยี่ วกบั อิเลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะมีผลทใาห้
อะตอมมที ศิ ทางไปตามแรงผลกั จะทาให้ขนาดของมุมมีค่าตา่ งกนั
5. ชน้ิ งาน/ภาระงาน
5.1 สรุปเนอ้ื หาเรือ่ งรปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
5.2 ทากิจกรรมท่ี 4 เรือ่ งการจดั ตวั ของลกู โป่งกบั รูปร่างโมเลกุล
5.3 ทางานจากใบงานท่ี 6 เรือ่ งรูปร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์
6. การประเมินผล
6.1 ความรู้
ภาระ/ช้นิ งาน วธิ ีการวดั เครอ่ื งมือ เกณฑท์ ใี่ ช้ ระดับ เกณฑ์
ประเมิน คุณภาพ การผา่ น
-เข้าใจเนื้อหา การทดสอบ ดีมาก ถกู ต้ังแต่ 3
แบบทดสอบ ตอบถูก 4-5 ขอ้ ขอ้ ขึ้นไป
เก่ียวกบั รูปร่าง ตอบถูก 2-3 ขอ้ ดี หรอื ร้อยละ
ตอบถกู 0-1 ขอ้ พอใช้ 70 ขึ้นไป
โมเลกลุ โคเวเลนต์ได้
3.2 ทักษะ/กระบวนการ/ทักษะการคิด
117
ภาระ/ชน้ิ งาน วิธีการวดั เครือ่ งมือ เกณฑท์ ใี่ ช้ ผปู้ ระเมนิ
ประเมิน
1. สรปุ เนอื้ หาเป็น -สงั เกตพฤติกรรม -แบบประเมิน ผา่ นระดบั ดขี ้ึนไป เพอื่ น
แผนผงั มโนทศั น์ การทากิจกรรม การปฏิบตั งิ าน ครู
เกยี่ วกับรปู รา่ งโมเลกุล ทดลองของกลุม่ กลมุ่
โคเวเลนต์ได้
2. ทากจิ กรรมท่ี 4 -สังเกตพฤติกรรม -แบบประเมนิ ผ่านระดบั ดีขึ้นไป เพื่อน
เร่อื งการจดั ตัวของ การทากิจกรรม การปฏิบตั ิงาน ครู
ลูกโปง่ กบั รูปรา่ งโมเลกุล ทดลองของกลุม่ กลุม่
3. ทางานจากใบงาน -การตรวจผลงาน -แบบตรวจ ผา่ นระดับดขี ึน้ ไป เพอื่ น
ครู
ท่ี 6 เรอ่ื งรูปรา่ งโมเลกลุ ผลงาน
โคเวเลนต์
6.3 คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ภาระ/ชิน้ งาน วิธีการวัด เคร่อื งมือ เกณฑท์ ใ่ี ช้ ผู้ประเมนิ
ประเมนิ ครู
-ซื่อสัตย์สุจริต -สังเกตพฤติกรรมความ -แบบประเมนิ ผ่านระดบั ดีขึ้น
- มีวนิ ัย ซื่อสัตย์ มวี นิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ คณุ ลกั ษณะ ไป
-ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ มนั่ ในการทางาน อนั พงึ ประสงค์
-มุง่ มน่ั ในการทางาน
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
118
กจิ กรรม สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้
ชัว่ โมงที่ 1
ขั้นสร้างความสนใจ (Engage) ส่อื การเรยี นรู้
1. นักเรยี นและครูรว่ มกันสนทนาเกยี่ วกับโครงสรา้ ง 1. แบบทดสอบเร่อื งรปู รา่ ง
โมเลกลุ โคเวเลนต์ จากการยกตวั อยา่ งโมเลกุล BeCl2 (เส้นตรง) โมเลกุลโคเวเลนต์
CCl4 (ทรงสี่หนา้ ) BF3(สามเหลยี่ มแบนราบ) CO2(เสน้ ตรง) 2. ใบความรู้ท่ี 6 เรื่องรูปร่าง
NH3(สามเหล่ียมแบนราบ) PCl5 () แล้วใหน้ ักเรียนเขียนสูตร โมเลกลุ โคเวเลนต์
โครงสรา้ งแบบเสน้ ของโมเลกลุ 3. บัตรกิจกรรมที่ 4 เรื่องการจดั
2. นักเรยี นช่วยกันระดมความคิด เพือ่ หาคาตอบจาก ตัวของลกู โปง่ กบั รปู รา่ งโมเลกุล
คาถามตอ่ ไปน้ี 4. หนังสอื เรยี น รายวชิ าเพิ่มเติม
- ทาไมสารประกอบมีโครงสร้างแตกต่างกัน เคมี เล่ม 1 ของสสวท.
- ทาไมสารประกอบมโี ครงสร้างดงั ทนี่ กั เรียนเขียน หนา้ 82-89
การสารวจและค้นหา (Explore) 5. ใบงานท่ี 6 เรอ่ื งรูปร่าง
3. แบ่งนกั เรียนออกเปน็ กล่มุ ๆ ละ 6 – 7 คน โดยคละเพศ โมเลกลุ โคเวเลนต์
คละผลการเรยี นเก่ง ปานกลาง อ่อน แล้วเลือกประธานกลมุ่
กรรมการ และเลขานกุ ารกล่มุ หรือเปน็ กลมุ่ เดมิ ทแ่ี บ่งกลุ่มจาก
ชั่วโมงเรยี นท่ผี า่ นมา
4. นาแบบจาลองรปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ (รปู รา่ ง 3 มติ ิ)
ของสารประกอบ BeCl2, H2O, CO2, CH4, NH3 แลว้ ใหน้ กั เรียน
ชว่ ยกันระดมความคดิ เพอื่ หาคาตอบวา่ “อะตอมแต่ละอะตอมมี
การจัดเรียงตัวในโมเลกุลอย่างไร” ( BeCl2 รปู รา่ ง เสน้ ตรง, H2O
รูปร่าง มุมงอ, CO2 รปู รา่ ง เส้นตรง, CH4 รูปร่าง ทรงสี่หนา้ , NH3
รปู รา่ ง สามเหลีย่ มแบนราบ )
5. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ รบั บตั รกิจกรรมท่ี 4 เรอื่ งการจัดตัว
ของลูกโป่งกบั รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ และทากิจกรรมการ
ทดลอง ครใู ห้คาแนะนานักเรยี นก่อนทาการทดลอง ดงั ตอ่ ไปนี้
- นักเรยี นต้องเปา่ ลกู โปง่ ใหม้ ขี นาดเทา่ กนั และพนั ข้ัว
ของลกู โปง่ เขา้ ด้วยกัน โดยไมต่ อ้ งใชย้ างหรอื เชือกรดั จนเกิดปม
ทีข่ ้ัวของลกู โปง่ เพราะอาจทาให้ทิศทางของลูกโป่งคลาดเคล่อื น
กิจกรรม ส่อื และแหล่งเรียนรู้
119
- แนะนาใหน้ กั เรียนรู้จกั รูปทรงเรขาคณติ แบบต่าง ๆ แหลง่ เรียนรู้
เชน่ ทรงสีห่ นา้ พรี ะมิดฐานสามเหลี่ยม พรี ะมดิ คู่ฐานสามเหล่ยี ม 1. หอ้ งสมุดโรงเรียน
และทรงแปดหน้า และแนะนาให้นกั เรยี นศึกษาขอ้ มลู เพม่ิ เตใิ นใบ 2. หอ้ งอนิ เตอรเ์ น็ตโรงเรียน
ความรู้ ที่ 7 เรอ่ื งรูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ 3. หอ้ งปฏบิ ัติการกลมุ่ สาระ
6. นักเรยี นแต่ละกลุม่ ออกมารบั ใบความรู้ท่ี 6 เร่อื งรปู รา่ ง วทิ ยาศาสตร์
โมเลกุลโคเวเลนต์ ไปแจกสมาชิกทกุ คนในกลุ่มเพอ่ื ศึกษาและสรุป 4. จากเว็บไซน์
เนอ้ื หาเกี่ยวกบั รปู รา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ หรอื ศึกษาเพิ่มเติมจาก www.google.com
หนงั สอื เรยี น รายวิชาเพ่มิ เติมเคมี เล่ม 1 ของสสวท. หน้า 82-89 5. หนงั สือเตรียมสอบ
การอธิบายและลงข้อสรุป (Explain) O-Net และ A-Net
7. เมื่อนักเรียนทากิจกรรมการทดลอง เรอื่ งการจัดตัวของ
ลกู โป่งกบั รูปร่างโมเลกลุ เรยี บร้อยแลว้ ตัวแทนนักเรียนกลมุ่ คู่
คือกลุม่ 2,4 และ 6 ออกมานาเสนอผลงานทีไ่ ด้ เพื่อใหเ้ พ่อื น ๆ
ในห้องร่วมกนั อภปิ ราย ซกั ถาม แสดงความคิดเหน็ และ
ตรวจสอบความเข้าใจเพือ่ นาไปสกู่ ารสรุปทีถ่ ูกตอ้ งตรงกนั ของ
นกั เรียน โดยครู กระตุ้นด้วยคาถามดังตวั อย่างต่อไปน้ี
- เมื่อนาลกู โปง่ มาผูกรวมกัน ลูกโปง่ มกี ารจัดเรยี ง
ตวั อยา่ งไร (ลูกโป่งจะผลักกัน)
- ถา้ ใหข้ ัว้ ของลูกโปง่ ท่ีพนั ตดิ กนั แทนอะตอมกลางและตวั
ลกู โป่งแทนอิเลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะ อะตอมท่ีรว่ มพนั ธะจะอยู่
ตาแหนง่ ใด (สว่ นปลายของลูกโปง่ )
- กรณลี กู โป่ง 2 ลูก พันขั้วตดิ กันเปรยี บได้กับการจัดตัว
ของอะตอมในโมเลกุลอยา่ งไร (อิเลก็ ตรอนคูร่ ่วมพันธะ 2 คู่จะ
ผลกั กันมากทศิ ทางการจดั เรยี งตัวเปน็ เส้นตรง อเิ ล็กตรอนคูร่ ่วม
พนั ธะ 2 คู่ ทามมุ 180 องศา เช่น BeCl2 )
- กรณลี ูกโป่ง 3 ลกู พนั ขวั้ ติดกนั เปรยี บได้กบั การจัดตวั
ของอะตอมในโมเลกุลอยา่ งไร (อิเลก็ ตรอนค่รู ่วมพันธะ 3 คจู่ ะ
ผลกั กันมากจนอเิ ลก็ ตรอนคู่รว่ มพันธะ 3 คู่ ทามมุ 120 องศา
มีรูปร่างเปน็ สามเหลย่ี มแบนราบ เชน่ BF3 )
กจิ กรรม ส่อื และแหล่งเรียนรู้
- กรณีลกู โป่ง 4 ลูก พนั ขวั้ ตดิ กนั เปรยี บไดก้ ับการจดั ตวั 120
ของอะตอมในโมเลกุลอยา่ งไร (อเิ ลก็ ตรอนคู่รว่ มพันธะ 4 คู่ จะ สอ่ื และแหลง่ เรยี นรู้
ผลักกันมากจนอิเลก็ ตรอนคู่รว่ มพันธะ 4 คู่ ทามุม 109.5 องศา
มรี ปู ร่างเป็นทรงสหี่ นา้ เช่น CH4 )
- กรณีลูกโปง่ 5 ลกู พันข้ัวติดกนั เปรียบได้กับการจดั ตวั
ของอะตอมในโมเลกลุ อย่างไร (อเิ ล็กตรอนคูร่ ่วมพนั ธะ 5 คจู่ ะ
ผลกั กนั ทามุม 90 องศา ในแกนตงั้ และ 120 องศา ในแกน
นอนมีรูปรา่ งเป็นพีระมิดค่ฐู านสามเหลี่ยม เช่น PCl5 )
8. นกั เรยี นและครูรว่ มกันอภปิ รายเพื่อให้ได้ขอ้ สรุปเก่ียวกับ
รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ ซง่ึ ควรไดข้ ้อสรุปวา่ “รปู ร่างโมเลกุล
โคเวเลนต์ จะมรี ูปรา่ งแบบใดขนึ้ อยู่กับจานวนอเิ ล็กตรอนคู่รว่ ม
พันธะและจานวนอิเลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ียวที่ลอ้ มรอบอะตอมกลาง”
ช่ัวโมงที่ 2
การขยายความรู้ (Elaborate)
9. ครนู าแบบจาลองพนั ธะโมเลกลุ ท่ีมีรปู รา่ ง 3 มิติ ให้
นกั เรียนร่วมกันสงั เกตแบบจาลองรปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนตแ์ ต่ละ
แบบ แล้วตอบคาถาม ดงั ต่อไปน้ี
- H2O มีรูปรา่ งโมเลกลุ เหมือน BeCl2 หรอื ไม่ (ไม่
เหมือน)
- อิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดยี่ วมแี รงผลกั หรือไม่ อยา่ งไร (มีแรง
ผลกั โดยแรงผลักระหวา่ งอเิ ล็กตรอนค่โู ดดเดย่ี วด้วยกนั จะมแี รง
ผลกั มากทสี่ ดุ รองลงมาคือ แรงผลักระหวา่ งอเิ ลก็ ตรอนคู่โดด
เดี่ยวกับอเิ ล็กตรอนคูร่ ว่ มพันธะและแรงผลักระหว่างอเิ ล็กตรอนคู่
ร่วมพนั ธะด้วยกัน ตามลาดับ)
10. ครูอธิบาย ใหค้ วามรู้เพมิ่ เติมเกี่ยวกบั รปู ร่างโมเลกลุ โคเว
เลนต์ทีม่ อี เิ ล็กตรอนคโู่ ดดเด่ียวรอบอะตอมกลาง พร้อม
ยกตวั อยา่ งประกอบ
11. นกั เรียนแต่ละกลุ่มฝึกเขยี นโครงสรา้ งโมเลกุลและเขียน
สูตรโมเลกุลโคเวเลนตต์ ามท่ีครกู าหนดบนกระดาน
กจิ กรรม
121
12. นกั เรียนและครูรว่ มกันอภปิ ราย แสดงความคิดเหน็
ถึงสตู รโครงสรา้ งที่ได้ และเปดิ โอกาสให้นักเรยี นซกั ถามจนเกดิ
ความเข้าใจ
การประเมินผล (Evaluate)
13. นักเรยี นแตล่ ะคนรับใบงานท่ี 6 เรื่องรูปรา่ งโมเลกลุ
โคเวเลนต์
14. นกั เรียนทางานจากใบงานที่ 6 เร่ืองรูปร่างโมเลกุล
โคเวเลนต์ โดยครสู งั เกตพฤตกิ รรมอย่างใกลช้ ดิ
15. ครูตรวจใบงานที่ 6 เรอ่ื งรูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์
16. นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียนเรอ่ื งรูปร่างโมเลกุล
โคเวเลนต์ ซ่ึงเปน็ ขอ้ สอบปรนัยชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลือก
จานวน 5 ข้อ
17. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มเขยี นสรปุ เนื้อหาและความรู้เร่ือง
รูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ โดยการเขียนแผนผังมโนทศั น์ ลงใน
กระดาษทีค่ รูแจกเป็นรายบคุ คลได้ถูกต้อง
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
แนะนาใหน้ ักเรียนใช้สูบที่ครเู ตรยี มไวใ้ หใ้ ชใ้ นการเปา่ ลูกโป่งและควรเปา่ ลกู โปง่ ให้มีขนาด
เท่ากันทกุ ลกู
9. บนั ทกึ ผลหลงั สอน
122
9.1 ผลการสอน
1) นักเรียนมีความรคู้ วามเขา้ ใจ
ผลการตรวจแบบทดสอบ นกั เรียนผ่านเกณฑ์การประเมิน คิดเป็นรอ้ ยละ 74.96
ของนกั เรยี นทั้งหมด
2) นกั เรยี นมคี วามสามารถดา้ นทักษะกระบวนการ
ผลการตรวจการขยี นสรปุ เนอ้ื หาเป็นแผนผงั มโนทศั น์ เกย่ี วกบั รูปร่างโมเลกุล
โคเวเลนต์นกั เรยี นผา่ นเกณฑก์ ารประเมินระดบั ดขี ้ึนไป คิดเป็นรอ้ ยละ 75.45
ของนกั เรยี นทง้ั หมด
ผลการตรวจบตั รกจิ กรรมท่ี 4 และใบงานที่ 6 นกั เรียนผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ
ระดบั ดขี น้ึ ไป คดิ เป็น ร้อยละ 78.91 ของนกั เรียนท้ังหมด
3) นักเรยี นมีคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
นักเรียนผ่านเกณฑ์การประเมิน คดิ เป็นรอ้ ยละ 100 ของนกั เรยี นทัง้ หมด
9.2 ปัญหา/อุปสรรค
- นกั เรียนบางกลมุ่ เป่าลกู โป่งไมพ่ องหรือพองเลก็ นอ้ ย และขนาดไม่เท่ากัน
9.3 แนวทางปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนคร้ังตอ่ ไป
ควรแนะนา และดูแลนักเรียนอยา่ งใกล้ชดิ ขณะทากิจกรรมกล่มุ
ลงชือ่ ........................................................ นางคุณากร คาสขุ )
( ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ
10. ความคดิ เห็นของหวั หนา้ กลุ่มบรหิ ารวิชาการ
123
เป็นแผนการจดั การเรยี นรู้ทค่ี รบองค์ประกอบ กจิ กรรมการเรยี นรเู้ น้นทกั ษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละสง่ เสริมการมสี ว่ นรว่ ม สอื่ การเรียนการสอน และการวัดผลประเมนิ ผล
สอดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นรู้ เหน็ ควรอนุญาตใหใ้ ช้จัดการเรยี นการสอนได้
ลงชอื่ ……………………………………………………
(นางพรพริ ณุ แจง้ ใจ)
หวั หน้ากล่มุ บรหิ ารวชิ าการ
11. ความคิดเห็นของผอู้ านวยการโรงเรียน
อนญุ าตใหใ้ ช้จดั การเรยี นการสอนได้
ลงชือ่ ……………………………………………………
(นางลัดดา ผาพันธ์)
ผ้อู านวยการโรงเรยี นโคกโพธ์ไิ ชยศึกษา
วันที่ ....... เดือน...........................พ.ศ...........
\
124
บัตรกิจกรรมที่ 4
เรือ่ งการจดั ตัวของลูกโปง่ กับรปู รา่ งโมเลกลุ
จุดประสงค์
1. การเปรยี บเทียบทิศทางการจัดตวั ของลูกโปง่ กบั ทศิ ทางของพนั ธะโคเวเลนต์
2. อธิบายถงึ รูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์จากการเปรยี บเทยี บรปู รา่ งของลกู โปง่ ได้
วสั ดอุ ปุ กรณ์
1) ลูกโป่งขนาดเลก็ 6 ลูก
วิธที ดลอง
1) เปา่ ลูกโป่ง 6 ลกู ให้มขี นาดเทา่ ๆ กัน ผกู ขวั้ ไว้ให้แนน่
2) ผกู ลูกโปง่ ที่เปา่ แลว้ เขา้ ด้วยกนั 2 ลูก สังเกตรูปร่างและทศิ ทางของลกู โป่ง บันทึกผล
3) ผกู ลูกโป่งเพ่ิมขึน้ เปน็ 3 , 4 , 5 และ 6 ลูก โดยเพ่มิ ทีละลูกตามลาดับ สังเกตรปู ร่าง
และทศิ ทาง บันทกึ ผล
บนั ทกึ ผลการทดลอง
จานวนลูกโป่ง ภาพลกู โปง่
2
3
4
5
6
125
สรุปผลการทดลอง
………………………………………..…………………………………………………………………………………………………….
………………………………………..……………………………………………………………………………………….……………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชอื่ กล่มุ ...................................................................................................
สมาชิกในกลุม่
1) ชอ่ื …………………………………………………………………………. เลขท.่ี ......................................
2) ชื่อ…………………………………………………………………………. เลขที่.........................................
3) ชอ่ื …………………………………………………………………………. เลขท.ี่ ........................................
4) ช่อื …………………………………………………………………………. เลขที่.........................................
5) ช่อื …………………………………………………………………………. เลขท่.ี .......................................
6) ชือ่ …………………………………………………………………………. เลขท.ี่ ........................................
7) ชอื่ …………………………………………………………………………. เลขท่ี.........................................
126
ใบความรู้ที่ 6
เรอื่ งรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
รูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์
รูปรา่ งโมเลกุลเป็นการจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนในโมเลกลุ ซึ่งอะตอมของสารประกอบโคเวเลนต์
มตี าแหนง่ ทีแ่ นน่ อน สามารถวัดคา่ ความยาวพันธะและมุมระหว่างพันธะได้ ทาให้โมเลกลุ มลี ักษณะ
เป็นรปู ทรงเรขาคณิต ปัจจยั ทมี่ ีผลต่อรปู ร่างของโมเลกลุ โคเวเลนต์ มีดังนี้
1. จานวนพันธะท่ีอะตอมกลางสร้าง
2. จานวนอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดยี่ วของอะตอมกลาง
ดังนั้นในการทานายรูปร่างโมเลกลุ ใหพ้ จิ ารณาทอ่ี ะตอมกลาง ซ่ึงเป็นอะตอมท่สี รา้ งพนั ธะได้
มากท่ีสุดก่อน แลว้ นบั จานวนพนั ธะทอี่ ะตอมกลางสรา้ งได้ และจานวนอิเล็กตรอนคโู่ ดดเดย่ี วรอบ
อะตอมกลางนัน้ แรงผลกั ทงั้ หมดของคอู่ ิเล็กตรอนที่เกิดจากการสรา้ งพันธะ และไม่ไดส้ ร้างพนั ธะจะ
ทาให้เกิดรูปรา่ งโมเลกลุ ที่แตกตา่ งกนั ดงั น้ี
1. โมเลกุลโค เวเลนต์ที่อะตอมกลางไมม่ ีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
กาหนดให้ A = อะตอมกลาง X = อะตอมทม่ี าลอ้ มรอบ
จานวนพนั ธะ รูปทรงเรขาคณติ รปู รา่ งโมเลกลุ ตัวอย่างโมเลกุล
ของอะตอม เส้นตรง มมุ 180 O
เส้นตรง (Linear) BeCl2 , CO2 , CS2
กลาง HCN , HgCl2
AX2
อะตอมกลาง
มี 2 พันธะ
AX3 สามเหลี่ยมแบนราบ สามเหลยี่ มแบนราบ BF3 , SO3 , NO3-
อะตอมกลาง มมุ 120O (Trigonalplana)
มี 3 พันธะ
127
จานวนพันธะ รูปทรงเรขาคณติ รปู ร่างโมเลกลุ ตวั อย่าง
ของอะตอมกลาง โมเลกุล
AX4 ทรงสห่ี น้า (Tetrahrdral) CH4 , SiCl4 ,
อะตอมกลาง SO42-
มี 4 พนั ธะ
ทรงส่ีหนา้ มุม 109.5O
AX5 พีระมิดคูฐ่ านสามเหล่ยี ม พรี ะมดิ คู่ฐานสามเหลี่ยม SbF5 , AsH5 ,
อะตอมกลาง มุม 90O , 120O (Trigonalbipyramidal) PCl5
มี 5 พนั ธะ
AX6 SF6 , SiF62-
อะตอมกลาง
มี 6 พันธะ ทรงแปดหน้า มมุ 90O ทรงแปดหนา้
(Octahedral)
2. โมเลกุลโคเวเลนตท์ ี่อะตอมกลางมอี ิเล็กตรอนคโู่ ดดเดยี่ ว
กาหนดให้ A = อะตอมกลาง
X = อะตอมทม่ี าลอ้ มรอบ
E = อิเลก็ ตรอนคู่โดดเดยี่ ว
จานวนพันธะ รูปทรงเรขาคณิต รปู ร่างโมเลกลุ 128
ของอะตอมกลาง ตัวอยา่ งโมเลกลุ
AX2E2 มมุ งอ มมุ น้อยกว่า SCl2 , OCl2 ,
อะตอมกลาง 109.5O H2 S , SeH2
มี 2 พนั ธะ
อเิ ลก็ ตรอน มมุ งอ (Bent)
คูโ่ ดดเดีย่ ว 2 คู่
พรี ะมดิ ฐานสามเหลยี่ ม PCl3 , AsH3 , PI3 ,
AX3E มมุ น้อยกวา่ 109.5O พีระมิดฐานสามเหลี่ยม H3O+ , ClO3-
อะตอมกลาง
มี 3 พันธะ (Trigonal
อิเล็กตรอน pyramidal)
คูโ่ ดดเดย่ี ว 1 คู่
ICl3 , ClF3
AX3E2
อะตอมกลาง รูปตวั ที มมุ 90O รูปตวั ที
มี 3 พันธะ (T - shaped)
อเิ ล็กตรอน
คโู่ ดดเด่ยี ว 2 คู่ I3- , ICl2- , XeF2
AX2E3 เสน้ ตรง มมุ 180O เส้นตรง
อะตอมกลาง (Linear)
มี 2 พนั ธะ
อิเล็กตรอน
ค่โู ดดเดีย่ ว 3 คู่
129
จานวนพันธะ รูปทรงเรขาคณิต รูปร่างโมเลกลุ ตวั อย่างโมเลกุล
ของอะตอมกลาง
สีเ่ หลี่ยมแบนราบ ICl4 , XeF4
AX4E2 มมุ 90O
อะตอมกลาง ส่เี หลย่ี มแบนราบ
มี 4 พนั ธะ พรี ะมดิ ฐานส่เี หลีย่ ม (Square planar shape)
อเิ ล็กตรอน มุมนอ้ ยกวา่ 90O
คู่โดดเดี่ยว 2 คู่ พรี ะมิดฐานสี่เหลีย่ ม ClF5 , XeOF4
(Square pyramidal , BrF5
AX5E
อะตอมกลาง shape)
มี 5 พันธะ
อเิ ล็กตรอน
ค่โู ดดเด่ียว 1 คู่
การเกิดมุมระหว่างพันธะ
มมุ ระหว่างพันธะเกดิ จากแรงผลกั ของอิเลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะด้วยกัน หรืออเิ ล็กตรอน
คู่โดดเดย่ี วด้วยกัน หรอื อิเล็กตรอนคู่ร่วมพนั ธะกับอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียว มีผลทาให้อะตอมมที ศิ ทาง
ไปตามแรงผลัก จึงทาใหข้ นาดของมุมมคี ่าแตกตา่ งกนั มุมระหวา่ งพันธะจะแคบหรือกว้างขน้ึ อยกู่ ับ
แรงดึงดดู ระหวา่ งอิเล็กตรอนครู่ ว่ มพนั ธะและค่าอิเลก็ โตรเนกาติวติ ี (คา่ EN ) ของอะตอมกลาง เชน่
ตัวอย่าง มุม H – O – H กวา้ งกว่า H – S – H
อะตอมกลางตา่ งชนดิ กัน อะตอมล้อมรอบเหมือนกัน อเิ ล็กตรอนคู่โดดเดีย่ วเท่ากัน ความ
แตกตา่ งของมมุ งอเน่ืองมาจาก
130
- ขนาดของอะตอมกลางตา่ งกนั คือS > O
- ความแตกต่างระหว่างคา่ EN ของ O – H กบั S – H แตกต่างกนั คือ ผลตา่ งของ
คา่ EN ของ O – H >S – H พนั ธะระหว่าง O – H เกดิ ขวั้ โมเลกลุ ทีแ่ รงกวา่ ทาใหม้ ุม
ระหว่างพันธะมขี นาดใหญ่กว่า
มมุ ระหว่างพนั ธะพจิ ารณาจาก
1. ระยะห่างของอิเลก็ ตรอนครู่ ่วมพันธะ ถ้าอิเลก็ ตรอนคู่รว่ มพันธะอยู่ห่างกนั มาก มมุ แคบ
ถ้าอิเลก็ ตรอนคูร่ ่วมพนั ธะอยูห่ า่ งกันนอ้ ย มมุ กว้าง
2. มมุ ระหว่างพันธะเปลี่ยนตามคา่ EN ของอะตอมกลางของธาตุท่ีตา่ งกันและอะตอม
ล้อมรอบเหมอื นกัน
131
ใบงานท่ี 6
เร่ืองรูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์
1. ให้นกั เรยี นพิจารณาสูตรโมเลกลุ ของสารประกอบโดยการเขียนสูตรโครงสร้างลิวอสิ แบบเสน้
แล้วทานายรูปร่างโมเลกุลต่อไปน้ี
สารประกอบ โครงสรา้ งลวิ อิส รูปรา่ งโมเลกลุ
GeH4
PCl5
CS2
AsH3
2.ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาสูตรสารประกอบ แล้วเตมิ คาตอบในช่องวา่ งใหส้ มบรู ณ์
สูตร จานวนอเิ ลก็ ตรอน รปู รา่ งโมเลกลุ
สารประกอบ คู่ร่วมพนั ธะ คูโ่ ดดเดยี่ ว รวม
TeF6
H2Se
NH3
AsF3
POCl3
132
3. มมุ ระหว่างพันธะ H – Si – H ในโมเลกลุ ของ SiH4 กบั มมุ ระหวา่ งพันธะ H – As – H
ในโมเลกุลของ ASH3 ควรจะเท่ากนั หรือไม่ เพราะเหตุใด
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
4. เพราะเหตใุ ดมมุ ระหวา่ งพนั ธะในโมเลกุล PH3 และ H2S จึงไม่เทา่ กับ 109.5O
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
5. โมเลกุล CO2 CS2 มมี ุมระหว่างพันธะเทา่ กันหรือไม่ เพราะเหตใุ ด
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
6. จงทานายมุมระหวา่ งพนั ธะ S – C – S ใน CS2 กับ H – C – H ใน H2S
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
7. จงอธิบายผลของคา่ EN ของอะตอมกลางทม่ี ีต่อมุมพันธะในสารประกอบท่ีมรี ปู รา่ งเป็นมมุ งอ
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
133
แบบทดสอบ
เร่ืองรปู ร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์
คาชีแ้ จง ให้นกั เรยี นทาเครื่องหมาย ( ) ทับอักษร ก ข ค ง ขอ้ ใดขอ้ หนึง่ ทเ่ี ห็นวา่ ถูกต้องทส่ี ดุ
เพียงขอ้ เดยี ว ลงในกระดาษคาตอบ
1. สารใดมรี ูปร่างโมเลกุลไม่เหมือนกัน
ก. HO2 และ SBr2 ข. NOCl และ COS
ค. HCl และ CS2 ง. CCl4และ POCl3
2. รูปร่างโมเลกุลของสารในขอ้ ใดเป็นรปู สามเหลี่ยมแบนราบ
ก. NH4+ และ SiH4 ข. CH3Cl และ O3
ค. SO3 และ BF3 ง. PH3 และ CH2O
3. มุมระหวา่ งพันธะในโมเลกลุ โคเวเลนตเ์ รียงตามลาดบั จากมากไปนอ้ ยดังข้อใด
ก. CS2 > BF3 > CH4 > Cl2O ข. Cl2O > CS2 > BF3 > CH4
ค. BF3 > CS2 > Cl2O > CH4 ง. CS2 > Cl2O > BF3 > CH4
4. ธาตุ A และ B มีเลขอะตอม 15 และ 35 ตามลาดับ คลอไรด์ของ A และ B ควรมรี ูปร่าง
อย่างไรตามลาดับ
ก. สามเหล่ยี มแบนราบ และพรี ะมดิ ฐานสามเหลยี่ ม
ข. พรี ะมิดคูฐ่ านสามเหลี่ยม และเส้นตรง
ค. ทรงส่ีหนา้ และสามเหลยี่ มแบนราบ
ง. พรี ะมิดฐานสามเหลี่ยม และเส้นตรง
5. D, E เปน็ ธาตุในหมเู่ ดียวกนั ขนาดอะตอมของ D > E สารประกอบกบั ไฮโดรเจน มีสูตร H2D
และ H2 E โดยมรี ูปร่างเปน็ มมุ งอ ข้อใดต่อไปนีเ้ ปน็ คาตอบท่ีถูกตอ้ ง
ก. ขนาดมุมระหวา่ งพันธะจากเลก็ ไปใหญ่ คอื มุม H - E – H, มมุ H - D – H
ข. ธาตุ E จะมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่ากวา่ ธาตุ D
ค. เม่อื D และ E รวมกับธาตุ X ซ่งึ อยหู่ มู่ IVA ควรไดร้ ับสารประกอบ XD2 และ XE2
มรี ูปร่างเป็นเสน้ ตรง
ง. รอบอะตอมกลางของโมเลกุล สตู ร H2D และ H2 E ควรมีอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดี่ยว เหลอื 1
คู่
134
เฉลยบัตรกิจกรรมที่ 4
เรอื่ งการจัดตวั ของลกู โปง่ กบั รปู ร่างโมเลกุล
บนั ทกึ ผลการทดลอง ภาพลกู โป่ง
จานวนลกู โป่ง
2 ผลการทดลองขน้ึ กับ
3 สภาพจริงจากการปฏบิ ัติ
4
5 กิจกรรมการทดลอง
6
135
2) ถา้ ลากเส้นแสดงพนั ธะจากขวั้ ลกู โป่งซง่ึ แทนอะตอมกลางไปยังปลายลกู โปง่ ซงึ่ แทนอะตอมที่สรา้ ง
พนั ธะกบั อะตอมกลาง มุมและรปู ร่างระหวา่ งพันธะท่ีเกดิ จากลูกโปง่ ผูกติด 2 3 4 5 และ 6 ลกู
ตามลาดบั เปน็ เท่าใดและรปู รา่ งโมเลกลุ เปน็ แบบใด
จานวนลูกโปง่ มุมระหว่างแกนของลกู โป่ง รูปร่างโมเลกลุ
(องศา)
2 180 เส้นตรง
3 120 สามเหลยี่ มแบนราบ
4 109.5 ทรงส่ีหนา้
5 120 กบั 90 พรี ะมิดคฐู่ านสามเหลี่ยม
6 90 ทรงแปดหน้า
สรุปผลการทดลอง
รปู รา่ งของโมเลกุลโคเวเลนซ์ข้ึนอยู่กับจานวนพนั ธะและจานวนอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดีย่ วรอบ
อะตอมกลาง
หมายเหตุ การตรวจใหค้ ะแนนการปฏิบตั ิการทดลองอยู่ในดลุ พนิ ิจของครูผสู้ อน
136
เฉลยใบงานที่ 6
เรือ่ งรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
1. ให้นกั เรยี นพิจารณาสตู รโมเลกลุ ของสารประกอบโดยการเขยี นสูตรโครงสร้างลวิ อสิ แบบเสน้
แลว้ ทานายรปู ร่างโมเลกุลต่อไปนี้
สารประกอบ โครงสร้างลิวอิส รปู ร่างโมเลกุล
H ทรงส่หี นา้
GeH4 H Ge H (Tetrahedral)
HH
PCl5 พีระมคิ ฐู่ านสามเหลย่ี ม
(Trigonal bipyramidal)
CS2 S=C=S เสน้ ตรง
(Linear)
AsH3 As พีระมิดฐานสามเหลี่ยม
HH (Trigonal pyramidal)
H
2.ใหน้ กั เรียนพิจารณาสูตรสารประกอบ แล้วเตมิ คาตอบในชอ่ งวา่ งให้สมบูรณ์
สตู ร จานวนอิเลก็ ตรอน รวม รูปรา่ งโมเลกลุ
สารประกอบ คู่รว่ มพนั ธะ คู่โดดเดย่ี ว
TeF6 6 คู่ ไม่มี คู่ ทรงเปดหนา้
(Octahedal)
H2Se 2 คู่ 2 คู่ 4 คู่ มุมงอ
(V-Shaped)
NH3 3 คู่ 1 คู่ 4 คู่ พีระมิดฐานสามเหลย่ี ม
(Trigonal pyramidal)
AsF3 3 คู่ 2 คู่ 5 คู่ พรี ะมดิ ฐานสามเหลีย่ ม
(Trigonal pyramidal)
POCl3 4 คู่ ไม่มี 4 คู่ ทรงสหี่ น้า
(Tetrahedral)
137
3. มุมระหวา่ งพนั ธะ H – Si – H ในโมเลกุลของ SiH4 กบั มมุ ระหว่างพันธะ H – As – H
ในโมเลกลุ ของ ASH3 ควรจะเท่ากันหรือไม่ เพราะเหตุใด
ไมเ่ ทา่ กันเพราะ SiH4 มรี ปู ร่างโมเลกลุ แบบทรงสห่ี น้า มุมทก่ี าง 109.5 แต่ ASH3 มี
รูปรา่ งโมเลกลุ แบบพรี ะมิดฐานสามเหลยี่ ม
4. เพราะเหตใุ ดมุมระหว่างพันธะในโมเลกลุ PH3 และ H2S จึงไม่เทา่ กบั 109.5O
PH3 มอี ะตอมกลาง 3 พนั ธะ และมีอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียว 1 คู่ มุมกางนอ้ ยกว่า 109.5O
H2S มอี ะตอมกลาง 2 พันธะ และมีอิเลก็ ตรอนคูโ่ ดดเด่ยี ว 2 คู่ มมุ กางน้อยกวา่ 109.5O
5. โมเลกลุ CO2 CS2 มมี ุมระหว่างพนั ธะเทา่ กันหรือไม่ เพราะเหตุใด
เหมือนกนั เพราะอะตอมกลางมี 2 พันธะและไม่มีอเิ ล็กตรอนคโู่ ดเดีย่ วเหมือนกนั มีรปู รา่ ง
โมเลกุลแบบเส้นตรง มุมกาง 180O
6. จงทานายมุมระหว่างพนั ธะ S – C – S ใน CS2 กบั H – C – H ใน H2S
CS2 รปู ร่างแบบเสน้ ตรง มมุ กาง 180O
H2S รูปรา่ งแบบมุมงอ มมุ กาง 109.5O
7. จงอธบิ ายผลของค่า EN ของอะตอมกลางทีม่ ีตอ่ มมุ พนั ธะในสารประกอบท่มี ีรูปรา่ งเปน็ มุมงอ
- อะตอมกลางตา่ งชนิดกนั และอะตอมทลี่ อ้ มรอบเหมือนกัน มีอเิ ล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
เทา่ กนั ความแตกต่างของมุมงอขึ้นอยู่กับค่า EN ของอะตอมกลาง ถ้าค่า EN ของอะตอมกลาง
มากกว่า มมุ ทีก่ างจะมาก
- อะตอมกลางชนดิ กนั และอะตอมทล่ี อ้ มรอบตา่ งกัน มอี เิ ล็กตรอนคู่โดดเดยี่ วเท่ากนั
ความแตกตา่ งของมมุ งอขึน้ อยกู่ บั ค่า EN ของอะตอมลอ้ มรอบ ถ้าคา่ EN ของอะตอมทีล่ อ้ มรอบ
มากกว่า มมุ ที่กางจะนอ้ ย
138
เฉลยแบบทดสอบ
เร่อื งกฎออกเตด ความยาวพนั ธะและพลังงานพนั ธะ
1. ข
2. ค
3. ก
4. ง
5. ค
ตรวจคาตอบกับเฉลย
ถูกทง้ั หมดกี่ข้อคะ่ ปรบมือ
ให้คนเก่งหนอ่ ยนะคะ
139
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 5
เรอื่ ง สภาพขัว้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
รายวชิ า ว31221 เคมี 1 ภาคเรยี นที่ 2
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 พันธะเคมี
ชัว่ โมงท่ี 1 สอนวนั เวลา 2 ชั่วโมง
ช่วั โมงที่ 2 สอนวัน
1. สาระสาคัญ
สภาพข้ัวของพนั ธะโคเวเลนต์เกดิ จากอะตอมคู่รว่ มพนั ธะมีค่าอเิ ล็กโตรเนกาตวิ ติ (คี ่าEN) ต่างกัน
พนั ธะโคเวเลนตท์ เี่ กิดจากอะตอมทม่ี ีคา่ EN ตา่ งกนั เปน็ พนั ธะมขี ั้ว สภาพข้ัวของโมเลกุลขน้ึ อยู่กับ
สภาพขัว้ ของพันธะและรูปร่างโมเลกุล
2. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 3 สารและสมบตั ขิ องสาร
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบตั ิ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนภุ าค หลกั และธรรมชาติ ของการเปลยี่ นแปลง
สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
ตวั ชีว้ ัด
ว 2.1ม.4-6/4 วิเคราะหแ์ ละอธิบายการเกิดพนั ธะเคมีในโครงผลึกและในโมเลกุลของสาร
3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 จุดประสงค์ดา้ นความรู้ (K)
3.1.1 อธบิ ายการเปรยี บเทยี บคา่ อิเลก็ โตรเนกาติวิตีของธาตุได้
3.1.2 บอกชนิดของโมเลกลุ โคเวเลนตม์ ขี ้ัวและโมเลกุลไมม่ ขี ว้ั ได้
3.2 จดุ ประสงคด์ ้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
3.2.1 สามารถแสดงความคิดเหน็ และสามารถเขียนเปรยี บเทยี บค่าอิเล็กโตรเนกาตวิ ติ ี
ของธาตไุ ด้
3.2.2 สามารถส่อื ความหมายและระบชุ นดิ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์มีขวั้ และโมเลกลุ ไม่มขี ้วั ได้
140
3.3 คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
3.3.1 ซ่ือสตั ย์สจุ รติ
3.3.2 มีวนิ ยั
3.3.3 ใฝ่เรยี นรู้
3.3.4 มงุ่ มัน่ ในการทางาน
4. สาระการเรียนรู้
สภาพข้วั ของพันธะโคเวเลนตเ์ กดิ จากอะตอมคู่ร่วมพันธะมคี ่าอิเลก็ โตรเนกาตวิ ติ ีหรอื คE่าN
ต่างกนั ธาตทุ ่ีมีค่า EN สูงจะดงึ ดดู อิเลก็ ตรอนไว้ใกลอ้ ะตอมมากกวา่ มีสภาพข้ัวพนั ธะเปน็ ลบ ธาตทุ ่ี
มีคา่ EN ต่ากวา่ มีแรงดงึ ดูดอเิ ลก็ ตรอนได้น้อยกว่ามีสภาพขั้วพนั ธะเป็นบวก ซง่ึ ความแรงของขวั้
พันธะพจิ ารณาจากผลต่างของคา่ EN
โมเลกลุ โคเวเลนต์ จะเป็นโมเลกุลมขี ้วั หรือไมม่ ขี ั้วขนึ้ อยกู่ บั ชนิดของพันธะและรูปร่าง
โมเลกลุ โดยโมเลกลุ ไม่มขี ั้วเกิดจากพันธะไม่มขี ัว้ หรอื เกิดจากพันธะมขี ว้ั แต่สภาพขัว้ หักล้างกนั หมด
และโมเลกลุ มขี ั้วเกิดจากพันธะมขี ั้วเสรมิ แรงไปในทิศทางเดยี วกนั
5. ชน้ิ งาน/ภาระงาน
5.1 Mind Mapping สรปุ เน้อื หาเร่อื งสภาพขวั้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์
5.2 ทากิจกรรมที่ 6 เรื่องสภาพขว้ั ของโมเลกุลโคเวเลนต์
5.3 ทางานจากใบงานท่ี 7 เรื่องสภาพขั้วของโมเลกลุ โคเวเลนต์
6. การประเมนิ ผล
6.1 ความรู้
ภาระ/ช้นิ งาน วิธีการวดั เครอ่ื งมือ เกณฑท์ ใ่ี ช้ ระดบั เกณฑ์
แบบทดสอบ ประเมิน คุณภาพ การผ่าน
- เขา้ ใจเน้อื หาเก่ยี วกบั การทดสอบ ตอบถกู 4-5 ขอ้ ดีมาก ถกู ตัง้ แต่ 3
สภาพข้วั ของโมเลกลุ ตอบถกู 2-3 ข้อ
โคเวเลนต์ ตอบถกู 0-1 ข้อ ดี ข้อขน้ึ ไปหรือ
พอใช้ รอ้ ยละ 70
ขึ้นไป
141
6.2 ทักษะ/กระบวนการ/ทักษะการคดิ
ภาระ/ชิ้นงาน วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์ทใ่ี ช้ ผู้
ประเมนิ ประเมนิ
1. สรปุ เนื้อหาเกีย่ วกบั สภาพข้ัว -สังเกตพฤตกิ รรม -แบบประเมนิ ผา่ นระดบั ดี นกั เรียน
ของโมเลกุลโคเวเลนต์เป็นแผนผงั การปฏบิ ัติงาน การปฏบิ ัติงาน ขึ้นไป
มโนทัศน์ กลมุ่ กล่มุ ครู
2. ทากจิ กรรมท่ี 5 -การตรวจผลงาน -แบบตรวจ ผ่านระดับดี ครู
ผลงาน ข้ึนไป
เร่ืองสภาพขัว้ ของโมเลกลุ โคเว
-แบบตรวจ ผ่านระดบั ดี เพอื่ น
เลนต์ ผลงาน ขน้ึ ไป ครู
3. ทางานจากใบงานที่ 7 เรอ่ื ง -การตรวจผลงาน
สภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์
6.3 คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
ภาระ/ช้ินงาน วธิ กี ารวดั เครอื่ งมือ เกณฑ์ที่ใช้ ผูป้ ระเมนิ
ประเมิน ครู
-ซ่อื สัตยส์ ุจริต -สงั เกตพฤติกรรมความ -แบบประเมิน ผา่ นระดับดีขึน้ ไป
- มีวินัย ซือ่ สัตย์ มวี ินัย ใฝเ่ รียนรู้ คุณลักษณะ
-ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ ม่ันในการทางาน อนั พงึ
-มงุ่ มนั่ ในการทางาน ประสงค์
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
กิจกรรม ส่ือและแหล่งเรียนรู้
ชั่วโมงที่ 1
ส่อื การเรยี นรู้
ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engage) 1. แบบทดสอบเรื่องกฎออก
1. นักเรยี นและครรู ว่ มกันสนทนาเก่ยี วกบั รูปร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์ เตตความยาวพันธะและ
พลังงานพนั ธะ
เพือ่ ทบทวนความรู้อกี คร้งั และนาเขา้ สูบ่ ทเรยี นต่อไป โดยการตอบคาถาม 2. ใบความรู้ท่ี 7 เรอื่ ง สภาพ
จากประเด็นคาถามดังตอ่ ไปนี้ ขว้ั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์
- โมเลกุลโค เวเลนตม์ กี ารจัดเรียงตวั ในโครงสร้างเหมอื นกันหรือไม่ 3. หนังสอื เรยี น รายวชิ า
(ไม่เหมือนกัน)
- ในโมเลกลุ ของ H2 และ HCl มรี ปู ร่างโมเลกลุ แบบใด
142
กิจกรรม สอ่ื และแหล่งเรยี นรู้
(เส้นตรง) เพ่ิมเตมิ เคมี เล่ม 1
- โมเลกลุ ของ H2 และ HCl มีอิเลก็ ตรอนครู่ ่วมพนั ธะจานวน ของสสวท. หนา้ 72-79
เทา่ ใด (โมเลกุลละ 1 คู่) 4. บัตรกจิ กรรมที่ 5 เร่อื ง
- อิเลก็ ตรอนครู่ ่วมพันธะควรอยบู่ รเิ วณใดระหวา่ งอะตอมคู่ท่สี ร้าง สภาพขวั้ ของโมเลกลุ โคเว
พนั ธะ (ตรงกลางหรอื อย่ใู กล้อะตอมใดอะตอมหนึง่ ) เลนต์
การสารวจและค้นหา (Explore) 5. ใบงานท่ี 7 เรอ่ื งสภาพขั้ว
3. แบง่ นักเรยี นออกเปน็ กลมุ่ ๆ ละ 6 – 7 คน โดยคละเพศ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์
คละผลการเรียนเก่ง ปานกลาง อ่อน แล้วเลอื กประธานกลุ่ม กรรมการ และ แหลง่ เรยี นรู้
เลขานกุ ารกลุม่ หรือเปน็ กลมุ่ เดมิ ที่แบง่ กล่มุ จากชวั่ โมงเรยี นท่ีผา่ นมา 1. หอ้ งสมุดโรงเรยี น
4. ครูนาตารางแสดงค่า EN ของธาตุ มาใหน้ ักเรยี นดแู ละระดม 2. หอ้ งอนิ เตอร์เนต็ โรงเรียน
ความคิด ในการตอบคาถาม ดงั นี้ 3. ห้องปฏิบัตกิ ารกลมุ่ สาระ
- คา่ EN คอื อะไร(คา่ ทีแ่ สดงความสามารถในการดึงอเิ ลก็ ตรอนคู่ วทิ ยาศาสตร์
ร่วมพันธะของอะตอม) 4. จากเวบ็ ไซน์
- อะตอมทม่ี ีค่า EN ต่ากวา่ จะแสดงอานาจไฟฟา้ และมี www.google.com
ความสามารถในการดึงอเิ ลก็ ตรอน ค่รู ่วมพนั ธะอย่างไร (แสดงอานาจไฟฟ้า 5. หนังสอื เตรยี มสอบ
เปน็ บวก เขยี นแทนด้วย + และดึงอิเล็กตรอนได้นอ้ ย) O-Net และ A-Net
- คา่ EN ใช้อธิบายสภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนตไ์ ด้อยา่ งไร
(ธาตทุ ่ีมคี า่ EN สูงจะดึงดดู อเิ ล็กตรอนไว้ใกลอ้ ะตอมมากกวา่ มีสภาพข้ัว
พนั ธะเปน็ ลบ ธาตคุ ูร่ ว่ มพันธะท่มี คี า่ EN ต่ากว่า จะดงึ ดูดอเิ ลก็ ตรอนได้
น้อย อเิ ลก็ ตรอนอยูห่ ่างจากอะตอมมสี ภาพขว้ั พันธะเปน็ บวก)
5. นักเรียนศึกษาและดู Power point เกย่ี วกบั การกระจายตัวของ
อิเลก็ ตรอนในโมเลกุล H2และ HCl และ Power point เกยี่ วกบั การเขยี น
สัญลกั ษณท์ างไฟฟา้ และการเขยี นทศิ ทางของขัว้ ในโมเลกลุ
การอธบิ ายและลงข้อสรุป (Explain)
6. ตัวแทนนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมารับบัตรกิจกรรมที่ 5
เรอื่ งสภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์ โดยสมาชิกในกลุ่มรว่ มการศกึ ษาและ
สรปุ คาตอบทไ่ี ด้ โดยศกึ ษาเพิ่มเติมจากใบความรทู้ ่ี 7
7. ตวั แทนนกั เรียนแต่ละกลุ่มออกมารับใบความรู้ที่ 7 นาไปแจก
สมาชิกในกลมุ่ เพ่ือศึกษาและสรปุ เนอื้ หาเกีย่ วกับสภาพขว้ั ของโมเลกลุ
โคเวเลนต์ หรอื ศกึ ษาเพิม่ เตมิ จากหนังสอื เรียน รายวชิ าเพ่ิมเติมเคมี เล่ม 1
ของสสวท. หนา้ 91-94
กจิ กรรม 143
8. ใหน้ กั เรยี นระดมความคิดรว่ มกนั เก่ียวกับเรื่องสภาพขวั้ สื่อและแหล่งเรยี นรู้
ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ ทศ่ี กึ ษาและสืบค้นหาคาตอบ ดงั น้ี
- พันธะโค เวเลนต์ทีเ่ กดิ จากธาตทุ มี่ คี ่า EN เทา่ กัน เกดิ พันธะทม่ี ี
สภาพขว้ั อย่างไร (เกิดพันธะไมม่ ขี ้วั )
- พันธะโค เวเลนต์ทเ่ี กิดจากธาตุท่มี คี ่า EN ต่างกนั เกดิ พันธะท่มี ี
สภาพข้วั อย่างไร (เกดิ พนั ธะมีขว้ั )
- โมเลกลุ ทม่ี อี ะตอมมากกว่า 2 อะตอม พิจารณาสภาพข้วั
อย่างไร (พจิ ารณาจากอะตอมท่ลี ้อมรอบอะตอมกลาง)
- โมเลกลุ ของ CH4 มีสภาพข้ัวของพันธะและสภาพขัว้ ของโมเลกลุ
อยา่ งไร (พันธะ C – H ทงั้ 4 พนั ธะเป็นพันธะมีขัว้ และในโมเลกลุ
จัดเป็นโมเลกลุ ไม่มขี ัว้ )
- สภาพขั้วในโมเลกลุ สมั พนั ธ์กับรูปร่างโมเลกลุ อยา่ งไร (โมเลกุลที่
มีรปู รา่ งสมมาตรจะเปน็ โมเลกุลไมม่ ขี ้ัว ส่วนโมเลกลุ ทีม่ รี ปู ร่างไม่สมมาตร
เป็นโมเลกุลมขี ว้ั )
9. ตัวแทนนกั เรยี นกลุม่ คี่ คือกลุม่ ท่ี 1.3 และ 5 ออกมานาเสนอหนา้
ช้นั เรยี นเกีย่ วกบั เรือ่ งสภาพขวั้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์
10. นักเรียนทัง้ ช้ันเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายและจนไดข้ ้อสรุป ดังตอ่ ไปนี้
- โมเลกุลอะตอมคู่ ประกอบด้วยพันธะไมม่ ขี ้วั จะเป็นโมเลกลุ ไมม่ ขี ว้ั
- โมเลกลุ อะตอมคู่ ประกอบด้วยพนั ธะมขี ั้วจะเป็นโมเลกลุ มขี ้วั
- โมเลกุลทมี่ อี ะตอมมากกว่า 2 อะตอม ถา้ อะตอมกลาง
ไมม่ อี เิ ลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียว รูปร่างโมเลกุลสมมาตร จะเปน็ โมเลกลุ ไมม่ ขี วั้
- อะตอมกลางมอี เิ ล็กตรอนคู่โดดเด่ยี ว รูปรา่ งโมเลกุลไม่สมมาตร
จะเป็นโมเลกุลมีขั้ว
ชว่ั โมงท่ี 2
การขยายความรู้ (Elaborate)
11. ครูอธิบายใหค้ วามรเู้ พ่มิ เตมิ เกยี่ วกบั การพจิ ารณาสภาพข้ัวใน
โมเลกลุ โคเวเลนต์
12. นักเรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกนั พิจารณาโมเลกุลของ CH3Cl
แล้วตอบคาถาม จากคาถามดังต่อไปนี้
- CH3Cl มีรปู รา่ งโมเลกลุ แบบใด (ทรงสี่หนา้ )
กจิ กรรม 144
- อะตอมล้อมรอบเหมือนกันหรือไม่ (ไมเ่ หมือน) สอื่ และแหล่งเรียนรู้
- ทศิ ทางของแรงลพั ธห์ กั ลา้ งกนั หมดหรอื เสรมิ กัน (เสรมิ กนั )
- CH3Clเปน็ โมเลกุลมีข้วั หรอื ไม่ (เป็นโมเลกุลมีขั้ว)
13. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มฝึกที่เขยี นสภาพข้วั ของพันธะและสภาพขัว้ ของ
โมเลกุลนกั เรยี นสนใจ กล่มุ ละ 5 โมเลกุล
14. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ นาเสนอการเขยี นสภาพขวั้ ของพนั ธะและ
สภาพขว้ั ของโมเลกุล กล่มุ ละ 1 โมเลกลุ
15. นักเรียนและครรู ่วมกนั อภิปรายตามทแี่ ตล่ ะกลุ่มนาเสนอ เพือ่
หาข้อสรุปท่ีถกู ต้องตรงตามเนอ้ื หา
การประเมินผล (Evaluate)
16. นกั เรียนแตล่ ะคนรับใบงานท่ี 7 เร่ืองสภาพข้ัวของโมเลกลุ
โคเวเลนต์
14. นกั เรยี นทางานจากใบงานที่ 7 เรอ่ื งสภาพขัว้ ของโมเลกลุ
โคเวเลนต์
16. ครูตรวจใบงานที่ 7 เรอ่ื งสภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์
15. นักเรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี นเรอ่ื งสภาพข้ัวของโมเลกุลโคเว
เลนต์ ซึ่งเปน็ ขอ้ สอบปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 5 ข้อ
18. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ เขยี นสรปุ เนื้อหาและความรู้ท่ีเป็นแผนผงั มโน
ทัศน์ ลงในกระดาษทีค่ รแู จก
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นักเรยี นที่ยังเรียนไม่เขา้ ใจ หรอื เรยี นไมท่ ันเพ่อื นสามารถนาใบความรู้ กลบั ไปเรยี นตอ่ ท่ี
บา้ นหรอื สามารถศกึ ษาไดจ้ ากแหลง่ เรยี นร้ตู า่ งๆ และให้เพ่อื นช่วยแนะนานอกเวลาเรียนและสามารถ
วัดผลประเมนิ ผลอกี คร้งั จนนักเรียนสามารถผา่ นตามเกณฑก์ ารประเมนิ ผล
145
9. บนั ทึกผลหลังสอน
9.1 ผลการสอน
1) นกั เรียนมีความรู้ความเขา้ ใจ
ผลการตรวจแบบทดสอบ นักเรียนผา่ นเกณฑ์การประเมนิ คิดเป็นรอ้ ยละ 77.81
ของนักเรียนทัง้ หมด
2) นกั เรียนมคี วามสามารถดา้ นทกั ษะกระบวนการ
ผลการการเขียน สรุปเนอ้ื หาเกีย่ วกบั สภาพข้วั ของโมเลกุลโคเวเลนต์เปน็ แผนผงั
มโนทศั น์ นกั เรยี นผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ระดับดขี ้นึ ไป คดิ เปน็ ร้อยละ 77.93
ของนกั เรียนทัง้ หมด
ผลการตรวจบัตรกิจกรรมที่ 5 และใบงานท่ี 7 นักเรียนผา่ นเกณฑ์การประเมิน
ระดับดขี ึ้นไป คดิ เป็น รอ้ ยละ 81.95 ของนกั เรยี นทั้งหมด
3) นกั เรียนมคี ณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
นักเรียนผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ระดับดีขึน้ ไป คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 ของนกั เรียน
ท้งั หมด
9.2 ปญั หา/อปุ สรรค
นกั เรียนขาดความแม่นยาในการนาตัวเลขคา่ EN ในตารางไปใชใ้ นการคานวณ
9.3 แนวทางปรบั ปรุงการเรยี นการสอนครั้งต่อไป
ควรกระตุ้นเตอื นให้นักเรยี นมคี วามระมัดระวงั ในการอา่ นคา่ ตัวเลขใหถ้ กู ต้องเพือ่ ให้ได้
คาตอบที่แม่นยา
ลงชอ่ื .......................................................ครผู ้สู อน
( นางคุณากร คาสุข)
ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ
146
10. ความคิดเหน็ ของหวั หน้ากลุ่มบริหารวิชาการ
เปน็ แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ครบองคป์ ระกอบ กิจกรรมการเรยี นรูส้ ่งเสริมการมีส่วนร่วม
เน้นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สือ่ การเรยี นการสอน และการวดั ผลประเมินผลสอดคล้อง
กบั มาตรฐานการเรียนรู้ เหน็ ควรอนญุ าตให้ใช้จัดการเรยี นการสอนได้
ลงชอื่ ……………………………………………………
(นางพรพริ ณุ แจ้งใจ)
หัวหน้ากลมุ่ บริหารวิชาการ
11. ความคิดเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียน
อนุญาตใหใ้ ชจ้ ัดการเรยี นการสอนได้
ลงช่อื ……………………………………………………
(นางลดั ดา ผาพนั ธ์)
ผ้อู านวยการโรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศกึ ษา
…………/................../................
147
สือ่ Power point
เรอื่ ง สภาพข้ัวของโมเลกลุ โคเวเลนต์
การเขยี นสั กั ษ ทา ้ า
• พนั ธะ ขั า EN า นั ป าง
ขั
H–H Cl – Cl O=O
• พนั ธะ ขั า EN าง นั
δ⁻
δ⁺ δ⁻ δ⁺ δ⁻
δ⁺ O δ⁺
H–F H – Cl
HH