จ่ายยมื
วิชา ประวัตศิ าสตรก์ ารสงคราม
สำหรับนกั เรียนนายสิบทหารบก
หลกั สตู รศึกษา ณ รร.นส.ทบ. 1 ปี
หมายเลข ชกท.111
กองการศึกษา โรงเรียนนายสบิ ทหารบก
ค่ายโยธินศึกษามหามงกฎุ
พ.ศ.2562
1
บทท่ี 1
ประวตั ศิ าสตร์การสงครามไทย
ความเป็นมาของชนชาตไิ ทยและการทหารยุคต่าง ๆ
การตั้งถนิ่ ฐานของไทย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึน้ เม่ือ พ.ศ. 1826 ประวัติศาสตร์ของไทย จึงได้เริ่ม
จดบันทึกเป็นหลักฐานแน่นอนโดยคนไทย แต่ก็ไม่อาจยึดถือศักราชเป็นของแน่นอนได้ เรื่องราวของไทยเผ่า
ตา่ งๆ พอจะยึดเป็นหลักประมาณ พ.ศ. 1750 เป็นตน้ มา ฉะน้ันเร่อื งของชนชาติไทยกอ่ นหน้านั้นยิ่งนานข้ึนไป
เทา่ ใดก็เปน็ เรือ่ งสนั นิษฐานมากย่งิ ขึน้ ไปตามลำดับการเคลื่อนยา้ ยของชนชาติไทยมีหลายความเหน็ เช่น
ความเหน็ ท่ี 1 ไทยอพยพจากเหนือลงใต้จากภูเขาอัลไตในใจกลางทวีปเอเชียลงมายงั น่านเจ้าแล้ว
อพยพตอ่ ลงมายงั ประเทศไทย นักประวตั ศิ าสตรบ์ างคนไม่เชื่อในความเหน็ นี้
ความเห็นท่ี 2 ไทยพร้อมกบั พวกฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย อพยพจากเส้นศูนย์สูตรขึ้น
มาถึงประเทศไทย แล้วเลยต่อขึ้นไปถึงจีน เรื่องนี้มีทฤษฎีภาษาศาสตร์ของ เบเนดิกส์ สนับสนุนอยู่ เช่น
ฟิลิปปินส์ คำว่า ปะตาย แปลว่า ตาย อากู แปลว่า กู คาราบาวแปลว่า กระบือ เป็นต้น นักภาษาศาสตร์
ส่วนใหญไ่ ม่ยอมรับวธิ ีการของเบเนดิกส์ เพราะนำภาษาปัจจบุ ันของฟลิ ิปปนิ สม์ าเทยี บกบั ไทย แทนทจี่ ะสานคำ
กลับไปว่า เมื่อ 1200 ปีมาแล้ว คำไทยควรจะเป็นอย่างไร และคำฟิลิปปินส์ควรจะเป็นอย่างไร แล้วจึงนำมา
เทียบกันได้
ความเห็นท่ี 3 ไทยอยู่ในประเทศไทยมาหลายพนั ปี และมคี นไทยกระจายอยู่ทั่วไปในอนิ เดีย พม่า
จีน ไทย ลาว และ เวียดนาม บางคนถือว่าบ้านเชียงก็เป็นคนไทย แต่ยังไม่มีผู้ใดเคยพิสูจน์ว่าวัฒนธรรม
ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงเหมือนกับวัฒนธรรมของคนไทยในปัจจุบันเหมือนกันหรือต่างกัน
อย่างไร หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงอ้างความเห็นของกอร์แมนว่าโครงกระดูกคนบ้านเชียงคล้ายกับ
กระดูกมนุษย์ที่อยู่ตามมหาสมุทรแปซิฟิก อีกประการหนึ่งจารึกในแหลมทองเป็นอักษรมอญ ภาษามอญ
มาจนถึงประมาณ พ.ศ.1730 ไมเ่ คยมจี ารกึ ภาษาไทยเขียนด้วยอกั ษรใดๆ กอ่ นจารกึ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
เลย
ความเห็นที่ 4 ปัจจุบันนักภาษาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์นานาชาติส่วนใหญ่สนับสนุน
ความเห็นของศาสตราจารย์ เก็ดนีย์ ว่า ถิ่นกำเนิดของภาษาไทยอาจจะอยู่ตามเส้นเขตแดนระหว่าง
มณฑลกวางสขี องจนี กบั เมืองแถง หรือเดียนเบียนฟใู นเวียดนาม หรอื ไมก่ อ็ ยู่ ขา้ งบนหรือข้างล่างใกล้เส้นแบ่ง
เขตแดนน้ี ดนิ แดนทเี่ ปน็ ประเทศไทยปัจจุบนั มผี ู้คนอยูอ่ าศัยมานานนับหม่นื ๆ ปี ดงั ท่ปี รากฎหลักฐานสำคัญ
คือ โครงกระดูกมนุษย์และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่พบในที่ฝังศพผู้คนดังกล่าวได้สร้างสมความเจริญและ
พฒั นาต่อเนื่องจากยคุ หนิ สยู่ ุคโลหะ อยรู่ วมกนั เป็นชมุ ชนและคิดตอ่ กบั โลกภายนอกทสี่ ำคญั คอื อินเดีย จีน
2
การเคลื่อนย้ายของบรรพบุรุษไทย เป็นการหาดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแกก่ ารสร้างบ้าน
แปลงเมือง คือ เหมาะสมทั้งการตั้งถิ่นฐาน การทำมาหากิน นี่คือมรดกสำคัญที่บรรพบุรุษไทยได้ให้แก่เรา
การเคลื่อนย้ายของบรรพบุรุษไทย ไม่ใช่เรื่องท่ีทำได้ง่ายหรอื ไม่มีอุปสรรค ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ดินแดนที่เปน็
ประเทศไทยปัจจบุ ันมีผู้คนตั้งถิน่ ฐาน มีอาณาจักรของตนมาเป็นเวลานานแล้ว และในบางเวลายังมีอาณาจักร
อื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง แผ่ขยายอำนาจเข้ามาด้วย ที่สำคัญ คืออาณาจักรขอม ซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมือง
พระนคร (นครวัด) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเสียมราฐ ในราชอาณาจักรกัมพูชาปัจจุบัน ดังนั้นบรรพบุรุษไทย
ในระยะแรก ๆ ที่เคลื่อนย้ายลงมาก็ต้องยอมอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าของถิ่นเดิม หรือ ยอมอยู่ภายใต้
อำนาจของขอมเมื่อขอมแผ่ขยายอำนาจเข้ามา แต่เราก็พบวา่ บรรพบุรษุ ไทยเหล่านัน้ คิดถึงอิสรเสรขี องตนอยู่
ตลอดเวลา เม่ือใดท่มี ีโอกาสบรรพบรุ ุษไทยก็จะรวมกำลังขับไล่ผู้ปกครองต่างชาติออกไป แล้วปกครองตนเอง
ความรกั อสิ รเสรจี ึงเป็นคณุ ลักษณะประจำชาตขิ องคนไทยตราบจนถึงปจั จุบนั
ในกลางพุทธศตวรรษที่ 18 ขอมได้แผ่อำนาจเข้ามายังดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันอีกครั้งหน่ึง
เพราะมีกษตั ริย์ที่เข้มแขง็ และมีความสามารถ คอื พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี 7 (พ.ศ.1725-1761) ทำให้ขอมมีอำนาจ
เหนืออาณาจักรตา่ ง ๆ และคนไทยกต็ อ้ งอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของขอมดว้ ย แต่คนไทยก็พยายามจะมีอิสรภาพ
อยู่เสมอ ซ่ึงกษัตริย์ขอมก็ทราบดี จึงใช้วิธกี ารผกู มดั น้ำใจของผ้นู ำคนไทย โดยยกพระราชธดิ า คือพระนางสิขร
มหาเทวี ให้อภิเษกกับพ่อขุนผาเมือง พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพ่อขุนศรีนาวนำถม ผู้นำชนชาติไทย
แถบลุ่มน้ำยมและน่าน พร้อมทั้งพระราชทานพระขรรค์ชยั ศรีและตำแหน่งอันเป็นเกียรติ คือ “กมรเต็งอญั ศรี
อินทรปตินทราทิตย์” ให้พ่อขุนผาเมืองอีกด้วย แต่ผู้นำของไทยก็ไม่ได้หลงชื่นชมสิ่งที่กษัตริย์ขอมมอบให้
กลบั รวมรวมกำลังกนั ขับไล่อำนาจของขอมออกไปไดส้ ำเร็จและตง้ั อาณาจักรสุโขทัยข้นึ เมอ่ื พ.ศ. 1792
หลักการรบและการสงครามในอดีตของไทย หลักการรบของไทย (ยทุ ธวธิ ไี ทย)
ทหารในสมัยโบราณ มี 2 สมยั
1. สมัยสโุ ขทัย เรมิ่ ตน้ ราว พ.ศ. 1800- 1921
การแบง่ พ้ืนท่ีการปกครอง การปอ้ งกนั เมอื ง การเตรียมพล การแบง่ กองทหาร การจดั หน่วยทหาร
2. สมยั ศรอี ยธุ ยา เรม่ิ ตน้ ราว พ.ศ. 1893 – 2310
ระเบียบแบบแผนของกองทัพบกไทย ส่วนมากจะมาจากอินเดีย ตามคติพราหมณ์ โดยแบ่งทหาร
ออกเป็น 4 เหล่า เรียกวา่ จตรุ งคเสนา คอื
เหล่า พลเท้า (ทหารราบ) เรียก พลานึก พลเท้าเป็นหน่วยหลกั ของกองทัพ มีจำนวนมากกว่าเหล่า
อื่น ๆ ลกั ษณะทหารพลเทา้ ในสมยั โบราณ คือ ตวั สูง ตาแดง ผมงอ หูใหญ่ จรแหลม คาง หนวด รอ่ งฟนั ฝ่าตีน
สั้น น่องใหญ่ ท้องใหญ่ ใจเหี้ยม เนื้อเป็นก้อน ตะโพกผาย ตาหูไว หลังใหญ่ เจรจาฉะฉาน ต้องมาจากชาย
ฉกรรจ์ เรียกว่า พลสกันลำเครื่อง เด็กหนุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป ต้องไปเป็นพวก เลขสม เลขสัก สังกัดเป็นหมู่
หมวด สามารถเรยี กตวั ได้เมื่อเกดิ สงคราม ใครสังกดั หมู่ หมวดใด ถืออาวธุ อะไร กจ็ ดั หามาเองเสรจ็ และฝึกมา
เองตง้ั แตค่ รัง้ อย่ทู ่ีบา้ นด้วยตัวเองตามนิสยั ทต่ี นถนัดเมอื่ ทางราชการเรยี กเขา้ มากส็ ามารถทำการรบได้เลย เรียก
เข้าประจัญบานกบั ข้าศกึ อาวุธทหารเดินเท้า คือ มีด หอก แหลน หลาว ดาบสองมือ ดาบเขน ดาบตั้ง ดาบโล่
ปนื คาบศิลา ปนื ใหญ่
3
เหลา่ พลม้า (ทหารมา้ ) เรียก หัยนกึ ลกั ษณะม้าศึก เทา้ ทั้ง 4 กลมยาว เอวกลมตะโพกผาย หูทั้งสอง
ชัน ปลายปากยาว เขี้ยวเล็กแหลมดุจเขี้ยวหมี เสียงร้องดุจเสียงนกกระเรียน เล็บแดง มีกำลังเร็วดั่งจักร
หางเลื้อยปกส้นเท้า หน้าดุจหงษ์ เดินเร็วเสมอมิได้หยุด ลิ้นดุจกลีบสัตบุษขาว หน้าที่สำคัญของทหารม้า คือ
รักษาปกี ทหารราบ จงึ อยู่ทางปีกเสมอ ใชเ้ ดนิ กบั ว่ิงเรียบประจัญบาน การยิงบนหลังม้าถอื ว่าสำคัญนอกจากนี้
ยังใช้รักษาด่าน เข้าตีโอบ รบกวน ลาดตระเวน รักษาปีก ส่งข่าว อาวุธที่ใช้คือ ดาบ หอก ทวน ปืน
การแต่งกาย มีทง้ั แตง่ กายคน และแตง่ กายม้า
เหลา่ พลชา้ ง (ทหารช้าง) เรียก คชานึก ลักษณะชา้ งศกึ สงู งวงยาว งายาว โขมดหวั (ช้างสีดอไม่มีงา
ตัวผเู้ รียกชา้ งพลาย มงี า ตวั เมียเรียกช้างพัง ไม่มงี าหรอื มแี ต่ส้ัน ๆ เรียกขนาย) เทา้ ท้ัง 4 มนั่ คง หลงั ดั่งเกาทณั ฑ์
ตาดงั่ ดาว งาทัง้ สองดง่ั งอนรถ หใู หญ่ คางสะบ้า หดู จุ จามร งวงและหางถึงดิน มีน้ำมนั หนา้ หลัง เสียงดั่งฟ้าร้อง
ดำปลอด เดินดงั่ ราชสีห์ ใช้ทำการรบเรยี ก ยุทธหัตถี (เปน็ กระบวนยุทธวิธีตอ่ ต้านบนหลังชา้ ง พระมหากษัตริย์
หรือแม่ทัพ ขณะที่อยู่บนคอช้างศึกสามารถที่จะรำของ้าวเข้าฟาดฟันอริราชศัตรูได้ทุกขณะ ถือเป็นการสู้รบ
ที่ทรงเกียรติยศยิ่ง) และยังใช้บรรทุกเสบียงยทุ โธปกรณ์ ช้างศึกคือช้างที่ได้รับการฝึกมาให้ทำการรบได้ ปกติ
ของช้างศึกจะมอี าการซับมันอยู่เปน็ นิจ เหมาะจะเข้าบกุ รกุ ขา้ ศึก
กรมชา้ งที่สังกัดกรมพระกลาโหม แยกชา้ งออกเปน็ 2 ประเภท คือ
ประเภท 1 กรมช้างต้น เรียกว่าช้างระวางใน เป็นช้างที่ทรงคุณอันว่าด้วยพระคชลักษณ์ เช่น
ชา้ งเผือกชา้ งสปี ระหลาด
ประเภท 2 กองช้างนอก จัดเปน็ กระบวนชา้ งศกึ ซ่งึ มรี ปู ร้วิ พระคชาธาร ดงั น้ี
- ชา้ งด้ัง เปน็ ชา้ งท่นี ัง่ ละคอ คือมีหมอช้างนั่งคอช้าง ควาญชา้ งนงั่ อย่ทู ้ายช้าง ควาญกลางหลังนั่ง
อยกู่ ลางหลงั เดนิ อยตู่ อนกลางแนวร้วิ ขา้ งหน้า
- ช้างกัน มีลกั ษณะเดียวกับชา้ งด้งั แตเ่ ดนิ อยตู่ อนกลางแนวรว้ิ ข้างหลัง
- ช้างแทรก ลักษณะเช่นเดียวกับชา้ งดั้ง แต่ไม่มีควาญท้าย มีหน้าที่ตรวจตราริ้วนอกทั้งสองข้าง
ทางซา้ ยและขวา
- ชา้ งแซง ลกั ษณะอยา่ งเดยี วกบั ช้างแทรก เดนิ เป็นร้ิวทง้ั สองขา้ งทางซ้ายและขวา
- ชา้ งล้อมวัง เป็นชา้ งผกู สัปคปั โถง มหี น้าท่ีแวดลอ้ มพระคชาธาร
- พระคชาธาร เป็นช้างผกู เครอื่ งม่ันมเี ศวตฉัตรคัดดาน 7 ช้นั อยู่กลางกระบวน
- ช้างค้ำ ช้างค่าย เรียกให้เต็มว่า ช้างต้นเชือกคา่ ย ปลายเชือกค้ำมี 10 ช้างด้วยกนั ช้างค่ายมี 6
ชา้ ง เดนิ ขา้ งหนา้ ช้างพระคชาธารจดั 2 แถวๆ ละ 3 ชา้ ง ชา้ งค้ำเดนิ คลา้ ยมาขา้ งท้ายพระคชาธาร จดั 2 แถว ๆ
ละ 2 ช้าง ผกู สปั คับโถง มที หารแม่นปนื สปั คบั ละ 1 คน มีหน้าที่เป็นองครกั ษ์ เดินอยวู่ งในของชา้ งลอ้ มวัง
- ช้างพังคา เป็นช้างผูกเครื่องมั่น สำหรับพระยาเสนาบดีและเจา้ ประเทศราช เดินเคียงคู่กับช้าง
พระคชาธารทางซ้ายและทางขวา ข้างละ 4 ชา้ ง
- ช้างพระไชย เป็นช้างผูกจำลอง หลังคากันยา สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปเดินหน้า
พระคชาธาร
4
- ช้างพระทนี่ ่ังกระโจมทอง เปน็ ช้างผูกสัปคับ กูบ (ประทนุ หลังช้าง) รูปเรือนวิมาน เป็นพระท่ีน่ัง
รองและใชป้ ระทับเวลารอนแรมในขบวนช้าง
- ช้างโคตรแล่น เป็นช้างซับมนั เดินอยู่ท้ายขบวน เว้นระยะจากท้ายขบวนชั่วเสยี งสังข์เสยี งแตร
เพ่ือมใิ ห้อาละวาด
พระคชาธารหรอื ช้างเครอื่ งม่นั เป็นชา้ งสำหรับแมท่ ัพขอ่ี อกรบ ถ้าแมท่ พั เปน็ กษตั รยิ ์ ช้างน้ีจะขนึ้ ระวาง
เป็นพระยาช้างต้น ประดับด้วยคชาธาร เศวตฉัตร พระแสงสรรพาวุธ กษัตริย์ประทับอยู่คอช้าง กลางช้างมี
จางวางกลมพระแสงต้น เรียกว่า กลางช้าง กลางช้างมีหน้าที่ คอยส่งอาวุธ และโบกแพนหางนกยูง
เป็นอาณัติสัญญาณตามพระราชดำรัสสั่ง ท้ายช้างมีควาญช้าง ท้ายช้างทำหน้าที่บังคับช้าง และช่วยช้างเมื่อ
ข้าศึกเข้ามาทางข้างหรือทางหลังช้างทรงนี้มีทหารประจำเท้าช้างเท้าละ 2 คน คนนอกถือหอก คนในถือดาบ
เรียกว่า จตรุ งคบาท โดยมากเปน็ ข้าราชการกรมพระตำรวจหลวง เลือกจากผู้มีฝีมือ ซอื่ สัตย์ ว่งิ เร็ว มีการแต่ง
กายช้างและคน
เหล่า พลรถ เรียก รถานึก ลักษณะรถศึก คือ มีวงดุมทั้ง 4 เท่ากัน เสมอวงละ 1 วา เอาเหล็กหุ้มเอา
หนังเสอื ดาวจรุ ะ มีธงไชยประดับด้วยแก้วเงินทอง มีสำเนียงดจุ เสียงฟา้ ม้าเทียมรถอ้วนสมบรู ณ์
ในยามสงครามพลรถมี 2 กอง คือ กองเกียกกาย กองยุกรบัตร มี เกวียน ระแทะ วัวต่าง คนต่าง
มหี นา้ ทข่ี นเสบียงและอาวุธยทุ โธปกรณ์และมีกองโขลงกระบือ ใชร้ บในทล่ี ่มุ ข้ามห้วยหนองคลองบึง
ยามปกติพลรถมีหน้าที่
- เกยี กกาย ทำหนา้ ท่ีเก่ียวกับอาหารเสบยี ง
- กองยกุ รบตั ร ทำหน้าท่เี ก่ียวกบั อาวธุ ยุทโธปกรณ์
ยงั มที หารอกี 2 เหล่า เข้ารว่ มรบดว้ ยอีก คอื
1. เหล่าทหารช่าง เรียกวา่ ทหารชา่ งในไทย ทหารช่างน้ีไดม้ าจากกรมพระตำรวจหลวงซึ่งคัดมาจาก
เหล่าพลเดินเท้า ทำหน้าที่ทางช่างของกองทัพ เช่น ขุดคู สร้างป้อมค่าย หอรบ ขุดอุโมงค์ ทำสะพาน ต่อเรือ
ปลูกพลับพลา (ที่ประทับ) จัดรวมอยู่กับเหล่าพลเดนิ เท้า ทหารแต่ละคนคัดให้ทำหน้าที่ช่างตามความชำนาญ
ของตน
2. เหล่าทหารปืนใหญ่ อยู่รวมกับพวกเดินเทา้ มหี น้าท่ี ทำการยิง เผาเรือน กับเผากำป่ัน
ยิงเผาเรือน คือ ใช้ยัดดินแลว้ เอาผ้ามว้ นเข้าเท่าลูกกระสุนยัดเข้าไปให้ถงึ ดินแลว้ เอากระสุนเผาให้
แดง แล้วเอาคมี คบี ใส่
ยิงเผากำปั่น ให้เอาผ้าชุบน้ำมันยางม้วนให้แน่น เอาตะปูน้อยๆตรึงให้รอบผ้าม้วนนั้น แล้วจึงยิง
เม่อื ถูกกำปน่ั ตะปูนั้นจะตดิ ประดจุ ตรงึ และใหป้ นื กระบอกอนื่ ตั้งจังก้ายิงคนที่จะออกมาดับอย่าใหด้ ับได้
ในสมัยรัชกาลที่ 3 กรมพระราชวังบวรฯสมเด็จพระบวรเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ กับคณะกรรมการ
ทรงชำระตำราพิชัยสงคราม โดยแบ่งออกเป็น 3 ภาค คอื
ภาคที่ 1 วา่ ด้วยเหตแุ ห่งสงคราม
ภาคที่ 2 วา่ ดว้ ยอุบายแหง่ สงคราม
ภาคท่ี 3 วา่ ด้วยยุทธศาสตรแ์ ละยุทธวธิ ี
5
การจัดทพั ทหารไทย ในสมยั สุโขทัย การจัดทหารไทยสมัยโบราณ เราถือเรือ่ งสกลุ เป็นหลักในการจัด
คือหัวหน้าสกุลสังกัดทหารหมู่ไหน ลูกหลานก็สังกัดหมูน่ ้ัน เมื่อเจ้าเมืองสั่งไปรบนายบ้านกค็ ุมกำลังไปมีอาวธุ
พาหนะ เสบียงพร้อม ถ้ามีชยั ชนะกแ็ บ่งทรพั ย์ แบง่ เชลย ตอ่ มาในสมยั สุโขทัย พ่อขนุ รามคำแหงมหาราช ได้จดั
ระเบยี บการปกครองบ้านเมอื ง โดยแบ่งพื้นทเ่ี ป็น 3 เขต คอื
เขตชั้นใน พระมหากษัตริย์ทรงบังคับบัญชา พระมหากษัตริย์เป็นทั้งเจ้าเมืองและจอมพล
ของทพั หลวง ชายฉกรรจต์ อ้ งเป็นทหารทุกคน ราชการฝ่ายทหาร และพลเรอื นใชท้ หารทำท้ังนั้น
เขตชั้นกลาง พระมหากษัตริยท์ รงแต่งตัง้ เช้ือพระวงศ์ หรือข้าราชการที่มีความชอบไปปกครอง
เมื่อเกิดสงครามขึ้น กำลังพลไหนมากก็ให้เมืองที่มีกำลังน้อยมารวม ณ เมืองนั้นแล้วฟังคำสั่งจะให้ไปสมทบ
ทัพหลวง หรอื อยู่ตามลำพงั
เขตประเทศราช หรือเขตชั้นนอก ยอมให้เจ้านายชนชาติน้ันปกครอง ตามประเพณีของชาตนิ ัน้
เมื่อเกิดสงครามจะให้เกณฑ์กองทัพมาช่วยก็ต่อเมื่อเป็นศึกใหญ่ ปกติเอาไว้ป้องกันชั้นนอก มิให้ชาติอ่ืน
มารุกราน
การจัดทหารสมัยอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 1991 ไม่เปลี่ยนแปลงจากสมัยสุโขทัยมากนัก มีการเปลี่ยนแปลงคร้ัง
สำคัญๆ อยู่ 5 ครงั้ คอื
1. สมัยสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนารถ
ก. ต้งั ทำเนยี บหน้าที่กระทรวง ทบวง กรม คือแบ่งหนา้ ทร่ี าชการเปน็ ฝา่ ยทหารและพลเรอื น
ฝ่ายพลเรอื น มีอัครมหาเสนาบดี สมุหนายก กรมมหาดไทย เป็นหัวหน้า และมีหัวหน้าชั้นรอง
ลงไปคือเสนาบดีอีก 4 คน เรียก จตสุ ดมภ์ คือ (ทเ่ี รยี กทั่วไปวา่ เวียง วัง คลัง นา)
- พระนครบาล มหี น้าทีบ่ ัญชาการสันตสิ ขุ ในพระนคร
- พระธรรรมาธิกรณ์ มีหนา้ ที่ บญั ชาการในราชสำนกั และการศาลยุติธรรม
- พระโกษาธิบดี มหี นา้ ท่ี บญั ชาการคลัง เก็บส่วย รกั ษาทรัพย์
- พระเกษตราธกิ าร มีหนา้ ท่ี บญั ชาการกสกิ รรม สะสมอาหาร เกบ็ อาหารอนั เกิดแกท่ ด่ี ิน
ฝ่ายทหาร มีอัครมหาเสนาบดีสมุหกลาโหม เป็นหัวหน้า มีเสนาบดีชั้นรอง ได้แก่ แม่ทัพ คือ
ตำแหนง่ สหี ราชเดโช ตำแหนง่ ท้ายนำ้ และมีตำแหนง่ รองลงมาอีก คือ
- นายกองพลทหารช้าง มี ตำแหน่งเพทราชา ตำแหนง่ สรุ นิ ทราชา
- นายกองพลทหารราบ มี ตำแหน่งพิไชยสงคราม ตำแหน่งรามคำแหง ตำแหน่งพิไชย
ชาญฤทธ์ิ ตำแหนง่ วิชติ ณรงค์
สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ทรงตั้งบรรดาศักดิ์ข้าราชการตามลำดับสำหรับสามัญชน พ.ศ. 1998
ดังนี้ เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน(สัญญาบัตร) หม่ืน พัน ทนาย ไพร่ (ไพร่สม-ไพรห่ ลวง)
นอกจากน้ัน พ.ศ. 2001 ทรงตัง้ กฎมณเฑียรบาลซงึ่ เปน็ กฎหมายสำหรับการปกครองบ้านเมืองแบ่งเปน็
3 แผนก คอื - พระตำรา ว่าดว้ ย แบบแผน เชน่ การพระราชพธิ ตี า่ ง ๆ
- พระธรรมนญู วา่ ดว้ ย ตำแหน่งหนา้ ที่ราชการ
- พระราชกำหนด เป็นข้อบังคับสำหรบั พระราชสำนกั
6
การปกครองส่วนกลาง
(พระมหากษตั รยิ )์
ฝา่ ยทหาร ฝา่ ยพลเรอื น
เจ้าพระยามหาเสนาบดี เจ้าพระยาจักรีศรีองครกั ษ์
(สมุหพระกลาโหม) (สมุหนายก)
กองทพั ตา่ ง ๆ เสนาบดี จตสุ ดมภ์
กองฝกึ ทหารตา่ ง ๆ
กองอาสาตา่ ง ๆ
สุรสั วดี(สสั ดีปจั จุบนั )
นครบาล ธรรมาธิกรณ์ โกษาธิบดี เกษตราธิการ
(กรมเมือง) (กรมวงั ) (กรมพระคลงั ) (กรมนา)
2. สมัยสมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี 2 พระราชโอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเมือ่ ปี พ.ศ. 2039 ไดม้ ี
พระราชกรณียกจิ ดังน้ี
ก. ทรงรวบรวมตำราพชิ ยั สงคราม
ข. ทรงทำสารบญั ชี คือตั้งกรมพระสรุ สั วดี เปน็ ผู้ทำบญั ชที ง้ั ทหาร และพลเรอื น
ค. การทำพิธีตามหัวเมือง มีตำแหน่งสัสดีประจำอยู่ทุกเมือง ตำแหน่งขุนพล ขุนมหาดไทย
มีตามมณฑล มณฑลจงึ ต้องจัดกองทัพเอง เรยี กว่าทำพิธที ุกหวั เมอื ง เพอ่ื ตรวจสอบความพร้อมรบของกำลังพล
สมัยน้มี โี ปรตเุ กสเข้ามาเมืองไทย ไทยจึงรับปนื ไฟและวิชาทหารจากฝรัง่ เป็นครัง้ แรก และเป็นครั้ง
แรกทม่ี ีฝร่ังอาสาไปรบกบั ไทยเม่ือคราวตเี มอื งเชยี งกราน
ตำราพชิ ัยสงคราม โปรดเกล้าใหจ้ ัดทำตำราพชิ ัยสงครามขึ้นมีสาระสำคัญดงั นี้
- อบุ ายการสงคราม - วิธกี ารจดั กระบวนทัพ - การตง้ั คา่ ย
- ยทุ ธศาสตร์และยุทธวธิ ี - การยกทัพ - การดำเนนิ กลยทุ ธ์
กรมพระสุรัสวดี มหี นา้ ทจ่ี ัดทำบญั ชีไพรพ่ ลฝ่ายทหารและพลเรือนท่ีสังกัดเจ้านายและขุนนางท่ีเป็น
มูลนายหรือ กรมกองต่างๆ บัญชีน้ีเรียกว่า “บัญชีหางว่าว” จุดประสงค์เพื่อสะดวกในการเรยี กคนเข้ากองทัพ
ควบคุมให้มีการขึ้นทะเบียนไพร่พลให้ถูกต้อง แจกจ่ายกำลังพลไปตามกรมกองและพิจารณาคดีเกี่ยวกับการ
ข้นึ สังกัดของไพร่ ไพรห่ ลวง ท่ีหนีการขึ้นทะเบยี นเปน็ ตน้
7
3. สมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ ได้ตั้งเมืองชั้นในเพิ่มขึ้น คือ นนทบุรี สาครบุรี(สมุทรสาคร)
นครไชยศรี สำหรับรวมผูค้ นเวลามศี ึกจะได้เร็วขึ้น และดัดแปลงเรือแซ เป็นเรือไชยและเรอื ศีรษะสัตว์ เพราะ
เรือแซใช้แต่บรรทุกคนและสัมภาระ จึงดัดแปลงใหต้ ิดปืนใหญ่ทำการยิงได้ โดยเสริมการทำแท่นตั้งยิงปืนใหญ่
ขึ้น นอกจากนั้นก็ทำการสะสมยานพาหนะและวิธีเรียกคนมาเป็นทหารโดยขึ้นทะเบียนทหาร ทำบัญชี
สำมะโนครัวแล้วสักเลข
4. สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เลิกมณฑลฝ่ายเหนือ โดยจัดให้หัวเมืองต่างๆ เป็นเมืองขึ้น
กรุงศรีอยุธยาทั้งนั้น แล้วกำหนดหัวเมืองต่างๆ เป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี และเมืองชั้นใน เมืองชั้นในขึ้นอยู่กบั
ราชธานีอย่างเดิม เมืองชั้นเอก โท ตรี มีเมืองเล็กๆ ขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ในสมัยพระเอกาทศรถ เนื่องจากสมเด็จ
พระนเรศวรทรงทำสงครามไว้มาก จำนวนทหารจึงน้อยลง สมเด็จพระเอกาทศรถต้องรับชาวต่างประเทศ
มาเป็นทหารอาสา เช่น กรมอาสาญี่ปุ่น อาสาจาม การอาศัยทหารอาสานี้ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
เกือบจะเสียทีฝรั่ง แตพ่ ระเพทราชารวมกำลังขบั ไล่ออกไปได้
ในสมัยสมเด็จพระนเรศวร ทรงริเริ่มการใช้วิธีรบแบบกองโจร ทรงจัดตั้งหน่วยทหารพิเศษขึ้น 2
หนว่ ย คือ หน่วยทหารราบพเิ ศษ และหนว่ ยทหารมา้ พเิ ศษ
5. สมัยพระเพทราชา ได้จัดให้หัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นกับมหาดไทย หัวเมืองปักษ์ใต้ขึ้นกับกลาโหม
ทำใหก้ ารจัดทหารตอ้ งเปล่ยี นตามไปด้วย
วิวฒั นาการแหง่ การทหาร และศาสตราวธุ ในกองทพั บกไทยสมยั โบราณ
ในสมัยสุโขทัย ยังไม่มีปนื ไฟใช้คงใช้ธนู หน้าไม้ ศร ในเรื่องปนื ไฟ เริ่มใช้ครั้งแรกในสมัยพระราเมศวร
ในสมัยอยุธยา อาวุธของกองทัพบกในสมัยสุโขทัยใช้อาวุธฟันแทง เช่น มีด ง้าว กริช หอก ทวน ดาบ
เม่อื มสี งครามเกดิ ขนึ้ ผู้ถูกเกณฑ์มารบ ตอ้ งนำอาวุธตดิ ตัวมาด้วยทุกคน
อาวุธท่ีใชใ้ นทพั บกไทยสมัยสุโขทยั คือ
อาวุธฟันแทง ใช้ตะลุมบอน ประจัญบาน มีดาบ กระบี่ กั้นหยั่น ทวน หอก ง้าว โตมร แหลน
หลาว ตะบอง มีด กริช
ดาบ มีหลายชนดิ เช่น ดาบสองมอื ดาบเขน ดาบดง้ั ดาบโล่ดาบมีศูนย์น้ำหนกั ค่อนข้างอยู่ทาง
ปลายฝกั ดาบทำด้วยโลหะ หนงั ไม้ ขา้ งในมหี นังหรอื ไมอ้ ่อน
กระบี่ มี 2 คม ใช้แทงมากกว่าฟัน ศูนย์น้ำหนักอยู่ที่ด้าม ไม่ยาวนักค่อนข้างเบา เพื่อใช้ได้
คล่องแคล่ว ฝกั กระบี่เช่นเดียวกับฝักดาบ
กนั้ หยน่ั คือ ดาบจีน เบากวา่ ดาบไทย และมีคมทงั้ สองขา้ ง
หอก เป็นอาวุธทหารราบมีกระบังก็มี ไม่มีก็มี ใช้แทงอย่างเดียว มีเหลี่ยมสี่เหลี่ยม น้ำหนัก
ไม่เกนิ 2 กก. ยาว 2 เมตรขึน้ ไป ศนู ย์น้ำหนักอยู่ชดิ กับมีดปลายแหลมตอ้ งอยู่ตรงแนวแกนทางยาว หอกมีหลาย
ชนิด เช่น หอกใบขา้ ว หอกชดั หอกตำรวจ
ทวน เป็นอาวุธทหารม้า ไม่มีกระบัง แต่ที่คอมีพู่ขนสัตว์ ผูกไว้เป็นพวงใช้แทงอย่างเดียว
ง้าว คล้ายมีดยาว สองเล่มซ้อนกันอยู่ ปลายโค้ง สันหนา ด้ามง้าวเช่นเดียวกับด้ามหอก
สว่ นมากใช้รบหลังช้าง
8
ของ้าว เป็นอาวธุ ประเภทเดยี วกับงา้ ว แต่มขี อสำหรับสับช้างอย่ตู ิดกบั ตวั ง้าว
- โตมร คือสามง่าม ด้ามมีลักษณะเช่นเดียวกับหอก เป็นอาวุธใช้พุ่งอย่างเดียว
- แหลน เปน็ อาวธุ ใช้พุ่ง และแทงด้ามมีลกั ษณะเชน่ เดยี วกบั หอก ตัวแหลนเปน็ แหลมยาวเรยี ว
- หลาว เปน็ ไม้รวก เสย้ี มปลายเปน็ ปากฉลามใชพ้ ุง่
- ตะบอง ทำด้วยไม้หรือเหลก็ ใช้ทบุ ตี ยาวกว่ากระบองและถอื ได้สองขา้ ง
- พลอง ทำด้วยไมห้ รอื เหลก็ ใชท้ ุบ ตี ลักษณะสั้น ปลายโต
- มีด ใช้ฟัน แต่สั้นกว่าดาบ และกระบี่ ตัวมีดทำด้วยเหล็กสันหนา คมบางตอนปลายแหลม
และมน ด้ามสนั โค้ง ดา้ มมดี ใช้ไมผ้ ่าซีกประกับตัวเหลก็ ด้ามมีดไว้ มปี ลอกเหล็กรดั หมดุ ย้ำ ทกี่ นั้ มีดและท้ายมีด
มีฝกั สวมทำด้วยหนัง หรอื ไม้
- กริช ตวั กริชเป็นรปู เรียวแหลม แหลมบา้ ง คดงอบา้ ง เป็นอาวุธใชแ้ ทงอย่างเดยี ว ไทยรับจาก
เขมร ชวา มลายู
อาวุธท่ีเกยี่ วข้องกบั ชา้ งมี 4 อย่าง คือ
ก. ของา้ ว
ข. ขอเกราะ เช่นเดียวกับของ้าว แต่ที่ตัวง้าวเป็นรูปหอก เป็นอาวุธของควาญท้ายช้าง
ใช้ปอ้ งกนั ชา้ งอืน่ ชนท้าย และเกยี่ วหูช้างใหห้ ันหน้าส้ขู ้าศกึ
ค. ขอไม้เท้า เปน็ ไม้ขอของเจา้ หน้าท่กี รมชา้ ง ใชถ้ ือในงานพธิ ชี ้าง
ง. ขอละเม็ด เป็นขอท่ีถอดเปลีย่ นเป็นหอกได้
เคร่ืองป้องกนั อาวธุ มี
ก. ดั้ง รูปร่างคล้ายกาบกล้วย ตัวดั้งทำด้วยหนงั หวาย ไม้ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีห่วงสอด
แขน ตดิ กับแผ่นหนังอยภู่ ายในส่วนมากใชก้ ับดาบ
ข. เขน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแต่ไม่โค้งเหมือนดั้ง ใช้กับดาบ เรียกว่าดาบเขน ถ้ามีแถบ
ลวดลายทอง เรียกวา่ เขนทอง
ค. โลห่ ์ เปน็ รูปกลม ใชก้ บั ดาบเรียกดาบโล่ห์
2. อาวุธยงิ มี ธนู เกาฑณั ฑ์ ศร ปืน
ศร คือ ธนู เกาฑันฑ์ ทำด้วยไม้หรอื โลหะ เอามาดัดเป็นรูปครึ่งวงกลม ขึงไว้ด้วยเอ็นหรือเชือก
ใชก้ ระสนุ ลูกศร เหลก็ ปลายแหลม ใส่เขา้ ที่แหลง่ ดึงเชือกดีดลูกออกไปได้ ในสมัยโบราณคดิ อาวธุ ท่ีจะให้ไปได้
ไกลที่สุด เช่น ธนู และในเรื่องรามายนะ อาวุธนี้เรียก ปืน เช่น นารายณ์ถือศร เราเรียกว่านารายณ์ทรงปืน
เมอ่ื เกิดปืนอยา่ งใหมข่ นึ้ เราจงึ เรียกว่า ปืนไฟ เพราะใช้ยงิ ด้วยไฟ
ไทยมีปืนเล็กใช้ก่อนโปรตุเกสเข้ามา และสร้างปืนใหญ่ในยุคเดียวกับฝรั่ง คือประมาณ
สมยั พระราเมศวร ปนื เลก็ เรากส็ รา้ งไดใ้ นสมัยสมเด็จพะราเมศวร โปรตเุ กสเขา้ มาในสมัยพระรามาธบิ ดที ี่ 2 เมือ่
โปตุเกสเอาปืนเล็กเข้ามา คงจะดีกว่าของไทยเราจึงหันไปใช้ปืนโปรตุเกสและจ้างฝรั่งมาสอนและฝึก ต่อมา
ก็สามารถประดิษฐ์ปืนเล็กได้ดี โดยไม่ต้องพ่ึงฝรั่ง ไทยเคยส่งปืนใหญแ่ ละกระสนุ ดินดำไปถวายโชกนุ แหง่ ญี่ป่นุ
โชกนุ พอใจมีสาสน์มาซอ้ื ปนื ใหญ่จากประเทศไทย
9
ตอ่ มาเหน็ ปืนฝรั่งดี เราจึงมาใช้ปืนฝร่งั ตามลำดบั ดงั นี้
- ปืนเอ็นเฟิล ไม่มีเกลียว เป็นปืนบรรจุปาก มีนกสับ ตั้งศูนย์ได้ 100 เมตร นำมาใช้ในสมยั
รชั กาลท่ี 4
- ปืนกริช บรรจุท้ายมีซองกระสุน เป็นบานพับ เปิดปิดได้เป็นปืนชนิดนกสับ บรรจุท้าย
ทีละนดั ใชใ้ นปลาย รัชกาลท่ี 4 ตน้ รชั กาลที่ 5
- ปืนสไนเดอร์ บรรจุท้าย มีซองกระสุน เป็นบานพับ เปิดปิดได้ เป็นปืนชนิดนกสับ
บรรจทุ ลี ะนดั
- ปืนวนิ เชสเตอรเ์ ปน็ ปนื ท่มี ีเคร่ืองกลไกจุกจกิ บรรจไุ ดค้ ราวละ 12 นัด
- ปืนมาตินี่เฮนรี่ ใช้ที่กรมทหารเรือก่อน เครื่องบรรจุเป็นบานพับสะพานหักลงล่าง
เมอ่ื ร.ศ. 105 ทัพบกจงึ ตกลงใจนำกลับมาใชบ้ า้ ง
- ปืนมัลลเี ดอร์ มศี ูนยย์ ิง 2,500 เมตร บรรจุกระสุนได้ 5 นดั
- ปืนเมาเซอร์ มลี กู เลื่อนกระสนุ ได้คราวละ 1 นัด เป็นปืนเยอรมัน
- ปืน ร.ศ. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 สั่งซื้อจากเดนมาร์ค เมื่อ พ.ศ. 1444
จำนวน 4 กระบอก เพื่อเอามาเป็นตัวอย่างและเมื่อทดลองใช้ดูมีประสิทธิภาพดีจึงทรงซื้อมาใช้ในกองทัพ
เมอื่ ร.ศ.121 เรียกกันท่วั ไปว่าปนื ร.ศ. แตต่ อ่ มาทางราชการได้ตัง้ ชอ่ื วา่ ปนื เล็ก ยาวแบบ 44 เหตุท่ีเรียกกันว่า
ปนื ร.ศ. เพราะนำมาใชใ้ นสมยั ท่ีไทยยงั ใช้ รตั นโกสนิ ทร์ศก อยู่
- ต่อมาเปน็ ปนื เลก็ ยาวแบบ 66
- ต่อมาเปน็ ปืนส้นั บรรจเุ อง แบบ 87
- ต่อมาเป็นปืนเล็กยาวบรรจุเอง แบบ 88
- ตอ่ มาเป็น M. 16, HK 33
หลักการสงครามของไทย
หลกั การสงครามของไทยทีป่ รากฏในเอกสารทางราชการต่อมา เท่าที่รวบรวมไดแ้ บ่งออกเป็น 3 สมัย คอื
- สมยั พลเอกสมเดจ็ เจ้าฟา้ กรมหลวงพิษณโุ ลกประชานาถ
- หลกั การสงครามของไทยสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว
- ภายหลงั สงครามโลกครั้งท่ี 2
1. สมัยพลเอกสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงได้เรียบเรียงไว้ใน “หัวข้อยุทธวิธี
ทั่วไป” ระหว่าง พ.ศ.2457-2458 ขณะทรงดำรงตำแหนง่ เสนาธิการทหารบก ได้กล่าวถึงหลักการสงครามวา่
มหี ลกั ใหญ่อยู่ 2 ประการ คอื “หลักการออมกำลัง” กบั “หลกั ทำการเป็นอสิ ระ”
1.1 หลักการออมกำลัง หมายถงึ การถนอมกำลังกบั การใชก้ ำลังในทางท่ถี ูก ซง่ึ วิธีการทจ่ี ะให้ได้มา
ซ่ึงหลกั การออมกำลังน้ัน จะต้อง
(1) มกี ารรวมกำลัง
(2) มยี ทุ ธวินยั (ทำการอย่างมรี ะเบยี บ ใชค้ วามคดิ และความรบั ผดิ ชอบ)
10
(3) ใช้การเดินทางเคลื่อนที่ในสนามรบ ซึ่งน่าจะเทียบได้กับการดำเนินกลยุทธ์ กับประกอบ
ด้วยการเคลื่อนที่ การยิง การอาศัยภูมิประเทศ และจะต้องทำการโดยแข็งแรง รวดเร็ว ไม่ให้ข้าศึกรู้ตัว
(จะเหน็ ว่าหลกั การจโู่ จมไดน้ ำมากล่าวย้ำไวใ้ นเรอื่ งการดำเนินกลยุทธ์)
(4) มกี ารตอ่ เนอื่ งระหวา่ งเหลา่
1.2 หลักทำการเป็นอิสระ หมายถึง ทำการตามใจเราได้ (เป็นอิสระ) ไม่ว่าข้าศึกจะอยู่ที่ไหน
หรอื ทำอะไร การนำหลักนไ้ี ปใชจ้ ะต้องมีวธิ ีการ
(1) การสืบขา่ ว (การข่าวกรอง)
(2) การกะการลว่ งหนา้ (การวางแผนล่วงหน้า)
(3) การระวงั (การระวงั ป้องกนั )
2. หลักการสงครามของไทยหลังสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ได้มีกล่าวไว้ในตำรา
ยุทธศาสตรว์ ่าด้วยหลกั การนำทพั ของ พ.อ.พระยาสงครามภกั ดี ซง่ึ ได้เรียบเรียงขึ้นจากหนงั สือยุทธศาสตร์ของ
อังกฤษ (British Strategy) โดย พลตรี เซอร์ เอฟ. เมาริช (F. Maurice) ที่พิมพ์ใน พ.ศ.2472 (ค.ศ.1929)
ประกอบกับพระราชพงศาวดาร และหนงั สือ "เรารบพม่า" ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทไี่ ดท้ รงรวบรวมไว้
และกระทรวงกลาโหมไดส้ ั่งให้ใช้สำหรับการศึกษา เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2480 ได้กล่าวถึงหลักการสงคราม
ตามท่ีตดั ทอนหรอื ดดั แปลงมาจากหลักการ สงคราม 7 ประการของกองทพั อังกฤษ ได้แก่
2.1 หลักการรวมกำลงั (Concentration)
2.2 หลกั การออมกำลัง (Economy of Force)
2.3 หลักความฉับพลัน (Surprise) (หลักการจโู่ จม)
2.4 หลักความคล่องแคลว่ (Mobility) (หลกั การดำเนินกลยุทธ์)
2.5 หลักการทำการเป็นเบี้ยบน (Offensive Action) (หลักการรุก)
2.6 หลกั การทำการรว่ มกัน (Cooperation) (ผสมเหลา่ )
2.7 หลกั การระวงั ปอ้ งกัน (Security) (หลกั การรกั ษาความปลอดภัย)
ในข้อ หลักการออมกำลงั (Economy of Force) หมายความว่า การใช้กำลงั เท่าที่จะยังประโยชน์
ให้สำเร็จตามความมุ่งหมาย และในข้อ หลักความฉับพลัน (Surprise) ได้มีการอธิบายเหตุผลที่ใช้คำว่า
ความฉับพลัน แทนคำว่า การจู่โจม ทั้งที่แปลมาจากภาษาอังกฤษคำเดียวกัน คือ Surprise ประกอบไว้
หลักการทำการเป็นเบี้ยบน (Offensive Action) หมายความว่า ทำให้เรามีอิทธิพลเหนือข้าศึก ข้าศึกต้องทำ
ตามใจเรา หลักการทำการร่วมกัน (Cooperation) ได้กล่าวถึงการรบร่วมระหว่างเหล่าทัพ และการรบผสม
เหล่าภายในกองทพั
ในเร่ืองความมุ่งหมาย แมว้ า่ จะไมไ่ ด้กล่าวไวเ้ ปน็ หลกั การสงคราม แต่กไ็ ด้นำมากลา่ วแยกในมาตรา
3 หนทางบรรลคุ วามมุง่ หมายในการสงคราม
3. ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพไทยได้รับเอาหลักนิยมทางการทหารของสหรัฐ มาใช้เป็น
แนวทางในการพัฒนาหลักนิยมของกองทัพไทย ความเหมาะสมในหลักการสงครามของกองทัพบกสหรัฐ ฯ
11
ที่ไทยรับมาใช้นั้นได้มีการพิจารณาศึกษาค้นคว้ากันในระดับหนึ่ง หลักการสงครามดังกล่าวยังคงใช้มา
จนถึงปจั จุบัน ไดแ้ ก่
3.1 หลกั ความม่งุ หมาย (Maintain of Objective)
3.2 หลักการรกุ (Offensive)
3.3 หลกั การรวมกำลงั (Concentration of Forces)
3.4 หลกั การออมกำลัง (Economy of Forces)
3.5 หลักการดำเนินกลยทุ ธ์ (Maneuver)
3.6 หลกั เอกภาพในการบงั คบั บัญชา (Unity of Command)
3.7 หลกั การระวงั ป้องกัน (Security)
3.8 หลักการจ่โู จม (Surprise)
3.9 หลกั ความงา่ ย (Simplicity)
ต่อมาได้มีการเพิ่มหลักการสงครามขึ้นอีก 1 ประการ คือ หลักการต่อสู้เบ็ดเสร็จ (Total Defence)
รวมแล้วหลักการสงครามที่กองทพั บกไทยยดึ ถือในปัจจุบัน คือ หลักการสงคราม 10 ประการ ที่มีรากฐานมา
จากกองทัพบกสหรัฐ ฯ
จากที่ได้กลา่ วมาแล้วในขัน้ ต้น วิวัฒนาการของหลักการสงครามของไทย มีปัญหาในเรื่องของเอกสาร
ทเ่ี กดิ การสญู หายเนอ่ื งจากสงคราม เทา่ ทีมเี หลอื อยกู่ ็เลอะเลือน ไม่มกี ารปรับปรุงไวอ้ ยา่ งชดั เจน และเอนเอียง
ไปยึดถือทางด้านไสยศาสตร์ เวทย์มนต์ ฤกษ์ยาก อันเป็นศาสตร์ที่หาเหตุผลไม่ได้ จนในที่สุดต้องใช้หลักการ
สงครามทแี่ ปลจากตำราของสหรัฐ ฯ ซ่งึ กไ็ ดม้ าจากหลักการสงครามองั กฤษ และหลกั การสงครามขององั กฤษน้ี
ก็มีที่มาจากการพิจารณาถึงผลสำเร็จ และความล้มเหลวในการรบครั้งต่าง ๆ ของนโปเลียน กำหนดขึ้นไวเ้ ปน็
การเปรียบเทียบวิวัฒนาการของหลักการสงครามของไทยและต่างประเทศ แสดงความเป็นมาของหลักการ
สงครามทั้งของไทยแต่ดัง้ เดมิ และหลกั การทกี่ องทัพบกไทยได้ยึดถือจากหลักการสงครามสหรัฐ ฯ เปน็ แนวทาง
ในปจั จบุ นั
การทหารของไทยกอ่ นสมัยกรุงสโุ ขทัย
การทหารของไทยก่อนสมัยกรุงสุโขทัยนั้น เท่าที่ปรากฏเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดและยังคงสภาพ
ให้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไปนั้น ได้แก่ ภาพจำหลัก ที่ระเบียงปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา ซึ่งได้จำหลักไว้
ในรชั สมัย พระเจ้าชัยวรมัน ที่ 7 (พ.ศ. 1724-1761) เป็นภาพขบวนพยุหยาตราของกองทัพ พระเจ้าสุริยวรมัน
ที่ 2 (พ.ศ. 1656-1695) ในภาพดังกล่าวมีกองทหารซึ่งอยู่ทางตอนหน้าของขบวนทัพ มีอักษรจารึกไว้ว่า
เปน็ หน่วยทหารเสยี มกกุ คอื กองทพั ของชาว เสียม (สยาม) ตอนหนง่ึ และชาวละโว้ตอนหนงึ่ รปู ชาวละโว้แต่ง
กายเหมือนกับพวกขอม แตร่ ูปชาวสยามนั้น แต่งกายแปลกออกไปอีกอย่างหนึ่ง
นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสคณะหนึ่งกล่าวว่า หน่วยทหารของสยาม ในฐานะที่เป็นพันธมิตร ได้เป็น
กองระวังหน้า ในกองทัพ พระเจ้าสุริยวรมนั ที่ 2 แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ที่ยกไปตีอาณาจักรจามปา เมื่อปี
พ.ศ. 1688 และสามารถยดึ เมืองวชิ ัยราชธานขี องจามไว้ได้
12
นักโบราณคดีไทยบางท่านกล่าวว่า กองทัพชาวเสียมนั้น มาจากลุ่มแม่น้ำกก ซึ่งมี ขุนเจือง (ท้าวฮุง)
กษตั ริยแ์ ห่งอาณาจกั รเงินยาง ซึง่ ครองเมืองพะเยาอยู่ เป็นผรู้ วบรวมกำลงั ชาวไทย (ลาว) และอาจมีชาวข่าร่วม
ดว้ ยส่งกำลังดังกลา่ วไปช่วยพระเจา้ สุรยิ วรมนั ที่ 2 รบกับพวกจาม ภาพจำหลักดังกลา่ วนี้ มีรายละเอียดใหเ้ ราได้
ทราบถึง การจัดกองทพั ของชาวเสยี มในยคุ นนั้ ได้เป็นอย่างดี ในหลายๆ ด้าน
การทหารสมยั สุโขทัย (พ.ศ. 1800 - 1893)
ประวัตกิ ารยุทธสมยั กรุงสโุ ขทยั ปรากฎตามหลกั ศิลาจารึกและพระราชพงศาวดารว่า นอกจากจะมี
การยุทธขับไล่ชนชาติเขมรเพื่อสถาปนาราชอาณาจักรไทยแล้ว ยังมีการยุทธอีกหลายครั้ง แต่เป็นการรบ
ระหวา่ งไทยต่อไทยด้วยกันเอง มอี ย่คู รัง้ เดียวทีไ่ ทยไดร้ บกับขอมหรือเขมรผู้ต้ังตัวเป็นนายเหนือไทยคือครั้งพ่อ
ขุนบางกลางหาวกับพ่อขุนผาเมืองร่วมกันขบั ไล่เขมร การรบนั้นเชื่อว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงเปน็ จอมทพั
บัญชาการทหารโดยตรง แล้วรอง ๆ ลงมาจึงถึงแม่ทัพเสนาบดีและไพร่พลตามลำดับ มีอาณาเขต เหนือจด
หลวงพระบาง เวียงจันทร์ เวียงคำทางใต้ จดนครศรีธรรมราช ตะนาวศรี ทิศตะวันตกจดกรุงหงสาวดี พุกาม
จะมีหวั หน้าแห่งหมบู่ ้านกเ็ ป็นนายกองนายทัพขน้ึ ตรงกบั องค์พระมหากษตั รยิ ์ มยี ุทธศาสตรก์ ารต้ังรับ อาศยั น้ำ
และแผน่ ดินในการป้องกนั ชาติมาตลอด มหี ลักนยิ ม คือ สร้างคนั ดินเป็นกำแพง 3 ชนั้ (เรยี กวา่ ตรีบูร) สร้างคู
เมอื งเป็นนำ้ 2 ชน้ั สร้างปอ้ มท้ัง 4 ดา้ นของกำแพงดิน
เมื่อเกิดอาณาจักรสุโขทัยขึ้นในปลายพุทธศตวรรษท่ี18 จากหลักฐานทางศิลาจารึกพบว่า
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้บงั คบั บญั ชาทหารโดยตรง และทรงนำกองทัพเข้าสงครามดว้ ยพระองค์เองในฐานะ
เป็นจอมทัพ บรรดาชายฉกรรจ์ทั้งปวงจะเป็นทั้งพลเมืองและทหารในกองทัพหลวง ตามกรมกองที่ตนสังกัด
การฝึกหัดทหาร จะใช้หัวหน้าสกุลในแตล่ ะหมบู่ ้าน เปน็ ผู้ควบคมุ ฝกึ สอนวิชาการต่อสู้ เมื่อเกดิ ศึกสงครามทหาร
ทกุ คน จะมีอาวธุ คู่มอื ที่ตนไดฝ้ กึ ซอ้ มไวช้ ่ำชองดแี ล้ว พรอ้ มท่จี ะใช้งานส่วนเสบยี งอาหารกจ็ ะเตรยี มไว้เฉพาะตน
ในขนั้ ต้น มคี วามสมบูรณ์ในตนเอง พร้อมทจี่ ะออกศึกไดท้ นั ที
ในช่วงระยะเกือบ 200 ปี (พ.ศ. 1800-1981) อาณาจักสุโขทัย ได้แผ่ไพศาลไปอย่างกว้างขวาง
ในรชั สมัยพ่อขนุ รามคำแหงมหาราช (พ.ศ. 1822-1862) จากศลิ าจารึกหลักที่ 1 ดังนี้
- ทศิ เหนอื ได้เมอื งหลวงพระบาง
- ทศิ ตะวนั ออก ไดเ้ มืองเวยี งจนั ทน์ และเมอื งเวยี งคำ
- ทิศใต้ ไดเ้ มืองนครศรีธรรมราช ไปจนสดุ แหลมมาลายู
- ทศิ ตะวนั ตก ได้เมอื งหงสาวดไี วใ้ นอำนาจ
การจดั กองทัพ
- กองทัพหลวงเปน็ พระมหากษตั รยิ เ์ ป็นจอมทัพอยกู่ รงุ สุโขทยั
- กองทพั หัวเมืองมีทง้ั 4 ทิศ คือ ศรีสัชนาลัย พจิ ิตร พษิ ณโุ ลก กำแพงเพชร
- กองทพั ประเทศราช คือหลวงพระบาง นครศรีธรรมราช ตะนาวศรี
ยุทธวิธี ต่อสู้แบบประจัญบาน สร้างถนนพระร่วง (ใช้เคลื่อนที่เร็ว) จากสุโขทัยถึง สวรรคโลก
ระยะทาง 120 กม. ผลการรบถา้ ชนะแบง่ ทรัพยส์ นิ แบ่งเชลย
13
อาณาจกั รสโุ ขทยั ได้เสื่อมลงเมื่อ พ.ศ. 1921 ตอ่ มาเป็นเมอื งข้นึ กรงุ ศรีอยธุ ยา แตก่ ็ยงั มกี ษัตรยิ ์ราชวงศ์
เชียงรายสุโขทัยได้ครองครองกรงุ ศรีอยุธยาหลายพระองค์
การทหารสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
ววิ ัฒนาการแหง่ การยทุ ธในสมยั กรุงศรอี ยุธยาได้มกี ารดัดแปลงแกไ้ ขเมอ่ื รชั สมัยสมเดจ็ พระบรมไตรโลก
นารถ ทรงให้แยกแบ่งกิจการทหารกับพลเรือนแยกออกจากกัน เช่น ขุนนางตำแหน่งทางทหารให้เป็น
สมุหกลาโหม พลเรือนเป็นสมุหนายก ขุนเมืองเป็นพระนครบาล ขุนวังเป็นพระธรรมธิกรณ์ ขุนนาเป็นพระ
เกษตร ขุนคลงั เป็นพระโกษาธิบดี
ดา้ นยุทธศาสตร์
การเปลี่ยนแปลงด้านยทุ ธศาสตร์ สมเด็จพระจักรพรรดิทรงเห็นว่า บรรดาป้อมปราการที่มีอยู่ของ
เมืองพระยามหานครนั้น เปรียบเหมือนดาบสองคม ถ้าฝ่ายเราสามารถรักษาไว้ได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่ฝ่าย
เรา แต่ถ้าปอ้ งกนั ไว้ไม่ได้ เม่ือขา้ ศึกยดึ ได้แล้ว ก็จะเปน็ ประโยชน์แกฝ่ ่ายข้าศึก ดงั นั้นจงึ ทรงดำเนินการดังนี้ ให้
ร้ือป้อมปราการเมอื งสพุ รรณบุรี ซ่ึงอยูใ่ กลช้ ายแดนพม่า และอยู่หา่ งจากกรุงศรีอยุธยา ทางกรงุ ยกกำลังไปช่วย
ไม่ใคร่จะทันท่วงที ตัวกรงุ ศรอี ยธุ ยาเองไดม้ ีการเสริมสรา้ งป้อมปราการให้สามารถปอ้ งกนั ปืนใหญ่ได้ เพราะเดิม
กำแพงเมืองของกรุงศรีอยุธยาเป็นกำแพงดิน จึงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน สร้างป้อม
เพิ่มขึ้นและทันสมัยขึ้น โดยใช้ช่างชาวยุโรป สูง 3 วา หนา 10 ศอก ใบเสมาสูง 2 ศอกคืบ กว้าง 2 ศอก หนา
ศอกคบื และขยายคูเมืองรอบพระนครใหก้ วา้ ง และลึกยิ่งขึ้น เพอื่ ทำให้กรงุ ศรอี ยุธยาแข็งแรง
การเปล่ียนแปลงทางยทุ ธวธิ ี เม่ืออาวธุ ทันสมัยขึน้ คอื มกี ารใช้ปนื ไฟ คือปนื ใหญ่ และปืนเล็กในการรบ
ของทั้งสองฝ่าย คือทั้งไทยและพม่า ทำให้การใช้รูปขบวนในการรบ และยุทธวิธีในป้อมค่ายเปลี่ยนแปลงไป
จากเดิม ที่มีแต่อาวุธสั้นเป็นอาวุธประจำกาย และไม่มีอาวุธหนักเป็นอาวุธประจำหน่วย และใช้สนับสนุน
ทั่วไป เช่น ปืนใหญ่ ในครั้งนั้นเรือสินค้าโปรตุเกสติดตั้งปืนใหญ่ไว้ในเรือ สามารถยิงจากเรือไปยังที่หมาย
ที่ต้องการได้ จึงได้เริ่มใช้เรือสินค้าโปรตุเกส แล่นไปยิงค่ายพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยาอย่างได้ผล จึงได้มี
พระราชดำรใิ ห้ดัดแปลง เรือแซ คอื เสริมกราบเรือ ทำแท่นท่ีตัง้ ปืนใหญไ่ ว้ยิงข้าศึก และบรรดาเรือรูปสัตว์ เช่น
เรอื ครุฑ และเรอื กระบ่ีจะมีปืนใหญไ่ วท้ ่ีหวั เรอื ทุกลำ
ด้านกำลังทางเรือ ได้มีการยกกำลังทางเรือ ไปตีเมืองบันทายมาศ หรือเมืองฮาเตียน (Hathien)
ในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2136 การเปลี่ยนแปลงกจิ การทหารในห้วงนี้คือ การรับชาวต่างประเทศมาเปน็ ทหาร
โดยตั้งเป็นหนว่ ยทหารอาสาต่างชาติ เรียกว่ากรมทหารอาสา เช่น กรมทหารอาสาญี่ปุ่น กรมทหารอาสาจาม
กรมทหารแมน่ ปืน (ชาวโปรตุเกสเดิม) หนว่ ยทหารเหลา่ นี้มหี น้าท่ีรกั ษาพระองคแ์ ละรกั ษาพระนคร
รัชสมัยต่อมาจนถึงเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2310 กิจการทหารของกรงุ ศรีอยุธยาเสือ่ มลงเป็น
ลำดับ เนอ่ื งจากวังหน้าได้เพม่ิ อำนาจทางทหารของตนมากขนึ้ จนถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมือง ระหวา่ งวังหน้า
กับวังหลวง และระหว่างเจ้านายที่ทรงกรมต่างๆ หลายครั้ง ความอ่อนแอทางทหารมีมากในรัชสมัยสมเด็จ
พระเจ้าบรมโกศ จนถึงกับพวกจีนได้คุมกำลังกัน เข้าปล้นวังหลวงได้อย่างง่ายดาย สมเด็จกรมพระยาดำรง
ราชานุภาพ ทรงสันนิฐานว่า เพราะเหตทุ ีก่ จิ การทหารเสื่อมลงมากจนไม่มีใครอยากเป็นทหาร จึงเกดิ วิธีการท่ี
ทางราชการยอมให้คนเสียเงนิ คา่ จา้ งแทนการเขา้ เวรได้
14
สรุปการสงครามไทย-พม่า สมัยอยุธยาเกิดขึ้นทั้งหมด 24 ครั้งในจำนวนนีเ้ ปน็ การรบทีพ่ ม่ายกเข้ามา
โจมตีดนิ แดนไทย 17 ครง้ั และฝ่ายไทยยกไปรบพม่ายังดนิ แดนพมา่ หรือเขตอิทธพิ ลของพมา่ 7 ครัง้
การทหารสมัยกรงุ ธนบรุ ี (พ.ศ. 2310-2325)
การทหารในสมัยกรุงธนบุรีนี้ มีการปฏิบัติตามเยี่ยงอย่างกรุงศรีอยุธยาทุกประการ สมเด็จพระเจ้า
กรงุ ธนบรุ ีทรงเสาะแสวงหาอาวธุ ต่าง ๆ มาประจำกองทพั อกี เปน็ อันมาก อีกทง้ั มชี าวตา่ งชาตแิ ขกเมอื งตรังกานู
และแขกเมืองยักตรานำเอาปืนคาบศิลาเข้ามาทูลเกล้าถวายถึง 2200 กระบอก ถือเป็นพระราชลาภอันวเิ ศษ
และต่อมาแขกเมืองยกั ตราก็ไดถ้ วายปนื ใหญ่อกี 100 กระบอก เพื่อป้องกันพระนครธนบุรีมิใหต้ ้องแตกเพราะ
นำ้ มอื ศัตรู จงึ มกี ารขดุ แต่งทำ กำแพงพระนครใหม่ ทรงจัดการให้มกี ารตรวจกำลังพลฉกรรจอ์ ีกเพือ่ เรยี กกระดม
เข้าหมู่สมสังกัดพรรคในยามมีศึกได้ทันท่วงที อีกทั้งทรงให้หล่อปืนใหญ่ใช้เอง มีชื่อว่า พระพิรุณแสนห่า
ด้านกองทัพเรอื ทรงสร้างเรือรบ 100 ลำเศษ มีเรือพระทีน่ ั่งสวุ รรณพิไชยนาวาท้ายรถ สมเด็จพระเจา้ ตากสิน
มหาราช จึงได้ทรงปรับปรุงกิจการทหารให้เข้มแข็ง ด้วยการวางมาตรการต่าง ๆ คือ ทรงรวบรวมผู้ที่มี
ความสามารถในการรบ มาร่วมกันกอบกูส้ ถานการณ์ โดยทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาจักรี เป็นอัครมหาเสนาบดีสมุ
หนายก และเจ้าพระยาสุรสีห์ สองทหารเอก ผู้มีความสามารถสูงส่ง เป็นแม่ทัพไปปราบปรามอริราชศัตรู
ท้งั ภายในและภายนอกราชอาณาจกั ร
การจัดการกำลังพล คงยึดถือแบบแผนเดิม คือ ชายฉกรรจ์ไทยทุกคนต้องเป็นทหาร มีการสำรวจ
กำลังพล จึงต้องใช้มาตรการที่ได้ผลและสะดวกแก่การตรวจสอบ โดยการสักพวกไพร่และทาสทุกคนที่ข้อมอื
เพื่อให้ทราบเมืองที่สังกัด และชื่อผู้ที่เป็นนาย ทำให้ทราบจำนวนไพร่พลที่แน่นอน และง่ายต่อการควบคุม
บงั คับบัญชา
ด้านอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ ได้มีการแสวงหาอาวุธทีม่ ีอานุภาพสูงมาใช้ และได้รับอาวุธปืนชนิดต่าง ๆ จาก
ต่างประเทศ ได้แก่ ปืนคาบศิลา ปืนนกสับ และปืนใหญ่ สำหรับปืนใหญ่นอกจากท่ีได้รับจากต่างประเทศแล้ว
ยังได้หล่อข้ึนใช้เอง สำหรบั ปอ้ งกนั พระนครอีกด้วย
ดา้ นยทุ ธศาสตร์ทหาร มกี ารกำหนดเขตสงคราม ออกเปน็ เขตหน้าและเขตหลัง เพื่อประโยชน์ในการส่ง
กำลังบำรุง และใช้วิธียกกำลังไปสกัดยับยั้งข้าศึกที่มารุกราน ที่บริเวณชายแดน เพื่อป้องกันดินแดน
ในราชอาณาจักรไม่ให้เสียหายจากภัยสงคราม และไม่เปน็ อนั ตรายตอ่ ราชธานี อนั เป็นหัวใจของราชอาณาจักร
มกี ารใชป้ นื ใหญ่เพอ่ื เพิม่ อำนาจกำลังรบอย่างได้ผล โดยการใชป้ นื ใหญช่ ว่ ยส่วนรวม
สรปุ การสงครามในสมัยธนบรุ ี มี 7 ครัง้
การทหารสมยั รัตนโกสนิ ทร์
การทหารสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ยุคต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ราชอาณาจักรไทย ได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ทุกทิศทางยิ่งกว่าสมัยใด กล่าวคือ ทางเหนือได้
อาณาจกั รลา้ นนาไทย รวมท้ังหวั เมอื งใหญ่อน่ื ๆ เช่น เชียงตงุ เชียงรุ้ง และหัวเมอื งอ่นื ๆ ในแควน้ สิบสองปนั นา
ทางดา้ นตะวนั ออกได้หัวเมืองลาว และกมั พชู าทงั้ หมด ดา้ นทศิ ใตไ้ ด้ดนิ แดนตลอดแหลมมาลายู ได้แก่ เมืองไทร
บุรี เมืองกลันตัน เมืองตรงั กานู เมืองเประ และเมืองปัตตานี ด้านตะวันตก ได้หัวเมืองมะริด เมืองตะนาวศรี
และเมอื งทะวาย ไดม้ สี งครามกบั พม่าหลายคร้ัง ครงั้ ที่สำคัญได้แก่สงครามเก้าทพั เมอื่ ปี พ.ศ. 2328
15
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย การทหารยังคงดำเนินตามแบบอย่างเดิม ในรัชสมัย
ของพระองค์มีการสงครามไม่มากนัก เมื่อปี พ.ศ. 2363 มีข่าวว่าพม่าจะยกทัพมารุกราน ทางด้านเมือง
กาญจนบุรี จึงได้โปรดเกลา้ ฯ ให้ยกกำลังไปสกัดขา้ ศึกสามแหง่ ดว้ ยกนั คอื ท่ีเมอื งกาญจนบรุ ี เพอื่ ยบั ย้งั ขา้ ศึกที่
จะยกเขา้ มาทางด่านเจดยี ์สามองค์ ท่ีเมืองเพชรบรุ ี เพ่อื ยบั ย้ังขา้ ศึกที่จะเข้ามาทางด่านสิงขร และทเ่ี มืองราชบุรี
เพื่อรักษาเมืองราชบุรีไว้ เนื่องจากการศึกสงครามลดน้อยลงไปมาก จึงได้มีการลดหย่อนการเข้ารับราชการ
ทหารลง โดยลดลงเหลือปลี ะ 3 เดือน จากเดิม 4 เดือน การปรบั ปรุงด้านการทหารท่ีสำคญั พอประมวลได้ ดงั น้ี
การสร้างป้อมปราการ เพื่อป้องกันข้าศึกที่ยกกำลงั มาทางเรือ ให้สร้างป้อมเพิ่มเติม ณ เมืองที่ตั้งอยู่
บนปากแม่น้ำที่สำคัญทั้งสิ้น คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางประกง คือ
ปากแม่นำ้ เจ้าพระยา ทเี่ มืองสมุทรปราการ ไดแ้ ก่ ป้อมปีกกา และป้อมตรเี พชร ทต่ี ำบลบางจะเกรง็ ซ่ึงอยู่ทาง
ฝัง่ ตะวนั ออกของแม่นำ้ เจา้ พระยา เมอื่ ปี พ.ศ. 2371
การสร้างป้อมปราการที่เมืองหน้าด่าน สร้างป้อมปราการที่ตำบลปากแพรก เมืองกาญจนบุรี เพื่อ
ป้องกันด้านตะวันตก คือพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2377 สร้างป้อมไพรีพินาศ และป้อมพิฆาตศัตรู ที่กาญจนบุรี เพ่ือ
ป้องกันด้านตะวันออก คือ ญวณ เมื่อ พ.ศ. 2377 สร้างป้อมปราการที่ตำบลบ่อยาง เมืองสงขลา เพื่อป้องกัน
ดา้ นภาคใต้ เม่ือปี พ.ศ. 2379
การสร้างเรือรบ เพื่อป้องกันข้าศึกที่เข้ามารุกรานทางทะเล เดิมไทยเรามีแต่เรือขนาดเล็ก บรรทุก
ทหารไม่ได้มาก จงึ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจา้ พระยานครศรธี รรมราช ดำเนินการต่อเรอื ต้นแบบ เพื่อให้ใช้ได้ท้ังใน
แม่น้ำและในทะเล ได้มีการต่อเรือดังกล่าวเป็นจำนวน 30 ลำ ราคาลำละ 30 ชั่ง และได้พระราชทานชื่อเรือ
เหล่านนั้ เช่น เรอื ไชยเฉลิมกรงุ เรือบำรุงศาสนา เรืออาสู้สมร เรือขจรจบแดน เป็นตน้
การสงครามและการปราบกบฏ ในห้วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2325-2362 อังกฤษได้ขยายอำนาจมา
ทางเอเชียใต้ และตะวันออกไกล ประเทศอินเดียเสยี เอกราชใหแ้ กอ่ ังกฤษ และอังกฤษเริ่มทำสงครามกบั พม่า
อังกฤษไดข้ อใหไ้ ทยสง่ กำลงั ไปช่วย ในฐานะที่เปน็ มติ รประเทศขององั กฤษ และทราบว่าไทยกับพม่าเปน็ ศตั รูกัน
อยู่ ฝ่ายไทยได้จัดทหารไปช่วยอังกฤษตามที่ได้รับการร้องขอ แต่แล้วก็ต้องยกทัพกลับ เพราะอังกฤษจะให้
กองทพั ไทยไปข้ึนอยูใ่ ต้บงั คบั บญั ชาของตน
ผลของสงครามระหว่างอังกฤษกับพม่า อังกฤษยึดได้เมืองต่าง ๆ ทางใต้ของแม่น้ำสาละวิน มาเป็น
เมืองขึ้นของอังกฤษทั้งหมด ทำให้ปิดเส้นทางที่พม่าใช้เดินทัพมาทำสงครามกับไทย สงครามระหว่างไทยกับ
พมา่ ท่ีดำเนนิ มาเปน็ ระยะเวลายาวนาน ประมาณ 300 ปี จึงยตุ ิลง
กบฏเจ้าอนุวงศ์ อาณาจักรลาวตกอยู่ในพระราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี มาถึงปี พ.ศ.
2369 เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ถือโอกาสที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญวนไม่ราบรื่น จึงพยายามจะแยก
ลาวออกจากไทย โดยอาศัยอิทธิพลของญวน เจ้าอนุวงศ์ได้ยกทัพเวียงจันทน์เข้ามายึดเมืองนครราชสีมาไวไ้ ด้
เม่อื วันที่ 14 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2369 แล้วกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยเป็นจำนวนมาก ฝา่ ยไทยไดส้ ง่ กองทัพขึน้ ไป
ขับไลก่ องทพั ลาว จากนครราชสีมาไปจนถงึ เวียงจันทน์ ยดึ เมอื งเวยี งจันทน์ไวไ้ ด้ เจ้าอนวุ งศ์หนีไปเมืองแง่อาน
ของญวน แตใ่ นทสี่ ุดก็ถกู จบั ได้ และถกู ส่งมาที่กรุงเทพ ฯ และถึงแก่พริ าลัยเมือ่ ถูกขงั อยไู่ มน่ าน
16
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พม่าได้เข้ามาตีหัวเมืองชายทะเล คือเมืองชุมพร
เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองตะกั่วป่า และเมืองถลาง ฝ่ายไทยใช้กำลังทั้งทางบกและทางเรือเข้าต่อสู้กับพม่า สำหรับ
กำลงั ทางเรอื จัดเป็น 2 กอง คอื
กองแรก ยกกำลังทางเรือไปขึ้นบกที่เมืองไชยา แล้วยกกำลังไปทางบก ผ่านปากพนม เพื่อไปช่วย
เมืองถลาง
กองที่สอง ยกกำลังทางเรือไปขึ้นบกที่เมืองนครศรีธรรมราช สมทบกำลังกับกองทัพเมือง
นครศรธี รรมราช แลว้ ยกกำลังไปทางบก เพ่ือไปช่วยเมืองถลาง กองทัพไปไม่ทนั พม่าตเี มืองตะก่ัวทุ่งและเมือง
ตะก่วั ปา่ แตกกอ่ น แล้วจงึ ขา้ มไปเกาะถลาง ตเี มืองถลางแตก พอทราบข่าววา่ กองทัพไทยยกมา กถ็ อยหนีไปทาง
เรือ กองทัพไทยจึงเขา้ ยดึ เมอื งถลางไวไ้ ดโ้ ดยงา่ ย ฝา่ ยไทยจบั เชลยพม่าได้เปน็ จำนวนมาก
ในปี พ.ศ. 2362 เมื่อไทยได้ทราบว่าญวนทำการขุดคลองลัดขนาดใหญ่ จากทะเลสาบเขมรมาออก
ทีเ่ มืองบันทายมาศ ใกลก้ ับชายแดนไทยทางด้านตะวันออก จงึ ได้ใหส้ รา้ งเมืองสมุทรปราการขน้ึ ใหม่ และสร้าง
ป้อมท่ีเมอื งนจ้ี ำนวน 6 ปอ้ ม โดยสรา้ งทางฝัง่ ตะวนั ออกของแมน่ ้ำเจ้าพระยา 4 ปอ้ ม
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยได้ตระหนกั ถงึ การรุกรานของข้าศึกทางทะเลซง่ึ มี
แนวโน้มมากขึ้นตามลำดับ จากกรณีของญวน และกรณีที่อังกฤษพิพาทกับจีน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว ถึงกับทรงมีพระราชดำรัสว่า "จะไว้ใจทางทะเลไม่ได้" จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างเรือรบแบบต่าง ๆ
แบง่ ไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ
เรือสำหรบั ใช้ในลำน้ำ จำพวกเรือยาว ทำเป็นเรือก่ิง เรือเอกชัย เรือรูปสัตว์ เรือศรี และเรือกราบ
ลว้ นแล้วเป็นเรือที่ใช้ในกระบวนพยุหยาตราชลมารค และใช้เปน็ พาหนะสำหรบั ยกกำลังไปทางลำนำ้
เรือทใี่ ช้ในอ่าวตามชายฝัง่ เรยี กว่า กำปน่ั แปลง ไดม้ ีการตอ่ เรอื ดงั กล่าวเป็นจำนวนถึง 80 ลำ เมอื่ ปี
พ.ศ. 2377 เอาไว้ใช้ที่พระนคร 40 ลำ และนำไปใชต้ ามหวั เมอื งชายทะเลอกี 40 ลำ
เรือกำปั่นใบใช้ในทะเล จมื่นไวยวรนาถ ร่วมกับฝรั่งชาวยุโรป ได้ร่วมกันสร้างขึ้นในไทย เป็นเรือ
กำปั่นรบสำหรับใช้ลาดตระเวนทางทะเล คือ เรือแกล้วกลางสมุทร มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า ARIEL เป็นเรือ
ขนาดระวางขบั น้ำ 110 ตนั มอี าวธุ ปนื ใหญ่ติดตั้งอยู่ 6 กระบอก ต่อมาก็ได้มกี ารต่อเรือกำปั่นใบเป็นเรือหลวง
อีกหลายลำ และเริ่มจ้างฝรั่งชาวยุโรปมาเป็นนายเรือ เช่น เรือระบิลบัวแก้ว เรือวิทยาคม และเรือแกล้วกลาง
สมทุ ร เปน็ ตน้
การทหารสมยั กรงุ รตั นโกสินทรย์ คุ ตอ่ มา (พ.ศ. 2394-2468)
ในหว้ งรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ ฯ และพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าฯ เป็นห้วงเวลาที่ชาติมหาอำนาจทางตะวันตก ได้เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ และจัดต้ัง
อาณานิคมทางดินแดนทางตะวันออก โดยสร้างเง่ือนไขต่าง ๆ ทำใหเ้ กดิ ปญั หาต่อดินแดนในพระราชอาณาเขต
และประเทศไทยมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ไทยได้เริ่มปฏิรูประบบต่าง ๆ โดยเลือกสรรเอาแบบอย่างที่ดี ของชาติ
มหาอำนาจทางตะวันตก มาประยุกต์เข้ากับหลักการเดิมของไทย เริ่มด้วยการจัดการฝึกศึกษา เพื่อพัฒนา
ในหลาย ๆ ดา้ น ในดา้ นการทหารมีการเสริมสร้างกำลงั รบ และวางมาตรการการปอ้ งกันประเทศ ใหเ้ หมาะสม
กับสถานการณแ์ ละสภาวะแวดล้อมของโลก
17
รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ การปรบั ปรุงด้านการจดั และการฝึก
ได้มีการปรับปรงุ เปลี่ยนแปลงกิจการทหารของไทย จากแบบเก่ามาเปน็ แบบชาติตะวันตก มีการจัดตั้ง
กองทหารหน้า โดยให้รวบรวมลูกหมู่กองมอญมาฝึกขึ้นอยู่ในกรมพระกลาโหม ทำการฝึกแบบใหม่มีอาวุธปืน
ทนั สมยั ครบครัน มีกำลังมากกวา่ กองทหารอื่น ๆ เป็นหน่วยท่ีต้องปฏบิ ัตภิ ารกจิ มากหน่วยหนึ่งในยามสงคราม
และเป็นหน่วยที่ไปปฏิบัติการก่อนหน่วยอื่นเสมอ ส่วนหน้าที่ในยามปกตคิ ือ การปราบปรามโจรผู้ร้ายตามหวั
เมืองต่าง ๆ ตลอดจนเข้าขบวนตามเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกครั้ง หน่วยนี้นับว่าเป็นหน่วยที่มี
พฒั นาการทส่ี ำคญั ต่อไปในยคุ ต่อมา
กองเกณฑ์หัด ได้จ้างครูชาวอังกฤษมาฝึกสอน 2 คน คือ ร้อยเอก อิมเปย์ (Impey) และร้อยเอก
น๊อกซ (Knox) เป็นนายทหารนอกราชการของกองทัพอังกฤษ ประจำอินเดีย มาเป็นครูฝึกทหารวังหลวง ฝึก
ทหารในกรมทหารอาสาลาวและเขมรท่เี ข้ามาเปน็ ทหารเกณฑ์หัดแบบตะวันตกในวังหลวง คนทั่วไปเรียกทหาร
หนว่ ยนวี้ ่าทหารอย่างยโุ รป
การศึกสงคราม เมื่อปี พ.ศ. 2395 เจ้าเมืองเชียงรุ้ง ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ฝ่ายไทยเห็นวา่
ประเทศพม่าหยอ่ นกำลงั ลง เนือ่ งจากองั กฤษตีได้เมอื งมอญท่อี ยู่ทางด้านชายทะเล จึงได้ช่วยเหลือเมืองเชียงรุ้ง
ให้พ้นจากอำนาจของพม่าและจีนฮ่อ จึงให้ทัพไทยเข้าตีเมืองเชียงตุง แต่เนื่องจากหนทางไกลและกันดาร
ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันจนเสบียงอาหารหมดและเกิดการเจ็บป่วยขึ้นในกองทัพจึงต้องล่าทัพกลับทำให้เชียงรงุ้
ตอ้ งตกไปเปน็ ของพม่า
กิจการทหารเรือ กิจการทหารเรือเริ่มแบ่งออกมาชัดเจน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2394 มีหน่วยทหารเรือ 2
หน่วยคือ ทหารเรือวังหน้า ขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ มีหน่วยขึ้นสังกัดคือ
เรอื กรมเรือกลไฟ กรมอาสาจาม และ กองทะเล ทหารมะรีน ข้ึนอยใู่ นบงั คบั บญั ชาของสมเด็จเจ้าพระยาบรม
มหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สมุหพระกลาโหม มีหน่วยในสังกัดคือ กรมอรสุมพล ประกอบด้วย
กรมเรอื กลไฟ กรมอาสาจาม และกรมอาสามอญ ทหารทง้ั สองหน่วยน้ีเป็นอสิ ระจากกัน
รชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ (พ.ศ. 2411-2453)
1. การจัดตั้งหน่วยทหารมหาดเลก็ เร่มิ ต้นจากเม่อื ปี พ.ศ. 2404 ได้มกี ารทดลองฝึกบุตรข้าราชการ
ตามแบบยุทธวิธีแบบใหม่ แบบทหารหน้า เรียกกันว่า มหาดเล็กไล่กา และเมื่อปี พ.ศ. 2450 ก็ได้ชื่อว่า กรม
ทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรกั ษาพระองค์
2. การปรบั ปรุงกรมทหารหน้า เม่ือปี พ.ศ. 2414 ไดโ้ อนทหารรักษาพระองค์ กองทหารล้อมวัง และ
กองฝีพาย ซึ่งเป็นหน่วยทหารแบบเก่า เข้าสมทบกับกรมทหารหน้า กรมทหารหน้าได้รับการปรับปรุงในด้าน
ต่างๆ มาโดยลำดับ มีหน่วยกองทหารมา้ กองทหารดับเพลิง และกองทหารข่าวในสงั กัด นอกจากนั้นยังโปรด
เกลา้ ฯ ใหก้ รมทหารหน้ารบั เลขไพรห่ ลวง และบตุ รหมู่ใด กรมใด ท่สี มัครเขา้ มาเป็นทหารเปน็ เวลา 5 ปี จะได้
ปลดพ้นหน้าที่ประจำการ ทำให้มีผู้มาสมัครเข้ารับราชการในกรมทหารหนา้ เป็นอันมาก นับว่าเป็นจุดเริ่มตน้
ของการปลดปล่อยไพร่ทง้ั หลายใหไ้ ปสูค่ วามเปน็ ไท
3. การจัดกองทัพ กำลังในส่วนกลางหรือในกรุง ได้รับการปรับปรุงมาโดยลำดับ โดยแยกทหารบก
และทหารเรือ จากกันเปน็ สดั ส่วน แต่กองทัพหวั เมืองยงั คงเดิม คอื แบ่งออกเปน็ 3 สว่ น ดงั นี้
18
3.1 กองทัพหวั เมืองฝา่ ยเหนอื ในบงั คบั บัญชาของสมหุ นายก
3.2 กองทพั หัวเมืองฝา่ ยใต้ ในบังคบั บญั ชาของสมหุ กลาโหม
3.3 กองทพั หวั เมอื งชายทะเล ในบงั คับบญั ชาของเจา้ พระยาพระคลงั
การจัดการทางทหารระหว่าง พ.ศ. 2430-2435
มีการขยายขนาดและปรับปรุงประสิทธิภาพของหน่วยต่าง ๆ ประกอบด้วยทหารบก 7 กรม และ
ทหารเรือ 2 กรม เปน็ อสิ ระแกก่ นั ทกุ หนว่ ยขน้ึ ตรงต่อพระมหากษัตริย์ ในส่วนของกองทัพบก 7 กรม ไดแ้ ก่
กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารรักษาพระองค์ กรมทหารล้อมวัง กรมทหารหน้า
กรมทหารฝพี าย กรมทหารปืนใหญ่ และกรมทหารชา้ ง
ในส่วนของทหารเรือ ไดม้ ีการจดั ตั้งหนว่ ยตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2428 อยู่ 2 กรม คอื
- กรมเรือพระท่ีนง่ั เวสาตร์ ทหารทม่ี าประจำหนว่ ยน้โี อนมาจากทหารแคตลงิ่ และทหารมะรนี ในกรม
คลังแสงเดมิ เรอื ในสงั กดั กรมนี้มอี ยู่ 9 ลำ
- กรมอรสมุ ผล มกี รมอาสามอญ และกรมอาสาจาม รวมอยดู่ ว้ ย เรือในสงกดั กรมนมี้ อี ยู่ 8 ลำด้วยกนั
การจัดตั้งกระทรวงกลาโหม ในปี พ.ศ. 2435 ได้มีการจัดระเบียบกระทรวงเสนาบดี ตั้งเป็น 12
กระทรวง ในดา้ นการทหาร กำหนดให้กระทรวงกลาโหม เป็นกระทรวงราชการทหาร
ในการจัดวางระเบียบใหม่ครั้งน้ี ได้มีพระราชพธิ ีพระราชทานธงชัยเฉลมิ พลใหม่แกห่ น่วยทหารตา่ ง ๆ
ใหเ้ ป็นแบบเดียวกัน
การปรับปรุงกิจการทหารด้านอื่น ๆ เพื่อประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์ และเพื่อประโยชน์
แก่ราชการแผ่นดิน ในปี พ.ศ. 2431 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติแก้ไขธรรมเนียมกำหนดอายุไพร่
โดยกำหนดไวด้ งั น้ี
บตุ รหมู่ทหารเมื่ออายุย่าง 18 ปี ใหไ้ ปลงบญั ชีช่ือไวใ้ นกรมทหาร คร้นั อายุครบ 18 ปีบรบิ ูรณ์ ต้องไป
ประจำการฝกึ หดั วชิ าทหาร จนอายคุ รบ 21 ปบี รบิ ูรณ์ และเมือ่ อายคุ รบ 22 ปีบริบรู ณ์ ใหม้ าเขา้ เวรรับราชการ
ปีละ 3 เดือน จนอายุครบ 50 ปบี รบิ ูรณ์ จึงปลดพ้นราชการ ทหารทม่ี บี ตุ รเข้ารับราชการทหารต้ังแต่ 1 คนขึ้น
ไป ใหบ้ ิดาปลดจากราชการในเวลานน้ั เวน้ ยามศึกสงคราม บุตรจะตอ้ งเป็นทหารตามหมบู่ ิดาตน
สรปุ การสงครามสมยั กรุงรัตนโกสินทรต์ อนต้น มี 14 ครั้ง, การสงครามสมยั รชั กาลที่ 9 มี 7 คร้ัง
สงครามคราวเสียกรงุ ศรอี ยุธยา ครั้งท่ี 1
ความเปน็ มา
เมื่อพุทธศกั ราช 2077 พระไชยราชา ซึ่งครองเมอื งพษิ ณโุ ลกยกกำลงั ไปยดึ อำนาจจากพระรัษฏาธิราช
กุมารที่อยุธยาแล้วขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาทรงพระนามว่าสมเด็จพระไชยราชาธิราช
เมอ่ื พระชนมายุ 35 พรรษา กรงุ ศรอี ยธุ ยาเริม่ บาดหมางกบั พมา่ เนื่องจากมอญท่ีเมืองเชียงกราน (ใกลเ้ จดยี ส์ าม
องค์) ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจพมา่ หนีมาเข้ากับสยามพระเจา้ ตะเบ็งชะเวต้ี (มังตรา) ของพม่าไม่พอพระทัยทรงยก
กองทัพมายึดเมืองเชียงกรานไว้ สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงยกกองทัพไปตีเมืองเชียงกรานคืนโดยมีทหาร
โปรตุเกสราวหนึ่งพันคนช่วยรบ ทำให้พม่าแค้นมากนับเป็นการเปิดศึกสงครามระหว่างไทยกบั พม่า เมื่อเสร็จ
19
สงครามสมเด็จพระไชยราชาธิราชพระราชทานที่ดินให้ชาวโปรตุเกสที่ช่วยรบสร้างบ้านเรือนและโบสถ์คริสต์
ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาดา้ นใต้ของเกาะเมอื งพระนครศรีอยุธยา เปน็ สงครามคร้งั ที่ 1
ต่อมาสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคตในปีมะเมีย พ.ศ.2089 กรุงศรีอยุธยาเกิดจราจลวุน่ วาย
ภายในพระนครเนื่องจากท้าวศรีสดุ าจันทร์พระสนมเอกของสมเดจ็ พระไชยราชาธิราชมสี ัมพันธ์กับพันบตุ รศรี
เทพแลว้ แต่งตั้งให้เปน็ ขนุ วรวงศาธริ าชว่าราชการแผน่ ดนิ ปลงพระชนมพ์ ระแก้วฟา้ (บางแหง่ เรียกพระยอดฟ้า)
แล้วท้าวศรีสุดาจันทร์ก็สถาปนาขุนวรวงศาธิราชขึ้นครองราชย์ เอาราชสมบัติครองราชย์อยู่ได้ 42 วัน
พวกขุนนางมีขุนพิเรนทรเทพเป็นหัวหน้าพร้อมใจกันจับคนทั้งสองประหารชีวิตเสีย แล้วยกพระเทียรราชา
อนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระไชยราชาธิราชขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหา
จักรพรรดิ เมื่อปีวอก พ.ศ. 2091 ข่าวจลาจลวุ่นวายในพระนครศรีอยุธยาครั้งนี้รู้ไปถึงพม่าพระเจ้าตะเบง
ชเวต้ี จงึ ฉวยโอกาสยกกองทพั มาตีกรุงศรอี ยุธยาเปน็ สงครามครัง้ ที่ 2 ในปี 2091 พม่า ได้จัดทพั ทหาร 3 หม่ืน
ช้างศึก 3 ร้อย ม้าศึก 2 พันตัว แบ่งเป็น 4 กองทัพ (กองทัพพระเจ้าตะเบงชเวตี้ กองทัพบุเรงนอง กองทัพ
พระเจ้าแปร กองทัพพระยาพะสิม) ยกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์เข้าเมืองกาญจนบุรี จับกรมการเมือง
มาสอบถามจงึ ทราบวา่ หลังจากพระมหาจักรพรรดไิ ดข้ ้นึ ครองราชย์บ้านเมืองก็สงบดี แตพ่ ระเจ้าหงสาวดีได้ยก
ทพั มาแลว้ จะถอยกลับก็กระไรอยู่ จงึ ขอเข้าไปชานเมืองเพือ่ ใหช้ าวอยธุ ยาได้เกรงขาม เดินทางเข้าป่าโมกแล้ว
ตั้งค่ายหลวงท่ที ุ่งลมุ พลีอยู่ 3 วัน จากน้ันจึงยกทัพกลับไปกรุงหงสาวดี ข้ามแมน่ ำ้ เจ้าพระยาบริเวณบ้านโผงผาง
สมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ ทรงยกกองทัพออกไปตรวจดูข้าศกึ ท่ที งุ่ ภเู ขาทองทรงเครอื่ งอลงั การยุทธและได้เสด็จ
ทรงช้างต้นพลายแก้วจักรพรรดิเป็นพระคชาธาร มีพระสุรโิ ยทัยเอกอัครมเหสีเสด็จมาด้วย ทรงใส่ชุดพระมหา
อุปราชเสด็จทรงช้างพลายทรงสุริยกษัตริย์เปน็ พระคชาธาร ส่วนพระโอรส (พระราเมศวรและพระมหินทราธิ
ราช)ได้ทรงช้างต้นพลายมงคลจักรพาฬและช้างต้นพลายพิมานจักรพรรดิตามลำดับ ทางฝ่ายพระเจ้าตะเบง
ชะเวตี้ได้ทรงช้างพลายมงคลทวีป และพระเจ้าแปรทรงได้ ทรงช้างพลายเทวนาคพินาย(อนึ่ง ช้างของพม่ามี
ความสูงกว่าของไทยประมาณ 1 คืบเจ็ดนิ้ว) รายละเอียดในการรบ จะขอนำข้อความจากพระราชพงศาวดาร
ฉบับราชหตั เลขา ดงั นี้
“สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ได้ขับพระคชาธารเข้าชนช้างกับกองหน้า พระเจ้าหงสาวดี
พระคชาธารเสียทีให้หลังขา้ ศกึ พระเจ้าแปรไดท้ ีจงึ ขบั พระคชาธาร ตามไลช่ า้ งพระมหาจกั รพรรดิ พระสุริโยทัย
เห็นว่าพระราชสามีไม่พ้นมือข้าศึกแน่ๆ แล้ว ด้วยทรงพระกตัญญูภาพจึงทรงขับพระคชาธารพลาย
ทรงสรุ ิยกษตั รยิ ์เขา้ ออกรับ แต่พระคชาธารพระสรุ ิโยทยั เสียทีข้าศกึ พระเจา้ แปรจึงฟันด้วยพระแสงของา้ ว
ถกู พระอังสก พระสรุ ิโยทยั ขาดจนถึงราวพระถันประเทศสน้ิ พระชนมบ์ นคอช้าง .... พระโอรสท้ัง 2 พระองค์
จึงขับ พระคชาธารเข้าไปกันพระศพสมเด็จพระมารดาเข้า พระนคร” ทรงทำยุทธหัตถี ณ สมรภูมิทุ่งมะขาม
หยอ่ ง ในวันอาทติ ย์ ขน้ึ 6 ค่ำ เดือน 4 ปวี อก พ.ศ. 2091
สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดไิ ด้เชิญพระศพพระสุริโยทัย ไปประดษิ ฐานยังสวนหลวง หลังจากน้ันจึงทรง
พระราชทานเพลิงศพ แล้วสร้างพระอารามตรงพระเมรุ โดยมีเจดีย์ใหญ่เรียกว่า “วัดสวนหลวงสบสวรรค์”
การศึกครั้งนั้นพม่ายังไม่สามารถจะตีไทยได้ และพระมหาจักรพรรดิทรงรับสั่งให้ พระมหาธรรมราชายกทัพ
ของหัวเมืองทางเหนือลงมาตีทพั พม่าโดยดว่ น ทัพพมา่ จะหนไี ปทางด่านแม่ละเมา กองทัพไทยก็ไล่ตามมาติดๆ
20
เข้าตีพม่าล้มตายจำนวนมาก เกือบจะทันทัพหลวงของพระเจ้าหงสาวดีที่เมืองกำแพงเพชร ด้วยเล่ห์กล
พมา่ จึงไดซ้ ุ่มทหารไว้สองขา้ งทางดกั รออยู่ พอกองทพั ไทยผา่ นเข้าไปจึงถกู ล้อมจบั ตัวพระมหาธรรมราชา
และพระราเมศวรได้ ทางพระมหาจักรพรรดิจึงทรงยอมสงบศึกเพื่อนำทั้งสองพระองค์กลับมาโดยแลกกับ
ช้างพลายศรมี งคลและพลายมงคงทวปี กองทพั พมา่ จงึ หนกี ลบั ไปได้
ตอ่ มาเมอ่ื ปี พ.ศ.2106 พระเจ้าหงสาวดไี ด้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
เพอ่ื จะทลู ขอช้างเผือก 2 ช้าง (เนือ่ งจากกรงุ ศรอี ยุธยามชี ้างเผอื กอยู่ 7 ช้าง) นบั วา่ เป็นกลอบุ ายเพื่อจะหาเรื่อง
ยกทัพมาตีไทย ขนุ ศกึ และเสนาบดจี ึงแบ่งออกเปน็ สองฝ่าย ฝ่ายแรกเหน็ ดว้ ยท่ีจะประทานช้างเผือก 2 ชา้ ง เพอ่ื
ปอ้ งกนั การเกิดศึกสงครามเพราะว่าพระเจ้าหงสาวดบี เุ รงนองมคี วามชำนาญการศกึ มาก ฝา่ ยที่สองไม่เหน็ ดว้ ยที่
จะประทานช้างเผือก (มีพระราเมศวร พระยา จักรี พระสุนทรสงคราม) เพราะจะเป็นการอ่อนข้อให้ ในวัน
ข้างหนา้ พระเจา้ หงสาวดจี ะตอ้ งเอาไทยเป็นเมืองขึ้น สรุปกค็ อื ใหห้ รือไม่ให้ก็จะตี สมเด็จพระมหาจกั รพรรดิทรง
มีพระราชดำรไิ ม่ประทานชา้ งเผือก แล้วมีพระราชสาสน์ตอบกลับไปดงั น้ี “ช้างเผือกย่อมเกิดสำหรบั บญุ บารมี
ของพระเจ้าแผน่ ดินผเู้ ป็นเจา้ ของ เม่อื พระเจา้ หงสาวดีได้บำเพ็ญธรรมใหไ้ พบูลย์คงจะไดช้ ้างเผือกมาส่บู ารมีเป็น
ม่ันคงอยา่ ไดท้ รงวิตกเลย” และรบั สงั่ ใหเ้ ตรยี มไพรพ่ ลพร้อมรบอย่างเข้มแข็ง ทางฝ่ายพระเจา้ หงสาวดีได้ยกทัพ
รวมพลที่เมืองเมาะตะมะ จัดทัพใหญ่ออก เป็น 5 ทัพ มีเจ้าเมืองเชียงใหม่ควบคุมกองเรือเสบียง ล่องลงมาถึง
เมอื งตาก รวมไพลพ่ ลเปน็ จำนวนประมาณ 5 แสนคน ส่วนทางอยุธยาได้เตรียมพลพร้อมรบและเรือรบจำนวน
มาก เพ่ือป้องกนั การโจมตจี ากทพั หลวงของหงสาวดีทางดา่ นเจดยี ์สามองค์ แตผ่ ิดคาดพม่ายกทพั มาทางด่านแม่
ละเมาเข้าตีกำแพงเพชรได้เมืองแล้วแยกทัพไปตีสโุ ขทัย เนือ่ งด้วยทางสุโขทยั มกี ำลังน้อยกว่ามากแต่ก็สู้รบเป็น
สามารถในที่สุดกถ็ ูกยึดเมือง จากนั้นพม่าจงึ ล้อมเมืองพิษณุโลก พระมหาธรรมราชาก็ต่อสูเ้ ป็นสามารถเช่นกนั
แต่เกิดไข้ทรพิษขึ้นในเมืองและเสบียงอาหารก็หมดจึงยอมจำนนหลังจากที่พม่าได้หัวเมืองฝ่ายเหนือแล้ว
จึงบังคับใหพ้ ระมหาธรรมราชาและเจ้าเมอื งถอื น้ำกระทำสตั ยใ์ ห้อยู่ใต้บงั คับของพมา่ พร้อมท้งั ส่ังให้ยกทัพตาม
ลงมาเพื่อตีกรงุ ศรีฯด้วย กองทัพพม่ายกมาประชิดเขตเมอื งใกล้ทุ่งลุมพลีพระมหาจักรพรรดิทรงให้กองทัพบก
เรือ ระดมยิงใส่พม่าเป็นสามารถ แต่สู้ไม่ได้จึงถอย ทางพม่าจึงยึดได้ป้อมพระยาจักรี (ทุ่งลุมพลี) ป้อมจำปา
ป้อมพระยามหาเสนา(ทุง่ หันตรา) แลว้ ล้อมกรงุ ศรีฯอยนู่ าน พระมหาจักรพรรดิทรงเหน็ วา่ พม่ามีกำลงั มากการที่
จะออกไปรบเพื่อเอาชัย คงจะยากนัก จึงทรงสั่งให้เรือรบนำปืนใหญ่ล่องไปยิงทหารพม่าเป็นการถ่วงเวลาให้
เสบยี งอาหารหมดหรอื เขา้ ฤดูนำ้ หลากพมา่ คงจะถอยไปเอง แต่พม่าได้เตรียมเรอื รบ และปืนใหญม่ าจำนวนมาก
ยิงใส่เรือรบไทยพังเสียหายหมด แล้วตั้งปืนใหญย่ ิงเขา้ มาในพระนครทุกวัน ถูกชาวบ้านล้มตาย บ้านเรือน วัด
เสียหายมาก ทางพระเจ้าหงสาวดีจงึ มีสาสน์มาวา่ จะรบต่อไปหรือยอมเปน็ ไมตรี เนื่องด้วยทางไทยเสียเปรียบ
มาก พระมหาจกั รพรรดจิ งึ ทรงยอมเป็นไมตรี ทำให้ฝ่ายไทยต้องเสยี ช้างเผือกจาก 2 ชา้ ง เปน็ 4 ช้าง และทุกปี
ต้องส่งช้างให้ 30 เชือก พร้อมเงิน 300 ชั่ง จับตัว พระยาจักรี ไปเป็นตัวประกัน นอกจากนี้ยงั จะขอเก็บภาษี
อากรจากเมอื งมะริดทข่ี นึ้ กับไทยอกี ด้วย ขณะนัน้ สมเด็จพระนเรศวรทรงพระชมมายุได้ 9 พรรษาถูกนำเสด็จไป
ประทบั ทีก่ รงุ หงสาวดีเพื่อเปน็ องค์ประกันดว้ ย
21
ภูมปิ ระเทศ
- เมาะตะมะ – ดา่ นแม่ละเมา – กำแพงเพชร – นครสวรรค์ – อยธุ ยา
- เชยี งตุง – เชียงใหม่ – พษิ ณโุ ลก – นครสวรรค์ – อยุธยา
การจดั กำลัง การวางกำลัง และการจัดรปู ขบวน
ฝ่ายพม่า ปลายฤดูฝน 12 ต.ค.2111 พระเจ้าหงสาวดีจัดกองทัพ เป็นกองทัพกษัตริย์ 7 กองทัพ
ด้วยกนั
1. กองทพั พระมหาอุปราชา
2. กองทัพพระเจา้ แปร
3. กองทัพพระเจา้ ตองอู กองทพั เหลา่ นมี้ ที หารไทยใหญส่ มทบทกุ กองทัพทัง้ 4 กองทัพ
4. กองทัพพระเจา้ องั วะ
5. กองทัพพระราชบุตรซึง่ ครองเมืองสารวดี สมทบกับพวกเมืองเชียงใหม่ เชยี งตงุ
6. กองทพั หลวงของพระเจา้ หงสาวดี
7. กองทหารไทยของพระมหาธรรมราชา
กำลงั พลประมาณ 500,000 คน เคลอ่ื นท่เี ข้ามาทางด่านแม่ละเมา รวมพลทเี่ มอื งกำแพงเพชรข้ันต้น
การวางกำลังกองทัพพระเจ้าหงสาวดีวางกำลังที่ทุ่งลุมพลี แต่ฝ่ายในกรุงศรอี ยุธยาเอาปืนใหญ่นารายณ์สังหาร
ตั้งยิงที่ ในช่องมุมสบสวรรค์ คือที่เป็นป้อมมุมเมืองตรงโรงทหารเก่าอยุธยา ยิงไปถึงกองทัพพระเจ้าหงสาวดี
ได้รับความเสียหายมาก พระองค์จึงถอยทัพหลวงไปวางกำลังที่บ้านมหาพราหมณ์ให้พ้นระยะยิงของปืนใหญ่
และวางกำลังดงั นี้
ดา้ นทิศเหนอื กองทัพพระเจา้ ตองอู กองกำลงั ของพระยาพะสิมและองค์พระอภยั คามนิ ี ตง้ั เรียงราย
กนั ขนึ้ ไปทางเหนือ
ดา้ นทิศใต้ กองทพั พระเจ้าองั วะ
ด้านทิศตะวันออก กองทัพพระมหาอุปราชา
ด้านทิศตะวันตก กองทัพพระมหาธรรมราชา ไม่เป็นด้านสำคัญ เป็นด้านแม่น้ำกว้างใหญ่มิใช่ทาง
จะเข้าตี กับกองทพั พระเจา้ เชียงใหม่และเจ้าฟา้ ไทยใหญ่
ฝ่ายไทย วางกำลงั และเตรียมการป้องกนั พระนครไวแ้ ตเ่ นนิ่ ทงั้ ยังมีปืนใหญย่ งิ ไกลกว่าเดิมไวข้ บั ไลพ่ ม่า
ทเ่ี ข้ามาประชิดพระนครอย่างการรบในคราวท่ีแล้วให้ถอยห่างออกไปท้งั ยังจดั กองแลน่ หรือกองหนุนเคล่ือนท่ี
เร็วไว้สนบั สนนุ แตล่ ะดา้ น ด้านละ 5 กอง ไว้พร้อมแลว้ และวางกำลงั ต้ังรับทั้ง 4 ดา้ น ตามแผนการปฏิบตั กิ าร
สงครามคราวน้ี มกี ารรบเกิดข้นึ 2 แห่ง คือ
- การปอ้ งกนั กรงุ ศรีอยธุ ยา
- กองทพั กรงุ ศรสี ัตนาคนหุตถกู ซุ่มโจมตีทีส่ ระบุรี
การรบที่กรุงศรีอยุธยา พระเจ้าหงสาวดีให้กองทัพพระมหาธรรมราชาไปตัดต้นตาลส่งมาให้ แล้วให้
พระมหาอุปราชาเปน็ ผูบ้ ญั ชาการเข้าตีพระนครดา้ นทศิ ตะวนั ออกทิศเขา้ ตีหลัก ใหว้ างกำลังแนวแรกห่างคูเมือง
ออกมาประมาณ 30 เส้นกอ่ น แลว้ อาศยั แนวนเี้ ปน็ แนวเตรียมการ เมือ่ พรอ้ มแลว้ กใ็ หร้ ุกจากแนวเก่าเข้าไปอีก
22
10 เส้น ด้วยการขุดดินเป็นสนามเพลาะและเชงิ เทิน แล้วเอาไม้ตาลปักราบเป็นเสาระเนียดป้องกันลูกกระสนุ
ปืนใหญ่ท่ยี ิงออกไปจากพระนคร ฝ่ายพมา่ ท่ีเขา้ มาดดั แปลงพน้ื ท่ถี ูกทหารกรงุ ศรอี ยุธยาเอาปนื ใหญ่ยงิ สูญเสียไป
เป็นจำนวนมาก ไม่สามารถเข้ามาปฏิบัติการในเวลากลางวันได้ ต้องลอบเข้ามาปฏิบัติการในเวลากลางคืน
ทางฝ่ายไทยทีอ่ ยู่ในกรุงศรอี ยธุ ยากส็ ่งหน่วยอาสาสมคั รออกมาขัดขวางตลอดเวลา พระเจ้าหงสาวดีตอ้ งสง่ กำลัง
มาเพิม่ เตมิ อีกเปน็ อันมากจงึ ดัดแปลงแนวที่ 2 ได้สำเรจ็
เมื่อพม่าวางกำลังในแนวที่ 2 ได้สำเร็จมั่นคงแล้ว ก็รุกคืบหน้าเข้ามาวางกำลังในแนวที่สามถึงคูเมือง
ตอนนีก้ ำลังทง้ั 2 ฝา่ ย เขา้ มาอย่ใู กลก้ นั ฝ่ายไทยจึงยิงได้แม่นยำทำให้ฝ่ายพมา่ สญู เสยี มากข้ึน จำต้องขุดอุโมงค์
ยาวไปตามแนวคา่ ยปฏิบตั กิ ารแต่ในเวลากลางคนื พยายามอยู่นาน 2 เดอื นจึงส่งกำลังเข้าประจำแนวท่ี 3 ได้
การปิดล้อม เมื่อพม่าเขา้ มาถงึ คูเมืองแลว้ ก็ติดอยู่เพียงน้นั เพราะฝ่ายไทยใช้เรือรบซึ่งจัดหามาใหม่ช่วย
รว่ มกนั ป้องกันพระนคร เม่ือฝา่ ยพม่าขา้ มคมู ากถ็ ูกฝ่ายไทยยงิ จนตอ้ งถอยกลับออกไปหลาวคราวไมส่ ามารถข้าม
คูมาได้ พระเจา้ หงสาวดจี งึ ให้ทพั เรือออ้ มลงมาทางสะพานเผาข้าว (ปจั จุบันคลองสกี ุก)มาออกทางบางไทรลงมา
ป้องกันมใิ ห้ทางฝา่ ยไทยส่งเรอื รบจากทางใต้ขึ้นมาช่วยกรงุ ศรีอยุธยาได้ ฝ่ายพม่าอยู่ในคูแนวที่ 3 ก็ระดมถมคู
ทำทางข้ามเข้าตพี ระนคร โดยแบง่ หนา้ ทร่ี บั ผิดชอบออกเป็น 3 ตอน
การเจาะ ตอนใต้ ให้กองทัพพระมหาอุปราชาถมคูทำทางข้ามตรงเกาะแก้ว (ตรงหน้าวัดสุวรรณดา
ราม) ตอนกลาง ให้กองทัพพระเจ้าแปรทำทางข้ามคูเข้ามาที่วัดจันทร์ตรงบางเอียน (หลังสถานีอยุธยา)
ตอนเหนือ ให้กองทพั พระเจ้าอังวะถมคทู ำทางข้ามตรงสะพานเกลือ (ทใี่ ตว้ ดั จนั ทรเ์ กษม)
พระเจ้าหงสาวดีคาดโทษแม่ทัพถึงชีวิต พระมหาอุปราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปร ต่างก็เกรง
พระราชอาญาก็ให้เอาไม้ตาลทำทุบทู (เคร่ืองบงั ตัวป้องกนั อาวุธโบราณชนิดหนงึ่ ) พอบงั ตวั ทหารแล้วรีบเร่งให้
เข้ามาถมคลอง ทหารไทยในกรุงศรีอยุธยาเอาปืนใหญ่ยิงพม่าสูญเสียจำนวนมากแต่ก็ยังหนุนเนื่องเข้ามา
มไิ ด้ขาด คนข้างหน้าตายลงคนข้างหลังกเ็ อาดินถมทบั ศพเลยไปดว้ ยความกลัวพระอาญา
การตีโต้ตอบของฝา่ ยไทย ขณะน้ีเองลางรา้ ยฝ่ายไทย เผอญิ สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิประชวรสวรรคต
ชาวกรุงศรีอยุธยาต่างหว้าเหว่ พระยาราม พระยากลาโหม พระมหาเทพ ก็เห็นวา่ ทุกคนพากันย่อท้อจะรกั ษา
แนวรมิ คูเมืองไว้ไม่ได้ จึงให้กองกำลงั ท่ียดึ อยู่ถอยเข้ามาวางกำลงั อกี แนวหน่ึงในพระนคร เอากำแพงเมืองเป็น
แนวหน้าต่อสู้ พระเจ้าหงสาวดีเห็นไดโ้ อกาสก็ส่งกำลังเขา้ ตที างดา้ นทิศตะวนั ออกพรอ้ มกัน พม่าเข้าเมืองได้ตรง
เกาะแกว้ แต่พระมหาเทพซง่ึ รบั ผิดชอบดา้ นนเี้ ป็นผูเ้ ข้มแข็งการรบเอาแนวในเมอื งท่ีดัดแปลงใหม่เป็นท่ีม่ันตั้งรับ
ฝา่ ยเขา้ ตีทำใหฝ้ า่ ยพมา่ สูญเสยี เป็นอนั มากไม่สามารถจะเข้ายดึ พระนครไดต้ อ้ งถอนตัวข้ามคอู อกไป
เจรจา ฝ่ายพม่าวติ กเห็นใกล้ฤดูฝนอันเปน็ อาวุธร้ายจะทำลายกองทัพพม่าได้จึงให้พระมหาธรรมราชา
และพระวิสทุ ธิกษัตรีทำหนงั สือไปบอกสมเด็จพระมหินทร์ ควรขอเปน็ ไมตรีและมอบตวั พระยาราม (ผบ.สูงสุด
ฝีมอื ด)ี
อุบายฝ่ายพม่า พระเจ้าหงสาวดีและพระมหาธรรมราชาคิดอุบายเอาตัวพระยาจักรีซึ่งได้ตัวไปจาก
กรุงศรีอยุธยาคราวสงครามช้างเผือกพรอ้ มพระราเมศวร (ประชวรสน้ิ พระชนม์) อาสาเปน็ ไส้ศึกแกล้งให้จำคุม
ขังพระยาจกั รีไปคุมไวใ้ นค่ายทางทิศตะวันตกและแกล้งให้ทำเป็นหลุดที่คุมขังไปได้ ฝ่ายพม่าตัดหัวผูค้ ุมเสียบ
ประจานริมน้ำให้เห็นสมเด็จพระมหินทร์ตายใจรู้ไม่เท่าทันในอุบายประกอบกับต้องการแม่ทัพฝีมือดีช่วย
23
บัญชาการรบแทนพระยาราม และเปน็ คนทรยศจนเสยี กรงุ ศรอี ยุธยา เชน่ พระศรีเสาวราช น้องยาเธอพระองค์
หนึ่ง ซึ่งช่วยอำนวยการรบข้าศึกอย่างเข้มแข็ง พระยาจักรีก็ยุยงหาว่าเป็นขบถจนถูกสำเร็จโทษ ข้าราชการ
คนไหนฝีมือดีต่อสูเ้ ข้มแข็งก็แกล้งย้ายหน้าที่ไปรักษาด้านไม่มีข้าศึกเข้ามาเอาคนอ่อนแอไปรักษาหน้าท่ีสำคญั
เมอื่ กรุงศรีอยธุ ยาออ่ นแอมากแล้วจงึ เปิดประตูเมืองและให้สัญญาณไปยงั กองทพั พระเจ้าหงสาวดี จึงระดมเข้าตี
พร้อมกันทุกด้าน กรุงศรีอยุธยาจึงแตกพ่ายแพ้แก่พม่าเมื่อ 7 ส.ค. 2112 ล้อมอยู่นาน 9 เดือน พระยาจักรี
ได้รบั การปูนบำเหนจ็ รางวลั จากฝ่ายพม่าอยา่ งดตี อ่ มาไม่นานกถ็ กู พระเจ้าหงสาวดปี ระหารชีวติ ดว้ ยเกลียดชังคน
ทรยศต่อชาติ ไทยเสียกรุงเพราะไทยทรยศกันเอง กองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตช่วยตีกระหนาบถูกซุ่มโจมตี
ที่สระบุรีพระเจ้าหงสาวดีให้พระมหาธรรมราชากับพระยาตามศุภอักษรปลอมกรุงศรีอยุธยาปลอมตรา
พระราชสีห์ประทับศุภอักษรส่งไปให้กองทัพศรีสัตนาคนหุต ความว่า กองทัพหงสาวดีมาล้อมกรุงนั้นเข้าตี
พระนครหลายครงั้ กองทัพกรุงศรีอยุธยาต้านทานเอาไว้ได้ เด๋ียวนี้อ่อนกำลังระส่ำระสายอยู่แล้ว ขอใหก้ องทัพ
กรุงศรสี ัตนาคนหตุ รบี ลงมาชว่ ยตีกระหนาบด้วย
ฝ่ายพระเจา้ ไชยเชษฐได้รับศุภอกั ษรปลอมมไิ ด้สงสัยวา่ เป็นกลอบุ ายจึงเร่งเคลื่อนที่ลงมาโดยประมาท
เมื่อมาถึงแขวงเมืองสระบุรีที่พระมหาอุปราชาซุ่มอยู่ก็ถูกโจมตี กองทัพศรีสัตนาคนหุตไม่ทันรู้ตัวแตกพ่าย
ยับเยิน เสยี กำลงั ให้พระมหาอปุ ราชาจบั มาได้เปน็ อันมาก พระเจา้ ไชยเชษฐาเหน็ ว่าเอาชนะศกึ ไมไ่ ดแ้ ลว้ ก็ถอย
ทพั กลับกรงุ ศรีสตั นาคนหุต
ผลของการรบ
1. ไทยเปน็ ฝ่ายพา่ ยแพเ้ สียกรุงศรใี ห้แกพ่ ม่า
2. พมา่ กวาดต้อนกำลงั คน พลเมอื งไปเปน็ เชลยและยดึ ทรัพย์สมบตั ไิ ปเปน็ จำนวนมาก
3. พระมหาธรรมราชาได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองขึ้นของพม่าต่อไปถึง 15 ปี
สมเด็จพระนเรศวรจึงกอู้ สิ รภาพได้
บทเรยี นจากการรบ
1. การต้ังรับอย่างเดียวไม่สามารถทำการรกุ ไดจ้ งึ ตกเปน็ ฝา่ ยพา่ ยแพ้
2. พืน้ ท่เี ดมิ และแม่น้ำล้อมรอบพม่ารู้จุดออ่ นและหาวิธีใหม่ เชน่ วิธีเข้าประชดิ พระนครโดยขุดคูเป็น
3 ขั้น นำต้นตาลมาปักเป็นระเนียดป้องกันปืนใหญ่ไทย ทำสะพานคันดินข้ามได้ด้วยความทรหดอดทน กล้า
หาญ
3. ความแตกแยกความสามัคคเี ปน็ สาเหตุสำคัญใหเ้ สียกรงุ สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิกบั พระมหาธรรม
ราชาและพระยาจกั รีมาเป็นไส้ศกึ ในกรุงศรีอยุธยาปรับเปลยี่ นแม่ทัพนายกอง ยุยงใหแ้ ตกแยก ความทรยศของ
คนไทยด้วยกันเปน็ อาวธุ ได้ผลเด็ดขาด เปิดประตเู มอื งใหส้ ญั ญาณฝา่ ยพมา่ เข้าตีพร้อมกันทุกดา้ น
4. กำลังสำคัญหรือกองหนนุ วางไวจ้ ุดเดยี วในกรุงศรี จุดอื่นเมืองอ่ืนไม่มาช่วยทำให้ไม่สามารถช่วยตี
กระหนาบชว่ ยได้ ต้องมีพนั ธมิตรในการทำสงครามเสมอขาดกองหนนุ ขาดแรงหนนุ เนอ่ื ง
การนำหลักการสงครามมาใชข้ องฝา่ ยไทย
1. หลกั ความมงุ่ หมาย วางไว้ท่ี นำ้ หลากไหลมาท่วมพม่ากจ็ ะแพ้ไปเอง
2. หลกั การรวมกำลัง รวมกำลังทงั้ หมดไวใ้ นกรงุ ศรีอยธุ ยา
24
สมเด็จพระนเรศวร มหาราชทรงกอู้ ิสรภาพและการรบคร้ังสำคัญ
พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้าสรรเพชญ์ที่ 2 พระนามเดิมว่า
พระองคด์ ำ โอรส ของ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาและ พระวิสทุ ธกิ ษัตริย์ (พระราชธดิ าของสมเดจ็ พระศรีสุริโย
ทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) พระองค์เสด็จพระราชสมภพที่เมืองพิษณุโลก พ.ศ. 2098 ทรงมีพระเชษฐ
ภคิณีคือ พระสุพรรณกลั ยาทรงมีพระอนุชา คือ สมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์ขาว) และทรงเป็นพระราชนัดดา
ของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระนามของพระองค์ปรากฏในลายลักษณ์อักษรหลายฉบับ เช่น พระนเรศ
วรราชาธิราช พระนเรศ (องค์ดำ) จงึ ยงั ไม่สามารถสรปุ ได้วา่ พระนาม นเรศวรได้มาจากทใ่ี ด สนั นิษฐานเบื้องต้น
วา่ เพย้ี นมาจาก สมเด็จพระนเรศ วรราชาธิราช เป็น สมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช
ตลอดระยะเวลาในวัยเยาว์ของพระนเรศวรทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังจันทร์ เมืองพิษณุโลก
จนกระทั่งเมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าเมืองพิษณุโลก
ยอมอ่อนน้อมต่อหงสาวดี และทำให้พิษณุโลกต้องแปรสภาพเป็นเมืองประเทศราชหงสาวดีไม่ขึ้นต่อ กรุงศรี
อยุธยา และพระเจ้าบุเรงนอง ก็ทรงขอพระนเรศวรไปเปน็ องค์ประกันที่หงสาวดีและชุบเลี้ยงพระองคไ์ วท้ ำให้
พระองคต์ ้องจากบา้ นเกิดเมืองนอนต้ังแต่มีพระชนมายุเพยี ง 9 พรรษา
พระนเรศวรไปประทบั ทหี่ งสาวดีในฐานะองค์ประกนั จากพษิ ณโุ ลก และนอกจากพระองค์แล้วยังมีองค์
ประกันจากเมืองอนื่ ๆ ท่เี ปน็ เมืองขึ้นของหงสาวดเี ปน็ จำนวนมาก พระเจ้าบุเรงนองนั้นทรงให้เหลา่ องค์ประกัน
ได้รับการเลี้ยงดแู ละการศึกษาอย่างดี พระนเรศวรทรงใช้เวลา 8 ปีเต็มในหงสาวดีศึกษายุทธศาสตร์ของพม่า
พระองค์ทรงศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ และวิชาพิชัยสงคราม ทรงนิยมในวิชาการรบทัพจับศึก พระองค์ทรงมี
โอกาสศึกษา ทั้งภายในราชสำนักไทย และราชสำนักพม่า มอญ และได้ทราบยุทธวิธีของชาวต่างชาติต่าง ๆ
ที่มารวมกันอยู่ในกรุงหงสาวดีเป็นอย่างดี เช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพม่าเอง ทรงนำหลักวิชามา
ประยุกตใ์ ช้ใหเ้ หมาะกบั เหตกุ ารณ์และสภาพแวดล้อมในการทำศึกได้เปน็ เลิศ ดังเหน็ ได้จากการสงครามทุกคร้ัง
ของพระองค์ ยุทธวิธีที่ทรงใช้ ได้แก่ การใช้คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมาก และยุทธวิธีการรบแบบ
กองโจร
และเม่ือปลายเดือน 5 ปมี ะเส็ง พ.ศ. 2148 ได้เสดจ็ ประทบั แรมอยู่ ณ ตำบลทุ่งแกว้ เกิดประชวรเป็น
หวั ระลอกข้ึน (บา้ งวา่ ถกู ตัวสัตว์พวกแมลงมีพิษต่อย) ทพ่ี ระพักตร์แล้วเลยเปน็ บาดพษิ จนเสด็จสวรรคตท่ีเมือง
หาง เมื่อวันจันทร์ เดือน 6 ขึ้น 8 ค่ำ พ.ศ. 2148 เรื่องวันสวรรคตนี้ มีรายละเอียดกล่าวต่างกัน พระราช
พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า เสด็จสวรรคตวนั จันทร์ ขน้ึ 8 คำ่ เดอื น 6 เพลาชายแล้ว 2 บาท ปี
มะเส็ง ในหนงั สอื A History of Siam ของ W.A.R. Wood กล่าววา่ สวรรคตวนั ท่ี 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1605 -
25 เมษายน พ.ศ. 2148 พระชันษาได้ 50 ปี เสวยราชสมบัติได้ 15 ปี การสงครามในสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช เกดิ ขน้ึ ทั้งหมด 15 คร้ัง
25
การรบครั้งสำคัญของสมเด็จพระนเรศรมหาราช
ได้หยิบยกเพียง 2 ศกึ คอื การรบที่เมอื งคัง (พ.ศ. 2124)
สาเหตุ หลังจากพระเจ้าบุเรงนองสวรรคต นันทบุเรงราชบุตรขึ้นเป็นกษตั ริย์แทน ทำให้เจ้าประเทศ
ราชไทยใหญ่ เช่นเจ้าฟ้าเมืองคังกระดา้ งกระเด่ือง และพยายามแยกตัวเป็นอิสระ พม่าต้องการตีเมืองคัง เพื่อ
ปราบให้เป็นตัวอย่างแก่ประเทศราชอ่ืนๆ จึงจัดกองทัพให้เจ้านายรุ่นหนุ่มของพม่าและของประเทศราช (ไทย)
ที่เห็นว่าเข้มแข็งประชันฝีมอื กัน เพื่อให้เกิดความนิยมเลื่อมใสในพระมหาอุปราช ซึ่งจะรับรชั ทายาทปกครอง
แผ่นดนิ ต่อไป
แผนการรบทั้ง 2 ฝ่าย
เมอื งคัง ใช้ภมู ิประเทศที่ไดเ้ ปรยี บตั้งรบั เหนียวแน่นแบบยดึ พนื้ ท่เี สน้ ทางฝา่ ยตรงข้ามบังคับให้ขึ้นเขา
และเป็นทางแคบทำการเขา้ ตี
กำลัง การวางกำลงั และรูปขบวน
พระเจ้าหงสาวดีเคอื งพระทัยที่เมอื งคงั แขง็ เมอื ง จึงจัดเจา้ นายชนั้ เล็กรุ่นใหมไ่ ด้คนุ้ เคยกับการรบ โดย
จดั กำลงั เป็น 3 กองทพั ไปตเี มืองคงั เพื่อหวังเปน็ เกียรติแกพ่ ระมหาอปุ ราชา ดงั น้ี
1. พระมหาอุปราชา เป็นแม่ทพั หงสาวดี
2. พระสังขฑัต เป็นแมท่ พั
3. สมเด็จพระนเรศวร เปน็ แม่ทพั กองทัพไทย
ฝา่ ยไทยใหญ่ ทพั เจา้ ฟา้ เมอื งคังปอ้ งกนั ในเมืองคงั
การปฏิบตั กิ ารรบ
การเข้าตีวนั ที่หน่งึ พระมหาอปุ ราชานำกำลงั เข้าตเี ป็นพระองค์แรก
เวลาออกตเี ริ่มแรกเวลา 22.00 พวกชาวเมืองพากนั ออกสอู้ ยา่ งเหนียวแนน่ รบจนสวา่ งกไ็ มส่ ามารถยึด
เมอื งได้ ทหารพากนั เหน็ดเหนื่อยต้องถอยกลบั มา
วันที่สอง พระสังขฑัตเขา้ ตีเป็นองค์ที่สอง เหตุการณ์ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันอีกในระหว่างสองวัน
แรกทเี่ ป็นเวลาที่พระมหาอุปราชา และพระสงั ขฑตั เข้าตีนัน้ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จออกลาดตระเวนตรวจตรา
ภมู ิประเทศ ทรงตรวจพบวา่ มีทางลับทจ่ี ะข้ึนไปยังเมืองคังอีกทางหน่งึ
วันที่สาม สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงนำกำลังเข้าตีเป็นองค์ท่ีสาม การจัดกำลังเข้าตี พระองค์ได้
จดั กำลงั ในกองรบเปน็ 2 กอง ดงั น้ี
- กองทหี่ นง่ึ มีกำลังพลนอ้ ย
- กองทส่ี อง มกี ำลังพลมาก
พอเวลามืดค่ำ
- กองรบท่ี 1 ทม่ี ีกำลังนอ้ ยมาเข้าตที ่ีด้านหน้า ซง่ึ พระมหาอปุ ราชาและพระสงั ขฑัตเคยวางกำลังกอง
รบมาแล้วสองครั้งแล้ว
- กองรบที่ 2 ที่มีกำลังมากไปวางกำลังเข้าที่ตรงทางลับที่พบใหม่ โดยไปซุ่มมิให้ข้าศึกทราบ ทั้งสอง
กองรบต่างสงบนง่ิ อยู่จนดกึ ถงึ เวลาออกตี
26
เวลาออกตี 04.00 น. พอถึงเวลากองรบทม่ี กี ำลงั นอ้ ยทซี่ ุ่มอยู่ กไ็ ดร้ บั คำส่งั ใหย้ งิ ปืนโหร่ อ้ ง ปฏิบัติการ
ทำนองว่าจะเข้าตีทางด้านนั้น พวกชาวเมืองคังคิดว่าฝ่ายเข้าตีจะบุกขึน้ มาอย่างสองคราวที่แล้ว ประจวบกับ
เป็นเวลามืดไม่เห็นกำลังที่เข้าตีว่ามีเพียงใดก็พากันมารวมกำลังต่อสู้อยู่ทางด้านหน้าอย่างเคย สมเด็จพระ
นเรศวรตรวจการณเ์ หน็ กใ็ หส้ ญั ญาณกำลังส่วนใหญก่ องรบที่สอง รีบเคลอ่ื นท่ขี ้ึนไปตามทางทีพ่ บใหม่ พอเวลา
เช้ามดื ก็ยึดเมืองได้และจบั เจา้ เมืองคงั ได้
ผลจากการรบ
1. กองทพั ไทยซง่ึ เป็นฝา่ ยพม่าไดร้ บั ชยั ชนะ สามารถปราบเมืองคังได้
2. สมเด็จพระนเรศวรได้รับการยกย่อง มีชื่อเสียงมาก หระมหาอุปราชา และพระสังขฑัต มีความ
ละอาย และเกลียดชังสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าหงสาวดีไม่พอใจ แต่ไม่
สามารถทำอะไรได้ นอกจากปนู บำเหน็จรางวัลตามประเพณี
3. เปน็ มูลเหตไุ ทยและพมา่ ขัดเคอื งกนั และทำให้สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพที่ เมืองแครง
บทเรยี นจากการบ
1. ความเฉลียวฉลาดของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สองวันแรกทีพ่ ระมหาอปุ ราชาและพระสังขฑัต
เข้าตีไม่สำเร็จแล้วน่าจะเป็นการเข้าตีที่ยุ่งยาก จึงคิดหาวิธีเข้าตีใหม่ให้ต่างจากเดิม (พลิกแพลง) ใช้รูปแบบ
กลยุทธ์โอบ (เข้าตี 2 ทศิ ทาง) การเขา้ ตีตรงหนา้ อย่างเดียวเปน็ ส่ิงไมน่ ่ากระทำ
2. ข่าวสารทางภูมปิ ระเทศเปน็ สำคัญ พระองคต์ รวจภูมปิ ระเทศพบว่ามเี ส้นทางเข้าด้านหลังเมืองคัง
อีกเสน้ ทางหน่งึ จึงเหมาะสำหรบั การวางแผนเข้าตี 2 ทศิ ทาง เพ่อื ใหท้ หารเมืองคังแบ่งกำลงั จากด้านหน้า
มาป้องกันดา้ นหลัง (เปน็ การทอนกำลังขา้ ศกึ )
3. แผนการเข้าตี พระองคว์ างกำลงั เข้าตดี ้านหลงั เขา้ ตีหลักด้านหลงั เขา้ ตีรองด้านหน้า หรือใช้การ
ลวงทางด้านหน้าให้ชะล่าใจคงเป็นเช่นเดิม เพราะชาวเมืองคังมั่นใจในภูมิประเทศบีบบังคับไม่สามารถเข้าตี
ทิศทางอ่นื ได้
4. เปลีย่ นเวลาเข้าตีจากเดมิ 22.00 น เปน็ 04.00 น. เวลาธรรมชาติคนจะหลบั สบาย ประมาณเวลา
เขา้ ตยี ดึ ท่ีหมายได้ 2-3 ช.ม. เวลาสวา่ งพอดจี ัดระเบียบในที่หมายไดส้ ะดวก สำหรับแผนของมหาอุปราชา และ
พระสงั ขฑตั เขา้ ตีเวลา 22.00 น. เม่อื ยึดทีห่ มายได้ จดั ระเบียบยังมดื อย่ยู ิ่งยากลำบากในการปฏบิ ัติ
วิเคราะห์การนำหลกั การสงครามไปใช้ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จะเห็นพระองค์นำหลักการสงคราม
ไปใช้เห็นอยา่ งเด่นชดั คอื
- หลักการรวมกำลงั คอื การรวมกำลังมากทางทิศเข้าตหี ลักคือดา้ นหลัง ซ่ึงข้าศกึ ตา้ นทานน้อย
- หลักการออมกำลัง คือ การใช้กำลังน้อยเข้าตีทางด้านหน้าเป็นการลวงให้ข้าศึกแบ่งกำลัง
เข้าต้านทาน และเกบ็ กองหนนุ ไวอ้ ีกส่วนหนึง่ ไวช้ ว่ ยทง้ั สว่ นเขา้ ตีหลักและเขา้ ตรี อง
- หลกั การดำเนนิ กลยทุ ธ์ คอื ใช้รูปแบบการดำเนินกลยุทธ์แบบโอบ ดา้ นหลงั ที่หมาย
- หลักความง่าย คือ แผนและการปฏิบัติง่ายคล้ายแผนพระมหาอุปราชา และพระสังขฑัต แต่เพ่ิม
ทิศทางการเข้าตี 2 ทศิ ทาง เปลยี่ นเวลาออกตี
27
- หลักการจู่โจม คือ เวลาพลบค่ำ นำกำลังเข้าแนวออกตี ไม่ให้ข้าศึกเห็นกำลัง ประมาณการณ์
ขนาดกำลังไม่ได้ ตรวจการณ์ไม่เห็นคนและอาวุธ เข้าตีหลักทิศทางใหม่ที่คาดไม่ถึงเข้าตีลวงทางด้านหน้าให้
สมจรงิ เหมอื นเข้าตีหลกั เม่ือชาวเมืองคงั ทุ่มกำลงั มายบั ยั้งด้านหน้า สมเด็จพระนเรศวรก็ท่มุ กำลงั เขา้ ตีด้านหลัง
ด้วยกำลังมากชาวเมืองไม่สามารถตา้ นทานได้จนพระองคส์ ามารถเข้ายึดเมอื งคงั ได้
การรบทต่ี ำบลหนองสาหรา่ ย ในศกึ ชนช้าง พ.ศ. 2135
สาเหตุ ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพระมหาอุปราชาแห่งพม่า คราวสงครามครั้งที่ 9 เมื่อ พ.ศ.
2133 นัน้ ทำใหพ้ มา่ รูส้ ึกเสียเกยี รติเปน็ อันมาก เกรงวา่ ประเทศราชอน่ื ๆ จะพากนั กำเริบ และหมน่ิ พระบรม
เดชานุภาพของพระมหาอุปราชา ซึ่งจะครองราชสมบัติเป็นใหญ่ในบรรดาหัวเมืองพม่าสบื ไป พระเจ้าหงสาวดี
จึงโปรดให้ พระมหาอุปราชายกกองทพั มาตกี รงุ ศรอี ยธุ ยาอกี ครัง้ ท้งั ๆ ท่ีพระมหาอุปราชา ยงั มีความครั่นคร้าม
อยู่
การวางกำลงั และการจัดรูปขบวน
ฝ่ายพม่า พระเจ้าหงสาวดจี ดั กองทพั จากการเกณฑ์กำลังคน 3 หัวเมอื ง คือ
- กองทพั เมืองหงสาวดี กองลว่ งหน้า เจา้ เมอื งจาปะโร กองกำลังสว่ นใหญ่ พระมหาอุปราชา เคล่ือนที่
เขา้ ทางด่านพระเจดยี ส์ ามองค์
- กองทัพเมอื งแปร พระเจา้ แปร
- กองทัพเมืองตองอู ลูกเธอพระเจ้าตองอู ชื่อ นัดจินหนอ่ ง
ฝ่ายไทย พอถึงเดือน ม.ค. 2135 มีการเกณฑท์ ัพไปตีเขมร สมเด็จพระนเรศวรขัดเคืองพระทัยคราว
เสียกรงุ พ.ศ. 2112 เขมรมาซำ้ เตมิ ไทยยงั ไมไ่ ดแ้ กแ้ คน้ กำหนดเคลอื่ นที่ไปเขมรกลางเดอื น ม.ค. 2135 พอออก
คำสั่งไปได้ 6 วัน ในวันที่ 14 ธ.ค. 2135 ได้รับขา่ วจากเมืองกาญจนบุรีว่ากองทัพหงสาวดีเคลื่อนทีเ่ ขา้ มาทาง
ดา่ นพระเจดีย์สามองค์ ตอ่ มาก็ทราบวา่ หวั เมืองเหนอื ว่ามีข้าศึกเคลอื่ นที่มาอกี ทางหน่ึงดว้ ย
สมเด็จพระนเรศวรทรงดำริว่า ข้าศึกเคลื่อนที่มา 2 ทิศทาง มารวมกันได้ก็จะมีกำลังมาก จะต้องชิง
ทำลายทพั พระมหาอุปราชาท่ีเคลื่อนมาถึงเสียก่อนการเปลี่ยนแปลงท่รี วมพล จงึ รบั สั่งให้ย้ายท่ีรวมพลกำหนด
ไวท้ ที่ งุ่ บางขวด เพือ่ ไปตกี ัมพูชาใหไ้ ปตั้งที่ทุ่งป่าโมก แขวงเมอื งวิเศษไชยชาญ อนั เปน็ ทางร่วมท่ีจะไปสพุ รรณบุรี
และเมืองเหนอื
การปฏบิ ัตกิ ารรบ (มหายทุ ธสงครามยทุ ธหตั ถี)
รุ่งเช้า 18 ม.ค.2135 ทุกกองทัพพรอ้ มรบแต่เชา้ สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ต่าง
แตง่ พระองค์ทรงเครอื่ งยทุ ธพิชัย ช้างพระทนี่ ่งั ทัง้ สองพระองค์ คือ
- พลายภูเขาทอง ชนั้ ระวางเปน็ เจ้าพระยาไชยานภุ าพ เปน็ พระคชาธารสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
เจ้ารามราฆพ เปน็ กลางชา้ ง พระมหานุภาพเปน็ ควาญช้าง
- พลายบุญเรือง ช้ันระวางเป็นเจ้าพระยาปราบไตรจักร เป็นพระคชาธารพระเอกาทศรถ
หมืน่ ภกั ดศี วรเป็นกลางชา้ ง ขุนศรคี ชคง เป็นควาญช้าง พร้อมดว้ ยนายแจง จตลุ งั คบาท
การปะทะ สมเด็จพระนเรศวรไดท้ รงยินเสยี งปนื ดงั สนัน่ หน้าทัพ จงึ ดำรัสใหเ้ จ้าหมื่นทิพเสนาปลัดกรม
ตำรวจ เอาม้าเรว็ ไปดูเหตกุ ารณ์จึงได้นำตัวขุนหมน่ื ในกองทพั ในพระยาศรไี สยณรงคม์ ากราบทูลถวายรายงานว่า
28
กำลังของพระยาศรีไสยณรงค์ไปปะทะกับข้าศึกที่ ต. ดอนเผาข้าว เมื่อเวลาเช้า 7 นาฬิกา จึงทำการต่อสู้กัน
ขา้ ศึกมจี ำนวนมากต้านทานไมไ่ หวจงึ แตกมา สมเด็จพระนเรศวรดำรัสปรกึ ษาแม่ทพั และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ว่า
ในเหตกุ ารณเ์ ชน่ น้นั ทำอย่างไรดบี รรดาแม่ทพั และนายทหารช้นั ผู้ใหญ่กราบทลู วา่ ใหส้ ่งกองหนนุ ข้ึนไปตา้ นทาน
ให้อยู่เสียกอ่ น แล้วจงึ นำกำลงั ทัพหลวงเข้าตภี ายหลงั สมเด็จพระนเรศวรไม่เหน็ ดว้ ย ดำรสั วา่ กองทัพแตกฉาน
มาอย่างนี้แล้วจะส่งกองหนุนไปช่วยอย่างไรก็ต้านทานไม่ได้ เมื่อปะทะแล้วก็พากันถอยมาดว้ ยกัน จึงรับสั่งให้
เจ้าหมื่นทิพย์เสนา จมื่นราชามาตร์ ขึ้นม้าเร็วรีบไปประกาศแก่ทหารในกองของพระยาสีไสยณรงค์ว่าไม่ต้อง
ต้านทานข้าศึก ให้ถอยไปได้ เมื่อได้รับทราบกระแสรบั สั่งแล้วต่างก็พากนั ถอยลงมาอย่างไม่เป็นระเบยี บ ฝ่าย
พมา่ เห็นฝา่ ยไทยแตกถอยลงมา เห็นไดท้ กี ็ไลต่ ดิ ตามลงมาอยา่ งไมห่ ยดุ ยัง้
การรบ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงสงบทพั หลวงจนกระท่ังเวลา 11 นาฬกิ า เห็นข้าศกึ ไลต่ ิดตามมาไม่เป็น
ขบวน สมความคาดหมาย ก็ดำรัสสั่งให้ส่งสัญญาณให้กองทัพทั้งหลายออกตีข้าศึกได้ขณะนั้นพระองค์และ
สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จขึ้นทรงพระคชาธารทัพหลวงเข้าตีโอบหน่วยนำของข้าศึกทันทีส่วน
กองทัพเท้า พระยาต่างๆได้รบั กระแสรับสั่งช้าบ้างเร็วบ้างเคลื่อนที่ไม่ทันตามเสด็จส่วนมาก มีแต่กำลังทหาร
ของพระยาสหี ราชเดโชชยั กับของพระยามหาเสนาบดีซึ่งเป็นปีกขวา ที่เคลอ่ื นทต่ี ดิ ตามทัพหลวงหรอื กำลังส่วน
ใหญ่เข้าโจมตีข้าศึกได้กำลังส่วนหน้าของข้าศึกกำลังระเริง ไล่ติดตามมาโดยประมาทมิได้คิดวา่ จะมกี ำลังของ
กองทพั ไทยไปตา้ นทานไว้ก็ปะทะกนั เสียขบวนทำใหเ้ กิดสบั สนแลว้ แตกหนเี ป็นอลหมา่ น
ในเวลานน้ั ชา้ งพระที่นงั่ ซ่งึ สมเดจ็ พระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงไปน้นั เป็นช้างชนะงากำลังตกมัน
ทง้ั สองเชือก เมอ่ื เหน็ ช้างขา้ ศกึ หันหน้าพากนั หนี กอ็ อกว่งิ ไล่ตามสมเดจ็ พระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ
เข้าไปอยู่ในกลางวงข้าศึก มีแต่พระจตุลังคบาทกับพวกทหารรักษาพระองค์ตามติดไปเท่านั้น เพราะเวลาน้ี
กำลังทำการรบกันอย่างโกลาหลฝุ่นฟุง้ ตลบจนมัวทั่วทิศ พวกแม่ทัพและผู้บังคับหน่วยต่างๆอยู่ห่าง ไม่เห็นวา่
เสด็จล่วงเลยเข้าไป แม้ขา้ ศึกเองกไ็ ม่เหน็ พระองค์ถนัด ช้างพระทน่ี ่งั ของท้ัง 2 พระองค์รุกไล่ข้าศึกไปประมาณ
1 กิโลเมตร พอฝุ่นจาง ก็ทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชทรงคชาธารอยู่ใต้ร่มไมอ้ ยู่กบั เจ้าพระยาทัง้ หลาย
จึงทรงทราบวา่ ชา้ งพระท่นี ั่งของพระองคเ์ ข้าไปจนถงึ กลางกองทัพหลวงของข้าศกึ แลว้
ยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสติม่ันไม่หวาดหวั่น ทรงเห็นทันทีว่าทางที่จะเอาชนะมีอยู่ทาง
เดยี ว คอื ต้องทำยทุ ธหตั ถี จึงทรงขบั ช้างพระท่ีน่ังตรงไปยงั หนา้ ช้างพระมหาอปุ ราชา แล้วรอ้ งตรสั ไปดว้ ยฐานะ
คุ้นเคยกันมาก่อนว่า “เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไม เชิญเสด็จมากระทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด
กษัตรยิ ภ์ ายภาคหน้าจะชนชา้ งไดอ้ ยา่ งเราจะไมม่ ีอีกแลว้ ”
ขณะที่สมเด็จพระนเรศวรท้าชนช้างอยู่น้ัน ที่จริงเสด็จอยู่ทา่ มกลางหมู่ทหารขา้ ศึก มีแต่ช้างพระท่นี ั่ง
สองชา้ ง กับทหารรกั ษาพระองคเ์ พยี งไมก่ ค่ี น ถา้ พระมหาอปุ ราชส่ังให้พวกทหารท่ีมีอยใู่ นนน้ั รุมเขา้ รบพุ่งกเ็ ห็น
จะไม่พ้นอันตราย หากแต่พระมหาอุปราชพระทัยเป็นวิสัยกษัตริย์เหมือนกัน เมื่อได้รับฟงั คำท้าจะไม่รับก็ทรง
ละอาย จึงขับช้างพลายพัทธกอ เป็นคชาธาร ตรงเข้าชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพพระคชาธารของ
สมเด็จพระนเรศวร
ฝา่ ยเจ้าพระยาไชยานุภาพกำลงั คลง่ั นำ้ มัน เหน็ ชา้ งข้าศึกตรงออกมา ก็โถมเข้าแทงทันทีไม่ยบั ย้ัง เสียที
พลายพัทธกอได้ลา่ งแบกรุนเอาเจ้าพระยาไชยานุภาพเบนจะไปขวางตัวพระมหาอุปราชาได้ทฟี ันด้วยพระแสง
29
ของ้าว สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบทันถูกแต่พระมาลาหน้าขาดวิ่นไป พอเจ้าพระยาไชยยานุภาพ
สะบัดหลุดแล้วกลับฐานได้ล่างแบกถนัดรุนเอาพลายพัทธกอหัวเบนไป สมเด็จพระนเรศวรก็จ้ว งฟัน
ดว้ ยพระแสงของ้าวถกู พระมหาอปุ ราชาท่ีไหล่ขวาขาด จบสิน้ พระชนมอ์ ยูก่ ับคอช้าง
สมเด็จพระเอกาทศรถก็ได้ชนช้างกับเจ้าเมืองจาปะโร (พี่เลี้ยงพระมหาอุปราชา) ฟันเจ้าเมอื งจาปะโร
เสียชีวิตเช่นกัน บรรดาเจ้าพระยาเมอื งหงสาวดีเห็นพระมหาอุปราชาเสียทีถูกฟนั ต่างก็กรูกันเข้ามาช่วยแกไ้ ข
ใช้ปืนระดมยิงตัวสมเด็จพระนเรศวรที่พระหัตถ์ถึงบาดเจ็บ และถูกนายมหานุภาพควาญช้างพระที่น่ัง
กับหมื่นภักดีศวร กลางช้างของสมเด็จพระนเรศวรเสียชีวิตทั้ง 2 คน ขณะนั้นกำลังกองทัพของพระยา
สีหราชเดโชชัย และกองทัพเจ้าพระยามหาเสนาตามไปทัน จึงเข้าทำการรบแก้กันนำสมเด็จพระนเรศวรและ
พระเอกาทศรถออกมาพน้ จากกองทัพข้าศึกได้ บรรดาเจ้าพระยาหงสาวดีกำลังตกใจเพราะมหาอุปราชาผ้เู ป็น
จอมทัพสิ้นพระชนม์ มิได้คิดจะทำการรบต่อไปต้องการรวบรวมพลแล้วกลับค่ายเดิม ก็พากันหยุดยั้งอยู่เฉยๆ
กองทัพ หงสาวดีแตกยบั เยินแต่เพียงทัพเดยี ว ทัพอื่นมิไดแ้ ตกด้วย ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวร เห็นว่าข้าศกึ ชะงกั
งันอยากจะตใี ห้แตกยับเยินไป แต่กำลังของกองทัพเสด็จไปเวลานั้นมีน้อยก็จนพระราชหฤทัย จึงจำต้องเสด็จ
กลับก่อน พวกกองทัพหงสาวดีรวบรวมกำลังพลได้แล้วก็เชิญพระศพพระมหาอุปราชาเสด็จทัพกลับ
หงสาวดี สมเดจ็ พระนเรศวรทรงระแวงกองทัพขา้ ศกึ ท่จี ะเคลื่อนมาจากทางเหนอื จงึ มิไดไ้ ล่ตดิ ตาม
พระเกียรติเลือ่ งลือไปทัว่ ทุกทิศ สมเดจ็ พระนเรศวรมชี ัยในการยทุ ธหัตถีคร้ังนี้ พระเกียรติยศเล่อื งลอื ไป
ท่ัวประเทศด้วยเหตุนสี้ มเดจ็ พระนเรศวรจงึ ทรงโปรดให้สร้างพระเจดยี ์ข้ึนองค์หน่งึ ตรงทีซ่ งึ่ ชนช้างกับ
พระมหาอุปราชาตามเยี่ยงอย่าง พระเจ้าอภัยทุษฐคามณี ได้ทรงสร้างเจดีย์ในลังกาทวีป ตรงที่ทำยุทธหัตถี
กับพระเอฬาระทมิฬ ซึ่งเรื่องปราบกบฏในหนังสือมหาวงศ์ พระเจดีย์ปรากฏอยู่วัดฐานได้กว้างด้านละ 10 วา
สูงตลอดยอดเดมิ 20 วา ราษฎรเรียกตำบลนว้ี า่ ดอนเจดีย์ อยูห่ า่ งหนองสาหร่ายราว 100 เส้น (1 วา/2 เมตร,
20 วา/1 เสน้ ) ดังปรากฏทกุ วนั น้ี
- ชา้ งพระท่นี ่ังทชี่ นะศกึ กพ็ ระราชทานช่อื วา่ “เจา้ พระยาปราบหงสาวดี”
- พระแสงของ้าว ที่ทรงประหารพระมหาอุปราชา ก็ทรงได้พระนามว่า “เจ้าพระยาแสนพลพ่าย”
ถอื ว่าเปน็ พระแสงศกั ดิ์สทิ ธ์สิ ำหรับพระเจ้าแผน่ ดนิ ทรงพระคชาธารในรชั กาลหลังๆ สบื ตอ่ มา
- พระมาลา ซง่ึ สมเด็จพระนเรศวรทรง ก็ปรากฏนามวา่ “พระมาลาเบ่ยี ง” จนตราบทกุ วันน้ี
ผลจากการรบ
1. ไทยมชี ยั ชนะเด็ดขาด แมท่ พั ใหญ่ตายในท่ีรบ ทำให้พม่าเกรงกลัวไม่กล้ารกุ รานไทยไปอีกนาน
2. สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถไดร้ บั พระเกยี รติย่ิงใหญ่
3. สมเด็จพระนเรศวรโปรดให้สร้างพระเจดีย์ยุทธหัตถีเป็นที่ระลึกในชัยชนะครั้งนั้นที่ดอนเจดีย์
สพุ รรณบรุ ีกบั สรา้ งเจดีย์ชยั มงคลข้นึ ทีวัดปา่ แก้ว ซง่ึ พระพนรตั น์ (วนั ) พระอาจารยข์ องสมเด็จพระนเรศวรเป็น
เจ้าอาวาส ตอ่ มาเรียกชอื่ นั้นว่า วัดใหญช่ ัยมงคล ตามชื่อพระเจดีย์
5. กองทพั ไทยมีจิตใจรกุ รบพร้อมแกแ้ คน้ ท่ีพม่าบกุ รุกไทย
30
บทเรยี นจากการรบ
1. งานด้านขา่ ว เปน็ สำคญั ในการจัดเตรยี มกองทพั พอทราบขา่ วจากเมืองกาญจนบรุ ี และฝ่ายเหนือ
สมเด็จพระนเรศวรจงึ นำมาทำแผนเพอ่ื ทำลายข้าศกึ อยา่ ใหข้ า้ ศกึ รวมกันไดจ้ ะมกี ำลังมาก
2. ความกล้าหาญ ไหวพริบและความเป็นผู้นำของแม่ทัพสมเด็จพระนเรศวรท้าชนช้างกับพระมหา
อปุ ราชาทันทไี ม่สู้กล็ ะอายเป็นโอกาสทส่ี มเด็จพระนเรศวรจะเอาชนะได้
3. การนัดหมายให้อาณตั ิสญั ญาณเปน็ ส่งิ สำคญั ในการรบ ดังเช่นแมท่ พั นายกองส่วนมากของไทยนำ
กำลงั ตามสมเดจ็ พระนเรศวรไมท่ นั เพราะไม่ทราบการนดั หมายและอาณัติสญั ญาณ
4. การรจู้ ิตใจ ความรู้ ความสามารถ ของแมท่ พั ฝา่ ยตรงขา้ มทำให้ได้เปรยี บในการรบ
วิเคราะห์การนำหลักการสงครามสงครามไปใช้
1. หลกั ความม่งุ หมาย สมเด็จพระนเรศวรใชห้ ลักการขอ้ ผิดพลาดเด่นชัดในการจะได้ชยั ชนะต้องเข้า
ตี ยึด ทำลาย จุดศูนยด์ ุล จงึ จะได้ชัยชนะ สมเดจ็ พระนเรศวรวางความมุ่งหมายการทำสงคราม คอื ฆา่ แม่ทัพได้
ก็จะได้ ชยั ชนะ จงึ ทา้ ชนช้าง
จุดศนู ยด์ ุล = หัวใจฝ่ายตรงข้าม เมื่อถูกทำลาย ทำให้พ่ายแพ้เสียเปรียบ เช่น แหล่งพลังงาน
ผบ.หน่วย เรดาร์ ขีปนาวธุ
จุดแตกหัก = ยดึ ได้แล้วทำใหฝ้ า่ ยตรงขา้ มเสียเปรยี บ ภมู ิประเทศสำคญั
จุดผกผนั = หน่วยหมดแรงในการเคล่ือนที่ ต้องปรับแผนท่ีจะรกุ รับ หรอื รน่ ถอยต่อไป
2. หลักการออมกำลัง สมเด็จพระนเรศวรทรงทำการออกสู้รบกับพม่านอกกรุงศรีอยุธยา โดยมี
กองหนุนส่วนหน่ึงอยู่ในกรุงศรีอยธุ ยา ใช้กำลังกองโจรตัดรอนกำลังพม่าตลอดการดำเนินการสงครามเพื่อให้
กำลงั ฝ่ายพมา่ อ่อนแอ (หลกั นยิ มสงครามกองโจร สมัยน้ัน คอื ทำก่อน ระหวา่ ง และหลังสงครามตลอดการรบ)
3. หลักการดำเนินกลยุทธ์ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงเปลย่ี นวธิ ีรบจากการรบด้วยวิธีตง้ั รับ เป็นการเข้าตี
ในระยะเวลาสนั้ ๆ โอบปกี ขวา
4. หลักเอกภาพในการบังคับบัญชามีสมเด็จพระนเรศวรเป็นจอมทพั และสายการบงั คบั บญั ชา
ที่ชัดเจน
5. หลักการระวงั ปอ้ งกัน จะเห็นวา่ สมเด็จพระนเรศวร การเคล่อื นทพั หลวง มกี ารจดั กองโจรให้
พระอมรินทรฤาชยั เจา้ เมืองราชบุรี นำกองโจร 500 คน คอยซมุ่ โจมตีการลำเลยี ง และรอื้ สะพานตามเส้นทาง
การเดินของข้าศกึ ด้านหลัง สำหรับสว่ นกำบังให้พระศรีไสยณรงค์ เป็นผู้บงั คับกองกำลงั และพระยาราชฤทธา
นนท์เป็นยกกระบตั ร นำกำลงั ไปขัตตาทพั ต้านทานข้าศึกอยู่ทล่ี ำนำ้ ท่าคอย แขวงเมืองสุพรรณบรุ ี
6. หลกั ความง่าย สมเดจ็ พระนเรศวร ใช้แผนง่ายๆ โดยปลอ่ ยให้ฝา่ ยพม่าเปน็ ฝา่ ยไล่ติดตามในขั้นต้น
อย่างได้ใจคิดว่ากองทัพไทยมีน้อย ใช้กำลังปีกขวาโอบเข้าตีถึงทัพหลวงของพระมหาอุปราชา ขณะอลหม่าน
และฝุ่นตลบมองไมเ่ หน็ กันจึงเป็นโอกาสเขา้ ถึงพระมหาอุปราชาได้
31
สงครามคราวเสยี กรงุ ศรอี ยุธยา ครั้งท่ี 2 (พ.ศ.2310)
สาเหตุ จากหลักฐานหลายฝ่ายระบุตรงกัน พม่าเข้ามาตีไทยครั้งนี้เพราะเห็นไทยอ่อนแอในด้านการ
ต่อสู้จึงถือโอกาสมาตีกรุงศรีอยุธยา โดยมีความมุ่งหมายที่จะปล้นเอาทรัพย์จับเชลยเป็นประการสำคัญ
พระเจ้ามงั ระกษตั ริย์พมา่ ให้เนเมียวสหี บดียกกองทัพเข้ามาทางเมืองเชยี งใหม่
ภูมปิ ระเทศ
ทางเหนือ จากเชียงใหม่ทั้งทางบกและทางเรือใช้เส้นทางเคลื่อนที่เชียงใหม่ - ตาก - กำแพงเพชร–
นครสวรรค์ ทางเรือใชแ้ ม่น้ำปิง และแม่น้ำเจ้าพระยา – พระนครศรีอยุธยา
ทางตะวนั ตก ด่านเจดยี ส์ ามองค์จากเมาะตะมะ แล้วเดนิ บกขา้ มแม่น้ำสะกวิก – แม่นำ้ กษัตริย์ ข้าม
ภูเขาเข้าแดนไทยด่านเจดีย์สามองค์มาลำน้ำแควน้อยเป็นภูมิประเทศยากลำบาก เป็นป่าและภูเขาสูงชันลับ
ซับซ้อน อากาศหนาวเย็น ฤดูร้อนอากาศร้อนจัดแห้งแล้ง กรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองที่แม่น้ำ 3 สายล้อมรอบ
เจ้าพระยา ลพบุรี ป่าสัก เป็นที่โล่งพื้นการยิงดี ถูกล้อมง่ายรบยืดเยื้อยาวนานอดตาย ใช้น้ำหลากเป็นอาวุธ
สำคัญหาพมา่ ขา้ ศกึ อยูไ่ ม่ไดถ้ อยหนีไป
การปฏิบัติการรบ
ขั้นที่ 1 กองโจรปล้นสะดมหัวเมอื งต่าง ๆ ม.ิ ย. 2308 พม่าส่งกำลงั เขา้ ปล้นสะดม ดงั น้ี
ทางเชียงใหม่ เนเมียวสีหบดีให้ฉันกงไบ นำกำลังล่วงหน้า 5,000 คน เคลื่อนกำลังจากเชียงใหม่ลง
มาทางใต้ – เมอื งตากเพียงแหง่ เดียวที่ทำการรบ เม่ือยึดไดแ้ ลว้ ลงมากำแพงเพชรและนครสวรรค์ ท้ังสองเมือง
ไม่มใี ครสู้ เพราะเจา้ เมอื งถูกเกณฑเ์ ขา้ มารกั ษากรุง จงึ ต้ังฐานกองโจรทำการปลน้ สะดมทีเ่ มืองกำแพงเพชร และ
นครสวรรคท์ างด่านเจดียส์ ามองค์ มงั มหานรธาใหเ้ มขะระโง นำกำลงั ส่วนหนา้ 5,000 คน เคล่อี นท่เี ข้าทางด่าน
เจดีย์สามองค์เข้ามาถึงเมืองกาญจนบุรีปะทะกับกองกำลังพระพิเสนทรเทพเจ้ากรมตำรวจมีกำลัง 3,000 คน
รักษาเมืองอย่พู มา่ มากกว่าจงึ ตีกองกำลงั พระพิเสนทรเทพแตกยับเยนิ แลว้ เคล่อื นทเ่ี ข้ามาถึงลำน้ำราชบุรี วาง
กำลังตำบลลูกแก ตำบลตอกกละ และข้ามฝากมาตงั้ ที่ดงรงั หนองขาวอีกแห่ง พมา่ ยกมาคร้งั นี้ได้เก็บสินทรัพย์
สมบัติ จับผู้คนทั้งเด็กผู้ใหญ่ชายหญิงเป็นเชลยส่งไปเมืองพม่า บ้านเรือนทรัพย์ใดไม่ต้องการก็เผาทำลายเสยี
ฝา่ ยไทยตามรายทางบางแหง่ กต็ อ่ สู้ บางแห่งก็อ่อนนอ้ ม แต่หลบหนเี ขา้ ป่ามาก
ฝา่ ยไทยเหน็ ว่าพมา่ เข้ามาคราวนีเ้ ป็นเพียงกองโจรปลน้ สะดมตามหัวเมืองจงึ เตรยี มกำลังรวมไว้ต่อสู้
ที่พระนครเป็นท่มี ัน่ สำคัญ ฝา่ ยพม่าเม่ือตัง้ ฐานกองโจรเสร็จแล้ว ทางเหนือเทย่ี วปลน้ ทรัพย์จับเชลยแขวงเมือง
นครสวรรค์ถงึ เมอื งอนิ ทร์เมอื งพรหม ทางทศิ ตะวนั ตกเท่ยี วปล้นทรพั ยจ์ บั เชลยราชบรุ ี เพชรบรุ ี สพุ รรณบุรี ฝ่าย
ไทยมิไดค้ ิดวา่ พมา่ จะรุกเข้าไปถึงพระนคร
การปฏิบัติของฝ่ายไทย ไม่เห็นกองทัพพม่ายกมา ได้ยินแต่ข่าวการปล้นสะดม และหัวเมือง
พิษณุโลกก็ยังไม่ได้เสียแกพ่ ม่าจึงให้พระยาพิษณุโลกกลับไปเกณฑ์ทพั หวั เมืองเหนือตพี ม่าแล้วจัดกำลังในกรุง
ออกไปตีพมา่ 2 ทิศทาง
ทางทิศเหนอื พระยาธเิ บศรบ์ ริวตั ร เป็นแม่ทัพทำการรบอย่างไรไมป่ รากฏ
ทางทิศตะวันตก จดั ทัพบก ทพั เรอื ไปรบกบั พมา่ ท่ีราชบรุ ี ทพั บกถึงตำบลตำหรุ ทัพเรือถงึ บางกงุ้
ใต้ราชบุรี พมา่ เขา้ ตีแตกพ่ายไลต่ ามถงึ ธนบรุ เี ทีย่ วปล้นยึดทรพั ยแ์ ล้วกลบั ราชบรุ ี มไิ ดต้ ีเมืองธนบรุ ี กรุงศรีฯ เห็น
32
วา่ พมา่ ไดเ้ รือของไทยและเรอื ของพม่ามีมากเกรงจะจู่โจมเขา้ กรงุ ศรีจึงใหพ้ ระยารตั นาธิเบศร์นำกำลังซึ่งเกณฑ์
จากเมอื งนครราชสีมา รกั ษาเมืองธนบรุ ี ให้พระยายมราชรกั ษาเมืองนนทบรุ ีป้องกันพม่าจะเข้ามาทางนำ้
การรบครัง้ นี้ใชเ้ วลา 6 เดอื น กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม รวมข้าศึกในประเทศ 10,000 คน
ข้ันที่ 2 การตีเมอื งหน้าด่านและเข้าประชิดพระนคร
กลางเดือนตุลาคม พ.ศ.2308 สิน้ ฤดูฝน พม่ากล็ งมือปฏิบัติ ดงั น้ี
1. ทางทศิ เหนอื เนเมยี วสหี บดแี ม่ทัพนำลงมาทางเมืองสวรรคโลกกองหนง่ึ เจา้ หนา้ ทหี่ ัวเมอื งรายทาง
เห็นข้าศึกมีมากพากันหนีเข้าปา่ ไม่มีเมืองใดต่อสู้ พม่าจึงยึดเมืองพิชยั สวรรคโลก สุโขทัย ตามลำดับ การรบ
ของหัวเมืองเหนือขณะพม่ายึดเมืองสุโขทัยอยู่นั้น เจ้าพระยาพิษณุโลกกับเจ้าเมือง กรมการหัวเมืองเหนือ
ช่วยกันรวบรวมคนเข้าเป็นกองทัพยกไปตีพม่าท่ีเมืองสุโขทัย ขณะที่กำลังรบกันอยูน่ ั้นเจ้าฟ้าจีดโอรสพระองค์
เจ้าแก้วราชบุตรสมเด็จพระเพทราชาเป็นนักโทษอยู่ในกรงหลบหนีจากที่ขังทำนองเจ้าฟ้าจีดเป็นญาติกับ
เจ้าพระยาพษิ ณุโลก จงึ พาสมัครพรรคพวกข้ึนไปยงั เมอื งพษิ ณุโลก ไปถึงเวลาน้ัน เจา้ พระยาพิษณุโลกทำการรบ
อยู่กับพม่าอยู่ที่สุโขทัย เจ้าฟ้าจีดเห็นเป็นโอกาส ตั้งตัวเป็นใหญ่ก็ทำสีหนาทเก็บริบทรัพย์สมบัติ เผาจวน
เจ้าพระยาพิษณุโลกขึ้นครองเมือง พวกชาวบ้านเห็นว่าเป็นเจ้าก็ไม่มีผู้ใดกล้าต่อสู้ เจ้าพระยาพิษณุโลกทราบ
ความจึงเลิกทัพถอยกลับมา จับเจ้าฟ้าจีดได้ให้เอาไปถ่วงน้ำเสีย ฝ่ายพม่าก็เคลื่อนกำลังมายังนครสวรรค์
กำแพงเพชร มไิ ด้ตามตีเมืองพษิ ณุโลก (เทคนคิ การออ้ มผ่านท่หี มายไม่สำคัญ ๆ)
2. ทางทิศตะวันตก ในเดือนตุลาคมเดือนเดียวกันนี้เอง มังมหานรธานำกำลัง 10,000 คน เคลื่อน
กำลังจากเมืองทวายเข้ามารวมพลที่ราชบุรี มีแผนเข้าตีกรุงศรีฯ ทางใต้ สกัดกั้นมิให้ไทยหาเครื่องศาสตราวธุ
เสบยี ง จากทางทะเล จึงจัดกำลงั เปน็ 2 กอง
เมขะระโย นำทัพเรอื มาทางแม่นำ้ แม่กลอง – ทา่ จนี – ตเี มอื งธนบุรี นนทบรุ ี จนถงึ กรงุ ศรี
มังมหานรธา นำทัพบกเคล่อื นท่ีมาทางเมืองสุพรรณบรุ ี ในเดือนธันวาคมพร้อมกัน ฝ่ายพระยา
รัตนาธิเบศร์ซึ่งคุมกำลังพลเมอื งนครราชสีมา รักษาเมืองธนบุรอี ยู่นัน้ เห็น ข้าศึกมากก็ไม่ต่อสู้ท้ิงเมืองหนีกลบั
กรุงศรีฯ พวกชาวเมืองนครราชสมี ากพ็ ากนั หนีกลับบ้านเมอื งของตน
การรบที่นนทบรุ ี พมา่ ยดึ ธนบรุ ีได้แลว้ นำกำลงั เข้าทีต่ ง้ั บางกรวยตรงวัดเขมาทัง้ 2 ฟากแม่น้ำ มุ่งเข้าตี
นนทบุรตี ่อไป สว่ นเรือกำป่ันอังกฤษถอยหนีข้นึ ไปถงึ กรุงศรีฯ กข็ อปนื ใหญร่ ะยะยิงไกลกว่าปืนรายแคมเรือเอา
ลงตั้งในเรือสลุบ(เรือใบเดินทะเล) แล้วกลับมาสู้พม่าที่นนทบุรีอีกและขอเรือยาวบรรทุกพลของกองทัพ
พระยายมราชที่รักษาเมืองนนทบุรี ลูกเรือสลุบเคลื่อนลงมาในเวลากลางคืนพอถึงที่ได้ทางปืนก็ยิงค่ายพม่า
เรือ่ ยไป เวลาจวนสว่างก็ถอยเรอื สลบุ ข้นึ ไปเสีย ยิงพม่าอยู่หลายคนื พม่าหยุดอยู่วัดเขมาไม่อาจขึ้นไปตีนนทบุรี
ได้ ต่อมาพม่าคิดกลอุบายพอเรอื ปืนยิงพม่าทำเป็นแตกหนจี ากคา่ ย องั กฤษกบั ทหารไทยคิดวา่ พมา่ แตกหนี
กจ็ อดเรือบุกรกุ คา่ ยพมา่ เพอ่ื ค้นส่ิงของ ฝ่ายพม่าซมุ่ อย่ใู นสวนหลังค่ายก็ล้อมไล่ฆ่าฟันไทยตายเป็นอันมาก แตก
หนีเรืออังกฤษ เรืออังกฤษเห็นวา่ สู้ไม่ไหวก็ล่องเรือกำป่ันและเรืออลงั ปูนีพร้อมปืนใหญไ่ ทย พวกเก็บหมากพลู
ชาวไทยขึ้นเรือหนีออกนอกประเทศไป ฝ่ายพระยายมราชที่รักษานนทบุรีก็พากันถอยกลับขึ้นไปยังกรุงศรี
อยุธยา เมขะระโยยดึ นนทบรุ แี ลว้ เคลอ่ื นกำลังตอ่ ไปยังกรุงศรฯี การรกุ เขา้ ส่กู รงุ ศรีอยธุ ยาขณะน้ันมังมหานรธา
เคลือ่ นทท่ี างบกมาเขา้ ท่ีอยบู่ ้านสีกกุ กองเรอื เมขะระโยขึ้นไปอยสู่ ามแยกบางไทร ฝ่ายกองทพั เนเมียวสีหบดีซ่ึง
33
เคลื่อนลงมาจากทางเหนือให้กองทัพเคลื่อนที่จากนครสวรรค์ลงมาทางชัยนาททางหนึ่ง ทางเมืองอุทัยเมือง
สรรค์ทางหนึ่งแล้วตั้งกองบญั ชาการที่วัดป่าฝ้ายปากน้ำพระประสบทางเหนือ ทั้งสองกองทัพมาถึงเขตกรุงศรี
อยุธยาเตรียมตั้งอยู่ห่าง ๆ ยังไม่เข้าประชิดติดพระนครทำนองว่ากำลังน้อยคอยกองหนุนจากมังระ แล้วแต่
กองโจรเที่ยวปล้นทรัพย์จับเชลยตามเขตแขวงต่าง ๆ ข้างในกรุงศรีก็มิได้ส่งกำลังออกต่อสู้ การปฏิบัติของ
กองทัพเนเมียวสีหบดีทางทิศเหนือ พ.ศ.2308 กำลังของเนเมียวสีหบดีทัพบกและทัพเรือกำลัง 58
กองทหาร 43,000 คน ช้างศึก 400 เชือก ม้า 1,200 ตัว ออกจากลำปางเดอื นกันยายนมุ่งสู่เมืองตากยึดเมือง
ตากไดแ้ ลว้ – เมืองระแหง – เมืองกำแพงเพชร – สวรรคโลก เมอื งนพ้ี อ่ เมอื งตอ่ สแู้ ต่แล้วพม่าก็ยึดได้แลว้ เคลือ่ น
ทพั ไปสโุ ขทยั – นครสวรรค์ – ชาน พระนคร ปากนำ้ พระประสบ
การปฏิบัติการของกองทัพมหานรธาด้านทิศตะวันตก เคลื่อนกำลังออกจากทวาย 25 พฤศจิกายน
2308 กำลัง 30,000 คน ช้าง 200 เชอื ก ม้า 2,000 ตวั เขา้ ตีเมอื งเพชรบุรีเข้าเมืองต้งั รับอยู่ในเมือง พม่าแบ่ง
กำลังเปน็ สองส่วน สว่ นหน่งึ ใชบ้ ันไดป้ ีนกำลัง อกี ส่วนหนึง่ ขดุ เจาะรากฐานกำแพง พมา่ ตแี ละยึดได้ในระยะสั้น
ๆ ยึดจบั คนขา้ วของเงนิ ทองไดก้ ็ตกเป็นของผูน้ น้ั ส่วนยุทโธปกรณ์ตกเปน็ ของกองทพั ต่อไปเข้ายึดเมืองราชบุรี
เจ้าเมืองยอมอ่อนน้อม และยึดสุพรรณบุรี เจ้าเมืองยอมอ่อนน้อมเช่นเดียวกัน ต่อมาเข้าตีเมืองกาญจนบุรี
เจ้าเมืองเข้มแข็งทำการต้านทานแต่พม่ามากกว่าจึงเสียเมือง จากนั้นเคลื่อนทัพไปเมืองไทรโยค – เมืองสวา
นโปง – เมอื งชาเลง ยึด 7 เมืองได้แล้ว มหานรธา คุมทัพ 57 กอง มงุ่ สกู่ รุงศรีอยุธยา แล้วตง้ั กองทพั ณ. บ้านสี
กกุ และทางไทร การรบท่ีบ้านสกี า พระยาพลเทพฝ่ายไทยนำกำลัง 6,000 คน ช้าง 500 เชือก รบรรทุกปืนใหญ่
500 คัน นำกำลงั ไปต้งั รบั ท่ีบ้านสีกุก มหานรธาทราบข่าวจากม้าเรว็ จัดกำลังเขา้ ทำการรบขั้นตะลุมบอน
ทัพไทยสู้ไม่ได้ถอยหนี มหานรธาไม่ได้ไล่ติดตามเพราะต้องการยึดเมืองสีกุกรอทัพเนเมียวสีหบดี กุมภาพันธ์
2309 ทพั เนเมียวสหี บดถี งึ ชานพระนคร
ขน้ั ที่ 3 การปฏบิ ัติการในฤดฝู นและฤดูน้ำหลาก สถานการณ์ฝ่ายพมา่ พอถึงฤดูประมาณ เดอื นสิงหาคม 2309
พวกนายทัพนายกองพมา่ พากันรอ้ งทุกขต์ ่อมังมหานรธาวา่ ฝนชุกแลว้ ไมช่ ้าน้ำเหนอื จะหลากลงมาจะทำการรบ
คงลำบากมาก ขอใหย้ กทพั กลบั เสียคราวหน่งึ เม่อื ถึงฤดแู ล้งแล้วคอ่ ยกลับมาตใี หม่มังมหานรธาไมเ่ ห็นดว้ ยว่ากรุง
ศรขี ัดสนเสบยี งอาหารและกระสุนดนิ ดำอ่อนกำลังจวนจะตีได้อยู่แลว้ ถ้าเลิกทพั กลับไปไทยมีช่องทางหากำลัง
มาเพ่ิมเตมิ จะเตรียมการรักษาเมืองเข้มแข็งดีกว่าแต่ก่อนถ้ายกมาตอี ีกจะยากขึ้นมังมหานรธาไม่ยอมถอยทัพสั่ง
ใหเ้ ตรียมการ
1. เตรยี มการทำไรน่ า
2. เตรียมหาที่ดอน เช่น โคกวัดมีอยู่รอบพระนครแล้วแบ่งหน้าที่ให้กองทัพไปตั้งค่ายสำหรบั เปน็ ท่ี
อยูฤ่ ดนู ำ้
3. นำ ช้าง ม้า พาหนะไปเลี้ยงตามท่ีดอนหวั เมืองใกลเ้ คยี ง
4. ให้เทีย่ วรวบรวมเรอื ใหญน่ ้อยมาใช้ในกองทัพใหม้ าก
พอพม่าเตรียมการปฏิบัติการในฤดูฝนเสร็จแล้วมังมหานรธาก็ป่วยถึงแก่ความตายที่บ้านค่ายสีกุก
ทำให้เป็นผลร้ายต่อฝ่ายไทยเพราะเนเมียวสีหบดีได้บังคับบัญชากำลังทหารพม่าไว้ในอำนาจผู้เดียวทำให้
หลกั การบังคับบญั ชามเี อกภาพ
34
การล้อมกรุงฯ เนเมียวสีหบดีสั่งให้กองทัพทั้ง 2 ฝ่ายสมทบกำลังเข้าล้อมกรุงศรีฯ ตัว เนเมียวสีหบดี
ยา้ ยจากค่ายปากน้ำพระประสบมาอยู่คา่ ยโพธิ์สามต้นให้กองหนา้ เขา้ มาตงั้ ค่ายทีว่ ัดภเู ขาทองแลว้ ให้รกุ เข้ามาต้ัง
คา่ ยทว่ี ดั การอ้ งอีกแหง่
การต้านทานของฝา่ ยไทย ฝ่ายขา้ งในกรุงเห็นพมา่ เข้ามาถึงวดั ทา่ การอ้ งปนื ใหญ่จะยงิ ถึงพระนครจงึ ส่ัง
ให้ทัพเรือออกไปตีค่ายพม่าเป็นพวกอาสาหกเหล่าไม่ปรากฏชื่อผู้บงั คับบัญชา แต่ปรากฏว่ามีนายฤกษ์เป็นครู
คาถาอาคมร่วมไปด้วย นายฤกษ์เขา้ ใจว่าตนอยูย่ งคงกระพันแมลงวนั ไม่ไดก้ นิ เลอื ด จึงถือดาบ 2 มือรำอยู่หน้า
เรอื ฝา่ ยพม่าเหน็ เลยยกปนื ข้นึ ส่องถึงข้ันแตกดับตกลงไปในน้ำไทยเสยี กำลังใจเลยถอยทัพกลับสน้ิ
การวางกำลงั 2 ฝา่ ย
ฝ่ายพม่า ตั้งค่ายตามที่ต่าง ๆ เช่น วัดภูเขาทอง วัดท่าการ้อง วัดกระชาย วัดพลับพลาชัย วัดเต่า
วดั สเุ รนทร วดั แดง
ฝ่ายไทย ข้ามไปวางกำลังป้องกนั พระนครทุกดา้ น ทิศเหนอื – วัดหนา้ พระเมรุ เพนยี ด, ทิศตะวนั ออก
– วดั มณฑป วดั พชิ ัย วัดเกาะแกว้
ทศิ ใต้ - หลวงอภัยพพิ ฒั น์ ขนุ นางจีน คมุ พวกจีนบา้ น นายกา่ ย 2,000 คน ไปตั้งค่ายทีบ่ า้ นสวนพลู
พวกครสิ ตังตั้งคา่ ยทรี่ มิ วัดพทุ ไธสวรรค์
ทศิ ตะวนั ตก - กรมอาสาหกเหลา่ ตั้งคา่ ยท่วี ดั ไชยวัฒนาราม
การยงิ โต้ตอบกนั ด้วยปนื ใหญ่ หลังจากพมา่ สง่ กำลงั เข้าประชิดพระนครและไทยส่งกำลงั ออกไปป้องกันพระนคร
แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ทำการต่อสู้กันด้วยการใช้ปืนใหญ่ระดมยงิ ใส่กัน ฝา่ ยไทยมีปืนใหญ่ประจำปอ้ มไดเ้ ปรียบพม่า
จึงคิดเอาปืนขนาดใหญ่ ๆ ข้นึ ไปตั้งยงิ บนปอ้ ม ฝา่ ยทีข่ ลาดไทยเอาปืนใหญ่ชอื่ ปราบหงสาซง่ึ เป็นปนื ขนาดใหญ่ท่ี
มีอยู่ขึ้นตั้งยิงบนป้อมมหาชัยยิงค่ายพม่าท่ีวัดศรีโพธ์ิ แล้วนำกระบอกอื่นขึ้นบนเชิงเทิงยิงค่ายพม่าท่ีวัดท่ากา
ร้องกับวัดแม่นางปลื้ม พลประจำปืนไม่กล้ายัดดินดำให้เต็มขนาดกลัวเสียงปนื จะทำให้แก้วหูแตก ลดดินดำลง
แล้วก็ยังมีคนขอให้ลดลงอีกจนในที่สุดยิงไปกระสุนตกไม่ถึงคูเมืองต่ำไปถกู เพียงตลิ่ง (คงขาดการฝึกทางทหาร
มาก) ฝา่ ยที่กล้า พระยาศรีสุริยพาหะ เป็นเจ้าหน้าทร่ี ักษาป้อมท้ายกบหรือซัดกบ มมุ พระนครขา้ งตะวนั ตกเฉยี ง
เหนอื เอาปนื ใหญ่ชื่อมหากาฬมฤตยปู ระจุดนิ ปืนเข้าไป 2 เท่า ประสงค์จะยิงใหถ้ งึ ค่ายพมา่ ทว่ี ดั ภูเขาทอง ยิงได้
นัดเดียวปืนร้าวใช้การไม่ได้แต่ผลที่ยิงไปถกู เรือพม่า 2 ลำ ล่มคนตายมาก (ไร้หลักการ) การขออนุญาตยิงปืน
ใหญ่ ตอ่ มามปี ระกาศพลประจำปนื ใครจะยิงต้องขออนญุ าตจากสภาลูกขุนก่อน มเี ร่ืองเลา่ วา่ หมอ่ มเพ็ง และ
หม่อมแมนเป็นคนขวัญอ่อนกลัวปืนซ้ำพวกเจ้านายก็กลัวกันตั้งแต่ฟ้าร้องเสียงปืนใหญ่จึงเป็นมูลเหตุสำคัญที่
พระยาตากเปน็ เจ้าหนา้ ทีร่ ักษาด้านฝงั่ ตะวนั ออกที่วัดเกาะแกว้ เห็นพม่าเคลือ่ นที่เข้ามาก็เอาปืนใหญ่ยิงโดยไม่
บอกศาลาลูกขุนเกอื บถกู ลงโทษแตม่ คี วามชอบมาก่อนจึงเพยี งภาคทัณฑโ์ ทษไว้ พระเจ้าตากจึงคิดหนจี าก
พระนคร
35
ขั้นที่ 4 การเรมิ่ ทำการรบกอ่ นกรงุ แตก
พอน้ำลดถึงฤดแู ลง้ ฝ่ายพม่าไดร้ ับเพมิ่ เติมกำลัง ก็รวบรวมกำลังคุกคามไทยหนกั ขึน้ ฝ่ายกองทัพไทยก็
เกิดระส่ำระสายเพราะรู้ว่าหมดหนทางท่ีจะเอาชนะพม่าพวกจีนในกองทพั กไ็ ปต้งั ค่ายอยู่สวนพลูคิดเอาตัวรอด
คบคิดกนั ประมาณ 300 คน พากันขึ้นไปยงั ไปพระพทุ ธบาทไปลอกทองคำห้มุ พระมณฑปน้อยและแผน่ เงินคาด
พนื้ มณฑปใหญม่ าแบง่ กันแล้วเอาไฟเผามณฑปพระพุทธบาทเสยี หวงั ให้ความสญู การรบของพระยาไตแ๊ ละพระ
ยาพระนริศ ส้ินฤดนู ำ้ หลากฝา่ ยไทยส่งกำลังออกตคี า่ ยพม่าพรอ้ มกันวางกำลงั ปอ้ งกนั มใิ ห้ฝ่ายพม่าเข้ามาต้ังค่าย
ประชิดพระนคร โดยใหพ้ ระยาไต๊ออกตคี า่ ยมหานรธา ให้พระยาพระนรศิ ตีค่ายเนเมยี วสหี บดี ฝ่ายไทยถูกตแี ตก
ถอยหมด ฝา่ ยกรงุ ศรีกม็ ิไดย้ อ่ ทอ้ ต่อการป้องกันพระนคร ยังมกี องเรอื รบและเรือปืนที่จะต้านทานการโจมตีและ
ยังได้เพม่ิ เตมิ กำลงั พลและอาวุธประจำเชงิ เทนิ ลงขวากหนามกันการรุกของช้างและม้า ลงหลักและสิ่งกีดขวาง
เสน้ ทางน้ำมใิ ห้เรือรบพม่าเขา้ มาใกล้ในระยะปฏบิ ตั ิการเป็นการป้องกันใหห้ นาแน่นข้นึ
การสร้างค่ายล้อมพระนครของพมา่ พมา่ ไดส้ รา้ งคา่ ยล้อมพระนคร 27 ค่าย ดังนี้
ดา้ นทิศเหนือ 5 คา่ ย ซึ่งคา่ ยเนเมียวสหี บดอี ยู่ดว้ ย
ด้านทศิ ตะวันออก 5 ค่าย
ดา้ นทศิ ใต้ 9 คา่ ย
ดา้ นทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 2 คา่ ย
หนึ่งในจำนวนนี้เป็นค่ายของมหานรธาทุกค่ายลงรากฐานแน่นหนา มีปืนใหญ่ประจำค่ายและต่างก็
ระดมยงิ เข้าไปในพระนครทั้งกลางวนั กลางคืน ชาวบ้านท่ีมาส่งอาหารกพ็ ลอยได้รบั บาดเจบ็ ไมน่ อ้ ย
ลางร้าย เมื่อใกล้จะเสียพระนครศรีอยุธยา พระพุทธปฏิมากรใหญ่ที่วัดพนัญเชิง มีน้ำพระเนตรไหล
พระพุทธรูปวัดศรีมหาโพธิซ์ ึ่งแกะด้วยไมพ้ ระทรวงแยกออกจากกนั พระพทุ ธรปู ทองคำและพระพทุ ธภูรินทร์วัด
พระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังมพี ระฉวเี ศร้าหมอง พระเนตรท้งั 2 หลุดหล่นอยบู่ นพระหตั ถ์ อกี า 2 ตัวตกี นั ตวั
หนึ่งบินโผลงตรงยอดเจดีย์ดงั คนจับเสยี บไว้ทวี่ ัดพระธาตเุ ทวรูปพระนเรศวรมีน้ำพระเนตรไหล
สถานการณต์ อนกรุงแตก
ฝา่ ยพระนครถูกล้อมมาช้านาน เสบยี งอัตคัด เกิดโจรผรู้ า้ ยแยง่ ชิงกนั ทุกวัน เม่ือ 4 ม.ค.2309 เวลากลางคืน
เกิดไฟไหม้ในพระนครไหม้ตั้งแต่ท่าทรายริมกำแพงข้างด้านเหนือลุกลามทางประตูข้าวเปลือกไฟข้ามไปติด
บา้ นเรือนแขวงปา่ มะพร้าวตลอดแขวงป่าโทน ป่าถา่ น ปา่ ตอง ปา่ ยา ไหม้วัดมหาธาตุ วดั ราชบรู ณะ วดั ฉันทันต์
ไฟไหมว้ ิหาร บ้านเรือน รวมกว่า 10,000 ผู้คนพลเมืองอตั คดั คับแค้นหนักยิ่งข้ึนกระเจ้าเอกทัศน์สั่งฑตู ออกไป
ขอเจรจาเลกิ รบ ฝ่ายพมา่ ไมย่ อมหวังเอาทรัพย์และผู้คนของไทยไปเปน็ ทาส
วันแตกหกั ฝ่ายพมา่ เหน็ ว่าไทยอ่อนกำลังเต็มทแี่ ล้วก็เตรยี มการลว่ งหน้าโดยใหก้ องทพั วัดกุฎีแดง วัด
สามวหิ าร วดั มณฑป พร้อมกันเคล่อื นทีเ่ ข้ามาในเวลากลางคนื ทอดสะพานเรือก (ปูด้วยไมถ้ ักหวาย) ข้ามแม่น้ำ
ที่หัวรอริมปอ้ มมหาชัยข้างมุมเมืองดา้ นทิศตะวันออกเฉียงเหนืออันเป็นที่ลำน้ำแคบกว่าที่อ่ืน เอาไม้ตาลมาตั้ง
เปน็ ค่ายวหิ ลน่ั (ทำใหข้ ยับรุกเขา้ ไปหาข้าศึกทลี ะน้อย) ทงั้ 2 ขา้ งกันปนื ใหญข่ องชาวพระนครแล้วก็สรา้ งสะพาน
เรอื กมาฟากกำแพงพระนคร พระเจ้าเอกทศั นจ์ ึงใหจ้ มนื่ ศรสี รรกั ษน์ ำกำลงั ออกไปตีพมา่ ท่เี ขา้ มาสร้างสะพานทำ
36
การรบอยา่ งเข้มแขง็ ตพี วกพม่าแตกฆา่ ฟันลม้ ตายเปน็ จำนวนมาก แลว้ ไล่ตดิ ตามตีค่ายพม่าอกี แต่ไม่มีกำลังเพ่ิม
พมา่ จึงช่วยกนั ตแี ตกกลับมา
กรุงแตก พอพม่าทำสะพานเรือกเสร็จแล้วจึงเข้ามาตั้งค่ายศาลาดินนอกเมืองและขุดอุโมงค์รุ้งไป
ตามยาวใตร้ ากกำแพงแลว้ ขนเอาฟืนมาใส่ใต้รากกำแพ เกณฑ์ทหาร 4 กอง ๆ ละ 500 คน ใหท้ ำบันไดเป็นอัน
มากสำหรบั พาดปนี กำแพงปลน้ เอาเมืองทง้ั 4 ทิศ เม่ือได้ยนิ เสยี งปนื ใหญเ่ ปน็ สญั ญาณกใ็ หเ้ อาบนั ไดพาดกำแพง
ขึ้นปลน้ เมืองพร้อมกัน เมื่อวันท่ี 7 เมษายน 2310 เปน็ วันเวลาสงกรานต์เวลา 1,500 พม่าจุดไฟสมุ รากกำแพง
ตรงหน้ารอริมป้อมมหาชัยและระดมยิงปนื ใหญ่จากคา่ ยตา่ ง ๆ ที่รายล้อมเข้าไปในพระนครพอพลบค่ำกำแพง
เมืองตรงที่เอาไฟสุมก็ทรุดตัว 20.00 คืนวันน้ัน แม่ทัพพม่ายิงปืนเป็นสัญญาณให้ปีนกำแพงปล้นพระนครทุก
ด้าน พม่าเอาบันไดพาดปนี เข้าตรงกำแพงทรุดก่อนพวกทหารไทยเหลือกำลงั จะสู้พม่าเข้าพระนครได้ในคำ่ นั้น
พม่าล้อมกรงุ อยู่ 1 ปีกับ 2 เดอื น จึงเสียกรุงแก่พมา่
คนทรยศ ตามคำใหก้ ารของชาวกรุงเก่ามีคนไทยชอ่ื พระยาพลเทพขา้ ราชการในกรงุ ศรีเอาใจออกห่าง
ลอบสง่ ศาสตราวุธเสบียงอาหารใหแ้ กพ่ ม่า สญั ญาจะเปดิ ประตอู อกรับเมอ่ื พม่าเข้าโจมตีและประตูท่ีพระยาพล
เทพเปิดก็เปน็ ประตทู างทศิ ตะวันออกตรงหัวรอ ซึ่งพมา่ ก็ระดมเข้าปล้นในเวลากลางคนื ทางน้ตี ามนัด ซ่งึ ตรงกบั
วนั กรงุ แตกเชลยไทยได้เห็นขณะน้ันนา่ เสียดายเราไม่ทราบชตากรรมผทู้ รยศต่อชาตผิ ูน้ ี้
ผลของการรบ
1. ไทยเสยี อิสรภาพแก่พมา่ เป็นครง้ั ที่ 2
2. กรุงศรีอยุธยาตอ้ งพนิ าศยอ่ ยยับ บรรดาปราสาทราชวงั วดั วาอารามทรพั ยส์ นิ ต่าง ๆ ตลอดจนของมี
คา่ ถูกทำลายสนิ้ เชงิ ทำให้ศลิ ปวตั ถุและหลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ตำรบั ตำราพิชัยสงครามและสิ่งของมีค่าอ่ืน
ๆ ของชาติเสียไปเกือบหมด
3. คนไทยถกู จับเป็นเชลยประมาณ 30,000 คน ปนื ใหญถ่ ูกยดึ 1,200 กระบอก
ปนื เลก็ หลายหมืน่ กระบอก พระเจา้ อทุ ุมพรซึ่งทรงผนวชถูกจบั ไปเปน็ เชลยส่วนพระเจ้าเอกทศั นห์ นไี ปหลบซ่อน
ตวั อยู่ในป่าอดอาหารสิ้นพระชนม์
4. เกดิ วีรบรุ ษุ สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช
5. ไทยตอ้ งยา้ ยราชธานจี ากกรุงศรี ฯ ซ่ึงเป็นเมืองหลวงมา 417 ปี ลงมาตัง้ ทก่ี รุงธนบรุ ี
บทเรยี นจากการรบ
1. การตั้งรับอยา่ งเดียวเสียเปรียบ ไมม่ กี ารดำเนนิ กลยทุ ธ์
2. กองหนุน กองกระหนาบตชี ว่ ยฝา่ ยไทยไม่แขง็ แรงพอในการชว่ ยแก้ปัญหา ตอ้ งเตรยี มกองหนุนให้
เขม้ แข็ง
3. การเข้าตี 4 ทิศทาง เมือ่ ฝ่ายตรงข้ามรวมตัวกันไดแ้ ก้ไขยากเสมอ
4. ขาดการเตรียมงานด้านการข่าว การเตรียมคน เตรียมแผนสงครามตั้งแต่ภาวะปกติ ตั้งอยู่บนความ
ประมาทชว่ งเวลา 2 ช่ัวอายคุ น 198 ปี จึงเสยี กรงุ ฯ เป็นครงั้ ที่ 2 ตอ้ งรูเ้ ขา ร้เู รา และตอ้ งเป็นเบ้ยี บนเสมอ
5. ความอ่อนหัดทางวิชาทหารยิงปืนใหญย่ งั ไม่เป็นนับเป็นเร่ืองเศร้า ต้องทำการฝึกทหาร ฝึกยุทธวธิ ี
ต้ังแตภ่ าวะปกตเิ ตรียมพร้อมเสมอและแข็งแกรง่ ทสี่ ดุ คือ ยุทธศาสตรป์ ้องกนั ดที ่ีสดุ
37
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ทรงกอู้ ิสรภาพและการรบครั้งสำคัญสมัยกรงุ ธนบรุ ี
พระราชประวัติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในสมัยกรุง
ธนบุรี เสด็จพระราช สมภพ ณ วันที่ 17 เมษายนพ.ศ.2277 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ 3
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพระองค์ทรงเป็นสามัญชน กำเนิดในตระกูลแต้ มีพระนามเดิมว่า สิน พระราช
บิดาเป็นจีนชื่อไหฮอง เดินทางจากประเทศจีนมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย แล้วได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ นาง
นกเอี้ยง มีหลักฐาน บันทึกว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเคยเปน็ พ่อค้าเกวียนผู้ทรงปัญญาเฉลียวฉลาด และมี
ความสามารถด้าน กฎหมายเป็นพเิ ศษ ไดช้ ่วยกรมการเมอื งชำระถ้อยความของราษฎรทางภาคเหนืออยู่เนืองๆ
เนือ่ งจากไดท้ ำ ความดีมีความชอบต่อแผน่ ดนิ จงึ ไดร้ ับแต่งตั้งใหเ้ ป็น เจ้าเมืองตากในเวลาตอ่ มา
ในปี พ.ศ. 2308 - 2309 พระยาตากไดน้ ำไพรพ่ ลลงมาสมทบเพื่อปอ้ งกนั กรุงศรอี ยุธยาระหว่างที่พม่า
ล้อมกรุงอยู่ ได้ทำการต่อสู้จนเป็นที่เลื่องลือว่า เป็นแม่ทัพที่เข้มแข็งมากที่สุดคนหนึ่ง และได้รับการแต่งต้ัง
ให้เป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2310 (ก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยา
ให้แก่พม่าประมาณ 3 เดือน) พระยาตากได้รวบรวมกำลังตีฝ่าวงล้อมของพม่าไปตั้งม่ันเพื่อที่จะกลับมากู้เอก
ราชต่อไป
จากหลักฐานตามพระราชพงศาวดาร พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลประมาณ 500 คน มุ่งไปทางฝ่ัง
ทะเลทางทิศตะวันออก ระหว่างเส้นทางท่ผี ่านไปนน้ั ได้ปะทะกับกองกำลังของพม่าหลายครง้ั แตก่ ็สามารถตีฝ่า
ไปได้ทุกครั้ง และสามารถรวบรวมไพร่พลตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในวันที่ 8 เมษายน
พ.ศ.2310 พมา่ ยดึ กรุงศรีอยุธยาได้เจ้าเมืองใหญ่ๆพากันตั้งตวั เป็นเจา้ และควบคุมหวั เมืองใกลเ้ คยี งไว้ในอำนาจ
หลงั จากพระยาตากยึดเมืองจันทบุรีได้ กไ็ ด้ประกาศตัง้ ตัวเป็นอิสระ และจดั ต้งั กองทัพขึ้นที่น่ี โดยมีผู้คนสมัคร
ใจเขา้ มาร่วมดว้ ยเปน็ จำนวนมาก รวมทงั้ นายสดุ จนิ ดาซงึ่ ตอ่ มาได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
ให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่หนึง่ หลังฤดูมรสุมในเดือนตุลาคม พ.ศ.2310 พระยาตากได้
ยกกองทัพเรือออกจากจันทบรุ ีล่องมาตามฝงั่ ทะเลในอ่าวไทยจนถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาและได้ต่อสู้จนยึดกรุง
ธนบุรีคืนจากพม่าได้ ต่อจากนั้น ได้ยกกองทัพเรือต่อไปถึงกรุงศรีอยุธยา เข้าโจมตีค่ายโพธิ์สามต้น เมื่อวันที่
7 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 และสามารถกอบกู้เอกราชให้ชาติไทยได้เป็นผลสำเร็จ โดยใช้เวลาเพียง 7 เดือน
นับตั้งแต่เสยี กรุงศรีอยุธยา ให้กับพม่า หลังจากนั้น ได้ทรงเลือกกรุงธนบรุ ีเป็นราชธานี เนื่องจากทรงเห็นว่ามี
ชัยภูมิดี ประกอบกับ กรุงศรีอยุธยาเสียหายหนัก จนยากแก่การบูรณะ ให้เหมือนเดิม ต่อมาในปี พ.ศ. 2311
ได้ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระบรมราชาที่ 4” แต่ประชาชนนิยม
เรียกว่า “พระเจา้ ตากสนิ ” ในรัชสมยั ของพระองคไ์ ดม้ กี ารทำศึกสงครามอยู่เกอื บตลอดเวลา ท้ังนเี้ พ่ือรวบรวม
แผน่ ดิน ใหเ้ ป็นปกึ แผน่ และขบั ไล่พมา่ ออกจากราชอาณาจกั ร ถงึ แมว้ ่าบา้ นเมอื งจะอย่ใู นภาวะสงครามเปน็ ส่วน
ใหญ่ แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินก็ยังทรงมุ่งมัน่ ที่จะฟื้นฟปู ระเทศในด้านต่างๆ เช่น ด้านการเมือง การปกครอง
เศรษฐกิจและสังคม ได้มีการติดต่อค้าขายกับประเทศต่างๆ เช่น จีน อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ได้โปรดให้มี
การ สร้างถนนและขุดคลอง เพื่ออำนวยความสะดวกในการคมนาคม นอกจากน้ันยังทรงสง่ เสรมิ ทางด้านการ
ศาสนา ศลิ ปวัฒนธรรมและวรรณกรรม รวมท้ังการศึกษาในด้านตา่ งๆ ของประชาชนอีกด้วย
38
หลังจากครองราชย์ได้ประมาณ 15 ปี ได้มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นเหตุให้รชั สมัยของพระองค์
ต้อง สิ้นสุดลง สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จสวรรคตเมือ่ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 ขณะที่มีพระชนมายุได้ 48
ปี ตอ่ จากน้ันพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกได้ เสด็จขึน้ ครองราชย์ เปน็ ปฐมกษัตริย์แหง่ ราชวงศ์จักรี
และไดท้ รงยา้ ย ราชธานีมาฝงั่ กรุงเทพมหานคร เน่อื งจากสมเด็จพระเจ้าตากสนิ ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ
ต่อแผ่นดินไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะได้ ทรงกอบกู้เอกราชให้ชาติไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันท่ี
28 ธันวาคม ของทุกปี (ซึ่งตรงกับวันที่ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์) เป็น “วันสมเด็จพระเจ้าตาก
สนิ ” นอกจากน้ันคณะรฐั มนตรยี งั มีมติใหถ้ วาย พระราชสมญั ญานามว่า “สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช”
การรบท่บี างแก้ว (พ.ศ. 2317)
สาเหตุของสงคราม ในสมัยพระเจ้าองั วะ ครอบครวั มอญท่ีเมาะตะมะ หนีมาพงึ่ ไทยทางด่านพระเจดยี ์
สามองค์ อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพใหญ่พม่าจึงให้งุยอคงหวุ่นเป็นแม่ทัพนำกำลัง 5,000 คน เข้าติดตามครัวมอญ
เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เมื่อติดตามครัวมอญไม่ทันพม่าจึงเปลีย่ นความมุ่งหมายเป็นการปล้นทรัพย์
จับเชลยคนไทย แถวเมอื งชายแดนและใกลเ้ คียง หว้ งระยะเวลาสงครามประมาณ 13 ก.พ. – 31 ม.ี ค.2317
ภูมิประเทศท่ปี ฏบิ ตั กิ ารรบ
สงครามบางแกว้ ที่ ต.โคกกระต่าย อ.โพธาราม จว.ราชบุรี นับเปน็ สงครามแตกหักในครั้งนี้ ลักษณะภูมิ
ประเทศ ฝ่ายพมา่ เป็นฝ่ายเลือกตั้งค่ายก่อน ลักษณะเป็นที่ดอน ชายเขา มที ่รี าบกวา้ งขวาง สลับป่าโปร่ง ด้าน
ทิศใต้มีภูเขาพระสูงประมาณ 120 เมตร ด้านทิศเหนือขึ้นไปประมาณ 3 กม. มีเขาช่องพรานสูงประมาณ
90 เมตรทางตะวนั ตกเฉียงเหนือประมาณ 5 กม. มีเขาชะงมุ้ สงู ประมาณ 100 เมตร ดา้ นตะวนั ออกมีลำห้วยน้ำ
ขงั และเป็นแหลง่ น้ำอยู่ห่างค่ายประมาณ 2 กม. และหา่ งมาทางตะวนั ออกประมาณ 5 กม. เป็นแม่น้ำแม่กลอง
ไหลไปสู่จังหวดั ราชบุรี บา้ นบางแกว้ นีอ้ ยทู่ างทิศเหนอื ของจงั หวัดราชบุรขี ึน้ มาประมาณ 20 กม.
แผนการรบ
แผนการรบของพม่า เปลยี่ นแผนจากตามจับครัวมอญเพราะตามไมท่ ันฝา่ ยไทย
นำไปไว้ในกรุงแลว้ จงึ แยกทพั ออกเปน็ 2 สว่ น สำหรับปล้นทรพั ย์จับเชลยไทย
- หม่องซายดิ คมุ พล 2,000 ตงั้ อยทู่ ่ปี ากแพรก กาญจนบุรี
- งุยอคงหวนุ่ คุมพล 3,000 มาต้ังอยู่บางแกว้ ราชบุรี
- แผนการรบขนั้ ต่อไปเมือ่ ถกู ฝา่ ยไทยโอบล้อมและเขา้ ตคี า่ ย
พม่าต้องการปล้นค่ายไทย และต้องการจับทหารไทยเป็นเชลยให้ได้มาก ๆ แม่ทัพ
คอื งยุ อคงหวุ่น ประมาทฝมี อื คนไทย ดงั จะเหน็ วา่ ใหท้ หารพม่ามายืนดูทหารไทยต้ังคา่ ยโอบล้อมแล้วถามว่าต้ัง
ค่ายเสร็จหรือยงั จะได้เข้าตีจบั ทหารไทยเป็นเชลยได้มาก ๆ เมื่อทหารไทยตั้งค่ายแข็งแรงนำกำลังมาเพิม่ เตมิ
โอบล้อมค่ายพม่ามากขึ้น พม่าอยู่นานไปก็จะขัดสนเสบียงอาหาร จึงเข้าปล้นค่ายไทยแต่ไทยตีแตกกลับไป
ถึง 3 ครั้ง เสียล้ีพลไปมาก เจบ็ ปว่ ย ตาย และถกู ทหารไทยจับเปน็ เชลยกม็ าก ทำใหท้ หารพมา่ ขาดขวญั กำลงั ใจ
แผนการรบของฝ่ายไทย ต้องการโอบล้อมค่ายทหารพม่าไวด้ ้วยกำลงั มาก ตง้ั คา่ ยแขง็ แรงหลายขั้นไว้
โดยรอบไมใ่ ห้กำลังพม่าเล็ดรอดออกไปได้ ต้องการจะจับเชลยทั้งหมดไปประจาน ตัดการส่งกำลังบำรงุ รักษา
แหล่งน้ำไวไ้ ม่ใหพ้ ม่าออกมาใช้แหล่งน้ำ คอยดกั ปล้นกองทหารทีจ่ ะออกไปหาเสบียงอาหาร ทั้งน้เี พือ่ ให้พม่าอด
39
โซ ตัง้ ค่ายสกัดกั้นกองหนนุ พม่าที่จะมาจากค่ายปากแพรกมิให้ชว่ ยเหลือกนั ได้ โดยมิไดน้ ำกำลงั เข้าไปล้อมพม่า
ที่ปากแพรกเลย ต่อมากองหนุนพมา่ ก็ยกมาตั้งที่เขา้ ชะงุม้ ประจันหน้ากบั ค่ายไทย เพิ่มเติมกำลังซึ่งยกลงมา
จากหัวเมอื งฝ่ายเหนอื ฝ่ายไทยมกี ำลังมาก ขวัญดี ตอ้ งการทำลายขวญั พม่าแก้แคน้ คืนท่ีพม่าจับไทยเป็นเชลย
ครัง้ กรุงเกา่ แตก
การวางกำลังและการจดั รปู ขบวน
1. ฝ่ายพม่า วางกำลังตั้งค่ายที่บางแก้วด้านหลังเขาพระประมาณ 1 กม. ตั้งค่ายเป็น 3 ค่าย
มปี กี กาถงึ กนั
2. ฝ่ายไทย การวางกำลังขน้ั ต้น
ค่ายท่ี 1 พระองค์เจ้าอุ้ย (ลูกยาเธอ) คุมพล 3,000 ไปตั้งค่ายประชิดพม่าที่ ต.โคกกระต่าย
หา่ งค่ายพมา่ 80 เสน้ (3.20 กม.)
ค่ายที่ 2 หลวงมหาเทพ ไปตง้ั อยทู่ างตะวันตกของพมา่
ค่ายท่ี 3 เจา้ รามลักษณ์ (หลานเธอ) ไปตง้ั โอบลอ้ มอยู่ทางตะวันออกของพมา่
การวางกำลงั ข้ันต่อไป
เมื่อพระเจา้ ตากสินยกกำลังทพั หลวงขน้ึ มาสมทบทราบว่าทหารพมา่ ดถู ูกทหารไทยก็โกรธหวัง
จะจบั พมา่ เอาเปน็ เชลยใหท้ หารไทยดจู ะได้หายกลวั พม่า จึงให้ต้งั ค่ายโอบลอ้ มเขา้ ไปอีกดงั นี้
ค่ายท่ี 4 ค่ายหลวงตั้งที่เขาพระ ห่างค่ายโคกกระต่ายขึ้นไปข้างเหนืออีก 40 เส้น (1.5 กม.)
อยูใ่ กล้กบั พม่าหา่ งกนั เพียง 1 กม.
ค่ายที่ 5 พระยาอินทรอภัย ตั้งที่เขาช่องพรานรักษาหนองน้ำใหญ่มิให้ทหารพม่ามาใช้อาบกิน
และใชส้ ำหรับช้าง มา้ ได้
ค่ายที่ 6 พระยารามัญ คุมกองมอญรักษาหนองนำ้ ที่เขาชะงุ้มและตัดเส้นทางลำเลยี งของข้าศึก
มิให้ใช้ได้ เมื่อพระยาจักรี พระยาสุรสีห์ ยกกองทัพหัวเมืองเหนือเข้ามาสมทบอีก จึงตั้งค่ายโอบล้อมพม่า
ไว้อกี ดงั น้ี
คา่ ยท่ี 7, 8, 9 เป็นคา่ ยพระยาจกั รีต้งั โอบลอ้ มพมา่ ทางดา้ นเหนอื
ค่ายท่ี 10, 11, 12 ของพระยาสุรสีห์ ตั้งค่ายล้อมหม่องจายิด ซึ่งเข้าตีค่ายพระยารามัญ
แล้วยึดค่ายไดจ้ ึงตั้งอยู่ท่ีค่ายเขาชะงุ้ม ฝ่ายไทยจึงเข้าโอบล้อมไว้มิใหพ้ ม่าลงมาช่วยคา่ ยงุยอคงหวุ่นที่ค่ายบาง
แกว้ ได้
การปฏิบัติการรบ แผนการรบของพระเจ้าตากสิน มีแนวความคิดยังไม่เข้าตคี ่ายพม่าถา้ จะเข้าตีก็คง
แตกโดยงา่ ยเพราะมีกำลงั มากกว่าพม่าหลายเท่าแต่ต้องการให้พม่าอดโซและจะจับเปน็ เชลย จึงตั้งค่ายล้อมไว้
มิให้ทหารพม่าเล็ดรอดออกไปหาเสบียงอาหารได้ ในขั้นต้นไทยยังไม่ยกกำลังไปตีกองหนุนพม่าที่ปากแพรก
ซึ่งมีหม่องจายิดคมุ ค่ายอยู่ ทั้งนคี้ งจะรอกำลงั จากพระยาจกั รี พระยาสุรสีหจ์ ากหัวเมืองเหนือเข้ามาช่วย
การปฏิบัติการกับกองหนนุ พมา่ หม่องจายดิ ซงึ่ ตั้งอยูป่ ากแพรกทราบว่างุยอคงหวนุ่ ถูกทหารไทยโอบ
ล้อมอยู่ที่บางแก้วจึงยกกำลังมาช่วย มาถึงเขาชะงุ้มจึงเข้าตีค่าย พระยารามัญ กองมอญ มีกำลังน้อยถูกพม่า
ล้อมอยจู่ งึ หนจี ากวงล้อม พมา่ จงึ เขา้ ค่ายท่ีเขาชะงุ้มได้ แต่พระยารามัญกลับมาตั้งคา่ ยใหม่สกัดมิให้หม่องจายิด
40
ลงมาถงึ ค่ายบางแก้วได้ พอดีพระยาสรุ สีหย์ กกำลงั มาจากหัวเมอื งเหนือมาชว่ ยโอบล้อมไว้อีก หม่องจายิดอยู่ที่
ค่ายเขาชะงุ้มจึงออกปล้นค่ายพระยาสุรสีหโ์ ดยทำค่ายวิหลัน่ (คือการกำบังกายด้วยการพราง) ค่อย ๆ ขยับรุก
เข้าหาค่ายไทยทีละน้อย เมื่อถึงจุดที่จะโจมตีก็จู่โจมทุกทิศทางในระยะใกล้ ๆ แต่ทหารไทยป้องกันค่ายไว้ได้
คราวต่อไปพมา่ จึงออกปลน้ คา่ ยพระยานครสวรรค์ทีต่ ้งั ล้อมอยู่เขาชะงุ้มเชน่ เดยี วกัน พระเจ้าตากสนิ จงึ ยกกำลัง
จากคา่ ยหลวงข้ึนไปชว่ ย นำทหารเข้าฟาดฟันพม่าจนแตกกระเจงิ เข้าค่ายเขาชะงุ้มจนไมส่ ามารถยทุ ธบรรจบกับ
งุยอคงหวุ่นได้ ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้ ซึ่งอยู่ที่เมาะตะมะเห็นว่างุยอคงหวุ่นยกทัพหายไปนานยังไม่กลับจึงส่ง
ตะแคงมรหนอ่ งคุมพล 3,000 มาตามเมือ่ มาถึงปากแพรกจงึ ทราบว่างยุ อคงหวุ่นถกู ทหารไทยลอ้ มอยู่ท่ีบางแก้ว
จึงยกกำลังมาช่วยมาถึงดงรังเข้าตีค่ายพระยายมราชซึง่ ตั้งอยูร่ ะหว่างทางเข้าตีค่ายไทยไม่แตกจึงถอยทัพกลบั
ปากแพรก จงึ ไมส่ ามารถยกกำลังมาชว่ ยงยุ อคงหว่นุ ทบ่ี างแกว้ ได้
ผลการรบ งยุ อคงหว่นุ แม่ทัพพม่าถกู กองทัพไทยโอบล้อมจนไม่สามารถอดทนอยไู่ ด้ จึงยอมออกจาก
ค่ายพรอ้ มดว้ ยนายทพั นายกองมอบตัวตอ่ กองทัพไทย ถกู นำตัวไปกราบบังคมพระเจ้าตากสนิ ยงั ค่ายหลวงเขา
พระและฝ่ายพม่าถกู จบั เปน็ เชลยได้ 1,234 คน หญงิ 2 คน พม่าตายระหว่างถกู ลอ้ ม 1,600 คน
หลังจากนนั้ ไทยกร็ วมกำลงั เข้าตหี ม่องจายิดท่ีเขาชะงมุ้ แตกและเขา้ ตพี ม่าทป่ี ากแพรก ไทยขบั ไล่จนสุดชายแดน
จึงเลกิ ทพั กลบั
บทเรยี นจากการรบ
1. ความประมาทของแม่ทัพพม่าดูถูกฝีมือทหารไทยท้ัง ๆ ที่งุยอคงหวุ่นตัง้ ค่ายท่ีบางแก้วเสร็จ แล้ว
ยงั ให้ทหารพม่ายืนดูทหารไทยตัง้ ค่าย ไม่ถอื โอกาสโจมตไี ทยเสยี กอ่ นเพราะประมาทฝีมือคนไทยอย่าประมาณ
ข้าศึก
2. แหล่งน้ำ แหล่งเสบียงอาหารของพม่าถูกตัดจนกองทัพอดโซหิวโหยเส้นทางส่งกำลังบำรุงถูกตัด
ขาด
กองหนุนก็อยู่ห่างไกลไม่สามารถเข้าช่วยได้ทันท่วงที ฉะนั้นการส่งกำลังบำรุงและเส้นทางส่งกำลังบำรุงจึงมี
ความสำคัญตอ้ งรกั ษาใหร้ ะวังปอ้ งกัน
3. พมา่ เปล่ียนความมุ่งหมายจากการตดิ ตามครวั มอญกลบั มาเป็นการปลน้ ทรัพยจ์ ับเชลย
ไทยเช่นเดยี วกับคราวกรงุ แตก โดยนำกำลงั มาเพยี ง 5,000 แยกเปน็ 2 กอง ครัน้ กองทพั ไทยมาตงั้ คา่ ยโอบล้อม
ที่บางแกว้ ก็ยงั ดื้อร้ันตคี า่ ยไทยให้ได้ ไม่ถอยหนไี ปเสยี กอ่ นฝา่ ยไทยจะเพม่ิ เตมิ กำลงั
4. การข่าวของทหารพม่าไมด่ ี เพราะไม่ไดเ้ ตรียมการทำสงครามไว้จึงไม่ทราบกำลังทีจ่ ะมาเพ่ิมเติม
กำลังมากมายจงึ วางแผนต้ังรบั ไม่ถกู
5. ความพร้อมของฝ่ายไทย หลังจากตีเชียงใหม่ได้แล้วจึงโยกกำลังจากหวั เมืองฝ่ายเหนือมาช่วยได้
ทนั มกี ำลงั มากกว่า
6. ไทยใช้กลยุทธ์ล้อมค่ายและตัดเส้นทางส่งกำลังบำรงุ ทำให้อดอยากจนถูกจับทั้งค่าย เป็นไปตาม
หลักซุนวู้ ล้อมตีให้อดโซ กล่าวไว้ กำลังมากกว่า 10 : 1 ให้ล้อมเอา 5 : 1 ให้เข้าตี 2 : 1 ให้แยกออกแล้วเขา้ ตี
ทีละส่วน ถา้ กำลังนอ้ ยกวา่ ใหห้ ลีกเล่ยี ง
41
7. การจับเชลยพม่าเป็น ๆ มาให้ทหารไทยดขู องพระเจ้าตากสนิ เป็นการทำใหท้ หารไทยหายกลัวพม่า
เสยี ที เป็นการดำเนนิ กลยุทธ์ทางจิตวทิ ยาได้ผลดี
8. ความรวดเร็วในการเคลื่อนทพั ด้วยกำลงั ทางน้ำใช้เรือ สามารถเดินทัพจากเชียงใหม่ลงมาราชบรุ ี
ชว่ั เวลาไมก่ ่วี ัน กำลังเป็นปกึ แผน่ ไม่กระจัดกระจายและบอบช้ำ เมือ่ ถึงท่ีหมายทำการรบได้ทนั ที ถ้าเคล่ือนทัพ
ทางบกจะเหนด็ เหนื่อยและลา่ ช้า
วิเคราะห์การนำหลกั การสงครามไปใช้
1. หลกั ความม่งุ หมาย พระเจ้าตากสนิ วางความมงุ่ หมายไว้ท่กี ำลังฝ่ายพม่าที่เขาชะงมุ้
2. หลกั การรกุ พระเจา้ ตากสินนำกำลงั รกุ ออกจากกรุงธนบรุ ีไปราชบุรที ี่เขาชะงมุ้ ก่อนทีพ่ ม่าจะจับคน
ไทยเป็นเชลย ชิงความได้เปรียบเข้าประชิดและทำการโอบล้อมอย่างรวดเร็ว พร้อมให้กำลังมาเพิ่มเติมทำให้
วงลอ้ มมคี วามมั่นคงไม่มีทางสู้
3. หลักการรวมกำลงั จะเหน็ ว่าพระองคร์ วบรวมเปน็ ปึกแผ่น ล้อมรอบกำลังฝา่ ยพม่า ณ เขาชะงมุ้
4. หลักการออมกำลัง กองหนุนทั่วไป และมอญที่อยู่ในกรุงธนบุรียังไม่ถูกออกนำมาใ ช้
ใชเ้ ฉพาะกำลงั หลักโอบล้อมคา่ ยสำเร็จ
5. หลักการดำเนินกลยุทธ์ ใช้รูปแบบกลยุทธ์โอบ และล้อมทุกทิศทางไม่ให้พม่าสามารถ
ดำเนนิ กลยุทธ์ไดถ้ กู ตรงึ อยู่กบั ทพ่ี ้ืนทีค่ ับแคบ
6. หลกั เอกภาพในการบงั คับบัญชา พระเจ้าตากสนิ ทรงเปน็ จอมทพั สง่ั การเด็ดขาดผูเ้ ดียวต่อแม่ทัพ
นายกองตามสายการยบงั คับบัญชา ทำให้การควบคุมบังคบั บัญชาเป็นไปด้วยความเรียบร้อยผู้ปฏิบัติไม่สบั สน
สงสัย
7. หลักการระวงั ปอ้ งกัน จะเหน็ วา่ พระองค์ให้พระยายมราชไปตงั้ ค่ายที่ดงรงั ป้องกนั พม่าเข้าตีกำลัง
ส่วนใหญ่ที่เขาชะงุ้ม พระยายมราชสามารถตีตะแคงมรหน่องกำลัง 3,000 แตกกลับไปที่ปากแพรก เป็นการ
ระวังป้องกนั ให้แกก่ ำลงั สว่ นใหญ่ฝา่ ยไทยทบ่ี างแก้ว
8. หลกั ความง่าย ยทุ ธวธิ ีล้อมตีใหอ้ ดโซเป็นยทุ ธวธิ แี บบง่าย ไมเ่ สียกำลงั ทหารฝ่ายเรา มีขวัญดีกำลัง
ฝา่ ยไทยได้เปรยี บท้ังกำลังพล อาวธุ มีเวลาพอแผนง่ายทกุ ฝา่ ยเขา้ ใจ
การรบกบั อะแซหวุน่ กีต้ เี มืองพษิ ณโุ ลก (พ.ศ. 2318)
สาเหตุของสงคราม พระเจ้ามังระต้องการปราบปรามไทยให้ราบคาบ เหมือนครั้งกรุงศรีอยุธยาอีก
เพราะเห็นว่าไทยตงั้ ตัวเป็นใหญ่ได้อีก จงึ ใหอ้ ะแซหว่นุ กเ้ี ป็นแม่ทพั ใหญ่ ยกทพั เข้ามาทำศกึ กับไทยเป็นสงคราม
ใหญ่ ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา จว.ตาก เพื่อตีเมืองพิษณุโลกอันดับแรก แล้วจะนำกำลังลงมาตีกรุงธนบุรี
ตอ่ ไปหว้ งระยะเวลาสงคราม ประมาณ ต.ค. 2318 ถงึ 2319
ภูมปิ ระเทศท่ปี ฏิบัติการรบ
สำหรบั เมืองพิษณโุ ลก เป็นลักษณะเมอื งอกแตก มีแม่นำ้ ไหลผา่ นกลางเมืองแมน่ ้ำน่านเมื่อฤดูน้ำหลาก
จะไหล่บ่าล้น 2 ฝั่งลงไปทางใต้ผ่านที่ราบลุ่มท้องนามาถึง จว.พิจิตร ลงมานครสวรรค์ เมืองพิษณุโลกเป็นหัว
เมืองใหญ่ฝ่ายเหนืออยู่ในแนวเดียวกับ เมืองสุโขทัย เมืองตาก ซึ่งพม่าเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เข้า ตาก –
42
สุโขทัย - พิษณุโลก ได้โดยสะดวกเพราะเป็นที่เนิน เดินทัพสะดวก และเส้นทางส่งกำลังหาอาหารทางเมือง
สุโขทัย กำแพงเพชรได้ไม่ถูกขดั ขวาง
เสน้ ทางจาก จว.พิษณุโลกไปยังกรุงธนบุรี เป็นท่ีราบลุม่ แม่นำ้ นา่ นและแมน่ ้ำเจ้าพระยาฤดูฝนน้ำหลาก
เดินทัพทางบกลำบากล่าช้า ต้องใช้เรือแจวพายจึงสะดวก ด้านตะวันออกของเมอื งพิษณุโลกเป็นเนินสูง และ
เทือกเขาเพชรบูรณเ์ ปน็ ป่าทบึ และภูเขาสงู ชนั
แผนการรบ
ฝา่ ยพม่า ในขน้ั ต้น อะแซหว่นุ กแี้ มท่ ัพใหญ่พม่าทำการรบโดยใชแ้ ผนชอื่ วา่ บุเรงนอง คอื
1. ยึดเมืองเชยี งใหม่และหวั เมอื งฝา่ ยเหนือ เช่น พษิ ณโุ ลก กำแพงเพชร ฯลฯ ให้ได้เสียก่อนเพ่ือตัด
กำลงั ไทยและใชเ้ ป็นฐานสง่ กำลงั บำรงุ ของพม่า เปน็ การตดั กำลังไทยใหอ้ อ่ นแอลงไปในตัว
2. เมือ่ ไดห้ วั เมอื งฝ่ายเหนือแลว้ จึงจะยกกองทพั บกและกองทพั เรอื ลงไปตีกรุงธนบุรตี ่อจงึ จะง่ายข้ึน
และใชเ้ สน้ ทางนำ้ จากหัวเมอื งเหนือเปน็ เสน้ ทางสง่ กำลัง
ฝ่ายไทย
1. ป้องกันเมืองเชียงใหม่ไว้ใหไ้ ดเ้ พ่อื มใิ ห้พมา่ ใช้เป็นฐานสง่ กำลังและนำกำลงั มาบีบเมืองพษิ ณุโลก
2. ป้องกันเมอื งพษิ ณุโลกไวใ้ หไ้ ด้เพราะเป็นหวั เมืองฝ่ายเหนอื ทม่ี ีกำลงั มากโดยใช้กำลังจากหัวเมือง
ฝา่ ยเหนอื และกำลงั จากเมืองหลวงไปยันไวแ้ ล้วทำลาย ร้ังหนว่ งทพั พมา่ ไมใ่ ห้เขา้ ตกี รงุ ธนบุรีได้
3. แผนการใชเ้ สน้ ทางน้ำจากทางใตส้ ่งกำลงั ขึ้นไปยงั เมืองพิษณุโลกน้ันถือเปน็ เสน้ เลือดใหญท่ ีส่ ำคัญ
ต้องยดึ รักษาไวใ้ หไ้ ด้ปอ้ งกนั พมา่ เคล่อื นกำลังลงใต้
การวางกำลังและการจัดรปู ขบวน
ฝ่ายพม่า
1. ตงั้ คา่ ยล้อมเมอื งพษิ ณุโลกไว้ 4 ด้าน แล้วส่งไพรพ่ ลลาดตระเวนดชู ยั ภมู ิทีจ่ ะเขา้ ตีเมืองพิษณุโลก
ฝา่ ยพระยาจกั รี พระยาสุรสีห์ รกั ษาเมอื งสง่ กำลังเข้าตกี องลาดตระเวนพม่า ผลัดกนั แพ้ผลดั กันชนะไม่เด็ดขาด
ต่อกัน
2. เมอ่ื กองทัพหลวงของพระเจ้าตากสนิ ยกข้นึ มาตง้ั คา่ ยเรยี งรายด้านใตเ้ ป็นระยะ ๆ ตามลำน้ำน่าน
เพื่อรักษาเส้นทางส่งกำลังไว้ ตั้งค่าย 6 ค่ายตลอดระยะ 20 กม. ลงไปจนถึงค่ายหลวงตั้งที่ปากพิง พม่าจึง
วางแผนบดขยกี้ ำลังส่วนน้ีทีละค่ายเพ่ือให้พิษณุโลกขาดเสบียง ทพั หลวงของไทยที่ปากพิงต้องทิ้งค่ายหนีลงไป
ทางใต้ และในที่สดุ พม่าเขา้ เมอื งพิษณโุ ลกได้ พระยาจักรี พระยาสรุ สหี ์ ต้องหนีไปทางเพชรบรู ณ์
ฝา่ ยไทย
1. กองทัพพระยาจกั รี พระยาสรุ สหี ์ ตงั้ อยู่ในเมืองพษิ ณุโลกออกไปตัง้ ค่ายรอพม่าอยูน่ อกเมืองด้าน
เหนือ 1 คา่ ย และดา้ นตะวันออก 1 ค่าย
2. กองทพั หลวงของพระเจ้าตากสนิ ตง้ั คา่ ยตามลำน้ำนา่ น 1 คา่ ย
- ค่ายหลวงต้งั ทป่ี ากพงิ - ค่ายทา่ โรง - ค่ายวัดจุฬามณี
- ค่ายบ้านกระดาษ - คา่ ยบางทราย - คา่ ยวดั จนั ทร์
43
การปฏบิ ัตกิ ารรบ การศึกใหญค่ ร้ังนม้ี ีการปฏิบัตกิ ารรบยอ่ ย ๆ หลายครั้งทส่ี ำคญั คือ
1. ครัง้ แรกพระยาสุรสหี ไ์ ดน้ ำกำลังเข้าตีค่ายพม่าที่บ้านกงธานี ริมน้ำยมซ่งึ มกี ะละโปและแมงแยยางู
เป็นแม่ทัพคุมกำลังอยู่ 20,000 คน ไทยตีพม่าไม่ได้เพราะมีกำลังน้อยกว่า ไทยจึงกลับมารักษาเมือง พม่าจึง
ตามมาล้อมเมอื งพิษณโุ ลก
2. การสรู้ บแบบปอ้ มค่าย ฝ่ายไทยไดไ้ ปต้ังค่ายประชดิ พมา่ ท่ลี ้อมเมืองพิษณโุ ลก
พระยารามัญคมุ กองมอญ ตั้งคา่ ยประชิดทางดา้ นเหนือ
พระยาจักรี พระยาสุรสหี ์ ตัง้ คา่ ยประชิดทางด้านตะวนั ออก
พระยานครสวรรค์ ตัง้ คา่ ยประชดิ อยู่ทางวดั จันทรด์ า้ นใต้
ด้านตะวันออกฝ่ายไทยไดเ้ ข้าตีค่ายพม่า ขุดคูประชิดค่ายเข้าหากันรบกันอยูห่ ลายวนั ไม่แพ้
ไม่ชนะ แม้ไทยจะระดมกำลังเข้าตกี ไ็ ม่แตกเพราะอะแซหวนุ่ ก้ีรูต้ วั เอากำลงั มาเสรมิ
ด้านตะวันตกเฉียงใต้ พระเจ้าตากสินวางแผนจะเข้าตีค่ายพม่าทางด้านนี้ในวันรุ่งขึ้น โดย
วางแผนใหพ้ ระยาจักรี พระยาสสุ หี ์ เขา้ ตคี ่ายพม่าแลว้ ให้พระยานครสวรรค์ พระยาราชมณเฑียรเป็นกองหนุน
ยกกำลงั ไปซุ่มทางตะวันตก คอยตกี ระหนาบข้างหลัง แตแ่ ผนผิดพลาดคือ เมือ่ พระยาจักรี พระยาสุรสีห์ เข้าตี
ค่ายพม่าปล้นค่ายเผาค่ายไปได้บางส่วนแล้ว พระยานครสวรรค์และพระยาราชมณเฑียรยกขึ้นไปช่วยไม่ทัน
เพราะกองหนุนของอะแวหวนุ่ กจ้ี ากสโุ ขทยั มาคอยสกัดไว้
3. การสู้รบของไทยเข้าตีค่ายพม่า 2 ครั้งไม่ประสบผลสำเร็จพม่าจึงเข้าตีค่ายบางทราย เพื่อตัด
เส้นทางลำเลียงของไทย ไทยมอี าวธุ เหนือกวา่ พมา่ จงึ ปอ้ งกันค่ายไวไ้ ด้
4. พม่าส่งกำลังหนุนลงมาตัดเส้นทางส่งกำลังของไทยอีกโดยส่งกำลังอ้อมมาทางกำแพงเพชรจะไป
โจมตีนครสวรรค์พระเจ้าตากสินต้องถอนกำลังทีร่ ักษาเส้นทางที่บ้านกระดาษไปคุ้มกันเมืองนครสวรรค์ทำให้
การระวังป้องกันรักษาเส้นทางลำเลียงไปเมืองพิษณุโลกอ่อนแอไป พม่าดักปล้นเอาเสบียงที่จะส่งขึ้นไป
พษิ ณโุ ลกไปไดพ้ ิษณุโลกจงึ ขาดเสบยี ง
5. แผนอะแซหวนุ่ กี้ต้องการตีค่ายหลวงที่ปากพิงใหแ้ ตกเสียก่อนเป็นการตัดเสน้ ทางส่งกำลังหรือตัด
เส้นเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงเมืองพิษณุโลกจึงนำกำลังกดดันค่ายหลวงให้ย้อนลงไปทางใต้ไปตั้งที่บ้านข้าวตอก
แขวงเมอื งพจิ ิตรและค่ายรายทางถกู พม่าตแี ตก เมืองพษิ ณุโลกจึงถกู ตดั ขาดจากทัพหลวง
6. เมืองพิษณุโลกอ่อนแอแล้วจึงจะเข้าปล้นเมือง แต่พระยาจักรีกับพระยาสุรสีห์นำกำลังและ
ชาวเมอื งตฝี า่ หนีไปเพชรบูรณ์เสียก่อน พม่าจึงเข้าเมอื งพิษณุโลกได้
7. แมว้ า่ พม่าจะเขา้ เมอื งพิษณุโลกได้ แต่ไมไ่ ด้เชลยและส่ิงของเพราะฝา่ ยไทยทำลายกอ่ นและท้ิงเมือง
ไป อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่าอยู่ได้ 2-3 วัน ก็ถูกเรียกตัวกลับกรุงอังวะปล่อยให้ กะละโปและแมงแยยางูคุม
กองทัพอยู่ต่อไป
8. แมงแยยางู ยกกำลังติดตามพระยาจกั รี พระยาสุรสีห์ขึ้นไปทางเพชรบรู ณ์แตถ่ ูกกำลงั ฝ่ายไทย คือ
พระยาพลเทพ ตีแตกกลบั ไป
9. กะละโป คุมกำลังทหารไปทางกำแพงเพชรเพอื่ หาเสบียงอาหารก็ถกู ทหารไทยตีแตกกลบั ไปพมา่
44
ผลการรบ การรบครัง้ นไ้ี ทยเสยี เปรียบกำลังพลนอ้ ยกว่าจึงไม่สามารถรกั ษาเมอื งพษิ ณุโลกไว้ได้ต้องทิ้ง
เมอื งพิษณุโลกหนไี ปเพชรบรู ณ์ พมา่ เข้าเมอื งพิษณุโลกได้ แตไ่ ม่ได้เสบยี งอาหารทำให้พม่าอดอยากเช่นเดียวกัน
อะแซหวนุ่ ก้แี มท่ ัพถูกเรียกตัวกลบั วตั ถปุ ระสงค์ใหญค่ ือการเข้าตกี รุงธนบุรี จึงถูกระงบั ไป ภายหลงั อะแซหวุ่นกี้
กลบั ไปแล้วแม่ทัพของไทย ได้ตามตีพมา่ แตกกระเจิงออกจากแผ่นดนิ ไทยไป สรปุ ผลการรบไทยรักษาอิสรภาพ
ไว้ได้และกลบั มาปรับปรุงเมืองพษิ ณโุ ลกอกี ครง้ั
บทเรยี นจากการรบ
1. การส่งกำลังเป็นหัวใจของการรบ สงครามยืดเยื้อ พม่าพยายามตัดเส้นทางส่งกำลังของเมือง
พษิ ณุโลกใหไ้ ดจ้ งึ ทำใหพ้ ิษณุโลกอ่อนกำลงั ลง จนต้องท้ิงเมืองไปในท่สี ดุ
2. การขา่ วพม่าดี เพราะอะแซหวุน่ ก้เี ปน็ แม่ทพั ผเู้ ฒา่ กรำศึกมานานมากด้วยประสบการณ์ รอบรชู้ าญ
ฉลาด จึงเดาใจแม่ทัพไทยไดถ้ ูกตอ้ ง เช่นคาดว่าไทยจะตีค่ายพม่าทางด้านตะวันออกก็นำกำลังไปเสริมให้มาก
และตอ่ ไปคาดวา่ ไทยจะตคี า่ ยพม่าทางตะวันตกเฉียงใต้ก็สง่ กำลงั มาคอยสกัดกองหนนุ ฝ่ายไทยมิใหข้ น้ึ ไปช่วยกัน
ได้
3. แม่ทัพพม่าหลอกล่อส่งกำลังไปตีท้ายครัวไทย (ตลบหลัง) คือส่งกำลังไปทางกำแพงเพชร ไปตี
นครสวรรค์ซึ่งเป็นปากประตูที่จะมาแม่น้ำน่าน จนพระเจ้าตากสินต้องถอนกำลังจากค่ายรายทางที่บ้าน
กระดาษไปรักษานครสวรรค์ ทำให้เสน้ ทางสง่ กำลังจากค่ายหลวงไปพิษณุโลกอ่อนกำลงั พม่าจึงตดั กำลังปล้น
เอาเสบียงไปได้
4. การดำเนินทางจติ วทิ ยาของอะแซหวนุ่ กี้แม่ทพั พม่าผู้เฒา่ ขอพักรบหน่งึ วนั ขอดูตัวพระยาจักรแี ละชม
วา่ เป็นแมท่ พั หน่มุ แต่มีฝีมอื สติปัญญาทดั เทยี มกับตนซง่ึ เปน็ ผเู้ ฒ่ากรำศึกมานาน ขอให้รกั ษาตัวไว้ต่อไปจะเป็น
พระเจ้าแผ่นดิน เป็นการพูดให้เกดิ ความเคลอื บแคลงยุยงใหแ้ ตกแยกกับพระเจ้าตากสินกไ็ ด้ เปน็ การดำเนนิ การ
ทางจิตวทิ ยาท่ีลึกซง้ึ
5. ทัพหลวงของฝ่ายไทยใช้กำลังไปตั้งค่ายรักษาเส้นทางส่งกำลังมากเกินไปจนไม่มีกำลังในการ
ดำเนนิ กลยุทธ์เขา้ ตีค่ายพมา่ เพราะตอ้ งมาพะวงรกั ษาค่ายรายทางสง่ กำลังมใิ หร้ วมกำลังกนั ไปตีคา่ ยใดค่ายหน่ึง
ของพมา่ ให้แตกไปทลี ะค่าย
6. การรบครงั้ นพี้ ระเจ้าตากสินไม่ไดร้ ะดมกำลังจากหัวเมอื งอน่ื ๆ มาช่วย เชน่ หวั เมอื งนครราชสีมา
และหัวเมืองปกั ใตท้ ำใหก้ ำลังท่ีจะใชบ้ บี รัดพม่านอ้ ยไป กำลังต่อส้จู งึ ขาดน้ำหนักไม่สามารถเอาชนะพม่าได้
7. การใช้กองหนุนของอะแซหวุ่นกี้เป็นอย่างชาญฉลาด สามารถใช้กองหนุนเข้าช่วยเหลือแก้ไข
สถานการณ์ได้ทันท่วงทเี สมอ และฝ่ายไทยปลอ่ ยใหก้ องหนนุ พม่าปฏิบตั กิ ารไดอ้ ย่างเสรีและมีความรวดเร็ว
8. การใช้กองหนนุ ไมท่ นั เวลาและสถานการณส์ ่งผลเสยี เช่น การวางแผน การเขา้ ตพี มา่ ทางตะวันตก
เฉียงใต้ โดยให้พระยาจักรี พระยาสุรสีห์นำกำลังจากเมืองพิษณุโลกเข้าตีค่ายพม่า พระยานครสวรรค์เป็น
กองหนุนขึ้นจากทศิ ใต้ พระยามณเฑียรนำกำลงั ซมุ่ อยหู่ ลงั คา่ ยพมา่ ทางตะวนั ตก เมื่อเห็นพมา่ รบติดพันกับพระ
ยาจักรีและพระยาสุรสีห์ ให้พระยานครสวรรค์และพระยามณเฑียรเข้าตีกระหนาบช่วยทันที แต่ทัพพระยา
นครสวรรคไ์ ม่สามารถปฏิบัติไดเ้ นือ่ งจากกองหนุนพม่าจากสโุ ขทัยเข้าสกัดก้ันทัพพระยานครสวรรค์ การเข้าตี
45
ของฝ่ายไทยจึงขาดน้ำหนักที่จะเอาชนะได้ภารกิจจึงล้มเหลว ความเร็ว ทันเวลา ทันสถานการณ์ จึงมี
ความสำคัญในการใชก้ องหนนุ
วเิ คราะห์การนำหลกั การสงครามไปใช้
1. หลักการออมกำลัง จะเห็นว่าพระเจ้าตากสินวางกองหนุนที่นครสวรรค์ถึงพิษณุโลก กองหนุน
ท่วั ไปอยู่กรงุ ธนบุรแี ละกำลงั หวั เมืองยังไมน่ ำมาใช้ คงจะนำมาใช้เม่อื พม่าล้อมกรุงธนบุรี
2. หลักการระวังป้องกัน พระเจ้าตากสินส่งกำลังกองโจรปฏิบัติต่อฝ่ายพม่าเพื่อป้องกันกำลังส่วน
ใหญไ่ มใ่ หถ้ กู จูโ่ จมทำลาย แตก่ องโจรฝา่ ยเรานอ้ ยปฏิบัติไม่เป็นผลสำเร็จทำให้ค่ายรายทางตามลำน้ำน่านถูกตัด
ขาด
สงครามเกา้ ทพั (พ.ศ.2328)
สาเหตุ ในขณะที่มีการแย่งชิงราชสมบัติกันในพม่านั้นหัวเมืองขึ้นของพม่าก็พากันกระด้างกระเดื่อง
บังอาจคุมกำลังไปปล้นเมืองอังวะซึ่งเป็นราชธานีก็มี เมื่อพระเจ้าปดุงได้ครองราชย์ได้ปราบปรามเมืองขึ้นจน
สงบราบคาบ และขยายอำนาจไปตีประเทศมณีปุระทางเหนือ และประเทศยะไข่ทางตะวันตกขยายอำนาจ
กว้างขวางยิ่งกว่ารัชกาลใด ๆ ในกาลก่อน เมื่อพระเจ้าปดุงสามารถปราบเสี้ยนหนามได้ มอญ รามัญ อยู่ใน
อำนาจทำสงครามที่ใดก็ชนะเสียทุกแห่งทุกครั้ง จึงคิดจะตีเมืองไทยให้เป็นเกียรติยศ ดังเช่นพระเจ้าหงสาวดี
บเุ รงนอง ปัจจบุ ันประเทศใกล้เคียงก็ได้ไว้ในอำนาจ อาณาเขต รพ้ี ลบริบรู ณ์ ทหารหาญกอ็ าจหาญรา่ เรงิ
เมือ่ ถึงปีมะเส็ง พ.ศ.2328 พระเจา้ ปดุงจึงใหเ้ ตรียมกองทพั เข้าตปี ระเทศไทย เกณฑ์คนท้ังเมืองหลวง
หวั เมอื งข้นึ ประเทศราช รวมจำนวนพล 144,000 คน จดั เป็นกระบวนทพั 9 ทพั
ภูมิประเทศที่ปฏบิ ัติการรบ การเคลื่อนทัพของพมา่ เข้าสูป่ ระเทศไทยครัง้ นี้ 5 เส้นทาง ดำรงความมุ่ง
หมายเขา้ ยดึ กรุงเทพมหานคร ใชเ้ สน้ ทางและภมู ปิ ระเทศดังนี้
- ช่องเมืองมะรดิ แยกปฏิบตั ิการเปน็ ทางบกและทางทะเล
- ช่องทางดา่ นบอ้ งตี้ เป็นช่องทางภูเขาสูงชนั ทางทรุ กันดาร
- ช่องทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ผ่านภูมิประเทศป่าเขาสูงชัน ระยะทางประมาณ 200 กม. ถึง
กาญจนบุรี เกิดการรบคร้ังสำคญั ณ.บริเวณท่งุ ลาดหญ้า มีแมน่ ำ้ สำคัญ 2 สาย แมน่ ำ้ แควน้อย แม่น้ำแควใหญ่
ทงั้ 2 ฝ่ายใชเ้ ปน็ ประโยชน์ในการเคลื่อนยา้ ยกำลงั และการสง่ กำลังบำรงุ
- ชอ่ งทางด่านแมล่ ะเมา จว.ตาก
- ชอ่ งทางเชียงแสน
แผนการรบ
ฝ่ายพม่า เข้าตีไทยพร้อมกันมุ่งยึดกรุงเทพมหานคร ใช้เส้นทาง 5 เส้นทาง 9 กองทัพ สำหรับ
ช่องทางด่านพระเจดยี ส์ ามองค์ ใช้กำลังหลัก 5 กองทัพ มีกำลังพล 89,000 คน เส้นทางใกล้ยึดกรุงเทพให้ได้
คิดว่ากำลังฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ของไทยไม่สามารถมาช่วยได้เพราะพม่าใช้กำลังตรึงแนวตลอดแ นว
การวางน้ำหนักในการเข้าตีของพม่า กาญจนบุรี – กรุงเทพมหานคร พม่าเชื่อว่ากำลังที่เหนือกว่า ไทยคงไม่
สามารถต้านทานได้ มิได้คิดถึงข้อเสีย กำลังพลมากยกไปหลายทิศทางยากแก่การควบคุม การลำเลียงเสบียง
อาหารกย็ ากลำบาก ผา่ นภูมปิ ระเทศเป็นภูเขาสงู ชันยากแกก่ ารเคล่ือนที่
46
ฝ่ายไทย พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทราบว่าพม่ายกกำลังเข้าเพื่อตียึดกรุงเทพฯ หลายทิศทาง
ด้วยกำลังมากจะป้องกันกรุงเทพ ฯ โดยเอากำลังล้อมพระนครอย่างที่เคยทำคงไม่สามารถต้านทานได้
ข้าศึกเจาะตรงจุดอ่อนแอคงเสียทีข้าศึก ถ้าแยกกำลังไปต้านทานทุกทิศกำลังก็อ่อนแอ ในที่สุดมีความคิดพ้อง
ต้องกันทุกฝ่ายว่าควรนำกำลังไปสกัดกั้นข้าศึก ณ. ตำบลสำคัญก่อน ที่ใดไม่สำคัญก็ปล่อยไว้ก่อน เมื่อขับไล่
ขา้ ศกึ ณ.ตำบลสำคญั ใหอ้ อกนอกราชอาณาจกั รแล้วจึงปราบปรามสว่ นอ่ืนต่อไป จึงวางแผนสกัดกั้นและขับไล่
ขา้ ศึกใหพ้ ้นราชอาณาจักรดงั น้ี
1. จัดกำลงั หนึง่ กองทพั ตรงึ ข้าศึกท่จี ะยกมาจากทางเหนือ มิใหเ้ คลอ่ื นกำลงั ตอ่ มาถึงกรงุ เทพได้
2. จดั กำลังหนึ่งกองทัพเพอื่ สกัดกน้ั กองทัพหลวงของข้าศึกทจ่ี ะมงุ่ ยึดกรงุ เทพ ฯ ซง่ึ เคลอ่ื นกำลังเข้า
ทางดา่ นพระเจดียส์ ามองค์ และใหพ้ ยายามทำลายขา้ ศึกแลว้ ขับไล่ใหพ้ น้ ราชอาณาเขตให้จงได้
3. จัดกำลังส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันปีกของกำลังที่จะไปกวาดล้างข้าศึกทางเมืองกาญจนบุรี และ
ปอ้ งกนั ไม่ให้ขา้ ศกึ ส่วนนี้เคล่ือนกำลังเข้ายึดทางตะวันตก ราชบรุ ี – เพชรบุรี และไปรวมกบั กองกำลังของข้าศึก
ทางใต้ตอ่ ไป
4. กำลังส่วนหนึง่ เป็นกองหนุนทั่วไป เพื่อสนับสนุนกำลังส่วนอืน่ ในกรณจี ำเป็นส่วนพืน้ ทีท่ างใตใ้ ห้
เจ้าเมอื งรักษาเมืองของตนจนสุดความสามารถไปกอ่ น เม่ือขบั ไลข่ ้าศกึ ทางกาญจนบุรีไดแ้ ล้วจะยกกำลังไปช่วย
ภายหลัง นำ้ หนกั การเขา้ ตีพม่ามงุ่ ยึดกรงุ เทพ ฯ ด้วยกำลงั มาก จำเป็นต้องรุกเพื่อยึดพน้ื ท่ีซึ่งจะเกื้อกูลต่อการ
ปฏิบตั ขิ องฝ่ายเราใหไ้ ด้ก่อนข้าศกึ ต้องปฏบิ ตั ิด้วยการรกุ เชิงรับหรือตั้งรับดว้ ยวิธรี กุ (OFFENSIVE DEFENSE)
การจัดกำลงั การวางกำลงั และการจดั รปู ขบวน
ฝ่ายพม่า จัดกำลังขา้ ศึกเขา้ ยึดประเทศไทย จัดกำลังเปน็ 9 กองทัพ ยกเข้ามา 5 ทิศทาง รวมกำลัง
พล 144,000 คน ดังนี้
กองทัพที่ 1 คร้งั แรกให้ แมงยี แมงข่องกยอ เป็นแม่ทัพตอ่ มามีความผิดจัดหาเสบียงเล้ียงกองทัพ
ไม่ทัน จึงถูกประหารชีวิต เปลี่ยนตัวแมท่ ัพเป็นเกงหวุ่นแมงยีมหาสีหสุระ คุมกำลัง 10,000 คน ชุมพลที่เมือง
มะริด รกุ 2 ทาง คอื ทางบกตีเมอื งชมุ พรถึงสงขลา ทางทะเลใช้ทัพเรือตหี วั เมืองชายฝ่งั ทะเลฝั่งตะวันตกตั้งแต่
เมอื งตะกว่ั ป่า ตะก่ัวท่งุ ถงึ เมืองถลาง (ภเู ก็ต)
กองทพั ท่ี 2 อนอกแฝกคิดหวุ่น เป็นแม่ทัพ กำลัง 10,000 คน ชุมพลที่เมืองทวาย เข้าทางด่าน
บอ้ งต้ี เข้ายดึ หัวเมอื งทางใต้ ราชบรุ ี – เพชรบรุ ี – ชมุ พร กำลงั ส่วนนี้มกี ารปอ้ งกันปกี ทางขวาใหก้ ับกองทพั ส่วน
ใหญ่เข้ามาทางด่านพระเจดยี ์สามองค์ ด้วย
กองทัพท่ี 3 หวนุ่ คยสี ะโค สิริมหาอุจจะนา เจ้าเมอื งตองอู เปน็ แม่ทัพ กำลงั 30,000 คน เข้าทาง
เมืองเชียงแสน เข้าตเี มืองฝ่ายเหนือ - กรงุ เทพฯ
กองทัพที่ 4 เมียนหวุ่นแมงยี มหาทิมข่อง เป็นแม่ทัพ กำลัง 11,000 คน ชุมพลที่เมาะตะมะ
เคลื่อนกำลังเข้าตกี รุงเทพฯ ผ่านดา่ นพระเจดยี ส์ ามองค์
กองทัพที่ 5 แมหวนุ่ เปน็ แมท่ พั กำลัง 5,000 คน เปน็ กองหนนุ กองทัพที่ 4 ชุมพลท่ี เมาะตะมะ
กองทัพท่ี 6 ตะแคงกามะ ราชบุตรท่ี 2 เป็นแมท่ พั กำลัง 12,000 คน ชุมพลท่ีเมาะตะมะ
47
กองทัพท่ี 7 ตะแคงอักกุ ราชบุตรท่ี 3 เปน็ แม่ทัพกำลัง 11,000 คน ชมุ พลท่ีเมาะตะมะ
กองทพั ท่ี 6, 7 เป็นทัพหนา้ ของกองทพั หลวง โดยกองทัพท่หี กเป็นกองทัพหน้าท่ีหนึ่ง กองทัพท่ี 7
เปน็ กองทพั หน้าทีส่ อง
กองทัพที่ 8 เป็นกองทัพหลวงมีกำลัง 50,000 คน พระเจ้าปดุงเป็นแม่ทัพ เข้าชุมพล
เมืองเมาะตะมะ (เมื่อเดอื น 12 ปีมะเสง็ พ.ศ. 2328)
กองทพั ที่ 4, 5, 6, 7, 8 เคล่อื นที่ตามกัน เขา้ ทางดา่ นพระเจดียส์ ามองค์
กองทพั ท่ี 9 จอข่องนรทา เปน็ แมท่ ัพกำลงั 5,000 คน เข้าทางดา่ นแมล่ ะเมา (ชุมพลทเ่ี มาะตะมะ)
เพื่อเข้าตเี มืองตาก – กำแพงเพชร แลว้ มาบรรจบทัพหลวงท่กี รงุ เทพฯ
ฝ่ายไทย สำรวจกำลังพลปรากฏมีกำลังพลเพียง70,000 คนซึ่งน้อยกว่าข้าศึก ดังนั้นจึงจัดทัพ
เป็น 4 กองทพั คอื
กองทัพที่ 1 (ด่านแม่ละเมา) กรมพระราชวังหลัง เป็นแม่ทัพกำลัง 15,000 คนยับยั้งข้าศึก
ที่นครสวรรค์ มใิ หข้ ้าศึกส่วนนีเ้ คลื่อนกำลังลงมากรงุ เทพฯ
กองทัพที่ 2 (ด่านพระเจดีย์สามองค์) กรมพระราชวังบวร ฯ เป็นแม่ทัพ กำลังพล 30,000 คน
กองทพั ที่ 2 มีความสำคญั จะต้องสกดั กั้นกองทัพหลวงของพมา่ ซ่ึงมีกำลังมากมใิ ห้เขา้ กรงุ เทพฯไดแ้ ละต้องขับไล่
พมา่ ใหอ้ อกไปพ้นราชอาณาจักรใหจ้ งได้
กองทพั ที่ 3 เจ้าพระยาธรรมา (บญุ รอด) เปน็ แม่ทัพ เจ้าพระยายมราชเปน็ ผู้ชว่ ย กำลงั 5,000 คน
ทำหน้าที่รักษาเส้นทางลำเลียง ป้องกันปีกให้แก่กองทพั ที่2 และสกัดกั้นพม่าทีย่ กเขา้ มาตี ราชบุรี – เพชรบุรี
เพ่ือจะไปบรรจบกบั กองทัพพม่าที่ชมุ พร
กองทัพที่ 4 เป็นกองทัพหลวง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเป็นจอมทัพ บังคับบัญชา
กำลัง 20,000 คน ทำหน้าทเี่ ป็นกองหนนุ ทัว่ ไป เพื่อช่วยด้านทจ่ี ำเป็น
การสงครามครง้ั นมี้ ีการรบครง้ั สำคัญ
1. การรบที่ลาดหญ้า ฝ่ายไทยทราบว่าพมา่ จะยกกำลังจำนวนมากเข้าทางด่านพระเจดีย์สามองค์ม่งุ
ยึดกรุงเทพ กรมพระราชวังบวรมหาสรุ สงิ หนาท แม่ทัพท่ี 2 รบั ผดิ ชอบพนื้ ท่ีเมืองกาญจนบุรี เพื่อทำลายขับไล่
ข้าศึกส่วนนี้ให้พ้นจากราชอาณาเขต จึงให้พระยามหาโยธา (เจ่ง) คุมกองมอญ 3,000 คน วางกำลัง
ที่ด่านกรามช้างทำหน้าที่เป็นกองรักษาด่านรบ (COMBAT OUT POST) เพื่อรั้งหน่วงการรกุ เข้ามาของข้าศึก
และให้จัดหมู่ตรวจ ให้ทราบการเคลื่อนไหวของข้าศึกตลอดเวลา เพื่อให้ส่วนใหญ่มีเวลาพอในการต้านทาน
ข้าศึกโดยจะใช้ทุ่งลาดหญ้าเป็นแนวต้านทานหลัก (MAINLINE OF RESISTANCE) ในขั้นต้นและเม่ือมีโอกาส
กลับทำการรุกกใ็ ชแ้ นวเป็นแนวออกตี (LINE OF DEPARTURE) ในโอกาสนน้ั วางแนวตง้ั รบั ในทุ่งลาดหญ้าสกัด
ชอ่ งทางท่ีฝ่ายพมา่ จะรุกเข้ามา
ฝ่ายมหาโยธา (เจ่ง) วางกำลังเพื่อทำการรบหน่วงเวลาที่ด่านกรามช้าง และจัดหมู่ตรวจตลอดเวลา
ประมาณเดอื น ธ.ค. 2328 กองทัพที่ 4 ของพม่าได้เคล่ือนกำลังผ่านแขวงไทรโยค แล้วเดินตัดมาริมแม่น้ำแคว
ใหญ่ ที่เมืองท่ากระดาน และได้เคลื่อนที่มาจนถึงด่านกรามช้าง กองรักษาด่านของไทยในความควบคุม
พระมหาโยธาได้ต่อสู้กับกองทัพที่ 4 ของพม่า กำลังของไทยน้อยกว่าจึงถอนตัวและมารวมกำลังส่วนใหญ่
48
ที่ทุ่งลาดหญ้า ขณะนั้นกองทพั ท่ี 2 ของของกรมพระราชวังบวรพร้อมอยู่แล้ว กองทัพที่ 4 ของพม่าไล่ติดตาม
กองรักษาด่านของพระยามหาโยธาพอมาถึงคา่ ยไทยซงึ่ ต้งั ม่ันอยู่ที่ทงุ่ ลาดหญ้า พม่าก็ตรงเข้าตีไทยทันที ม่ันใจ
วา่ จะโถมกำลงั ทะลทุ ะลวง (เจาะ) ฝ่ายไทยโดยฉบั พลนั และฝา่ ยไทยเตรยี มการอยู่กอ่ นแล้ว ทหารมีความสดช่ืน
มีเวลาพกั อยู่หลายวนั ได้เข้ารบกบั พมา่ เป็นสามารถล้อมจบั พม่าไดก้ องหนง่ึ ฝ่ายไทยเขา้ กระหน่ำหม่า พม่าเกรง
เสียที จึงไปตั้งมั่นตามแนวเขาหวังว่าจะรอกองทัพท่ี 5 ของพม่ามาสมทบเพื่อรวมกำลังโจมตีต่อไปใหม่
พอกองทัพที่ 5 ของพม่ามาถึง วางกำลังต่อกองทัพท่ี 4 เพื่อมุ่งหวังรวมกำลังเข้าตีไทยพร้อมกันทั้ง 2 กองทัพ
ดังน้นั กำลงั พม่าทง้ั สองกองทัพจึงเปน็ แนวเดยี วกัน กำลังประมาณ 15,000 คน
กรมพระราชวังบวร ฯ พจิ ารณาหนทางเอาชนะพมา่ เกิดแนวความคดิ
ประการที่ 1 กองทัพที่ 2 จะรักษาทุ่งลาดหญ้าไว้ใหไ้ ด้ และตัดกำลังหนนุ เน่ืองของพม่าให้อ่อนกำลัง
ไม่ให้สามารถยึดกรุงเทพได้ จะต้องทำให้ข้าศึกอ่อนกำลัง คือป้องกันไม่ให้ข้าศึกส่งเสบียงได้สะ ดวก เมื่อ
อดอยากกต็ อ้ งทำใหข้ า้ ศกึ อ่อนกำลัง
ประการที่ 2 ต้องใช้ปืนใหญย่ งิ รบกวนข้าศึกตลอดเวลาจะทำให้ขา้ ศกึ สญู เสีย และเสยี ขวญั
ประการท่ี 3 พยายามลวงข้าศกึ ใหค้ ดิ ว่าไทยมีกำลงั มากวา่ ทำให้ข้าศกึ เสยี ขวัญ
ประการท่ี 4 เมอ่ื ข้าศึกอ่อนกำลัง และเสยี ขวัญมากแลว้ เขา้ ตพี รอ้ มกนั ดว้ ยวิธจี ูโ่ จม
ถ้าสามารถปฏบิ ตั ิตามแนวคดิ 4 ประการไดส้ ำเร็จ ขา้ ศึกสว่ นน้ีจะต้องแพแ้ ละถอนกำลงั กลับพม่าอย่าง
แน่นอน เมื่อพระองค์คิดได้ตามข้อพิจารณาจึงสั่งให้ พระยาสีหราชเดโชชัย พระยาท้ายน้ำ พระยาเพชรบุรี
นำกำลัง 500 คนไปตั้งฐานปฏิบัติการที่พุตะไคร้ เพื่อซุ่มโจมตี (AMBUSH) หน่วยลำเลียงเสบียง และแย่งชิง
เสบียงข้าศึกซึ่งลำเลียงมาทางลำน้ำ เพื่อมิให้ข้าศึกลำเลียงเสบียงได้สะดวก ปรากฏว่าพระยาทั้งสามทำงาน
ไม่ได้ผลจึงสั่งประหารชีวิตพระยาทั้งสามเสีย และให้พระองค์เจ้าขุนเณร (เป็นน้องกรมพระราชวังหลัง (ร.1)
ร่วมบิดาเดียวกัน) ทำหน้าที่แทนเพิ่มกำลังให้ 1,000 คน รวมกำลังเป็นหน่วยซุ่มโจมตีที่พุตระไคร้ มีกำลัง
1,500 คน พระองค์เจ้าขุนเณรเป็นบุคคลที่มีไหวพรบิ และกล้าหาญ โดยแบ่งกำลังออกเป็นจุดและสามารถสง่
ข่าวถึงกันได้เมื่อเห็นข้าศึกลำเลียงเสบียงมาก็รวมกำลังเข้าปล้นเสบียง ของข้าศึก และโจมตีข้าศึกจนลำเลียง
เสบียงไม่สะดวก ทำใหท้ หารในกองทพั ท่ี 4 และ5 ของพม่าอดอยาก
ในโอกาสเดียวกนั กรมพระราชวงั บวรฯ ใชป้ นื ใหญโ่ ดยใช้ท่อนไมเ้ ปน็ กระสนุ ระดมยิงตลอดเวลา การใช้
กระสุนไม้ไม่ต้องลำเลียงจากกรุงเทพฯ เสียเวลา สามารถยิงตลอดเวลาเพราะลำกล้องไม่ร้อน ทำให้ฝ่ายพม่า
เสียหายยับเยิน ฝ่ายพม่ายิงโต้ตอบด้วยปืนใหญ่เช่นกัน แต่ไม่สามารถทำได้เพราะปืนใหญ่โบราณเป็นวิธีราบ
ลดลำกลอ้ งให้ตำ่ ก็ตดิ เขาขึ้นเชิงเทนิ ก็ถกู ฝา่ ยไทยยงิ เชิงเทนิ พงั ทลาย
กองทัพที่ 6, 7 ของพม่าพยามหนุนกำลังมาช่วย กองทัพที่ 6 ของพม่ามาตั้งทีท่ ่าดินแดง กองทัพที่ 7
มาต้ังท่ีสามสบ พระเจ้าปดงุ คุมกองทพั ท่ี 8 อย่ปู ลายแมน่ ้ำลอนซี เลยด่านพระเจดยี ์สามองค์ไปในพม่า กองทัพ
ท่ี 6, 7 ไม่อาจช่วยกองทพั ท่ี 4, 5 ได้ และเปน็ การเอากำลังมาอัดและรับทกุ ข์ทรมานด้วยการขาดแคลนอาหาร
และน้ำซำ้ ยังถูกปืนใหญก่ ระสนุ ไม้ของไทยถล่มยงิ ตลอดเวลา
การแสดงลวงกำลังน้อยให้คิดว่าเป็นกำลังมาก พอตกเวลาพลบค่ำกรมพระราชวังบวรฯ ให้ทหาร
บางส่วนลอบออกไปนอกค่าย เช้ามืดก็ถือธงทิวเคลื่อนท่ีเข้ามาทำเช่นนีอ้ ยู่หลายเพลา พม่าที่อยู่บนเขาเห็นว่า