The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by patton3273, 2021-05-27 03:51:34

ตำราประวัติศาสตร์การสงครามฉบับเต็ม

ตำราประวัติศาสตร์การสงคราม

49

ไทยส่งกำลังมาเพ่ิมเติมทกุ วันมกี ำลังมากหนนุ เนอ่ื งมาไมข่ าดระยะ ประกอบกับการอดอาหารร่างกายออ่ นเพลีย
ซำ้ ยงั ถูกปนื ใหญก่ ระสุนไมฝ้ า่ ยไทยถล่มยงิ ตลอดเวลา ขวัญพมา่ และแม่ทพั นายกองขวญั เสียกนั หมด

ในช่วงนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงวิตกวา่ กำลังของพระอนชุ าเกรงจะสู้พม่าไม่ได้
จึงยกกองทัพหลวงออกจากกรงุ เทพฯ เมอื่ วนั อาทติ ย์ เดือนย่ี ขน้ึ 9 คำ่ เม่อื ไปถึงคา่ ยของสมเดจ็ พระราชวังบวร
ได้สนทนาปราศรัยกันพอสมควร กรมพระราชวังบวรกราบทลู ว่าอย่าได้ทรงวิตกทางลาดหญ้าเลย ขอให้เสด็จ
กลบั พระนครเถิด เผ่ือข้าศกึ หนักแน่นมาทางอืน่ จะไดใ้ ช้กองทพั หลวงแก้ไขเหตุการณ์ เพราะทางน้ี (ลาดหญ้า)
ข้าศึกอดอยาก ขวัญเสียมาก กำลังจะหาโอกาสที่ข้าศกึ อ่อนกำลังจะเข้าโจมตีพรอ้ มกันโดยฉับพลัน เชื่อมั่นวา่
ข้าศึกต้องแตกพ่ายเป็นแน่แท้ เมอ่ื พอพระราชหฤทัยพระพทุ ธยอดฟา้ ฯ กเ็ สดจ็ ยกกองทัพกลบั คนื พระนคร

ครั้นถึงวันศุกรท์ ี่ 17 ก.พ. 2328 กรมพระราชวังบวรฯ พิจารณาเห็นวา่ ข้าศึกอ่อนกำลังมากและขวัญ
เสยี จงึ สง่ั ทกุ หนว่ ยเข้าตีพมา่ ตลอดแนวโดยฉับพลนั เปน็ การเข้าตีตรงหน้าต่อแนวพม่า เป็นการดำเนินกลยุทธ์
การเข้าตีทางเส้นใน ความจริงการเข้าตีทางเสน้ ในมิได้เป็นกลยุทธท์ ี่พิสดารมากนัก ความหมายแท้จรงิ คอื การ
เขา้ ตภี ายในแนวขา้ ศึก แต่ทย่ี กยอ่ งกนั มากก็คือเป็นการเปน็ การเขา้ ตีตอ่ หนา้ ข้าศกึ ซ่ึงต่างกบั การโอบคอื การเข้า
ตีทางเส้นนอก อาจทำโดยขา้ ศกึ มิรู้ตัว ความยากในการเขา้ ตเี ส้นใน (เข้าตีตอ่ แนวข้าศกึ ) จะกระทำดว้ ยวิธีจู่โจม
ขณะขา้ ศกึ อ่อนกำลัง เสยี ขวญั หรอื จดุ ออ่ นแอของข้าศึก

เนือ่ งจากพม่าขวัญเสียและอ่อนกำลัง กองทพั ท่ี 4, 5 ของพมา่ จึงแตกกระเจงิ ถอยไม่เป็นขบวน ไทยได้
ไล่ติดตามฆ่าฟนั พมา่ ล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลือรอดตายหนีไปทางหนว่ ยซุ่มโจมตีของพระองค์เจ้าขุนเณรฯ ก็
เขา้ ตซี ้ำเติม จบั เชลยพมา่ มาถวายกรมพระราชวงั บวรฯ เป็นจำนวนมาก พระเจา้ ปดุงทราบข่าวจงึ สั่งให้กองทัพ
ทงั้ หมดถอนกำลงั และถอยไปยังเมืองเมาะตะมะ

การยุทธของกรมพระราชวังบวรฯ ครั้งนี้เป็นการดำเนินกลยุทธ์การตั้งรับแบบคล่องตัว (MOBILE
DEFENCE) คือระยะแรกวางกำลังตั้งรับก่อนโดยแนวตั้งรับต้องมีความเข้มแข็ง (มั่นคง) เมื่อข้าศึกเข้าตีตรง
จุดอ่อน คือที่ด่านกรามช้าง ข้าศึกไล่ติดตาม กองรักษาด่านรบจึงเข้าไปรวมกับกำลังกำลังส่วนใหญ่ซึ่งได้
เตรียมการตอ่ ต้านข้าศกึ ไว้แล้วขา้ ศึกจงึ ถูกบงั คับใหข้ ้นึ ไปอยบู่ นเขา ณ ทนี่ เี้ องทำใหข้ ้าศกึ ถูกทำลายอย่างยอ่ ยยับ
เป็นการเข้าไปอยู่ในพื้นที่สังหาร (KILLING ZONE) ซึ่งฝ่ายเราเลือกไว้ ในโอกาสนั้นจึงกลับทำการรุกอย่าง
ฉบั พลัน เป็นการตง้ั รับแบบคลอ่ งตัวการต้งั รับแบบนส้ี ถาบนั วชิ าทหารศกึ ษากันเมื่อหลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 แต่
กรมพระราชวังบวรฯไดก้ ระทำสำเรจ็ ในสงครามที่ทุ่งลาดหญา้ แล้ว

2. การรบที่เมอื งราชบรุ ี กองทพั ที่ 2 ของพมา่ เขา้ ท่ีชุมพลที่เมืองทวาย อนอกแฝกเป็นแม่ทัพใหญ่ให้
พระยาทวายกำลัง 3,000 คนเป็นกองหน้า อนอกแฝก เป็นกองหลวง กำลัง 4,000 คน จิกสิบโบเปน็ กองหนุน
ทำหนา้ ทกี่ องระวงั หลงั กำลัง 3,000 คน รวมกำลงั ทั้งหมด 10,000 คน ยกเข้าทางด่านบอ้ งตี้ ตอ้ งเดินข้ามเขา
ซึ่งทุรกันดาร ทำให้การเคล่ือนกำลังล่าช้าเสียเวลารอกนั เป็นระยะๆ ในที่สุดพระยาทวายมาต้ังค่ายที่นอกเขางู
(รางหนองบัว) อนอกแฝก วางกำลังท่ีบรเิ วณห้องชาตรี จิกสบิ โบ กองหนุน วางกำลงั รมิ นำ้ ภาชี โดยไม่รู้ว่าพม่า
ทลี่ าดหญา้ แตกแลว้

50

ฝ่ายไทย เจ้าพระยาธรรมา และพระยายมราชได้วางกำลังไว้ที่ราชบุรีก่อนแล้ว แต่มิได้จัดหน่วย
ลาดตระเวนหาข่าว จึงไม่ทราบว่ากองทัพพม่าเข้ามาถึงลำน้ำภาชี และหลังเขางู ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ทราบว่า
กำลังของข้าศึกได้เข้ามาตั้งค่ายอยู่แล้ว สรุปคือแม่ทัพทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายพม่าไม่ได้เรื่องด้วยกันทั้งสองฝ่าย
เมอ่ื กองทพั พมา่ ท่ที ุ่งลาดหญา้ แตกและถอยออกนอกราชอาณาเขตแล้วกรมพระราชวังบวรฯทราบว่าพม่าที่เขางู
ยังมิได้ถอยไป จึงให้พระยากลาโหมและพระยาจ่าแสนยากร คุมกองทัพเขา้ ตพี ม่าซึ่งตัง้ อยู่นอกเขางู รบพุ่งกัน
จนถึงขั้นตะลุมบอน พม่าไม่สามารถต้านทานได้ ทั้งกองหน้าและกองหลวงแตกกระเจิดกระเจิง ฝ่ายไทย
ไล่ติดตามปะทะกับกองหลัง (กองหนุน) จึงไล่ฆ่าฟันแตกระส่ำระสาย จับเชลย ศาสตราวุธ ช้าง ม้า พาหนะ
จำนวนมาก ท่เี หลือรีบถอยไปยังทวาย

ครั้งพม่าถอยไปแล้ว กรมพระราชวังบวรฯ จึงสั่งให้นำพระยาธรรมา และพระยายมราชมาสอบสวน
และสงั่ ใหป้ ระหารชวี ติ แต่สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกขอชวี ิตไว้ จงึ ใหถ้ อดยศและโกนหัวประจานรอบค่าย
ท้ังนี้เพ่อื มใิ ห้เปน็ เย่ยี งอย่างแก่แมท่ ัพนายกองคนอน่ื ต่อไป

3. การรบที่ปากพิง ทางภาคเหนือพม่าไดม้ อบให้กองทพั ที่สามและกองทพั ที่เก้า ตีภาคเหนือของไทย
แลว้ จับเชลยมาสมทบกบั กองทัพหลวงท่ีกรงุ เทพฯ

กองทัพท่ีสามของพม่าเจ้าเมอื งตองอูเป็นแม่ทัพ เขา้ ทีช่ ุมพลเชยี งแสนให้เนมะโปสีหปติคุมกำลงั 5,000
คน ยกมาทางแจ้ห่มมีภาระกิจตเี มอื งสวรรค์โลก – สุโขทยั เมอื งพิชัย – พษิ ณโุ ลก สว่ นเจ้าเมืองตองอู เป็นกอง
หลวงคุมกำลัง 15,000 คน ยกมาทางเชียงใหม่ โดยมี โปมะยุง่วน เป็นกองหน้ามีกำลัง 3,000 คน ขณะนั้น
เชียงใหม่ร้างมาตั้งแต่พม่ายกมาตีสมัยเจ้ากรุงธนบุรี พ.ศ.2319 เจ้าเมืองตองอูจึงนำกำลังมาตีเมืองลำปาง
พระยากาลวิละเจา้ เมืองนครลำปางซงึ่ มีความเข้มแข็งในการสงครามสามารถรักษาเมอื งไว้ได้ พมา่ ไม่สามารถตี
เมืองลำปางได้คงวางกำลังล้อมอยู่ ส่วนสวรรคโลกและหัวเมืองฝ่ายเหนือบ้านเมืองเสียหายยับเยินคราวศึก
อะแซหวุ่นก้ีจึงไมม่ ีกำลังทีพ่ อจะสูพ้ ม่าได้ เจ้าเมืองอพยพราษฎร หนีเข้าป่า กองทัพเนมะโปสีหบติ ที่ยกลงมา
ทางแจ้หม่ จงึ ไดห้ วั เมอื งเหนือทั้งปวงตลอดถึงพษิ ณุโลก

กองทัพที่เก้า จอช่องนรทา เป็นแม่ทัพคุมกำลัง 5,000 คนเข้ามาทางด่านแม่ละเมาได้โดยสะดวก
พงศาวดารพม่าว่าเจ้าเมืองตากยอมอ่อนน้อมโดยดีพม่าจึงส่งเจ้าเมืองตากพร้อมด้วยครอบครัวและข้าราช
บรพิ าร 500 คนไปยงั เมอื งพม่า จอชอ่ งนรทาจึงตงั้ ค่ายทบ่ี า้ นระแหง แขวงเมอื งตาก เพื่อรอใหเ้ จ้าเมอื งตองอูยก
กำลังมาหนุน เพ่อื วางกำลังเข้าตีกองทัพไทยทีพ่ ิจติ ร – นครสวรรค์ – และลงไปสมทบกบั ทพั หลวงทก่ี รงุ เทพฯ

กรมพระราชวังหลัง เมื่อทราบพม่าล่วงล้ำดินแดนไทยสองทางจึงทรงจัดกองทัพเพื่อต่อสู้จึงทรงจัด
กองทพั เพอ่ื ต่อสู้ยบั ยั้งเป็น 3 กองทพั ให้

- เจา้ พระยามหาเสนา เป็น กองทพั หนา้ รกั ษาเมอื งพิจิตร
- กรมพระราชวงั หลัง รกั ษาเมอื งนครสวรรค์
- พระยาคลังกับพระยาอุไทยธรรม เปน็ กองหนุน รกั ษาเมอื งชยั นาท ป้องกันพมา่ ทม่ี าทางอทุ ยั
ความมุ่งหมายของกรมพระราชวังหลงั คือตรึงข้าศึกมิให้ยกกำลังเข้ากรุงเทพได้ ขณะที่ไทยกบั พม่ารบ
กันอยู่ที่ทุ่งลาดหญ้า และกรมพระราชวังหลังไม่ทราบว่าข้าศึกมีกำลังหนุนมากน้อยเพียงใดจึงตั้งมั่นอยู่ท่ี
นครสวรรค์ ไมย่ กกำลงั ไปรบกับพม่าทีป่ ากพงิ และบ้านระแหงจึงไมม่ กี ารรบในช่วงน้ี

51

ฝ่ายไทยเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยกกำลังไปเพื่อจะช่วยกรมพระราชวังบวรฯ แต่กรม
พระราชวังบวรฯได้กราบทลู วา่ ทางดา้ นกาญจนบุรมี ิต้องห่วงใหย้ กกำลงั กลับพระนครเพื่อเตรยี มไว้ไปช่วยด้านที่
ยังไมส่ ามารถขับไลพ่ ม่าได้ ครนั้ ทัพหลวงพมา่ ด้านกาญจนบรุ ีแตกแลว้ กรมพระราชวงั บวรฯได้คมุ เชิงอยู่ 7 วัน
จงึ สั่งให้ พระยากลาโหม พระยาจ่าแสนยากร คมุ กองทพั ตรงไปชุมพร เม่ือยกมาทางราชบรุ จี ึงได้ปะทะกับพม่า
ที่ยกทัพมาจากเมืองทวายดังกล่าวแล้ว ส่วนกรมพระราชวังบวรฯเสด็จเข้ากรุงเทพฯ เพื่อปรึกษาหารือกับ
พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลก ในท่ีสดุ ตกลงกนั โดย สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกจะนำกองทัพหลวงกำลงั 3,000
คน ขึ้นไปช่วยทางภาคเหนือ ส่วนกรมพระราชวังบวรฯนำกำลังไปทางภาคใต้ กรมพระราชวังบวรฯเสด็จทาง
ชลมารคไปยังเมืองชมุ พร เม่อื วนั เสารเ์ ดือน 4 ขน้ 5 ค่ำ สมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงออกจากกรุงเทพ
เมื่อวันศุกร์ เดือน 4 ขึ้น 11 ค่ำ โดยเสด็จทางชลมารคไปยังเมืองอินทบุรี เมื่อถึงอินทบุรีแล้วมีพระบรมราช
โองการให้กรมพระราชวังหลังสมทบกับพระยามหาเสนาเข้าตีพม่าที่ปากพิง และให้เจ้าฟ้ากรมหลวงหริรักษ์
พระยาพระคลงั พระยาอุไทยธรรม ซงึ่ ตงั้ อยู่ท่ีชยั นาทเข้าตีพม่าท่ีบ้านระแหง ส่วนทพั หลวงน้ันตั้งท่ีนครสวรรค์
ต่อมาได้ยกกำลงั ไปหนนุ กรมพระราชวงั หลงั ที่บา้ นข้าวตอก แขวงเมืองพิจติ ร

กรมพระราชวังหลังเมื่อทราบพระกระแสดำริรับสั่งแล้วเข้าตีค่ายพม่าที่ปากพิง เมื่อวันเสาร์ เดือน 4
แรม 4 ค่ำ รบกันตั้งแต่เช้าจนค่ำไทยได้ตีค่ายพม่าแตกหมดทุกค่าย พม่าตั้งค่ายทีปากพิงโดยข้ามลำน้ำมา
เมื่อถูกตีแตกต้องถอยข้ามลำน้ำไทยไล่ติดตามฆ่าฟันพม่าตายจำนวนมาก ศพลอยแม่น้ำประมาณ 800 ศพ
จนกนิ น้ำไมไ่ ด้

ครั้นฝ่ายพม่าที่ปากพิงแตกหมดแล้ว จึงโปรดให้เจ้าฟ้ากรมจักรเจษฎานำกำลังทัพหลวงส่วนหนึ่ง
ไปสมทบกับกองทัพพระยามหาเสนา ให้ไล่ติดตามพม่าที่แตกไปแล้วให้เลยไปเข้าตีกองทัพพม่าที่ลำปาง
พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกคุมกองทพั หลวงมาตั้งท่ีนครสวรรค์เพื่อคุมเชิงโดยไมใ่ ห้กรมกรมพระราชวังหลัง และ
เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทรณเรศ เสด็จตามมาด้วย การที่พระองค์ตัดสินพระทัยเช่นนี้โดยมั่นพระทัยว่าเจ้าฟ้า
กรมหลวงจักรเจษฎา และเจ้าพระยามหาเสนาจะต้องสามารถเข้าตีพม่าที่ล้อมนครลำปางได้ โดยพระยา
กาลวิละซึ่งคุมกำลังรักษานครลำปาง จะช่วยตีกระหนาบพม่าต้องพ่ายแพ้แนน่ อน ในที่สุดก็เป็นไปตามความ
คาดหมาย

ฝ่ายกองทัพที่ 9 จอช่องนรทาของพม่า ตั้งอยู่ที่บ้านระแหงทราบว่าพม่าที่ปากพิงถูกตีแตกหนีไป
หมดแล้ว ข่าวพระเจ้าปดุงก็ถอยทัพแล้ว และทราบว่ากองทัพไทยมาถึงเมืองกำแพงเพชรก็รีบถอยทัพไปทาง
ด่านแม่ละเมาเข้าเขตพม่าไป กองทัพกรมหลวงเทพหริรักษ์ พระยาพระคลัง พระยาอุไทยธรรม จึงไม่ต้องทำ
การรบ

ลำปางขณะนั้นพม่ายงั ลอ้ มเมอื งอยู่ กองทัพไทยระดมกำลังเขา้ ตีพม่าโดยฉบั พลันพรอ้ มกันนั้นพระยา
กาวิละซ่งึ รกั ษาลำปางอยูก่ ็ตีกระหนาบ รบกนั ต้งั แตเ่ ช้าจนเที่ยงพม่าบาดเจบ็ ล้มตายเปน็ อันมาก เจา้ เมืองตองอู
จึงถอยทัพกลับไปทางเชียงแสนเม่อื เดือน 5 ปมี ะเมีย พ.ศ. 2329

52

4. การรบทางภาคใต้ เม่อื เกงหวนุ่ แมงยีมหาสหี ะสรุ ะ เป็นแม่ทัพท่ี 1 ของพม่าแทน แมงยเี มงข่อง
กระยอท่ีถกู ประหารชีวิต นำกำลงั ชุมพลทเี่ มอื งมะรดิ และมอบภาระกจิ แมท่ ัพนายกอง ดังน้ี

- ให้ ยห่ี วุ่น ทพั เรอื 3,000 คน เขา้ ตีเมอื งถลาง (ภเู กต็ )
- เกงหวุ่นแมงยี เข้าตีทางบกยึดกระบุรี – ระนอง (ขณะนั้นกระบุรี ,ระนอง ขึ้นกับจังหวัดชุมพร)
โดยให้ เนมโยคคงนะวัดเป็นกองทัพหน้ามีกำลัง 2,400 คน กำลังที่เหลือ 4,500 คนอยู่ในการควบคุม
เกงหวุ่นแมงยี
กองทัพที่ 1 ของพม่าพร้อมแล้วเคลื่อนที่จากมะริด ยึดชุมพร โดยเข้ามาทางปากจั่น ผู้รั้งตำแหน่ง
กรมการเมืองชุมพรเห็นว่าไม่มีทางสู้เพราะกำลังน้อยจึงอพยพหนีเข้าป่า พม่าเก็บทรัพย์สินเผาเมืองชุมพร
และยกกำลังเขา้ ตเี มอื งไชยา กรมการเมอื งเหน็ วา่ ไมม่ ที างสู้อพยพหนีเช่นเดยี วกัน
ฝ่ายเจ้าพระยานครพัฒน์ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชทราบว่า พม่ายึดเมืองชุมพร ไชยา จึงเตรียมกำลัง
เพื่อรักษาเมืองโดยกำลัง 1,000 คน มารักษาท่าข้ามตรงสะพานข้ามแม่น้ำตาปี พม่าเห็นกองทัพไทยตั้งอยู่
จึงออกอบุ ายเอาคนไทยทจ่ี ับเป็นเชลยได้ที่เมืองไชยาบงั คบั ให้ประกาศบอกว่า พมา่ ยึดบางกอกไดแ้ ล้ว มาตั้งอยู่
เช่นนี้จะสู้ได้หรือให้ไปบอกเจ้านายมาอ่อนน้อมโดยดี ถ้าขืนต่อสู้จะฆ่าเสียให้หมดทั้งเมืองแม้แต่ทารกก็มิให้
เหลอื ไว้ (จะโยนขึน้ ฟ้าและเอาดาบแทงให้ตายทุกคน)
บรรดาทหารรักษาท่าข้ามได้ยินเชื่อว่าเป็นจริงเพราะตั้งแต่ทราบข่าวพม่าจะยกกำลังมาตีภาคใต้
ทางกรุงเทพก็ไม่ยกกำลังมาช่วยเพราะไม่ทราบข่าวคราวจากกรุงเทพฯเ ลยจึงเชื่อว่าพม่ายึดกรุงเทพได้แล้ว
จึงนำความไปบอกเจ้าพระยานครพฒั น์ทราบและวิเคราะห์ดูเห็นว่าเหลือกำลังจะต้านทาน จึงได้อพยพราษฎร
ขา้ มเขาบรรทดั ไปซุ่มซ่อนอยูใ่ นอำเภอ ฉวาง พมา่ จงึ ยดึ นครศรธี รรมราชได้โดยไมม่ ีการสรู้ บ จบั ราษฎรที่หนีไป
ไมท่ ันพาลหาเหตุฆ่าเสยี จำนวนมาก จับเดก็ และผู้หญงิ ไปเป็นเชลย เกบ็ รวบรวมทรัพยส์ มบัติไปยงั พม่า ปรากฏ
พงศาวดารพม่าวา่ เรอื บรรทุกสมบตั จิ ากนครศรธี รรมราชถกู มรสุมเรือแตกลม่ หาได้ไปถึงเมอื งพมา่ ไม่
ฝ่ายทพั เรอื พม่า ยีห่ วุ่นควบคุมเข้าตีเมอื งถลาง ระหวา่ งเคล่อื นท่ีเขา้ ตีเมืองตะก่วั ป่า ตะกัว่ ทุ่ง แล้วข้าม
ไปตเี มอื งถลาง ซึ่งเป็นเกาะอยดู่ ้านนอกและตัง้ ค่ายล้อมเมือง ก่อนน้ันพระยาถลางถงึ แกอ่ นิจกรรม เมื่อพม่าไป
ถึงคุณหญิงจันทร์ภรรยาเจ้าเมืองเป็นเชื้อสายเจ้าเมืองถลางมาแต่ก่อนกับน้องสาวชื่อมุก จึงได้ปรึกษากับ
กรมการเมืองเกณฑไ์ พล่พลเขา้ ต้งั ค่ายใหญ่ 2 คา่ ย ปอ้ งกันเมอื งถลาง ได้ระดมตอ่ สู้กับพม่าล้อมเมืองอยู่ – เดือน
เศษ พมา่ เสบยี งหมดจึงถอนกำลังกลบั ไปไมส่ ามารถตเี มืองถลางได้
ฝ่ายเกงหวุ่นแมงยี แมท่ ัพท่ี 1 ของพม่า เมอ่ื ยึดนครศรธี รรมราชไดแ้ ล้วมคี วามประสงคย์ ดึ เมอื งพัทลุง –
เมอื งสงขลาต่อไป พระยาแกว้ โครพ ผู้ว่าราชการเมืองพัทลุงและกรมการเมืองทราบวา่ นครศรธี รรมราชเสียแก่
พมา่ แล้ว จงึ หนเี อาตัวรอดไปโดยลำพงั
ที่เมืองพัทลุงมีภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อ มหาบุญช่วย ชาวพัทลุงนับถือมากเพราะเป็นผู้มีวิชาอาคม
พระมหาบุญช่วยชักชวนชาวเมืองให้ร่วมกันป้องกันเมืองพัทลุง ทำตะกรุด ผ้าประเจียด แจกราษฎรรวบรวม
ราษฎรและชาวบ้านได้ประมาณ 1,000 คน หาเครื่องศาสตราวุธครบมือ เชิญพระมหาบญุ ช่วยข้ึนคานหามยก
กำลงั จากเมอื งพัทลุงเพ่อื หาชยั ภูมิเพอ่ื วางกำลงั สกัดกน้ั ในทิศทางที่พม่าจะยกมาจากนครศรีธรรมราช

53

ขณะที่พม่ายึดเมืองนครฯ กรมพระราชวังบวรฯ ได้ยกกำลังทัพบก ทัพเรือ จำนวน 20,000 คน ถึง
เมืองชุมพรปลายเดือน 4 ปีมะเส็ง จึงมีคำสั่งให้พระยากลาโหมราชเสนา และพระยาจ่าแสนยากร นำกำลัง
ทัพบกไปยังเมืองไชยาเวลานั้นพม่าได้ไปรวมกำลงั ทเี่ มืองนครศรธี รรมราชแลว้

เม่อื พมา่ ทราบขา่ ววา่ กองทพั กรงุ เทพฯยกมาตั้งที่เมืองไชยาจึงระงบั แผนทจ่ี ะไปตีเมอื งพัทลงุ และเมือง
สงขลา เกงหวุ่นแมงยี สั่งการใหเ้ นมโยคงนะวดั ซึ่งคุมกองหน้ายกไปตกี องทพั ไทยทีไ่ ชยาส่วนเกงหวนุ่ แมงยีจะยก
กำลังหนุนกองทัพพม่ากับกองทัพไทยจึงปะทะกันที่เมืองไชยา พม่ายังไม่ทันตั้งค่ายไทยสามารถยกกำลังล้อม
พม่าไว้ พมา่ ขุดสนามเพลาะรบกนั อยจู่ นค่ำ บงั เอิญฝนตกหนกั ทัง้ สองฝ่ายยิงปนื ไมไ่ ด้ พมา่ จงึ ออกจากท่ีล้อมได้
แล้วพากันหลบหนี กองทัพไทยไลต่ ิดตามในเวลากลางคืน ฆ่าตองพยุงโบ นายทัพพม่าตายคนหน่ึง และฆ่าฟนั
ลี้พลพม่าตายเป็นจำนวนมาก พม่าถอยกระเจิดกระเจิงแบบตัวใครตัวมนั ไม่มีการบังคบั บัญชา ไทยจับเชลยได้
จำนวนมาก เกงหวุ่นแมงยแี มท่ พั ที่ 1 ของพมา่ ร้วู ่ากองหนา้ แตกแลว้ ไม่คิดสู้หนีเอาตัวรอดไปทางกระบี่แล้วเข้า
พมา่ ไป

ในที่สุดกองทัพพม่าทางภาคใต้กลับไปยังพม่าหมดสิ้น กรมพระราชวังบวรฯ จึงเสด็จไปประทับ
เมอื งนครศรีธรรมราชแลว้ บรรดาหัวเมืองประเทศราชทางภาคใตท้ ี่คิดแข็งเมืองมาตง้ั แต่คราวเสยี กรุงศรีอยุธยา
ก็กลบั มาเปน็ ขา้ ขอบขณั ฑสมี าอย่างเดมิ จึงมีรบั ส่ังให้ข้าหลวงถือหนังสอื ไปยงั พระยาปัตตานี และพระยาไทรบุรี
ใหแ้ ต่งฑตู นำตน้ ไม้เงิน ต้นไมท้ อง เขา้ มาถวายดุจดงั แต่กอ่ น

พระยาปัตตานี เมื่อได้รับหนงั สอื แล้วไม่ยอมอ่อนน้อม กรมพระราชวังบวรฯ จึงสั่งให้พระยากลาโหม
ราชเสนาและพระยาจ่าแสนยากร ยกกำลังทัพหน้าไปตีเมืองปัตตานี ส่วนพระองค์ยกทัพตามไปสงขลา
พระยาปัตตานีไม่สามารถต้านทานได้จึงพ่ายแพ้ การรบครั้งนี้ได้ปืนใหญ่ชื่อพระญาตานี (ปัจจุบันตั้งอยู่หน้า
กระทรวงกลาโหม)

พระยาไทรบุรีได้ทราบข่าวไทยตีเมืองปัตตานีได้ มีความเกรงกลัวจึงแต่งฑูตนำต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง
มาถวายยอมเป็นข้าขอบขัณทสีมาเช่นแต่ก่อน ส่วนปีนังหรือเกาะหมากซึ่งขึ้นกับไทรบุรีได้ให้
บริษัทอีสท์อินเดียกัมปะนีของอังกฤษเช่าปีละ 400 เหรียญ นับแต่นั้นมาเกาะปีนงั ก็มิได้ขึ้นกับพระยาไทรบุรี
จนกระท่ังมลายเู ป็นเมอื งขึ้นของอังกฤษ

ฝา่ ยพระยาตรงั กานู และพระยากลันตนั ซึ่งมเี ขตติดต่อกับปตั ตานเี กรงกลวั ฝ่ายไทยจึงแตง่ ฑูตนำต้นไม้
เงิน ต้นไม้ทอง มาถวายสมเด็จพระราชวังบวรฯขอสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑสีมา ซึ่งเมืองทั้งสองหาได้เป็น
เมืองข้ึนของไทยมากอ่ นเลย

เม่ือเสร็จราชการสนามทางภาคใต้แล้วกรมพระราชวังบวรฯดำรวิ า่ พระยานครพัฒน์ และพระยาพัทลุง
แม้ทิ้งเมืองก็มิควรถือเป็นความผิดเพราะข้าศึกกำลังมากทั้งยังไม่ทราบข่าวคราวจากทางกรุงเทพฯ ให้สมควร
ดำรงตำแหน่งเดิม ส่วนพระมหาบุญช่วยนั้นแม้จะยังไม่ทันสู้กับพม่าแต่ก็มีน้ำใจน่านับถือ รักบ้านเมือง เป็น
กำลงั ใจของราษฎร พระมหาบุญช่วยสมคั รใจลาสกิ ขาบท จงึ ทรงตัง้ ใหเ้ ป็นพระยาทุกข์ราษฎร ตำแหนง่ กรมการ
เมอื งพัทลงุ สำหรับคุณหญิงจันทร์ภรรยาเจ้าเมืองถลาง และนางมุกน้องสาว เปน็ สตรีทก่ี ล้าหาญและฉลาด จึง
ตง้ั คณุ หญงิ จนั ทร์เป็นทา้ วเทพสตรี และนางมกุ นอ้ งสาวเป็นทา้ วศรสี นุ ทร

54

ผลการรบ การที่ไทยชนะพม่าอย่างเด็ดขาดทุกสมรภมู ิในสงครามคร้ังน้ีทำให้เกิดผลดีต่อประเทศไทย

หลายประการ คือ

1. ทำให้ประเทศราชซึ่งเอาใจออกห่างตั้งแต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 กลับมาเป็นข้าขอบ

ขัณฑสีมาดังเดิม เมืองที่ไม่เคยเป็นประเทศราชมาก่อนก็ขอสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑสีมา เช่น ตรังกานู

กลันตัน

2. ได้ปนื ใหญ่ช่ือ พญาตานีมาไว้ทีก่ รุงเทพ (ปัจจบุ ันอยหู่ นา้ กระทรวงกลาโหม)

3. ไดย้ ุทธภณั ฑ์ตา่ งๆของพม่าเปน็ อันมาก

4. ทำให้สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก มีอานุภาพแผไ่ พศาลทั่วราชอาณาจักรทำให้เกิดความมั่นคง

ในชาตยิ ่ิงขึน้

5. การสงครามครั้งนี้ทำให้ความสามารถของแม่ทัพที่เข้มแข็งเฉลียวฉลาดปรากฏ อาทิ เช่น กรม

พระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระราชวังหลัง เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา พระยากลาโหมราชเสนา

พระยาจ่าแสนยากร และพระองค์เจ้าขุนเณร

6. เกดิ วรี สตรีขึน้ 2 คน คือ คุณหญิงจันทร์ และนางมกุ นอ้ งสาว คณุ หญงิ จนั ทร์ได้รบั บรรดาศักดิ์เป็น

ทา้ วเทพสตรี นางมุกได้รบั บรรดาศักดเิ์ ป็นทา้ วศรสี นุ ทร เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ สตรีกส็ ามารถควบคุมกำลังรบสู้กับ

ข้าศกึ ไดเ้ ชน่ เดียวบุรษุ ความกลา้ หาญ ความสามารถ มิได้จำกัดเพศ

บทเรียนจากการรบ

1. พมา่ ยกกำลงั มา 5 ทศิ ทาง หลายทศิ ทางควบคมุ ยาก การสือ่ สารยาก การส่งกำลังยาก การจะรวม

กำลังเพ่อื เขา้ ตีทีห่ มายสำคญั คือกรงุ เทพฯมปี ัญหาในการเคล่ือนท่มี ารวมกำลังเป็นปึกแผ่น กำหนดเวลาแน่นอน

กำหนดยาก

2. การลำเลียงเสบียงอาหารของพม่า ที่เห็นเด่นชัดคือทางด่านพระเจดีย์สามองค์เส้นทางเป็น

ป่า ภูเขาสูงชัน ทุรกันดาร ยาวไกลประมาณ 200 กม. การลำเลียงเสบียงทางน้ำและทางบกมีอุปสรรคมาก

ทำให้เสบียงไม่พอเลี้ยงทหารช่องทางนี้ 5 กองทัพ และยังถูกกองโจรฝ่ายไทยรบกวนตีตัดเส้นทางลำเลียง

ทำให้พม่าอดอยาก แสดงให้เหน็ ถงึ ความสำคญั ในการส่งกำลังบำรุง (กองทพั เดนิ ด้วยทอ้ ง)

3. ไทยใชก้ ลยทุ ธห์ ลายประการทำให้พมา่ เสยี กำลงั ใจในการสู้รบ \

- จัดต้งั กองโจรตัดเสน้ ทางลำเลยี งเสบยี ง

- เขา้ ตีรบกวนสว่ นหลัง

- แสดงลวงใหพ้ ม่าเห็นวา่ มีกำลงั มาก (สงครามจติ วทิ ยา)

- ใช้ปนื ใหญ่กระสนุ ทำด้วยไม้ยิงรบกวนทำลายตลอดเวลา

4. การวางแผนการรบของไทย เป็นแบบฉบบั ของแผนยทุ ธศาสตรอ์ ย่างดเี ลิศ คอื ตอ่ สู้ขา้ ศกึ 5 ทิศทาง

กำลงั มีมากกวา่ ไทยเทา่ ตวั ชนะดว้ ยกลยุทธเ์ ดินทพั ทางเส้นใน รวมกำลงั เข้าตใี นทิศทางทีส่ ำคญั กอ่ นเสร็จแล้วจึง

นำกำลังไปเขา้ ตใี นทศิ ทางทีไ่ ม่สำคัญ

5. การวางกำลังกองหนุนของไทย อยู่ ณ.ท่ีเหมาะสมคอื กรุงเทพฯ ซึง่ เป็นศนู ยก์ ลางสามารถ

55

ส่งกำลงั หนนุ ไปในทศิ ทางใดๆได้สะดวก กองหนนุ แบบน้ีเรยี กวา่ แบบลกู กล้งิ คือมีความคล่องตัวที่จะยกไปช่วย
ได้ทุกทิศทาง

6. การเลอื กพนื้ ทกี่ ารรบ (พ้ืนทีส่ ังหาร) ของกรมพระราชวงั บวรฯ ไปต้งั รับพมา่ ในพน้ื ท่เี หมาะสมทาง
ยุทธวิธี ตรงเชิงเขาที่จะลงสู่ทุ่งลาดหญ้า ทำให้กองทัพที่ 4, 5 ของพม่าหยุดชะงัก ไม่สามารถยกกำลังมาถึง
ทงุ่ ลาดหญ้าได้ ทำใหก้ องทพั ท่ี 6, 7 ของพมา่ ติดอยู่บนภูเขาสูงชนั อนั เปน็ ที่กันดาร ขาดเสบียง ถูกกองโจรฝ่าย
ไทยรบกวนตลอดเวลาจนอ่อนแรง ไม่สามารถนำกำลงั มาชว่ ยกองทพั กองทพั ท่ี 4, 5 ได้

7. การระดมยิงปืนใหญ่โดยใช้กระสุนปืนไม้ ทำให้ลำกลอ้ งไม่ร้อน ยิงไดต้ ลอดเวลา ทำให้อำนาจการ
ยงิ มมี าก ฝา่ ยพมา่ ตั้งหลกั ไมไ่ ด้ เรียกว่าเรามีอำนาจการยงิ ตดั รอน ทำลาย รบกวน มากกว่าฝ่ายพมา่

วเิ คราะห์การนำหลักการสงครามไปใช้ (ของฝ่ายไทย)
1. หลักความมุ่งหมาย เนื่องจากฝ่ายพม่ามีกำลังมากกว่าไทยสองเท่าตัว ไทยจึงวางความมุ่งหมาย
ต้องเอาชนะต่อกำลงั พม่าทที่ งุ่ ลาดหญ้าซึง่ เปน็ กองทพั หลวงหลักมจี ำนวนมาก ระยะใกล้หัวใจของประเทศ โดย
ใหก้ ำลงั ฝ่ายไทยหนง่ึ กองทัพตรึงพมา่ ทางภาคเหนอื สว่ นภาคใต้ใหช้ ่วยตวั เอาไปก่อนแล้วจะนำกำลังมาช่วย
2. หลักการรุก ฝ่ายไทยได้เคลื่อนที่รุกไปยึดภูมิประเทศที่เกื้อกูลต่อการปฏิบัติก่อน เมื่อทราบข่าว
ขนาดกำลัง และทิศทางเคลื่อนที่ของฝ่ายพมา่ ที่ทุ่งลาดหญา้ ไทยสามารถยึดแนวทุ่งลาดหญ้า และปิดช่องทาง
ที่พม่าจะเคลื่อนเข้ามาทุกช่องได้สำเร็จโดยใช้กำลังประกอบภูมิประเทศ เมื่อพม่าบอบช้ำอิดโรยฝ่ายไทย
กลับทำการรุก ทำลายกองทัพพม่าที่ทุ่งลาดหญ้าต้องถอยเข้าพม่าไป จากนั้นไทยรวมกำลังขับไล่พม่า
ทางภาคเหนือ และภาคใต้ถอยจากประเทศไทยไป
3. หลักการรวมกำลัง ฝ่ายไทยแม้มีกำลังน้อยกว่าแต่สามารถรวมกำลังเป็นปึกแผ่น ณ ตำบล
ทุ่งลาดหญ้า และเวลาที่จะทำการรบแตกหัก โดยมีกำลังรบเหนือกว่าข้าศึก สามารถกลับทำการรุกเข้าโจมตี
พมา่ รนุ แรง และฉับพลนั ขณะท่ีพม่าอิดโรย เสยี ขวญั
4. หลกั การออมกำลัง ไทยสง่ กำลงั เข้ายึดทงุ่ ลาดหญ้าก่อนที่พม่าจะมาถงึ หลายวนั และเคล่ือนกำลัง
ทางน้ำทำให้ร่างกายอ่อนแอและเป็นการปกปิดความลับ ได้พักผ่อนพอเพยี ง และวางกำลังปิดช่องทางที่พม่า
จะเคลื่อนที่เข้ามาท่ีกรุงเทพฯไทยยังเก็บกองหนุนไว้ 20,000 คน เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ กำลังเคลื่อนท่ี
ได้ไปตีพม่าที่ล้อมเมืองลำปางได้สำเร็จหลักการดำเนินกลยุทธ์ ฝ่ายไทยเคลื่อนที่เพื่อเข้ายึดพื้นที่เกื้อกูล
จึงเคลื่อนที่เข้าหาข้าศึกแบบตั้งรับเชิงรุก (OFFEENSIVE DEFENSE) ยกกองทัพจากกรุงเทพฯโดยทางน้ำ
ถึงลาดหญ้าเพ่ือปกปิดกำลังไม่ใหก้ ำลังพลเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลา 5 วัน ไทยถึงก่อนหนา้ 15 วัน มีเวลาพักผ่อน
และเตรียมการเต็มที่ และให้จัดให้พระยามหาโยธา (เจ่ง) คุมกองมอญ 3,000 คน ทำหน้าที่กองรักษาด่านรบ
(COMBAT POWER) สมัยนั้นเรียกขัตตาทัพอยู่ที่ด่านกรามช้าง เพื่อทำการแจ้งเตือน ทำการรบหน่วงเวลา
ต่อฝ่ายพม่า และจัดตั้งหน่วยกองโจรคอยซุ่มโจมตีพม่าที่ พุตระไคร้ เพื่อขัดขวางและซุ่มโจมตี การส่งเสบียง
ของข้าศึกที่จะมาทางลำน้ำ เมื่อพม่าเคลื่อนกำลังตามลำน้ำแควน้อยและเดินข้ามไปแม่น้ำแควใหญ่เพ่ือ
เข้าสู่ทุ่งลาดหญ้าจึงเกิดปะทะกับกองมอญของพระมหาโยธา พระมหาโยธามีกำลังน้อยกว่าสู้ไม่ได้
จึงรบพลางถอยพลาง กองทัพที่ 4 ฝ่ายพม่าไล่ติดตามกองมอญ พระมหาโยธาจึงนำกำลังไปรวมกับส่วนใหญ่
ทท่ี ุ่งลาดหญ้า เม่อื พม่ารุกไลม่ าถึงทงุ่ ลาดหญ้า กรมพระราชวงั บวรฯจงึ สงั่ ทหารซึ่งเตรียมการอยู่ก่อนแล้วเข้าตี

56

กำลังพม่าทันที พม่าต่อสู้อย่างเข้มแข้งฝ่ายไทยตีกระหน่ำอย่างรุนแรงทำให้กองทัพพม่าต้องขึ้นตั้งมั่น
อยูบ่ นภเู ขา กองทพั พม่าที่ 4, 5 จงึ ติดอยู่บนเขาเปน็ ระยะ กองทพั ที่ 6, 7 ของพม่าอยทู่ ที่ า่ ดนิ แดงและสามสบ
กองทัพท่ี 8 พระเจ้าปดงุ อยู่ท่ีแมน่ ้ำลอนซีในพม่า การปฏบิ ตั ิของฝ่ายไทยเปน็ การปฏิบัติทำนองการตั้งรับแบบ
คล่องตัว (MOBILE DEFENSE) โดยปริยาย พม่าติดอยบู่ นภเู ขากันดารทำให้อดอยาก ขาดเสบยี ง และถกู หน่วย
กองโจรของเจา้ ขุนเฌรทีพ่ ตุ ะไคร้ลอบโจมตีหน่วยสง่ เสบียงและปลน้ เสบียงตลอดเวลา โอกาสเดียวกันกับกรม
พระราชวงั บวรฯสงั่ ให้ปนื ใหญใ่ ช้กระสนุ ไม้ยิงรบกวนตดั รอนทำลายตลอดเวลา และแสดงลวงให้เห็นกำลังน้อย
เป็นกำลังมากโดยให้ทหารลอบออกนอกค่ายเวลาพลบค่ำ และเดินถือธงทิวเพิ่มเติมกำลังเวลาเช้าให้เห็น
กำลงั มามากมาย ทหารพมา่ อดอยากหิวโหยเสียขวญั ท้ังพลทหารและแม่ทัพนายกอง เมือ่ ทรงเห็นก็สั่งระดมยิง
ปืนใหญ่ทั้งกลางวัน กลางคืน ครั้งรุ่งเช้าจึงเข้าตีพม่าพร้องกันตลอดแนว เมื่อ 17 ก.พ. 2328 พม่าพ่ายแพ้
ยับเยินถอยเขา้ พมา่ ไปยังเมาะตะมะ

6. หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา กองทัพไทยทุกกองทัพ แม่ทัพนายกองสามารถควบคุมกำลัง
อย่างใกลช้ ิดทราบการเคลื่อนไหวของขา้ ศึก อำนาจการรบดว้ ยตัวเองอยา่ งใกล้ชิด มสี ายการบงั คับบญั ชา กำลัง
พลมีความเชื่อมั่นผู้นำพร้อมร่วมเป็นร่วมตายเป็นหนึ่งเดียวเกิดความสามัคคีเต็มใจทำงานเพื่อประเทศชาติ
ตัวอย่างเช่นคุณหญิงจันทร์ และนางมุก พระมหาบุญช่วย และทุก กองทัพขึ้นตรงต่อจอมทัพคือ
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลก

7. หลกั การระวังปอ้ งกนั จะเห็นการจดั การระวังป้องกัน บริเวณการรบทที่ งุ่ ลาดหญ้า กรมพระราชวงั
บวรฯ จัดตั้งกองรักษาด่านรบให้พระมหาโยธาเจ่งคุมกองมอญ 3,000 คนทำหน้าที่แจ้งเตือน รั้งหน่วงที่ด่าน
กรามชา้ งทพี่ ุตระไคร้ ให้พระยาสหี ราชเดโชชัย พระยาทา้ ยน้ำ พระยาเพชรบุรี คุมกำลัง 500 คน คอยขัดขวาง
การส่งเสบียงของพม่า พระยาทั้งสามปฏิบัติภาระกิจย่อหย่อนจึงถูกสั่งประหารชีวิต และได้ส่งเจ้าขุนเณร
ไปคุมกำลังแทน และเพิ่มเติมกำลังให้อีก 1,000 คน กำลังจะใช้ซุ่มโจมตี 1,500 คน เหตุการณ์เม่ือ
พระยามหาธรรมราชา กบั พระยายมราช คมุ กำลัง 5,000 คน ปอ้ งกันพมา่ ที่จะเข้ามาทางด่านบอ้ งตี้ เป็นการ
ระวังปอ้ งกันปกี ของกองทพั ที่ 2 กรมพระราชวงั บวรฯ และรักษาเส้นทางสง่ กำลังบำรงุ ด้วย จะเห็นวา่ ฝา่ ยไทย
จัดการระวงั ปอ้ งกนั ได้อยา่ งรอบคอบ

8. หลักการจ่โู จม การโจมตีฝ่ายพม่าของกรมพระราชวังบวรฯ พื้นที่ทงุ่ ลาดหญา้ จะเห็นว่าโจมตีโดย
ฉับพลัน ขณะทีพม่าอดอยากหวิ โหย เสียขวญั พม่าถอยตง้ั ตัวไม่ตดิ

9. หลักความง่าย แผนปฏิบัติฝ่ายไทย ยึดแนวภูมิประเทศสำคัญก่อน เตรียมการนาน จัดการระวงั
ป้องกัน จัดหน่วยทำหน้าที่รักษาด่านรบท่ีด่านกรามช้าง และด่านบ้องตี้ ทำให้การส่งกำลังบำรุง และกำลังรบ
ปลอดภัย ไมถ่ กู ขดั ขวาง สามารถดำเนนิ กลยุทธ์เปน็ อสิ ระและคล่องตัวประกอบภูมปิ ระเทศทีฝ่ ่ายเราเป็นผู้เลือก
ซึง่ เปน็ ตวั คูณเพิม่ พลงั อำนาจกำลงั รบท่ีสำคญั ทำใหฝ้ ่ายเราเอากำลงั น้อยสามารถชนะกำลงั มากไดส้ ำเรจ็

10. หลักการต่อสู้เบ็ดเสร็จ จะเห็นว่าพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกได้ให้หัวเมืองฝา่ ยใต้ช่วยเหลือตนเอง
ไปก่อน เสร็จศึกด้านสำคัญจะนำกำลังไปช่วยเจ้าเมืองนคร เจ้าเมืองชุมพร คุณหญิงจันทรและนางมุก
ได้รวบรวมกำลังภายในแต่ละเมืองจัดตั้งเป็นกองกำลังต่อสู้ไปพลางจนสุดท้ายกองทัพหลวงจากกรุงเทพฯก็มา
ชว่ ยเป็นการผนึกกำลังหลกั กำลงั ประจำถ่นิ กำลงั ประชาชน เข้าต่อส้ไู ด้อย่างสมศักด์ิศรี

57

คำถามทา้ ยบทท่ี 1
ประวัตศิ าสตรก์ ารสงครามไทย

1. หลงั จากขบั ไลข่ อมออกไปได้สำเร็จอาณาจักรสุโขทัยถูกสถาปนาขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.ใด

2. กรมท่มี ีหนา้ ท่ีจัดทำบัญชีไพรพ่ ลฝ่ายทหารและพลเรอื นทีส่ งั กดั เจ้านายและขุนนาง ทีเ่ ป็นมูลนาย
หรอื กรมกองตา่ ง ๆ ที่เรียกว่า “บัญชหี างวา่ ว” คือกรมใด

3. การสร้างคันดินคนู ้ำเป็นกำแพงเมือง และมคี ูเมืองลอ้ มรอบอยสู่ ามชน้ั มีปอ้ มประจำประตเู มอื งท้งั ส่ี
ทิศ รอบอาณาเขตของกรงุ สุโขทยั เรยี กว่า อะไร

4. การสงครามไทย-พม่า สมัยอยุธยาเกดิ ขึ้นท้ังหมดจำนวน ก่คี รง้ั ในจำนวนนี้เป็นการรบท่ีพมา่ ยกเขา้
มาโจมตดี ินแดนไทย จำนวนกค่ี ร้ัง และฝา่ ยไทยยกไปรบพมา่ ยังดินแดนพม่าหรอื เขตอิทธิพลของพม่า
จำนวนกี่คร้งั
5. ยุทธศาสตร์ทหาร การกำหนดเขตสงคราม ออกเป็นเขตหน้าและเขตหลัง ในสมยั ธนบุรี เพอ่ื
ประโยชน์ในดา้ นใด
6. ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าฯ การจดั ต้งั หนว่ ยทหารมหาดเล็กเริ่มตน้ จากเม่อื ปี
พ.ศ. 2404 ไดม้ กี ารทดลองฝกึ บุตรข้าราชการ ตามแบบยุทธวิธแี บบใหม่ แบบทหารหนา้ เรยี กกนั
วา่ อะไร
7. จงบอกผลของการรบในคราวเสยี กรุงครั้งท่ี 1 มาพอสงั เขป
8. จงอธิบายผลของบทเรยี นจากการรบในคราวเสียกรุงคร้ังที่ 2 มาพอเข้าใจ
9. สงครามเก้าทัพเป็นสงครามที่เกิดข้ึนในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้นตรงกับพระมหากษัตริย์พระองคใ์ ด
10. จงอธบิ ายการดำเนนิ กลยทุ ธ์การเขา้ ตีทางเสน้ ใน ของกรมพระราชวังบวรฯ มาพอสังเขป

58

บทท่ี 2

ประวัติศาสตร์การสงครามสากล

การสงครามในสมัย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (356-323 ก่อน ค.ศ.)
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (ท่ี 3) มหาราช (Alexander the great) กษัตริย์แห่งมาเซโดเนีย

(Macedonia) ผูส้ รา้ งจกั รวรรดิกรีกใหก้ วา้ งไกลไปถึงอินเดยี ทางตะวนั ออก ไซเทยี (Sitiar) ทางเหนอื และอียิปต์
(Egypt) กับอ่าวเปอร์เซีย (Persian) ทางใต้ก่อให้เกิดยุคใหม่เรียกว่า ยุคเฮลเลนิสติก (Helannistik) ตาม
ประวัติศาสตร์ของโลกพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าฟิลลิป (Philip) ที่ 2 แห่งมาเซโดเนีย ข้ึน
ครองราชย์ต้ังแตพ่ ระชนมายไุ ด้ 20 พรรษา สืบแทนพระราชบดิ าผถู้ ูกลอบปลงพระชนม์

สมัยที่ทรงพระเยาว์อยู่ ประมาณ 10 พระพรรษา พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้ทรงทำความ
ประหลาดใจให้แก่เอกอัครราชทูตเปอร์เซีย โดยที่ได้ทรงถามถึงรูปแบบของการปกครองของเปอร์เซีย ต่างก็
ทำนายกนั วา่ เจ้าชายองคน์ ้อยนจ้ี ะมีอนาคตอันยง่ิ ใหญ่เปน็ แน่ และเม่อื พระองคท์ รงทราบถึงชยั ชนะในการยุทธ
ของพระราชบิดากไ็ ดท้ รงถามเพือ่ นนักเรียนดว้ ยกันว่า “แลว้ จะมีอะไรเหลอื ไวใ้ หท้ ่านกบั ฉันทำเม่ือเราโตขึ้นล่ะ”
ครง้ั เมือ่ ทรงเจริญวัยข้ึน พระองค์ไดท้ รงกลา่ วว่า พระเจ้าฟิลลิปไดใ้ หช้ วี ิตแก่พระองค์ แตอ่ รสิ โตเติล (Aristotle)
ได้สอนพระองคใ์ ห้ “ดำรงชวี ิตอยา่ งมีค่าน่าสรรเสรญิ อย่ายอมให้ร่างกายเข้าครอบงำ แต่ให้จติ ใจมีอำนาจเหนือ
ร่างกายอยเู่ สมอ”

พระเจ้าอเลก็ ซานเดอร์ไมเ่ คยพา่ ยแพ้การยทุ ธ เมื่อพระชนมายุได้เพียง 16 พรรษา กไ็ ด้ทรงนำกำลงั เข้า
ปราบพวกชาวเขาแล้ว พระองค์ทรงสนใจและศึกษาจิตวิทยา อาวุธ และวิธีทำสงครามของศัตรู ทรงเป็น
นักมหายุทธศาสตร์ หรือยุทธศาสตร์ชาติ(National strategy) ชาวยุโรปคนแรก พระองค์ทรงมีความเห็นว่า
สงครามทำกันใน 2 ด้านเสมอ คอื 1.กำลงั รบทีม่ ตี ัวตน (Physical) 2.ดา้ นหลงั เปน็ เรื่องของจิตวิทยาที่ไมม่ ตี ัวตน
(Psychologocal) ไม่มีใครจะทำการรุกเปน็ ระยะทางไกล ๆ ไดร้ วดเร็วอยา่ งพระองค์ พระองค์สามารถเดินทัพ
เข้าไปใกล้ ไดก้ อ่ นที่ข้าศกึ จะทันรู้ตวั อยู่ บอ่ ย ๆ พระองค์ไมเ่ คยทำการรุกไปขา้ งหนา้ จนกว่าจะแน่ใจว่าทางปีก
และขา้ งหลังกองทพั ปลอดภยั และไม่เคยทจ่ี ะเลิกล้มแผนโดยท่ไี ม่ทรงเห็นว่าได้ดำเนนิ การไปจนบรรลุจุดหมาย
แล้ว

เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งมาเซโดเนียใหม่ๆ ปรากฏมีเค้าว่า
พวกชาวเขาและเมืองกรีกหลายเมืองจะก่อการกำเริบ พระองค์จึงได้แสดงความเข้มแข็งเป็นการข่มขวญั และ
ปอ้ งปราม โดยยกกองทพั มาเซโดเนยี เข้าตะลุยขึน้ ไปทางเหนือจนถึงแม่น้ำ ดานูบ (Danube) ทางตะวันตกถึง
Lllyria และทางใต้ถึง Thebes นั้น ได้ถูกทำลายย่อยยับเหลืออยู่แต่วัดและบ้านของกวีปินดาร์ (Bindar) ผู้ซ่ึง
พระองคช์ ื่นชมทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอรก์ ษัตรยิ ์องค์ใหมไ่ ดร้ ับการยอมรับนับถอื ทั่วประเทศกรกี อย่างรวดเรว็

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้รับช่วงการบังคับบัญชากองทัพที่มีกำลังเข้มแข็ง และการจัดอย่างดีจาก
พระราชบิดา กำลังของมาเซโดเนียและกรีกซึ่งแตก่ ่อนแยกเป็นอิสระต่อกัน ก็ไดถ้ กู เช่อื มประสานเข้าเป็นกำลัง
รบทม่ี ีวนิ ัย ประกอบดว้ ยทหารราบประมาณ 30,000 คน และทหารม้ากวา่ 5,000 คน อีกหลายหน่วย พระองค์

59

ทรงจัดรูปขบวนแบบฟาลงั ซ์ (Phalanx) ซึ่งเป็นขบวนรูปสี่เหลี่ยมกว้างด้านหน้าไมม่ ากแต่ลกึ พอสมควร ทหาร
ถือโลห่ แ์ ละหอกยาวอยู่ตรงกลาง มหี นว่ ยเคล่อื นทเ่ี ร็วอยู่ทางด้านข้าง ขบวนฟาลังซ์จะเข้าโจมตีขบวนรบข้าศึก
ตรงหน้า แล้วให้ทหารม้าหรือทหารราบเบาแยกเข้าโอบหลังแนวข้าศึก พระองค์ได้ใช้ยุทธวิธีนี้หลายครั้ง เม่ือ
ข้ามช่องแคบดาร์ดะเนลล์ (Dardanellesไปแล้ว ในฤดูใบไม้ผลิ 334 ปีก่อน ค.ศ.(22 พรรษา) ตอนที่เริ่มทำ
สงครามกบั เปอรเ์ ซยี ตามท่ีพระเจา้ ฟลิ ลปิ ราชบดิ าไดท้ รงวางแผนไวก้ อ่ นแล้ว

รูปขบวนฟาลังซ์ (Phalanx) ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ประกอบด้วย 6 กองพันทหารราบ
แต่ละกองพันมีทหารถืออาวุธหนักเป็นหอกยาว 21 ฟุต เรียกว่า ซาริสซา (Sarissa) 1,500 คน ตั้งแถวชิดกัน
นอกจากนี้ยังมีทหารโล่ห์ (Hypaspists) อีก 3,000 คน ซึ่ง 1 กองพันในจำนวนนี้เป็น Agema ทหารรักษา
พระองค์เดนิ เท้า ส่วนกำลงั ทหารม้าน้นั มีกำลงั สำคญั ประกอบดว้ ย ทหารมา้ มาเซโดเนีย 8 กองพัน กองพันท่ี 1
เปน็ ทหารมา้ รักษาพระองค์ ภารกจิ ของทหารม้าสว่ นใหญ่เป็นการเข้าตี โดยปกตพิ ระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์ จะทรง
นำกองทหารม้า Companion เอง อย่างไรก็ดี การจัดกองทัพโดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปขบวน ฟาลังซ์ จะมีการ
ปรับปรุงแกไ้ ขอยู่เร่อื ย ๆ เพอื่ ให้เหมาะสมกับสภาพท่แี ตกตา่ งกันในเอเชีย

การยุทธของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ในช่วงแรก เมื่อ 334 ปีก่อน ค.ศ. เป็นการบุกเข้ายึดครอง
เอเซียไมเนอร์ (Asia minor) ปัจจุบันเป็นดินแดนตุรกีในเอเซีย กองทัพของพระองค์ได้เผชิญกับกองทัพ
เปอรเ์ ซียซึ่งมกี ำลังมากกวา่ หวงั ทจ่ี ะรวมกำลงั ทุ่มเข้าปะทะและฆา่ พระเจา้ อเลก็ ซานเดอรใ์ ห้ได้ เพอื่ ทีจ่ ะหยดุ ยั้ง
การบุกรกุ เสยี แต่แรกเรม่ิ แตก่ ็เสียทีแก่กองทหารม้าถอื หอกเป็นอาวธุ ทำใหส้ ถานการณ์ท่ีเกือบจะชนะกลับต้อง
พ่ายแพ้ ขณะที่ทหารม้ามาเซโดเนียสูญเสียไม่เท่าไร และทหารม้ากรีกรับจ้างที่สู้รบให้แก่เปอร์เซียหลายคน
ได้ถูกสังหารอย่างไม่ปรานี กองบัญชาการภาคตะวันตกของเปอร์เซียที่ Sardis เมืองสำคัญทางการเมืองและ
เศรษฐกิจถูกยึด เมืองกรีกต่าง ๆ ที่เปอร์เซียปกครอง อยู่บนฝั่งทะเล Aegean อยู่ต้องสูญสิ้นไปด้วย ทั้งนี้
เปน็ การทำใหพ้ น้ื ท่เี ขตหลัง เมอื่ กองทัพของพระองคร์ กุ คืบหน้าตอ่ ไปมีความปลอดภัย พระเจา้ อเลก็ ซานเดอรไ์ ด้
เดินทัพเลียบฝั่งทะเล Aegean ลงทางใต้ แล้วหันกลับขึ้นทางเหนือ เข้ายึดเมือง Gordium เป็นการสิ้นสุดการ
เข้าขึดครองเอเซียไมเนอรใ์ นช่วงนี้

เมื่อได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการและทหารมาเซโดเนียปกครอง และดูแลรักษาพื้นที่ที่ยึดได้แล้ว
พระองค์ก็ได้ทรงนำทัพมุ่งลงทางใต้สู่ชายฝั่งโฟนเี ซีย ( Phoenician) เข้าตีกำลังของกษัตริย์ Darius ที่ 3 แห่ง
เปอรเ์ ซยี ทเ่ี มอื ง Issus แตกพา่ ยไปอกี เมื่อ 333 ปีก่อน ค.ศ. ราชสมบตั ิของเปอร์เซยี ทีพ่ ระเจ้าอเล็กซานเดอร์
อยากได้นกั หนาก็ตกเป็นของพระองค์ กษัตริย์ Darius ได้เสนอขอแบ่งแยกจักรวรรดิกันแตพ่ ระเจ้าอเลก็ ซาน-
เดอร์ทรงปฏิเสธ เมือง ไทล์เร่ย์ (Tyre ) ทางใต้ของชายฝั่ง โพนีเซียน (Phoenician) ถูกตีแตกหลังจากถูกลอ้ ม
อยู่ 7 เดือน และเมือง Gaza ในปาเลสไตน์ (สมัยนั้น) ก็เช่นกัน หลังจากถูกล้อมอยู่เพียง 2 เดือน พระเจ้า
อเลก็ ซานเดอร์ทรงเคลื่อนทพั ตอ่ ไปยงั อียิปต์ และได้ประทับอยู่ท่นี นั่ ตลอด ฤดหู นาว ระหว่าง 332-331 ปีก่อน
ค.ศ. อียิปต์ยอมรับพระองค์ในฐานะเป็นผูป้ ลดปล่อยจากการปกครองโดยเปอร์เซีย และถวายราชบรรดาศักดิ์
ฟาโรห์ (Faroh) ให้ด้วย พระองค์ได้มีรับสั่งให้สร้างเมืองริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนขึ้นใหม่ให้ชื่อว่า
อเล็กซานเดรีย (Alexandria) ในชว่ ง 331-330 ปกี อ่ น ค.ศ. พระเจ้าอเล็กซานเดอรไ์ ด้เคล่ือนทัพจากอียิปต์ย้อน
ขึ้นทางเหนือไปยังเมือง ดารมัสคัส (Damascus) แล้วข้ามดินแดน Mesopotamia ไปยังใจกลางจักรวรรดิ

60

เปอร์เซีย กษัตริย์ ดาริอุส (Darius) หลังจากที่พ่ายแพ้ทีเ่ มือง อีสซัส (Issus) แล้ว ก็ได้หนีไปยังเมือง Babylon
โดยไปพ่ายแพ้ท่เี มอื ง อารเ์ ลลา่ (Arbela) แตก่ ห็ ลบหนีไปไดอ้ ีกครง้ั ในการยทุ ธท่เี มอื ง Issus นน้ั

กองทัพพระเจ้าอเลก็ ซานเดอร์ไดร้ ุกพุ่งตรงเข้าหาพ้ืนท่ี ซึ่งคาดวา่ เป็นทีต่ ั้งของกองทัพกษัตริย์ Darius
แต่เนื่องจากการข่าวและข้อสมมติฐานผิดพลาดจึงต้องถูกกำลังของ Darius ดำเนินกลยุทธ์โดยอ้อมเข้าทาง
ด้านหลังกองทัพของพระองค์ ทำให้ถูกตัดขาดจากฐานส่งกำลังต่าง ๆ โดยหลังกลับเข้าโจมตีข้าศึกพ่ายไปใน
ที่สุด ยากที่แม่ทัพคนใดจะกระทำได้สำเรจ็ ส่วนท่ี Arbela กองทัพอเล็กซานเดอร์กลับเปน็ ฝ่ายทำการรกุ อ้อม
โดยข้ามแม่น้ำ Tigris ทางเหนือ แล้วเคลื่อนที่ลงฝั่งตะวันออก ทำให้กองทัพ Babylonที่มาช่วยต้องถอนย้าย
กำลังและที่มั่นหันไปต่อสู้ด้านทางกองทัพมาเซโดเนียที่โอบล้อมเข้ามาทางข้างหลงั แต่ก็พ่ายแพอ้ ีกด้วยความ
เหนือกว่าในชั้นเชิงกลยุทธ์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอรพระองค์ได้ประกาศแต่งตั้งพระองค์เองเป็นมหาราช
แห่งจักรวรรดิเปอร์เซีย หลังจากนั้นกองทัพมาเซโดเนียก็ได้รุกต่อลงไปตามแนวแม่น้ำไทกริส (Tigris) สู่เมือง
บาบิโลน (Babylon) แล้วต่อไปยังเมืองหลวงโบราณซูซ่า (Susa) เพอร์เซปโปลิส (Persepolis) และ
เอคบาทาน่า (Ecbatana) ของเปอรเ์ ซีย

ต่อมาในช่วงสุดท้ายของการแผ่ขยายพระราชอำนาจของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ตั้งแต่ 330-327 ปี
ก่อน ค.ศ. เป็นการปราบปรามพวกที่อยู่ใกล้ทะเลแคสเบียน (Caspian) และในดินแดนของประเทศ
อัฟกานิสถาน (Afghanistan) และในแคว้นเตอรกิสถาน (Turkistan) ของโซเวียตในปัจจุบัน แต่ในตอนนี้
พระองค์ทรงตั้งรฐั บาลท้องถิ่นของดินแดนที่ยึดได้ใหป้ กครองกันเอง แทนที่จะเป็นข้าราชการของมาเซโดเนยี
ใน 326 ปีก่อน ค.ศ. กองทัพของพระองค์ได้ข้ามแม่น้ำ อินดุส (Indus) ไปยังแม่น้ำ ไฮดาสเพส (Hydaspes)
ในอินเดียตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ทซี่ ่งึ พระองคไ์ ดท้ ำการยทุ ธมีชัยต่อกองทัพกษัตริย์ Porus ผซู้ ่ึงภายหลังได้กลับใจ
มาเปน็ พนั ธมติ รมาเซโดเนยี รว่ มทำการสรู้ บกบั อินเดีย

อย่างไรก็ดีหลังจากที่ได้ทำการรบต่อไปอีก 2-3 ครั้งกองทัพของพระองค์ก็เกิดการกระด้างกระเดื่อง
ในการที่ต้องตรากตรำทำการรบติดตอ่ กนั มานาน พระองค์ถูกบีบบังคับให้ยกทัพกลับบ้านเกดิ เมืองนอนเสียที
เมื่อเดินทางกลับถึงเมือง ซูซ่า (Susa) ใน 324 ปีก่อน ค.ศ. พระองค์ได้เริ่มดำเนินการที่จะรวมจกั วรรดติ ่าง ๆ
เข้าด้วยกัน โดยมีรับสั่งให้ทหารมาเซโดเนียมากมายสมรสกับผู้หญิงเอเชีย ส่วนพระองค์เองก็ได้เจ้าหญิง
เปอร์เซีย 2 องค์เป็นพระชายา ในกองทัพมาเซโดเนยี ก็มีทหารเปอร์เซียอยูด่ ้วย แต่ก็ไม่สู้จะเรียบร้อยเป็นผลดี
นัก เน่ืองจากมกี ารขัดแยง้ ไมพ่ อใจกันอย่เู สมอ เมือ่ พระเจ้าอเลก็ ซานเดอรเ์ สดจ็ ถงึ เมืองบาบิโลน ได้ประชวรเป็น
ไข้และสิ้นพระชนม์ลง ร่างของพระองค์ถูกเอาแช่น้ำผึ้งในโลงแก้ว และนำไปเก็บไว้ในสุสานที่เมือง
อเล็กซานเดรียในอยี ิปต์ ซึง่ พระองค์เป็นผมู้ รี บั ส่งั ให้สร้างขึน้ เอง

ถ้าจะศึกษาเส้นทางรุกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่าพระองค์ได้เดินทัพเปลี่ยน
ทิศทางกลับไปกลับมาเป็นรูปฟนั ปลาโดยตลอด ทั้งน้ี ด้วยเหตุผลทางการเมืองมากกว่าทางยทุ ธศาสตร์ ซึ่งถ้า
จะว่ากันไปแล้วการเมืองก็เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ชาตหิ รือมหายุทธศาสตร์เหมือนกัน การยุทธของพระองค์
ตั้งแต่แรกไปจนถึงเขตแดนอินเดีย เป็นการกวาดล้างจักรวรรดิเปอร์เซียทางการทหาร ขณะที่พยายามรวบ
การเมอื งและการปกครองไว้ใตอ้ ำนาจของพระองค์ การดำเนนิ กลยุทธ์สว่ นมากเป็นการรุกทางอ้อม ซง่ึ แสดงถึง
ความเก่งฉกาจในเชิงยุทธศาสตร์ของพระองค์ พระองค์ได้ให้กองทัพเกบ็ สะสมขา้ วโพดไวใ้ นคลัง และกระจาย

61

กำลังออกไปอยา่ งกว้างไกลเพื่อใหข้ ้าศึกสับสนในเจตนาของพระองค์ บางครั้งก็ได้ให้ทหารม้าวิง่ ส่งเสียงอกึ ทึก
อยู่นาน ๆ ทำให้ข้าศึกไม่รู้ว่าพระองค์จะเอาอย่างไรกันแน่ ในการยุทธที่แม่น้ำ Hydaspes พระเจ้าอเล็กซาน
เดอรไ์ ดใ้ ห้กำลังส่วนใหญ่ตรงึ กำลังของกษตั รยิ ์ Porus ไว้ แล้วพระองคก์ บั ทหารชนั้ ดีจำนวนหนงึ่ ได้ขึน้ ไปทางตน้
น้ำไกล 18 ไมล์ ขา้ มแมน่ ำ้ ในเวลากลางคืนแล้วเขา้ โจมตที างออ้ มอย่างจู่โจม ทำให้ขวัญและกำลังใจของกองทัพ
ข้าศึกเสีย เกิดการสับสนอลหม่านไม่อาจสู้รบได้เป็นปึกแผ่น อย่างไรก็ดี การที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทรงใช้
กำลงั ส่วนนอ้ ยทำใหก้ ำลงั ท้ังกองทัพของข้าศกึ ต้องพา่ ยแพ้น้ี ถ้าทต่ี ง้ั และการวางกำลังไมเ่ อื้ออำนวยและเหมาะท่ี
จะกระทำแล้ว ท้ังในทฤษฎแี ละทางปฏิบัติ พระองคย์ อ่ มจะเส่ยี งตอ่ การพ่ายแพท้ างยุทธวธิ เี ป็นอย่างมาก
การสงครามในสมัย เจงกีสขา่ น

เจงกีสข่าน (Genghis Khan) ค.ศ.1167-1227 (พ.ศ.1710-1770) จอมจักรพรรดิมองโกล ผู้ยิ่งใหญ่
สามารถนำทัพเขา้ บุกและยดึ ครองดินแดนตั้งแตจ่ ีนจนถึงรสั เซียหรอื ตง้ั แต่ทะเลจนี จดทะเลดำ รวมประเทศใหญ่
น้อยถึง 10 ประเทศ ยุทธศาสตร์และยุทธวิธใี นการใช้กำลังกองทัพมา้ เป็นที่เลื่องลือและเกรงขาม ทั้งในเอเซีย
และยุโรปสมัยน้ัน แม้ในปัจจุบันและอนาคตก็ยังสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความ
เจรญิ ก้าวหนา้ ของเทคโนโลยแี ละอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ได้เป็นอยา่ งดี

เจงกีสข่านประสูติเมื่อปี พ.ศ.1710 (บางหลักฐานบอกว่า พ.ศ.1715) เป็นตอนท่ี เยซุไก บาอตูร์
(Yesugei Batu) หัวหน้าเผ่าคิยาทบิดาของเจงกีสข่านได้ฆ่าหัวหน้าเผ่าตาร์ชื่อ เตมูจิน (Temujin) จึงตั้งชื่อ
เจงกีสข่านว่า เตมูจิน (Temujin) เหมือนกัน ด้วยความเชื่อว่าความกล้าหาญของขา้ ศึกจะมาเข้าอยู่ในตัวเด็กที่
เพิ่งเกิดใหม่ เตมูจิน แปลว่า ช่างเหล็ก เลยทำให้กล่าวขานกันว่า เจงกีสข่าน เคยเป็นช่างเหล็กมาก่อน พอ
พระชนม์มายุได้ 13 พรรษา ก็ได้เป็นหัวหน้าเผ่าสืบทอดบิดาซึ่งถึงแก่กรรมแแต่งงานกับบูไต(Burte) มีบุตร
4 คน คือ จูจิ (Jochi) ซากาไท (Chaghatai) โอกาได (Ogadei) ทลู ิ (Tolui)

พระองค์ได้สถาปนาตนเองเป็น เจงกสี ขา่ น (หัวหน้าผู้ย่ิงใหญ่) เมือ่ พระชนม์มายุ 33 พรรษา เจงกสี ข่าน
ไม่ได้รับการศึกษา ไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่เคยเป็นลูกศิษย์ของขุนพลใด และไม่เคยมีอาจารย์สอนพิเศษให้ แต่
เจงกีสข่านกับแม่ทัพนายกองของมองโกล (Mongol) ก็ได้ใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่เรียนจากประสบการณ์
และสามญั สำนกึ ในการยุทธทุกคราวอย่างชาญฉลาด ทำใหส้ ามารถมีอาณาจักรกว้างใหญไ่ พศาล จากเกาหลีไป
จนถงึ เปอร์เซยี หรืออิหร่านในปัจจุบนั และต่อมาภายหลงั ยังไดแ้ ผ่ขยายเข้าไปถึงยโุ รปตะวันออก โดยลูกหลาน
ของเจงกีสข่านและนายพล มองโกลชื่อ สุโบไต (Subotai) บางหลักฐานชื่อ บาตู (Batu) ซึ่งได้ใช้ยุทธศาสตร์
และยุทธวิธี ของเจงกีสข่านนั่นเอง การแผ่ขยายอาณาจักรของเจงกีสข่าน ได้มุ่งสู่ตะวันตกมากกว่าจะยึด
อาณาจักรต่าง ๆ ของจีน เจงกีสข่านเคยบุกเข้าจีนจนถึงปักกิ่ง แต่ก็ไม่พยายามที่จะโจมตีการเข้ายึดครองจนี
ต่อจากนั้นเจงกีสข่านใช้แม่ทัพของท่านจัดการอาณาจักรซุงบนฝั่งแม่น้ำแยงซี (Yangtze) อาณาจักรซุง ก็ยัง
ไม่ได้ตกอยู่ใต้การปกครองของมองโกล จนกระทั่งมาถึงรุ่นหลานของเจงกีสข่าน คือ กุบไลข่าน (Kublaikhan)
(พ.ศ.1759-1837) ราชวงศ์ซุงถงึ ได้ถูกโค่นลงในปี พ.ศ.1822

ในปี พ.ศ.1762-1768 เป็นช่วงที่เจงกีสข่านทำสงครามใหญ่และไกลจากมองโกเลียมากทีเดียว
เจงกีสข่านเป็นผใู้ ชห้ ลกั ยทุ ธศาสตร์ในการรเิ ริ่มอยา่ งไมม่ ีแม่ทัพคนใดในประวตั ศิ าสตร์เทียบเทา่ กองทัพมองโกล

62

ได้ทำการเขา้ ตอี ยเู่ สมอ ๆ แมว้ า่ จุดหมายทางยุทธศาสตร์จะเปน็ การตงั้ รบั ก็ตามการท่พี ยายามโจมตีข้าศึกไม่ให้
ตงั้ ตัวไดอ้ ย่ตู ลอดเวลาน้ี ย่อมเป็นการทำใหก้ องทพั มองโกลเปน็ ฝา่ ยรเิ รม่ิ ได้อยู่เสมอ

ก่อนที่จะเปดิ ฉากการบุกประเทศใด เจงกีสข่านจะส่งจารบุรุษและหนว่ ยสอดแนม (Imperial guard)
จำนวนมากเข้าไปในประเทศเปา้ หมาย พวกจารบรุ ุษจะพยายามก่อให้เกิดการแตกแยกขึ้น ขณะทพี่ วกสอดแนม
ก็จะเฝ้าดขู ้าศึกและปกปิดกำบงั การเคลื่อนยา้ ยของกองทัพมองโกลเมือ่ ใกล้จะถึงเวลาบุก โดยรวมกนั เป็นกลุม่
เล็ก ๆ ตดิ อาวุธซุ่มอยตู่ ามช่องทางเขา้ ประเทศและภายในประเทศ ทำใหข้ ้าศกึ เกิดการหวาดกลวั และ สับสนใน
การปะทะข้าศึกทุกคราวไม่ว่าขนาดใหญ่หรือย่อย ในการปฏิบัติการที่ได้ช่วยให้แม่ทัพมองโกลมีอิสระในการ
ดำเนินกลยุทธ์นั้น ผู้บังคับหน่วยรองจะต้องเสี่ยงเข้าโจมตีข้าศึกโดยการสนับสนุนของหน่วยเหนือ
มิงข่าน (Mingkhan) (ผู้บังคับกองร้อย) อาจนำกำลังขนาด 100 คน ไปโผล่ขึ้นอย่างฉับพลัน ณ จุดใด ๆ แล้ว
บังคบั ใหข้ ้าศึกยอมแพ้ เนอื่ งจากข้าศกึ ที่ตงั้ รับอยู่ไมม่ ีทางท่จี ะทราบได้ว่าจะยงั มีหรอื ไม่มีทหารมองโกลอีกก่ีพัน
คนตามหลังมา ในการเปิดฉากการบุกทุกครัง้ กำลังหลักของกองทัพมองโกลซ่ึงโดยธรรมดาจะมีกำลัง 3-5 ตัว
มาน (Touman) (หน่วยขนาดกองพล 1 ตวั มานประมาณ 10,000 คน) จะเคล่อื นท่ีรกุ ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
โดยมีขบวนแถวตอนของทหารม้าเบา (Light cavalry) หลายขบวนเต็มกว้างด้านหน้าทำการกำบังให้อยู่
ข้างหน้า การติดต่อสื่อสารกระทำโดยพลนำสารขีม่ า้ และระบบส่งสญั ญาณอย่างสมำ่ เสมอ รูปขบวนดังกล่าวมี
ความอ่อนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือข้าศึกมีกำลังมากกว่า หรือฝ่ายมองโกลยังไม่ทราบที่ตั้งของขา้ ศึกทีแ่ น่ชดั
เม่อื ขบวนทหารม้าท่กี ำบงั ใหแ้ ก่กำลังส่วนใหญไ่ ปปะทะเข้ากับข้าศึก อาจจะตรงึ ขา้ ศกึ อยูท่ นี่ ่ัน หรอื ถอยหลบไป
ทางอ่นื แล้วแต่สถานการณ์

กองทัพมองโกลใช้ความลึกของพื้นที่สนามรบทั้งหมด ทำให้กำลังข้าศึกไม่อาจรวมกำลังกันเพื่อที่จะ
เปน็ ฝ่ายไดเ้ ปรียบเมอ่ื ข้าศกึ รวมกำลงั ได้เขม้ แขง็ โดยปกติมองโกลจะไม่นำกำลงั เขา้ ปะทะโดยตรง แต่กลับจะทำ
การเข้าตีลึกเข้าไปในเขตหลังของข้าศึก โดยให้กำลังเพียง 1 ตัวมาน (10,000 คน) ตรึงข้าศึกไว้ แล้วใช้กำลัง
สว่ นใหญเ่ ข้าทำลายชมุ ชนพลเรอื น กำลังข้าศกึ ทยี่ ังไมไ่ ด้เขา้ ทำการรบ และสง่ิ อำนวยความสะดวกท่ใี ช้สนับสนุน
กองทัพข้าศึกมองโกลใช้อาวุธป้องกันไม่ให้ข้าศึกเข้าใกล้ตัวได้สะดวก ทหารยุโรปตัวใหญ่กว่ามีอาวุธประชิด
ดีกว่าทหารมองโกล ฉะนั้น มองโกลจึงใช้ธนู (Bow) เป็นอาวุธยิงไกล ทำลายกำลังข้าศึกให้บาดเจ็บล้มตายลง
มาก ๆ ก่อนที่จะเข้าถึงตัว มองโกลได้ใช้เชลยศึกที่จับได้จำนวนมากกำบังการรุกของตนอยู่บ่อย ๆ เป็นการ
บงั คบั ให้ข้าศกึ เข่นฆา่ ทหารพวกเดยี วกนั กอ่ นท่ีจะเขา้ รบประชิดทหารมองโกลได้ การยงิ ธนไู ปยงั ข้าศกึ จากข้าง
หลังฉากกำบังด้วยมนษุ ย์ ทำให้มองโกลสามารถเพิม่ ความสับสนแก่กำลังขา้ ศึกได้อย่างมาก นอกจากธนูแล้ว
มองโกลยงั ใชร้ ะบบอาวธุ อ่ืน ๆ อกี เช่น เครื่องซดั ส่ง (Catapult) จรวด ปืนใหญ่แบบง่าย ๆ หน่วยทหารชา่ งของ
เจงกีสข่านมีประสิทธิภาพพอ ๆ กับของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช และจูเลียส ซีซาร์ ทีเดียว อาวุธ
ยทุ โธปกรณเ์ หล่านี้ช่วยใหแ้ ม่ทัพมองโกลมคี วามออ่ นตัวเพิม่ มากขน้ึ

กองทัพมองโกลมีความคล่องแคล่วสูง เพราะกำลังเกือบทั้งหมดเป็นทหารม้า ทหารแต่ละคนมีม้า
สำรองหนึ่งหรือสองตัวอีกด้วย กองทัพของเจงกีสข่านสามารถไล่ติดตาม โมฮาเหม็ด ซาห์ (Mohammed
shah) เมอ่ื ปี พ.ศ.1764 เป็นระยะทาง 130 ไมล์ ใน 2 วนั ในปี พ.ศ.1784 กองทัพของสุโบไตไดเ้ ดนิ ทางฝา่ หิมะ
หนาและความหนาวเย็นของฤดหู นาวไกล 180 ไมล์ ใน 3 วนั เพือ่ โจมตีเมืองตา่ ง ๆ ของรัสเซีย ความคล่องแคล่ว

63

ผิดธรรมดาขนาดนี้ ทำให้เลื่องลือกันไปว่ามองโกลใช้กำลังทหารอย่างมหาศาล ซึ่งโดยแท้จริงแล้วกองทัพ
มองโกลเล็กกวา่ กองทัพฝา่ ยศตั รสู ำคญั ๆ มาก กำลังกองทัพของเจงกีสขา่ นที่ใหญโ่ ตทีส่ ุดก็เคยรวมพลเป็นกำลัง
ทพ่ี ิชิต อาณาจกั รขะวารซิ เมียน (Khwarizmion) ดินแดนเปอร์เซีย มีกำลังไม่ถึง 240,000 คน กองทัพมองโกล
ท่สี ามารถเอาชนะรสั เซียและยุโรปตะวนั ออกกบั ยุโรปกลาง ไม่เคยเกนิ 150,000 คน คณุ ภาพไมใ่ ช่ปริมาณและ
ความงา่ ยในการจัดกองทัพเป็นหวั ใจสำคญั ของความคลอ่ งแคลว่ เหนอื ช้นั ของกองทพั มองโกล

การจัดกองทัพมองโกลยึดถือระบบทศนิยม (Decimalsystem) หรือหน่วย 10-100-1,000 หน่วย
อิสระที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ตัวมาน (Touman) (3 ตัวมาน เป็น 1 กองทัพ หรือ 1 หมู่กองทัพ) บังคับบัญชาโดย
ออลอ็ ก Orock (จอมพล) ตวั มานประกอบด้วย 10 กรม ๆ ละ 1,000 คน (ขนาดกองพนั ทว่ั ๆ ไปในปัจจุบัน)
แต่ละกรมบังคับบัญชาโดย โนยาน (Noyan) (ขุนนางชั้นบารอน) กรม ประกอบด้วย 10 กองร้อย ๆ ละ 10
หมวด ๆ ละ 10 คน ร้อยละ 40 ของกองทัพมองโกลเป็นทหารม้าหนัก (Heavy Cavalry) สำหรับเป็นกำลังชน
ที่เหลืออีกร้อยละ 60 เป็นทหารม้าเบา (Light Cavalry) มีธนูเป็นอาวุธ ทำหน้าที่ลาดตระเวน กำลังสนับสนุน
หน่วยทหารมา้ หนกั กวาดล้างข้าศึก และไลต่ ิดตาม

การวางแผนโดยละเอยี ดไว้ในใจ เปน็ ส่วนหนงึ่ ทท่ี ำให้การทำสงครามของมองโกลมีความคล่องแคล่ว
ว่องไวอยา่ งยอดเยีย่ ม มองโกลไม่เคยวางแผนการรบ จนกว่าจะได้ทราบชดั ถึงเรื่องดินแดน อาวุธยุทโธปกรณ์
เส้นทางคมนาคม และสถานทรี่ ะดมพลของข้าศึก สำหรับการเตรยี มการของมองโกลเองนัน้ จะถูกปกปิดไว้เป็น
อยา่ งดี ข่ายการข่าวกรองของมองโกลได้แผ่ขยายไปในดินแดนทั่วโลก เทา่ ท่ีมองโกลรู้จัก หลังจากท่ีได้ประเมิน
รายงานข่าวกรองอย่างรอบคอบแล้ว มองโกลจะกำหนดที่หมายในการโจมตีตามเส้นหลักการรุกให้แก่หน่วย
ตัวมานแต่ละหน่วย ผบู้ ังคับหนว่ ยรองจะไดร้ ับขอบเขตกวา้ ง ๆ ในการบรรลภุ ารกจิ ก่อนการปะทะใหญ่ ผู้บังคับ
หน่วยตัวมาน จะมีอิสระในการดำเนินกลยุทธ์และเผชิญกับข้าศึกได้ตามความเห็นชอบของตน แต่ก็ต้องอยู่
ภายในขอบเขตของแผนใหญ่

ยุทธวธิ ีทที่ หารมองโกลชอบใช้ กค็ อื ตูลุกมา่ (Tulugma) หรือการโอบลึกแบบมาตรฐานทใี่ ชก้ นั ซ่ึงปีก
ขา้ งหนึ่งของขา้ ศึกจะหันเข้าหาการโอบ และมองโกลจะเข้าอยา่ งรุนแรงต่อปกี หรอื ขา้ งหลังขา้ ศกึ อีกยทุ ธวิธหี นงึ่
ที่มองโกลนิยมใช้ คือ การถอยลวงให้ขา้ ศึกไล่ติดตามแล้วเขา้ ทำการตีโต้ตอบอย่างรุนแรงในเวลาอันเหมาะสม
หน่วยข้าศึกที่ไล่ตดิ ตามจะเผชญิ กับกองทหารมองโกลส่วนอ่ืนอีกทางด้านข้าง ถ้าข้าศึกสู้รบอยา่ งเหนียวแนน่
มองโกลกจ็ ะปล่อยให้ขา้ ศึกถอนตวั ไปแล้วเขา้ โจมตีอีกขณะทีข่ ้าศกึ กำลังเคลื่อนยา้ ย ซึ่งจะเอาชนะและทำลาย
กำลังที่ไล่ติดตามมาได้โดยง่าย ทหารมองโกลมักจะทิ้งรถบรรทุกข้าวของสัมภาระไว้เป็นเหยื่อล่อ เมื่อข้าศึก
มัวพะวงร้อื คน้ และเกบ็ รวบรวมสัมภาระ ทเี่ ข้าใจวา่ ทหารมองโกลถอยหนีเอาไปไมไ่ ด้ ทหารมองโกลจะย้อนกลับ
มาสงั หารพวกขา้ ศกึ ทห่ี ลงกลเหลา่ นี้เสีย

ความสามารถและภาวะผนู้ ำยอดเยี่ยมเหนอื กว่าข้าศึก นบั ว่ามีสว่ นชว่ ยมองโกลในการทำสงครามให้ได้
ชัยชนะอยู่มาก นอกจากเจงกีสข่านเองแล้ว ก็ยังมีสุโบไตแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ลิดเดิ้ลฮาร์ท(Liddell hart)
นักยุทธศาสตร์ชาวอังกฤษยกย่องไว้ว่า “ความสามารถทางยุทธศาสตรข์ องผู้นำสองท่านนี้ ตามประวัติศาสตร์
จะมผี ้เู ทียบเทา่ ไดก้ ็แต่ นโปเลยี นเท่านนั้ ” แมท่ ัพมองโกลคนสำคัญอี่น ๆ ไดแ้ ก่ มาซสู ิ (Machusi) ผบู้ ุกโจมตีจีน
เหนือ บาตูข่าน (Batu Khan) ผู้พิชิตรัสเซีย จีบา (Chepe) โนยาน (Noyan) ผู้พิชิตคารา (Cara) ซีไต (Setai)

64

และ บายาน (Bayan) ผู้ล้มล้างอำนาจของอาณาจักรซุงในจีนใต้ ท่านเหล่านี้มีความสามารถทางยุทธศาสตร์
เกือบจะเท่ากับเจงกีสข่านและสุโบไต เจงกีสข่านเรียนรู้การเป็นผู้นำทางทหารเอาเอง จากการทำสงครามใน
สนามรบอันกวา้ งใหญไ่ พศาล ผ้บู งั คบั หน่วยท่สี ามารถจะไดร้ บั การแตง่ ต้งั ในตำแหนง่ สูงขึ้นอย่างทวั่ ถึงไม่ขาดตก
บกพร่อง ระบบการเลื่อนยศตำแหนง่ ถือเอาความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์อยา่ งเดียว ออล๊อก (จอมพล) บาง
คนยังหนุ่มอยู่มาก สุโบไตกับจีบาได้ขึ้นครองตำแหน่งสูงเมื่ออายุยังไม่ถึง 35 ปี เจงกีสข่านจะบำเหน็จรางวัล
และยกย่องให้ประชาชนทราบ เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาทำความดี ขณะที่ผู้นำหน่วยคนใดไม่สามารถปฏิบัติตาม
คำสั่งได้ อาจถึงกับฆ่าตัวตายทันที ผู้บังคับบัญชาของมองโกลทกุ คน มีลักษณะที่เหมือนกันอยู่ 2 ประการ คือ
การนำหนว่ ยอย่างกลา้ หาญเป็นตวั อยา่ ง และทกุ คนต่างเขา้ ใจแนวความคิดในการปฏิบตั อิ ย่างเดยี วกัน ซึ่งทำให้
สามารถปฏิบตั กิ ารเปน็ อิสระ ไดอ้ ยา่ งสอดคลอ้ งกับแผนทัว่ ไปหรอื แผนใหญต่ ลอดเวลา

การยุทธที่แสดงให้เห็นถึงยุทธศาสตร์และอัจฉรยิ ะของเจงกีสข่าน หนึ่งในหลายการยุทธเห็นจะไดแ้ ก่
การบุกจักรวรรดิขะวาริซเมียน (Khwarizmion) ในปี พ.ศ.1761-1767 ในสมยั นั้นอาณาจักรน้ีครอบคลุมพื้นที่
ตุรกี เปอร์เซีย และอินเดียตอนเหนือ ปัจจุบันเป็นแคว้น Uzbek ของสหภาพ โซเวียต(เดิม) ตอนใต้ติดกับ
อัฟกานิสถาน สาเหตุของสงครามเนื่องมาจากโมฮาเหม็ดซาห์ (Mohammed shah) ผู้ปกครองจักรวรรด์ิ ได้
ปฏิบัติตอ่ ฑูตมองโกลอยา่ งไม่เปน็ ธรรมใน พ.ศ.1761

หลงั จากไดร้ วบรวมข่าวและประเมนิ สถานการณ์เรยี บร้อยแล้ว เจงกสี ขา่ นก็ได้เตรียมการบุก โดยรวม
กำลังหลักส่วนใหญ่ไว้ทางตะวันออกของทะเลสาบ Balkhash ริมฝั่งแม่น้ำ Irtish ในฤดูร้อน ปี พ.ศ.1762
เจงกสี ขา่ นไดใ้ หล้ กู ชาย จูจิ (Juji) นำกำลัง 3 ตัวมาน (30,000 คน) ข้ามแมน่ ำ้ Chu ม่งุ สแู่ ม่นำ้ Syr Darya เพ่ือ
ปกปิดเจตนาและการเตรยี มการบกุ กำลงั ของจจู ิกระจายไปทวั่ บริเวณ เพอื่ แสดงกำลังอยา่ งมปี ระสิทธิภาพตาม
แผน เม่ือโมฮมั เหมด็ ซาห์ ทราบข่าวจึงได้ส่งลูกชาย จาลาล-อัด-ดิน (Jalal addin) กับทหาร 200,000 คน ไป
ผลกั ดนั เมื่อจาลาลไปถึงจูจิได้สำเรจ็ ภารกิจแล้ว มองโกลไดส้ ง่ มา้ และอาหารสัตวท์ ี่ไม่จำเปน็ ต้องใช้กลับทั้งหมด
และทำการถอนตัว จาลาลเข้าตีโต้ตอบแต่มองโกลก็ผละจากการปะทะโดยเร็วด้วยการเผาหญ้าในทุง่ ราบ และ
หลบหายไปหลงั ฉากควนั จาลาลไม่ไดไ้ ล่ตดิ ตามต่อไป

เจงกีสข่านไม่ได้เคลื่อนไหวกำลังเป็นเวลาหลายเดือน ข้างฝ่ายซาห์นั้น เมื่อได้รวบรวมพล
ชาวเตอร์ก-มุสลมิ มากกว่า 400,000 คน ทำใหร้ สู้ กึ มน่ั ใจว่าตนสามารถจะหยุดยง้ั การบกุ ของมองโกลได้โดยเร็ว
แต่ก็เหมือนกับข้าศึกของนโปเลียนใน ค.ศ.ท่ี 19 ซาห์วางแนวตั้งรบั อย่างผิดพลาด เป็นวงล้อมตามแนวแม่น้ำ
ไซดาร์ยา (Syr Darya) โดยหันหน้าทางทิศเหนือ อาศัยเหมืองต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่ เสริมความแข็งแรงให้แก่
แนวตัง้ รบั นี้ ขา้ งหลังแนวตง้ั รบั เปน็ ทต่ี ง้ั ของศนู ยก์ ำลงั 2 แห่ง ซามาร์คานด์ กบั บูคารา อยูท่ างตะวันตกเฉียงใต้
ของแมน่ ้ำ Syr Darya

ตอ่ มาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.1762 เจงกีสขา่ นจึงได้นำกำลงั สว่ นใหญ่ของกองทัพมองโกลออกเดินทาง
จากแม่นำ้ อริ ต์ ิซ (Irtish) ท่านไดแ้ บ่งกำลงั ออกเปน็ 4 กองทัพ กองทพั ละ 4-5 ตวั มาน กองทัพท่ี 1, 2 ในบังคับ
บญั ชาของจจู กิ บั เจบิ เคลื่อนลงไปทางใต้ มงุ่ สู่ต้นแมน่ ้ำ อมั มูดารย์ า (Amu Darya) กองทพั ที่ 3 ในบังคับบัญชา
ของ โอเกได (หรือออกาได) ภายหลงั ได้เปน็ ขา่ นสบื ทอดจากเจงกีสข่าน ในรชั สมยั ของโอเกได กองทพั มองโกล
ได้บุกไปถึงมอสโก เคียฟ และเมืองอื่น ๆ ในรัสเซีย ฮังการี โปแลนด์ และข้ามแม่น้ำดานูบ ขณะที่น้ำในแม่น้ำ

65

เป็นน้ำแข็ง เข้ายึดเมือง เอสเทอร์กอร์ม (Esztergorm) ขณะที่กองทัพของพระองค์กำลังบุกเข้าโปแลนด์
โอเกไดก็สน้ิ พระชนมเ์ มือ่ 11 ธันวาคม พ.ศ.1784) ชากาได เคล่อื นกำลงั ไปทางตะวันตก มงุ่ สเู่ มืองป้อม Otar
สว่ นกองทัพที่ 4 นำโดยเจงกีสข่านกบั สโุ บไต เคลอ่ื นกำลังไปทางตะวนั ตกเปน็ วงกว้าง เพ่ือท่ีจะรุกเข้าตีเมือง
Bukhara จากทางด้านตะวันตก เจงกีสข่านหวังที่จะจู่โจมทำให้ข้าศึกสับสน โดยการเข้าตีเป็นวงกว้างจาก 4
ทิศทาง

ขณะที่ซาห์ทราบข่าวว่า เมือง โคเฮ็น (Khojend) ถูกกองทัพจูจิตีแตกแล้ว และกองทัพของเจบกิ ำลัง
รุกเข้าหา สามาข่าน (Samarkand) จากทางใต้นั้น ตัวท่านยังอยู่ท่ี บูคารา (Bukhara) ซาห์จึงรวมกำลัง
กองหนุน 50,000 คน มุ่งสู่ Samarkand เมอื งหลวง เพือ่ หยุดการรุกของเจบิ แตก่ ำลังของเจบกิ ็ตัดเส้นทางของ
กองทัพซาห์ซึ่งใหญ่กว่าได้สำเร็จ ทำให้ซาห์เริ่มต้นตระหนักเพราะไม่อาจจะเผชิญกับการรุกของเจบิโดย
เนื่องจากกำลังในแนวตั้งรับตาม แม่น้ำ Syr Darya ได้ถูกตรึงอยู่กับที่ และถูกทำลายย่อยยับโดยความ
คล่องแคล่วท่เี หนอื กว่าของกองทพั จูจิ คร้ันจะดึงกำลงั จากเมืองหลวง กำลังกจ็ ะหมดไมม่ ีการป้องกันเลย

เจงกีสข่านเคลื่อนกำลังเข้าหาเมือง Bukhara โดยข้ามทะเลทราย คึเซคัม (Kyzyl KumX ซึ่งทางฝ่าย
ซาห์เชื่อว่ากระทำไมไ่ ด้ นับว่าการจู่โจมของเจงกีสข่านบรรลุผลโดยสมบูรณ์ เจงกีสข่านเข้าเมือง Bukhara ได้
เมอ่ื 11 เมษายน พ.ศ.1763 แล้วเคลือ่ นกำลงั ตอ่ ไปทางตะวนั ออกสู่เมือง Samarkand ขณะเดียวกนั กบั กองทพั
ของโอเกไดและซากาไตรกุ เขา้ มาจากทางเหนอื จูจิจากทางตะวันออก และเจบจิ ากทางใต้ ในที่สดุ Samarkand
ที่มั่นสุดท้ายของซาห์ก็ถูกกองทัพมองโกลที่บีบเข้ามาจาก 4 ด้านตีแตก เจงกีสข่านได้สิ้นพระชนม์ในระหว่าง
ทางกลบั ไปมองโกเลีย ในปี พ.ศ.1770 แต่บางหลกั ฐานก็บอกว่าในระหว่างการยกกองทพั ไปตีอาณาจักร ตังกุท
(Tanggut) หรือ Hsia ของจีน นัยว่าเพราะได้รับการกระทบกระเทือนจากการตกม้าระหว่างที่ไปล่าสัตว์
หลังจากท่ี เจงกสี ขา่ นส้ินพระชนม์ไปราว 150 ปี อาณาจักรต่าง ๆ ท่มี องโกลเข้ายึดและครอบครอง ตา่ งก็ทยอย
กนั หลุดพน้ จากอำนาจของมองโกล และแยกตัวไปเปน็ อิสระเช่นเดมิ

ด้วยเวลาเพียง 5 เดือน เจงกีสข่านสามารถทำลายกองทัพ 400,000 คน โค่นจักรวรรดิ์ขะวาริซเมียน
และเปิดประตูทางตะวนั ตกไปสู่ยุโรปได้สำเร็จ ในสงครามคราวนี้เจงกีสข่านได้ดำเนนิ กลยุทธ์ และใช้หลักการ
สงครามอย่างล้ำเลิศ แต่น่าเสียดายที่ประวัติการรบของกองทัพมองโกลส่วนมากบันทึกไว้โดยข้าศึ กของ
มองโกลเอง จึงย่อมจะมกี ารบดิ เบอื นหรือไม่ยอมกล่าวอยา่ งตรงไปตรงมา ถึงอัจฉรยิ ะและความห้าวหาญของผู้
ที่เป็นศัตรู ต่อเมื่ออีกหลายร้อยปีภายหลังเมื่อสงครามเกิดขึ้นบ่อย ๆ นักการทหารอาชีพจึงได้เริ่มศึกษา
ประวัติศาสตร์การสงครามกัน เพื่อค้นหาหลักการสงคราม ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี นั่นแหละการยุทธของ
กองทัพมองโกล จึงได้ถูกนำมาศึกษาพิจารณากันมากขึ้น คัสตาวัส อดอลฟัส และนโปเลียน ก็สนใจศึกษา
การทำสงครามของมองโกล นายทหารม้ารัสเซียก็ศึกษาเล่าเรียนเรื่องนี้เหมือนกัน ตั้งแต่ในตอนต้น
คริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อนสงครามโลกครง้ั ท่ี 1 เมื่อปี พ.ศ.2470 ลิดเดลท์ ฮารท์ เขียนไว้วา่ รถถงั และเคร่ืองบิน
กค็ ือ ทายาทและผสู้ ืบทอดของทหารม้ามองโกลสงครามสมัยใหม่ที่ใชก้ ารโอบทางด่ิงโดยการยุทธส่งทางอากาศ
หรอื หน่วยพลรม่ ก็นบั ว่าเปน็ อกี มิตหิ นง่ึ ที่เพิ่มขน้ึ จากการยุทธของมองโกลนน่ั เอง ผู้บญั ชาการหมู่กองทัพ ท่ีทำ
สงครามเคลื่อนที่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สองท่าน คือ จอมพลรอมเมล (Rommel) และพลเอกแพตตัน
(Patton) กไ็ ดศ้ ึกษาการยุทธของมองโกลอย่างละเอียด และชนื่ ชมสโุ บไต แมท่ ัพมองโกลผูย้ งิ่ ใหญอ่ ยา่ งมาก

66

ถ้าจะวิเคราะห์เปรียบเทียบกลยุทธ์และวิธีการทำสงครามของมองโกล กับหลักการสงครามสมัย
ปัจจุบันของประเทศต่าง ๆ แลว้ จะเหน็ ได้วา่ มองโกลได้ใช้หลกั การสงครามของประเทศต่าง ๆ รวมกันเกือบทุก
ประการ ดังนั้น จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของเจงกีสข่านและลูกหลานกับแม่ทัพนายกอง
ของท่าน นักยุทธศาสตร์ที่ประสบผลสำเร็จย่อมจะไม่ฝ่าฝืนหลักการสงคราม ผู้ชนะสงครามจะสนใจและไม่
ละเลยตอ่ หลกั การ
การสงครามในสมยั โปเลยี น โบนาปารต์

ประวัติ นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) หรือจักรพรรดินโปเลียนมหาราช เป็นชน
ชาติฝรั่งเศส เกิดที่เมืองอาจักซิโอ (Ajaccio) เกาะคอร์ซิกา (Corsica) ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันท่ี 15 สิงหาคม
ค.ศ.1769 บิดาเป็นนักกฎหมาย ด้วยเหตุที่บิดามารดาของนโปเลียนยากจนมาก นโปเลียนจึงต้องเผชิญกับ
ความยากจนมาต้ังแต่เยาว์วยั แต่อาศัยทมี่ คี วามอดทนและมมี านะพากเพยี รดี จงึ สามารถเข้ารับการศึกษาทาง
วิชาการทหารที่ เบรียง (Brienne) และต่อในโรงเรียนนายร้อยทหารบกที่กรุงปารสี (The military academy
of Paris) (ค.ศ.1784) จนกระท่งั สำเรจ็ ออกรับราชการ สอบได้ท่ี 42 ในจำนวนนกั เรียน 58 คน เปน็ นายทหาร
สัญญาบตั ร ยศรอ้ ยตรี เหลา่ ปนื ใหญ่ ใน ค.ศ.1979 ในระหวา่ งเขา้ ศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหารบก ตรงกบั
ช่วงเวลาในการปฏวิ ัติใหญ่ในฝร่งั เศส คณะปฏวิ ัติไดป้ ลงพระชนมพ์ ระเจา้ หลยุ ส์ท่ี 16 กษตั รยิ ์แหง่ ฝร่งั เศส และ
พระนางแมรี่อังตัวเนตพระราชินี เมื่อวันท่ี 21 มกราคม ค.ศ.1792 ต่อจากนั้นก็ถึงยุคที่ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับ
ภาวะระสำ่ ระสายเน่อื งจากการแกง่ แย่งชิงอำนาจกันเอง ทำให้ความม่นั คงของชาตเิ สอื่ มลงไปทุกขณะ ดว้ ยเหตุ
น้ีฝร่ังเศสจึงถกู ขา้ ศกึ ยกทัพมารมุ โจมตรี อบด้าน วาสนาของนโปเลียนได้มโี อกาสก้าวไปสู่ความรงุ่ โรจน์ขนึ้ ในช่วง
ระยะเวลานเ้ี อง กลา่ วคอื นโปเลียนไดร้ ับมอบอำนาจจากรัฐบาลฝรัง่ เศส ขณะน้นั ใหย้ กกองทหารไปตกี องทหาร
อังกฤษทถี่ อื โอกาสเขา้ ยึดครองเมอื งตูรอง (Toulon) ในขณะทฝ่ี รัง่ เศสกำลังวุน่ วายระส่ำระสายอยู่

ด้วยความปรีชาสามารถอันชาญฉลาด ประกอบด้วยความกล้าหาญอันเป็นคุณสมบัติประจำตัว
นโปเลียนจึงสามารถเข้าตีเมืองตูรองกลับคืนมาสำเร็จ โดยสูญเสียกำลังทหารเพียงเลก็ น้อย จึงได้ตอบแทนชัย
ชนะอนั งดงามของนโปเลียนโดย เล่ือนยศให้นโปเลยี นจากนายร้อยเปน็ นายพลเลยทเี ดยี ว นับเปน็ การเล่ือนยศ
ข้ามขั้นมากที่สุด ซึ่งไม่เคยมีนายทหารคนใดเคยได้รับมาก่อน นับเป็นก้าวแรกที่จะนำนโปเลียนไปสู่ความ
ร่งุ โรจนต์ อ่ ไปในโอกาสข้างหนา้

ต่อมานโปเลียนไดม้ ีโอกาสแสดงฝีมือให้เป็นท่ีประจักษ์ชัดถึงความสามารถของเขาทุกขณะ เริ่มต้งั แต่
การไดร้ ับมอบใหเ้ ป็นผปู้ ราบปรามการกอ่ การจลาจลขนึ้ ในประเทศ และอาศัยท่นี โปเลียนเป็นนายทหารปืนใหญ่
เขาจงึ ได้ใชก้ ลยทุ ธ์โดยนำเอาปนื ใหญ่ไปจุกช่องไว้ตามถนนสายต่าง ๆ ทจ่ี ะไปยังสภาแห่งชาติ เพื่อปอ้ งกัน มิให้
ผู้ก่อการจลาจลบุกเข้าไปถึงสภาได้ หากยังขืนดอื้ ดงึ และรกุ ล้ำเข้ามา นโปเลียนก็จะระดมยิงปืนใหญอ่ อกไปทนั ที
ด้วยอำนาจการยิงของปืนใหญ่ ทำให้นโปเลียนสามารถป้องกันและปราบปรามการจลาจลอยา่ งได้ผล ฝรั่งเศส
จึงปลอดภัย ความสามารถของนโปเลียนดังกล่าวทำให้เข้าได้รับการแต่งตั้งในหน้าที่สำคัญ ๆ ของชาติสูงข้ึน
จนเปน็ ผบู้ ัญชาการเขตภายใน และเป็นแมท่ พั นำกองทพั ฝรัง่ เศสไปรบกบั ประเทศอติ าลี (ค.ศ.1796) ทั้ง ๆ ที่มี
อายุเพียง 25 ปีเท่านั้นรบชนะ เป็นผลให้ฝรั่งเศสได้รับดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำไรน์ (Rhine) ทั้งหมด นับเป็น

67

ชัยชนะอันสำคัญของนโปเลียน และชาวฝรั่งเศสได้ยกย่องเชิดชูนโปเลียนว่าเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส
ยากทจี่ ะหาผูใ้ ดเปรียบเทยี บได้

ต่อมา นโปเลียนไดร้ บั อนุญาตจากรัฐบาลฝรงั่ เศสให้ยกกองทัพไปรบอยี ปิ ต์ (Egypt) ค.ศ.1798 และถือ
โอกาสเข้าตีเอาเมืองตา่ ง ๆ ทผี่ ่านไปมาเป็นเมอื งข้นึ ของฝรั่งเศสได้เปน็ จำนวนมาก รวมท้ังเกาะมอลต้า (Malta)
ซงึ่ ได้ใช้เปน็ ฐานทพั ท่ีดีของฝรงั่ เศสแห่งหนง่ึ ด้วยเข้ายึดเมืองอเล็กซานเดรียและกรุงไคโรได้เป็นผลสำเร็จวาสนา
ของนโปเลียนได้รุ่งโรจน์ขึ้นไปโดยลำดับ จนกระทั่งใน ค.ศ.1802 นโปเลียนได้รับแต่งตั้งให้เป็นกงสุล หรือ
หวั หนา้ รฐั บาลปกครองประเทศฝรง่ั เศสตอ่ ไปตลอดชีวติ เพราะเห็นวา่ นโปเลียนได้สร้างความเจริญสูงสุดให้แก่
ฝรง่ั เศส ไดร้ ับความนิยมรักใคร่จากประชาชน ดงั นัน้ ในที่สดุ นโปเลยี นจึงประกาศตนเป็นพระเจ้าจกั รพรรดิแห่ง
ประเทศฝรัง่ เศสเมอ่ื ค.ศ.1804

นโปเลียนมิใช่จะมีอำนาจวาสนาแต่ในประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น หากแต่ยังได้แผ่ขยายอำนาจของตน
ออกไปในประเทศใกล้เคียงด้วย เชน่ สวสิ เซอรแ์ ลนด์และเยอรมัน อยา่ งไรกต็ าม ความปรารถนาของนโปเลียน
ทีจ่ ะยกกองทัพไปตเี กาะองั กฤษน้นั ก็ยงั ไมม่ ที างจะสำเร็จลงได้ เพราะองั กฤษมีกองทพั เรือทเ่ี ข้มแข็งกว่าฝรั่งเศส
เป็นอันมาก นโปเลียนจึงได้หันไปทำศึกกับออสเตรยี (Austria) ปรัสเซีย (prussia) และรัสเซีย (Russia) ต่อไป
นโปเลยี นสร้างศัตรไู ว้มากทำใหฝ้ รงั่ เศสอยไู่ ม่สงบ

วุฒิสภาฝรั่งเศสจึงได้ประชุมหารือและตกลงตัดสินใจ เมื่อวันท่ี 3 เมษายน ค.ศ.1814 ประกาศให้
นโปเลียนออกจากราชบลั ลงั ก์ พร้อมกับประกาศแต่งตงั้ รฐั บาลฝร่ังเศสใหมโ่ ดยมีตาเลรังค์ ผซู้ ึ่ง นโปเลยี นได้เคย
ชบุ เล้ียงมาและกลบั เป็นผู้ทรยศต่อนโปเลยี นเป็นหัวหน้าคณะรฐั บาลฝร่ังเศสแทน ซ่ึงในขณะน้ันนโปเลียนได้คุม
กำลังทหารไปสู้รบป้องกันกรุงปารีสให้พ้นจากเงื้อมมือของข้าศึกที่ฟองเตนโปล (Fontainebleau) ห่างจาก
กรุงปารีสประมาณ 60 กิโลเมตร นโปเลียนเห็นว่าไม่มีทางที่จะต่อสู้และขัดขืนอีกต่อไป จึงได้ยอมสละราช
สมบัติเมื่อวนั ท่ี 20 เมษายน 1814 ต่อมารัฐบาลได้นำตวั นโปเลียนไปปล่อยท่ีเกาะเอลบา (Elba) ซึ่งเป็นเกาะ
เล็ก ๆ แห่งหนึ่งของฝรั่งเศส และรัฐบาลได้ออกประกาศแต่งตั้งให้พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ขึ้นเป็น
พระเจ้าแผ่นดนิ โดยมีพระนามวา่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ครองราชย์บลั ลงั ก์

นโปเลยี นได้ถกู ปล่อยที่เกาะเอลบา ประมาณ 10 เดอื น นโปเลยี นไดล้ อบลงเรือเล็กลำหน่ึงมาข้ึนเกาะ
ทฝ่ี รงั่ เศสอีกเม่อื วนั ท่ี 1 มนี าคม ค.ศ.1814 และนโปเลยี นไดร้ วบรวมทหารประมาณ 900 คน เพ่ือใช้เป็นกำลัง
ขับไลร่ ฐั บาลและกลับมามอี ำนาจอกี ต่อไป ทางรฐั บาลได้สง่ จอมพล เนย์ ไปจับตัว นโปเลยี น แตป่ รากฎว่าจอม
พล เนย์ กลับใจเข้าข้างนโปเลียน ยกกองทัพเข้ามากรงุ ปารีสเพื่อยดึ อำนาจจากรัฐบาลฝรั่งเศส ดังนั้น บรรดา
ประเทศต่าง ๆ ที่เคยประกาศสงครามกับนโปเลียน จึงไดต้ กลงพร้อมกันที่จะส่งกำลังทหารออกไปทำการสู้รบ
กบั นโปเลียนอกี

นโปเลียนได้แสดงบทบาทของขุนศึกต่อไปในการรบครั้งสำคัญระหว่างกองทัพนโปเลียนกับ กองทัพ
อังกฤษ ซ่ึงมี จอมพล เวลลิงตนั (Wellington) เปน็ แม่ทพั อังกฤษ มีกำลงั พลถึง 8 หม่ืนคน ตั้งอยู่ บนเนินสูงที่
เรียกว่า มองต์แซงต์จอง (Mont st Jean) ใกล้หมู่บ้านวอร์เตอร์ลู (Waterloo) ในขณะเดียวกัน นโปเลียนมี
กำลังน้อยกว่า คอื มีเพยี ง 6 หมืน่ คน วันที่ 18 มถิ นุ ายน ค.ศ.1815 ทำการสูร้ บอยา่ งกลา้ หาญ นโปเลียนเหน็ ว่า
ไม่มที างท่ีจะทำการสู้รบเอาชยั ชนะได้อีกต่อไป จึงประกาศสละราชสมบัติอกี ครง้ั หน่ึง

68

วาสนาของนโปเลียนต้องถึงกาลอวสาน อังกฤษได้นำเอาตัวนโปเลียนไปปล่อยที่เกาะเซนต์ เฮเลน
(Saint Helena) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ.1815 และนโปเลียนมีชีวิตอยู่ในเกาะนั้นประมาณ 6 ปี จึงได้
ส้นิ พระชนม์เมอ่ื วนั ที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ.1821 มพี ระชนมายไุ ด้ 51 ปี 8 เดอื น 20 วันพอดี

1. การยุทธท่อี ลู ์ม (Ulm)
การยุทธครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อกันยายน-ตุลาคม ค.ศ.1805 ระหว่างฝ่ายฝรั่งเศส ฮอลแลนด์ สเปน อิตาลี
และบาวาเรีย (Bavaria) กับฝ่ายพันธมิตรมี อังกฤษ ออสเตรีย รัสเซีย สวีเดน และเนเบิล เมือง อูล์ม อยู่ริม
แมน่ ำ้ ดานบู (Danube)ในเยอรมนีเหนือสวิตเซอรแ์ ลนดเ์ ลก็ นอ้ ย
ฝ่ายพันธมิตรมีกำลังของออสเตรียในอิตาลี ในบังคับบัญชาของ อาร์ซดยุค ชาร์ลส์ (Archduke
Charles) 95,000 คน ในบังคับบัญชาของ อาร์ซดยุค จอห์น (Archduke John) 33,000 คน และในเยอรมัน
มกี ำลงั ในบงั คับบญั ชาของ นายพลคาร์ลแมค (Kaelmack) 55,000 คน นอกจากนี้ ยงั มีกำลงั ของรสั เซยี ซ่ึงเป็น
พนั ธมติ รอกี 2 กองทัพ กองทพั ท่ี 1 มี 55,000 คน ในบงั คับบญั ชาของนายพลคตู ซู อฟ (Kutusov) กองทพั ที่ 2
มี 40,000 คน ในบงั คับบญั ชาของ นายพลบกุ ซเ์ ฮาเดน (Buxhowden)
นโปเลียนรวมพลได้ท้ังหมดถงึ 219,000 คน นบั ว่ามากทสี่ ุดเท่าที่เคยมี กำลงั ของนโปเลยี นได้เคล่ือนที่
อย่างรวดเร็วไปถึงแม่น้ำไรน์ (Rhine) เมื่อ 24 กันยายน และแม่น้ำดานูบ (Danube) ใน 7 ตุลาคม ซ่ึง
นายพลแมค (Mack) คาดไม่ถึงว่าจะไปได้เร็วขนาดนัน้ นโปเลียนมุ่งเข้าจัดการกบั กองทัพนายพลแมค (Mack)
ให้พ่ายไปเสียกอ่ นโดยเรว็ กอ่ นทีก่ องทัพรสั เซียจะเคลือ่ นกำลังมาสมทบได้ทัน โดยส่งกองทัพน้อยของจอมพล
แบร์นาดอต (Bernadotte) และ จอมพลดาวูต์ (Davout) ไปขัดขวางกองทัพรัสเซียทางเมืองมูนิค (Munich)
ส่วนทางดา้ นอติ าลีนน้ั ได้ใหก้ องทัพของจอมพลมาสเซนา (Massena) มีกำลงั 50,000 คน ทำการตรงึ กำลังของ
อารซ์ ดยุค ชาร์ลส์ ไว้ก่อน
กำลังส่วนใหญ่ของนโปเลียนทำการข้ามแม่น้ำไรน์ ด้วยกว้างด้านหน้าถึง 200 กม. แล้วมุ่งสู่ แม่น้ำ
ดานูบ เพื่อตลบหลังกำลังของนายพลแมค ที่เมืองอูล์ม(Ulm) กำลังอีกส่วนหนึ่งเข้าตีลวงผ่านป่าดำ (Black
Forest) ทางใต้ นโปเลียนข้ามแม่นำ้ ดานูบใน 7 ตุลาคม ด้วยกว้างดา้ นหน้า 60 กม. เพื่อเขา้ ตลบหลังล้อมเมือง
อูลม์ ใน 10 ตุลาคม นายพลแมคไดส้ ่งกองทัพน้อยไปต้านทานฝรง่ั เศสที่หน้าเมอื งอลู ์มทางทศิ ตะวนั ออก แตถ่ ูก
กำลังส่วนหน้าของฝรั่งเศสตีแตกไป กำลังส่วนใหญ่ของฝรั่งเศสเริ่มปะทะกับกำลังของ นายพลแมคใน 14
ตุลาคม แล้วใน 15 ตุลาคม นโปเลียนกเ็ ข้าล้อมเมืองอูล์มได้สำเรจ็ ตกบ่าย 17 ตุลาคม กำลัง 27,000 คน ของ
กองทพั แมคกย็ อมแพ้ มีกำลังบางส่วนหนีเลด็ ลอดออกไปได้ แต่กถ็ ูกตามจบั เปน็ เชลยหนไี ปไมร่ อด
สรุปผลการยุทธที่อูล์มน้ี นโปเลียนดำเนินกลยุทธ์โดยการโอบกว้างเข้าตลบหลังข้าศึกด้วยกำลังส่วน
ใหญ่ ใช้กำลังส่วนน้อยทำการเข้าตลี วง และส่งกำลังอีกส่วนหนึ่งไปขัดขวางกองทพั รัสเซียไว้ นับเป็นการยุทธ
คร้งั สำคญั ครงั้ หน่งึ ของนโปเลียนท่สี ามารถดำเนินการยทุ ธเอาชนะข้าศึกไดอ้ ย่างงดงาม
2. การยุทธทอี่ อสเตอลิตซ์ (Austerlitz)
การยทุ ธที่ออสเตอลิตซ์ (Austerlitz) (ค.ศ.1805) แควน้ Moravia austria (ปจั จบุ นั เปน็ เมอื ง Slavkov
ในเชกโกสโลวเกีย (Czechoslo vakia)ใกล้เมือง Brunn) เป็นการยุทธติดพันกับการยุทธที่อูล์ม (Ulm) เม่ือ
นโปเลียนเอาชนะกองทัพออสเตรียทั้งหมดได้แล้ว ก็รุกเข้าหากรุงเวียนนา(Vienna) อย่างเร่งรีบ เพื่อติดตาม

69

กองทัพของนายพลคูตูซอฟ (Kutusov) แต่ก็ไม่สามารถทำลายกองระวังหลังของรัสเซียได้ กำลังส่วนหน้าของ
นโปเลียนเขา้ กรุงเวียนนา (Vienna) เมือ่ 13 พฤศจิกายน 1805

กำลังท้งั สองฝ่ายไดเ้ คลือ่ นเข้าหากนั และวางกำลังทางตะวนั ตกของเมืองออสเตอลิตซ์ เมอื่ 1 ธนั วาคม
1805 ดังน้ี

ฝา่ ยฝรงั่ เศส
ทางปกี ซา้ ยสุดมีกองพล ร.ซูเซต์ (Suchet) ซ่งึ มีกองพล ร.คาฟฟาเรลลี (Caffarelli) อยขู่ ้างหลัง ถัดลง
ไปอีกเป็นกองทัพน้อยท่ี 1 แบร์นาดอตต์ (Bernadotte) 12,000 คน วางกำลังคร่อมถนนไป สู่เมืองบรืนน์
(Brunn) และกองพลถัดมาทางขวา มีกองพล ร.อูดิโนต์ (Oudinot) 6,000 คน กองทัพน้อยท่ี 5 ลานส์
(Lannes) กองทหาร รอ.เบสซิล (Bessieres) 5,300 คน กองทหารม้ามูร่าห์(Murat) 5,500 คน กองทัพน้อยที่
4 ซลู ต์ (Soult) 17,000 คน ประกอบดว้ ยกองพล ร.วานดามม์ (Vandamme) และกองพล ร.ฮิลแลร์ (Hilaire)
ทางขวาสุดมีกองพล ร.เลอกรองด์ (Legrond) 9,000 คน ทำการป้องกันท่าข้ามโซโกลนิตซ์ (Sokolnitz)และ
เตลนิตซ์ (Tellnitz) และกองทพั นอ้ ย ดาวตู ์ (Davout) 8,000 คน กำลังทั้งหมดของ นโปเลียน 74,800 คน
ฝ่ายพนั ธมิตร
กำลังของดอคตูรอฟ (Docturov) 8,500 คน อยู่ทางปีกซ้าย ถัดไปทางขวาและซ้อนกันทางลึก
แลนกริ อน (Langeron) 11,600 คน กองพล ม.ของ ลิชเทน สเตนทนิ ( Lichtenstein ) 4,600 คนกองทัพน้อย
Prcshibitschewski 13,800 คน กองทัพน้อยโกลโลวลาท (Kollowrat) 25,400 คน ทหาร ร.อ.คอนสเตนทิน
(Constantine) 8,500 คน และกองทัพน้อยแบกราตัน (Bagration) 13,000 คน ทางขวาสุดของขบวนกำลัง
ของฝ่ายพันธมติ ร รวมแล้ว 85,400 คน
การรบได้เริ่มขึ้นเมื่อกำลังของ Docturov และ Langeron เคลื่อนที่ไปยึดท่าข้าม Tellnit และ
Sololnit ในตอนเช้าของ 2 ธันวาคม ปรากฎว่ากองพลเลอกรองค์กับกองทพั น้อยท่ี 3ของดาวูต์ (Davout) ซึ่ง
เพงิ่ เคลอ่ื นย้ายจาก Raigern มาถึงชว่ ยกันตรงึ กำลงั ของพนั ธมติ รไวท้ ี่ท่าข้ามทั้งสองแหง่ ได้เมอื่ เวลา 09.30 น.
ท่ีเนนิ พราเซ่น (Pratzen) ย่านกลางของแนวรบ กองทพั นอ้ ยที่ 4 ของ ซูลต์ (Soult) ได้สง่ กำลงั เข้ายึด
ไว้ แตโ่ ดนกำลงั ของ Kollowrat ลอ้ มตรงึ อยทู่ ่ชี ายเนนิ ขณะเดียวกนั ทางใต้ของถนน Olmutz กำลงั ของแบร์นา
ดอตตแ์ ละบูร่า ไดป้ ะทะกับกำลงั ของคอนสแตนตนิ (Constantine) ซง่ึ มีทหารม้าลิซเซ่นสไตน์อยู่ทางขวา การสู้
รบได้ดำเนนิ ไปอย่างรุนแรง โดยมกี ำลงั ของคาฟฟาเรลลี เขา้ ตชี ่วยบา้ งด้านขวาของข้าศกึ ด้วย ทำให้ฝ่ายรัสเซีย
ต้องถอยเขา้ หาเมือง Krzenowitz เม่ือ 11.00 น.
ระหว่างเวลา 09.00-10.00 น. กำลังของ Bagration ได้รุกมาตามถนนโอลมูตซ์ (Olmutz) ไปสู่
เมืองบรืนส์ (Brunn) จึงปะทะกับกำลังของกองทัพน้อยลานซ์ซึ่งรุกมาข้างหน้าเหมือนกันการสู้รบไดด้ ำเนินไป
จนถงึ เวลา 12.00 น. ฝา่ ยพนั ธมิตรพยายามที่จะแยง่ ยึดเอาเนนิ Pratzen มาให้ได้ แต่ผลทสี่ ดุ ก็ตอ้ งถูกกำลัง
ของซูลต์ ตีแตกกลับไปอย่างยับเยิน ถอยเข้าหาเมือง Krzenowitz ทางด้านกลางตรงปีกของกองทัพน้อย
แบรน์ าดอตต์ เม่อื ได้รับการเพมิ่ เติมกำลังแล้ว ได้เขา้ ตีกองหนนุ ของนายพลคูตูซอฟ ท่ีส่งมาช่วยล่าถอยกลับไป
ฉะนัน้ แนวรบฝ่ายพนั ธมิตรตรงกลางจึงถูกเจาะ

70

ในตอนนี้กำลังของคอนสแตนตีนเริ่มถอนตัว และเมื่อ 17.00-18.00 น. Bagration ก็ต้องถอยเข้าหา
เมืองออสเตอลิตซ์ เพราะถกู โอบโดยกองพลทหารม้า Nansouty เม่อื เหน็ วา่ สถานการณ์ของแนวรบตอนกลาง
เป็นฝ่ายได้เปรียบนโปเลียนจึงให้กองทัพน้อยของซูลต์ไปช่วยโอบล้อมกำลังของDocturov, Langeron และ
Prschibitschewski ทางปีกซ้ายของฝ่ายพันธมิตร หลังจากที่ยึดเนิน Pratzen ได้แล้ว กำลังทางปีกซ้ายฝ่าย
พันธมติ รเหลา่ นี้จงึ ตอ้ งถกู ลอ้ มตัดเส้นทางถอยด้วยกำลงั 5 กองพล แม่น้ำ ลำธาร และหนองนำ้

การรบตลอดวันที่ผ่านมา ทำให้ฝ่ายพันธมิตรบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากจกั รพรรดิออสเตรียจึงได้สง่
นายทหารมาติดต่อขอเจรจายุตกิ ารรบ ตอน 04.00 น. วันที่ 3 ธันวาคม แตถ่ ูกนโปเลียนปฏเิ สธ และขอเลื่อนไป
เป็นวันท่ี 4 โดยหลังจากที่จะส่งกำลังไล่ติดตามข้าศึกให้ทันเสียก่อน ซึ่งไม่เป็นผล ข้าศึกได้ถอยหนีไปได้โดย
ปลอดภัย ในตอนบ่ายวันที่ 4 จงึ ไดม้ กี ารเจรจาสงบศกึ ทีก่ องบัญชาการของนโปเลียน การรบไดย้ ุตลิ งและมีการ
ทำสัญญาสนั ตภิ าพกนั ต่อมาทเี่ ปรสบรกู (Pressburg)

การยุทธที่ออสเตอร์ลิตซ์นี้ เป็นการยุทธที่โด่งดังการยุทธหนึ่งของนโปเลียน การที่พระองค์สามารถ
ดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างชาญฉลาด นโปเลียนไม่ได้เข้ายึดเนิน Pratzen แต่แรก เพราะจะทำให้ข้าศึกมุ่งทำการ
เข้าตีแย่งยึดเนินนี้ ซึ่งเป็นการเข้าตีตรงหน้า ผลการรบจะไม่เด็ดขาดเท่ากับการลวงให้ข้าศึกส่งกำลังเข้าเจาะ
แนวทางปีกขวาของตน ทม่ี กี ำลงั ยดึ รกั ษาทา่ ข้ามอยู่เพยี งหนึ่งกองพล เพอ่ื ท่ีจะโอบล้อมกำลังสว่ นใหญ่ตรงกลาง
ของนโปเลยี น ครั้งแลว้ นโปเลยี นจึงสง่ กำลงั ขึน้ ยึดเนิน Pratzen ภายหลงั ซงึ่ ทกุ อย่างได้เป็นไปตามแผน กำลัง
นโปเลียน 9 กองพลทางด้านนี้ สามารถโอบล้อมกำลังของฝ่ายพนั ธมิตรไวไ้ ดท้ ้ังหมด การรบตอนกลางและทาง
ปีกซ้ายของแนวกส็ ามารถเข้าตีให้ฝ่ายพันธมิตรตอ้ งถอยร่นไปหมดสิ้น ไมอ่ าจตา้ นทานได้ เพราะกำลังส่วนใหญ่
ถูกส่งไปถูกล้อมเสียทางด้านซา้ ย ฝ่ายพันธมิตรเสียชีวิตและบาดเจ็บ 15,000 คน ถูกจับเป็นเชลย 20,000 คน
ในการยทุ ธคร้งั น้ี

3. การยุทธทีว่ ากราม (Wagram)
การยุทธครั้งนี้เป็นการยุทธท่ี วากราม (Wagram) ค.ศ.1809 ใช้กำลังมากเป็นพิเศษ ฝ่ายฝรั่งเศสมี
กำลงั ถึง 188,000 คน เป็นกำลังรบทเี่ ข้าปฏิบตั กิ าร 165,000 คน ปนื ใหญ่ 488 กระบอกฝา่ ยออสเตรียมีกำลัง
158,000 คน ใช้ปฏิบัติการจริง 137,000 คน ปืนใหญ่ 446 กระบอก น้อยกว่าของ นโปเลียนเล็กน้อย กำลัง
ของฝ่ายออสเตรยี วางกระจายกนั อยู่จากแนวแม่น้ำดานูบ (Danube) ผา่ นลาดเนนิ ทิศใต้ วากรามยาว 15 - 20
ไมล์
การรบได้เริ่มขึ้นตอนเช้ามืด 6 กรกฎาคม 1809 โดยออสเตรียใช้กำลัง ทน.6 เคลเนา กับ ทน.3
โคลโลวแรต เขา้ ตปี กี ซ้ายของฝรั่งเศส ท่ี ทน.4 มาสเซนา วางกำลงั ต้ังรบั เปน็ แนวบาง ๆ อยู่ กำลงั สว่ นใหญ่ของ
มาสเซนาต้องถอยข้นึ ไปทางเหนอื และ พล.ร.บเู ดต์ (Boudet) ถกู ทน.โคลโลวแรต ตตี ดั ขาดจากกำลังส่วนใหญ่
ต้องถอยหนีไปทางใต้ของเมืองแอสเบิร์น (Aspern) เมื่อจวนละ 10.00 น. ทน.6 เคลเนา ก็ได้เข้ายึดเมือง
แอสเบริ น์ และเอสสลิง (Essling) ไว้
ทางปีกขวาของฝรั่งเศส นโปเลียนได้ให้ พล.ม.มองบรืนและกรูซี เข้าตีโอบปีกซ้ายของ ทน.4
โรเซนเบิร์ก พร้อมกนั น้ันไดใ้ ห้ ทน.3 ดาวูต์ เขา้ ตที างปกี ขวาและตรงกลางของ ทน.4 โรเซนเบิอร์กดว้ ย สามารถ
ยนั กำลงั ของดาวูต์ไว้ได้ แต่ตรงกลางต้องถอยไปขา้ งหลงั ทางเหนือ ทำใหเ้ กดิ ช่องโหวร่ ะหวา่ ง ทน.4โรเซนเบิอรก์

71

กับ ทน.2 โฮเฮนโซลเลิร์น แนวของ ทน.4 โรเซนเบิอร์กในตอนน้ี จึงหักตั้งฉากไปทางเหนือกับแนวของ ทน.2
โฮเฮนโซลเลิร์น นโปเลียนไดส้ ัง่ ให้กองพลทหารม้า 3 กองพล ที่รุกทางปีกขวานั้น ในบังคับบัญชาของดาวูต์ทำ
การรุกไลข่ า้ ศึกต่อไป

การเขา้ ตีของ ทน.แมคโดแนลด์ ไดถ้ ูกข้าศึกระดมยิงด้วยปนื ใหญอ่ ย่างหนกั และลม้ ตายลงจำนวนมาก
แต่ก็ยังคงบุกตะลุยต่อไป จนกระทั่งไปไม่ได้แล้วจึงหยุดลงเมื่อ 13.30 น. นโปเลียนจึงส่งกองพลทหารรักษา
พระองคไ์ ปเข้าตีชว่ ยแมคโดแนลด์ ถึงขั้นตะลุมบอนกันกับข้าศึก แล้วแมคโดแนลด์ก็กลับเริม่ เข้าตีต่อไปอีกจน
แนวตอนกลางของออสเตรียแตก ลิซเตนสไตน์ต้องสูพ้ ลางถอยพลาง พอถึงเวลา 15.00 น. ฝ่าย ออสเตรียก็ได้
ถอยออกจากแนวที่มั่นก่อนที่จะถูกทำลาย ฝรั่งเศสได้ไล่ติดตามไปอีกเล็กน้อยไม่ไกลนัก เพราะทหารบอบซ้ำ
และทรดุ โทรมมาก

เมื่อ 22.00 น. วันท่ี 6 กรกฎาคม 1809 การยุทธที่วากรามก็ได้ยุติลง โดย มาสเซนา รุกเข้ายึดแนว
โลริสดอร์-เลโอโปลเดา (Leopoldau) แมคโดแนลด์กับแบรน์ าดอตต์ ยึดไดเ้ กรสั เดอร์ฟ อดู โิ นตก์ ับดาวูต์ ยึดได้
แนววากราม-เฮลมาฮอฟ-บอคฟรูสส์ ฝา่ ยออสเตรียเสียทหารไปประมาณ 3,600 คน รวม 2 เท่าของฝรั่งเศส

การยุทธของนโปเลียนที่นำชัยชนะมาสู่พระองค์ในการยุทธที่วากรามน้ี เป็นการตัดสินพระทัย
วางน้ำหนกั การเข้าตีตรงหน้า ตอนกลาง ของแนวรบข้าศึกได้เปน็ การถูกต้องเหมาะสม ทง้ั น้ี หลังจากที่ทางปีก
ขวากำลงั ของฝร่งั เศสสามารถทำการรุกไล่ได้เปรียบข้าศกึ อยู่ ไมม่ อี ะไรต้องนา่ เปน็ ห่วง ส่วนทางปีกซ้ายก็ได้ให้
กำลังตรงึ ข้าศกึ ไวไ้ ดแ้ ล้ว การพจิ ารณาตกลงพระทัยแกไ้ ขสถานการณ์รบ โดยสง่ กองพลทหารรกั ษาพระองค์ไป
ช่วยเข้าตขี า้ ศกึ ตอ่ ไป ขณะที่ ทน.แมคโดแนลด์ หมดกำลงั ลงน้ัน กน็ บั ว่าพระองคท์ รงมีวิจารณญาณท่ีรอบคอบ
สุขุม และพระปรีชาสามารถ สมกับทรงเป็นผู้นำทัพอย่างยิ่ง หากพระองค์ไม่ทรงตัดสินพระทัยเช่นน้ัน
สถานการณ์อาจจะกลับจากการได้เปรียบเป็นเสียเปรียบโดยทันทีก็ได้ เพราะ ทน.แมคโดแนลด์อ่อนกำลัง
พร้อมทจ่ี ะถกู ตีโต้ตอบและกลับเปน็ ฝ่ายถอยเสียเอง

4. การยุทธทวี่ อร์เตอรล์ ู (Waterloo)
การยุทธที่วอร์เตอร์ลู (Waterloo) (ค.ศ.1815) เป็นการยุทธครั้งสุดท้ายที่จบชีวติ การทำสงครามของ
พระองค์ลงอย่างเศร้าสลด โดยที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อังกฤษ กับปรัสเซียอย่างยับเยิน และนโปเลียนไม่มี
โอกาสจะกลบั มาแก้ตวั อกี แล้ว เนอ่ื งจากได้ส้ินประชนม์ทเ่ี กาะเซนต์เฮเลนา (St. Helena) อีก 6 ปตี อ่ มา
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้นโปเลียนต้องพ่ายแพ้ยับเยินในการยุทธครั้งน้ี ก็คือ ลักษณะภูมิ
ประเทศและสภาพลมฟ้าอากาศ เอื้ออำนวยแก่การตั้งรับของฝ่ายอังกฤษ และเป็นอุปสรรคแก่การเข้าตีของ
ฝรัง่ เศส กำลงั ต้ังรบั ของอังกฤษจึงสามารถทำลายกำลงั ของฝร่งั เศสจนสับสนอลหม่าน และล่าถอยกลับฝรั่งเศส
อยา่ งสน้ิ หวัง

4.1 การวางกำลงั
กองทัพองั กฤษ - กำลงั 68,000 คน ประกอบด้วย 3 ทน. และ 1 พลน้อย ม. ทำการต้ังรับในที่

มั่นกองทัพปรัสเซีย - กำลง 90,000 คน ประกอบด้วย 4 ทน. อยู่ที่เมืองวาวร์ (Wavre) และแม่น้ำดีล (Dyle)
จะมาชว่ ยอังกฤษเมือ่ ถกู โจมตี

72

กองทัพฝรั่งเศส - กำลัง 72,000 คน (ไม่รวมถึงกำลังของกรูซี (Grouchy) ซึ่งกำลังไล่ติดตาม
กองทัพปรสั เซียของแมท่ ัพบลแู ชร์ (Blucher) อยู่ และขาดการตดิ ต่อกบั กำลังของฝรัง่ เศส) ประกอบดว้ ย ทน.1,
2 และ 6 กบั 2 พล.ม. 3 พล.ร.รักษาพระองค์ และ พล ม.รกั ษาพระองค์ เกรนาเดียร์ (Gralnadial) และทหาร
ม้าดรากูน (Dragoons) กำลงั ของฝรงั่ เศสตงั้ เผชญิ หน้ากับอังกฤษหน้าที่มัน่

4.2 แผนการรบ
นโปเลียน ได้พิจารณาตกลงใจว่าจะเข้าตีลวงที่คฤหาสน์เดอร์ฮูโกมองต์ (De hougomont)

กอ่ นแล้วจงึ จะเขา้ ตีหลักตรงกลางเพื่อเจาะแนวใหท้ ่ีมั่นดา้ นซ้ายและขวาขาดออกจากกนั และตที างปีกซ้ายของ
ข้าศึก เพอ่ื กนั ไม่ใหป้ รัสเซียเขา้ ชว่ ยอังกฤษ

ฝ่ายอังกฤษ ตั้งใจจะยึดที่มั่นไว้ให้ได้นานที่สุดจนกว่ากำลังของบลูแชร์ (Blucher) จะมาช่วย
เข้าตีทางขวาและทางหลังกำลังของฝร่งั เศส

4.3 การจดั รูปขบวน
อังกฤษ แบ่งที่มั่นออกเป็น 2 ด้าน ด้านขวาใช้กำลัง 31 กองพัน ด้านซ้าย 24 กองพัน โดยมี

ถนนเป็นเส้นแบ่งเขตแนวต่าง ๆ ซ่อนกำบังอยู่อย่างดีมองไม่เห็นข้างหลังทหารราบมีทหารม้าอยู่ทางซ้าย 17
กรม ทางขวา 9 กรม กองหนุนมี 12 พัน.ร. กับ 4-5 ร้อย.ม. อยู่ที่หมู่บ้านมองต์แซงต์จอง (Mont st. jean)
ทางปีกขวาของทมี่ ัน่ มีหน่วยอสิ ระหนว่ ยหนึง่ ยดึ อยู่

รูปขบวนในการเข้าตีของฝร่ังเศสนี้ ค่อนข้างจะซับซอ้ นและรวมกำลงั ไว้แน่นหนาอดั แอมาก ประหน่ึง
ว่านโปเลยี นไม่ทราบสถานการณ์ดีพอ หรือสถานการณ์ยังไม่กระจ่างชัด จงึ รวมกำลังไวเ้ ป็นปึกแผ่นก่อนสภาพ
อากาศในตอนน้นั ไม่ดี มฝี นตกใหญต่ ั้งแต่ 17 มิถนุ ายน 1815 ทำใหพ้ ้ืนดินและถนนเป็นโคลนไปหมด นโปเลียน
จึงต้องรออยจู่ นกระท่ังเวลา 11.00 น. จึงไดเ้ ริม่ ทำการเขา้ ตี

4.4 การยุทธ
การรบเปิดฉากขึ้นโดย ทน.2 เรลลี เข้าตีลวงต่อคฤหาสน์ตามแผนกลยุทธ์ของนโปเลียน แต่

เรลลใี ช้กำลงั มากเกินไปพยายามบุกข้ามเคร่ืองกีดขวางทอ่ี งั กฤษดดั แปลงไว้อย่างแข็งแรง ทำใหเ้ สยี กำลงั ไปมาก
แต่กเ็ ขา้ ยดึ ทีม่ ัน่ ไม่ได้ ขณะเดยี วกนั นัน้ จอมพลเนย์ (Ney) ได้รวบรวมปนื ใหญ่ 80 กระบอก ระดมยิงที่ม่ันของ
องั กฤษ เพ่ือเตรยี มให้ ทน.1 เขา้ ตีตรงกลางและด้านซ้ายของท่ีมน่ั ข้าศึกพอถงึ เวลา 12.00 น. ขณะท่ีนโปเลียน
จะเริ่มเข้าตีตรงกลางและด้านซ้ายของข้าศึก ก็เผอิญเห็นขบวนทหารโผล่ออกมาทางขวาของพระองค์ทาง
ซังลามแบรต์(ST-Lambert) จึงได้สั่งให้ พล.ม.โดมอนต์ (Domon) และ พล.ม.ซูแบร์วี (Subervie) ซึ่งเป็น
กองหนุนอยู่กลางขบวน เข้าตีไปทำการรั้งหน่วงไว้ ขบวนทหารที่นโปเลียนเห็นน้ี เป็นกำลัง 30,000 คน ทน.4
ของบูโลว์ (Bulow) แม่ทัพปรัสเซยี เดนิ ทางมาจากลิญ่ี (Liege) และจะเขา้ รบได้ในเวลา 1-2 ชม.

ครั้งเวลา 13.00 น. นโปเลียนก็ได้รับสั่งให้จอมพลเนย์ (Ney) ทำการเข้าตี จอมพลเนย์จัดให้
ทน.1 เดอเออลอน เขา้ ตดี ้วยกำลัง 4 กองพล กองพลละขบวนแต่ละกองพลจัดแถวกว้างและลึกจากการยิงของ
ปืนใหญ่ขณะท่ีทหารในแนวหน้าเทา่ น้ันทจ่ี ะสู้รบได้

พล.ร.1 Durvtte ได้รกุ เข้าหาหมู่บ้านปาเปลอตต์ (Papelotte) และลาเฮย์ (Lahaye) พล.ร.2
และ 3 รุกไปยังถนนโอเอง (Oang) ส่วน พล.ร.4 แยกกำลังไปยังลาเฮย์แซงต์ (Lahryesainte) 1 ขบวนกับตรง

73

กลางที่มั่นตั้งรับอีก 1 ขบวน ที่หมายเข้าตีเหล่านี้ล้วนแต่เป็นที่มั่นดัดแปลงไว้อย่างแข็งแรงทั้งน้ัน
ปนื ใหญ่ทำการยิงนำทหารราบท่ีเข้าตี และ ทน.ม.มลิ โฮด์ (Milhaud) กเ็ คล่ือนทต่ี าม ทน.1 ไปดว้ ย

ทหารฝรั่งเศสเคลื่อนที่เข้าหาที่มั่นทหารอังกฤษอย่างกล้าหาญ ทั้ง ๆ ที่ภูมิประเทศและรูป
ขบวนเข้าตไี มอ่ ำนวย ปนื ใหญห่ นว่ ยหนึ่งรีบเคลื่อนย้ายไปช่วยทหารราบ ตอ้ งติดหล่มจมโคลนอยใู่ นห้วย ทหาร
ม้าอังกฤษ 1 พล.น้อย จึงเข้าตะลมุ บอน ทำให้ทหารปืนใหญห่ น่วยนั้นแตกหนกี ระจัดกระจาย เป็นผลให้ทหาร
ราบต้องหยุดการรุกลงด้วย ฝรั่งเศสได้แก้ไขสถานการณ์โดยให้ พล.ม.มิลโฮด์ เข้าประจัญบานกับทหารม้า
อังกฤษ ตรงหน้า และ พล.ม.จัคคิโนต์ เข้าตีตลบหลัง ทหารม้าอังกฤษเสียทีล้มตายเกือบหมดกองพล ขณะท่ี
ฝรัง่ เศสก็เสยี หายไมน่ อ้ ย

ทน.1 D’ Erlon ไมส่ ามารถทำการเข้าตีใหพ้ ร้อมเพรียงกนั ได้ตอ่ ไป พล.ร.ตรงกลาง รกุ ล้ำหน้า
หน่วยอนื่ ข้ึนไปบนท่ีม่นั และขบั ไล่แนวปอ้ งกันข้างหนา้ ไปได้ แตแ่ ลว้ กถ็ กู แนวป้องกันที่ 2 ซึ่งซ่อนกำบังอยู่โอบ
ล้อมอย่างจู่โจม ทหารฝรั่งเศสถูกยิงล้มตายระเนระนาด จนต้องถอยหลังลงมาข้างล่าง การรุกทุกด้านได้
หยุดชะงักลง ขณะที่ทหารปรัสเซียได้มาเพิ่มกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ นโปเลียนจึงให้ ทน.6 โลบาว (Lobal) ไป
ต้านทานไว้ข้างหน้าปลางซีนัวต์( Plancenoit) เพื่อป้องกันปีกขวาของฝรั่งเศส เส้นทางส่งกำลังบำรุง และ
เสน้ ทางถอย สถานการณ์ 3 ชม.แรกของการรบ ไดเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ล่าวมาน้ี

พอถึงเวลา 15.00 น. จอมพลเนย์ไดป้ รบั รูปขบวนการเขา้ ตใี หม่ ทางฝา่ ยอังกฤษเห็นว่าฝร่ังเศส
ทุม่ นำ้ หนักการเขา้ ตีทต่ี รงกลางและดา้ นซ้ายของทีม่ ่ันจึงย้ายเอากำลัง 20 พนั .ร. จากด้านขวามาเสริมในการเข้า
ตีช่วงท่ี 2 ทน.1 เดอเออลอง ทำการรุกไปเข้าตีลาเฮย์แซงต์และปาเปลอตต์ ได้ ทน.2 ทำการเข้าตีคฤหาสน์
ต่อไป แต่ก็ตีไม่ได้ ทหารเสียชีวิตไปเป็นอันมาก นโปเลียนจึงให้ปืนใหญ่ระดมยิง เผาคฤหาสน์ทิ้งเสีย การรบ
ทางด้านนี้จึงเปน็ การยิงใส่กันด้วยปืนใหญ่ ส่วนทางด้านหลังของขบวนรุกของฝรั่งเศส ทน.6 ของโลบาวได้ถูก
กำลังของฟอนบูโลว์ (Bulow) เข้าตีจนต้องถอยออกมา นโปเลียนจึงส่ง พล.รักษาพระองค์ไปช่วย 1 กองพล
ทำให้สามารถตา้ นทานทหารปรสั เซยี ไว้ได้

เมื่อเวลา 17.00 น. ฝรั่งเศสสามารถยึดพื้นที่เข้าตีบางส่วนไว้ได้ และสามารถขับไล่ทหาร
อังกฤษที่พยายามตีโต้ตอบกลับไปได้ นโปเลียนไดเ้ ร่งเขา้ ตีท่ีมั่นอังกฤษ ให้เป็นผลสำเร็จก่อนที่ ทน.อื่น ๆ ของ
บลูแซร์จะมาถึง พระองค์ได้ให้ พล.ม.มิลโฮด์ บุกขึ้นไปบนเนินสูง เป็นการช่วยการเข้าตีของจอมพลเนย์
ทหารม้าเกือบทั้งหมดที่กองทัพน้อยมีอยู่ ได้เข้าตีอย่างรุนแรง จนแนวหน้าของอังกฤษแตก แต่แล้วก็ถูกแนว
หนุนกับแนวหน้าที่ถอยร่นไปยิงต่อสู้อย่างทรหด จน ทน.ม.มิลโฮด์ต้องถอยกลับมารวมพลจัดรูปขบวนใหม่
ท่ามกลางการระดมยงิ ของทหารอังกฤษ

คร้นั นโปเลียนไดท้ ราบเหตกุ ารณด์ ังกล่าว จงึ ส่ง ทน.ม.เคลเลอมานน์ ขึ้นไปช่วย ทน.ม.มลิ โฮด์
โดยมี พล.ม.รักษาพระองค์ตามไปเป็นกองหนุน แต่กลับขึ้นไปถึงแนวรบหน้า และเข้ารบกับเขาด้วย ทหารม้า
ฝรั่งเศส ประมาณ 10,000 คน ได้เข้าประจัญบานกบั ทหารอังกฤษจนแตกกระจายไป อังกฤษเสียปืนใหญ่ไป
60 กระบอก แต่ทหารมา้ ฝรงั่ เศสก็ล้มตายเป็นจำนวนมากและยดึ พนื้ ทไี่ มไ่ ด้ เพราะไมม่ ที หารราบ

ระหว่างน้ี ทหารปรัสเซียได้เข้ามาเพ่ิมมากขนึ้ ทกุ ที ทางซงั ต์ลามแบร์ต (ST-Lambert) 2 ทน.
กับทางถนนโอเอง 1 ทน. รวมเป็น 90,000 คน เม่ือรวมกับทหารอังกฤษ 68,000 คน (ยงั ไมไ่ ด้หักท่สี ญู เสยี ) จึง

74

เป็น 158,000 คน มากกว่าทหารฝรั่งเศสมากมาย แต่ถึงกระนั้นนโปเลียนก็ไม่ย่อท้อ พยายามจะนำกองพล
รักษาพระองคเ์ ข้าประจัญบานด้วยพระองค์เอง แต่จอมพลเนย์ได้รับอาสานำกำลงั เข้าประจัญบานเอง โดยพุง่
เขา้ ตะลุมบอนตรงกลางแนวต้ังรบั บนเนินขององั กฤษทหารรักษาพระองค์ไดร้ ุกฝ่ากระสนุ ท่ยี งิ กราดลงมาขึ้นเนิน
ไปด้วยความกล้าหาญ จนเข้าไปใกลท้ หารอังกฤษ 50 เมตร จะเข้าตะลุมบอน ทหารอังกฤษในทีก่ ำลังได้ระดม
ยิงอย่างหนักตลอดแนว ทำให้ทหารรักษาพระองค์ตายเกลื่อนจนต้องถอยกลับไปรวมกำลังใหม่ แล้วเข้า
ประจญั บานเป็นโอกาสสดุ ทา้ ย คราวนต้ี ้องลม้ ตายเกือบหมดทง้ั กองพล ขา่ วการแตกพ่ายเขา้ ตไี มส่ ำเร็จของกอง
พลรักษาพระองคท์ ี่เก่งฉกาจไมม่ หี น่วยไหนเทียบเท่า ไดท้ ำใหข้ วญั ทหารในกองทัพฝรั่งเศสเสยี ไปท่ัว

ขณะนี้กองทัพฝรั่งเศสได้รุกทะลวงเข้ามาตรงปีกรอบต่อของ ทน.1 เดลเออลอน กับ ทน.6
โลบาว ประกอบกับทหารรักษาพระองคก์ ็แตกถอยไปแล้ว เวลลงิ ตัน แมท่ ัพอังกฤษจึงให้กองทพั ของตนทำการ
รุกตลอดแนวเข้าตีเอาพื้นที่ซึ่งถูกยึดไปกลับคืน ฝ่ายฝรั่งเศสเสียกำลังใจอยู่แล้ว จึงถูกตีแตกไม่เป็นขบวน ต้อง
แตกกระจายถอยลงมาเรื่อย ๆ เหลือแต่ทหารรักษาพระองค์เท่านั้นที่ยอมสู้ตาย แต่ก็ถูกทหารอังกฤษ บดขย้ี
ละลายไป ฝ่ายองั กฤษได้ไลต่ ิดตามทหารฝร่งั เศสที่ถอยอยา่ งไม่ลดละ จนในทีส่ ุดทหารราบ ทหารมา้ และทหาร
ปนื ใหญ่ ได้ปะปนกันสบั สนอลหม่าน ตา่ งวง่ิ หนเี อาตวั รอดเตลิดเปิดเปิงลงไปยงั เมืองเกนแนป (Genappe) ทางใต้
ตอน 20.00 น. แล้วก็ถูกทหารอังกฤษไล่ตามไปตีอีก ต้องถอยเรื่อยไปจนเข้าประเทศฝรั่งเศส การยุทธครั้งน้ี
ฝรง่ั เศสเสียทหารไป 25,000 คน รวมท้งั ถกู จบั เป็นเชลย 6,400 คน ปนื ใหญ่ 250 กระบอก อังกฤษเสียทหาร
13,000-14,000 คน ปรสั เซยี เสียทหาร 7,000-8,000 คน

เมอ่ื นโปเลยี นเหน็ วา่ ไมส่ ามารถควบคุมกองทพั ของพระองคไ์ ว้ได้อกี แลว้ จงึ เสดจ็ กลบั ฝร่ังเศส
ถงึ ปารสี เมือ่ 21 มถิ นุ ายน โดยมีกองทัพปรัสเซียของบลแู ชร์ตดิ ตามเขา้ มาในฝร่งั เศส ดาวตู ์ (Davout) เสนาบดี
กลาโหมขณะน้นั ได้รวบรวมกำลังต้านทานกไ็ ม่สำเร็จ รฐั บาลฝร่งั เศสยอมลงนามในสัญญากรุงปารีสให้แก่ฝ่าย
พนั ธมติ ร เมื่อ 3 กรกฎาคม ปีนนั้ เอง นโปเลียนถูกบงั คับให้สละราชสมบัติเปน็ ครง้ั ท่ี 2 และถูกส่งไป กักขังไว้ที่
เกาะเซนตเ์ ฮเลนา (Saint Halena) ตอ่ มาอีก 6 ปี พระองคก์ ็ส้ินพระชนม์ เมอื่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2364 (1821)

4.5 บทเรียนจากการยุทธ
นโปเลียนไม่ได้ไปตรวจการรบที่สำคัญในยุทธบริเวณ ทำให้พิจารณาสั่งการได้ไม่ถูกต้อง

เหมาะสม จะคดิ ว่าในตอนนีน้ โปเลียนไม่แข็งแรงและเข้มแข็งเหมือนแตก่ อ่ นก็ไม่ถกู นกั เพราะนโปเลยี นเพ่ิงอายุ
ได้ 46 ปเี ท่านั้นการตดิ ตอ่ ส่อื สารไม่ดแี ละล่าชา้ กองทพั นอ้ ยเสียเวลาในการเคล่อื นย้าย และกำลังส่วนใหญไ่ มไ่ ด้
รับข่าวจากกองทัพที่แยกไปปฏิบัติการ ทน.1 เดอเออลอง ได้รบั คำสัง่ จากนโปเลียนใหไ้ ปชว่ ย โดย จอมพลเนย์
ไม่ทราบจึงสั่งให้ ทน.1 กลับไปเพราะนโปเลียนมอบ ทน.ให้อยู่ในบังคับบัญชาของจอมพลเนย์แล้ว นโปเลียน
อาจส่ังใช้ ทน.ได้ แต่ต้องใหจ้ อมพลเนยท์ ราบดว้ ยนโปเลยี นวางน้ำหนักในการใชก้ ำลงั ผดิ พลาดในการรบที่ลิกนี
(Ligny) และควาเตอร์-บราส์ (Quatre bars) ระหว่าง 15-16 มถิ นุ ายน ซึ่งควรให้ ทน.เดอเออลอง รวมกำลงั กบั
ส่วนใหญ่ตีกองทัพปรัสเซยี ให้แตก จึงเป็นผลให้การยุทธท่ีวอร์เตอร์ลนู ้ีต้องพ่ายแพ้ เพราะกองทัพ บลูแชร์ของ
ปรสั เซยี ไดย้ ้อนกลับมาช่วยองั กฤษรบจนได้ชยั ชนะ นอกจากนี้ การเขา้ ตีคฤหาสน์ก็ใช้กำลังมากไป เพราะเป็น
เพียงการเข้าตีลวง การเข้าตีทีม่ ั่นตรงกลางที่แขง็ แรงโดยจอมพลเนย์ก็เป็นการตีผิดด้านจอมพลเนยไ์ ม่ได้รีบส่ง
ข่าวผลการรบย่อยท่ี ควาเตอร-์ บราส์ ให้นโปเลียนทราบโดยเร็วเป็นผลใหน้ โปเลยี นพิจารณาดำเนิน กลยุทธ์ได้

75

ไม่ทันกับสถานการณ์เม่อื ตีปรัสเซียแตกที ลกิ นี (Ligny) แล้ว นโปเลยี นไม่ได้ไล่ติดตามกองทัพบลูแชร์โดยทันที
จึงไม่ทราบเส้นทางถอยของบลูแชร์ ครั้งเมื่อกองทัพกรูซีไล่ติดตามไปก็ไปผิดทาง แทนที่จะตามไปทางเมือง
วาฟร์(Wave) ทีบ่ ลูแชรถ์ อย กลบั ไปเสยี ทางเจิมโลช์ (Gembloux) กำลงั กรชู ที ไ่ี ล่ตดิ ตามก็มากไป ทำให้ไปได้ช้า
ไมท่ ันทจี่ ะไปขดั ขวางไมใ่ ห้บลูแชรย์ ้อนกลับมาสมทบกับเวลลงิ ตันท่วี อร์เตอรล์ ูได้การขา่ วไมด่ ี ท้ังข่าวข้าศึกและ
ข่าวของฝรั่งเศสเองกำลังใจของทหารเป็นปัจจัยที่จะทำให้แพ้หรือชนะได้ ในตอนแรกของการยุทธทหาร
ฝรง่ั เศสมีขวญั ดี กำลังใจฮกึ เหิม จึงเกอื บจะเข้าตีให้อังกฤษถอยออกจากท่ีมั่นทงั้ หมดได้ แต่ในตอนหลังท่ีทหาร
รักษาพระองคเ์ ข้าตีที่มัน่ อังกฤษล้มเหลว และเสียหายอย่างหนกั ทำให้ทหารหน่วยอ่ืนเสียขวัญไปหมด เพราะ
คิดว่าขนาดทหารรักษาพระองค์ซึ่งเหนอื ชั้นกว่าทหารหน่วยรบอื่น ๆ ยังตีไม่สำเร็จ หน่วยอื่นจะตีให้สำเร็จได้
อย่างไร การของเขา เม่อื 15 มถิ ุนายน นบั วา่ เป็นประโยชน์แกฝ่ า่ ยองั กฤษอย่างมาก ทส่ี ามารถลว่ งรถู้ ึงแผนการ
ยุทธของนโปเลยี น ขณะที่นโปเลียนตอ้ งแสวงหานายทหารท่ีสามารถมาแทน ซึ่งยุ่งยากและอาจไมส่ ามารถดีพอ
เทา่ คนเก่าก็ได้

5. หลักการทำสงครามของนโปเลียน
หากจะทำการศกึ ษาถึงการยุทธต่าง ๆ ของนโปเลียนอย่างพินิจพเิ คราะห์แลว้ จะพบว่า นโปเลียน

จะปฏิบัติ คือ 1. ทำการเป็นฝ่ายรุกอยู่เสมอ 2. บุกเข้าหาข้าศึกด้วยความรวดเรว็ เพื่อประหยดั เวลาและเป็น
การจู่โจมทางยทุ ธศาสตร์ 3. รวมกำลังให้เหนือกวา่ ขา้ ศึกในสนามรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือจะต้องทำการเข้าตี
แตกหกั และ 4. คำนึงถึงระบบการป้องกันหรอื ตง้ั รับอยา่ งรอบคอบ

นโปเลียนใชห้ ลกั การสงครามสำคญั ๆ ดงั น้ี
1. การรุก นโปเลียนกล่าวว่า “การปล่อยให้เป็นฝ่ายถูกเข้าตี นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่

หลวง” และ “ในตอนเร่ิมการยุทธ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะทำการรุกหรือไม่ แต่เมื่อทำการรุกแล้ว ก็
ต้องบุกเข้าไปจนถึงทส่ี ุด” ในการยทุ ธท่อี ลู ์ม เมือ่ 17 ตุลาคม ค.ศ.1805 พระองค์ได้ส่งสารไปถึงนายพลมรู าต์ว่า
“ขา้ พเจา้ ขอแสดงความยนิ ดีแก่ทา่ นในความสำเร็จท่ีไดร้ ับ แตอ่ ย่าหยุดเสียละ จงไล่ติดตามข้าศึก เอาดาบของ
ทา่ นทมิ่ แทงหลงั ของเขา และตัดการตดิ ต่อสอื่ สารท้ังหมด”

2. ความคลอ่ งแคลว่ ความรวดเร็วในการเคลื่อนย้าย เปน็ ปัจจัยสำคัญในการทำสงครามนโปเลียน
พระองค์เดนิ ทัพด้วยความรวดเร็ว รอบคอบ สุขมุ นโปเลยี นไดก้ ล่าวไวว้ ่า “ชยั ชนะย่อมเป็นของกองทัพทด่ี ำเนนิ
กลยุทธ์” ความล่าช้าของแม่ทัพใต้บังคับบัญชาที่ไลปซิกและลิกนี เป็นเหตุให้นโปเลียนต้องแพ้การยุทธท่ี 2
เมืองนี้ ทหารของนโปเลียนได้กล่าวในระหว่างการยุทธที่อูล์มว่า “จักรพรรดิได้ทรงค้นคว้าพบวิธีทำสงคราม
แบบใหมพ่ ระองคใ์ ช้ขาของเราแทนที่จะเป็นดาบปลายปืน”

3. การจโู่ จม เกอื บทุกครง้ั ท่นี โปเลียนทำการจโู่ จม เปน็ การจู่โจมทางยทุ ธศาสตร์ เช่น ในการยุทธท่ี
มาเรงโก (Marengo) (ค.ศ.1800) อูล์ม (Olm) (ค.ศ.1805) เจนา (Jena) (ค.ศ.1806) และในตอนต้นของการ
ยุทธท่ี วอร์เตอร์ลู (Waterloo) นโปเลียนได้เขียนไว้เม่ือ 7 มกราคม ค.ศ.1814 ว่า “ยุทธศาสตร์เป็นศิลปะใน
การใช้เวลาและพื้นที่ให้เป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าระมัดระวังในเรื่องหลัง (พื้นท่ี) น้อยกว่าเรื่องแรก (เวลา) เรา
สามารถจะเอาพน้ื ทกี่ ลบั คนื มาได้ แตจ่ ะไม่อาจเอาเวลาทเ่ี สยี ไปกลบั คืนมา”

76

4. การรวมกำลัง เมือ่ จะตอ้ งทำการยุทธแตกหกั นโปเลยี นจะตดั การยุทธรอง ๆ ไปทงั้ หมด เพอ่ื รวม
กำลงั ใหไ้ ด้มากที่สุดเทา่ ท่ีจะมากได้ พระองค์ทรงกล่าวว่า “ศลิ ปะในการวางกำลังทหาร เปน็ ศลิ ปะการสงคราม
จงวางกำลังกระจายออก ใหส้ ามารถรวมกันได้ภายในเวลา 2-3 วนั ไม่ว่าข้าศึกจะทำอะไร” การรวมพลเปน็ การ
รวมกองทัพนอ้ ย หรอื กองพลในพืน้ ท่ีการยทุ ธ แต่การรวมกำลงั กำลงั หมายถึงการรวมกำลงั กองทัพในสนามรบ
ความสามารถในการรวมกำลังไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง อาจทำให้ฝ่ายเสียเปรียบเอาชนะข้าศึกทีไ่ ด้เปรียบแต่รวมกำลัง
ไมไ่ ด้กไ็ ด้

5. การตั้งรับ นโปเลียนถูกบังคับให้ทำการตั้งรับทางยุทธศาสตร์หลายครั้ง เนื่องจากมีกำลังน้อย
กว่าข้าศึก ถึงกระนั้นก็ตาม พระองค์ก็ยังเดินทัพอย่างรวดเร็วและทำการเข้าตีอย่างรุนแรงด้วย ในการยุทธ
เหล่านัน้ นโปเลยี นทรงอธิบายในเรอ่ื งน้วี ่า “ศลิ ปะการสงครามทง้ั มวล ยอ่ มรวมอยู่ในการตัง้ รับ ด้วยเหตุผลท่ีดี
และรอบคอบ ติดตามด้วยเข้าตีอย่างรวดเร็ว และกล้าหาญ” นโปเลียนจงเกลียดจงชังการทำสงครามอยู่กับที่
เป็นอย่างมาก ตามที่พระองค์กล่าวว่า “ศิลปะการสงครามนั้นเป็นความจริงที่ว่า ผู้ที่มัวแต่อยู่ในสนามเพลาะ
ยอ่ มจะถกู ตพี า่ ยไป ประสบการณแ์ ละทฤษฎกี เ็ ป็นไปตามทกี่ ล่าวน้ี”

เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นความรอบรู้ในศิลปะการสงคราม หรือความสามารถในการ
ดำเนินกลยุทธ์ นโปเลียนมีคุณลักษณะส่วนพระองค์ที่โดดเด่นอยู่ประการหนึ่ง คือ ความเป็นผู้นำในการทำ
สงครามท่ดี ีคนหนึง่ ในประวัติศาสตร์

77

คำถามทา้ ยบทท่ี 2
ประวตั ศิ าสตรก์ ารสงครามสากล

1. พระเจ้าอเลก็ ซานเดอร์ (ที่ 3) มหาราช (Alexander the great) กษตั รยิ แ์ หง่ มาเซโดเนีย
(Macedonia) พระองค์ทรงเปน็ พระราชโอรสของใคร

2. เมอื่ พระชนมายุไดเ้ พียง 16 พรรษา กไ็ ด้ทรงนำกำลังเข้าปราบพวกชาวเขาแล้ว พระองคท์ รงสนใจ

และศึกษาจิตวิทยา อาวุธ และวธิ ีทำสงครามของศัตรู จงอธบิ ายหลักการทำสงครามทงั้ 2 ดา้ นของ
พระองค์มาพอเข้าใจ
3. จงอธิบายการจัดรปู ขบวนแบบฟาลงั ซ์ (Phalanx) ของพระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์ มาพอเขา้ ใจ
4. ถ้าจะศกึ ษาเส้นทางรกุ ของพระเจา้ อเล็กซานเดอร์ เปน็ การเดินทัพในลกั ษณะใด
5. เจงกีสข่านประสตู เิ มือ่ ปี พ.ศ. 1710 หรอื อกี ช่อื คือ “เตมูจิน” แปลว่าอะไร
6. เจงกสี ข่านไมไ่ ดร้ บั การศกึ ษา ไม่รูห้ นังสือ ไมเ่ คยอ่านหนังสือ ไม่เคยเป็นลูกศษิ ยข์ องขนุ พลใด และ
ไม่เคยมีอาจารยส์ อนพเิ ศษให้ แต่สามารถขยายอาณาเขตใหก้ ว้างไกลออกไปได้ เพราะเหตใุ ด
7. ก่อนท่ีจะเปิดฉากการบกุ ประเทศใด เจงกสี ข่านจะสง่ หนว่ ยใดเขา้ ไปกอ่ นเป็นอนั ดบั แรก
8. กำลงั หลกั ของกองทพั มองโกลซง่ึ โดยธรรมดาจะมีกำลังเปน็ ตวั มาน (Touman) อยากทราบวา่ หนว่ ย
ขนาดกองพล 1 ตัวมาน จะมกี ำลงั เท่าใด
9. นโปเลียน โบนาปารต์ เขา้ ศกึ ษาท่ีโรงเรยี นนายร้อยทหารบกที่กรงุ ปารีส (The military academy
of Paris) (ค.ศ. 1784) จนกระท่งั สำเร็จออกรบั ราชการ สังกัดเหล่าใด
10. การเลอ่ื นยศให้ นโปเลียน จากนายร้อยเปน็ นายพล มาจากเหตุการณส์ ำคญั ใด

78

บทที่ 3

สงครามโลก ครง้ั ที่ 1
( ค.ศ.1914 – 1918 )

สงครามโลก (The world war) ครั้งที่ 1 ซึ่งเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1914 นี้ เป็นสงครามที่ยุ่งยาก
สลับซับซ้อน เพราะเปน็ การสรู้ บกนั ระหว่างกลุ่มประเทศสองฝา่ ย ซ่งึ เก่ียวขอ้ งไปถึงประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรป ผิด
กับสงครามในปี ค.ศ.1810 ระหว่างปรัสเซียกับฝรั่งเศส สมัยนโปเลียน โบนาปาร์ต ที่จำกัดคู่สงครามอยู่แต่
เฉพาะสองประเทศ การสรู้ บจึงจบลงโดยง่ายไม่ยุ่งยาก สงครามโลกครั้งท่ี 1 น้ี ไดม้ ผี ลกระทบต่อยุโรปทั้งทวีป
ฝ่ายพันธมิตรอังกฤษกับฝรั่งเศสมีความยุ่งยากสับสนมากกว่าเยอรมันกับออสเตรีย ที่อยู่ตรงกลางทวีป 2
ประเทศ และเพราะว่าฝ่ายพันธมิตรอังกฤษกับฝรั่งเศสต้องทำสงครามด้วยยุทธศาสตร์ทางเส้นนอก จึงอาจ
กล่าวได้วา่ ไมม่ นี โยบายที่สอดคลอ้ งเห็นชอบรว่ มกนั ระหวา่ งทกุ ประเทศที่เป็นฝ่ายเดียวกัน นอกจากฝร่งั เศสกับ
อังกฤษเทา่ นนั้ แต่ถงึ กระนัน้ ฝรง่ั เศสกบั องั กฤษกไ็ มม่ ีทัศนะทางการเมืองร่วมกันอย่ดู ี

ด้วยเหตุนี้ ตลอดระยะเวลาของสงครามจึงขาดเอกภาพในการบังคับบัญชา อันเนื่องมาจากขาด
เอกภาพของนโยบาย เมื่อ 26 มีนาคม ค.ศ.1914 พลเอก เฟอร์ดินันด์ ฟอค (Gen. Ferdinand Foch) ได้รับ
การแต่งตั้งใหป้ ระสานการปฏิบตั ขิ องกองทพั ฝา่ ยพนั ธมติ รดา้ นตะวันตก ซง่ึ พอถึงวนั ที่ 1 กรกฎาคม 1914 ท่าน
ก็ต้องเข้าประสานงานกองทัพทั้งหมด ทั้งด้านตะวันตก ตะวันออก และใต้ โดยมีอำนาจหน้าที่อย่างจำกัด
บรรดาแมท่ พั ต่าง ๆ ไมย่ อมปฏบิ ัตติ ามคำส่งั ในบางคร้ัง

1. แผนการสงคราม
ใน 4 สิงหาคม ค.ศ.1914 เยอรมนั น่าจะเปน็ ฝ่ายชนะถึง 10 ต่อ 1 แตใ่ น 5 สัปดาห์ หลงั จากสงครามได้เร่ิมข้ึน
ทั้งสองฝา่ ยต่างก็พ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ดว้ ยกนั ตอนเร่ิมสงคราม กำลังของเยอรมันกบั ออสเตรีย อยู่ตรงกลาง
รายล้อมไปด้วยกำลังของรัสเซีย(Russia)ทางตะวันออก ฝรั่งเศส (France) อังกฤษ (Britain) และเบลเยี่ยม
(Belgium) ทางตะวันตก และเซอรเ์ บยี (Serbia) ทางใต้

- เยอรมันกับออสเตรยี มกี ำลัง 158 กองพล
- รสั เซยี มกี ำลงั 150 กองพล
- ฝรงั่ เศส องั กฤษ และเบลเยย่ี ม มีกำลงั 87 กองพล
- เซอร์เบยี มีกำลงั 12 กองพล
จะเห็นได้ว่าฝ่ายเยอรมันเสียเปรียบในด้านกำลังพล (บางหลักฐานบอกว่า ตอนเริ่มสงครามฝ่าย
เยอรมันมีกำลัง 11,000,000 คน พันธมิตร 9,500,000 คน ฝ่ายเยอรมันมีอาวุธดีกว่าการฝึกและขวัญดีพอๆ
กัน) แต่โดยท่ีสามารถใช้ยทุ ธศาสตร์ทางเส้นในได้ ขณะทีฝ่ า่ ยข้าศกึ ต้องใชย้ ุทธศาสตรท์ างเส้นนอก ฝา่ ยเยอรมัน
จงึ สามารถจะรวมกำลงั เลอื กเขา้ โจมตกี ำลังส่วนใดๆ ของขา้ ศึกได้ โดยตรึงกำลังขา้ ศึกสว่ นอ่ืน ๆ ไว้ก่อน

79

เยอรมนั (German)
นายพล อัลเฟรด ฟอน ชลิฟเฟน (Alfred von Schlieffen) ได้เขียนแผน Schlieffen เมื่อ 1906 ผู้

บัญชาการฝ่ายเยอรมัน ทราบว่ารัสเซียจะระดมพลได้ช้ากว่าฝรั่งเศสมาก และคาดได้ถูกต้องวา่ ฝร่ังเศสจะรวม
กำลังส่วนใหญ่ไว้ในแนว เมซิแยร์เอปีนัล (Mexieres-Epinal) จึงตัดสินใจให้กำลัง 10 กองพลของกองพลที่ 8
กับกำลังในท้องถิ่นไปต้านรัสเซียทางปรัสเซียตะวันออก ส่วนกองทัพออสเตรียเคลื่อนกำลังเข้าในดินแดน
Galicia แล้วใช้กำลงั 7 กองทัพเข้ารบกับฝรง่ั เศสในแนว เครเฟลด์-มลั เฮาเซนิ (Krefeld-Mulhausen) โดยให้
กองทัพที่ 1 ถึง 5 อยู่ทางขวาเหนือเมือง Metz กองทัพที่ 6 และ 7 อยู่ทางซ้ายใต้เมือง Metz ชลิฟเฟนวาง
แผนให้กองทัพที่ 6 และ 7 ทางซ้ายยนั ฝรง่ั เศสไว้ แล้วจงึ ถอยรน่ ให้ข้าศึกรุกตามไป ขณะที่ทางปีกขวาเยอรมัน
จะใชเ้ มอื ง Metz เป็นดมุ ในการรกุ ผ่านลกั ซเ์ ซมเบอรก์ (Luxembourg) เบลเยย่ี ม (Belgium) และเนเธอร์แลนด์
(Nentherland) แลว้ เลีย้ วกลับลงทางตะวันออกเฉียงใต้มุ่งไปทางตะวนั ตกของกรุงปารสี จากน้นั จะใหร้ กุ ตอ่ ไป
ทางตะวันออกเขา้ ข้างหลังกองทพั ฝร่ังเศสที่สู้รบอยู่กับปกี ซ้าย แล้วเข้าตีฝรั่งเศสให้ถอยเข้าไปในเยอรมันและ
สวิสเซอร์แลนดเ์ รยี กแผน ชลีฟเฟน (Schlieffen Plan ) ออสเตรยี รว่ มมอื กบั เยอรมนั โดยส่ง 3 กองทัพสกดั ก้ัน
กำลงั โปแลนด์ของรัสเซีย กบั อีก 3 กองทัพ กำลังพลนอ้ ยกวา่ เข้าโจมตเี ซอร์เบีย

ฝรั่งเศส (France) แผนการสงครามของฝรั่งเศสให้ช่ือว่า แผน 17 (Plan XVll) เขียนโดย Joffre เป็น
แผนทใ่ี ชส้ มมุติฐาน 2 ประการ คือ

1. เยอรมันไม่เอากำลังสำรองเข้าทำการรบในตอนแรกด้วย กำลังทางปีกขวาของเยอรมันจึงไม่
แข็งแรงพอทจ่ี ะรุกผ่านเบลเย่ยี ม พรอ้ ม ๆ กบั การรุกผ่านโลเรียน (Lorraine)

2. ฝรั่งเศสน่าจะต้านทานการเข้าตีของฝา่ ยเยอรมันได้ยาก จึงจำเป็นตอ้ งวางกำลังระหว่าง เมซิแยร์
(Mezieres) กับ อีไปนัล (Epinal) ไว้โจมตีเยอรมันตามกึ่งกลางแนวรบ แล้วทำลายการติดต่อสื่อสารของ
เยอรมันใน Lorraine ใหเ้ ปน็ อัมพาตไป

อังกฤษ (Britain) องั กฤษทำสงครามชว่ ยฝร่งั เศสด้วย 4 กองพลทหารราบ กบั 1 กองพลทหารม้า ไมไ่ ด้
ทำการปดิ กั้นกองเรือของเยอรมัน เพียงแต่ยดึ สนิ ค้าตอ้ งห้าม ตามกฎหมายการเดนิ เรอื ทะเลเทา่ นัน้

รัสเซีย (Russia) รัสเซียเรียกระดมพลจัดกำลังเป็น 8 กองทัพ 2 กองทัพเคลื่อนที่เข้าหาปรัสเซีย
ตะวนั ออก 4 กองทัพเคลอื่ นที่เขา้ หาออสเตรีย และอีก 2 กองทัพทำการระวังปอ้ งกันทางปีกและชายฝั่งทะเลดำ
โดยตง้ั กองบัญชาการที่ เซน็ ท์ ปเี ตอร์เบอรก์ (St.Petersburg) และโอเดสซา่ (Odessa) สว่ นแผนของเบลเย่ียม
(Belgium) และเซอร์เบยี (Serbia) มงุ่ ท่จี ะต้งั รบั อย่างเหนยี วแนน่
2. การยทุ ธหลกั ในยุโรป

การยุทธได้เปิดฉากขึ้นหลายยุทธบริเวณพร้อมกัน โดยมีผลในขั้นต้นดังน้ี ฝรั่งเศสถูกเยอรมันโจมตี
เสยี หายในการปะทะกนั ครั้งแรกทางแนวรบด้านตะวนั ตก แต่แลว้ ได้รวมกำลังกันสรู้ บอีกทำให้แผนของเยอรมัน
ในด้านนี้ไม่บรรลุผลทางด้านตะวนั ออกตอนเริ่มตน้ เยอรมันตกอยู่ในอันตรายอยา่ งมากแต่ก็จบลงด้วยชัยชนะ
ทางยุทธวิธี การโจมตีเซอร์เบียโดยออสเตรียต้องล้มเหลว เพราะการปฏิบัติอย่างผิดพลาด การยุทธระหว่าง
รสั เซยี กบั ออสเตรยี ไม่มผี ลเด็ดขาด จากความลม้ เหลวและความสำเร็จในยุทธบริเวณต่าง ๆ เหลา่ นี้ เป็นเหตุให้
แผนของชลฟิ เฟนไมเ่ ปน็ ไปตามทีว่ างไว้ และมีผลต่อเนื่องไปถึงการยุทธตอ่ ๆ ไป

80

ใน 14 สิงหาคม ค.ศ.1914 ขณะทกี่ องทพั ที่ 1 ของเยอรมนั ในบังคบั บัญชาของ พลเอกอเลก็ ซานเดอร์
ฟอน กลุ๊ค (Alexander von kluch) ยังคงทำการสู้รบฝ่าที่มั่น นายพล จอฟเฟร (Joffre) ผู้บัญชาการทหาร
สงู สดุ ของฝร่ังเศสกไ็ ดเ้ ร่ิมเจาะแนวรบเยอรมันอย่างไมห่ ยุดย้งั จนถงึ 25 สงิ หาคม แต่กลับปรากฎวา่ ฝร่ังเศสเอง
ต้องเสียหายอย่างหนกั สญู เสียทหารไปถึง 300,000 คน แนวรบฝรัง่ เศสตอนกลางและปกี ขวาต้องถอยลงมาอยู่
ทางตะวนั ตกของแวรด์ ัน (Verdun) พลเอก มอลเค้ (Helmuth von Moltke) (หลาน จอมพล เคานต์ เฮลมุท
คาล เบอนฮาด ฟอน มอลเค้ เสนาธิการปรัสเซีย ค.ศ.1800-1891) นึกว่าสามารถเอาชนะการยุทธแตกหักใน
ฝรั่งเศสได้แล้ว แต่ ปรากฎว่ากองทัพที่ 8 ที่ไปยันรสั เซียทางปรัสเซียตะวันออก ต้องเสียทีแก่รัสเซีย มอลเค้จงึ
ต้องส่ง 2 กองทัพน้อยกับ 1 กองพลทหารม้า ของกองทัพที่ 2 และ 3 ทางปีกขวาทางแนวรบด้านฝรั่งเศสไป
ช่วย ทำให้กำลงั ของกองทัพทั้งสอง ซง่ึ ถูกดึงเอา 3 กองทัพน้อย ไปยนั ทัพเบลเยี่ยมท่ีแอนทเ์ วอร์ฟ (Antwerp)
และเข้าล้อมมำเบิร์ก (Maubeuge) เสียก่อนแล้ว มีกำลังน้อยลงไปมาก ประกอบกับแม่ทัพต่าง ๆ ทำการรบ
อย่างอิสระ ไม่อยู่ในความควบคุมของ มอลเค้ เป็นเหตุให้กองทัพที่ 1 ต้องเคลื่อนที่ลงมาทางตะวันออกของ
ปารสี แทนทจ่ี ะเปน็ ตะวันตก ทำใหเ้ มืองหลวงและศนู ยก์ ารรถไฟของฝร่ังเศสรอดพ้นจากการถกู ยึดครองไป

ข่าวการรุกเข้าหาด้านซ้ายของแนวรบฝรั่งเศส โดยกองทัพที่ 1 เยอรมัน ได้ทำให้ฝรั่งเศสต้องจัดต้ัง
กองทัพท่ี 6 ขึ้นใหมใ่ กล้ ๆ เมืองอาเมียงส์ (Amiens) แล้วเดินทางโดยรถไฟมายัง Amiens ใน 1 กันยายน แต่
แล้วกองทัพนี้ก็ต้องถอยเข้าปารีสโดยข้ามแม่น้ำโออุเรด (Oureq) ใน 4 กันยายน วันรุ่งขึ้น การยุทธโออุเรค
(Oureq) ก็ได้เริ่มขึ้น เป็นการอุ่นเครื่องก่อนการยุทธสำคัญที่แม่น้ำมาร์น (Marne) ใน 7 กันยายน เยอรมัน
ทำทา่ วา่ จะแพ้ กองทัพท่ี 1 เยอรมัน จึงให้กองทพั น้อยที่ 9 และ 3 ทางปกี ซ้าย ไปชว่ ยกองทพั น้อยท่ี 4 ทางปีก
ขวา โดยไม่ได้ประสานงานกับกองทัพที่ 2 ทางซ้ายเลย ทำให้เกิดช่องว่างกว้างประมาณ 20 ไมล์ ระหว่าง
กองทัพที่ 1 กบั ที่ 2 กองทัพองั กฤษจงึ ฉวยโอกาสรุกเขา้ ไปในช่องว่างนัน้ ทันที

มอลเค้ ในตอนน้ไี ด้มาต้ังกองบญั ชาการอยู่ที่ลักแซมเบอร์ก (Luxemburg) ได้ข่าวการรบไม่สู้ดีนัก ทำ
ให้วิตกอยู่มาก แต่แทนที่ตนเองจะรีบรุดไปที่กองทัพที่ 1, 2 และ 3 เพื่อประสานงานและแก้ไขสถานการณ์ท่ี
กำลังคับขัน มอลเค้กลับให้ พันโท เฮนซ์ (Hentsch) ฝ่ายเสนาธิการชั้นผู้น้อยเป็นผู้แทนออกเดินทาง เมื่อ 8
กันยายน ไปติดต่อให้กองทัพตา่ ง ๆ ทางปีกขวา ถอยเข้าหาแม่นำ้ แอสน์ (Aisne) แม่ทัพกองทพั ที่ 1 จำใจต้อง
ถอยไปยังเมืองโซลส์ซองส์ (Solssons) ทั้ง ๆ ที่ขัดกับความเห็นของตนเองที่ดีกว่า ด้วยเหตุนี้แผนของ
ชลฟิ เฟนจึงตอ้ งลม้ เหลว เพราะแม่ทัพและฝ่ายเสนาธกิ ารของกองทพั ไมเ่ ป็นตวั ของตวั เอง

ใน 13 กนั ยายน กำลงั ของเยอรมันไดห้ ยุดถอย หนั มาสกู้ ับกำลงั ทีไ่ ลต่ ิดตามท่แี ม่น้ำแอสน์ (Aisne) การ
รบได้เป็นไปในลักษณะเกือบจะอย่กู ับที่ การยทุ ธตอนต่อไปเป็นการแขง่ ขันไปให้ถงึ ช่องแคบองั กฤษ โดยทั้งสอง
ฝ่ายพยายามที่จะโอบปีกของกันและกนั แต่ก็ไม่มฝี ่ายใดได้เปรียบ จนกระท่ังไปถงึ ฝั่งทะเล การสู้รบแต่ละครง้ั
ฝ่ายตง้ั รับจะมีความแขง็ แรงกว่าฝ่ายเข้าตี โดยการใช้การยงิ ขดุ สนามเพลาะ และสร้างเคร่อื งกดี ขวางประกอบ
กันอาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ.1914 ถึงมีนาคม 1918 ในแนวรบตะวันตก ไม่มีการเข้าตีคราวใดเลยท่ี
สามารถรุกไปได้ไกล 10 ไมล์ ไม่ว่าในทิศทางใดกต็ าม

เม่ือมาถงึ ตอนนี้ความคล่องแคลว่ ในการเคล่ือนย้ายเปน็ สง่ิ สำคญั ในการที่จะเอาชนะการตั้งรับ ท้ังสอง
ฝ่ายพยายามใชป้ นื ใหญ่ระดมยิงเปดิ ช่องว่างแนวตง้ั รับของข้าศึก แต่ในฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ.1914 ปรากฎว่าไม่มี

81

ปืนใหญแ่ ละกระสุนเพยี งพอที่จะยงิ เจาะชอ่ งวา่ งกัน เมอื่ ขาดกระสนุ ปนื ใหญ่ การเจาะและขยายแนวทหารราบ
ที่ทำการตั้งรับ จึงไม่ประสบผลสำเร็จ และเมื่อเข้าตีไม่ได้ผลต่างฝ่ายจึงเริ่มใช้ความคล่องแคล่วทำการเปลี่ยน
แนวรบ

3. การยุทธรอง
ฝ่ายพันธมิตรไดม้ งุ่ ท่ีจะโจมตเี อาชนะเยอรมันให้ได้ในปี ค.ศ.1914 นี้ เพราะเมื่อเยอรมันแพ้ก็จะทำให้
พันธมิตรของเยอรมันแพ้ไปด้วย โดยที่กองทัพเยอรมันเป็นจุดศูนย์ถ่วง (Center of Gravity) ที่หากพ่ายแพ้
แล้วก็จะทำให้กำลังส่วนอื่นๆ พลอยแพ้ตามไปดังที่เคล้าเซวิตซ์ (Clausewitz) ได้กล่าวไว้ แต่เนื่องจากฝ่าย
พนั ธมติ รไมม่ แี ผนยุทธศาสตร์ร่วมกนั นายพล จอฟเฟร (Joffre) ยนื กรานท่จี ะให้กำลงั ท้งั หมดรวมอยูใ่ นฝรั่งเศส
เพราะเป็นพื้นที่เดียวที่จะใช้กำลัง และส่งกำลังบำรุงให้หน่วยรบได้อยา่ งเต็มที่ แต่เมื่อการยุทธได้ชะงักงันลง
ในตอนนี้ อังกฤษจงึ ได้เสนอให้เอาชนะเยอรมัน โดยทำการยุทธทั้งทางบกและทางเรือร่วมกัน เพื่อเข้ายึดเมือง
ออสเตนด์ (Ostend) และซีบรุกก์ (Zeebrugge) เป็นการหันเหทิศทางของปีกเยอรมัน บ้างก็เสนอให้โจมตี
ชายฝั่ง Schleswing-Holstein แต่นายพลเรือ Sir Winston Churchill มีความเห็นเมื่อ 1 มกราคม
ค.ศ.1915 ว่าควรสง่ กำลงั ไปยึดชอ่ งแคบดาร์คะเนลล์ (Dardanelles) เพือ่ เปิดเสน้ ทางติดตอ่ กบั กำลงั ของรัสเซีย
ยึดเมือง คอนเทนติโนเปิน(Contantinople) และช่องแคบ Bosphorus ซึ่งจะทำให้การชะงักงันของสงคราม
กลับคึกคักขึ้นมาใหม่อีก ฝ่ายพันธมิตรยอมรับและได้ดำเนินการตามข้อเสนอของ Churchill แต่ปรากฎว่า
การยทุ ธนต้ี อ้ งลม้ เหลวและเป็นเหตุใหต้ รุ กเี ข้ารว่ มสงครามข้างฝา่ ยเยอรมนั ในปลายตุลาคม กำลงั ทยี่ กพลข้ึนบก
ก็ต้องถอนกลับทั้งหมด เมื่อ 9 มกราคม ค.ศ.1916 ทหารอังกฤษกับฝรั่งเศสที่เข้าร่วมการยุทธทั้งหมด
410,000 คน ต้องตาย บาดเจ็บ สูญหาย ถูกจับเป็นเชลย และเจ็บไข้ได้ป่วย 252,000 คน ในฤดูใบไม้ร่วง
ปี ค.ศ.1915 ฝรงั่ เศสได้ตดั สนิ ใจส่งกำลังไปชว่ ย Serbia ท่ีถกู ออสเตรียโจมตี อังกฤษเห็นดว้ ย และไดส้ ง่ กำลงั ไป
ขึ้นบกที่ Salonika เมื่อ 3 ตุลาคม ค.ศ.1915 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ทำการยุทธกันที่มาซีโดเนีย (Macedonia) ถึง
3 ปี โดยสองฝ่ายต้องทำการตั้งรับอยู่แต่ในที่มั่น ทหารอังกฤษเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล 481,262 คน
บาดเจ็บล้มตายในการรบ 26,750 คนนอกจากการยุทธใน 2 บริเวณดังกล่าวแล้ว ยังมีการยุทธเมโสโปเตเมยี
(Mesopotamia) อีก โดยเริ่มสู้รบกับตุรกี ตั้งแต่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1915 ถึง 29 เมษายน ค.ศ.1916 การยุทธ
ไดจ้ บลงด้วยการยอมแพข้ องทหารองั กฤษและอนิ เดยี 10,061 คน ทหารชาตอิ น่ื ๆ อกี 3,248 คน ในกันยายน
ค.ศ.1917 กำลงั ทหารของอังกฤษไดเ้ พิ่มขึน้ ไปถงึ ประมาณ 340,000 คน และสงคราม ในปี ค.ศ.1918 มากกว่า
414,000 คน จากจำนวนนีต้ ้องสูญเสยี ทหารจากการรบ 93,500 คน และไม่ใชจ่ ากการรบ217,000 คน
การยทุ ธอีกบรเิ วณหนง่ึ เปน็ การป้องกันคลองสเุ อซ (Suez canal) ในมกราคม ค.ศ.1915 โดยทำการสู้
รบกับทหารตุรกี (Turkey) และ Bedouin จนถึงธันวาคม ค.ศ.1916 แล้วก็ตั้งรับกันเสียส่วนมาก ต่อมา
นายลอยด์ ยอรช์ (Loyd George) นายกรฐั มนตรีอังกฤษให้ความเห็นว่า ควรจะดำเนนิ ยุทธศาสตร์เชิงรุกเสียที
โดยมุ่งทำลายพันธมิตรของเยอรมันให้พ่ายแพ้เสียก่อน ซึ่งจะทำให้เยอรมันแพ้ตามไปด้วย ดังนั้น
การยุทธปาเลสติน (Palestine) จึงเร่ิมขึ้นด้วยการขยายการยุทธ ป้องกันคลองสุเอซ เข้าไปในดินแดน
Palestine และมกี รุงเยรซู าเลม(Jerusalem) เปน็ ที่หมายหลกั การยทุ ธด้านนไี้ ดย้ ืดเยือ้ ไปจนกระท่ังยุตสิ งคราม
แต่ก็ใช้กำลังทั้งสองฝ่ายเข้าสู้รบกันถึง 432,857 คน สูญเสียจากการรบประมาณ 58,000 คน ความพยายาม

82

เปดิ การยทุ ธเหล่านีข้ ึน้ รอบ ๆ ยุโรป กเ็ พอ่ื ท่จี ะหาทางเจาะแนวฝ่ายเยอรมันซึ่งเปน็ ความเพียรพยายามท่ีสูญเสีย
ไปเปล่า ๆ และเสียกำลังไปมากที่สุด กำลังพลนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการทำสงครามโลกที่มีขอบเขต
กวา้ งขวางเช่นน้ี การยทุ ธรองหรอื ปลกี ยอ่ ยต่าง ๆ อาจเปน็ เพียงการหลกี เลี่ยงการยทุ ธท่สี ำคญั กวา่ ในยโุ รปก็ได้

4. การรกุ ของฝ่ายพันธมติ ร
เมื่อตอนฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1914 ที่กำลังฝ่ายเยอรมันกับอังกฤษแข่งกันไปถึงช่องแคบอังกฤษใกล้
เนียวฟอร์ท(Nieuport) ได้ทำให้แนวรบด้านตะวันตกเหยียดยาวไปทางตะวันตก โดยมีจะงอยแหลมอยูใ่ กล้ ๆ
เมืองคอมเปีย (Compiegne) ในปี ค.ศ.1915 นายพล Joffre จึงคิดจะตัดแนวเยอรมันที่ยื่นยาวออกไปนี้ ให้
ขาดจากกันด้วยการรุก 2 แห่ง โดยให้อังกฤษเข้าตีเมือง Artois ไปทางตะวันออก และฝรั่งเศสเข้าตีจาก
Chamhagne ขึน้ ไปทางเหนอื การรกุ นไี้ ด้กระทำหลายครง้ั ในปี ค.ศ.1915 แตก่ ็ไมส่ ามารถเจาะแนวเยอรมันท่ี
ย่ืนแหลมออกไปได้ ผลของการรบทนี่ ่าศกึ ษามอี ยู่ 2 ประการ

ประการแรก ฝร่ังเศสและองั กฤษต้องสูญเสยี ทหารมากมาย ไมค่ ้มุ กบั ผลท่ไี ด้รับ ดังเช่น ในการยุทธ
คร้ังที่ 3 ฝรง่ั เศสเสยี ทหาร 48,200 คน อังกฤษ 48,267 คน และการยทุ ธคร้ังท่ี 2 ฝรง่ั เศสเสียทหาร 143,567
คน โดยทงั้ สองการยุทธน้ี ไมอ่ าจแย่งยึดแนวทมี่ ัน่ เยอรมัน ซึ่งลึก 3,000 หลา ไดเ้ พม่ิ ข้ึนเลย

ประการที่สอง ในตอนต้นของการรุก การระดมยิงปืนใหญ่ช่วยให้ทหารราบเข้ายึดที่มั่นข้าศึกใน
แนวหน้าได้ จึงเป็นการพิสูจน์ว่าในระยะแรก ๆ ของสงคราม ที่ยังทำการรุกหรือเข้าตีอยู่ ถ้ามีปืนใหญ่และ
กระสุนเพียงพอกจ็ ะสามารถเจาะแนวที่มั่นข้าศึกได้ เคล็ดลับของการเขา้ ตีให้เปน็ ผลสำเร็จ จึงอยู่ที่ปืนใหญ่ยงิ
ทำลายและทหารราบยดึ ครอง นโปเลียนไดพ้ รำ่ สอนไว้วา่ ผู้ทท่ี ำสงครามจะต้องมีปืนใหญ่ดว้ ย

อย่างไรก็ดี การระดมยิงปืนใหญ่อยา่ งหนกั กม็ ขี ้อเสยี อยู่เหมอื นกนั เพราะจะทำใหผ้ ิวพื้น ภูมิประเทศ
เป็นหลุมเปน็ บ่อทั่วไปหมด การเคลื่อนทรี่ ุกไปขา้ งหนา้ กระทำไดย้ ากลำบาก การส่งกำลงั ไม่สะดวกต้องปรับผิว
ดนิ ใหป้ ืนใหญ่และขบวนรถขนสง่ิ อปุ กรณ์ผา่ นไปไดแ้ ละขณะท่ีมวั ปรับผวิ ดินทำทางอยู่ ขา้ ศึกกอ็ าจจะซอ่ มแซมท่ี
ม่นั ให้คนื สภาพได้อกี ทำใหต้ ้องระดมยงิ ปืนใหญท่ ำลายทีม่ นั่ กันใหม่อกี ไม่รจู้ ักจบส้ิน

ต่อมาในตอนต้นธันวาคม ค.ศ.1915 ฝ่ายพันธมิตรได้ตกลงกันว่า จะทำการรุกใหญ่ทางแนวรบด้าน
ตะวันตกในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงแต่ก่อนที่จะเตรียมการรุกได้พร้อม เยอรมันได้ชิงเข้า Verdun เสียก่อน
เพื่อที่จะให้กำลังอังกฤษที่ยันอยู่กบั พนั ธมิตรของเยอรมันอ่อนกำลังลงและช่วยเร่งใหฝ้ รัง่ เศสทีเ่ กือบจะแพอ้ ยู่
แลว้ แพเ้ รว็ ขน้ึ ฝ่ายพันธมิตรจึงพลาดโอกาสทจ่ี ะเป็นฝา่ ยรุกไป การท่เี ยอรมนั เลอื กเขา้ ตีท่เี วอร์ดัน (Verdun) ก็
เพื่อบังคับให้ฝรั่งเศสทุ่มกำลังไปเขา้ ป้องกัน และถ้าถกู ทำลายกำลังของฝรง่ั เศสก็จะหมดสนิ้ และต้องถอยไป

ใน 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1916 เยอรมันได้เริ่มโจมตีเป็นแนวกว้าง การสู้รบได้ดำเนินไปเกือบ 5 เดือน
จนถงึ 11 กรกฎาคม เยอรมันเจาะแนวข้าศึกเข้าไปได้เพยี ง 5 ไมล์ แตต่ อ้ งเสียทหารไปถึง 281,000 คน ขณะท่ี
ฝรั่งเศสเสีย 315,000 คน ในตอนปลายของการรบ ฝรั่งเศสกับอังกฤษได้ทำการรุกบ้าง เพื่อผ่อนคลายความ
กดดนั ของเยอรมันท่ี Verdun เปน็ การยทุ ธท่ีแม่น้ำซอมม์ (Somme) โดยเรม่ิ เขา้ ตกี ว้างดา้ นหน้า 25 ไมล์ เมื่อ
1 กรกฎาคม หลังจากที่ได้ระดมยิงปืนใหญ่นานถึง 8 วัน ด้วยกระสุน 1,738,000 นัด ทหารราบได้เคลื่อนที่
เกาะฉากการยิงปืนใหญ่ไปอย่างช้า ๆ การยุทธได้ดำเนินต่อไปจนถึง 14 พฤศจิกายน เป็นเวลา 4 เดือนคร่ึง

83

ฝ่ายฝรั่งเศสกับอังกฤษสามารถยึดพืน้ ที่ได้กวา้ งประมาณ 30 ไมล์ ลึก 7 ไมล์ โดยสญู เสยี ทหารอังกฤษ 419,654
คน ฝรง่ั เศส 194,451 คน และเยอรมนั น่าจะมากถงึ ประมาณ 500,000 คน

การยุทธทแี่ ม่น้ำ Somme เป็นผลให้แนวรบด้านอน่ื ๆ ทช่ี ะงกั งนั อยู่ กลับสรู้ บกันใหม่ตอ่ ไปอีก ทัง้ แนว
รบอิตาลี ออสเตรีย และรัสเซีย ต่างฝ่ายได้สูญเสียทหารกันไปฝ่ายละไม่น้อยเลย เฉพาะรัสเซียเสียถึงล้านคน
ทเี ดียว การทกี่ ารยุทธไม่ปรากฎผลแตกหกั ใหแ้ พช้ นะกนั ได้ ทง้ั เลยจึงเร่มิ คิดทีจ่ ะเจรจาสงบศกึ กนั แตแ่ ล้วเรอื ดำ
นำ้ เยอรมนั ทโ่ี จมตีเรือของทกุ ชาติ ไดท้ ำใหส้ หรฐั อเมรกิ ากับเยอรมนั ตรงึ เครยี ดกนั

ขณะเดียวกันนี้ เมื่อ 15 พฤศจิกายน ค.ศ.1916 ฝรั่งเศสกับอังกฤษได้ร่วมกันวางแผนการยุทธในปี
ค.ศ.1917 โดยจะทำการรกุ ทกุ ด้าน แตแ่ นวรบดา้ นตะวันตกเปน็ ดา้ นหลัก องั กฤษจะเข้าตเี มอื งอาร์ราส (Arras)
ก่อน เพ่ือดึงกำลังกองหนุนเยอรมนั ให้มาชว่ ยต้านทาน แล้วหมดกำลงั กองหนุน ฝร่งั เศสจะเข้าตีตามไปที่แม่น้ำ
แอสน์ (Aisne) เป็นการเข้าตีแตกหัก ถ้าไม่เป็นผลก็จะผละจากด้านนี้ ไปทำการรุกทางแคว้น Flanders ใกล้
ช่องแคบอังกฤษ
การรุกของอังกฤษไดเ้ ร่ิมขึ้นเมอ่ื 9 เมษายน ค.ศ.1917 ดว้ ยการระดมยงิ ปืนใหญ่ 2,700,000 นดั ไปสิน้ สุดเมือ่
21 พฤษภาคม เม่ือรุกคืบหนา้ ไปได้ 5 ไมล์ กวา้ งด้านหน้า 20 ไมล์ แต่เพียง 3 พฤษภาคม อังกฤษ กต็ ้องเสีย
ทหาร 158,000 คน เยอรมันประมาณ 150,000 คน ฝร่ังเศสไดท้ ำการรกุ หลงั องั กฤษ 8 วนั ทแ่ี มน่ ำ้ อานสิ
(Aisne) แต่ต้องล้มเหลวเสียทหารไป 187,000 คน ขณะที่เยอรมันเสีย 163,000 คน ตอนน้ี พลเอก เปเท่น
(Petain) ไดเ้ ข้ารับตำแหนง่ ผู้บญั ชาการทหารสงู สุด แทน นายพล Nivelle ที่เขา้ แทนนายพลจอฟเฟร (Joffre)
ก่อนแล้ว ตั้งแต่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1916 ขวัญของทหารฝรัง่ เศสเส่ือมทรามลงมา ถึงกับกองพลต่าง ๆ 54 กอง
พล ก่อนการกำเรบิ ระหวา่ ง 25 พฤษภาคม - 10 มถิ นุ ายน ค.ศ.1917

ในช่วงต้นปีนี้เอง ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้น 2 กรณี ที่ทำให้สงครามเปลี่ยนรูปโฉมไปหมด กรณีแรก ใน
8 มีนาคม 1917 ได้เกิดจลาจลขึ้นในเมือง เปโตรกราด (Petroarad) โดยหน่วย Imperial Guard ที่ 11 ของ
รสั เซีย ได้ก่อการกำเริบและทำการปฏิวัติ พระเจ้าซาร์ นโิ คลาส ท่ี 2 (Czar Nicholas II) ได้สละราชสมบัติ ใน
15 มีนาคม 1917 เจ้าชาย แอลวอค จัดตงั้ รัฐบาลช่วั คราวขนึ้ ใน 22 มีนาคม 1917 สว่ นกรณีท่ี 2 สหรัฐอเมริกา
ไดป้ ระกาศสงครามกับเยอรมันเม่อื 6 เมษายน 1917

เยอรมันหวังว่าจะจัดกำลังเพิ่มเติมให้แก่แนวรบด้านตะวันตกได้อย่างน้อย 1 ล้านคน ก่อนสิ้นปี
ค.ศ.1917 ทางฝ่ายอังกฤษและฝรงั่ เศส ก็หวงั ท่จี ะได้กำลงั จากสหรฐั ฯ อย่างน้อย 1 ล้านคน ในอนาคตทไี่ ม่ไกล
เหมือนกัน ฝรั่งเศสจึงเสนอว่า การรุกทั้งหมดควรเลือกไปกระทำเม่ือได้กำลังของสหรัฐ ฯ มาช่วยแล้ว แต่บาง
เสียงก็เห็นว่า ควรทำการเข้าตีที่หมายจำกัด โดยใช้ปืนใหญ่ระดมยิงข้าศึกให้รุนแรงที่สุด เพื่อที่จะได้สูญเสีย
ทหารน้อยที่สุด แต่ เซอร์ ดักลาส เฮก (Sir Douglas Haig) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอังกฤษ ไม่ชอบการรุกใน
ขอบเขตจำกัด ท่านหวังที่จะเอาชนะด้วยการยุทธแตกหกั ที่แคว้น Flanders อย่างมาก และเชื่อว่าจะสามารถ
เอาชนะเยอรมันไดโ้ ดยลำพงั กอ่ นทีส่ หรัฐ ฯ จะเข้ามาช่วย แตผ่ ลการยทุ ธท่ี Flanders ในฤดรู ้อนและฤดูใบไม้
ร่วง ปรากฎวา่ ต้องสูญเสียกำลังไปมาก

ใน 7 มิถุนายน 1917 อังกฤษได้เปิดฉากการยุทธ Messines ในขอบเขตจำกัดขึ้น และประสบ
ผลสำเร็จ โดยระดมยิงปืนใหญ่ก่อนหน้าถึง 7 วัน ใช้กระสุนไป 3,500,000 นัด และริเริ่มใช้ทุ่นระเบิดบก

84

(รวมระทุ่นเบิด 19 ลูก มีแรงระเบิดถึง 1 ล้านปอนด์) การยุทธได้สิ้นสุดลงเมื่อ 14 มิถุนายน ทหารอังกฤษ
สูญเสีย 17,000 คน เยอรมัน 25,000 คน รวมทั้งที่ถูกจับเป็นเชลย 17,500 คน นับเป็นการยุทธครั้งแรก
ทีอ่ ังกฤษสูญเสียทหารนอ้ ยกว่าเยอรมนั

ตอ่ มาใน 31 กรกฎาคม 1917 เปน็ การยทุ ธท่ีเมืองอีปรส์ (Ypres) ครง้ั ท่ี 3 ซงึ่ องั กฤษได้รวมกำลงั ยิงปนื
ใหญม่ ากทส่ี ุด เปน็ ประวตั กิ ารณ์ โดยระดมยิงก่อนการเขา้ ตถี งึ 19 วนั ใช้กระสนุ 4,300,000 นัด รวมนำ้ หนักได้
107,000 ตัน ทำให้พื้นภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปหมด ทางระบายน้ำ กำแพงกั้นน้ำ ท่อระบายน้ำ ฯลฯ ถูก
ทำลายหมดส้นิ และเกิดหนองน้ำ เป็นเหตุให้ทหารราบต้องแชน่ ้ำอยู่ถงึ 3 เดอื นครึ่ง เมื่อการยุทธยุติลง ใน 10
พฤศจกิ ายน เยอรมันต้องถอยกลับไป 5 ไมล์ เป็นแนวกว้าง 10 ไมล์ และเสียทหารเกือบ 200,000 คน อังกฤษ
เสียประมาณ 300,000 คน

5. การใช้ไอพิษและรถถงั
ที่มั่นตั้งรับที่ดัดแปลงไว้อย่างแข็งแรง ย่อมจะไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ถ้าไม่มีทหารอยู่ประจำ
รักษาที่มั่นนั้นด้วย เยอรมันจึงหาทางขับไล่ทหารข้าศึกที่รักษาที่มัน่ โดยใช้ไอพิษกอ่ นการเขา้ ตี การโจมตีของ
เยอรมันใกล้ ๆ เมือง Ypres ได้กระทำตอน 17.00 น. ใน 22 เมษายน ค.ศ.1915 โดยใช้ปืนใหญ่ยิงนำและ
ปล่อย ไอพิษคลอรนี (Chlorine Gass) แล้วจงึ ทำการออกตีหลงั จากทีไ่ อพษิ จางลงแล้ว ทหารทอ่ี ยใู่ นแนวหน้า
ถูกไอพิษล้มตายไปมากมาย ที่อยู่ข้างหลังถัดไปก็แตกตื่นและสับสนอลหม่าน เยอรมันใช้ไอพิษอีกครั้งเมื่อ
24 เมษายน 1915 ทำใหแ้ นวรบฝรัง่ เศสและองั กฤษ ต้องถอยรน่ ไปหาเมือง Ypres 3 ไมล์ แตป่ รากฎวา่ ไมไ่ ด้ผล
อย่างครั้งแรก เพราะทหารในที่มั่นใช้หน้ากากป้องกันไอพิษหรือหมวกผ้าคลุมศีรษะช่วยลดอันตรายลงได้ซึ่ง
ต่อมาในปี ค.ศ.1916 ทหารอังกฤษและฝรั่งเศสได้ใช้หน้ากากชนิดมีเครื่องกรองอากาศ เยอรมันได้ใช้
ไอพิษมัสตาด (Mastard Gass) เป็นครั้งแรกที่ Ypres เมื่อ 11 กรกฎาคม ค.ศ.1917 ซึ่งใน 5 สัปดาห์ต่อมา
ทำให้องั กฤษเสียทหารไปกวา่ 20,000 คน หลงั จากนั้น อังกฤษกับฝร่งั เศสกไ็ ดเ้ ริม่ นำเอาไอพิษมาใช้บ้าง
การใช้ไอพิษเจาะแนวข้าศึกที่ได้ผลเป็นครั้งแรกของเยอรมนั เป็นการเข้าตีแนวรบรัสเซียที่ Riga เมื่อ
1 กันยายน ค.ศ.1917 กว้างด้านหนา้ ไม่เกิน 4,000 หลา โดยใช้ปืนใหญ่ยงิ นำด้วยกระสุนบรรจุไอพิษ ปืนหน่ึง
กระบอกยิงได้กว้างด้านหน้าเพียง 8 หลา การเข้าตีได้จบลงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เยอรมันได้ใช้ไอพิษ
อีกเรื่อย ๆ ทางแนวรบด้านตะวันตกในการรุกใหญ่ ๆ เมื่อเดือนมีนาคม พฤษภาคม และมิถุนายน ค.ศ.1918
เปน็ ไอพษิ ฟอสยีน (Fosgen) และมสั ตาด (Mastad) ในระหว่าง 21 มีนาคม ถึง 5 เมษายน การโจมตีด้วยไอพิษ
ได้ทำให้แนวรบอังกฤษระหว่างเมืองอาร์ราส (Arras) กับเลอ ฟีล (La fere) ถอยไปถึง 50 ไมล์ ในเมษายน
เยอรมันยงั ไดใช้ไอพษิ มสั ตาดตามถนนในเมืองอีกด้วย ช่วยใหส้ ามารถยดึ เมอื งได้ โดยไมม่ ที หารเยอรมันเสยี ชีวิต
เลย การเข้าตีแนวรบสหรัฐ ฯ ที่บริเวณสันเขา เซนต์ ไมไฮล์ (Saint Mihiel) เมื่อกันยายน ค.ศ.1918 และ
การยทุ ธต่อ ๆ มา กถ็ กู เยอรมันยิงด้วยกระสุนไอพิษเสียหายอย่างหนัก การสูญเสียทหารสหรัฐ ฯ เพราะถูกไอพิษ
ทง้ั หมดในสงครามน้เี ป็นจำนวน 70,752 คน จากการสูญเสียทง้ั สิ้น 258,338 คน หรอื รอ้ ยละ 27.4
การป้องกันไม่ให้ทหารที่เข้าตีเป็นอันตรายอีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้เกราะป้องกันตัว แต่ก็ทำให้หนัก
เคลื่อนที่ไม่สะดวก จึงให้ทหารอยู่บนเกราะสายพาน เพื่อให้แล่นในภูมิประเทศนอกถนนได้ เหตุนี้จึงได้สร้าง
รถถังขึ้นมาเปน็ ปอ้ มเลก็ ๆ เคล่อื นท่ไี ด้ เรียกกนั ในตอนแรกวา่ เรือบก

85

รถถังได้ถูกนำออกใช้เป็นครั้งแรก โดยทหารอังกฤษเพียงไม่กี่คัน เมื่อ 15 กันยายน ค.ศ.1916
ระหว่างการยุทธที่แม่น้ำซอมมี่ (Somme) ต่อมาในการยุทธที่เมืองกัมเบร (Cambrai) ก็ยังใช้รถถังแบบ
กระปรบิ กระปรอยไมม่ าก การยุทธครง้ั นีม้ งุ่ ทจี่ ะจู่โจมแนวต้งั รับเยอรมัน 4 แนว ภายในเวลา 17 ช่ัวโมงโดยไม่
ใชป้ ืนใหญย่ ิงเตรยี มการเขา้ ตี อังกฤษใชก้ องพนั รถถัง 9 กองพัน รถถงั 378 คนั บุกนำทหารราบ 2 กองพันน้อย
เข้าโจมตีแนว ฮินเดนเบอร์ก (Hindenbure Siegiried ซึ่งเป็นทีม่ ่ันแขง็ แรงที่สุดในแนวรบด้านตะวันตก ถ้าจะ
ใช้ปืนใหญร่ ะดมยงิ กอ่ น กต็ ้องยงิ เปน็ เวลาหลายสัปดาห์ และใชก้ ระสนุ หลายพันตันทีเดยี ว

การเข้าตีได้เริมขึ้นเมือ่ 06.00 น. ของ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1917 เยอรมันต้องถอยร่นไปถงึ 13,000
หลา ในตอน 16.00 น. อังกฤษเจาะแนวใช้ไปได้ 10,000 หลา ในการยุทธที่เมืองยูปส์ รอบที่ 3 ก็เข้าตีแบบ
เดียวกันนี้เป็นเวลา 3 เดือน แต่เจาะแนวเยอรมันไมไ่ ด้ ทั้ง ๆ ที่จับเชลยได้ 8,000 คน และยึดปืนใหญไ่ ด้ 100
กระบอก กองทัพน้อยองั กฤษ 2 กองทัพ สญู เสียกวา่ 4,000 คนเลก็ นอ้ ย แตใ่ นการยุทธแตกหกั ทเี่ มอื ง Amiens
เม่อื 8 สิงหาคม ค.ศ.1918 องั กฤษได้ใชร้ ถถงั 462 คัน บกุ รว่ มกันการโจมตขี องเครอ่ื งบนิ ตามดว้ ย 3 กองทัพ
นอ้ ยของกองทัพท่ี 4 เปน็ การยุทธแบบจโู่ จมทีไ่ ด้ผลดอี ีกครัง้ หนง่ึ แนวตงั้ รบั เยอมนีสับสนอลหมา่ นและถูกเจาะ
ได้ รถถังเป็นอาวุธทางจิตวิทยามากกว่าอาวุธยิงทำลาย เพราะทหารเดินเท้าจนปัญญาที่หยุดยั้งมันได้ ด้วย
กระสนุ ปืนเลก็ และปืนกล ซงึ่ เป็นเหตใุ หใ้ นสมัยต่อมาได้มีการคิดสร้างกระสนุ เจาะเกราะ และจรวดต่อสรู้ ถถังกัน
ขึน้

6. การทำสงครามในเขตหลัง
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1918 ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถทำการยุทธแตกหักให้มีผลเด็ดขาด ต่อการเอาชนะ
สงครามได้ สงครามจงึ สงบเรยี บลงช่ัวระยะดว้ ยความอดอยากและการปฏิวัติ ไมใ่ ชด่ ว้ ยการสูร้ บเมื่อฤดูใบไม้ผลิ
ปี ค.ศ.1917 ทั้งสองฝ่ายเหนื่อยหน่ายต่อการทำสงคราม เพราะในรัสเซียได้เกิดการปฏิวัติ กองทัพฝรั่งเศส
ก่อการกำเริบและทหารอิตาลี 400,000 คน เดนิ ขบวนหนที พั
นอกจากความเหนื่อยล้าที่เกิดจากความยืดเยื้อของสงครามแล้ว ฝ่ายเยอรมันต้องถูกกระทบกระเทือนใน
เขตหลงั จากการปฏบิ ัติการของอังกฤษในการปิดกัน้ ทางทะเล และการโฆษณาชวนเชอื่ การปิดกั้นทางทะเลได้
ทำใหฝ้ ่ายเยอรมนั อ่อนกำลังลง ส่วนการโฆษณาชวนเชือ่ ไดบ้ ่ันทอนความมานะอดทนในการทำสงครามของฝ่าย
เยอรมัน
อังกฤษเพิ่งจะสกัดกั้นไม่ให้ยุทธปัจจัยต่าง ๆ เข้าไปยังเยอรมันและออสเตรีย ในปลายปี ค.ศ.1914
เยอรมนั ได้ตอบโต้ในต้นปี ค.ศ.1915 โดยการปดิ กนั้ บริเทนใหญ่และไอร์แลนด์ ด้วยเรือดำน้ำ ใน 7 พฤษภาคม
1915 เรือ Lusitania ของสหรฐั ฯ ได้ถกู จมลง คนอเมริกนั 128 คนเสียชีวิต เป็นการยว่ั ยุให้สหรฐั ฯ เข้าร่วม
สงครามเร็วขนึ้ ซง่ึ ต่อมาสหรฐั ฯ กไ็ ดป้ ระกาศสงครามกับเยอรมัน แล้วนำเอากำลงั 9 กองพลไปวางในแนวหน้า
กับอีก 3 กองพล เป็นกองหนุนมีกว้างดา้ นหน้า 23 ไมล์ ในแนวรบด้านตะวนั ตกเฉียงเหนือของเมือง Verdun
เมอ่ื 26 กันยายน ค.ศ.1918
การปิดกั้นของอังกฤษได้กระทบกระเทือนไปถึงประชาชน โรงงาน และไร่นาของฝ่ายเยอรมัน ทำให้
เยอรมันต้องขาดแคลนอาหาร ถึงกับจะยอมแพ้เอาทีเดียว ประชาชนต้องตายเพราะอดอาหาร และเจ็บป่วย
เนื่องจากขาดอาหารถึง 800,000 คน ประมาณ 50 เท่าของคนที่จมน้ำตายไปกับเรืออังกฤษที่ถูกเรือดำน้ำ

86

เยอรมันยงิ จม การปิดกั้นทีม่ ีผลต่อประชาชนในเขตหลัง ทำให้การโฆษณาชวนเชื่อได้ผลดีมากขึ้น ทั้งทหารใน
แนวรบและประชาชนในเขตหลงั ต่างไมม่ ีจิตใจจะทำสงครามต่อไปอีก

ด้วยผลของการยุทธแตกหัก เมื่อ 8 สิงหาคม ค.ศ.1918 และการพ่ายแพ้ของฝ่ายเยอรมันต่อ ๆ มา
เยอรมันได้แจ้งให้สหรัฐ ฯ ทราบ ใน 3 ตุลาคม 1918 ว่ารัฐบาลเยอรมันยอมรับเงื่อนไข 14 ประการ เป็น
พ้ืนฐานในการเจรจาเพื่อสนั ติ สหรฐั ฯ ไดต้ อบกลับไปใน 23 ตุลาคม 1918 ว่าจะไม่มีการเจรจาเพ่ือสันติแต่ให้
เยอรมันยอมแพ้ ครั้นถึง 3 พฤศจิกายน ได้เกิดการปฏวิ ัติขึ้นในกรงุ เบอร์ลิน และ 9 พฤศจิกายน 1918 ก็ได้มี
การลงนามในสัญญาสงบศึก ระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายเยอรมัน ที่สถานีรถไฟ Rethondes ในป่า
Compiegne

7. บทเรยี นจากสงคราม
สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ให้บทเรียนทางยุทธศาสตร์ และก่อให้เกิดวิวัฒนาการของอาวุธยุทโธปกรณ์
กลา่ วคอื

1. สงครามครั้งนี้เป็นสงครามเบ็ดเสร็จ ที่ทำการสู้รบกันทั้งในสนามรบและเขตหลังของประเทศคู่
สงคราม ที่ประชาชนและกำลังอำนาจทั้งมวลของประเทศ ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยกับการชนะหรือแพ้
สงคราม เปน็ การสงครามในระดบั ยุทธศาสตรช์ าติ ไม่ใชเ่ ฉพาะแต่ยทุ ธศาสตร์ทหารเท่านน้ั การปิดก้นั การขนส่ง
ทางทะเลและการโฆษณาชวนเชือ่ ของอังกฤษ เป็นการทำสงครามต่อเขตหลังของฝ่ายเยอรมัน นับได้ว่าเป็นการ
ดำเนนิ กลยทุ ธเข้าหาข้าศึกทางออ้ ม ทกี่ วา้ งไกลที่สดุ เทา่ ท่เี คยมีมาก่อน

2. ในสงครามนี้ ได้มีการโจมตีทิ้งระเบิดระยะไกลถึงเกาะอังกฤษเป็นครั้งแรก โดยเรือเหาะ
Zepplin L 48 ของเยอรมัน ในปี ค.ศ.1917 ซึ่งเป็นความพยายามที่จะเอาชนะข้าศึกด้วยการโจมตีแนวหลัง
ขององั กฤษโดยตรง นบั ไดว้ า่ เป็นสัญญาณบ่งบอกถงึ ความสำคญั ของกำลังทางอากาศ ท่จี ะเป็นปัจจัยเดด็ ขาดใน
การทำสงครามในอนาคต ซึ่งกป็ รากฎเป็นความจริงในสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 ทไ่ี มใ่ ชเ่ ฉพาะแตก่ ารโจมตีทิ้งระเบิด
กันอย่างธรรมดาเท่านั้น หากแต่ยังมีการใช้เครื่องบินที่ไม่มีนักบิน V-1 และจรวด V-2 โจมตีเกาะอังกฤษ
ตลอดจนการทิ้งระเบิดปรมาณู ลงที่เมืองฮิโรชิมา (Hiroshima) และนางาซากิ (Nagasaki)บังคับให้ญี่ปุ่นตอ้ ง
ยอมแพ้สงคราม

3. แม้ว่าจะเป็นภาคีของสัญญากรุงเฮก ปี ค.ศ.1899 ที่ห้ามใช้สารพิษเป็นอาวุธในการทำสงคราม แต่ก็
ปรากฎว่าทั้งสองฝ่ายได้นำเอาไอพษิ มาใช้ในสงครามครัง้ นี้ โดยฝ่ายเยอรมันเปน็ ผูเ้ ริม่ ใช้ก่อนและได้มกี ารพัฒนา
ปรับปรุงการใช้และการป้องกันในระหว่างสงคราม การใช้ไอพิษยังคงมีต่อ ๆ มา เช่น ในสงครามอิรัก อิหร่าน
การสู้รบในกัมพูชา เป็นต้น หลายประเทศได้ผลิตและสะสมอาวุธประเภทนี้ไว้มากบ้างน้อยบ้างขณะที่การ
ป้องกันก็ได้พัฒนาควบคู่กันไป และปลอดภัยมากข้ึน ดังเช่น เครื่องปอ้ งกนั ของทหารสหรัฐ ฯ ในสงครามอ่าว
เปอร์เซีย รถถังและยานเกราะแบบล่าสุด จะสามารถป้องกันไม่ให้ไอพิษเล็ดลอดเข้าไปเป็นอนั ตรายแก่ทหาร
ขา้ งในได้ด้วย

4. อังกฤษประสบผลสำเรจ็ อยา่ งมากในการคิดสร้างรถถงั และนำออกใช้อย่างจ่โู จมในสงครามคราว
นรี้ ูปแบบรถถงั และลักษณะการใช้ไดว้ วิ ัฒนาการอยูเ่ รื่อย ๆ ในระหวา่ งสงคราม

87

คำถามทา้ ยบทที่ 3
สงครามโลกคร้งั ท่ี 1

1. สงครามโลกครั้งท่ี 1 ประเทศใดมีกำลังทหารน้อยสุด และมีกี่กองพล
2. การยทุ ธใดที่ฝรงั่ เศสเองตอ้ งเสียหายอยา่ งหนกั สูญเสยี ทหารไปถึง 300,000 คน
3. จงสรปุ ความสญู เสยี ในแต่ละดา้ นของการบในการยทุ ธรองมาพอเขา้ ใจ
4. การรุกของฝา่ ยพันธมติ ร มีผลของการรบทน่ี ่าศึกษาอยู่ 2 ประการ จงอธบิ ายมาพอเขา้ ใจ
5. การใชไ้ อพิษก่อนการเข้าตีของเยอรมนั เมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 1915 โดยใช้ปืนใหญ่ยงิ นำ เป็นการ

ปลอ่ ยไอพิษชนดิ ใด
6. ในการปอ้ งกันไมใ่ หท้ หารทีเ่ ขา้ ตีเป็นอันตรายอกี วธิ ีหนึ่ง คอื การใชเ้ กราะป้องกันตัว เหตนุ ้จี ึงไดส้ ร้าง

รถถงั ข้นึ มาเป็นปอ้ มเลก็ ๆ เคลอ่ื นทไ่ี ด้ เรยี กกนั ในตอนแรกว่าอะไร
7. เมื่อ 9 พฤศจิกายน 1918 ได้มีการลงนามในสัญญาสงบศึก ระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายเยอรมัน

ท่ีใด
8. จงอธิบายการทำสงครามในเขตหลัง ของสงครามโลกครงั้ ที่ 1 มาโดยสงั เขป
9. บทเรียนจากสงครามโลกทำให้ได้บทเรียนทางยุทธศาสตร์ และก่อให้เกิดวิวัฒนาการของอาวุธ

ยุทโธปกรณ์ ด้านใดบา้ ง
10. สงครามในครั้งนี้ เยอรมัน ได้มีการโจมตีโดยทิ้งระเบิดระยะไกลถึงเกาะอังกฤษเป็นครั้งแรก

ในปี ค.ศ. 1917 ด้วยเรอื เหาะชอ่ื ว่าอะไร

88

บทที่ 4

สงครามโลก ครั้งท่ี 2
(ค.ศ.1939-1945)

สงครามโลกครั้งท่ี 2 (The world war II) เปน็ การส้รู บกนั ระหว่าง 2 กลมุ่ ประเทศ ฝ่ายอกั ษะกับฝ่าย
พันธมิตร ประเทศฝ่ายอักษะที่สำคัญ ได้แก่ เยอรมนี (Germany) อิตาลี (Italy)และญี่ปุ่น (Japan) ภายหลัง
จากท่สี งครามเรมิ่ ขึน้ แลว้ ในปี ค.ศ.1941-1942 ไดม้ ีประเทศบัลแกเรีย (Bulgaria) ฟินแลนด์ (Finland) ฮังการี
(Hungary)โรมาเนีย (Rumania) และไทย (Thai) เข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะด้วย ส่วนประเทศฝ่ายพันธมิตรนั้นมี
อังกฤษ (Britain)สหรัฐอเมริกา (United states )สหภาพโซเวียต (Sovietrussia) จีน (China) ฝรั่งเศส
(France) แคนาดา(Canada) และอกี 45 ประเทศ สงครามคราวน้ีเปน็ สงครามเบด็ เสร็จท่ีสลบั ซับซ้อนกระทำ
กันกว้างขวางทุกภูมิภาคของการทำลายล้างประชาชนพลเรือนไม่น้อยไปกว่าทหารในสนามรบอย่างไม่เคย
ปรากฎมาก่อน สาเหตุประการหนึ่ง ได้แก่ ความพยายามของเยอรมนที ี่จะกวาดล้างคนยิวให้หมดไปจากยุโรป
และอาจแฝงด้วยการล้างแคน้ ฝ่ายพนั ธมิตรท่ีเยอรมนตี ้องพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งท่ี 1

สงครามโลกคราวน้ีต่างกับคร้งั ที่ 1 โดยทีท่ ำการยุทธกนั อย่างคล่องแคล่ว จะเคล่ือนท่ีรวดเร็ว มีช่วงท่ี
ชะงักงันอยู่บ้างโดยเฉพาะในอิตาลี แต่เปรียบกันไม่ได้เลยกับสงครามสนามเพลาะ ในปี ค.ศ.1914-1918 ใน
สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการนำเอารถถังและเครื่องบินมาใช้ แต่อาวุธเหล่านี้มิได้ถูกใช้ให้บังเกิดผลเต็มที่
จนกระทงั่ มาถงึ สงครามโลกครัง้ ที่ 2 เรอื บรรทกุ เครอื่ งบนิ ไดเ้ ป็นเรือรบผวิ น้ำทส่ี ำคัญทสี่ ุด เรือดำน้ำได้พิสูจน์ให้
เหน็ พษิ สงในสงครามน้ี เชน่ เดียวกับครง้ั ทแ่ี ล้วมา จรวดหนว่ ยทหารพลรม่ เรดาร์ โซนา่ และเครอ่ื งบนิ อัตวนิ ิบาต
เป็นบางสว่ นของการพฒั นาทางทหารของสงคราม สตรไี ด้มีสว่ นในการทำสงครามอย่างกวา้ งขวางกว่าสงคราม
ครั้งใด ๆ โดยการเป็นทหารทำงานเป็นพยาบาล ช่างเทคนิค และเสมียน บ้างก็ทำงานในโรงงานผลิตอาวุธ
ยทุ โธปกรณ์ และบางคนก็สรู้ บเคียงบ่างเคยี งไหล่กับผู้ชายโดยเป็นพวกกองโจร

ผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ประการหนึ่งได้แก่ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขแผนที่โลกกันเป็นการใหญ่
โซเวียตขยายดินแดนออกไปทางตะวันตก เส้นเขตแดนระหว่างประเทศต่าง ๆ ในยุโรปต้องเขียนกันใหม่อีก
มากมาย ทั้งเยอรมนีและเกาหลีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ เยอรมนีตะวันออกเป็นคอมมิวนิสต์ แต่เยอรมนี
ตะวนั ตกไมใ่ ช่ เกาหลเี หนอื เปน็ คอมมิวนิสต์ แต่เกาหลใี ต้ไม่ใช่ ประเทศในยุโรปตะวันออกทง้ั หมด และสว่ นมาก
ในบอลข่านตกอยู่ใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียต เมืองขึ้นของยุโรปในแอฟริกาและเอเชียแยกตัวเป็นอิสระ
ไปตาม ๆ กันและมีประเทศยิวเกิดขึ้นใหม่ คือ อิสราเอล (Israel) ผลทางด้านการเมืองระหว่างประเทศที่กว้างขวาง
ทส่ี ุด ไดแ้ ก่ การเป็นมหาอำนาจผนู้ ำของโลก ออกเป็น 3 กล่มุ คอมมวิ นิสต์ ประชาธปิ ไตย และเปน็ กลางหรือไม่
ฝกั ใฝ่ฝา่ ยใด ซึง่ หลายประเทศกเ็ ปน็ แตเ่ พียงชื่อเท่านั้น

1. ยทุ ธศาสตรข์ องฮิตเลอร์ ยุทธศาสตรใ์ นการทำสงครามโลกคร้งั ที่ 2 ไม่แตกตา่ งไปจากสงครามคร้ัง
ก่อน ๆ เท่าใดนัก ผิดกันแต่ว่าฝ่ายเยอรมนไี ด้ดำเนินการในขอบเขตทีก่ ว้างขวาง และปรับปรุงแก้ไขให้บงั เกิดผล
อย่างเด็ดขาดและรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกของสงคราม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)

89

ผู้นำเยอรมันได้ใช้ยุทธศาสตร์การเข้าหาข้าศึกทางอ้อมที่กว้างไกล ในด้านการส่งกำลังบำรุงและจิตวิทยาทั้งใน
สนามรบและเขตหลงั ของประเทศขา้ ศึก แต่ในระยะหลังกลบั เปิดโอกาสให้ฝา่ ยพนั ธมติ รใชย้ ทุ ธศาสตร์กบั ตนเอง

ฮิตเลอร์ได้กลา่ วว่า “สงครามอนั แทจ้ ริงของเราท่ีจริงแล้วจะตอ่ สกู้ ันกอ่ นที่การปฏิบัติทางทหารจะเริ่ม
ขนึ้ ” ฮติ เลอรไ์ ดเ้ ร่ิมดำเนนิ ยุทธศาสตร์ด้วยการรณรงคท์ างการเมือง จนสามารถเข้ากุมอำนาจเป็นผู้นำเยอรมัน
ได้ในปี ค.ศ.1933 หลังจากนั้นก็ได้ดำเนินการคืบหน้าและกว้างขวางออกไปเรื่อย ๆ โดยในปี
ค.ศ.1934 ไดท้ ำสัญญาสันตภิ าพเป็นเวลา 10 ปีกบั โปแลนด์ เพอ่ื ไมใ่ หม้ ีศตั รทู างตะวันออก ในปี ค.ศ.1935 ได้
ละเมดิ ข้อตกลงจำกดั อาวุธตามสนธิสัญญาแวรซ์ ายส์ และในปี ค.ศ.1936 กไ็ ดส้ ่งกำลงั เข้ายึดครอง Rhiueland
กับได้ร่วมกับอิตาลสี นับสนนุ นายพล ฟรังโก (Franco) ลม้ ล้างรัฐบาลสเปน (Spain) ซ่งึ เป็นการเข้าหาฝร่ังเศส
และอังกฤษโดยอ้อมไปข้างหลัง ในมีนาคม ค.ศ.1938 ฮิตเลอร์ได้เคลื่อนกำลังเขา้ ไปในออสเตรีย เป็นการเข้า
ประชิดเชโกสโลวะเกียทางด้านใต้ไปด้วย และแหกวงลอ้ มท่ีเยอรมนั ถูกปิดเม่ือหลังสงครามโลกครงั้ ท่ี 1 ต่อมาใน
กนั ยายน ค.ศ.1938 เยอรมันกไ็ ด้ดินแดน Sudetenland ระหวา่ งเชโกสโลวะเกยี กับโปแลนดไ์ ว้ ตามขอ้ ตกลงที่
เมอื งมิวนคิ (Munich) ทำให้เชโกสโลวะเกียถูกปิดล้อมไว้เกือบทุกด้าน ซ่งึ ตอ่ มาในมนี าคม ค.ศ.1939 ฮิตเลอร์
ก็ได้เข้ายึดครองเชโกสโลวะเกียร์ที่ปิดล้อมไว้แล้วนี้ เป็นการโอบล้อมโปแลนด์ทางด้านใต้ไปด้วยการดำเนิน
ยุทธศาสตร์แบบรุกเงียบ ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อติดต่อกันไปเป็นขั้นเป็นตอน โดยใช้การโฆษณาชวนเช่ืออย่างมี
เหตุผลดังกล่าวแล้วน้ี ฮิตเลอร์ไม่ได้เพียงแต่จะทำลายอิทธิพลของฝรั่งเศสในยุโรปตอนกลาง และแหกวงล้อม
ทางยทุ ธศาสตรอ์ อกมาไดเ้ ทา่ นน้ั หากยงั ทำใหส้ ถานการณก์ ลบั กลายมาเอือ้ อำนวยแกเ่ ยอรมัน นับวา่ เป็นการทำให้
เยอรมันพร้อมที่จะทำสงครามมากขึน้ โดยที่กำลังของเยอรมนีได้เติบโตเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในทางตรงและ
ทางอ้อม ในทางตรงนั้นเยอรมันสามารถพัฒนากองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ได้อย่างมหาศาล ส่วนทางอ้อม
ประเทศท่นี า่ จะเป็นข้าศึกได้ถกู ลิดรอนพนั ธมิตรให้ลดน้อยลงไป และรากฐานของยุทธศาสตร์ต้องถูกสั่นคลอน
ครั้นแล้วในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.1939 ฮิลเตอร์ก็ได้ประท้วงอังก๋ฤษ ในการที่ประกันความปลอดภยั ให้แก่โปแลนด์
และโรมาเนียในระหว่างนัน้ องั กฤษกับฝรัง่ เศสไมอ่ าจจะส่งกำลงั เข้าไปในยุโรปภาคกลางได้ อกี ท้ังกำลังก็น้อยกว่า
เยอรมัน ฮิตเลอร์จึงไม่ห่วงทางด้านตะวันตก และถือโอกาสโจมตีเอาชนะโปแลนด์ได้ไม่ยากนัก โดยมีรัสเซีย
ยกกำลังเขา้ มาแบง่ ยดึ เอาพืน้ ท่กี ารเกษตร 200,000 ตร.กม. ประชาชน 13 ลา้ นคน ของโปแลนด์ไปเยอรมันได้
พื้นท่สี ว่ นท่เี หลอื ซ่ึงสมบูรณท์ ี่สุด กบั ประชาชน 22 ล้านคน เยอรมันจับเชลยได้ 694,000 คน รสั เซยี
2. นโยบายของฝ่ายพันธมิตร ในตอนที่ฮิตเลอร์มีอำนาจในเยอรมันใหม่ ๆ และเมื่อเซมเบอร์เลน
(Chamberlain)เขา้ รบั ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษไมม่ ีกำลงั ทหารมากพอจะสนับสนนุ การฑูตได้ อังกฤษจึง
ตอ้ งเอาใจเยอรมนั วนิ สตนั เซอร์ซิลล์ (Winston Churchill) ซ่ึงในขณะนัน้ ยังเป็นเพียงสมาชิกสภา ได้เสนอให้
อังกฤษเป็นพันธมิตรกับรัสเซียเสีย แต่ เซมเบอร์เลน ไม่ไว้ใจรัสเซีย และไม่เช่ือว่ารัสเซียจะสามารถเอาชนะ
เยอรมันได้ อังกฤษกลับไปให้การประกนั ความปลอดภัยแก่โปแลนด์ เมื่อโปแลนด์ถูกเยอรมันบุกโจมตี อังกฤษ
กับฝรง่ั เศสจึงไดป้ ระกาศสงครามกบั เยอรมนั ใน 3 กันยายน ค.ศ.1939

เซอร์ซิลล์ ได้แถลงถึงจุดหมายของสงครามในสภาอังกฤษว่า “นี่ไม่ใช่ปัญหาการสู้รบเพื่อดานซิก
(Danzig) หรือโปแลนด์ เรากำลังสู้รบเพื่อช่วยทั้งโลกให้พ้นจากความร้ายกาจของทรราชย์นาซี (Nazi) และ
ป้องกันทุกสิ่งที่มนุษย์ให้ความเคารพสูงสุดจะล่วงเกินไม่ได้” ดังนี้ จะเห็นได้ว่าในทัศนะของอังกฤษ สงคราม

90

คราวนี้ถือเป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วใน 4 กันยายน ค.ศ.1939 นายกรัฐมนตรีเซมเบอร์เลน
(Chamberlain) ได้พูดทางวิทยุกระจายเสียงกับประชาชนเยอรมันว่า “ในสงครามคราวนี้ เราไม่ได้สู้กับท่าน
ประชาชนเยอรมนั ผซู้ ง่ึ เราไม่มีความรู้สกึ ขมขนื่ ดว้ ยเลย หากแต่สูร้ บกับระบอบการปกครองทกี่ ดข่ีและมีแต่การ
ประหัตประหารกัน” อังกฤษและฝรั่งเศสไดป้ ฏิเสธข้อเสนอสันตภิ าพของฮติ เลอร์ หลังจากที่ยึดโปแลนด์ โดย
ประกาศว่า “เราไม่มีเจตนาจะกีดกันเยอรมันไม่ให้อยู่ในที่อันมีสิทธิโดยชอบธรรมในยโุ รป ซึ่งจะอยู่อย่างเป็น
มติ รและเช่ือม่ันกับชาตอิ นื่ ๆ… เราไมไ่ ดเ้ ขา้ สสู่ งครามน้ีด้วยเจตนาทีจ่ ะล้างแคน้ แต่เพียงเพื่อจะป้องกนั เสรีภาพ
เทา่ นัน้ ”

ตอ่ มาเมอ่ื 10 พฤษภาคม ค.ศ.1940 Sir Winston Churchill ได้เปน็ นายกรัฐมนตรี และ
รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงกลาโหม ทำให้การทำสงครามอยู่ในอำนาจหนา้ ที่ของเซอร์ซิลล์อยา่ งสมบูรณ์ และท่าน
ก็ได้ทำหน้าที่ในการทำสงครามอยา่ งดีเด่น เซอรซ์ ิลมคี ุณสมบตั ิตามท่นี โปเลียนกล่าวไว้ว่า “คุณสมบัตปิ ระการ
แรกของแม่ทัพ กค็ ือ จะต้องมคี วามสุขมุ เยือกเยน็ ทีจ่ ะไดร้ บั ทราบเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ อยา่ งถกู ตอ้ งตามความจรงิ
ไม่ตน่ื เต้นหรืองนุ งง เพราะขา่ วดหี รอื ขา่ วรา้ ย”

หลังจากท่เี ข้ารบั ตำแหนง่ นายกรัฐมนตรีได้ 3 วัน เซอรซ์ ิลไดแ้ ถลงนโยบายในการทำสงครามว่า “เม่ือ
ทา่ นถามว่านโยบายของเราคืออะไร ข้าพเจ้าจะตอบวา่ คอื เราจะทำสงครามทางทะเล ทางบก และทางอากาศ
ด้วยแสนยานุภาพทั้งหมดของเรา และกำลังทั้งหมดที่พระเจ้าสามารถให้เราได้ จะทำสงครามต่อสู้กับการ
ปกครองอย่างกดขี่โหดร้าย ไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นอาชญากรรมของมนุษยชาติทีป่ ่าเถื่อนและน่าเสียใจนั่น
คอื นโยบายของเรา เมอื่ ท่านถามวา่ จุดหมายของเราคืออะไร ข้าพเจ้าตอบได้ด้วยคำ ๆ เดียว คอื ชยั ชนะ เป็น
ชัยชนะที่ได้มาด้วยการสูญเสียทั้งมวล แม้จะด้วยความสยดสยองทั้งปวง อย่างไรก็ตาม ถนนที่ไปสู่ชัยชนะ
อาจจะยาวและยากลำบาก ถ้าปราศจากชยั ชนะ ก็จะไม่มีการอยูร่ อด ดงั น้นั จงมา เราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกนั
ดว้ ยกำลังทร่ี วมเป็นอันหนึง่ อนั เดียวกนั ”

3. การบุกยุโรปของฝ่ายอักษะ ผลการปฏิบัติการของกำลังหน่วยรถถังในสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี
ค.ศ.1918 ได้ให้แนวความคดิ ในการใช้รถถงั แก่แมท่ พั เยอรมันในสงครามโลกครง้ั ที่ 2 นี้ นายพล ไฮนซ์ กูเดเรยี น
(Heinz Guderian) แม่ทัพกองทัพน้อยเยอรมันเชื่อว่า กองบัญชาการของข้าศึกจะเป็นอัมพาตไปโดยสิ้นเชิง
โดยการเขา้ ตีบดขย้แี นวหนา้ แลว้ ผ่านไปอยา่ งฉับพลันทนั ที ซ่ึงแทท้ ่จี ริงแล้ว แนวความคิดนเี้ ป็นกลยุทธ์การเข้า
หาขา้ ศึกทางออ้ ม แทนทจี่ ะทำการเข้าตตี รงหน้าดังเดิมน่นั เอง แตว่ ธิ กี ารแตกต่างกันออกไป

เมื่อกองทัพน้อยยานเกราะที่ 19 ของกูเดเรียนรุกไปถึงซีดาน (Sedan) บนฝั่งแม่น้ำ Mense แล้วยัง
เหลืออีก 160 ไมล์ ก็จะถึงช่องแคบอังกฤษ จุดหมายของการดำเนินกลยุทธ์จึงเป็นที่ประจักษ์ว่า เยอรมันทำ
สงครามสายฟ้าแลบ โดยใช้ความคล่องแคล่วรวดเร็วเป็นอาวุธทางจิตวิทยา ไม่ได้หวังที่จะสังหารข้าศึก แต่
ต้องการที่จะเคลื่อนที่รุดไปข้างหน้า เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว ทำให้ข้าศึกงงงวย อกสั่นขวัญหาย สงสัยและ
สับสนในพื้นที่เขตหลัง ซ้ำข่าวการบุกรุดหน้าอย่างรวดเร็วกระจายออกไป จนเกิดการตกใจกลัวกันอย่าง
กว้างขวาง จุดหมายที่ต้องการทำให้เป็นอัมพาตไปนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่กองบัญชาการของข้าศึกเทา่ นั้น หากแต่
ยงั เป็นรฐั บาลของประเทศข้าศกึ อีกด้วย

91

กำลังของเยอรมันที่บุกฝรั่งเศส เมื่อพฤษภาคม ค.ศ.1940 ได้จัดเป็น 3 หมู่กองทัพ A, B และ C
หม่กู องทพั A และ B อยูท่ างเหนือ หมกู่ องทพั C ทำการตรงึ แนวมายโิ นดไ์ ลร์ (Maginot line) ไว้ หม่กู องทัพ A
มี 3 กองทัพ เรียงจากขวาไปซา้ ย ด้วยกองทัพที่ 4 กองทัพที่ 12 และกองทัพที่ 16 กองทัพที่ 4 มีกองพลยาน
เกราะที่ 5 และที่ 7 ขึ้นอยู่ กองพลยานเกราะที่ 6 และที่ 8 รวมเป็นกองทัพน้อยที่ 41 พลเอกไรน์ฮาดด์
(Reinhardt) เป็นแม่ทัพ กองพลยานเกราะที่ 1, 2 และ 10 รวมเป็นกองทัพน้อยที่ 19 พลเอกกูเดเรียน
(Guderian) เป็นแม่ทัพ สองกองทัพน้อยยานเกราะนี้ขึ้นต่อ พลเอกฟอนไคสต์ (Vonkarl) รวมพลอยู่ในพื้นที่
ของกองทพั ท่ี 12 เป็นกำลังหัวหอกที่จะบกุ โจมตี

ใน 10 พฤษภาคม ค.ศ.1940 ได้เร่ิมทำการเข้าตี รงุ่ ขนึ้ กองระวงั ปอ้ งกันของฝรัง่ เศสที่ปา่ Ardennes ก็
ถูกขับไล่ถอยไปทางตะวันตก 12 พฤษภาคม กูเดเรียนโจมตีและยึดเมือง Bouillon ได้ และก่อนค่ำ กองทัพ
น้อยยานเกราะที่ 19 ของกเู ดเรยี น ก็ไปถงึ ฝง่ั ตะวนั ออกแมน่ ้ำ Meuse ทเ่ี มอื ง Sedan ขณะท่ีกองทัพนอ้ ยยาน
เกราะท่ี 41 เขา้ ประชิดเมอื ง Montherme และกองพลยานเกราะท่ี 7 ของรอมเมล (Rommel) รกุ ไปถึงเมอื ง
Houx ใน 13พฤษภาคม กำลงั ของเยอรมันก็ขา้ มแม่นำ้ Meuse ได้ โดยใชเ้ คร่อื งบนิ ดำท้ิงระเบดิ โจมตีกำบังให้
การรุกได้เริ่มขึ้นใหม่ใน 16 พฤษภาคม หลังจากนั้นเป็นการรุกแข่งกันไปให้ถึงช่องแคบอังกฤษ พอถึง 20
พฤษภาคม เมอื ง Montreuil, Doullens, Amiens และ Abbeville กถ็ ูกยึดหมด เสน้ ทางคมนาคมขององั กฤษ
ถูกตดั ขาด ไมม่ ีการต้านทานตามทางทไี่ ปสู่ทา่ เรือที่ช่องแคบเยอรมนั ใชเ้ วลา 11 วนั วดั การรุกได้ 220 ไมล์ ตัด
การตดิ ตอ่ สื่อสารของกองบัญชาการองั กฤษและฝรั่งเศส ใหเ้ ป็นอัมพาตไป เยอรมนั ได้ประสบผลสำเร็จอย่างดี
ยิ่งในสงครามสายฟ้าแลบ โดยอาศัยความเร็วในการเคลื่อนที่ การจู่โจม และการประสานการปฏิบัติระหว่าง
กำลงั ทางบกกบั ทางอากาศ อยา่ งไม่เคยปรากฎมาก่อน ขณะที่ใชก้ ารโฆษณาชวนเช่อื โหมกระพือขา่ วให้เกิดการ
สบั สนและเสียขวญั ทงั้ ในสนามรบและแนวหลัง

4. การยุทธในแอฟรกิ า
เยอรมันกับอิตาลีมุง่ หมายที่จะเข้าครอบครองอียิปต์และคลองสเุ อช โดยอิตาลีได้เปดิ ฉากการรกุ จาก
ลิเบียไปหาอียิปต์ ในกันยายน ค.ศ.1940 กำลังของอิตาลีมากกว่าอังกฤษที่ป้องกันรักษาอยี ิปต์ แต่ไม่มีความ
คล่องแคล่ว ยานยนต์มีจำกัดดำเนนิ กลยุทธ์ไม่ได้และขาดการจู่โจม เมื่อทำการรกุ ไปในทะเลทรายได้เพียง 70
ไมล์ ก็ตอ้ งหยดุ อยทู่ ี่ไซได บารานไน (Sidi Barrani) ถงึ 2 เดือน อังกฤษพยายามป้องกนั โดยการเข้าตีแล้วถอย
ด้วยกองพลยานเกราะที่ 7 และกองพลทหารราบที่ 4 อินเดีย เมื่อเข้าตีแล้ว กองพลอินเดียได้ถอยกลับไปท่ี
ซดู าน (Sudan) เพ่อื ปอ้ งกันการโจมตีของอติ าลี ทีอ่ ยใู่ นอรี ิเตรยี (Eritrea) และ อาเบียซินสิ Abyssinis ต่อมาใน
9 ธันวาคม อังกฤษได้เข้าตีโอบอิตาลี จับเชลยได้ 35,000 คน กำลังของอิตาลีที่ไม่ถูกจับต้องถอยไปบาร์เดีย
(Bardia) บางส่วนได้ถอยไป Benghazi แล้วไปยังทริโปลี (Tripoli) โดยถูกกองพลยานเกราะท่ี 7 ไล่ติดตามไป
ถึงเบนกาซี (Benghazi) ใน 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.1941 และทำการโจมตีจนกำลังอิตาลียอมแพ้ ถูกจับเป็นเชลย
21,000 คน ในตอนนี้กำลังส่วนหนึ่งของ Afrika Korps เยอรมันไดเ้ ดินทางไปถึงทริโปลี (Tripoli) แต่ไม่ทันที่
จะช่วยอิตาลีได้ กำลังกองทัพน้อยยานเกราะในบังคับบัญชาของ นายพลเออรว์ นิ รอมเมล (Erwin Rommel)
น้ี ไดท้ ำการยุทธอยูใ่ นแอฟริกาเหนอื นานถึง 2 ปกี วา่

92

ใน 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1941 กองทัพที่ 8 ของอังกฤษ ได้ทำการเข้าตีกองทัพน้อยของ รอมเมล แต่
ต้องพ่ายแพ้ท้ัง ๆ ทก่ี ำลังมากกว่าและคล่องแคลว่ กวา่ เพราะรอมเมลทำการโอบและลอ่ ใหร้ ถถังอังกฤษเข้าไป
อยู่ในวงล้อมของรถถังเยอรมัน และการระดมยิงด้วยปืน 88 มม. ทำให้อังกฤษต้องเสียทั้งความได้เปรยี บทาง
ยุทธศาสตร์ และรถถังจำนวนมาก รอมเมลได้ขยายผลโดยรุกโอบลึกต่อกองทัพที่ 8 แต่กำลังยานเกราะ 3
กองพล ได้รุกไกลเกินไป ขาดการติดต่อกับส่วนใหญ่ กำลังยานเกราะของอังกฤษที่เยอรมันรุกผ่านไป จึงเข้า
โจมตีเข้าเชื่อมต่อกับของอังกฤษที่ Trobruk ในธันวาคม เยอรมันก็ต้องถอนตัวออกจากการยุทธรอบเมือง
โทรบรุค (Trobruk) และถอยไปยังกาซีล่า (Gazala) และต้องไปถึงแนวรบไตรโปลิตาเนีย (Tripolitania) ซึ่ง
รอมเมลไดโ้ อบปกี กำลงั ขององั กฤษทเี่ ข้าตีได้ชยั ชนะไปอีกครัง้ เม่ือ 27 ธนั วาคม 1941

แนวรบได้สงบนิ่งอยู่ 3 เดือน พอถึงเดือนพฤษภาคม รอมเมลได้ใช้หน่วยยานเกราะรุกโอบปีก ในคืน
วันที่ 26 ทำให้กองทัพที่ 8 อังกฤษเสียหลัก แต่รอมเมลก็เกือบเสียทีอังกฤษ เมื่อไปวางกำลังตั้งรับข้างหน้า
สนามทุนระเบดิ ที่อังกฤษทำไว้ แต่สามารถแก้ไขสถานการณท์ ำการรุกเข้าโอบปกี ไดอ้ กี คร้ัง กำลังบางส่วนของ
อังกฤษถอยไป Trobruk หน่วยยานเกราะของรอมเมลไล่ติดตามผ่าน Trobruk ไปก่อน แล้วจึงหันกลับเข้า
โจมตี นับเป็นการเข้าหาข้าศึกทางอ้อมชั้นยอด ทั้งในด้านการยุทธและจิตวิทยา เยอรมันเข้ายึดได้หมดท้ัง
ยทุ โธปกรณแ์ ละยานพาหนะ ซึ่งชว่ ยให้รอมเมลทำการรุกรบต่อไปไดอ้ ีกนาน รอมเมลไล่ติดตามกองทัพที่ 8 ไป
จนใกล้หุบเขา Nile แต่ก็ต้องถูกต้านทานอย่างทรหด จนต้องหยุดอยู่ที่นั่นหลังจากนั้นไม่นานอังกฤษได้ส่ง
นายพล เบอร์นารด์ ลอว์ มอนตโ์ กเมอรี่ (Gen Bernard low montgomorey) ไปเปน็ แม่ทัพกองทพั ที่ 8

รอมเมล เป็นฝ่ายเขา้ ตกี ่อนในปลายเดือนสิงหาคม รถถงั เยอรมันถกู ทุน่ ระเบิดและเสียหาย เพราะการ
เข้าตีครั้งนี้ไม่น้อย เนื่องจากถูกกองพลยานเกราะที่ 7 โอบปีก กองทัพที่ 8 ได้หยุดเตรียมการอยู่นาน แล้วจึง
เริ่มทำการรกุ ใหม่ในปลายเดือนตุลาคม โดยมกี ำลังเหนือกว่าเยอรมนั มากทั้งทางอากาศ ปืนใหญ่ และรถถงั การ
สู้รบได้เป็นไปอย่างดุเดือดทั้งสัปดาห์ เรือบรรทุกน้ำมันที่จะนำไปส่งให้รอมเมล ได้ถูกเรือดำน้ำจมในทะเล
เมดิเตอร์ เรเนียน ทำให้เยอรมันขาดแคลนน้ำมันเคลื่อนย้ายไม่ได้ตามต้องการ และเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
รอมเมลได้ท้ิงหนว่ ยทอ่ี ุย้ อา้ ยและไมช่ ำนาญการรบ รวมทั้งทหารอิตาลจี ำนวนมากไว้นำเอาหนว่ ยท่ีเลือกแล้วขน
ขึ้นรถยนต์หนีรอดไปได้ เนื่องจากกำลังยานเกราะที่ได้ติดตามน้ำมันไม่พอ ฝนตกหนักและระยะทางไกลใน
ทะเลทราย รอมเมลถอยหนีไปเรอ่ื ยไม่ยอมหยดุ จนไปถึงทีม่ ัน่ ใกล้ เอล อาไกหลา (El Agheila ) 700 ไมล์จาก
เอล อลาเมน (El Alamain)

การรบได้หยุดไปอีก 3 สัปดาห์กว่าที่กองทัพที่ 8 จะจัดกำลังและทำการเข้าตีที่มั่น El Agheila ของ
รอมเมล กำลังของรอมเมลได้ตีฝ่าทหารอังกฤษ เลด็ ลอดหนีไปได้ก่อนท่ีจะถูกระดมยงิ ด้วยปืนใหญ่ รอมเมลไป
หยุดอีกครง้ั ท่ี Buerat ไกลออกไป 200 ไมล์ และพักอยู่ทน่ี ี่ 3 สปั ดาห์ แต่เมื่อกองทพั ท่ี 8 ตามมาทัน และเข้าตี
อีกในกลางเดือนมกราคม รอมเมลกถ็ อยหนีต่อไปอกี คราวนี้ถอยไปเรื่อยถึง 350 ไมล์ ผ่าน Tripoli ไปยังแนว
Mareth หลังพรมแดน Tunisia เนื่องจากกำลังนอ้ ยลง เรือขนส่งส่วนมากถูกจม และอังกฤษกับสหรัฐฯ ได้บุก
โมรอคโค (Morocco) และเอลเกเรีย (Algeria) เมื่อพฤศจิกายน ปีที่แล้ว เยอรมันได้ส่งกำลังทหารไปเสริม
โดยทางอากาศและเรอื ชายฝ่ังขนาดเลก็ ใกล้ ๆ ตูนสิ (Tunis) เพอ่ื ที่จะยันกองทพั พนั ธมิตรท่ี 1 การนำเอากำลัง
กองหนุนของเยอรมันและอิตาลีจำนวนมากข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปเสริมที่ตูนิเซีย (Tunisia) ช่วยให้

93

การยกพลขึ้นบกยุโรปของฝ่ายพันธมิตรที่จะกระทำสะดวกขึ้น แอฟริกาเหนือจึงเป็นเหยื่อทางยุทธศาสตร์
ประกอบกับการบุกโซเวียตของเยอรมนั ทำให้ฮิตเลอรพ์ ลาดท่าเสียที เช่นเดียวกบั ที่สเปนเป็นเหยือ่ ให้นโปเลียน
พลาดมาแล้ว แนวรบของเยอรมันยาวเหยียดจากแอฟรกิ าเหนือจนถงึ โซเวยี ต การทำศึกหลายด้านทห่ี ่างไกลกัน
เช่นนี้ ทำใหค้ วามฝันของฮิตเลอรต์ อ้ งสลายลงแบบเดียวกบั นโปเลยี น

การยุทธในปี ค.ศ.1943 ที่ Tunisia ได้เริ่มขึ้นอีก โดยเยอรมันเป็นฝ่ายตีโต้ตอบก่อน ทำให้ฝ่าย
พันธมิตรถึงกับตกตะลึง เพราะตอนนั้นฝ่ายพันธมิตรมีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 2 กองทัพ กองทัพที่ 1 ของอังกฤษ
สหรัฐฯ ที่ตะวันตก และกองทัพที่ 8 ของอังกฤษ ที่อยู่ทางตะวันออก จะโจมตีเข้าบีบกำลังของเยอรมันเสีย
เม่ือไรกไ็ ด้ แตท่ างฝ่ายเยอรมนั กไ็ ด้รับกำลงั เพิ่มเตมิ จดั เป็นกองทพั ข้ึนมาเหมือนกนั รอมเมลตั้งใจจะใช้กลยุทธ์
ทางเส้นในแบบนโปเลยี น ที่ทุ่มกำลังเข้าตีข้าศกึ ทีละกองทัพให้แตกพา่ ยไป แผนของรอมเมลนับว่าหลักแหลม
ทีเดียว แต่การปฏิบัตติ ามแผนกลบั เกิดปัญหายุ่งยาก เพราะกำลังส่วนหนึ่งของอติ าลีท่ใี ช้ดำเนนิ กลยุทธ์ไม่ได้อยู่
ในความควบคุมของรอมเมล การเข้าตี Thala จึงล้มเหลว รอมเมลต้องถอนตัวจากการเข้าตี พอวันรุ่งขึ้นได้มี
คำสั่งจากโรม ให้กำลงั ฝ่ายอักษะท้ังหมด ข้นึ ในบังคับบญั ชารอมเมล แตก่ ส็ ายไปเสียแลว้ รอมเมลเข้าตีอีกคร้ัง
จากแนว Mareth ใน 6 มนี าคม ค.ศ.1943 แต่ตอนนี้ มอนต์โกเมอรี มีรถถงั ถงึ 400 คนั กบั ปืนใหญ่ต่อสู้รถถัง
กว่า 600 กระบอก การเข้าตีครัง้ น้ี เยอรมันเสียรถถังไป 50 คัน ทำให้เสียเปรยี บในการยทุ ธที่จะกระทำต่อไป
พอดกี บั รอมเมลป่วยตอ้ งกลับไปยโุ รป

การรุกของกองทัพน้อยที่ 2 ของสหรัฐฯ ของ นายพลยอร์ช เอส แพตตัน (Gen George S. Patton)
เมอื่ 17 มนี าคม ท่ีลม้ เหลว เพราะถูกต้านทานหยดุ อยทู่ ชี่ ่องเขา ทำใหเ้ ยอรมนั พยายามจะทำการรุกบ้าง แตก่ ็ไม่
สำเรจ็ และเสยี รถถงั ไปอกี 40 คนั เป็นเหตใุ ห้กำลงั ออ่ นลงไปอีก ยากแก่การต้านทานการรุกของมอนต์โกเมอร่ี
กองทัพที่ 8 ได้เริ่มเข้าตีแนว Mareth ในคืน 20 มีนาคม ทำให้เยอรมันต้องชิงละท้ิงที่มั่นในแนวนี้ โดยไม่เสีย
กำลังไปมากนัก เยอรมนั ไดท้ ำการรบหน่วงเวลาเป็นขน้ั ๆ ไปยังตนู สี (Tunis) ซึง่ คาดวา่ จะต้านทานต่อไปได้อีก
นาน และอาจจะถอนกำลังออกจากแอฟริกา กลับไปยังซิซิลี (Sicily) เลยก็ได้ การถอยของกองทัพยานเกราะ
แอฟริกาของรอมเมลจาก El Alamein ถึง Tunis เป็นระยะทาง 2,000 ไมล์นี้ นับได้ว่าเป็นการปฏิบัติการท่ี
ดเี ด่นในประวัติศาสตรก์ ารสงคราม เยอรมนั ไดต้ า้ นทานการรกุ ล้อมเข้าโจมตีของฝ่ายพนั ธมติ ร ทัง้ ทางเหนือและ
ใต้อยา่ งทรหด ใน 7 พฤษภาคม กองพลยานเกราะของอังกฤษก็เขา้ เมือง Tunis ได้ ทหารเยอรมนั กวา่ 250,000
คน ถูกจับเปน็ เชลย

สาเหตุของการพ่ายแพ้ของเยอรมันในตอนสุดท้ายนี้ เนื่องจากอาวุธยุทโธปกรณ์เสียหาย เพราะการ
โจมตีทางอากาศและการโอบล้อมเข้าด้านหลังแนวรบโดยหน่วยรถถัง การติดต่อสื่อสารถูกตัดขาด ทำให้เกิด
การเสียขวญั อยา่ งมาก ประกอบกับขาดกำลังกองหนนุ การที่ฐานทัพเยอรมนั ตง้ั อย่ใู กล้กับแนวที่มัน่ ตงั้ รับ ซงึ่ ถกู
เจาะเข้าไปได้ กเ็ ป็นอกี สาเหตหุ นงึ่ ทีท่ ำให้เยอรมนั ต้องพา่ ยแพ้ เพราะทหารในฐานทัพพากนั แตกตน่ื โดยเฉพาะ
อยา่ งยิ่งเมอ่ื ขา้ งหลังพวกเขาเป็นทะเลท่ฝี า่ ยพนั ธมติ รครองอยู่ รวมทง้ั ทางอากาศด้วย

อนึ่ง ในการยุทธครัง้ สุดท้ายนี้ ฝ่ายพันธมติ รไดด้ ำเนินกลยุทธ์แบบนโปเลียนและเหมือนกับการยทุ ธท่ี
แม่น้ำ Marne ในสงครามโลกครัง้ ที่ 1 ค.ศ.1914 โดยไม่ได้ต้ังใจ กล่าวคือ ได้เข้าตีลวงทางปีกของเยอรมัน ทำ
ให้เยอรมันต้องยึดแนวรบออกไปต้านทาน และเกิดจุดอ่อนให้ทำการเข้าตีแตกหักในบริเวณอื่น การยุทธ

94

ในแอฟรกิ าน้ีได้ใหบ้ ทเรียนทัง้ ในด้านการส่งกำลงั บำรุง และจติ วิทยาหลายประการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการเข้า
หาข้าศกึ ทางออ้ มในรูปแบบต่าง ๆ ท่คี วรสนใจและศกึ ษาโดยละเอยี ดอยา่ งมาก

5. การรกุ โตต้ อบของฝา่ ยพนั ธมิตร
เมื่อฮิตเลอร์เปลี่ยนใจไม่บุกเกาะอังกฤษแล้วหันไปบุกโจมตีโซเวียตแทน ในตอนแรกของการบุก
เยอรมันสามารถตกี องทัพของโซเวียตแตกพ่ายจนต้องถอยร่นไปถึงเมอื งสตาลินกราด (Stalingrad) และมอสโก
(Moscow) แต่แล้วก็ต้องไปผจญกบั ความโหดรา้ ยทารุณของความหนาวในฤดูหนาว และการต่อสู้อย่างทรหด
จนต้องพ่ายแพแ้ กโ่ ซเวยี ตที่ Stalingrad และถอยจากเทอื กเขา Caucasus ทำให้เยอรมนั หมดหวงั ทจ่ี ะเอาชนะ
โซเวียตได้อย่างเด็ดขาด การยุทธปี ค.ศ.1942-1943 ในโซเวียต ได้แสดงให้เห็นว่ายุทธศาสตร์ในเชิงรุกด้วย
กำลังอนั จำกัดในพน้ื ทก่ี ว้างใหญไ่ ม่จำกัดนั้น ยอ่ มกระทำได้อย่างจำกดั ในปี ค.ศ.1943 กำลงั ของเยอรมันเหลือ
น้อย ขณะที่ของโซเวียตเพม่ิ มากข้ึน ยากท่เี ยอรมันจะทำการตัง้ รับต้านทานโซเวยี ตท่ีทำการรุกโต้ตอบได้สำเร็จ
ถ้าเยอรมันจะทำให้สำเรจ็ ก็จะต้องปล่อยทิ้งดนิ แดนทีย่ ึดไว้ได้อยา่ งมากมาย แล้วทำการร่นถอยโดยตั้งรับแบบ
ยืดหยุน่ ใหโ้ ซเวียตรกุ ไกลออกมาจากใจกลางประเทศ เปน็ การผสมผสานยุทธศาสตรเ์ ชงิ รกุ กับเชงิ รับใหม้ ีโอกาส
ทำการตอบโตไ้ ดอ้ ยา่ งฉับพลนั
แต่ฮิตเลอร์ฝังใจติดอยู่แต่การทำการรุกตามหลักที่ว่า การเข้าตีเป็นรูปแบบของการตั้งรับดีที่สุด
รองลงไปเปน็ การต้านทานอย่างเหนยี วแนน่ ฮติ เลอรไ์ มย่ อมคิดถงึ เรื่องการถอยเลย เมอ่ื ปรากฎว่าเยอรมันขาด
แคลนกองหนุนและแนวต้ังรับที่ยดึ อยูเ่ ป็นอนั ตราย ฮิตเลอรก์ ็ไม่ยอมถอย กลับใหก้ องทพั ทำการเข้าตีอีกคร้ังใน
ฤดูร้อนปี ค.ศ.1943 เป็นเหตุให้เยอรมันต้องพยายามสู้พลางถอยพลางจากปี ค.ศ.1942 จนถึงกรกฎาคม
ค.ศ.1944 ตั้งแต่แนวรบด้านทะเลบอลติก (Baltic) ในโซเวียตลงมาจนถึงโรมาเนีย การยกพลขึ้นบกของฝ่าย
พันธมิตรที่เกาะชิชิลี (Sicily) เมื่อ 10 กรกฎาคม ที่ทำให้ฝ่ายอักษะในอิตาลีต้องพ่ายแพ้ต่อมา เมื่อกันยายน
ค.ศ.1942 ซง่ึ ไดร้ บั ผลกระทบจากผลการรบที่ตนู สิ (Tunis) ดว้ ย ไดท้ ำให้เยอรมนั ต้องโยกยา้ ยเอากำลงั ไปช่วยท่ี
แอฟรกิ า เปน็ การทำให้กำลงั เยอรมันในยุโรปลดนอ้ ยลง และฝา่ ยพนั ธมิตรโจมตที างอากาศไดก้ วา้ งขวางมากขึน้
การโจมตีทางอากาศต่อแหล่งอุตสาหกรรมของเยอรมัน นับได้ว่าเป็นการเข้าหาหรือโจมตีข้าศึก
ทางออ้ ม ถ้าการทิ้งระเบดิ ทางยุทธศาสตร์สามารถทำลายระบบการส่งกำลงั บำรุง แทนทจ่ี ะเป็นแหล่งชุมนุมชน
ก็จะทำให้การต้านทานของเยอรมันอ่อนกำลังลงเร็วขึ้น และถ้าสามารถทำลายระบบการติดตอ่ ส่ือสารได้ ก็จะ
เป็นการทำลายขวัญในการตอบโตก้ ารรกุ ของฝ่ายพนั ธมติ ร
ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่กรุงโรมถูกฝ่ายพันธมิตรยึดได้ ฝ่ายพันธมิตรก็ได้ยกพบขึ้นบกที่หาดนอร์มังดี
(Normandy) นับว่าเป็นการยุทธขั้นแตกหักของสงครามที่น่าทึ่งมาก การยกพลขึ้นบกได้เลื่อนกำหนดมาวัน
หนึ่ง เพราะอากาศเลว แต่ถึงกระนั้นในตอนยกพลก็ยังมีพายุรุนแรงอยู่ดีการตัดสินใจยอมเสี่ยงของ
นายพล ไอเซนเฮาว(์ Eisenhower) ผู้บัญชาการสูงสุดฝ่ายพันธมิตรได้ผลในการจโู่ จมตีมาก การขึ้นบกกระทำที่
อ่าว Seine ระหว่างเมือง Caen กับ Cherbourg ในตอนเช้าตรู่ของ 6 มิถุนายน ค.ศ.1944 โดยส่งกำลังพล
สง่ กำลังพลรม่ จำนวนมากโดดลงที่ใกล้ ๆ ปกี ทง้ั สองขา้ งของหัวหาด ทา่ มกลางความมืดก่อนรงุ่ สว่าง การโจมตี
ทางอากาศต่อระบบการติดต่อสื่อสารของเยอรมันได้กระทำล่วงหน้าอย่างต่อเนื่องและรุนแรงที่สุด เพื่อที่จะ

95

ขัดขวางไมใ่ ห้เยอรมนั เคลื่อนย้ายกำลังกองหนุนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันออกของแมน่ ้ำ Seine เข้ามาในพ้นื ที่
ยกพลขึน้ บกได้

การที่เยอรมันวางกำลังกองหนุนไว้ในบริเวณดังกล่าว ก็เพราะเชื่อว่าฝ่ายพันธมิตรจะยกพลขึ้นบกที่
แถบเมืองคาไซส์ ซงึ่ มีระยะห่างของช่องแคบสน้ั ที่สุด การโจมตที างอากาศทำลายสะพานขา้ มแม่น้ำ Seine โดย
ฝ่ายพันธมิตร ประกอบกับการลวงด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสร้างที่รวมพล รถถัง คลังสิ่งอุ ปกรณ์ ฯลฯ
หลอก ๆ เป็นกองทัพผีขึ้นมาที่บริเวณชายฝั่งอังกฤษตรงข้ามเมือง Calais ได้มีส่วนในการทำให้เยอรมันคิด
คำนวณการยกพลขึ้นบกของฝ่ายพันธมติ รผิดพลาด การต้านทานของเยอรมันที่ชายหาดเบาบางกวา่ ที่คาดไว้
มาก การยกพลขึ้นบกจึงกระทำไดง้ า่ ย นอกจากทางดา้ นปีกซ้ายซ่ึงเป็นเขตหัวหาดของสหรัฐฯ ทางตะวันออก
ของ Vire Estuary ใน 12 มถิ นุ ายน ฝ่ายพันธมติ รก็สามารยดึ หวั หาดไดก้ ว้างกวา่ 60 ไมล์

หลังจากที่ฝ่ายพันธมิตรยกพลขึ้นบกได้แล้ว เยอรมันได้โจมตีเกาะอังกฤษด้วยเครื่องบินไอพ่น V-1
(Vergeltungswaffe อาวธุ ตอบโต)้ เป็นเครอ่ื งบินไอพน่ ไมม่ นี ักบนิ บรรทกุ ดินระเบิดแรงสงู 1 ตนั เยอรมันหวัง
ทจ่ี ะสรา้ งออกใชไ้ ด้เดอื นละ 5,000 เครื่อง แต่การโจมตีทิ้งระเบิดของฝา่ ยพนั ธมิตรได้ทำให้การสร้างลดลง และ
ปล่อยไปโจมตีอังกฤษได้ทั้งหมดเพียง 10,500 เครื่อง ประมาณ 1 ใน 3 ได้ไปถึงเป้าหมาย ทำให้ประชาชน
เสียชีวิต 6,194 คน เนื่องจากถูกขัดขวางจากปืน เรือเหาะ และเครื่องบินขับไล่ ต่อมาตั้งแต่ 8 กันยายน
ค.ศ.1944 เยอรมนั กไ็ ด้ใชจ้ รวด V-2 เป็นจรวดทอ่ นเดียว บรรทุกดินระเบดิ 10 ตนั มีความเร็วเหนือเสียงท่ีไม่
อาจปอ้ งกนั ได้อยา่ ง V-1 เยอรมันยงิ ไปตกที่องั กฤษได้ 1,115 ลูก ประชาชนเสียชวี ติ ไป 2,754 คน นบั ได้ว่าเป็น
การเริ่มต้นของสงครามกดปุ่ม ซึ่งไอเซนเฮาว์เชื่อว่า ถ้าเยอรมันออกใช้ก่อนหน้านี้สัก 2 เดือน ก็จะทำให้การ
เตรียมยกพลขนึ้ บก ยากลำบากข้นึ มากทเี ดยี ว

ในสัปดาห์ที่ 2 ของการยกพลขึ้นบก กองทัพที่ 1 สหรัฐฯ ได้รุกไปถึงทา้ ยแหลม Cherbourg ขณะที่
กองทัพที่ 2 องั กฤษทางปีกตะวันออก คอยป้องกนั กำลงั เสริมของเยอรมนั Cherbourg ได้จากทางด้านหลังใน
27 มถิ ุนายน ในเดอื นกรกฎาคม ไดม้ กี ารสรู้ บกนั อย่างดุเดือด จนสญู เสยี กันฝา่ ยละมาก ๆ โดยไม่ได้ผลคืบหน้า
อะไรนัก ในช่วง 3 สัปดาห์แรกของกรกฎาคม กำลังสหรฐั ฯ ของนายพลแบรด (Briand) เลยรกุ ไปไดเ้ พยี ง 5-6
ไมล์เท่านั้น ขณะที่กองทัพที่ 3 สหรัฐฯ ของนายพลแพตตัน (Patton) ได้ข้ามจากเกาะอังกฤษมาขึ้นฝั่งท่ี
Normandy พร้อมที่จะทำการรุกใหญ่ใช้ชื่อว่า Operation Cobra ซึ่งเริ่มใน 25 กรกฎาคม ด้วยกำลัง 6
กองพล กว้างด้านหน้า 4 ไมล์ ทำการโจมตีทิ้งระเบิดอย่างรุนแรงยิ่งกว่า Operation Goodwood ที่กำลัง 3
กองพลยานเกราะทำการรุกจากหัวหาดทางตะวันออกเฉยี งเหนอื ของเมืองคนี (Caen)

ขบวนรถถังของนายพลแพตตัน ได้รุกลงทางใต้แล้วไปทางตะวันตกด้านเหนือของ Loire มุ่งไปยัง Le
Mans และ Chartres กวา้ งดา้ นหน้าเดิมทห่ี ัวหาด 70 ไมล์ ไดข้ ยายออกไปเป็น 400 ไมล์ กว้างเกนิ กว่าที่กำลัง
ของเยอรมนั ที่มอี ยู่จะยบั ย้งั การรุกของฝ่ายพันธมิตรได้ เยอรมันพยายามตโี ตต้ อบใน 6 สงิ หาคม ดว้ ย 4 กองพล
รถถัง แต่ก็ถกู ตา้ นทานไวไ้ ด้และถูกฝา่ ยพนั ธมติ รโจมตีทางอากาศ จนต้องลา่ ถอยไปทางตะวันตกแลว้ ไปถูกกำลัง
ของสหรัฐฯเข้าโอบด้านหลงั รว่ มกับกองทพั แคนาดาอกี ดา้ นหนง่ึ เยอรมนั ถกู จับเปน็ เชลย 50,000 คน ศพทหาร
กระจัดกระจายในสนามรบอีก 10,000 คน ฝ่ายพันธมิตรได้ใช้ความเร็วรุกผ่านกำลังส่วนใหญ่ของเยอรมันไป

96

เรื่อย ๆ พนื้ ที่ซ่งึ กว้างขวางและความรวดเรว็ ในการเคลือ่ นที่ ไดช้ ่วยให้ฝา่ ยพันธมิตรรุกไปทางตะวนั ออกได้ โดย
ใชก้ ำลงั หนว่ ยยานยนตท์ ีเ่ หนอื กว่า

การพ่ายแพ้ของเยอรมันในฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้ฝ่ายพันธมิตรนำกำลังกองทัพที่ 7
สหรัฐฯ กับฝรั่งเศสไปขึ้นบกทางใต้ของฝรั่งเศสเมื่อ 15 สิงหาคม ซึ่งประสบการต้านทานด้วยกำลังเพียง 4
กองพล เมือง หมากเซสส์ (Marseilles) ถูกฝ่ายพันธมิตรยดึ ได้ใน 23 สิงหาคม แล้วเคลื่อนที่ต่อไปถึงเมอื งกรี
โนเบล (Grenoble) ในวนั เดียวกนั หนว่ ยยานเกราะของฝ่ายพนั ธมิตรเขา้ กรงุ ปารีสได้ ใน 25 สงิ หาคม การรุก
รบทแ่ี ล้วมาและตอ่ ๆ ไปใน ฝรงั่ เศส ทำใหท้ หารเยอรมนั ต้องถกู จับเปน็ เชลยมากกวา่ 500,000 คน เยอรมนั ไม่
มที างทีจ่ ะใชก้ ำลงั กองหนุนยดึ รกั ษาแนวตั้งรบั ซึ่งยาวถึง 500 ไมล์ จากสวติ เซอร์แลนดไ์ ปถงึ ทะเลเหนอื ไว้ได้ แต่
เยอรมันกส็ ามารถสู้พลางถอยพลางอย่างทรหด ทำใหส้ งครามยดื เย้ือออกไปอีกถงึ 8 เดือน ฝา่ ยพันธมิตรได้ส่ง
กองพลสง่ ทางอากาศท่ี 1 ไปลงทเี่ มือง อมั เฮม (Arnhem) ซึ่งไกลจากแนวรบมาก โดยต้องเสยี กำลังไปเปล่า ๆ
หลังจากการสู้รบอย่างโดดเดี่ยวอยู่ 10 วัน ทำให้ความหวังที่จะได้ชัยชนะสงครามต้องเลือนรางไป ต่อมาใน
กลางเดือนพฤศจกิ ายน ฝ่ายพันธมิตรไดท้ ำการรุกใหญอ่ ีกด้วยกำลงั 6 กองทพั ทางแนวตะวนั ตก แต่ไม่ประสบ
ผลสำเร็จ และต้องเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากสภาพภูมิประเทศไม่อำนวย และเยอรมันคาดหมายการเข้าตี
ตามแนวรบได้ถกู ต้อง

กลางเดอื นธนั วาคม เยอรมันได้ทำการรกุ โตต้ อบคร้ังใหญจ่ ากปา่ อาร์เดนนสิ (Ardennes) ด้วยกองทัพ
รถถังท่ี 5 และ 6 โดยอาศัยสภาพอากาศทีไ่ มด่ ีกำบงั การโจมตีทางอากาศของฝ่ายพนั ธมิตร แตก่ ารรุกของรถถัง
เยอรมันก็มปี ญั หาในการทีต่ อ้ งไปอดั แอกันตามถนนตา่ ง ๆ ทีม่ สี ภาพเปน็ คอขวด จุดหมายในการรกุ ของเยอรมัน
กค็ ือ ตอ้ งการจะมุง่ ไปสู่เมืองอาทเวฟ (Antwerp) โดยทางอ้อมเพื่อตดั กองทพั องั กฤษให้ขาดจากกองทัพสหรัฐฯ
และการสง่ กำลงั การจโู่ จมไดช้ ่วยใหก้ องทพั รถถังที่ 5 เยอรมัน รกุ ไปไดม้ ากในวันแรก ๆ ขณะท่ีกองทพั ท่ี 6 รุก
ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านเมือง Liege ไปยงั Antwerp เพือ่ ตลบหลงั กองทพั องั กฤษแต่ ปรากฎว่าเยอรมนั
ตอ้ งเสยี โอกาสเพราะขาดน้ำมนั เนอื่ งจากถกู โจมตีทางอากาศและต้องถอยเมื่อฝ่ายพันธมิตรไดร้ วบรวมกำลังจะ
ทำการตีโต้ตอบ แม้ว่าเยอรมันยังไปไม่ถึงที่หมาย แต่ก็ทำความเสียหายให้แก่ฝ่ายพันธมิตรได้มากเหมือนกัน
หากจะพิจารณาถึงสถานการณ์ในสว่ นรวมแลว้ การรุกโตต้ อบของเยอรมนั ครง้ั น้ี เป็นการผิดพลาดโดยทใี่ ช้กำลัง
ไปมาก ขณะท่ียังมีความจำเป็นจะต้องใชต้ า้ นทานฝา่ ยพนั ธมิตรต่อไปอกี ใหน้ าน ๆ

สำหรบั ทางดา้ นโซเวยี ตตัง้ แต่สิงหาคมจนถงึ สน้ิ ปี ค.ศ.1944 สถานการณ์ในแนวรบสงบเงยี บอยู่จนเม่ือ
13 มกราคม ค.ศ.1945 โซเวียตจึงได้ทำการรุกใหญ่เข้าไปในโปแลนด์ และยึดกรุงวอร์ซอร์ (WarSaw) ได้ใน
17 มกราคม เยอรมันต้องทำการต้ังรับด้วยกำลังไม่มากนกั และขาดความคล่องแคล่ว โซเวียตยังคงรุกต่อไป
เรื่อยๆ จนเข้ากรุงเวียนนา (Vienna) ในออสเตรยี เมอื่ 13 เมษายน แล้วมุ่งเขา้ หา กรุงเบอรร์ นิ (Berlin) ซ่ึงห่าง
จากเมืองโอเดอร์ (Oder) เพียง 50 ไมล์ ขบวนรถถังโซเวียตไปถึง Oder ใน 31 มกราคม และเข้ากรุง Berlin
ไดใ้ น 2 พฤษภาคม

ขณะท่ีโซเวยี ตพยายามเขา้ ยึดเมือง Oder กองทพั สหรฐั ฯได้ทำการรกุ ใหญ่ ในตน้ เดอื นกุมภาพนั ธ์ เพ่ือ
ทำลายกำลังของเยอรมันทางตะวันตกของแม่น้ำไรน์ (Rhine) ก่อนที่จะถอยข้ามไปได้ กำลังของสหรัฐ ฯ เข้า
เมืองโคโลนน์ (Cologne) ได้ใน 5 มีนาคม แต่เยอรมันก็ถอยข้ามแม่น้ำไรน์ (Rhine) ไปได้ พร้อมด้วย

97

ยทุ โธปกรณจ์ ำนวนมาก ใน 23 มีนาคม ฝา่ ยพันธมติ รได้ขา้ มแมน่ ำ้ ตามเยอรมนั ไปในตอนกลางคนื 4 จุดดว้ ยกัน
และส่งกองพลส่งทางอากาศ 2 กองพลลงในตอนเช้า เยอรมันได้ต้านทานอย่างอ่อนระโหยทุกหนแห่ง แต่
สงครามก็ยังไมย่ อมยุติลงง่ายๆ และได้ยืดเยื้อต่อไปอีกถึงเดือนกว่า ไม่ใช่เพราะการต้านทานอย่างดุเดือดของ
กำลังเยอรมันในยุทธบริเวณต่างๆ แต่ด้วยการที่ฝ่ายพนั ธมิตรเองมีปญั หาในการส่งกำลังบำรุง การท่ีถนนหนทาง
เต็มไปด้วยสงิ่ ปรักหกั พงั ทำใหเ้ คลือ่ นทีผ่ ่านไปไม่สะดวกและความยุ่งยากทางการเมือง สญั ญาณการยุตสิ งคราม
โดยปรากฏขึ้นเอาตอนที่ฝ่ายพันธมิตรข้ามแม่น้ำไรน์ (Rhine) ไปได้แล้วนั่นเอง ฮิตเลอร์ได้ฆ่าตัวตายในกรุง
Berlin เม่ือ 30 เมษายน ต่อมาใน 1 พฤษภาคม กองทัพเยอรมันในอิตาลไี ด้ยอมแพ้แลว้ ใน 4 พฤษภาคม กองทัพ
เยอรมันด้านตะวันตกเฉียงเหนือก็ยอมแพ้การทำสัญญายอมแพ้ทั่วไปได้ลงนามกันที่กองบัญชาการของไอเชนเฮาว์ที่
เมอื งรมี ส์ (Reims) เมื่อ 7 พฤษภาคม ค.ศ.1945

จากการศึกษาพิจารณาการยุทธต่างๆ ในแต่ละยุทธบริเวณ จะเห็นได้วา่ แม้กำลังของเยอรมันจะน้อย
กว่าฝ่ายพันธมิตรที่เข้าตี ก็สามารถทำการต้านทานอยู่ได้ถึงหลายเดือน แทนที่จะเป็นเพียงสัปดาห์เดียวตาม
ทฤษฎีและเมอื่ ทำการยึดรักษาท่ีม่ันด้วยกำลังท่ีเพียงพอ เยอรมันกย็ งั สามารถตโี ต้ตอบให้ฝา่ ยพันธมิตร ต้องล่า
ถอยไปได้ แม้จะมีกำลงั เหนือกว่าเยอรมนั ถึง 6 ต่อ 1 บางครัง้ ก็ถึง 12 ตอ่ 1 เยอรมันและญปี่ นุ่ ไมไ่ ดแ้ พ้สงคราม
เพราะมีกำลังนอ้ ยกว่า แต่เพราะความกว้างใหญ่ไพศาลของยุทธบริเวณ ทเี่ กินกำลังของเยอรมันและญ่ีปุ่นจะสู้
รบใหช้ นะได้ทวั่ ถงึ ท้งั สองประเทศไดอ้ มเหย่ือไว้เต็มปากมากเกนิ กวา่ ท่ีจะเค้ยี วลงคอไปได้

98

คำถามทา้ ยบทท่ี 4
สงครามโลกครงั้ ท่ี 2

1. จงบอกรายชอ่ื ประเทศฝา่ ยพันธมิตรและฝา่ ยอักษะในสงครามโลกครั้งท่ี 2 มาให้ทราบ

2. สงครามโลกครั้งที่ 2 บทบาทของสตรีมีมากขึ้นโดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในสงครามโลก จงอธิบาย
บทบาทของสตรีดงั กล่าววา่ มสี ่วนร่วมในด้านใด

3. จงอธบิ ายยุทธศาสตรข์ องฮติ เลอร์ ในสงครามโลกครงั้ ที่ 2 มาพอเขา้ ใจ
4. ผทู้ ่ีมบี ทบาทอย่างมากขององั กฤษ ในสงครามโลกครงั้ ที่ 2 คือใคร
5. แนวความคิดในการใช้รถถังแก่แม่ทพั เยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อการเข้าตีบดขย้ีแนวหนา้

แล้วผา่ นไปอย่างฉับพลนั ทนั ที นนั้ เป็นแนวคดิ ของแม่ทัพเยอรมนั ท่านใด
6. ลักษณะการทำสงครามสายฟ้าแลบของเยอรมนั เพ่ือให้เกดิ จติ วทิ ยาในดา้ นใด
7. ปัจจัยในการรุกของเยอรมันเพื่อไปให้ถงึ ชอ่ งแคบอังกฤษ นั้น ไม่มกี ารตา้ นทานตามทาง เยอรมัน ใช้

เวลา 11 วนั วัดการรุกได้ 220 ไมล์ แสดงให้เหน็ ถงึ การรบในรูปแบบใด
8. ผูท้ ี่นำกำลังกองทัพนอ้ ยยานเกราะไปทำการยุทธในแอฟรกิ าของฝ่ายเยอรมนั คอื ใคร
9. แม่ทพั กองทพั ที่ 8 ของฝา่ ยองั กฤษ ทีเ่ ข้าไปแกไ้ ขสถานการณ์ในแอฟริกา คือใคร
10. กำลังของเยอรมันจะน้อยกว่าฝ่ายพันธมิตรที่เข้าตี แต่สามารถทำการต้านทานอยู่ได้ถึงหลายเดือน

แม้จะมีกำลังเหนอื กว่าเยอรมันถงึ 6 ต่อ 1 บางครั้งก็ถงึ 12 ต่อ 1 ในการพ่ายแพข้ องเยอรมันและ
ญ่ีปุ่นนัน้ พา่ ยแพ้เพราะปัจจัยใด


Click to View FlipBook Version